รายงานผลการดาเนนิ งาน โครงการสง่ เสริมการเรียนรู้ที่สอดคลอ้ งกับพหปุ ญั ญา สาหรับเดก็ ระดบั มัธยมศกึ ษา ดาเนินการโดย สถาบนั แหง่ ชาติเพอ่ื การพฒั นาเด็กและครอบครวั มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ สนับสนนุ โดย สานักงานบริหารและพัฒนาองคค์ วามรู้(องค์การมหาชน)
คานา รายงานผลการดาเนินงานโครงการฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ท่ี สอดคลอ้ งกบั หลกั พหุปญั ญา สาหรบั เดก็ ระดบั มธั ยมศกึ ษา ซ่ึงได้รับทุนสนับสนุนจากสานักงานบริหารและ พัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เพอ่ื เป็นการรายงานผลของคณะทางาน และสรุปองค์ความรู้ทางพหุ ปัญญาในดา้ นต่างๆ คู่มือน้ีประกอบไปด้วยเนื้อหา 3 สว่ น คือ 1) แผนงานของโครงการ 2) องค์ความรู้ท่สี อดคล้องกับ หลกั พหปุ ญั ญา 3) การสรปุ ผลดาเนนิ งานตามตวั ช้วี ัด คณะผจู้ ัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานผลการดาเนนิ งานโครงการฉบบั น้ี จะเป็นประโยชน์แก่ ครู อาจารย์ นักการศึกษา นักจัดกิจกรรม ฯลฯ หรือผู้ท่ีสนใจในหลักพหุปัญญา เพื่อนาไปใช้ทดสอบ จดั การศกึ ษา หรอื จัดกิจกรรมแก่นกั เรียนในช้นั มัธยมศกึ ษาตอนต้น คณะผูจ้ ดั ทา
กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานผลการดาเนินงานโครงการฉบบั น้ี ไดร้ บั ทุนสนับสนนุ จากสานักงานบริหารและพัฒนา องคค์ วามรู้ (องคก์ ารมหาชน) ทางคณะผู้จดั ทาจึงขอขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู ไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคณุ คณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญในองค์ความรู้ตามหลักพหุปัญญาทั้ง 8 ด้านจาก มหาวิทยาลยั มหิดล และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ท่ีให้กา รอนุเคราะห์ในการพัฒนาแบบทดสอบ ออกแบบกิจกรรม โดยให้สอดคลอ้ งตามหลกั พหุปญั ญาและพัฒนาการตามวัยของกลุ่มตัวอย่าง อีกท้ังได้ร่วม ปรึกษา ประสานงาน รวมถงึ การใหค้ าแนะนา ซง่ึ ถือเปน็ ประโยชน์ใหก้ ารสรา้ งค่มู ือแบบทดสอบฉบบั น้ีให้สาเร็จ ลุลว่ งไปด้วยดี และพร้อมท่ีจะนาไปทดสอบในขน้ั ตอนต่อไป คณะผจู้ ดั ทา
ส าร บ ญั คานา 1 กิตติกรรมประกาศ 2 ส่วนท่ี 1 แผนงานของโครงการ 2 2 1.1 ที่มาของโครงการ 3 1.2 วัตถปุ ระสงคโ์ ครงการ 4 1.3 กลมุ่ เปาู หมายโครงการ 4 1.4 ระยะเวลาแผนการดาเนินงาน 6 1.5 แนวคดิ ในการดาเนนิ โครงการ 1.6 ขั้นตอนการดาเนนิ งาน 1.7 แผนการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ 1.8 ตัวชวี้ ดั ส่วนที่ 2 องค์ความร้ทู ีส่ อดคล้องกับหลกั พหุปัญญา 7 10 2.1 แนวคิดการเรยี นรูต้ ามหลักพหปุ ัญญา 10 2.2 ลักษณะสาคัญของทฤษฎพี หปุ ัญญา 11 2.3 ปัจจัยในการพฒั นาพหุปัญญาในผเู้ รยี น 15 2.4 แนวทางการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ทู ่ีสอดคล้องกบั หลกั พหปุ ัญญา 18 2.5 ตัวอย่างแบบทดสอบทส่ี อดคลอ้ งกับการเรียนรตู้ ามหลกั พหปุ ัญญา 2.6 กิจกรรมการสง่ เสรมิ พหปุ ัญญา ส่วนท่ี 3 สรปุ ผลการดาเนินงานตามตัวชีว้ ดั 3.1 แบบทดสอบความสามารถตามแนวคิดพหุปัญญา 22 3.2 กิจกรรมส่งเสริมความสามารถตามแนวคดิ พหปุ ัญญา 74 3.3 การจัดการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ ารเรอ่ื ง “การประเมินและส่งเสริมความสามารถทางพหุปญั ญา สาหรบั ครมู ัธยมศึกษาตอนตน้ ” 92 บรรณานุกรม 108 ภาคผนวก 110
1 ส่วนท่ี 1 แผนงานของโครงการ โครงการสง่ เสริมการเรยี นร้ทู ่ีสอดคล้องกับพหปุ ัญญาสาหรบั เด็กระดับมัธยมศึกษ า 1. ท่มี าของโครงการ ในการพัฒนาประเทศ การเตรยี มความพรอ้ มเด็กเยาวชนท่ีมศี ักยภาพการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ ความต้องการ ทรัพยา กรบุคคลท่ีมีคุณภาพของตลาดแรงงานเป็ นสิ่งสา คัญใน การพัฒนาและ เพิ่มขีด ความสามารถในการแขง่ ขนั ให้แกป่ ระเทศ การพฒั นาเดก็ เยาวชนใหส้ ามารถเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพตามความ ถนัดและเช่ยี วชาญของตนเอง และตอบสนองต่อความต้องการบุคลากรในวิชาชีพต่างๆ ของแต่ละพื้นท่ี มี ทกั ษะชีวติ ทจี่ าเปน็ ในศตวรรษท่ี 21 สอดคลอ้ งกบั วชิ าชีพ มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม และสามารถปรับตัวให้เท่าทัน กับการเปล่ียนแปลงร อบตัวได้อย่างมีประ สิทธิภาพ จึงมีความจาเป็นต้องได้รับการออกแบบการจัด กระบวนการเรียนร้ใู หส้ อดรับกบั การพฒั นาศักยภาพดังกล่าว โดยต้องให้เด็กและเยาวชนได้รู้ถึงความชอบ ความถนดั และปลดปลอ่ ยศกั ยภาพของตนเองออกมาไดอ้ ย่างเต็มที่ต้ังแต่ช่วงต้นของการเรียนรู้และมุ่งสู่ทิศ ทางการประกอบอาชพี ผา่ นการจดั คา่ ยเยาวชนตามความถนัดของผู้เรยี น การจัดการเรียนรู้ให้เข้าถึงทักษะที่ จาเป็นในการใช้ชวี ิตและประกอบอาชพี ในศตวรรษที่ 21 รวมไปถึงทักษะสาคัญท่ีใช้ในการเรียนรู้และกา ร ทางาน เชน่ ทกั ษะการแก้ปญั หาเชิงซอ้ น ทกั ษะการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการบริหาร จัดการบคุ คล ทักษะการสื่อสารและทางานรว่ มกับผูอ้ นื่ การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ทักษะการตัดสินใจ ทกั ษะม่งุ เน้นการใหบ้ ริการ ทกั ษะการเจรจาต่อรอง ทกั ษะการปรบั ตัวเรียนรสู้ ิ่งใหม่ รวมถงึ การชี้แนะแนวทาง ให้เด็กและเยาวชนมเี จตคตทิ ่ีดตี อ่ การเรยี นรูแ้ ละพฒั นาตนเอง 2. เป้าหมายและวัตถปุ ระสงคโ์ ครงการ (Objectives) เปูาหมาย นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่กา ร มัธยมศกึ ษา ทั่วประเทศ จานวน 1,500 คนได้รบั การพฒั นาศกั ยภาพ สามารถเรียนรู้ได้เตม็ ศักยภาพ มีทักษะ การเรยี นร้ทู ี่สอดคล้องกบั ความถนัดของตนเอง จนสามารถต่อยอดไปสู่ความเชี่ยวชาญในการศึกษาต่อและ ประกอบอาชีพทส่ี อดคล้องกบั ความตอ้ งการ ผ่านการอบรมจากครูหรือผู้ร่วมอบรมแบบทดสอบความถนัด จานวน 30 คน วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื เตรยี มความพร้อมนักเรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ใหม้ ีความรู้ความสามารถ สอดคลอ้ งกบั ความถนดั มที ักษะชีวิตท่จี าเปน็ ในศตวรรษที่ 21 เพ่อื นาไปสู่การศึกษาต่อและประกอบอาชีพที่ สอดคลอ้ งกับความถนดั เช่ียวชาญของตนเอง
2 3. กลุ่มเปา้ หมายโครงการ (Targets group) นักเรยี นระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา ทั่ว ประเทศ จานวน 1,500 คน ท่ผี ่านการใช้แบบทดสอบความถนัดจากครู หรือผู้ร่วมอบรมแบบทดสอบความ ถนดั จานวน 30 คน 4. ระยะเวลาแผนการดาเนินงาน ระยะเวลา เดอื นพฤษภาคม 2563 – สิงหาคม 2563 (4 เดอื น) แผนการดาเนนิ งาน ขน้ั ตอน/วธิ ดี าเนนิ การ เดือนทีด่ าเนนิ การ 1 23 4 กค63 สค63 กย63 ตค63 1. พฒั นาแบบทดสอบและหลักสูตร (การรวบรวม เรียบเรียงเนื้อหา การออบแบบและการผลิต ) 1.1 พัฒนาชดุ ทดสอบและแบบประเมินความถนดั ตามหลักพหุ ปญั ญา 8 ดา้ น สาหรบั นักเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 1.2 ส่งแบบทดสอบและแบบประเมนิ ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ คณุ ภาพ 1.3 นาชุดทดสอบปรบั ตามผเู้ ช่ยี วชาญ 1.4 เขยี นคู่มือการใช้ชุดทดสอบ และคู่มือแนะแนวพัฒนา ศกั ยภาพทัง้ 8 ด้าน 2. จดั การอบรมครูหรอื ผู้เข้าร่วมโครงการใช้ชุดทดสอบและแบบ ประเมินความถนัดตามหลกั พหุปญั ญา (การถา่ ยทอดองค์ความรู้) 3. การเขยี นและสรุปผลการดาเนนิ โครงการ หมายเหตุ หมายถึง แผนการดาเนินงาน หมายถงึ การดาเนินงานจรงิ
แนวคดิ /ภาพรวมในการดาเนนิ โครงการ 3 สร้างชดุ ทดสอบและ ตรวจสอบคณุ ภาพของ ปรบั ปรุงชุดทดสอบและ อบรมชดุ ทดสอบและ แบบประเมนิ ถนดั ตาม ชุดทดสอบและแบบ แบบประเมินถนดั เขยี น แบบประเมิน หลักพหุปญั ญา 8 ด้าน ประเมนิ ถนดั ตามหลกั ค่มู ือและแนวทางการ พหปุ ญั ญา 8 ดา้ น พฒั นาความถนดั ตาม หลักพหปุ ญั ญา 5.ขั้นตอนการ ดาเนินงาน ขน้ั ก่อนดาเนินการ 1. จดั ตง้ั ทีมทางาน และศกึ ษาเอกสาร ทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือเขียนและพัฒนา โครงการ 2. นาเสนอโครงการตอ่ แหล่งทนุ 3. ภายหลงั การรับการอนมุ ตั ิจากแหลง่ ทุน นาโครงการนาเสนอตอ่ คณะกรรมการการวิจัยในคน มหาวทิ ยาลัยมหิดล ข้ันดาเนนิ การ ระยะที่ 1 1. พฒั นาชดุ ทดสอบทดสอบและแบบประเมินความถนัดตามหลักพหุปัญญา 8 ด้าน สาหรับ นกั เรยี นระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 2. นาชุดทดสอบและแบบประเมินฯที่พัฒนาให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านตรวจสอบคุณภาพ เคร่อื งมอื จานวน 2 รอบ 3. นานาชุดทดสอบและแบบประเมินฯ มาดาเนนิ การปรับปรุง ระยะท่ี 2 1. ตดิ ตอ่ ผอู้ านวยการโรงเรยี นเพอ่ื ขออนญุ าตครหู รือผเู้ ข้ารว่ มโครงการฯในการอบรมชุดทดสอบ ทดสอบและแบบประเมนิ ความถนัดตามหลกั พหปุ ญั ญา 8 ด้าน 2. ชี้แจงวตั ถุประสงค์ในการจดั การอบรมชดุ ทดสอบทดสอบและแบบประเมินความถนัดตาม หลกั พหปุ ญั ญา 8 ดา้ น 3. ดาเนนิ การอบรมการใช้ชดุ ทดสอบทดสอบและแบบประเมนิ ความถนดั ตามหลักพหุปัญญา 8 ดา้ นผ่านส่ือมัลติมเี ดยี 4. ประเมนิ ทักษะความสามารถในการใช้ชดุ ทดสอบทดสอบและแบบประเมินความถนัดตาม หลักพหุปญั ญา 8 ดา้ นภายหลงั การอบรม
4 ระยะท่ี 3 1. สรปุ ผลการดาเนินโครงการ 2. เตรยี มการติดตามการประเมนิ ความถนดั ชดุ ทดสอบทดสอบและแบบประเมินความถนัดตาม หลกั พหุปัญญา 8 ด้านใหก้ บั นักเรียนของครูและผเู้ ขา้ รบั การอบรม 6.แผนการถา่ ยทอดองค์ความรใู้ นรปู แบบของการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการและผา่ นส่ือ แผนการถา่ ยทอดองค์ความรู้ ปร ะเดน็ ระยะเวลาการดาเนินงาน วธิ กี ารถ่ายทอด 1. บันทึกความรู้พ้ืนฐานหลักกา ร 1 สัปดาห์ คลปิ ความรู้ (ระบบ off line) และทฤษฎพี หปุ ัญญา 2. อบรมชุดชดุ ทดสอบทดสอบและ 96 ช่วั โมง (2 สัปดาห์) อบรมเชิงปฏิบัติการ หรือผ่า น แบบประเมนิ ความถนัดตามหลักพหุ ส่อื มัลตมิ ิเดีย ปญั ญา 8 ดา้ น 3. กา ร ป ร ะ เมิน ทักษะ กา ร ใ ช้ 6 ชั่วโมง ผา่ นการประเมินโดยตรงหรอื ผ่าน แบบทดสอบและแบบประ เมิ น คว า ม การประเมนิ ทางสื่อมลั ตมิ ิเดยี ถนัดตามหลักพหปุ ญั ญา 8 ด้าน หลักสูตร การ อบร ม เนื้อหา จานวน วิธกี ารอบรม หวั ข้อการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร ชัว่ โมง กอ่ นการอบรม 1. ทาความเข้าใจในผเู้ ข้าอบรมในเรื่องต่อไปน้ี อ บ ร ม เ ชิ ง 1.1 แจ้งวตั ถุประสงค์ 1.2 ขอบข่ายเน้ือหาการอบรม ร า ย ล ะ เ อี ย ด จ า ก 1 ปฏิบัติกา รหรือ 1.3 ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะไดร้ บั จากการอบรม 1.4 การประเมินทักษะภายหลงั การอบรม โครงการ กา ร อบร มผ่า น เนื้อการอบรม ส่ือมัลตมิ เิ ดีย หนว่ ยที่ 1 ความรพู้ ืน้ ฐานหลกั การและทฤษฎพี หปุ ัญญา ความหมาย 2 1.คลิปเสียงทาง ความสาคัญ ประ วัติ power point ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง หรืออบรมผ่า น แนวคิดและ หลักกา ร สื่อมัลตมิ ิเดยี พหุปัญญา ปร ะ เภท
5 หัวข้อการอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการ เนื้อหา จานวน วิธกี ารอบรม ช ั่ว โ มง ของพหุปญั ญา หนว่ ยที่ 2 ความถนดั ทางดา้ นภาษา(Linguistic) กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 บรรยายและฝึก และการใช้แบบทดสอบ ก า ร ใ ช้ ชุ ด ความถนัดดา้ นภาษา ทดสอบและแบบ หนว่ ยที่ 3 ความถนดั ทางคณิตศาสตร์หรือการใช้เหตุผล กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 ประเมิน เชิงผล /ตรรกะ (Logical-Mathematical) และการใชแ้ บบทดสอบ ค ว า ม ถ นั ด ท า ง คณติ ศาสตรห์ รอื การใช้ เหตผุ ลเชิงผล /ตรรกะ หนว่ ยท่ี 4 ความถนัดทางด้านมิตสิ มั พนั ธ์ (Spatial) กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 และการใช้แบบทดสอบ ความถ นั ดท า ง ด้ า น มิ ติ สัมพนั ธ์ หน่วยท่ี 5 ความถนดั ด้านดนตรี (Musical) กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 และการใช้แบบทดสอบ ความถนดั ด้านดนตรี หน่วยท่ี 6 ความถนัดด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 (Interpersonal) และการใช้แบบทดสอบ ค ว า ม ถ นั ด ด้ า น ความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล หน่ วย ท่ี 7 ค วา ม ถนั ดด้ า น ก า ร เ ข้า ใจ ต น เ อ ง กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 (Intrapersonal) และการใช้แบบทดสอบ ควา มถนั ดด้า น กา ร เขา้ ใจตนเอง หนว่ ยท่ี 8 ดา้ นความเขา้ ใจธรรมชาติ (Naturalist) กา ร ใช้แบบปร ะ เมิน 12 และการใช้แบบทดสอบ หนว่ ยที่ 9 หลังการอบรม 6 การประเมนิ ความร้แู ละทกั ษะการใชช้ ดุ ทดสอบความถนัด
หวั ขอ้ การอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ าร เนอื้ หา 6 ตามหลักการพหปุ ัญญา จานวน วิธีการอบรม รวม ชว่ั โมง 105 การสรปุ ผลการดาเนนิ งาน และตวั ชีว้ ัด สรุปผลการดาเนนิ งาน ภายหลงั การเสร็จส้ินโครงการจะได้ ชดุ ทดสอบและแบบประเมินความถนัดตามหลักการพหุ ปญั ญาทง้ั 8 ด้าน สาหรับนกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ ทมี่ คี ่าคุณภาพของชดุ ทดสอบท่ีอยู่ในระดับท่ีนาไปใช้ได้ และได้ครหู รือผูเ้ ขา้ อบรมชุดทดสอบและแบบประเมนิ ความถนดั ทีม่ ีทักษะในการใช้ประเมินนักเรียนเพ่ือให้รู้ ความถนดั หลักและความถนดั รองเพอ่ื นเตรียมตัวด้านการศกึ ษาและความพร้อมด้านอาชีพ อีกทั้งได้ชุดคู่มือ แนะแนวการเรียนรู้ตามความถนัด และแนวทางการพัฒนาความรแู้ ละทกั ษะความถนดั ของผู้เรียนท่ีสอดคล้อง กบั ความตอ้ งการของนกั เรยี นในการเตรยี มความพร้อมดา้ นอาชีพ ตัวชี้วดั ครทู ่ีสอนนกั เรียนระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ ในโรงเรียนสังกัด คา่ เปา้ หมาย ตัวชี้วัด สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารมัธยมศกึ ษาได้รับการพัฒนาศักยภาพ 30 คน เชิงปริมาณ สามารถเรยี นร้ไู ด้เต็มศักยภาพ มที กั ษะ การเรยี นรู้ท่สี อดคลอ้ งกับความถนัดของตนเอง 1 ชุด เชิงคุณภาพ 1 ชุด แบบทดสอบความถนัดสาหรบั นกั เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา ตอนต้น คมู่ อื แนะแนวการเรยี นรูต้ ามความถนดั แนวทางการพัฒนาความรแู้ ละทักษะความถนัดของผู้เรียนท่ี 1 ชุด สอดคลอ้ งกับ ความตอ้ งการบุคคลากรอาชพี ตา่ งๆ
7 สว่ นที่ 2 องคค์ วามรู้ทส่ี อดคลอ้ งกับหลกั พหปุ ญั ญา องคค์ วามรกู้ ารเรยี นรทู้ ่สี อดคลอ้ งกับหลกั พหปุ ญั ญา 1. แนวคิดการเรยี นรตู้ ามหลักพหปุ ญั ญา ในชว่ งต้นศตวรรษที่ 20 แนวความคิดเกี่ยวกบั ความสามารถพเิ ศษหรืออจั ฉริยภาพของมนุษย์มุ่ง ให้ความสาคัญกบั ความสามารถทางสติปัญญาและความสามารถทางวชิ าการ ซึง่ การคัดเลือกผู้มีความสามารถ พเิ ศษในสมยั นั้นเนน้ ไปท่กี ารทดสอบดา้ นสติปัญญา แบบทดสอบทางสติปัญญาจึงเป็นเคร่ืองมือท่ีมีบทบาท สาคัญ เหน็ ไดจ้ ากการศึกษาวจิ ยั ทมี่ ีช่อื เสยี งของลวิ อสิ เทอร์แมน (Lewis Terman) นกั จติ วทิ ยาชาวอเมรกิ ัน ได้ ทาการศึกษาระยะยาว เพอ่ื ติดตามชวี ติ ของผู้มีความสามารถพิเศษต้งั แต่วยั เด็กจนกระทงั่ เตบิ โตเป็นผู้ใหญ่ โดย คัดเลอื กเด็กท่มี ีความสามารถพเิ ศษจานวน 1,528 คน ทมี่ รี ะดับเชาวน์ปัญญาตั้งแต่ 135 ข้ึนไป มาเป็นกลุ่ม ตัวอย่างในการเกบ็ ขอ้ มูลวิจัย (Ceci. 2008: 55-61; Stoeger. 2009: 17-38) กรณนี ี้แสดงใหเ้ ห็นวา่ ความเข้าใจ เก่ยี วกับความสามารถของมนุษยใ์ นสมัยนั้นค่อนขา้ งจากัดเฉพาะดา้ นสตปิ ญั ญา ส่งผลให้กระบวนการคัดเลือกผู้ มีความสามารถพเิ ศษยงั ไมค่ รอบคลุมถึงการวดั ศกั ยภาพในด้านอ่ืนๆ ของมนุษย์ ต่อมา นกั การศกึ ษาและนักจิตวิทยาเริ่มมีการตระหนักถึงข้อจากัดของการใช้แบบทดสอบ สติปญั ญาในการใชค้ ัดเลือกเดก็ ท่มี คี วามสามารถพิเศษ โดยกิลฟอร์ด (Guilford) ไดเ้ สนอทฤษฎีโครงสร้างทาง สติปัญญา (The Structure of Intellect) ซ่ึงมองว่าปัญญาของมนษุ ยม์ คี วามหลากหลายและซับซ้อนถึง 150 ประเภท ซ่ึงภายหลงั เพม่ิ เปน็ 180 ประเภท ทฤษฎีน้ีอธบิ ายถึงองค์ประกอบทางสติปญั ญามนษุ ย์วา่ มี 3 มิติ คือ มติ ิดา้ นกระบวนการหรอื วิธกี ารคดิ มติ ดิ า้ นเนื้อหา และมิติด้านผลผลิต ( Sternberg; Jarvin; & Grigorenko. 2011: 60-61) กิลฟอร์ดได้กล่า วถึงคุณลักษณะของกา ร คิดอเนกนัย ( Divergent thinking) ที่เป็น ความสามารถในการหาคาตอบโดยไม่จากัด มีความคิดท่ีแปลกใหม่ ซ่ึงทาให้การคัดเลือกผู้มีความสามารถ พิเศษในชว่ งนเ้ี ริ่มมีการกล่าวถึงคุณลักษณะทางด้านความสร้างสรรค์ นอกจากนี้ มีงานวิจัยห ลายช้ินที่ ทาการศึกษาความสัมพันธ์ระ หว่างระดับเชาวน์ปัญญากับความสร้างสร รค์ จะนาไปสู่ข้อสังเกตที่ว่า ความสามารถในการสร้างสรรค์นั้นมีความสัมพันธ์กับระดับความสามารถทางสติปัญญาหรือไม่ ผู้ที่มี ความสามารถทางสติปญั ญาสูงอาจไม่ได้มีความสร้างสรรคส์ ูงกเ็ ปน็ ได้ ทาให้เกดิ ความตระหนักถึงข้อจากัดของ เครอ่ื งมอื และวธิ กี ารในการทดสอบระดับสตปิ ัญญาว่าไมส่ ามารถวดั ความสามารถของมนุษย์ได้ครอบคลุมทุก ด้าน (Sternberg; & O’Hara. 1999: 251-265) จงึ กล่าวไดว้ ่าในช่วงนแ้ี นวคิดทม่ี องวา่ อจั ฉริยภาพของมนุษย์มี หลายสาขาเรม่ิ มบี ทบาทมากขน้ึ ตอ่ การจดั การศึกษาสาหรบั ผู้มคี วามสามารถพิเศษ จนกระท่ังปลายศตวรรษที่ 20 การ์ดเน อร์ (Gardner. 1 983; 199 9) ได้นา เสนอสาขา ความสามารถของมนษุ ยท์ ีส่ ามารถระบุได้ทั้งหมด 8 ด้าน ตอ่ มาการ์ดเนอร์ได้เพ่ิมความสามารถด้านท่ี 9 ซึ่ง เกีย่ วกบั การรบั ร้แู ละความสามารถในการเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตให้ความสนใจในเร่ืองของความหมายของชีวิต ความเปน็ จรงิ ของชีวติ (Existential intelligence) ซง่ึ เปน็ ความสามารถท่คี อ่ นข้างยากต่อการวัดและยังไม่มี
8 คานิยามที่ชัดเจน อย่างไรกต็ าม จากทฤษฎพี หปุ ญั ญาทกี่ าร์ดเนอร์ได้นาเสนอแนวคดิ ทวี่ า่ มนษุ ย์มีความสามารถ หลากหลายนั้นเปน็ คิดที่เปน็ ท่ียอมรบั ทั่วโลก และใชเ้ ปน็ หลักในการจดั การศึกษาสาหรับผู้มีความสามารถพิเศษ มาจนถึงปัจจบุ ัน โรงเรียนหลายแหง่ ได้มกี ารจัดประสบการณ์ท่ีหลากหลายให้แก่ผู้เรียน เพื่อที่จะสามารถ คน้ พบจดุ เดน่ หรือดา้ นท่ผี เู้ รียนทาได้ดี และให้การส่งเสรมิ พฒั นาตอ่ ไป Gardner (อษุ ณยี ์ อนรุ ุทธ์วงศ์, 2555; อ้างองิ จาก Gardner, 1983; 1993) ได้แบง่ ความสามารถ ของมนษุ ย์ออกเป็นทัง้ หมด 9 ด้าน ดงั ปรากฏในทฤษฎีพหุปัญญา (The Theory of Multiple Intelligences) ดงั นี้ 1. ดา้ นความคดิ แบบเหตุผลและคณิตศาสตร์ (Mathematical - Logical Intelligence) คนท่ีมี ความสามารถด้านนจี้ ะมีความสามารถโดดเด่นในเร่ืองความคิดเชิงนามธรรม ความสามารถด้านตัวเลข ความสามารถดา้ นเหตผุ ล การสรา้ งความคิดในเร่ืองข้ันตอน การสรุปความคิด ปรับเปลี่ยนระบบวิธีใหม่ๆ หาทางควบคมุ ระเบยี บต่างๆ ชอบกิจกรรมลับสมองประลองปัญญา เกมกลต่างๆ เกมท่ีใช้ความคิด ตัวอย่าง ของคนกลมุ่ น้ี ได้แก่ นกั คณติ ศาสตร์ นกั วทิ ยาศาสตร์ 2. ดา้ นดนตรี (Musical Intelligence) เปน็ คนมีความไวตอ่ การรับรู้เสียง โทน จังหวะ จดจา ดว้ ยเสยี งเพลง มคี วามสามารถเรอื่ งจงั หวะ ระดับเสยี ง อารมณข์ องดนตรี มสี นุ ทรีย์ทางดนตรีในรูปแบบต่างๆ ตัวอยา่ งของคนกลมุ่ นี้ ไดแ้ ก่ นกั ดนตรี นักร้อง นักแตง่ เพลง ผคู้ วบคุมวงดนตรี 3. ดา้ นภาษา (Linguistic Intelligence) คนกลุ่มนมี้ ีความสามารถในการเขา้ ใจความหมายของ คาเร่อื งราวได้ดี เข้าใจหลักเกณฑ์ของภาษา มกี ารสื่อสารด้วยการเขียน หรือการพูดอย่างตรงประเด็นและมี ประสิทธภิ าพ วธิ ีการสรา้ งสรรค์ทางภาษาเป็นนกั คดิ โดยใช้ภาษา ชอบอ่าน ชอบเขยี น อาจสงั เกตได้จากการพูด หรือการเขียนเป็นแววนกั ประพันธ์ นกั เขียน นกั พดู นกั แปลนกั ภาษาศาสตร์ เป็นตน้ 4. ดา้ นมิตสิ ัมพันธ์ (Spatial Intelligence) เป็นคนท่จี ติ นาการเป็นรูปภาพ เข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่างภาพและความหมาย เข้าใจเร่ืองมิติ ชอบใช้เวลาวาดภาพออกแบบสิ่งต่างๆ ตัวอย่างของผู้มี ความสามารถดา้ นน้ี เชน่ วศิ วกร สถาปนิก จิตรกร นกั ภมู ิศาสตร์ ศิลปนิ แขนงตา่ งๆ 5. ด้านร่างกายและการใช้กล้ามเนื้อต่างๆ (Bodily Kinesthetic Intelligence) เป็นคนที่มี ทกั ษะสูงในการควบคุมการเคลือ่ นไหวของกล้ามเนอื้ ต่างๆ มีการประสานสัมพนั ธ์ระหว่างตาและร่างกายได้ดี มี ความวอ่ งไว และมีสมดลุ ร่างกายทดี่ ี ผ้ทู ม่ี คี วามสามารถดา้ นนี้ เชน่ นักตัดเสื้อผ้า ทอผ้า นักกีฬาทุกประเภท นักเตน้ 6. ด้านมนุษยสมั พนั ธ์ (Interpersonal Intelligence) คนกลมุ่ น้มี คี วามสามารถเร่ืองการเข้าใจ ผูอ้ น่ื มคี วามไวในการรบั รูถ้ งึ ความรูส้ กึ อารมณ์ของผ้อู น่ื ได้ดี ทางานรว่ มกับผอู้ ่นื ได้เป็นอย่างดี มีความมุ่งม่ันใน การทางานเพ่อื ผอู้ ่ืน มีลกั ษณะเป็นผู้นา ตัดสินใจแก้ปัญหา ลดขอ้ ขัดแยง้ ควบคุมผู้อ่ืนได้ดีสามารถเข้าใจผู้อ่ืน และแสดงการตอบสนองตอ่ ผูอ้ น่ื ได้อยา่ งเหมาะสม เชน่ นกั การเมอื ง ครู ครูแนะแนวจิตแพทย์ ผู้ให้คาปรึกษา ตา่ งๆ ผนู้ าชุมชน
9 7. ด้านความเข้าใจในตน (Intrapersonal Intelligence) เป็นคนท่มี ีความลุ่มลึกในเรื่องจิตของ ตน มคี วามตระหนกั ร้เู กี่ยวกับตนเอง สามารถควบคุมความรู้สึกของตนด้วยความเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ชอบคิดฝัน สรา้ งความคิดจินตนาการทั้งด้านอารมณ์ความรู้สึก จุดเด่นจุดด้อยของตน คนกลุ่มนี้ ได้แก่ นักแสดง นกั บาบัด ผดู้ แู ลคนอื่น นกั เขียน 8. ด้านธรรมชาติศกึ ษา (Naturalist Intelligence) เปน็ คนท่ีมีความสามารถทางด้านการรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติชวี ิตของทง้ั สัตว์และพืช และปรากฏการณ์ตา่ งๆ เข้าใจและตระหนกั ถึงความเช่ือมโยงของ ธรรมชาตขิ องสิ่งต่างๆ เหน็ วงจรชวี ิตสตั วห์ รอื ระบบการจัดหมวดหม่ขู องสัตวไ์ ด้อย่างน่าพศิ วง เช่น นักชีววิทยา นักธรรมชาติศึกษา นักดาราศาสตร์ นักสตั ววทิ ยา 9. ดา้ นการใฝแุ ก่นสารแหง่ ชีวิต (Existential Intelligence) เป็นกลุ่มคนท่ีมีความโดดเด่นใน เรอ่ื งความคิด ชอบครุ่นคิดและตั้งคาถามเก่ียวกับชีวติ การเกิด การตาย อะไรคือความรู้ความจริง เช่น นักบวช นักปรัชญา นกั คดิ สรุปไดว้ ่าความสามารถหรอื ความถนดั ตามหลักคิดพหุปัญญาสามารถแบ่งได้ 9 ด้าน คือด้าน ความคิดแบบเหตผุ ลและคณิตศาสตร์ ดา้ นภาษา ด้านดนตรี ดา้ นมิติสมั พนั ธ์ ด้านการเคล่ือนไหว ด้านมนุษย สัมพันธ์ ด้านความเขา้ ใจตนเอง ด้านธรรมชาติ และด้านการใฝแุ กน่ สารแห่งชีวิต แต่ในงานโครงการน้ีจะตัด ดา้ นสดุ ทา้ ยคอื ด้านการใฝุแกน่ สารแห่งชวี ิตออก เน่อื งจากในกลมุ่ ทศ่ี กึ ษาคอื วัยรุ่นตอนต้นยังอาจทดสอบหรือ วัดความสามารถด้านนีย้ งั ไม่ได้ชดั เจน เพราะตอ้ งอาศยั การเจริญเตบิ โตและวุฒิภาวะในระดับที่สูงกว่าวัยนี้ แนวคดิ ของการ์ดเนอร์ มีความสอดคล้องกับคาลวิน เทย์เลอร์ ( Calvin Taylor) ผู้นาเสนอ Multiple -Talent Model ซง่ึ มีแนวคิดว่า เด็กสว่ นมากจะมศี ักยภาพในตนพอท่ีจะพัฒนาจนเกิดเป็นทักษะ ความสามารถเฉพาะดา้ น (Talent) ซึ่งตอ้ งอาศยั การจดั การศึกษาท่ีเหมาะสมกับบุคคล เทย์เลอร์ได้จัดกลุ่ม โดยเทยเ์ ลอรเ์ ชอ่ื ว่า เดก็ เกือบทกุ คนจะมคี วามสามารถอยา่ งน้อยหนึ่งด้านท่ีอาจจะยังไม่แสดงออกมาให้เห็น เปน็ ท่ปี ระจกั ษ์ ถา้ หากการจัดการศกึ ษาเปดิ โอกาสให้เด็กได้แสดงความสามารถท่ีหลากหลาย ไม่จากัดอยู่ เฉพาะบางสาขา เราก็จะพบเด็กทีม่ คี วามสามารถสงู กว่าปกตใิ นดา้ นใดด้านหน่ึงมากข้ึนเร่ือยๆ และถ้าหากครู จัดสิ่งแวดลอ้ มท่เี อื้อตอ่ การเรียนรู้ สอดคลอ้ งกับความต้องการของเด็ก ก็จะยิ่งทาให้พบจานวนของเด็กท่ีมี ความสามารถเฉพาะทางมากขน้ึ อีกเชน่ กนั
10 รปู 1 Taylor’s Multiple-Talent Totem Poles, extened version ทม่ี า Davis; & Rimm. (2004). Education of the Gifted and Talented. p. 23. (citing Calvin W. Taylor. (1984). Taylor’s Multiple-Talent Totem Poles, extened version. จากภาพ เทย์เลอรไ์ ด้นาเสนอความสามารถในด้านต่างๆ ของเด็ก จะเห็นได้ว่าเด็กแต่ละคนมี ความสามารถแต่ละด้านอยู่ในระดับทแ่ี ตกต่างกนั ซ่งึ ไมม่ ีเดก็ คนใดทมี่ ีความสามารถอยู่ในระดับต่าสุดทุกด้าน ในขณะเดียวกันก็ไมม่ เี ด็กคนใดที่มีความสามารถอยใู่ นระดบั สงู สุดทุกด้าน โดย Multiple-Talent Model เป็น แนวคดิ ทที่ าให้ครู และนักการศึกษาตระหนักใหค้ วามสาคัญกับการพฒั นาความสามารถด้านต่างๆ ของผู้เรียน โดยเชอื่ มัน่ ว่าผู้เรยี นแต่ละคนจะมคี วามสามารถอย่างนอ้ ยหนงึ่ ด้าน ซึ่งการจัดการศึกษาท่ีเหมาะสมจะมีส่วน ช่วยใหค้ ้นพบความสามารถน้นั ๆ และชว่ ยให้การจัดการศึกษามีความสัมพันธก์ ับชีวิตจริงมากขน้ึ 2. ลักษณะสาคัญของทฤษฎีพหปุ ัญญา Gardner (เฉลิมขวัญ อัศวชยั . 2553 : 36 ; อา้ งอิงจาก Gardner. 1983 และเพญ็ พร สิงห์ไธสง. 2549 : 6 ; อา้ งองิ จาก Armstrong. 1994) ไดร้ ะบถุ งึ สง่ิ บง่ ช้ที ่เี ปน็ ลักษณะสาคญั ของทฤษฎพี หุปัญญา ดังนี้ 1. ปญั ญามีลกั ษณะเฉพาะดา้ นท่แี ตกตา่ งกนั 2. ปัญญาทงั้ 8 ด้านในแต่ละบุคคลจะมคี วามมากนอ้ ยแตกต่างกัน 3. เราสามารถพฒั นาปญั ญาแต่ละด้านใหส้ งู ข้ึนได้ จากการฝึกฝน และปัจจยั รอบข้าง เช่น ความ รว่ มมอื ของผปู้ กครอง 4. ปญั ญาหลายๆ ด้านสามารถทางานรว่ มกนั ได้ เชน่ ในการประกอบอาหารก็ต้องสามารถอ่าน วธิ ีทาได้อยา่ งเข้าใจ (ด้านภาษา) คดิ คานวณปริมาณของส่วนผสม (ดา้ นคณติ ศาสตร)์ 5. ปัญญาด้านใดด้านหนึ่งจะมกี ารแสดงออกถงึ ความสามารถท่ีหลากหลาย เช่น ปัญญาด้าน ภาษา อาจแสดงออกผ่านการอ่านหรือการพูด เป็นต้น 6. ประสบการณ์เกย่ี วกับปัญญาด้านต่างๆ จะต้องสามารถถา่ ยทอดโดยใช้สัญลกั ษณข์ องตนได้ 7. ปญั ญาในแตล่ ะด้านจะปรากฏขึน้ ในชว่ งอายุทีต่ ่างกนั ตามพัฒนาของแตล่ ะคน
11 8. ปญั ญาแต่ละดา้ นอาจถกู ทาลายเพราะได้รับบาดเจบ็ หรอื กระทบกระเทอื นทางสมอง 9. ปัญญาแต่ละดา้ นมีคณุ ค่าทางวัฒนธรรมของตนเอง คนในสงั คมมักจะได้เรียนรู้ปัญญาในด้าน ท่ีถอื วา่ ไดร้ ับการใหค้ ุณคา่ จากสงั คมมากกว่าดา้ นอื่น แต่ทฤษฎีพหุปัญญาได้ชใ้ี หเ้ ห็นถึงปญั ญาในทุกๆ ด้านต่าง มคี ณุ คา่ ทางวัฒนธรรมเชน่ กนั ให้การยกย่องความสามารถด้านตา่ งๆ ของมนษุ ยอ์ ย่างกวา้ งขวาง สรปุ ลักษณะที่สาคัญของแนวคิดพหุปัญญาคอื แต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกัน สามารถฝึกฝ น หรอื พฒั นาได้ ความสามารถด้านต่างๆจะช่วยประสานการทางานซ่งึ กันและกัน ความถนัดด้านหนึ่งสามารถ แสดงออกในลักษณะ ท่ีหลากหลายไม่จา เป็นต้องมีรูปแบบตา ยตัว พัฒนาการใน แต่ละช่วงวัยมีผลต่อ ความสามารถในแต่ละด้าน และความสามารถน้ีจะถูกทาลายหากสมองได้รับความเสยี หาย จากลกั ษณะของความแตกตา่ งดา้ นพฒั นาการมีอิทธิพลตอ่ ความสามารถและความถนัด ในงานน้ี จงึ นาลกั ษณะเด่นของวยั รนุ่ มาผนวกเขา้ กบั การจัดกิจกรรมสง่ เสริมด้วย 3. ปัจจัยในการพัฒนาพหปุ ัญญาในผู้เรียน Armstrong (เพญ็ พร สิงห์ไธสง. 2549 : 6 ; อ้างอิงจาก Armstrong. 1994) ได้อธิบายถึงการ พฒั นาพหุปญั ญาวา่ มีความสมั พนั ธ์กบั ประสบการณใ์ นช่วงอายุต่างๆ ซึ่งมีทั้ง “ประสบการณ์ตกผลึก” ที่จะ กระตุ้นให้เกิดการพฒั นาปญั ญา กบั “ประสบการณบ์ ่ันทอน” ซง่ึ เกดิ จากการถูกทาใหเ้ กดิ อาการไม่พึงประสงค์ เช่น โกรธ กลัวหรืออาย ซ่ึงจะบั่นทอนศักยภาพในการพัฒนาปัญญาในด้านตา่ งๆ ทง้ั นี้ การพฒั นาพหุปัญญาได้ เช่อื มโยงถึงปัจจัยต่างๆ ดังน้ี 1. ปจั จัยดา้ นครูผู้สอนหรืออุปกรณส์ ่ือ หากผ้เู รียนไมไ่ ดร้ บั การจัดการเรียนสอนท่ีสอดคล้องกับ หลักพหุปญั ญาจากผู้สอน หรือขาดแคลนอปุ กรณท์ ีจ่ าเป็นในการเรยี นรู้ เช่น เครอื่ งดนตรี อุปกรณ์กีฬา ทาให้ ไม่ได้รบั การส่งเสริมปญั ญาในดา้ นนั้นๆ 2. ปัจจยั ด้านค่านิยมทางสงั คม ผเู้ รยี นมแี นวโนม้ ได้รับการส่งเสริมพหุปัญญาในด้านที่ถือเป็น คา่ นิยมทางสงั คมมากกว่าด้านอ่นื ๆ 3. ปัจจยั ด้านพ้ืนที่ ความสามารถในพหปุ ัญญาบางดา้ นจะพัฒนาขึ้นได้จากการฝึกฝน ซึ่งบาง กิจกรรมจาเปน็ ต้องใชพ้ ้ืนทใี่ นการฝึกซ้อม หรอื ผเู้ รียนทอ่ี าศัยในพื้นที่ท่ีมีบริเวณว่ิงเล่น ย่อมได้รับการพัฒนา ทางดา้ นร่างกายและการเคลอ่ื นไหวมากกวา่ ผู้เรียนทอ่ี าศยั อยู่ในพน้ื ท่จี ากัด 4. ปจั จยั ด้านครอบครวั เน่ืองจากมสี ว่ นในการสนบั สนุนใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาด้านพหุปัญญาไปตาม ความสามารถของตนได้อย่างเต็มท่ี 5. ปัจจยั ดา้ นสถานการณ์ มีส่วนให้ผเู้ รียนพฒั นาพหุปญั ญาได้ไม่รอบดา้ น สรุปปัจจยั ท่จี ะทาใหเ้ กดิ การพัฒนาพหุปัญญาไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพจะตอ้ งมีทั้งปจั จยั ดา้ นบุคคล เช่น ครู พอ่ แม่ ปจั จยั ด้านอปุ กรณ์ต่างๆ เช่น สอ่ื การสอน และปัจจยั ดา้ นสิง่ แวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นพ้ืนท่ี สถานการณห์ รือสภาวการณใ์ นการสง่ เสรมิ หรือขัดขวางความสามารถทางพหปุ ัญญา
12 4. แนวทางการจัดกิจกรรมการเรยี นร้ทู ส่ี อดคล้องกับหลกั พหปุ ัญญา เดก็ แตล่ ะคนมคี วามแตกต่างกันทงั้ ในดา้ นความสามารถ และลักษณะการเรียนรู้ ตามแนวทาง ทฤษฎพี หปุ ญั ญามาใช้ในการเรยี นการสอนจึงต้องมคี วามหลากหลาย ดงั นี้ (ทศิ นา แขมณี, 2545) 1. เดก็ แตล่ ะคนมคี วามสามารถและเชาวนป์ ญั ญาแต่ละดา้ นไม่เหมอื นกนั ดังน้ันในการประเมิน และการจดั การเรยี นการสอน ควรมีวธิ กี ารและกิจกรรมการทดสอบและการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ท่ีสามารถ ประเมนิ และสง่ เสรมิ เชาวน์ปญั ญาหลายๆ ด้าน ไม่ใช่มงุ่ ประเมนิ และสง่ เสริมดา้ นใดดา้ นหนึ่งเทา่ นั้น เช่น ด้าน การศึกษามกั จะมกี ารเน้นการพฒั นาดา้ นภาษาและด้านคณิตศาสตร์หรือด้านการใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ เป็นหลัก และมคี วามเชอื่ ว่า ความสามารถ 3 ดา้ นนี้จะนาพาให้เดก็ สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ ทาให้เด็กมีโอกาส พัฒนาความสามารถด้านอ่ืนน้อยกวา่ ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างย่ิงเดก็ ทีม่ คี วามสามารถด้านอ่ืนสูง จะขาด โอกาสทีจ่ ะเรียนรูแ้ ละพฒั นาในดา้ นที่ตนมีความสามารถหรือถนัดเป็นพิเศษ การประเมินเพื่อจัดกิจกรรม ส่งเสรมิ พัฒนาการของสติปญั ญาหลายๆ ดา้ น จะช่วยให้เดก็ ทกุ คนมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน พรอ้ มทงั้ ชว่ ยสง่ เสรมิ อจั ริยภาพหรือความสามารถเฉพาะตนด้านต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ไม่เท่ากันพัฒนาได้อย่างเต็ม ศกั ยภาพเกดิ ความจาเพาะของแตล่ ะคน หรอื ที่เรียกว่า เอกลกั ษณ์ (Uniqueness) เอกลักษณ์ของแต่ละคนท่ี แตกต่างกนั จะทาให้มเี กดิ ความหลากหลาย (Diversity) ความหลากหลายนี้หากมารวมกัน จะสามารถผสาน การทางานร่วมกนั ไดอ้ ย่างลง 2. เด็กมรี ะดับพัฒนาการในเชาวน์ปัญญาหรือความสามารถแต่ละด้านไม่เท่ากัน ดังน้ัน จึง จาเป็นท่ีจะตอ้ งทาการประเมนิ และจดั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ข้ันพฒั นาการในแต่ละดา้ น เชน่ เด็กท่ี มีความสามารถด้านภาษาสงู จะพฒั นาปัญญาดา้ นนขี้ องตนอย่างรวดเรว็ มากกว่าเดก็ คนอนื่ ๆ ดงั น้นั การประเมิน เพื่อจัดกิจกรรมเฉพาะสาหรบั เด็กคนน้กี ม็ คี วามจาเพาะและจาเป็น 3. เด็กแตล่ ะคนมเี ชาวนป์ ัญญาและความสามารถแต่ละด้านไม่เหมือนกัน การผสมผสานของ ความ สามารถดา้ นต่าง ๆ ที่มีอยไู่ มเ่ ทา่ กันนี้ ทาให้เกิดเปน็ เอกลกั ษณ์ (Uniqueness) หรือลักษณะเฉพาะของ แตล่ ะคนและเกดิ ความแตกต่างทีห่ ลากหลาย (Diversity) ทาใหส้ ามารถนามาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์แกส่ ่วนรวมได้ อยา่ งเตม็ ศักยภาพ ดังน้นั ควรพัฒนาโดยเนน้ ใหเ้ ดก็ ค้นหาเอกลักษณ์ของตน และภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของ ตนเอง และเคารพในเอกลกั ษณข์ องผู้อ่นื รวมท้งั เห็นคุณค่าและเรยี นรู้ ท่ีจะใช้ความแตกต่างของแต่ละบุคคล ใหเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ ส่วนรวม เด็กก็จะเรยี นรอู้ ย่างมคี วามสุข มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง ใน ขณะเดยี วกนั ก็มีความเคารพในผ้อู ่ืน 4. ระบบการวดั และประเมินผล ควรจะต้องมีการปรบั เปล่ียนไปจากแนวคดิ เดิมท่ใี ช้การทดสอบ เพื่อวดั ความสามารถทางเชาวนป์ ัญญาเพียงดา้ นใดด้านหนงึ่ ควรมีการประเมินหลายๆ ดา้ น และในแต่ละด้าน ควรเป็นการประเมินในสภาพการณ์ของปัญหาทส่ี ามารถแกป้ ญั หาได้ด้วยอุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญา ด้านนั้น ๆ การประเมนิ จะต้องครอบคลมุ ความสามารถในกา รแก้ปัญหา หรือการสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้ อปุ กรณ์ทส่ี ัมพนั ธก์ ับเชาวนป์ ญั ญาด้านนั้น อีกวิธีหน่ึงคือการให้เด็กอยู่ในสภาพการณ์ท่ีซับซ้อนซึ่งต้องใช้
13 สติปญั ญาหลายดา้ น หรอื การใหอ้ ุปกรณซ์ ่ึงสัมพันธก์ บั เชาวน์ปญั ญาหลาย ๆ ด้าน และสงั เกตดูว่า เด็กเลือกใช้ เชาวน์ปญั ญาด้านใด หรือศกึ ษาและใชอ้ ปุ กรณซ์ ึง่ สมั พนั ธ์กบั เชาวน์ปญั ญาดา้ นใด มากเพยี งไร สรปุ แนวทางในการส่งเสริมความสามารถทางพหุปัญญา คือกิจกรรมต้องมีความหลากหลาย เพราะแต่ละคนมีความสามารถ และคุณสมบัติท่ีไมเ่ หมือนกนั การจัดกจิ กรรมและการวัดและประเมินจะต้อง จะตอ้ งวดั ในหลายมิติ การจัดการศกึ ษาสาหรบั ผ้มู ีความสามารถพเิ ศษจะต้องคานึงถึงการที่ทาให้ผู้เรียนจะได้รับการ ส่งเสริมตอ่ ยอดในดา้ นท่ีตนมีความสนใจ และไดร้ ับการพัฒนาความสามารถอย่างต่อเน่ืองโดยไม่ถูกจากัดการ เรียนรใู้ ห้อยเู่ ฉพาะเนอื้ หาทก่ี าหนดไว้ในหลกั สตู รปกติ รวมทง้ั การใหค้ วามสาคัญของการส่ งเสริมด้านการคิด อารมณ์ สังคมของผมู้ ีความสามารถพิเศษ และในขณะเดียวกันก็ได้รับการพัฒนาในด้านที่ไม่ถนัดหรือเป็น ขอ้ ดอ้ ย โดยสามารถสรุปหลักในการจดั การศึกษาสาหรบั ผ้มู ีความสามารถพิเศษ ได้ดังต่อไปน้ี 1. ปรบั เนื้อหา และกจิ กรรมให้เหมาะสมกับระดบั ความสามารถ โดยมีระดับควา มยาก และมี ความท้าทายการคิดมากกว่าหลักสูตรปกติ 2. มีการเชือ่ มโยงและบรู ณาการกนั ระหว่างสาขาวชิ า 3. ให้ผ้เู รยี นมีสว่ นร่วมในการเลอื กหัวข้อทตี่ นเองสนใจ ซ่ึงอาจเชื่อมโยงกับเน้ือหาในหลักสูตร หรือนอกเหนอื จากหวั ขอ้ ที่กาหนดไว้ในหลักสตู ร 4. ฝึกทักษะการคดิ ระดับสงู เช่น ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความคดิ วจิ ารณญาณ เปน็ ต้น 5. จัดบรรยากาศ สง่ิ แวดล้อม และสื่อการเรยี นที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ท้ังในห้องเรียนและนอก ห้องเรียน 6. จดั กระบวนการเรียนการสอนทส่ี ลับซับซอ้ นลกึ ซึ้งกว่าหลักสูตรปกติ เน้นการลงมือปฏิบัติ และเชือ่ มโยงกับประสบการณ์จริง 7. การจดั การเรียนรู้ให้ความสาคญั กบั การพฒั นาสมองทกุ ส่วน 8. ฝึกทักษะการเรียนรดู้ ้วยตนเอง หรอื การเรยี นรู้ดว้ ยการนาตนเอง 9. ส่งเสริมให้มีการทากจิ กรรมกลมุ่ เพื่อส่งเสริมทกั ษะสงั คมและการเรยี นรูอ้ ยา่ งมีส่วนร่วม 10.ให้ความสาคัญกับการสง่ เสริมด้านจติ ใจของผู้เรียน การให้ความช่วยเหลือผู้เรียนห ากเกิด ปัญหา เชน่ ขาดการกากบั ตนเอง ความรูส้ ึกแปลกแยกจากผ้อู ่ืน การเห็นคุณค่าในตนเองต่า หรือขาดความ มงุ่ มั่นหมนั่ สาเรจ็ เปน็ ต้น 11.มกี ารกาหนดเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานหรอื ผลการเรยี นรู้ของผ้เู รียนอยา่ งชัดเจน 12.ให้ความสาคัญกับกา รพัฒนาทางด้านคุณธรรม จริยธร รม เพื่อให้ผู้เ รียนใช้ความรู้ ความสามารถของตนกอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อสังคม นอกจากน้ี รศ.ดร.เยาวภา เดชะคปุ ต์ ไดพ้ ฒั นารูปแบบพหุปญั ญาเพอ่ื การเรียนรู้ (The Multiple Intelligence Model for Learning) ซึ่งประกอบดว้ ยการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (ACACA) ดงั ต่อไปนี้
14 ข้นั ที่ 1 ผู้เรียนลงมือปฏิบัตกิ จิ กรรมการเรยี นรูอ้ ย่างมชี วี ติ ชวี า (Active Learning) โดย ผู้สอนได้ จดั กิจกรรมทใ่ี ห้ผเู้ รียนไดป้ ฏิบตั ิการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง เนน้ การคน้ ควา้ และลงมือปฏิบัติจริง ข้ันท่ี 2 ผเู้ รียนมีสว่ นร่วมในการเรียนรูห้ รอื มีปฏสิ ัมพันธใ์ นการเรียนรใู้ นกลุ่มย่อย (Co-operative Learning) โดยผ้สู อนไดจ้ ัดกิจกรรมเป็นการเรียนร้จู ากกลุม่ ยอ่ ย ซ่ึงมกี ารแลกเปลีย่ นประสบการณ์ ความเข้าใจ และความคดิ เหน็ ระหว่างผเู้ รยี นด้วยกัน รว่ มมอื กนั ในข้ันวางแผน ปฏิบตั ิการและนาเสนอผลงาน ขั้นที่ 3 ผเู้ รยี นสามารถวเิ คราะหป์ ระสบการณก์ ารเรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเอง (Analysis) ในข้ันนี้ จาก การทากิจกรรมของผ้เู รยี น ทง้ั การลงมอื ปฏิบตั ิและการมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการกล่มุ ผ้สู อนได้เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนไดเ้ กิดกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ท้ังในระดับความรสู้ กึ และประสบการณท์ ีไ่ ดร้ บั จากการเรยี นรดู้ ว้ ย ข้ันที่ 4 ผ้เู รยี นสามารถสรุปและสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง (Constructivism) ผู้สอนได้ ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนสามารถสรา้ งข้อสรุปของกิจกรรม โดยกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนตระหนกั ในส่ิงที่ได้เรียนรู้ รู้ในส่ิงที่ยัง ไมเ่ ข้าใจและหาคาอธิบายเพิม่ เติม สามารถถ่ายทอดองคค์ วามรูอ้ อกมาไดจ้ ากรปู แบบท่ีสร้างสรรคด์ ว้ ยตวั เอง ขั้นที่ 5 ผู้เรยี นสามารถนาสิ่งท่ไี ด้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง ( Application) ผู้สอนได้ สง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รียนเกดิ ความคดิ สร้างสรรค์วิธีการต่างๆ ท่ีจะนาองค์ความรู้ไปประยุกต์เป็นเคร่ืองมือในการ แก้ปญั หา ตอ่ ยอดไปส่นู วตั กรรมใหม่ และจากบทความเร่ือง “Howard Gardner's Multiple Intelligences : A Theory for Everyone” เขยี นโดย Anne Guignon (2010) ได้อธิบายถึงการนาทฤษฎพี หปุ ญั ญาไปใชใ้ นการเรียนการสอน ของโรงเรียนไดด้ งั น้ี 1. ควรออกแบบบทเรียนให้มีกจิ กรรมท่ีใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชค้ วามฉลาดในด้านต่างๆ โดยรอบ 2. จดั การเรียนการสอนในแบบสหวทิ ยาการ เช่นการทาโครงงาน มักจะทาในกลุ่มโรงเรียน มัธยม ซง่ึ การท่ีผ้เู รียนได้สร้างสรรคโ์ ครงงาน มีการจัดการและแก้ปญั หาท่ีซบั ซอ้ น ทาใหเ้ กิดทกั ษะในด้านต่างๆ เพ่มิ ขนึ้ 3. จดั ใหม้ ีการประเมนิ ผล ทจ่ี ะทาใหผ้ ู้เรียนได้แสดงในสงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรู้ บางคร้ังอาจเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนไดอ้ อกแบบการประเมนิ ด้วยตัวเอง เรียนรโู้ ดยการปฏบิ ัตงิ านจริง โดยผ้เู รียนได้เรียนรู้ทักษะด้านต่างๆ อยา่ งค่อยเปน็ ค่อยไป จากบทควา ม “การจัดหลักสูตรการศึกษาบน ฐานทฤษฎีพหุปัญญาของโรงเรียน สาธิต มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร (ฝุายมัธยม)” โดย ธนลาวัณย์ เพียรค้า (2561) แสดงให้เห็น ตวั อย่างของสถานศกึ ษาในประเทศไทยท่จี ัดการเรยี นการสอนในแบบพหปุ ญั ญา โดยมีการจัดสรรการเรียนการ สอนเพื่อสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ปัญญาในด้านต่างๆ ดงั นี้ 1. ด้านภาษา มกี ิจกรรมท่ีใหผ้ ู้เรียนได้ใช้ทักษะท้ังการ ฟัง พูด อ่านและเขียน และมีการปภิ ปรายเร่ืองราวจากหนงั สือทอี่ ่าน สนับสนุนให้ผ้เู รยี นพกสมุดเล่มเลก็ จดคาศัพท์เพอ่ื ใช้ทบทวน ฝึกฝนการเขียน โดยให้ผ้เู รยี นเขยี นไดอาร่ี
15 2. ดา้ นคณติ ศาสตร์ มุ่งเนน้ ได้ฝึกฝนการทางานในรปู แบบของการคดิ วเิ คราะห์ แกป้ ญั หา หรือ การนาทักษะความรู้ทีผ่ ู้เรยี นมอี ย่มู าประยุกต์ เชน่ การทาโครงงาน 3. ด้านมติ ิสมั พันธ์ มีการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหผ้ ู้เรยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะทางดา้ นศิลปะ การ วาดภาพเหมือนจรงิ โดยมมี มุ มองท่ตี า่ งกัน หรอื การทางานประดิษฐต์ า่ งๆ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งอสิ ระ 4. ด้านร่างกายและการเคร่อื งไหว มงุ่ เนน้ ใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นรูโ้ ดยผา่ นประสาทสัมผัส ฝึกให้ ผู้เรยี นใชร้ างกายและสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างกล้ามเนื้อสวนตา่ งๆ ของร่างกาย ให้ผู้เรียนได้แสดงออกใน โอกาสต่างๆ เชน่ งานประจาปโี รงเรยี น ผ้เู รียนไดเ้ ต้นรา หรอื เล่นละคร ได้ฝกึ การเคลือ่ นไหวรางกาย เช่น การ เลน่ กีฬาในชว่ งเวลาพกั หรือจดั ให้มชี มรมกีฬา 5. ด้านดนตรี มีการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนที่มงุ่ เนน้ ใช้เพลงในการประกอบการเรียนใน หอ้ งเรยี น เชน่ การนาเข้าสูบ่ ทเรยี น หรือการใช้เพลงเปน็ สื่อการสอน สนบั สนุนใหผ้ ู้เรยี นมโี อกาสได้เรียนดนตรี ก่อต้ังชมรมดนตรี 6. ด้านมนษุ ยสัมพันธ์ ม่งุ เน้นให้ผู้เรียนไดท้ ากจิ กรรมกลุ่ม มกี ารเรยี นรู้ อภิปราย และแกป้ ัญหา รว่ มกนั มีโอกาสไดเ้ รียนรบู้ ทบาทตา่ งๆ ในกลุ่ม 7. ดา้ นการเขา้ ใจตนเอง มีการจัดการเรยี นการสอน ทีม่ ่งุ เน้นให้ผ้เู รียนได้แสดงความเป็นตัวของ ตวั เอง มกี ารทบทวนตัวเองอยูเสมอวา่ “ตนคือใคร” “มหี น้าท่ีอะไร” มีกิจกรรมเขียนไดอารี่ ให้ผู้เรียนเห็น คณุ ค่าของตนเอง 8. ด้านธรรมชาติวิทยา มกี จิ กรรมทม่ี ุง่ เนน้ ใหผ้ ้เู รยี นได้เรียนรู้เก่ยี วกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ รอบตวั โดยจดั ใหม้ ีแหล่งเรียนรนู้ อกห้องเรยี นและให้ผ้เู รยี นไดศ้ กึ ษาดว้ ยตนเอง สรุปในการจัดการเรียนการสอนหรือการจั ดกิจกรรมจะต้องสร้างหรือพัฒนา ให้พัฒน า ความสามารถใหค้ รบรอบด้านตามหลักการของพหปุ ัญญา และในความเปน็ จริงเด็กทุกคนมีความสามารถทุก ด้านเพียงแตม่ ากน้อยต่างกนั ผทู้ มี่ ีสว่ นดูแลและชว่ ยเหลือเดก็ จะต้องประเมินศักยภาพของเด็กแต่ละด้านให้ได้ และใหก้ ารสง่ เสรมิ เพ่อื ให้เกดิ ปัญญาหรอื ความสามารถของสูงสุด 5. ตัวอยา่ งแบบทดสอบทีส่ อดคล้องกบั การเรยี นร้ตู ามหลกั พหปุ ญั ญา 1. ด้านความคดิ แบบเหตุผลและคณติ ศาสตร์ (Mathematical - Logical Intelligence) ความสามารถในการแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ การคดิ เชิงตรรกะไดอ้ ย่างรวดเร็ว มวี ิธใี นการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ท่ีหลากหลาย ทงั้ ในเร่อื งการคานวณ และการบรู ณาการความรู้ทางคณิตศาสตรห์ ลายเรือ่ งในการแก้ปญั หา 1.1. การรบั รู้แบบรปู (pattern) ทางคณติ ศาสตร์ ให้นักเรยี นวเิ คราะห์หาแบบรูปทางคณิตศาสตร์ และความสัมพันธ์ของแบบรูป สัญลักษณท์ ม่ี ีความซับซอ้ น การมกี ลยุทธ์ในการแก้ปญั หาทหี่ ลากหลายทางคณิตศาสตร์
16 1.2 กาหนดเง่ือนไขทางคณิตศาสตร์ (ไม่อิงเนอ้ื หาที่กาหนดในหลักสูตร) ซึ่งเป็นแนวคิด ใหม่ และให้นักเรียนแกโ้ จทยป์ ญั หาโดยใหค้ ิดหาวิธีแกป้ ญั หาทห่ี ลากหลาย 2. ด้านดนตรี (Musical Intelligence) ความสามารถในการตระหนกั ความซาบซ้ึงในการใช้ เสยี ง และการเข้าใจความสมั พนั ธ์ระหว่างเสยี งและความรสู้ ึก และการรับรู้แม่นยาเก่ียวกับทานองเพลงและ จงั หวะ แบบทดสอบไดถ้ ูกแบ่งเปน็ 2 ส่วน 1) การทดสอบเสียง (tonal test) 2) การทดสอบจังหวะ (rhythmic test) โดยในแตล่ ะส่วนจะมีความแตกตา่ งของรปู แบบดนตรีและจังหวะ สว่ นละ 40 รูปแบบ 2.1 การตระหนัก ความซาบซึง้ ในการใชเ้ สียง และการเข้าใจความสัมพนั ธ์ระหว่างเสียง และความร้สู กึ ใหน้ ักเรยี นชมคลิปการแสดงดนตรี หรือบทเพลงท่ีได้ยิน แล้ววิจารณ์การแสดง ดนตรี หรือบทเพลงที่ไดย้ ินน้นั 2.2 การรบั รู้แมน่ ยาเกี่ยวกับทานองเพลงและจังหวะ ให้นักเรยี นฟงั เสยี งจากคลปิ แลว้ ทาการเคาะหรือเปุานกหวีดตามจังหวะหรือ ทานองเพลงทไี่ ดย้ ินได้ถกู ตอ้ ง 3. ดา้ นภาษา (Linguistic Intelligence) ความสามารถในการเขียนและการพูดด้วยคาท่ี เหมาะสม การแปล อธิบายแนวคดิ และข้อมลู ผ่านทักษะทางภาษา 3.1 การเขยี นและการพูดด้วยคาทีเ่ หมาะสม ใหน้ กั เรยี นอา่ นบทความทกี่ าหนด แล้วทาการแก้งานเขียน (edit) ให้ถูกต้องและ ดยี ิง่ ข้นึ 3.2 การแปลและอธิบายแนวคดิ และข้อมูลผา่ นภาษา ใหน้ ักเรยี นพดู นาเสนอความคิด/เล่า (retelling) ภายหลังการอ่านบทความท่ี กาหนด โดยใชเ้ วลาไม่เกนิ 3 นาที เข้าใจ, ตีความและสรุปวรรณคดี หรือบทกวไี ด้ (มีความลึกซึ้งที่สามาร ถอธิบาย การส่ือความของผูป้ ระพนั ธไ์ ด)้ 4. ดา้ นมิติสมั พันธ์ (Spatial Intelligence) 4.1 การสรา้ งชน้ิ งาน ภาพ ตามจินตนาการ กาหนดตัวตอ่ หรือแทนแกรม แล้วให้ตอ่ เป็นส่ิงตา่ งๆ ตามท่ีโจทย์กาหนด โจทยห์ รอื คาสั่ง อาจแบ่งเปน็ หมวดหมู่ เชน่ สตั ว์ โดยกาหนดการให้คะแนนจาก จานวนชิ้น, เวลา และการนาเสนอ (ความเปน็ ไปได้) 4.2 การเขา้ ใจองค์ประกอบศลิ ป์ (เช่น รูปรา่ ง ขนาด สดั ส่วน น้าหนัก แสง เงาลักษณะ พนื้ ผวิ ที่วา่ งและส)ี
17 5. ดา้ นธรรมชาติศึกษา (Naturalist Intelligence) 5.1 การจัดกลมุ่ ด้วยเกณฑท์ ห่ี ลากหลาย ให้นักเรยี นกาหนดเกณฑแ์ ละจัดกลมุ่ ของสิ่งต่างๆ ได้หลากหลายเกณฑ์และถกู ตอ้ ง 5.2 การเชอ่ื มโยงความสัมพันธ์ของปรากฏการณต์ า่ งๆ การเข้าใจความสัมพันธ์ของสาเหตุ และปัญหา กาหนดสถานการณ์ปญั หาท่เี กี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ แลว้ ใหน้ กั เรียนวิเคราะหส์ าเหตุของปญั หาและผลลัพธ์ (cause and effect) โดย สถานการณ์ทีก่ าหนดน้ันจะไมเ่ กยี่ วข้องกบั เนือ้ หาในหลักสูตร 6. ด้านกีฬาและการใชก้ ล้ามเนอื้ ตา่ งๆ (Bodily Kinesthetic Intelligence) 6.1 การประสานสัมพนั ธ์ระหว่างมอื รา่ งกาย เพื่อแสดงออกถึงความคิด อารมณ์ และ ความรสู้ ึก กาหนดใหน้ ักเรียน เรียนรกู้ ารใช้ภาษามอื (ที่กาหนดใหม่) แล้วให้เวลาฝึกสักครู่ แลว้ จงึ ให้นกั เรียนทาตามโจทย์กาหนด 6.2 การเคลอ่ื นไหววอ่ งไว และสมดุล ใหน้ ักเรยี นเรยี นรรู้ ูปแบบการเคลื่อนไหวบนตารางตวั เลข ใหเ้ วลาฝึกสักครู่ แล้วให้ เคลือ่ นไหวตามโจทย์กาหนด
18 7. ดา้ นมนุษยสัมพนั ธ์ (Interpersonal Intelligence) เปน็ การแสดงพฤตกิ รรมที่มผี ลตอ่ พฤติกรรมและความรู้สกึ ของผู้อื่น โดยทาการสังเกตใน เรอื่ งตอ่ ไปน้ี 1) การฟงั และการแสดงความคดิ เห็น 2) การสังเกตภาวะผู้นา การรับฟังคาชี้แนะจากคนอืน่ 3) การให้ข้อเสนอแนะหรอื ให้ความคดิ เหน็ กบั ผอู้ น่ื ทางบวก 4) การยินดี ช่นื ชมเมื่อเห็นคนอน่ื ทาสาเรจ็ หรอื ทาดี 5) การส่งสง่ เสรมิ สนับสนุนหรือให้กาลังใจผูอ้ ื่น 6) การแสดงความเช่อื ม่ันใจในตนเองเมอ่ื อยู่กับผ้อู ื่น 7) การแสดงพฤตกิ รรมแขง่ ขนั หรอื เอาชนะคนอื่น 8) การแสดงการบริหารจดั การสมาชิกในกล่มุ เวลาทากิจกรรม 9) การริเร่ิมในการแสดงความคดิ เห็นหรือแบง่ ปันกบั คนอืน่ 8. ด้านความเข้าใจในตน (Intrapersonal Intelligence) เปน็ การแสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับทักษะการจดั การตนเอง เขา้ ใจพฤตกิ รรม อารมณ์ ความคิด และความรูส้ กึ ของตนเองโดยสังเกตในเร่อื งตอ่ ไปนี้ 1) ความสามารถในการจดั การกบั สถานการณท์ ี่เปลย่ี นไป 2) ความสามารถในการเขา้ ใจตนเอง การยอมรบั ตวั ตน 3) อาสาสมัครเป็นคนแรก หรือลงมอื ทาเปน็ คนแรกๆ 4) แสดงทา่ ทสี นใจ สนุกหรอื มคี วามสุขเม่ือทากิจกรรม 5) พยายามใชอ้ ปุ กรณ์ทุกอยา่ งทีโ่ จทยก์ าหนด 6) นา้ เสียงหรือท่าทีเวลาทากจิ กรรม 7) เม่ือทากิจกรรมเสร็จแสดงท่าทีดีใจหรอื อวดผูอ้ น่ื 8) แสดงความสุขเมื่อเข้ารว่ มกจิ กรรม 9) แสดงความอดทนตอ่ สถานการณ์ท่ีไม่ชอบ/ถนัด 6 กิจกรรมการส่งเสรมิ พหุปัญญา Gardner (สุรางค์ วีรประเสริฐสขุ , 2552; อ้างอิงจาก Gardner, 1983) กุญชรี ค้าขาย (อ้างใน สุ รางค์ วรี ประเสริฐสุข, 2552) และ ไผท สิทธสิ นุ ทร (อ้างใน ปิยวทิ ย์ ประชาศลิ ป,์ 2557)ได้อธิบายถึงหลักการ สง่ เสรมิ และพัฒนาความสามารถทางพหุปญั ญาว่า ควรคอ่ ยเป็นคอ่ ยไปตามระดับความสามารถและวุฒิภาวะ ของเด็ก และอย่บู นพืน้ ฐานท่ีว่าเด็กแต่ละคนจะมคี วามแตกต่างกนั ซงึ่ มแี นวทางในการส่งเสริมความสามารถ ทางพหปุ ัญญา สรปุ ไดด้ งั น้ี
19 1. กิจกรรมจะต้องมคี วามเหมาะสมกบั วัยและพัฒนาการ เพราะความสามารถในแต่ละช่วงวัย และในแต่ละคนแตกตา่ งกัน การจดั กจิ กรรมท่ีเหมาะกับเด็กจะทาให้เกิดความสาเร็จในกิจกรรม เกิดความ ภาคภมู ใิ จในตนเอง สรา้ งความเชื่อมัน่ ให้กบั เดก็ สามารถนาความรู้ไปใชใ้ นสถานการณต์ ่างๆ ได้ 2. ให้เด็กไดใ้ ช้ความคิดของตนเอง โดยเปิดโอกาสให้แกป้ ญั หาและตดั สินใจดว้ ยตนเอง กระตุ้นให้ เด็กใชค้ วามคิดทเ่ี ปน็ ระบบและการคิดที่มีเหตุผลประกอบการทากิจกรรม ทาให้มีการพัฒนาสมองและ ความสามารถหลายดา้ นไปพร้อมๆกนั 3. สาหรับวัยรุ่นจะต้องเป็นกิจกรรมที่สนุก ต่ืนเต้นและท้าทาย ส่งเสริมให้เด็กมีความคิด สร้างสรรค์ โดยเรม่ิ จากกจิ กรรมง่ายไปส่กู ิจกรรมท่ียากข้ึน 4. เปน็ กิจกรรมท่ตี ้องไดม้ ีการลงมือทา สนกุ ในการแก้ปัญหาดว้ ยการกระทาหรอื ลงมือทา 5. หากกิจกรรมเด็กไมส่ ามารถทาได้ ครหู รอื ผูท้ ากิจกรรมจะต้องส่งเสริมและช่วยเหลือไปตาม ศกั ยภาพของเดก็ สรปุ หลกั การจดั กจิ กรรมส่งเสรมิ พหุปัญญาจะต้องมีองคป์ ระกอบคือ แตกต่าง ท้าทาย ทดลองทา และมกี ารทบทวนส่ิงท่ีทาได้ดหี รือทาไมไ่ ด้ และจะต้องสนกุ และมีความสขุ ในการทากิจกรรม สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไดจ้ ัดทาคู่มือ การจัดการเรียนรู้แบบ บรู ณาการสพู่ หุปัญญา ซ่งึ ภายในคู่มอื ไดอ้ ธบิ ายถึงการจัดกิจกรรมในห้องเรยี นเพ่ือส่งเสริมพหุปัญญาต้ังแต่ข้ัน เตรียมการและขั้นดาเนนิ กจิ กรรม 1. ขัน้ เตรยี มการ 1.1. วเิ คราะห์ผู้เรียน ทาใหผ้ ู้สอนทราบเก่ียวกับข้อมูลของผู้เรียนอย่างรอบด้าน ทั้งข้อมูล ส่วนตัวพืน้ ฐาน และข้อมลู บรบิ ทรอบตัว โดยขอ้ มลู เหลา่ นจ้ี ะเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความ ตอ้ งการของผู้เรยี น สง่ิ ท่ชี อบและไมช่ อบ มองเห็นโอกาสของการพัฒนาความสามารถ ของผ้เู รยี นได้อย่างเตม็ ศักยภาพ และขอ้ จากัดต่างๆ :ซ่ึงมวี ิธีการในการสืบค้นข้อมูลและ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ดังนี้ สังเกตพฤตกิ รรมของผ้เู รียน การสมั ภาษณ์ การพจิ ารณาผลการเรยี นรู้ นาข้อมูลมาวเิ คราะหแ์ ละสรุป ในประเดน็ ของความสามารถที่โดดเด่น ความชอบ ส่ิงทีต่ ้องพัฒนาเพ่มิ เตมิ เป็นตน้ 1.2. สร้างแผนการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วยกจิ กรรมในการสง่ เสรมิ พหปุ ัญญา การประเมินผล ทงั้ ทางด้านความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ ปัญหา /ส่ิงที่ต้องการพัฒนา ซ่ึง กิจกรรมในการส่งเสริมพหุปญั ญา ควรมลี กั ษณะดงั ต่อไปนี้ ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นสามารถเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง เน้นการทางานเป็นกลุม่
20 เน้นการระดมสมอง มีการแลกเปล่ยี นกนั ระหวา่ งผเู้ รียน เพอ่ื นๆ และครผู สู้ อน จัดกจิ กรรมอย่างเป็นระบบและมกี ระบวนการที่เก่ียวเนอ่ื งกนั โดยตลอด 2. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2.1 นาเข้าสูบ่ ทเรยี น ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรอื นาสถานการณท์ ี่ได้ไปศึกษาค้นคว้ามาสาธิต ให้ผเู้ รียนดู ทาใหผ้ ู้เรียนเริม่ เกิดคาถามและตอ้ งการหาคาตอบ ให้ผเู้ รยี นได้ทากิจกรรมเลก็ ๆ ก่อนเขา้ สู่กจิ กรรมหลัก เพอื่ กระตุ้นความสนใจ รู้สึก สนกุ กบั กจิ กรรม 2.2 กจิ กรรมการเรยี นรู้ เลือกกระบวนการให้เหมาะสมกบั เน้อื หา เชน่ เน้นการปฏิบัติ กระบวนการสืบค้น หรอื กระบวนการกล่มุ ระหว่างดาเนนิ กจิ กรรมควรกระตนุ้ ผูเ้ รยี นดว้ ยคาถาม ให้ผเู้ รียนมสี ่วนรว่ มกับกิจกรรมให้มากท่ีสุด ท้ังการคดิ และการลงมือทา สนบั สนนุ ใหผ้ เู้ รยี นไดค้ น้ พบองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง 2.3 ขนั้ สรุป ใหผ้ เู้ รียนมสี ว่ นร่วมในการสรุปความรู้ให้มากท่ีสุด เลือกใชก้ ระบวนการทีเ่ หมาะสมในการสรุป เชน่ กระบวนการสะทอ้ นคดิ สนับสนุนให้ผูเ้ รียนอภิปรายจนถึงขั้นการนาความรู้ไปใช้ นอกจากหลกั การและแนวทางในการจัดกจิ กรรมเพอื่ สง่ เสรมิ พหุปัญญาโดยรวมแล้ว ผู้สอนหรือผู้ จัดกจิ กรรมสามารถสรา้ งสรรคก์ ารส่งเสริมพหุปัญญาในรายด้านได้ โดยมีแนวทางดังน้ี ( Beachener and Pickett, 2550) (สุปราณี ไกรวตั นสุ สรณ์ และคณาพร คมสนั อา้ งใน เฉลมิ ขวัญ อัศวชยั , 2553) 1. ดา้ นความคิดแบบเหตุผลและคณิตศาสตร์ (Mathematical - Logical Intelligence) เป็นกิจกรรมในเชงิ โครงงาน เปน็ กิจกรรมท่ีเปน็ การทดลอง และมีการบนั ทกึ ผล มีการแก้ไขปัญหาในเชงิ การใหเ้ หตผุ ล มีการจาแนกหมวดหมู่ และเปรียบเทียบ ฝกึ การวเิ คราะห์ และคาดเดา ฝกึ การใชก้ ราฟ แผนภูมิ การออกแบบเรขาคณิต เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นไดต้ ัดสนิ ใจ และแสดงความคิดเหน็ 2. ด้านดนตรี (Musical Intelligence) สนับสนุนให้ผเู้ รยี นได้ทากจิ กรรมท่ีสอดคล้องกับจังหวะ เช่น การฟังกาพย์ กลอน อ่าน ทานองเสนาะ
21 ใหฟ้ งั เพลงและจดบันทกึ ความรู้สกึ หลังการฟัง ฝึกการฟงั เสียงจากธรรมชาติ เชน่ เสียงลม เสยี งฝน และแสดงความรสู้ ึกจากเสยี งทไ่ี ดฟ้ งั ร้องเพลง และบันทกึ เสียง ฝกึ ทาเสยี งดนตรีประกอบ 3. ด้านภาษา (Linguistic Intelligence) นาวรรณกรรมรปู แบบต่างๆ มาใช้กิจกรรม ส่งเสรมิ การใชท้ กั ษะภาษาทงั้ 4 ด้านในกจิ กรรม คือ ฟงั พดู อ่าน เขียน เรยี นรคู้ าใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และฝกึ ใชใ้ นบทสนทนา ใช้เกมเปน็ สอื่ ในการเรียนรู้ นาทักษะทางภาษามาประยกุ ต์เป็นกจิ กรรมท่หี ลากหลาย เชน่ ทานติ ยสาร โต้วาที เขยี นบท ละครวทิ ยุ เปน็ ต้น ส่งเสรมิ ให้ผเุ้ รยี นทาบนั ทึกการอ่าน และกจิ กรรมแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นหลังการอ่าน 4. ด้านมิติสมั พันธ์ (Spatial Intelligence) ฝกึ การสร้างภาพนิง่ และภาพเคลื่อนไหว (ถา่ ยภาพ ภาพยนตร์) ฝึกการออกแบบ เช่น ออกแบบปกหนงั สอื เครอ่ื งแตง่ กาย ผังเมอื ง ใหผ้ เู้ รียนแสดงความรสู้ กึ ผ่านกจิ กรรมศิลปะรปู แบบตา่ งๆ ร่วมกันจดั นทิ รรศการแสดงผลงาน 5. ด้านกฬี าและการใช้กลา้ มเนือ้ ตา่ งๆ (Bodily Kinesthetic Intelligence) ฝกึ การแสดงออกด้วยทา่ ทางแทนความรู้สกึ ทีเ่ กิดขน้ึ การแสดงบทบาทสมมุติในสถานการณ์ตา่ งๆ ฝกึ การเตน้ รา กิจกรรมกีฬาทเ่ี น้นการเคลอื่ นไหว การละเล่นท่ีเน้นการเคลื่อนไหว กิจกรรมหัตถศิลป์ เช่น งานปนั้ งานไม้ 6. ด้านมนุษยสมั พันธ์ (Interpersonal Intelligence) สง่ เสริมการทากิจกรรมกล่มุ เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้รว่ มต้งั ข้อตกลงของกล่มุ เปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนไดแ้ ก้ปญั หาร่วมกัน ส่งเสรมิ การอภิปราย แลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ และสรุปประเด็นตา่ งๆ รว่ มกนั ฝกึ การสงั เกตพฤตกิ รรม
22 7. ดา้ นความเข้าใจในตน (Intrapersonal Intelligence) ให้ผ้เู รียนเขียนบันทึกประจาวันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนความรู้สึกและ ขอ้ คดิ เหน็ สว่ นตวั กิจกรรมท่มี ุ่งเน้นเร่อื งการจดั การทางอารมณ์ กิจกรรมท่ีมุ่งเนน้ การตระหนักรูภ้ ายใน เปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นนาเสนอรปู แบบของผลงานไดอ้ ยา่ งอสิ ระ 8. ด้านธรรมชาติศึกษา (Naturalist Intelligence) เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดท้ ากจิ กรรมนอกห้องเรยี น ในสิ่งแวดล้อมทเี่ ป็นธรรมชาติ ฝกึ สังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่ีเกิดขน้ึ รอบตัว และจดบนั ทึก สะสมเมล็ดพันธ์ุ แมลง ดอกไม้ ใบไม้ และจดบันทึก เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนแลกเปล่ยี นความรู้ซึง่ กันและกนั จดั นทิ รรศการเกยี่ วกับความรดู้ า้ นธรรมชาติศึกษา จากหลกั การและแนวทางขา้ งตน้ ทาให้ครผู ู้สอนหรือผู้จัดกิจกรรมสามารถออกแบบกิจกรรมท่ีส่งเสริมพหุ ปัญญาด้านตา่ งๆ ใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นรอู้ ย่างเต็มศักยภาพ พัฒนาทักษะในด้านนั้นๆ เพ่ิมข้ึน และเหมาะสม พัฒนาการของผเู้ รยี น
23 ส่วนที่ 3 สรุปผลการดาเนนิ งานตามตวั ชว้ี ดั 1. แ บบทดสอบความสามารถตามแนวคดิ พหปุ ญั ญา ปจั จุบันมกี ารทดสอบความถนดั ของนักเรยี นในระดับชั้นมธั ยมศึกษาอย่างแพร่หลายในรูปแบบ ของแบบสอบถามเชงิ จิตพสิ ัย (Affective domain) เปน็ การสอบถามเชิงทัศนคติและความคิดเห็นเก่ียวกับ ความถนดั ของตนเอง ทาให้ไมส่ ามารถวัดความถนัดของตนเองได้อย่างแท้จริง ดังน้ันในประเทศไทยยังไม่มี เครอ่ื งมอื ที่ทดสอบความถนัดท่เี ปน็ การประเมนิ ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor domain) โดยทดสอบความ ถนดั และความสามารถทแ่ี ทจ้ รงิ ของเดก็ เพ่ือนาผลการทดสอบน้ันไปใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงครูไม่มี แนวทางในการสรา้ งกิจกรรมทีส่ ่งเสริมทักษะและความถนดั เพ่อื ใชใ้ นการเลือกและตัดสินใจในการเรียนหรือ การพัฒนาด้านวชิ าชพี ของเดก็ ดังน้นั ในวจิ ยั นี้จึงมงุ่ เนน้ เพื่อสร้างและพัฒนาแบบทดสอบ และคู่มือเพื่อเป็น แนวทางในการทดสอบและส่งเสริมเดก็ ให้ใช้ศักยภาพของตนเองได้อยา่ งแทจ้ รงิ การทดสอบความถนดั ทีเ่ ปน็ เคร่อื งมอื อย่างแพร่หลาย คอื แบบทดสอบทใี่ ชแ้ นวคดิ และทฤษฎีของ การ์ดเนอร์ ที่แบ่งความสามารถของมนษุ ยอ์ อกเปน็ ท้งั หมด 9 ด้าน ดังปรากฏในทฤษฎีพหุปัญญา (The Theory of Multiple Intelligences) คอื 1) ดา้ นความคิดแบบเหตุผลและคณิตศาสตร์ (Mathematical - Logical Intelligence) 2) ด้านดนตรี (Musical Intelligence) 3) ด้านภาษา (Linguistic Intelligence 4) ด้านมิติ สมั พันธ์ (Spatial Intelligence) 5) ด้านกีฬาและการใช้กล้ามเน้ือต่างๆ (Bodily Kinesthetic Intelligence) 6) ด้านมนุษยสัมพันหรือด้า นกา รเข้าใจ ผู้อื่น (Interpersonal Intelligence) 7) ด้าน เข้า ใจในตน (Intrapersonal Intelligence) 8) ด้านธรรมชาติศกึ ษา (Naturalist Intelligence) และ 9) ด้านการใฝุแก่น สารแห่งชวี ิต (Existential Intelligence) ซง่ึ ในงานวจิ ัยนี้ ไดส้ รา้ งและพัฒนาแบบทดสอบ 8 ด้าน โดยได้ตัด ดา้ นที่ 9 ออก เน่ืองจากให้เหมาะสมกับนักเรยี นที่อยู่ในพัฒนาการวัยรุ่น ซ่ึงตามหลักพัฒนาการ ด้านที่ 9 อาจจะตอ้ งอาศยั ชว่ งเวลาในการพัฒนาท้งั วัยวฒุ ิและวุฒภาวะ ครเู ปน็ บคุ คลสาคญั ในการประเมิน พัฒนาและ ส่งเสริมเด็กให้ใช้ศักยภาพของตนเองเพ่ือก้าวสู่การเรยี นในวิชาชีพที่ตนเองถนัด ดังนั้นคณะทางานจึงมุ่งเน้น การสรา้ งและพัฒนาแบบทดสอบทใ่ี ชก้ ับครแู ละนักเรยี นในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เพราะเป็นช่วงวัยท่ีเป็น รอยต่อในการเลอื กเส้นทางการเรยี นเพอ่ื กา้ วไปสูอ่ าชพี หากนักเรียนรู้ความถนัดของตนเองก็จะสามารถใช้ ศกั ยภาพของตนเองในการพฒั นาดา้ นวิชาชพี เปน็ ทรพั ยากรท่ีมีคุณภาพกบั ประเทศชาตติ ่อไป
24 คาแนะนาในการใช้แบบทดสอบความสามารถตามแนวคิดพหปุ ญั ญา ขอบเขตการใชแ้ บบประเมนิ 1. แบบประเมินน้ใี ช้ทดสอบความสามารถตามแนวคิดพหุปัญญาของนักเรียนอายุ 11-15 ปี เป็นรายบุคคลและกลุ่ม แต่การรายงานผลเปน็ รายบุคคล 2. แบบประเมินน้ีเปน็ แบบประเมินเบื้องต้น และบางสว่ นของความสามารถในด้านน้ันๆ ของ นกั เรยี นเท่าน้นั 3. ผูใ้ ช้แบบประเมนิ นตี้ อ้ งมคี วามสามารถในเรอื่ งพัฒนาการ การเรียนรู้ของเด็ก และใช้แบบ ประเมนิ รว่ มกับการสังเกตพฤตกิ รรมเดก็ 4. ในการแปลผลเพอ่ื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ทเ่ี ป็นประโยชน์สงู สดุ ควรสอบถามขอ้ มูลรายบุคคลเพ่ิมเติมจาก ผู้ปกครองหรือครรู ่วมด้วย 5. กอ่ นใชแ้ บบประเมินผูป้ ระเมนิ ควรศกึ ษารายละเอียดของแบบประเมนิ ให้ละเอียด เข้าใจการ ประเมินอยา่ งชดั เจน และปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาในการทาการประเมินอย่างเคร่งครัด เพ่ือผลการประเมินท่ี นา่ เชอ่ื ถอื ได้ 6. ผูท้ ีจ่ ะใชแ้ บบประเมนิ จะต้องผา่ นการอบรมการใช้แบบประเมินจาก สานักงานบริหารและ พฒั นาองค์ความรู้ (องคก์ ารมหาชน), มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล หรือมหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ขอบเขตในการประเมนิ ความสามารถตามแนวคิดพหุปัญญา แบบประเมินท่สี รา้ งขึ้นใชป้ ระเมนิ ความสามารถตามแนวคิดพหปุ ญั ญาในดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้ 1. การประเมนิ ความสามารถดา้ นเหตผุ ลและคณติ ศาสตร์ เป็นการประเมนิ ความสามารถใน การแก้ปญั หาคณติ ศาสตร์ การคิดเชิงตรรกะไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว มีวิธใี นการแก้ปัญหาคณิตศาสตรท์ ่หี ลากหลาย ทั้ง ในเร่ืองการคานวณ และการบรู ณาการความรทู้ างคณติ ศาสตร์หลายเรือ่ งในการแก้ปญั หา 2. การประเมินความสามารถด้านภาษา เป็นการประเมนิ การตีความบทประพนั ธ์ การแตง่ บท ประพันธ์แก้ไขบทประพันธแ์ ละการแกไ้ ขบทความ 3. การประเมนิ ความสามารถดา้ นมิติสมั พันธ์ เป็นการประเมินการสรา้ งช้นิ งาน ภาพ ตาม จินตนาการตามคาสง่ั 4. การประเมินความสามารถด้านดนตรี เปน็ การประเมิน ความสามารถในการตระหนัก ความซาบซึง้ ในการใชเ้ สียง และการเขา้ ใจความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและความรู้สึก และการรับรู้แม่นยา เก่ยี วกับทานองเพลงและจงั หวะ แบบทดสอบไดถ้ ูกแบง่ เป็น 2 ส่วน 1) การทดสอบเสียง (tonal test) 2) การ ทดสอบจังหวะ (rhythmic test) โดยในแตล่ ะส่วนจะมคี วามแตกต่างของรูปแบบดนตรีและจังหวะ ส่วนละ 40 รูปแบบ
25 5. การประเมนิ ความสามารถดา้ นธรรมชาติ เป็นการประเมินการเช่อื มโยงความสัมพนั ธ์ของ ปรากฏการณต์ ่าง ๆ การเข้าใจความสมั พนั ธข์ องสาเหตแุ ละปญั หา โดยกาหนดสถานการณ์ปัญหาท่ีเก่ียวกับ ปรากฏการณธ์ รรมชาติและวิทยาศาสตร์ แล้วให้นักเรยี นวเิ คราะห์สาเหตขุ องปัญหาและผลลัพธ์ 6. การประเมนิ ความสามารถดา้ นการเคล่ือนไหวและการใชก้ ลา้ มเนอื้ เปน็ การประเมินการ ประสานสัมพันธร์ ะหว่างมอื ร่างกาย เพ่อื แสดงออกถึงความคดิ อารมณ์ ความรู้สึก และความแข็งแรง 7. การประเมนิ ความสามารถดา้ นมนษุ ยสัมพันธ์ เปน็ การประเมนิ การแสดงพฤติกรรมท่มี ีผล ตอ่ พฤติกรรมและความรสู้ ึกของผู้อน่ื 8. การประเมินความสามารถด้านการเข้าใจตนเอง เปน็ การประเมินการแสดงพฤติกรรม เกีย่ วกับทักษะการจัดการตนเอง เข้าใจพฤติกรรม อารมณ์ ความคดิ และความรู้สึกของตนเอง ลักษณะของแ บบปร ะเมิน แบบประเมนิ ความสามารถตามแนวคิดพหุปญั ญาสาหรับนักเรยี นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ประกอบด้วย 1. รายละเอยี ดเกย่ี วกับข้อทดสอบและวธิ ีใช้ 2. แบบประเมนิ ความสามารถตามแนวคดิ พหปุ ัญญา 8 ดา้ น 3. อปุ กรณ์ในการประเมินดา้ นมติ ิสัมพันธ์ ด้านดนตรี ดา้ นการเคล่ือนไหวและการใช้กล้ามเน้ือ โดยมีอุปกรณ์ดงั นี้ 3.1 ด้านมติ สิ ัมพนั ธ์ เป็นอุปกรณแ์ ทนแกรมรูปแบบต่าง ๆ 3.2 ด้านดนตรี มีอุปกรณเ์ ปน็ เครือ่ งเสยี งขนาดเลก็ 3.3 ด้านการเคล่ือนไหวและการใช้กล้ามเนือ้ มีอปุ กรณ์ ได้แก่ เครื่องเสียง ลาโพงท่ีมี ยา่ นเสยี งกวา้ ง และกล้องบันทึกภาพวิดีโอ 4. แบบบนั ทึกการใหค้ ะแนน การเตรยี มการประเมนิ ผ้ปู ระเมนิ 1. เตรียมอุปกรณ์ตามแบบประเมนิ แตล่ ะดา้ นกาหนดให้พรอ้ ม 2. ปากกาหรอื ดนิ สอสาหรบั ผถู้ กู ประเมนิ 3. แบบประเมินและใบกรอกคะแนน 4. สถานท่ใี นการทาทดสอบด้านการเคลอื่ นไหวและการใชก้ ล้ามเนือ้ และด้านดนตรี 5. การเตรียมความพร้อมในการทดสอบ เพราะตอ้ งมีการประเมินด้านมนุษยสัมพันธ์และการ เขา้ ใจตนเองรว่ มกบั การประเมินด้านอน่ื ๆ 6. หากทาการทดสอบเป็นกลุ่มควรมีผู้ชว่ ยประเมนิ โดยมอี ตั ราส่วน ดังน้ี ผู้ประเมิน : ผู้ถูกประเมนิ = 1 : 4
26 ผถู้ กู ประเมิน การแต่งกายใหส้ ามารถเคล่ือนไหวไดง้ า่ ย เชน่ การใส่กางเกง เสอ้ื ยืด และรองเท้า ผ้าใบ วธิ ีการทดสอบ แบบประเมนิ นเ้ี หมาะสมหรับการทดสอบเป็นกลุ่มตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป เพื่อสังเกตพฤติกรรม ความสามารถด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่นและการเข้าใจตนเอง หากต้องทาการทดสอบเพียงคนเดียวในข้อ ทดสอบนอ้ี าจตอ้ งทาการหาขอ้ มูลจากบุคคลอนื่ ซ่ึงอาจทาใหก้ ารแปลผลมีความผิดพลาด การทดสอบแต่ละ ด้านจะมีวธิ กี ารทดสอบในเนือ้ หาตอ่ ไป การใหค้ ะแนน การพจิ ารณาคะแนนให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ทรี่ ะบุไวใ้ นคมู่ ือการประเมนิ แตล่ ะด้าน การเลกิ ทาการประเมนิ ในแต่ละแบบประเมิน หากผูถ้ ูกประเมินไม่ทาการประเมนิ ในขอ้ นั้นๆ และหมดเวลา ใหย้ ตุ ิการทา การประเมนิ น้นั ได้ และใหผ้ ทู้ าการประเมนิ บนั ทกึ พฤตกิ รรมไว้โดยละเอียด
27 1. การประเมินความสามารถด้านเหตุผลแ ละคณิตศาสตร์ วิธกี ารประเมนิ 1. แจกดนิ สอหรือปากกา 2. จดั ที่น่ังนักเรียนในระยะท่ีห่างกันอยา่ งนอ้ ย 1 เมตร 3. ใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบในเวลาภายใน 25 นาที 4. จดบันทึกพฤตกิ รรมระหว่างการทาการประเมินอย่างละเอยี ด เวลาในการประเมิน 25 นาที อุปกร ณ์ 1. ไมบ้ รรทัด 1 อัน หนว่ ยเป็นเซนตเิ มตร ความยาวไม่ตา่ กวา่ 15 เซนตเิ มตร 2. ไมบ้ รรทดั ครึง่ วงกลม 3. กระดาษขนาด A4 จานวน 1 แผ่น การใหค้ ะแนน ตอบถูกได้คะแนน ตอบผิดไมไ่ ด้คะแนน คะแนนสงู สุด 12 คะแนน การ ทดสอบ ทดสอบเป็นรายบุคคล แตส่ ามารถจดั ใหม้ ีการสอบพรอ้ มกนั ได้ ซ่ึงจะมีผู้ดาเนินการทดสอบท่ีผ่านการอบรม แลว้ 1 คน ใช้เวลาในการทดสอบ 25 นาที โดยนักเรียนแต่ละคนจะได้รับอุปกรณ์ประกอบในการทา แบบทดสอบ ซง่ึ นักเรยี นอาจจะใช้หรอื ไม่ใช้ก็ได้ คาส่ังท่ผี ดู้ าเนินการทดสอบใช้มีดงั น้ี “แบบทดสอบความสามารถดา้ นเหตผุ ลและคณติ ศาสตร์ มี 6 ขอ้ ใหน้ กั เรยี นอา่ นคาถามและเขยี นคาตอบลงใน บริเวณที่เขยี นคาตอบจะมีลกั ษณะดังนี้ (ชี้ให้ดู ซ่งึ เปน็ รูปกรอบสี่เหลี่ยมและมีสัญลักษณ์เป็นรูปดินสอ) การ เขยี นคาตอบใหน้ ักเรยี นใชภ้ าษาท่ีตนเองถนัด ไม่ต้องกังวลการเขียนคาผิด โดยนักเรียนแต่ละคนจะได้รับ อปุ กรณป์ ระกอบในการทาแบบทดสอบ ซง่ึ นักเรียนอาจจะใช้หรือไมใ่ ชก้ ็ได้ มีเวลาในการทา 25 นาที โดยครูจะ เตือนเมือ่ เหลือเวลา 10 นาที และ 5 นาที” * กรณพี ิเศษ (นักเรยี นท่ีมีความต้องการพิเศษ) ซ่งึ จะตอ้ งมกี ารแจง้ และยนื่ หลักฐานประกอบล่วงหน้า ให้ผูด้ าเนินการทดสอบ ดาเนนิ การดังน้ี ในกรณีท่ีนักเรยี นอา่ นไม่คล่อง ผู้ดาเนินการทดสอบอาจอ่านข้อคาถาม ใหฟ้ งั ได้ โดยไมต่ ้องอธิบายเพมิ่ เตมิ สามารถอ่านคาถามให้ฟังซา้ ได้ 1 ครง้ั หากนักเรียนไม่สามารถเขียนได้ ให้ บันทกึ เสียง หรือผู้ดาเนินการทดสอบเป็นผู้จดตามคาบอก
28 แบบทดสอบ 1. จากรูปท่ีกาหนดให้ (รปู A และ รปู B) เมอื่ ตดั ตามเส้นประแลว้ นามาพบั จะสามารถประกอบเป็นกล่องทรง ส่ีเหลยี่ ม (กลอ่ ง A และ กลอ่ ง B) 1.1 เมื่อประกอบเปน็ กล่องรปู ทรงสี่เหลย่ี ม กลอ่ ง A หรือกลอ่ ง B มีพ้ืนทผี่ ิวมากกว่า
29 1.2 เมือ่ ประกอบเปน็ กลอ่ งรูปทรงส่เี หลี่ยม กล่อง A หรือกล่อง B มีปรมิ าตรมากกวา่ 2. อ่ังเปามกี ารด์ จานวนอยู่ 5 ใบ ดงั รปู ดา้ นลา่ งนี้ + 1 − 3 +5 −0.7 +0.15 2 4 2.1 ถ้าอั่งเปาุ เลอื กใช้การ์ดเหลา่ น้ีมาสร้างโจทย์ท่ีมีคาตอบเท่ากับ 2.85 (สามารถใช้การ์ดซ้าได้) จะต้อง เลอื กใชก้ ารด์ ใดบ้าง = 2.85 2.2 ถา้ อั่งเปาุ เลือกใชก้ ารด์ เหล่านี้มาสรา้ งโจทยท์ ่มี ีคาตอบใกลเ้ คยี ง 4.90 มากท่ีสุด (สามารถใช้การ์ดซ้าได้) จะตอ้ งเลอื กใช้การ์ดใดบา้ ง = 4.90
3. จงเติมจานวนทีห่ ายไปจากโจทยท์ ก่ี าหนด 30 3.1 จากเส้นจานวนทกี่ าหนดให้ จงเติมจานวนท่หี ายไปในกลอ่ ง 10.0 1.0 3.2 จากตารางทก่ี าหนดให้ จงเติมจานวนที่หายไปในกลอ่ ง 1 3 3 4 4 1 1 1 2 2 1 1 2 1 4 4 4. ความยาวของเส้นรอบรูป 1 เทา่ กับ a+b ความยาวของเส้นรอบรปู 2 เทา่ กบั 4a รูป 1 รูป 2
31 4.1 ใหเ้ ขียนสูตรคณติ ศาสตร์ทแ่ี สดงความยาวของเส้นรอบรปู ตอ่ ไปน้ี 4.2 ใหเ้ ขยี นเสน้ รอบรูปของรูปรา่ งตอ่ ไปน้ี 5. ตารางแสดงสัดสว่ นของปรมิ าณสารอาหารสาหรับนักกฬี าของโรงเรียน แสดงด้านลา่ งนี้ ชนิดของอาหาร รอ้ ยละ มมุ (องศา) คารโ์ บไฮเดรต 60 216° ไขมนั 25 โปรตนี 15
32 5.1 ใหบ้ อกมุมเปน็ องศา ของพน้ื ทท่ี ีแ่ สดงถงึ ปริมาณสารอาหารประเภทไขมนั 5.2 จงวาดแผนภูมริ ูปวงกลมทแ่ี สดงสัดส่วนของปรมิ าณอาหารสาหรบั นักกีฬาของโรงเรยี น ใหส้ มบูรณ์ • 6. ณิชากาลังชว่ ยแม่ปพู ืน้ ทางเดินในสวน โดยการปแู ผ่นอิฐสเี ทาและสีแดง การจดั วิธีวางแผน่ อฐิ ของณชิ าไดแ้ สดงให้เหน็ ในภาพดา้ นล่าง
33 6.1 ถ้าใช้แผ่นอฐิ สีแดงทั้งหมด 120 แผน่ ในการปทู างเดนิ ณชิ าจะต้องใชแ้ ผ่นอฐิ สีเทาจานวนก่แี ผน่ 6.2 ถ้ากาหนดให้ A แทนจานวนของแผ่นอิฐสีเทา และ Z แทนจานวนช่องแผน่ อิฐสีแดง จงเขียนแสดงสูตร หรอื สมการ ทแี่ สดงความสมั พันธร์ ะหวา่ ง A กับ Z
34 การ แ ปลผล ตารางแปลผลความสามารถด้านเหตุผลและคณิตศาสตร์ คะแนนเต็ม 12 คะแนน 1. คะแนนเตม็ 2 คะแนน 1.1 24 ตารางเซนติเมตร หรือ 24 cm3 ตอบถูกได้ 1 คะแนน 1.2 เทา่ กัน ตอบถกู ได้ 1 คะแนน 2. คะแนนเต็ม 2 คะแนน 2.1 +5 , – 0.7, -0.7, - ตอบถูกได้ 1 คะแนน 2.2 + , +0.15, -0.7, +5 ตอบถกู ได้ 1 คะแนน 3. คะแนนเตม็ 2 คะแนน 3.1 -1.0 และ 6.1 หรอื 6.2 หรอื 6.3 ตอบถกู ได้ 1 คะแนน 3.2 ตอบถูกได้ 1 คะแนน 3 1 3 4 2 4 1 1 1 1 2 2 2 2 1 1 2 1 4 1 4 4. คะแนนเตม็ 2 คะแนน 4.1 3a + b ตอบถกู ได้ 1 คะแนน 4.2 2a + 4b ตอบถกู ได้ 1 คะแนน 5. คะแนนเตม็ 2 คะแนน 5.1 มมุ 90 องศา หรอื 90 5.2 ตรวจสอบการวาด โปรตีน มุม 54 องศา หรอื 54 6. คะแนนเต็ม 2 คะแนน 6.1 40 แผ่น ตอบถูกได้ 1 คะแนน 6.2 Z = 3A ตอบถูกได้ 1 คะแนน
35 2. การประเมินความสามารถด้านภาษ า วธิ กี ารประเมนิ 1. แจกดนิ สอหรือปากกา 2. จดั ทน่ี ง่ั นักเรยี นในระยะทีห่ า่ งกนั อยา่ งนอ้ ย 1 เมตร 3. ใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบในเวลาภายใน 20 นาที 4. จดบนั ทึกพฤติกรรมระหว่างการทาการประเมินอย่างละเอยี ด เวลาในการประเมนิ 20 นาที อุปกร ณ์ 1. ดินสอ หรือปากกา 2. กระดาษทดสอบ การใหค้ ะแนน การใหค้ ะแนนแบบ rubric score คะแนนสูงสดุ 10 คะแนน
36 การ ทดสอบ ทดสอบเป็นรายบุคคล แต่สามารถจดั ให้มกี ารสอบพร้อมกนั ได้ ซึ่งจะมีผู้ดาเนินการทดสอบท่ีผ่านการอบรม แลว้ 1 คน ใช้เวลาในการทดสอบ 20 นาที โดยนักเรียนแต่ละคนจะได้รับอุปกรณ์ประกอบในการทา แบบทดสอบ ซึง่ นักเรียนอาจจะใช้หรือไมใ่ ช้ก็ได้ คาสั่งทีผ่ ู้ดาเนนิ การทดสอบใชม้ ดี ังน้ี “แบบทดสอบความสามารถด้านภาษา มี 3 ข้อ ให้นกั เรยี นอา่ นคาถามและเขียนคาตอบลงในบริเวณที่เขียน คาตอบลงในกระดาษ โดยนกั เรียนแตล่ ะคนจะได้รับอปุ กรณ์ประกอบในการทาแบบทดสอบ มีเวลาในการทา 20 นาที โดยครูจะเตือนเม่อื เหลอื เวลา 10 นาที และ 5 นาที” ขอ้ ท่ี 1 ใหอ้ า่ นบทประพนั ธ์ท่ี 1 แลว้ ตอบคาถามด้านล่างขอ้ 1 และ ขอ้ 2 ขอ้ ท่ี 3 ให้อา่ นขอ้ ความและตอบคาถามข้อ 3 คาส่ัง อ่านบทประพนั ธต์ อ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม บทประพันธท์ ่ี 1 เม่อื ยามเจ้าโกรธขึ้ง ใหน้ ึกถงึ เมอื่ เยาว์วัย รอ้ งไหย้ ามปุวยไข้ ไดใ้ ครเล่าเฝูาปลอบโยน เฝูาเล้ียงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายกย็ อมทน หวงั เพียงจะไดย้ ล เตบิ โตจนสง่างาม ขอโทษถา้ ทาผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม ใจแทม้ ีแต่ความ หวงั ติดตามช่วยอวยชยั ตน้ ไมท้ ่ใี กล้ฝัง่ มีหรือหวังอยนู่ านได้ วันหนึง่ คงล้มไป ทงิ้ ฝง่ั ไวใ้ ห้วังเวง ผู้แต่ง: อุไร บุณยเกตุ (อ.สุนทรเกตุ) ค าส่งั 1. นักเรียนอา่ นบทประพนั ธ์ข้างต้นแล้วกลา่ วถึงฉันทลกั ษณ์ จากน้นั ตคี วามโดยยกตัวอย่างคาท่ีมีความหมาย โดยนยั มาประกอบการอธบิ าย และวิเคราะห์ข้อคิดท่ีได้จากอ่าน ตอบโดยแจกแจงหัวข้อให้ชัดเจนพร้อม เหตุผลประกอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
37 2. ใหน้ ักเรียนแตง่ คาประพนั ธ์รอ้ ยกรองประเภทกลอนแปดสภุ าพ จานวน ๒ บท เพ่ือเขียนตอบความในบท ประพันธข์ ้างตน้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. คาส่งั พิจารณาข้อความตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ ความท่ี 1 สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) สร้างความคับแค้นใจ ใหก้ บั คนท่วั โลก รวมถึงในประเทศไทย ทจี่ านวนผู้ติดเชื้อมีแนวทางพุ่งสูงข้ึนมากทุกวัน และไม่ได้ จากัดพื้นท่อี ย่ใู นกรงุ เทพฯ และปริมณฑลเพยี งเท่าน้นั และกระจายไปยงั จังหวดั ต่าง ๆ ทว่ั ประเทศ 3.ข้อความขา้ งต้นมขี ้อบพร่องในการใชภ้ าษาไทยอย่างไร ให้นกั เรยี นระบคุ าและสาเหตุท่ีบกพร่อง พร้อมทั้งแก้ไข ขอ้ บกพร่องนน้ั ให้ถูกตอ้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..………….
38 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ข้อท่ี 1 หัวขอ้ การประเมนิ รายละเอยี ดการประเมิน 1 คะแนน 0.5 คะแ นน 0 คะแนน - ไม่อธบิ าย 1.วิเ ค ร าะห์รูป แ บ บ ค า - อธบิ ายครบถว้ นสมบูรณ์ - อธบิ ายไม่ครบถ้วน ประพนั ธ์ กาพยย์ านี 11 (1 คะแนน) การบังคบั ฉนั ทลกั ษณ์ จา น ว น ค า 11 ค า (พยางค์) วรรคหน้า 5 วรรคหลงั 6 สัม ผัส ร ะห ว่างว ร ร ค (ภาพ/ อธิบาย) จานวนบท 8 บท 2.การใชภ้ าษา - ใช้ภาษาระดบั ทางการ - ใช้ภาษาระดับทางการ - ใ ช้ภาษาระดับไ ม่เป็น (1 คะแนน) - สะกดคาถกู ต้อง ร่วมกบั ระดบั อืน่ ทางการ 3. การนาเสนอเนอ้ื หา (1 คะแนน) - ใ ช้ ค าถู ก ต้ อ ง ต า ม - สะกดผิดหรือใช้คาผดิ 1- - สะกดผิด/ใ ช้คาผิด 6 ความหมายและบริบท 5 ตาแหน่ง ตาแหน่งขน้ึ ไป - ใช้ภาษาคลุมเครือ ไม่ ชัด เจน ไ ม่ส ามารถ ส่ือ ความหมายได้ - สรุปสาระสาคัญของบท - สรปุ สาระสาคัญของบท - ไม่เขา้ ใจเจตนาของผ้แู ต่ง ประพันธ์ได้ ประพนั ธ์ได้ - ตีความไม่ได้ - เข้าใจเจตนาของผแู้ ตง่ ได้ - เขา้ ใจเจตนาของผแู้ ต่ง - ไมม่ ีการใ ห้เหตุผลหรือ อยา่ งชดั เจน - ตีความไดไ้ ม่ครอบคลมุ ขยายความประกอบ ต้อ งก าร ส่ัง สอ นเ รื่อ ง - ประเมินคา่ บทประพันธ์ ความกตัญญู ไมค่ รอบคลุมและนาไปใช้ - ตีความได้ ได้ ต้นไม้ หมายถึง พ่อแม่ - ให้เหตผุ ลหรือขยายความ ฝงั่ (1) หมายถงึ สุดทา้ ย ประกอบ ของชีวติ ฝัง่ (2) หมายถงึ ลูก ล้ม ห มาย ถึง เสียชวี ติ
39 หวั ข้อการประเมิน ร าย ล ะ เ อ ีย ดก าร ป ร ะ เ มิน 1 คะแนน 0.5 คะแ นน 0 คะแนน - ประเมินคา่ บทประพันธ์ และนาไปใชไ้ ด้ สะท้อนแง่คิดเร่ืองความ กตัญญู การเป็นบตุ รท่ดี ี - ให้เหตผุ ลหรอื ขยายความ ประกอบการอธิบายได้ ขอ้ ที่ 2 หวั ข้อการประเมิน รายละเอียดการประเมนิ 1 คะแนน 0.5 คะแ นน 0 คะแนน วิเ ค ร าะ ห์รูป แ บ บ ค า - ฉนั ทลักษณถ์ กู ต้อง - ฉนั ทลกั ษณถ์ กู ต้อง - ฉันทลักษณ์ไ ม่ถูกต้อง ป ร ะ พัน ธ ์ กลอนแปดสุภาพ กลอนแปดสุภาพ มากกว่า (1 คะแนน) จา น ว น ค า 8 ค า บางวรรคมีจานวนคา 7 2 ลักษณะขนึ้ ไป (พยางค)์ หรอื 9 คา (พยางค์) จานวนคาบางวรรคมไี มใ่ ช่ สัมผัสระหว่างวรรค สมั ผัสระหว่างวรรค 7 - 9 คา (พยางค)์ สมั ผัสระหวา่ งบท สมั ผัสระหว่างบท ไม่มสี มั ผัสระหวา่ งวรรค จานวนบท 2 บท จานวนบท 2 บท ไมม่ ีสมั ผัสระหว่างบท จานวนบทไม่ครบ 2.การใช้ภาษา - สะกดคาถกู ตอ้ ง - สะกดผดิ 1-3 ตาแหนง่ - สะกดผดิ 4 ตาแหน่งขึ้น (1 คะแนน) - ใ ช้ ค าถู ก ต้ อ ง ต า ม - ใ ช้ ค าถู ก ต้ อ ง ต า ม ไป ความหมายและบรบิ ท ความหมายและบริบท - ใ ช้ ค าถู ก ต้ อ ง ต า ม - มีสัมผัสใ นมากกว่า 14 - มีสัมผัส ใ นมากกว่า 7 ความหมายและบริบท ตาแหน่ง ตาแหนง่ - มีสัมผัสในน้อยกว่า 7 - มีคาศัพท์พิเศษ (ภาษา - มีคาศัพท์พิเศษ (ภาษา ตาแหนง่ กวี) ท่ีสะท้อน ภูมิรู้ทาง กวี) ที่สะท้ อน ภูมิรู้ทาง - ไมม่ ีคาศัพท์พิเศษ (ภาษา ภาษ าแล ะค ลังค าศัพ ท์ ภาษาและคลงั คาศัพท์ ไ ม่ กวี) ที่สะท้อน ภูมิรู้ทาง มากกวา่ 3 คา เกิน 3 คา ภาษ าแล ะคลังคาศัพท์ ตัวอย่างภาษากวี หรอื มไี ม่เกิน 1 คา แม่ = มารดา , มาตา , มาตุ , ม ารด ร ,ช นนี , ชเนตตี , นนทลี
40 หวั ขอ้ การประเมนิ ร าย ล ะ เ อ ีย ดก าร ป ร ะ เ มิน 1 คะแนน 0.5 คะแ นน 0 คะแนน พอ่ = บิดา , ชนก, ปติ ุรงค์ , บิดร, ปติ ุ ศัตรู = ปรปักษ์ เวรี ไ พรี ปัจจามติ ร รปิ ู อริ ดสั กร คาพูด = วาจา , วจี, วัจนะ , พจนา , พากย์ , ถ้อย , วัจนา ลกู ชาย = บตุ ร , ปรตั ยา , ตนุช , โอรส , เอารส , ดนัย ลูกสาว = บุตรี , ธิตา , สุดา , ทหุ ิตา , ดนยา งาม = วิไ ล ตร ะกา ร ลาเพา ดารู โสภี ไฉไล รุจี พริมเพรา รุจี ดวง อาทิ ตย์ = ต ะวั น ทนิ กร รวี สุริยะ ทิพากร อังศุมาลนิ ดวงจนั ทร์ = จนั ทรา รัชนี เพ็ญ โสม ศศิ แข บุหลัน แถง ท้อ ง ฟู า = นภ า เ ว ห า คัคนานต์ โ พยม อัมพร ทิฆัมพร หาว ฯลฯ ตาย = ปรลัย , มรณะ , วายชนม์ ,วายชพี , ดับจิต , อาสัญ , บรรลยั , มรณา , ตกั ษัย ใจ = กมล , มโน , มน , ดวงใจ , ดวงหทัย , ดวงแด , ฤทยั , ฤดี , หฤทัย
41 หวั ข้อการประเมนิ รายละเอยี ดการประเมนิ 3. การนาเสนอเนื้อหา 1 คะแนน 0.5 คะแ นน 0 คะแนน (1 คะแนน) - สามารถสอ่ื สารไดเ้ ข้าใจ - สามารถสอ่ื สารไดเ้ ข้าใจ - สามารถสือ่ สารไดเ้ ข้าใ จ - มีการสื่อความท่ีลึกซ้ึง - เ นื้อ ห า เ ห ม า ะ ส ม ไมท่ ง้ั หมด สร้างความร้สู กึ สะเทอื นใจ สอดคลอ้ งกบั บทบาทของ - ไม่มเี นอ้ื หาทีแ่ สดงใหเ้ หน็ ให้แก่ผู้อ่านได้ การเปน็ บุตรที่ดี ถงึ การ - เ นื้อ ห า เ ห ม า ะ ส ม - มีเน้อื หาทีแ่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ เชอ่ื มโ ยงหรือการตอบ สอดคล้องกับบทบาทของ การเชอื่ มโยงถงึ สารใน การเป็นบุตรท่ดี ี บทประพนั ธ์ที่ยกมาเป็น บทประพนั ธ์ท่ียกมาเป็น - มีเนอ้ื หาทแ่ี สดงให้เหน็ ถงึ โจทยไ์ ด้ โจทย์ การตอบสารใน บทประพนั ธ์ท่ยี กมาเป็น โจทย์ได้ ข้อท่ี 3 หัวข้อการประเมิน รายละเอยี ดการประเมิน 4 คะแนน 2 คะแนน 0 คะแนน ขอ้ บกพร่อ งใ น ก าร ใ ช้ - ระบุคาแล ะสาเห ตุที่ - ระบุคาและส าเหตุท่ี - ระบุค าแ ละสาเห ตุท่ี ภาษาไ ท ย บกพรอ่ งถูกต้อง บกพร่องถกู ต้อง บกพร่องต่ากวา่ 2คา 2 (4 คะแนน) 4 คา 4 สาเหตุ พรอ้ มทง้ั 2 คา 2 สาเหตขุ ้นึ ไป และ สาเหตุ และแกไ้ ข แก้ไข แก้ไข - ตอบไม่ครบถว้ นทงั้ สาม ความ คับแ ค้นใ จ (ใ ช้ แตไ่ ม่ครบถว้ น สว่ น ไดแ้ ก่ คาผิดความหมาย) คาทีบ่ กพร่อง แก้ไขโดยการเปลีย่ นคาเปน็ สาเหตทุ ี่บกพร่อง “คว าม กังวล ใ จ” ห รือ คาท่แี ก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง “ความวติ ก” แน วท าง (ใช้คาผิด ความหมาย)แกไ้ ขโดยการ เปลย่ี นคาเปน็ “แนวโน้ม” สู ง ข้ึ น ม า ก (ใ ช้ ค า ฟมุ เฟอื ย)แกไ้ ขโดยการตดั คาเป็น“สงู ข้ึน” และ (ใชค้ าเชอื่ ม/สนั ธาน ผดิ ) *คาสดุ ทา้ ยแก้ไขโดย
42 หวั ข้อการประเมิน ร าย ล ะ เ อ ีย ดก าร ป ร ะ เ มนิ 4 คะแนน 2 คะแนน 0 คะแนน ก าร uค าเ ป ลี่ ย น ค าเ ป็ น “แต่”
43 3. การประเมนิ ความสามารถดา้ นมิติสมั พันธ์ วธิ กี ารประเมิน 1. แจกดนิ สอหรอื ปากกา 2. จดั ที่นงั่ นกั เรยี นในระยะท่หี า่ งกันอย่างนอ้ ย 1 เมตร 3. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบในเวลาภายใน 20 นาที 4. จดบนั ทกึ พฤตกิ รรมระหว่างการทาการประเมินอย่างละเอียด เวลาในการประเมนิ 20 นาที อุปกร ณ์ 1. ดินสอ หรอื ปากกา 2. กระดาษทดสอบ การใหค้ ะแนน การใหค้ ะแนนแบบ rubric score คะแนนสงู สดุ 35 คะแนน
44 การ ทดสอบ Tangram 2 มิติ 1. ครแู จก Tangram ใหน้ ักเรยี น 1 คน คนละ 1 ซอง ภายในซองจะมชี ้นิ สว่ นเรขาคณิตจานวน 24 ชนิ้ 2. ครอู ธบิ ายกติกาการเลน่ Tangram 2 มติ ิ โดยใช้คาพูดดงั น้ี “ให้นักเรียนนาช้ินส่วนภายใน ซองมาออก และให้ใช้ชนิ้ ส่วนเหลา่ น้ีมาตอ่ เป็นภาพที่สมบูรณ์ตามภาพต้นแบบ โดยให้ต่อทีละภาพ เมื่อเสร็จ แลว้ ให้ยกมือบอกครู จึงจะรื้อชิ้นส่วนออก แล้วค่อยตอ่ ภาพถัดไป” 2.1. ให้นักเรยี น ดูภาพทค่ี รูกาหนดให้ จานวน 3 ภาพ 2.2. ครใู ห้สัญญาณ เริ่มตอ่ ได้ และ เรม่ิ จับเวลา 3. ครูคอยสังเกต และบนั ทกึ เวลานกั เรยี นคนที่ตอ่ ภาพเสร็จและถูกตอ้ งตามภาพตน้ แบบ Tangram 3 มติ ิ 1. ครเู ตรยี มชิน้ ส่วนกองกลางให้นกั เรยี น และดวู า่ นกั เรยี นทกุ คนสามารถหยิบชิ้นส่วนต่างๆ ได้ ถนดั 2. ครอู ธิบายกติกาการเลน่ Tangram 3 มิติ โดยใชค้ าพดู ดงั น้ี “ใหน้ กั เรยี นใช้ชิ้นส่วนเหล่าน้ีมา ต่อเป็น “สิ่งทป่ี รากฏบนท้องฟาู ” เมือ่ เสร็จแลว้ ให้ยกมือบอกครเู พื่ออธบิ ายสง่ิ ที่ประกอบ จึงจะร้ือช้ินส่วนออก แลว้ คอ่ ยต่อภาพถัดไป” “ใหน้ กั เรยี นใช้ชน้ิ ส่วนเหลา่ นมี้ าต่อเปน็ “ส่งิ ทเ่ี ปลีย่ นรูปร่างได้” เม่ือเสร็จแล้วให้ยกมือบอกครู เพอื่ อธบิ ายสิง่ ท่ีประกอบ จงึ จะรื้อชิ้นสว่ นออก 2.1. ครกู าหนดโจทยใ์ นการต่อ โดยแต่จะโจทย์นกั เรียนจะมีเวลาต่อ 3 นาที 2.2. ครูให้สัญญาณ เริม่ ต่อได้ และ เริม่ จบั เวลา 2.3. เม่อื ครบเวลา ครูใหส้ ญั ญาณ หมดเวลา 3. นกั เรียนอธบิ ายเก่ยี วส่งิ ท่ีตนเองประกอบขึน้ มา 4. ครูบนั ทึกผล
45 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน Tangram 2 มติ ิ 3 ภาพ ภาพละ 5 คะแนน รวม 15 คะแนน 1. ต่อภาพสมบูรณ์ 3 ภายใน 5 นาที ได้ 15 คะแนน 2. ตอ่ ภาพสมบรู ณ์ 2 ภายใน 5 นาที ได้ 10 คะแนน 3. ตอ่ ภาพสมบรู ณ์ 1 ภายใน 5 นาที ได้ 5 คะแนน 4. ไม่สามารถตอ่ ภาพใดได้สมบูรณ์ ภายใน 5 นาที ได้ 0 คะแนน Tangram 3 มติ ิ โจทย์ละ 10 คะแนน รวม 20 คะแนน 1. มกี ารต่อช้ินส่วนเป็น 3 มิติ ได้ 2 คะแนน 2. มคี วามแปลกใหม่ รเิ ร่มิ ได้ 3 คะแนน 3. มคี วามสวยงาม หรอื มกี ารตอ่ แบบสมดุล ได้ 2 คะแนน 4. ใช้จานวนชน้ิ สว่ นจานวน 12 ช้นิ ข้ึนไป ได้ 2 คะแนน 5. ส่งิ ท่อี ธบิ ายสอดคลอ้ งกับสงิ่ ท่ตี ่อ ได้ 1 คะแนน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122