Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะ บกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6

โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะ บกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6

Published by ao.point03, 2021-05-31 02:04:29

Description: โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะบกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6

Search

Read the Text Version

‘สอนเขานะว่าน้องเซฟตั้งใจเรยี นนะลูก โตไปหนูกจ็ ะไดก้ ับตวั หนเู อง จะไดท้ ำงานทมี่ ันไม่ ลำบากเหน็ ไหมทำงานเหนื่อย บางทีเขาไปไร่ดว้ ยนะไปเอาหญา้ ช่วยไปให้ขนหญ้าไปท้ิง เขาก็ บอกว่าย่าหนูเหน่ือยจัง นั่นแหละเห็นไหมทำงานมันเหนื่อย ดูยา่ นะลกู ไม่ได้เรยี นหนังสือ หนูต้องขยนั เรียนต้ังใจเรียนนะ’ (ผู้ให้ข้อมูล 7, ย่า, เดก็ มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้) ในขณะที่บางครอบครัวใชว้ ธิ ีการขู่ ตเี พ่ือขู่ หรือลงโทษ ในกรณที บ่ี ตุ รหลานด้อื หรือไมเ่ ชอื่ ฟัง; ‘อากจ็ ะ ตเี รือ่ งทผี่ ดิ จริงๆ ค่ะ เชน่ ครูตามว่าโดดเรยี น’ (ผู้ใหข้ ้อมลู 17, อา, เด็กปกติ), ‘บางคร้ังก็ตีเขาเหมือนกัน’ (ผใู้ ห้ ข้อมูล 19, ย่า, เดก็ ปกติ), ‘ไม่ค่อยตี นานๆ ถา้ โมโหกจ็ ะตสี ักทีนึง’ (ผู้ให้ขอ้ มลู 21, แม,่ เดก็ ปกติ) เช่นเดียวกัน กับครอบครัวอื่นๆ อย่างไรก็ตามในส่วนของผลการศึกษาการรับรู้ การจัดการเรียนการสอน การส่งเสริม และ แก้ปัญหาเดก็ ท่ีมีปัญหาภาวะบกพร่องทางการเรียนร้ใู นโรงเรียน โดยการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ กบั ครจู ำนวน 23 คน พบว่า ครูรับรู้และตระหนักตอ่ ภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ของเดก็ ด้วยจากการสังเกตพฤติกรรมการ เรียน และการเรียนรู้ของเด็กในห้องเรียน ที่เด็กมักจะอ่านไม่คล่อง สะกดไม่ได้ เขียนไม่ได้ หรือเขียนผิดๆ ถกู ๆ รวมทง้ั การคิดคำนวณทางคณติ ศาสตรท์ ค่ี ิดไม่ได้ หรือคิดได้ช้า “ทค่ี ัดกรองมาจะเป็นบกพร่องทางการเขยี น เพราะเขาอา่ นออกแต่เขาเขียนไม่ได.้ ..” (ครู 1) “...ส่วนใหญไ่ ม่ถึงกบั หนกั มาก แตก่ ็ยงั อา่ นบางคำไม่ได้แตเ่ พ่ือนได้ และคำนวณโจทยบ์ างทกี ็ ไม่ได้ แลว้ คอ่ นข้างจะไมม่ สี มาธ.ิ ..” (ครู 2) “... ไมเ่ ชิงถงึ กับแบบว่าไม่ไดเ้ ลย คือ อา่ นหนงั สือกจ็ ะมีแบบว่าอา่ นชา้ แต่ก็คืออ่านได้ค่ะ เขยี น กเ็ ขียนไดแ้ ตว่ ่าจะใชเ้ วลาสะกดหน่อย หรอื อาจจะสะกดไม้เอกไมโ้ ทผิด...” (ครู 3) ครูมีการคัดกรองเบื้องต้น และส่งต่อเพื่อรับการดูแล ช่วยเหลือ รักษาจากหน่วยงานทางด้าน สาธารณสุข แต่ยังมีปัญหาที่การอบรมการคัดกรอง และสังเกตพฤติกรรมไม่มีความต่อเน่ือง และบางครั้งครู ประจำชั้นที่ได้อบรมมาก็ย้ายไปโรงเรียนอื่น บางโรงเรียนมีครูพี่เลี้ยงเด็กพิเศษ ก็ถูกย้ายให้ไปเป็นครูประจำ ชั้นเด็กเล็กทำใหไ้ ม่สามารถทำงานเพื่อดูแลเด็กพเิ ศษได้โดยตรง ประกอบกับภาระงานสอนที่มมี ากมาย ทำให้ ผู้บริหารและครูในโรงเรียนมีความตอ้ งการครทู ี่ไดร้ ับอบรมมาด้านนีโ้ ดยเฉพาะ เพื่อจะได้วางแผนจัดกิจกรรม การเรยี นการสอน ดูแลเด็กพเิ ศษได้โดยตรง “.... ถา้ เป็นไปได้อยากใหม้ ีการจดั อบรมในเรื่องของหลักสตู รตัวน้ขี ้ึนมาเหมอื นเดิม และสนับสนนุ เร่ืองทนุ เรียน เพราะอย่างน้อยๆ เราพบว่าแต่ละโรงเรียนจะพบเด็กกลุ่มนเี้ ยอะ ซง่ึ จริงๆ เราเข้าใจว่ามีท้ัง LD 97

เทียมและ LD แท้ แต่ทั้งนี้ทั้งน้ันถามว่าเด็กกลุ่มนีเ้ ขาต้องการครทู ีเ่ ขา้ ใจเขาจริงๆ ไม่ใช่ครทู ี่แค่ ไม่ได้ว่าเขา ไม่ดีนะ ไม่ใช่แค่สอนในชั่วโมงแล้วก็คือ ผ่านไป โดยที่ไม่ได้มองลึกลงไปว่าเขาบกพร่องยังไง IQ เขาถอยหลัง มากีป่ ี ถ้ามองจากภายนอกเขาเหมอื นเด็กปกติทุกอยา่ งเลย แตถ่ า้ เราไปพบแพทย์ลกึ ๆ เขาไม่ใชไ่ ง..” (ครู 4) ครูประจำชั้นรับรู้และตระหนักดีว่าเด็กที่อ่านไม่คล่อง/อ่านไม่ได้ เขียนไม่คล่อง/เขียนไม่ได้ หรือคิด คำนวณไม่ได/้ ไมค่ ล่อง ไม่ใชว่ า่ ทกุ คนจะเป็นเด็กทีม่ ภี าวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ “ ...ครู ป.4 ป.5 เขาอายุเยอะแล้ว และเขาไม่สามารถสอนได้ สอนติดทีวีบ้าง ให้เด็กทำ แบบฝึกหดั บา้ ง ซึ่งพอข้ึนมาถงึ ป.6 มาหาเรากลายเปน็ วา่ เด็กอา่ นไม่ออก เขยี นไมไ่ ด้ คอื อ่านไม่คลอ่ ง เขียน ไมค่ ล่อง ถา้ แรกๆ เราก็จะรูส้ กึ วา่ เขาบกพร่อง คุณครกู ต็ อ้ งใชว้ ิธีการใหเ้ ขามาอ่านให้คณุ ครูฟังในตอนเช้าบ้าง กลางวันบ้าง เอาที่คุณครูมีเวลาว่างอย่างนี้ค่ะ เพราะอ่านไปเร่ือยๆ มันจะมีแบบฝึกอ่านที่มาจากกระทรวง เขาก็จะอ่านได้แต่ว่าไม่คล่อง... แต่ว่าหลักๆ แล้วที่คุณครูเจอส่วนใหญ่มันมาจากกระบวนการที่เขาเรียนมา ตั้งแต่ตน้ มากกวา่ ” (ครู 8) เด็กหลายคนทม่ี ีพฤติกรรมการเรียนรู้ทางการเรียนท่ลี า่ ชา้ อาจเกิดจากการขาดการดูแลเอาใจใส่จาก ครอบครัว ที่จะไปกวดขันให้ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมาย ความรับผิดชอบและความวินัยในการทำงานที่ ไดร้ ับมอบหมายใหเ้ สรจ็ ก่อนที่จะเลน่ คำแนะนำในการใช้ส่ือเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม จนทำให้เด็กติดมือถือ และตดิ เกมออนไลน์ จนใช้เวลาอยกู่ บั สือ่ เทคโนโลยีเหลา่ นจ้ี นสง่ ผลเสยี ต่อสุขภาพและการเรยี นรู้ หรือแม้แต่ กระทั่งกระบวนการวิธีการเรียนการสอนของครูเองก็มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กด้วย และการที่ครอบครัวที่ ดูแลเด็กเป็นผู้สูงอายุ จึงไม่สามารถดูแลเด็กได้เต็มที่ ซึ่งผู้สูงอายุเหล่านั้นก็อยู่ในสภาพที่ตนเองไม่มีรายได้ ไมไ่ ดร้ ับการดูแล มีปญั หาด้านสุขภาพ ไมร่ ูห้ นังสือ และยังตอ้ งเล้ยี งหลาน จึงมคี วามยากลำบากท่ีจะดูแลเอาใจ ใส่หลานได้ จึงไม่สามารถใหค้ วามร่วมมือกับครูในการสอนอ่าน และเขียนให้กับบุตรหลานเม่ืออยู่บ้านได้ ครู ส่วนใหญจ่ ึงเหน็ วา่ ส่งิ ทม่ี อี ทิ ธิพลและเปน็ ปัจจัยต่อภาวะการเรียนรขู้ องเด็ก คือ การดแู ลเอาใจใส่ของครอบครัว ผู้ดูแลหรือผู้ปกครองของใคร เศรษฐกิจของครอบครัว หรือการดำรงชีวิตจองครอบครัว การรับประทาน อาหารท่มี ปี ระโยชน์ และการติดเกมในมือถอื “...สว่ นใหญ่เดก็ อยู่กบั เขาทุกวันก็เหน็ เขาบางที เคยไปบ้านเขากเ็ ข้าใจว่า ทำไมถึงเป็นแบบน้ี คือ ตอ้ งบอกวา่ เดก็ สว่ นใหญอ่ ยู่กับปู่ยา่ ตายาย ก็คอื ถา้ เราไม่ไปแอบเหน็ หรอื ไปคลกุ คลีอยู่ เพราะอยู่กับเราเขา ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง คือ บางทีผู้ปกครองเขาก็เล่าให้ฟัง บางคนก็น่าสงสารนะ เพราะว่าพ่อแม่เขาก็ต้องไป ทำงาน ตายายกค็ อื ไมร่ ู้หนงั สือ....... ย่าไม่รหู้ นังสอื ครฝู ากด้วยนะ....” (ครู 9) 98

“... มันแบ่งเป็น 2 กรณี อย่างที่ผมบอกถ้าเขาอยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่เขาก็จะดูแลดีๆ หน่อย เขา นา่ จะอยากใหล้ ูกเขาเหมือนคนปกตมิ ากทสี่ ุด แตถ่ า้ อยู่กบั ปู่ย่าตายายเขาทำไมไ่ ด้อยู่แล้ว...” (ครู 10) “...ออกไปเยี่ยมบ้านก็ไปชี้แจงให้ผู้ปกครองฟัง ตอนนี้ผมกำลังออกไป แต่ส่วนใหญ่ผู้ปกครองก็ จะส่ายหน้าเหมือนกนั ผูป้ กครองกไ็ ม่ไหวบอกมันไมเ่ อาอะไรเลย ผ้ปู กครองจะส่ายหนา้ และก็จะยกให้ครู พ่อ กย็ ิ้มบอกก็แลว้ แต่คร.ู ....” (ครู 11) “...บางทีผู้ปกครองไม่เคี่ยวเข็ญไม่บังคับลูก ปล่อยให้วิ่งเล่น ขี่จักรยาน เล่นเข้าร้านเกม แต่เด็ก พวกนี้จะชอบเล่นเกม มันจะบกพร่องทางการเรียนรู้ยังไงนะ เรื่องอื่นมันรู้ดีจัง ก็แปลกใจนะอย่างอื่นมันได้ เรอ่ื งอา่ น เร่อื งเขยี น เร่ืองคดิ มนั ไม่ได้ ไดบ้ า้ งนดิ ๆ หน่อยๆ....” (ครู 12) ดังนั้น รูปแบบการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ จึงมี 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือ การสอนรวมพร้อมกับเด็กปกติในชั้นเรียน การสอนซ่อมเสริม และการสอนแยกเพื่อฝึก เฉพาะรายบุคคล โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ ตามความเหมาะสม สำหรับ บทบาทการส่งเสริมและการ แกป้ ัญหาภาวะบกพร่องด้านการเรียนรขู้ องเดก็ ในโรงเรียน ครจู ะใช้วิธีการวางแผนดำเนนิ กิจกรรมโครงการ เพือ่ ส่งเสริมและแกไ้ ขปญั หาภาวะบกพร่องทางการเรยี นรขู้ องเด็กในโรงเรียนไปพร้อมกับกจิ กรรมโครงการท่ีทำ ให้เด็กปกติทั่วไป แต่ยังมีการประสานความร่วมมือจากสหวิชาชีพที่จะมาให้ความรู้ครูในการดูแลและพัฒนา เด็กทมี่ ีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ รวมทงั้ การสง่ ไปอบรมตามท่ีต่างๆ และโรงเรยี นก็ยังมีความต้องการครู การศึกษาพิเศษเข้ามาดูแลเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แต่ยังติดขัดเรื่องจำนวนเด็กที่ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะขออัตราครูมา ดูแลตรงนี้ได้ และผลการศึกษาการรบั รู้ การสง่ เสริม และการแก้ปญั หาภาวะบกพร่องทางการเรียนร้ขู องเด็กใน ชุมชน จากการจัดสนทนากลุ่ม 6 พื้นที่ รวมผู้นำชุมชนที่ร่วมสนทนากลุ่ม 25 คน พบว่า ชุมชนมีการรับรู้ เก่ียวกบั เด็กท่ีมภี าวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ในลักษณะทเ่ี ด็กมีอาการออกมาอยา่ งชัดเจน เช่น เด็กที่เป็นออทิ สติก (Autistic) เด็กปัญญาอ่อน เป็นต้น ในบางครั้งเมื่อชุมชน โดยทีมอาสาสมัครหมู่บ้าน (อสม.) และผู้นำ ชุมชน สังเกตเห็นเด็กมีปัญหาพฤติกรรมต่างๆ ก็ไปตักเตือนบอกพ่อแม่เด็ก พ่อแม่เด็กบางคนก็ไม่เช่ือ เหมือนกับไปว่าลูกเขา แต่โดยส่วนตัวผู้นำชุมชนก็พยายามประคับประคองเด็กที่มปี ัญหาพฤติกรรม ที่อาจไป เก่ียวข้องกับยาเสพติด เด็กแว้น เด็กติดเกม ติดโทรศัพท์ เด็กตั้งครรภ์ไม่พร้อม เป็นต้น ชุมชนมีความ ตระหนักว่า “ครอบครัว” มีส่วนสำคัญในการที่จะมาช่วยส่งเสริมและแก้ไขปัญหาภาวะเด็กบกพร่องทางการ เรียนรู้ไดด้ ี แตก่ ย็ ังประสบปญั หาทเี่ ดก็ สว่ นใหญย่ ากจน เดก็ ไม่ได้อยู่กับพอ่ แม่ มผี ู้เลยี้ งดหู ลักเป็นปู่ย่าตายาย ซึ่งก็ไม่สามารถดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่ สำหรับการส่งเสริมและแก้ปัญหาภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ของ 99

เด็กในชุมชน โดยส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมที่ชุมชนดำเนินอยู่แล้วตามปกติ เช่น การหยอดวัคซีน การตรวจ สุขภาพอนามัย หรือแม้กระทั่งงานวันเด็ก ชุมชนไม่ได้มีกิจกรรมเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะบกพร่องด้าน การเรียนรู้ของเด็กในชุมชน แต่จะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมสานสัมพันธ์ครอบครัว เช่น กวาดลานวัดและ ชุมชน การแก้ไขปัญหาเด็กในชุมชนจะเป็นการให้ความช่วยเหลือเรื่องความยากจน ความเป็นอยู่พื้นฐาน ปญั หายาเสพตดิ ปญั หาเดก็ แว้น แม้ว่าชุมชนจะรวู้ ่าในพ้นื ทีม่ ีโรงเรยี นการศึกษาพิเศษในพ้ืนที่ตำบลเขาทราบ แต่ชุมชนก็ไม่ทราบว่าเรียนอย่างไร และเด็กแบบไหนที่ต้องไปเรียนที่นั่น และชุมชนไม่ทราบว่าควรต้องรับ ความชว่ ยเหลือจากหนว่ ยงานใดบ้าง เพ่ือแกไ้ ขภาวะเดก็ ท่ีมีภาวะบก บกพร่องทางการเรียนรู้ สรุปสนทนากลมุ่ ผู้นำชุมชน ณ โรงเรียนไทยรฐั วทิ ยา 100

สรุปสนทนากล่มุ ผูน้ ำชุมชน ณ โรงเรียนบ้านวังชะนาง สรุปสนทนากลมุ่ ผนู้ ำชุมชน ณ โรงเรยี นบ้านครี ีเทพนิมติ ร 101

สรปุ สนทนากลุ่มผนู้ ำชุมชน ณ โรงเรยี นบ้านทุ่งยาว สรปุ สนทนากลุ่มผนู้ ำชุมชน ณ โรงเรยี นบา้ นวังขวัญ 102

4.2 ผลการตรวจวิเคราะห์ปรมิ าณสารแมงกานสี ในเลอื ด สารหนูอนนิ ทรยี ใ์ นปสั สาวะ และสารไซยาไนดใ์ น เลอื ด ของเดก็ ประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ของพ้ืนท่เี สย่ี งในจังหวดั พิจติ ร พิษณุโลก และเพชรบรู ณ์ จากการลงพื้นที่เพื่อเก็บประเมินสุขภาพ มีกลุ่มตัวอย่างนักเรียนเข้าร่วมการตรวจสุขภาพในวันที่ 9 - 12 กรกฎาคม 2562 จำนวนทั้งสิ้น 199 คน จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนทั้งหมด 232 คน โดยแบ่งออกเป็น โรงเรยี นบา้ นวังชะนาง จงั หวัดเพชรบรู ณ์ จำนวน 34 คน โรงเรียนบา้ นใหม่ราษฎร์ดำรง จังหวัดพิจติ ร จำนวน 30 คน โรงเรียนไทยรัฐวิทยาคม 60 จังหวัดพิจิตร จำนวน 40 คน โรงเรียนคีรีเทพนิมิต จังหวัดพิจิตร จำนวน 32 คน โรงเรียนบ้านทุ่งยาว จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 33 คน และโรงเรียนบ้านวังขวัญ จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 30 คน โดยมีรายละเอียดผลการตรวจวิเคราะห์ สารหนูอนินทรีย์ในปัสสาวะ สารแมงกานีส และสาร ไซยาไนดใ์ นเลอื ด ของเด็กระดับประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ดงั ตอ่ ไปนี้ ตารางที่ 4.4 แสดงจำนวน และ รอ้ ยละ การปนเปอื้ นสารแมงกานีส สารหนูอนนิ ทรีย์ และสารไซยาไนด์ในเด็ก นักเรียนระดับประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ของพ้ืนที่เสีย่ ง 3 จงั หวัด (พจิ ิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์) สาร ปริมาณสาร จำนวนเด็กนกั เรียน รอ้ ยละ > 15 μg/L 82 41.2 Manganese in Blood 5 – 15 μg/L 117 58.8 < 5 μg/L 0 0.0 รวม 199 100.0 Inorganic Arsenic ≥ 35 μg As/L 9 4.5 plus Methylated < 35 μg As/L 190 95.5 metabolites in urine รวม 199 100.0 < 0.5 μg/mL 199 100.0 Cyanide in Blood ≥ 0.5 μg/mL 0 0.0 รวม 199 100.0 หมายเหตุ: μg/L หมายถึง ไมโครกรมั /ลิตร, μg As/L หมายถึง ไมโครกรมั ของสารหน/ู ลติ ร, μg/mL หมายถงึ ไมโครกรัม/ลติ ร Normal ranges of manganese levels in blood are 5–15 μg/L Normal ranges of Inorganic Arsenic plus Methylated metabolites in urine are < 35 μg As/L Normal ranges of cyanide levels in blood are < 0.5 μg/mL (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) อาชีวเวชศาสตร์ ฉบบั พษิ วทิ ยา โครงการตำรากรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2542 จากกลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียน ทั้งหมด 232 คน มีนักเรียนที่ผู้ปกครองยินยอมให้เขา้ ร่วมการตรวจและ ไม่ขาดเรียนในวันที่ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพ โดยได้รับการตรวจเลือดและปัสสาวะ ( วันที่ 9 -12 ก.ค. 62) มี ท้งั หมด 199 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 85.77 จากตารางท่ี 4.4 พบ นักเรียนท่ีตรวจพบแมงกานีสในเลือดสูงกว่า 15 มคก./ล. เท่ากบั 82 คนใน 199 คนคดิ เป็นร้อยละ 41.2 สารหนอู นนิ ทรยี ใ์ นปัสสาวะ มากกว่าเท่ากับ 35 103

มคก.ของสารหนู /ล. เท่ากับ 9 คนใน 199 คนคิดเปน็ ร้อยละ 4.5 และสารไซยาไนด์ในเลอื ด มากกว่าเท่ากับ 0.5 มคก./มล. เทา่ กบั 0 คนใน 199 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 0.0 ตารางที่ 4.5 แสดง ค่าสงู สุด ต่ำสดุ ค่าเฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของปริมาณสารแมงกานสี ในเลอื ด และ สารหนอู นนิ ทรียใ์ นปัสสาวะของเดก็ ประถมศึกษาปที ่ี 4-6 ของพ้นื ที่เสี่ยงในจงั หวดั พจิ ิตร พิษณโุ ลก และ เพชรบรู ณ์ ตวั ชีว้ ัด แมงกานสี ในเลอื ด สารหนอู นนิ ทรยี ใ์ นปสั สาวะ (μg/L) (μg AS /L) ค่าเฉล่ีย 14.53 17.69 คา่ สูงสดุ , คา่ ต่ำสุด 29.08, 5.04 77.00 , 2.50 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (SD) 4.19 11.81 ตารางที่ 4.6 จำนวนและรอ้ ยละเพศของเดก็ นักเรยี นระดบั ประถมศึกษาปที ่ี 4-6 ที่พบการปนเปือ้ นสาร แมงกานีสในพื้นท่ีเสย่ี งในจงั หวดั พิจิตร พิษณโุ ลก และ เพชรบรู ณ์ เพศนกั เรยี น ระดับสารแมงกานีส (μg/L) รวม สงู กว่าปกติ (>15) ปกติ (5-15) เพศ ชาย จำนวน 36 61 97 รอ้ ยละ (%) 18.1% 30.7% 48.7% หญิง จำนวน 46 56 102 ร้อยละ (%) 23.1% 28.1% 51.3% รวม จำนวน 82 117 199 ร้อยละ (%) 41.2% 58.8% 100.0% หมายเหต:ุ μg/L หมายถึง ไมโครกรัม/ลิตร, μg As/L หมายถงึ ไมโครกรมั ของสารหน/ู ลิตร, μg/mL หมายถึง ไมโครกรัม/ลิตร Normal ranges of manganese levels in blood are 5–15 μg/L 104

ตารางท่ี 4.7 จำนวนและรอ้ ยละเพศของเดก็ นักเรียนระดับประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ท่ีพบการปนเป้อื นสารหนู อนนิ ทรยี ์ในพนื้ ทเ่ี สย่ี งในจังหวดั พิจิตร พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์ เพศนักเรียน ระดับสารหนูอนินทรยี ์ (μg/L) รวม สงู กว่าปกติ (≥ 35) ปกติ (< 35) เพศ ชาย จำนวน 3 94 97 รอ้ ยละ (%) 1.5% 47.2% 48.7% หญงิ จำนวน 6 96 102 รอ้ ยละ (%) 3.0% 48.2% 51.3% รวม จำนวน 9 190 199 รอ้ ยละ (%) 4.5% 95.5% 100.0% หมายเหตุ: μg/L หมายถึง ไมโครกรัม/ลติ ร (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) Normal ranges of Inorganic Arsenic plus Methylated metabolites in urine are < 35 μg As/L Age of children (8-13 years) ตารางที่ 4.8 จำนวนและรอ้ ยละเพศของเด็กนักเรียนระดับประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ท่ีพบการปนเป้ือนสาร ไซยาไนดใ์ นพืน้ ทเ่ี สี่ยงในจงั หวัดพิจติ ร พิษณโุ ลก และ เพชรบูรณ์ เพศนักเรียน สารไซยาไนด์ (μg/mL) รวม สงู กวา่ ปกติ (≥ 0.5) ปกติ (< 0.5) เพศ ชาย จำนวน 0 97 97 รอ้ ยละ (%) 0.0% 48.7% 48.7% หญงิ จำนวน 0 102 102 รอ้ ยละ (%) 0.0% 51.3% 51.3% รวม จำนวน 0 199 199 รอ้ ยละ (%) 0.0% 100.0% 100.0% หมายเหตุ: μg/L หมายถงึ ไมโครกรมั /มลิ ลิลติ ร (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) Normal ranges of cyanide levels in blood are < 0.5 μg/mL Age of children (8-13 years) ข้อมูลทางวิชาการของการศึกษาการปนเปื้อนโลหะหนักในสิ่งแวดล้อมเช่น ในดิน แหล่งน้ำ และ อาหาร ตลอดจนในสิ่งส่งตรวจจากกลุ่มประชากรในชุมชนรอยต่อเขตพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2557-2559 ซึ่งทำการศึกษาโดยกรมควบคุมโรคที่ไม่ติดต่อ กระทรวง สาธารณสขุ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ และศนู ย์วิจยั เพือ่ เสริมสรา้ งความปลอดภัยและ ปอ้ งกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า เดก็ วยั เรยี นในช่วงอายุ 8-13 ปี จำนวนรอ้ ยละ 30 มี การปนเปื้อนแมงกานีสและสารหนูอนินทรีย์ โดยทำการตรวจจากเลือดและปัสสาวะ ซึ่งเด็กวัยเรียนและ 105

ครอบครัวมีภูมิลำเนาที่อยู่อาศัยห่างจากเขตอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ในระยะไม่เกิน 10 กิโลเมตร อีกทั้ง เมื่อทำการตรวจวิเคราะห์ระบบประปาในชุมชนพบการปนเปื้อนของแมงกานีส และสารหนูอนินทรีย์เกินค่า มาตรฐานตอ่ เนื่องเป็นระยะเวลา 1 ปี จากขอ้ มูลทางวชิ าการดังกล่าว ทำใหโ้ ครงการประสงคท์ จี่ ะตดิ ตามสถานการณ์การปนเป้ือนโลหะหนัก ในเขตพื้นที่ดังกล่าวในปี พ.ศ.2562 โดยมีระยะห่างกัน 3 ปี และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนระดับช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ชว่ งอายุ 8-13 ปี ซ่งึ เด็กนกั เรยี นดังกล่าวมผี ู้ปกครองอนุญาตและลงนามยนิ ยอมเป็นลาย ลักษณ์อักษรให้ตรวจวิเคราะห์สารหนูอนินทรีย์ในปัสสาวะ สารแมงกานีส และสารไซยาไนด์ในเลือด จำนวน 199 คน โครงการตรวจพบ การปนเปื้อนโลหะหนักในเลือดและปัสสาวะของเด็กนักเรียนอธิบายได้ดังนี้ คือ เด็กนกั เรยี นมรี ะดับแมงกานีสในเลือดสูงกว่าค่าปกติ (คา่ ปกติ 5-15 μg/L) จำนวนร้อยละ 41.2 (ตารางที่ 4.4 )ส่วนทเ่ี หลอื พบอย่ใู นเกณฑป์ กติรอ้ ยละ 58.8 เม่อื เทียบเปน็ สดั ส่วนของระดับสารสูงกวา่ ปกติต่อระดับปกติ คือ 1:1.4 โครงการตรวจพบเด็กนักเรียนมีระดับสารหนูอนินทรีย์ในปัสสาวะสูงกว่าค่าปกติ (ค่าปกติ < 35 μg As/L) จำนวนร้อยละ 4.5 ส่วนที่เหลือพบอยู่ในเกณฑ์ปกติร้อยละ 95.5 เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของระดบั สารสูงกวา่ ปกตติ ่อระดับปกตคิ ือ 1:21 ส่วนการตรวจหาสารไซยาไนด์ในเลือดนนั้ ปรากฏว่าไมพ่ บเดก็ นักเรียนท่ี มีระดับสารไซยาไนด์ในเลือดสูงกว่าค่าปกติ (ค่าปกติ < 0.5 μg/mL) โครงการพบว่า เด็กนักเรียนเพศชาย และเพศหญิงมีระดับการปนเปื้อนโลหะที่ไม่แตกต่างกัน (ตารางที่ 4.6-4.8) อีกทั้งปัจจัยทางด้านเพศไม่มี ความสมั พันธ์ต่อการปนเป้ือนสารโลหะหนัก ซึ่งจากการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวบง่ ช้ีถึง ยังคงมีสถานการณ์การ ปนเปื้อนโลหะหนักในเขตพื้นที่ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามโครงการไม่ได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักจาก ส่งิ แวดลอ้ ม เชน่ ดนิ แหลง่ น้ำ และอาหาร ดงั นัน้ การท่เี ด็กนกั เรียนมกี ารปนเปอ้ื นโลหะหนักทส่ี ูงกว่าค่าปกติใน รา่ งกายจงึ เป็นส่งิ ทีค่ วรติดตามอยา่ งต่อเน่อื งด้านผลกระทบทางสุขภาพ ข้อมูลทางวิชาการหลายๆ งานบ่งชี้ถึงโลหะหนักที่ปนเปื้อนไปกับห่วงโซ่อาหารและสิ่งแวดล้อม จะ ส่งผลต่อสุขภาพและการเจ็บป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะในเด็กจะมีความเสี่ยงต่อการได้รับสัมผัสโลหะหนัก มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเดก็ จะมคี วามสามารถในการดูดซมึ สารโลหะหนกั เขา้ สูร่ ่างกายมากกว่าผูใ้ หญ่ 5 เท่า ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมในต่างประเทศพบว่า เด็กที่ได้รับสารโลหะหนัก เช่น อาร์เซนิก (As) และ แมงกานสี (Mn) จะพบมีความผิดปกติของกระบวนการเรยี นรู้ ความสามารถทางสติปัญญา (IQ) กล้ามเน้ือมัด เล็ก ความจำ แต่อย่างไรการศึกษาวิจัยต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งในประเทศและต่างประเทศยังไม่สามารถบ่งช้ี ความสัมพันธ์เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพของการได้รับสัมผัสเรื้อรัง ( biomarker of exposure) ของสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะอยู่ในเลือด มีการขับออกท้ัง ทางปัสสาวะและอุจจาระ รวมทั้งสะสมในผมและเล็บ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเภสัชจลนศาสตร์ กลไกพิษวิทยา และผลกระทบตอ่ สขุ ภาพมีดงั น้ี การได้รับแมงกานีส (Mn) ติดต่อเป็นเวลานานจะส่งผลต่อระบบประสาท ทำลายสมอง ซึ่งสมองเป็น อวยั วะทีไ่ วต่อแมงกานสี มากท่ีสดุ การด่มื น้ำท่ีมแี มงกานสี ปนเปอ้ื นทำให้เกิดพิษต่อระบบประสาท อาการที่พบ 106

ดังกล่าวจะต้องได้รับในเวลานาน สิ่งที่น่าสนใจคือ จะมีอาการที่ลักษณะคล้ายกับโรคพากินสัน กล่าวคือ มี อาการสั่น เดินไมส่ ะดวก และสามารถเกิดอาการกระตุกของใบหนา้ การไดร้ บั สารอาร์เซนิก (As) ตดิ ตอ่ เปน็ เวลานานจะสง่ ผลตอ่ เนอ้ื เยือ่ ผิวหนัง มกี ารเปลย่ี นแปลงสีผิวทั้ง เกดิ จดุ สเี ขม้ หรือจดุ ด่างขาว โดยจดุ ดา่ งขาวจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 3 ปี หลังจากนั้นจะเกิดจุด ที่ฝ่ามือภายใน 1 ปี และนำไปสู่มะเร็งผิวหนัง การได้รับสารอาร์เซนิกยังทำให้เกิดดีซ่าน ปวดท้อง และตับถูก ทำลายรวมถึงมะเร็งตบั หากได้รับสารอารเ์ ซนิกปริมาณน้อยๆ เปน็ เวลานานจะทำใหร้ ะบบประสาทส่วนปลาย ถกู ทำลาย ประสาทรบั ความรูส้ กึ เปล่ียนแปลง เชน่ ชาตามมอื และเท้า และร้สู กึ เหมอื นมีเขม็ หรอื หนามตำ การได้รับสารไซยาไนด์ (Cyanide) มีค่าครึ่งชีวิตประมาณ 20 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ไซยาไนด์จะถูกขับ ออกทางปัสสาวะ และบางสว่ นขบั ออกทางการหายใจ อาการสว่ นใหญจ่ ะเกิดข้นึ แบบเฉียบพลนั ได้แก่ หมดสติ และเสยี ชวี ติ เนอ่ื งจากไซยาไนด์จะมผี ลทำใหร้ า่ งกายขาดออกซเิ จน อาการท่พี บในลักษณะทไี่ ด้รับในปริมาณท่ี นอ้ ยแตไ่ ดร้ ับในระยะเวลานานได้แก่ ปวด-เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจถี่ หวั ใจเตน้ เรว็ คลน่ื ไส้ อาเจียน และ ฝุ่นท่ีมีไซยาไนด์ สามารถทำให้เกิดอาการผื่นคนั ผิวหนังมีสี แดงชมพู โครงการทำการตรวจสุขภาพเด็กร่วมกับการตรวจวิเคราะห์สิ่งส่งตรวจ ซึ่ง ณ วันที่ทำการตรวจ สุขภาพ ผลการตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกายในเด็ก 199 คน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจาก ข้อมูลทางวชิ าการถึงผลกระทบตอ่ ความสามารถทางสติปัญญา (IQ) กระบวนการเรียนรู้ และทางสุขภาพของ การได้รบั สารโลหะหนกั สมั ผสั เร้อื รังในเดก็ โครงการไดท้ ำการประเมินและแสดงขอ้ มลู ดงั ตารางท่ี 4.9-4.11 ตารางที่ 4.9 แสดงรอ้ ยละความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) กบั ระดบั การปนเปอื้ นสารแมงกานีส (Mn) ในเด็ก นกั เรียนจำนวน 199 คน ระดบั สารแมงกานีส (Mn) ความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) (μg/L) Very Poor Below Average Above Total Poor Average Average (< 69) (70-79) (80-89) (90-109) (110-119) สงู กว่าปกติ จำนวน 07 23 49 3 82 (> 15) ร้อยละ (%) 0% 3.5% 11.6% 24.6% 1.5% 41.2% ปกติ จำนวน 4 11 26 73 3 117 (5-15) ร้อยละ (%) 2.0% 5.5% 13.1% 36.7% 1.5% 89.8% รวม จำจนำนวนวน 4 18 49 122 6 199 รร้ออ้ ยยลละะ(%(%)) 2.0% 9.0% 24.6% 61.3% 3.0% 100.0% หมายเหตุ: μg/L หมายถงึ ไมโครกรัม/ลติ ร Normal ranges of manganese levels in blood are 5–15 μg/L (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) IQ (Wechsler Intelligence Scale for Children-Fifth Edition) 107

ตารางท่ี 4.9 แสดงถึงจำนวนและรอ้ ยละของเด็กนักเรยี นที่ผปู้ กครองลงนามยนิ ยอมใหต้ รวจวิเคราะห์ การปนเปอื้ นโลหะหนักและประเมนิ ความสามารถทางสติปัญญา โครงการพบเดก็ นักเรยี นมีระดับ ความสามารถทางสตปิ ัญญาอย่ใู นเกณฑป์ กติขึน้ ไปร้อยละ 64.3 อยใู่ นเกณฑต์ ำ่ กว่าปกติร้อยละ 35.7 โครงการพบการปนเป้ือนโลหะหนักแมงกานีสทร่ี ะดับสงู กว่าปกติ (> 15 μg/L) ในเดก็ นักเรยี นจำนวน 82 คน (รอ้ ยละ 41.2) ซ่ึงในเดก็ นักเรยี นกล่มุ ดังกลา่ วจะมจี ำนวนถงึ 30 คน (ร้อยละ 15.1) ทม่ี ีระดบั ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกวา่ ปกติ สง่ิ ที่นา่ สนใจคอื เมอื่ วิเคราะห์อัตราส่วนระหว่าง กลุ่มเด็กนักเรยี นทีม่ ีการปนเปื้อนโลหะหนกั แมงกานสี ในระดบั สูงกวา่ ปกตริ ว่ มกับการมคี วามสามารถทางสติปัญญาตำ่ กว่าปกติ ต่อจำนวนเด็กนกั เรยี นทั้งหมด โครงการพบอตั ราสว่ นท่ีประมาณ 1:7 ผลการศึกษาครง้ั นี้จึงประมาณการณ์ได้วา่ ในพ้ืนท่ีเสีย่ งของการปนเป้ือนโลหะหนกั จะพบเด็กนกั เรยี น ที่มกี ารปนเปื้อนโลหะหนกั แมงกานสี ในระดับสงู กวา่ ปกติรว่ มกบั การมีระดบั ความสามารถทางสติปัญญา (IQ) ต่ำกว่าปกติ จำนวน 1 คนต่อเด็ก 7 คน ตารางที่ 4.10 แสดงร้อยละความสามารถทางสตปิ ญั ญา (IQ) กับระดับการปนเปื้อนสารหนูอนินทรยี ์ (As) ใน เดก็ นกั เรียนจำนวน 199 คน ความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) ระดบั สารหนูอนินทรีย์ (As) Very Poor Below Average Above Total (μg/L) Poor Average Average (< 69) (70-79) (80-89) (90-109) (110-119) สูงกว่าปกติ จำนวน 01 25 19 (≥ 35) รอ้ ยละ (%) 0.0% 0.5% 1.0% 2.5% 0.5% 4.5% ปกติ จำนวน 4 17 47 117 5 190 (< 35) ร้อยละ (%) 2.0% 8.5% 23.6% 58.8% 2.5% 95.5% รวม จำจนำนวนวน 4 18 49 122 6 199 รรอ้ อ้ ยยลละะ(%(%)) 2.0% 9.0% 24.6% 61.3% 3.0% 100.0% หมายเหตุ: μg/L หมายถงึ ไมโครกรมั /ลติ ร Normal ranges of Inorganic Arsenic plus Methylated metabolites in urine are < 35 μg As/L (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) IQ (Wechsler Intelligence Scale for Children-Fifth Edition) 108

ตารางท่ี 4.10 แสดงถงึ จำนวนและรอ้ ยละของเด็กนกั เรียนที่ผ้ปู กครองลงนามยินยอมให้ตรวจวเิ คราะห์ การปนเป้อื นโลหะหนักและประเมินความสามารถทางสติปัญญา โครงการพบเด็กนักเรียนมีระดับ ความสามารถทางสติปญั ญาอยู่ในเกณฑป์ กติขน้ึ ไปร้อยละ 64.3 อยู่ในเกณฑต์ ่ำกว่าปกติร้อยละ 35.7 โครงการพบการปนเปื้อนสารหนอู นนิ ทรยี ์ท่ีระดบั สงู กว่าปกติ (≥35μg/L) ในเดก็ นกั เรียนจำนวน 9 คน (รอ้ ยละ 4.5) ซ่งึ ในเด็กนักเรยี นกลมุ่ ดงั กล่าวจะมีจำนวนถึง 3 คน (ร้อยละ 1.5) ทม่ี รี ะดบั ความสามารถทาง สติปัญญาตำ่ กว่าปกติ โครงการพบแนวโน้มขอ้ มลู ท่ีดขี องการปนเป้ือนโลหะหนักในพนื้ ที่เสี่ยงคือ เม่ือวิเคราะห์อตั ราสว่ น ระหว่างกลุ่มเด็กนักเรียนทีม่ ีการปนเปอ้ื นสารหนอู นินทรยี ์ในระดับสูงกวา่ ปกติร่วมกบั การมีความสามารถทาง สตปิ ัญญาตำ่ กว่าปกติ ตอ่ จำนวนเด็กนักเรยี นทง้ั หมด โครงการพบอตั ราสว่ นทปี่ ระมาณ 1:66 ผลการศึกษาคร้งั นจี้ งึ ประมาณการณ์ไดว้ า่ ในพ้ืนท่ีเสย่ี งของการปนเป้ือนโลหะหนกั จะพบเดก็ นกั เรยี น ท่ีมีการปนเปื้อนสารหนูอนินทรยี ์ในระดบั สูงกวา่ ปกติรว่ มกบั การมรี ะดบั ความสามารถทางสติปญั ญา (IQ) ตำ่ กว่าปกติ จำนวน 1 คนต่อเด็ก 66 คน ตารางที่ 4.11 แสดงร้อยละความสามารถทางสตปิ ญั ญา (IQ) กับระดบั การปนเป้ือนสารไซยาไนด์ (Cyanide) ในเด็กนักเรียนจำนวน 199 คน ความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) ระดบั สารไซยาไนด์ (Cyanide) Very Poor Below Average Above Total (70-79) Average Average (μg/mL) Poor (80-89) (90-109) (110-119) (< 69) สงู กวา่ ปกติ จำนวน 00 00 00 (≥ 0.5) รอ้ ยละ (%) 0% 0% 0% 0% 0% 0% ปกติ จำนวน 4 18 49 122 6 199 (< 0.5) ร้อยละ (%) 2.0% 9.0% 24.6% 61.3% 3.0% 100.0% รวม จำจนำนวนวน 4 18 49 122 6 199 รร้อ้อยยลละะ(%(%)) 2.0% 9.0% 24.6% 61.3% 3.0% 100.0% หมายเหต:ุ μg/mL หมายถึง ไมโครกรัม/มิลลิลติ ร Normal ranges of cyanide levels in blood are < 0.5 μg/mL (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) IQ (Wechsler Intelligence Scale for Children-Fifth Edition) 109

ตารางท่ี 4.11 แสดงถงึ จำนวนและร้อยละของเด็กนักเรยี นท่ีผ้ปู กครองลงนามยนิ ยอมใหต้ รวจวิเคราะห์ การปนเปือ้ นโลหะหนักและประเมนิ ความสามารถทางสติปัญญาโครงการพบเด็กนกั เรียนมีระดบั ความสามารถ ทางสตปิ ญั ญาอยใู่ นเกณฑ์ปกตขิ ้ึนไปร้อยละ 64.3 อยู่ในเกณฑ์ต่ำกวา่ ปกติร้อยละ 35.7 โครงการไมพ่ บการปนเปื้อนสารไซยาไนด์ทีร่ ะดบั สูงกว่าปกติ (≥ 0.5) ในเดก็ นักเรียนจำนวน 199 คน (รอ้ ยละ 100) ผลการศึกษาครงั้ นจ้ี งึ ประมาณการณ์ได้ว่า ในพนื้ ทเ่ี สยี่ งของการปนเป้ือนโลหะหนกั ไมพ่ บการปนเปื้อน สารไซยาไนด์ระดับสูงกวา่ ปกตใิ นเด็กนักเรยี น ตารางท่ี 4.12 แสดงจำนวน และ รอ้ ยละ ปริมาณสารแมงกานสี ในเลอื ดระหว่างกลุ่มเด็กระดบั สติปัญญาปกติ กลุ่มเด็กท่มี ภี าวะบกพร่องทางสตปิ ญั ญา กลมุ่ เด็กที่มีระดบั สตปิ ัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ และกลมุ่ เด็กทีม่ ีความ บกพร่องทางการเรียนรู้ และสติปญั ญา ประเภท จำนวน Missing จำนวน ปรมิ าณ Manganese in Blood (n) data รวม (μg/L) (n) n (%) > 15 5 – 15 < 5 n (%) n (%) n (%) LD 28 - 28(100.0) 10 (35.7) 18 (64.3) 0(0.0) Low IQ (IQ <90) 86 16 70(100.0) 30 (57.1) 40 (42.9) 0(0.0) เด็กกล่มุ มภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ 114 16 98(100.0) 40 (40.8) 58 (59.2) 0(0.0) และสตปิ ญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์ เดก็ กลุ่มระดบั สติปัญญาปกติ (IQ ≥ 90) 98 7 91(100.0) 38 (41.8) 53 (58.2) 0(0.0) หมายเหตุ: μg/L หมายถึง มคก./ล. Normal ranges of manganese levels in blood are 5–15 μg/L (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) LD = กลุ่มเด็กท่มี ภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้; Low IQ = กล่มุ เดก็ ท่ีมรี ะดับสติปญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์ (IQ < 90) IQ ≥ 90 = กลุม่ เด็กระดบั สติปัญญาปกติ (IQ ≥ 90 คะแนนขึ้นไป) จากตารางท่ี 4.12 เดก็ กลุ่มที่มีภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ พบแมงกานสี ในเลือดสูงกว่า 15 มคก./ล. เทา่ กบั 10 คนคดิ เป็นร้อยละ 35.7 และอยใู่ นระดับปกติ (5-15 μg/L) จำนวน 18 คน (รอ้ ยละ 64.3) เมอ่ื วเิ คราะหอ์ ตั ราสว่ นระหวา่ งการปนเป้ือนสารแมงกานีสที่ระดับสูงกวา่ ปกตติ ่อระดับปกตใิ นกลุ่มเด็กมีความ บกพร่องทางการเรียนรู้จะพบอตั ราส่วนท่ี 1:2 ผลการศึกษาคร้ังนบ้ี ่งชี้ถึง กลุ่มเด็กนกั เรยี นทีม่ ีความบกพร่อง ทางการเรยี นรจู้ ะมีโอกาสได้รับสมั ผัสการปนเปอ้ื นโลหะหนักสารแมงกานสี ที่ระดบั สูงกวา่ ปกติในอตั ราสว่ น ประมาณ 1:2 ส่วนกลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ (IQ < 90) พบ แมงกานีสในเลือดสูงกว่า 15 มคก./ล. เท่ากับ 30 คนคิดเป็นร้อยละ 57.1 โดยรวมเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ และสติปัญญา พบ แมงกานีสในเลือดสูงกว่า 15 มคก./ล. เท่ากับ 40 คนคิดเป็นร้อยละ 40.8 ในขณะที่ กลุ่มเด็กที่มีระดับ 110

สตปิ ญั ญาปกติ (IQ ≥ 90 คะแนนขนึ้ ไป) พบ แมงกานสี ในเลือดสงู กว่า 15 มคก./ล. เท่ากับ 38 คนคิดเป็นร้อย ละ 41.8 ตารางที่ 4.13 แสดงจำนวน และ ร้อยละ ปริมาณสารหนูอนนิ ทรยี ์ในปัสสาวะระหวา่ ง กลมุ่ เดก็ ระดับ สติปัญญาปกติ กลมุ่ เด็กท่มี ีภาวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กลุม่ เด็กท่มี ีระดบั สตปิ ญั ญาตำ่ กวา่ เกณฑ์ และกลุม่ เด็กทม่ี ีความบกพร่องทางการเรียนรู้ และสตปิ ัญญา ประเภท จำนวน Missing จำนวน ปรมิ าณ Inorganic Arsenic (n) data รวม plus Methylated (n) n (%) metabolites in urine (μg AS /L) ≥ 35 < 35 n (%) n (%) LD 28 - 28 (100.0) 1 (3.6) 27 (96.4) Low IQ (IQ <90) 86 16 70 (100.0) 3 (4.3) 67 (95.7) เด็กกลุม่ มภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 114 16 98 (100.0) 4 (4.1) 94 (95.9) และสตปิ ัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ เด็กกลุ่มระดับสตปิ ัญญาปกติ (IQ ≥ 90) 98 7 91 (100.0) 5 (5.5) 86 (94.5) หมายเหต:ุ μg AS /L หมายถงึ มคก.ของสารหนู/ล. Normal ranges of Inorganic Arsenic plus Methylated metabolites in urine are < 35 μg As/L (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) LD = กลุ่มเด็กท่ีมีภาวะบกพรอ่ งทางการเรียนรู้; Low IQ = กลุม่ เด็กท่ีมรี ะดับสตปิ ญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์ (IQ < 90) IQ ≥ 90 = กลุ่มเด็กระดับสตปิ ญั ญาปกติ (IQ ≥ 90 คะแนนขึน้ ไป) ตารางที่ 4.13 กลมุ่ เด็กท่ีมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ พบ สารหนูอนินทรียใ์ นปสั สาวะ มากกว่าเทา่ กบั 35 มคก.ของสารหน/ู ล. เท่ากบั 1 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 3.6 และอยู่ในระดับปกติ (< 35 μg/L) จำนวน 27 คน (รอ้ ยละ 96.4) เม่อื วเิ คราะห์อัตราส่วนระหว่างการปนเปอ้ื นสารหนูอนินทรยี ์ท่รี ะดับสงู กวา่ ปกติ ตอ่ ระดบั ปกติในกล่มุ เด็กมคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้ จะพบอตั ราส่วนที่ 1:27 ผลการศึกษาครัง้ นี้บ่งชีถ้ ึง กลมุ่ เดก็ นกั เรียนท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้จะมี โอกาสได้รับสัมผสั การปนเปื้อนโลหะหนกั สารหนอู นนิ ทรยี ์ทร่ี ะดับสูงกวา่ ปกตใิ นอตั ราส่วนประมาณ 1:27 ส่วนเด็กกลุ่มมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ (IQ<90) พบ สารหนู อนินทรีย์ในปัสสาวะ มากกว่า เทา่ กบั 35 มคก.ของสารหน/ู ล. เทา่ กบั 3 คน คิดเป็นร้อยละ 4.3 โดยรวมเดก็ ทีม่ ภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ และ สตปิ ัญญา พบ สารหนอู นินทรยี ใ์ นปัสสาวะ มากกว่าเทา่ กับ 35 มคก.ของสารหนู/ล. เทา่ กบั 4 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 4.1 ในขณะที่ เด้กกล่มุ ระดับสติปัญญาปกติ (IQ ≥ 90 คะแนนขึน้ ไป) พบ สารหนูอนินทรีย์ในปัสสาวะ มากกวา่ เท่ากับ 35 มคก.ของสารหน/ู ล. เท่ากบั 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 5.5 111

ตารางท่ี 4.14 แสดงจำนวน และ รอ้ ยละปริมาณสารไซยาไนดใ์ นเลือดระหวา่ งกลุ่มเด็กระดบั สติปญั ญาปกติ กลุ่มเด็กที่มภี าวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กลุ่มเด็กท่ีมีระดับสตปิ ัญญาต่ำกวา่ เกณฑ์ และกลมุ่ เด็กทีม่ ีความ บกพร่องทางการเรยี นรู้ และสติปัญญา กลมุ่ จำนวน Missing จำนวน ปรมิ าณ Cyanide in Blood (n) data รวม (μg /mL) (n) n (%) < 0.5 ≥ 0.5 n (%) n (%) LD 28 - 28 (100.0) 28 (100.0) 0 (0.0) Low IQ (IQ <90) 86 16 70 (100.0) 70 (100.0) 0 (0.0) เด็กกลมุ่ มภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 114 16 98 (100.0) 98 (100.0) 0 (0.0) และสตปิ ญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์ เด็กกลุ่มระดับสติปัญญาปกติ (IQ ≥ 90) 98 7 91 (100.0) 91 (100.0) 0 (0.0) หมายเหตุ: μg/mL หมายถึง มคก. / มล. Normal ranges of cyanide levels in blood are < 0.5 μg/mL (Agency for Toxic Substances and Disease Registry: ATSDR) LD = กล่มุ เด็กท่มี ภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้; Low IQ = กลุ่มเด็กที่มีระดบั สตปิ ญั ญาต่ำกว่าเกณฑ์ (IQ < 90) IQ ≥ 90 = กล่มุ เด็กระดับสตปิ ญั ญาปกติ (IQ ≥ 90 คะแนนขนึ้ ไป) ตารางท่ี 4.14 กลมุ่ เด็กทมี่ ภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ พบ สารไซยาไนดใ์ นเลอื ด น้อยกว่า 0.5 มคก. / มล. เท่ากับ 28 คน คิดเป็นร้อยละ 100.0 ซึ่งบ่งชี้ถึงไม่พบสถาณการณ์การปนเปื้อนสารไซยาไนด์ในพื้นท่ี เส่ยี งดังกล่าว เด็กกลุ่มมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ (IQ<90) พบ สารไซยาไนด์ในเลือด น้อยกว่า 0.5 มคก. / มล. เท่ากับ 70 คน คิดเป็นร้อยละ 100.0 โดยรวมเด็กที่มีความบกพร่องภาพทางการเรียนรู้ และสติปัญญ า พบ สารไซยาไนด์ในเลือด น้อยกว่า 0.5 มคก. / มล. เท่ากับ 98 คน คิดเป็นร้อยละ 100.0 และ กลุ่มเด็กที่มี ระดับสติปัญญาปกติ (IQ ≥ 90 คะแนนขึ้นไป) พบ สารไซยาไนด์ในเลือด น้อยกว่า 0.5 มคก. / มล. เท่ากับ 91 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100.0 112

ตารางที่ 4.15 แสดงปริมาณสารชวี ภาพ (Biomarkers) เพ่ือบง่ ช้ีการทำงานของไต (Renal Function) และ การทำงานของตบั (Liver Function) ในกลุม่ เด็กปนเป้ือนสารโลหะหนกั รว่ มกับมคี วามบกพร่องทางการ เรยี นรู้จำนวน 28 ราย Test Minimum Maximum Mean SD Range Units Total Protein 7.0 8.2 7.5 0.35 6.0-8.0 g/dL Albumin 4.1 4.8 4.3 0.15 3.8-5.4 g/dL Globulin 2.7 3.8 3.1 0.33 1.2-3.5 g/dL Total bilirubin 0.2 2.0 0.5 0.32 0.2-1.2 mg/dL Direct bilirubin 0.1 0.7 0.2 0.11 0.0-0.5 mg/dL ALP 131.0 431.0 250.1 74.45 0-500 U/L AST_SGOT 15.0 33.0 23.1 4.63 5-34 U/L ALT_SGPT 4.0 47.0 15.5 9.03 0-55 U/L Creatinine 0.49 0.95 0.64 0.08 0.5-0.8 mg/dL Blood Urea Nitrogen 0.18 14.20 9.23 2.93 7.0-16.8 mg/dL หมายเหตุ: Units: Systemic International Units Reference: Bureau of Laboratory Quality Standards, Department of Medical Sciences, Ministry of Public health, Thailand การวเิ คราะหก์ ารทำงานของไต (Renal Function) และการทำงานของตบั (Liver Function) เพื่อจะ บง่ ชี้ถึงภาวะการไดร้ ับผลกระทบทางลบจากการได้รบั สารเคมี สารพษิ โลหะหนัก มลพษิ ความเครียด ความไม่ สมดุลย์ของสารอาหาร คณุ ภาพของอาหารไม่เพียงพอ รวมถงึ การใช้ยาปฏชิ วี นะ เปน็ ระยะเวลานาน โดยสาร ดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ตับและไตเสื่อมสภาพ ดังนั้นการตรวจวิเคราะห์หน้าที่ของอวัยวะสำคัญจะ บ่งชี้ถึงผลกระทบทางสุขภาพจากการรับสัมผัส ปนเปื้อน สารต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมในระยะเฉียบพลันหรือ ระยะยาว ตารางที่ 4.15 แสดงผลตรวจวิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพในกลุ่มเด็กปนเปื้อนสารโลหะหนัก ร่วมกับมีความบกพร่องทางการเรียนรู้จำนวน 28 ราย โดยทำการตรวจวิเคราะห์การทำงานของไตและการ ทำงานของตับ ซึ่งในภาพรวมพบว่า ปริมานสารชีวภาพดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งบ่งชี้ถึงหน้าที่การทำงาน ของไตในการกรองของเสีย การดูดซับน้ำ ไอออน และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายกลับเข้าสู่กระแสเลือด ตลอดจนการปรบั สมดุล ความเป็นกรด–ด่างของร่างกาย เปน็ ปกติ สว่ นหน้าท่ีการทำงานของอวยั วะทส่ี ำคัญอีก ดา้ นคอื ตับ ซึ่งทำหนา้ ที่การควบคุมระบบการเผาผลาญอาหารภายในร่างกาย การสังเคราะห์และหล่ังเอ็นไซม์ เพื่อช่วยในการย่อยและการดูดซึมและการกำจัดสารพิษ เป็นปกติ เช่นกัน ผลการตรวจบ่งชี้ถึงกลุ่มเด็ก ปนเปื้อนสารโลหะหนกั ร่วมกับมคี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ จำนวน 28 ราย มผี ลการตรวจการทำงานของไต และตับเปน็ ปกตริ กั ษา \"ตบั \" ใหส้ มบูรณ์ 113

ตารางที่ 4.16 แสดงปริมาณสาร C-Reactive Protein (CRP) และ 8-Hydroxy-2-deoxyguanosine (8- OHDG) ในกลมุ่ เดก็ ปนเป้อื นสารโลหะหนักรว่ มกบั มคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) จำนวน 28 ราย Test Minimum Maximum Mean SD Range Units C-Reactive Protein (CRP) 0.07 6.68 1.65 2.03 0.00-5.00 mg/dL 8-Hydroxy-2-deoxyguanosine 1.69 4.65 2.87 0.80 < 2.59 nmol/mmol (8-OHDG) creatinine หมายเหตุ: Units: Systemic International Units Bureau of Laboratory Quality Standards, Department of Medical Sciences, Ministry of Public health, Thailand อาชีวเวชศาสตร์ ฉบบั พษิ วิทยา โครงการตำรากรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2542 จากตารางที่ 4.15 โครงการตรวจวิแคราะห์ปริมาณสาร C-Reactive Protein (CRP) เพื่อบ่งชี้การ อักเสบ (Inflammation) ของร่างกายและปริมาณสาร 8-Hydroxy-2-deoxyguanosine (8-OHDG) เพื่อบ่งช้ี ภาวะ oxidative stress จากกลไกภายในร่างกายและจากสิ่งกระตุ้นภายนอกร่างกายในกลุ่มเดก็ ปนเปื้อนสาร โลหะหนักร่วมกับมีความบกพร่องทางการเรียนรู้จำนวน 28 ราย ผลการตรวจพบวา่ มีปริมานสาร CRP อยู่ใน เกณฑ์ปกติ บ่งชี้ถึงไมพ่ บภาวะการอักเสบของร่างกายในกลุ่มเด็กดังกลา่ ว สิ่งที่น่าสนใจคือ การตรวจพบระดบั ของ 8-Hydroxy-2-deoxyguanosine (8-OHDG) สูงกว่าปกติในเด็กนักเรียนจำนวน 16 ราย (57.14%) ผล การศึกษาแสดงถึงในกลุ่มเด็กปนเปื้อนสารโลหะหนักร่วมกับมีความบกพร่องทางการเรียนรู้มีโอกาสตรวจพบ ภาวะ oxidative stress ในอัตราสว่ นประมาณ 1:2 8-Hydroxy-2′-deoxyguanosine (8-OHdG) เปน็ สารบ่งชเี้ มื่อเกดิ ภาวะ oxidative stress เกิด โดยสารอนุมูลอสิ ระเขา้ ทำลายสาย DNA ทำใหเ้ กดิ กระบวนการ Hydroxylation (ปฏิกริ ยิ าการเติมหมู่ -OH เข้าไปในโมเลกุลเป็นผลทำให้โมเลกุลน้นั ไมเ่ สถยี ร) ในตำแหน่งท่ี 8 ของ Guanine base ในสาย DNA โดย ภาวะปกติของร่างกายนั้น สาย DNA ทีผ่ ิดปกตจิ ะถูกซ่อม (Repaired) โดยการตัด guanine base ทเ่ี ติมหมู่ - OH น้อี อกไป ซ่ึงคือ 8-OHdG หลงั จากนั้นรา่ งกายจะมกี ลไกการกำจดั 8-OHdG โดยจะถกู ส่งผ่านเข้าสู่ระบบ ไหลเวียนโลหิตและถูกขับออกสู่ระบบทางเดินปสั สาวะ การเกดิ oxidative hydroxylation ของ Guanine ในตำแหน่งท่ี 8 ซ่ึงเป็นตำแหน่งที่เกดิ ขน้ึ ได้งา่ ย และเป็นบรเิ วณท่ีทำใหเ้ กิดเป็นรอยแผลการกลายพันธ์ุ (Mutagenic lesion) ข้ึนในสาย DNA และเป็นตัว สำคัญของการเกิดการกลายพันธุ์ (Mutagenesis) และการเกิดโรคมะเร็ง (Carcinogenesis) นอกจากนีพ้ บวา่ 8-OHdG มรี ะดับค่าสงู กวา่ ปกตใิ นโรค Prostate cancer, Cystic fibrosis, Atopic dermatitis, Rheumatoid arthritis, Parkinson’s disease, Alzheimer’s disease และ Huntington’s disease เป็น ต้น 114

4.3 ผลการศกึ ษาเพ่อื ตดิ ตามสถานการณ์ภาวะบกพร่องทางสติปญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรู้ ของเด็ก จากการลงพื้นที่เพื่อเก็บประเมินติดตามสถานการณ์ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรูข้ องเดก็ มกี ลมุ่ ตัวอยา่ งนกั เรียนเข้ารว่ มการประเมนิ ทักษะสติปัญญาการเรียนรดู้ ้วยแบบทดสอบ KBAST และความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา (IQ) ด้วยแบบทดสอบ TONI-4 ทั้งสิ้น 212 คน จากกลุ่มตัวอย่าง นกั เรียนท้งั หมด 232 คน โดยแบ่งออกเป็น 1. โรงเรียนวงั ชะนาง จังหวดั เพชรบูรณ์ จำนวน 53 คน 2. โรงเรยี นบ้านใหมร่ าษฎร์ดำรง จังหวัดพิจติ ร จำนวน 31 คน 3. โรงเรยี นไทยรฐั วทิ ยาคม 60 จังหวัดพจิ ติ ร จำนวน 40 คน 4. โรงเรียนครี ีเทพนิมติ จังหวัดพิจติ ร จำนวน 30 คน 5. โรงเรยี นบา้ นทุง่ ยาว จังหวัดพษิ ณุโลก จำนวน 33 คน 6. โรงเรียนบา้ นวงั ขวัญ จังหวดั พิษณุโลก จำนวน 25 คน โดยมีรายละเอียดผลการศกึ ษาเพื่อตดิ ตามสถานการณภ์ าวะบกพรอ่ งทางสติปัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการ เรยี นรูข้ องเด็ก ดังต่อไปน้ี จากการประเมินการเรียนรู้ในเด็กจำนวน 212 คน ด้วยแบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการ เรียน (KBAST) พบว่า เด็กไม่มีปัญหาการเรียนรู้ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความ เขา้ ใจประโยค ดา้ นการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ ร้อยละ 18.40 (39 คน) นอกนั้นมีปญั หาการเรยี นรู้ท้งั 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ การอา่ นคำ ดา้ นการสะกดคำ ดา้ นความเข้าใจประโยค ดา้ นการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ รอ้ ยละ 18.87 (40 คน), 3 ด้าน ร้อยละ 20.75 (44 คน), 2 ด้าน รอ้ ยละ 19.81 (42 คน) และ 1 ดา้ น ร้อยละ 22.17 (47 คน) (ดังแสดงในตารางที่ 4.17) ซง่ึ จากผลการประเมินระดับสตปิ ญั ญา (IQ) ในเด็กนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ด้วย Test of nonverbal intelligence (TONI-4) ในนักเรยี นจำนวน 212 ราย พบวา่ มีเด็กนกั เรยี นทม่ี ีระดับ สติปัญญา IQ ปกติ (เกณฑ์เฉลี่ย) ร้อยละ 59.4 (126 ใน 212 คน) ในขณะเดียวกันมีเด็กนักเรียนที่มีระดับ สติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ปกติถึงร้อยละ 40.6 (86 ใน 212 คน) (ตารางที่ 4.18) และในกลุ่มเด็กที่มีระดับ สติปัญญา IQ ปกติ (IQ ≥90) จำนวน 126 นั้น พบว่า เด็กมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities; LD) ร้อยละ 22.22 (28 ใน 126 คน) (ดังแสดงในตารางที่ 4.19) ใน 28 คนนี้ พบว่า มีความ บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ท้ัง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการอา่ นคำ ดา้ นการสะกดคำ ดา้ นความเข้าใจประโยค ด้านการ คำนวณทางคณิตศาสตร์ ถึงร้อยละ 50.0 (14 คน), บกพร่องทางการเรียนรู้ 3 ด้าน ร้อยละ 35.8 (10 คน), บกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 2 ดา้ น และ 1 ด้าน ร้อยละ 7.1 (2 คน) (ดงั แสดงในตารางที่ 4.21) 115

ตารางท่ี 4.17 แสดงระดับภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) ในเด็กนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ดว้ ยแบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) (n=212) ปญั หาการเรยี นรู้ของเด็ก จำนวน ร้อยละ มีปัญหาการเรยี นรู้ทั้ง 4 ด้าน ไดแ้ ก่ การอา่ นคำ ด้านการสะกดคำ 40 18.87 ดา้ นความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ มปี ัญหาการเรียนรู้ 3 ด้าน 44 20.75 มีปญั หาการเรยี นรู้ 2 ดา้ น 42 19.81 มปี ญั หาการเรียนรู้ 1 ดา้ น 47 22.17 ไม่มีปัญหาการเรียนรู้ 39 18.40 ตารางท่ี 4.18 ผลการประเมินความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา (IQ) ในเดก็ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ดว้ ย Test of nonverbal intelligence (TONI-4) (n=212) ระดบั IQ ระดับ IQ ตามเกณฑ์ จำนวน ร้อยละ จำนวน (%) รวม จำนวน (%) Low IQ ต่ำมาก 5 2.4 IQ ปกติ ตำ่ 21 9.9 86 (40.6) 212 ต่ำกวา่ ปกตเิ ล็กนอ้ ย ปกติ 60 28.3 (100.0) สงู กว่าปกติ 119 56.1 126 (59.4) 7 3.3 ตารางท่ี 4.19 ผลการประเมินภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) ในกล่มุ เดก็ ทมี่ รี ะดบั สติปญั ญาปกติ (IQ ≥ 90) ด้วยแบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) (n=126) ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ จำนวน/จำนวนรวม รอ้ ยละ สงสยั ภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ 28/126 22.22 ไม่มภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ 98/126 77.78 รวม 126/126 100.0 116

ตารางท่ี 4.20 แสดงความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) ในกลุม่ เด็กที่มรี ะดับสตปิ ัญญา ปกติ (IQ ≥ 90) ดว้ ยแบบทดสอบคัดกรองความบกพรอ่ งทางการเรียน (KBAST) ตามรายดา้ น (n=28) ดา้ น ภาวะบกพร่อง ระดับ ช่วงคะแนน จำนวน ร้อยละ รวม ทางการ n (%) เรยี นรู้ ไม่มีภาวะ สูงมาก ตั้งแต่ 130 ข้นึ ไป 0 0.0 บกพร่อง สงู 120-129 0 0.0 6 ดา้ นการ 110-119 2 7.1 (21.4) อ่านคำ สูงกวา่ ค่าเฉลีย่ 90-109 4 ค่าเฉลย่ี 4 14.3 การอ่านคำ 3 การสะกดคำ มภี าวะบกพร่อง ต่ำกวา่ ค่าเฉลย่ี 80-89 15 14.3 10.7 22 ดา้ นการ ตำ่ 70-79 53.6 (78.6) อา่ นคำ ต่ำมาก ต่ำกวา่ 70 04 ไมม่ ภี าวะ สูงมาก ตัง้ แต่ 130 ขึ้นไป 0 0 (14.3) บกพร่อง สูง 120-129 0 ดา้ นการ 110-119 0 0 สะกดคำ สงู กวา่ ค่าเฉลย่ี 90-109 4 คา่ เฉลย่ี 5 14.3 10 มีภาวะบกพร่อง ตำ่ กวา่ คา่ เฉล่ยี 80-89 9 17.9 24 ดา้ นการ ตำ่ 70-79 35.7 (85.7) สะกดคำ ตำ่ มาก ตำ่ กวา่ 70 32.1 117

ตารางที่ 4.20 แสดงความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) ในเด็กนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 4-6 จำแนก ตามรายดา้ น (n=28) (ต่อ) ด้าน ภาวะบกพรอ่ ง ระดบั ช่วงคะแนน จำนวน รอ้ ยละ รวม ทางการ n (%) เรียนรู้ ไม่มีภาวะบกพร่อง สงู มาก ตั้งแต่ 130 ขนึ้ ไป 0 0.0 ด้านความ 0 0.0 9 สงู 120-129 1 3.6 (32.1) เขา้ ใจประโยค 8 ดา้ นความ สูงกว่าค่าเฉลย่ี 110-119 13 28.5 เข้าใจประโยค มีภาวะบกพร่อง 5 ด้านความ คา่ เฉลีย่ 90-109 1 46.4 ด้านการ 0 17.9 19 คำนวณ เขา้ ใจประโยค ต่ำกวา่ ค่าเฉล่ยี 80-89 0 3.6 (67.9) ทาง 0 คณิตศาสตร์ ไม่มภี าวะบกพร่อง ตำ่ 70-79 1 0.0 ด้านการคำนวณ 4 0.0 1 ต่ำมาก ต่ำกว่า 70 7 0.0 (3.6) ทาง 16 คณติ ศาสตร์ สูงมาก ตัง้ แต่ 130 ข้นึ ไป 3.6 มภี าวะบกพร่อง สูง 120-129 14.3 ดา้ นคำนวณ 25.0 27 สูงกวา่ ค่าเฉล่ยี 110-119 57.1 (96.4) ทาง คณิตศาสตร์ ค่าเฉล่ีย 90-109 ต่ำกวา่ คา่ เฉลี่ย 80-89 ตำ่ 70-79 ตำ่ มาก ต่ำกวา่ 70 118

ตารางที่ 4.21 แสดงความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) ในกล่มุ เด็กที่มภี าวะบกพร่องการ เรยี นรู้ (n=28) ปัญหาการเรียนรู้ของเด็ก จำนวน รอ้ ยละ มปี ัญหาการเรียนรู้ทั้ง 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ การอา่ นคำ ดา้ น 14 50.0 การสะกดคำ ด้านความเขา้ ใจประโยค ด้านการคำนวณ ทางคณิตศาสตร์ มีปญั หาการเรยี นรู้ 3 ด้าน 10 35.8 มีปญั หาการเรยี นรู้ 2 ด้าน 2 7.1 มปี ัญหาการเรียนรู้ 1 ดา้ น 2 7.1 นอกจากน้เี ม่อื แยกพิจารณากลมุ่ เด็กทมี่ ภี าวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ ดว้ ยการเปรียบเทยี บรอ้ ยละของ ปัญหาการบกพร่องทางการเรียนในแต่ละโรงเรียน พบว่า โรงเรียนที่มีสัดส่วน (%) ของเด็กท่ีมีภาวะบกพร่อง ทางการเรยี นรู้มากทส่ี ดุ คือ โรงเรยี นคีรเี ทพนมิ ติ และโรงเรยี นบ้านวังขวญั (ร้อยละ 20) รองลงมา คือ โรงเรยี น บ้านใหม่ราษฎร์ดำรง (ร้อยละ 16.1) และโรงเรียนวังชะนาง (ร้อยละ15.1) ตามลำดับ (ดังแสดงในตารางท่ี 4.22) ตารางท่ี 4.22 แสดงการเปรียบเทียบจำนวน ร้อยละ ของภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) ในเด็กนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ในแต่ละโรงเรียน โรงเรยี น ระดับภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ รวม (Learning Disabilities) n (%) Non LD LD n (%) n (%) 1. โรงเรยี นวงั ชะนาง 45 (84.9) 8 (15.1) 53 (100.0) 2. โรงเรยี นครี เี ทพนิมติ 24 (80.0) 6 (20.0) 30 (100.0) 3. โรงเรยี นไทยรัฐวทิ ยาคม 60 37 (92.5) 3 (7.5) 40 (100.0) 4. โรงเรียนบา้ นใหมร่ าษฎรด์ ำรง 26 (83.9) 5 (16.1) 31 (100.0) 5. โรงเรียนบา้ นทุง่ ยาว 32 (97.0) 1 (3.0) 33 (100.0) 6. โรงเรยี นบ้านวงั ขวญั 20 (80.0) 5 (20.0) 25 (100.0) รวม 184 (86.8) 28 (13.2) 212 (100.0) หมายเหตุ LD หมายถึง มภี าวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ (Learning Disabilities) Non LD หมายถงึ ไมม่ ภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities) 119

การทดสอบกระบวนการรบั ร้ทู างสายตา เพ่ือใช้วดั การทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วย แบบทดสอบ Visual Motor Integration, 4th Edition ผลการทดสอบ พบว่า ในภาพรวมเด็กนักเรยี นมีผลการทดสอบกระบวนการรบั รู้ทางสายตาอยู่ใน ระดับต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 41.51 สว่ นกลุ่มเดก็ มปี ัญหาความบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา กระบวนการรคู้ ดิ และการเรียนรู้ จำนวน 114 คน มีผลการทดสอบกระบวนการรับรูท้ างสายตาอยู่ในระดบั ต่ำกวา่ เกณฑ์ ร้อยละ 47.37 ในขณะทีเ่ ดก็ กลุ่มเด็กที่ มีภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ จำนวน 28 คน มีผลการทดสอบกระบวนการรับรทู้ างสายตาอยู่ในระดับต่ำกวา่ เกณฑ์ ร้อยละ 32.14 และในกลุ่มเด็กที่มีสตปิ ญั ญาตำ่ จำนวน 86 คน มผี ลการทดสอบกระบวนการรบั รทู้ าง สายตาอยู่ในระดบั ต่ำกว่าเกณฑ์ รอ้ ยละ 52.33 (ดงั แสดงในตารางที่ 4.23) ตารางที่ 4.23 ผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและ มือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวมและจำแนกตามเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คดิ และการเรียนรู้ (n=114) กลุม่ เดก็ ท่ีมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (n=28) และกลุ่มเด็กที่มี สติปัญญาตำ่ (n=86) กลุม่ เด็ก ทดสอบ ระดับ ชว่ งคะแนน จำนวน รอ้ ยละ รวม กระบวนการรบั รู้ n (%) ทางสายตา ผ่านเกณฑ์ สูงมาก ตัง้ แต่ 130 ขึ้นไป 0 0.0 124 สูง 120-129 0 0.0 (58.49) สงู กว่าค่าเฉลย่ี 110-119 14 6.6 ภาพรวม ตำ่ กวา่ เกณฑ์ ค่าเฉลี่ย 90-109 110 51.9 (n=212) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 80-89 50 23.6 88 70-79 29 13.7 (41.51) ตำ่ ต่ำมาก ต่ำกว่า 70 9 4.2 120

ตารางที่ 4.23 ผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและ มือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวมและจำแนกตามเด็กกลุม่ มปี ัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คดิ และการเรยี นรู้ (n=114) กลุ่มเด็กท่ีมภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (n=28) และกลุ่มเด็กที่มี สตปิ ญั ญาตำ่ (n=86) (ตอ่ ) กลุ่มเด็ก ทดสอบ ระดบั ช่วงคะแนน จำนวน ร้อยละ รวม กระบวนการรับรู้ n (%) ทางสายตา เดก็ กลมุ่ มปี ญั หาความ ผ่านเกณฑ์ สูงมาก ตั้งแต่ 130 ขน้ึ ไป 0 0.0 60 บกพร่องทาง สงู 120-129 0 0.0 (52.63) สติปัญญา ตำ่ กวา่ เกณฑ์ สูงกวา่ ค่าเฉลี่ย 110-119 2 1.7 กระบวนการรู้คดิ คา่ เฉลี่ย 90-109 58 50.9 และการเรยี นรู้ 80-89 27 23.7 54 ตำ่ กวา่ คา่ เฉลีย่ 70-79 19 16.7 (47.37) (n=114) ตำ่ ตำ่ มาก ต่ำกว่า 70 8 7.0 กล่มุ เดก็ ทมี่ ีภาวะ ผา่ นเกณฑ์ สงู มาก ตงั้ แต่ 130 ขน้ึ ไป 0 0.0 19 บกพร่องทางการ สูง 120-129 0 0.0 (67.86) เรียนรู้ (n=28) สงู กวา่ ค่าเฉลยี่ 110-119 0 0.0 ค่าเฉลี่ย 90-109 19 67.9 ตำ่ กว่าเกณฑ์ ตำ่ กว่าค่าเฉลี่ย 80-89 6 21.4 9 ตำ่ 70-79 3 10.7 (32.14) ต่ำมาก ต่ำกว่า 70 0 0.0 ผา่ นเกณฑ์ สงู มาก ตง้ั แต่ 130 ขึ้นไป 0 0.0 41 กลุ่มเด็กทีม่ ี สูง 120-129 0 0.0 (47.67) สติปัญญาต่ำ สูงกว่าคา่ เฉลี่ย 110-119 2 2.33 (n=86) คา่ เฉลยี่ 90-109 39 45.35 ต่ำกว่าเกณฑ์ ต่ำกว่าค่าเฉลย่ี 80-89 21 24.42 45 ตำ่ 70-79 16 18.60 (52.33) ต่ำมาก ตำ่ กวา่ 70 8 9.30 121

ด้านการทักษะการเรยี นรู้คิด (EF) ด้วยแบบประเมิน BRIEF เด็กที่มีทักษะ EF อยู่ในระดับควรได้รับการส่งเสริม ไม่ได้หมายความว่าเด็กมีความบกพร่องเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะเด็กไม่ได้รับการกระตุ้น ส่งเสริมที่เหมาะสมจากสภาพแวดล้อมของการเลี้ยงดูทั้งจาก ครอบครัว และโรงเรียน เมื่อได้รับการกระตุ้นและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องและสมำ่ เสมอ จากทั้งครอบครัว และ โรงเรียน จะกลับมามีพัฒนาการทักษะ EF ที่อยู่ในระดับปกติ หรือสมวัยได้ ซึ่งจากการศึกษาในครั้งนี้ได้มีการ ประเมินทักษะ EF กลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนทั้ง 6 โรงเรียนด้วยแบบประเมิน BRIEF ซึ่งเป็นแบบวัดประเมิน พฤติกรรมของเดก็ โดยครู จำนวน 214 คน ซึ่งผลการประเมนิ ระดับทักษะ EF มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ ผลการประเมินทักษะการเรียนรู้คิด (EF) ของเด็ก จำแนกตามรายด้านที่สำคัญ 5 ด้านก่อนเข้ารับ การฟ้ืนฟู ด้านการยับยั้งชั่งใจ (Inhibitory Control) พบว่า เด็กจำนวน 214 คน มีทักษะ EF ด้านการยับยั้งชง่ั ใจ อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 45.3 ในขณะที่มีส่วนใหญ่เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาด้านการยับยั้งชั่งใจ (ควร ได้รับการสง่ เสรมิ ) ร้อยละ 54.7 ดา้ นการยดื หยุน่ ความคิด (Shift Cognitive Flexibility) พบวา่ เดก็ จำนวน 214 คน มที ักษะ EF ด้าน การยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility) อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 37.5 ในขณะที่มีส่วนใหญ่เด็กมี พฤตกิ รรมท่ีเป็นปญั หาดา้ นการยืดหยนุ่ ความคิด (ควรได้รบั การส่งเสริม) รอ้ ยละ 59.3 ด้านการควบคุมอารมณ์ (Emotion Control) พบว่า เด็กจำนวน 214 คน มีทักษะ EF ด้านการ ควบคุมอารมณ์ อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 38.4 ในขณะที่มีส่วนใหญ่เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาด้านการ ควบคุมอารมณ์ (ควรไดร้ บั การส่งเสริม) รอ้ ยละ 58.4 ด้านความจำในขณะทำงาน (Working Memory) พบว่า เด็กจำนวน 214 คน มีทักษะ EF ด้าน ความจำในขณะทำงาน อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 34.1 ในขณะที่มีส่วนใหญ่เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาด้าน ความจำในขณะทำงาน (ควรได้รับการส่งเสริม) รอ้ ยละ 58.1 ด้านการวางแผนจัดการ (Planning and Organizing) พบว่า เด็กจำนวน 214 คน มีทักษะ EF ด้าน การวางแผนจัดการ อยู่ในระดับดี ร้อยละ 0.5 นอกนั้นมีทักษะ EF อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 39.9 ในขณะที่มี สว่ นใหญเ่ ดก็ มพี ฤติกรรมที่เปน็ ปญั หาด้านการวางแผนจัดการ (ควรไดร้ ับการส่งเสรมิ ) รอ้ ยละ 59.6 ภาพรวม พบว่า เด็กจำนวน 214 คน มีทักษะ EF ด้านการควบคุมอารมณ์ อยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 31.8 ในขณะที่มีส่วนใหญ่เด็กมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาด้านการคิดเชิงบริหาร (ควรได้รับการส่งเสริม) ร้อยละ 68.2 ดังแสดงในตารางท่ี 4.24 122

ตารางที่ 4.24 จำนวนและร้อยละของผลการประเมินทักษะการเรียนรคู้ ิด (EF) ของเด็ก จำแนกตามรายดา้ นที่ สำคัญ 5 ดา้ นก่อนเข้ารับการฟ้ืนฟู ทักษะการเรียนรู้คิด (EF) EF ดี ระดบั ควรไดร้ ับการส่งเสริม 0 (0.0) EF ปกติ 117 (54.7) ด้านการยับย้ังชง่ั ใจ (Inhibitory 0 (0.0) Control) 0 (0.0) 97 (45.3) ด้านการยดื หยนุ่ ความคดิ (Shift 0 (0.0) Cognitive Flexibility) 1 (0.5) 87 (37.5) 127 (59.3) ดา้ นการควบคุมอารมณ์ (Emotion 0 (0.0) Control) 89 (38.4) 125 (58.4) ดา้ นความจำในขณะทำงาน (Working Memory) 79 (34.1) 135 (58.2) ด้านการวางแผนจดั การ (Planning and Organizing) 85 (39.9) 127 (59.6) ภาพรวม 68 (31.8) 146 (68.2) ผลการประเมนิ สติปญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรู้ของเดก็ ด้วยเคร่อื งมือ TEC จากเด็กนักเรียนทั้ง 6 โรงเรียน หลังจากการประเมินระดับสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 และ ทดสอบความบกพร่องทางการเรียนรู้ดว้ ยแบบคัดกรอง KBAST พบวา่ มีเดก็ จำนวน 114 คนจัดเป็นเด็กกลุ่มมี ปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ซึ่งทางคณะวิจัยได้สุ่มคัดเลือกกลุ่มเด็ก กลุ่มนี้จำนวน 80 คน เพื่อทำการวัดประเมินสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของตัวเด็กด้วย เครื่องมือ TEC ทั้งนี้นักเรียนที่ได้ได้เข้าร่วมกิจกรรมการประเมินสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ของเด็กดว้ ยเครื่องมอื TEC ครบถ้วนก่อนและหลงั มจี ำนวน 32 คน ผลการประเมนิ พบว่า ด้าน Sustained Accuracy พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กนักเรียนมีทักษะด้าน Sustained Accuracy อย่ใู นระดับ Typical ร้อยละ 87.8 ในขณะท่หี ลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฟ้ืนฟู พบว่า เด็กนักเรียน มที กั ษะดา้ น Sustained Accuracy อย่ใู นระดบั Typical รอ้ ยละ 94.3 ด้าน Selective Attention พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กนักเรียนมีทักษะด้าน Selective Attention อยู่ในระดับ Typical ร้อยละ 93.9 ในขณะที่หลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู พบว่า เด็กนกั เรยี นมีทกั ษะด้าน Selective Attention อยใู่ นระดับ Typical ร้อยละ 94.3 123

ด้าน Response speed พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กนักเรียนมีทักษะด้าน Response speed อยใู่ นระดับ Typical รอ้ ยละ 89.8 ในขณะทีห่ ลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฟ้ืนฟู พบวา่ เด็ก นกั เรียนมที กั ษะดา้ น Response speed อยใู่ นระดับ Typical รอ้ ยละ 94.3 ดังแสดงในตารางท่ี 4.25 ตารางที่ 4.25 จำนวนและรอ้ ยละของผลการประเมนิ สติปัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรียนรูข้ องเด็กก่อน เข้ารับการฟื้นฟดู ว้ ยเครอื่ งมือ TEC (n=80) หวั ข้อการประเมิน Typical (n=80) Non-Typical (n=80) จำนวน/จำนวนรวม รอ้ ยละ จำนวน/จำนวนรวม รอ้ ยละ Sustained Accuracy Selective Attention 43/49 87.8 6/49 12.2 Response speed 46/49 93.9 3/49 6.1 44/49 89.8 5/49 10.2 ผลการประเมนิ ผลของคลน่ื สมองในเด็กทมี่ คี วามบกพร่องทางด้านการเรียนขณะท่ที ำกิจกรรมการรคู้ ดิ โดย การใช้อุปกรณ์วัดคลืน่ ไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) แบบพกพา โดยการใช้อุปกรณ์วัดคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) แบบพกพาขณะที่กลุ่ม ตัวอย่างทำกิจกรรมเชิงกระบวนการคิดเชิงบริหาร (Executive Function) โดยใช้เครื่องวัด EEG รุ่น eego Sports device (ANT Neuro, Enschede, The Netherlands) มี 8 ช่องสญั ญาณ (channels) ประกอบดว้ ย FPz,F3, F4, Fz, Cz ,C3, C4,Pz) ตามระบบ international 10-20 system แผนภาพท่ี 4.1: ตำแหน่งช่องสัญญาณ 8 ชอ่ งสัญญาณ ประกอบด้วย FPz,F3, F4, Fz, Cz ,C3, C4 และ Pz 124

ตารางท่ี 4.26 ค่าเฉลีย่ พลังงานสัมบรู ณ์ตามย่านความถ่ีของคลื่นไฟฟ้าสมองตามตาํ แหน่งชอ่ งสัญญาณท่ี แตกต่างกัน คล่ืน ความถี่ (Hz) อิเลก็ โทรด Mean±SD Lower Delta 0.5-2.00 Fz 169.90±139.57 Cz 172.52±149.22 Pz 187.87±240.28 F3 243.81±246.14 F4 265.90±225.01 Fpz 278.46±185.91 C3 162.43±195.16 C4 127.35±160.37 Upper Delta 2.00-4.00 Fz 106.55±46.73 Cz 93.18±46.99 Pz 98.01±59.00 F3 132.65±87.08 F4 125.50±62.54 Fpz 183.51±98.82 C3 98.01±64.29 C4 77.87±58.91 Lower Theta 4.00-6.00 Fz 37.51±12.11 Cz 32.01±12.44 Pz 35.79±13.89 F3 40.99±14.49 F4 35.60±11.19 Fpz 49.29±21.93 C3 36.46±14.54 C4 29.42±13.75 Upper Theta 6.00-8.00 Fz 20.92±9.73 Cz 19.10±11.74 Pz 19.42±10.37 F3 21.94±9.46 F4 18.45±9.51 125

คล่นื ความถี่ (Hz) อเิ ลก็ โทรด Mean±SD Lower Alpha 8.00-10.00 Fpz 25.17±18.34 Upper Alpha 10.00-12.00 C3 20.91±9.89 Lower Beta 12.00-16.00 C4 17.92±11.61 Upper Beta 16.00-30.00 Fz 12.98±7.54 Cz 16.23±13.70 Pz 15.90±12.34 F3 14.07±8.16 F4 11.98±8.41 Fpz 13.05±8.06 C3 17.30±11.89 C4 15.62±13.48 Fz 9.90±7.39 Cz 15.07±13.64 Pz 12.56±9.46 F3 11.68±8.79 F4 9.81±9.62 Fpz 9.72±7.10 C3 16.36±12.91 C4 13.48±10.43 Fz 10.29±7.56 Cz 11.71±9.26 Pz 13.13±9.05 F3 13.25±9.46 F4 10.42±8.74 Fpz 10.77±7.36 C3 14.58±10.38 C4 12.96±9.82 Fz 12.68±7.47 Cz 13.56±8.44 Pz 14.47±7.98 F3 16.27±9.44 126

คล่ืน ความถ่ี (Hz) อิเล็กโทรด Mean±SD F4 13.17±9.22 Fpz 15.35±9.20 C3 16.74±8.71 C4 15.31±8.20 Gamma 30.00-45.00 Fz 2.56±1.32 Cz 2.30±1.20 Pz 2.21±1.25 F3 2.31±1.28 F4 2.41±1.30 Fpz 2.75±1.35 C3 2.23±1.09 C4 2.30±1.24 จากตารางค่าเฉลี่ยพลงั งานสัมบรู ณต์ ามยา่ นความถ่ีของคล่ืนไฟฟ้าสมองตามตําแหนง่ ช่องสัญญาณท่ี แตกต่างกัน พบว่าเมือ่ เปรียบเทยี บระหวา่ งยา่ นความถี่ Lower Delta มีค่าเฉลี่ยพลงั งานสัมบรู ณข์ อง คล่นื ไฟฟา้ สมองสูงกว่าย่านความถี่อื่น ๆ โดยตำแหน่งของคลน่ื สญั ญาณทม่ี ีค่าเฉลีย่ พลังงานสมั บรู ณข์ อง คลน่ื ไฟฟ้าสูงกวา่ บริเวณอ่นื ที่ตำแหน่งของช่องสญั ญาณบนสมองสว่ นหน้า (Frontal Lobe) ได้แก่ Fz, F3, F4 และ Fpz 4.4 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรับสัมผัสสารอาร์เซนิก แมงกานีส ในร่างกายของเด็กตาม เกณฑข์ อง ATSDR กบั ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรียนรขู้ องเดก็ จากการลงพื้นที่เพื่อเก็บประเมินสุขภาพ มีกลุ่มตัวอย่างนักเรียนเข้าร่วมการตรวจสขุ ภาพทั้งสิ้น 199 คน จากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนทั้งหมด 232 คน และในวันที่ 24-28 มิ.ย. 2562 มีนักเรียนที่ได้รับการตรวจวัด ระดับเชาว์ปัญญาและทดสอบความสามารถทางการเรียนจำนวน 212 คน ทั้งนี้นักเรียนที่ได้รับทั้งการตรวจ สุขภาพ วัดประเมินระดับสติปัญญาและทดสอบความสามารถทางการเรียนมีจำนวนทั้งสิ้น 189 คน ซึ่งเมื่อ นำมาพิจารณาความสัมพันธ์ของสารรับสัมผัส (exposure) โดยอ้างอิงตามเกณฑ์ของ ATSDR และภาวะ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนที่ได้รับสัมผัสสารหนูอนินทรีย์และ แมงกานีสไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็ก รายละเอยี ดดังแสดงในตารางตารางที่ 4.27 127

ตารางท่ี 4.27 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรับสัมผัสสารอารเ์ ซนิก แมงกานสี ในรา่ งกายของเด็ก ตามเกณฑข์ อง ATSDR กับภาวะบกพร่องทางสตปิ ญั ญา กระบวนการรคู้ ดิ และการเรียนรู้ของเด็ก สารรับสัมผสั ตามเกณฑ์ ATSDR กลุ่มทไ่ี ม่มี กลุ่มท่ีมีความ p-value ความบกพร่อง บกพรอ่ งทาง ทางสตปิ ญั ญา สติปญั ญา กระบวนการรู้ กระบวนการร้คู ิด คิด และการ และการเรียนรู้ เรียนรู้ (n=114) (n=98) แมงกานสี ในเลือด (มคก.ของสารหนู/ล.) > 15 μg/L (จำนวน/จำนวนรวม, ร้อยละ) 38/91,41.8 40/98,40.8 0.895a 5 – 15 μg/L (จำนวน/จำนวนรวม, ร้อยละ) 53/91,58.2 58/98,59.2 รวม 91/91,100.0 98/98,100.0 สารหนอู นนิ ทรยี ์ในปัสสาวะ (มคก./ล.) ≥ 35 μg As/L (จำนวน/จำนวนรวม, รอ้ ยละ) 5/91, 5.5 4/98, 4.1 0.740b < 35 μg As/L(จำนวน/จำนวนรวม, ร้อยละ) 86/91, 94.5 94/98, 94.9 รวม 91/91,100.0 98/98,100.0 a ทดสอบความสัมพนั ธด์ ว้ ยสถติ ิ Chi-square, b ทดสอบความสมั พันธด์ ว้ ยสถิติ Fisher Exact Test 4.5 ผลการฟ้ืนฟูภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา กระบวนการรู้คดิ และการเรียนรขู้ องเด็ก เด็กนักเรียนทั้ง 6 โรงเรียน หลังจากการประเมินระดับสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 และ ทดสอบความบกพร่องทางการเรียนรดู้ ้วยแบบคัดกรอง KBAST พบวา่ มเี ดก็ จำนวน 114 คนจัดเป็นเด็กกลุ่มมี ปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ และได้รับการส่งเสริม ฟื้นฟูภาวะ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้โดยครู ทั้งนี้นักเรียนที่ได้เข้ารับการฟื้นฟูครบถ้วน ตลอดการวิจยั มจี ำนวนทัง้ สิ้น 106 คน ซง่ึ ผลการฟ้ืนฟูเด็ก พบวา่ ก่อนการเข้ารว่ มการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ย ของผลการประเมินระดับสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 เท่ากับ 85.43 (SD. = 8.574) ซึ่งอยู่ในระดับ สติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่หลังจากเด็กเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู พบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการ ประเมินระดบั สตปิ ญั ญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 เทา่ กับ 90.11 (SD. = 7.695) ซง่ึ อยใู่ นระดบั สติปญั ญาปกติ เมอ่ื วเิ คราะห์เปรียบเทยี บความแตกต่างของผลการประเมนิ เชาวป์ ัญญา ในเด็กกลมุ่ มีปัญหาความบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ก่อนและหลังเข้ารับการฟื้นฟู พบว่า เด็กนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 128

ด้านสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 หลังการฟื้นฟู สูงกว่า ก่อนฟื้นฟูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (ดงั แสดงในตารางท่ี 4.28) 4.5.1 ด้านผลการประเมนิ เชาว์ปัญญา (IQ) ตารางที่ 4.28 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินเชาว์ปัญญา ในเด็กกลุ่มมีปัญหาความ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรียนรู้ กอ่ นและหลงั เขา้ รับการฟน้ื ฟู (n=106) การเข้ารว่ ม จำนวน คะแนนเฉลยี่ SD. ระดบั t p-value โปรแกรมการ ฟน้ื ฟู กอ่ น 106 85.43 8.574 ต่ำกวา่ เกณฑ์ -6.286* 0.000 หลงั 106 90.11 7.695 IQ ปกติ * มนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ 0.05 นอกจากนี้เมื่อแยกพิจารณากลุ่มเด็กที่มีปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และ การเรียนรู้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น กลุ่มเด็กมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities; LD) จำนวน 28 คน และกลุ่มเด็กท่ีมีระดบั สติปญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์เฉลยี่ จำนวน 86 คน ทั้งนี้นักเรียนทไ่ี ดเ้ ข้ารับการ ฟื้นฟูครบถ้วนตลอดการวจิ ัยในกลุ่มเด็กมภี าวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities; LD) มีจำนวน 25 คน และกลมุ่ เด็กทม่ี ีระดับสตปิ ญั ญาต่ำกวา่ เกณฑ์เฉลยี่ มีจำนวน 81 คน ผลการฟื้นฟูในเด็กกลุ่มมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disabilities; LD) จำนวน 25 คน ด้วยสถิตินอนพาราเมตริกของวิลคอกซอน (The Wilcoxon Matched-pairs Signed rank test) ก่อนและ หลงั การเขา้ ร่วมโปรแกรม พบว่า คะแนนเชาว์ปญั ญา ในเด็กกลุ่มมีภาวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ ก่อนและหลัง เข้ารว่ มโปรแกรมการฟน้ื ฟภู าวะบกพร่องทางสติปญั ญา กระบวนการร้คู ดิ และการเรยี นรู้โดยครู ไมแ่ ตกตา่ งกัน (ดังแสดงในตารางที่ 4.29) สว่ นผลการฟ้นื ฟใู นกลุม่ เด็กที่มีระดับสติปญั ญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลีย่ จำนวน 81 คน พบว่า ก่อนการเข้า ร่วมการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินระดับสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 เท่ากับ 81.93 (SD. = 5.574) ซึ่งอยู่ในระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่หลังจากเด็กเข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมี คะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินระดับสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 เท่ากับ 88.22 (SD. = 7.141) ซ่ึง อยู่ในระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินเชาว์ ปญั ญา ในเด็กกลมุ่ มมี รี ะดับสตปิ ญั ญาต่ำกว่าเกณฑเ์ ฉล่ีย กอ่ นและหลังเข้ารับการฟน้ื ฟู พบว่า เด็กนักเรียนกลุ่ม มีมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย มีคะแนนเฉลี่ยด้านสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 หลังการฟื้นฟู สงู กวา่ ก่อนฟน้ื ฟอู ย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ 0.05 (ดังแสดงในตารางที่ 4.30) 129

ตารางที่ 4.29 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินเชาว์ปัญญา ในกลุ่มเด็กมีภาวะบกพร่อง ทางการเรียนรู้ กอ่ นและหลงั เขา้ รับการฟ้นื ฟู (n=25) การเข้าร่วมโปรแกรม จำนวน Wilcoxon test p-value การฟืน้ ฟู ก่อน 25 -0.196 0.844 หลงั 25 * มีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ 0.05 ตารางที่ 4.30 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินเชาว์ปัญญา ในกลุ่มเด็กที่มีระดับ สติปญั ญาตำ่ กว่าเกณฑเ์ ฉลีย่ ก่อนและหลงั เข้ารบั การฟน้ื ฟู (n=81) การเขา้ รว่ ม จำนวน คะแนนเฉลี่ย SD. ระดับ t p-value โปรแกรมการ ฟน้ื ฟู ก่อน 81 81.93 5.574 ตำ่ กวา่ เกณฑ์ -7.745* 0.000 หลัง 81 88.22 7.141 ตำ่ กวา่ เกณฑ์ * มีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั 0.05 4.5.2 ด้านผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้าน ความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการ เรยี น (KBAST) อย่างไรก็ตาม นอกจากนยี้ งั มกี ารเปรยี บเทยี บความแตกต่างของผลการประเมนิ ความบกพรอ่ งทางการ เรียนรู้ ด้านการอ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วย แบบทดสอบคัดกรองความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) ในเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ (n=106) กลุ่มเด็กมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (n=25) และกลุ่มเด็กที่มี ระดับสตปิ ญั ญาตำ่ กว่าเกณฑ์เฉลีย่ (n=81) โดยมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ เด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ จำนวน 106 คน พบวา่ ดา้ นการอา่ นคำ ก่อนการเข้าร่วมการฟนื้ ฟูเด็กมีคะแนนเฉล่ยี ของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการ อ่านคำด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากบั 87.24 (SD. = 18.352) ซึง่ อยใู่ นระดบั ต่ำกวา่ เกณฑเ์ ฉลยี่ แต่หลังจาก เด็กเข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการอ่านคำ ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 98.97 (SD. = 14.488) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ค่าเฉลี่ย เมื่อวิเคราะห์ 130

เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่านคำ ในเด็กกลุ่มมี ปญั หาความบกพร่องทางสติปญั ญา กระบวนการรู้คดิ และการเรยี นรู้ ก่อนและหลังเขา้ รบั การฟน้ื ฟู พบว่า เด็ก นักเรยี น มคี ะแนนเฉล่ยี ด้านการอ่านคำ หลังการฟื้นฟู สงู กวา่ ก่อนฟน้ื ฟูอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ด้านการสะกดคำ ก่อนการเข้าร่วมการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการ สะกดคำด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 84.81 (SD. = 13.253) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่ หลังจากเด็กเข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการ สะกดคำ ด้วยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กับ 90.51 (SD. = 14.410) ซ่ึงอยใู่ นระดับเกณฑ์คา่ เฉล่ีย เมือ่ วิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการสะกดคำ ในเด็กกลุ่มมี ปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรูค้ ดิ และการเรียนรู้ กอ่ นและหลงั เขา้ รับการฟ้นื ฟู พบว่า เด็ก นักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยด้านการสะกดคำ หลังการฟื้นฟู สูงกว่า ก่อนฟื้นฟูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดา้ นความเขา้ ใจประโยค ก่อนการเข้าร่วมการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้าน ความเข้าใจ ประโยคด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 87.22 (SD. = 12.179) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่ หลงั จากเดก็ เขา้ รว่ มการฟื้นฟูพบวา่ เด็กมีคะแนนเฉล่ียของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านความ เข้าใจประโยค ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 93.63 (SD. = 12.549) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ค่าเฉลี่ย เมื่อ วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้าน ความเข้าใจประโยค ในเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ก่อนและหลังเข้ารับการ ฟื้นฟู พบว่า เด็กนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยด้านความเข้าใจประโยค หลังการฟื้นฟู สูงกว่า ก่อนฟื้นฟูอย่างมี นยั สำคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั 0.05 ด้านการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ ก่อนการเข้าร่วมการฟื้นฟูเดก็ มีคะแนนเฉลีย่ ของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ดา้ นการคำนวณ ทางคณิตศาสตร์ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 75.59 (SD. = 10.567) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ แต่หลังจากเด็ก เข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการคำนวณทาง คณิตศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 84.25 (SD. = 13.234) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉล่ีย เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ดา้ นการคำนวณทาง คณิตศาสตร์ ในเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ก่อนและหลัง เข้ารับการฟื้นฟู พบว่า เด็กนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ หลังการฟื้นฟู สูงกว่า ก่อนฟื้นฟูอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั 0.05 (ดังแสดงในตารางท่ี 4.31) 131

ตารางที่ 4.31 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการ อา่ นคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ดา้ นการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบคัดกรอง ความบกพร่องทางการเรยี น (KBAST) ในเด็กกลมุ่ มีปญั หาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรคู้ ิด และ การเรียนรู้ ก่อนและหลังเขา้ รับการฟน้ื ฟู (n=106) ความบกพรอ่ ง การเขา้ รว่ ม จำนวน คะแนนเฉลยี่ SD. ระดับ t p-value ทางการเรยี นรู้ โปรแกรมการ ฟื้นฟู ดา้ นการอ่านคำ ก่อน 106 87.24 18.352 ต่ำกวา่ -7.871* 0.000 เกณฑเ์ ฉล่ยี หลงั 106 98.97 14.488 เกณฑ์เฉลย่ี ดา้ นการสะกดคำ กอ่ น 106 84.81 13.253 ต่ำกว่า -7.193* 0.000 เกณฑ์เฉลยี่ หลัง 106 90.51 14.410 เกณฑ์เฉลย่ี ดา้ นความเข้าใจ ก่อน 106 87.22 12.179 ต่ำกวา่ -6.528* 0.000 ประโยค เกณฑ์เฉล่ีย หลงั 106 93.63 12.549 เกณฑ์เฉล่ยี ด้านการคำนวณ ก่อน 106 75.59 10.567 ตำ่ -7.565* 0.000 ทางคณิตศาสตร์ หลัง 106 84.25 13.234 ตำ่ กวา่ เกณฑเ์ ฉลย่ี * มีนยั สำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ 0.05 ส่วนกล่มุ เดก็ มภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ (n=25) พบวา่ ด้านการอ่านคำ ก่อนการการเขา้ รบั การฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลย่ี ของผลการประเมนิ ความบกพร่อง ทางการเรยี นรดู้ า้ นการอา่ นคำดว้ ยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 77.56 (SD. = 16.983) ซง่ึ อยู่ในระดับตำ่ แต่ หลงั จากเด็กเข้ารว่ มการฟน้ื ฟู พบว่า เดก็ มีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการ อ่านคำ ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 93.84 (SD. = 16.655) ซ่งึ อยู่ในระดบั เกณฑเ์ ฉล่ยี ด้านการสะกดคำ ก่อนการการเขา้ รบั การฟืน้ ฟเู ดก็ มีคะแนนเฉลยี่ ของผลการประเมินความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ดา้ น การสะกดคำด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 77.20 (SD. = 10.867) ซ่งึ อยใู่ นระดับตำ่ แตห่ ลงั จากเด็กเข้า รว่ มการฟื้นฟพู บวา่ เด็กมีคะแนนเฉลีย่ ของผลการประเมนิ ความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการสะกดคำ ดว้ ย แบบทดสอบ KBAST เท่ากบั 85.68 (SD. = 16.286) ซึ่งอยู่ในระดบั ต่ำกว่าเกณฑเ์ ฉลี่ย ดา้ นความเข้าใจประโยค 132

กอ่ นการการเขา้ รบั การฟื้นฟเู ดก็ มีคะแนนเฉลยี่ ของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรียนรดู้ า้ น ความเขา้ ใจประโยคด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 85.48 (SD. = 10.361) ซึง่ อยใู่ นระดับตำ่ กว่าเกณฑ์เฉล่ยี แตห่ ลังจากเด็กเข้าร่วมการฟ้ืนฟู พบว่า เด็กมีคะแนนเฉลีย่ ของผลการประเมนิ ความบกพร่องการเรียนรู้ ด้าน ความเข้าใจประโยค ดว้ ยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กับ 91.96 (SD. = 11.455) ซง่ึ อยใู่ นระดบั เกณฑเ์ ฉลีย่ ดา้ นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ก่อนการการเขา้ รบั การฟืน้ ฟเู ดก็ มีคะแนนเฉล่ียของผลการประเมินความบกพรอ่ งทางการเรยี นรูด้ ้าน ความเข้าใจประโยคดว้ ยแบบทดสอบ KBAST เท่ากบั 71.56 (SD. = 9.412) ซง่ึ อยู่ในระดบั ต่ำ แตห่ ลังจากเด็ก เขา้ รว่ มการฟน้ื ฟู พบว่า เดก็ มีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมนิ ความบกพร่องการเรียนรู้ ดา้ นความเข้าใจ ประโยค ดว้ ยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กับ 78.32 (SD. = 13.499) ซ่ึงอยใู่ นระดับตำ่ (ตารางท่ี 4.32) เมื่อเปรียบเทียบผลการฟื้นฟูความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้วยสถิตินอนพาราเมตรกิ ของวิลคอกซอน (The Wilcoxon Matched-pairs Signed rank test) ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม พบว่า คะแนน ความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ในเด็กกลุ่มมภี าวะบกพร่องทางการเรียนรูด้ ้านการอา่ นคำ ด้านการสะกดคำ ดา้ น ความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการฟื้นฟูภาวะบกพร่อง ทางสตปิ ญั ญา กระบวนการร้คู ิด และการเรียนรโู้ ดยครู แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิที่ระดับ 0.05 (ดัง แสดงในตารางที่ 4.33) ตารางท่ี 4.32 สถติ บิ รรยายผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ ด้านการอา่ นคำ ด้านการสะกดคำ ดา้ นความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบคดั กรองความบกพร่องทางการ เรียน (KBAST) ในเด็กกลุ่มมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ กอ่ นและหลังเข้ารับการฟ้ืนฟู (n=25) ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ การเข้ารว่ ม คะแนนเฉลีย่ SD. Min MAX โปรแกรม การฟ้ืนฟู ดา้ นการอ่านคำ กอ่ น 77.56 16.983 58 116 หลัง 93.84 16.655 59 117 ด้านการสะกดคำ ก่อน 77.20 10.867 66 109 หลงั 85.68 16.268 66 117 ด้านความเข้าใจประโยค กอ่ น 85.48 10.361 55 112 หลัง 91.96 11.455 76 118 ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ กอ่ น 71.56 9.412 55 94 หลัง 78.32 13.499 55 107 133

ตารางที่ 4.33 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการ อ่านคำ ดา้ นการสะกดคำ ด้านความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบคัดกรอง ความบกพร่องทางการเรยี น (KBAST) ในเดก็ กลมุ่ มภี าวะบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ กอ่ นและหลงั เข้ารับการฟ้ืนฟู (n=25) ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ การเขา้ รว่ มโปรแกรมการ จำนวน Wilcoxon p-value ฟ้ืนฟู test ด้านการอ่านคำ ก่อน 25 -3.930* 0.000 หลงั 25 ดา้ นการสะกดคำ กอ่ น 25 -3.661* 0.000 หลงั 25 ดา้ นความเขา้ ใจประโยค กอ่ น 25 -2.335* 0.020 หลัง 25 ด้านการคำนวณทาง ก่อน 25 -2.587* 0.010 คณิตศาสตร์ หลงั 25 * มีนยั สำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั 0.05 และกลุ่มเด็กท่ีมรี ะดับสตปิ ัญญาตำ่ กว่าเกณฑเ์ ฉล่ีย (n=81) ด้านการอ่านคำ กอ่ นการเข้าร่วมการฟ้นื ฟูเด็กมีคะแนนเฉลยี่ ของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการ อ่านคำดว้ ยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กับ 90.22 (SD. = 17.812) ซง่ึ อยู่ในระดับเกณฑเ์ ฉล่ยี แตห่ ลังจากเดก็ เข้า ร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการอ่านคำ ด้วย แบบทดสอบ KBAST เท่ากบั 100.56 (SD. = 13.473) ซึง่ อยใู่ นระดบั เกณฑ์คา่ เฉล่ยี เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบ ความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรยี นรู้ดา้ นการอ่านคำ ในเดก็ กลุ่มท่ีมีระดับสติปัญญา ต่ำกว่าเกณฑ์ ก่อนและหลังเข้ารับการฟื้นฟู พบว่า เด็กนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยด้านด้านการอ่านคำ หลังการ ฟนื้ ฟู สงู กว่า กอ่ นฟ้นื ฟอู ยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.05 ดา้ นการสะกดคำ กอ่ นการเขา้ รว่ มการฟ้ืนฟูเด็กมีคะแนนเฉล่ียของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการ สะกดคำด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 87.16 (SD. = 13.092) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่ หลังจากเด็กเข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการ สะกดคำ ด้วยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กับ 92.00 (SD. = 13.551) ซ่ึงอยู่ในระดบั เกณฑ์ค่าเฉลี่ย เมอื่ วิเคราะห์ เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการสะกดคำ ในเด็กกลุ่ม ที่มี ระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ ก่อนและหลังเข้ารับการฟื้นฟู พบว่า เด็กนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยด้านการสะกด คำ หลังการฟน้ื ฟู สูงกว่า ก่อนฟืน้ ฟูอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั 0.05 134

ดา้ นความเข้าใจประโยค ก่อนการเข้าร่วมการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้าน ความเข้าใจประโยคด้วยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กบั 87.75 (SD. = 12.698) ซ่งึ อยใู่ นระดับต่ำกวา่ เกณฑ์เฉล่ีย แต่หลังจากเด็กเข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้าน ความเข้าใจประโยค ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 94.15 (SD. = 12.891) ซึ่งอยู่ในระดับเกณฑ์ค่าเฉลี่ย เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านความเข้าใจ ประโยค ในเด็กกลุ่มที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ ก่อนและหลังเข้ารับการฟื้นฟู พบว่า เด็กนักเรียน มี คะแนนเฉลย่ี ด้านความเขา้ ใจประโยค หลังการฟื้นฟู สูงกว่า ก่อนฟ้ืนฟอู ย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดา้ นการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ กอ่ นการเข้าร่วมการฟ้นื ฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมนิ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการ คำนวณทางคณิตศาสตร์ด้วยแบบทดสอบ KBAST เท่ากับ 76.84 (SD. = 10.646) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ แต่ หลังจากเด็กเข้าร่วมการฟื้นฟูพบว่า เด็กมีคะแนนเฉลี่ยของผลการประเมินความบกพร่องการเรียนรู้ ด้านการ คำนวณทางคณิตศาสตร์ ดว้ ยแบบทดสอบ KBAST เทา่ กับ 86.09 (SD. = 12.681) ซง่ึ อยใู่ นระดบั เกณฑ์ต่ำกว่า ค่าเฉลี่ย เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการ คำนวณทางคณิตศาสตร์ ในเดก็ กลุ่มที่มีระดับสติปญั ญาตำ่ กว่าเกณฑ์ กอ่ นและหลงั เขา้ รบั การฟ้ืนฟู พบว่า เด็ก นกั เรยี น มีคะแนนเฉล่ียด้านการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ หลังการฟืน้ ฟู สงู กว่า ก่อนฟื้นฟูอย่างมีนัยสำคัญทาง สถติ ิท่ีระดบั 0.05 (ดงั แสดงในตารางท่ี 4.34) 135

ตารางที่ 4.34 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการ อ่านคำ ด้านการสะกดคำ ด้านความเขา้ ใจประโยค ดา้ นการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ ดว้ ยแบบทดสอบคัดกรอง ความบกพร่องทางการเรียน (KBAST) ในกลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ก่อนและหลังเข้ารับ การฟื้นฟู (n=81) ความบกพรอ่ ง การเข้าร่วม จำนวน คะแนน SD. ระดับ t p-value ทางการเรียนรู้ โปรแกรมการ เฉลยี่ ฟืน้ ฟู ดา้ นการอ่านคำ กอ่ น 81 90.22 17.812 เกณฑ์คา่ เฉลย่ี -6.026* 0.000 หลงั 81 100.56 13.473 เกณฑ์ค่าเฉลีย่ ดา้ นการสะกดคำ ก่อน 81 87.16 13.092 ต่ำกวา่ เกณฑ์ -5.741* 0.000 เฉลี่ย หลงั 81 92.00 13.551 เกณฑเ์ ฉลย่ี ดา้ นความเข้าใจ กอ่ น 81 87.75 12.698 ต่ำกวา่ เกณฑ์ -5.991* 0.000 ประโยค เฉลย่ี หลัง 81 94.15 12.891 เกณฑเ์ ฉลี่ย ดา้ นการคำนวณ กอ่ น 81 76.84 10.646 ตำ่ -7.279* 0.000 ทางคณิตศาสตร์ หลัง 81 86.09 12.681 ตำ่ กวา่ เกณฑ์ คา่ เฉล่ีย * มนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ 0.05 4.5.3 ผลการประเมินสตปิ ัญญา กระบวนการร้คู ดิ และการเรยี นร้ขู องเด็กด้วยเคร่ืองมอื TEC จากเด็กนักเรียนทั้ง 6 โรงเรียน หลังจากการประเมินระดับสติปัญญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 และ ทดสอบความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้วยแบบคัดกรอง KBAST พบว่า มีเดก็ จำนวน 114 คนจัดเป็นเด็กกลุ่มมี ปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ซึ่งทางคณะวิจัยได้สุ่มคัดเลือกกลุ่มเด็ก กลุ่มนี้จำนวน 80 คน เพื่อทำการวัดประเมินสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของตัวเด็กด้วย เครื่องมือ TEC ทั้งนี้นักเรียนที่ได้ได้เข้าร่วมกิจกรรมการประเมินสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ของเดก็ ด้วยเครือ่ งมอื TEC ครบถว้ นกอ่ นและหลัง มจี ำนวน 32 คน ผลการประเมินพบวา่ ด้าน Sustained Accuracy พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กนักเรียนมีทักษะด้าน Sustained Accuracy อยู่ในระดับ Typical ร้อยละ 87.8 ในขณะทห่ี ลังการเข้ารว่ มกิจกรรมการฟ้ืนฟู พบว่า เด็กนักเรียน มที กั ษะดา้ น Sustained Accuracy อยใู่ นระดบั Typical ร้อยละ 94.3 136

ด้าน Selective Attention พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กนักเรียนมีทักษะด้าน Selective Attention อยู่ในระดับ Typical ร้อยละ 93.9 ในขณะที่หลังการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู พบว่า เดก็ นักเรยี นมที ักษะด้าน Selective Attention อย่ใู นระดบั Typical ร้อยละ 94.3 ด้าน Response speed พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กนักเรียนมีทักษะด้าน Response speed อยู่ในระดับ Typical รอ้ ยละ 89.8 ในขณะทีห่ ลงั การเข้าร่วมกิจกรรมการฟนื้ ฟู พบวา่ เด็ก นกั เรยี นมีทกั ษะดา้ น Response speed อยู่ในระดับ Typical ร้อยละ 94.3 ดงั แสดงในตารางที่ 4.35 ตารางท่ี 4.35 จำนวนและรอ้ ยละของผลการประเมนิ สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็กด้วย เครือ่ งมือ TEC (n=80) หวั ขอ้ การประเมนิ โปรแกรม Typical รอ้ ยละ Non-Typical Sustained Accuracy จำนวน/จำนวนรวม 87.8 จำนวน/จำนวนรวม รอ้ ยละ Selective Attention ก่อน 94.3 Response speed หลงั 43/49 93.9 6/49 12.2 กอ่ น 50/53 94.3 3/53 5.7 หลงั 46/49 89.8 3/49 6.1 กอ่ น 50/53 94.3 3/53 5.7 หลงั 44/49 5/49 10.2 50/53 3/53 5.7 ตารางที่ 4.36 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมินสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการ เรยี นร้ขู องเด็กด้วยเครือ่ งมือ TEC กอ่ น-หลัง (n=32) หวั ข้อการประเมิน การเขา้ ร่วม จำนวน T-score SD. ระดับ t p-value โปรแกรม เฉลีย่ การฟืน้ ฟู Sustained ก่อน 32 46.31 11.985 Typical 2.271* 0.030 Accuracy หลงั 32 42.56 7.708 Typical Selective ก่อน 32 48.72 7.489 Typical 3.177* 0.003 Attention หลัง 32 44.90 9.152 Typical Response speed ก่อน 32 47.66 12.012 Typical 2.265* 0.031 หลงั 32 44.65 7.507 Typical * มนี ัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั 0.05 , T-Score=40-60 หมายถงึ Typical คะแนน T-score ยิง่ น้อยยงิ่ ดี 137

จากตารางที่ 4.36 เพื่อเป็นการยืนยันประสิทธิผลของการส่งเสริมสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และ การเรียนรู้ของเด็กด้วยกิจกรรมการฟื้นฟู คณะวิจัยจึงได้เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการประเมิน สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของตัวเด็กด้วยเครื่องมือ TEC ก่อน-หลัง พบว่า เด็กนักเรียน มี คะแนนเฉลี่ยด้าน Sustained Accuracy Selective Attention และด้าน Response speed หลังการฟื้นฟู นอ้ ยกวา่ ก่อนฟนื้ ฟูอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ 0.05 4.5.4 ผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor หลงั เข้ารว่ มกจิ กรรมการฟืน้ ฟู จากเด็กนักเรียนทง้ั 6 โรงเรียน หลังจากการประเมินระดับสตปิ ญั ญาด้วยแบบทดสอบ TONI-4 และ ทดสอบความบกพร่องทางการเรยี นรดู้ ้วยแบบคัดกรอง KBAST พบวา่ มเี ด็กจำนวน 114 คนจดั เปน็ เด็กกลุ่มมี ปญั หาความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรูค้ ิด และการเรียนรู้ และไดร้ ับการส่งเสริม ฟ้ืนฟภู าวะ บกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้โดยครู ทงั้ น้ีนกั เรยี นทไ่ี ด้เขา้ รับการฟ้นื ฟูครบถว้ น ตลอดการวิจยั มจี ำนวนทงั้ ส้นิ 106 คน ท้ังน้ีมเี ดก็ นักเรียนที่มีผลการทดสอบกระบวนการรับรทู้ างสายตา เพื่อ ใชว้ ัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมอื ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ท่ีครบถว้ นสมบูรณ์ จำนวน 103 คน ซ่ึงมีผลการทดสอบกระบวนการรับรูท้ างสายตา เพื่อใชว้ ัดการทำงานทปี่ ระสานกันระหว่างตาและมอื ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวมหลงั เข้ารบั การฟ้นื ฟู ดงั ต่อไปนี้ หลงั การฟื้นฟู กลมุ่ เด็กมีปัญหาความบกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรคู้ ิด และการเรียนรู้ จำนวน 103 คน มผี ลการทดสอบกระบวนการรบั รู้ทางสายตาอยู่ในระดบั ผา่ นเกณฑ์ รอ้ ยละ 51.5 ในขณะท่เี ด็กกลมุ่ เด็กที่มภี าวะบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ จำนวน 24 คน มผี ลการทดสอบกระบวนการ รับรู้ทางสายตาอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 58.3 และในกลุ่มเดก็ ที่มสี ตปิ ญั ญาต่ำ จำนวน 79 คน มีผลการทดสอบกระบวนการรบั รูท้ างสายตาอย่ใู น ระดับผา่ นเกณฑ์เกณฑ์ ร้อยละ 49.4 (ดงั แสดงในตารางท่ี 4.37) และเม่ือเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของกระบวนการรบั รูท้ างสายตา เพ่อื ใชว้ ัดการทำงานท่ี ประสานกนั ระหวา่ งตาและมือ ดว้ ยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวม พบว่า ก่อน-หลงั เด็กนกั เรยี นใน ทกุ กลุม่ (กลุ่มท่ีมภี าวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ กลุม่ ทมี่ สี ติปญั ญาตำ่ และภาพรวม) มีคะแนนเฉล่ยี ของ กระบวนการรบั รู้ทางสายตา ไม่แตกตา่ งกนั (ตารางที่ 4.38-4.40) 138

ตารางที่ 4.37 ผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและ มือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในภาพรวม หลังเข้ารับการฟื้นฟู จำแนกตามเด็กกลุ่มมีปัญหาความ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ (n=103) กลุ่มเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (n=24) และกลุม่ เดก็ ทม่ี ีสติปัญญาต่ำ (n=79) กลมุ่ เดก็ ทดสอบ ระดับ ชว่ งคะแนน จำนวน ร้อยละ รวม กระบวนการ n (%) รับรทู้ าง สายตา ผ่านเกณฑ์ สูงมาก ต้ังแต่ 130 ข้ึนไป 0 0.0 14 เดก็ กลุ่มมีปัญหา สงู 120-129 0 0.0 (58.30) ภาวะบกพร่องทางการ สูงกว่าค่าเฉลย่ี 110-119 0 0.0 90-109 14 58.30 เรยี นรู้ ค่าเฉลีย่ 80-89 8 33.30 10 (n=24) ตำ่ กว่าเกณฑ์ ต่ำกวา่ ค่าเฉล่ีย ตำ่ 70-79 1 4.20 (41.70) ต่ำมาก ตำ่ กวา่ 70 1 4.20 ผ่านเกณฑ์ สงู มาก ตั้งแต่ 130 ขน้ึ ไป 0 0.0 39 เดก็ ที่มีระดับสติ สงู 120-129 0 0.0 (49.4) ปัญญาต่ำกวา่ สงู กวา่ คา่ เฉลย่ี 110-119 1 1.2 เกณฑเ์ ฉลย่ี ค่าเฉล่ยี 90-109 38 48.1 (n=79) 18 22.8 40 ตำ่ ตำ่ กว่าคา่ เฉลย่ี 80-89 กว่าเกณฑ์ ตำ่ 70-79 12 15.2 (50.6) ต่ำมาก ต่ำกวา่ 70 10 12.7 ภาพรวม ผา่ นเกณฑ์ สูงมาก ตั้งแต่ 130 ข้ึนไป 0 0.0 53 (n=103) สูง 120-129 0 0.0 (51.5) สงู กว่าคา่ เฉลี่ย 110-119 1 1.0 ค่าเฉล่ยี 90-109 52 50.5 ต่ำกวา่ เกณฑ์ ต่ำกว่าคา่ เฉลี่ย 80-89 26 25.2 50 ตำ่ 70-79 13 12.6 (48.5) ต่ำมาก ต่ำกว่า 70 11 10.7 139

ตารางท่ี 4.38 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของผลการทดสอบกระบวนการรับร้ทู างสายตา เพอ่ื ใช้วดั การ ทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในเด็กกลุ่มมีปัญหาความบกพร่อง ทางสติปัญญา กระบวนการรูค้ ดิ และการเรยี นรู้ กอ่ นและหลังเขา้ รบั การฟนื้ ฟู (n=103) การเข้ารว่ ม จำนวน คะแนนเฉล่ีย SD. ระดบั t p-value โปรแกรมการ ฟน้ื ฟู กอ่ น 103 87.49 13.655 ต่ำกวา่ ค่าเฉลี่ย 0.300 0.765 หลงั 103 87.00 12.589 ตำ่ กว่าคา่ เฉลยี่ * มนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ 0.05 ตารางที่ 4.39 ผลการเปรียบเทียบความแตกตา่ งขอผลการทดสอบกระบวนการรับรู้ทางสายตา เพื่อใช้วัดการ ทำงานที่ประสานกันระหว่างตาและมือ ด้วยแบบทดสอบ Visual-Motor ในกลุ่มเด็กมีภาวะบกพร่องทางการ เรียนรู้ ก่อนและหลงั เขา้ รับการฟน้ื ฟู (n=24) การเขา้ รว่ มโปรแกรม จำนวน Wilcoxon test p-value การฟืน้ ฟู ก่อน 24 -0.686 0.493 หลัง 24 * มีนัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั 0.05 ตารางท่ี 4.40 ผลการเปรียบเทียบความแตกตา่ งของผลการทดสอบกระบวนการรบั รู้ทางสายตา เพ่อื ใชว้ ัดการ ทำงานท่ปี ระสานกันระหว่างตาและมอื ดว้ ยแบบทดสอบ Visual-Motor ในกลุ่มเด็กท่มี ีระดบั สติปญั ญาต่ำกว่า เกณฑ์เฉล่ีย ก่อนและหลงั เขา้ รับการฟนื้ ฟู (n=79) การเข้าร่วม จำนวน คะแนนเฉล่ยี SD. ระดับ t p-value โปรแกรมการ ฟื้นฟู ก่อน 79 86.39 14.581 ตำ่ กวา่ ค่าเฉลย่ี 0.000 1.000 หลัง 79 86.39 13.505 ต่ำกวา่ คา่ เฉล่ีย * มนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.05 140

4.6 ผลการศึกษาระดับความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ ก่อน- หลังการเขา้ ร่วมกจิ กรรมส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันส่ิงแวดล้อมในเดก็ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4-6 กลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมประเมินระดับความรู้เด็กในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ มีจำนวน 218 คนจากทั้งสิ้น 232 คน โดยเมื่อเปรียบเทียบอาชีพที่ผ่านมาและในปัจจุบันของ ผู้ปกครอง พบว่า ในอดตี ทผี่ ่านมาผ้ปู กครองส่วนใหญ่ทำอาชีพรับจ้างทวั่ ไป รอ้ ยละ 41.50 รองลงมา คือ อาชีพ เกษตรกร รอ้ ยละ 21.90 และ พนกั งานอตุ สาหกรรมเหมอื งแร่ ร้อยละ 13.40 ส่วนในปจั จุบนั พบวา่ ผูป้ กครอง สว่ นใหญ่ทำอาชีพรบั จ้างท่วั ไป ร้อยละ 45.30 รองลงมา คอื อาชพี เกษตรกร ร้อยละ 19.40 และ คา้ ขาย ร้อย ละ 12.60 4.6.1 ระดับความรใู้ นการป้องกันตอนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานสี และไซยาไนด์ ตารางที่ 4.41 จำนวนและร้อยละของความรู้เด็กในการป้องกนั ตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานสี และ ไซยาไนด์ กอ่ น และหลงั เข้าร่วมกจิ กรรมส่งเสริมทักษะการร้เู ทา่ ทนั ส่ิงแวดลอ้ มในเด็กประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ขอ้ คำถาม ก่อน (n=218) หลัง (n=215) ตอบผดิ ตอบถูก ตอบผดิ ตอบถูก 1. สารพษิ สามารถเข้าสู่ทางร่างกายได้ทาง 98 120 30 185 ช่องทางใดบ้าง (45.0) (55.0) (14.0) (86.0) 2. ข้อใดต่อไปน้ีเปน็ การป้องกันสารพษิ เขา้ สู่ 142 76 114 101 รา่ งกายทางการหายใจ (61.2) (32.8) (47.0) (47.0) 3. ข้อใดต่อไปนี้เปน็ การป้องกันสารพษิ เข้าสู่ 128 90 78 137 ร่างกายทางการสมั ผสั ผวิ หนงั (58.7) (41.3) (36.3) (59.1) 4. สารพษิ สามารถปะปนมากับสิง่ ใดต่อไปน้ี 77 141 35 180 (35.3) (60.8) (16.3) (83.7) 5. ข้อใดต่อไปนี้ มสี ่วนประกอบของแมงกานสี 130 88 118 98 (59.6) (40.4) (54.6) (45.4) 6. ข้อใดต่อไปนเ้ี ปน็ การป้องกันสารพิษเข้าสู่ 131 87 85 128 รา่ งกายทางปาก (60.1) (39.9) (39.5) (59.5) 7. “เม่อื มีสารพษิ ปนเปื้อนในแหลง่ น้ำ สารพษิ 133 85 90 125 สามารถสะสมในรา่ งกายไดเ้ มื่อคนรับประทาน (61.0) (39.0) (41.9) (58.1) ปลาท่อี ยใู่ นแหลง่ น้ำ” จากข้อความดังกลา่ วถือ เปน็ ผลกระทบในข้อใด 141

8. เหตกุ ารณใ์ ดต่อไปนี้ เปน็ การได้รบั สารพิษจาก 82 136 83 132 (35.8) (61.4) แหลง่ น้ำ (37.6) (62.4) 170 45 (79.1) (20.9) 9. ข้อใดต่อไปนี้ถกู ต้อง 82 136 29 186 (13.5) (86.5) (37.6) (62.4) 10. หลังกลบั จากโรงเรียน เราควรปฏิบัตติ ามข้อ 39 179 ใด (17.9) (82.1) ตารางที่ 4.42 จำนวนและร้อยละระดบั ความรเู้ ด็กในการป้องกนั ตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานสี และ ไซยาไนด์ จากคะแนนเต็ม 10 ระดับความรเู้ ด็กในการปอ้ งกันตนเองจาก กอ่ น หลงั สารอารเ์ ซนกิ แมงกานีส และไซยาไนด์ จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ระดับนอ้ ย (0-5 คะแนน) 140 64.2 76 35.3 ระดับปานกลาง (6-7 คะแนน) 64 29.4 90 41.9 ระดับมาก (8-10 คะแนน) 14 6.4 49 22.8 รวม 218 100.0 215 100.0 จากตารางท่ี 4.42 ก่อนการเข้ารว่ มกจิ กรรมส่งเสรมิ ทกั ษะการรู้เท่าทันสงิ่ แวดล้อมในเด็กประถมศึกษา ปที ่ี 4-6 เมื่อทำการทดสอบระดับความรเู้ ด็กในการป้องกนั ตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ พบว่า กล่มุ ตัวอย่างเด็กนักเรียนสว่ นใหญร่ ้อยละ 64.2 มีระดบั ความรู้ในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดับน้อย รองลงมา คอื มีระดบั ความรู้ในการป้องกนั ตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 29.4 และมรี ะดับความรู้ในการป้องกันตนเองจากสาร อารเ์ ซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดบั มาก ร้อยละ 6.4 ตามลำดบั ในทางกลับกันหลงั การเข้ารว่ มกิจกรรมสง่ เสริมทกั ษะการรู้เทา่ ทนั สงิ่ แวดลอ้ มพบว่า กลุ่มตัวอยา่ งเดก็ นกั เรียนสว่ นใหญ่รอ้ ยละ 41.9 มรี ะดับความรูใ้ นการปอ้ งกันตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดบั ปานกลาง รองลงมา คอื มีระดับความรใู้ นการปอ้ งกนั ตนเองจากสารอาร์เซนกิ แมงกานีส และ ไซยาไนด์ อยู่ในระดบั น้อย รอ้ ยละ 35.5 และมีระดบั ความรู้ในการป้องกันตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานสี และไซยาไนด์ อยใู่ นระดับมาก รอ้ ยละ 22.8 ตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความรูเ้ ด็กในการป้องกันตนเองจากสารอารเ์ ซนิก แมงกานีส และ ไซยาไนด์ ก่อน-หลัง การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสิ่งแวดล้อมในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ทั้งนี้มีนักเรียนข้อมูลที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ จำนวน 203 คน พบว่า ก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมการรู้เท่าทัน เด็กมีคะแนนความรู้ เท่ากับ 4.72 (SD. = 1.866) ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ แต่หลังจากเด็กเข้าร่วมกิจกรรมการรู้เท่า 142

ทัน พบว่า เด็กมีคะแนนความรู้ เท่ากับ 6.12 (SD. = 1.691) ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อวิเคราะห์ เปรียบเทยี บความแตกต่างของคะแนน พบวา่ เดก็ นักเรยี น มีคะแนนความรู้ หลังการเขา้ ร่วมกิจกรรมการรู้เท่า ทนั สงู กวา่ ก่อนเขา้ รว่ มอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.05 (ดงั แสดงในตารางที่ 4.43) ตารางท่ี 4.43 ผลการเปรยี บเทียบความแตกต่างของคะแนนความรู้เด็กในการป้องกนั ตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ ก่อน-หลัง การเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสิ่งแวดล้อมในเด็ก ประถมศึกษาปีที่ 4-6 (n=203) การเข้ารว่ ม จำนวน คะแนนเฉลีย่ SD. ระดับ t p-value โปรแกรมการ ฟนื้ ฟู กอ่ น 203 4.72 1.866 ระดบั น้อย -10.530* 0.000 หลัง 203 6.12 1.691 ระดบั ปาน กลาง * มีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ 0.05 4.6.2 ทศั นคติเกี่ยวกับการป้องกนั ตนเองจากสารพิษของเดก็ ก่อน-หลังเข้ารว่ มกิจกรรมส่งเสริมการร้เู ทา่ ทันสง่ิ แวดล้อม ในขณะที่ผลการศกึ ษาทัศนคตเิ กีย่ วกบั การป้องกนั ตนเองจากสารพิษของเด็ก พบว่า ก่อนท่ีเดก็ นกั เรยี นกลุ่ม ตัวอยา่ งจะเข้ารว่ มกิจกรรมสง่ เสริมทักษะการรเู้ ท่าทนั ส่ิงแวดล้อมในเด็กประถมศึกษาปที ี่ 4-6 เดก็ นักเรียนมี คา่ เฉล่ียคะแนนทัศนคตเิ กีย่ วกบั การป้องกันตนเองจากสารพษิ ทุกรายข้อ อยู่ในระดับไม่แนใ่ จ แตห่ ลังจากการเขา้ ร่วมกจิ กรรมสง่ เสริมทักษะการรูเ้ ท่าทันส่งิ แวดล้อม พบว่า เด็กนักเรียนมที ัศนคตเิ ก่ียวการ ป้องกนั ตนเองจากสารพิษท่เี ปลีย่ นแปลงไป จากระดับไมแ่ น่ใจ มาเปน็ ระดับ เห็นดว้ ย ได้แก่ เดก็ ๆ คดิ วา่ “เสือ้ ผา้ ของพ่อแมผ่ ู้ปกครองท่ที ำงานในแหลง่ อุตสาหกรรม ไมค่ วรซักรวมกับเส้อื ผ้าอื่น” เด็ก ๆ คดิ วา่ “ควรสวมใสห่ น้ากากอนามัยก่อนออกไปสูพ่ ้ืนทีโ่ ลง่ แจง้ หรอื นอกอาคาร เม่ืออยู่อาศยั ใกล้กับ แหลง่ อตุ สาหกรรม เด็ก ๆ คดิ วา่ “ควรจะบอกผูใ้ หญ่ หรอื คนในชมุ ชน หากพบแหล่งนำ้ ในชมุ ชนมีสแี ละกลน่ิ ทผี่ ดิ ปกต”ิ เด็ก ๆ คดิ ว่า “สนามเด็กเลน่ ท้ังทีบ่ า้ นและโรงเรยี นก็พบสารพิษได”้ เด็ก ๆ คดิ วา่ “ผักและผลไม้ท่ีปลูกในบริเวณแหลง่ อุตสาหกรรมนนั้ จะมสี ารพิษปนเปื้อนได้” รายละเอยี ดดังแสดงในตารางท่ี 4.44 143

ตารางที่ 4.44 คา่ เฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของทัศนคติเกยี่ วกับการป้องกนั ตนเองจากสารพิษ ข้อ ขอ้ ความ กอ่ น หลัง ท่ี ค่าเฉล่ีย ส่วน ระดบั คา่ เฉลี่ย สว่ น ระดับ เบย่ี งเบน เบ่ยี งเบน มาตรฐาน มาตรฐาน 1 เด็ก ๆ คดิ ว่า “สารพิษเปน็ 2.02 0.747 ไม่แน่ใจ 2.06 0.816 ไมแ่ นใ่ จ สารท่ไี ด้รบั เป็นประจำ รา่ งกายเกิดความเคยชนิ จงึ ไม่มผี ลกระทบต่อสขุ ภาพ” 2 เดก็ ๆ คดิ วา่ “คนท่รี า่ งกาย 1.93 0.824 ไม่แน่ใจ 1.86 0.809 ไมแ่ น่ใจ อ่อนแอเท่านนั้ ที่ได้รบั อนั ตรายจากสารพิษ” 3 เดก็ ๆ คิดวา่ “เส้ือผ้าของพ่อ 2.23 0.854 ไม่แน่ใจ 2.65 0.653 เห็นดว้ ย แม่ผปู้ กครองท่ีทำงานใน แหล่งอุตสาหกรรม ไม่ควรซกั รวมกับเสื้อผ้าอ่ืน” 4 เดก็ ๆ คดิ วา่ “ควรสวมใส่ 2.16 0.893 ไม่แนใ่ จ 2.75 0.510 เหน็ ด้วย หนา้ กากอนามัยก่อนออก ไปสพู่ นื้ ทีโ่ ลง่ แจ้ง หรือนอก อาคาร เม่ืออยอู่ าศัยใกลก้ บั แหลง่ อตุ สาหกรรม” 5 เดก็ ๆ คิดวา่ “คนท่มี รี า่ งกาย 1.84 0.796 ไม่แน่ใจ 1.70 0.804 ไม่แน่ใจ แข็งแรง เม่ือสมั ผสั กบั สารพิษ กจ็ ะไม่เป็นอนั ตรายได้” 6 เดก็ ๆ คดิ วา่ “ควรจะบอก 2.21 0.888 ไมแ่ นใ่ จ 2.69 0.530 เห็นด้วย ผูใ้ หญ่ หรือคนในชมุ ชน หาก พบแหลง่ น้ำในชมุ ชนมีสแี ละ กลิน่ ที่ผดิ ปกติ” หมายเหตุ ค่าเฉลีย่ 1.00 – 1.67 ไมเ่ หน็ ด้วย ,คา่ เฉลี่ย 1.68 – 2.35 ไม่แนใ่ จ, ค่าเฉลย่ี 2.36 – 3.00 เห็นดว้ ย 144

ตารางที่ 4.44 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของทัศนคตเิ กี่ยวกับการป้องกนั ตนเองจากสารพิษ (ตอ่ ) ข้อ ข้อความ กอ่ น หลงั ท่ี คา่ เฉลยี่ ส่วน ระดับ ค่าเฉล่ีย สว่ น ระดบั เบ่ยี งเบน เบ่ยี งเบน มาตรฐาน มาตรฐาน 7 เด็ก ๆ คิดวา่ “สนามเด็กเล่น 2.20 0.777 ไมแ่ น่ใจ 2.69 0.539 เหน็ ทง้ั ท่บี ้านและโรงเรยี นก็พบ ด้วย สารพษิ ได้” 8 เดก็ ๆ คิดวา่ “ผกั และผลไม้ 2.15 0.849 ไมแ่ น่ใจ 2.64 0.577 เห็น ทีป่ ลกู ในบริเวณแหล่ง ดว้ ย อตุ สาหกรรมน้ันจะมสี ารพิษ ปนเปือ้ นได้” หมายเหตุ คา่ เฉลี่ย 1.00 – 1.67 ไม่เหน็ ดว้ ย ,คา่ เฉล่ีย 1.68 – 2.35 ไม่แนใ่ จ, คา่ เฉล่ยี 2.36 – 3.00 เห็นด้วย 4.6.3 พฤติกรรมเกี่ยวกบั การป้องกนั ตนเองจากสารพิษของเดก็ กอ่ น-หลังเข้าร่วมกิจกรรมสง่ เสริมการรู้เทา่ ทันสง่ิ แวดล้อม ผลการศึกษาระดับการปฏบิ ตั ติ นเกี่ยวกับการป้องกนั ตนเองจากสารพิษ พบว่า ก่อนทเ่ี ด็กนกั เรียนกลุ่ม ตัวอย่างจะเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสิ่งแวดล้อมในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 เด็กนักเรียนมี ค่าเฉลีย่ คะแนนการปฏิบัติตนเกย่ี วกับการป้องกันตนเองจากสารพิษเกือบทุกข้ออยู่ในระดับปฏิบัติมาก ยกเว้น ข้อ เมื่อต้องไปอยู่ในบริเวณแหล่งอุตสาหกรรมหรือ บริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ เด็ก ๆ จะสวมใส่หน้ากาก อนามัย เด็ก ๆ แยกซักเสื้อผ้าจากพ่อแม่ เด็ก ๆ หาความรู้ด้านการดูแลสุขภาพและการป้องกันตนเองจาก สารพิษ อย่ใู นระดับปฏิบัติปานกลาง ส่วนหลังการเข้าร่วมกิจกรรม เกือบทุกข้อ อยู่ในระดับปฏิบัติมาก ยกเว้น ข้อเมื่อต้องไปอยู่ในบริเวณ แหลง่ อตุ สาหกรรมหรือบรเิ วณท่ีมีมลพิษทางอากาศ เด็ก ๆ จะสวมใสห่ น้ากากอนามัย , เดก็ ๆ แยกซักเส้ือผ้า จากพ่อแม่ และ เด็ก ๆ หาความรู้ด้านการดูแลสุขภาพและการป้องกันตนเองจากสารพิษ อยู่ในระดับปฏิบัติ ปานกลาง (ดงั แสดงในตารางท่ี 4.45) 145

ตารางท่ี 4.45 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับการปฏิบตั ติ นเกยี่ วกบั การปอ้ งกนั ตนเองจาก สารพิษ ขอ้ ข้อความ ก่อน หลงั ที่ คา่ เฉลย่ี ส่วน ระดับ ค่าเฉล่ยี สว่ น ระดบั เบย่ี งเบน เบ่ยี งเบน มาตรฐาน มาตรฐาน 1 เดก็ ๆ ลา้ งมือทกุ คร้ัง ก่อน 2.41 0.577 ปฏิบัตมิ าก 2.50 0.563 ปฏิบตั ิ หยบิ จบั อาหาร เข้าปาก มาก 2 เด็ก ๆ สวมรองเท้าทุกคร้งั เม่ือ 2.83 0.400 ปฏิบัตมิ าก 2.79 0.459 ปฏิบตั ิ ออกจากบ้าน มาก 3 เมอื่ มีอาการแสบคอ ผวิ หนัง 2.50 0.658 ปฏิบัติมาก 2.47 0.683 ปฏิบตั ิ เปน็ ผดผน่ื เดก็ ๆ จะแจง้ มาก ผูป้ กครองใหพ้ าไปพบหมอ หรือเจา้ หนา้ ท่สี าธารณสุข 4 เม่อื ต้องไปอยู่ในบริเวณแหลง่ 2.24 0.747 ปฏบิ ัติปาน 2.32 0.666 ปฏิบตั ิ อุตสาหกรรมหรือ บรเิ วณทมี่ ี กลาง ปาน มลพษิ ทางอากาศ เดก็ ๆ จะ กลาง สวมใสห่ นา้ กากอนามยั 5 เด็ก ๆ เลือกด่ืมนำ้ ที่มาจาก 2.53 0.584 ปฏิบัติมาก 2.60 0.587 ปฏบิ ัติ ขวดปดิ สนทิ หรอื นำ้ กรอง มาก 6 เดก็ ๆ อาบนำ้ ทกุ ครั้งเม่ือ 2.52 0.622 ปฏิบัตมิ าก 2.47 0.647 ปฏบิ ัติ กลับมาจากโรงเรยี น มาก 7 เดก็ ๆ แยกซักเสือ้ ผ้าจากพ่อ 2.25 0.786 ปฏบิ ตั ปิ าน 2.22 0.805 ปฏบิ ตั ิ แม่ กลาง ปาน กลาง 8 เด็ก ๆ ทานผกั ผลไมท้ ลี่ ้างทำ 2.57 0.581 ปฏิบัติมาก 2.64 0.535 ปฏิบตั ิ ความสะอาดก่อนปอกเปลือก มาก ออกก่อนทุกครั้ง หมายเหตุ ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.67 ปฏิบัติน้อย ,ค่าเฉลี่ย 1.68 – 2.35 ปฏิบัติปานกลาง, ค่าเฉลี่ย 2.36 – 3.00 ปฏบิ ัตมิ าก 146