Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน 14-18 มิย 64

ปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน 14-18 มิย 64

Published by Pheeraya Nanthananate, 2021-07-04 06:21:30

Description: ปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน 14-18 มิย 64

Keywords: นศ

Search

Read the Text Version

หลกั เกณฑในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน วธิ กี ารตรวจวนิ จิ ฉัยท่ีใชกนั ทว่ั ไปสาํ หรับการตรวจเบาหวานก็คือการวัดระดบั กลโู คสในพลาสมา (Fasting plasma glucose : FPG) ซึ่งอยางไรก็ตามแพทยอาจเลือกใชการวดั ความทนทานนา้ํ ตาลกลโู คส (Oral glucose tolerance test: OGTT) วินฉิ ัยวา เปนเบาหวานเมือ่ มคี าระดับนํ้าตาลในเลือดต้งั แต 126 มิลลิกรมั ตอ เดซลิ ิตร (mg/dL) ขึน้ ไป ** ผลการสมุ วัดระดบั กลูโคสในพลาสมา (nonfasting plasma glucose) โดยไมม ีการอดอาหารทม่ี ีคา ตั้งแต 200 มลิ ลิกรมั ตอเดซลิ ิตร (mg/dL) บงชว้ี า เปน เบาหวาน การวดั ความทนทานน้าํ ตาลกลโู คส (โดยใหรับประทานนํ้าตาลปรมิ าณ 75 กรมั ทีล่ ะลายในนา้ํ แลว วัดระดับน้าํ ตาลในเลือด 2 ชัว่ โมง หลังจากนั้น) หากมคี า น้าํ ตาลตั้งแต 200 มิลลกิ รัมตอ เดซลิ ิตร (mg/dL) ขน้ึ ไปจะบง ช้ีวา เปน เบาหวาน **สําหรบั หญงิ ตง้ั ครรภ การตรวจเบาหวานอาจตอ งใชวธิ ที ี่แตกตางไป **นอกเสียจากวาอาการแสดงชัดเจน มิฉะนัน้ การตรวจพิเศษจะตองไดร ับการยืนยนั โดยการตรวจซ้าํ ในวนั อ่ืนตอ ไป

โรคเบาหวาน คือ โรคทเ่ี ซลลรา งกายมีความผิดปกตใิ นขบวนการเปลี่ยนนํ้าตาลในเลอื ดใหเปน พลงั งาน โดยขบวนการนเี้ ก่ยี วของกับอินซูลนิ ซึ่งเปน ฮอรโ มนทส่ี รา งจากตบั ออนเพ่อื ใชค วบคุมระดบั น้ําตาลในเลอื ด เมอ่ื น้าํ ตาลไมไ ดถ กู ใชจึงทาํ ใหระดบั น้ําตาลในเลือดสงู ขน้ึ กวาระดับปกติ โรคเบาหวาน แบง เปน 4 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดโรค 1. โรคเบาหวานชนดิ ท่ี 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) เกดิ จากเซลลตับออ นถูกทําลายจากภมู ิคุม กันของรางกาย ทาํ ใหขาดอินซูลนิ มกั พบใน เด็กและวัยรุน โดยพบมากในชว งอายุ 4-7 ป และ 10-14 ป ไมเ ก่ยี วขอ งกบั นํ้าหนกั หรือรปู แบบการใชช ีวิต ผูปว ยสวนใหญมกั ไดร บั การวนิ จิ ฉยั จากที่มี ภาวะเลือดเปนกรด จากกรดคโี คนคั่ง รกั ษาดวยการฉีดอินซูลนิ หรอื อนิ ซูลนิ ปม หากไมใ ชอ ินซูลนิ จะควบคมุ อาการของโรคไมได ปจจยั เสีย่ งตอ โรคเบาหวานชนดิ ท่ี1 -พนั ธกุ รรม. -ประวัตคิ รอบครัว. -ภาวะขาดวิตามนิ ด.ี -เริม่ ดืม่ นมววั เรว็ เกินไป -โรคทางระบบภมู คิ ุม กนั อ่นื ๆ เชน โรคที่ตอมไทรอยด โรคแอดดิสนั (Addison’s disease) โรคเซลิแอค (Celiac Disease) และ Autoimmune gastritis -ตดิ เชอื้ ไวรสั ในชวงวัยเดก็ -การเรม่ิ อาหารประเภทซเี รยี ล และกลูเตนเรว็ เกินไป (กอย 4 เดอื น) หรือชา เกินไป (หลัง 7 เดอื น) -ขณะคลอด มารดามอี ายมุ าก หรือมภี าวะครรภเปนพษิ 2. โรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T1DM) เปนชนดิ ท่ีพบบอยท่ีสดุ รอ ยละ 95 ของผปู ว ยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดอื้ ตอ อนิ ซูลิน มกั พบในผใู หญท ี่มีนํ้าหนักเกนิ หรืออว นรวมดว ย อาการทีบ่ งบอกถึงภาวะด้ืออนิ ซูลนิ ไดแก นํา้ หนกั เกิน มีถุงนาํ้ รังไข หรอื รอยปน ดาํ ท่ผี วิ หนังท่ีเรีกวา acanthosis nigricans อะแคนโทสิสนกิ ริแคน เปน ปน นา้ํ ตาลออนจนถงึ ดาํ ท่บี ริเวณคอ ขอ พบั รกั แร ขาหนบี มกั พบในคนอวน รับประทานอาหารหวานหรอื จาํ พวกแปง ปรมิ าณมาก ซงึ่ บงบอกวาอาจ มีความเส่ยี งตอโรคเบาหวานในอนาคต หากมรี อยปนแบบนีค้ วรตรวจหาเบาหวาน ออกกําลังกาย ลดน้าํ หนกั รบั ประทานอาหารสุขภาพ เพ่อื ลดภาวะด้อื อินซูลิน และลดโอกาสเกดิ เบาหวานใน อนาคต 3. โรคเบาหวานขณะตง้ั ครรภ (gestational diabetes mellitus, GDM) เปน โรคเบาหวานที่เกดิ ขึน้ ขณะต้งั ครรภ มักเกดิ เมอื่ ไตรมาส 2-3 ของการตง้ั ครรภ 4. โรคเบาหวานทม่ี สี าเหตจุ ําเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) มไี ดห ลายสาเหตุ เชน โรคทางพนั ธกุ รรม โรคของตบั ออ น โรค ทางตอ มไรท อ ยาบางชนดิ เปนตน

โดยการวนิ ิจฉยั เบาหวาน ทําไดโดยวิธใี ดวิธหี น่ึงใน 4 วิธี ดงั ตอ ไปนี้ 1. มีอาการโรคเบาหวานชดั เจน ไดแก หวิ นาํ้ บอย ปส สาวะบอ ยและปริมาณมาก นาํ้ หนกั ตวั ลดลงโดยไมมสี าเหตุ รว มกบั ตรวจระดบั นา้ํ ตาลในเลอื ดเวลาใดก็ได ไมจ ําเปน ตอ งอดอาหาร ถา มคี า ≥200 มก./ดล. 2. ระดับนา้ํ ตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อยา งนอย 8 ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล. 3. การตรวจความทนตอ กลูโคส โดยใหรบั ประทานกลโู คส 75 กรมั แลวตรวจระดับนา้ํ ตาลในเลอื ดที่ 2 ชัว่ โมง ถา มคี า ≥ 200 มก./ดล. 4. การตรวจระดบั น้าํ ตาลสะสม (A1C) ≥ 6.5% โดยวิธีการตรวจและหองปฏบิ ตั กิ ารตองไดร บั การรบั รองตามมาตรฐานท่ี กําหนด ซึ่งยงั มีนอยในประเทศไทย ดงั นน้ั จึงไมแนะนาํ ใหใชวิธีนี้ การตรวจระดบั นํ้าตาลในเลือด 1.หลงั รบั ประทานอาหารโดยแตล ะม้ือหลงั รบั ประทานอาหาร 2ชว่ั โมง กอ นนอน และตอน 2.00-3.00 น. ข้นึ อยูก ับ เปาหมายการควบคมุ ระดับนํา้ ตาลสําหรบั ผเู ปนเบาหวานแตละคนวาตอ งการคมุ เขมงวดเพียงใด 2.งดอาหาร 8 ชว่ั โมง คือ การเจาะเลอื ดเพือ่ ตรวจหาคาระดับนํ้าตาลในเลือดหลังการงดอาหารและเครอ่ื งด่มื ทกุ ชนิดมา แลว อยา งนอ ย 8 ชั่วโมง (แตดื่มน้าํ เปลา ได) ทัง้ นเี้ พือ่ ใชเ ปน ขอมูลท่ชี วยบง ชว้ี า ปรมิ าณของกลโู คสในกระแสเลอื ด ณ ขณะน้ันอยูในระดับปกติ ตํ่ากวาปกติ หรือสงู กวาปกติ การตรวจนี้จึงเปน การตรวจทีช่ วยคดั กรองและวินิจฉัยผทู ม่ี ีอาการ แสดงหรอื มีปจจัยเสี่ยงเปน โรคเบาหวานได นอกจากนี้ยังชวยตดิ ตามระดบั น้าํ ตาลในเลอื ดเพอ่ื ประเมนิ ผลการรกั ษา และ ตรวจเพื่อปอ งกนั ระดับนา้ํ ตาลในเลือดต่ําหรอื สงู เกินไปในผปู ว ยเบาหวานไดดว ย

DM type I(Diabetes Mellitus Type 1) DM type II(Diabetes Mellitus Type 2) - มักพบในเดก็ และวัยรนุ โดยพบมากในชว ง - มกั พบในผทู ม่ี ีอายุ 30 ปข้ึนไป ผูท มี่ นี ้าํ หนกั อายุ 4-7 ป และ 10-14 ป ไมเกี่ยวของกับ เกินเกณฑ เปน โรคอว น หรือมภี าวะเสีย่ ง น้าํ หนัก หรือรูปแบบการใชช ีวิต ผูปวยสว น เบาหวาน (Prediabetes) คือ นํ้าตาลใน ใหญมกั ไดร ับการวินจิ ฉยั จากที่มภี าวะเลอื ด เลือดสูงกวาปกติเลก็ นอ ย กลุมนี้ จะย่ิงมีค เปน กรด จากกรดคโี ตนคัง่ รกั ษาดว ยการ วามเสยี่ งเพิ่มขน้ึ หากมีคนในครอบครัว ฉดี อินซูลิน หรืออนิ ซลู นิ ปม หากไมใช เปนเบาหวาน ชนิดที่ 2 จะย่ิงเพ่มิ ความเสี่ยง อินซลู นิ จะควบคุมอาการของโรคไมได มากข้นึ เบาหวานชนดิ ท่ี 1 ยงั ไมม วี ิธีปองกันโรคน้ี ได

คาระดบั นาํ้ ตาลในเลอื ดทีร่ ะยะเวลาตางๆ สําหรับผปู วยโรคเบาหวาน ไมว า จะเปน เบาหวานชนดิ ที่ 1 หรอื 2 หรือ เบาหวานในขณะตง้ั ครรภ โ ชวงเวลา คาระดบั นาํ้ ตาลในเลอื ด(คน เปา หมายของคา ระดับนา้ํ ตาล หลงั ตื่นนอนกอ นอาหารเชา ปกติ) ในเลือด(คนเปน เบาหวาน) ต่าํ กวา 100mg/dL กอ นอาหาร อยูร ะหวาง80-130mg/dL 1 – 2 ชม.หลงั อาหาร ตา่ํ กวา110mg/dL อยรู ะหวาง 70-130 mg/dL กอนนอน ตํ่ากวา 140 mg/dL ตํ่ากวา 110 mg/dL คา HbA1C ตํ่ากวา 120 mg/dL อยูร ะหวาง 70-130 mg/dL ต่ํากวา 5.7 % ต่าํ กวา 180 mg/dL ตา่ํ กวา 140 mg/dL อยรู ะหวาง 90 – 150 mg/dL ตํ่ากวา 7 %

อาการภาวะนาํ้ ตาลในเลือดตาํ่ Hypoglycemia) เปนภาวะท่เี กดิ ข้นึ เมอ่ื ระดบั นาํ้ ตาลในเลือดลดลงอยางผดิ ปกตแิ ละเปน อนั ตราย มกั ทําใหเ กดิ อาการสนั่ และออ นเพลยี ซ่ึงเกิดขึน้ ไดจากหลายสาเหตุ และโอกาสเสย่ี งทจ่ี ะเกิดภาวะดังกลาวนน้ั มีอยูส งู ในผู ปวยโรคเบาหวาน อาการภาวะนํ้าตาลในเลอื ดตํา่ ไดแก -รสู ึกหิว -รสู กึ รอน เหงื่อออก -รสู ึกกงั วล -มือสนั่ กระสับกระสาย -ใจสนั่ หัวใจเตน เรว็ -ความดันโลหติ ซสิ โตลิคสงู -ชารอบปากหรอื สวนอนื่ ๆ สาเหตุของภาวะนาํ้ ตาลในเลือดตํ่า ภาวะน้ําตาลในเลือดต่าํ มีหลายสาเหตุ มักจะเกดิ กบั ผูปวยโรคเบาหวาน ซง่ึ อาจเปนผลขางเคยี งจากการใชยารกั ษาโรค เบาหวานหรืออินซูลิน เพราะหากใชซลู นิ มากเกินไปก็จะทาํ ใหน้าํ ตาลในเลอื ดลดลงต่าํ มาก นอกจากน้นั หากน้ําตาลทีอ่ ยใู นรางกายถูกใชหมดเรว็ จนเกินไป นา้ํ ตาลถกู ปลอ ยเขา สกู ระแสเลอื ดชา เกนิ ไป หรือมปี รมิ าณอินซูลนิ ในกระแสเลอื ดมากเกนิ ไป ก็ทาํ ใหระดบั น้ําตาลในเลอื ดลดตา่ํ ลงไดเ ชนกัน รวมไปถงึ ปจ จัยเส่ยี ง อืน่ ๆ ไดแก ไดร บั ยารักษาเบาหวานท่ไี มเ หมาะสมทง้ั ชนิดของยา ขนาดยาที่มากเกินไป และเวลาในการรบั ประทานยา รบั ประทานอาหารปริมาณนอยกวาปกติหรือไมเ พยี งพอ หรอื งดม้อื อาหาร หรอื เล่อื นเวลารบั ประทานอาหาร รวมไปถงึ ปรับเปลย่ี นการรบั ประทานอาหารทีท่ าํ ให ปริมาณคารโบไฮเดรตหรอื นํา้ ตาลตํ่าลง มกี ารใชกลูโคส (Glucose Utilization) เพ่ิมข้ึน เชน ออกกําลังกายมากขึ้น เปน ตน มกี ารผลติ กลโู คสทีต่ บั นอ ยลง เชน ดม่ื เครื่องด่มื แอลกอฮอล เปน โรคตบั แขง็ นํ้าตาลในเลือดสงู (Hyperglycemia) เปนภาวะทรี่ างกายมรี ะดบั นํ้าตาลกลูโคสในเลอื ดสูงกวาปกติ ซึง่ ระดับน้ําตาลท่ีปกตคิ ือประมาณ 70-100 มลิ ลิกรมั ตอ เดซิลติ ร แตห ากคา ทีไ่ ดส งู กวา 100 มิลลิกรมั ตอเดซลิ ิตรขนึ้ ไปจะเสีย่ งตอการเปน เบาหวาน อาการในชว งเรม่ิ ตน สงั เกตไดจาก -ปส สาวะบอย โดยเฉพาะในชวงกลางคนื -มองเหน็ ไมชัด -กระหายนํ้ามาก -ปวดศีรษะ -เหนื่อยงา ย สาเหตขุ องภาวะนํา้ ตาลในเลือดสูง ผูท ีม่ ภี าวะนํ้าตาลในเลอื ดสูงมักมสี าเหตุมาจากโรคเบาหวานเปนหลกั เพราะผูป วยโรคเบาหวานนั้นมีระดับน้ําตาลสูงขึ้นไดงา ย เนอ่ื งจากรา งกายมฮี อรโมนอนิ ซลู นิ ไมเ พยี งพอหรอื เกดิ ภาวะดือ้ อนิ ซลู นิ ทําใหก ารควบคุมระดบั นาํ้ ตาลผิดปกติ ตา งจากคนท่ัวไปที่ฮอรโมนอินซลู นิ จะถูกผลติ และหลง่ั จากตับออ นหลงั ม้อื อาหาร โดย ทําหนาทีเ่ ปน ตัวนําน้ําตาลในเลือดเขา สูเซลลตา ง ๆ ทั่วรางกายเพ่อื เผาผลาญเปน พลังงาน สงผลใหร ะดบั นาํ้ ตาลในเลือดลดลงในระดบั ปกติ

พยาธิสภาพ อนิ ซูลนิ เปน ฮอรโ มนท่ีควบคมุ การเผาผลาญกลูโคส ไขมนั และกรดอะมิโน เมอื่ รางกายขาดอนิ ซูลนิ ทาํ ใหร างกายไม สามารถเผาผลาญหรือเปล่ยี นกลูโคสเปนพลงั งานหรือเปล่ยี นกลโู คสเปนไกลโคเจน และไขมันทาํ ใหระดบั นํ้าตาลในเลอื ดสูง เมือ่ ระดับนา้ํ ตาลในเลอื ดสูงเกนิ ขีดจาํ กัดของไต ไตไมส ามารถดดู กลูโคสกลับไดห มด กลโู คสสวนที่เหลอื จะขบั ออกมาทาง ปส สาวะ เมือ่ รา งกายไมสามารถใชกลูโคสใหเปน พลงั งาน กรดอะมิโนในรางกายจะถกู เผาผลาญทต่ี บั เพ่อื ใชเ ปนพลังงาน แทน ทาํ ใหต บั ผลิตสารยูเรียมากขึ้นและถกู ขบั ออกทางปส สาวะจะทาํ ใหโปแตสเซยี มถกู ขบั ออกไปดว ย สวนไขมันทสี่ ะสมไว จะถกู สลายใหเ ปนกรดไขมันและถูกนาํ กลบั มาท่ีตบั ระดบั กรดไขมนั ในตับสูง สว นหนึง่ ของกรดไขมนั ในตบั จะถูกเปลย่ี นเปน สารรโี ตนเมอ่ื สารคโี ตนในตับมากขึน้ จะทําใหภ าวะคโี ตนในเลือดสงู และพบคโี ตนในปสสาวะได และเสยี สมดุลกรดดางใน รางกาย(โซเดียมและโปแตสเซยี มถกู ขบั ออกมาดวย)เกิดความเปน กรดในเลอื ด(acidosis) ส่ิงท่ตี รวจพบไดแ ก โรคเบาหวานไดจ ากการตรวจพบระดบั น้ําตาลเฉลย่ี สะสม หรอื ฮโี มโกลบนิ เอวนั ซี (Hemoglobin A1C : HbA1C) มคี า เทา กับ หรอื มากกวา 6.5% จากการตรวจ 2 ครั้งในตา งวันกัน (คา ปกตจิ ะตา่ํ กวา 5% แตถ ามคี าอยูที่ 5.7-6.4% จะถือวาเปน กลมุ เสย่ี งสงู ตอเบาหวาน)

การรักษา มแี นวทาง ดงั น้ี 1.บริโภคอาหารท่ีสมดุลกบั สุขภาพ คือ ควบคุมปริมาณพลงั งาน (แคลอร่ี) ในแต่ละวนั ควรรับประทานอาหารใหค้ รบหมู่ ไม่ซ้าํ ซากจาํ เจ รับประทานพชื ผกั ใหม้ าก ไม่รับประทานเน้ือสตั วท์ ี่ติดมนั ควรรับประทานปลาเป็นหลกั หลีกเล่ียงอาหารรสเคม็ จดั และรสหวานจดั เลือกรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เลี่ยงอาหารท่ีมีน้าํ ตาลเป็นส่วนประกอบมากๆ เช่น เครื่องดื่มที่มีรสหวานหรือใส่นมขน้ หวาน ขนมหวานและงดเคร่ืองด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ ผลไมท้ ุกชนิดมี น้าํ ตาลเป็นส่วนประกอบ ถา้ รับประทานมากจะทาํ ใหน้ ้าํ ตาลในเลือดสูงได้ ควรหลีกเลี่ยงผลไมห้ วานจดั หรือใหพ้ ลงั งานสูง เช่น ทุเรียน ขนุน ละมุด หรือ ผลไมต้ ากแหง้ ผลไมก้ วน ผลไมเ้ ชื่อม แช่อิ่ม และผลไมก้ ระป๋ อง 2.ลดน้าํ หนกั และควบคุมน้าํ หนกั ใหเ้ ป็นปกติ 3.ออกกาํ ลงั กายอยา่ งสม่าํ เสมอ อยา่ งนอ้ ย 20 – 30 นาทีต่อคร้ัง อยา่ งนอ้ ย 3 คร้ังต่อสปั ดาห์ 4.งดสูบบุหร่ี เน่ืองจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจยั สาํ คญั ต่อโรคเสน้ เลือดสมองและหวั ใจตีบ 5.ใชย้ ารักษาเบาหวานถา้ ระดบั น้าํ ตาลในเลือดสูงกวา่ กาํ หนด โดยทว่ั ไปแพทยจ์ ะดูจากระดบั น้าํ ตาตอนเชา้ ไม่เกิน 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และระดบั น้าํ ตาล สะสมฮีโมโกลบินเอวนั ซี(HbAIC)นอ้ ยกวา่ 7 %

6.ใชย้ าลดความดนั โลหิตและยาลดไขมนั ในเลือดเม่ือมีขอ้ บ่งช้ี ซ่ึงโดยทว่ั ไประดบั ความดนั ในเลือดท่ีเหมาะสมคือนอ้ ยกวา่ 130/80 มิลลิเมตรปรอท และค่าไขมนั แอลดีแอล (LDL) นอ้ ยกวา่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 7.ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกบั โรคแทรกซอ้ น อาการเบ้ืองตน้ และการป้ องกนั 8.หมน่ั ดูแลเทา้ อยา่ งสม่าํ เสมอและใส่รองเทา้ ท่ีเหมาะสม ถา้ หากมีแผลเร้ือรังรีบพบแพทย์ 9.ลดความเครียด มีจิตใจสบาย ผปู้ ่ วยเบาหวานหลายคนมกั จะเขา้ ใจผดิ วา่ ตอ้ งงดอาหารหวานอยา่ งเคร่งครัดจนกินอะไรไม่ไดเ้ ลย ทาํ ใหม้ ีความเครียด มากแต่ในความเป็นจริงแลว้ ผปู้ ่ วยสามารถรับประทานไดท้ ุกอยา่ ง เพียงแต่ตอ้ งรู้จกั จาํ กดั ปริมาณและเขา้ ใจเรื่องอาหารแลกเปล่ียนอยา่ งแทจ้ ริง ก็ สามารถควบคุมระดบั น้าํ ตาลในเลือดได้ ส่วนวถิ ีชีวติ อ่ืนๆ กไ็ ม่ไดแ้ ตกต่างจากผทู้ ่ีไม่มีภาวะเบาหวานมากมายนกั การมีเวลาออกไปผอ่ นคลายกบั ครอบครัวและเพื่อนบา้ น นอกจากวถิ ีชีวติ ทาํ งานปกติแลว้ กลบั จะทาํ ใหผ้ ปู้ ่ วยลดความเคร่งเครียดได้ ซ่ึงโดยทว่ั ไปแลว้ พบวา่ การไม่เคร่งเครียดบ่อยจะ ทาํ ใหค้ วบคุมเบาหวานไดด้ ีข้ึน 10.ติดตามการรักษาอยา่ งสม่าํ เสมอกบั แพทย์

ยารกั ษาโรคเบาหวาน กลมุ ทอ่ี อกฤทธิท์ ําใหน ํ้าตาลในเลือดต่าํ (Hypoglycemic drugs) ยากลุมซัลโฟนลิ ยเู รยี (Sulfonylureas): เชน ยา อะซโี ตเฮกซาไมด (Acetohexamide), คลอรโ พรพาไมด (Chlorpropamide), โทลาซาไมด (Tolazamide), ไกลเม พไิ รด (Glimepiride), ไกลพิไซด (Glipizide), ไกลเบนคลาไมด (Glibenclamide) หรอื อกี ชื่อคอื ไกลบไู รด (Glyburide) ยาในกลมุ นรี้ ับประทานวันละ1-2 ครัง้ โดยยาจะออกฤทธิก์ ระตนุ ตบั ออ นใหผ ลิตอนิ ซูลนิ เพิ่มข้ึน และมีอาการขางเคียงท่ีพบไดบอย ไดแ ก ภาวะนํ้าตาลในเลอื ดต่ํา ผนื่ ที่ผวิ หนงั แนนทอง ดงั นั้นขอควรจะปฏบิ ัติเมือ่ กินยากลมุ น้ี จึงควรจะพกนาํ้ ผลไม หรืออาหารพวกแปง ติดตัว และกนิ อาหาร การออกกําลังกายใหต รงเวลา ยากลมุ ท่ีไมใ ชซ ัลโฟนิลยูเรยี (Non – sulfonylureas หรอื Glinides หรือ Meglitinides): เชน ยา รีพาไกลไนด (Repaglinide), นาทิไกลไนด (Nateglinide), มิ ทิไกลไนด (Mitiglinide) ยารกั ษาโรคเบาหวาน ทีอ่ อกฤทธตานการเพิ่มระดบั น้ําตาลในเลอื ด (Antihyper glycemic drugs) ยากลุม ไบกัวไนด (Biguanides): เชน ยา เมทฟอรม นิ (Metformin) ยาเมทฟอรม ิน จะรบั ประทานวันละ 2 ครั้ง เชาและเย็น ยาชนดิ นีจ้ ะออกฤทธล์ิ ดการสรา งน้ําตาลจากตบั ผลขา งเคียงของยาอาจจะทาํ ใหเกดิ อาการ แนนทอง เบ่อื อาหาร การรับประทานพรอ มอาหารจะลดอาการขา งเคยี งของยา สาํ หรบั ผูทเ่ี ปน โรคตบั หรอื โรคไต อาจจะเกิดภาวะกรดในเลอื ด ยากลุม ไธอะโซลิดนี ไดโอน (Thiazolidinediones): เชนยา ไพโอกลทิ าโซน (Pioglitazone)

ยารักษาโรคเบาหวาน กลมุ ทยี่ บั ยั้งการทํางานของเอนไซมทีย่ อยสลายคารโบไฮเดรตในลําไส ยากลมุ ท่ียบั ยัง้ การทํางานของเอนไซมอ ลั ฟา กลูโคซิเดส/เอนไซมยับย้งั การยอยสลายคารโ บไฮเดรตในลาํ ไส (Alpha – glucosidase inhibitor) เชนยา อะคารโบส (Acarbose), โวกลิโบส (Voglibose), ไมกลิทอล (Miglitol) ยากลุมน้เี ปน ยาทน่ี าํ มาใชร กั ษาผูป ว ยเบาหวานโดยลดการดดู ซมึ สารอาหารท่ลี าํ ไสเล็กสว นตน สามารถลด FPG ได1 6-20 มก.% ลด HbA1c ได 0.59 % และลดนํ้าตาลหลงั อาหาร [post prandrial glucose] ได 51 มก.% มอี าการขา งเคียงทพ่ี บไดบ อย ไดแก ทองอดื ทองเดิน ปวดทอง ควรเรม่ิ ยาแตน อ ยเคยี้ วพรอมอาหาร ยารกั ษาโรคเบาหวาน ในกลมุ อนิ ครตี ินฮอรโ มน (Incretin hormones) Incretin mimetics (อนิ ครตี นิ ฮอรโมน สรา งจากลําไสเ ล็กเพ่ือกระตุนการหลั่งอินซูลนิ เมือ่ มกี ารบรโิ ภคอาหาร) ยากลุมทอ่ี อกฤทธเ์ิ ลียนแบบการทาํ งานของฮอรโมน Glucagon (Glucagon-like peptide-1 receptor agonists ยอวา GLP-1 receptor agonist) เชนยา เอก็ ซีนาไทด (Exenatide) ยารักษาโรคเบาหวาน กลุมทอ่ี อกฤทธ์ิยับยงั้ เอนไซม Dipeptidyl peptidase เอนไซมทเ่ี ก่ยี วของกับการยอยสลายของนาํ้ ตาล Glucose (Dipeptidyl peptidase-4 Inhibitor, DPP-4 Inhibitor) ยากลุมน้ีเปนยาทอ่ี อกฤทธิย์ ับย้งั การสรางเอนไซม dipeptidyl peptidase 4 มผี ลใหร า งกายหลงั่ อินซลู นิ ออกมามากข้ึน การนาํ ยากลุมนี้มาใชเ พ่ิมในผูป ว ยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะไมทําให เกดิ ภาวะระดับน้าํ ตาลในเลือดตํา่ (hypoglycemia) ไมทําใหน้ําหนกั ตวั เพิ่ม และยงั อาจสงผลดตี อ ระดบั คอเลสเตอรอล (cholesterol) ในเลือด เชนยา วิลดากลิปติน (Vildagliptin), ซติ ากลิปติน (Sitagliptin), แซกซากริปตนิ (Saxagliptin), ลินา กลิปตนิ (Linagliptin) ยากลมุ ใหมซึง่ เปนยาออกฤทธคิ์ วบคุมการดูดซมึ กลบั ของนาํ้ ตาลกลโู คสบรเิ วณทอ ไต ยากลุม Sodium – glucose Cotransporter inhibitors (SGLT2 inhibitors): เชน ยา ดาพากลิโฟลซนิ (Dapagliflozin), คานากลโิ ฟลซิน (Canaglifloziin), เอม็ พากลโิ ฟลซิน (Empagliflozin)

โรคเบาหวาน คือ โรคทเ่ี ซลลรา งกายมีความผิดปกตใิ นขบวนการเปลี่ยนนํ้าตาลในเลอื ดใหเปน พลงั งาน โดยขบวนการนเี้ ก่ยี วของกับอินซูลนิ ซึ่งเปน ฮอรโ มนทส่ี รา งจากตบั ออนเพ่อื ใชค วบคุมระดบั น้ําตาลในเลอื ด เมอ่ื น้าํ ตาลไมไ ดถ กู ใชจึงทาํ ใหระดบั น้ําตาลในเลือดสงู ขน้ึ กวาระดับปกติ โรคเบาหวาน แบง เปน 4 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดโรค 1. โรคเบาหวานชนดิ ท่ี 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) เกดิ จากเซลลตับออ นถูกทําลายจากภมู ิคุม กันของรางกาย ทาํ ใหขาดอินซูลนิ มกั พบใน เด็กและวัยรุน โดยพบมากในชว งอายุ 4-7 ป และ 10-14 ป ไมเ ก่ยี วขอ งกบั นํ้าหนกั หรือรปู แบบการใชช ีวิต ผูปว ยสวนใหญมกั ไดร บั การวนิ จิ ฉยั จากที่มี ภาวะเลือดเปนกรด จากกรดคโี คนคั่ง รกั ษาดวยการฉีดอินซูลนิ หรอื อนิ ซูลนิ ปม หากไมใ ชอ ินซูลนิ จะควบคมุ อาการของโรคไมได ปจจยั เสีย่ งตอ โรคเบาหวานชนดิ ท่ี1 -พนั ธกุ รรม. -ประวัตคิ รอบครัว. -ภาวะขาดวิตามนิ ด.ี -เริม่ ดืม่ นมววั เรว็ เกินไป -โรคทางระบบภมู คิ ุม กนั อ่นื ๆ เชน โรคที่ตอมไทรอยด โรคแอดดิสนั (Addison’s disease) โรคเซลิแอค (Celiac Disease) และ Autoimmune gastritis -ตดิ เชอื้ ไวรสั ในชวงวัยเดก็ -การเรม่ิ อาหารประเภทซเี รยี ล และกลูเตนเรว็ เกินไป (กอย 4 เดอื น) หรือชา เกินไป (หลัง 7 เดอื น) -ขณะคลอด มารดามอี ายมุ าก หรือมภี าวะครรภเปนพษิ 2. โรคเบาหวานชนดิ ที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T1DM) เปนชนดิ ท่ีพบบอยท่ีสดุ รอ ยละ 95 ของผปู ว ยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดอื้ ตอ อนิ ซูลิน มกั พบในผใู หญท ี่มีนํ้าหนักเกนิ หรืออว นรวมดว ย อาการทีบ่ งบอกถึงภาวะด้ืออนิ ซูลนิ ไดแก นํา้ หนกั เกิน มีถุงนาํ้ รังไข หรอื รอยปน ดาํ ท่ผี วิ หนังท่ีเรีกวา acanthosis nigricans อะแคนโทสิสนกิ ริแคน เปน ปน นา้ํ ตาลออนจนถงึ ดาํ ท่บี ริเวณคอ ขอ พบั รกั แร ขาหนบี มกั พบในคนอวน รับประทานอาหารหวานหรอื จาํ พวกแปง ปรมิ าณมาก ซงึ่ บงบอกวาอาจ มีความเส่ยี งตอโรคเบาหวานในอนาคต หากมรี อยปนแบบนีค้ วรตรวจหาเบาหวาน ออกกําลังกาย ลดน้าํ หนกั รบั ประทานอาหารสุขภาพ เพ่อื ลดภาวะด้อื อินซูลิน และลดโอกาสเกดิ เบาหวานใน อนาคต 3. โรคเบาหวานขณะตง้ั ครรภ (gestational diabetes mellitus, GDM) เปน โรคเบาหวานที่เกดิ ขึน้ ขณะต้งั ครรภ มักเกดิ เมอื่ ไตรมาส 2-3 ของการตง้ั ครรภ 4. โรคเบาหวานทม่ี สี าเหตจุ ําเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) มไี ดห ลายสาเหตุ เชน โรคทางพนั ธกุ รรม โรคของตบั ออ น โรค ทางตอ มไรท อ ยาบางชนดิ เปนตน

โดยการวนิ ิจฉยั เบาหวาน ทําไดโดยวิธใี ดวิธหี น่ึงใน 4 วิธี ดงั ตอ ไปนี้ 1. มีอาการโรคเบาหวานชดั เจน ไดแก หวิ นาํ้ บอย ปส สาวะบอ ยและปริมาณมาก นาํ้ หนกั ตวั ลดลงโดยไมมสี าเหตุ รว มกบั ตรวจระดบั นา้ํ ตาลในเลอื ดเวลาใดก็ได ไมจ ําเปน ตอ งอดอาหาร ถา มคี า ≥200 มก./ดล. 2. ระดับนา้ํ ตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อยา งนอย 8 ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล. 3. การตรวจความทนตอ กลูโคส โดยใหรบั ประทานกลโู คส 75 กรมั แลวตรวจระดับนา้ํ ตาลในเลอื ดที่ 2 ชัว่ โมง ถา มคี า ≥ 200 มก./ดล. 4. การตรวจระดบั น้าํ ตาลสะสม (A1C) ≥ 6.5% โดยวิธีการตรวจและหองปฏบิ ตั กิ ารตองไดร บั การรบั รองตามมาตรฐานท่ี กําหนด ซึ่งยงั มีนอยในประเทศไทย ดงั นน้ั จึงไมแนะนาํ ใหใชวิธีนี้ การตรวจระดบั นํ้าตาลในเลือด 1.หลงั รบั ประทานอาหารโดยแตล ะม้ือหลงั รบั ประทานอาหาร 2ชว่ั โมง กอ นนอน และตอน 2.00-3.00 น. ข้นึ อยูก ับ เปาหมายการควบคมุ ระดับนํา้ ตาลสําหรบั ผเู ปนเบาหวานแตละคนวาตอ งการคมุ เขมงวดเพียงใด 2.งดอาหาร 8 ชว่ั โมง คือ การเจาะเลอื ดเพือ่ ตรวจหาคาระดับนํ้าตาลในเลือดหลังการงดอาหารและเครอ่ื งด่มื ทกุ ชนิดมา แลว อยา งนอ ย 8 ชั่วโมง (แตดื่มน้าํ เปลา ได) ทัง้ นเี้ พือ่ ใชเ ปน ขอมูลท่ชี วยบง ชว้ี า ปรมิ าณของกลโู คสในกระแสเลอื ด ณ ขณะน้ันอยูในระดับปกติ ตํ่ากวาปกติ หรือสงู กวาปกติ การตรวจนี้จึงเปน การตรวจทีช่ วยคดั กรองและวินิจฉัยผทู ม่ี ีอาการ แสดงหรอื มีปจจัยเสี่ยงเปน โรคเบาหวานได นอกจากนี้ยังชวยตดิ ตามระดบั น้าํ ตาลในเลอื ดเพอ่ื ประเมนิ ผลการรกั ษา และ ตรวจเพื่อปอ งกนั ระดับนา้ํ ตาลในเลือดต่ําหรอื สงู เกินไปในผปู ว ยเบาหวานไดดว ย

Urinary ผลตรวจ คาปกติ แปลผล หมายถงึ analysis (U/A) Yello,clear ปกติ 1.003-1.030 ปกติ Color 4.6-8 ปกติ Specific gravity 0-2 ปกติ Potential of 0-2 ปกติ Hydrogenion Negative ปกติ Negative ปกติ White blood Negative cell Red blood cell Protien Sugar Ketone

Blood Urea Nitrogen( BUN) Creatinine Electrolyte ชนดิ การตรวจ ผลตรวจ คาปกติ แปลผล ความหมาย Potassium 3 3.5-5.1 ตา่ํ กวา การสญู เสยี โพเเทสเซียมออกทางปส สาวะและจากทางเดนิ ปกติ อาหาร เชน อาเจยี น ทอ งเสยี ภาวะเลอื ดเปนดา ง และภาวะ ไตวาย Sodium 133 136-146 ต่าํ กวา อาจเกิดจากการสญู เสยี ของเหลวและอิเลก็ โทรไลตใ น ปกติ รา งกายจากหลายสาเหตเุ ชน วถิ ชี วี ติ อาการเจ็บปวยและ ภาวะจากการมีปญหาหัวใจ ไตและตับ choride 102 101-109 ปกติ carbondioxide (CO2) 22 21-31 ปกติ Blood Urea Nitrogen 7.9 8.0-20.0 ต่าํ กวา อาจมผี ลมาจากบริโภคอาหารโปรตีนนอ ยเกินไป ปกติ กลไกการดดู ซึมอาหารบกพรอง Creatinnine 0.6 0.55-1.02 ปกติ Estimatet glomerular 6.2 ต่าํ กวา อยใู นภาวะไตวายระยะที่5 filtration rate >90 ปกติ

Complete blood count ชนิดการตรวจ ผลการตรวจ คาปกติ การแปลผล แปลความหมาย Hemoglobin 16 14-18% ปกติ Hematocrit 47 42-50% ปกติ White Blood cell 5000 -10000 Cell/mm ปกติ Neutrophil band. 6000 40-74% ปกติ Lymphocyte 55 25-40% ปกติ Monocyte 35 ปกติ Eosinophil 2-3 1-4% ปกติ Platelet count 1-2 1-5% ปกติ 150000-400000Cell/mm 160000



right drug คําแนะนาํ หลังยา right dose right time -อาจจะเกดิ ผ่ืนคันจากการแพอินซูลนิ right patient - ผวิ หนังบริเวณทฉ่ี ดี ยาอาจจะเกิดรอยบุมหรอื รอยนนู ข้นึ right rout -อาจจะเกดิ อาการใจสน่ั เนื่องจากนาํ้ ตาลในเลอื ดตาํ่ right refuse right documentation







กรณศี กึ ษา อาการ 4ชั่วโมงกอนมาโรงพยาบาล ผปู วยสบั สน ซมึ ลง ถามตอบไมร ูเร่อื ง ประวตั ิ ชายไทย อายุ 56 ป ประวัติการเจ็บปวยปจ จุบัน 25ป กอนเปน เบาหวาน รกั ษาตอ เน่ือง คุมนํ้าตาลไมไ ด 10ป กอ นตามวั 2ขาง 4ป กอ นมแี ผลทีเ่ ทา ท้งั 2 ขางบอยๆ 17วัน กอ นมีภาวะนํา้ ตาลต่าํ นอน รพ 3วัน 1วนั กอน กนิ ขา วไมได ประวตั กิ ารเจ็บปวยในอดีต เปนโรคความดนั โลหิตสูง และไขมัน มา20ป รกั ษตอเนอ่ื ง Blood pressure >140/90 มลิ ลิเมตรปรอท 7ปก อ นมีหกลม ผา ตัดกระดูก ประวัตกิ ารเจบ็ ปว ยในครอบครวั ภรรยาเปนความดันและมภี าวะเสนเลือดในสมองแตก

การตรวจรา งกาย แลป เอาชื่อมาใส และแยกแลปไวเปน แผน ไป นา้ํ หนกั 85 กิโลกรัม สวนสูง 155 เซนติเมตร ดชั นมี วลกาย = 35.38 กโิ ลกรัมตอตารางเมตร Temperatures =36.5องศา DTX =40 มลิ ลิกรัมเปอรเซน็ ต(แรกรบั ) เซลเซยี ส Pulse 65ครั้ง/นาที Respiratory rate 20คร้ัง/นาที Blood pressure 142/61 มลิ ลิเมตรปรอท HCT=7.4 % ตาดานซา นมองไมเ ปนพรามวั การมองเหน็ 20/70 ชาเทาทงั้ 2ขา ง BUN(Blood Urea Nitrogen)=7.9มลิ ลกิ รัมตอ เดซลิ ิตร e-GFR (Estimatet glomerular filtration rate)=6.2 การรกั ษา -50 % glucose 50ml.v state -10% Dextrose/Normal Saline/2 500 ml v 100ml/hr ( 10%D/NSS/2 500 ml v 100ml/hr) -Regular insulin (RI) 4-10 ยูนติ subcutaneous injection (ฉดี ยาเขาชัน้ ใตผิวหนงั ) keep นํ้าตาล 80-180 มิลลิกรัมตอ เดซิลติ ร -ceftriaxone 2กรัม v od (วันละคร้ัง) -จํากัดน้าํ ด่มื 800 มิลลิลิตร - NPH (Insulin Isophane Suspension)

11 แบบแผน สรุป แบบแผน สรปุ แบบแผน รับรูวา ตนเองปวยเปน โรคเบาหวาน 7การรับรูต น มีความพอใจในหนา ตาของตนเอง ไมมกี าร ตรวจรางกายทกุ ป เองและมโน เปรียบเทยี บหรอื รสู กึ ผดิ 1การรับรู ไดรับวคั ซีนไขห วัดใหญ ทศั น สุขภาพ และ อาบน้ําวันละ 2 ครั้ง การดูแล แปรงฟน วนั ละ 2 ครง้ั สขุ ภาพ ชอบสบู บหุ ร่ี ยาเสนมาก ดม่ื เหลา ตามเทศกาล 2อาหารและ ชอบทานขาวเหนียวไกทอด 8บทบาท ในครอบครัวมีสมชิกทัง้ หมด3คน คอื พอ แม การเผาผลาญ ทานตรงเวลา หวิ ก็ทาน ชว งนีก้ นิ ไมค อ ยได สมั พันธภาพ และลูกสาว1คน อาหาร อาหารเสรมิ ชอบทานทุเรียนกับมะมว ง บทบาทหนาทเ่ี ปนหวั หนา ครอบครวั อาหารท่ีรับประทานขณะปวย คือ ขา วตม ด่มื น้าํ เปลา วนั ละ 6-8 แกว ขณะปว ยตอ งจาํ กดั น้าํ ด่ืมวันละ 4 แกว 3.การขบั ถา ย ปสสาวะวนั ละ 4-5 คร้ัง 9เพศและการ วยั สูงอายุ อจุ จาระวนั ละ 1 ครง้ั เจริญพนั ธุ ทอ งผกู บา ง

สรุปขอวนิ จิ ฉยั การพยาบาล วนั ท่ี 15 มยิ 64 เสยี่ งตอภาวะช็อกเนือ่ งจากมีภาวะน้าํ ตาลต่าํ

ขอ วนิ จิ ฉัย วนั ที่ 15/06/64 ขอวินจิ ฉัยทางการ วตั ถปุ ระสงค/เกณฑ กิจกรรมการพยาบาล เหตุผล ผลการประเมิน พยาบาล/ขอ มลู การประเมิน สนับสนุน -เสย่ี งตอ ภาวะชอ ก -ผูปว ยไมมีภาวะ 1.ประเมนิ ผปู ว ยโดย 1.เพื่อทราบอาการ -ผปู วยมภี าวะนํ้าตาล เนอื่ งจากมภี าวะ ระดับนาํ้ ตาลในเลอื ด ประเมนิ ระดับความ ภาวะนํ้าตาลต่ํา อยใู นเกณฑระดับ น้าํ ตาลตาํ่ ตา่ํ รสู ึกตัวของผูปวยและ 2.เพือ่ ทราบคานํ้า ปกติคอื 80-120 อาการใจส่ัน หัวใจ ตาลในเลอื ดท่แี ทจริง มลิ ลิกรมั เปอรเซนต S: ญาตบิ อก 17วัน เกณฑการประเมนิ เตน เร็ว เหงอื่ อก ตวั ของผปู ว ย ไมมีอาการใจส่ัน กอนมา รพ มีภาวะ -ผูปวยมรี ะดับนํา้ ตาล เย็น ออนเพลีย 3.เพอ่ื เพม่ิ น้าํ ตาลใน หัวใจเตนเรว็ เหง่อื นา้ํ ตาลตํา่ นอน รพ 3 ปกติ 80-120 2.เจาะ Dextrostix เลือดแกผ ูป ว ยใหอ ยู ออก ตวั เย็น วัน มิลลกรมั เปอรเซน็ (DTX )ทนั ที ในระดับปกติ คือ ออนเพลยี :1วันกอ นมา รพ ไม 3.ดแู ลให 50% 80-120 กนิ ขา ว glucose v ทันที 4.เพอ่ื เพิม่ นาํ้ ตาลใน :ญาติบอก เปน 4.ให10%Dextose เลอื ดแกผ ปู ว ยใหอ ยู เบาหวานมา 25ป Normal saline/2 ในระดับปกติคอื รกั ษาตอ เนอ่ื งแตคุม 500มิลลิตร v 80-120 นํ้าตาลไมไ ด 80ml/hr O:ผูป วยสบั สน ซึมลง ถามตอบไมร ูเ รอ่ื ง

time activity 8.00-8.30 จดั สิ่งแวดลอ้ มรอบเตียงใหผ้ ปู้ ่ วยพกั ผอ่ นในหอ้ งที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกแสงสวา่ งเพยี งพอ 8.30-12.00 รับเวร,Pre Conference 13.00-15.00 -วดั สญั ญาณชีพ -ซกั ถามอาการ ดูแลใหก้ ารพยาบาลตามแผนการรักษา -Regular insulin (RI) 4-10 ยู -50 % glucose 50ml.v state -10% Dextrose/Normal Saline/2 500 ml v 100ml/hr ( 10%D/NSS/2 500 ml v 100ml/hr) -วดั สญั ญาณชีพ ดูแลใหก้ ารพยาบาลตามแผนการรักษา -เจาะ DTX นติ subcutaneous injection (ฉีดยาเขาชั้นใตผ วิ หนงั ) keep น้าํ ตาล 80-180 มลิ ลกิ รมั ตอ เดซลิ ติ ร -ceftriaxone 2กรัม v od (วันละครั้ง) -จาํ กดั นาํ้ ดม่ื 800 มลิ ลิลติ ร - ซักประวติ สอบถามอาการเพม่ิ เติม -Post Conferent

pre conference อาการวันที่ 2 temperature= 36.1 องศาเซลเซียส Pulse= 70 ครง้ั /นาที Blood Pressure = 140/80 มม./ปรอท Respiratory Rate = 20 ครัง้ / นาที เจาะ DTX = 40 มลิ ลิกรมั เปอรเซ็นต ดัชนีมวลกาย = 35.38 กโิ ลกรมั ตอตารางเมตร อาการ ซมึ ลง เหนอื่ ยมาก ถามตอบไมรเู ร่ือง ขณะปว ยตอ งจาํ กัดนาํ้ ดื่มวนั ละ 4 แกว ปส สาวะวันละ 4-5 ครั้ง อจุ จาระวนั ละ 1 ครั้ง ทองผูกบา ง

สรุปขอ วินจิ ฉยั การพยาบาล วันท่ี 16 มยิ 64 เส่ียงตอการเกิดแผลบริเวณท่เี ทาเนื่องจากเทา ชาและขาดความรใู นการดแู ลเทา

ขอ วินิจฉัย/ขอ มลู สนับสนนุ วัตถปุ ระสงค/เกณฑการ กิจกรรมการพยาบาล เหตผุ ลการพยาบาล ผลการประเมนิ ประเมนิ เส่ยี งตอการเกดิ แผลบรเิ วณที่เทา 1.เพ่ือปองกนั การเกิด 1. ตรวจเทา และสาธิตการทาความสะอาดผิวหนังตามซอกอับตา งๆ 1. เพอื่ ดแู ลความสะอาดของเทา ผูปว ยไมมแี ผลท่เี ทา และจาก เนือ่ งจากเทาชาและขาดความรู แผลที่เทา 2. ใหค วามรูผปู ว ยในเรอื่ งการตรวจและการดแู ลเทาดวยตนเอง โดยใหตรวจเทาทกุ วัน ทา ความสะอาดเทา เชด็ ใหแหงและ และผิวหนัง การซักถามผปู ว ยและญาติ ในการดแู ลเทา 2.เพื่อใหผปู ว ยและญาติ ทาโลชนั ทกุ ครั้ง โดยเลยี่ งตามงามนว้ิ เทา ตัดเล็บตรงๆ เสมอปลายนว้ิ ควรสวมถงุ เทา พวกผาฝาย เลอื กรองเทา หัวปา น หุม 2. เพ่ือใหผูปวยมคี วามรใู นการ สามารถตอบคําถามการดูแล S:ผปู ว ยบอก”ชาบรเิ วณปลาย มคี วามรใู นการดูแลเทา ได สน ใสสบายและสวมรองเทาทุกคร้งั เวลาออกนอก บา น บรหิ ารเทา ทกุ วนั หา มน่ังไขวห า ง หา มเอากระเปานา รอนมาวางบน ดูแลเทา ที่ถูกตอ งตามขน้ั ตอน เทาไดถ กู ตอง เทา สวมแครองเทาแตะในการ ถกู ตอง เทาหรือขา หา มแชเ ทา ในนาโดย เดด็ ขาด และไมค วรเดินเทาเปลา เมอื่ อยูในบา น เมอ่ื ตรวจพบวา มีบาดแผลขนาดใหญห รือ 3. เพอ่ื ใหก ารรักษาเปนไปอยางตอ ทําสวน และในชวี ติ ประจําวัน เกณฑก ารประเมิน ลกึ หรือมี ลกั ษณะการอกั เสบ เชน บวม แดง รอ นเกิดข้ึน ควรรีบไปพบแพทย เนอื่ ง เดินเทา เปลา” 1.ไมเกดิ แผลทีเ่ ทา O: ตรวจการรบั ความรูสกึ โดยใช 2.ผปู ว ยและญาติบอก Monofilament พบวา ประสาท การดแู ลเทา ไดถูกตอ ง รบั ความรูสกึ ที่เทา ทัง้ สองขางเสีย ความค วามรสู ึก และมอี าการชา ทง้ั สองขาง



time activity Daily plan 17/06/2021 8.00-8.30 จดั ส่ิงแวดลอ้ มรอบเตียงใหผ้ ปู้ ่ วยพกั ผอ่ นในหอ้ งท่ีมีอากาศถ่ายเทสะดวกแสงสวา่ งเพยี งพอ 8.30-12.00 รับเวร,Pre Conference 13.00-15.00 -วดั สญั ญาณชีพ -ซกั ถามอาการ ดูแลใหก้ ารพยาบาลตามแผนการรักษา -50 % glucose 50ml.v state -0.9% Normal saline Solution -วดั สญั ญาณชีพ -Regular insulin (RI) 4-10 ยู ดูแลใหก้ ารพยาบาลตามแผนการรักษา -เจาะ DTX นิต subcutaneous injection (ฉดี ยาเขาชั้นใตผ ิวหนัง) keep นา้ํ ตาล 80-180 มิลลิกรัมตอเดซิลติ ร -ceftriaxone 2กรัม v od (วนั ละคร้งั ) -จํากัดน้าํ ดม่ื 800 มลิ ลิลิตร -ใหค วามรเู กย่ี วกบั การดูแลเทา -Post Conferent

pre conference17/06/64 อาการวนั ท่ี 3 temperature= 37.0 องศาเซลเซยี ส Pulse= 72 ครั้ง/นาที Blood Pressure = 130/80 มม./ปรอท Respiratory Rate = 20 คร้งั / นาที ดัชนมี วลกาย = 35.38 กิโลกรมั ตอตารางเมตร อาการ นา้ํ ตาลดขี ึ้น ซมึ นอยลง ไมเหนอ่ื ย ถามตอบรเู ร่อื ง ขณะปว ยตอ งจาํ กัดนํา้ ดมื่ วนั ละ 4 แกว ปส สาวะวันละ 4-5 ครั้ง

สรปุ ขอวินิจฉยั การพยาบาล วันท่ี 17 มิย 64 1. ผปู ว ยดแู ลตนเองไมถ ูกตอ งเนอื่ งจากบกพรอ งความรใู นการดแู ลตนเอง 2. ผูปวยและญาติมคี วามรูความเขา ใจเกย่ี วกับการปฏบิ ัติตัวเมอ่ื กลบั ไปอยูบา นไมเ พียงพอ

ขอ วินิจฉัย/ขอ มูลสนับสนุน วัตถปุ ระสงค/เกณฑการ กจิ กรรมการพยาบาล เหตผุ ลการพยาบาล ผลการประเมนิ ประเมนิ ผปู วยมีความรใู นการดแู ลตนเอง ในดา นการรับประทานอาหาร เส่ียงการกลบั มาเปนซํ้า เพือ 1. ใหคาํ แนะนําเก่ยี วกับเรือง ตอไปนี้ เพ่อื ใหผ ปู ว ยมคี วามรูใ นเรอื่ งการ ผลไมทเี หมาะสมกบโรค และ เนอ่ื งจากผปู ว ยพรอง ใหผ ปู ว ยมี 1.1 อาหาร แบง ได 3 ประเภทดงั นี รับประทานอาหารท่เี หมาะสมกบั โรค การปองกนั ตนเองจากภาวะ ความรูใ นการดแู ลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเองใน ประเภทที 1 ควรงดรบั ประทาน ไดแ ก ขนมหวาน เชน ทองหยบิ ทองหยอด ฝอยทอง สงั ขยา นมขนหวาน นํ้าอัดลม การออกกําลงั กาย แทรกซอ นของโรค ขอ มลู สนับสนุน ดานการรับประทานอาหาร ประเภทที 2 รบั ประทานไดไมจาํ กดั จาํ นวน ไดแก ผกั ใบเขยี วทกุ ชนิด ผักตําลงึ ผกั บงุ กะหลําปลีสด ตนหอม มะระ แตงกวา ผกั คะนา และการดูแลตนเองเพือ่ ปอ งกนั ภาวะ S: ผูปวยเลา วา ชอบ ทีเหมาะสมกบั โรค การ ประเภทที 3 รบั ประทานไดแตจ ํากัดปรมิ าณและชนิด ไดแ ก อาหารพวกแปง เชน ขาว จาว ขาวเหนยี ว กว ยเตยี ว เสนหม่ี ขนมปง และอาหารบางอ แทรกซอ นของโรค รับประทานขนมหวาน ออกกาํ ลังกายและการตน ยางตองจาํ กดั จํานวน เชน ผลไมตา ง ๆ ไดแก ทุเรยี น 1 พู นอยหนา ½ ผล ละมดุ 2 ผล สม 1 ผล มะมวงสุก ½ ผล มะละกอสกุ 8 ช้นิ และควร น และผลไมท ีมรี สหวาน เองจากภาวะแทรกซอ นของ หลีกเลียงผลไมก วน ผลไมเ ชอื ม ผลไมบรรจกุ ระปอ ง เชน ทเุ รยี นและมะมวง โรค 1.2 การออกกาํ ลังกาย การออกกาลังกายแตละครง้ั ควรใชเวลาประมาณ 20 นาที นอกจากการเดนิ รอบบาน สามารถกระดกสนเทา ปลายเทา การ สกุ เกณฑก ารประเมินผล ยก และกางแขนขาออก วันละประมาณ 20 นาที การเดินเรว็ การใชกระบอง ไมพ ลอง เปน ตน 1. ผปู ว ยสามารถเลอื ก 1.3. การปองกนั ภาวะแทรกซอน โดยแนะนาํ ใหส ังเกตอาการภาวะนาํ้ ตาลในเลือดตํา่ (Hypoglycemia) ไดแก ใจส่ัน เหงอ่ื ออกมาก ส่นั ตวั เย็น หิว จากการสอบถาม รับประทานอาหารที กระวน กระวาย ความรูส ึกตัวลดลง สับสน อาจทาํ ใหห มดสตไิ ด เมือมีอาการเหลา นใี้ หรบี ดืมนํ้าหวานหรอื อมทอฟฟ ถาไมร สู กึ ตัวหรอื ไมส ามารถ การออกกาํ ลังกายของ เหมาะสมกบโรคได ชวยตนเองได ญาตคิ วรรีบนําสงโรงพยาบาล ผุป ว ยคือการเดนิ รอบบา น 2. ผปู วยมีความรใู นการ ทุกวนั แตไมไ ดอ อกกาํ ลงั ออกกาํ ลังกาย แนะนําการสังเกตอาการ ภาวะนาํ้ ตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) จะมีอาการ ปส สาวะบอ ย กระหายนาํ นําหนกั ลด ออนเพลีย คล ่ืนไส กายแบบอนื่ 3. ผูปวยปลอดภัยจาก อาเจียน หอบ ระดบั ความรูสกึ ตัว ลดลง ซึมลง หมดสตเิ ม่อื มอี าการดังกลาวให รีบสงโรงพยาบาล O: ผลตรวจ ภาวะแทรกซอ นของโรค DTX =40 มิลลกิ รัม ควรควบคุมระดบั นาํ ตาลใหอยูในเกณป กติ 70 -100 mg/ dl และบรหิ ารมอื และเทา เพือชว ยลด อาการประสาทสว นปลายเสอื ม ลดอาการชา เปอรเ ซ็นต บริเวณปลายมอื ปลายเทา ลดปจจัยเสยี งอืนทที าํ ใหเ กิดเสน เลือด ตีบแขง็ เชน ภาวะไขมนั ในเสนเลือดสูง ความอวน การสูบบหุ รี การขาดการออกกา ลังกาย และความดนั ํ โลหิตสงู ผูปวยควรมารบั การตรวจรกั ษาอยา งสมาํ เสมอ เพือทแี พทยจ ะไดจ ดั การเรืองการใชยาในการ ควบคมุ ระดบั นํ าตาลได อยางเหมาะสม และใหสงั เกตอาการผดิ ปกติทีตอ งมาพบแพทย  คอื มีอาการนาํ ตาลตา่ํ แกไ ขแลว ไม  ด ขี นึ มีแผลทเี ทา มอี าการบวมทเี ทา ออ นเพลีย นอนราบไมได ตาพรามัว มีแขนขาออ น แรง มีไข มกี ารติดเชือในรางกาย มีอาการนํา้ ตาลในเลอื ดสงู

ขอ วินิจฉัย/ขอ มลู สนับสนุน วัตถุประสงค/ เกณฑการประเมิน วันท่ี17/06/64 เหตผุ ลการพยาบาล ผลการประเมนิ กิจกรรมการพยาบาล เส่ียงตอการเกดิ แผลทเ่ี ทา วัตถปุ ระสงค 1.ประเมนิ ความรูในการปฏบิ ตั ิตน อธิบายใหผปู วยเขา ใจเก่ยี วกับรองเทา คือ ควรสวมรองเทาที่มสี ายรัดสน กนั เทา 1. เพอ่ื ใหผูป ว ยมีความรูความ ผปู ว ยไมมีแผลทีเ่ ทา และจาก เนือ่ งจากเทาชา -ผูปว ยสามารถปฏิบตั ิตัวไดถ ูกตอง เล่ือนหลุด หรือแบบหมุ สน หรือเปนรองเทาชนดิ ผูกเชอื กทไี่ มม รี อยตะเขบ็ บรเิ วณหลังเทา เขาใจเกยี่ วการการเลือกใชรองเทา การสอบถามผปู ว ยและญาติ S:ผูป ว ยบอก”ชาบริเวณปลายเทา เพ่อื ปอ งกันภาวะแทรกซอนที่อาจ -เปนสนเตี้ยเพอื่ ลดแรงกระทําตอเทาสวนหนา และไมควรเปน สนแคบเพราะอาจจะทําใหข อเทา พลิกไดง า ย ท่ีเหมาะสมเพื่อปอ งกนั การติดเชอ้ื สามารถตอบคาํ ถามไดมาก สวมแครองเทา แตะในการทําสวน จะเกดิ ข้นึ -พน้ื ผวิ ดานในตองเรยี บ ไมม รี อยเยบ็ รอยตอ ตะเขบ็ รอยนูน หรอื ขอบแขง็ เพราะจะทําใหเกดิ การเสียดสจี นเปน กวา 3ขอ และในชีวติ ประจาํ วัน เดนิ เทา แผลได เปลา ” เกณฑการประเมนิ -รองเทาควรมีความพอดี ไมคับหรือหลวมเกินไป ใหความกวางภายในเหมาะกับเทา สว นหนา ควรเลอื กชนดิ หัวโต 2. เพอ่ื ใหผูปวยมีความรูในการดูแล O: ตรวจการรบั ความรสู ึกโดยใช -ผปู ว ยมอี าการเทา ชานอยลง เพอ่ื ใหน ิ้วเทาสามารถขยบั ได เทาท่ถี ูกตอ งตามขั้นตอน Monofilament พบวา ประสาท -วัสดทุ ใี่ ชในการรองเทา ควรเปน หนังหรอื ผา ทม่ี คี วามนิ่ม ยดื หยนุ สงู และหนาพอ ระบายความชนื้ และอากาศไดด ี รบั ความรูสกึ ทีเ่ ทา ทั้งสองขา งเสยี 2. ใหคาํ แนะนําในการดแู ลรกั ษาเทา ไดแ ก 3. เพ่อื ใหก ารรักษาเปนไปอยางตอ ความความรสู กึ และมีอาการชา เนื่อง ทัง้ สองขาง 1. ตรวจดสู ภาพเทา ทุกวันวา มเี ลบ็ ขบ แผลผพุ อง แผลช้ํา รอยถลอกท่ใี ดบาง 2. ทําความสะอาดเทาดวยน้ําอุน โดยใชผา ชบุ เชด็ ใหแหง ทุกวนั 3. ควรตัดเล็บเทา ดว ยความระมดั ระวังโดยตัดขวางเปนเสน ตรงและอยาตดั ส้นั เกินไป ควรใช ตะไบลบคม 4. หลีกเลียงเทาไมใ หสัมผัสกบั ความเย็นหรอื ความรอน 5. ไมใชของมีคม แคะ แกะ เกาบรเิ วณเทา 6. ตรวจดูรองเทากอนสวมใส 7. ไมเ ดนิ เทาเปลา 8. บรหิ ารเทาทกุ วัน อยา งนอยวันละ 15 นาที เพือ่ ใหก ารหมุนเวียนของเลอื ดไปทเ่ี ทา ดีขึน 9. งดการสบู บุหรี 10. ใชยาตามทแี พทยสั่งอยางสมํ่าเสมอ ไมขาดยา ประเมนิ ผลการพยาบาล ผูปว ย ปลอดภัยจากการเกดิ แผล ทเี ท 3.มาตรวจเทาตามนดั ทกุ สปั ดาห



time activity Daily plan 18/06/2021 8.00-8.30 จดั สงิ่ แวดลอมรอบเตยี งใหผ ปู ว ยพกั ผอนในหองทีม่ ีอากาศถา ยเทสะดวกแสงสวา งเพยี งพอ 8.30-12.00 รบั เวร,Pre Conference -วัดสญั ญาณชีพ 13.00-15.00 -ซกั ถามอาการ ดแู ลใหก ารพยาบาลตามแผนการรกั ษา -50 % glucose 50ml.v state -0.9% Normal saline Solution 1000 ml -วดั สญั ญาณชพี ดูแลใหการพยาบาลตามแผนการรกั ษา -Regular insulin (RI) 4-10 ยูนิต subcutaneous injection (ฉีดยาเขา ชั้นใตผ ิวหนงั ) keep นํา้ ตาล 80-180 มิลลิกรัมตอ เดซลิ ิตร -ceftriaxone 2กรัม v od (วันละครง้ั ) -จาํ กดั น้าํ ดมื่ 800 มลิ ลลิ ิตร -ใหค วามรเู กย่ี วกับการดแู ลตนเอง การรับประทานอาหารใหเ หมาะสมกับโรค -ใหค วามรูเกี่ยวกบั การปฏบิ ัติตนเมอ่ื กลบั บา น การดูแลตนเอง -Post Conferent

เสี่ยงตอ การเกดิ อุบตั เิ หตเุ นอ่ื งจากการมองเหน็ ลดลง สรปุ ขอ วนิ จิ ฉยั การพยาบาล วนั ท่ี 18 มยิ 64 จากการเปน โรคเบาหวาน เส่ียงตอ การเกิดอบุ ตั เิ หตเุ นื่องจากการมองเห็นลดลงจากการเปนโรค pre conference 18/06/64 เบาหวาน อาการวันที่ 4 อาการดีข้ึน ซึมนอ ยลง คมุ น้าํ ตาลได แลว คา นา้ํ ตาลอยใู นเกณฑป กติ ถามตอบรเู รื่อง ปสสาวะวนั ละ 4-5 ครงั้ vital signs -Temperature ( T ) = 36.8 องศา -Pulse ( P ) = 72 ครงั้ /นาที -Respiratory rate (RR) = 20 คร้งั /นาที -Blood pressure (BP) = 128/78 มม/ปรอท DTX 100 mg%

ขอวนิ จิ ฉัย/ขอมลู สนับสนนุ วตั ถุประสงค/เกณฑการ กจิ กรรมการพยาบาล 18/6/64 เหตุผลการพยาบาล ผลการประเมิน ประเมิน เสีย่ งตอ การสูญเสียการ วตั ถุประสงค เกณฑก าร 1. ประเมินการมองเห็นดว ยการตรวจวัดสายตา เพื่อใหผปู ว ยมคี วามรูในเรือ่ งการ ผูปว ยมีความรูในการดูแลตน มองเหน็ ผูปวยปลอดภยั ไมเกดิ 2. ใหคําแนะนาํ เก่ยี วกบั เร่อื ง ปองกนั ดูแลตนเองจากโรค เองในดา นการปองกนั และลด ขอ มูล อุบตั เื หตุ ● ควบคมุ น้าํ หนักโดยใหมีคา ดัชนีมวลรา งกาย (BMI) อยทู ่รี ะหวาง 18.5-24.9 เบาหวานข้ึนตาและ การจัดทอี่ ยูใ ห ความเสี่ยงการเปน โรค สนบั สนุน ผูป ว ยมีความรใู นการ ● เลิกสบู บหุ ร่ี และเลิกการด่มื แอลกอฮอล ปลอดภยั ลดความเสยี่ งในการเกดิ เบาหวาน S: ผปู วยบอกวา ตา ดแู ลตนเองเกีย่ วกับโรค ● รบั ประทานยารักษาเบาหวาน อุบตั ิเหตุ ดานซายมองไมเห็น เบาหวานขน้ึ ตา ● ควบคุมระดับนา้ํ ตาลในเลือด อาจจะใชเ ครื่องวัดนาํ้ ตาล เปนตัวชว ยควบคมุ ตาขวามัว มองเห็น ประเมนิ ผล ● ควบคมุ ระดบั ความดนั โดยที่ระดบั ความดันโลหิตของผปู ว ยเบาหวานไมควรเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ภาพไมชดั ผปู วยไมมบี าดแผลเกิดขน้ึ ● ควบคมุ ระดบั ไขมนั ในเลอื ด ผปู วยเบาหวานควรมรี ะดบั ไขมนั ในเลอื ดไมเกนิ กวาคาปกติ O: :จากการสงั เกตผู ตามรางกาย ● สังเกตความเปล่ยี นแปลงของการมองเหน็ และควรไปพบแพทยโดยดวนหากพบวา มกี ารเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นอยา ง ปว ยไม ผปู วยปลอดภัยจาก สามารถมองเหน็ ในระ ภาวะแทรกซอ น ฉับพลนั เชน ตามัว มองไมชดั หรอื มองเหน็ เปนจดุ ดํา เปนตน ยะใกลได มคี าสายตา ● ผูปว ยเบาหวานควรไปพบจักษแุ พทยเ พือ่ ตรวจตาเปน ประจําทกุ ป ถงึ แมวา การมองเหน็ จะยงั คงเปนปกติก็ตาม ขาง20/70 ● ผทู ก่ี าํ ลังตง้ั ครรภ เพราะการตั้งครรภออาจทําใหอ าการตา งๆ ของเบาหวานขนึ้ ตารนุ แรงขนึ้ ได ควรตรวจตาทนั ทีทตี่ ง้ั ครรภหรือ -Bิ MI= 35.38 ใน 3 เดอื นแรกของการตัง้ ครรภ ● ควรรีบไปพบแพทยโดยดว นหากพบวามีปญ หาเก่ียวกับการมองเหน็ อยา งฉับพลัน ดแู ลจดั สงิ่ แวดลอ มภายในบานใหป ลอดภัย มอี ากาศถา ยเทสะดวก เชน เปดหนาตา งใหอ ากาศถายเทสะดวก มแี สงสวางเพยี งพอ จัดหอง / พ้ืนท่ี ใชสอยใหเ ปนสดั สวน เคร่อื งใชเ ปนระเบยี บ เรยี บรอย ลดความเสีย่ งการเกิดอุบตั ืเหตุ

https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2 %E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2



iv ช บ ด total oral 800ml 800ml 800ml total intake 960ml 480ml 480ml 4320ml output 1760ml 1280ml 1280ml 1900ml urine 800ml 600ml 500ml stool เหลว 3 ครั้ง เหลว 2 ครงั้ เหลว 1 คร้ัง intake / output = 4320/1900

สรุป ผปู วยชาย อายุ 56 ป เปนเบาหวานนาน 25 ป และไมสามารถควบคุมระดบั น้า ตาลในเลอื ด ได มาโรงพยาบาลดวย อาการสับสน ซึมลง ถามตอบไมร เู รื่อง แพทยวินิจฉัย Non-insulin-dependent diabetes mellitus type 2 with sepsis induced hypoglycemia รบั ผปู ว ยไวใ นความดแู ลต้งั แตวันที่ 14 - 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 รวมระยะเวลา 5 วนั วางแผนการพยาบาลเพอ่ื สนบั สนนุ การจดั การตนเอง เน่ืองจากผูปว ยมพี ฤตกิ รรมท่ีไมเหมาะสมดานอาหาร และการ ออกกาํ ลงั กาย ใหค ําแนะนาํ ขอมลู เร่ืองอาหาร การออกกาํ ลงั กาย การปอ งกันภาวะแทรกซอนและการแกไ ข การ ตรวจวัดระดับนา้ ตาลในเลือดดวยตนเอง การดูแลเทา หลงั จากดแู ลผูป ว ยปญ หาเรอ่ื งภาวะนา้ ตาลในเลือดตา่ํ การตดิ เชอ้ื ระบบทางเดินปสสาวะ และ ความวติ กกังวลเกย่ี วกับการลางไต ไดร ับการแกไ ขเมอื่ สิ้นสดุ การดูแล สว นปญ หาที่ ยังคงอยู คือ ผปู วยยงั มี ภาวะนา้ ตาลในเลอื ดสูง มภี าวะซดี มีความเสี่ยงตอเกิดแผลทีเ่ ทา และภาวะแทรกซอนจากไต วาย จงึ ตอ งมี การทบทวนความรแู ละความสามารถในการดแู ลตนเอง พรอมทง้ั ใหก าลงั ใจผูปว ยและญาติเพ่อื ให พฤติกรรมทด่ี ีคงอยอู ยางย่ังยืน ตลอดจนการสง ตอผูป ว ยใหแกพ ยาบาลของหนวยบริการสาธารณสุข และ อาสา สมัครสาธารณสุขใกลบาน เพอื่ การดูแลอยางตอเนื่อง



นางสาวสุจิตรา แสงภกั ดี ,นางสาวสุภสั สร รกั ษากจิ กลุม 3 icd10 = N17 Diagnosis คอื Acute Kidney Injury (AKI) อาการ มดี งั น้ี อาการและอาการแสดง มรี ะยะการดาํ เนินของโรค 4 ระยะดงั นี้ 1. ระยะเริ่มแรก (initial phase) เปน ระยะท่รี า งกายมกี ารปรับตัวโดยระบบประสาทซิมพาเธตกิ (sympathetic) และมีการหลงั่ สารทจ่ี ะทําใหเลอื ดไปเลีย้ งไตลดลง 2. ระยะทีม่ ีปสสาวะออกนอ ย (origuric phase) ระยะนพ้ี บวาเนื้อไตมกี ารอุดดนั ที่หลอดไตฝอย และมเี นอื้ ตายเกิดขึน้ ทาํ ใหไ ตเสยี หนา ท่ใี นการขับของเสียและรกั ษาความสมดลุ ของนา้ํ เกลือแร และความเปนกรดดาง ตรวจพบ คา ยูเรียไนโตรเจน (BUN) และครีเอตนิ นิ (Cr) ในเลือดสงู กวา ปกติ 3. ระยะทีม่ ปี ส สาวะออกมาก (diuretic phase) เปนระยะทีไ่ ตเรม่ิ ฟน ตัว จะมีปส สาวะออกมากกวา 400 มลิ ลลิ ิตร จนถงึ 4-5 ลติ รตอวัน 4. ระยะฟน ตวั (rocovery phase) เปน ระยะทีไ่ ตเร่ิมฟนตัว กลบั มาทาํ หนาทไ่ี ดตามปกติ พยาธสิ ภาพ ไตตั้งอยใู นชอ งทอ งดานหลัง มี 2 ขา ง รูปรางคลายถ่ัว หนกั ประมาณ 120 - 160 กรัม กวา ง 7.8 เซนติเมตร ยาว 11 - 13 เซนติเมตร หนาประมาณ 2.5 เซนตเิ มตร ประกอบดว ย สวนเปลือกไต และเน้อื ไตหนวย แตล ะหนว ย (nephron) ประกอบไปดวยโกลเมอรูลสั (glomerulus) และหลอดไตฝอย (tubular) ซึง่ มอี ยใู นเนอื้ ไตขา งละประมาณ 1-5 ลา นหนวย โดไกลมอรลู สั มหี นา ท่ีกรองของเสยี ท่อี ยใู นเลอื ดและขับออก สวนหลอดไต ฝอยมลี กั ษณะเปน เปนทอเล็ก ๆ แบง ออกเปน 3 สวน คอื หลอดไตฝอยสวนตน (proximal tubular)หลอดไตฝอยสว นโคงของเฮนเล (loop of Henle) และหลอดไตฝอยสวนปลาย (distal tubule) มีหนาทร่ี กั ษาสมดุลของนํา้ ทีก่ รองออกจากโกลเมอรูลสั โดยดูดซมึ สารตาง ๆ ทร่ี างกายตอ งการเกบ็ รกั ษาไว และขบั สารท่ีรา งกายไมตอ งการออกทางนา้ํ ปสสาวะ กลไกหลกั ท่ีทาํ ใหไตเส่ือมสภาพในภาวะไตวายเฉียบพลัน คือ ภาวะเลอื ดไปลี้ยงไตลดลง ภาวะนี้ ทําใหไตไดร ับบาดเจบ็ จากการขาดเลือดไปเลย้ี ง (ischemic kidney injury) ซงึ่ ทําใหเ ซลลเ อนโคทเี ลยี ลเสยี หนา ที่(endothelial dysfunction) เปน ผลใหมีการสรางไนตรกิ ออกไซด (nitric oxide) ลดลง และสรา งเอน โคทีดนิ (endothelin) เพม่ิ ขึ้น ทําใหเกิดการหดตวั ของหลอดเลอื ดไต (renal vasoconstriction) เปนผลใหไ ตขาดเลือดและทาํ ใหเซลลท ุบุลารถูกทาํ ลาย (tubular damage) ผลคอื ทําใหอ ตั ราการกรองของไต (glomerularfiltration rate: GFR) ลดลง





การรกั ษา มีแนวทาง ดงั นี้ 1. การรักษาสาเหตุของไตวายเฉียบพลนั ทีส่ ําคัญ คือ หาสาหตุใหพบและหยุดสาหตนุ นั้ เทา ทที่ าํ ไดเ ชน แกไขภาวะช็อก หรือ หยดุ ใหยาท่ีทําใหไ ตวาย 2. ใหยาแกไ ขไตวายเฉยี บพลัน สว นใหญแ ลว จะอยใู นกลมุ ของสารกระตนุ หลอดเลอื ด (vasoactiveagent) และยาขบั ปสสาวะเปนสว นใหญ และมเี พียงยาบางชนิดเทานั้นทีใ่ หผ ลในการรกั ษาเมื่อเกดิ ไตวายเฉยี บพลนั แตผ ล การรกั ษายงั ไมดีเทา ที่ควร 3. การรักษาแบบประคบั ประคองและรักษาภาวะแทรกซอ น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook