Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการศึกษาเรื่องพื้นฐานการนวดพื้นบ้านภาคเหนือ

รายงานการศึกษาเรื่องพื้นฐานการนวดพื้นบ้านภาคเหนือ

Description: รายงานการศึกษาเรื่องพื้นฐานการนวดพื้นบ้านภาคเหนือ

Search

Read the Text Version

เรื่อง พื้นฐารนากยางรานนวกดาพรืน้ศบึกษ้านา ภาคเหนอื กองการแพทยพ์ น้ื บา้ นไทย กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

รายงานการศึกษา เรอ่ื ง พ้ืนฐานการนวดพน้ื บา้ น ภาคเหนอื กองการแพทย์พืน้ บา้ นไทย กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสุข



ค�ำ น�ำ รายงาน เรื่อง พ้ืนฐานการนวดพ้ืนบ้านภาคเหนือ เป็นผลงานการวิจัยเล่มหน่ึงภายใต้โครงการศึกษา และพัฒนาภูมิปัญญาการนวดพื้นบ้านในการผสมผสานเข้าสู่ระบบบริการสาธารณสุขของรัฐ จัดท�ำขึ้น โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื เผยแพรอ่ งค์ความรกู้ ารนวดพื้นบา้ นทง้ั ๔ ภาค ให้เป็นทีร่ ้จู ักและยอมรับในวงการสาธารณสุข มากขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภูมิปัญญาการนวดพ้ืนบ้านไทยเป็นวิชาชีพแขนงหน่ึง ตามพระราชบญั ญัตวิ ชิ าชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ว่าด้วยการนวดไทย โดยนำ� องค์ความรู้และภูมิปญั ญา เก่ียวกบั การนวดพื้นบ้านท้ัง ๔ ภาค ซึ่งเปน็ ภมู ปิ ัญญาดงั้ เดมิ มกี รรมวธิ ีในการตรวจวนิ จิ ฉัย บำ� บัด รกั ษา ส่งเสรมิ และฟน้ื ฟูสขุ ภาพ มาด�ำเนินการศึกษาวิจัยโดยจัดการความร้แู ละสังเคราะหใ์ ห้เปน็ รูปธรรม ผลการศกึ ษาที่ได้จะเปน็ ข้อมูลพ้ืนฐานท่ีส�ำคัญในการเสนอ เพ่ือขอรับการพิจารณาประกอบการรับรองให้ภูมิปัญญาการนวดพื้นบ้านไทย เปน็ วิชาชพี แขนงหนึ่งในสาขาการนวดไทยต่อไป กองการแพทย์พื้นบ้านไทย ได้ด�ำเนินการศึกษาวิจัยในพื้นที่น�ำร่องทั้ง ๔ ภูมิภาค มีทีมที่ปรึกษา ๓ ท่าน ได้แก่ ๑) ดร.อุษา กลิ่นหอม ๒) อาจารย์ดารณี อ่อนชมจันทร์ ๓) อาจารย์ณัฐกิตติ์ พรบัณฑิตย์ปัทมา เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญดำ� เนนิ การศกึ ษาวจิ ยั โดยรวบรวมผลการศกึ ษาขอ้ มลู เชงิ ลกึ ดา้ นองคค์ วามรกู้ ารนวดของหมอพนื้ บา้ น การอภิปรายกลุ่ม ทั้ง ๔ ภาค และน�ำผลการศึกษามารวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ ท�ำให้ ทราบถงึ กระบวนการนวดแบบพนื้ บ้าน การใช้สมุนไพร พธิ ีกรรม ขอ้ หา้ ม ข้อควรปฏบิ ัติ ซึง่ เป็นภมู ปิ ัญญาดั้งเดมิ ของ การนวดพน้ื บา้ นไทยทค่ี นในสงั คมควรเรยี นรู้ โดยความรทู้ ไี่ ดร้ วบรวมมานสี้ ามารถนำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดแู ลสขุ ภาพ ของตนเองและคนในชุมชนได้ นอกจากนั้นผู้ที่มีความรู้ด้านการนวดมาแล้ว ยังสามารถน�ำผลการศึกษาน้ีไปปรับใช้ ในการพฒั นา แนวทางการนวดแกอ้ าการต่างๆ ไดอ้ กี ดว้ ย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เห็นความส�ำคัญในการศึกษาภูมิปัญญา การนวดพนื้ บา้ นไทย ๔ ภาค จงึ ไดจ้ ดั พมิ พร์ ายงานฉบบั สมบรู ณเ์ ลม่ นข้ี นึ้ โดยคาดหวงั วา่ ภมู ปิ ญั ญาการนวดแบบพนื้ บา้ น ซง่ึ มคี วามเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ จะไดร้ บั การอนรุ กั ษ์ สบื ทอดและยกยอ่ งใหเ้ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ส�ำหรับคนไทยสืบต่อไป ทั้งน้ี หากมีข้อเสนอแนะประการใดสามารถแจ้งกลับมาได้ที่ กองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๕๙๑ ๗๘๐๘ เพ่อื การปรับปรงุ แก้ไขในโอกาสต่อไป นายแพทยส์ เุ ทพ วชั รปิยานนั ทน์ อธบิ ดีกรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก ก

กิตตกิ รรมประกาศ รายงานผลการศึกษาเร่ือง “พื้นฐานการนวดพ้ืนบ้านภาคเหนือ” ส�ำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยความกรุณา ของท่านอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และผู้อ�ำนวยการกองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย ท่ีให้ความส�ำคัญกับโครงการศึกษาและพัฒนาภูมิปัญญาการนวดพ้ืนบ้านในการผสมผสานเข้าสู่ระบบบริการ สาธารณสุขของรฐั ซง่ึ โครงการนีม้ ีความส�ำคัญต่อการพฒั นาภมู ิปัญญาการแพทย์พืน้ บา้ นเปน็ อยา่ งยง่ิ ขอขอบคณุ ทมี ทปี่ รกึ ษาทกุ ภาค ขอขอบคณุ ดร.อษุ า กลนิ่ หอม และคณะ เปน็ อยา่ งสงู ทไี่ ดส้ ละเวลาอนั มคี า่ และเปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ในการเก็บรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ของหมอนวดพ้ืนบ้านภาคเหนือได้ทุกมิติ ท�ำให้รายงานฉบับนี้ส�ำเร็จเป็น รูปธรรม โดยเฉพาะการนำ� ภาษาถิ่นท่ีเป็นวัฒนธรรมของภาคเหนือมาไว้ในรายงานฉบับนี้ไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ ขอขอบคณุ หมอพนื้ บา้ นทกุ ทา่ น ทไี่ ดเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในโครงการนแี้ ละยนิ ดถี า่ ยทอดความรู้ ความเขา้ ใจและ ประสบการณ์ท่ีสั่งสมมาเพื่อให้คณะผู้วิจัยได้น�ำมารวบรวม สังเคราะห์และด�ำเนินงานจัดพิมพ์เผยแพร่ความรู้ ทเ่ี ปน็ ประโยชนแ์ ละเปน็ วทิ ยาทานใหก้ บั ชนรนุ่ หลงั ไดต้ อ่ ไป ขอขอบคณุ คณะทำ� งาน เจา้ หนา้ ที่ และผมู้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง ทุกท่านของกองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการท�ำงานโครงการนี้ คณะผู้วิจัยขอขอบคุณทุกท่าน เป็นอย่างสูง รวมทั้งท่านท่ีไม่ได้กล่าวนามในที่น้ี ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์และให้ความร่วมมือจนผลการศึกษา เสร็จสมบูรณ์ บุญกุศลท่ีได้จากการศึกษาน้ีขออุทิศให้กับผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาทุกท่านท่ีอนุญาตให้คณะผู้วิจัย ได้นำ� มาศกึ ษาและสามารถจดั พมิ พ์เผยแพรเ่ พ่อื ประโยชน์ตอ่ บา้ นเมอื งและสังคมไทยต่อไป คณะทมี ผวู้ จิ ัย ข

บทคดั ย่อ การศึกษาเรื่องพ้ืนฐานการนวดพื้นบ้านภาคเหนือ จัดท�ำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้การ นวดพนื้ บ้านภาคเหนอื รูปแบบและวิธีการนวดพ้ืนบ้าน วธิ ปี ฏิบตั ิและการด�ำรงความเปน็ หมอพืน้ บ้าน การวินจิ ฉัยโรคและ อาการทีร่ ักษาได้ดว้ ยการนวดพนื้ บา้ นภาคเหนือ วธิ กี ารศึกษาเป็นการศึกษาเชงิ คุณภาพ กลมุ่ ประชากรคือ หมอนวดพ้ืนบา้ น ภาคเหนือ โดยได้ก�ำหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ ต้องเป็นหมอนวดพ้ืนบ้านท่ีมีประสบการณ์ในการนวด มากกว่า ๑๐ ปี มีจ�ำนวนผู้ป่วยที่มารับบริการนวดมากกว่า ๑๐ รายต่อเดือน และเป็นหมอพื้นบ้านท่ีชุมชนยอมรับ และยังให้บริการนวดมาจนถึงปัจจุบัน ได้กลุ่มตัวอย่างที่ท�ำการศึกษาทั้งส้ิน ๑๖ คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม ท�ำการถอดองค์ความรู้จากหมอพื้นบ้านท้ัง ๑๖ คน จากน้ันจึงวิเคราะห์ ขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากการถอดองคค์ วามรแู้ บบเจาะลกึ และนำ� ผลการศกึ ษามาวเิ คราะห์ตามวัตถุประสงค์ ผลการศึกษาพบว่า หมอพ้ืนบ้านล้านนามีความเชื่อและวิธีการอธิบายร่างกายของมนุษย์ตามหลักการทาง พทุ ธศาสนา โดยเชอื่ ว่าร่างกายมนษุ ยป์ ระกอบไปด้วยขนั ธ์ทัง้ ๕ และธาตทุ ั้ง ๔ ร่างกายประกอบไปด้วยจิตซึง่ จะแตกสาขา ออกมาเป็น ๓๒ ขวัญ คอยควบคมุ อวัยวะตา่ ง ๆ ให้ทำ� งานอย่างเปน็ ปกติ มคี วามเชอ่ื และอธิบายการเจ็บป่วย จากลกั ษณะ ความแตกต่างของความเป็นมนุษย์ซึ่งมีกรรมเป็นตัวก�ำกับ หลักการวินิจฉัยความเจ็บป่วย ประกอบด้วย ๖ หลัก คือ ๑) ธาตุวินิจฉัย ๒) กาลหรือเวลาวินิจฉัย ๓) ฤดูการวินิจฉัย ๔) อายุวินิจฉัย ๕) ภูมิล�ำเนาวินิจฉัย ๖) กรรมวินิจฉัย เพ่ือวิเคราะห์กระบวนการท�ำงานของธาตุทั้ง ๔ ท่ีมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกาล/ฤดู/อายุ ซ่ึงสามารถอธิบายให้เห็น ความจริงของช่วงชีวิตและธรรมชาติความเป็นจริงของชีวิตตนเอง เก่ียวโยงสัมพันธ์กับรูปแบบวิธีการรักษาโดยการ นวดพนื้ บ้านลา้ นนามที ง้ั หมด ๑๘ รปู แบบ ได้แก่ ๑) การเชด็ และการแหก ๒) การย�่ำขาง ๓) การตอกเส้น ๔) การเอามา่ น ๕) การบบี ๖) การขยำ� ๗) การคลึง ๘) การฮูดเสน้ ๙) การดงึ ๑๐) การเหยียบ ๑๑) การทุบ ๑๒) การบดิ ฮา้ ว ๑๓) การเต็ก ๑๔) การจก ๑๕) การเข่ียเส้น ๑๖) การเกาะเส้น ๑๗) การกวาซา ๑๘) การหยิกเส้นและยงั มวี ธิ กี ารรกั ษาอน่ื ร่วมด้วย เช่น การฝงั (ดนิ /ทราย) การแช่สมุนไพร โดยสามารถแบง่ อาการทรี่ ักษาไดด้ ้วยการนวดพ้นื บ้านล้านนาท้ังสนิ้ ๓๕ อาการ เช่น ลมต๋ายฝาก (อัมพฤกษ์) ลมกระด้าง (อัมพาต) ลมมะเฮ็งคุด (ปวดไมเกรน) ลมสันนิบาตเข้าเส้น เอ็นเข้าแค๊บ (สะบักจม) ปิ๊ดตา่ ง ๆ (อาการเจบ็ ปวด) โปง่ ตา่ ง ๆ (อาการปวด ร้อนบวม) เป็นต้น นอกจากนั้นยงั มีความเชื่อเรอ่ื งพิธกี รรมทีใ่ ชร้ ว่ มกับ การนวดพื้นบ้าน เช่น การดเู ม่อื ดหู มอ การดูเรื่องฤกษย์ ามดูอาการเจบ็ ปว่ ยจากสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ท�ำให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกบั สาเหตุต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับญาติหรือคนในครอบครัวที่มีการเจ็บป่วย/ของหาย และมีพิธีกรรมจากการท�ำนายของผีย่า หมอ้ หนงึ่ ซึง่ เป็นวธิ ีการสืบถามอาการเจบ็ ปว่ ยจากโรคทีไ่ ม่ทราบสาเหตุ วิธกี ารดมื่ นำ�้ มนตซ์ ง่ึ ใช้วินิจฉัยอาการเจ็บปว่ ยเรือ้ รงั ทีเ่ ป็นมานานและหาสาเหตุไม่เจอโดยเชอ่ื วา่ สาเหตสุ ่วนใหญ่มาจากโรคของกรรม เปน็ ตน้ และในการส�ำรวจผ้ทู ่มี ารับบริการ นวดจากหมอพื้นบ้าน พบวา่ สว่ นใหญเ่ ปน็ เพศหญงิ อายุอยรู่ ะหว่าง ๕๑ ถึง ๖๐ ปี มอี าชพี เกษตรกร คา่ ใชจ้ ่ายในการรักษา สว่ นใหญไ่ มเ่ กนิ ๓๐๐ บาท ทำ� ใหม้ คี วามพงึ พอใจตอ่ บรกิ ารของหมอนวดพน้ื บา้ นสงู มาก คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๘๔ โดยผทู้ ม่ี าใชบ้ รกิ าร กับหมอพ้นื บา้ นส่วนใหญ่จะทราบจากญาติถงึ ร้อยละ ๙๒ และอาการที่มารักษามากที่สุด คอื อาการปวดข้อ ข้อเสนอแนะ ควรมกี ารพฒั นาและยกระดบั หมอพืน้ บา้ นทมี่ ีความเชี่ยวชาญการนวดแบบพื้นบา้ นเปน็ ครภู ูมปิ ญั ญา รวมทง้ั เปน็ ผถู้ า่ ยทอดองคค์ วามรใู้ หเ้ ปน็ ทร่ี จู้ กั และสามารถนำ� มาบรู ณาการในสถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของรฐั รว่ มกนั รวมทง้ั การจดั ทำ� หลกั สตู รการเรยี นการสอน การฝกึ อบรมการนวดแบบลา้ นนา การศกึ ษาวจิ ยั เชงิ ลกึ เกย่ี วกบั ยาตำ� รบั ตา่ งๆ ทใี่ ชร้ ว่ ม กับการนวด/การประคบ เพื่อเป็นการอนรุ กั ษ์และสบื ทอดภมู ิปญั ญาการนวดพ้นื บ้านล้านนาใหก้ ับเยาวชนรนุ่ หลงั ต่อไป ค

Abstract A study based on indigenous massage from northern part of Thailand, The study was conducted with the objective to collect and synthesis the Thai Lanna massage. This includes the body of knowledge on types and methods of traditional massage, diagnosis, treatment procedures and way of life. The Study is a qualitative study using in-depth interviews technique and focus groups for collect of body of knowledge on traditional massage after then synthesis the data. Population is folk healers from upper northern whom expertise in Lanna massages. The criteria for selection participants: have had experience of treating patients more than 10 years, were currently treating patients, seeing more than 10 patients per month and people in communities are accept and respect them as well. We have found 16 healers who are suitable for these criteria. The study confirms that Lanna folk healers believe and describe about human body are similar to Buddhist principles. They believe the human body consists of the five aggregates and the four elements. The body is composed of mental which branch out into 32 parts to control the organs work normally. Most of healers also explain how the illness occurs on people in difference ways, it depends on Karma each person. The diagnosis procedures consist of 6 factors which are 1) Elements, 2) Period of time, 3) Season, 4) Age, 5) Place of birth and 6) Karma. All these 6 factors are used for analyze and diagnosis together with the four elements of the body that are related to period of time, season and age which can explain the nature of realities of life span. The study also has found type of treatment procedures by Lanna folk healers can be classified into 18 forms: 1) Chet and Haek 2) Yam-Khang 3) Tok-sayn 4) Ao-maan 5) Beep 6) Kha-yam 7) Nik-nim 8) Hod-sayn 9) Deung 10) Yiap 11) Tup 12) Bit-Haow 13) Tek 14) Jor 15) Kia-sayn 16) Gor-sayn 17) Kwa-sa 18) Yik and combine with others procedures such as bury with soil or sand and bath with herbal decoction. The study of their treatments can be treated 35 symptoms, such as Lom Dtai-Fak (paresis), Lom Gra-Dang (paralysis), Lom Ma-Heng-Kut (migraine), Lom San-Ni-Bat-Kao-Sayn Sn-Kao-Khaeb (displaced shoulder blade), Pid (illness) and Pong (Inflame), etc. There are also beliefs about rituals that are used in conjunction with Lanna massage, such as to find and predict the cause of illness by fortune teller which is especially for supranational illness or unknown causes, to drink holy water to diagnosis the chronic symptoms, etc. The background interview found that most of patients were female, age between 51 to 60 years old. Most of them are agriculture. The maximum cost of treatment is not over than 300 baht. The study also found that 92% of patients know and use the services of folk healers from their relatives. 84% of the patients’ satisfactions on Lanna massage treatment and the most common treatment are joint pains. Regarding to the result of the study, the recommendations for the further development are setting up and revising curriculum in institutes on Thai Lanna massage cover in four sectors, provide documentation for the dissemination of knowledge and certificates issued by government agencies. Furthermore, the government should endorse and empower the folk healers who expertise in Lanna massages and will lead to the development models for integration of indigenous medicine in community health system. ง

สารบญั เรอ่ื ง เร่ือง หนา้ ก ค�ำน�ำ ข กิตตกิ รรมประกาศ ค บทคัดย่อ จ สารบญั เร่ือง ช สารบัญตาราง ซ สารบัญภาพ ๑ บทท่ี ๑ บทนำ� ๓ ความเปน็ มาและความสำ� คัญของปัญหา ๓ ๓ วัตถปุ ระสงค ์ ๓ ขอบเขตการวิจัย ระยะเวลาด�ำเนินงาน ๕ ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ บั ๘ ๑๕ บทที่ ๒ การทบทวนเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง ๑๗ ความหมายและความเปน็ มาของการนวดพน้ื บา้ นล้านนา ๑๘ งานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ๑๘ กรอบแนวคิดในการศกึ ษา ๑๙ บทท่ี ๓ วธิ ีการศึกษา ๒๑ ประชากรและการเลอื กกลุม่ ตัวอย่าง ๓๑ ๔๑ เคร่อื งมอื การเก็บขอ้ มูล ๖๓ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ๗๑ การวิเคราะหข์ อ้ มลู บทท่ี ๔ ผลการศกึ ษา สว่ นที่ ๑ หลักความเชอื่ และวธิ ีการอธิบายระบบโครงสร้างมนุษย์ ส่วนท่ี ๒ การวเิ คราะห์ รปู แบบ วธิ ีการนวดพืน้ บา้ นลา้ นนา ส่วนที่ ๓ การวเิ คราะหโ์ รค อาการและกระบวนการรักษาของหมอนวดพนื้ บ้านลา้ นนา ส่วนที่ ๔ พิธีกรรมที่ใชร้ ว่ มกบั การนวดพน้ื บ้านลา้ นนา ส่วนท่ี ๕ การวเิ คราะห์สมนุ ไพรที่ใช้ร่วมกบั การนวด จ

เร่ือง หน้า บทที่ ๕ สรุปอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ๘๙ ๙๐ สรปุ ผลการศึกษา ๙๑ อภิปรายผล ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๙๒ ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครั้งตอ่ ไป ๙๓ เอกสารอา้ งองิ ๙๕ อภธิ านศพั ท ์ ภาคผนวก ๑๐๔ ภาคผนวก ก หนังสอื ยนิ ยอมใหบ้ ันทึกขอ้ มูลภมู ปิ ญั ญาการแพทยพ์ ื้นบ้านด้านการนวด ๑๐๕ ภาคผนวก ข หนงั สือแสดงการยนิ ยอมในการรกั ษา ๑๐๖ ภาคผนวก ค แบบบันทกึ การนวดรกั ษาแบบพน้ื บ้าน ๑๐๗ ภาคผนวก ง รายชือ่ หมอนวดพ้นื บา้ นล้านนา ๑๐๘ ภาคผนวก จ ภาพกจิ กรรมการดำ� เนินงาน ๑๐๙ ภาคผนวก ฉ มาตรฐานการนวดแบบพืน้ บ้าน ๑๑๒ ภาคผนวก ช กฎหมายทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการนวดพื้นบา้ น ฉ

สารบญั ตาราง หนา้ ๒๕ ตารางท่ ี ๔๒ ๔.๑ แสดงการทำ�งานของธาตทุ งั้ ๔ ทส่ี ัมพนั ธก์ บั กาล/ฤดูกาล/อาย ุ ๖๙ ๔.๒ โรค อาการและวิธีการรกั ษาตามภูมปิ ญั ญาของหมอพ้นื บา้ นภาคเหนือ ๗๑ ๔.๓ ผลการสัมภาษณ์ผ้ปู ่วยท่เี ข้ามารับบริการจากหมอพืน้ บา้ น ๗๙ ๔.๔ ตำ�รับยาสมนุ ไพรทีใ่ ชป้ ระกอบการรักษาดว้ ยการนวดแบบลา้ นนา ๔.๕ รายชอ่ื สมนุ ไพรทใ่ี ชใ้ นการรกั ษารว่ มกบั การนวดพื้นบ้าน ช

สารบญั ภาพ หนา้ ๖ ภาพท่ี ๑๕ ๒.๑ ตวั อยา่ งอกั ษรลา้ นนา ๑๙ ๒.๒ กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษาเรื่องพืน้ ฐานการนวดพื้นบา้ นภาคเหนือ ๒๗ ๓.๑ แสดงขั้นตอนในการดำ� เนนิ งาน ๒๘ ๔.๑ บรเิ วณจุดทสี่ ำ� คัญของส่วนบนของร่างกายทางดา้ นหน้า ๒๙ ๔.๒ จุดและเส้นท่ีสำ� คญั ของร่างกายทางด้านหน้า ๓๑ ๔.๓ จุดและเส้นทสี่ ำ� คัญของรา่ งกายทางดา้ นหลงั ๓๒ ๔.๔ การเช็ดและการแหก ๓๒ ๔.๕ การยำ่� ขาง ๓๓ ๔.๖ การตอกเส้น ๓๓ ๔.๗ การเอาม่าน (ดัด ดึง) ๓๔ ๔.๘ การบบี ๓๔ ๔.๙ การขย�ำ ๓๕ ๔.๑๐ การนคิ นนิ่ (การคลงึ ) ๓๕ ๔.๑๑ การฮูดเสน้ (รีดเสน้ ) ๓๖ ๔.๑๒ การดงึ ๓๖ ๔.๑๓ การเหยยี บ ๓๗ ๔.๑๔ การทบุ และการสบั ๓๗ ๔.๑๕ การบิดฮา้ ว (การบดิ ) ๓๘ ๔.๑๖ การเต็ก (การกด) ๓๘ ๔.๑๗ การจก (ลว้ ง) ๓๙ ๔.๑๘ การแชส่ มุนไพร ๓๙ ๔.๑๙ การฝงั (ดิน/ทราย) ๔.๒๐ การกวาซาหรือการขูดพิษ ซ

ภาพท ่ี หนา้ ๔.๒๑ การหย่มิ หรอื การหยิก ๔๐ ๔.๒๒ การเกาะเส้น ๔๐ ๔.๒๓ การแกะเสน้ (การเขย่ี เสน้ ) ๔๑ ๔.๒๔ การนวดแกล้ มกระดา้ ง (อัมพาต) ๔๕ ๔.๒๕ การนวดรักษาอาการกอนลงฟกั หรือววั ไมช่ นหรอื มะเขอื เผา (นกเขาไมข่ นั ) ๔๖ ๔.๒๖ การนวดแกข้ ากรรไกรคา้ ง ๔๖ ๔.๒๗ การนวดแกเ้ กยี่ ว (ตะครวิ ) ๔๗ ๔.๒๘ การนวดแกอ้ าการขางขะยอื (หืดหอบ ถงุ ลมโป่งพอง) ๔๘ ๔.๒๙ การนวดครวั ทอ้ งลง (มดลกู ลง มดลกู หย่อน ไสเ้ ลือ่ น) ๔๙ ๔.๓๐ การนวดแก้อาการทอ้ งผูก ๕๐ ๔.๓๑ การนวดแกน้ ้วิ ขกี่ นั ๕๐ ๔.๓๒ การนวดแก้นว้ิ ลอ็ ก ข้อศอกลอ็ ก หัวไหล่ลอ็ ก ๕๑ ๔.๓๓ การนวดแกอ้ าการปวดหลงั ปวดเอว ๕๒ ๔.๓๔ การนวดแก้อาการปวดเหงือก ๕๓ ๔.๓๕ การนวดแก้มะโหกกน้ ปดู (ริดสดี วงทวาร) ๕๓ ๔.๓๖ การนวดแกล้ มตา๋ ยฝาก (อัมพฤกษ)์ ๕๔ ๔.๓๗ การนวดแกล้ มทอ้ งเต้น ๕๕ ๔.๓๘ การนวดแก้ลมมะเฮ็งคุด ออกหัวออกตา (ปวดไมเกรน) ๕๖ ๔.๓๙ การนวดแกล้ มสนั นิบาตเข้าเสน้ ๕๗ ๔.๔๐ การนวดแกอ้ าการเหน็บชา ๕๘ ๔.๔๑ การนวดแก้อาการไหล่หลด หัวไหล่หลด (ไหล่หลุด) ๕๙ ๔.๔๒ การนวดแกเ้ อ็นเข้าแคบ๊ (สะบักจม) ๕๙ ๔.๔๓ การนวดรกั ษาเอน็ เข้าตะก๋ามบอ่ ง (เอน็ เข้าสะโพก) ๖๐ ๔.๔๔ การนวดแกเ้ อ็นเขา้ เป้ยี ง (สขี ้าง) ๖๑ ๔.๔๕ พธิ ีกรรมเมือ่ ผียา่ หม้อน่งึ ๖๕ ฌ



๑บทที่ บทนำ� ความเป็นมาและความส�ำคัญของปญั หา การนวดพ้ืนบ้านมีปรากฏในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซ่ึงในแต่ละภูมิภาคต่างมีวิธีการนวดเพ่ือบ�ำบัด อาการปวดเม่ือยท่ีเป็นแบบฉบับของตนเอง เช่น ภาคเหนือมีการย�่ำขาง ตอกเส้น การเอาเอ็น เอาม่าน (ดัดดึง) ภาคอสี านมีการจับเสน้ การขดิ เส้น เป็นต้น การนวดพ้ืนบ้านล้านนาเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีความหลากหลายรูปแบบ ซ่ึงสอดคล้องกับวิถีชีวิตและ วฒั นธรรมในแตล่ ะกลมุ่ ชาติพันธ์ุ หมอนวดพื้นบ้านทางภาคเหนอื เรยี กวา่ หมอเอาเอ็นหรอื หมอนวดเอน็ จงึ เรยี ก รวมกันว่า หมอเอาเส้นเอาเอน็ หมอนวดเหลา่ น้ีต้องมีองค์ความรู้ทไี่ ดร้ ับการสืบทอดมาและมคี วามเชย่ี วชาญเป็นท่ี ยอมรับนับถือจากคนทั้งในและนอกชุมชน การนวดพื้นบ้านล้านนา มีกระบวนการเรียนรู้มาจากหลายทาง ได้แก่ การสืบทอดจากบรรพบุรุษ การบวชเรียน ผู้รู้ในชุมชนและการแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างหมอนวดด้วยกันเอง เป็นการเรยี นรู้ผ่านการปฏบิ ตั ิ การติดตามครหู มอไปรักษาผปู้ ่วยในชมุ ชนเป็นระยะเวลายาวนานจนเช่ยี วชาญ การนวดพื้นบ้านล้านนามีอัตลักษณ์ที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ท่ีสืบทอดมาเป็นเวลาช้านาน แต่เน่ืองจาก องค์ความรู้เหล่าน้ีขาดการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ท�ำให้การถ่ายทอดและการสืบค้นข้อมูลเป็นไปได้ยาก ส่วนใหญจ่ ะม่งุ เนน้ การศกึ ษาในด้านเทคนคิ วธิ ีการนวดเพียงอยา่ งเดยี วโดยขาดการศึกษาบริบทต่าง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง หมอพืน้ บา้ นลา้ นนาอธิบายการเจบ็ ป่วยของมนุษย์ ด้วยหลักความสมดลุ ของธาตุในรา่ งกายทปี่ ระกอบดว้ ย ขันธ์ทั้ง ๕ และธาตุท้ัง ๔ เช่นเดียวกับการอธิบายของการแพทย์แผนไทย เน่ืองจากมีพ้ืนฐานท่ีมาขององค์ความรู้ คอื หลกั พระไตรปิฎกในพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน๑ หมอพ้นื บา้ นล้านนา ไดอ้ ธิบายถงึ ระบบสรรี ะร่างกายของมนษุ ย์ ไว้วา่ มนษุ ยเ์ ราประกอบไปด้วย ๒ สว่ น ไดแ้ ก่ (๑) ขันธ์ทัง้ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ (๒) ธาตุ ทงั้ ๔ ได้แก่ ดิน นำ้� ลม ไฟ ประกอบเปน็ มนษุ ยข์ ้นึ มา เม่ือรา่ งกายเราแตกดับไปกจ็ ะกลับสู่ธรรมชาติ โดยเรม่ิ ตง้ั แต่ การจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ว่า จิตเร่ิมต้นไม่ว่าภพไหนชาติไหนจะเป็นตัวก�ำหนดคุณลักษณะความแตกต่าง ของมนุษย์แต่ละคน ซ่ึงจะมีกรรมเป็นตัวก�ำกับมาด้วยเสมอ เมื่อเร่ิมมีการปฏิสนธิระหว่างธาตุเพศชาย (ธาตุดิน) กับธาตุเพศหญิง (ธาตุน้�ำ) ข้ึนในครรภ์มารดา ก็จะก่อตัวเป็นรูปร่าง เป็นอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออาการ ๓๒ ขึ้นมา ประกอบด้วย ๔ ธาตุ ได้แก่ (๑) ธาตุดนิ (ปถวีธาตุ) มี ๒๐ ดวง (๒) ธาตนุ ้�ำ (อาโปธาตุ) มี ๑๒ ดวง (๓) ๑ จากการสมั ภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลมุ่ หมอพื้นบ้านล้านนาในจังหวดั เชยี งราย เชียงใหม่ พะเยา และนา่ น ตา่ งอ้างถึงแหล่งทมี่ าความรู้ ของตนว่ามาจากพระไตรปิฎกท่ีได้เรียนรู้จากการบวชเรียนและการสืบทอดจากบรรพบุรุษ ครูอาจารย์ และมีการเปิดตำ�ราท่ีจารึกมาจาก พระไตรปิฎกมาเป็นหลกั ฐานยนื ยนั ท่มี าของความรู้ พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 1

ธาตลุ ม (วาโยธาต)ุ ๗ ดวง และ (๔) ธาตไุ ฟ (เตโชธาต)ุ ๖ ดวง นอกจากนร้ี า่ งกายมนษุ ยน์ อกจากจะประกอบไดด้ ว้ ยจติ โดยจิตเดิมจะแตกสาขาออกมาปรุงเป็นขวัญ ๓๒ ขวัญ คอยควบคุมและบัญชาการอวัยวะ ซึ่งมีธาตุดิน (ปถวีธาตุ) ๒๐ และ ธาตนุ ำ้� (อาโปธาต)ุ จำ� นวน ๑๒ เปน็ สว่ นประกอบ ทำ� ใหเ้ กดิ ตวั ตน ซงึ่ กย็ งั ไมม่ คี วามสามารถในการขบั เคลอ่ื น ตัวตน และขาดพลงั แห่งชีวิต หากปราศจากธาตุลม (วาโยธาตุ) ท�ำใหม้ ชี วี ติ และธาตุไฟ (เตโชธาต)ุ ๖ ท�ำใหม้ ีพลงั อีกท้ังยังเช่ือมโยงอยู่กับจิตอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับธาตุดินและธาตุน้�ำ นอกจากนี้คนเมือง (ชาวล้านนา) ยังเช่ือว่า ทเี่ ปน็ รปู รา่ งอยา่ งทม่ี องเหน็ กนั ได้ เนอื่ งจากในรา่ งกายมนษุ ยย์ งั ตอ้ งประกอบไปดว้ ย “ธาตพุ ระเจา้ หรอื อากาศธาต”ุ ซึง่ หมายถงึ ช่องวา่ งภายใน (กลวง) ร่างกายของมนษุ ยม์ ีทเี่ ชอื่ มต่อกบั ทวารทงั้ ๑๐ ประกอบดว้ ย หู ๒ จมกู ๒ ตา ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑ แตส่ �ำหรบั หญงิ เพ่มิ ช่องคลอดอีกหนึ่ง จึงรวมเปน็ ๑๐ ทชี่ าวล้านนาเรียกธาตุ อากาศว่า “ธาตุพระเจ้า” เนอ่ื งจากค�ำสอนทางพทุ ธศาสนาท่กี ลา่ วถึง “อานาปานสต”ิ ซึ่งเป็นธรรมะทีพ่ ระพุทธเจ้า ตรสั รู้ โดยสงั เกตลมหายใจเขา้ -ออกจนมสี ติ และกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา กอปรกบั ถา้ ไมม่ ชี อ่ งวา่ งเหลา่ นธี้ าตลุ มกจ็ ะไมส่ ามารถ เข้าสู่ร่างกายได้ ดังน้ัน ธาตุอากาศ (อากาศธาตุ) จึงถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดของความเป็นมนุษย์ หรือการมีชีวิตอยู่ การมีลมหายใจ ถ้าองคาพยพทั้งหมดครบถ้วนก็จะท�ำให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสุข มีสุขภาพดี แต่ถ้า สิ่งเหล่าน้ีไม่สมบูรณ์ก็เป็นสาเหตุท�ำให้เกิดโรค หรือความไม่สบายได้ หากธาตุหย่อน/พิการก็อาจท�ำให้ขวัญที่อยู่ ประจำ� แต่ละรปู /องคก์ ระทบกระเทือน ท�ำใหข้ วญั เสีย ขวญั หาย ขวญั ออ่ น ซง่ึ จะเป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยได้ สุดท้ายแล้วมนุษย์ต้องเข้าใจในธรรมชาติของชีวิตของตนเองว่า กรรมะ จิตตะ อุตุ และอาหาร ซง่ึ อธบิ าย ความเจบ็ ป่วยไว้ว่า ยาก็หายบ่อยาก็หาย คอื บางโรคทานยากห็ ายหรือไม่ต้องทานยาก็หายได้ บ่อยาจ่าง ต๋าย คือ ถ้าไม่รักษาตายแน่นอน ยาก็ต๋ายบ่อยาก็ต๋าย คือ รักษาก็หลีกเลี่ยงความตายไม่ได้ หรือไม่รักษาก็ตายได้ ดงั น้ัน มนษุ ยเ์ ราต้องเขา้ ใจกฎของความตั้งอยู่ ดับไป ทุกคนหนีไม่พน้ เรื่อง อนจิ จงั ทกุ ขัง อนตั ตา แลว้ เราจะเข้าใจ ชีวติ มากขึน้ ด้วยแนวคิดท่ีว่าการนวดพ้ืนบ้านเป็นรูปแบบหน่ึงของวิธีการรักษาที่ชาวบ้านใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อย เป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของคนในท้องถ่ินที่สอดคล้อง กับวัฒนธรรมชุมชนมาเป็นเวลาช้านาน แต่ยังขาดการศึกษาและอธิบายให้เข้าใจกันอย่างเป็นระบบตามแบบอย่าง การศกึ ษาในปจั จบุ ัน/เชิงวิทยาศาสตร์ และยงั ขาดการจดบันทึกอย่างเป็นระบบ ซ่ึงองค์ความรเู้ รอื่ งการนวดพน้ื บา้ น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตัวบุคคล มีต�ำรับต�ำราปรากฏเป็นส่วนน้อย ดังนั้นจึงมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องท�ำการศึกษา รวบรวมองค์ความรู้เร่ืองการนวดพ้ืนบ้านเพ่ือจัดท�ำเป็นต�ำรานวดพ้ืนบ้าน และน�ำไปสู่การวางแผน ฟื้นฟูและ การถ่ายทอดที่เป็นระบบของการนวดพื้นบ้านไทย เพ่ือให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ 2 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

วตั ถุประสงค์ ๑. เพอื่ ศกึ ษาองคค์ วามรกู้ ารนวดของหมอพน้ื บา้ นลา้ นนาตามหลกั ความเชอ่ื และวถิ กี ารปฏบิ ตั ใิ นการดำ� รง ความเปน็ หมอนวดพ้ืนบ้านล้านนา ๒. เพื่อศึกษารูปแบบวิธีการนวดพ้ืนบ้านล้านนา โรคและอาการท่ีรักษาได้ด้วยการนวดพ้ืนบ้านล้านนา แนวทางในการฟน้ื ฟูและสบื ทอดภมู ปิ ัญญาของหมอนวดพื้นบา้ นลา้ นนา ๓. เพื่อศึกษาสมุนไพรที่ใช้ร่วมกับการรักษา พิธีกรรม/ความเช่ือในการดูแลสุขภาพในชุมชนของหมอนวด พ้ืนบ้านลา้ นนา ขอบเขตการวิจัย ๑. ศกึ ษาในเขตภาคเหนือ โดยมพี ้ืนทีท่ ศ่ี กึ ษาเจาะลึก ใน ๔ จงั หวดั คอื เชยี งราย พะเยา เชียงใหม่และ ลำ� ปาง มจี �ำนวนหมอนวดท่ถี ่ายถอดองค์ความรจู้ ำ� นวน ๑๖ คน ๒. ศึกษาวิถีการปฏิบัติในการด�ำรงความเป็นหมอนวดพื้นบ้านล้านนา โดยศึกษาในประเด็นเร่ือง กระบวนการรักษา การวิเคราะห์ปัญหา การวินิจฉัยโรคและการนวดแบบพื้นบ้านท่ีส่งผลต่อการผ่อนคลาย ของระบบกล้ามเนอ้ื ระยะเวลาด�ำเนินงาน ระหวา่ งวันท่ี ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึง วนั ที่ ๑ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลท่ีคาดว่าจะได้รบั ๑. ผลการศึกษาจะเป็นข้อมูลเบ้ืองต้น ประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารในการก�ำหนดทิศทาง การพฒั นาการนวดพ้นื บ้านภาคเหนอื ให้เปน็ ทางเลอื กในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน ๒. เป็นข้อมูลในการจัดท�ำต�ำรานวดพื้นบ้านเพ่ือใช้เป็นเอกสารประกอบการอบรมเสริมความรู้ให้ แพทยแ์ ผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพต�ำบล ๓. สามารถพัฒนาการนวดแบบพื้นบ้านให้เป็นวิชาชีพแขนงหนึ่งของการนวดเพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วชิ าชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 3



๒บทท่ี การทบทวนเอกสารและงานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ ง จากการศกึ ษาการนวดพ้ืนบ้านภาคเหนือ ได้มีการทบทวนเอกสาร โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑) ความหมายและความเปน็ มาของการนวดพืน้ บา้ นล้านนา ๑.๑ ความหมายการนวดพ้นื บา้ น ๑.๒ ความหมายการนวดพ้นื บ้านบ้านล้านนา ๑.๓ ความเปน็ มาเรอื่ งการนวดล้านนา ๒) งานวิจัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง ๓) กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา ซึ่งมีรายละเอียดดังน้ี ๑) ความหมายและความเปน็ มาของการนวดพื้นบ้านลา้ นนา ๑.๑ ความหมายการนวดพน้ื บา้ น ความหมายของการนวดพ้นื บ้าน หมายถงึ การใชแ้ รงสัมผัสต่อร่างกาย โดยใช้มือหรือศอก/เคร่ืองมือตา่ ง ๆ หรอื สมนุ ไพร ซงึ่ มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื บรรเทาความไมส่ บายของรา่ งกายและจติ ใจ วธิ กี าร/เทคนคิ การนวดเปน็ ภมู ปิ ญั ญา ท่เี กิดข้นึ ภายในชมุ ชนและมีการถ่ายทอดสบื ตอ่ กันมา ๑.๒ ความหมายการนวดพนื้ บ้านล้านนา ความหมายของการนวดพื้นบ้านล้านนา หมายถึง การใช้มือ เท้า ศอก เข่า ในการกด บีบ เข่ีย จก จิก โกย ดัดดึง คลึงชัก หรือใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ย�่ำขาง ตอกเส้น ขูดซา (ไทยใหญ่) และเช็ดแหก เพ่อื ให้ บรรเทาอาการปวดเม่ือยกล้ามเน้อื เส้นเอน็ กระดูก ตามรา่ งกาย โดยใชเ้ ทคนิควธิ ีการนวดซึ่งเปน็ ภูมิปัญญา ท่ีไดร้ ับการสบื ทอดตอ่ ๆ กันมาและได้รบั การยอมรับจากชุมชน ๑.๓ ความเป็นมาเรอื่ งการนวดพ้ืนบา้ นล้านนา ล้านนา หมายถงึ ดนิ แดนท่ีมที นี่ ามากมาย ประมาณนับได้เปน็ จำ� นวนล้าน เป็นคำ� คู่กบั ล้านช้าง คอื ดินแดน ที่มชี ้างนับลา้ นตวั ล้านนาเริม่ ใชต้ ั้งแตส่ มัยพญามงั ราย ดนิ แดนในแถบลมุ่ น้ำ� กก คือ เชียงรายและเชยี งแสน เรยี กวา่ แคว้นโยน (โยนก) หรือโยนรัฐ ส่วนดินแดนลุ่มน�้ำปิง คือ เมืองล�ำพูน เชียงใหม่ เรียกว่าแคว้นพิงค์ หรือเมืองปิง เกิดเม่อื พญามงั รายรวมดนิ แดนสองแควน้ ใหญ่ดงั กล่าวเขา้ ไวด้ ้วยกนั เรยี กว่า “อาณาจักร” พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 5

อาณาเขตของรัฐล้านนาโบราณไม่มีเขตแดนแน่นอน เม่ืออาณาจักรรุ่งเรืองก็ขยายอ�ำนาจออกไปอย่าง กว้างขวาง ประมาณอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า ดินแดนล้านนามีอาณาเขตทางทิศใต้จรดกับอาณาจักรสุโขทัย ติดต่อกับ เมืองตาก (อ�ำเภอบ้านตาก) ทิศตะวันตกจรดแม่น�้ำสาละวิน ติดต่อกับรัฐฉาน ทิศตะวันออกจรดแม่น�้ำโขง ตดิ ตอ่ กบั อาณาจกั รลา้ นชา้ ง ทศิ เหนอื จรดเมอื งเชยี งรงุ้ บรเิ วณรอยตอ่ พมา่ ลาวและยนู าน มบี า้ นเมอื งเลก็ ๆ อกี มากมาย เช่น เชียงตงุ เชียงรงุ่ เชียงแขง เมืองยอง เมอื งปุ เมืองสด เมืองนาย เป็นต้น เมือ่ ถึงยคุ ล่าอาณานคิ มของมหาอำ� นาจ ตะวันตกเมืองชายแดนดังกล่าวได้ถูกแบ่งแยกเป็นของประเทศพม่า จีนและลาว ซ่ึงเท่ากับดินแดนล้านนาบางส่วน อยใู่ นประเทศไทยในเขตภาคเหนอื ประกอบดว้ ย เชยี งใหม่ ลำ� พนู ลำ� ปาง เชยี งราย พะเยา แพร่ นา่ น และแมฮ่ อ่ งสอน ซึง่ มอี ายกุ วา่ ๗๐๐ ปี (สวัสวดี ออ๋ งสกุล. ๒๕๕๓ : ๒๕-๒๗) ภาพ ๒.๑ ตัวอยา่ งอกั ษรล้านนา (ท่มี าของภาพ http://www.pralanna.com) จากประวัติศาสตร์ล้านนากล่าวได้ว่า การแพทย์พ้ืนบ้านล้านนาในอดีตได้รับอิทธิพลจาก อินเดีย จีน รฐั ฉาน พมา่ ลาว ขอม และมอญ ผา่ นมาทางการเผยแพรศ่ าสนา เหน็ ไดจ้ ากการบนั ทกึ ในหนงั สอื พบั สา (คมั ภรี ใ์ บลาน) ซ่ึงเป็นอีกทางหนึ่งในการศึกษาที่มาที่ไปของการแพทย์พ้ืนบ้านล้านนา โดยภูมิปัญญาเหล่านี้มีการจารหรือจารึก ในรูปอักษรธรรมล้านนาหรือตัวเมือง อักษรธรรมล้านนาก�ำเนิดจากอักษรมอญโบราณซ่ึงมีความส�ำคัญต่อศาสนา ทางภาคเหนือ ดังนั้นความรู้ต่าง ๆ มีจุดเร่ิมต้นมาจากวัดซ่ึงมีการจารึกความรู้ไว้ในคัมภีร์มากมายท่ีไม่ใช่แค่ค�ำสอน ทางศาสนาเท่าน้ัน เช่น ต�ำรายา โหราศาสตร์ พิธีกรรม นิทานพ้ืนบ้าน เป็นต้น ซึ่งต่อมาได้มีการปรับประยุกต์ องค์ความร้ใู ห้สอดคล้องกบั วิถชี วี ิต วัฒนธรรมท้องถิน่ ของตนเอง การนวดพื้นบ้านล้านนายังไม่ปรากฏเป็นต�ำราท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรส่วนใหญ่เน้ือหาจะแทรกอยู่ใน พระไตรปิฎก บางส่วนไดม้ าจากตำ� ราซง่ึ ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรษุ ได้แก่ ตำ� รา กายะ วิบงั ก๊ะ ซง่ึ อยใู่ น วินัยสูตรของประเทศรัฐฉาน (หมอประเดิม ส่างเสน : สัมภาษณ์ ๒๕๕๖) มีรากมาจากพุทธศาสนาท่ีได้บันทึกไว้ 6 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

ในพระไตรปิฎก นอกจากนี้ยังพบว่ามีต�ำราตอกเส้น (หมอส�ำราญ มาฟู: สัมภาษณ์ ๒๕๕๖) และต�ำราย�่ำขาง (หมอประเดิม ส่างเสน : สัมภาษณ์ ๒๕๕๖) ดังนั้นในการศึกษาวิจัยครั้งนี้จึงมุ่งเน้นในกระบวนการเจาะลึก องค์ความรจู้ ากบุคคลเป็นหลกั เนือ่ งจากมีเอกสาร ตำ� รบั ต�ำราที่จะใชอ้ ้างอิงมนี ้อยมาก การนวดพนื้ บา้ นลา้ นนาถอื วา่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของภมู ปิ ญั ญาพนื้ บา้ นในการดแู ลสขุ ภาพ เมอ่ื มอี าการปวดเมอื่ ย เส้นเอน็ ตึง เคล็ดขัดยอกตามรา่ งกาย เคลอ่ื นไหวไมส่ ะดวก หรอื ประสบอบุ ัตเิ หต ุ สบื เนอ่ื งจากท�ำงานหนกั เนื่องจาก อาชีพส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศไทยคือ เกษตรกร คนโบราณได้เรียนรู้และสั่งสมภูมิปัญญาด้านการนวด ผา่ นการสงั เกต จดจ�ำ การลองผิดลองถูก และการทดลองท�ำซ้ำ� ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นประสบการณ์ ความเชีย่ วชาญ เกิดการเรียนรู้ท่ีสั่งสมในตัวบุคคลจนสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้และได้มีการสืบทอดชุดองค์ความรู้ดังกล่าว ตอ่ ๆ กันมาจากรุ่นส่รู ุ่น การใหก้ ารดูแลรกั ษาเรม่ิ ต้นจากคนในครอบครัว กล่มุ เครอื ญาติ เพอื่ นบา้ น จนเป็นที่ยอมรบั มากขึ้นและพัฒนากลายเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งท่ีมีบทบาทในการรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับคนในชุมชน มีการ สืบทอดกันในครอบครัวซึ่งถือว่าแต่ละคนก็มีเคล็ดลับและเทคนิควิธีการนวดที่แตกต่างกันไป ดังนั้นผู้สืบทอด ความเป็นหมอพ้นื บ้านสว่ นใหญ่จะพบว่าเป็นการสบื ทอดจากบรรพบรุ ุษ นอกจากน้ันยังพบว่า วัดเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีส�ำคัญมากของหมอพื้นบ้านในอดีต การได้บวชเรียนท�ำให้ได้มี โอกาสศึกษาตอ่ ซ่ึงเป็นโอกาสให้คนที่สนใจได้เรียนร้ดู า้ นการแพทยพ์ ืน้ บา้ นอกี ทางหนึง่ โดยมโี อกาสอ่านต�ำรับตำ� รา คัมภีร์ต่างๆ ดังนั้นจะพบว่าหมอพ้ืนบ้านจะเป็นบุคคลท่ีมีคุณธรรม จริยธรรม และใช้ความรู้ความสามารถท่ีได้รับ การถา่ ยทอดมาดแู ลสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม การรกั ษาแบบพน้ื บา้ นล้านนาไมไ่ ด้ใช้ความรูป้ ระเภทใดประเภทหนง่ึ โดยเฉพาะ แตจ่ ะใช้ร่วมกัน อาทิ การนวดต้องใช้ท้ังยาสมุนไพรยังรวมไปถงึ พธิ ีกรรมตา่ งๆ ร่วมดว้ ยเปน็ กระบวนการ รักษาท้ังทางร่างกายและจิตใจ ชาวล้านนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติและส่ิงเหนือธรรมชาติ ซ่ึงได้หลอม รวมเป็นแนวคดิ ในการดแู ลสขุ ภาพแบบพนื้ บา้ น สงั คมวัฒนธรรมของชาวลา้ นนามคี วามเช่อื ดงั้ เดมิ ในเรอ่ื งของ “ผี” ผีเป็นส่งิ ศกั ดิส์ ทิ ธิซ์ ึ่งใหท้ ัง้ คณุ และโทษ อาทิ ผีป่ยู ่า ผีเสอ้ื บา้ น ผีขุนน�ำ้ และผปี ่าผเี ขา ความเชอื่ เรอ่ื ง “ขดึ ” ขดึ คอื ข้อห้ามในล้านนา หมายถึง เสนยี ด จัญไร อัปมงคล การกระทำ� ที่ละเมิดต่อผแี ละขึด (ขอ้ หา้ ม) จะท�ำให้เกิดอุบาทว์ ข้ึน อาทิ เจ็บป่วย ถ้าหากไม่รีบแก้ไขหรือกระท�ำการรักษาที่ถูกต้องถูกวิธีก็จะท�ำให้อาการเจ็บป่วยเพิ่มมากข้ึนหรือ อาจจะต้องเสียชีวิต ซ่ึงแนวคิดดังกล่าวจะสัมพันธ์กับกระบวนการวินิจฉัยและการรักษา ซึ่งกล่าวได้ว่าหมอพ้ืนบ้าน ลา้ นนามีอตั ลักษณ์ในการดูแลสุขภาพทงั้ กาย จติ ใจและสงั คม สรุปคือ การที่จะเป็นหมอนวดพ้ืนบ้านส่วนใหญ่มาจากการฝึกปฏิบัติมากกว่าการศึกษาจากสถาบันท่ีมี การเปิดสอนแบบเป็นระบบ ดังนั้นการเป็นหมอนวดพ้ืนบ้านท่ีดี จะต้องมีความใฝ่รู้ หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เพ่ือเป็นการพัฒนาตนเอง ไม่โอ้อวด ไม่ถือตัว มีจิตใจเมตตาชอบช่วยเหลือคน วิธีการเป็นหมอพ้ืนบ้านจึงมิได้ เกิดจากความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังข้ึนอยู่กับบุญบารมีที่ส่ังสมมา การได้พบครูบาอาจารย์ ที่มีวิชาความรู้ และรู้ว่าจะเอาความรู้น้ันไปท�ำประโยชน์ให้กับผู้คนอย่างไร รวมท้ังยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตน เมอ่ื อยใู่ นชมุ ชนดว้ ย หมอพน้ื บา้ นสว่ นใหญม่ กั เปน็ แบบอยา่ งดา้ นคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมทที่ ำ� ใหค้ นทมี่ าพง่ึ พาขอความ ชว่ ยเหลือเกิดความเลอ่ื มใสศรทั ธา “อยากมาฝากผฝี ากไข้” ดว้ ย พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 7

๒) งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง รุจินาถ อรรถสิษฐ (๒๕๓๕) ศึกษาเร่ือง “การปรับตัวของการนวดพ้ืนบ้านในสังคมชนบท” พบว่า สว่ นใหญก่ ารเปน็ หมอนวดพน้ื บา้ นเกดิ จากใจรกั ทำ� ใหเ้ กดิ การแสวงหาครเู พอื่ เรยี นรจู้ ากคร ู จากนนั้ จงึ มาทำ� การฝกึ ฝน ดว้ ยตนเองจนเกิดความชำ� นาญ สุทิศา ปล้ืมปิติวิริยะเวช และเสาวภา พรสิริพงษ์ (๒๕๔๓) ศึกษาเร่ือง “การนวดพ้ืนบ้านอีสาน ในเชิงกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้ เทคนิค วิธีการนวดและอาการ ทีส่ ามารถรักษาด้วยการนวดพนื้ บ้านอสี าน ศึกษาเปรยี บเทยี บคำ� เรยี ก อาการต่าง ๆ ในมมุ มองของหมอนวดพ้นื บา้ น กับช่ือทางการแพทย์ ข้อควรระวังในการนวด โดยอาศัยการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม การฝึกปฏิบัติการนวด การสัมภาษณ์ผู้มารับบริการนวดรวมทั้งญาติของผู้มารับบริการและคนในหมู่บ้านของหมอนวดพ้ืนบ้านท้ังสองราย โดยใชเ้ วลาศกึ ษารวม ๔ เดอื น ระหว่างเดอื น พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึงมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ พบวา่ ๑. การนวดพื้นบ้านอสี านยงั คงด�ำรงอยู่ไดภ้ ายใตบ้ รบิ ทของชุมชน ๒. หมอนวดพื้นบ้านและผู้มารับบริการมีโลกทัศน์และความเช่ือเกี่ยวกับร่างกายตรงกัน ผู้มารับบริการ มคี วามเช่อื ในเรื่อง “เส้น” วา่ มีความผิดปกติ ต้องมานวด ซง่ึ มักจะแสวงหาบรกิ ารมากมายกอ่ นมานวด หรือตรงมา นวดทันทีจากหมอทมี่ ปี ระสบการณ์รกั ษาความเจบ็ ป่วยมาก่อน ๓. การเข้าถึงบรกิ ารงา่ ย เป็นกันเอง สะดวก คา่ ใชจ้ ่ายไม่มาก ไม่จ�ำกัดเวลารักษา ๔. ด้านองค์ความรู้ของหมอนวดพ้ืนบ้าน ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ การศึกษาเรียนรู้เพ่ิมเติม แลกเปลี่ยนกับผู้รู้ด้วยการสงั เกต จดจำ� และลงมือปฏบิ ตั ิ ๕. การเป็นหมอนวดทดี่ ตี ้องรกั ษาศลี ปฏิบัติธรรมและมีขอ้ ห้ามขอ้ ปฏบิ ตั ิบางประการ ๖. หมอนวดพนื้ บา้ นมคี วามเชอ่ื วา่ การทำ� งานของอวยั วะภายในถกู กำ� กบั โดยเสน้ ตา่ ง ๆ ทม่ี กี ระจายอยทู่ ว่ั ไป และมีการเชื่อมโยงท่ัวกัน โดยออกมาจากกะโหลกศีรษะบริเวณท้ายทอย ซ่ึงมีจุดรวมเส้นอยู่บริเวณแกนกลางล�ำตัว และข้อต่อต่าง ๆ เมื่อเส้นมีความผิดปกติจะท�ำให้รบกวนการท�ำงานของร่างกาย ท�ำให้อยู่ไม่เป็นสุข ไม่สามารถ ท�ำงานอย่างเป็นปกติ การตรวจประเมินอาการโดยการคล�ำจะท�ำให้สามารถทราบว่าเส้นอยู่ในลักษณะใด จึงท�ำการนวดได้ถูกต้อง โดยมีหลักการว่าต้องนวดเพ่ือคลายเส้นแล้วจึงนวดเฉพาะจุดท่ีมีอาการหลัก และพบว่า ท่านวดบางท่าที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ บริเวณที่ส�ำคัญ ได้แก่ บริเวณไหปลาร้า รักแร้ ขาหนีบ สะดือ และอวยั วะเพศ การนวดสามารถรกั ษาอาการตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ กล่มุ อาการปวดเน้ือเย่อื กล้ามเนื้อ (Myofascial pain syndrome) ข้อนวิ้ ข้อไหล่ ขอ้ เทา้ เคล็ดหรอื พลกิ และเอ็นอกั เสบ (Tendinitis) อาการแนน่ ทอ้ ง ท้องอดื มดลูกลง แตไ่ มส่ ามารถรกั ษาอาการเอน็ ฉกี ขาด ขอ้ เคลอ่ื น หรอื ขอ้ หลดุ (Dislocation) อาการหมอนรองกระดกู สนั หลงั เคลอ่ื น (Bulging disc และ Prolapsed disc) ดังนน้ั จึงจำ� เปน็ ต้องใหค้ วามรู้เพ่ิมเตมิ แกห่ มอนวดพ้ืนบา้ นในเร่อื งโครงสรา้ ง ร่างกายและอวัยวะภายใน ข้อควรระวังในการนวดบางบริเวณและอาการบางอย่างที่ไม่สามารถรักษาด้วยการนวด แต่จำ� เปน็ ตอ้ งสง่ ต่อไปรกั ษากบั แพทย์ท่ชี ำ� นาญต่อไป ไพบูลย์ ด�ำริห์ (๒๕๔๕) ศึกษาเรื่อง “การศึกษาหมอเส้น : การนวดพื้นบ้านอีสาน” มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาการนวดพื้นบ้านอีสานโดยวิธีกดเส้น ความเช่ือ เทคนิควิธีการกดเส้น กระบวนการถ่ายทอดการเรียนรู้ ตลอดจนปัญหาและอันตรายที่อาจจะเกิดข้ึนจากการกดเส้น เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียง เชิดชู ยกย่องหมอเส้น ใหค้ นทว่ั ไปไดร้ จู้ กั กลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ หมอเสน้ พนื้ บา้ นในชนบทภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๔ จงั หวดั ไดแ้ ก่ มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ดและขอนแก่น โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) หมอเส้นพื้นบ้านท่ีมีช่ือเสียง 8 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

เป็นท่ียอมรับและชาวบ้านรู้จักกันดี ใช้วิธีสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) ทั้งเป็นทางการ (Formal interview) และไม่เป็นทางการ (Non-formal interview) ประกอบกับการสังเกต แบบมีส่วนร่วม (Participant observation) และไม่มีส่วนร่วม (Non-participant observation) วเิ คราะหข์ ้อมลู โดย การจดั แยกประเภทและจัดหมวดหมู่ขอ้ มูล ผลการศกึ ษา พบว่า ๑. หมอเส้นพื้นบ้านอีสานมีความเชื่อว่าการเจ็บปวดตามร่างกาย การเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติ บางอย่าง เกิดจากเส้นเอ็นหด แข็ง ตึงหรือเส้นเอ็นถูกทับ เรียกว่า “เส้นจม” วิธีแก้ไขจะใช้วิธีกดนวดเส้นเอ็น ให้คลายซ่ึงมีผลท�ำให้ “เส้นลอย” ก็จะบรรเทาอาการเจ็บปวดหรือบ�ำบัดอาการผิดปกติได้ หมอเส้นจะไม่ใช้วิธีจับ ดงึ เส้นเพราะอาจทำ� ใหเ้ ส้นเอ็นฉกี ขาด ๒. เทคนคิ วธิ ีการกดเสน้ ของหมอเสน้ พื้นบ้านอีสาน มี ๒ วิธี คอื ๒.๑ การ “ขิด” หมายถึง การใช้น้ิวหัวแม่มือกดเส้น แล้วค่อย ๆ เคล่ือนนิ้วหัวแม่มือไปทางนิ้วช้ี เป็นเทคนิคการกดเส้นเอ็นท่ีใช้กับส่วนของร่างกายบริเวณท่ีมีความแข็ง เช่น ขมับ หลัง หน้าแข้ง หมอเส้นบางคน พัฒนาเทคนคิ วิธีขดิ ใหไ้ ดผ้ ลดีจากประสบการณข์ องตนเอง เช่น ใชเ้ ทคนคิ รอ่ นมอื ไปพร้อมกบั การขิด ๒.๒ การใช้ฝ่ามือหรือสันมือกดเส้น เป็นเทคนิคการกดเส้นเอ็นที่ใช้กับส่วนของร่างกาย บริเวณ ทมี่ ีความนมุ่ เช่น บรเิ วณชอ่ งท้อง สะโพก ขาท่อนบน หมอเส้นทุกคน มีการกดเส้นเพมิ่ เติมบริเวณอน่ื ๆ อกี ใหแ้ ก่ ผรู้ ับบรกิ าร แม้วา่ อวัยวะสว่ นนน้ั จะไม่มีอาการผิดปกติ เพราะเชอ่ื วา่ เสน้ เอน็ ทกุ เสน้ มคี วามเชือ่ มโยงกันทัว่ รา่ งกาย หากเสน้ ใดเส้นหนงึ่ หด ตึง ก็จะสง่ ผลให้เส้นอนื่ ๆ หด ตึง ตามไปดว้ ย จะส่งผลให้อวัยวะส่วนอื่นๆ มอี าการผิดปกติ ไปด้วยหมอเส้นส่วนใหญ่ ไม่มีการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือประกอบในการกดเส้น ไม่มีการท�ำพิธีกรรม การกดเส้น เปน็ การแก้ไขหรือรักษาอาการผิดปกตมิ ากกว่าการใหร้ า่ งกายผ่อนคลายหรอื เพอื่ สง่ เสริมสขุ ภาพ ๓. กระบวนการถ่ายทอดการเรียนรู้ พบว่าหมอเส้นพ้ืนบ้านอีสานส่วนใหญ่มีญาติรุ่นก่อนเป็นหมอเส้น เช่น มมี ารดาเป็นหมอเสน้ ได้เคยให้กดเสน้ และบอกใหจ้ ดจ�ำต�ำแหนง่ ทก่ี ด ตอ่ มาไดม้ ีโอกาสลองกดเส้นใหค้ นอ่นื ๆ ปรากฏว่าสามารถแกไ้ ขอาการเจบ็ ป่วยได้ ทำ� ให้สนใจทจ่ี ะเป็นหมอเสน้ จงึ เรยี นรู้โดยวิธลี งมือปฏบิ ัติ กดเส้นใหญ้ าติ พี่น้องอ่ืน ๆ อีก ต่อมาได้ยึดเป็นอาชีพเสริม อาชีพหลักของหมอเส้นส่วนใหญ่คือเกษตรกรรม หมอเส้นส่วนใหญ่ มกี ารเรยี นรกู้ ารกดเสน้ เพมิ่ เตมิ ดว้ ยตนเอง จนสามารถพฒั นาเทคนคิ การกดเสน้ แกไ้ ขอาการเจบ็ ปว่ ยไดห้ ลายอาการ จนมีช่ือเสยี งเป็นทีร่ จู้ ักของคนทั่วไป ๔. อันตรายจากการกดเส้น จากการศึกษาพบว่าไม่ปรากฏอันตรายใด ๆ หมอเส้นส่วนใหญ่คิดว่าปัญหา การประกอบอาชีพหมอเส้น คือ ปัจจุบันหมอเส้นมีอายุมาก ต้องการเลิกอาชีพนี้ ต้องการพักผ่อน ขณะน้ียังไม่มี ผู้สืบทอดความรู้การกดเส้นอย่างจริงจัง เกรงว่าหากหมอเส้นรุ่นเก่าหมดไป ภูมิปัญญาท้องถิ่นเร่ืองการกดเส้น อาจจะสญู หายไปดว้ ย เพญ็ นภา ทรพั ยเ์ จริญ และคณะ (๒๕๔๖) ศึกษาเรอ่ื ง “องค์ความรู้การนวดพน้ื บ้านในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของ ประเทศไทย” มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ๑. รวบรวมองคค์ วามรกู้ ารนวดพืน้ บา้ นในภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของประเทศไทย ๒. รวบรวมองค์ความรจู้ ากตำ� รา คัมภรี ์ เอกสารตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง ๓. รวบรวมรายชื่อโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการนวด ใช้วิธีการศึกษาโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ร่วมกับการสงั เกต โดยการคดั เลอื กแบบเจาะจงในแต่ละภาค โดยมเี กณฑ์ในการคดั เลือกคือ พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 9

๑) เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการนวดเป็นระยะเวลาติดตอ่ กนั นาน ๑๐ ปขี น้ึ ไป ๒) มจี �ำนวนผปู้ ว่ ยมาขอรบั บรกิ ารอยา่ งนอ้ ยวนั ละ ๒-๓ คนตอ่ วัน ๓) ใชว้ ิธนี วดแบบเชลยศักด ์ิ ๔) มีความเชยี่ วชาญเฉพาะด้านกระดูกและกลา้ มเนอ้ื ผลการศกึ ษา พบวา่ ส่วนใหญ่เรยี นรู้ดา้ นการนวดมาจากบรรพบรุ ษุ ตง้ั แตร่ ุ่นปู่ ยา่ ตา ยาย มาส่รู ุ่นพ่อ แม่ โดยการสืบทอดต่อ ๆ กันมาการเรียนรู้วิธีการนวดเพ่ิมเติมจากต�ำรา ด้านวิธีการนวดรักษาของหมอนวดพื้นบ้าน ๔ ภาคของประเทศไทย พบว่า หมอนวดพ้ืนบ้านแต่ละภาค แต่ละบุคคล มีวิธีการนวดรักษาแตกต่างกันไป เช่น การใช้มือนวดอย่างเดียวในการรักษา การใช้มือและเท้านวดในการรักษา การนวดร่วมกับการจับเส้นและ การเหยียบ การเช็ดไข่อย่างเดียว การผสมผสานระหว่างการนวด การจับเส้น การเหยียบและการเช็ดไข ่ นอกจากน้ียังมีการประคบสมุนไพร การใช้ยาสมุนไพรจ่ายให้กับผู้ป่วยตามลักษณะอาการ การจ่ายยาสมุนไพร ตามธาตุท้ัง ๔ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้�ำ ธาตุลมและธาตุไฟ และมีการใช้น้�ำมันในการนวดรักษา รวมทั้ง การใช้คาถาในการรักษาร่วมด้วย ด้านโรคที่รักษาได้ด้วยการนวด พบว่า กลุ่มอาการหรือโรคที่รักษาด้วยการ นวดไทย ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดต้นคอ (คอตกหมอน) ปวดข้อไหล่ ปวดเอว ปวดหลัง ปวดต้นขา ปวดน่อง ปวดข้อเข่า กระดูกไหปลาร้าหัก กระดูกข้อไหล่หลุด กระดูกต้นแขนหัก กระดูกข้อศอก (เคล่ือน หลุด หัก) กระดูกปลายแขนหัก กระดูกข้อมือหัก กระดูกนิ้วหัก กระดูกสะโพกหัก กระดูกต้นขาหัก กระดูกสะบัก หัก กระดูกปลายขาหัก กระดูกข้อเท้าและน้ิวเท้าหัก อัมพฤกษ์ อัมพาต แขนขาลีบไม่มีแรง กระดูกนิ้วมืองอ ข้อเท้าแพลง ตกต้นไม้ โรคหัวใจ โรคหัวใจตีบ ความดันโลหิตต่�ำ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ปวดประจ�ำเดอื นและมไี ข้ ประจำ� เดอื นมามาก/มาไม่ปกติ หญงิ ท่ีมีลกู ยาก ตามองไม่ชดั เส้นตาย เสน้ หาย เส้นไม่ หาย และเส้นจม ซางเข้าข้อ (โปลิโอ) เลือดเป็นพิษ ส่วนกลุ่มอาการหรือโรคที่ไม่สามารถรักษาด้วยการนวดไทย ได้แก่ โรคมะเรง็ โรคเอดส์ แผลติดเชอ้ื แผลเรือ้ รัง ฝหี นอง ดา้ นหลักการนวด พบวา่ หมอนวดพื้นบ้านแต่ละภาค จะมีหลักการนวดแตกต่างไป ซ่ึงส่วนใหญ่จะใช้หลักการนวด ได้แก่ นวด กด บีบ รีด คล�ำ นอกจากน้ียังมีการใช้ หลกั การนวดท่แี ตกตา่ งกนั ไป เช่น เหยียบ ขยำ� คล่ี คลาย คลงึ ดงึ ดัด จัด เขย่ี หรอื แกะ แตง่ เสน้ กดเส้น เกลีย่ เส้น ดงึ จ้ำ� หรอื กด จบั เสน้ หรอื จบั เอ็น โกย ดา้ นข้อหา้ มในการนวด พบว่า สว่ นใหญม่ ขี อ้ หา้ มในการนวดและในการ อาหารแสลงแตกต่างกันไปในแต่ละภาค ผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ท�ำให้ทราบว่าองค์ความรู้การนวดพ้ืนบ้าน ของหมอพื้นบ้านในแต่ละภาคมีวิธีการนวดที่หลากหลายแตกต่างกันไป แม้แต่ในจังหวัดเดียวกัน พ้ืนที่ใกล้เคียงกัน หมอนวดพื้นบ้านยังมีวิธีการนวดท่ีไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท่ีได้รับการสืบทอดมาจาก บรรพบุรุษแตกต่างกันไปนั่นเอง จงึ เปน็ สาเหตใุ ห้หมอนวดพ้ืนบา้ นแตล่ ะบุคคลมีความเชย่ี วชาญ ช�ำนาญ ความถนดั ในการรักษาโรคที่แตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตามจุดที่ท�ำการนวดรักษายังมีบางจุดท่ีคล้ายคลึงกัน ซึ่งคณะผู้วิจัย มีความเห็นว่าควรเพิ่มกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาของแต่ละภาค และควรมีการน�ำมาวิเคราะห์เทียบเคียงกับ กายวภิ าคศาสตรข์ องการแพทย์ในปจั จุบัน สมบูรณ์ ทิพย์นุ้ย พนม สังข์สินเลิศ วัลลภ พรหมสังฆะหะ สุพรรณี ยีโชติช่วง ประสิทธ์ิ รามทิพย์ (๒๕๔๖) ศึกษาเรื่อง “การฟื้นฟูภูมิปัญญาและการขยายองค์ความรู้ให้เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพชุมชนของ หมอนวดพื้นบ้าน อ�ำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง” มีวัตถุประสงค์ ในการสร้างองค์ความรู้เพื่อใช้ในการดูแล สุขภาพรว่ มกัน กระบวนการดำ� เนนิ งาน ประกอบด้วยการสืบค้นขอ้ มลู จากหมอนวดจ�ำนวน ๓๕ คน ประกอบดว้ ย กลุ่มหมอรักษาอาการทั่วไป จ�ำนวน ๑๗ คน กลุ่มหมอรักษาอัมพฤกษ์ อัมพาต เหน็บชา จ�ำนวน ๘ คน 10 พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

และกลุ่มหมอต�ำแย จ�ำนวน ๑๐ คน การสืบค้นข้อมูลใช้กระบวนการสาธิตโดยให้หมอนวดแต่ละคนปฏิบัติให้ดู ท�ำการบันทึกภาพ จากนั้นน�ำข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกัน จากนั้นลงมือท�ำการนวดให้กับผู้มาใช้บริการจ�ำนวน ๑๐๐ คน แบง่ เปน็ ๓ กลุ่มอาการ คอื ๑. กลุม่ ผ้มู อี าการทัว่ ไป จ�ำนวน ๓๓ คน ๒. กลมุ่ ผู้ท่ีเปน็ อัมพฤกษ์ อมั พาต เหน็บชา จำ� นวน ๓๓ คน ๓. กลุ่มผ้ปู ว่ ยทีม่ ีอาการเกยี่ วกบั มดลกู จ�ำนวน ๓๔ คน ผลจากการศึกษาพบว่าผู้มาใช้บริการมีความพึงพอใจทุกคน จากนั้นคณะผู้วิจัยได้จัดท�ำคู่มือการนวด จำ� นวน ๓ ชุด คือ ๑) ชุดคูม่ อื การนวดรักษาโรค อมั พฤกษ์ อมั พาต เหน็บชา ๒) ชุดคู่มอื การนวดรกั ษาตามอาการทวั่ ไป ๓) ชุดคมู่ อื การดแู ลแม่และเดก็ ก่อนคลอดและหลังคลอดโดยหมอต�ำแยพ้นื บา้ น ดารณี อ่อนชมจันทร์ และคณะ (๒๕๔๘) ศึกษารูปแบบวิธีการทางกายภาพบ�ำบัดในการดูแลรักษา อาการเกี่ยวกับระบบประสาทกล้ามเน้ือและโครงร่างทางการแพทย์พื้นบ้านไทย ซ่ึงด�ำเนินการในระหว่าง เดอื นสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ถงึ เดอื น มนี าคม พ.ศ. ๒๕๔๗ และได้น�ำมาจัดทำ� เป็นหนงั สือในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยใช้ วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกจากหมอนวดพื้นบ้าน ภาคละ ๒๐ คน และจัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อเสนอ มาตรฐานด้านการนวดพ้นื บา้ น จากการศึกษาพบวา่ หมอนวดพ้นื บา้ นมีเทคนิคในการนวด ๒๓ แบบ คอื บีบ ขย�ำ คล่ี คลาย คลึง คล�ำ รดี ดึง เหยยี บ ทุบ สบั บิด กด ดดั ตอก กระตกุ จก(ล้วง) ขิด(เข่ีย) โกยเสน้ ประคองเสน้ ดนั เส้น เช็ดไข่และถกเส้น ส�ำหรับโรค/อาการที่รักษาโดยการนวดมีทั้งสิ้น ๒๑ โรค/อาการ ได้แก่ เคล็ดขัดยอก อัมพาต อัมพฤกษ์ ปวด/ตึงเส้นและเอ็น กระดูกทับเส้น กระดูกซ้น กระดูกหัก แขนหลุด เหน็บชา เครียด มดลูกหย่อน ไสเ้ ล่ือน นวดกอ่ นคลอดและหลังคลอด กระตุน้ น�้ำนม ผดิ เดือน เอ็นตกนกตาย (หย่อนสมรรถภาพทางเพศ) ปวดหัว สะบกั จม ไขม้ าลาเรยี ไขขอ้ อกั เสบและเบาหวาน นอกจากนใี้ นรายงานฉบบั นย้ี งั ไดม้ กี ารนำ� เสนอมาตรฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั การนวดพน้ื บ้านไว้ ๒ มาตรฐานคือ ๑. มาตรฐานการใหบ้ ริการการนวดทัว่ ไป ๒. มาตรฐานการใหบ้ ริการการนวดพื้นบ้านเฉพาะถน่ิ โดยมาตรฐานการใหบ้ รกิ ารการนวดทวั่ ไป แบง่ ออกเปน็ ๓ ส่วน คือ ๑) สถานท่ีและอุปกรณ์การนวด ๒) คณุ สมบัตขิ องหมอนวด ๓) การให้บริการ ส่วนมาตรฐานการให้บริการการนวดพื้นบ้านเฉพาะถิ่น ให้แต่ละพื้นที่จัดท�ำศูนย์เรียนรู้และมีการประชุม ลงมติเพื่อกำ� หนดมาตรฐานของแตล่ ะพนื้ ที่ มลู นธิ กิ ระจกเงา (๒๕๕๐) ไดร้ ายงานวา่ ชนเผา่ ลาหมู่ ภี มู ปิ ญั ญาในการนวดแบบพนื้ บา้ นในการรกั ษาโรคตา่ ง ๆ เชน่ การนวดรกั ษา เมอ่ื ปวดตามรา่ งกาย การนวดรกั ษาตอ่ กระดกู หกั การนวดรกั ษาขอ้ เคลอ่ื น ขาพลกิ แพลง การนวด รักษาคนท่ีมีบุตรยากให้มีบุตร การนวดรักษาโรคอาจจะควบไปกับการเป่าคาถา บางคนใช้ยาสมุนไพรควบคู่กับ นวดด้วย การนวดรักษาโรคอาจจะควบคู่ไปกับการเป่าคาถาการนวดด้วย แต่ปัจจุบันการดูแลรักษาสุขภาพ หมอพื้นบ้านของลาหู่เปลี่ยนแปลงไปมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นการรักษาท่ีได้ผลดี ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย และปลอดภัย พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 11

เน่ืองจากขาดการสืบทอดทางพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ และการใช้ยาสมุนไพรของคนรุ่นใหม่ไม่มีการเรียนการสอน ท�ำให้ยาสมุนไพรเริ่มขาดแคลนหายากมากข้ึน เพราะว่าความเจริญก้าวหน้าด้านสาธารณสุข และมีสถานพยาบาล เขา้ มาสใู่ นชมุ ชน ชุมชนจึงหนั ไปใช้ยาจากโรงพยาบาล เลยไมม่ กี ารสืบทอดต่อๆ การใช้ยาสมนุ ไพรจึงเร่มิ ขาดหายไป ทีละนิดทีละหน่อย อีกไม่ก่ีปีข้างหน้าคนรุ่นใหม่คงจะไม่ได้เห็นยาสมุนไพรของชนเผ่าตนเองแน่นอน (http:// www.hilltribe.org/thai/lahu/lahu-traditional-medicine.php) ระพพี นั ธ์ ศริ ิสมั พนั ธ์ (๒๕๕๓) ศกึ ษาเร่ือง “การอนรุ กั ษแ์ ละการพฒั นาการนวดพ้นื บา้ น จงั หวดั นครพนม” โดยมวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื ๑. ศกึ ษาประวตั ิความเป็นมาของหมอนวดพนื้ บา้ น ๒. เพอ่ื ศึกษาภมู ิปญั ญาการนวดพ้นื บา้ น จงั หวัดนครพนม ๓. เพ่อื ศกึ ษาการอนุรักษ์และการพัฒนาการนวดพนื้ บา้ น จังหวัดนครพนม พ้ืนท่ีที่ท�ำการศึกษา ๑๒ อ�ำเภอ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย กลุ่มผู้รู้ ๒๕ คน กลุ่มผู้ปฏิบัติ ๖๐ คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั่วไป ๒๐ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสัมภาษณ์ แบบไม่มีโครงสร้าง แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมและแบบบันทึกการสนทนา กลมุ่ นำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าตรวจสอบดว้ ยวธิ กี ารแบบสามเสา้ (Triangulation) วเิ คราะหต์ ามความมงุ่ หมายทตี่ งั้ ไว ้ ผลจาก การศกึ ษาพบว่า ประวัตคิ วามเปน็ มาของหมอนวดพ้นื บา้ น มที ม่ี า ๔ ประการคอื ๑. เรียนร้จู ากการสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรษุ ๒. เรยี นรจู้ ากการศกึ ษาดว้ ยตนเอง ดว้ ยวธิ ที ดลองดว้ ยตวั เอง เรยี นรจู้ ากตำ� ราของครอู าจารยแ์ ละนกั วชิ าการ ๓. เรียนรจู้ ากหมอนวดพืน้ บ้านท่ีมชี ่ือเสียง ๔. เรียนรู้เพ่ิมเตมิ จากการเป็นวิทยากรและประสบการณก์ ารนวด ในการศึกษาครัง้ นีพ้ บวา่ การนวดพน้ื บา้ นมเี ทคนคิ การนวดและองคป์ ระกอบ ๖ ข้นั ตอน คือ ๑. ท�ำการสอบถามประวัตแิ ละโรคประจำ� ตัวก่อนทำ� การนวด ๒. ใช้เวทมนต์คาถา และบูชาครอู าจารยด์ ้วยการไหวข้ อพรกอ่ นท�ำการนวด ๓. ใช้น้ิวมือนวดตามจุดท่ีต้องการ การกดด้วยความแรงและเบาข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของรูปร่าง ผ้ทู ่ีมารับการนวด ๔. สถานท่ีตามสะดวก โล่งแจ้ง อากาศถา่ ยเทไดส้ ะดวก โดยจะมอี ุปกรณ์ ไดแ้ ก่ ไม้กดหลัง หิน กะลา และ สมนุ ไพร เชน่ ยาประคบและน้�ำมนั ไพล ที่ใชใ้ นการรักษา ๕. ราคาค่านวด ต้ังแต่ ๕๐ – ๓๐๐ บาท ๖. การนวดจะไมม่ ขี ้อห้าม (ขะลำ� ) เวน้ แต่ผู้ทม่ี ีโรคประจำ� ตวั ภูมิปัญญาวิธีการนวดบ�ำบัดอาการผิดปกติ ได้แก่ หูอ้ือ ปวดเส้นสัน สันในจม ปวดหลัง ข้อเท้าเคล็ด ปวดส้นเท้า ปวดขาและปวดบั้นเอว ตะคริวท่ีเท้าและตะคริวท่ีน่อง สะบ้าหลุด แขนเคล็ดและอาการปวดที่ไหล่ คอเคล็ด ท้องอืด มดลูกหย่อน เอ็นเข้าเปี้ยง ข้อขาเคล็ด ไซนัสและปวดฟัน ปวดคอ ปวดช่องอก กล้ามเนื้อไหล่ อักเสบ ปวดกล้ามเนื้อขาและหัวเข่า หน้ามืด ปวดหลังและประจ�ำเดือนมาไม่ปกติ ปวดตานกเอ้ียง ปวดขัดก้น ปวดไหล่ ปวดศรี ษะ ภมู แิ พ้ เสน้ คอตงึ นว้ิ มอื ชา ปวดฝา่ เทา้ ขอ้ ศอกเคลอ่ื น เสน้ ประสาทลงขาและมดลกู เอยี ง หมอนวด แต่ละคนมีรายละเอียดวธิ ีการนวดทีแ่ ตกตา่ งกันออกไป ส่วนอันตรายทเ่ี กิดจากการนวดยงั ไม่พบ ในด้านการอนุรักษ์และพัฒนาการนวดพื้นบ้านพบว่า หน่วยงานท่ีทำ� การบ�ำบัดรักษาโรคคือ สถานีอนามัย และโรงพยาบาลควรน�ำภูมิปัญญาการนวดพื้นบ้านเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการสุขภาพของประชาชนท้ัง ๔ ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาผู้ป่วยและการฟื้นฟูสุขภาพ ทั้งนี้หมอนวดพื้นบ้านต้องศึกษา 12 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

ข้อดีและข้อเสียของการนวดในแต่ละแบบ เพ่ือประมวลความรู้ให้มีประสิทธิภาพในการนวดมากข้ึน หมอนวด พน้ื บา้ น จะตอ้ งอธบิ ายวธิ กี ารนวดอยา่ งละเอยี ด ชดั เจน ใหผ้ มู้ ารบั การนวดทราบ มกี ารพฒั นาเพม่ิ พนู ความรใู้ หท้ นั กบั การพฒั นาการบรหิ ารจดั การสขุ ภาพของประชาชน นอกจากนี้ หมอนวดควรมกี ารวางตน และมมี าตรฐานในการนวด โดยสรุป ผลของงานวจิ ยั นีส้ ามารถนำ� ไปเปน็ แนวทางการรกั ษาสุขภาพแบบแพทย์ทางเลอื ก การอนรุ ักษแ์ ละพฒั นา การนวดพื้นบ้านควบคู่การรักษาตามวิทยาการสมัยใหม่ ตลอดจนสามารถน�ำไปพัฒนาวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ประยกุ ต์ได้ วทิ ยา ภมู ิเหลา่ แจ้ง (๒๕๕๔) ศกึ ษาเร่ือง “หมอเอ็น : การพัฒนาการใชภ้ ูมปิ ญั ญาพ้ืนบ้านต่อกระบวนการ รกั ษาระบบกลา้ มเนอ้ื ในภาคอีสาน” โดยมี วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา ดังน้ ี ๑. เพ่ือศกึ ษาประวัตคิ วามเป็นมาของหมอนวดพ้นื บา้ น ๒. เพอ่ื ศกึ ษาภูมปิ ญั ญาการนวดพ้ืนบ้าน ๓. เพอ่ื ศกึ ษาการใชภ้ มู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ นของหมอเสน้ เอน็ ตอ่ กระบวนการรกั ษาระบบกลา้ มเนอื้ ในภาคอสี าน พนื้ ทศ่ี ึกษา ๓ จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธ์ุ นครพนม และสกลนคร กลุ่มตัวอยา่ งเลอื กแบบเจาะจง แบง่ เป็น ๓ กลุม่ ประกอบดว้ ยกลุ่มผูร้ ู้ ๑๒ คน กลมุ่ ผูป้ ฏิบตั ิ ๙ คน และกลุ่มผใู้ หข้ ้อมูลท่วั ไป ๔๐ คน เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการ เก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบสังเกต แบบมสี ว่ นรว่ ม แบบสงั เกตแบบไมม่ สี ว่ นรว่ ม และแบบบนั ทกึ การสนทนากลมุ่ วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารแบบ ๓ เสา้ และน�ำเสนอข้อมูลแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า ประวัติความเป็นมาของหมอเส้นเอ็นซ่ึงมีบทบาท ต่อกระบวนการรกั ษาระบบกล้ามเน้อื ในภาคอสี าน พบวา่ การนวดพ้ืนบา้ นเป็นการรกั ษาอาการป่วย พัฒนามาจาก ปญั หาด้านสุขภาพของคนในชุมชน วิธกี ารเรียนร้แู ละการถา่ ยทอดภมู ปิ ัญญาการนวดพืน้ บ้านมี ๓ วธิ ี คือ ๑. เรียนรู้จากการศกึ ษาด้วยตนเอง ทดลองดว้ ยตวั เอง ๒. เรียนรู้จากตำ� ราของครูอาจารยแ์ ละนกั วิชาการ เรียนร้จู ากหมอนวดพื้นบ้านทม่ี ีชือ่ ๓. เรยี นรู้เพม่ิ เตมิ จากการเป็นวทิ ยากร ประสบการณ์การนวด สภาพปัจจบุ นั และปญั หาการใช้ภูมิปัญญา พื้นบ้านของหมอเส้นเอ็นต่อกระบวนการรักษาระบบกล้ามเนื้อในภาคอีสาน กระบวนการใช้ภูมิปัญญา การนวดพ้ืนบ้านแบ่งออกเป็น ๒ ขั้นตอนคือการสอบถามประวัติผู้รับการนวดและการเตรียมความพร้อมก่อน การนวด ท้งั ๓ ดา้ น คือ ๑. ด้านสถานที่ ๒. ด้านร่างกาย ๓. ดา้ นจิตใจของหมอนวดรวมทัง้ ด้านรา่ งกายและจติ ใจของผูม้ ารับการนวด จากการศึกษาพบว่า อาการไม่สบายซ่ึงหมอเส้นเอ็นรักษาได้ ได้แก่ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เสน้ ปลายประสาทอกั เสบ ตะครวิ ไมเกรน ระดับน้�ำตาลในเลอื ดไมส่ มดุล ปวดฟนั ปวดตา มดลูกเอียง ส�ำนักการแพทย์พ้ืนบ้านไทย (๒๕๕๔) ศึกษาองค์ความรู้การดูแลอัมพฤกษ์ อัมพาตของหมอพื้นบ้าน ใน ๔ ภาค ดงั นี้ ๑. วัดหนองหญา้ นาง จังหวัดอุทัยธานี ๒. ศูนยก์ ารเรียนรกู้ ารแพทยพ์ ื้นบ้านหมอสง่า พนั ธ์สุ ายศรี จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ๓. เครือขา่ ยต�ำบลแวงชยั อำ� เภอน้ำ� พอง จังหวดั ขอนแกน่ ๔. ต�ำบลปากพนู และต�ำบลปากนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 13

จากการทบทวนเอกสารพบว่าสถานการณ์ของคนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองซ่ึงเป็นสาเหตุท่ีท�ำให้ เกิดอมั พฤกษ์ อัมพาต ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มผี ู้ปว่ ย ๗๕ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน เพ่ิมมาเป็นจ�ำนวน ๒๐๖.๓๔ คนต่อประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จากสถานการณ์ท่ีมีผู้ป่วยเพิ่มมากข้ึน ท�ำให้ต้องมีการพึ่งพา หมอพื้นบา้ นเพม่ิ มากขึ้น จากการศึกษาพบวา่ หมอพ้นื บ้านส่วนใหญม่ อี งคค์ วามรู้ในการนวดรักษาอมั พฤกษ์ อัมพาต จากการได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษในเบื้องต้น จากนั้นท�ำการแสวงหาประสบการณ์ด้วยตนเองจนเกิด ความเช่ียวชาญ หลกั การวนิ จิ ฉัยโรคดูจากอาการภายนอกของผู้ป่วย ทั้ง ๔ กรณี มกี ระบวนการรกั ษา/จุดทีท่ ำ� การ นวดคลา้ ยคลึงกัน แตแ่ ตกตา่ งกนั ในเรื่องการใช้สมุนไพร กัลยา มหาวัน (๒๕๕๕) ศึกษาเร่ือง “การแพทย์พ้ืนบ้านชาวเขาเผ่าจีนฮ่อ มูเซอด�ำ ปะหล่อง และไทยใหญ่” กรณีศึกษา ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ดอยอ่างขาง อ�ำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี การนวดบ�ำบัดเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในครั้งนี้ จากการศึกษาใน ๕ กลุ่มชาติพันธุ์ พบว่าแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ มวี ิธกี ารนวดรกั ษาทแ่ี ตกต่างกันดงั นี ้ ๑. ชนเผ่าจนี ฮอ่ มกี ารนวดบำ� บัด (กวั ซาบ�ำบัด) จำ� นวน ๓ วธิ ี ๒. ชนเผ่ามูเซอดำ� ฮอ่ มีการนวดบ�ำบดั จ�ำนวน ๕ วธิ ี พร้อมทัง้ ๕ วธิ เี ป่าบ�ำบัด ๓. ชนเผา่ ปะหลอ่ ง มีการนวดบำ� บัด จำ� นวน ๑๑ วิธี ๔. ชนเผา่ ไทยใหญ่ มีการนวดบ�ำบดั จ�ำนวน ๙ วิธี การนวดท้ัง ๒๘ วิธี ส่วนใหญ่ใช้ส่วนของมือไม่ว่าจะเป็นน้ิวมือทุกน้ิว อุ้งมือ หรือแรงจากข้อน้ิวมือและ ข้อมือของหมอนวดหรือหมอบีบ ในการนวดลงบนอวัยวะต่าง ๆ ตามร่างกายที่มีอาการปวดของผู้ป่วย โดยแบ่ง ตามอาการของโรคไดด้ ังนี้ ๑. เพอ่ื บรรเทาอาการปวดเม่ือยตามร่างกาย คลายปวดหวั หลัง เอว หน้าทอ้ ง เสน้ เอน็ กลา้ มเน้อื เสน้ ยึด จากการท�ำงานหนัก ๒. เพือ่ บรรเทาอาการชาตามนิว้ มอื และนิว้ เทา้ รวมทัง้ ตะครวิ ๓. เพ่อื รักษาอาการปวดหลังจากไดร้ บั อบุ ตั เิ หตุ เชน่ คลายเจ็บคอเพราะตกหมอน แกอ้ าการขอ้ มือข้อเทา้ เคล็ดบวมเพราะหกลม้ แกอ้ าการไหลห่ ลดุ หรอื การเข้าเฝอื กเพราะรถชน ๔. เพื่อนวดคนชัก ขากรรไกรค้างหรอื อาการชกั เพราะไข้สูง ๕. เพ่ือรักษาหญิงมีครรภ์และหญิงเพิ่งคลอดบุตร ได้แก่ การบีบเพ่ือช่วยให้ลูกในท้องพลิกตัว หรือลดอาการเจ็บท้องจากการพลิกตัว ถีบของลูกในท้อง การบีบมดลูกหย่อนให้กระชับหลังคลอดหรือการบีบ ตามเอว สะโพก หลัง ตน้ ขาหลงั ผา่ นการเบง่ คลอดลกู เพ่ือให้คลายปวดและเส้นเอ็นกลับเข้าท่ี อุษา กลิ่นหอม (๒๕๕๕) ได้รายงานการนวดพ้ืนบ้านอีสานในหนังสือช่ือ “ขิดเส้น” ซ่ึงเป็นการถอด องค์ความรู้จากหมอพ้ืนบ้านจ�ำนวน ๒ คน พบว่ามีการวินิจฉัยโรคท่ียังไม่เคยมีการรายงานมาก่อน น่ันคือ การตรวจอาการโดยใช้มือคล�ำเส้นที่อยู่รอบสะดือ ต�ำแหน่งของเส้นที่อยู่รอบสะดือน้ีจะเป็นตัวบ่งบอกว่าส่วนใด ของร่างกายผิดปกติ จากนั้นจึงใช้การนวดรักษาส่วนที่เกี่ยวข้อง จากรายงานพบว่าโรค/อาการที่สามารถรักษา ได้ด้วยการนวดมีจ�ำนวน ๓๒ โรค/อาการ โดยแสดงภาพประกอบข้ันตอนในการนวดแต่ละโรค/อาการ นอกจากนี้ ยงั ไดร้ ายงานสมนุ ไพรทีใ่ ชร้ ว่ มกบั การรกั ษาด้วยการนวดจำ� นวน ๑๔๐ ชนดิ 14 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๓) กรอบแนวคิดในการศึกษา จากการทบทวนเอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการนวดพนื้ บา้ นภาคเหนอื ท�ำใหเ้ ชอ่ื ว่าการนวดลา้ นนา จะส่งผลต่อโรคและอาการท่ีรักษาตามภูมิปัญญาการนวดพื้นบ้านล้านนา สามารถก�ำหนดรูปแบบ วิธีการนวดและ สมุนไพรทใ่ี ชร้ ว่ มกับการนวดได้ ซ่งึ ผ้วู จิ ยั นำ� มากำ� หนดกรอบแนวคิดในการศกึ ษา ดังน้ี กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา ความเชือ่ พ้นื บ้านลา้ นนา โรคและอาการทีร่ กั ษาได้ รปู แบบ/วธิ กี ารนวด ดว้ ยการนวดพ้ืนบา้ นลา้ นนา พื้นบา้ นล้านนา ดา้ นการเกิดโรค สมุนไพรทใี่ ช้ร่วมกบั ดา้ นการวนิ จิ ฉัย การนวด ธาตวุ นิ จิ ฉัย กาลวินิจฉัย ฤดูวนิ ิจฉยั อายุวินิจฉยั ภมู ลิ ำ�เนาวนิ ิจฉัย กรรมวนิ ิจฉยั ดา้ นโครงสรา้ งร่างกาย ด้านพธิ กี รรม ภาพ ๒.๒ กรอบแนวคิดในการศึกษา เร่อื งพนื้ ฐานการนวดพื้นบ้านภาคเหนือ พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 15



๓บทที่ วธิ กี ารศกึ ษา การด�ำเนนิ งาน มี ๔ ขั้นตอนหลกั คือ ๓.๑ ประชากร และการเลอื กลุม่ ตัวอย่าง ๓.๒ เคร่อื งมอื การเก็บขอ้ มูล ๓.๓ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ๑) การถอดองคค์ วามรรู้ ายบคุ คล ๒) การจัดเสวนากล่มุ ๓) การสอบทานองคค์ วามรู้ ๓.๔ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ๓.๑ ประชากรและการเลือกกล่มุ ตวั อย่าง คณะทำ� งานมกี ารก�ำหนดคุณสมบตั ิของหมอนวดพน้ื บ้านท่ีเข้าร่วมในโครงการ ดังนี้ ๑) เป็นท่ียอมรับของชุมชนหรือมีใบรับรองจากหน่วยงานในชุมชนหรือได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบ โรคศิลปะในสาขาการแพทยแ์ ผนไทย มาตรา ๓๓ (๑) (ค) ตาม พรบ. การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.๒​​ ๕๔๒ และเงอ่ื นไข การรับรองหมอพืน้ บา้ นตามมาตรา ๓๑ (๑) (๗) พรบ.วิชาชพี การแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ.๒​ ๕๕๖ ๒) มปี ระสบการณใ์ นการนวดแบบพนื้ บา้ นไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๐ ปี หรอื ทำ� การนวดรกั ษามาไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๐๐ ราย ๓) ยังมกี ารให้บริการในปจั จบุ นั ในการคัดเลือกหมอนวดท่ีมีคุณสมบัติดังกล่าวได้ใช้ระบบการคัดเลือกแบบเจาะจงและ Snow ball sampling โดยเร่ิมจากฐานข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผลการศึกษา ทผ่ี า่ นมา ในเบอ้ื งตน้ ได้รายช่อื หมอนวดพนื้ บา้ นจำ�นวน ๕๐ คน เมอ่ื ลงไปประสานงานเบ้อื งต้น ได้ทำ�การคัดเลือก ให้เหลือเฉพาะที่มีความเชี่ยวชาญและมีผู้มารับบริการมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เข้ามาร่วมในการศึกษาครั้งนี้ เพ่ือ ทำ�การสัมภาษณ์เชิงลึก ผลจากการคัดเลือกในรอบท่ี ๒ ได้หมอนวดพ้ืนบ้านภาคเหนือเข้าร่วมการถอด องค์ความรู้ จำ�นวน ๑๖ คน โดยมรี ายชอื่ หมอนวดพ้ืนบ้าน ดงั ภาคผนวก ง พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 17

๓.๒ เครอื่ งมอื การเก็บข้อมูล - ความเช่อื และวธิ ีการอธิบาย - รปู แบบการนวดพืน้ บ้านลา้ นนา - กระบวนการรกั ษา - พิธกี รรม - สมุนไพรใช้ร่วมกับการนวด ๓.๓ การเก็บรวบรวมข้อมลู ๑) การถอดองค์ความร้รู ายบคุ คล ๑. ใช้แบบสอบถามแบบมีโครงสร้างชนิดปลายเปิด (Structured interview: Open ended questions) ในการถอดองค์ความรู้จากหมอพ้นื บา้ น ๒. ใช้แบบสอบถามแบบมโี ครงสรา้ งชนดิ ปลายปดิ เพือ่ ตรวจสอบประสทิ ธิภาพของการเข้ารบั บริการ และแบบบันทึกการรักษาด้วยการนวดแบบพื้นบ้านท่ีเป็นท่ียอมรับในทางวิชาการและหมอนวดพื้นบ้านสามารถ ปฏบิ ัติได้ เพอ่ื ใช้ในการควบคมุ มาตรฐานและการพัฒนาการนวดพน้ื บ้าน ๓. ใช้การสัมภาษณแ์ บบเจาะลึก (In-depth interview) ๔. ใช้การศกึ ษาแบบมสี ว่ นรว่ ม เพอื่ เรียนรู้เทคนคิ การนวดจากหมอนวดพนื้ บ้าน ๕. ข้นั ตอนในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลใชเ้ ทคนคิ Exploratory data analysis ๒) การจัดเสวนากล่มุ ๑. จดั เสวนากลมุ่ เฉพาะหมอนวดพนื้ บา้ นเพอ่ื ถอดองคค์ วามรเู้ ชงิ ลกึ และสอบทานองคค์ วามรเู้ บอ้ื งตน้ ทไ่ี ด้จากการด�ำเนินงานในภาคสนาม ในระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ จงั หวดั เชียงราย มีหมอนวด พน้ื บ้านเขา้ มาร่วมโครงการ จำ� นวน ๒๗ คน ๒. จัดเสวนากลุ่มเพ่ือสอบทานความรู้ ด�ำเนินการที่กรุงเทพฯ ในระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ มหี มอนวดพนื้ บา้ นและบุคลากรท่ีเก่ียวขอ้ งเขา้ รว่ ม จ�ำนวน ๓๐ คน ๓) การสอบทานองค์ความรู้ ในการด�ำเนินงานในครั้งนี้มีหมอนวดพ้ืนบ้านท่ีมีความรู้เรื่องนวดมาร่วมด้วยหลากหลายชาติพันธุ์ ไดแ้ ก่ ไทใหญ่ มง้ และหมอเมือง เปน็ ตน้ เมอ่ื ถอดองคค์ วามรไู้ ด้แลว้ จึงดำ� เนินการสงั เคราะหข์ อ้ มลู จากนัน้ ทำ� เป็น เอกสาร ส่งใหห้ มอพน้ื บา้ นจำ� นวน ๓ คน คอื หมอประเดิม ส่างเสน (ไทยใหญ่) หมอหม่อ กวินยงั่ ยนื (มง้ ) และ หมอ สำ� ราญ มาฟู (หมอเมอื ง) ได้ท�ำการสอบทานในรอบสุดทา้ ย ตามแผนภมู ิแสดงขัน้ ตอนในการดำ� เนนิ งานในภาพ ๓.๑ 18 พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๓.๔ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เนอ่ื งจากการเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ลกึ ในการสมั ภาษณเ์ จาะลกึ การสนทนากลมุ่ เปน็ ลกั ษณะเชงิ คณุ ภาพ จงึ สามารถ นำ� มาวเิ คราะห์เชิงพรรณนาในเชิงเหตุและผลได้ โดยมขี ัน้ ตอนในการวเิ คราะห์ ดงั นี้ ดำ�เนินการคัดเลือกหมอนวดพ้นื บ้าน ทำ�การสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ จัดทำ�หนงั สือยนิ ยอมในการให้ขอ้ มูล เกบ็ ขอ้ มูลผู้มาใชบ้ ริการ จัดเสวนากลุ่มหมอพ้นื บา้ นเพอ่ื ถอดองค์ความรใู้ นระดับลึก วิเคราะห์ข้อมูล จัดประชุมเชิงปฏิบตั ิการ เพื่อทดสอบองค์ความรู้ และสอบทานองคค์ วามรทู้ ่จี ัดเก็บมาไดท้ ง้ั หมด สงั เคราะหข์ อ้ มลู จดั สอบทานความรู้ จดั ทำ�รายงานเสนอผลการดำ�เนินงาน ภาพ ๓.๑ แสดงข้นั ตอนในการด�ำ เนนิ งาน พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 19



๔บทที่ ผลการศกึ ษา การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาองค์ความรู้การนวดพื้นบ้านล้านนา ซึ่งเป็นองค์ความรู้ของหมอพื้นบ้าน ภาคเหนือ โดยน�ำข้อมูลท่ีได้จากการรวบรวมทั้งหมดมาวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ สามารถน�ำมาเสนอเป็น ๕ ประเด็นหลกั ดังน้ี ส่วนท่ี ๑ หลกั ความเช่อื และวธิ กี ารอธิบายระบบโครงสร้างรา่ งกายมนษุ ย์ สว่ นที่ ๒ การวเิ คราะห์รูปแบบวธิ กี ารนวดพื้นบา้ นล้านนา สว่ นที่ ๓ การวิเคราะหโ์ รค อาการและกระบวนการรักษาของนวดพน้ื บ้านล้านนา สว่ นที่ ๔ พิธีกรรมท่ีใชร้ ่วมกบั การนวดพน้ื บ้านล้านนา สว่ นท่ี ๕ การวเิ คราะห์สมนุ ไพรทใ่ี ชร้ ว่ มกับการนวด สว่ นท่ี ๑ หลกั ความเชอื่ และวิธกี ารอธบิ ายระบบโครงสร้างร่างกายมนษุ ย์ หมอพ้ืนบ้านภาคเหนือได้อธิบายถึงระบบสรีระร่างกายของมนุษย์ตามองค์ความรู้ของหมอนวดภาคเหนือ ไว้ว่า มนุษยเ์ ราประกอบไปด้วย ๒ สว่ น ได้แก่ ๑. ขนั ธท์ ง้ั ๕ ได้แก่ รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ๒. ธาตทุ งั้ ๔ ไดแ้ ก่ ดนิ นำ้� ลม และไฟ ความเช่ือและวิธีการอธิบายการเจ็บป่วยที่เรียกว่า สมุฏฐานโรคของการแพทย์พื้นบ้านล้านนามีรากฐาน มาจากศาสนาพทุ ธ มกี ารอธบิ ายการเกดิ โรคเรม่ิ ตงั้ แตก่ ารจตุ ลิ งมาเกดิ เปน็ มนษุ ยไ์ ดว้ า่ จติ เรม่ิ ตน้ ไมว่ า่ ภพไหนชาตไิ หน จะเป็นตัวก�ำหนดคุณลักษณะความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคน ซ่ึงจะมีกรรมเป็นตัวก�ำกับมาด้วยเสมอ เมื่อเร่ิม มีการปฏิสนธิระหว่างธาตุเพศชาย (ธาตุดิน) กับธาตุเพศหญิง (ธาตุน�้ำ) ข้ึนในครรภ์มารดาก็จะก่อตัวเป็นรูปร่าง เปน็ อวยั วะต่าง ๆ ของรา่ งกาย หรืออาการ ๓๒ ข้นึ มา ประกอบด้วย ๔ ธาตุ ๑. ธาตุดนิ (ปถวธี าต)ุ มี ๒๐ ดวง ได้แก่ เกศา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ทนั ตา (เขยี้ ว/ฟัน) ตะโจ (หนัง) มงั สัง (เน้อื ) นหารู (เอ็น) อัฐิ (กระดูก) อฐั ิมิญชัง (เย่ือในกระดูก) วกั กัง (มะแกว/ไต) หทยงั (หวั ใจ) ยกนัง (ตับ) กิโลมกัง (พังผืด) ปิหกัง (ม้าม) ปัปผาสัง (ปอด) อันตัง (ไส้ใหญ่) อันตคุนัง (ไส้น้อย) อุทริยัง (อาหารใหม่) กรสี งั (อาหารเกา่ ) และมะทะเกศา (ดูกหัว/เยอื่ ในสมอง) ๒. ธาตุน�้ำ (อาโปธาตุ) มี ๑๒ ดวง ได้แก่ ปิตตัง (น้�ำดี) เสมหัง (น้�ำเสลด) ปุพโพ (น้�ำหนอง) โลหิตัง (เลือด/เยอื่ ในกระดูก) เสโท (เหงื่อ) เมโท (มันข้น) อัสสุ (นำ�้ ตา) วสา (มนั เหลว) เขโฬ (น้ำ� ลาย) สงั ฆานกิ า (น้ำ� มกู ) พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 21

มตู ตงั (น้�ำเย่ยี ว/น�้ำปสั สาวะ) และลสกิ า (นำ�้ มันไขข้อ) อวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้จะเจริญเติบโตตามอายุครรภ์ของมารดาจนครบก�ำหนดคลอด ซึ่ง รูป/องค์/ร่าง ดงั กลา่ ว เกดิ จากการปฏสิ นธิของตวั อ่อนที่มีพฒั นาการขน้ึ ตามล�ำดับ โดย ๗ วนั แรกหลังปฏสิ นธิ จะมีลักษณะเหมือนนำ�้ ล้างเน้อื ๗ วนั ที่ ๒ (๑๔ วนั ) จะมีลักษณะเป็นก้อนเลือดเลก็ ๆ ๗ วันที่ ๓ (๒๑ วนั ) จะมลี กั ษณะเปน็ ไขง่ ู ๗ วนั ที่ ๔ (๒๘ วนั ) จะมลี กั ษณะเป็นแววตานกยงู ๗ วันท่ี ๕ (๓๕ วัน) จะเกดิ ปัญจสาขา ๗ วนั ที่ ๖ (๔๒ วนั ) จะเกดิ หน้าผาก จิตเดิมจะมาจตุ ิ ถอื ว่าเร่ิมเกิดชวี ิตใหม่ เม่ือธาตุดิน น้�ำ ลม และไฟมารวมตัวกันก็จะท�ำให้ รูป/องค์/ร่าง มีชีวิตข้ึนมาในท่ีสุดเมื่อครบก�ำหนด ๔๒ วัน หรือภายหลงั จากการมหี นา้ ผาก จติ เดิมก็จะเขา้ จตุ ิในรา่ งท่ีไดม้ กี ารเจริญเตบิ โตข้ึนมา แตถ่ า้ หากมี รูป/องค์/ รา่ ง ทเี่ ตบิ โตขนึ้ มาไมส่ มบรู ณ ์ หรอื ไมม่ กี ารจตุ ขิ องจติ เดมิ กไ็ มก่ อ่ เกดิ ชวี ติ มนษุ ย ์ เปน็ สาเหตทุ ำ� ใหแ้ ทง้ หรอื มกี ารจตุ ขิ อง จติ เดมิ แตร่ ปู /องค/์ ร่าง ท่เี ติบโตข้นึ มาไม่สมบรู ณ ์ และจติ เดมิ พกพาเอาวิบากกรรมมาจากชาติ/ภพกอ่ น ก็จะเกดิ มีอวยั วะทีไ่ มค่ รบถว้ นสมบูรณ์เรียกว่า “เสยี องคะ” ซ่ึงจะมสี ่งผลใหพ้ กิ ารแต่กำ� เนดิ แต่กระน้ันก็ตาม รปู /องค์/รา่ ง ท้ังหมดน้ีจะเคลื่อนไหวได้ก็ต่อเม่ือธาตุลมเข้าไปไหลเวียนขับเคล่ือน และในขณะเดียวกันก็มีธาตุไฟเข้าไปท�ำหน้าที่ ใหพ้ ลงั แกช่ วี ติ และใหค้ วามอบอนุ่ เมอ่ื ธาตลุ มและลมไฟมารวมตวั กนั กจ็ ะทำ� ให้ รปู /องค/์ รา่ ง มชี วี ติ ขน้ึ มา ภายหลงั จากที่ รูป/องค/์ ร่าง ได้รวมตวั กบั จิตเดมิ ทม่ี าจุติ จติ เดมิ ก็จะมีพลังจติ หรอื ที่เรยี กวา่ “ขวัญ” เขา้ มาเช่อื มตอ่ กนั กับ รปู /องค์/รา่ ง ทงั้ ๓๒ ดวง ทำ� ใหม้ ขี วัญเกดิ ขึ้น ๓๒ ขวญั ดว้ ย ซึ่งจะเขา้ มาทำ� หนา้ ท่ีบัญชา รูป/องค/์ รา่ ง ทัง้ ๓๒ ดวง (หมอเมืองบางทา่ นอธิบายได้ ๓๓ ดวง เนื่องจากรวมองคชาต ิ ซึง่ เป็นอวัยวะเพศชายไวด้ ้วย) ดังนัน้ พลังจิต /ขวญั /เจตภตู จงึ เปรียบเสมือนการแบ่งภาคของจติ ออกมา โดยขวญั จะเป็นตัวกลางระหว่าง รูป/องค์/รา่ ง กับจติ ก่อให้เกดิ ความสมั พนั ธเ์ ช่อื มโยงเป็นอันหนงึ่ อนั เดยี วกัน หาก รูป/องค/์ รา่ ง เกิดปัญหากจ็ ะกระทบถงึ จิตโดยผา่ น ขวญั หรอื แมแ้ ตธ่ าตบุ กพรอ่ ง ธาตแุ ตล่ ะดวงไมส่ มดลุ กก็ ระทบกระเทอื นถงึ ขวญั และจติ จงึ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ อาการ แสดงที่เกิดข้ึนจะปรากฏที่ขวัญมิใช่ปรากฏท่ีจิต เน่ืองจากจิตเป็นเจ้านาย จิตเป็นตัวก�ำหนดให้ขวัญมีความสัมพันธ์ กบั ธรรมชาตแิ ละสง่ิ เหนอื ธรรมชาต ิ โดยผลกระทบของความสมั พนั ธเ์ หลา่ นจ้ี ะเรยี กวา่ “กรรม” ซงึ่ กอ่ เกดิ ขน้ึ ภายใน ตัวตนจากการปรุงแตง่ ของจติ ซ่งึ สามารถสะสมและเปล่ยี นแปลงได้ ๓. ธาตุลม (วาโยธาตุ) ท่ีกล่าว ถึงแม้จะไม่มีตัวตน แต่ก็ยังคงไหลเวียนอยู่ในองค์ท้ังหลายทั่วร่างกาย ของมนษุ ย ์ โดยมบี ทบาทสำ� คญั ในการท�ำใหช้ ีวิตมนษุ ยส์ ามารถด�ำรงอยไู่ ด้ ธาตลุ มมที ้ังหมด ๗ ดวง ได้แก่ ๑) กุสิสายากะมาวาต๋า ลมขับเคลื่อนตัวตน/ลมที่หมุนเวียนตามเอ็น ท�ำให้รูปท้ังหมดของร่างกาย เคล่ือนไหวได้ ๒) อตุ ตงั กะมาวาตา๋ /อทุ ธังคมวาโย (ลมพดั ล่างขึ้นบน) และอัตโทกะมาวาต๋า (ลมพดั บนลงล่าง) ทำ� ให้ เกิดการไหลเวียนและการถ่ายเทข้นึ ในร่างกาย แตเ่ มือ่ ใดท่ีลมทัง้ สองพดั สวนทางกนั จะท�ำให้เกิดโรคโลหติ เปน็ ฟอง ซ่ึงลักษณะของธาตุก�ำเริบน้ี จะเป็นสาเหตุท�ำให้เกิดการผิดปกติของร่างกาย ท�ำให้ไม่สบาย หรือเกิดโรคข้ึนได้ อโธคมวาโย ๓) กา๋ โยจะรากะมาวาต๋า ลมท่อี ยูใ่ นชอ่ งท้องแตน่ อกลำ� ไส ้ ทำ� หนา้ ที่หนุน (ป๋งึ ลม) ชอ่ งวา่ งในองค์ ใหอ้ งค์คงรปู ตามโครงสร้าง รวมถงึ การช่วยหนุนให้เกิดชอ่ งวา่ งในร่างกายหรอื ธาตุอากาศท้ัง ๑๐ ชอ่ ง (หรือเรยี กว่า ทวารทงั้ ๑๐ โดยในผชู้ ายจะมี ๙ ชอ่ ง แตส่ ำ� หรับผหู้ ญิงนนั้ จะมี ๑๐ ชอ่ ง เน่อื งจากนับรวมช่องคลอดดว้ ย) เพอ่ื ให้ สามารถด�ำรงความเปน็ ชอ่ งว่างอยไู่ ด้ 22 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๔) โก๋ถาสะยากะมาวาต๋า (โกฏฐาสยวาโย/กุจฉิสยวาโย) ลมท่ีอยู่ในกระเพาะและล�ำไส้ ท�ำหน้าท่ี ขับเคลื่อนอาหารเข้า-ออก เพ่ือน�ำพาไปสู่การเผาผลาญอาหารของธาตุไฟ และรักษาสมดุลภายในกระเพาะและ ลำ� ไส ้ จนกระท่ังถงึ การขบั ถา่ ยกากอาหารออกนอกร่างกาย ๕) กายากะมาวาต๋า (ลมอังคมังคนุสรีระวาตา/อังคมังคานุสารีวาโย) ลมที่พัดท่ัวสรีระร่างกาย ทำ� หนา้ ทห่ี มุนเวียนขับถา่ ยของเสียและระบายอากาศเข้า-ออก เพอ่ื รักษาสมดุลของรา่ งกาย ๖) อสั สาสะ คอื ลมหายใจเขา้ ๗) ปสั สาสะ คือ ลมหายใจออก ๔. ธาตไุ ฟ (เตโชธาตุ) เป็นองค์ประกอบส�ำคัญ เพื่อก่อใหเ้ กิดพลังแหง่ ชวี ิต โดยธาตไุ ฟมที ัง้ หมด ๖ ดวง แต่ละดวงมีหน้าที่สำ� คญั ดังนี้ ๑) อุณหกิ๊ (สันตัปปัคคี/สันตัปปนเตโช) ไฟที่ท�ำให้ร่างกายอบอุ่น โดยก่อให้เกิดพลังงานความร้อน ข้ึนในรา่ งกาย ถา้ ไม่มธี าตุไฟดวงน้กี ็จะท�ำใหต้ ัวเยน็ และถงึ ตายได้ ๒) อาหารากิ๊ (ปริณามัคคี) ไฟที่ใช้ย่อยอาหาร/เผาผลาญอาหาร เพ่ือน�ำพลังงานจากอาหารมาใช้ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กร่ า่ งกาย อกี ทงั้ ยงั ทำ� ใหอ้ าการสกุ อจุ จาระมสี เี หลอื ง ถา้ ธาตไุ ฟเผาผลาญอาหารไมด่ กี จ็ ะสง่ ผลให้ อจุ จาระแขง็ หรือธาตุพกิ าร ซ่งึ จะเป็นสาเหตขุ องการเจ็บปว่ ยได้ ๓) เดณหกิ๊ (ปฤทัยมัคคี) ไฟที่ท�ำให้โกรธ/ร้อนรุ่ม/เครียด/หงุดหงิด ถ้าหากไม่สามารถควบคุมได้จะ ท�ำใหเ้ กิดโรคเครียด ๔) ปัจจะกิ๊ (ศิลามัคคี/ปาจกเตโช) ไฟเผาผลาญร่างกายให้แก่ มีผลท�ำให้เกิดการเจริญเติบโตข้ึน ในร่างกาย และเจรญิ เติบโตได้ตามปกติ ๕) จ๊ิรานาก๊ิ (ชีรณเตโช) ไฟรักษาความสมดุลของอาการ/องค์ทั้ง ๓๒ ถ้าหากธาตุไฟนี้ด้อยหรือ อ่อนแรงก็จะเป็นเหตุทำ� ให้เกิดพยาธ/ิ ความเจบ็ ป่วยได้ ๖) มรณากิ๊ (ทหนเตโช) ไฟที่ผกู จิตวิญญาณกบั องค/์ รปู /ร่าง ไว ้ หรอื ไฟทท่ี ำ� ให้ตาย เปน็ ไฟท่ที �ำให้ ร่างกายสามารถมีชีวติ อยู่ได้ ดังนั้นร่างกายมนุษย์นอกจากจะประกอบได้ด้วยจิต โดยจิตเดิมจะแตกสาขาออกมาปรุงแต่งเป็นขวัญได้ จำ� นวน ๓๒ ขวัญ คอยควบคมุ และบญั ชาการอวยั วะ ซ่งึ มธี าตดุ ิน (ปถวธี าตุ) ๒๐ และธาตุน�ำ้ (อาโปธาตุ) ๑๒ เป็น ส่วนประกอบ ท�ำให้ตัวตน ซึ่งก็ยังไม่มีความสามารถในการขับเคลื่อนตัวตนและขาดพลังแห่งชีวิต หากปราศจาก ธาตุลม (วาโยธาตุ) ท�ำให้มีชีวิต และธาตุไฟ (เตโชธาตุ) ๖ ท�ำให้มีพลัง อีกทั้งยังเช่ือมโยงอยู่กับจิตอย่างใกล้ชิด เชน่ เดยี วกบั ธาตดุ นิ และธาตนุ ำ้� นอกจากนค้ี นเมอื ง (ชาวลา้ นนา) ยงั เชอ่ื วา่ ทเ่ี ปน็ รปู รา่ งอยา่ งทม่ี องเหน็ กนั ได ้ เนอ่ื งจาก ในรา่ งกายมนษุ ย์ ยงั ตอ้ งประกอบไปดว้ ย “ธาตพุ ระเจา้ หรอื อากาศธาต”ุ ซง่ึ หมายถงึ ชอ่ งวา่ งภายใน (กลวง) รา่ งกาย ของมนษุ ยม์ ที เ่ี ชอื่ มตอ่ กบั ทวารทง้ั ๑๐ ประกอบดว้ ย หู ๒ / ตา ๒ / จมกู ๒ / ปาก ๑ / ทวารหนกั ๑ / ทวารเบา ๑ แต่ สำ� หรบั หญงิ เพ่มิ ชอ่ งคลอดอีกหน่งึ จึงรวมเปน็ ๑๐ ชอ่ งท่ีชาวลา้ นนาเรยี กธาตนุ ีว้ ่า “ธาตุพระเจ้า” เนื่องจากคำ� สอน ทางพุทธศาสนา ที่กล่าวถึง “อานาปานสติ” ซึ่งเป็นธรรมะท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยสังเกตลมหายใจเข้า-ออก จนมสี ตแิ ละกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา กอปรกบั ถา้ ไมม่ ชี อ่ งวา่ งเหลา่ นธ้ี าตลุ มกจ็ ะไมส่ ามารถเขา้ สรู้ า่ งกายได้ ดงั นนั้ ธาตอุ ากาศ (อากาศธาตุ) จึงถือว่า เปน็ สงิ่ สงู สดุ ของความเปน็ มนษุ ย์ หรอื การมชี วี ติ อยู่ การมลี มหายใจ ถา้ องคาพยพทง้ั หมดนี้ ครบถว้ นกจ็ ะทำ� ใหม้ นษุ ย์ มีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสุข มีสุขภาพดี แต่ถ้าส่ิงเหล่านี้ไม่สมบูรณ์ก็เป็นสาเหตุทำ� ให้เกิด โรคหรือความไมส่ บายได้ ดังนั้น การก่อเกิดอวัยวะที่เป็นตัวตนได้ก็จะมีจิต (ขวัญ) ท่ีเป็นนามและกาย (รูป/องค์/ร่าง) ที่เป็นรูป โดยขวญั มหี นา้ ทสี่ ำ� คญั ในการกำ� กบั รปู (บางทเี รยี ก “องค”์ หรอื “ลกั ษณะ” หรอื “อาการ”) ซง่ึ ขวญั จะเปน็ พลงั จติ ท่เี ช่อื มโยงระหว่างจิต (เดมิ ) กับกาย (อวัยวะ) โดยขวัญจะมีประจำ� แต่ละ รูป/องค/์ รา่ ง ของอวยั วะรวม ๓๒ ขวญั เช่นเดียวกับธาตุดินและธาตุน้�ำรวมกัน ขวัญจึงเปรียบเสมือนพลังขับเคลื่อนและควบคุมการท�ำงานของอวัยวะ พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 23

แต่ก็สามารถออกจากร่างได้ อาจจะตกหล่นหรือกระเจิงหรือถูกหน่วงเหน่ียวไว้ท�ำให้ไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ รวมทั้งหากธาตุหย่อน/พิการก็อาจท�ำให้ขวัญที่อยู่ประจ�ำแต่ละรูป/องค์ ถูกกระทบกระเทือน ท�ำให้ขวัญเสีย ขวัญหาย ขวัญอ่อน ซึ่งจะเปน็ เหตใุ หเ้ กิดการเจ็บป่วยได้ (ข้อมูลจากหมอประเดิม สา่ งเสน) การวินิจฉยั ธาตุที่เก่ียวกับการนวดพืน้ บ้านลา้ นนา หลกั การวินจิ ฉยั ของหมอนวดพน้ื ล้านนา ประกอบไปด้วย ๑. ธาตวุ นิ ิจฉัย ๒. กาลหรือเวลาวนิ ิจฉัย ๓. ฤดกู าลวินจิ ฉยั ๔. อายุวนิ ิจฉยั ๕. ภูมิลำ� เนาวนิ จิ ฉยั ๖. กรรมวินจิ ฉัย หลกั การวนิ ิจฉยั ท้งั ๖ หลกั มรี ายละเอียดดังน้ ี ๑. ธาตวุ ินจิ ฉยั หมอพื้นบ้านล้านนาเชื่อว่าธาตุมีความส�ำคัญต่อการเจ็บป่วยของคนเรา และมีความสัมพันธ์กับอาการ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ และให้ความส�ำคัญกับธาตุดินเป็นหลักในการวินิจฉัย เน่ืองจากสาเหตุส่วนใหญ่ของการ ปวดเมื่อยคอื ธาตดุ ินถกู กระท�ำจนเสียหาย เกิดการบาดเจ็บหรอื พิการโดยมีสาเหตุหลัก ๓ สาเหตุคอื ๑) โดนกระท�ำจากธาตุลม ธาตนุ �้ำ และธาตุไฟ กระทำ� ให้ดนิ เสียหายหรือพกิ าร ๒) ธาตดุ นิ เสยี และส่งผลตอ่ ธาตอุ ื่น ๆ ๓) เกดิ จากอุบัติเหตุกระทำ� ให้ธาตุดนิ เสยี หายหรือพกิ าร ซงึ่ ไดอ้ ธบิ ายผ่านกรณตี วั อยา่ งดังต่อไปนี้ กรณีที่ ๑ ปวดเข่า เน่ืองจากได้รับอุบัติเหตุ เป็นการอธิบายกรณีธาตุดินเสียและส่งผลต่อธาตุอ่ืน ๆ อธบิ ายได้ว่า เมือ่ ได้รบั อุบตั เิ หตุ เช่น เดนิ หวั เขา่ ชนท�ำให้ธาตุดินไดร้ ับความเสยี หายหรือพกิ าร ทำ� ใหธ้ าตุนำ้� หลง่ั มา บริเวณดังกล่าวแล้วคั่งค้างท�ำให้เกิดอาการบวม ถ้าหากลมไม่เข้ามาช่วยพัดกระจาย ระบายน�้ำท่ีค่ังค้างอยู่จะท�ำให้ เกิดอาการบวม ชำ้� เลอื ดช�ำ้ หนอง ต่อมาธาตุไฟจะเขา้ ไปกระทำ� ให้มอี าการรอ้ น บวม แดง อกั เสบทำ� ใหธ้ าตดุ นิ พกิ าร ดังนั้นการรักษา คือการกระจายธาตุน้�ำ ธาตุลม ด้วยธาตุไฟ ท�ำให้เลือดและลมเดินสะดวกขึ้นก็จะท�ำให้ธาตุดิน สมบูรณ์เหมือนเดิม การกระจายท�ำให้ธาตุลมกับธาตุน�้ำท�ำได้หลายวิธี เช่น นวด ประคบ อบ ตอกเส้น การใช้ยา สมนุ ไพร เชด็ แหก ฯลฯ กรณที ี่ ๒ ขอ้ เสอื่ ม กรณนี เ้ี กดิ จากธาตลุ มกำ� เรบิ สง่ ผลตอ่ ธาตดุ นิ กรณนี อี้ ธบิ ายไดว้ า่ ธาตลุ มเสยี ทำ� ใหเ้ กดิ การไหลเวียนของธาตุน�้ำไม่ดีเกิดอาการบวมพองของตัวเส้นเอ็น ท�ำให้เกิดอาการตึงของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ท�ำให้เกดิ อาการบวม และธาตุไฟจะเขา้ ไปกระทำ� ใหเ้ กิดอาการปวดแสบปวดร้อน บวม แดง มผี ลทำ� ใหธ้ าตุดินพกิ าร การรักษาคือ การกระจายธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ด้วยธาตุไฟเพอื่ ทำ� ให้ธาตนุ ำ�้ ธาตุลมกระจายไดด้ ีและหมุนเวียนทัว่ รา่ งกาย ท�ำให้ลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเน้ือได้เน่ืองจากเลือดลมหมุนเวียนได้ดี การกระจายธาตุลมกับธาตุน�้ำนั้นท�ำได้ หลายวิธี เชน่ นวด ประคบ อบ ตอกเสน้ กนิ ยาสมนุ ไพร เชด็ และแหก ฯลฯ กรณีท่ี ๓ กรณีอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดจากธาตุท้ัง ๔ ในร่างกายแปรปรวนเมื่อเจอกับสภาวะ หนาวจดั ร้อนจัด เย็นจัด ท�ำใหธ้ าตุทง้ั ๔ กำ� เริบ เกดิ การแขง็ ตัวของเลอื ดและลมไมส่ ามารถกระจายไปท่ัวรา่ งกาย และธาตุไฟกเ็ ผาผลาญไมด่ ี ท�ำใหธ้ าตดุ นิ โดนกระทำ� และพิการแข็งกระดา้ งเคลือ่ นไหวไม่ได้ การรักษาต้องรักษาด้วย ธาตไุ ฟเขา้ ไปชว่ ยกระจาย ระบายธาตนุ ำ้� ธาตลุ มใหห้ มนุ เวยี นไดส้ ะดวก จะสง่ ผลทำ� ใหเ้ คลอื่ นไหวไดด้ ขี นึ้ การกระจาย 24 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

ธาตลุ มกับธาตนุ �้ำนน้ั ท�ำได้หลายวธิ ี เช่น นวด ประคบ อบ ตอกเส้น การใชย้ าสมุนไพร เช็ด และแหก ฯลฯ นอกจากการวินิจฉัยโรคด้วยธาตุวินิจฉัยแล้วต้องมีการซักถามประวัติผู้ป่วยและน�ำเอามาประกอบการ วิเคราะหโ์ รคด้วย ๒. กาลวินิจฉัย คือ เวลา ได้แก่ การแบ่งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งเวลาจะบ่งบอกให้ทราบเวลา ที่มีการอาการกำ� เรบิ และสง่ ผลต่อการวนิ ิจฉัยโรคได้ ๓. ฤดกู าลวนิ จิ ฉัย คอื ฤดกู าล ได้แก่ ฤดหู นาว ฤดูร้อน และฤดฝู น ซ่ึงฤดูกาลจะบ่งบอกใหท้ ราบฤดกู าล ที่มกี ารอาการกำ� เรบิ และสง่ ผลต่อการวินิจฉยั โรคได้ ๔. ชว่ งอายวุ ินจิ ฉยั คือ อายุ มผี ลต่อการก�ำเริบของธาตแุ ละโรคได้ ๕. ภมู ิลำ� เนาวนิ จิ ฉยั คือ ภมู ลิ ำ� เนาที่เกิด หรอื ทอ่ี าศยั อยู่ ได้แก่ท่ีสูง ท่รี าบ ที่ลุ่ม ทชี่ ายทะเล ที่ใกลน้ ำ�้ หรอื ไปต่างประเทศ ซึ่งภมู ลิ �ำเนาจะบ่งบอกให้ทราบวา่ ภูมลิ �ำเนาทม่ี อี าการกำ� เริบและส่งผลต่อการวินจิ ฉัยโรคได้ ๖. กรรมวนิ ิจฉยั ความประพฤติหรอื กจิ กรรมในการดำ� เนนิ ชีวติ ตารางท่ี ๔.๑ แสดงการทำ�งานของธาตุทง้ั ๔ ท่สี ัมพนั ธก์ บั กาล/ฤดูกาล/อายุ ธาตุลม เป็นธาตุอิสระ พดั พาไปทกุ สว่ น ธาตไุ ฟ อยใู่ นช่วงเดือนธนั วาคม มกราคม กุมภาพนั ธ์ การท�ำงานของธาตุลม ไดแ้ ก่ น่ิง เคลอื่ นไหว และมนี าคม (ช่วงฤดหู นาว) จะกำ� เริบช่วงอายุ ๐-๓๐ ปี และกระจาย การท�ำงานของธาตไุ ฟได้แก่ ร้อน เย็นและกระจาย ธาตนุ ำ�้ อยใู่ นช่วงเดอื นสงิ หาคม กนั ยายน ตลุ าคม และ ธาตุดิน อยใู่ นช่วงเดอื นเมษายน พฤษภาคม พฤศจิกายน (ชว่ งฤดฝู น) จะก�ำเริบระหว่าง มถิ นุ ายน และ กรกฎาคม (ชว่ งฤดฝู น) ช่วง อายุ ๗๐-๙๐ ปถี ึงอายุขัย จะก�ำเริบช่วง อายุ ๓๐-๖๐ ปี การทำ� งานของธาตนุ �้ำ ไดแ้ ก่ เหนียว ไหล ละลาย การทำ� งานของธาตดุ นิ ไดแ้ ก่ แข็ง นมุ่ และละลาย มีกลอนพื้นบ้านล้านนาที่กล่าวถึงช่วงอายุกับกาลเวลา ซึ่งสามารถอธิบายให้เห็นความเป็นจริงของช่วงชีวิต ของคนไวว้ ่า ๑๐ ปี๋ อาบน้�ำบอ่ หนาว (๑๐ ปี อาบน้�ำไม่หนาว) ๒o ป๋ี แอว่ สาวบ่อก๋าย (๒๐ ปี เทย่ี วหาสาวไมเ่ บอื่ ) ๓o ป๋ี ยะง๋านเหมือนฟ้าผ่า (๓๐ ปี ท�ำงานรวดเรว็ มาก) ๔o ปี๋ สาวนอ้ ยด่าบอ่ เจ็บใจ (๔๐ ปี ผ้หู ญงิ ดา่ ก็ไม่เจบ็ ใจ เร่ิมเป็นเฒ่าหัวง)ู ๕o ปี๋ บอ่ หนา่ ยสงสาร (๕๐ ปี ไม่เบื่อสงั ขาร) ๖o ปี๋ ไอเหมอื นฟานโคก (๖๐ ปี ไอเหมอื นเก้งร้อง) ๗o ป๋ี ย้ิมเหมอื นไห้ (๗๐ ปี ยิ้มเหมอื นรอ้ งไห)้ ๘o ปี๋ มะโหกเตม็ ตัว (๘๐ ปี โรคเต็มตวั ) ๙o ป๋ี ไขก้ ็ต๋ายบ่อไข้ก็ต๋าย (๙๐ ปี ไข้กต็ าย ไมไ่ ข้กต็ าย) พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 25

สดุ ทา้ ยแลว้ มนษุ ย์ต้องเขา้ ใจในธรรมชาติของชวี ติ ของตนเองว่า กรรมะ จิตตะ อุตุ และอาหาร ซึ่งได้อธิบาย ความเจบ็ ป่วยไวว้ า่ ยาก็หายบ่อยาก็หาย คอื บางโรคกนิ ยากห็ ายหรอื ไมต่ อ้ งกินยากห็ ายได้ บอ่ ยาจา่ งตา๋ ย คอื ถ้าไมร่ กั ษาตายแน่นอน ยาก็ตา๋ ยบอ่ ยาก็ต๋าย คอื รกั ษาก็หลกี เลย่ี งความตายไม่ไดห้ รือไม่รกั ษากต็ าย สรุป ดงั นั้นมนุษย์เราตอ้ งเขา้ ใจกฎของความต้งั อยู่ ดับไปทกุ คนหนไี ม่พ้นในเรื่อง อนจิ จัง ทกุ ขัง และอนตั ตา แล้วมนุษยจ์ ะเข้าใจชีวติ มากขนึ้ รา่ งกายตามภมู ปิ ญั ญาหมอนวดพนื้ บา้ นภาคเหนือ ประกอบด้วยสว่ นตา่ งๆ ดงั นี้ ๑. ระบบโครงสร้าง รา่ งกายแบง่ ออกเปน็ ๔ ส่วน (สตั ตะวญิ ญาณ) ดงั น้ี ส่วนที่ ๑ ส่วนบน เรยี กวา่ ปฐม ประกอบไปดว้ ย หู ตา จมกู ล้ิน ฟนั และลิน้ ไก ่ เส้นประสาทสว่ นบน และอวัยวะมคี วามสำ� คญั มาก จะเป็นสว่ นควบคุมสง่ การทำ� งานของอวัยวะทกุ ส่วนของร่างกาย ส่วนท่ี ๒ เรียกว่า ทุติยะ ส่วนประกอบไปด้วย หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ล�ำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร สำ� ไส้น้อย กระเพาะปสั สาวะ ไต ด ี และมดลกู ประกอบด้วย ๒ สว่ น ดังน้ี ๑) อยู่ในโพรง ส่วนประกอบไปด้วย หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ล�ำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ส�ำไส้น้อย กระเพาะปสั สาวะ ไต ด ี และมดลกู ๒) อย่ใู นท่ีต๋ัน (ตนั ) (๑) ส่วนกระดูก ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกต้นคอ กระดูกซ่ีโครง กระดูกไหปลาร้า กระดูกหัวไหล่ กระดกู แขน (แขนบน แขนลา่ ง) กระดกู ขอ้ ศอก กระดูกขอ้ มอื และกระดกู นว้ิ มอื (๒) ส่วนเส้นเอ็น คือ เส้นท่ีไมม่ เี ลอื ด หรือเส้นเอน็ ขาว (ภาพ ๔.๑ – ๔.๓) เส้นเอ็นสนั หลงั มี ๖ เสน้ ด้านซ้าย ๓ เส้น ดา้ นขวา ๓ เส้น เส้นเอน็ ส่วนคอ มี ๑๒ เส้น แบง่ ด้านซ้าย ๔ เสน้ ขวา ๔ เส้น ด้านหนา้ ๒ เส้น ด้านหลัง ๒ เส้น เสน้ เอน็ ทอ้ ง ๖ เสน้ แบง่ ด้านซ้าย ๓ เสน้ ด้านขวา ๓ เสน้ เส้นเอ็นส่ขี ้าง ๔ เส้น ด้านซ้าย ๒ เสน้ ด้านขวา ๒ เส้น เสน้ เอน็ สะบกั หลงั แยก สะบกั ดา้ นบน ๓ เสน้ สะบกั ดา้ นลา่ ง ๓ เสน้ เหมอื นกนั ทง้ั ซา้ ย - ขวา เสน้ สนั หน้าอกนอก ดา้ นซา้ ย ๓ เสน้ ดา้ นขวา ๓ เส้น เสน้ หนา้ อกใน (ใต้ราวนม) ดา้ นซ้าย ๒ เส้น ดา้ นขวา ๒ เส้น เส้นสะพายถงุ ดา้ นซ้าย ๑ เสน้ ด้านขวา ๑ เส้น เสน้ สะพายแหล่ง ด้านซ้าย ๒ เส้น ด้านขวา ๒ เสน้ เสน้ เอน็ สะดอื คอื เปน็ จดุ ศนู ยร์ วมทวั่ รา่ งกาย เรยี กวา่ “จดุ สะแก” หมายความวา่ จดุ ชพี จร เปน็ จุดก�ำเนิดเสน้ เอ็นท่วั ร่างกาย นบั ไมถ่ ้วน ส่วนที่ ๓ ตะติยะ ของร่างกายประกอบไปด้วย ๑) กระดูกเชิงกราน กระดูกสะโพก กระดูกก้นกบ กระดูกกระเบนเหน็บ กระดูกต้นขา กระดูกแข้ง กระดกู เข่า (สะบักเขา่ ) กระดูกขอ้ เทา้ และกระดูกนิ้วเท้า 26 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๒) เสน้ เอน็ เส้นเอ็นเชงิ กราน ๕ เส้น เส้นเอน็ กระดกู สะโพก ๒ เส้น ซ้าย ๑ เสน้ ขวา ๑ เสน้ เสน้ เอ็นกระดกู กน้ กบ ๑ เส้น เส้นเอน็ กระเบนเหน็บ ๒ เส้น ข้างละ่ ๑ เสน้ (ซา้ ย ๑ เสน้ ขวา ๑ เส้น) เส้นเอ็นต้นขาขา้ งละ ๖ เสน้ เสน้ เอ็นสว่ นแข็งข้างละ ๖ เส้น เสน้ เอ็นหวั เขา่ ข้างละ ๗ เส้น เส้นเอน็ กระดกู ขอ้ เท้าขา้ งละ ๖ เส้น เส้นเอ็นน้วิ เท้า บน ๕ เส้นต่อขา้ ง ลา่ ง ๕ เสน้ ต่อข้าง เสน้ ฝา่ เท้า ข้างละ ๑ เส้น ส่วนท่ี ๔ จตุกะวิญญาณ คือ ศูนย์รวมของสิ่งที่มองไม่เห็น มีขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ เป็นตัวควบคุม ถา้ ทกุ อยา่ งพร่องไปจะท�ำใหเ้ ราแตกดับ ประกอบไปด้วย ขนั ธ์ทง้ั ๕ ประกอบไปด้วย รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ธาตทุ ้งั ๔ ของหมอนวดลา้ นนาประกอบไปดว้ ย ดิน มี ๒๐ ดวง น้ำ� มี ๑๒ ดวง ลม มี ๗ ดวง ไฟ มี ๖ ดวง และของหมอไทใหญ่ประกอบไปด้วย ดนิ มี ๒๐ ดวง น้ำ� มี ๑๒ ดวง ลม มี ๖ ดวง ไฟ มี ๔ ดวง ภาพ ๔.๑ บรเิ วณจุดทสี่ ำ�คญั ของสว่ นบนของรา่ งกายทางด้านหนา้ พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 27

ภาพ ๔.๒ จุดและเสน้ ทีส่ �ำ คัญของร่างกายทางดา้ นหนา้ 28 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

ภาพ ๔.๓ จดุ และเสน้ ทีส่ ำ�คญั ของรา่ งกายทางด้านหลงั พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 29

๒. ระบบเลอื ด เลอื ดเกดิ จากธาตทุ ้งั ๔ ได้แก่ ๑) ปถวธี าตุ หรอื ธาตดุ ิน มี ๒๐ อย่าง ๒) อาโปธาตุ หรอื ธาตนุ ้ำ� มี ๑๒ อยา่ ง ๓) วาโยธาตุ หรอื ธาตุลม มี ๗ อยา่ ง ๔) เตโชธาตุ หรือ ธาตไุ ฟ มี ๔ อยา่ ง ซ่ึงมีกระบวนการท�ำงานดังนี้ เตโชธาตุและอาโปธาตุ ผลิตเป็นเลือดแดงหล่อเลี้ยงท่ัวร่างกาย ถ้ามี วาโยธาตุ เข้ามากระท�ำจะเกิดเป็นเลือดขาว ซึ่งเป็นท้ังเลือดขาวท่ีดีต่อร่างกายและไม่ดีต่อร่างกาย ได้แก่ น้�ำนม น�้ำอสุจิ น�้ำเหลือง และน�้ำหนอง ซึ่งถ้าวาโยแทรกจนเสียสมดุลจะท�ำให้เลือดขาวเป็นโทษและวาโยธาตุจะพัดให้ เลือดขาวไปคง่ั ค้างตามปถวีธาตเุ ปน็ เลือดด�ำและเลือดเหลอื งท�ำใหป้ ถวธี าตุพกิ าร ระบบเลอื ดท่จี ะท�ำให้เกดิ อาการเจบ็ ปว่ ยดังตอ่ ไปนี้ ๑) เลือดน้อย ท�ำให้เลือดไปเล้ียงส่วนปลายอวัยวะหรืออวัยวะต่าง ๆ ไม่เพียงพอ ท�ำให้เกิดอาการ ชาตามปลายประสาท ปลายเส้น ปลายเอน็ ปลายมอื และปลายเทา้ ๒) เลือดข้น ทำ� ให้เกิดอาการปวดกลา้ มเนือ้ ทว่ั รา่ งกาย บางครง้ั ท�ำให้มีอาการไข้ข้นึ ๓) เลอื ดเหนยี ว ท�ำให้เป็นเก่ียว (ตะคริว) นว้ิ ล็อก ไหลต่ ิด ข้อติด และแน่นหนา้ อก ๔) เลอื ดจาง ทำ� ใหเ้ กดิ อาการมอื เยน็ เทา้ เยน็ ชาบรเิ วณปลายมอื ปลายเทา้ ชาตามใบหนา้ ปวดบรเิ วณ หน้าผาก หน้ามดื ตาลาย ตับไหว และหัวใจสน่ั ๕) เลือดมากเกินไป ทำ� ให้เลอื ดไหลแรง มอี าการเลือดก�ำเดาไหล ปวดเม่ือยท้ายทอย ปวดตา ตามวั ตาฟาง หนา้ แดง ตารอ้ น ตาแดง หแู ดง บวมตามรา่ งกาย เปน็ ไข้ งว่ งซมึ และอาเจยี น ทำ� ใหเ้ สน้ เลอื ดแตกเปน็ อมั พฤกษ์ ปากเบยี้ ว ตาเหล่ ลนิ้ กระดา้ งคางแขง็ อมั พฤกษจ์ ะเป็นครง่ึ ซีก ถา้ ไม่รักษาจะเป็นอัมพาต ๖) เสน้ เลอื ดพบั เสน้ เลอื ดงอ เสน้ เลอื ดขอด ทำ� ใหป้ วด เนอ่ื งจากเลอื ดไหลเวยี นไมส่ ะดวก ทำ� ใหเ้ กดิ อาการ ปวด บวม ชา ไหลต่ ดิ นิ้วล็อก และกระดกู บดิ งอ ถ้าอาการรนุ แรงท�ำให้เกดิ อมั พฤกษ์ อัมพาตได้ เรยี กวา่ เส้นเลือด แตก ๗) ขางกระดกู พลัวะ (ขางกนิ ดูก ขางกนิ เอน็ ) เกดิ จากเลือดไปหลอ่ เลย้ี งเย่ือในกระดกู ไมเ่ พียงพอและ เกดิ จากเลือดแข็งตวั ในกระดกู ทำ� ให้เกดิ กระดูกพรุน และกระดกู ผุ ๓. ระบบลม ลมทท่ี ำ� ใหเ้ กิดอาการปวดเมอ่ื ย ได้แก่ ๑) ลมต้องเต้น เกิดจากการกินอาหารแสลง กินข้าวผิดเวลา สาบผิด(ผิดกล่ิน) ท�ำให้มีอาการ ปวดประจำ� เดอื น นกเขาไม่ขัน ลมเข้าเส้น ปัสสาวะกะปริดกะปรอย มะโหกก้นขดุ (มะโหกก้นปูด) เป็นนวิ่ มดลูกคว่�ำ ไสเ้ ลือ่ น ลมเสียดลิ้นปี่ และหายใจไมอ่ อก ๒) ลมสนั นบิ าตจก๊ั (ชกั ) เกดิ จากไขห้ ลบใน ไขข้ นึ้ สงู รอ้ นในมาก กนิ ผดิ และสาบผดิ มอี าการลน้ิ กระดา้ ง คางแขง็ นำ้� ลายไหล กัดฟนั พูดไมช่ ดั แขง้ แขน ขา กระตุก หนังตากระตุก ลมออกหู กลา้ มเน้ือเต้นไม่หยดุ และ พูดไม่หยุด กระดูกทง้ั ๒ ข้าง หรือขา้ งเดยี ว เกิดการกระตุก (อาการเหลา่ นี้ไมไ่ ดเ้ ปน็ มาต้งั แต่ก�ำเนดิ ) ๓) ลมปิ (ลมสะดุด) เกิดจากการหิวมาก รอ้ นมาก หนาวมาก เย็นมาก ทำ� ใหธ้ าตทุ ง้ั ๔ ไมส่ มดุล หรอื เปน็ ลมหน้ามืด หายใจไมอ่ อก ตามัว ตาพร่า ตาลาย ใจสน่ั อ่อนแรง ยืนไม่อยู่ และสวิงสวาย 30 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๔) ลมเข้าเส้น เกิดจาก กินผิด สาบผิด นั่งมาก นอนมาก และยืนมาก มีอาการปวดชาวิ่งลง ตามเสน้ คลา้ ยหนวู งิ่ ตามเสน้ หรอื กลา้ มเนอ้ื กระตกุ เปน็ ที่ ปวดตามขอ้ ปวดในกระดกู เปน็ ตะครวิ และปวดแสบปวดรอ้ น ตามเสน้ เวลานวดจะมกี ารเรอออกมา ลมจะออกหู ออกตา หรอื ผายลม รอ้ นในอก ร้อนคอ และร้อนออกตา ท�ำใหต้ วั เป็นไข้และก่อใหเ้ กิดโรคเรอื้ รังต่าง ๆ ตามมา ๕) ลมในเลอื ด เกดิ จาก การกนิ การสดู ดม อากาศเปน็ พษิ มอี าการทำ� ใหเ้ ลอื ดขน้ เลอื ดจาง เลอื ดเหนยี ว เลอื ดแขง็ ตวั เสน้ เลอื ดขอด ถา้ รา้ ยสดุ ทำ� ใหเ้ กดิ ภาวะเลอื ดจาง เสน้ เลอื ดเปราะแตกงา่ ย ทำ� ใหเ้ กดิ รอยชำ�้ ตามรา่ งกาย เกิดฝแี ละเป็นโรคผิวหนังงา่ ย ๔. ระบบกล้ามเนอื้ ระบบกล้ามเนื้อของหมอนวดล้านนา แบ่งออก เป็น ๔ ส่วน ได้แก่ ส่วนด้านหน้า ส่วนด้านหลัง สว่ นด้านข้าง ๒ ข้างและสว่ นล่าง ๑) กล้ามเน้ือส่วนหน้า ประกอบไปด้วย กล้ามเน้ือใบหน้าท้ังหมด กล้ามเน้ือส่วนอก ซ้าย ขวา กลา้ มเนือ้ ไหลแ่ ละแขน ขา้ งละ ๖ มดั มือ กล้ามเนอื้ ทอ้ งมี ๖ มดั ขา้ งละ ๓ มดั ๒) กล้ามเนื้อส่วนหลัง ประกอบไปด้วย กล้ามเนื้อส่วนคอด้านหลัง ไหล่ด้านหลัง กล้ามเนื้อสันหลัง ทั้ง ๒ ข้าง ๓) กล้ามเน้ือส่วนสีข้าง เร่ิมตั้งแต่กล้ามเน้ือใต้รักแร้และกล้ามเน้ือสีข้างท้ังหมด สิ้นสุดท่ีกระดูก หัวตะคาก (กระดกู เอว) หรือกระดูกโงนขา ๔) กล้ามเน้ือส่วนล่าง ประกอบด้วยกล้ามเน้ือสะโพกท้ัง ๒ ข้าง ข้างละ ๒ มัด กล้ามเนื้อหน้าขา กลา้ มเนอ้ื ขาใน กลา้ มเนอื้ นอ่ ง กลา้ มเนอื้ ขาดา้ นหลงั สนั หนา้ แขง้ นอ่ ง ขา้ งละ ๒ มดั ใตต้ าตมุ่ หนงั ทเ่ี ทา้ และใตอ้ งุ้ เทา้ สว่ นที่ ๒ การวิเคราะห์รูปแบบวิธีการนวดพ้ืนบา้ นล้านนา จากการศึกษารูปแบบและวิธีการนวดของหมอพื้นบ้านล้านมีหลากหลายวิธีการบ�ำบัดในการดูแลรักษา มีการน�ำเอาอุปกรณต์ ่าง ๆ เข้ามาใชใ้ นการนวด มคี าถาและพธิ กี รรมร่วมกบั การรกั ษา และมกี ารใชส้ มนุ ไพรรว่ มกบั การรักษาด้วย ผลการศึกษาพบว่าวิธีการของการนวดพ้ืนบ้านล้านนามีวิธีการและรูปแบบการนวดพื้นบ้านท้ังหมด จ�ำนวน ๑๘ แบบ (ไมร่ วมการแชส่ มนุ ไพร และการฝังดนิ /ทราย) ดงั นี้ ๑. การเช็ดและการแหก การเช็ดและการแหก เป็นวิธีการนวดอีกรูปแบบหนึ่งที่รักษาอาการปวดจากส่ิงเหนือธรรมชาติ และ ธรรมชาติ ทเี่ รียกวา่ เปน็ โปง่ เปน็ ย�ำ (ภาพ ๔.๔) (ก) (ข) (ค) ภาพ ๔.๔ การเช็ดและการแหก (ก) วธิ ีการการเชด็ และการแหก (ข) อุปกรณก์ ารเชด็ และการแหก (ค) ใบพลู พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 31

๒. การยำ่� ขาง การยำ่� ขาง เปน็ รปู แบบวธิ กี าร นวดแบบการใชก้ ารเหยยี บและความรอ้ นจากขาง (ใบผาน ไถนา) สมนุ ไพร (ไพล น�้ำมันงา) และคาถา ช่วยในการรักษาอาการปวดตามร่างกาย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย (ภาพ ๔.๕) ภาพ ๔.๕ การย่�ำขาง เป็นการนวดท่ีใช้แรงและความรอ้ นร่วมกัน ๓. การตอกเส้น การตอกเส้น เป็นรูปแบบการนวดท่ีใช้อุปกรณ์ ประกอบด้วย แหล่มไม้ และไม้ทุบ น�ำมาตอก ตามแนวกล้ามเน้ือ ตามแนวเส้นเอ็น รักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเน้ือทุกส่วนของ ร่างกาย (ภาพ ๔.๖) ภาพ ๔.๖ การตอกเสน้ ใชอ้ ปุ กรณท์ เ่ี ป็นแทง่ ไมแ้ ละค้อนไม้ ตอกไปตามส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย 32 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๔. การเอามา่ น (ดัด ดงึ ) การเอาม่าน การบีบม่านหรือการล่ัน เป็น ความรู้การนวดพ้ืนบ้านล้านนาท่ีได้รับอิทธิพลมาจาก เมยี นมา่ (พมา่ ) ซึ่งมหี ลักการคอื การดดั ดงึ เปน็ การยืด เส้นเอ็น เพื่อคลายความตึงของเส้นเอ็น แก้ปวดเม่ือย ตามรา่ งกายจากการทำ� งานหนกั ชว่ ยผอ่ นคลายกลา้ มเนอื้ และเสน้ เอน็ (ภาพ ๔.๗) ภาพ ๔.๗ การเอามา่ น เปน็ การดดั ดงึ โดยทีห่ มอนวดพน้ื บ้าน ใชม้ ือและเท้าช่วยในการนวด ๕. การบีบ การบีบ เปน็ การนวดโดยการจับกลา้ มเนอื้ ใช้แรงบีบจากนิ้วมือทั้งหมดบบี กลา้ มเนือ้ เข้าหากัน บางครั้ง ใชแ้ รงยกกลา้ มเนอ้ื ดว้ ย การบบี จะทำ� ใหก้ ลา้ มเนอื้ ผอ่ นคลาย สง่ ผลใหเ้ ลอื ดมาเลยี้ งบรเิ วณทป่ี วดไดด้ ขี น้ึ ชว่ ยลดอาการ กลา้ มเนื้อตึง หด และเกร็งตัว (ภาพ ๔.๘) ภาพ ๔.๘ การบบี พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 33

๖. การขย�ำ การขย�ำหรือการขยุ้ม เป็นวิธีการจับกล้ามเน้ือ แล้วบีบพร้อมขยับมือ เป็นการจับบ่อยๆ เหมือนกับ การขย�ำ เป็นการกระตุ้นกล้ามเน้ือ ผ่อนคลายกล้ามเน้ือ วิธีน้ีจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหลังจากการนวด แบบหนัก ๆ มาแลว้ (ภาพ ๔.๙) ภาพ ๔.๙ การขยำ�หรือการขยุ้ม ๗. การนิคนิน่ (การคลึง) การนคิ นน่ิ (การคลงึ ) เปน็ การใชน้ ว้ิ มอื หรอื ศอก ออกแรงกดแลว้ คอ่ ยหมนุ วนเปน็ วงกลม เปน็ การกระตนุ้ กล้ามเนื้อ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ท�ำให้ก้อนเน้ือท่ีแข็งแกร่งเป็นก้อนขนาดเล็กและใหญ่ ลดการคลายตัวและมีขนาด ลดลง (ภาพ ๔.๑๐) ภาพ ๔.๑๐ การนคิ นน่ิ (การคลึง) 34 พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๘. การฮูดเสน้ (รีดเสน้ ) การฮูดเส้น (รีดเส้น) เป็นการกดพร้อมกับออกแรงดึงรูดลงมา ส่วนใหญ่จะรูดจากส่วนต้น ลงส่วนปลายท่ีจะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการชา เนื่องจากการรีดจะท�ำให้เลือดมาเลี้ยงส่วนปลายอวัยวะได้ดี ส่วนใหญ่ การรีดจะใช้น้�ำมันสมุนไพรช่วยเพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังพร้อมทั้งน�้ำมันสมุนไพรจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย (ภาพ ๔.๑๑) ภาพ ๔.๑๑ การฮูดเสน้ (รดี เสน้ ) ๙. การดงึ การดึง เป็นการดึงเอาเส้นที่จมอยู่หรือถูกกดทับไว้ออกมา เพื่อลดอาการปวดและชา ส่วนใหญ่จะใช้ กบั ข้อตา่ ง ๆ เช่น ขอ้ นิ้วมอื นิ้วเทา้ ขอ้ ศอก หัวไหล่ ข้อสะโพก และข้อเขา่ เป็นตน้ (ภาพ ๔.๑๒) ภาพ ๔.๑๒ การดงึ พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 35

๑๐. การเหยยี บ การเหยียบ เป็นวธิ กี ารนวดแบบพื้นบ้านอย่างแท้จริง การใชเ้ ท้าเหยียบเพอื่ ลดความปวดเมือ่ ยอยูค่ กู่ ับ สังคมไทยทุกยุคทุกสมัย เห็นต้ังแต่ระดับครอบครัว ลูกเหยียบให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตา ญาติและเพ่ือน ๆ การเหยียบ ทำ� ให้กลา้ มเน้อื ท่ตี งึ ผ่อนคลายและท�ำให้เลอื ดหมุนเวียนไดด้ ีขนึ้ (ภาพ ๔.๑๓) ภาพ ๔.๑๓ การเหยยี บ ๑๑. การทบุ และการสับ การทุบและการสับ เป็นการนวดโดยใช้ก�ำปั้นหรือสันมือทุบหรือเคาะไปตามกล้ามเนื้อ เพื่อท�ำให้ กล้ามเนือ้ ทต่ี ึงผ่อนคลายและท�ำให้เลอื ดหมุนเวียนได้ดีขนึ้ ส่วนใหญจ่ ะใช้รว่ มกับวิธกี ารนวดอื่น ๆ เปน็ การผ่อนคลาย กลา้ มเนอื้ (ภาพ ๔.๑๔) ภาพ ๔.๑๔ การทุบและการสับ 36 พ้ื น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ

๑๒. การบิดฮา้ ว (การบดิ ) การบดิ ฮา้ ว (การบดิ ) เปน็ การดดั ดงึ อกี รปู แบบหนงึ่ คลา้ ย ๆ กบั การลนั่ มา่ น แตจ่ ะใชห้ ลงั จาก การนวด เสรจ็ แล้ว เป็นการผ่อนคลายและทำ� ใหเ้ ลือดหมุนเวยี นได้ดขี ึ้น (ภาพ ๔.๑๕) ภาพ ๔.๑๕ การบดิ ฮ้าว (การบดิ ) ๑๓. การเต็ก (การกด) การเตก็ (การกด) เปน็ การนวดทใี่ ชม้ อื และศอก ในการออกแรงกดลงไปบรเิ วณทตี่ งึ ปวด ของกลา้ มเนอ้ื ซงึ่ การเตก็ เปน็ การนวดทใี่ ชแ้ รงคอ่ นขา้ งมาก ถา้ ผปู้ ว่ ยรปู รา่ งใหญต่ อ้ งใชศ้ อกในการเตก็ การเตก็ สว่ นใหญจ่ ะทำ� บรเิ วณ ทม่ี ีกล้ามเน้ือหนา ๆ เชน่ สะโพก หลัง บ่า และขา เป็นตน้ (ภาพ ๔.๑๖) ภาพ ๔.๑๖ การเตก็ (การกด) พื้ น ฐ า น ก า ร น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค เ ห นื อ 37