ตารางท่ี 4.45 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของระดับการปฏิบัตติ นเกีย่ วกบั การป้องกนั ตนเองจาก สารพิษ (ต่อ) ข้อ ข้อความ กอ่ น หลงั ที่ คา่ เฉลี่ย ส่วน ระดบั ค่าเฉลีย่ สว่ น ระดบั เบ่ยี งเบน เบีย่ งเบน มาตรฐาน มาตรฐาน 9 เดก็ ๆ หาความรู้ด้านการดแู ล 2.24 0.700 ปฏบิ ัตปิ าน 2.24 0.599 ปฏิบตั ิ สุขภาพและการป้องกันตนเอง กลาง ปาน จากสารพษิ กลาง 10 หลังจากกลบั จากการทำ 2.57 0.604 ปฏิบตั มิ าก 2.53 0.602 ปฏิบัติ กิจกรรม อาทเิ ช่น เลน่ ฟุตบอล มาก ในสนาม วิง่ เล่นกับเพ่ือน ๆ เดก็ ๆ อาบนำ้ ทำความสะอาด รา่ งกายทุกครง้ั กอ่ น รับประทานอาหาร หมายเหตุ ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.67 ปฏิบัตินอ้ ย ,ค่าเฉลี่ย 1.68 – 2.35 ปฏิบัติปานกลาง, ค่าเฉลี่ย 2.36 – 3.00 ปฏิบัติมาก 147
บทท่ี 5 อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย 5.1 การติดตามสถานการณ์ และการฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ของเด็ก และความตระหนักรู้ การรู้เท่าทันสารพิษ และกิจกรรมส่งเสริมการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซ นกิ แมงกานสี และไซยาไนด์ ในเดก็ โครงการวิจัยนแ้ี บ่งออกเปน็ 3 ระยะ ซึง่ ระยะแรก คอื การประเมินผลเดก็ ก่อนสง่ เสริม (Pre-test) ใน 4 ด้าน คือ 1.ดัชนีชี้วัดทางสุขภาพ ชีวภาพ เช่น น้ำหนักส่วนสูง ปริมาณสารโลหะหนัก (Biomarker) 2. พฤติกรรมของเด็กและครอบครัว (Behaviour) 3.สติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็ก (Cognitive and Learning) และ 4.การดูแลตนเองด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม (Health Literacy) จากการประเมินเด็กในระยะท่ื 1 ทำให้ทราบปัญหาและเป้าหมายที่ชัดในการฟื้นฟูและส่งเสริมเด็กซึ่งเป็นเป้าหมายหลักสำคัญที่สุดของ โครงการนี้ นำมาสู่ระยะที่ 2 คือ การฟื้นฟู ส่งเสริมเรียนรู้ และการดูแลตนเองด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในเด็ก โดยการมีส่วนร่วมของโรงเรียนและครูในพื้นที่ เริ่มโดยการลงพื้นที่จัดอบรมติดปีกความรู้ให้กับครูทั้ง 6 โรงเรียน เริ่มจากการปรับทัศนคติให้ครูรับรู้ เข้าใจความบกพร่องของเด็ก เข้าถึงจิตใจเด็ก และตระห นักถึง บทบาทของตนเองในการสังเกต ประเมิน ความรู้ต่างๆ แล้วนำความรู้ที่ได้รับดังกล่าวไปส่งเสริมเด็กเริ่มตั้งแต่ การกับเด็กสื่อสารอย่างเข้าใจ เทคนิคกระบวนการสอน การร่วมกับเด็กในการจัดทำสื่อ พัฒนาเด็กการเรียนรู้ เด็กในห้องเรียนปกติทั้งแบบกลุ่มและรายบุคคล ทั้งทักษะการสะกด อ่าน และเข้าใจภาษาไทย และ คณิตศาสตร์การคิดคำนวน ในระยะที่ 3 การประเมินหลังการส่งเสริม พบว่าเด็กมีคะแนนสติปัญญา และการ ทักษะเรยี นรู้ทั้ง 4 ด้าน คือ การอ่านคำ การสะกดคำ ความเข้าใจประโยค การคำนวณทางคณติ ศาสตร์ เพ่ิมข้ึน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งเกิดจากการที่ครูตระหนักและรับรู้ข้อมูลความบกพร่องและ ดำเนินฟื้นฟูและส่งเสริมทักษะเด็กทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล ผลการประเมินทำให้ครูและโรงเรียนเห็นว่าเด็ก สามารถพฒั นาฟืน้ ฟไู ด้และเพ่ือให้ตอ่ เนื่องและยงั่ ยืน โรงเรียนควรดำเนนิ การส่งเสริมตอ่ เนอ่ื งรว่ มกับครอบครัว ผลตรวจสุขภาพระดับสารโลหะหนักพบที่สำคัญพบว่าหลังจากการตรวจประเมินระดับสารหนูในเดก็ รอบแรกโดยคณะแพทยศาสตร์ รพ. รามาธิบดี ในปี 2559 และมกี ารยุตกิ ารดำเนนิ กิจการเหมืองทอง ตอ่ มาใน ปี 2562 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินการประเมินระดับ สารหนูในเด็กป.4-ป.6 ไอคิว และความบกพร่องทางการเรียนรู้อีกครั้งในบริเวณพื้นที่เดิม พบว่า สัดส่วนของ การมีสารหนูสูงกว่าปกติในร่างกายของกลุ่มเด็กนักเรียน ป.4-ป.6 ของ 6 โรงเรียนเดิม ลดลงจาก 35.6 เหลือ รอ้ ยละ 4.5 หรอื ลดลง 12 เท่าตวั ลดลงมากทุกโรงเรียน ทกุ ช้นั ปี และทุกเพศ ขณะที่เดก็ ท่มี ไี อควิ ตำ่ กว่าเกณฑ์ ปกติพบ ร้อยละ 40.6 ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการ เรียนรู้ลดลงจากร้อยละ 40.6 เป็นร้อยละ 22.22 เนื่องจากในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมโลหะหนักยุติ กิจการในพื้นที่ อาจทำให้โลหะหนักออกมาปนเปื้อนกับสิ่งแวดล้อมทั้งทางอากาศ ดิน และน้ำเนื่องจาก 148
กระบวนการถลุงโลหะลดลง ซึ่งสอดคล้องกบั การศึกษาวิจัยในต่างประเทศ ที่พบว่าโลหะหนักเชน่ สารหนู จัด ว่าเป็นสารพิษที่มีฤทธิ์ต่อความผิดปกติทางปัญญา (cognitive dysfunction) (Marisa F. Naujokas, 2013) รายงานทางระบาดวิทยากลา่ วว่าการไดร้ ับสารหนู ทอ่ี าจปนเปื้อนไปกับอาหาร และน้ำดืม่ จากหว่ งโซ่อาหารใน สง่ิ แวดล้อม ทงั้ ทางดนิ นำ้ และอากาศนัน้ สง่ ผลต่อการเรยี นรแู้ ละความจำของเด็ก มกี ารศึกษาพบว่าสารหนูมี ผลกระทบต่อ IQ ของเด็กด้วย (Miguel Rodríguez-Barranco, 2013) ในประเทศบังคลาเทศว่าปริมาณของ สารหนูที่ได้รับเป็นตวั แปรสำคัญต่อการเรียนรู้ คือในเด็กที่ได้รับสารหนูท่ีปริมาณมากกว่า 50 ไมโครกรัม/ลติ ร มี IQ ที่ต่ำกว่าเด็กที่ได้รับสารหนูที่น้อยกว่า 5.5 ไมโครกรัม/ลิตร (Gail A. Wasserman,2004) และมี การศึกษาที่ทดสอบ cognitive test ซึ่งรวมไปถึงทักษะด้านการเรียนรู้และกระบวนการคิดของเด็กวัย 6-8 ปี ในประเทศเม็กซิโกพบว่าเด็กที่พบสารหนูในปัสสาวะมากกว่า 50 ไมโครกรัม/ลิตร มีผลการทดสอบของ visual-spatial reasoning, language and vocabulary, memory, intelligence, and math skills ที่ต่ำ (Jorge L. Rosado, 2007) การประเมินเด็กนำไปสู่การฟื้นฟู ส่งเสริมทักษะสติปํญญาและการเรียนรู้ของเด็ก พบว่า เด็กทีไ่ ด้รบั การฟนื้ ฟู มีทกั ษะการอ่านคำ สะกดคำ ความเข้าใจประโยค ด้านการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนั้นพบว่าก่อนการฟื้นฟูเด็กมีคะแนนเฉลี่ยของระดับสติปัญญา เท่ากับ 85.43 ซึ่งอยู่ในระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย แต่หลังจากเด็กเข้าร่วมกิจกรรมการฟื้นฟู เด็กมี คะแนนเฉลย่ี ของระดับสตปิ ัญญา เทา่ กบั 90.11 ซึ่งอยใู่ นระดับสตปิ ัญญาปกติ เมอ่ื วิเคราะห์เปรียบเทียบความ แตกตา่ งก่อน-หลังฟืน้ ฟู พบว่า เด็กมคี ะแนนเฉล่ยี ระดับสติปัญญาหลังการฟื้นฟูสงู ขึ้นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ อันเนื่องจากผู้บริหารโรงเรียนและครูเข้าใจปัญหาของเด็ก ตระหนัก และร่วมมือกันทำกิจกรรม ส่งเสริมเด็กในการอ่านคำ สะกดคำ ทำความเข้าใจประโยค และการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ ทั้งแบบกลุ่ม และรายบุคคลอย่างต่อเน่ือง จริงจงั รวมทง้ั การพฒั นาสือ่ การสอนรว่ มกับเด็ก ทำให้เด็กสนกุ มีความสุขกับการ เรียนรู้ และไดร้ ับแรงเสริมเชงิ บวกจากครู ทำใหเ้ ห็นความสามารถและคุณคา่ ของตัวเอง และนำไปส่คู วามมงุ่ มั่น ในการพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์ ในการประเมนิ พฤติกรรมทกั ษะการเรียนรคู้ ดิ เชงิ บรหิ าร (EF) ของเดก็ โดย ครูพบว่ามีเดก็ ที่ควรได้รับการส่งเสริมถึงร้อยละ 68.2 และจากการฟื้นฟู พบว่าความสามารถทักษะการเรียนรู้ คดิ เชิงบริหารของเด็กในระดับปกติเพิ่มข้ึนทั้งดา้ นความจำที่ทำได้ถูกต้อง ดา้ นสมาธจิ ดจ่อ และความเร็วในการ ตอบสนองในงานที่ทำ ต่อเนื่องจากการที่เด็กมีเป้าหมายทีช่ ัดเจน ทำให้เด็กความตั้งใจจดจ่อ ควบคุมตนเองได้ วางแผนการทำงาน ติดตามงานและปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งแก้ปัญหาให้งานหรือกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย สำเร็จ ส่วนการประเมินการรับรู้ทางสายตาและการเคลื่อนไหว (Visual-Motor) นั้นอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 51.5 เมื่อเปรียบเทียบก่อน-หลัง การฟื้นฟูพบว่าไม่แตกต่างกัน เนื่องจากการพัฒนาทักษะรับรู้ทาง สายตาและการเคลื่อนไหวนั้น เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองในการคิด เชื่อมโยง และวางแผนการ เคลือ่ นไหวในการใชท้ กษะตา-มอื ทำงานประสานกนั ซงึ่ ครคู วรฝึกฝนใหเ้ ด็กทำกิจกรรมอย่างต่อเนือ่ งตอ่ ไป เนื่องจากเด็กอาศัยในพืน้ ที่เสี่ยงสารโลหะหนัก เพื่อป้องกันผลกระทบดังกล่าว โครงการวิจัยได้พัฒนา โปรแกรมพร้อมคู่มอื และสื่อการจดั กิจกรรมส่งเสริมทักษะการรู้เทา่ ทันสิ่งแวดลอ้ มแกเ่ ดก็ และอบรมการใช้คู่มือ แก่ครู เพื่อให้ครูนำไปทำกิจกรรมส่งเสริมให้ความรู้ สร้างความตระหนัก และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแก่เด็กใน การป้องกันตนเองจากสารพิษ, การลดความเสี่ยงจากการได้รับสัมผัสสารพิษ จากการปนเปื้อนทั้งทางน้ำและ 149
ทางอากาศ ตัวอย่างวิธีการป้องกันตนเองจากสารพิษ 1. ล้างผักผลไม้ก่อนรับประทานทุกครั้ง 2. สวมใส่ หนา้ กากอนามยั เมอ่ื มฝี ่นุ ควันสารพิษ 3. อาบนำ้ ชำระล้างรา่ งกายทุกคร้ัง หลังกลบั จากทำกจิ กรรม ตา่ ง ๆ นอก บ้าน 4. ล้างมอื ทุกครงั้ ก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก 5. ใสเ่ สือ้ ผ้าทมี่ ดิ ชดิ 6. ดมื่ น้ำทม่ี าจากขวดปิดสนิท หรือน้ำ กรอง และ 9. สวมรองเทา้ ทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน ซึง่ หากเดก็ มคี วามร้สู ำหรบั การปอ้ งกันตนเองในเบื้องต้นได้ อย่างถูกต้อง ย่อมช่วยหล่อหลอมจนเป็นลักษณะนิสัย และเกิดเป็นพฤติกรรมในการดูแลส่งเสริมสุขภาพ จาก การประเมินก่อนส่งเสริม พบว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสิ่งแวดล้อมในเด็ก ประถมศึกษาปีที่ 4-6 พบว่า กลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 64.2 มีระดับความรู้ในการป้องกัน ตนเองจากสารอาร์เซนกิ แมงกานสี และไซยาไนด์ อยู่ในระดับน้อย รองลงมา คือ มีระดับความรใู้ นการป้องกัน ตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 29.4 และมีระดับความรู้ใน การป้องกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 6.4 ตามลำดับ เมื่อเด็ก ได้รับการส่งเสริมพบว่าเด็กมีความรู้ในการป้องกันเพิ่มขึ้นจากส่วนมากระดับน้อยเป็นระดับปานกลาง และ ระดับมากมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นด้วย ผลจากการประเมินหลังการส่งเสริม พบว่า กลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนส่วน ใหญ่ร้อยละ 41.9 มีระดับความรู้ในการปอ้ งกันตนเองจากสารอาร์เซนิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดบั ปานกลาง รองลงมา คือ อยใู่ นระดบั น้อย ร้อยละ 35.5 และมรี ะดบั ความรู้ในการป้องกันตนเองจากสารอาร์เซ นิก แมงกานีส และไซยาไนด์ อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 22.8 ตามลำดับ ส่วนพฤติกรรมการปฏิบัติตนในการ ป้องกันตนเองจากสารพิษของเด็ก พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติตนในการป้องกันตนเองจากสารพิษ ทุกรายข้ออยู่ในระดับมาก เช่น ล้างมือทุกครั้ง ก่อนหยิบอาหารเข้าปาก และพบคะแนนการปฏิบัติตนในการ ป้องกันตนเองในระดับปานกลางอยู่ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปอยู่ในบริเวณแหล่งอุตสาหกรรม ซึ่งเปน็ ข้อมลู ทจี่ ะนำไปสู่การส่งเสรมิ ให้เด็กตระหนัก มีทศั นคติ ความรู้เท่าทัน และการปฏบิ ตั ติ นในการป้องกัน ตนเองจากสารพษิ ต่อไปได้ นอกจากน้นั เดก็ ๆ ยงั สนกุ กบั การเรยี นรู้ผา่ นกิจกรรมและยงั จะชว่ ยเผยแพร่ความรู้นี้ แกเ่ ดก็ ในโรงเรียน ครอบครวั และชมุ ชนอีกด้วย 5.2 การตดิ ตามผลสารอาร์เซนกิ แมงกานสี และไซยาไนดข์ องเดก็ และความสมั พนั ธ์ระหว่างภาวะบกพร่อง ทางสติปญั ญา และการเรียนรู้ของเด็ก กบั ปรมิ าณสารพษิ โลหะหนักที่ปนเปื้อนไปกับห่วงโซ่อาหารและสิ่งแวดล้อม จะส่งผลต่อสุขภาพทุกเพศทุกวัยและส่งผล ตอ่ การเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคตา่ งๆ เม่อื ได้รบั สารสมั ผสั ในปริมาณท่ีสงู หรือเร้อื รัง โดยเฉพาะในเดก็ จะมคี วามเส่ียงต่อ การได้รับสัมผัสและปนเปื้อนโลหะหนักมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กจะมีความสามารถในการดูดซึมสารโลหะ หนักเข้าส่รู ่างกายมากกว่าผู้ใหญ่ 5 เทา่ และข้อมูลทางวิชาการและการแพทย์พบว่า เด็กท่ีได้รับสารโลหะหนัก แบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ดังนี้ มีอาการที่ลักษณะคล้ายกับโรคพากิน สัน ระบบประสาทส่วนปลายถูกทำลาย ประสาทรับความรู้สกึ เปลี่ยนแปลง เช่น ชาตามมือและเท้า อาการส่นั เดินไม่สะดวก และสามารถเกิดอาการกระตุกของใบหน้า มีอาการปวด-เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หายใจถี่ หัว ใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน อาการผื่นคัน อีกทั้งมีความเสี่ยงต่อความบกพร่องทางการเรียนรู้ ( Learning disabilities: LD) และระดบั ความสามารถทางสติปัญญา (Intelligence quotient: IQ) ต่ำกวา่ เกณฑ์ เปน็ ต้น 150
จากข้อมูลดังกล่าว โครงการมีเป้าหมายติดตามสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักในชุมชนเขต รอยต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ โดยการดำเนินงานต่างๆ ปฏิบัติภายหลังยุติ กิจกรรมการทำเหมืองแร่เป็นระยะเวลา 3 ปี มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ชว่ งอายุ 8-13 ปี จำนวน 199 คน และผปู้ กครองใหค้ วามยนิ ยอมเปน็ ลายลักษณ์อักษรเข้ารว่ มโครงการวจิ ัย โครงการตรวจสขุ ภาพเด็กพน้ื ฐานและไม่พบความผิดปกติทางคลินิกในเดก็ 199 คน สว่ นผลการตรวจ วิเคราะห์การปนเปื้อนโลหะหนักอธิบายดังนี้ เด็กนักเรียนมีระดับแมงกานีส (Mn) ในเลือดสูงกว่าค่าปกติ จำนวนร้อยละ 41.2 มีระดับสารหนูอนินทรีย์ (As) ในปัสสาวะสูงกว่าค่าปกติจำนวนร้อยละ 4.5 และไม่พบ ระดับสารไซยาไนด์ (Cyanides) ในเลือดสูงกว่าค่าปกติ โครงการพบว่า เด็กนักเรียนเพศชายและเพศหญิงมี ระดับการปนเปื้อนโลหะที่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ อีกทั้งปัจจัยทางด้านเพศไม่มีความสัมพันธ์ต่อการปนเปื้อน สารโลหะหนักเช่นกัน ซึ่งจากการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวบ่งชี้ถึง ยังคงมีสถานการณ์การปนเปือ้ นโลหะหนักใน เขตพื้นที่ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามโครงการไม่ได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักจากสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน แหล่งน้ำ และอาหาร ดงั นั้นการท่ีเดก็ นกั เรยี นมีการปนเป้ือนโลหะหนักทสี่ ูงกว่าค่าปกติในร่างกายจงึ เป็นส่ิงที่ควรติดตาม อยา่ งต่อเน่ืองดา้ นผลกระทบทางสุขภาพ ข้อมูลจากโครงการแสดงถึงสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักมีลักษณะสอดคล้องกับการศึกษาโดย กรมควบคุมโรคที่ไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งพบว่าเด็กวัย เรยี นช่วงอายุ 8-13 ปี จำนวนรอ้ ยละ 30-35 มกี ารปนเปื้อนสารแมงกานีส (Mn) และสารหนูอนนิ ทรีย์ (As) อกี ทั้งเด็กนักเรียนและครอบครัวมีภูมิลำเนาที่อยู่อาศัยห่างจากเขตอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ในระยะไม่เกิน 10 กโิ ลเมตร และเม่ือทำการตรวจวิเคราะหร์ ะบบประปาในชุมชนพบการปนเปื้อนของแมงกานีสและสารหนูอ นินทรีย์เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลของโครงการน้ี จะเห็นได้ว่า สถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักแมงกานสี (Mn) มลี ักษณะสอดคลอ้ งกันทั้งสองโครงการถงึ แม้มรี ะยะศึกษา ห่างกัน 3 ปี จากข้อมูลดังกล่าวแสดงว่ายังคงมีการปนเปื้อนโลหะหนักแมงกานีสอยู่ ณ ปัจจุบัน ส่วน สถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักสารหนูอนินทรีย์ (As) พบว่ามีอัตราที่ลดลงจากปี พ.ศ. 2559 ประมาณ 8 เท่า ส่วนโลหะหนักไซยาไนด์ (Cyanides) นั้นไม่พบสถานการณ์การปนเปื้อนในพื้นที่ดังกล่าวภายหลังหยุด กิจกรรมการทำเหมืองแร่ สาเหตุของการปนเปื้อนโลหะหนักในระบบห่วงโซ่อาหารและส่ิงแวดล้อมท่ีเป็นผลมาจากอุตสาหกรรม การทำเหมืองแร่ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากขั้นตอนการทำเหมืองแร่ใน 2 ขั้นตอนคือ (1) การทำเหมือง และ (2) การแต่งแร่หรือการประกอบโลหกรรม โดยการทำเหมืองเป็นกระบวนการเพื่อให้ได้สินแร่เพื่อป้อนเข้าสู่การ ประกอบ โลหกรรม ซ่งึ ประกอบด้วยกิจกรรมการเจาะ การขดุ และการระเบิด เพ่อื เปิดหนา้ เหมือง เพื่อให้ ได้ขนาดและปริมาณสินแร่ตามที่ต้องการ มีการใช้วัตถุระเบิดประเภทแอมโมเนียมไนเตรตผสมกับน้ำมันดเี ซล หรือใช้วัตถุระเบิดแรงสูง เช่น ไดนาไมต์ เป็นต้น การใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวจะส่งผลถึง ความเสี่ยงของการ ทำลายอวัยวะรับการได้ยิน การทำให้เกิดความรำคาญ และโรคเครียดกับบุคลากรในเหมืองแร่และชุมชน ใกล้เคียง ขั้นตอนต่อไปคือการขุดตักและคัดแยกสินแร่และมูลหิน โดยแบ่งเป็น การตักสินแร่โลหะมีค่าชนิด 151
ต่างๆ การตักสินแรค่ ณุ ภาพต่ำ และการตกั มูลหนิ ขนั้ ตอนเหลา่ นีจ้ ะก่อให้เกดิ ฝุ่นหนิ และการรัว่ ไหลของมูลหิน ท่ีมศี กั ยภาพในการก่อฤทธ์ิใหเ้ ปน็ กรด (Acid Mine Drainage :ADM) โดยกระบวนการดังกลา่ วสามารถเกิดข้ึน เองโดยธรรมชาติ เมื่อหินทิ้งที่มีแร่ซัลไฟด์ (SO4) เป็นองค์ประกอบ สัมผัสกับอากาศและน้ำจะเกิดเป็นกรด ซัลฟิวริก (H2SO4) ซึ่งสามารถชะล้างและสกัดเอาโลหะหนัก เช่น แมงกานีส สารหนูอนินทรีย์ โคบอล ทองแดง แคดเมียม ตะกั่ว เงิน และสังกะสี ที่มีอยู่ในหินทิ้งออกสู่สิ่งแวดลอ้ มภายนอก ซึ่งถ้าไม่มีกระบวนการ กำจัดที่ดีและได้มาตรฐาน โลหะหนักดังกล่าวจะปนเปื้อนไปกับสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน แหล่งน้ำ และอาหาร ธรรมชาติ ซึ่งข้อมูลวิชาการดังกล่าวแสดงถึงกระบวนการปนเปื้อน โลหะหนักสู่สิ่งแวดล้อมที่มาจากขั้นตอน การทำเหมืองน่ันเอง (กรมอนามัยและกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ 2558) ส่วนการปนเปื้อนโลหะหนักไซยาไนด์ส่วนใหญ่จะมาจากความเสี่ยงของขั้นตอนการทำเหมืองแร่ใน ขั้นตอนการแต่งแร่หรือการประกอบโลหกรรมดังนี้ สินแร่ที่ได้จากขั้นตอนทำเหมือง จะถูกลำเลียงไปยัง ตะแกรงคัดขนาดโดยสนิ แร่ท่ีมีขนาดใหญ่จะค้างบนตะแกรงและเข้าสเู่ ครื่องบดเพอื่ ให้มีขนาดเลก็ ลง สว่ นท่ีผ่าน ตะแกรงจะปล่อยลงสู่ถังแชส่ ารไซยาไนด์ ส่วนวัสดุแปลกปลอมทีอ่ ยู่บนตะแกรง จะถูกส่งไปรวมกับกากโลหกร รมทย่ี ุ้งรบั กากโลหกรรมและทิง้ ลงบ่อกกั เก็บกากโลหกรรมต่อไป สินแรท่ ่ีมีค่า เช่น ทองคำ จะใช้กระบวนการชะละลายโลหะโดยวิธี Cyanidation โดยใช้ไซยาไนด์เป็น ตัวจับกับโลหะทองคำ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการแยกโลหะทองคำออกจากสารละลายไซยาไนด์ด้วยวิธีทางเคมี โดยเรียกว่า กระบวนการ Carbon-In-Leach (CIL) คือ เติมถ่านกัมมันต์ลงไปเพื่อดูดซับทองคำไว้ที่ผิวถ่านกมั มันต์ หลังจากนั้นจึงเติมสารละลายกรดเกลือ หรือ สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือสารละลายโซเดียม ไซยาไนด์ เพื่อลอกหรือชะล้างทองคำออกจากเม็ดถ่าน น้ำชะล้างที่มีทองคำละลายอยู่ จะถูกนำไปเติม โซเดยี มไฮดรอกไซด์ เพือ่ นำไปแยกโลหะทองคำดว้ ยกรรมวธิ ที างไฟฟ้าเพอ่ื ให้ได้ทองคำบริสทุ ธติ์ ่อไป ข้อมูลทางวิชาการดังกล่าว จึงบ่งชี้ถึงการปนเปื้อนไซยาไนด์มาจากขั้นตอน Cyanidation ดังนั้น บุคลากรที่ทำเหมืองแร่จะมีความเสี่ยงสูงต่อการรับสัมผัสผ่านระบบทางเดินทางหายใจและการสัมผัสโดยตรง ขณะทำงาน และเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์การปนเปื้อนสารไซยาไนด์ในโครงการนี้ จะเห็นได้ว่าเด็กนักเรียนท่ี เข้าร่วมโครงการไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงของการปนเปื้อนสารไซยาไนด์ อีกทั้งอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ได้ ปิดทำการ จึงส่งผลให้โอกาสการฟุ้งกระจายในขั้นตอนการแต่งแร่และการกำจัดของเสียปนเปื้อนสู่ธรรมชาติ และสงิ่ แวดลอ้ มจึงไมเ่ กดิ ขึน้ โครงการวิเคราะห์ผลกระทบการปนเปื้อนโลหะหนักต่อระดับความสามารถทางสติปัญญา (IQ) ของ เด็กนักเรยี นในพื้นทีเ่ ส่ียง และพบสถานการณ์เด็กนักเรยี นตรวจพบระดับโลหะหนกั แมงกานีส (Mn) สูงกว่าคา่ ปกติในเลือดร่วมกับการมีระดับความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าปกติในอัตราส่วนที่ 1:7 และตรวจพบเด็ก นักเรยี นมีระดบั สารหนูอนินทรยี ์ (As) ในปัสสาวะสงู กวา่ ปกติร่วมกับการมรี ะดับความสามารถทางสติปัญญาต่ำ กว่าปกตใิ นอตั ราสว่ น 1:66 โครงการไม่พบความสัมพันธอ์ ย่างมีนัยสำคัญระหว่างการปนเปื้อนแมงกานีสหรือสารหนอู นินทรีย์กบั ระดบั ความสามารถทางสติปญั ญา (IQ) ของเด็กนกั เรยี น อยา่ งไรก็ตามเม่ือทบทวนวรรณกรรมพบว่า มรี ายงาน การวิจัยให้ข้อมูลในทิศทางเดียวกันคือ เด็กปฐมวัยจนถึงวัยเรียนเมื่อได้รับการปนเปื้อนโลหะหนักแมงกานีส 152
เป็นระยะเวลานานจะสง่ ผลต่อระดบั ความสามารถทางสตปิ ัญญา (IQ) กระบวนการรู้คดิ (cognitive function) การกำกับตนเอง (self-regulation) การควบคุมพฤติกรรม (behavioral control) และการเคลื่อนไหว (motor control) (2-16) และรายงานอภิมานการวิจัย (comprehensive meta-analysis of research focusing on the impact of arsenic exposure on intelligence in children) บ่งชี้ถึงสารหนูส่งผลต่อ ระดับความสามารถทางสติปญั ญา (IQ) ในเดก็ เมือ่ ไดร้ บั การปนเปอื้ นเร้ือรงั (17) โลหะหนักแมงกานีสเป็นธาตุที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายเพราะเป็นองค์ประกอบของ เอมไซม์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ แมงกานีสช่วยในการเสริมสร้างพัฒนากระดูกและช่วยรักษาบาดแผล เม่ือ ได้รบั ในปรมิ าณทเี่ หมาะสม เชน่ ผ้ชู ายควรได้รบั แมงกานสี วันละ 2.3 มลิ ลิกรัม สว่ นผหู้ ญงิ ควรไดร้ บั แมงกานีส วันละ 1.8 มิลลิกรัม การได้รับแมงกานีสสะสมเป็นเวลานานจะเกิดพิษต่อระบบประสาท ทำลายสมอง เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะไวต่อแมงกานีสมากที่สุด กลไกการเป็นพิษของแมงกานีสต่อสมองจะผ่าน กระบวนการ Autoxidation of Dopamine (DA), การกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระเพิ่มสูงของ mitochondria และ cell membrane ของ neurons และ astrocytes และการลดลงของหน้าที่ cellular antioxidant enzymes ในเซลล์สมอง กลไกการเกิดพิษดังกล่าวจะทำให้เซลล์สมองถูกทำลายโดยสารอนุมูล อิสระจากภาวะ oxidative stress มีความผิดปกติของสารสื่อประสาท การวิจัยต่างๆ พบว่า สมองส่วน striatum, globus pallidus และ substantia nigra เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากแมงกานีสมากที่สุด ซี่ง สมองส่วนดังกล่าวมีหน้าที่สำคัญ คือ การสั่งการเคลื่อนไหวใต้อำนาจจิตใจ การเรียนรู้เชิงกระบวนวิธี (procedural learning) กระบวนการรู้คิด (cognitive function) และกิจกรรมที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ดงั นั้นเดก็ ที่ได้รับการปนเปือ้ นแมงกานสี สูงกว่าคา่ ปกตริ ะยะเวลานาน จึงมคี วามเสี่ยงตอ่ การเคลอ่ื นไหวผิดปกติ การควบคมุ พฤตกิ รรม โรคย้ำคดิ ย้ำทำ โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ อาการทางคลนิ ิกส่วนใหญ่มีอาการลักษณะ โรคพากนิ สนั กลา่ วคอื มอี าการสัน่ เดนิ ไมส่ ะดวก และสามารถเกดิ อาการกระตุกของใบหน้า ข้อมูลปัจจุบันไม่ พบหลกั ฐานของการเปน็ สารก่อมะเร็ง (18) สารหนูอนินทรีย์หรือโลหะหนักอาร์เซนิกเป็นธาตุที่มีความสำคัญและใช้ในอุตสาหกรรม เช่น สารกัน บูด สารดูดความชื้น ทำสี ทำวัตถุระเบิด เครื่องสำอางไม้ แก้ว เซรามิก ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหนู และทำยารักษา โรคมะเรง็ เมด็ เลือดขาวเฉียบพลัน (promyelocytic) การปนเปื้อนเป็นเวลานานส่งผลต่อเน้ือเย่อื ผวิ หนัง มีการ เปลี่ยนแปลง สีผิวทั้งเกิดจุดสีเข้มหรือจุดด่างขาว โดยจุดด่างขาวจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 3 ปี หลังจากนั้นจะเกิดจุดที่ฝ่ามือภายใน 1 ปี และนำไปสู่มะเร็งผิวหนัง การได้รับสารหนอู นินทรีย์ทำให้เกิดดซี ่าน ปวดท้อง และตับถูกทำลายรวมถึงมะเร็งตับ การได้รับปริมาณน้อยแต่เป็นระยะเวลานานจะทำให้ระบบ ประสาทสว่ นปลายถกู ทำลาย ประสาทรบั ความรสู้ ึกเปล่ียนแปลง เช่น ชาตามมอื และเท้า และร้สู กึ เหมือนมเี ข็ม หรือหนามตำ การปนเปื้อนโดยส่วนใหญ่จะมาจากการสัมผัสโดยตรง การสูดดม และการบริโภคน้ำด่ืม โดยเฉพาะนำ้ ใต้ดนิ ท่ีปนเปื้อน และหากรบั ประทานเขา้ ไปโดยตรงจะเป็นอนั ตรายถึงชวี ิต ตวั อย่างอันตรายจาก ของเสียทมี่ สี ารหนเู จือปนอยู่ ไดแ้ ก่ เมือ่ ปลายปี พ.ศ.2530 เกิดกรณีโรคพษิ สารหนูเรื้อรังหรือที่เรยี กว่า \"ไข้ดำ\" ทอี่ ำเภอรอ่ นพิบูลย์ จงั หวดั นครศรธี รรมราช ซีง่ พบสถานการณ์ผปู้ ว่ ยมากกว่า 200 ราย มีอาการโรคผิวหนังท้ัง เกิดจุดสีเข้มหรือจุดด่างขาว โดยชาวบ้านบริโภคน้ำและอาหารที่มีสารหนูปนเปื้อนอยู่ติดต่อกันเป็นระยะ 153
เวลานาน สาเหตุการปนเปื้อนมาจากการทำเหมืองแร่ดีบุกและอุตสาหกรรมการแต่งแร่ สารหนูที่ปนอยู่ในดิน บริเวณเหมืองถูกชะล้างไปกับน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีการปล่อยน้ำเสียจากการแต่งแร่ สารหนู ดังกลา่ วจึงปนเปอื้ นลงในดนิ น้ำใต้ดนิ และในห้วยน้ำธรรมชาติ สารหนูทั้งในรูปอนิ ทรีย์และอนินทรีย์สามารถปนเปื้อนสู่คนผ่านการสัมผัส การสูดดม และการบริโภค และท่สี ำคญั สารหนสู ามารถซึมผา่ นผนังเซลล์ของรก (placenta) ระบบหลอดเลือด (vascular system) และ เซลลก์ ้ันระหวา่ งสมองและระบบเลือด (blood brain barrier: BBB) ดงั นัน้ จงึ สามารถตรวจพบการสะสมได้ใน อวัยวะตา่ งๆ ทวั่ ร่างกาย เชน่ เลบ็ เสน้ ผม ผวิ หนงั กระดกู ไต ตับ ปอด และสมอง โดยเฉพาะต่อมใตส้ มอง (ทำ หนา้ ที่ผลิตฮอรโ์ มนตา่ งๆ สำหรบั ควบคมุ เจรญิ เตบิ โตของร่างกาย การเจรญิ เติบโตของอวยั วะสบื พนั ธ์ุ การสร้าง ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ควบคุมการทำงานต่อมไทรอยด์และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์) เป็นสมอง ส่วนที่ตรวจพบการสะสมของสารหนูมากที่สุด (19) ความรู้ทางวิชาการพบว่า เด็กเกิดจากแม่ได้รับการสัมผัส การสดู ดม และการบริโภคสารหนเู ข้าสู่ร่างกายในขณะตง้ั ครรภ์ จะมกี ารเจรญิ เตบิ โตทลี่ ่าชา้ มีภาวะพฒั นาการ ที่ไม่สมวัยและมีความผิดปกติของสารสื่อประสาท ซี่งเป็นเหตุจากที่สารหนูสามารถซึมผ่านผนังเซลล์ของรก ผ่านระบบหลอดเลือด ผา่ นเซลล์กน้ั ระหว่างสมองและระบบเลือด ในทสี่ ดุ เข้าไปสะสมในสมองของเด็กทารกซึ่ง อยใู่ นระหว่างการพัฒนาในครรภ์ของมารดา อีกท้งั การศึกษาวิจยั ทางระบาดวิทยาคลนิ ิกพบว่า เดก็ ท่คี ลอดจาก แม่ที่ได้ปนเปื้อนสารหนูระหว่างตั้งครรภ์และผู้ใหญ่ที่ได้รับการปนเปื้อนส ารหนูเรื้อรังจะมีความบกพร่องของ กระบวนการรู้คิดและการควบคมุ พฤติกรรม (19-20) กลไกการเกิดพิษของสารหนูมีสาเหตุจากภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (oxidative stress) ซ่ึง เป็นภาวะของการสร้างสารอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species: ROS) เพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติเมื่อได้รับสาร หนูแบบเฉียบพลันหรือการได้รับสารหนูไม่เกินค่าปกติหรือสูงกว่าปกติเล็กน้อยติดต่อกันเป็นระยะะเวลานาน จะสง่ ผลทำให้เกิดภาวะ oxidative stress แบบเร้ือรงั และมีการสร้างสารอนุมูลอิสระตลอดเวลาเช่นกัน แหล่ง การสร้างอนุมูลอิสระส่วนใหญ่จะเกิดในเซลล์ต่างๆ ที่มี mitochondrial (Mit) electron transport chain โดยผลิตอนุมูลอิสระดังนี้ superoxide radical anion (O-2), hydrogen peroxide (H2O2), hydroxyl radical (OH-), hydroperoxyl radical (HOO-), singlet oxygen (1 O2 ) , แ ล ะ peroxyl radical (ROO-) เป็นต้น (21) อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะเป็นอะตอมหรือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนไม่เป็นคู่ (unpaired electron) ส่งผล ให้มีสภาวะไม่เสถียรและไวต่อการเกิดปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว ตามปกติโมเลกุลใดก็ตามที่มีภาวะไม่เสถียร จะ สามารถทำปฏิกิริยากับโมเลกุลต่างๆ เพื่อให้ตัวมันเสถียร โดยจะทำการดึงหรือให้อิเล็กตรอนเดี่ยวกับโมเลกลุ ข้างเคียง ส่งผลให้โมเลกุลขา้ งเคียงที่สูญเสียหรือรับอิเล็กตรอนจะกลายเป็นอนมุ ูลอิสระตวั ใหม่ที่ไม่เสถียรและ ทำปฏกิ ริ ิยากับโมเลกลุ อื่นๆ ทันที เชน่ ไขมนั (โดยเฉพาะ low density lipoprotein: LDL) โปรตีน (protein) และหน่วยพันธุกรรม (DNA) โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจะเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่เกิดขึ้นหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีกลไกในการซ่อมแซมโมเลกุลต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะ oxidative stress และในบางส่วน ของโมเลกุลที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระจะแปรสภาพเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ซึ่งโมเลกุลดังกล่าวที่พบใน กระบวนการสร้างและสลายคอื เมแทบอไลต์ (metabolite) และจะถกู กำจัดออกจากร่างกาย 154
การตรวจวิเคราะห์เมแทบอไลต์ (metabolite) เพื่อบ่งชี้ภาวะ oxidative stress หรือ ภาวะการ อักเสบ (Inflammation) ซึ่งถูกกระตุ้นจากสารภายในหรือภายนอกร่างกาย จึงเป็นประโยชน์ต่อการติดตาม สุขภาพในคนเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้ ยกตัวอย่างเช่น 8-Hydroxy-2′-deoxyguanosine (8-OHdG) เป็นเม แทบอไลต์ชนิดหนึ่งที่บ่งชี้เมื่อเกิดภาวะ oxidative stress โดยสารอนุมูลอิสระเข้าทำลายสายพันธุกรรม (DNA) ทำให้เกิดกระบวนการ Hydroxylation (ปฏิกิริยาการเติมหมู่ -OH เข้าไปในโมเลกุลเป็นผลทำให้ โมเลกุลนั้นไม่เสถียร) ในตำแหน่งที่ 8 ของ guanine base ในสายพันธุกรรม (DNA) และในภาวะปกติของ รา่ งกายนัน้ จะมีกระบวนการซ่อมแซมสาย DNA ท่ีผดิ ปกตโิ ดยการตัด guanine base ท่ีเตมิ หมู่ -OH นี้ออกไป ซึ่งคอื 8-OHdG นั่นเอง หลังจากนั้นรา่ งกายจะมกี ลไกการกำจดั เข้าสรู่ ะบบเลือดและถูกขบั ออกสู่ระบบทางเดิน ปัสสาวะ สิ่งที่ต้องตระหนักคือ oxidative hydroxylation ของ guanine ในตำแหน่งที่ 8 เป็นตำแหน่งท่ี เกิดขึ้นได้ง่ายและเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ (Mutagenesis) และการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง (Carcinogenesis) นอกจากนี้ข้อมูลทางวิชาการยังพบว่า 8-OHdG มีระดับค่าสูงกว่าปกติในโรค Prostate cancer, Cystic fibrosis, Atopic dermatitis, Rheumatoid arthritis, Parkinson’s disease, Alzheimer’s disease และ Huntington’s disease เปน็ ตน้ (22) ส่วนการตรวจวิเคราะห์ภาวะการอักเสบของร่างกายในปัจจุบันนิยมใช้ C-Reactive Protein (CRP) เป็นตัวบ่งชี้เนื่องจากเมื่อเกิดการอักเสบขึ้นในร่างกาย เซลล์ที่ถูกทำลายผิดปกติ (necrotic cell) จากสาร ภายในร่างกาย เช่น อนุมูลอิสระที่เพิ่มสูงผิดปกติ หรือสารภายนอกร่างกาย เช่น โลหะหนัก สารพิษ ควันพิษ หรอื ถูกแรงกระทำทีร่ ุนแรง เชน่ ตี กระแทก จะทำใหเ้ ซลล์ถกู ทำลาย มีการฉีกขาด และปลอ่ ยสารเหน่ียวนำให้ เซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมาชุมนุมตำแหน่งที่มีการอักเสบ เซลล์ในระบบ ภูมิคุ้มกันจะหลั่งสาร cytokines เช่น interleukin-1beta (IL-1β) interleukin-6 (IL-6) และ tumor necrosis factor-alpha (TNF-α) เพื่อกระตุ้นตัวมันเองและหลั่งสารต่างๆ ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือ เก็บกินเซลลท์ ี่ถูกทำลาย กลไกการตอบสนองนี้จะสง่ ผลให้เกิดอาการบวมน้ำหรือมีอาการไข้จากการอักเสบ ท่ี สำคัญ cytokines ต่างๆ จะไปกระตุ้นการสร้าง CRP จากตับ โดยจะพบว่าระดับของ CRP จะเพิ่มระดับอย่าง รวดเรว็ ภายใน 6-10 ชั่วโมงและเพ่ิมสูงสุดใน 24-72 ช่วั โมง และลดลงสูภ่ าวะปกติ ในเวลา 1 สปั ดาห์ (ค่าคร่ึง ชีวิตของ CRP (half-life) คือ 18 ชั่วโมง) และจะมีค่าเพิ่มสูงขึ้นอีกเมื่อมีเซลล์ถูกทำลายผิดปกติหรือมีการ อกั เสบเกิดขึ้น (23) ข้อมูลทางวิชาการดังกล่าว แสดงถึงการปนเปื้อนโลหะหนักทั้งในระยะเฉียบพลันหรือในระยะยาวจะ ส่งผลกระทบทางสุขภาพ โดยโลหะหนักที่ปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายจะสามารถเข้าไปสะสมตามอวัยวะและชักนำ ให้เกดิ พยาธิสภาพตา่ งๆ โดยเฉพาะการกระตุ้นให้เกิดภาวะ oxidative stress ภายในเซลล์ของอวยั วะน้นั ๆ ใน ภาวะ oxidative stress จะมีการสร้างสารอนุมูลอิสระในปริมาณที่ไม่สมดุลกับสารต้านอนุมูลอิสระ โดยที่ อนุมูลอิสระที่สร้างสูงข้ึนจะสามารถทำลายโมเลกุลสำคัญ เช่น ไขมัน โปรตีน หรือสารพันธุกรรม และถ้ากลไก ดังกล่าว เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้เกิดภาวะการอักเสบ (Inflammation) และส่งผล กระทบต่อการทำงานที่บกพร่องของอวัยวะต่างๆ จากการมีโลหะหนักเข้าไปสะสม ซึ่งสมองเป็นอวัยวะที่มี 155
ความเสี่ยงมากที่สุดและข้อมูลทางวิชาการพบว่า ต่อมใต้สมองซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนต่างๆ สำหรับควบคุม เจริญเติบโตของร่างกาย การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ การสร้างฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ควบคุมการ ทำงานต่อมไทรอยด์และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เป็นตำแหน่งที่จะพบการสะสมของโลหะหนักมาก ท่สี ดุ (19,24) จากข้อมูลทางวิชาการดังกล่าว โครงการพบสถานการณ์กลุ่มเด็กนักเรียนที่มีการปนเปื้อนสารโลหะ หนักร่วมกับมคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้จำนวน 28 ราย ซึ่งเดก็ นักเรยี นกลมุ่ ดังกลา่ วจะมีโอกาสเส่ียงต่อการ เกิดภาวะการอักเสบ (Inflammation) ของร่างกายในอัตราส่วนเด็ก 1 คนต่อเด็กทั้งหมด 9 คน (1:9) และมี โอกาสเสี่ยงตอ่ การเกิดภาวะ oxidative stress ของร่างกายในอัตราส่วนเดก็ 1 คนต่อเด็กทั้งหมด 2 คน (1:2) โดยเฉพาะสารหนูอนินทรีย์ (Inorganic Arsenic) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อการเหนี่ยวนำให้เกิด ภาวะการอกั เสบของรา่ งกายในเดก็ นักเรยี นที่มีความบกพร่องทางการเรียนรใู้ นพื้นทีเ่ ส่ียง โครงการแสดงถึงสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะในพื้นที่เสี่ยง มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เด็กและชุมชนต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ากิจการการทำเหมืองแร่จะยุติ แต่หากมีการจัดการและลดปจั จยั เสี่ยงด้านการ ปนเปือ้ นในส่ิงแวดล้อมท่ีสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะการจดั ทำแนวทางหรือคู่มือการเฝ้า ระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพื้นที่เสี่ยง เพื่อประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเฝ้าระวัง เตือนภัย และสื่อสาร สาธารณะ ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในพื้นที่ จะสามารถช่วยจัดการและแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและ สุขภาพในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์อนามัยและ สิง่ แวดล้อมแห่งชาติ (2560-2564) กระทรวงสาธารณสขุ และกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม 5.3 ปัจจยั ทางดา้ นครอบครวั และสังคมที่มีความสมั พันธก์ ับภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรยี นรูข้ องเด็ก ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยทางด้านครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดับ 0.05 ไดแ้ ก่ อาชพี ของพ่อ ระยะเวลาของเด็กในการดโู ทรทัศนเ์ ฉล่ยี ต่อวัน เดก็ มีปญั หาในการเรียน เช่น อ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านไม่ออก สะกดคำไม่ได้ เขียนหนังสือผิดๆ ถูกๆ หรือคิดคำนวณตัวเลขไม่ได้ และการ ทำกิจกรรมรว่ มกันระหวา่ งพ่อแมล่ กู อาชีพของพ่อมีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของ เด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อาชีพของพ่อ ส่วนใหญ่ของกลุ่มเด็ก ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ คือ อาชีพรับจ้าง ชั่วคราว ร้อยละ 47.20 รองลงมา คือ อาชีพรับข้างประจำ ร้อยละ 32.60 ในกลุ่มเด็กประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ท่ี ไม่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ อาชีพของพ่อส่วนใหญ่ คือ อาชีพรับจ้าง ประจำ รอ้ ยละ 37.00 รองลงมาคือ อาชพี เกษตรกร และอาชีพรบั จา้ งช่วั คราว มีรอ้ ยละเท่ากัน คอื 24.65 จาก ข้อมูลด้านอาชีพของพ่อ สะทอ้ นถงึ ความม่ันคงทางรายได้ของครอบครวั ต่อเดือน โดยในกลุ่มเด็กประถมศึกษา ปีที่ 4-6 ที่ไม่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ รายได้ของครอบครัวต่อเดือน 156
มากกว่า 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 31.05 ในขณะที่กลุ่มเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่มีความบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการร้คู ดิ และการเรยี นรูน้ ัน้ คิดเปน็ ร้อยละ 20.90 จากผลการศกึ ษาครง้ั น้ีอาชีพของพ่อ ถือ เป็นส่วนสำคัญองค์ประกอบทางเศรษฐกจิ ของครอบครัว ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหน่ึงในด้านส่ิงแวดล้อม สอดคล้อง กับ ศรีเรือน แก้วกังวาน (2556 อ้างถึงใน วีระพงษ์ แสงชูโต และนัฐจิรา บุศย์ดี, 2558, หน้า 12) ที่ได้เสนอ สาเหตุของความบกพร่องทางการเรียนรู้ไว้ 4 สาเหตุ ได้แก่ (1) ด้านระบบประสาทพัฒนาบกพร่อง (2) การ พัฒนาการด้านต่างๆ ช้ากว่าวัย (3) พันธุกรรม และ (4) สิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมี ทุพโภชนาการ รังสี สาร ตะกั่ว ยา จอโทรทัศน์ที่ไม่มีเครื่องกรองแสง ควันบุหรี่ และการสอนที่ไร้ประสิทธิภาพ เป็นต้น นอ กจากน้ี สงิ่ แวดล้อมทางสังคม วฒั นธรรม เศรษฐกิจ และชีวภาพในปจั จบุ ันอาจเป็นสาเหตุหนึง่ ท่ีทำใหน้ ักเรียนท่ีมีความ บกพร่องทางการเรียนรมู้ จี ำนวนเพ่มิ มากขน้ึ อาชีพของพอ่ เป็นเศรษฐานะทีส่ ำคญั ของครอบครวั สอดคล้องกับ การศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมต่อพฤติกรรมการดูแลเด็กของผู้ดูแลเด็กที่มีภาวะ บกพร่องด้านการเรียน ของสมลักษณ์ กอกุลจันทร์ (2558) พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดูแลเด็กที่มีภาวะ ความบกพร่องทางการเรียน ได้แก่ อายุ เพศ การศึกษา ความสัมพันธ์กับผู้ถูกดูแล ฐานะทางเศรษฐกิจและ สงั คม เชื้อชาติและวฒั นธรรมของผู้ทีด่ ูแลเด็ก มีอทิ ธิพลตอ่ การดูแลเด็กท่ีมีภาวะความบกพร่องทางการเรียน ผู้ ที่ดูแลเด็กที่มีภาวะความบกพร่องทางการเรียนมักมีผลกระทบต่อตนเองคือ ผลกระทบทางด้านอารมณ์และ จิตใจ คือ มีความเครียดสูง ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม คือ ต้องใช้จ่ายในการเดินทาง การ รกั ษาพยาบาลทม่ี ีมากขึ้น บางครัง้ ผ้ดู ูแลต้องขาดรายได้ เพราะตอ้ งมาดูแลลูกทปี่ ว่ ย และผลกระทบต่อการทำ หน้าที่ คือ ผู้ดูแลเด็กที่มีภาวะความบกพร่องทางการเรียน จะไม่เหมือนกับการดูแลเด็กทั่วไป ทำให้บางคร้ัง รู้สึกกดดัน และขัดแย้งกับตนเอง และสมาชิกในครอบครัว นอกจากนี้ ด้วยความบกพร่องทางการเรียนรู้เป็น ความบกพร่องของทกั ษะการเรยี นในหลายด้าน ซง่ึ การเรียนถอื เปน็ ทักษะพนื้ ฐานของการดำเนนิ ชีวิต หากไม่ได้ รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อตัวเด็กทั้งด้านการเรียน อารมณ์ และสังคม รวมถึงส่งผลกระทบต่อครอบครัวหลายประการ (ชาญวิทย์ พรนภดล, 2547 อ้างถึงใน มาณิกา เพชรรัตน์, 2554, หน้า 21-23) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว กล่าวคือ พ่อแม่ หรือผู้ปกครองต้องทุ่มเทเวลากับการดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรยี นรู้ เนื่องจากต้องดูแลอย่างใกลช้ ิด พาไปพบแพทยห์ รือรบั การบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมาชกิ ในครอบครัวไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ขาดรายได้ รวมทั้งตอ้ งแบกรบั ภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลดว้ ยเช่นกัน ระยะเวลาของเด็กในการดูโทรทัศน์เฉลี่ยต่อวัน มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระยะเวลาของเด็กในการดูโทรทัศน์เฉลี่ยต่อวัน โดยภาพรวมส่วนใหญ่ ดูโทรทัศน์เฉลี่ยวันละ 1-2 ชั่วโมง คิด เปน็ รอ้ ยละ 43.50 ส่วนขอ้ มูลการไมด่ ูโทรทัศน์ พบว่า กล่มุ เด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ทไ่ี ม่มีความบกพร่องทาง สติปญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ร้อยละ 9.50 ในขณะท่ีกลุ่มเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ร้อยละ 6.25 ซึ่งการดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ผลกระทบทไี่ ดร้ ับจากจอโทรทัศน์ท่ีไม่มีเคร่ืองกรองแสง อาจเป็นสาเหตปุ ระการหนง่ึ ในดา้ นส่ิงแวดล้อม ที่มีผล 157
ต่อความบกพร่องทางการเรยี นรู้ (ศรีเรือน แก้วกังวาน, 2556 อ้างถึงใน วีระพงษ์ แสงชูโต และนัฐจิรา บุศย์ดี, 2558, หน้า 12) เด็กมีปัญหาในการเรยี น เช่น อ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านไม่ออก สะกดคำไม่ได้ เขียนหนังสือผิดๆ ถูกๆ หรือคิดคำนวณตัวเลขไม่ได้ มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ ของเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาด้านปัญหาในการ เรียน พบว่า กลุ่มเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ มีปัญหาในการเรยี น รอ้ ยละ 47.70 ในขณะทกี่ ลุม่ เด็กประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ท่ีไมม่ ีความบกพรอ่ งทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ มีปัญหาในการเรียน ร้อยละ 33.70 ซึ่งสอดคล้องกับ ศรีเรือน แก้วกังวาน (2556 อ้างถึงใน วีระพงษ์ แสงชูโต และนัฐจิรา บุศย์ดี, 2558, หน้า 12) ได้เสนอสาเหตุของความบกพร่อง ทางการเรยี นรู้ไว้ 4 สาเหตุ ซ่ีงหน่งึ ในสาเหตุสำคัญ การพัฒนาการด้านต่างๆ ช้ากวา่ วัย เชน่ พัฒนาการช้ากว่า วัยในดา้ นวุฒิภาวะเชิงทักษะ การประสานกันระหวา่ งการเหน็ และการเคลื่อนไหว พัฒนาการทางภาษา ท้ังการ พูด การอ่าน และการเขียน นอกจากนี้ความบกพร่องทางการเรียนรู้เป็นความบกพร่องของทักษะการเรียนใน หลายด้าน (ชาญวิทย์ พรนภดล, 2547 อ้างถึงใน มาณิกา เพชรรัตน์, 2554, หน้า 21-23) ซึ่งการเรียนถือเป็น ทักษะพื้นฐานของการดำเนินชีวิต หากไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อตัว เด็กทั้งด้านการเรียน อารมณ์ และสังคม เด็กไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนเท่าที่ควร กล่าวคือ เมื่อเด็ก เรียนได้ไม่ดีหรือไม่ได้เลื่อนชั้นเรียน เด็กก็จะไม่มีความสุขกับการเรียน และเริ่มต้นสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ทางการ เรียนได้ยาก อาจต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เนื่องจากเด็กหมดกำลังใจและตัดสินใจเลิกเรียน และอาจหัน ไปหาสิ่งท่ีตนเองสามารถทำได้ดีกว่าการเรียน เช่น ติดเกม ติดสารเสพตดิ หรอื บหุ รี่ หนีเรียน และก้าวร้าว เป็น ตน้ การทำกจิ กรรมร่วมกนั ระหวา่ งพ่อแม่ลูก มีความสัมพนั ธ์กบั ความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการ รู้คิด และการเรียนรู้ของเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ท่ีไม่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ มี ปัญหาในการเรยี น มีโอกาสทำกจิ กรรมร่วมกับครอบครัว รอ้ ยละ 96.70 ในขณะทกี่ ลุม่ เด็กประถมศึกษาปที ่ี 4- 6 ทม่ี ีความบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ มปี ญั หาในการเรียน มโี อกาสทำกิจกรรม ร่วมกับครอบครัว เพยี งรอ้ ยละ 85.30 ซง่ึ ปัจจยั ดา้ นครอบครัวท่ีมีความสมั พันธ์กับความก้าวหน้าทางการเรียน ของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ การยอมรับปัญหาการเรียนรู้ของเด็ก การที่ครอบครัวมีส่วนร่วม วินัยในการเลี้ยงดู และบทบาทของครอบครัวในการส่งเสริมการเรียนรู้เฉพาะ บุคคล (Switzer, Lynn Stoll, 1990) ในการจัดสรรเวลาของพ่อแม่ ผู้ปกครองในการทำกิจกรรมครอบครัว ร่วมกันกับเด็ก โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกมีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ย่อมที่จะเหนื่อยและมีความเครียด มากกว่าครอบครัวที่มีเด็กทั่วไป จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจ เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะความบกพร่องของลูก (วัชรินทร์ ฮ่ำรัตนาพร และคณะ, 2551) ยอมรับสภาพที่ลูกเป็น ข้อจำกัดของลูก และปรับความคาดหวังของ ตนเองกับลูกตามความเป็นจริง ศึกษาหาความรู้จากเอกสาร แผ่นพับ คู่มือ หรือเข้ารับการฝึกอบรม รวมทั้งมี 158
เพื่อนที่มีลูกมีปัญหาเหมือนกัน พร้อมทั้งปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เหมาะสม และปรับวิธีช่วยเหลือด้านการเรียน ครอบครัวต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน พูดคุย ซักถาม เพื่อลดความตึงเครียดทัง้ การคุยกับสมาชิกในครอบครวั และพูดคุยซักถามกับกลุ่มเพื่อนที่มีลูกมีปัญหาเหมือนกัน และการพูดคุยซักถามแพทย์พยาบาล เพื่อให้เผชิญ กับปัญหาได้อย่างเหมาะสม และชี้ให้เห็นข้อดีในตัวเด็ก ปรับเปลี่ยนวิธีเลี้ยงเด็กของผู้ปกครอง โดย ลดการ ตามใจหรือให้ความช่วยเหลือมากเกินไป ฝึกฝนให้มีความสามารถรอบด้านและปรบั วิธีการฝึกสอน อย่าตำหนิ คาดโทษ ให้ฝึกให้กำลังใจ ชื่นชมเด็ก ให้เด็กช่วยเหลือทำงานบ้าน (วินัดดา ปิยะศิลป์ และวันดี นิงสานนท์ , 2558) ดังนั้น การที่เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้จะสามารถใช้ชีวิตในครอบครัว และในสังคมได้ ครอบครัวมสี ว่ นสำคญั ย่งิ ทจี่ ะเขา้ ใจในอาการภาวะบกพร่องทางการเรยี นรทู้ ลี่ กู เป็นอยู่ 5.4 ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อการพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนโดยโรงเรียน ครอบครัว และชุมชน โครงการพยายามให้ โรงเรียนตั้งเครือข่าย โดยจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของครูทั้ง 6 โรงเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ สื่อและ กระบวนการสอน รวมทั้งรูปแบบการแก้ปัญหาแก่เด็กเนื่องจากทั้ง 6 โรงเรียนมีบริบทสภาพแวดล้อม และ ปัญหาที่ใกล้เคียงกันทำให้เกิดการร่วมมือกันในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู ส่งเสริมเด็กร่วมกัน นอกจากนั้น ปัญหา ความบกพร่องด้านสติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็ก มีผลเกิดจากสารหนู แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปัญหาความยากจน เพราะการยตุ กิ ารประกอบกิจการเหมืองไป ทำใหพ้ ่อแม่เด็กขาดรายไดท้ ำให้ตอ้ งไปทำงาน ไกลขึ้น ขาดความใกล้ชิดกับลูก เด็กจึงต้องถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าตายายมากขึ้น ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการ เลี้ยงดูเด็ก นอกจากนั้น พบว่า เด็กทำกิจกรรมการเล่นสร้างสรรค์ลดลง แต่ไปอยู่กับโซเชียลมีเดีย เล่นมือถือ มากเกินไป จึงเกดิ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้เช่นกนั ซ่งึ หากจะมกี ารอนุญาตใหป้ ระกอบกิจการเหมืองต่อ ในพ้นื ที่ รฐั บาลตอ้ งทบทวนให้ดีวา่ จะมีมาตรการทีช่ ัดเจนอย่างไรท่จี ะป้องกันสารพิษจากโลหะหนักกับเด็กและ ชุมชนโดยรอบอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรไม่ให้ผลกระทบหวนกลับมาอีก หรือเมื่อกลับมาควรจะต้องมี วิธีการควบคุมที่เข้มข้นยิ่งกวา่ เดิม ส่วนเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสารพิษก็ยังจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลอื ฟืน้ ฟูกันอยู่ต่อไปในระยะยาว โดยสถาบนั แหง่ ชาตเิ พ่ือการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ยังคง มุ่งเป้าหมายในการเปน็ หน่วยงานกลางทางวชิ าการที่เน้นสรา้ งและขับเคลื่อนองค์ความรู้ไปใช้จริงในการพัฒนา เด็ก และครอบครัว ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานท้องถิ่นด้านสาธารณสุขและ การศึกษาให้มีมาตรการต่อเนื่องในการเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบกับเด็กอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเพ่ือ นำไปสู่การชว่ ยเหลือเดก็ ไดท้ ันท่วงทีเป็นการแก้ไขปัญหาอยา่ งยั่งยนื ใหเ้ ด็กในวันนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ในอนาคต และยังสามารถเป็นรูปแบบในการขยายผลงานวิจัยในพื้นที่เสี่ยงอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งตรงกับ ยทุ ธศาสตร์ชาติทเี่ นน้ การพฒั นาศักยภาพเดก็ ไทยทุกคนต่อไป เพื่อเผยแพร่และขยายผลการวิจัยในวงกว้างโครงการได้จัดทำบทสรุปและข้อเสนอแนะนำในเชิง นโยบาย จดั สง่ ให้แกห่ น่วยงานภาครัฐทั้ง 15 ผเู้ กยี่ วข้องในหนว่ ยงานภาครัฐ รวมทง้ั หนว่ ยงานที่ขอข้อมูลไปใช้ ในการเสริมและขับเคลื่อนงานระดับนโยบายต่อไป ดังนี้ อธิบดีกรมอนามัย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 159
เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนสหประชาชาติประจำ ประเทศไทย ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประเทศไทย ประธานมูลนิธิบูรณะนิเวศ ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ แห่งประเทศไทย อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัด พษิ ณุโลก และผวู้ ่าราชการจงั หวัดเพชรบรู ณ์ รวมท้งั ภาคสงั คมทเี่ กย่ี วขอ้ ง 1. หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบระดับสารหนูในสภาพแวดล้อม ดิน น้ำ อาหาร ต้องทำการตรวจอย่าง สม่ำเสมอ และรายงานผลแก่สาธารณะใหร้ ับรู้ขอ้ มลู ได้โดยง่ายและชัดเจน 2. จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กจากสารพิษต่างๆ และปรับปรุงแก้ไขทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ อาจส่งผลกระทบตอ่ การสมั ผัสสารหนอู นินทรยี ์ และสารพษิ ในเดก็ ได้ โดยหนว่ ยงานสาธารณสขุ ในพ้ืนที่ 3. จัดหาพื้นที่เล่น เรียนรู้ในชุมชนแก่เด็กและครอบครัวที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะสติปัญญา การเรียนรู้ และรเู้ ท่าทันตนเองในการดแู ลป้องกนั ตัวเองในสง่ิ แวดล้อม สารพษิ ในพน้ื ท่ที ่อี าศยั อยู่ 4. พัฒนาศักยภาพพ่อแม่โดยให้ความรู้ความเข้าใจแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองในการเลี้ยงดูเด็กที่ถูกต้อง เช่น เทคนิคการส่ือสารกับเด็กเพอ่ื สมั พันธภาพที่ดี การดแู ลการใช้เทคโนโลยีจอภาพในเด็กเปน็ ต้น 5. พัฒนาศักยภาพครู Professional Learning Community ในการพัฒนาทักษะสติปัญญา การเรียนรู้ และรู้เท่าทนั ตนเองในการดแู ลป้องกันตัวเองในเดก็ โดยการอบรมเชงิ ปฎิบตั กิ ารและตดิ ตาม 6. ดำเนินนโยบายแบบเฝ้าระวังเพื่อลดความเสี่ยง โดยทำการประเมินผลกระทบจากการรับสัมผัสสาร โลหะหนกั ในเด็กอยา่ งตอ่ เน่ือง เพ่ือนำไปสกู่ ารดูแลแก้ไขท่ที ันทว่ งที ตรงจุดและมปี ระสิทธิภาพตอ่ ไป 7. เฝ้าระวังและค้นหาแหล่งกำเนิดของสารหนูอนินทรีย์และสารพิษอื่นๆในสิ่งแวดล้อม และทำการ ปรับปรุงแก้ไขการกระจายจากแหลง่ นน้ั ๆ 8. ประสานงานกับหนว่ ยงานทางด้านการศึกษาในพ้นื ทีใ่ นการประเมนิ ทกั ษะทักษะสตปิ ัญญา การเรียนรู้ เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง รวมท้ังหาสาเหตุอื่นๆที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการศึกษาของเด็ก และฟื้นฟูทักษะด้าน สตปิ ญั ญา การเรยี นรู้ในเดก็ อย่างทันทีและตอ่ เน่ือง 9. พัฒนาระบบและกลไกการทำงานบรู ณาการร่วมกนั ระหวา่ งครอบครัว ชมุ ชน โรงเรียน หน่วยงานด้าน สาธารณสุขและหนว่ ยงานการศึกษาในพ้ืนที่ 160
บรรณานกุ รม บรรณานุกรม (ภาษาไทย) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2560). รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการใน ประเทศไทย ณ เดือนกันยายน พ.ศ. 2560. กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความม่นั คงของมนุษย์. กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข. (2553). รายงานการพัฒนาพัฒนาระบบการติดตามตรวจสอบ ผลกระทบต่อสขุ ภาพจากโครงการเหมืองแรใ่ นพื้นที่นำร่อง 3 จังหวดั (จังหวดั ราชบุรี จงั หวัดสุพรรณบรุ ี และ จงั หวัดพิจิตร). กรมอนามัย และ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2558). แนวทางการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง กรณีเหมอื งแรท่ องคำ.สืบค้นจาก: hia.anamai.moph.go.th/download/hia/manual/book/book39.pdf กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย.์ (2552). ประกาศกระทรวงการพัฒนาสงั คม และความมนั่ คงของมนษุ ย์ เร่ือง ประเภทและหลกั เกณฑ์ความพกิ าร. เรียกใชเ้ มอื่ 22 พฤษภาคม 2561 จาก กรมส่งเสริมและพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ คนพิการ: http://dep.go.th/?q=th/node/523 กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ ของคนพิการทางการศึกษา พ.ศ. 2552. เรียกใช้เมื่อ 22 พฤษภาคม 2561 จาก สำนักงานคณะกรรมการการ อ ุ ด ม ศ ึ ก ษ า : http: / / www. mua. go. th/ users/ he- commission/ doc/ law/ ministry% 20law/ 1- 42%20handicap%20MoE.pdf โครงการศึกษาการปนเป้อื นและการวางเครือข่ายเฝา้ ระวังการปนเปอ้ื นของสารพษิ ในแหลง่ น้ำใต้ดนิ ในพ้นื ท่ีอาเภอทับคล้อ อำเภอวงั ทรายพนู จงั หวัดพิจิตร และอำเภอวงั โปง่ จังหวดั เพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัน ขอนแก่น.(2553). ดารณี ธนวฒั น์. (2555). ผลของกิจกรรมทางศิลปะท่ีมีต่อการพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์และสมาธิของ เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรยี นร.ู้ คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจา้ คุณ ทหารลาดกระบัง. ผดงุ อารยะวญิ ญ.ู (2542). เดก็ ทีม่ ปี ัญหาในการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: P.A. Art & Printing Co.,LTD. ภาสุรี แสงศุภวานิช และคณะ. (2554). รายงานการคัดกรองโรคสมาธสิ ั้นและความบกพรอ่ งด้านการ เรียนในโรงเรียน. โครงการประเมนิ เทคโนโลยีและนโยบายสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. มาณกิ า เพชรรตั น.์ (2554). ปจั จัยทำนายความเสยี่ งตอ่ ภาวะซึมเศร้าในเด็กวัยรุ่นที่มคี วามผดิ ปกติของ การเรยี นรู้. (วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบญั ฑิต). บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหดิ ล. รายงานการวเิ คราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมโครงการขยายโรงประกอบโลหะกรรมแร่ทองคำ บริษัท อัคราไมน่ิง จำกัด. (2558). 161
วัชรินทร์ ฮ่ำรัตนาพร และคณะ. (2551). สร้างด้วยใจเพื่อเด็กแอลดี. สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ. วินัดดา ปิยศิลป์, และ วันดี นิงสานนท์. (2558). คู่มือการตรวจประเมิน วินิจฉัย และแนวทาง ช่วยเหลอื เดก็ พิการ Children with Disabilities. กรุงเทพมหานคร: ราชวทิ ยาลยั กุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย สมาคมกมุ ารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย. วีระศักดิ์ ชลไชยะ. (2561). พัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก เล่ม 4. กรุงเทพฯ: บริษัท พี.เอ. ลีฟว่ิง จำกัด สถาบนั ราชานุกูล. (2555). เดก็ แอลดี คู่มอื สำหรับพอ่ แม/่ ผปู้ กครอง. บียอนด์ พับลสิ ช่งิ . สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต. (2558). คู่มือการดูแลเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม-อารมณ์ สำหรบั บคุ ลากรสาธารณสขุ . กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรมณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . สมลักษณ์ กอกุลจันทร์. (2558). ผลของโปรแกรมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมต่อพฤติกรรมการดูแล เด็กของผู้ดูแลเด็กที่มีภาวะบกพร่องด้านการเรียน. (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต) สาขาการ พยาบาลจิตเวชและสุขภาพจติ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579. กรุงเทพมหานคร: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จำกดั . สำนักงานสถิตแิ ห่งชาติ. (2550). การสำรวจความพิการ พ.ศ. 2550 (The 2007 Disability Survey). กรุงเทพมหานคร: กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร. อดิศักดิ์ ผลติ ผลการพมิ พ์ และคณะ. (2559). สรปุ ผลการตรวจประเมินสขุ ภาพเด็กที่อาศัยอยูใ่ น บริเวณชุมชนรอบเหมอื งทองจังหวดั เพชรบรู ณ์ พษิ ณโุ ลก และพิจติ ร. ศูนยว์ จิ ัยเพื่อสรา้ งเสรมิ ความปลอดภัยใน เด็ก หน่วยเวชศาสตร์ผู้ปว่ ยนอกเด็กและวยั รนุ่ ภาควิชากมุ ารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธบิ ดี. อดิศักด์ิ ผลิตผลการพมิ พ.์ (2550). สารตะกวั่ ในเด็ก เอกสารประกอบงานสัมมนา เรอ่ื งสีปลอดสาร ตะกัว่ นโยบายทเี่ ปน็ จริงได้. สืบคน้ จาก: https://www.isranews.org/isranews- article/download/908/24566/18.html วิจารณ์ พานชิ . (2556). การสร้างการเรียนรสู้ ูศ่ ตวรรษที่ 21. ใน งานประชมุ เชิงปฏิบัติการขบั เคล่ือน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (1 พฤษภาคม 2556) ณ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. กรุงเทพ: มูลนิธิสยามกัมมาจล. สำนักกรรมาธิการ 3 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภา ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ. (2559). รายงานคณะกรรมาธิการขับเคลือ่ นการปฏิรูปประเทศดา้ นสาธารณสุข และสง่ิ แวดลอ้ มสภาขบั เคลอื่ นการปฏิรูปประเทศเรอ่ื ง “การปฏริ ปู ความรอบรูแ้ ละการส่ือสาร ส ุ ข ภ า พ ” . กรุงเทพ: สภาขบั เคลอื่ นการปฏริ ูปประเทศ. อัญชลี จุมพฎจามีกร. (2557). เชาวน์ปัญญาคืออะไร ?. สืบค้นเมื่อ วันเดือนปี จาก https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/child/05152014-1100 162
ดารณี อทุ ัยรตั นกิจ และคณะ.(2555). แบบทดสอบทักษะพ้ืนฐานทางวิชาการ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ บริษทั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จำกดั บรรณานุกรม (ภาษาองั กฤษ) Abdul KS, Jayasinghe SS, Chandana EP, Jayasumana C, De Silva PM. (2015).Arsenic and human health effects: A review. Environ Toxicol Pharmacol, 40, 828-46. Agency for Toxic Substances and Disease Registry ( ATSDR) . ( 2006) . ToxGuideTM for Cyanide CN. U.S. Department of Health and Human Services, Public Health Services. Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR). (2007). Toxicological Profile for Arsenic. Atlanta, GA: U.S. Department of Health and Human Services, Public Health Services. Agency for Toxic Substances and Disease Registry ( ATSDR) . ( 2012) . ToxGuideTM for Manganese Mn. U.S. Department of Health and Human Services, Public Health Services. Aitio A, Kiilunen M, Santonen T, Nordberg M. ( 2 0 1 5 ) . Chapter 3 8 – Gold and Gold Mining. Handbook on the Toxicology of Metals (Fourth Edition). San Diego: Academic Press. Anderson P. J. (2008). Towards a developmental model of executive function. Neuropsychology, neurology, and cognition. Executive functions and the frontal lobes: A lifespan perspective (p. 3–21). Annual Epidemiological Surveillance Report (Thailand) 2010 ISSN 0857-6521. (http://epid.moph.go.th) Arnsten A.F. (2015) Stress weakens prefrontal networks: molecular insults to higher cognition. Nat Neurosci. Oct;18(10):1376-85. doi: 10.1038/nn.4087. Bellinger DC, Adams H. ( 2 0 0 1 ) . Environmental pollutant exposures and children’ s cognitive development. In: Sternberg RJ, Grigorenko EL, editors. Environmental effects on cognitive abilities. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum Associates. P. 157–88. Bellinger DC, Adams H. (2001).Environmental pollutant exposures and children’s Best J.R. and Miller P.H. (2010) A developmental perspective on executive function. Child Development. 81(6), 1641–1660. Calderon J, Navarro ME, Jimenez-Capdeville ME, Santos-Diaz MA, Golden A, Rodriguez- Leyva I, et al. (2001). Exposure to arsenic and lead and neuropsychological development in Mexican children. Environ Res, 85, 69–76. 163
Calderon J, Navarro ME, Jimenez-Capdeville ME, Santos-Diaz MA, Golden A, Changul C, Sutthirat C, Padmanahban G, Tongcumpou C. ( 2 0 1 0 ) . Chemical characteristics and acid drainage assessment of mine tailings from Akara Gold mine in Thailand. Environmental Earth Sciences, 60,1583-95. Changul C, Sutthirat C, Padmanahban G, Tongcumpou C. ( 2010) . Chemical characteristics and acid drainage assessment of mine tailings from Akara Gold mine in Thailand. Environmental Earth Sciences, 60,1583-95. Chen M, Lu W, Hou Z, Zhang Y, Jiang X, Wu J. ( 2 0 0 7 ) . Heavy metal pollution in soil associated with a large-scale cyanidation gold mining region in southeast of Jilin, China. Environ Sci Pollut Res Int, 24, 3084-96 Chen P, Culbreth M, Aschner M. (2016). Exposure, epidemiology, and mechanism of the environmental toxicant manganese. Environ Sci Pollut Res Int, 23, 13802-10. Chotpantarat S, Chunhacherdchai L, Wikiniyadhanee R, Tongcumpou C. (2015). Effects of humic acid amendment on the mobility of heavy metals (Co, Cu, Cr, Mn, Ni, Pb, and Zn) in gold mine tailings in Thailand. Arabian Journal of Geosciences, 8, 7589-600. Cognitive development. In: Sternberg RJ, Grigorenko EL, editors. Environmental effects on cognitive abilities. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum Associates. P. 157–88. Diamond A. (2013) Activities and Programs That Improve Children’s Executive Functions. Current Directions in Psychological Science. 21(5), 335–341. Diamond A. ( 2 0 1 4 ) Executive Functions. Annu Rev Psychol. 6 4 , 1 3 5 – 1 6 8 . doi: 10.1146/annurev-psych-113011 -143750. Duker AA. (2009). Environmental impact and health risk of gold mining in Ghana. In: Corral MD, Earle JL, editors. Gold Mining: Formation and Resource Estimation, Economics and Environmental Impact: Nova exposure from drinking water on the neurobehavioral development in adolescence. Neurotoxicology , 24 ,747–53 Escudero- Lourdes, C. ( 2016) . Toxicity mechanisms of arsenic that are shared with neurodegenerative diseases and cognitive impairment: Role of oxidative stress and inflammatory responses. Neurotoxicology, 53, 223-235. Erikson, K. M., Dobson, A. W., Dorman, D. C., & Aschner, M. (2004). Manganese exposure and induced oxidative stress in the rat brain. Science of the total environment, 334, 409-416. 164
Francesca Gorini, Filippo Muratori, Maria Aurora Morales. The Role of Heavy Metal Pollution in Neurobehavioral Disorders: a Focus on Autism. Rev J Autism Dev Disord. (2014). 1:354–372 Gilbert S.J., Burgess P.W. (2008). Executive Function. Current Biology.18 R110-R114. Nation forum on early childhood policy and program. Gray, K. M. ( 2 0 1 8 ) . From content knowledge to community change: A review of representations of environmental health literacy. International journal of environmental research and public health, 15(3), 466. Grandjean P, Landrigan PJ. (2006). Developmental neurotoxicity of industrial chemicals. The Lancet, 368, 2167-78. Khan K, Wasserman GA, Liu X, Ahmed E, Parvez F, Slavkovich V, et al. (2012). Manganese exposure from drinking water and children’s academic achievement. Neurotoxicology, 33, 91- 7. Laohaudomchok W, Lin X, Herrick RF, Fang SC, Cavallari JM, Christiani DC, et al. (2011). Toenail, blood, and urine as biomarkers of manganese exposure. J Occup Environ Med, 5 3 , 506-10. Liu, J. , Gao, Y. , Liu, H. , Sun, J. , Liu, Y. , Wu, J. , . . . & Sun, D. ( 2 0 1 7 ) . Assessment of relationship on excess arsenic intake from drinking water and cognitive impairment in adults and elders in arsenicosis areas. International journal of hygiene and environmental health, 220(2), 424-430. Moffitt T.E., et al. (2011) A gradient of childhood self-control predicts health, wealth, and public safety. Proc Natl Acad Sci U S A. Feb 15;108(7):2693-8. doi: 10.1073/pnas.1010076108. Munday SW. ( 2 0 1 5 ) . Arsenic. In: Hoffman RS, Howland MA, Lewin NA, Nelson LS, Goldfrank LR, editors. Goldfrank’s Toxicologic Emergencies, 10ed. New York, NY: McGraw-Hill Education O’Bryant, S.E., Edwards, M., Menon, C.V., Gong, G., Barber, R., (2011). Long-termlow- level arsenic exposure is associated with poorer neuropsychologicalfunctioning: a project FRONTIER study. Int. J. Environ. Res. Public Health, 8, 861–874. O’Neal SL, Zheng W. (2015). Manganese Toxicity Upon Overexposure: a Decade in Review. Current Environmental Health Reports , 2, 315-28. 165
Rager JE, Bailey KA, Smeester L, Miller SK, Parker JS, Laine JE, et al. (2014). Prenatal arsenic exposure and the epigenome: altered microRNAs associated with innate and adaptive immune signaling in newborn cord blood. Environ Mol Mutagen, 55, 196-208. Riojas- Rodriguez H, Solis- Vivanco R, Schilmann A, Montes S, Rodriguez S, Rios C, et al. ( 2 0 1 0 ) Intellectual function in Mexican children living in a mining area and environmentally exposed to manganese. Environ Health Perspect, 118, 1465-70. Rodriguez-Leyva I, et al. (2001). Exposure to arsenic and lead and neuropsychological development in Mexican children. Environ Res, 85, 69–76. Scanlon, DM, Anderson KL,Sweeney JM. ( 2017) . Early intervention for reading difficulties, 2nd edition. New York, NY: Guilford. Selena C, Carolyn H, Lisa I, Fernando L, Joan C, Lara C, et al. (2007).Toxicological profile for arsenic. In: Agency for Toxic Substances and Disease Rigistry, editor. Atlanta, Georgia. Stanovich KE. ( 1986) . Matthew effects in reading: Some consequences of individual differences in the acquisition of literacy. Reading Research Quarterly, 21, pp.363. Torres-Agustin R, Rodriguez-Agudelo Y, Schilmann A, Solis-Vivanco R, Montes S, Riojas- Rodriguez H, et al. (2013). Effect of environmental manganese exposure on verbal learning and memory in Mexican children. Environ Res, 121, 39-44. Tsai SY, Chou HY, The HW, Chen CM, Chen CJ. (2003). The effects of chronic arsenic exposure from drinking water on the neurobehavioral development in adolescence. Neurotoxicology , 24 ,747–53. Tsai SY, Chou HY, The HW, Chen CM, Chen CJ. (2003). The effects of chronic arsenic Wasserman GA, Liu X, Parvez F, Factor-Litvak P, Ahsan H, Levy D, et al. (2011).Arsenic and manganese exposure and children’s intellectual function. NeuroToxicology, 32, 450-7. Williams M, Todd GD, Roney N, Crawford J, Coles C, McClure PR, et al. (2012). Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR) Toxicological Profiles. Toxicological Profile for Manganese. Atlanta (GA): Agency for Toxic Substances and Disease Registry (US). Merriam-Webster. (n.d.). Definition of intelligence. ส ื บ ค ้ น เ ม ื ่ อ ว ั น เ ด ื อ น ป ี จ า ก https://www.merriam-webster.com/dictionary/intelligence 166
ภาคผนวก 167
ภาคผนวก ก รปู ภาพผลงานวิจยั และ การนำไปใช้ประโยชน์ ภาพที่ 1. เพื่อการเผยแพร่งานวิจัยแก่สังคมได้มีการจัดแถลงข่าวผลการวิจัยในวันที่ 4 ต.ค 2562 ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว และส่งผลงานวิจัยเบื้องต้นแก่ 15 หน่วยงานภาครัฐท่ี เกยี่ วข้อง รวมท้งั จัดสง่ ใหห้ นว่ ยงานภาครัฐทีข่ อข้อมูลไปใช้ในการขบั เคลื่อนงานระดับนโยบายต่อไป ภาพที่ 2. เวทีแนะนำและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูทั้ง 6 โรงเรียน ในพื้นที่โครงการวิจัย ณ โรงเรียน ไทยรัฐวทิ ยา จงั หวดั พิจติ ร 168
ภาพที่ 3. เวทีแนะนำและแลกเปลย่ี นเรียนรู้กบั ผูป้ กครอง ในพน้ื ทโี่ ครงการวิจัย ณ โรงเรียนวังชะนาง จงั หวดั เพรชบูรณ์ ภาพที่ 4. กิจกรรมประเมินทักษะสติปัญญา การเรียนรู้คิด การรู้เท่าทันสุขภาพนักเรียนในพื้นท่ี โครงการวิจัย ณ โรงเรียนวังชะนาง จงั หวัดเพรชบูรณ์ 169
ภาพที่ 5. กิจกรรมอบรมให้ความรู้ครูในการประเมินและส่งเสริมทักษะสติปัญญา การเรียนรู้คิด รวมทงั้ ทำสือ่ การอ่าน เขยี นสง่ เสริมนกั เรียนในพืน้ ท่ีโครงการวจิ ยั ณ โรงเรยี นไทยรฐั วิทยา จงั หวดั พจิ ติ ร ภาพท่ี 6. กิจกรรมอบรมเชิงปฎบิ ัติการเพ่ือสง่ เสรมิ ทักษะสติปัญญา การเรยี นรคู้ ดิ รวมท้งั ทำส่อื การอ่าน เขียน เพื่อส่งเสริมนักเรยี นในพื้นท่ีโครงการวจิ ยั ณ โรงเรียนไทยรัฐวทิ ยา จงั หวดั พจิ ติ ร ภาพที่ 7. ชดุ กจิ กรรมอบรมใหค้ วามรู้ครูในการประเมนิ และส่งเสริมการรู้เท่าทันสุขภาพ เพื่อนำไปสง่ เสริม นกั เรียนในพ้นื ท่ีโครงการวิจยั ท้งั 6 โรงเรยี น 170
ภาพที่ 8-10. ครูทำกิจกรรมและสื่อส่งเสริมทักษะสติปัญญา การเรียนรู้คิด การอ่าน การเขียน การ รู้เท่าทนั สขุ ภาพแก่เด็ก สง่ เสรมิ นักเรยี นในพืน้ ท่โี ครงการวจิ ัยทัง้ 6 โรงเรียน 171
ภาคผนวก ข. เอกสารรบั รองจรยิ ธรรม 172
ภาคผนวก ค. เครอ่ื งมอื แบบทดสอบทใี่ ชใ้ นโครงการวิจัย 1. Task of Executive Function 2. Behavior Rating Inventory of Executive Function (BRIEF) แบบประเมินทักษะการคิดเชงิ บริหาร 173
3. Test of Nonverbal Intelligence 4. เเบบสอบทกั ษะพนื้ ฐานทางวชิ าการ Kasetsart Basic Academic Skills Test (KBAST) 174
5. Visual motor Integration 175
ภาคผนวก ง. แบบสอบถามความรู้และพฤตกิ รรมการปอ้ งกนั ตนเองจากสารพษิ โครงการวจิ ยั เพ่อื ตดิ ตามผลกระทบจากสารอารเ์ ซนกิ แมงกานีส ไซยาไนด์ และฟื้นฟภู าวะบกพร่องทาง สติปัญญา กระบวนการรคู้ ดิ และการเรียนรใู้ นเด็กประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 คำชี้แจง แบบสอบถามประกอบด้วย 4 สว่ น ดังน้ี ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เพศ อายุ ระดับการศึกษา การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสารพิษ อาชีพของ ผู้ปกครอง ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความร้ใู นการปอ้ งกันตนเองจากสารพษิ จำนวน 10 ขอ้ ส่วนที่ 3 แบบสอบถามทัศนคติเกยี่ วกบั การปอ้ งกนั ตนเองจากสารพิษ จำนวน 8 ข้อ สว่ นท่ี 4 แบบสอบถามการปฏิบัติตนเกยี่ วกบั การปอ้ งกนั ตนเองจากสารพษิ จำนวน 10 ข้อ ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป เพศ อายุ ระดับการศึกษา การได้รับข้อมลู ขา่ วสารเกี่ยวกบั สารพิษ ทำเครอ่ื งหมาย / ลงในช่องทต่ี รงกับนกั เรียนมากทส่ี ุด 1. เพศ 1) ชาย 2) หญิง 2. อายุ 1) 9 ปี 2) 10 ปี 3) 11 ปี 4) 12 ปี 5) 13 ปี 6) 14 ปี 3. ระดบั การศึกษา 1) ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 2) ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 3) ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 4. นกั เรยี นไดร้ บั ขอ้ มลู ข่าวสารเก่ยี วกับสารพษิ จากช่องทางใด (เลอื กตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ) 1) บคุ คลในครอบครัว 2) คุณครู 3) เพื่อนนกั เรียน 4) คนในชมุ ชน 5) เจ้าหนา้ ที่สาธารณสุข 6) โทรทศั น์ 7) วทิ ยุ 8) อนิ เทอร์เนต็ ไดแ้ ก่ Facebook Line 9) แผน่ ป้ายประชาสัมพันธ์ 10) หนงั สอื พิมพ์ 11) อื่นๆ ระบุ.................................................. 5. อาชีพทผี่ า่ นมาของผู้ปกครอง 2) พนกั งานบรษิ ทั เอกชน 1) ข้าราชการ 4) พนักงานโรงงานอุตสาหกรรม 3) พนกั งานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ 6) คา้ ขาย 5) รบั จ้างท่ัวไป 176
7) เกษตรกร 8) อื่น ๆ .......................................................... 6. อาชีพในปจั จุบันของผูป้ กครอง 1) ข้าราชการ 2) พนักงานบริษัทเอกชน 3) พนกั งานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ 4) พนักงานโรงงานอตุ สาหกรรม 5) รับจ้างทว่ั ไป 6) ค้าขาย 7) เกษตรกร 8) อน่ื ๆ ............................................................. สว่ นที่ 2 แบบสอบถามความรูใ้ นการป้องกันตนเองจากสารพษิ จำนวน 10 ข้อ ทำเครอ่ื งหมาย x ในขอ้ ท่ถี กู ต้องที่สดุ เพยี งข้อเดยี ว 1. สารพิษ สามารถเข้าสู่รา่ งกายของมนุษย์ผา่ นทางช่องทางใดไดบ้ ้าง ก. ทางการหายใจ ทางปาก ข. ทางการหายใจ ทางปาก ทางผวิ หนัง ค. ทางการหายใจ ทางผวิ หนัง ง. ทางปาก ทางผวิ หนัง 2. ขอ้ ใดต่อไปนี้เป็นการป้องกนั สารพิษเข้าสู่รา่ งกายทางการหายใจ ก. สวมใสห่ นา้ กากอนามัยกอ่ นออกไปสู่พน้ื ท่โี ลง่ แจง้ หรอื นอกอาคาร ข. ไมอ่ อกไปว่ิงเล่นในทโ่ี ลง่ แจ้ง หรอื สนามเด็กเล่น ค. ถกู ทั้ง ก และ ข ง. สวมรองเทา้ ทกุ คร้ังเมอื่ ออกจากบา้ น 3. ขอ้ ใดตอ่ ไปนเ้ี ป็นการปอ้ งกันสารพษิ เขา้ สูร่ ่างกายทางการสัมผัสผิวหนงั ก. สวมใส่หน้าอนามยั กอ่ นออกไปสู่พ้ืนทโ่ี ลง่ แจ้ง หรือนอกอาคาร ข. ลา้ งมือทกุ ครั้งกอ่ นรับประทานอาหาร ค. ใส่เสื้อผา้ ทมี่ ดิ ชิดและสวมรองเทา้ ทกุ คร้ังเม่อื ออกจากบ้าน ง. ไมอ่ อกไปวิ่งเล่นในท่โี ล่งแจ้ง หรอื สนามเด็กเลน่ 4. สารพษิ สามารถปะปนมากบั สง่ิ ใดต่อไปนี้ ก. พนื้ ดนิ ข. นำ้ ค. อากาศ ง. ถกู ทกุ ข้อ 5. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ี มสี ว่ นประกอบของแมงกานสี ก. ไฟฉาย ข. อาหารไก่ 177
ค. อฐิ ง. ถูกทุกข้อ 6. ขอ้ ใดตอ่ ไปนเ้ี ป็นการปอ้ งกันสารพษิ เขา้ สู่ร่างกายทางปาก ก. สวมใสห่ น้ากากอนามยั ก่อนออกไปสู่พ้ืนทีโ่ ล่งแจง้ หรอื นอกอาคาร ข. ล้างมือทกุ ครงั้ ก่อนรบั ประทานอาหาร ค. ไมอ่ อกไปว่ิงเลน่ ในท่ีโลง่ แจ้ง หรือสนามเดก็ เล่น ง. ใสเ่ ส้อื ผ้าทม่ี ิดชิดและสวมรองเท้าทกุ ครงั้ เมื่อออกจากบา้ น 7. “สารพิษปนเปื้อนในแหล่งน้ำ เมื่อคนรับประทานปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำจะทำให้สารพิษสะสมในร่างกายได”้ จากข้อความดงั กล่าวถือเป็นผลกระทบในข้อใด ก. การตกค้างในดนิ ข. การทำลายสมดลุ ของระบบนเิ วศ ค. การสะสมของสารพิษในห่วงโซ่อาหาร ง. การทำลายทรัพยากรแหลง่ นำ้ 8. เหตุการณใ์ ดต่อไปนี้ ทำใหน้ ักเรยี นมีโอกาสไดร้ บั สัมผัสสารพิษจากแหล่งนำ้ ก. การรบั ประทานปลา จากแม่นำ้ ลำคลอง ในพน้ื ที่ปนเปอ้ื น ข. การด่มื นำ้ จากแม่น้ำ ลำคลอง ในพ้ืนทีป่ นเปอ้ื น ค. การรับประทานมนั หรือ เผือก ง. ก และ ข 9. ขอ้ ใดต่อไปน้ีถกู ต้อง ก. การตม้ นำ้ ให้เดอื ดไม่ช่วยกำจัดสารหนู ข. การตม้ น้ำให้เดอื ดช่วยกำจัดสารหนู ค. การทอดอาหารใหส้ กุ ช่วยกำจดั สารหนู ง. การทอดอาหารใหส้ กุ ไม่ชว่ ยกำจดั สารหนู 10. หลังกลับจากโรงเรียน เราควรปฏิบัติตามข้อใดต่อไปนี้เป็นลำดับแรก เพื่อป้องกันตนเองจากสารพิษใน สภาพแวดล้อม ก. เล่นของเลน่ ข. ดม่ื นำ้ รับประทานอาหาร ค. ล้างมอื ล้างเทา้ อาบนำ้ ง. นอนหลบั พกั ผอ่ น 178
สว่ นที่ 3 แบบสอบถามทศั นคติเกีย่ วกับการป้องกนั ตนเองจากสารพษิ จำนวน 8 ข้อ ทำเครอื่ งหมาย / ลงในช่องทต่ี รงกบั ความคิดเหน็ ของนักเรยี นมากท่ีสดุ ข้อที่ ขอ้ ความ ระดบั ของทัศนคติ เหน็ ดว้ ย ไม่แนใ่ จ ไมเ่ ห็นดว้ ย 1 เดก็ ๆ คดิ วา่ “สารพิษเป็นสารทไ่ี ดร้ บั เปน็ ประจำ รา่ งกายเกิดความ เคยชนิ จงึ ไม่มผี ลกระทบต่อสุขภาพ” 2 เด็ก ๆ คิดวา่ “คนท่รี ่างกายอ่อนแอเทา่ น้ันที่ไดร้ ับอันตรายจาก สารพิษ” 3 เดก็ ๆ คิดว่า “เสอื้ ผา้ ของพ่อแม่ผู้ปกครองท่ีทำงานในแหล่ง อตุ สาหกรรม ไม่ควรซักรวมกับเสอ้ื ผ้าอน่ื ” 4 เดก็ ๆ คิดวา่ “ควรสวมใสห่ น้ากากอนามัยกอ่ นออกไปสู่พน้ื ที่โลง่ แจ้ง หรอื นอกอาคาร เมื่ออยู่อาศัยใกล้กบั แหลง่ อุตสาหกรรม” 5 เดก็ ๆ คดิ วา่ “คนท่ีมรี ่างกายแขง็ แรง เม่ือสมั ผัสกบั สารพิษ กจ็ ะไม่ เป็นอันตรายได้” 6 เด็ก ๆ คดิ วา่ “ควรจะบอกผใู้ หญ่ หรือคนในชุมชน หากพบแหล่งนำ้ ในชมุ ชนมีสแี ละกลิ่นท่ีผิดปกติ” 7 เด็ก ๆ คดิ วา่ “สนามเด็กเล่นทง้ั ทบ่ี า้ นและโรงเรยี นก็พบสารพษิ ได้” 8 เด็ก ๆ คดิ วา่ “ผกั และผลไม้ท่ีปลกู ในบริเวณแหลง่ อุตสาหกรรมนน้ั จะมีสารพิษปนเป้ือนได้” 179
ส่วนท่ี 4 แบบสอบถามการปฏบิ ัตติ นเกี่ยวกบั การปอ้ งกันตนเองจากสารพษิ จำนวน 10 ข้อ ทำเคร่ืองหมาย / ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ความคดิ เหน็ ของนักเรยี นมากท่ีสุด ขอ้ ท่ี ขอ้ ความ ระดบั ของการปฏบิ ตั ิ ปฏิบัตทิ กุ ครง้ั ปฏิบัตบิ างครง้ั ไมป่ ฏิบตั ิ (ทกุ วนั ) (3-5คร้งั / สปั ดาห์) 1 เด็ก ๆ ลา้ งมือทกุ ครั้ง ก่อนหยิบจบั อาหาร เข้า ปาก 2 เด็ก ๆ สวมรองเท้าทุกคร้ังเมื่อออกจากบา้ น 3 เม่ือมีอาการแสบคอ ผวิ หนังเป็นผดผืน่ เด็ก ๆ จะแจง้ ผปู้ กครองให้พาไปพบหมอหรือเจ้าหน้าท่ี สาธารณสุข 4 เมอ่ื ต้องไปอยู่ในบริเวณแหลง่ อุตสาหกรรมหรือ บรเิ วณทีม่ ีมลพิษทางอากาศ เดก็ ๆ จะสวมใส่ หนา้ กากอนามัย 5 เดก็ ๆ เลอื กดืม่ น้ำที่มาจากขวดปดิ สนทิ หรอื น้ำ กรอง 6 เดก็ ๆ อาบน้ำทกุ ครัง้ เม่ือกลับมาจากโรงเรียน 7 เดก็ ๆ แยกซักเส้ือผา้ จากพ่อแม่ 8 เด็ก ๆ ทานผกั ผลไม้ท่ีลา้ งทำความสะอาดก่อน ปอกเปลือกออกก่อนทุกครง้ั 9 เดก็ ๆ หาความรู้ดา้ นการดแู ลสขุ ภาพและการ ป้องกันตนเองจากสารพิษ 10 หลงั จากกลับจากการทำกิจกรรม อาทเิ ชน่ เลน่ ฟตุ บอลในสนาม ว่ิงเล่นกบั เพื่อน ๆ เด็ก ๆ อาบนำ้ ทำความสะอาดรา่ งกายทกุ ครั้งก่อน รับประทานอาหาร 180
ภาคผนวก จ. แบบสอบถามข้อมูลพ้นื ฐานเกยี่ วกับเดก็ และครอบครัว ผสู้ ัมภาษณ.์ ..................................................... วนั ท.่ี ............................................................... รหสั ผู้ใหข้ ้อมูลสมั ภาษณ์............................................................................................... อาย.ุ ............................ปี มคี วามสมั พันธก์ บั เด็กเป็น 1. แม่ 2.พอ่ 3.ตา/ยาย 4.ปู/่ ย่า 5. อนื่ ๆ........................ อาศัยอยู่ บ้านเลขที.่ ............................หมทู่ ี่ .............. .ถนน..................................ซอย....................................... ตำบล..................................... อำเภอ .......................................... จงั หวัด ........................................................ โทรศพั ท์มือถือ ................................................................................ อีเมล์ ......................................................... รหัสเดก็ ……………………………............………………………………………………………………………………………… วนั / เดอื น / ปเี กดิ .........................................อายุ...........ปี.........เดือนเพศ 1.ชาย 2.หญงิ ปจั จบุ ันศึกษาอยู่โรงเรียน ..................................................... หมูท่ ี่ .................... ตำบล.............................. อำเภอ ...................................... จังหวดั ..................................... ช้ันประถมศึกษาปที ่ี............. หอ้ ง .............. 1.เด็กอาศัยอยู่ในหมบู่ ้านน้ีเป็นประจำ 1. ใช่ 2. ไม่ใช่ 3. ย้ายตามพ่อแมไ่ ม่อย่ปู ระจำ 2.เดก็ อยู่บา้ นเดยี วกับ 1. พ่อและแม่ 2. แม่ 3. พ่อ 4. ญาติระบุ.................................... 3.ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ในหมูบ่ า้ น พ่อแม่ไปไหน.............................................นานประมาณ............................เดอื น/ปี ส่วนที่ 1 ขอ้ มูลส่วนตัวและประวตั ิครอบครวั 1.1 เด็กเป็นบตุ รคนท.่ี .............จากพี่น้องท้ังหมด ............. คน 1.2 ศาสนาทเ่ี ดก็ นับถือ 1. พุทธ 2. ครสิ ต์ 3. อิสลาม 4.อืน่ ๆ (ระบุ).............................. 1.3 เด็กคนน้ีรู้ประสา มีความสามารถทำส่ิงต่างๆ ในกจิ วตั รประจำวัน/ ในชีวติ ประจำวนั ได้ 1. สมอายุ (ปานกลาง) 2. เรว็ กวา่ อายุ (เกง่ ) 3. ชา้ กวา่ อายุ (ไมเ่ กง่ ) 1.4 เดก็ อย่ภู ายใต้การอปุ การะ (ทางดา้ นการเงิน) ของใคร 1. พอ่ แม่ 2. แม่ 3. พอ่ 4. อ่นื ๆ (ระบุ)............................................... 1.5 การศกึ ษาของพอ่ ............................................................ 1.6 การศึกษาของแม่........................................................ 181
ตวั เลือกสำหรับคำตอบข้อ 1.5 – 1.6 2. ประถมศึกษาตอนต้น (ป.4) 1. ตำ่ กวา่ ประถมศึกษาตอนต้น (ป.4) 4. มัธยมศกึ ษาตอนตน้ (ม.3) 3. ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.6-7) 6. ปวส./ปวท./อนปุ รญิ ญา 5. มัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ม.6) 8. สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี 7. ปริญญาตรี 10. ไมท่ ราบ 9. อ่ืนๆ (ระบุ)................................... 1.7 อาชีพพ่อ อาชีพ............................................................. 1.8 อาชพี แม่ อาชีพ............................................................. ตวั เลือกสำหรบั คำตอบขอ้ 1.7 – 1.8 1.ไมม่ ีรายได้ 2.รับจา้ งช่ัวคราว 3.รบั จา้ งประจำ 4.รบั ราชการ 5.ลูกจ้างเอกชน 6.รัฐวสิ าหกิจ 7.ประกอบธรุ กจิ ส่วนตวั 8.เกษตร 9.อ่นื ๆ...................................... 1.9 พ่อทำงานอยูท่ ่ี 1.ในหมบู่ ้าน 2.นอกหมู่บ้านภายในจงั หวัด 3.ต่างจังหวดั 4.ตา่ งประเทศ 1.10 แม่ทำงานอยู่ที่ 1. ในหมู่บา้ น 2. นอกหมูบ่ ้านภายในจังหวัด 3. ต่างจงั หวัด 4. ต่างประเทศ 1.11 รายไดข้ องครอบครัว.............................บาท/เดอื น หรือ........................บาท/ปี หรอื ...................... บาท/วนั 1.12 สภาพสมรสของพ่อแม่ 1. สมรส 2.หม้าย 3. หยา่ 4.แยกกันอยู่ 5. อ่ืนๆ (ระบุ).................................................................................. 1.13 จำนวนสมาชกิ ทงั้ สิน้ ในครัวเรอื นทเ่ี ด็กอยู่อาศัยรวม...............คน ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ 1. พ่อ 2.แม่ 3. ลูก.......คน 4.ปู่ย่า 5.ตายาย 6. ญาติอืน่ ๆ.......คน 7.ลกู ตดิ พ่อ.......คน 8.ลกู ตดิ แม่.......คน 1.14 ศาสนาพ่อ 2.ครสิ ต์ 3.อสิ ลาม 4.อืน่ ๆ (ระบ)ุ 1.พทุ ธ 2.คริสต์ 3.อิสลาม 4.อื่นๆ (ระบ)ุ ............... ............................. 1.15 ศาสนาแม่ 1.พทุ ธ 182
1.16 ลักษณะครอบครัว 1.ครอบครวั เด่ยี ว (มีเฉพาะพ่อแมล่ กู ) 2.ครอบครัวขยาย (มีพ่อ แม่ ลกู และญาติๆ เช่น ปู่ ยา่ ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา อาศัยอยู่ดว้ ยกัน) 3.ครอบครัวที่มแี ต่ปู่ ย่า /ตา ยาย เลี้ยงหลาน 4. ครอบครัวลกั ษณะอ่นื ๆ (ระบุ) ..................................................................................... ส่วนท่ี 2 ประวตั ิสุขภาพเดก็ และการเจรญิ เติบโต 2.1 ท่านคิดว่าเทา่ ที่ผา่ นมาสขุ ภาพของเด็กคนนี้เป็นอย่างไร 1. สขุ ภาพดมี าก (ไม่ค่อยป่วยหรือน้อยกวา่ 2 คร้ังตอ่ ปี) 2. สขุ ภาพดี (ปว่ ยบ้าง 2 - 4 ครงั้ ป)ี 3. สุขภาพไม่ค่อยดี (ปว่ ยบ่อยหรือมากกว่า 5 คร้ังตอ่ ปี) 2.2 ตอนแรกเกิด เด็กมีอาการ (ตอบไดม้ ากกวา่ 1 ข้อ) 1. ปกติ 2. ตวั เขียว 3. ตวั เหลืองจนตอ้ งเปลี่ยนถา่ ยเลือด 4. ตวั เลก็ หนังเหี่ยว 5. อ่ืนๆ................................. 6. ไมท่ ราบ 2.3 ในระหว่างคลอด เด็กเคยประสบภาวะท่ีอาจส่งผลต่อการบาดเจบ็ ทางสมอง ดังต่อไปน้บี า้ งหรือไม่ 1. ไมเ่ คย 2. เคย คอื 2.1 ภาวะการขาดออกซิเจนขณะคลอด 2.2 มรี ะยะเวลาการคลอดยาวนาน (ใช้เวลาคลอด ..................ชว่ั โมง) 2.3 คลอดด้วยความยากลาํ บาก (เชน่ .......................................) 2.4 หลงั คลอด เดก็ ประสบภาวะท่อี าจสง่ ผลตอ่ การบาดเจ็บทางสมอง ดงั ต่อไปนบี้ ้างหรอื ไม่ (ตอบไดม้ ากกว่า 1 ข้อ) 1. ไม่เคย 2. เคย คอื 2.1 ชักจากมีไขส้ ูง 2.2 ชกั จากลมบ้าหมู 2.3 ชกั แต่ไมท่ ราบสาเหตุ 2.4 ทอ้ งเสยี อยา่ งรนุ แรง 2.5 สมองตดิ เชื้อ หรือเปน็ โรคเยือ่ หุ้มสมองอักเสบ 2.6 ศีรษะได้รบั ความกระทบกระเทือนจากการทบุ ตี 2.7 ได้รบั ความกระทบกระเทือนจากอุบัตเิ หตุ 2.8 อนื่ ๆ ระบุ ........................... 183
2.5 ในครอบครัวมีสมาชิก หรือ ญาตพิ ่นี ้องมคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา หรือ การเรียนรู้ชา้ บา้ งหรอื ไม่ 1.มี 2. ไม่มี 2.6 สภาพแวดล้อมในบรเิ วณบา้ น และในชมุ ชนท่ที า่ นอาศัยอยู่ ท่านคดิ วา่ มีการใช้สารเคมี สารพิษ หรือมีสาร โลหะหนกั ทีอ่ าจตกค้างในแหล่งดิน นำ้ อากาศ จนทำลายสุขภาพของบุตรหลาน หรือไม่ 1.มี ระบุ...................................... 2. ไม่มี 2.7 ทผี่ า่ นมาเดก็ เคยป่วยจนต้องนอนรกั ษาอยใู่ นโรงพยาบาล 1. ไม่เคย 2. เคย อยู่ในโรงพยาบาลรวมท้งั หมด..................วัน 2.8 เคยประสบเหตุการณถ์ ูกกระทำที่เป็นความรุนแรงจากบคุ คลในครอบครัวหรือไม่ 1. ไม่ทราบ 2. ไม่เคย.............................. 3. เคย (ระบ)ุ .............................. 2.9 ทา่ นคดิ ว่าขนาดของร่างกายเดก็ ตอนนเี้ มื่อเทียบกับเดก็ ปกติในวัยเดียวกนั เปน็ อย่างไร 2.9.1 นำ้ หนกั 1. สมวยั 2. อว้ น 3. ผอม 2.9.2 ความสงู 1. สมวัย 2. อ้วน 3. ผอม ส่วนท่ี 3 การเลีย้ งดเู ด็ก และการสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ 3.1 เดก็ ได้รบั การเล้ยี งดูสว่ นใหญ่จากใคร 1. พ่อ 2. แม่ 3. ปยู่ ่า/ ตายาย 4. ลุงป้าน้าอา 5. อนื่ ๆ (ระบุ).............................................................................. 3.2 เด็กมีโอกาสไดเ้ ลน่ /ทำกจิ กรรมตา่ งๆ เหลา่ น้ีขณะอยทู่ ี่บา้ นมากน้อยเพียงใด 3.2.1 วงิ่ เล่น ปีนป่าย เตะบอล วา่ ยน้ำ หรือการออกกำลังกายกลางแจง้ อื่นๆ 1. ไมม่ โี อกาส 2. มีบา้ ง 3. มสี ม่ำเสมอ 3.2.2 ขดี เขียน ระบายสี ต่อของชิ้นเล็กๆ (เชน่ เลโก)้ ต่อภาพ เล่นลกู หิน กองทราย ปั้นดิน(น้ำมัน) หรือ กจิ กรรมต่างๆที่ใชม้ ือเล่น 1. ไมม่ โี อกาส 2. มีบ้าง 3. มีสมำ่ เสมอ 3.2.3 อ่านนทิ าน หนังสือต่างๆ เลน่ เกมกระดาน ตอบคำถามกับผู้ใหญ่หรือเดก็ โต รอ้ งเพลง 1. ไม่มโี อกาส 2. มีบา้ ง 3. มสี ม่ำเสมอ 3.2.4 เลน่ กับเดก็ วัยเดยี วกนั เชน่ ว่งิ ไลจ่ บั เล่นสมมติเป็นครูกบั นกั เรียน มอญซ่อนผา้ ตำรวจจับผู้รา้ ย เล่นขายของ หรือ เป็นเกมทีเ่ ล่นกบั คนอ่ืน เช่น อตี ัก เป่าหนงั ยาง หมากฮอส 1. ไมม่ ีโอกาส 2. มีบา้ ง 3. มีสม่ำเสมอ 3.3 เดก็ ดูโทรทศั น์เฉล่ยี วนั ละประมาณกีช่ ั่วโมง (รวมเฉลี่ยท้ังวันธรรมดาและเสารอ์ าทติ ย์ และรวมทั้งที่มผี ใู้ หญ่ ดดู ้วยหรอื ไม่กไ็ ด้) 1. ไม่ดู 2. นอ้ ยกวา่ 1 ชัว่ โมง 3. วนั ละ 1 – 2 ชว่ั โมง 4. วันละ 3 - 4 ชวั่ โมง 5. วันละ 5 – 6 ช่วั โมง 6. ตัง้ แต่ 7 ช่วั โมง ขึน้ ไป 184
3.4 เดก็ เล่นโทรศพั ทม์ ือถือ เฉลี่ยวันละประมาณกชี่ ว่ั โมง (รวมเฉล่ยี ทง้ั วันธรรมดาและเสาร์อาทติ ย์) 1. ไม่เลน่ 2. น้อยกว่า 1 ชั่วโมง 3. วนั ละ 1 – 2 ชวั่ โมง 4. วันละ 3 - 4 ช่ัวโมง 5. วันละ 5 – 6 ชัว่ โมง 6. ตั้งแต่ 7 ช่ัวโมง ข้นึ ไป 3.5 เด็กมปี ญั หาในการเรียนบ้างหรือไม่ เช่น อ่านหนงั สือไมค่ ล่อง อ่านไม่ออก สะกดคำไม่ได้ เขยี นหนังสอื ผิดๆถูกๆ หรอื คิดคำนวณตวั เลขไม่ได้ 1.มี (ถ้าตอบว่า มี ให้ทำต่อข้อ 3.6-3.8) 2. ไมม่ ี (ถ้าตอบไม่มี ขา้ มไปตอบข้อ 3.9) 3.6 จากข้อ 3.5 ในกรณีที่พบวา่ เด็กมีปญั หาทางการเรียน ทา่ นทราบได้อย่างไร หรอื จากการสงั เกตพบที่ บ้าน 1.ทราบจากทางโรงเรยี น 2. สงั เกตพบเอง 2. ทง้ั ทราบจากโรงเรยี น และสังเกตพบ เอง 3.7 ท่านยอมรบั ไดห้ รือไม่กับปญั หาทางการเรยี นท่ีเด็กเปน็ อยู่ 1.ยอมรับได้ 2. ยอมรับไมไ่ ด้ 3.8 ท่านไดเ้ ขา้ ไปมีส่วนรว่ มกับครู หรือเจา้ หน้าทีส่ าธารณสุข ในการชว่ ยเหลอื ปัญหาทางการเรียนของเด็กบา้ ง หรือไม่ เชน่ ช่วยสอนอ่านหนังสอื สอนเขยี นหนังสือ สอนคิดคำนวณ 1.มสี ว่ นร่วมในการชว่ ยเหลือเด็ก โดยทำตามคำแนะนำ 2. ไม่ได้ทำ ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ หนา้ ทีข่ องครหู รอื เจ้าหน้าทส่ี าธารณสุข 3.9 ท่านคาดหวังอยากใหเ้ ด็กเป็นอย่างไร (ตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ) 1. รา่ งกายแข็งแรง 2. ฉลาด, เก่ง 3. มีความสุข 4. เปน็ คนดี, รกั ดี 5. ทำมาหากินเก่ง, รวย 6. ไม่ได้คาดหวัง 7. อื่นๆ.................................................. 3.10 ปญั หาในการอบรมเล้ียงดเู ดก็ คนนี้ มีอะไรบ้าง ............................................................................................................................. ................................................. 3.11 ท่านเคยทำอะไรท่ีส่งเสรมิ เดก็ ใหเ้ ป็นคนเกง่ และเปน็ คนดี .................................................................................................................................................... .......................... 3.12 ทา่ นมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกนั ระหวา่ งพ่อแมล่ กู บ่อยแค่ไหน 1. ไม่มีกจิ กรรมครอบครวั รว่ มกันกบั เด็ก 2. อาทิตยล์ ะ 1 ครง้ั 2. อาทติ ย์ละ 2 – 3 ครัง้ 3. อาทิตย์ละ 4 – 5 ครั้ง 4. ทกุ วัน 3.13 เมอ่ื เด็กดีใจ เสยี ใจ มปี ัญหาต่างๆ เชน่ ปญั หาเรอ่ื งเรยี น เรือ่ งเพ่ือน เรอื่ งครู หรอื แมแ้ ต่ไปพบเหตุการณ์ ตา่ งๆ เดก็ มักมาบอกเล่าและปรึกษาทา่ น หรือสมาชิกในครอบครวั หรอื ไม่ และบอ่ ยครงั้ เพยี งใด 1. ไมเ่ คยมาบอกเลา่ และปรึกษา 2. อาทติ ยล์ ะ 1 คร้งั 2. อาทติ ย์ละ 2 – 3 คร้งั 3. อาทิตยล์ ะ 4 – 5 คร้ัง 4. ทุกวัน 185
3.14 ท่านทำอย่างไรเม่ือลกู ด้ือดงึ ไม่ยอมทำตามที่ทา่ นบอก เช่น ไมย่ อมเข้านอน/ ไมท่ ำการบา้ น/ ไมช่ ่วยเลีย้ ง น้อง/ ไมย่ อมชว่ ยทำงานบ้าน/ ไม่ยอมหยุดเลน่ เกมออนไลน์ /เกมมือถือ/ เกมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ 1. ถามเหตผุ ล และถ้าหากมีเหตผุ ลทีส่ มควรก็ไม่วา่ อะไร 2. สัง่ ใหท้ ำตามท่พี ่อแม่บอกทกุ ๆ อย่าง 3. ดุว่าอย่างรนุ แรง หรอื ลงโทษให้เจ็บตัว 4. อ่ืนๆ........................................................................................... 3.15 ทา่ นทำอยา่ งไรเม่ือลกู เชื่อฟงั และปฏบิ ัตติ ามคำส่ังสอนของท่าน (เช่น สัง่ ไม่ให้เล่นส่ิงท่ีอาจเป็นอนั ตราย ต่อตนเอง, สอนให้เรียนร้วู ธิ ปี ฏบิ ัตกิ ิจวตั รงา่ ยๆของตัวเอง) 1. เฉยๆ 2. กำชบั ใหเ้ ชอ่ื ฟังและปฏิบัติตามเช่นน้นั ตลอดไป 3. ขวู่ ่าถา้ ไมเ่ ชือ่ ฟงั หรอื กระทำไม่ดเี มื่อไรจะถูกลงโทษเมื่อน้นั 4. ชมเชยหรอื ใหร้ างวัล 5. อ่นื ๆ ........................................................................................... 3.16 ท่านทำอยา่ งไรเมื่อลูกทำผิดแล้วสารภาพความผิด โดยที่ท่านไม่ได้คาดคัน้ หรือไตถ่ าม 1. ดหุ รอื ขวู่ า่ ถา้ ทำผิดเชน่ นัน้ อีกจะถกู ลงโทษ 2. ชมเชยที่มาสารภาพความผิด และตงั้ ใจฟังเร่ืองราวทล่ี ูกเล่า 3. แนะนำส่งั สอนวา่ ควรจะแกไ้ ขตนเองอย่างไรจงึ จะไมท่ ำผดิ ซ้ำอกี 4. บอกไมใ่ ห้กงั วลหรือเอาใจใสต่ ่อความผิดนนั้ 5. อืน่ ๆ................................................. 186
ภาคผนวก ฉ. แบบสอบถามข้อมูลเชิงคุณภาพของโรงเรียน ครอบครวั และชุมชน แนวคำถามสัมภาษณ์ผูน้ ำชุมชน 1. ชมุ ชนของท่านมีเดก็ ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปญั ญา กระบวนการรู้คดิ และการเรียนรู้* ในชมุ ชน หรอื ไม่ (*หมายถงึ เด็กทม่ี ีปัญหาทางการเรียน เช่น เรยี นไม่ทัน/ อา่ นไมอ่ อก/ เขียนไม่ได้/ สะกดคำ ไมไ่ ด้/ คิดเลขไมเ่ ป็น) 2. ในช่วงท่ีผ่านมาทา่ นมีการค้นหาเดก็ ทีม่ ีภาวะบกพรอ่ งฯ สง่ เสริม ชว่ ยเหลือ และแกป้ ัญหานอ้ี ยา่ งไร 3. ปัจจบุ นั ท่านมีการส่งเสริม ชว่ ยเหลอื และแก้ปัญหาอยา่ งไร 4. อนาคตท่านคดิ วา่ มีการส่งเสริม ช่วยเหลอื และแกป้ ัญหาอย่างไร 5. แนวทางและบทบาทการส่งเสริมและแก้ปญั หาภาวะบกพร่องทางสตปิ ัญญา กระบวนการรูค้ ดิ และ การเรียนรู้ของเดก็ ในชมุ ชน ช่วง 3-5 ปี ข้างหน้าน้ี ท่านได้วางแนวทาง และบทบาทตรงน้อี ยา่ งไร 6. แผนพฒั นาตำบล (อบต.) มีโครงการ หรอื กิจกรรมทเ่ี ก่ยี วข้องกับการดูแล ส่งเสริม พัฒนาภาวะ บกพร่องฯ ของเด็กในชมุ ชนอย่างไร 7. ปัญหาอปุ สรรคท่านประสบเก่ียวกบั การดแู ล สง่ เสรมิ พัฒนาเด็กท่มี ีปัญหาภาวะบกพร่องฯ ในชุมชน คืออะไร และท่านสามารถกา้ วขา้ มแก้ไขปัญหาน้นั อยา่ งไร 8. ท่านมคี วามห่วงใยในเรอื่ งการดแู ล ส่งเสริม พัฒนาเด็กท่ีมีปัญหาภาวะบกพร่องฯ ในชุมชน น้ีอย่างไร มแี นวทางแก้ไขอย่างไร ตอ้ งการความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด และควรมหี น่วยงานใดเข้ามา รับผดิ ชอบ 9. ชุมชนของท่านส่งเสริมการทำกิจกรรมรว่ มกนั ของครอบครัวอย่างไรบา้ ง ยกตัวอย่างกจิ กรรม แนวคำถามสมั ภาษณ์ครูโรงเรยี น 1. โรงเรยี นของท่านมีเดก็ ทมี่ ีภาวะบกพร่องทางสติปญั ญา กระบวนการรู้คดิ และการเรียนรู้* หรือไม่ (*หมายถึง เด็กท่มี ปี ัญหาทางการเรียน เชน่ เรียนไมท่ ัน/ อา่ นไมอ่ อก/ เขียนไม่ได/้ สะกดคำไม่ได้/ คิดเลขไม่เป็น) 2. ท่านมรี ูปแบบการจดั การเรียนการสอน / จดั กระบวนการเรียนรู้ / ประเมนิ ผลเฉพาะเด็กทีม่ ีภาวะ บกพร่องฯ หรอื ไม่ อย่างไร 187
3. ในช่วงทผี่ ่านมาทา่ นมีการค้นหาเด็กทม่ี ีภาวะบกพรอ่ งฯ ใหก้ ารดแู ล ชว่ ยเหลอื ส่งเสรมิ และ แกป้ ัญหาเด็กกลุ่มน้ีอย่างไร 4. ปจั จุบนั ทา่ นมีการส่งเสริม ช่วยเหลือ และแกป้ ญั หาอยา่ งไร 5. อนาคตทา่ นคิดว่ามีการสง่ เสริม ชว่ ยเหลือ และแก้ปญั หาอย่างไร 6. แนวทางและบทบาทการสง่ เสรมิ และแกป้ ัญหาภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรูค้ ิด และ การเรยี นร้ขู องเดก็ ในโรงเรียน ช่วง 3-5 ปี ขา้ งหน้าน้ี ท่านไดว้ างแนวทาง และบทบาทตรงนีอ้ ยา่ งไร 7. แผนพัฒนาของโรงเรยี นมโี ครงการ หรือกจิ กรรมท่ีเกย่ี วข้องกับการดูแล ส่งเสรมิ พฒั นาเด็กทีม่ ภี าวะ บกพร่องฯ ในโรงเรียนอย่างไร 8. ปัญหาอุปสรรคท่านประสบเก่ียวกบั การดูแล ส่งเสรมิ พัฒนาเด็กทม่ี ีปญั หาภาวะบกพร่องฯ ใน โรงเรยี น คอื อะไร และทา่ นสามารถก้าวข้ามแก้ไขปัญหาน้ันอยา่ งไร 9. ท่านมกี ารประสานงานกับหน่วยงานเครอื ข่ายท่ีเกย่ี วขอ้ ง เชน่ นักการศกึ ษาพิเศษ หรือนกั วิชาชีพ เพ่ือสง่ เสริม พัฒนา และแก้ไขปญั หาเดก็ ท่ีมีภาวะบกพรอ่ งฯ บ้างหรือไม่ 10. ทา่ นมคี วามหว่ งใยในเร่อื งการดูแล สง่ เสริม พัฒนาเด็กท่ีมีปัญหาภาวะบกพร่องฯ ในโรงเรียน นี้ อย่างไร มีแนวทางแก้ไขอยา่ งไร ต้องการความชว่ ยเหลอื จากหนว่ ยงานใด และควรมหี น่วยงานใดเข้า มารบั ผิดชอบ แนวคำถามสัมภาษณ์ผูป้ กครอง 1. ในครอบครวั ของทา่ น ท่านมีสมาชกิ ทีเ่ ป็นเด็กที่มภี าวะบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนร้*ู หรือไม่ (*หมายถึง เดก็ ท่มี ีปญั หาทางการเรยี น เชน่ เรยี นไมท่ ัน/ อ่านไมอ่ อก/ เขียนไม่ได้/ สะกดคำไม่ได้/ คิดเลขไมเ่ ป็น) 2. ประวตั คิ รอบครวั /อาชพี / เศรษฐกจิ /ความเปน็ อยู่ ของครอบครวั ทา่ น 3. เมือ่ ท่านทราบวา่ บตุ รมีปัญหาทางการเรยี นรู้ สง่ ผลกระทบต่อจติ ใจสมาชกิ ครอบครวั เปน็ อยา่ งไร ทา่ นและครอบครวั สามารถยอมรับได้มากน้อยเพียงไร และต้องปรับตวั อย่างไร 4. ท่ผี า่ นมาทา่ นรับมือกับปญั หาทจี่ ะยอมรับว่าลกู มีภาวะบกพร่องน้ไี ด้หรือไม่ (ทง้ั ในด้านการสง่ เสริม พฒั นา และแก้ไขปญั หา) 5. ปจั จุบนั ท่านมรี ปู แบบการเลีย้ งดเู ดก็ อบรมสง่ั สอน ฝึกฝน และแก้ปัญหาน้ีอย่างไร 6. อนาคตทา่ นคิดว่าจะมกี ารส่งเสริม พัฒนาและแก้ปญั หาเด็กคนนีอ้ ย่างไร (ตา่ งจากลกู หลานคนอ่ืน อยา่ งไร) 188
7. ปัจจุบนั ใครเป็นผู้มีบทบาทในการเลีย้ งดู และส่งเสรมิ การเรียนรูข้ องเด็กเป็นสว่ นใหญ่ และมีบทบาท อยา่ งไร 8. การส่งเสริม และฝึกวนิ ัยในการเลี้ยงดูเด็ก ครอบครัวของท่านไดท้ ำหรือไม่ อย่างไร 9. การสง่ เสรมิ สมั พันธภาพในครอบครัวน้ัน ท่านมีแนวทางอย่างไรท่ีจะเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ ลูก หรอื ระหวา่ งลูกกับสมาชิกคนอ่นื ๆในครอบครวั 10. ปญั หาอปุ สรรคท่ีทา่ นประสบอยคู่ ืออะไร และท่านสามารถกา้ วข้ามแก้ไขปัญหานนั้ ได้อยา่ งไร 11. เมอ่ื ทา่ นมปี ัญหาการเลย้ี งดูเด็ก ท่านเคยประสานงานกับหน่วยงานเครือข่ายทเี่ กยี่ วขอ้ ง เช่น นัก การศึกษาพิเศษ หรือนกั วิชาชีพ เพ่อื สง่ เสรมิ พัฒนา และแกไ้ ขปญั หาเด็กทีม่ ีภาวะบกพรอ่ งด้านการ เรียนรูบ้ ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด หมายเหตุ แบบสัมภาษณน์ ้ีสมั ภาษณ์ครอบครัวท้ังที่มีลกู ท่ีมภี าวะบกพรอ่ งฯ และครอบครวั ท่ีไม่มี ลูกทีม่ ภี าวะบกพร่องฯ ข้อ 1 ในกรณที ่ีครอบครวั ไม่มีลูกมีภาวะบกพร่อง การถามในขอ้ 2-5 จะเป็น การถามในเชงิ ทศั นคติถ้าหากครอบครัวมีลูกท่มี ภี าวะบกพรอ่ งฯ จะมีวธิ ีการดแู ล เล้ยี งดู และ แก้ปญั หาอย่างไร 189
ภาคผนวก ง รายช่ือผู้ให้ข้อมูลเชิงลึก 1. รักษาการผู้อำนวยการโรงเรยี นไทยรฐั วทิ ยา 60 2. ครปู ระจำชน้ั ป.4 โรงเรียนไทยรัฐวทิ ยา 60 3. ครูประจำชั้น ป.5 โรงเรยี นไทยรัฐวิทยา 60 4. ครูประจำช้ัน ป.6 โรงเรยี นไทยรฐั วิทยา 60 5. ผู้อำนวยการโรงเรยี นบา้ นครี ีเทพนมิ ิต 6. ครูประจำช้ัน ป.4 โรงเรยี นบา้ นคีรีเทพนิมิต 7. ครปู ระจำชน้ั ป.5 โรงเรยี นบา้ นครี ีเทพนิมิต 8. ครูประจำชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านครี เี ทพนิมิต 9. ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นบา้ นใหม่ราษฎร์ดำรง 10. ครูประจำชั้น ป.4 โรงเรยี นบา้ นใหมร่ าษฎรด์ ำรง 11. ครปู ระจำชั้น ป.5 โรงเรยี นบา้ นใหมร่ าษฎร์ดำรง 12. ครปู ระจำช้นั ป.6 โรงเรียนบา้ นใหม่ราษฎร์ดำรง 13. ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นบ้านวงั ขวัญ 14. ครู ป.4 บ้านวงั ขวัญ 15. ครู ป.5 บ้านวังขวญั 16. ครู ป.6 บา้ นวังขวัญ 17. ผู้อำนวยการโรงเรยี นบ้านวังชะนาง 18. ครู ป. 4 บา้ นวังชะนาง 19. ครู ป. 5 บา้ นวงั ชะนาง 20. ครู ป. 6 บา้ นวังชะนาง 21. ผู้อำนวยการโรงเรียนบา้ นท่งุ ยาว 22. ครู ป.3-4 บา้ นทุง่ ยาว 23. ครู ป.5-6 บา้ นทงุ่ ยาว 24. ผปู้ กครอง จำนวน 29 ท่าน ผ้นู ำชมุ ชนพืน้ ทโี่ รงเรียนบ้านใหมร่ าษฎรด์ ำรง ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคลอ้ จ.พิจติ ร วันท่ี 27 มกราคม 2563 1. ผูช้ ่วยผใู้ หญ่บา้ น 2. ผู้ช่วยผใู้ หญบ่ า้ น และ อสม. 190
ผนู้ ำชมุ ชนพ้นื ทโ่ี รงเรยี นไทยรฐั วทิ ยา 60 (บา้ นเขาตะพานนาก) ต.เขาเจ็ดลกู อ.ทับคล้อ จ.พิจติ ร วันท่ี 28 มกราคม 2563 1. ประธาน อสม. หมู่ 2 2. สารวตั รกำนัน ต.เขาเจ็ดลกู 3. ผู้แทนกำนนั ต.เขาเจด็ ลูก 4. นกั วชิ าการสาธารณสขุ ชำนาญการ ผนู้ ำชมุ ชนพน้ื ทโี่ รงเรยี นบา้ นคีรีเทพนมิ ิต ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พจิ ติ ร วันท่ี 29 มกราคม 2563 1. อสม. จำนวน 2 ทา่ น 2. ผู้ใหญบ่ า้ น 3. ส.อบต. หมู่ 3 4. กำนัน ต.เขาเจ็ดลกู ผู้นำชุมชนโรงเรียนบา้ นวังชะนาง ต.ท้ายดง อ.วังโป่ง จ.เพชรบรู ณ์ วนั ที่ 29 มกราคม 2563 1. อบต. ทา้ ยดง 2. ผใู้ หญ่บา้ น ม.5 ทา้ ยดง 3. นกั วิชาการสาธารณสขุ 4. อสม. 5. นายก อบต. ท้ายดง 6. หวั หนา้ สำนักปลัด อบต.ทา้ ยดง ผนู้ ำชุมชนโรงเรียนบา้ นทุ่งยาว ต.วังโพรง อ.เนนิ มะปราง จ.พษิ ณุโลก วันท่ี 30 มกราคม 2563 1. ผอ. รพ.สต. บา้ นทงุ่ ยาว 2. อสม. หมู่ 1 3. ผใู้ หญ่บ้าน 4. ส. อบต. หมู่ 1 5. ผู้ช่วยผใู้ หญ่บ้าน ผู้นำชุมชนพืน้ ทโ่ี รงเรยี นบา้ นวังขวญั ต.วงั โพรง อ.เนนิ มะปราง จ.พิษณโุ ลก วันท่ี 31 มกราคม 2563 1. ประธาน อสม. หมู่ 2 2. กำนนั 3. ผูใ้ หญ่บา้ น 191
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195