Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย11

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย11

Description: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย11

Search

Read the Text Version

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สมเด็จพระเจ้าอย่หู วั มหาวชิราลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกูร ตราไว้ ณ วันท่ี ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็ นปี ท่ี ๒ ในรัชกาลปัจจบุ นั ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็ นอดีตภาค ๒๕๖๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม กุกกุฏสมพัตสร จิตรมาส ชุณหปักษ์ ทสมีดิถี สุริยคติกาล เมษายน มาส ฉัฏฐสุรทิน ครุวาร โดยกาลบริเฉท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า นายกรัฐมนตรีได้นาความกราบบังคม ทูลว่า นับแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร สยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็ นต้นมา การปกครองของประเทศไทยได้ดารง เจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข ต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ได้มกี ารยกเลิก แก้ไขเพิ่มเตมิ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญเพื่อ จัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายคร้ัง แต่การปกครองก็มิได้มีเสถยี รภาพหรือ ราบร่ืนเรียบร้อยเพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ บางคร้ังเป็ นวกิ ฤติทาง รัฐธรรมนูญที่หาทางออกไม่ได้ เหตุส่วนหน่ึงเกิดจากการที่มีผู้ไม่นาพาหรือไม่นับถือ ยาเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง ทุจริตฉ้อฉลหรือบิดเบือนอานาจ หรือขาด ความตระหนักสานึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนจนทาให้การบังคับใช้ กฎหมายไม่เป็ นผล ซ่ึงจาต้องป้องกนั และแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับ ใช้กฎหมาย และเสริมสร้างความเข้มแขง็ ของระบบคุณธรรมและจริยธรรม แต่เหตุอีก

ส่ วนหน่ึงเกิดจากกฎเกณฑ์ การเมืองการปกครองท่ียังไม่ เหมาะสมแก่ สภาวการ ณ์ บ้านเมืองและกาลสมยั ให้ความสาคัญแก่รูปแบบและวิธีการยงิ่ กว่าหลักการพื้นฐานใน ระบอบประชาธิปไตยหรือไม่อาจนากฎเกณฑ์ทีม่ อี ย่มู าใช้แก่พฤติกรรมของบุคคลและ สถานการณ์ในยามวิกฤติที่มีรูปแบบและวิธีการแตกต่างไปจากเดิมให้ได้ผล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ จึงได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการร่าง รัฐธรรมนูญมีหน้าท่ีร่างรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็ นหลกั ในการปกครอง และเป็ นแนวทาง ในการจัดทากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น โดยได้กาหนดกลไกเพ่ือ จัดระเบียบและสร้ างความเข้มแข็งแก่การปกครองประเทศขึ้นใหม่ด้วยการจัด โครงสร้างของหน้าท่ีและอานาจขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ และสัมพันธภาพ ระหว่างฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ิกับฝ่ ายบริหารให้เหมาะสม การให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระ อ่ืนซ่ึงมีหน้าทีต่ รวจสอบการใช้อานาจรัฐสามารถปฏิบตั ิหน้าท่ีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต เท่ียงธรรมและมีส่วนในการป้องกันหรือแก้ไขวิกฤติของประเทศตามความ จาเป็ นและความเหมาะสม การรับรอง ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชน ชาวไทยให้ชัดเจนและครอบคลุมอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยถือว่าการมีสิทธิเสรีภาพ เป็ นหลักการจากัดตัดสิทธิเสรีภาพเป็ นข้อยกเว้น แต่การใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวต้อง อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพื่อคุ้มครองส่วนรวม การกาหนดให้รัฐมีหน้าที่ต่อประชาชน เช่นเดียวกับการให้ประชาชนมหี น้าทต่ี ่อรัฐ การวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัด การทุจริตและประพฤติมิชอบท่ีเข้มงวด เด็ดขาด เพ่ือมิให้ผู้บริหารท่ีปราศจาก คุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอานาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้ อานาจตามอาเภอใจ และการกาหนดมาตรการป้องกันและบริหารจัดการวิกฤติการณ์ ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนได้กาหนดกลไกอ่ืน ๆ ตามแนวทางที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ระบุไว้ เพื่อ ใช้เป็ นกรอบในการพัฒนาประเทศตามแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติซึ่งผู้

เข้ามาบริหารประเทศแต่ละคณะจะได้กาหนดนโยบายและวิธีดาเนินการที่เหมาะสม ต่อไป ท้ังยังสร้างกลไกในการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ที่สาคัญและจาเป็ นอย่าง ร่วมมือร่วมใจกัน รวมตลอดท้ังการลดเง่ือนไขความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศมีความสงบ สุขบนพื้นฐานของความรู้รักสามัคคีปรองดอง การจะดาเนนิ การในเรื่องเหล่านี้ให้ลุล่วง ไปได้ จาต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประชาชนทุกภาคส่วนกับหน่วยงานท้ังหลาย ของรั ฐตามแนวทางประชารั ฐภายใต้ กฎเกณฑ์ ตามหลักการ ปกครองในร ะ บอ บ ประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะ สังคมไทย หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน และหลักธรรมาภิบาล อันจะทาให้ สามารถขับเคล่ือนประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างเป็ นข้ันตอนจนเกิดความ ม่ันคง ม่ังค่ัง และยั่งยืน ท้ังในทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมตาม ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมุข ในการดาเนินการดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้สร้างความ รับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในหลักการและเหตุผลของบทบัญญัติต่าง ๆ เป็ นระยะ ๆ เปิ ดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงร่างรัฐธรรมนูญและความหมายโดยผ่านทางสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกา รพัฒนาสารัตถะของร่ าง รัฐธรรมนูญด้วยการเสนอแนะข้อควรแก้ไขเพิม่ เติม เมื่อการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว เสร็จ ก็ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและคาอธิบายสาระสาคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดย สรุปในลักษณะท่ีประชาชนสามารถเข้าใจเนื้อหาสาคัญของร่ างรัฐธรรมนูญได้ โดยสะดวกและเป็ นการทัว่ ไป และจดั ให้มีการออกเสียงประชามติเพ่ือให้ความเห็นชอบ แก่ร่างรัฐธรรมนูญท้ังฉบับ ในการน้ี สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติเสนอประเด็น เพ่มิ เติมอกี ประเดน็ หน่ึงเพื่อให้มกี ารออกเสียงประชามตใิ นคราวเดยี วกันด้วย การออก เสียงประชามติปรากฏผลว่า ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติโดยคะแนนเสียง ข้างมากของผ้มู าออกเสียงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญและประเด็นเพ่ิมเติม ดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงดาเนินการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนท่ี

เก่ียวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม และได้ส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าเป็ นการชอบด้วยผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ซึ่งต่ อมาศาลรัฐธรรมนูญได้ วินิจฉัยให้ คณะกรรมการร่ างรัฐธรรมนูญแก้ ไขเพิ่มเติม ข้อความบางส่ วน และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ดาเนินการแก้ไขตามคา วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงนาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้า ทูลกระหม่อมถวาย ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๔) พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติให้ นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่ างรัฐธรรมนูญน้ันคืนมาแก้ ไขเพิ่มเติมเฉพาะบาง ประเด็นได้ เม่ือดาเนินการแล้วเสร็จ นายกรัฐมนตรีจึงนาร่างรัฐธรรมนูญน้ันขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็ นรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจกั รไทยสืบไป ทรงพระราชดาริว่าสมควรพระราชทานพระราชานุมตั ิ จงึ มพี ระราชโองการดารัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ชั่วคราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ ซ่ึงได้ตราไว้ ณ วนั ท่ี ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต้ังแต่วันประกาศน้ีเป็ นต้นไป ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็ นเอกฉันท์ ในอันท่ีจะ ปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธารงคงไว้ซ่ึง ระบอบประชาธิปไตยและอานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนามาซ่ึงความ ผาสุกสิริสวัสด์พิ ิพฒั นชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎร ทัว่ สยามรัฐสีมา สมด่ังพระราชปณธิ านปรารถนาทกุ ประการ เทอญ

หมวด ๑ บททว่ั ไป มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็ นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยก มิได้ มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข มาตรา ๓ อานาจอธิปไตยเป็ นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ ทรงเป็ นประมุข ทรงใช้อานาจน้ันทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้อง ปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็ นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม มาตรา ๔ ศักด์ิศรีความเป็ นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ของบคุ คลย่อมได้รับความค้มุ ครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน มาตรา ๕ รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใด ของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทาใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบญั ญัตหิ รือการกระทาน้นั เป็ นอนั ใช้บังคบั มไิ ด้

เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนบ้ี ังคับแก่กรณีใด ให้กระทาการน้นั หรื อวินิจฉัยกรณีน้ันไปตามประเ พณีการปกครองประเทศไทยในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมุข หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ มาตรา ๖ องค์พระมหากษัตริย์ทรงดารงอยู่ในฐานะอันเป็ นที่เคารพ สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษตั ริย์ในทางใด ๆ มิได้ มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นพุทธมามกะ และทรงเป็ นอัคร ศาสนูปถมั ภก มาตรา ๘ พระมหากษัตริย์ทรงดารงตาแหน่งจอมทัพไทย มาตรา ๙ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจที่จะสถาปนาและ ถอดถอนฐานนั ดรศักด์แิ ละพระราชทานและเรียกคืนเคร่ืองราชอสิ ริยาภรณ์ มาตรา ๑๐ พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งต้ังผู้ทรงคุณวุฒิเป็ น ประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกินสิบแปดคนประกอบเป็ นคณะ องคมนตรี คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราช กรณียกิจท้ังปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ

มาตรา ๑๑ การเลือกและแต่งต้ังองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจาก ตาแหน่ง ให้เป็ นไปตามพระราชอธั ยาศัย ให้ประธานรัฐสภาเป็ นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งต้ัง ประธานองคมนตรีหรือให้ประธานองคมนตรีพ้นจากตาแหน่ง ให้ประธานองคมนตรีเป็ นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งต้ัง องคมนตรีอ่ืนหรือให้องคมนตรีอื่นพ้นจากตาแหน่ง มาตรา ๑๒ องคมนตรีต้องไม่เป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิก วุฒิสภา หรือดารงตาแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดารงตาแหน่ง ในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าท่ีอ่ืนของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าท่ี ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็ นข้าราชการในพระองค์ในตาแหน่ง องคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ ในพรรคการเมืองใด ๆ มาตรา ๑๓ ก่อนเข้ารับหน้าท่ี องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อ พระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคา ดงั ต่อไปน้ี “ข้ า พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า ( ช่ื อ ผู้ ป ฏิ ญ า ณ ) ข อ ถ ว า ย สั ต ย์ ป ฏิ ญ าณว่ า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนท้ังจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” มาตรา ๑๔ องคมนตรีพ้นจากตาแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรม ราชโองการให้พ้นจากตาแหน่ง มาตรา ๑๕ การแต่งต้ังและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตาแหน่ง ให้เป็ นไปตามพระราชอธั ยาศัย

การจัดระเบยี บราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็ นไปตามพระราชอธั ยาศัยตามทบ่ี ัญญัตไิ ว้ในพระราชกฤษฎีกา มาตรา ๑๖ ในเมื่อพระมหากษตั ริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจกั ร หรือ จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งต้ังบุคคลคนหนึ่งหรือ หลายคนเป็ นคณะขึน้ ให้เป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่ ทรงแต่งต้ังผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ให้ประธานรัฐสภาเป็ นผ้ลู งนามรับสนองพระ บรมราชโองการ มาตรา ๑๗ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งต้ังผู้สาเร็จราชการ แทนพระองค์ตามมาตรา ๑๖ หรือในกรณีท่ีพระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งต้ัง ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น แต่ ต่อมาคณะองคมนตรีพิจารณาเหน็ ว่ามีความจาเป็ นสมควรแต่งต้ังผู้สาเร็จราชการแทน พระองค์และไม่อาจกราบบังคมทูลให้ทรงแต่งต้ังได้ทนั การ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อ บคุ คลคนหน่ึงหรือหลายคนเป็ นคณะ ตามลาดบั ทโ่ี ปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกาหนดไว้ ก่อนแล้วให้เป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศใน พระปรมาภไิ ธยพระมหากษัตริย์ แต่งต้งั ผ้นู ้ันขึน้ เป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา ๑๘ ในระหว่างที่ไม่มีผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ตาม มาตรา ๑๗ ให้ประธานองคมนตรีเป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เป็ นการช่ัวคราว ไปพลางก่อน ในกรณีท่ีผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งต้ังตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ ไม่สามารถปฏบิ ัติหน้าทไ่ี ด้ ให้ประธานองคมนตรีทาหน้าทผ่ี ู้สาเร็จ ราชการแทนพระองค์เป็ นการชั่วคราวไปพลางก่อน

ในระหว่างท่ีประธานองคมนตรีเป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ตาม วรรคหน่งึ หรือในระหว่างทปี่ ระธานองคมนตรีทาหน้าท่ีผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ตามวรรคสอง ประธานองคมนตรีจะปฏิบตั ิหน้าทใ่ี นฐานะเป็ นประธานองคมนตรีมิได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้คณะองคมนตรีเลือกองคมนตรีคนหน่ึงขึ้นทาหน้าท่ีประธาน องคมนตรีเป็ นการชั่วคราวไปพลางก่อน มาตรา ๑๙ ก่อนเข้ารับหน้าท่ี ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ซ่ึงได้รับการ แต่งต้ังตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภาด้วยถ้อยคา ดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้า (ช่ือผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธย) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพ่ือ ประโยชน์ของประเทศและประชาชน ท้ังจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซ่ึงรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งต้ังและปฏิญาณตน มาแล้ว ไม่ต้องปฏญิ าณตนอีก มาตรา ๒๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๑ การสืบราชสมบัติให้เป็ นไป โดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตตวิ งศ์ พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๗ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระ พุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็ นพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ เมื่อมี พระราชดาริประการใด ให้คณะองคมนตรีจัดทาร่างกฎมณเฑียรบาลแก้ไขเพ่ิมเตมิ กฎ ม ณ เ ฑี ย ร บ า ล เ ดิ ม ขึ้น ทู ล เ ก ล้ า ทู ล ก ร ะ ห ม่ อ ม ถ ว า ย เ พ่ื อ มี พ ร ะ ร า ช วิ นิ จ ฉั ย เม่ื อ ท ร ง เหน็ ชอบและทรงลงพระปรมาภไิ ธยแล้ว ให้ประธานองคมนตรีดาเนินการแจ้งประธาน รัฐสภาเพื่อให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้รัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาลงนามรับ

สนองพระบรมราชโองการและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับ เป็ นกฎหมายได้ ม าต รา ๒๑ ในกรณีท่ี ราชบัลลัง ก์ หากว่ างลงและเป็ นกรณีที่ พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งต้ังพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑยี รบาลว่าด้วยการสืบราช สันตตวิ งศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญ องค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็ นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภา ประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็ นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ ทรงแต่งต้ังพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหน่ึง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราช สันตติวงศ์ตามมาตรา ๒๐ ต่อคณะรัฐมนตรีเพ่ือเสนอต่อรัฐสภาเพ่ือรัฐสภาให้ความ เห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเหน็ ชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึน้ ทรงราชย์เป็ นพระมหากษัตริย์ สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ มาตรา ๒๒ ในระหว่างทยี่ ังไม่มีประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือ องค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึน้ ทรงราชย์เป็ นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๒๑ ให้ประธาน องคมนตรีเป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เป็ นการชั่วคราวไปพลางก่อน แต่ในกรณีท่ี ราชบัลลังก์หากว่างลงในระหว่างท่ีได้แต่งต้ังผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ตาม มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือระหว่างเวลาท่ีประธานองคมนตรีเป็ นผู้สาเร็จราชการ แทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนง่ึ ให้ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์น้ัน ๆ แล้วแต่ กรณี เป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป ท้ังน้ี จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์ พระรัชทายาทหรือองค์ผ้สู ืบราชสันตติวงศ์ขนึ้ ทรงราชย์เป็ นพระมหากษตั ริย์

ในกรณีที่ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งต้ังไว้และเป็ น ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปตามวรรคหนึ่ง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ ให้ ประธานองคมนตรีทาหน้าท่ีผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เป็ นการชั่วคราวไปพลาง ก่อน ในกรณที ปี่ ระธานองคมนตรีเป็ นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรค หน่ึง หรือทาหน้าที่ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เป็ นการชั่วคราวตามวรรคสอง ให้นา มาตรา ๑๘ วรรคสาม มาใช้บังคบั มาตรา ๒๓ ในกรณที คี่ ณะองคมนตรีจะต้องปฏบิ ัติหน้าท่ตี ามมาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๒๑ วรรคสอง หรือประธานองคมนตรีจะต้องเป็ นหรือทาหน้าท่ีผู้สาเร็จ ราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๒ วรรค สอง และอยู่ในระหว่างทไ่ี ม่มปี ระธานองคมนตรี หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าทไ่ี ด้ ให้คณะองคมนตรีท่ีเหลืออยู่เลือกองคมนตรีคนหน่ึงเพ่ือทาหน้าที่ประธานองคมนตรี หรือเป็ นหรือทาหน้าที่ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งหรือ วรรคสอง หรือตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง แล้วแต่กรณี มาตรา ๒๔ การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทาต่อพระรัช ทายาทซ่ึงทรงบรรลนุ ติ ภิ าวะแล้วหรือต่อผ้แู ทนพระองค์ก็ได้ ในระหว่างทีย่ งั มิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามวรรคหน่ึง จะโปรดเกล้าโปรด กระหม่อมให้ผู้ซ่ึงต้องถวายสัตย์ปฏญิ าณปฏิบัตหิ น้าทไี่ ปพลางก่อนก็ได้

หมวด ๓ สิทธแิ ละเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา ๒๕ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากท่ีบัญญัติ คุ้มครองไว้เป็ นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดท่ีมิได้ห้ามหรือจากัดไว้ใน รัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพท่ีจะทาการน้ันได้และ ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าท่ีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่าน้ันไม่ กระทบกระเทือนหรือเป็ นอันตรายต่อความม่ันคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดขี องประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอ่ืน สิทธิหรือเสรีภาพใดท่ีรัฐธรรมนูญให้เป็ นไปตามท่กี ฎหมายบัญญัติ หรือ ให้เป็ นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ แม้ยงั ไม่มีการตรากฎหมายน้ัน ขึน้ ใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพน้นั ได้ตามเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญ บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรื อเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตาม รัฐธรรมนูญ สามารถยกบทบัญญัตแิ ห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึน้ เป็ น ข้อต่อสู้คดีในศาลได้ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจาก การกระทาความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิท่ีจะได้รับการเยียวยา หรือ ช่วยเหลือจากรัฐตามทีก่ ฎหมายบญั ญัติ มาตรา ๒๖ การตรากฎหมายที่มีผลเป็ นการจากัดสิทธิหรือเสรีภาพของ บุคคลต้องเป็ นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีท่ีรัฐธรรมนูญมิได้ บัญญัติเง่ือนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขดั ต่อหลักนติ ิธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจากัด สิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักด์ิศรีความเป็ น

มนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมท้ังต้องระบุเหตุผลความจาเป็ นในการจากัดสิทธิและ เสรีภาพไว้ด้วย กฎหมายตามวรรคหน่ึง ต้องมีผลใช้บังคับเป็ นการท่ัวไป ไม่มุ่งหมายให้ ใช้บังคบั แก่กรณีใดกรณีหนึง่ หรือแก่บุคคลใดบุคคลหน่ึงเป็ นการเจาะจง มาตรา ๒๗ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและ ได้รับความค้มุ ครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทยี มกัน การเลือกปฏบิ ตั ิโดยไม่เป็ นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างใน เร่ืองถิน่ กาเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพกิ าร สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะ ของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือ ความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอ่ืนใด จะ กระทามิได้ มาตรการที่รัฐกาหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่ งเสริมให้บุคคล สามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอ่ืน หรือเพ่ือคุ้มครองหรืออานวย ความสะดวกให้แก่เดก็ สตรี ผู้สูงอายุ คนพกิ าร หรือผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็ นการ เลือกปฏิบตั ิโดยไม่เป็ นธรรมตามวรรคสาม บุคคลผู้เป็ นทหาร ตารวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าท่ีอื่นของรัฐ และพนักงาน หรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมสี ิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ ที่จากัดไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่ วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือ จริยธรรม มาตรา ๒๘ บคุ คลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวติ และร่างกาย การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทามิได้ เว้นแต่มีคาส่ังหรือหมายของ ศาลหรือมเี หตอุ ย่างอ่ืนตามท่กี ฎหมายบัญญัติ

การค้ นตัวบุคคลหรื อการกระทาใดอันกระทบกระเทือนต่ อสิ ทธิหรื อ เสรีภาพในชีวติ หรือร่างกายจะกระทามไิ ด้ เว้นแต่มเี หตุตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้ มนุษยธรรมจะกระทามิได้ มาตรา ๒๙ บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทาการอันกฎหมาย ท่ีใช้อยู่ในเวลาที่กระทาน้ันบัญญัติเป็ นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงแก่ บุคคลน้นั จะหนกั กว่าโทษท่ีบัญญตั ไิ ว้ในกฎหมายทีใ่ ช้อยู่ในเวลาท่กี ระทาความผิดมิได้ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจาเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคาพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิด จะปฏิบัติต่อ บคุ คลน้นั เสมือนเป็ นผ้กู ระทาความผิดมิได้ การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจาเลยให้กระทาได้เพียงเท่าที่จาเป็ น เพ่ือป้องกันมใิ ห้มกี ารหลบหนี ในคดอี าญา จะบงั คับให้บคุ คลให้การเป็ นปฏิปักษ์ต่อตนเองมิได้ คาขอประกันผู้ต้องหาหรือจาเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณาและ จะเรียกหลักประกันจนเกินควรแก่กรณีมิได้ การไม่ให้ประกันต้องเป็ นไปตามที่ กฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๓๐ การเกณฑ์แรงงานจะกระทามไิ ด้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตาม บทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีตราขึ้นเพ่ือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือในขณะท่ีมีการ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือในระหว่างเวลาที่ ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือการรบ มาตรา ๓๑ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมี เสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็ น

ปฏปิ ักษ์ต่อหน้าท่ขี องปวงชนชาวไทยไม่เป็ นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ ขดั ต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน มาตรา ๓๒ บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็ นอย่สู ่วนตวั เกียรติยศ ช่ือเสียง และครอบครัว การกระทาอันเป็ นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรค หนึ่ง หรือการนาข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทามิได้ เว้น แต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าท่ีจาเป็ นเพื่อ ประโยชน์สาธารณะ มาตรา ๓๓ บคุ คลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยนิ ยอมของผ้คู รอบครอง หรือ การค้นเคหสถานหรือที่รโหฐานจะกระทามิได้ เว้นแต่มคี าส่ังหรือหมายของศาลหรือมี เหตอุ ย่างอื่นตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ มาตรา ๓๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การ เขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการส่ือความหมายโดยวิธีอ่ืน การจากัดเสรีภาพ ดังกล่าวจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้น เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพ่ือ รักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพ่ือป้องกันสุขภาพ ของประชาชน เสรีภาพทางวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง แต่การใช้เสรีภาพน้ันต้อง ไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องเคารพ และไม่ปิ ดก้นั ความเหน็ ต่างของบคุ คลอื่น

มาตรา ๓๕ บุคคลซ่ึงประกอบวิชาชีพส่ือมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการ เสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวชิ าชีพ การสั่งปิ ดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพ่ือลิดรอนเสรีภาพ ตามวรรคหนึ่ง จะกระทามไิ ด้ การให้นาข่าวสารหรือข้อความใด ๆ ทผ่ี ู้ประกอบวชิ าชีพสื่อมวลชนจัดทา ขึ้นไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนนาไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือส่ือใด ๆ จะกระทามไิ ด้ เว้นแต่จะกระทาในระหว่างเวลาท่ีประเทศอยู่ในภาวะสงคราม เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอ่ืนต้องเป็ นบุคคลสั ญชาติ ไทย การ ให้ เงินหรื อท รั พย์ สิ นอื่ นเพ่ื ออุดหนุ นกิจการ หนังสื อพิม พ์ หรื อ ส่ือมวลชนอ่ืนของเอกชนรัฐจะกระทามไิ ด้ หน่วยงานของรัฐทใ่ี ช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สิน ให้สื่อมวลชนไม่ว่าเพ่ือประโยชน์ในการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ หรือเพ่ือการอื่นใด ในทานองเดียวกันต้องเปิ ดเผยรายละเอียดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทราบ ตามระยะเวลาที่กาหนดและประกาศให้ประชาชนทราบด้วย เจ้ าหน้ าท่ีของรั ฐซึ่งปฏิบัติหน้ าที่ส่ื อมวลชนย่ อมมีเสรี ภาพตามวรรค หน่งึ แต่ให้คานึงถงึ วตั ถุประสงค์และภารกจิ ของหน่วยงานที่ตนสังกดั อย่ดู ้วย มาตรา ๓๖ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารถึงกันไม่ว่าในทาง ใด ๆ การตรวจ การกัก หรือการเปิ ดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกัน รวมท้ัง การกระทาด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซ่ึงข้อมูลท่ีบุคคลส่ือสารถึงกันจะ กระทามิได้ เว้นแต่มีคาส่ังหรือหมายของศาลหรือมเี หตอุ ย่างอ่ืนตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ

มาตรา ๓๗ บุคคลย่อมมีสิทธใิ นทรัพย์สินและการสืบมรดก ขอบเขตแห่งสิทธิและการจากัดสิทธิเช่นว่านี้ ให้เป็ นไปตามท่ีกฎหมาย บญั ญตั ิ การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตาม บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึน้ เพ่ือการอันเป็ นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพ่ือประโยชน์สาธารณะอย่างอ่ืน และต้อง ชดใช้ค่าทดแทนที่เป็ นธรรม ภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของตลอดจนผู้ทรงสิทธิ บรรดาที่ได้รับความเสียหายจากการเวนคืน โดยคานึงถึง ประโยชน์สาธารณะ ผลกระทบต่อผู้ถกู เวนคืน รวมท้ังประโยชน์ที่ผ้ถู ูกเวนคืนอาจได้รับจากการเวนคืนน้นั การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ให้กระทาเพียงเท่าท่ีจาเป็ นต้องใช้เพื่อการที่ บัญญัติไว้ในวรรคสาม เว้นแต่เป็ นการเวนคืนเพื่อนาอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนไป ชดเชยให้เกิดความเป็ นธรรมแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ท่ีถูกเวนคืนตามท่ีกฎหมาย บญั ญตั ิ กฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องระบุวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน และกาหนดระยะเวลาการเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ให้ชัดแจ้ง ถ้ามิได้ใช้ประโยชน์เพ่ือการ น้นั ภายในระยะเวลาท่ีกาหนดหรือมอี สังหาริมทรัพย์เหลือจากการใช้ประโยชน์ และเจ้า ของเดิมหรือทายาทประสงค์จะได้คืน ให้คืนแก่เจ้าของเดิมหรือทายาท ระยะเวลาการขอคืนและการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนที่มิได้ใช้ ประโยชน์ หรือที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท และการเรียก คืนค่าทดแทนทชี่ ดใช้ไป ให้เป็ นไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ ก า ร ต ร า ก ฎ ห ม า ย เ ว น คื น อ สั ง ห า ริ ม ท รั พ ย์ โ ด ย ร ะ บุ เ จ า ะ จ ง อสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ท่ีถูกเวนคืนตามความจาเป็ น มิให้ถือว่า เป็ นการขดั ต่อมาตรา ๒๖ วรรคสอง

มาตรา ๓๘ บคุ คลย่อมมเี สรีภาพในการเดินทางและการเลือกถนิ่ ท่อี ยู่ การจากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจ ตามบทบัญญตั ิแห่งกฎหมายที่ตราขนึ้ เพ่ือความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือ สวัสดิภาพของประชาชน หรือการผังเมือง หรือเพื่อรักษาสถานภาพของครอบครัว หรือเพื่อสวัสดิภาพของผ้เู ยาว์ มาตรา ๓๙ การเนรเทศบุคคลสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือ ห้ามมใิ ห้ผ้มู ีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักร จะกระทามไิ ด้ การถอนสัญชาตขิ องบุคคลซ่ึงมีสัญชาตไิ ทยโดยการเกิด จะกระทามิได้ มาตรา ๔๐ บคุ คลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ การจากัดเสรีภาพตามวรรคหน่ึงจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทต่ี ราขนึ้ เพื่อรักษาความมนั่ คงหรือเศรษฐกจิ ของประเทศ การแข่งขันอย่างเป็ นธรรม การป้องกันหรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด การ คุ้มครองผู้บริโภค การจัดระเบียบการประกอบอาชีพเพียงเท่าที่จาเป็ น หรือเพื่อ ประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น การตรากฎหมายเพ่ือจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้อง ไม่มีลกั ษณะเป็ นการเลือกปฏิบัติหรือก้าวก่ายการจดั การศึกษาของสถาบันการศึกษา มาตรา ๔๑ บุคคลและชุมชนย่อมมสี ิทธิ (๑) ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครอง ของหน่วยงานของรัฐตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ (๒) เสนอเร่ืองราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐและได้รับแจ้งผลการ พิจารณาโดยรวดเร็ว

(๓) ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทาหรือการละเว้น การกระทาของข้าราชการ พนักงาน หรือลกู จ้างของหน่วยงานของรัฐ มาตรา ๔๒ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็ นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์กร ชุมชน หรือหมู่คณะอื่น การจากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพ่ือรักษา ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อการป้องกันหรือขจัด การกดี กันหรือการผูกขาด มาตรา ๔๓ บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ (๑) อนุรักษ์ ฟื้ นฟู หรื อส่ งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอนั ดีงามท้ังของท้องถิน่ และของชาติ (๒) จัดการ บารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิธีการที่ กฎหมายบัญญัติ (๓) เข้าช่ือกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดาเนินการใดอันจะ เป็ นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดาเนินการใดอันจะกระทบต่อ ความเป็ นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชนและได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดย รวดเร็ว ท้ังน้ี หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะน้ันโดยให้ประชาชนที่ เกีย่ วข้องมีส่วนร่วมในการพจิ ารณาด้วยตามวิธีการที่กฎหมายบญั ญัติ (๔) จดั ให้มีระบบสวสั ดกิ ารของชุมชน สิทธิของบุคคลและชุมชนตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงสิทธิท่ีจะ ร่วมกบั องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ หรือรัฐในการดาเนินการดังกล่าวด้วย

มาตรา ๔๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจาก อาวธุ การจากัดเสรีภาพตามวรรคหน่ึงจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพ่ือรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัย สาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน หรือเพื่อค้มุ ครองสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลอ่ืน มาตรา ๔๕ บุคคลย่อมมเี สรีภาพในการรวมกันจดั ต้งั พรรคการเมืองตาม วถิ ีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมขุ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเก่ียวกับการบริหาร พรรคการเมือง ซ่ึงต้องกาหนดให้เป็ นไปโดยเปิ ดเผยและตรวจสอบได้ เปิ ดโอกาสให้ สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกาหนดนโยบายและการส่งผ้สู มคั รรับเลือกต้ัง และกาหนดมาตรการให้สามารถดาเนินการโดยอิสระไม่ถกู ครอบงาหรือชีน้ าโดยบุคคล ซึ่งมิได้เป็ นสมาชิกของพรรคการเมืองน้ัน รวมท้งั มาตรการกากับดแู ลมิให้สมาชิกของ พรรคการเมืองกระทาการอันเป็ นการฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการ เลือกต้ัง มาตรา ๔๖ สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความค้มุ ครอง บุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดต้ังองค์กรของผู้บริโภคเพ่ือคุ้มครองและ พิทกั ษ์สิทธขิ องผู้บริโภค องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดต้ังเป็ นองค์กรท่ีมี ความเป็ นอิสระเพ่ือให้เกิดพลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับ การสนับสนุนจากรัฐ ท้ังน้ี หลักเกณฑ์และวิธีการจัดต้ังอานาจในการเป็ นตัวแทนของ ผู้บริโภค และการสนบั สนุนด้านการเงนิ จากรัฐ ให้เป็ นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๔๗ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ บุคคลผู้ยากไร้ ย่ อมมีสิ ทธิได้ รั บบริ การสาธารณสุ ขของรั ฐโดยไม่ เสี ย ค่าใช้จ่ายตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มาตรา ๔๘ สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร ย่อมได้รับความค้มุ ครองและช่วยเหลือตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ บุคคลซ่ึงมีอายุเกินหกสิบปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และ บุคคลผู้ยากไร้ ย่ อมมีสิ ทธิได้ รั บความช่ วยเหลื อที่เหมาะสมจากรั ฐตามที่กฎหม า ย บญั ญตั ิ มาตรา ๔๙ บคุ คลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมุขมไิ ด้ ผู้ใดทราบว่ามีการกระทาตามวรรคหน่ึง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุด เพ่ือร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวนิ จิ ฉัยส่ังการให้เลกิ การกระทาดงั กล่าวได้ ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคาสั่งไม่รับดาเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ ดาเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันท่ีได้รับคาร้องขอ ผู้ร้องขอจะย่ืนคาร้องโดยตรง ต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ การดาเนินการตามมาตราน้ีไม่กระทบต่อการดาเนินคดีอาญาต่อผู้กระทา การตามวรรคหน่ึง

หมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา ๕๐ บคุ คลมีหน้าท่ี ดงั ต่อไปนี้ (๑) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมขุ (๒) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และสา ธารณสมบตั ิของแผ่นดินรวมท้ังให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (๓) ปฏิบตั ติ ามกฎหมายอย่างเคร่งครัด (๔) เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบังคบั (๕) รับราชการทหารตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ (๖) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอ่ืน และไม่กระทา การใดท่อี าจก่อให้เกดิ ความแตกแยกหรือเกลยี ดชังในสังคม (๗) ไปใช้ สิทธิเลือกต้ังหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคานึงถึง ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็ นสาคัญ (๘) ร่ วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้ อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมท้ังมรดกทางวัฒนธรรม (๙) เสียภาษีอากรตามท่กี ฎหมายบัญญัติ (๑๐) ไม่ร่วมมือหรือสนบั สนุนการทุจริตและประพฤติมชิ อบทุกรูปแบบ

หมวด ๕ หน้าทข่ี องรัฐ มาตรา ๕๑ การใดท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็ นหน้าที่ของรัฐตามหมวด นี้ ถ้าการน้ันเป็ นการทาเพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ย่อมเป็ นสิทธิของ ประชาชนและชุมชนท่ีจะติดตามและเร่งรัดให้รัฐดาเนินการ รวมตลอดท้ังฟ้องร้อง หน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือจัดให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์น้ันตาม หลักเกณฑ์และวธิ ีการที่กฎหมายบญั ญัติ มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตทีป่ ระเทศไทยมีสิทธิอธปิ ไตย เกียรติภูมแิ ละ ผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพ่ือ ประโยชน์แห่งการน้ี รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มี ประสิทธิภาพ กาลังทหารให้ใช้เพื่อประโยชน์ในการพฒั นาประเทศด้วย มาตรา ๕๓ รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่าง เคร่งครัด มาตรา ๕๔ รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็ นเวลาสิบ สองปี ต้ังแต่ก่อนวยั เรียนจนจบการศึกษาภาคบงั คบั อย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดาเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับ การศึกษาตามวรรคหน่ึง เพ่ือพัฒนาร่างกาย จิตใจ วนิ ยั อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและภาคเอกชน เข้ามสี ่วนร่วมในการดาเนนิ การด้วย

รัฐต้องดาเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการใน ระบบต่าง ๆ รวมท้ังส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกัน ระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าท่ีดาเนินการ กากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมี คุณภาพและได้มาตรฐานสากล ท้ังน้ี ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติซ่ึงอย่าง น้อยต้องมีบทบัญญตั เิ ก่ียวกบั การจัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดาเนินการและ ตรวจสอบการดาเนนิ การให้เป็ นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติด้วย การศึกษาท้ังปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็ นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ในการดาเนินการให้เด็กเลก็ ได้รับการดแู ลและพฒั นาตามวรรคสอง หรือ ให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดาเนนิ การให้ผ้ขู าดแคลนทุนทรัพย์ ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความถนัดของตน ให้จัดต้ังกองทุนเพ่ือใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลด ความเหลื่อมล้าในการศึกษาและเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ ครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนหรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษี รวมท้ังการให้ ผู้บริ จา คทรั พ ย์ สิ น เข้ า ก อง ทุนไ ด้ รั บ ปร ะโ ยช น์ ใน ก าร ลด หย่ อ น ภ า ษี ด้วย ท้ังนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซ่ึงกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องกาหนดให้การ บริหารจัดการกองทุนเป็ นอิสระและกาหนดให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพ่ือบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ดังกล่าว มาตรา ๕๕ รัฐต้องดาเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มี ประสิทธิภาพอย่างทว่ั ถงึ เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการส่งเสริม สุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้าน แพทย์แผนไทยให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด

บริการสาธารณสุขตามวรรคหน่ึง ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม และป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้ นฟูสุขภาพด้วย รัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มคี ุณภาพและมมี าตรฐานสูงขนึ้ อย่างต่อเนื่อง มาตรา ๕๖ รัฐต้องจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐานที่ จาเป็ นต่อการดารงชีวติ ของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลกั การพัฒนาอย่างย่ังยืน โ ค ร ง ส ร้ า ง ห รื อ โ ค ร ง ข่ า ย ขั้น พื ้น ฐ า น ข อ ง กิจ ก า ร ส า ธ า ร ณูป โ ภ ค ขั้น พื้นฐานของรัฐอันจาเป็ นต่อการดารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมนั่ คงของรัฐ รัฐจะกระทาด้วยประการใดให้ตกเป็ นกรรมสิทธ์ิของเอกชนหรือทาให้รัฐเป็ นเจ้าของ น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้ การจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง รัฐต้องดูแลมิให้มีการเรียกเก็บค่าบริการจนเป็ นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร การนาสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชนดาเนินการทางธุรกิจไม่ว่าด้วย ประการใด ๆ รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็ นธรรม โดยคานึงถึงการลงทุน ของรัฐ ประโยชน์ท่ีรัฐและเอกชนจะได้รับและค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชน ประกอบกัน มาตรา ๕๗ รัฐต้อง (๑) อนุรักษ์ ฟื้ นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มและจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถ่นิ และของชาติ และจัดให้มีพืน้ ที่ สาธารณะสาหรับกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้อง รวมท้ังส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ได้ใช้สิทธิและมีส่วนร่วมในการดาเนินการ ด้วย

(๒) อนุรักษ์ คุ้มครอง บารุงรักษา ฟื้ นฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้ มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทาง ชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนใน ท้องถิ่นท่ีเก่ียวข้องมีส่ วนร่วมดาเนินการและได้รับประโยชน์จากการดาเนินการ ดังกล่าวด้วยตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๕๘ การดาเนนิ การใดของรัฐหรือทรี่ ัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดาเนินการ ถ้าการน้นั อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คณุ ภาพส่ิงแวดล้อม สุขภาพ อนามยั คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสาคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือส่ิงแวดล้อม อย่างรุนแรง รัฐต้องดาเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น ของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เก่ียวข้องก่อน เพื่อนามาประกอบการ พจิ ารณาดาเนินการหรืออนุญาตตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คาชี้แจง และเหตุผลจาก หน่วยงานของรัฐก่อนการดาเนนิ การหรืออนุญาตตามวรรคหนง่ึ ในการดาเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหน่ึง รัฐต้องระมัดระวังให้เกิด ผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพน้อย ท่ีสุด และต้องดาเนินการให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชน หรือชุมชนทไ่ี ด้รับผลกระทบอย่างเป็ นธรรมและโดยไม่ชักช้า มาตรา ๕๙ รัฐต้องเปิ ดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครอง ของหน่วยงานของรัฐท่ีมิใช่ข้อมูลเก่ียวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็ นความลับของ ทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาร ดงั กล่าวได้โดยสะดวก

มาตรา ๖๐ รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วง โคจรดาวเทียมอันเป็ นสมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและ ประชาชน การจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากคล่ืนความถ่ีตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้ เพ่ือส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือเพ่ือประโยชน์อื่นใด ต้องเป็ นไปเพ่ือประโยชน์สูงสุดของประชาชน ความม่ันคงของรัฐ และประโยชน์ สาธารณะ รวมตลอดท้ังการให้ประชาชนมีส่ วนได้ใช้ประโยชน์จากคล่ืนความถ่ี ด้วย ท้ังนี้ ตามท่ีกฎหมายบัญญัติ รัฐต้องจัดให้มีองค์กรของรัฐทม่ี ีความเป็ นอิสระในการปฏบิ ัตหิ น้าท่ี เพื่อ รับผิดชอบและกากับการดาเนินการเก่ียวกับคล่ืนความถ่ีให้เป็ นไปตามวรรคสอง ใน การนี้ องค์กรดังกล่าวต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จาก ผู้บริโภคโดยไม่เป็ นธรรมหรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกนิ ความจาเป็ น ป้องกนั มิให้คล่ืน ความถ่ีรบกวนกัน รวมตลอดท้ังป้องกันการกระทาที่มีผลเป็ นการขัดขวางเสรีภาพใน การรับรู้หรือปิ ดก้ันการรับรู้ข้อมูลหรือข่าวสารท่ีถูกต้องตามความเป็ นจริงของ ประชาชน และป้องกนั มใิ ห้บคุ คลหรือกล่มุ บคุ คลใดใช้ประโยชน์จากคลื่นความถโี่ ดยไม่ คานึงถึงสิทธิของประชาชนทั่วไป รวมตลอดท้ังการกาหนดสัดส่วนข้ันต่าที่ผู้ใช้ ประโยชน์จากคล่ืนความถ่ีจะต้องดาเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ท้ังนี้ ตามท่ี กฎหมายบัญญัติ มาตรา ๖๑ รัฐต้องจัดให้มีมาตรการหรือกลไกท่ีมีประสิทธิภาพในการ คุ้มครองและพิทกั ษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นด้านการรู้ข้อมูลที่เป็ นจริง ด้านความปลอดภัย ด้านความเป็ นธรรมในการทาสัญญา หรือด้านอ่ืนใดอันเป็ น ประโยชน์ต่อผู้บริโภค

มาตรา ๖๒ รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดเพ่ือให้ฐานะ ทางการเงนิ การคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมน่ั คงอย่างย่งั ยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัย การเงนิ การคลงั ของรัฐ และจัดระบบภาษีให้เกิดความเป็ นธรรมแก่สังคม กฎหมายว่ าด้ วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่ างน้ อยต้ องมีบทบัญญั ติ เกี่ยวกับกรอบการดาเนินการทางการคลังและงบประมาณของรัฐ การกาหนดวินัย ทางการคลังด้านรายได้และรายจ่ายท้ังเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การ บริหารทรัพย์สินของรัฐและเงินคงคลงั และการบริหารหนีส้ าธารณะ มาตรา ๖๓ รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึง อันตรายท่ีเกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบท้ังในภาครัฐและภาคเอกชน และจัด ให้มีมาตรการและกลไกทม่ี ปี ระสิทธภิ าพเพื่อป้องกนั และขจัดการทุจริตและประพฤติมิ ชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมท้ังกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพ่ือมี ส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความค้มุ ครองจาก รัฐตามท่ีกฎหมายบัญญัติ หมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๖๔ บทบัญญัติในหมวดนี้เป็ นแนวทางให้รัฐดาเนินการตรา กฎหมายและกาหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดนิ มาตรา ๖๕ รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็ นเป้าหมายการพัฒนา ประเทศอย่างย่ังยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็ นกรอบในการจัดทาแผนต่าง ๆ ให้ สอดคล้องและบูรณาการกนั เพ่ือให้เกิดเป็ นพลังผลักดันร่วมกนั ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว

การจัดทา การกาหนดเป้าหมาย ระยะเวลาทจ่ี ะบรรลุเป้าหมาย และสาระ ท่ีพึงมีในยุทธศาสตร์ชาติให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายบัญญัติ ท้ังนี้ กฎหมายดังกล่ าวต้ องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีส่ วนร่ วมและการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างท่ัวถึงด้วย ยทุ ธศาสตร์ชาติ เม่ือได้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บงั คับได้ มาตรา ๖๖ รัฐพึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลัก ความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ให้ ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและของ คนไทยในต่างประเทศ มาตรา ๖๗ รัฐพึงอปุ ถัมภ์และค้มุ ครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอ่ืน ในการอปุ ถมั ภ์และค้มุ ครองพระพุทธศาสนาอันเป็ นศาสนาท่ีประชาชนชาว ไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่ หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้อง มีมาตรการและกลไกในการป้ องกันมิให้ มีการบ่ อนทาลายพระพุทธศาสนาไ ม่ ว่ าใน รูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดาเนินมาตรการหรือ กลไกดังกล่าวด้วย มาตรา ๖๘ รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุก ด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็ นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึง กระบวนการยตุ ธิ รรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกนิ สมควร รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้ สามารถปฏบิ ัติหน้าทไี่ ด้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงาใด ๆ

รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จาเป็ นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหา ทนายความให้ มาตรา ๖๙ รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศิลปวทิ ยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกดิ ความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพ่ือ ความเข้มแข็งของสังคมและเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ มาตรา ๗๐ รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธ์ุ ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดารงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตด้ังเดิมตาม ความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ท้ังน้ี เท่าท่ีไม่เป็ นการขัดต่อความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็ นอันตรายต่อความม่ันคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามยั มาตรา ๗๑ รัฐพึงเสริมสร้ างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็ น องค์ประกอบพื้นฐานท่ีสาคัญของสังคม จัดให้ประชาชนมีท่ีอยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ส่ งเสริมและพัฒนาการสร้ างเสริมสุ ขภาพเพ่ือให้ ประชาชนมีสุ ขภาพที่แข็งแรงและมี จิตใจเข้มแข็ง รวมตลอดท้ังส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาให้ไปสู่ความเป็ นเลิศและเกิด ประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็ นพลเมืองท่ีดี มีคุณภาพ และความสามารถสูงขึน้ รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้ บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรงหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็ นธรรม รวมตลอดท้ังให้การ บาบดั ฟื้ นฟแู ละเยยี วยาผู้ถูกกระทาการดังกล่าว

ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐพึงคานึงถึงความจาเป็ นและความต้องการ ท่ีแตกต่างกันของเพศ วัยและสภาพของบุคคล ท้ังนี้ เพ่ือความเป็ นธรรม มาตรา ๗๒ รัฐพึงดาเนินการเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรน้า และพลังงาน ดังต่อไปน้ี (๑) วางแผนการใช้ท่ดี ินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และ ศักยภาพของทด่ี นิ ตามหลักการพฒั นาอย่างยัง่ ยืน (๒) จดั ให้มกี ารวางผงั เมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็ นไปตามผงั เมือง อย่างมีประสิทธิภาพ รวมตลอดท้ังพัฒนาเมืองให้มีความเจริญโดยสอดคล้องกับความ ต้องการของประชาชนในพื้นท่ี (๓) จัดให้มมี าตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถ มที ีท่ ากนิ ได้อย่างทว่ั ถึงและเป็ นธรรม (๔) จัดให้มีทรัพยากรน้าที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค ของประชาชน รวมท้ังการประกอบเกษตรกรรม อตุ สาหกรรม และการอ่ืน (๕) ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมท้ัง พัฒนาและสนับสนุนให้ มีการผลิตและการใช้ พลังงานทางเลือกเพ่ือเสริมสร้ างความ ม่นั คงด้านพลังงานอย่างยงั่ ยืน มาตรา ๗๓ รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกท่ีช่ วยให้เกษตรกร ประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มี ความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่าและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มที ี่ทากนิ โดยการปฏิรูปท่ดี ินหรือวธิ ีอื่นใด มาตรา ๗๔ รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทางาน อย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัยและให้มีงานทา และพึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้

ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยท่ีดีในการทางาน ได้รับรายได้ สวัสดิการ การ ประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดารงชีพ และพึงจัดให้มีหรือ ส่งเสริมการออมเพื่อการดารงชีพเม่ือพ้นวัยทางาน รัฐพึงจัดให้มีระบบแรงงานสัมพันธ์ท่ีทุกฝ่ ายที่เก่ียวข้องมีส่วนร่วมใน การดาเนินการ มาตรา ๗๕ รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับ ประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างท่ัวถึง เป็ นธรรม และ ยงั่ ยืน สามารถพ่ึงพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ขจัดการผูกขาด ทางเศรษฐกจิ ที่ไม่เป็ นธรรม และพฒั นาความสามารถในการแข่งขนั ทางเศรษฐกิจของ ประชาชนและประเทศ รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็ นการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่ กรณีท่ีมีความจาเป็ นเพ่ือประโยชน์ในการรักษาความม่ันคงของรัฐ การรักษา ผลประโยชน์ส่วนรวม การจดั ให้มีสาธารณูปโภคหรือการจัดทาบริการสาธารณะ รัฐพึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบ สหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และกิจการวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชน และชุมชน ในการพัฒนาประเทศ รัฐพึงคานงึ ถงึ ความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้าน วัตถกุ ับการพฒั นาด้านจติ ใจและความอย่เู ยน็ เป็ นสุขของประชาชน ประกอบกัน มาตรา ๗๖ รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินท้ังราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถ่ิน และงานของรัฐอย่างอ่ืน ให้เป็ นไปตามหลักการ บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยหน่วยงานของรัฐต้องร่วมมือและช่วยเหลือกันในการ ปฏิบัตหิ น้าที่ เพ่ือให้การบริหารราชการแผ่นดนิ การจดั ทาบริการสาธารณะ และการใช้ จ่ายเงินงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน รวมตลอด

ท้ังพัฒนาเจ้าหน้าท่ีของรัฐให้มีความซ่ือสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็ นผู้ให้บริการ ประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าท่ีอย่างมี ประสิทธิภาพ รัฐพึงดาเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของ หน่วยงานของรัฐ ให้เป็ นไปตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้อง มีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อานาจ หรือกระทาการโดยมิชอบท่เี ป็ นการก้าวก่ายหรือ แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งต้ังหรือการพิจารณาความดี ความชอบของเจ้าหน้าทขี่ องรัฐ รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็ น หลักในการกาหนดประมวลจริยธรรมสาหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานน้ัน ๆ ซ่ึง ต้องไม่ต่ากว่ามาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว มาตรา ๗๗ รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จาเป็ น และยกเลิกหรือ ปรับปรุงกฎหมายท่ีหมดความจาเป็ นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็ น อุปสรรคต่อการดารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็ นภาระแก่ ประชาชน และดาเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและ สามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพ่ือปฏบิ ตั ิตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของ ผู้เก่ียวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็ นระบบ รวมท้ังเปิ ดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์น้ันต่อประชาชน และนามา ประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกข้ันตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้ บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธ์ิของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่ กาหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เก่ียวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุก ฉบบั ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ท่ีเปลยี่ นแปลงไป

รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณี ที่จาเป็ น พึงกาหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าท่ีของรัฐและระยะเวลาใน การดาเนินการตามข้ันตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน และพึงกาหนด โทษอาญาเฉพาะความผดิ ร้ายแรง มาตรา ๗๘ รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจท่ี ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ น ประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ การจัดทาบริการสาธารณะท้ัง ในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ การต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ รวมตลอดท้ังการตัดสินใจทางการเมือง และการอ่ืนใดบรรดาท่ี อาจมีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชน หมวด ๗ รัฐสภา ส่วนที่ ๑ บททว่ั ไป มาตรา ๗๙ รัฐสภาประกอบด้วยสภาผ้แู ทนราษฎรและวุฒิสภา รัฐสภาจะประชุมร่วมกันหรือแยกกัน ย่อมเป็ นไปตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ บุคคลจะเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาใน ขณะเดยี วกนั มไิ ด้

มาตรา ๘๐ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็ นประธานรัฐสภา ประธาน วุฒสิ ภาเป็ นรองประธานรัฐสภา ในกรณีที่ไม่มีประธาน สภาผู้แทน ร าษฎร หรือประธานส ภ า ผู้แทนราษฎรไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ ให้ประธาน วฒุ ิสภาทาหน้าทปี่ ระธานรัฐสภาแทน ในระหว่างที่ประธานวุฒิสภาต้องทาหน้าท่ีประธานรัฐสภาตามวรรค สอง แต่ไม่มีประธานวุฒิสภาและเป็ นกรณีท่ีเกิดขึ้นในระหว่างไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ให้รองประธานวุฒิสภาทาหน้าที่ประธานรัฐสภา ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา ให้ สม าชิ กวุฒิสภา ซ่ึ งมีอ า ยุม า กท่ี สุ ด ในข ณะน้ั นท าห น้ าท่ี ปร ะ ธ าน รั ฐ ส ภ าแ ล ะ ใ ห้ ดาเนนิ การเลือกประธานวุฒสิ ภาโดยเร็ว ประธานรัฐสภามีหน้าท่ีและอานาจตามรัฐธรรมนูญ และดาเนินกิจการ ของรัฐสภา ในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็ นไปตามข้อบังคบั ประธานรัฐสภาและผ้ทู าหน้าท่ีแทนประธานรัฐสภาต้องวางตนเป็ นกลาง ในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ี รองประธานรัฐสภามีหน้าท่ีและอานาจตามรัฐธรรมนูญ และตามท่ี ประธานรัฐสภามอบหมาย มาตรา ๘๑ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่าง พระราชบัญญัติ จะตราขึ้นเป็ นกฎหมายได้กแ็ ต่โดยคาแนะนาและยนิ ยอมของรัฐสภา ภายใต้บังคบั มาตรา ๑๔๕ ร่างพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญและร่าง พระราชบัญญัตทิ ่ีได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนาขึน้ ทูลเกล้า ทูลกระหม่อมถวายเพ่ือพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บงั คับเป็ นกฎหมายได้

มาตรา ๘๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จานวนไม่ น้อยกว่าหน่ึงในสิบของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อ ร้องต่อประธานแห่งสภาทตี่ นเป็ นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหน่ึงแห่ง สภาน้นั สิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๑ (๓) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) หรือ (๑๒) หรือมาตรา ๑๑๑ (๓) (๔) (๕) หรือ (๗) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภาท่ีได้รับคาร้อง ส่งคา ร้ องน้ันไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่ าสมาชิ กภาพของสมาชิ กผู้น้ันสิ้นสุ ดลง หรือไม่ เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูก ร้องมีกรณีตามท่ีถกู ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคาสั่งให้สมาชิกผ้ถู ูกร้องหยุดปฏิบตั ิหน้าท่ี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคาวินิจฉัย และเม่ือศาลรัฐธรรมนูญมีคาวินิจฉัยแล้ว ให้ ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคาวินิจฉัยน้นั ไปยังประธานแห่งสภาท่ีได้รับคาร้องตามวรรคหนึ่ง ในกรณีทศี่ าลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ผู้น้ัน พ้นจากตาแหน่งนบั แต่วนั ทีห่ ยดุ ปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกจิ การที่ผ้นู ้นั ได้กระทา ไปก่อนพ้นจากตาแหน่ง มใิ ห้นบั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภาซ่ึงหยุดปฏิบตั ิหน้าที่ ตามวรรคสองเป็ นจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มอี ยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ในกรณีท่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังเห็นว่ าสมาชิ กภาพข อ ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหน่ึงมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรค หนง่ึ ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินจิ ฉัยตามวรรคหนึ่งได้ด้วย

ส่วนที่ ๒ สภาผู้แทนราษฎร มาตรา ๘๓ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจานวนห้าร้อยคน ดงั นี้ (๑) สมาชิกซ่ึงมาจากการเลือกต้งั แบบแบ่งเขตเลือกต้ังจานวนสามร้อยห้า สิบคน (๒) สมาชิกซ่ึงมาจากบญั ชีรายชื่อของพรรคการเมืองจานวนหนึ่งร้อยห้า สิบคน ในกรณีที่ตาแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด และ ยังไม่มีการเลือกต้ังหรือประกาศชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึน้ แทนตาแหน่งทว่ี ่าง ให้ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่าท่มี อี ยู่ ในกรณีมีเหตุใด ๆ ท่ีทาให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือมี จานวนไม่ถึงหน่ึงร้ อยห้าสิบคน ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มอี ยู่ มาตรา ๘๔ ในการเลือกต้ังทั่วไป เม่ือมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับ เลือกต้ังถึงร้อยละเก้าสิบห้าของจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท้ังหมดแล้ว หากมี ความจาเป็ นจะต้องเรียกประชุมรัฐสภาก็ให้ดาเนินการเรียกประชุมรัฐสภาได้ โดยให้ ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกเท่าท่ีมีอยู่แต่ต้องดาเนินการให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ครบตามจานวนตามมาตรา ๘๓ โดยเร็ว ในกรณีเช่นน้ี ให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดงั กล่าวอยู่ในตาแหน่งได้เพียงเท่าอายขุ องสภาผู้แทนราษฎร ท่เี หลืออยู่ มาตรา ๘๕ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกต้งั แบบแบ่งเขต เลือกต้ัง ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ โดยให้แต่ละเขตเลือกต้ังมี

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เขตละหนึ่งคนและผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีสิทธิออกเสียง ลงคะแนนเลือกต้ังได้คนละหน่ึงคะแนน โดยจะลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกต้ังผู้ใด หรือจะลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเลยก็ได้ ให้ผู้สมัครรับเลือกต้ังซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดและมีคะแนนสูงกว่าคะแนน เสียงท่ไี ม่เลือกผ้ใู ดเป็ นผู้ได้รับเลือกต้งั หลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการสมัครรับเลือกต้ัง การออกเสียง ลงคะแนน การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกต้ัง และการอ่ืนที่ เกี่ยวข้อง ให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกฎหมายดังกล่าวจะกาหนดให้ผู้สมัครรับเลือกต้ังต้อง ย่ืนหลักฐานแสดงการเสียภาษเี งินได้ประกอบการสมคั รรับเลือกต้งั ด้วยก็ได้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกต้ังเมื่อตรวจสอบ เบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเช่ือว่าผลการเลือกต้ังเป็ นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และ มีจานวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกต้ังท้ังหมด ซึ่งคณะกรรมการการ เลือกต้ังต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกต้ังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้อง ไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันเลือกต้ัง ท้ังนี้ การประกาศผลดังกล่าวไม่เป็ นการตัด หน้าท่ีและอานาจของคณะกรรมการการเลือกต้ังท่ีจะดาเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือ วินิจฉัยกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทาการทุจริตในการเลือกต้ัง หรือการ เลือกต้ังไม่เป็ นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมไม่ว่าจะได้ประกาศผลการเลือกต้ังแล้ว หรือไม่ก็ตาม มาตรา ๘๖ การกาหนดจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีแต่ละจงั หวัด จะพึงมีและการแบ่งเขตเลือกต้ัง ให้ดาเนินการตามวิธกี าร ดงั ต่อไปนี้ (๑) ให้ใช้จานวนราษฎรท้ังประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรท่ี ประกาศในปี สุดท้ายก่อนปี ที่มกี ารเลือกต้ัง เฉล่ียด้วยจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สามร้อยห้าสิบคน จานวนท่ไี ด้รับให้ถือว่าเป็ นจานวนราษฎรต่อสมาชิกหนึง่ คน

(๒) จงั หวัดใดมีราษฎรไม่ถงึ เกณฑ์จานวนราษฎรต่อสมาชิกหน่ึงคนตาม (๑) ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดน้ันได้หน่ึงคน โดยให้ถือเขตจังหวัดเป็ น เขตเลือกต้ัง (๓) จังหวัดใดมีราษฎรเกินจานวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดน้นั เพม่ิ ขนึ้ อีกหน่งึ คนทกุ จานวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์ จานวนราษฎรต่อสมาชิกหน่ึงคน (๔) เมื่อได้จานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถ้าจานวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรยังไม่ครบสามร้อยห้าสิบคน จังหวัด ใดมีเศษท่ีเหลือจากการคานวณตาม (๓) มากท่ีสุด ให้จังหวัดน้ันมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเพ่ิมขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพ่ิมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวิธีการดังกล่าวแก่ จังหวัดที่มีเศษท่ีเหลือจากการคานวณน้ันในลาดับรองลงมาตามลาดับจนครบจานวน สามร้อยห้าสิบคน (๕) จังหวัดใดมีการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินหนึ่งคน ให้ แบ่งเขตจังหวัดออกเป็ นเขตเลือกต้ังเท่าจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดย ต้องแบ่งพื้นท่ีของเขตเลือกต้ังแต่ละเขตให้ติดต่อกนั และต้องจัดให้มจี านวนราษฎรใน แต่ละเขตใกล้เคียงกนั มาตรา ๘๗ ผู้สมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต เลือกต้ัง ต้องเป็ นผู้ซ่ึงพรรคการเมืองที่ตนเป็ นสมาชิกส่งสมัครรับเลือกต้ัง และจะสมัคร รับเลือกต้ังเกินหนึง่ เขตมไิ ด้ เม่ือมีการสมัครรับเลือกต้ังแล้ว ผู้สมัครรับเลือกต้ังหรือพรรคการเมืองจะ ถอนการสมัครรับเลือกต้ังหรือเปล่ียนแปลงผู้สมัครรับเลือกต้ังได้เฉพาะกรณีผู้สมัคร รับเลือกต้ังตายหรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และต้องกระทาก่อนปิ ดการ รับสมคั รรับเลือกต้ัง

มาตรา ๘๘ ในการเลือกต้ังท่ัวไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับ เลือกต้ังแจ้งรายช่ือบุคคลซึ่งพรรคการเมืองน้ันมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งต้ังเป็ นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อ คณะกรรมการการเลือกต้ังก่อนปิ ดการรับสมัครรับเลือกต้ัง และให้ คณะกรรมการการ เลือกต้ังประกาศรายช่ือบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ และให้นาความในมาตรา ๘๗ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม พรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลตามวรรคหนง่ึ กไ็ ด้ มาตรา ๘๙ การเสนอช่ือบุคคลตามมาตรา ๘๘ ต้องเป็ นไปตาม หลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (๑) ต้องมีหนังสื อยินยอมของบุคคลซ่ึงได้รับการเสนอชื่อ โดยมี รายละเอยี ดตามท่คี ณะกรรมการการเลือกต้ังกาหนด (๒) ผู้ได้รับการเสนอช่ือต้องเป็ นผู้มีคุณสมบัตแิ ละไม่มีลักษณะต้องห้าม ท่ีจะเป็ นรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๐ และไม่เคยทาหนังสือยินยอมตาม (๑) ให้พรรค การเมืองอื่นในการเลือกต้ังคราวน้ัน การเสนอช่ือบุคคลใดท่ีมไิ ด้เป็ นไปตามวรรคหน่ึง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอ ช่ือบุคคลน้นั มาตรา ๙๐ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้งั แล้ว ให้มีสิทธิส่งผู้สมคั รรับเลือกต้งั แบบบญั ชีรายช่ือได้ การส่งผ้สู มัครรับเลือกต้ังแบบบัญชีรายช่ือ ให้พรรคการเมืองจัดทาบัญชี รายชื่อพรรคละหนึ่งบัญชีโดยผู้สมัครรับเลือกต้ังของแต่ละพรรคการเมืองต้องไม่ซ้า กัน และไม่ซ้ากับรายชื่อผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง โดยส่งบัญชีรายช่ือ ดังกล่ าวให้ คณะกรรมการการเลื อกต้ั งก่ อนปิ ดการรั บสมัครรั บเลื อ กต้ั ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง

การจัดทาบญั ชีรายชื่อตามวรรคสอง ต้องให้สมาชิกของพรรคการเมืองมี ส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย โดยต้องคานึงถึงผู้สมัครรับเลือกต้ังจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกนั ระหว่างชายและหญงิ มาตรา ๙๑ การคานวณหาสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของ แต่ละพรรคการเมือง ให้ดาเนินการตามหลกั เกณฑ์ ดังต่อไปน้ี (๑) นาคะแนนรวมท้ังประเทศทีพ่ รรคการเมืองทุกพรรคทสี่ ่งผู้สมัครรับ เลือกต้ังแบบบญั ชีรายช่ือได้รับจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้ังหารด้วยห้าร้อยอัน เป็ นจานวนสมาชิกท้งั หมดของสภาผ้แู ทนราษฎร (๒) นาผลลัพธ์ตาม (๑) ไปหารจานวนคะแนนรวมท้ังประเทศของพรรค การเมืองแต่ละพรรคท่ีได้รับจากการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต เลือกต้ังทุกเขต จานวนท่ีได้รับให้ถือเป็ นจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีพรรค การเมืองน้นั จะพึงมีได้ (๓) นาจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองจะพึงมีได้ตาม (๒) ลบด้วยจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกต้ังท้ังหมดท่ีพรรค การเมืองน้ันได้รับเลือกต้ังในทุกเขตเลือกต้ัง ผลลัพธ์คือจานวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแบบบัญชีรายช่ือท่ีพรรคการเมืองน้นั จะได้รับ (๔) ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกต้ังเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่ งเขตเลื อ กต้ั งเท่ า กั บห รื อ สู ง ก ว่ า จ านว นสม า ชิ ก ส ภา ผู้แท นร าษ ฎ รที่ พ ร ร ค การเมืองน้ันจะพึงมีได้ตาม (๒) ให้พรรคการเมืองน้ันมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม จานวนท่ีได้รับจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง และไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือ และให้นาจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายช่ือท้ังหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองท่ีมีจานวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกต้ังต่ากว่าจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีพรรคการเมือง

น้ันจะพึงมีได้ตาม (๒) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจานวนท่จี ะพงึ มีได้ตาม (๒) (๕) เมื่อได้จานวนผู้ได้รับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค การเมือง แ ล้ว ให้ผู้สมัคร รับเลือกต้ังตามลาดับหมายเลขในบัญชีรายช่ื อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือของพรรคการเมืองน้ันเป็ นผู้ได้รับเลือกต้ัง เป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกต้ังผู้ใดตายภายหลังวันปิ ดรับสมัครรับเลือก ต้ังแต่ก่อนเวลาปิ ดการลงคะแนนในวันเลือกต้ัง ให้นาคะแนนท่ีมีผู้ลงคะแนนให้มา คานวณตาม (๑) และ (๒) ด้วย การนบั คะแนน หลักเกณฑ์และวธิ ีการคานวณ การคิดอตั ราส่วน และการ ประกาศผลการเลือกต้ังให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ เลือกต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร มาตรา ๙๒ เขตเลือกต้ังท่ีไม่มีผู้สมัครรับเลือกต้ังรายใดได้รับคะแนน เสียงเลือกต้ังมากกว่าคะแนนเสียงท่ีไม่เลือกผู้ใดเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต เลือกต้ังน้ัน ให้จัดให้มีการเลือกต้ังใหม่และมิให้นับคะแนนท่ีผู้สมัครรับเลือกต้ังแต่ละ คนได้รับไปใช้ในการคานวณตามมาตรา ๙๑ ในกรณีเช่นนี้ ให้คณะกรรมการการ เลือกต้ังดาเนินการให้มีการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกต้ังใหม่ โดยผู้สมัครรับเลือกต้ัง เดิมทุกรายไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกต้ังในการเลือกต้ังท่ีจะจัดขึ้นใหม่น้ัน มาตรา ๙๓ ในการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เลือกต้ังใหม่ในบางเขตหรือบางหน่วยเลือกต้ังก่อนประกาศผลการเลือกต้ัง หรือการ เลือกต้ังยังไม่แล้วเสร็จ หรือยังไม่มีการประกาศผลการเลือกต้ังครบทุกเขตเลือกต้ังไม่ ว่าด้วยเหตุใด การคานวณจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทแ่ี ต่ละพรรคการเมืองพึงมี และจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทแ่ี ต่ละพรรคการเมืองพึงได้รับ

ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีที่ผลการคานวณตามวรรคหน่ึงทาให้จานวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดลดลง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองน้นั ในลาดับท้ายตามลาดับพ้นจากตาแหน่ง มาตรา ๙๔ ภายในหนึ่งปี หลังจากวันเลือกต้ังอันเป็ นการเลือกต้ังท่ัวไป ถ้าต้องมีการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกต้ังในเขตเลือกต้ังใด ขนึ้ ใหม่ เพราะเหตทุ ก่ี ารเลือกต้ังในเขตเลือกต้ังน้นั มไิ ด้เป็ นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้นาความในมาตรา ๙๓ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหน่งที่ว่างไม่ว่าด้วยเหตุ ใดภายหลังพ้นเวลาหนึ่งปี นับแต่วันเลือกต้ังทั่วไป มิให้มีผลกระทบกับการคานวณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทีแ่ ต่ละพรรคการเมืองจะพึงมีตามมาตรา ๙๑ มาตรา ๙๕ บุคคลผ้มู คี ุณสมบัตดิ งั ต่อไปนี้ เป็ นผู้มีสิทธเิ ลือกต้ัง (๑) มสี ัญชาตไิ ทย แต่บคุ คลผู้มสี ัญชาตไิ ทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องได้ สัญชาตไิ ทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๒) มอี ายุไม่ตา่ กว่าสิบแปดปี ในวนั เลือกต้ัง (๓) มีช่ืออย่ใู นทะเบียนบ้านในเขตเลือกต้ังมาแล้วเป็ นเวลาไม่น้อยกว่าเก้า สิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง ผู้มสี ิทธเิ ลือกต้ังซึ่งอยู่นอกเขตเลือกต้ังท่ตี นมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือ มีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกต้ังเป็ นเวลาน้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง หรือมีถ่ินท่ีอยู่นอกราชอาณาจักร จะขอลงทะเบียนเพื่อออกเสียงลงคะแนนเลือกต้ัง นอกเขตเลือกต้ัง ณ สถานท่ี และตามวันเวลา วิธีการ และเง่ือนไขที่บัญญัติไว้ใน พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้งั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรกไ็ ด้

ผู้มีสิ ทธิเลือกต้ังซึ่งไม่ ไปใช้ สิ ทธิเลือกต้ังโดยมิได้ แจ้ งเหตุอันสมควรตาม พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้งั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร อาจ ถกู จากัดสิทธิบางประการตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ มาตรา ๙๖ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกต้ัง เป็ นบุคคล ต้องห้ามมใิ ห้ใช้สิทธิเลือกต้ัง (๑) เป็ นภิกษุ สามเณร นกั พรต หรือนกั บวช (๒) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกต้ังไม่ว่าคดีน้ันจะถึงที่สุดแล้ว หรือไม่ (๓) ต้องคมุ ขังอย่โู ดยหมายของศาลหรือโดยคาสั่งทช่ี อบด้วยกฎหมาย (๔) วกิ ลจริตหรือจติ ฟ่ันเฟื อนไม่สมประกอบ มาตรา ๙๗ บุคคลผู้มคี ุณสมบัตดิ งั ต่อไปน้ี เป็ นผู้มสี ิทธิสมคั รรับเลือกต้ัง เป็ นสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร (๑) มีสัญชาตไิ ทยโดยการเกิด (๒) มอี ายุไม่ต่ากว่ายี่สิบห้าปี นับถงึ วนั เลือกต้ัง (๓) เป็ นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหน่ึงแต่เพียงพรรค การเมืองเดียวเป็ นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวนั นับถึงวนั เลือกต้ัง เว้นแต่ในกรณี ท่ีมีการเลือกต้ังทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาเก้าสิบวันดังกล่าวให้ลดลงเหลือ สามสิบวัน (๔) ผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่าง หนึง่ ดงั ต่อไปนี้ด้วย (ก) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกต้ังมาแล้วเป็ น เวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปี นับถงึ วันสมัครรับเลือกต้ัง (ข) เป็ นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดท่สี มคั รรับเลือกต้ัง

(ค) เคยศึกษาในสถานศึกษาทต่ี ้ังอยู่ในจังหวัดท่ีสมัครรับเลือกต้ังเป็ น เวลาตดิ ต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปี การศึกษา (ง) เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าท่ีในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมี ช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดทส่ี มคั รรับเลือกต้ัง แล้วแต่กรณี เป็ นเวลาติดต่อกันไม่ น้อยกว่าห้าปี มาตรา ๙๘ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็ นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ สมคั รรับเลือกต้งั เป็ นสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร (๑) ติดยาเสพติดให้โทษ (๒) เป็ นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็ นบุคคลล้มละลายทจุ ริต (๓) เป็ นเจ้าของหรือผ้ถู ือหุ้นในกิจการหนงั สือพมิ พ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ (๔) เป็ นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกต้ังตามมาตรา ๙๖ (๑) (๒) หรือ (๔) (๕) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกต้ังเป็ นการชั่วคราว หรือถกู เพิกถอนสิทธิสมคั รรับเลือกต้ัง (๖) ต้องคาพพิ ากษาให้จาคกุ และถกู คุมขงั อย่โู ดยหมายของศาล (๗) เคยได้รับโทษจาคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปี นับถึงวนั เลือกต้ัง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทาโดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษ (๘) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าทีห่ รือถือว่ากระทาการทุจริตหรือประพฤตมิ ชิ อบในวงราชการ (๙) เคยต้องคาพพิ ากษาหรือคาสั่งของศาลอันถึงทสี่ ุดให้ทรัพย์สินตกเป็ น ของแผ่นดินเพราะร่ารวยผิดปกติ หรือเคยต้องคาพิพากษาอันถึงท่ีสุดให้ลงโทษจาคุก เพราะกระทาความผดิ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (๑๐) เคยต้องคาพิพากษาอันถงึ ทส่ี ุดว่ากระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ ราชการหรือต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทาความผิดตามกฎหมายว่า

ด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเก่ียวกับ ทรัพย์ท่ีกระทาโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วย การก้ยู ืมเงินท่ีเป็ นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพตดิ ในความผิดฐานเป็ น ผู้ผลิต นาเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็ นเจ้ามือ หรือเจ้าสานักกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกนั และปราบปรามการฟอกเงินในความผดิ ฐานฟอกเงิน (๑๑) เคยต้องคาพิพากษาอันถึงท่ีสุดว่ากระทาการอันเป็ นการทุจริตใน การเลือกต้ัง (๑๒) เป็ นข้าราชการซ่ึงมีตาแหน่งหรือเงินเดือนประจานอกจาก ข้าราชการการเมือง (๑๓) เป็ นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผ้บู ริหารท้องถ่ิน (๑๔) เป็ นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็ นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพ สิ้นสุดลงยงั ไม่เกินสองปี (๑๕) เป็ นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือ รัฐวสิ าหกิจ หรือเป็ นเจ้าหน้าทีอ่ ื่นของรัฐ (๑๖) เป็ นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผ้ดู ารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ (๑๗) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดารงตาแหน่งทางการเมือง (๑๘) เคยพ้นจากตาแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม มาตรา ๙๙ อายุของสภาผู้แทนราษฎรมีกาหนดคราวละสี่ปี นับแต่วัน เลือกต้ัง ในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎร จะมีการควบรวมพรรคการเมืองท่ี มีสมาชิกเป็ นสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรมิได้

มาตรา ๑๐๐ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเร่ิมต้ังแต่วัน เลือกต้ัง มาตรา ๑๐๑ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อ (๑) ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือมีการยุบสภา ผู้แทนราษฎร (๒) ตาย (๓) ลาออก (๔) พ้นจากตาแหน่งตามมาตรา ๙๓ (๕) ขาดคณุ สมบัติตามมาตรา ๙๗ (๖) มลี กั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ (๗) กระทาการอนั เป็ นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๔ หรือมาตรา ๑๘๕ (๘) ลาออกจากพรรคการเมืองทีต่ นเป็ นสมาชิก (๙) พ้นจากการเป็ นสมาชิกของพรรคการเมืองท่ีตนเป็ นสมาชิกตามมติ ของพรรคการเมืองน้ันด้ วยคะแนนเสี ยงไม่ น้ อยกว่ าสามในส่ี ของที่ประชุมร่ วมของ คณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรค การเมืองน้ัน ในกรณีเช่นน้ี ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้น้ันมิได้เข้าเป็ นสมาชิกของ พรรคการเมืองอ่ืนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ให้ถือว่าสิ้นสุด สมาชิกภาพนับแต่วันทพ่ี ้นสามสิบวนั ดังกล่าว (๑๐) ขาดจากการเป็ นสมาชิกของพรรคการเมือง แต่ในกรณีท่ีขาดจาก การเป็ นสมาชิกของพรรคการเมืองเพราะมีคาส่ังยบุ พรรคการเมืองทีส่ มาชิกสภาผู้แทน ราษฎรผู้น้ันเป็ นสมาชิก และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้น้ันไม่อาจเข้าเป็ นสมาชิกของ พรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีคาสั่งยุบพรรคการเมือง ในกรณี เช่นน้ี ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วนั ถัดจากวนั ทีค่ รบกาหนดหกสิบวนั น้นั

(๑๑) พ้นจากตาแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม (๑๒) ขาดประชุมเกินจานวนหน่ึงในสี่ของจานวนวันประชุมในสมัย ประชุมที่มีกาหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้ อยย่ีสิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร (๑๓) ต้องคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ เป็ นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทาโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือ ความผดิ ฐานหมิน่ ประมาท มาตรา ๑๐๒ เม่ืออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์ จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎกี าให้มีการเลือกต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรใหม่ เป็ นการ เลือกต้ังทวั่ ไปภายในส่ีสิบห้าวนั นับแต่วันทส่ี ภาผ้แู ทนราษฎรสิ้นอายุ การเลือกต้ังตามวรรคหน่ึง ต้องเป็ นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรตามที่ คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศกาหนดในราชกจิ จานุเบกษา มาตรา ๑๐๓ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอานาจที่จะยุบสภา ผู้แทนราษฎรเพ่ือให้มีการเลือกต้งั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรใหม่เป็ นการเลือกต้ังทวั่ ไป การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทาโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทา ได้เพียงคร้ังเดียวในเหตุการณ์เดยี วกัน ภายในห้าวันนับแต่วันท่ีพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหน่ึงใช้บังคับ ให้ คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศกาหนดวันเลือกต้ังท่ัวไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง ต้องไม่น้อยกว่าส่ีสิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวนั นับแต่วนั ท่ีพระราชกฤษฎีกาดงั กล่าวใช้ บงั คับ วนั เลือกต้ังน้นั ต้องกาหนดเป็ นวนั เดยี วกนั ทว่ั ราชอาณาจกั ร

มาตรา ๑๐๔ ในกรณีท่ีมีเหตุจาเป็ นอันมิอาจหลีกเล่ียงได้ เป็ นเหตุให้ไม่ สามารถจดั การเลือกต้ังตามวันที่คณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศกาหนดตามมาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ คณะกรรมการการเลือกต้ังจะกาหนดวันเลือกต้ังใหม่ก็ได้ แต่ ต้องจัดให้มีการเลือกต้ังภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เหตุดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่เพื่อ ประโยชน์ในการนับอายตุ ามมาตรา ๙๕ (๒) และมาตรา ๙๗ (๒) ให้นบั ถงึ วนั เลือกต้ังที่ กาหนดไว้ตามมาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๐๕ เมื่อตาแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงเพราะเหตุอ่ืน ใด นอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภา ผ้แู ทนราษฎร ให้ดาเนนิ การ ดังต่อไปน้ี (๑) ในกรณีท่ีเป็ นตาแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกต้งั แบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ให้ดาเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตาแหน่งท่ีว่าง เว้นแต่อายุของสภาผู้แทนราษฎรจะ เหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และให้นาความในมาตรา ๑๐๒ มาใช้บังคับโดย อนุโลม (๒) ในกรณีท่ีเป็ นตาแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือ ให้ ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศให้ ผู้มีชื่ ออยู่ในลาดับถัดไปในบัญชี รายชื่ อข อ ง พรรคการเมืองน้ันเลื่อนขึ้นมาเป็ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหน่งท่ีว่าง โดย ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ตาแหน่งน้ันว่างลง หาก ไ ม่มีร า ย ชื่อ เ ห ลือ อ ยู่ใ น บัญ ชีที่จ ะ เ ลื่อ น ขึ้น ม า แ ท น ตา แ ห น่ง ที่ว่า ง ใ ห้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบญั ชีรายช่ือประกอบด้วยสมาชิกเท่าท่ีมีอยู่ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรผ้เู ข้ามาแทนตาม (๑) ให้เร่ิมนับ แต่วันเลือกต้ังแทนตาแหน่งทีว่ ่าง ส่วนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เข้า มาแทนตาม (๒) ให้เริ่มนับแต่วันถัดจากวันประกาศช่ือในราชกิจจานุเบกษา และให้