Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มืองานบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม(EI)และเตรียมความพร้อม

คู่มืองานบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม(EI)และเตรียมความพร้อม

Published by NSEC Chanel, 2021-06-10 10:56:39

Description: คู่มืองานบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม(EI)และเตรียมความพร้อม

Search

Read the Text Version

สารบัญ เรอ่ื ง หนา้ คำนำ บทท่ี 1 บทนำ 1 1. ความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย 1 2. ความหมายและความสำคัญของการให้บรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ 2 3. เปา้ หมาย 3 4. วตั ถปุ ระสงค์ 3 5. ผลท่คี าดว่าจะได้รับ 3 3 6. นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎีทีเ่ กี่ยวข้อง 5 แนวคดิ ทฤษฎีพัฒนาการ 5 ความหมายและความสำคัญของการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่มิ 8 ประเภทความพกิ าร 17 งานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง 19 บทที่ 3 กระบวนการใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) 23 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลทว่ั ไปของเด็กพกิ าร 23 2. การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษาและการส่งตอ่ 27 3. การประเมินความสามารถพื้นฐาน (Based Assessment) 27 4. การจัดทำแผนการให้บรกิ ารเฉพาะครอบครวั (Individualized Family Services Plan : IFSP) / การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) 28 5. การใหบ้ ริการดว้ ยกิจกรรมทีเ่ หมาะสม (Appropriate Intervention Activities) 29 6. การประเมินความก้าวหน้า (Re-Assessment) 29 29 7. การนิเทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผลและการสง่ ตอ่

เรอื่ ง หนา้ บทท่ี 4 แนวทางการจดั กจิ กรรมการให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ 33 1. ทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross Motor Skill) 34 2. ทกั ษะการใชก้ ล้ามเนือ้ มดั เล็ก (Fine Motor Skill) 34 3. ทักษะทางด้านภาษาและการสื่อสาร (Language / Communication Skill) 34 4. ทักษะทางสังคม (Social Skill) 35 5. ทักษะการช่วยเหลอื ตนเอง (Self-Help Skill) 35 6. ทกั ษะความสามารถทางการเรียนรู้ (Pre-academic Skill) 35 ตวั อยา่ งแนวทางการพฒั นาศกั ยภาพเดก็ พิการ 37 ตัวอย่างแนวทางการจัดกจิ กรรมทักษะเฉพาะสำหรบั บคุ คล ทมี่ คี วามบกพร่องทางการเห็น 56 ตัวอยา่ งแนวทางการจัดกจิ กรรมทักษะเฉพาะสำหรบั บุคคล ท่มี ีความบกพรอ่ งทางการได้ยนิ 63 ตัวอยา่ งแนวทางการจัดกจิ กรรมทักษะเฉพาะสำหรบั บุคคล ทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรอื สุขภาพ 66 ตัวอย่างแนวทางการจัดกิจกรรมทักษะเฉพาะสำหรบั บุคคลออทิสติก 86 89 กรณีตัวอย่างการปรับพฤตกิ รรมเดก็ ออทสิ ติกทม่ี ีพฤตกิ รรมไมอ่ ยู่น่งิ บทที่ 5 การตดิ ตาม ประเมินผล และรายงานผลการใหบ้ ริการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่ิม 97 สว่ นที่ 1 ตดิ ตาม ประเมินผล กระบวนการการใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเรม่ิ 97 สว่ นท่ี 2 ติดตาม ประเมินผล การบรหิ ารจัดการการใหบ้ ริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิม 104 สว่ นที่ 3 การรายงานผลการใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ โดยโรงเรยี นเฉพาะความพกิ าร และศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ 105 บรรณานุกรม 107 คณะผจู้ ัดทำ 111

บทท่ี 1 บทนำ 1. ความสำคัญของการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประชากรในวัยเด็กอย่างต่อเน่ืองเสมอมา เพราะตระหนกั ดีว่าประชากรกลมุ่ น้ี คอื ผูส้ บื ทอดความดีงาม วัฒนธรรมประเพณี ฯลฯ ตลอดจน เป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศในอนาคต ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติทางกฎหมาย ในทุกระดับต้ังแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 พระราชบัญญัติที่ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางด้านประชากร (ทั้งคนทั่วไปและคนพิการ) ตลอดจนแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 (พ.ศ.2550-2554) ต่างก็ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเป็นพิเศษโดยเฉพาะประชากรในวัยเด็ก เพราะทราบดีว่าเด็ก ในช่วงต้ังแต่ปฏิสนธิจนถึง อายุ 6 ปี จะเป็นช่วงที่ระบบประสาทและสมองเจริญเติบโตในอัตรา สูงที่สดุ คือ ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ใหญ่ปกติ โดยมุ่งหวังใหเ้ ดก็ ไทยมคี ณุ ภาพ 8 ส่วน ดงั น้ี คอื (1) มีคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ มทีพ่ ึงประสงค์ (2) มีจติ สำนึกในการอนรุ ักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม (3) สามารถทำงานจนสำเร็จ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีความรู้สึกท่ีดีต่ออาชีพ สุจริต (4) สามารถคิดรวบยอด คิดแก้ปัญหา และคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (5) มีความรู้และทักษะ เบื้องต้น (6) สนใจใฝร่ ู้ รักการอ่าน และพัฒนาตนเอง (7) มสี ขุ นสิ ัย สุขภาพกาย และสุขภาพจติ ท่ีดี (8) มสี ุนทรยี ภาพและลกั ษณะนิสยั ดา้ นศลิ ปะ ดนตรี และการเคลอ่ื นไหว และเมอ่ื เติบโตจะได้ เป็นคนไทยท่ีสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและ วัฒนธรรมในการดำรงชวี ิต สามารถอยู่ร่วมกับผอู้ ืน่ ไดอ้ ยา่ งมีความสุข ค่มู ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร  สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ

การท่ีจะสร้างเสรมิ ให้คนไทยมีคณุ ลักษณะดังกล่าวข้างตน้ เป็นเรอ่ื งท่ีจะต้องร่วมมอื กัน หลายฝ่ายทั้งการสาธารณสุข สวัสดิการทางสังคม และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การให้การศึกษา ท่ีมีคุณภาพ เพื่อพัฒนาคุณลักษณะต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็กอย่างต่อเน่ือง ประเทศไทยได้ออก พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 เพื่อรับรองสิทธิและประกันคุณภาพทางการศึกษาให้กับเด็กไทย ท้ังที่เป็นเด็กท่ัวไปและเด็กพิการ อย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นให้เด็กท่ัวไปได้รับสิทธิทางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานสิบสองปีอย่างท่ัวถึงและ มีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสำหรับเด็กพิการนอกจากจะจัดการศึกษาตามข้อความข้างต้นแล้ว รัฐยังต้องจัดการศึกษาให้เด็กกลุ่มน้ีต้ังแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการ อีกทั้งยังต้องจัด ส่งิ อำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลอื อนื่ ใด ทางการศึกษาให้เปน็ พเิ ศษอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2551 ประเทศไทยได้ออกพระราชบัญญตั ิการจดั การศกึ ษาสำหรับคนพิการ เพ่อื เน้นย้ำ ถึงสิทธิทางการศึกษาของคนกลุ่มน้ี โดยกำหนดให้คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาดังนี้ (1) ได้รับ การศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้ง ได้รับเทคโนโลยีส่ิงอำนวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา (2) เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึง ความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความตอ้ งการจำเป็นพเิ ศษของบุคคลน้นั (3) ไดร้ ับการ ศึกษาท่ีมีมาตรฐาน และประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนร ู้ การทดสอบทางการศึกษาท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ แต่ละประเภทและบุคคล 2. ความหมายและความสำคญั ของการให้บรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ จะเห็นได้ว่าหลักการสำคัญเบ้ืองต้น ของการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการนั้น คือ ต้องจัดการศึกษาให้ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ และกระบวนการที่สำคัญของข้ันตอนนี้ ก็คือ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) ซ่ึงหมายถึงการจัด โปรแกรมท่ีเป็นระบบในการให้บริการด้านต่างๆ โดยเร็วที่สุดแก่เด็กที่พบว่ามีความเสี่ยงหรือ ทันทีท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีความพิการ โดยมุ่งเน้นการให้บริการทางการศึกษากับพ่อแม่และ ครอบครัว และเด็กได้รับบริการจากนักวิชาชีพที่หลากหลายท้ังด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ อนามัย การบำบัดรักษา ตลอดจนป้องกันความพิการท่ีจะเกิดข้ึน เพ่ือให้เด็กมีพัฒนาการไปตาม ข้ันตอนเช่นเดียวกับเด็กท่ัวไปหรือใกล้เคียงกับเด็กทั่วไปมากที่สุด นอกจากน้ันการให้บริการ ช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ ยังชว่ ยค้ำจนุ พัฒนาการของเด็กและทำใหเ้ ด็กสามารถพฒั นาทกั ษะรวมถึง พัฒนาความสัมพันธ์ของทักษะต่างๆ ท่ีจำเป็นในการดำเนินชีวิตได้ถึงขีดสุด อีกท้ังช่วยแก้ไข ความบกพร่องและป้องกันความผิดปกติที่อาจเกิดข้ึนภายหลังได้ และยังช่วยเตรียมความพร้อม ใหเ้ ดก็ พิการมีพัฒนาการท่ดี สี ามารถเข้าเรียนร่วมในระดบั ที่เหมาะสมต่อไปได้  คมู่ ือการช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศนู ย์การศึกษาพิเศษ

3. เป้าหมาย จากความหมายและความสำคัญของการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม จะเห็นว่า การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มมีความเกี่ยวข้องกับบุคลากรทางการศึกษา ทางการแพทย์ รวมถึงพ่อแม่และครอบครัวของเด็กพิการ ฉะน้ันการให้ความรู้และวิธีการท่ีถูกต้องและเหมาะสม แก่บุคคลกลุ่มดังกล่าว จึงมีความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลือเด็กพิการให้ทันท่วงที คู่มือ ฉบับน้ีจึงเป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะให้ความรู้ กระบวนการ ตลอดจนทักษะท่ีถูกต้องแก่บุคลากรท่ีให้ บริการทางการศึกษาแก่เด็กพิการให้สามารถให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมแก่เด็กพิการได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เด็กพิการสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ตลอดจนสามารถป้องกนั ความพกิ ารแทรกซอ้ นภายหลัง และส่งเสริมใหเ้ ดก็ พกิ ารไดร้ ับการศกึ ษา อยา่ งเหมาะสมต่อไป 4. วตั ถปุ ระสงค ์ 1. เพ่ือให้ผู้บริหารและบุคลากรในสถานศึกษามีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองการ ใหบ้ ริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม 2. เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการบริหารจัดการและการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม ในสถานศกึ ษา 3. เพ่ือให้เด็กพิการได้รับการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมอย่างถูกต้อง เหมาะสม และ สอดคลอ้ งกบั สภาพความพิการ 5. ผลที่คาดว่าจะไดร้ บั 1. ผูบ้ รหิ ารและบุคลากรในสถานศึกษามคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรอื่ งการให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริม่ 2. ผู้บริหารและบคุ ลากรมแี นวทางสำหรับใช้ในการบรหิ ารจดั การ และใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือ ระยะแรกเรม่ิ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เหมาะสม และสอดคลอ้ งกับสภาพความพกิ าร 3. เดก็ พกิ ารได้รับการพฒั นาเต็มตามศกั ยภาพ 6. นิยามศพั ท์เฉพาะ “การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม” หมายความว่า การจัดโปรแกรมท่ีเป็นระบบ ในการให้บริการด้านต่างๆ โดยเร็วที่สุดแก่เด็กท่ีพบว่ามีความเส่ียงหรือทันทีที่ได้รับการวินิจฉัย ว่ามีความพิการ โดยมุ่งเน้นการให้บริการทางการศึกษากับพ่อแม่และครอบครัว และเด็กได้รับ บริการจากนักวิชาชีพท่ีหลากหลาย ทั้งด้านการศึกษา ด้านสุขภาพอนามัย การบำบัดรักษา ค่มู อื การช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ  สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

ตลอดจนป้องกันความพิการท่ีจะเกิดข้ึน เพ่ือให้เด็กมีพัฒนาการไปตามข้ันตอนเช่นเดียวกับ เด็กท่ัวไป หรือใกล้เคียงกบั เดก็ ทัว่ ไปมากทส่ี ุด “เด็กพิการ” หมายความว่า เด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง อายุ 5 ปี ที่มีข้อจำกัดในการ ปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่อง ทางการเห็น การได้ยิน การเคล่ือนไหว การส่ือสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรอื ความบกพรอ่ งอนื่ ใด ประกอบกับมอี ปุ สรรคในด้านต่างๆ และมคี วามจำเป็นพเิ ศษ ทางการศึกษาท่ีจะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใด เพ่ือให้สามารถปฏิบัติกิจกรรม ในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้อย่างบุคคลท่ัวไป รวมถึงบุคคลที่เกิดข้อจำกัด หรอื แรกพบขอ้ จำกัดดงั กล่าวข้างตน้ ภายหลงั อายุ 5 ป ี “สถานศกึ ษา” หมายความวา่ สถานพฒั นาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลยั หน่วยงานการศึกษาหรอื หน่วยงานอื่นของรัฐหรือ ของเอกชนท่ีมีอำนาจหน้าท่ีหรือวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาที่คนพิการสมัครเข้าศึกษา และไดล้ งทะเบียนแล้ว “ความพิการ 9 ประเภททางการศกึ ษา” หมายความว่า บคุ คลที่มลี ักษณะความพิการ 9 ประเภท ดังต่อไปนี้ บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการ ได้ยิน บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ บุคคลท่ีมีปัญหาทางการเรียนรู้ บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา บุคคลที่มีปัญหา ทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ บุคคลออทสิ ตกิ และบุคคลพกิ ารซอ้ น  คมู่ ือการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฏที ่เี ก่ยี วขอ้ ง การพัฒนามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเร่ิมต้นตั้งแต่ปฏิสนธิ โดยเฉพาะ ในช่วงปฐมวัย ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาท้ังปวง โดยเน้นให้ครอบครัวเป็นแกนหลัก ชุมชน และสังคมเป็นฐานท่มี สี ว่ นรว่ มในการพฒั นาเลยี้ งดูเดก็ ทุกขนั้ ตอน สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร ไดก้ ำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัย (อายุ 0-5 ปี) ระยะยาว พ.ศ. 2550-2559 เพ่ือให ้ ทุกภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้องนำนโยบายและยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปสู่ภาคปฏิบัติ ด้วยการดำเนินการ ขับเคลื่อนและประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของชาติให้มีคุณภาพเป็นรากฐาน อันสำคัญในการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองตลอดไป ซึ่งในท่ีนี้จะได้กล่าวถึง ทฤษฎี แนวคิดที่เก่ียวข้อง ในการพฒั นาเด็กปฐมวัยไว้ ดังน้ ี แนวคิด ทฤษฎพี ัฒนาการ ทฤษฎพี ฒั นาการทางอารมณ์ นักจิตวิทยาหลายคนได้ศึกษาเก่ียวกับการเกิดอารมณ์ของมนุษย์ ทฤษฎีที่จะช่วย อธิบายพัฒนาการด้านน้ี ไดแ้ ก่ ทฤษฎที างอารมณข์ องออสุเบล (David P Ausubel) ออสเุ บล กล่าววา่ อารมณ์ของ มนษุ ย์มีพัฒนาการตามระดบั อายุ อารมณแ์ ต่ละชนิดของมนษุ ย์ อรี ิค อรี คิ สนั (Erik Erikson) มคี วามคดิ เห็นว่า Ego มคี วามสำคัญมากกวา่ Id และ Superego ในการพัฒนาบุคลิกภาพ Ego คือ ตัวกลางระหว่างมนุษย์กับสังคม บุคลิกภาพจะมี คมู่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ  สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ

การพัฒนาตลอดชีวิต ไม่ใช่ส้ินสุดลงในวัยรุ่นเหมือนกับทฤษฏีของฟรอยด์ อิทธิพลท่ีสำคัญท่ีสุด คอื การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือการมสี ัมพันธก์ ับบุคคลอื่นๆ ในสงั คมนั่นเอง อริ คิ สันได้จำแนก พฒั นาการทางบุคลิกภาพของมนษุ ย์ไว้ 8 ขนั้ ตอน ดงั นี ้ ขั้นที่ 1 การสรา้ งความรู้สกึ ไว้วางใจ หรือความไม่ไว้วางใจ (Trust VS Mistrust) ขน้ั ท่ี 2 ความเป็นตวั ของตวั เอง หรอื ความสงสยั (Autonomy VS Doubt) ขน้ั ท่ี 3 การสร้างความคดิ ริเริ่ม หรอื ความสำนกึ ผดิ (Initiative VS Guilt) ขั้นที่ 4 การสร้างความรู้สึกรับผิดชอบ หรือความรู้สึกปมด้อย (Industry VS Interiority) ข้นั ท่ี 5 การสรา้ งบุคลิกภาพของตน หรอื ความไม่เขา้ ใจตนเอง (Identity VS Identity Diffusion) ขั้นท่ี 6 การสรา้ งความเปน็ ผู้นำ หรอื ความเปลา่ เปลยี่ ว (Intimacy VS Isolation) ขั้นที่ 7 ความเสียสละ หรือความเหน็ แกต่ ัว (Generativity VS Self Absorption) ขน้ั ที่ 8 การสร้างความม่ันคงของชวี ติ หรอื ความสนิ้ หวงั (Integrity VS Despair) ทฤษฎีพฒั นาการทางความคิดสตปิ ญั ญา ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของพีอาเจต์ (Piaget’s Theory of Cognitive Development) โครงสรา้ งทฤษฎีของ จีน พีอาเจต์ (Jean Piaget) อยูบ่ นพ้ืนฐานของการศึกษา พัฒนาการเด็ก จากการศึกษาระยะยาวด้วยการสังเกต พีอาเจต์ สนใจพัฒนาการของการ เกิดความรู้ (knowledge) และลักษณะแบบแผนของการคิดของคนในแต่ละช่วงอายุ ว่าการเรียนรู้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งพีอาเจต์ เช่ือว่า ความรู้เกิดจากการท่ีบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดกระบวนการทางสติปัญญา (mental operation) ที่จะรับข้อมูลเข้ามาสู่โครงสร้าง ทางปัญญา (schema) ทีม่ ีอยู่ซึง่ เรียกวา่ การปรับเขา้ (assimilation) และปรบั ขยายขอ้ มูลที่มอี ยู่ ใหเ้ ขา้ กบั ขอ้ มลู ใหม่ที่ได้รับซึ่งเรียกว่า การปรับขยาย (accommodation) ทำให้เกดิ ความรู้ หรือ ประสบการณ์ใหม่ และเมอื่ กระบวนการปรบั เข้าและปรบั ขยายอยู่ในสมดุล (equilibration) กจ็ ะ นำไปสู่การพัฒนาสติปัญญาของแต่ละบุคคล ทฤษฎีของพีอาเจต์ ได้แบ่งลำดับขั้นพัฒนาการ ทางด้านสตปิ ญั ญาออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะพัฒนาการทางประสาทสัมผัส และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor stage) ระยะนี้ออกเป็น 6 ข้นั ตอนย่อย ดังนี้ 1.1 ข้ันปฏิกิรยิ าสะท้อน (reflexive stage) 1.2 ขั้นพฒั นาการอวัยวะเคลือ่ นไหวด้วยประสบการณเ์ บื้องต้น (primary circular reactions) 1.3 ขั้นพัฒนาการอวัยวะเคล่ือนไหวอย่างมีจุดมุ่งหมาย (secondary circular reactions)  คูม่ อื การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ

1.4 ข้ันพัฒนาการประสานงานของอวัยวะ (coordination of secondary schemes) 1.5 ข้นั พฒั นาการความคดิ ริเร่มิ แบบลองผดิ ลองถูก (tertiary circular reactions) 1.6 ขัน้ พัฒนาการโครงสร้างทางสติปัญญาเบอื้ งตน้ (mental combinations) 2. ระยะพัฒนาการก่อนเกิดความคิดอย่างมีเหตุผล (Preoperational stage) พัฒนาการขัน้ นีเ้ ปน็ 2 ขั้นยอ่ ย คือ 2.1 ข้ันพัฒนาการก่อนเกิดความคิดรวบยอดอย่างใช้เหตุผล (perconceptual substage) 2.2 ข้ันพัฒนาการใกล้เกิดความคิดรวบยอดอย่างใช้เหตุผล หรือขั้นรู้จักคิดได้เอง (intuitive substage) 3. ระยะพฒั นาการความคิดอย่างมีเหตผุ ลเปน็ รปู ธรรม (Concrete operation stage) 4. ระยะพฒั นาการความเข้าใจอย่างมเี หตผุ ล (Formal operation stage) พัฒนาการเดก็ และทักษะทง้ั 6 ด้าน พฒั นาการ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านวฒุ ิภาวะ (maturity) ของอวยั วะ ระบบต่างๆ และตัวบุคคล ทำให้เพ่ิมความสามารถของระบบและบุคคลให้ทำหน้าที่ต่างๆ ได ้ อย่างมีประสิทธิภาพสูงข้ึน ทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนยิ่งข้ึนได้ ตลอดจนการเพ่ิมทักษะใหม่และ ความสามารถในการปรบั ตวั ในภาวะใหม่ของบคุ คลนนั้ แนวทางการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม สำหรับบุคคลที่มีความบกพร่อง ท้ัง 9 ประเภท ต้งั แต่แรกเกดิ ถึงอายุ 5 ปี มงุ่ ใหก้ ารช่วยเหลอื สง่ เสรมิ พัฒนาการทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้เต็มศักยภาพตามความต้องการจำเป็นพิเศษของแต่ละ บุคคลตามทกั ษะ ดงั นี้ ทกั ษะการใชก้ ล้ามเนื้อมดั ใหญ่ (Gross Motor Skill) การเตรียมความพร้อมด้านทักษะกล้ามเน้ือมัดใหญ่ เป็นการส่งเสริมการเคลื่อนไหว และการทรงตวั ดขี ้ึน สง่ ผลตอ่ การใชก้ ลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ไดอ้ ยา่ งประสานสมั พนั ธ์กนั ทกั ษะการใช้กลา้ มเนือ้ มัดเลก็ (Fine Motor Skill) การเตรียมความพร้อมด้านทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก เป็นความสามารถในการใช้มือ การประสานสัมพนั ธร์ ะหว่างตากบั มอื และการเคลอ่ื นไหวอวยั วะที่ใช้ในการพดู ทักษะทางดา้ นภาษาและการสื่อสาร (Language/Communication Skill) การเตรยี มความพรอ้ มดา้ นภาษาและการสอ่ื สารมคี วามจำเปน็ ในการดำรงชวี ติ ประจำวนั เพื่อใช้ในการถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิด หรือแสดงออกถึงความเข้าใจในการรับรู้ทางภาษาและ การสือ่ สาร คู่มอื การชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ  สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

ทกั ษะทางสงั คม (Social Skill) การเตรียมความพร้อมด้านการวางตัว และปฏิบัติตนกับผู้อ่ืน เด็กควรจะได้เรียนรู้ วิธีการปฏิบัติตัว กับผู้ใกล้ชิด เช่น ครู ผู้ปกครอง พ่อแม่ ของตนเองก่อน หลังจากนั้นจึงรู้วิธ ี ท่ีจะปฏิบัติตัวกับบุคคลอื่นท่ีอยู่ไกลตัวออกไปทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ ซ่ึงจะทำให้เป็นท่ียอมรับจาก ผู้อน่ื เกิดความมน่ั ใจและกลา้ แสดงออก ทำให้ปฏบิ ตั ติ วั อยู่ในสังคมได้อยา่ งเหมาะสม ทักษะการช่วยเหลือตนเอง (Self-Help Skill) การเตรียมความพร้อมด้านทักษะพ้ืนฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิตสำหรับเด็กที่ม ี ความต้องการจำเป็นพิเศษ ซึ่งมีพัฒนาการล่าช้าควรได้รับการฝึกให้สามารถช่วยเหลือตนเอง และปฏบิ ัติกจิ วตั รประจำวนั ได้ โดยไมเ่ ปน็ ภาระของครอบครัวและสังคม ทักษะความสามารถทางการเรียนรู้ (Pre-academic Skill) การเตรียมความพร้อมด้านสติปัญญาและเตรียมความพร้อมทางวิชาการให้เด็กม ี ความพรอ้ มทักษะพน้ื ฐานทั้ง 5 ด้าน แลว้ เด็กควรจะไดร้ บั การพฒั นาความคิดรวบยอดด้านตา่ งๆ และการแก้ปญั หาในชีวติ ประจำวนั เพ่อื สง่ ต่อเข้ารบั การศึกษาในระดบั ที่สงู ขึ้นต่อไป ความหมายและความสำคญั ของการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม 1. การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม 1.1 ความหมายของการชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ (Early Intervention) การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม หมายถึง กระบวนการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ และเตรียมความพร้อมให้กับเด็กที่มีความบกพร่องประเภทต่างๆ ตั้งแต่แรกเกิดหรือตั้งแต ่ เมื่อทราบว่ามีความบกพร่อง โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กให้ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ที่มีอยู่โดยเร็วท่ีสุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งต้องมีการประเมินศักยภาพเบ้ืองต้น สภาพความบกพร่อง ที่อาจเกิดขึ้นต่อไป การรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนำมาวิเคราะห์และวางแผน ร่วมกับผู้ปกครอง การปฏิบัติการฟ้ืนฟูสมรรถภาพตามแผนร่วมกันระหว่างผู้ปกครองท่ีมีความรู้ ตลอดจนการประเมินผลท้ังระหว่างการใหบ้ ริการและหลังการใหบ้ รกิ ารช่วยเหลอื ทง้ั น้ีโปรแกรม ท่ีจัดข้ึนต้องเป็นไปตามความต้องการจำเป็นของเด็กแต่ละบุคคล (สมพร หวานเสร็จ 2543 : มูลนธิ ิเพ่อื เด็กพิการ 2543) การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม หมายถึง กระบวนการจัดทำแผนการช่วยเหลือเด็กท่ี อยู่ในวัยก่อนวัยเรียนที่มีความพิการ โดยการลดข้อจำกัดของเด็กเพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่าง ปกติ (Hallahan, D. P. & Kaufman, J. M. 1999) Noonan, Mary J. and McCormick (1993) ได้ใหค้ วามหมายของการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริ่มว่า หมายถึง การเตรียมความพร้อมให้เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้มี ความพรอ้ มก่อนเข้าเรียน  คมู่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ

Heward, William L. (2000) กล่าวว่า การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม หมายถึง กิจกรรมการช่วยเหลือเดก็ ในชว่ ง อายุ 8 เดอื น ถงึ 3 ปี ซ่งึ เป็นช่วงสำคัญในการพัฒนาเด็กทง้ั ดา้ นความคิดและสังคม โดยผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นการศกึ ษา ดา้ นโภชนาการ ด้านการดูแลเด็ก รวมทง้ั การสนับสนุนครอบครัวเพื่อลดผลกระทบจากความพิการของเด็กและป้องกันความพิการหรือ ปญั หาอน่ื ๆ ท่ีจะเกดิ ข้ึนตามมาเนอ่ื งจากความพิการ โดยสรุปการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม หมายถึง กระบวนการพัฒนาศักยภาพ เด็กพิการในวัยเด็กหรือก่อนเรียนอย่างมีเป้าหมายตามความต้องการจำเป็นของเด็ก โดย ความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ ทั้งน้ีเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับ การพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ เป็นการลดผลกระทบจากความพิการและป้องกันความพิการหรือ ปัญหาอน่ื ๆ ทจ่ี ะเกิดขึน้ ตามมาอนั เนอ่ื งจากความพิการด้วย 1.2 ความสำคัญของการช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมมีความสำคัญมากเนื่องจากมีงานวิจัยสนับสนุนว่า สามขวบปีแรกของเด็กเป็นวัยแห่งการเรียนรู้และมีผลต่อพัฒนาการเป็นอย่างมาก ซ่ึงส่งผลต่อ ความสามารถในการเรยี นรู้ในอนาคต (Arizona Department of Education 2005) Mc William, P. J. (1993) กล่าววา่ สมองของเดก็ ในวัยแรกเกดิ ถงึ สามขวบจะมี การพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการง่ายทจี่ ะพัฒนาการเรียนรูข้ องเด็กในชว่ งวัยนี้ การช่วยเหลือ ระยะแรกเริ่มถูกนำมาใช้พัฒนาเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษในวัยทารกและวัยก่อนเข้าเรียน ซง่ึ การให้ความช่วยเหลือจะพิจารณารวมถึงครอบครวั ของเด็กด้วย NICHCY (2005) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องการช่วยเหลอื ระยะแรกเริ่มไว้ ดงั นี ้ 1. เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษได้รับการพัฒนาอย่าง เหมาะสมและเตม็ ศกั ยภาพ 2. เป็นการเตรียมครอบครัวเพ่ือให้การสนับสนุนและช่วยเหลือเด็กท่ีมีความต้องการ จำเป็นพิเศษอย่างเหมาะสมโดยการพัฒนาเจตคติของคนในครอบครัวให้ถูกต้อง ให้ความรู ้ ความเขา้ ใจและทักษะในการดูแลเด็ก ตลอดจนการร้จู กั แบง่ เวลาสำหรับพกั ผ่อนใหเ้ หมาะสมดว้ ย 3. เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษจะได้รับการดูแลจากสังคมเท่าเทียมกับ เด็กท่ัวไป ครอบครัวจะได้รับสิทธิประโยชน์และเงินสนับสนุนจากรัฐ เพ่ือให้สามารถดำเนินชีวิต ในสังคมไดอ้ ย่างอิสระ Ysseldyke, James. E. et al (2000) กลา่ วว่า การชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ แก่เดก็ ท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษนั้นมีความคุ้มค่ามากเม่ือเด็กสามารถเข้าสู่ระบบโรงเรียนทั่วไปได้ โดยไม่มปี ญั หามาก ซงึ่ จะทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดีและมีความย่ังยืนมากกว่า ดงั นั้น นโยบาย การจัดการเรียนร่วมจะได้ผลดีและคุ้มค่าที่สุดถ้ามีการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มอย่างครอบคลุม และทวั่ ถงึ คมู่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร  สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ

เด็กเล็กหรือเด็กก่อนวัยเรียนจำเป็นต้องได้รับการดูแลและสนับสนุนจากครอบครัว โดยเฉพาะเด็กพิการต้องได้รับการดูแลท่ีเหมาะสมโดยเร่ิมจากที่บ้าน ซ่ึงจะมีผลต่อโอกาส ในการพัฒนาของเด็ก ครอบครัวและชุมชน จึงควรมีส่วนร่วมในการช่วยกันดูแลและส่งเสริม ใหเ้ ด็กไดร้ ับการพฒั นาอย่างเต็มท่ี (Maskay Bishwa K. 2001) การช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อเด็กโดยเฉพาะเด็ก อายุ 3 ปี ที่มีอาการในกลมุ่ ของเด็กท่ีมปี ญั หาทางการเรยี นรู้ ซ่ึงมีปญั หาในดา้ นการใช้กลา้ มเน้อื มดั ใหญ่ ปัญหาการรับรู้ ปัญหาดา้ นภาษา (Portwood M. 1999) สมพร หวานเสร็จ (2543) กล่าวถึง ความสำคัญและผลดีของการช่วยเหลือระยะ แรกเร่ิม ไดแ้ ก่ (1) ความสำคญั มี 4 ข้อ คือ 1) การให้ความช่วยเหลือในช่วงแรกๆ ของชีวิต จะช่วยค้ำจุนพัฒนาการของ เดก็ และทำให้เดก็ สามารถพฒั นาไดถ้ งึ ขีดสูงสุด 2) หากไม่ให้การช่วยเหลือที่ครอบคลุมท้ัง 3 ด้าน คือ ด้านสุขภาพอนามัย ด้านจิตวิทยาและการศึกษาแล้ว เด็กท่ีมีความบกพร่องและเด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีความเส่ียงสูง ที่จะมีปัญหาด้านพัฒนาการ อาจไม่สามารถพัฒนาทักษะของเขาในวัยตอนต้นของชีวิตและ พฒั นาความสำคัญท่ีจำเป็นในการทีจ่ ะดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพตอ่ ไป 3) การให้การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพ่ือป้องกันความผิด ปกติทอ่ี าจเกิดขึน้ ก่อนหรือระหวา่ งคลอด และแก้ไขความบกพรอ่ ง 4) การท่ีประเทศไทยได้ยึดถือเอาการเรียนซ่อมเสริมเป็นรูปแบบสำคัญรูปแบบ หนึ่งในการจัดบริการการศึกษาพิเศษให้แก่เด็กท่ีมีความบกพร่อง เด็กเหล่าน้ีจำเป็นต้องได้รับ บริการ การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมหรือการศึกษาระยะแรกเริ่ม เพื่อเตรียมให้สามารถเข้าเรียน ร่วมในระดบั อนบุ าลและประถมศกึ ษาต่อไป (2) ผลดมี ี 6 ข้อ คือ 1) ช่วยให้ผู้พิการได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้สามารถดำเนิน ชวี ติ อยา่ งเป็นอสิ ระและมคี วามสุข 2) ประหยดั ค่าใช้จา่ ยในการให้บริการฟนื้ ฟสู มรรถภาพทกุ ด้าน 3) ช่วยให้ครอบครัวและผู้ท่ีเก่ียวข้องสามารถค้นพบความต้องการจำเป็นของ คนพกิ ารไดเ้ รว็ ข้นึ 4) ส่งเสรมิ ใหผ้ ูพ้ กิ ารมีความพร้อมเข้าสู่สถานศกึ ษาทั่วไปได้เร็วและมีประสทิ ธภิ าพ 5) ปัญหาต่างๆ มากมายท่ีตามมาจากการที่พ่อแม่มีลูกพิการซ่ึงทำให้พ่อแม่ รู้สึกผิดโกรธและคับข้องใจลดน้อยลง เพราะในสภาพแวดล้อมของการให้บริการ พ่อแม่จะได้รับ 10 คมู่ ือการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

ความเห็นใจ กำลังใจ ความเข้าใจและการสนับสนุนจากผู้ให้บริการและครอบครัวอื่นท่ีมีปัญหา อย่างเดยี วกัน 6) การท่ีพ่อแม่เรียนรู้จากการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม ในการใช้สิ่ง เสริมแรงอย่างสม่ำเสมอกับลูกของตนตลอดโปรแกรม จะเป็นรากฐานท่ีก่อให้เกิดรูปแบบ พัฒนาการเชิงบวกในเดก็ ได้ 1.3 หลกั การและแนวคิดในการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ หลักการในการจัดบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแก่คนพิการท่ีมีประสิทธิภาพ คือ ความร่วมมือและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ระหว่างบุคคลที่เก่ียวข้องได้แก่ ครอบครัว ชุมชนและผู้ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพต่างๆ เช่น แพทย์ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด นักจิตวิทยา นกั แก้ไขการพูด นกั โสตสมั ผัสวทิ ยาและครกู ารศกึ ษาพิเศษ เปน็ ตน้ Mc William, P. J. (1993) ให้แนวคิดว่า บุคลากรท่ีมีบทบาทในการช่วยเหลือ ระยะแรกเร่ิมจะต้องเป็นนักคิด ต้องตัดสินใจและแก้ปัญหา ต้องมีวิสัยทัศน์และมียุทธศาสตร ์ ในการบรกิ าร ทา่ มกลางปัจจัยท่ีหลากหลาย ไดแ้ ก่ ค่านิยม พื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของ ครอบครัว เครือข่ายและแหล่งทรัพยากรที่จะสนับสนุนการให้บริการตลอดจนเจตคติของสังคม ทีม่ ีต่อเด็กซึ่งมีความต้องการจำเปน็ พิเศษ เป้าหมายในการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ คือ พฒั นาเดก็ ทันทีที่พบว่ามีความต้องการจำเป็นพิเศษและสนับสนุนครอบครัวให้สามารถช่วยพัฒนาเด็กจน ดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระในสังคมตลอดจนป้องกันปัญหาความพิการและปัญหาอ่ืนๆ ที่อาจจะ ตามมาได้ การช่วยเหลือระยะแรกเริม่ ทมี่ ีประสทิ ธภิ าพนั้น ตอ้ งลดข้อจำกดั ท่ีมอี ยู่ของเดก็ และ ครอบครัว โดยจัดทำคู่มือและแนวทางการปฏิบัติ ให้ทางเลือกที่หลากหลายเพ่ือให้ครอบครัว สามารถพฒั นาลูกไดอ้ ยา่ งเหมาะสม องค์ประกอบทีส่ ง่ ผลตอ่ การชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มใหม้ ีประสทิ ธิภาพ ไดแ้ ก่ 1. กฎหมายท่เี ก่ียวขอ้ ง (Legislation) ซงึ่ จะสง่ ผลให้ครอบครัวไดร้ ับบรกิ ารชว่ ยเหลือ ในทางปฏิบตั ิอยา่ งเหมาะสม เช่น การจัดทำแผนการช่วยเหลือเฉพาะครอบครวั การไดร้ ับบริการ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การได้รับข้อมูลข่าวสารตลอดจนได้รับสื่อ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตามความตอ้ งการจำเป็น 2. การศึกษาวิจัย (Research) เน่ืองจากเด็กท่ีมีความต้องการจำเป็นพิเศษ มีความต้องการเฉพาะและมีความแตกต่างระหว่างบุคคลมากจึงมีความยุ่งยากท่ีจะนำความร ู้ จากคนหนึ่งมาใช้กับอีกคนหน่ึงได้ การศึกษาวิจัยในลักษณะการปฏิบัติและพัฒนาเฉพาะบุคคล จะทำใหเ้ ด็กไดร้ ับประโยชนส์ ูงสดุ 3. องค์กรที่มีความเช่ียวชาญ (Professional Organization) ในการช่วยเหลือ คู่มอื การช่วยเหลอื ระยะแรกเร่มิ (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ 11 สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพิเศษ

ระยะแรกเริ่มให้มีประสิทธิภาพต้องมีมาตรฐานและได้รับข้อเสนอแนะจากองค์กรท่ีมีความ เช่ียวชาญในการปฏิบัติ ซึ่งมีแนวทางและหลักสูตรในการจัดการช่วยเหลืออย่างชัดเจน เปน็ ระบบและไดร้ บั การยอมรบั นอกจากน้ีแล้วการเรยี นรแู้ นวทางจากการปฏิบัตทิ ีด่ ีทส่ี ุด (Best Practice) เปน็ อกี วิธีหน่ึงท่ีจะใช้เพื่อให้การช่วยเหลือระยะแรกเริ่มมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ครู หมอ พ่อแม่ นักบำบัด และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ควรระมัดระวังและคำนึงถึงความแตกต่างเฉพาะบุคคลของเด็ก และครอบครัวเพอื่ การตัดสินใจให้บรกิ ารไดอ้ ย่างเหมาะสมด้วย NICHCY (2005) กล่าวว่า การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมนำมาประยุกต์ใช้ใน โรงเรียนระดับปฐมวัยที่ค้นพบว่าเป็นกลุ่มเส่ียงในการมีพัฒนาการล่าช้า และมีความต้องการ จำเป็นพิเศษในการส่งเสริมพัฒนาการ โดยการจัดให้มีบริการแก่เด็กและครอบครัว จุดมุ่งหมาย เพอื่ ลดข้อจำกดั ในตัวเด็ก ซ่ึงเป็นท้ังการส่งเสรมิ และปอ้ งกันปญั หาดา้ นต่างๆ ทีจ่ ะตามมาอกี ดว้ ย ทั้งนี้ การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมจะเร่ิมต้นและส่งต่อไปตามความต้องการจำเป็นของเด็กตั้งแต่ แรกเกิดหรือในช่วงเวลาใดก็ได้ตามความเหมาะสม โดยโปรแกรมการช่วยเหลือเกิดจากความ ร่วมมอื ของพอ่ แมร่ ่วมกับหนว่ ยบรกิ าร คอื โรงพยาบาล สถาบนั ที่ให้บรกิ ารหรอื โรงเรียน Arizona Department of Education (2005) ได้อธิบายว่าการช่วยเหลือระยะ แรกเร่ิมเป็นกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญ และพ่อแม่ของเด็กที่มีความต้องการ จำเป็นพิเศษ เพ่ือช่วยให้เด็กเจริญเติบโตมีพัฒนาการท่ีดีข้ึนและสามารถเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ได ้ ซ่ึงการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มจะทำได้ทุกแห่งท่ีเด็กท่ีครอบครัวดำเนินชีวิตอยู่ โดยเด็กจะเรียนรู้ จากการเล่น รวมทง้ั การทำกจิ กรรมภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทเ่ี ปน็ ธรรมชาตขิ องครอบครวั The Virginia Department of Mental Health, Mental Retardation and Substance Abuse Survices (2005) ได้ให้บรกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเร่มิ โดยมีจดุ ประสงคเ์ พอื่ ส่งเสริมพัฒนาการและสนับสนุนครอบครัวของเด็กท่ีมีพัฒนาการล่าช้าในวัยแรกเกิดถึงสามขวบ โดยมีแพทย์ พยาบาลและนักวิชาชีพสาขาต่างๆ คอยช่วยเหลือและประสานงานส่งต่อไปยัง หน่วยงานหรอื บคุ คลทีเ่ กยี่ วขอ้ งตามความตอ้ งการจำเปน็ ทัง้ นี้ กระบวนการใหบ้ ริการครอบคลุม ตั้งแต่การค้นหาความต้องการจำเป็นพิเศษ การประเมินสมรรถภาพพื้นฐานจากนักวิชาชีพ โดยผู้ปกครองมีส่วนร่วม การประสานงานให้บริการและส่งต่อ นอกจากนี้ยังพัฒนาองค์ความรู้ และเตรียมชุมชนให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม เพ่ือการให้บริการอย่าง รวดเรว็ และมปี ระสทิ ธภิ าพตลอดจนอบรมพัฒนาผู้เช่ยี วชาญ และใหค้ วามร้แู กผ่ ู้สนใจท่วั ไปด้วย Noonan, Mary. J. and McCormick, Linda. (1993) เสนอแนะวา่ มมุ มองเกยี่ ว กับการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษน้ัน เป็นความสัมพันธ์ ระหว่างเด็กกับครอบครัวซึ่งต้องอาศัยความรู้เก่ียวกับเด็กในวัยทารกถึงสามขวบ การให ้ 12 ค่มู ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

การศึกษาตามความต้องการจำเป็น ทฤษฎีจิตวิทยา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพยาบาล และสังคมศาสตร์ นโยบายที่ชดั เจนจะทำใหเ้ ดก็ ทม่ี ีความตอ้ งการจำเป็นพเิ ศษและครอบครัวไดร้ ับ การพัฒนาทั้งด้านการเรียนรู้และส่ิงแวดล้อมตลอดจนสังคมเกิดการเรียนรู้ร่วมกันเพ่ือนำไปสู่ ประสิทธิภาพในการให้บริการต่อไป อย่างไรก็ตามในการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมอาจมีอุปสรรค อยู่บ้าง เน่ืองจากทีมท่ีให้บริการและผู้ปกครองไม่ชัดเจนในเป้าหมาย หรือเข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการส่ือสารหรือการไม่เปิดใจกว้าง หรือการวางแผนให้บริการไม่ชัดเจน รวมท้ังการสรา้ งบรรยากาศแหง่ การไว้วางใจและการยอมรับนบั ถือซึ่งกันและกนั The College of Education at the University of Oregon (2005) มเี ป้าหมาย ในการพัฒนาเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษและครอบครัวอายุตั้งแต่แรกเกิดถึงสามขวบ โดยเน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลางและพัฒนาตามความแตกต่างของแต่ละครอบครัว ให้บริการ ท่ีบ้านและในชุมชนครอบคลุมบริการ การประเมินความสามารถและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน การให้ความรู้แก่พอ่ แม่ การจัดกลุม่ สนบั สนนุ ครอบครัว การเยีย่ มบ้าน การใหข้ อ้ มูลข่าวสารและ การส่งต่อ การบริการพาหนะในการเดินทาง บริการกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัดและแก้ไข การพูด รวมทั้งมกี ุมารแพทย์ พยาบาล นกั การศกึ ษาดา้ นพัฒนาการ ผู้ดแู ลดา้ นครอบครวั บำบัด นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ คอยให้บรกิ ารตามความต้องการจำเป็นดว้ ย Hallanhan , Daniel P. (1994) ได้กล่าวถึง หลักการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มไว ้ 3 ประการ คอื 1) จดั ทำแผนการชว่ ยเหลือทีเ่ หมาะสมต่อการพัฒนาของเด็ก 2) ช่วยให้เด็กและครอบครัวได้รับการช่วยเหลือในด้านพัฒนาการและช่วยลดภาวะ ความพิการ 3) ช่วยครอบครัวของเด็กพิการในการพัฒนาเด็กทั้งการสนับสนุนการดูแลเด็ก ท่ีบ้าน การสนับสนุนบริการด้านต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษา บริการทางการแพทย์ เป็นต้น ซ่ึงเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเด็กมีความพิการต้ังแต่ยังเล็กแล้วควรมีการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด โดยผู้เช่ยี วชาญต้องคำนงึ ถึงความตอ้ งการจำเป็นของเด็กเพื่อให้เด็กได้เกดิ การเรียนรูแ้ ละพัฒนา การจัดบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมแก่คนพิการควรยึดหลักการ ดังนี้ (สมพร หวานเสรจ็ : 2543) 1. จัดให้บุคคลพิการเป็นรายบุคคลและครอบครัว 2. สอดคล้องกบั ความตอ้ งการจำเปน็ ของคนพิการแต่ละคนและครอบครวั 3. มุ่งพัฒนาคนพิการอย่างเตม็ ศกั ยภาพทุกดา้ น 4. ทกุ ฝา่ ยทเ่ี กย่ี วขอ้ งมสี ่วนรว่ มในการจัดบรกิ าร 5. ครอบคลุม ยดื หยุ่น ทันสมยั และสอดคล้องกับกฎหมายท่เี กยี่ วข้อง 6. ตดิ ตาม ประเมินผลและปรบั ปรุงการใหบ้ ริการเป็นระยะๆ อยา่ งต่อเน่อื ง ค่มู ือการช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 13 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศูนย์การศึกษาพิเศษ

การช่วยเหลือระยะแรกเริ่มให้มีประสิทธิผล ผู้ให้บริการต้องตระหนักถึงความสำคัญ ในการทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ผู้ให้บริการต้องไวต่อความรู้สึกและให้ความสนใจในกระบวนการ และเนื้อหาของการสนทนาให้มาก นอกจากการใช้ทักษะของสัมพันธภาพแล้ว ยังจำเป็น ต้องทราบถึงโครงสร้างขององค์กรนโยบายที่เหมาะสมด้วยและทำงานร่วมกันทั้งที่บ้านและ ท่ีโรงเรียน (Roffey S. 2001) ครอบครัวของเด็กพิการน้ันย่อมได้รับผลกระทบจากปัญหาของลูก คือ ปัญหา ความเครียด ครอบครัวจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้เหมาะสมและได้รับการสนับสนุน โดยการสร้างความสัมพันธ์ทางบวกให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวเพื่อช่วยให้เกิดการปรับตัวใน ครอบครัวผู้ให้การช่วยเหลือต้องมีความเข้าใจครอบครัวและความสัมพันธ์ของเด็กและครอบครัว รวมถึงชุมชนด้วย รวมท้ังให้การสนับสนุนให้เกิดความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวและการปรับตัว ของครอบครวั ด้วย (Dunn W., 1991) สิ่งท่ีสำคัญ คือ ครอบครัวควรมีความเข้าใจเด็กพิการและช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ของเด็กหรือช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็ก ซึ่งถ้าครอบครัวไม่มีความเข้าใจเด็กพิการ จะไม่สามารถพัฒนาได้อย่างมีความสุขและอาจไม่สามารถเรียนได้ แต่หากครอบครัว มคี วามเขา้ ใจเดก็ จะสามารถเรยี นรู้ได้ดแี ละมีความสุขมากขึ้น (Ayres J. 1979) 1.3.1 แนวคิดเก่ียวกับรปู แบบในการช่วยเหลอื ระยะแรกเริ่ม การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแก่เด็กพิการมีหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นการ ทำงานระหว่างครอบครัวกับบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการศึกษาพิเศษเป็นอย่างดี ท้ังนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการช่วยเหลือเด็ก การให้บริการช่วยเหลืออาจทำได้หลายรูปแบบ ในขณะเดยี วกนั ดังน ้ี 1) รปู แบบทางการแพทย์ (Medical Model) เป็นรูปแบบท่ีเด็กพิการอยู่ในความดูแลของแพทย์ มีส่วนน้อยที่จำเป็นต้องได้รับ การบริการฟ้ืนฟูสมรรถภาพด้านการศึกษา แต่วิธีการทำงานมีความแตกต่างกันในเป้าหมายของ การให้บริการ ในการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมจะเกิดผลน้อยถ้าผู้ให้บริการเน้นการให้ บริการทางการแพทย์อย่างเดียว เพราะการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ให้ความสนใจในการ รกั ษาส่ิงทม่ี ีความบกพรอ่ งของเด็กทีเ่ หมือนกบั เด็กอน่ื ๆ 2) รปู แบบทางการศึกษา (Educational Model) เป็นรูปแบบการให้บริการช่วยเหลือเด็กพิการ ให้มีพัฒนาการและความสามารถ ในการเรยี นรู้ได้มากทส่ี ดุ ตามข้นั ตอนพฒั นาการของเดก็ ทั่วไป ท้ังนี้ไมส่ นใจสาเหตุของความพกิ าร การทดสอบมีข้ึนเพื่อประเมินความสามารถและปัญหาของเด็ก การจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริม ศักยภาพในขณะเดียวกันก็มุ่งลดปัญหาของเด็กเป็นรายบุคคล (ผดุง อารยะวิญญู : 2540) 14 คมู่ ือการช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

ปญั หาอาจเกิดขน้ึ ได้เม่ือผู้ปกครองให้ความสำคัญตอ่ แพทย์มากกว่านักการศึกษาท่ีมีวธิ ีการทำงาน ที่แตกต่างกันจะเป็นการเหมาะสมมากกว่า หากแพทย์และนักการศึกษาได้ร่วมมือกัน เนื่องจาก การใหบ้ ริการทางการศึกษาอาจตอ้ งใชเ้ วลามากกว่า ตัวอยา่ งเช่น แพทยพ์ ยายามช่วยเดก็ หูหนวก ให้ได้ยินเสียง สนใจการรักษาพยาธิสภาพของอวัยวะท่ีเกี่ยวข้องกับการได้ยินเท่านั้น แต่ครูจะ สนใจการพฒั นาเดก็ ในทกุ ๆ ดา้ นไม่เพียงแต่เรือ่ งของการได้ยินเทา่ น้นั 1.3.2 แนวคดิ เก่ยี วกบั กจิ กรรมการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม การให้ความช่วยเหลือคนพิการในระยะแรกเร่ิมควรดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย ทีช่ ัดเจนสามารถนำไปปฏบิ ัติและติดตามประเมนิ ผลได้ ดงั นี้ (สมพร หวานเสร็จ : 2543) 1) การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ประวัติของคนพกิ าร การเก็บรวบรวมประวัติของคนพิการและเอกสารหลักฐานที่เก่ียวข้อง เพ่ือให้ได้ ข้อมูลทลี่ ะเอยี ดเพียงพอประกอบวิเคราะหแ์ ละตัดสนิ ใจให้การจัดทำแผนการใหก้ ารบริการมีสาระ สำคญั กจิ กรรม ความร่วมมอื และเทคนิค ดงั นี้ คือ 1.1) สาระสำคัญในการสอบประวัติและตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวควรประกอบด้วย ข้อมูลท่ัวไป (วัน เดือน ปีเกิด ท่ีอยู่ เบอร์โทรศัพท์) ประวัติการเจ็บป่วย สาเหตุที่ทำให้เกิด ความพกิ าร ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครวั ทัศนคตขิ องคนในครอบครัว 1.2) เทคนิคและวิธีการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง คือ ควรตรวจสอบเอกสาร ที่เกี่ยวข้องและจดบันทึกโดยละเอียด สัมภาษณ์ พูดคุย ทำความรู้จักพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ถ้าใช้ภาษาถิ่นได้ให้ใช้ภาษาถิ่น จัดท่ีน่ังไม่ให้เผชิญหน้าตรงๆ และการจัดที่น่ังที่ไม่เป็นทางการ มากไป พูดคุยถึงข้อมูลของผทู้ เี่ กีย่ วข้อง ญาติ พี่ น้องด้วย แสดงความจริงใจเอ้ืออาทร ไมเ่ รง่ ใช้ คำถามมากๆ ในเวลาส้ันๆ เพ่ือให้ได้ข้อมูลมากๆ สังเกตท่าทางผู้รับบริการและให้หยุดพักเป็น ช่วงๆ ขณะสมั ภาษณด์ ้วย 2) การประเมินความสามารถพ้ืนฐานของคนพิการ การประเมินความสามารถพื้นฐานของคนพิการ มีความสำคัญมาก เพราะทำให้ ทราบว่าคนพิการมีพัฒนาการล่าช้าหรือแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร ในด้านใดบ้าง ซึ่งจะเป็น ข้อมูลนำไปสู่การตัดสินใจในการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลและการให้บริการช่วยเหลือ ฟนื้ ฟสู มรรถภาพตามความตอ้ งการจำเป็นทเ่ี หมาะสมตอ่ ไป ซ่งึ มีสาระสำคญั กิจกรรม ความร่วม มือและเทคนคิ ดงั นี้ 2.1) สาระสำคัญ คอื ตรวจสอบพัฒนาการของเด็กทั่วไปเทียบกับเดก็ ปกติและ ประเมินความสามารถพื้นฐานใหค้ รอบคลมุ 2.2) เทคนิคในการประเมินความสามารถพ้ืนฐาน คือ การสังเกตพัฒนาการ และพฤตกิ รรมของเดก็ ใช้เครอื่ งมอื ตรวจวดั แบบทดสอบและแบบประเมนิ ตรวจสอบความสามารถ สัมภาษณผ์ ปู้ กครองและคุยกบั คนพิการ คูม่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ 15 สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

3) การเยย่ี มบา้ น เย่ียมบ้านผู้ปกครองจะช่วยให้ทราบถึงปัญหาและความสัมพันธ์ของบุคคล ในครอบครัว ซึ่งในการเย่ียมบ้านเจ้าหน้าท่ีอาจพบปัญหาต่างๆ ได้แก่ ผู้ปกครองปฏิเสธ เพราะ คดิ ว่ามีงานมากแลว้ เช่น ไม่มีเวลาตอ้ งทำงานนอกบ้าน ผปู้ กครองตอ่ ต้านการให้ความช่วยเหลอื หรืออายท่ีมีลูกพิการ รวมทั้งผู้ปกครองมักคิดว่าเป็นเรื่องยากท่ีจะให้สังคมยอมรับคนพิการ บคุ ลากรไม่ควรท้อแท้ และควรมกี ารวางแผนและกำหนดแนวทางในการเย่ียมบา้ น คือ 3.1) ในการไปเย่ียมบ้านควรเตรียมแบบบันทึกข้อมูลประกอบการเย่ียมบ้านไปด้วย เช่น แบบสมั ภาษณ์ผูป้ กครอง แฟ้มหรือขอ้ มลู คนพกิ าร ขอ้ มูลเดมิ และข้อมลู ทเ่ี ก่ียวข้องทม่ี ี รวมทง้ั นัดหมายคณะกรรมการร่วมทำงานลว่ งหน้ากอ่ นไปเย่ียมบา้ น 3.2) ถ้าเจ้าหน้าท่ีไม่สามารถไปเย่ียมบ้านเป็นประจำได้ ควรให้อาสาสมัครไป เย่ียมบ้านแทนโดยอบรมอาสาสมัครในชุมชนก่อน และกำหนดระยะเวลาในการออกเย่ียมบ้าน ให้ชัดเจน หรือให้คำปรึกษาทางจดหมายและโทรศัพท์ ตลอดจนมกี ารตดิ ตามผลเปน็ ระยะ เพ่ือที่ จะได้ทราบความก้าวหน้าของคนพิการ ซึ่งในการไปเยี่ยมบ้านมีสาระสำคัญ วิธีการดำเนินการ เพ่ือให้บริการและร่วมมือกับผู้เก่ียวข้องขณะออกเย่ียมบ้าน คือ ในการพบปะผู้เก่ียวข้องได้แก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยายและญาติ ควรเน้นให้มีบทบาทสนับสนุนคนพิการให้ช่วยเหลือ ตัวเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น รับประทานอาหาร ทำความสะอาดร่างกายสวมเส้ือผ้าได ้ โดยญาติควรดูแลอยู่ห่างๆ ให้คำแนะนำการทำกิจวัตรประจำวันและให้คนพิการทำเองมากที่สุด จะช่วยเหลือเม่ือจำเป็น และควรให้การยอมรับให้คนพิการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม ในครอบครวั ให้แสดงความสามารถด้วยตนเอง โดยพน่ี ้องจะคอยให้ความชว่ ยเหลือเมอ่ื คนพกิ าร ต้องการและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้พิการ รวมทั้งให้ความสำคัญ ความรัก ความอบอุ่น เอาใจใส่เหมือนกับคนปกติท่ัวไป นอกจากน้ี บุคลากรท่ีออกเย่ียมบ้านควรแลกเปล่ียน ประสบการณ์ในการแก้ปัญหา ได้แก่ ให้ความรู้ แนะนำให้ศึกษาเอกสาร ให้คำแนะนำในการฝึก ปฏิบัติ ฝึกคนพิการร่วมกับผู้ปกครองและจัดให้มีการประชุมแลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่าง ผู้ปกครองทม่ี ลี กู พกิ าร เพอ่ื ที่จะให้ความช่วยเหลอื ลูกพิการไดอ้ ย่างถกู วิธ ี ในการออกเย่ียมเพ่ือนบ้านและบุคคลในชุมชน บุคลากรควรทำความเข้าใจ ปรับเจตคติ ให้เกิดความสร้างสรรค์ต่อคนพิการ ให้การยอมรับและให้โอกาสคนพิการได้มีส่วนร่วม ในกิจกรรมของชุมชน การให้ความช่วยเหลือและประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในการฟื้นฟูสมรรถภาพของคนพิการ สาธิตการให้ความช่วยเหลือให้คนพิการได้แสดงความสามารถ ต่อชมุ ชน ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการแก้ปัญหาเก่ยี วกับคนพกิ ารในชุมชน 16 คมู่ อื การช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ

ประเภทความพกิ าร ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติการฟื้นฟู สมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และมาตรา 20 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขได้กำหนดใหค้ นพกิ ารมี 5 ประเภท โดยแตล่ ะประเภทมีลกั ษณะ ดังน้ ี 1. คนพิการทางการมองเห็น ได้แก ่ 1.1 คนท่ีมีสายตาข้างที่ดีกว่าเม่ือใช้แว่นสายตาธรรมดาแล้วมองเห็นน้อยกว่า 6/18 หรือ 20/70 ลงไปจนมองไมเ่ หน็ แมแ้ ต่แสงสวา่ ง หรอื 1.2 คนท่ีมลี านสายตาแคบกว่า 30 องศา 2. คนพิการทางการได้ยินหรอื การสือ่ ความหมาย ไดแ้ ก ่ 2.1 คนท่ีได้ยินเสียงที่ความถี่ 500 เฮิรตซ์ 1000 เฮิรตซ์ หรือ 2000 เฮิรตซ ์ ในหขู ้างทด่ี กี ว่าทม่ี ีความดังเฉลย่ี ดังตอ่ ไปน้ ี 2.1.1 สำหรบั เด็กอายไุ ม่เกนิ 7 ปี เกิน 40 เดซิเบล ขนึ้ ไปจนไม่ได้ยนิ เสียง 2.1.2 สำหรับคนท่วั ไปเกนิ 55 เดซิเบล ขึน้ ไปจนไม่ไดย้ ินเสียง หรือ 2.2 คนที่มีความผิดปกติหรือความบกพร่องในการเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด จนไม่สามารถส่ือความหมายกบั คนอ่นื ได้ 3. คนพกิ ารทางกายหรอื การเคล่ือนไหว ไดแ้ ก ่ 3.1 คนท่ีมีความผิดปกติหรือความบกพร่องของร่างกายท่ีเห็นได้อย่างชัดเจน และ ไม่สามารถประกอบกิจวตั รหลกั ในชวี ิตประจำวนั ได้ หรอื 3.2 คนท่ีมีการสูญเสียความสามารถในการเคล่ือนไหว มือ แขน ขา หรือลำตัว อนั เนื่องมาจากแขนหรอื ขาขาด อัมพาตหรืออ่อนแรง โรคขอ้ หรืออาการปวดเร้ือรัง รวมทัง้ โรค เรื้อรังของระบบการทำงานของร่างกายอื่นๆ ที่ทำให้ ไม่สามารถประกอบกิจวัตรหลักในชีวิต ประจำวนั หรอื ดำรงชีวติ ในสังคมเยย่ี งคนปกตไิ ด ้ 4. คนพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม ได้แก่ คนที่มีความผิดปกติหรือความบกพร่อง ทางจิตใจ หรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์ ความคิด จนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมท่ี จำเป็นในการดูแลตนเองหรอื อยรู่ ว่ มกบั ผ้อู นื่ 5. คนพิการทางสติปัญญาหรือการเรียนรู้ ได้แก่ คนท่ีมีความผิดปกติหรือ ความบกพรอ่ งทางสติปญั ญาหรือสมองจนไมส่ ามารถเรียนรูด้ ว้ ยวธิ กี ารศึกษาปกติได้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไดพ้ จิ ารณาเห็นว่า การจำแนกประเภทคนพกิ ารตามความพิการ เพื่อการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการควรได้กำหนดบุคคลที่มีความบกพร่องท่ีต้องการ การศึกษาพเิ ศษไว้ 9 ประเภท คือ 1. บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น หมายถึง บุคคลท่ีสูญเสียการเห็นระดับ เล็กนอ้ ยจนถงึ ระดับตาบอดสนทิ คมู่ ือการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร 17 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง คนที่สูญเสียการได้ยินไม่สามารถ รบั ฟังเสยี งได้เหมือนคนปกติ ซ่งึ อาจจะเปน็ คนหตู งึ หรือเด็กหหู นวกก็ได ้ 3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง คนท่ีมีพัฒนาการด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ ภาษา และสติปัญญาล่าช้ากว่าเด็กปกติ เมื่อวัดสติปัญญา โดยใช้แบบทดสอบ มาตรฐานแล้วปรากฏว่ามีสติปัญญาต่ำกว่าเด็กปกติท่ัวไป และมีความจำกัดทางด้านการปรับตัว ซ่งึ ภาวะความบกพร่องทางสตปิ ัญญาต้องเกดิ กอ่ น อายุ 18 ป ี 4. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ หมายถึง คนท่ีมีความผิดปกติ บกพร่อง หรือสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายทำให้ไม่สามารถเคล่ือนไหวได้ดีเท่า คนปกติ 5. บุคคลที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หมายถึง คนที่มีความบกพร่องที่เกี่ยวเนื่องกับ กระบวนการทางจิตวิทยาในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งเร่ือง ทำให้มีปัญหาในการ ใช้ภาษา การฟัง การคิด การพูด การอ่าน การเขียนหรือการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร ์ ปัญหาดังกล่าวมิได้มีสาเหตุมาจากความบกพร่องทางร่างกายและการเคล่ือนไหว สายตา การได้ยนิ ระดบั สตปิ ญั ญา อารมณ์ และสภาพแวดล้อมรอบตวั เด็ก 6. บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา หมายถึง คนท่ีมีความบกพร่อง ในเรื่องการออกเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือ คนที่มีความบกพร่องในเร่ืองความเข้าใจ และหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนและหรือระบบ สัญลักษณ์อ่ืนที่ใช้ในการติดต่อส่ือสาร ซ่ึงอาจเกี่ยวกับรูปแบบของภาษา เน้ือหาของภาษาและ หน้าทีข่ องภาษา 7. บคุ คลท่มี ีปญั หาทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ หมายถงึ คนที่แสดงพฤติกรรมท่เี บยี่ งเบน ไปจากคนท่ัวไป และพฤติกรรมที่เบ่ียงเบนนี้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้อ่ืน เป็นผลมาจาก ความขัดแย้งกับสภาพแวดล้อม หรือความขัดแย้งท่ีเกิดขึ้นในตนเอง ซึ่งไม่สามารถเรียนร ู้ ขาดสัมพันธภาพกับเพ่ือนหรือผู้ท่ีเกี่ยวข้อง มีความเก็บกดทางอารมณ์โดยแสดงออกทางร่างกาย ซงึ่ บางคนมคี วามบกพร่องซ้ำซ้อนอยา่ งเด่นชดั อีกท้งั เกิดขึน้ เป็นเวลานาน 8. บุคคลออทิสตกิ Autistic (ออทสิ ติก) หรือ Autiusm (ออทิสซึม) มาจากรากศัพท์ ภาษากรกี Auto (ออโต) ตัวเรา ออทิสซมึ หมายถงึ ภาวะของปัญหาทางจติ เวชที่มีความผดิ ปกติ อย่างรุนแรง มีพัฒนาการท่ีผิดปกติเก่ียวกับอารมณ์ สังคม การส่ือความหมาย พฤติกรรม จินตนาการและจากปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีสาเหตุอันเนื่องมาจากการทำงานในหน้าที ่ บางสว่ นของสมองที่ผิดปกติไป 9. บุคคลพิการซ้อน หมายถึง คนที่มีสภาพความบกพร่องทางอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ของร่างกายหรอื ความพิการมากกว่าหนง่ึ ประเภทในบุคคลเดยี วกนั เช่น คนปญั ญาอ่อนทส่ี ญู เสยี การได้ยิน คนปัญญาอ่อนที่ตาบอด 18 คมู่ ือการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพิเศษ

งานวิจยั ท่ีเกยี่ วข้อง อุทุมพร จามรมาน และ จรี ะพันธ์ุ พูลพัฒน์ (2542) ไดท้ ำการวจิ ัย ระบบ กลไก และ ประสิทธิภาพของสถานเล้ียงดูเด็กของภาครัฐ และเอกชนในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค ์ เพื่อศึกษาระบบและกลไกในโรงเรียนอนุบาล/ศูนย์/สถานเลี้ยงดูเด็ก มีประสิทธิผล และ ประสิทธิภาพหรือไม่ และสถานศึกษาดังกล่าวของภาครัฐและเอกชนมีระบบกลไกประสิทธิผล และประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่างกันมากน้อยเพียงใด การวิจัยนี้ มี 2 ระยะ ระยะแรก เป็นการสำรวจข้อมูลในระดับกว้าง ซึ่งสุ่มจากโรงเรียนอนุบาล/สถานเลี้ยงดูเด็ก/ศูนย์เด็ก ท่ัวประเทศ ได้ 149 โรง ในจังหวัดต่างๆ 6 จังหวัด คือ กทม. เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น ชลบรุ ี และลพบุรี ทำการรวบรวมขอ้ มลู โดยการสมั ภาษณ์ผู้บริหารหนว่ ยงานในกรงุ เทพฯ 18 คน และผู้บริหารโรงเรียนอนุบาล/สถานเลี้ยงดูเด็ก/ศูนย์เด็ก 149 คน สอบถามด้วยแบบสอบถาม ครู/ผู้ดูแลเด็ก 776 คน ผู้ปกครอง 2,073 คน ได้ผลสรุปเก่ียวกับสภาพการบริหารจัดการ ความคดิ เหน็ เกีย่ วกบั ระบบกลไก และผลดำเนินงาน ตลอดจนคุณภาพของเด็ก การรวบรวมขอ้ มูลระยะทีส่ องเป็นการเจาะลึกเฉพาะ 19 โรง ใน 2 จงั หวัด คอื กทม. กบั ลพบรุ ี โดยรวบรวมข้อมูลดา้ นการเงินจากโรงเรยี น สมั ภาษณผ์ ู้บรหิ าร 19 คน สอบถามดว้ ย แบบสอบถาม ครู/ผูด้ แู ลเดก็ 195 คน และผูป้ กครอง 842 คน ไดข้ ้อสรปุ เก่ยี วกับระบบ กลไก ประสิทธิผล ค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพ ดังนี้ ผลวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้บริหารโรงเรียน/ สถานเลย้ี งดูเด็ก/ศูนยเ์ ดก็ จำนวน 149 แหง่ ทั่วประเทศ พบวา่ มนี โยบายและวัตถุประสงคเ์ พือ่ เตรียมความพร้อมให้กับเด็กเพ่ือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง และเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ ใหก้ ับเด็ก ในจงั หวัดเชียงใหม่ ขอนแกน่ ลพบรุ ี และชลบุรี จะเน้นที่การเตรียมความพร้อม ส่วนที่ กรุงเทพมหานครและสงขลา จะเน้นที่การส่งเสริมพัฒนาการเป็นหลัก ในการจัดการเรียน การสอนถา้ เปน็ โรงเรียนอนุบาลจะองิ หลกั สตู รของ สปช. หรอื สช. ใชก้ ารรบั เข้าไมจ่ ำกัดจำนวน ยกเว้นที่จังหวัดลพบุรี การวัด-ประเมินผลใช้การสังเกตเป็นหลัก การแก้ปัญหาเด็กอาศัย ความรว่ มมอื กับผู้ปกครอง สว่ นใหญ่ขาดแคลนสอ่ื อปุ กรณ์ ยกเวน้ จงั หวดั สงขลา ในดา้ นจำนวน ครู/ผู้ดูแลเด็กมีจำนวนเพียงพอแต่ขาดคุณภาพ ซึ่งจำนวนหนึ่งไม่ได้จบมาโดยตรงและยังคงมี ปัญหาเรอ่ื งการประสานกับชมุ ชน ผลวเิ คราะหข์ อ้ มลู จากคร/ู ผดู้ แู ลเดก็ และผปู้ กครอง พบวา่ คร/ู ผดู้ แู ลเดก็ มลี กั ษณะเดน่ คอื มมี นุษยสมั พันธ์ มีการเตรยี มการสอนและมีการสอนที่เปน็ ระบบ สิง่ ท่ีเป็นปัญหา คือ จำนวนและ คุณภาพของครูและผูด้ ูแลเด็ก งบประมาณ และการสนับสนนุ จากผู้บรหิ ารและผปู้ กครอง มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ (บทคัดย่อ : 2551) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การดูแลเด็กปฐมวัย : บทบาทสถานเล้ียงดูเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยโดยสถานเลี้ยงดูเด็ก ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเก่ียวกับสถานเลี้ยงดูเด็กของประเทศไทย ศึกษาระบบกลไก และ ค่มู ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ 19 สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ

ประสิทธิภาพของสถานเล้ียงดูเด็กของภาครัฐและเอกชนในปัจจุบัน ศึกษารูปแบบและระบบการ จัดบริการสถานเลี้ยงดูเด็กที่มีคุณภาพในประเทศไทย และศึกษาฉันทามติเกี่ยวกับการจัดบริการ สถานเล้ียงดูเด็กในประเทศไทย พบว่า เด็กในวัยน้ีต้องการการเรียนรู้ในส่ิงแวดล้อมรอบๆ ตัว ประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านประสาทสมั ผัสท้งั 6 จาก บิดา มารดา คนรอบขา้ งและส่งิ แวดล้อม ซึ่งจะส่งผลต่อให้เกิดพัฒนาการที่เป็นรากฐานของบุคลิกภาพ อุปนิสัยและการเติบโตของสมอง ที่มีผลต่อสติปัญญา ความสามารถ เพราะเด็กในช่วงต้ังแต่ ปฏิสนธิจนถึง 6 ปี ระบบประสาท และสมองจะเจริญเติบโตในอัตราที่สูงท่ีสุด การอบรมปลูกฝังสร้างเสริมพัฒนาทุกด้านให้แก ่ เด็กปฐมวัยได้เจริญเติบโตเต็มศักยภาพในช่วงอายุน้ี จะเป็นรากฐานที่ดีในการเจริญเติบโต เป็นเยาวชนและพลเมอื งท่ีดี เฉลียวฉลาด คิดเปน็ ทำเปน็ และมีความสขุ ดงั นน้ั ครอบครัวและ กระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพของสมองจึงเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของ เด็กปฐมวัย นชุ นาฎ โตด๊ ี (2546) ได้ทำการศกึ ษาถงึ กระบวนการจัดทำแผนบรกิ ารเฉพาะครอบครวั สำหรับเดก็ ตาบอดแรกเกดิ ถงึ 6 ปี ณ ศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 นครปฐม พบว่า กระบวนการจัดทำแผนบริการเฉพาะบุคคลสำหรับเดก็ ตาบอดแรกเกดิ ถงึ 6 ปี ทัง้ 5 ครอบครัว มีกระบวนการทั้งหมด 11 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ 1. ขน้ั ตอนการคน้ หา / สง่ ต่อ (Finding / Referral) 2. ขน้ั ตอนผปู้ ระสานงานพบครอบครัว (Initial Contact) 3. ขัน้ ตอนการจัดต้ังทีมตรวจประเมนิ (IFSP Interim) 4. ข้ันตอนการตรวจประเมิน (MDT Evaluation) 5. ขั้นตอนการพิจารณา ผลประเมิน (Verified) 6. ขั้นตอนการจัดต้ังทีม (IFSP Team) 7. ข้ันตอนการรวบรวมข้อมูล ประกอบการประชุม (Pre- IFSP) 8. ข้ันตอนการประชมุ (IFSP Meeting) 9. ขนั้ ตอนเรมิ่ บริการ (Service Begin) 10. ขัน้ ตอนการทบทวนแผน (IFSP Review) และ 11. ข้ันตอนการออกจากแผน (Formal Exit) ซ่ึงแต่ละขั้นตอนของแต่ละครอบครัวมีรายละเอียดท่ีแตกต่างกัน เช่น ปัญหา ความต้องการบุคลากรท่ีเก่ียวข้อง วันเวลาที่รับบริการ จำนวนคร้ังและกิจกรรมที่ได้รับบริการ เป็นต้น ส่วนปัญหาอุปสรรคของการทำแผน IFSP คร้ังน้ี พบว่า มีปัญหาด้านการค้นหาและ ส่งต่อ ด้านการเดินทาง ด้านเศรษฐกิจ ด้านการตรวจประเมินความสามารถ / พัฒนาการเด็ก ดา้ นความชดั เจนของรูปแบบแผน ปัทมา ทองสตา (2546) ได้ศึกษากระบวนการจัดทำแผนบริการเฉพาะครอบครัว สำหรบั เด็กสมองพิการแรกเกดิ ถงึ 6 ปี ในศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 1 จงั หวัดนครปฐม พบวา่ มีเจด็ ขน้ั ตอนคอื 1) การคน้ หาครอบครวั 2) การพบกนั ครั้งแรก 3) การประสานงานจดั ต้งั ทมี 4) การตรวจประเมิน 5) การประชุมจัดทำแผน 6) การเริ่มต้นพิการและ 7) การทบทวนแผน ซ่ึงในระหว่างรับบริการจะมีปัญหาอุปสรรค คือ เด็กพิการมักมีปัญหาทางด้านสุขภาพและ ผ้ปู กครองไม่สามารถมารบั บริการไดอ้ ยา่ งสม่ำเสมอตามแผน 20 คมู่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ

สมพร หวานเสร็จ (2547) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมเด็ก ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กท่ีมี ความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 โดยการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะท่ี 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและ ความต้องการจำเป็นในการมีส่วนร่วมของผู้เก่ียวข้องในการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสำหรับเด็ก ท่มี คี วามบกพรอ่ งทางสติปัญญา ของศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 9 / ระยะท่ี 2 พฒั นา รูปแบบการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญาโดยการบริหาร จัดการแบบมีส่วนร่วม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 การดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ขน้ั ตอน คอื 1) จัดทำโครงรา่ งรปู แบบการชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ สำหรับเดก็ ท่มี คี วามบกพรอ่ ง ทางสติปัญญาโดยการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 2) พฒั นารูปแบบการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ เด็กทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา โดยการบรหิ าร จดั การแบบมสี ่วนร่วมของศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 9 โดยวธิ ีวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ าร และ 3) ทดลองใช้รูปแบบการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาโดยการ บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม นำผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากขั้นตอนต่างๆ มาพิจารณาและ ปรับปรุงรายละเอียด / ระยะที่ 3 นำรูปแบบไปใช้ในศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด ที่เป็นเครือข่ายของ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จำนวน 7 ศูนย์ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองและบุคลากรที่ให้บริการมีความต้องการมีส่วนร่วม ในการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมเด็ก บกพร่องทางสติปัญญา โดยร่วมเสนอปัญหา วางแผนการให้ความช่วยเหลือ จัดหาส่ิงอำนวย ความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ร่วมมือกันในการพัฒนา ศักยภาพตามความต้องการจำเป็นของเด็กบกพร่องทางสติปัญญาเป็นรายบุคคลตลอดจน ประเมินผลการดำเนินงาน และแก้ไขปัญหาร่วมกัน ค่มู ือการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 21 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ

บทท่ี 3 (กEรaะrบlyวนInกtาeรrvใหen้บtรioิกnาร:ชE่วIย)เ หลอื ระยะแรกเริม่ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ และม ี เป้าหมายท่ีชัดเจน เพื่อให้การช่วยเหลือเด็กพิการสามารถตอบสนองความต้องการจำเป็นพิเศษ ของเดก็ แตล่ ะคนได้อย่างเหมาะสม ซ่งึ มีกระบวนการตงั้ แตก่ ารรวบรวมขอ้ มูลท่วั ไปของเดก็ พิการ การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา การประเมินความสามารถพื้นฐาน การจัดทำ แผนบริการเฉพาะครอบครัว หรือแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การให้บริการด้วยการจัด กิจกรรมที่เหมาะสม การประเมนิ ความก้าวหนา้ รวมถงึ การสง่ ตอ่ และการนิเทศ ตดิ ตามประเมินผล ซึง่ แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลท่วั ไปของเด็กพกิ าร การเก็บรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กพิการ เป็นข้ันตอนแรกในการรวบรวมข้อมูล พื้นฐานทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เดก็ พิการในทุกๆ ด้าน เพอื่ ให้ได้ข้อมูลประกอบการวเิ คราะห์ และตัดสินใจ ในการวางแผนการให้บรกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) การดำเนนิ การ เก็บรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน อาจเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต การสัมภาษณ์ การซักประวัติ สงั คมมติ ิ และการเยี่ยมบ้าน ซ่งึ มีหลักการในการเกบ็ รวบรวมแตล่ ะวิธีพอสังเขป ดงั น้ี 1.1 การสงั เกต (Observation) คือ การเฝ้าดูส่ิงท่ีเกิดข้ึนอย่างใส่ใจและมีระเบียบวิธี เพ่ือวิเคราะห์หรือหาความสัมพันธ์ ของส่ิงท่ีเกิดข้ึนน้ันกับส่ิงอ่ืน ซึ่งข้อดีของวิธีการสังเกตเหมาะกับการศึกษาพฤติกรรมท่ีค่อนข้าง คมู่ ือการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่มิ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 23 สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ

ลกึ ซ้ึงในเด็กพกิ ารและครอบครัว เพอ่ื สนบั สนุนหรอื ขัดแย้งกับขอ้ มลู ท่ีไดม้ าจากการบอกเล่า หรือ เป็นข้อมูลที่เสริมความเข้าใจให้ชัดเจนถูกต้องย่ิงขึ้นแต่มีข้อจำกัดของวิธีการสังเกต คืออาจมี อารมณ์ร่วม มีอคติหรือเข้าข้างกลุ่มท่ีศึกษา จะส่งผลต่อความเท่ียงตรงและความน่าเชื่อถือของ ข้อมูลได้ การบนั ทึกผลการสงั เกตมักมลี กั ษณะเปน็ การพรรณนา สง่ิ ทีค่ วรตอ้ งสงั เกต ได้แก่ การกระทำของแต่ละบคุ คล (Acts) แบบแผนการกระทำ (Activities) ความสัมพันธ์ (Relationship) การมีสว่ นรว่ ม(Participation) และองค์ประกอบของ สงิ่ แวดล้อม (Setting) 1.2 การสมั ภาษณ์ (Interview) คือ การรวบรวมข้อมูลโดยการพบปะ พูดคุย สนทนากับผู้ใหข้ อ้ มลู โดยตรง ซง่ึ อาจใช้ การสมั ภาษณ์ ใน 2 ลักษณะ คอื การสัมภาษณแ์ บบเปน็ มาตรฐาน (Standardized interview หรือ Structured interview) หรือ การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นมาตรฐาน (Unstandardized interview หรือ Unstructured interview) หลังจากการสน้ิ สดุ การสมั ภาษณ์ให้รีบทำการบันทึก ใหส้ มบรู ณ์ ภาพการเตรียมตวั ของผูส้ มั ภาษณ์ 1.3 การซกั ประวตั ิ (The interview) คือ การได้ข้อมูลเบื้องต้นของเด็กพิการด้านต่างๆ จากการกรอกแบบสอบประวัติและ การสอบถามข้อมูลเพ่ิมเติมเกี่ยวกับเด็กพิการและครอบครัว ทำให้ข้อมูลท่ีได้มีความสมบูรณ์และ เที่ยงตรงย่ิงขึ้น ประกอบกับจะได้ทัศนคติ ความรู้สึก ความคิดเห็นของเด็กพิการและครอบครัว ในปัญหาความต้องการด้านการศึกษาและด้านอื่นๆ ที่เขากำลังประสบอยู่ โดยท่ัวไปการซักประวัติ เป็นการติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างเด็กพิการและครอบครัวกับครูการศึกษาพิเศษ ครูผู้รับผิดชอบ 24 ค่มู ือการช่วยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

หรือผู้เก่ียวข้องด้านต่างๆ เช่น นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด ซ่ึงการซักประวัต ิ ต้องอาศัยการมมี นุษยสมั พนั ธ์ การใชภ้ าษาพดู ภาษากาย สหี นา้ ความกระตอื รอื ร้น การมีสว่ นร่วม และการแลกเปล่ียนข้อมูลกับเด็กพิการและครอบครัว ซ่ึงพบว่าการต้อนรับและการรู้จักบุคคล ท่ีถูกสัมภาษณ์ จะมีความสำคัญและทำให้เด็กพิการและครอบครัวรู้สึกอบอุ่น การจัดสภาพ บรรยากาศ สิ่งแวดล้อม ให้มีความเป็นเอกเทศ ส่วนตัว อุณหภูมิและแสงพอเหมาะ หลีกเลี่ยง การแทรกแซง หรอื การถูกขัดจังหวะ ระหว่างดำเนินการก็มคี วามสำคัญในการซกั ประวัติ รวมถงึ กระบวนการตอบสนองความต่อเนื่อง และการส่งต่อคำถามของเด็กพิการและครอบครัวขณะ ตอบคำถาม รูปแบบของคำถามควรหลีกเลย่ี งคำถามทีม่ หี ลายตวั เลือก หลายคำถาม หลายคำตอบ ในประโยคเดียวกันต้องเป็นคำถามเปิดเพ่ือให้เกิดความหลากหลาย และเปิดกว้าง หลีกเลี่ยง คำถามนำ ซึ่งผูซ้ กั ประวตั ิทดี่ คี วรรู้จกั ใช้การเงยี บฟังคำตอบ สังเกตการตอบ อาการ หรอื อารมณ์ ผู้ตอบโดยมีการกระตุ้นใหเ้ ดก็ พิการและครอบครัวตอบคำถามอยา่ งตอ่ เน่ือง 1.4 สังคมมติ ิ การรวบรวมข้อมูลด้วยการใช้เทคนิคสังคมมิตินั้น เป็นวิธีการท่ีใช้ ในการศึกษา หาความสมั พันธ์ทางสงั คมระหวา่ งสมาชกิ ในครอบครวั บคุ คลท่เี กย่ี วขอ้ ง และชุมชนท่ีอยู่รอบตัว เด็กพิการข้อมูลท่ีได้จะเป็นประโยชน์ ในการแก้ปัญหาเก่ียวกับการปรับตัวทางสังคมของ เด็กพิการและการประสานให้เด็กพิการได้รับบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมจากบุคคลท่ีเก่ียวข้อง และชมุ ชนต่อไป 1.5 การเยีย่ มบ้าน การเยี่ยมบ้านเด็กพิการจะช่วยให้ทราบถึงสภาพปัญหาและความสัมพันธ์ของบุคคล ในครอบครัว เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนในการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมให้สอดคล้อง กับสภาพความต้องการและความเป็นจริงของเด็กพิการ ครอบครัว และชุมชน ซ่ึงควรมี การวางแผนและกำหนดแนวทางในการเยี่ยมบา้ น คอื 1.5.1 การไปเยี่ยมบ้านควรเตรียมแบบบันทึกข้อมูล ประกอบการเยี่ยมบ้านไปด้วย เช่น แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครอง แฟ้มหรือข้อมูลเด็กพิการ ข้อมูลเดิมและข้อมูลท่ีเก่ียวข้องท่ีม ี รวมทง้ั นดั หมายคณะกรรมการรว่ มทำงานล่วงหนา้ ก่อนไปเยี่ยมบ้าน 1.5.2 การไปเย่ียมบ้านอาจทำงานโดยผ่านทางอาสาสมัครในชุมชน ซึ่งเป็น อาสาสมัครที่ ได้รับการอบรมการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและมีการกำหนดปฏิทิน การปฏิบัติงานท่ีชัดเจน รวมทั้งการให้คำปรึกษา การติดตาม ประเมินผล และรายงานผล เปน็ ระยะ กจ็ ะชว่ ยให้ทราบความก้าวหน้าดา้ นพฒั นาการของเด็กพกิ ารได้ คู่มอื การชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร 25 สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ

การไปเย่ยี มบ้าน ควรคำนึงถงึ ผู้เกีย่ วข้อง สาระสำคญั และวิธกี าร ดงั ตอ่ ไปน ้ี พปแลู่่อผะยญเู้่แากามยี่ ตต่ ว ิ พาขี่้อยนงา้ อยง สาระสำคัญ วธิ กี าร l การดูแลเด็กพิการ ให้เด็กพิการ l แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น ในการแก้ปัญหา รับประทานอาหาร ทำความสะอาดรา่ งกาย l อบรมใหค้ วามร้ ู สวมเส้อื ผ้า l ให้ศึกษาเอกสาร l การให้ความช่วยเหลือ ญาติควรดูแล l ให้คำแนะนำในการ บ เพุคื่คอลนใบน้ชามุ นชแนล ะ อยู่ห่างๆ ให้คำแนะนำการทำกิจวัตร ฝึกปฏิบัต ิ ประจำวัน และให้เด็กพิการทำเองมากท่ีสุด l ฝึกคนพิการร่วมกับ จะช่วยเหลอื เมือ่ จำเปน็ ผู้ปกครอง l การให้การยอมรับ ให้เด็กพิการ l การประชุมแลกเปล่ียน มีส่วนร่วมในการจัดทำกิจกรรมในครอบครัว ความคิดเห็นระหว่าง ให้แสดงความสามารถด้วยตนเอง ผู้ปกครองที่มีลูกพิการ โดยพ่ีน้องจะคอยให้ความช่วยเหลือ เพ่ือท่ีจะให้ความช่วยเหลือ เม่ือเด็กพิการต้องการให้ความสำคัญ ลกู พกิ ารไดอ้ ยา่ งถูกวิธ ี ความรักความอบอุ่น เอาใจใส่เหมือนกับ เดก็ ปกตทิ ว่ั ไป l ความเข้าใจ l สาธติ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื l ทศั นคต ิ ใ ห้ เ ด็ ก พิ ก า ร ไ ด้ แ ส ด ง l การยอมรับและให้ โอกาสคนพิการ ความสามารถตอ่ ชมุ ชน ได้มสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมของชมุ ชน l การแลกเปลย่ี นประสบการณ์ l การใหค้ วามช่วยเหลอื ในการแก้ปญั หา l ประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วม l อบรมใหค้ วามรู้ ในการฟ้ืนฟูสมรรถภาพของเด็ก สรุปได้ว่า การรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กพิการเพื่อดำเนินการให้บริการช่วยเหลือ ระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) อาจประกอบด้วย การสังเกต การสัมภาษณ ์ การซกั ประวัติ การใช้สงั คมมิติ และการเยีย่ มบา้ น 26 ค่มู อื การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษ

2. การคัดกรองประเภทความพกิ ารทางการศกึ ษาและการสง่ ตอ่ การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา เป็นวิธีการคัดกรองเด็กหรือบุคคล ที่มีความบกพร่องแยกจากเด็กทั่วไป จัดเป็นการค้นหาเบ้ืองต้นว่ามีความผิดปกติ หรือมีอัตรา เส่ียงสูงต่อการมีความผิดปกติ การคัดกรองเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา น้ัน มักจะพิจารณาว่า เด็กมีลักษณะอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือมีอุปสรรคในการเรียนรู้ เช่น มีความพิการ มีความบกพร่อง หรือมีศักยภาพจำกัดหรือไม่ จุดมุ่งหมายในการคัดกรองประเภทความพิการเป็นการช่วยในการ ค้นหาเด็กทคี่ วรจะไดร้ บั บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ การส่งตอ่ เปน็ กระบวนการเพ่ิมเตมิ หลงั จากการคดั กรองประเภทความพกิ ารทางการศกึ ษา เพ่อื ให้ไดร้ ับการวินจิ ฉัยอยา่ งละเอยี ดเพิ่มเตมิ จากผูเ้ ชย่ี วชาญเฉพาะดา้ น เชน่ การตรวจวดั ระดับ การได้ยนิ การตรวจวดั ระดับสติปญั ญา เป็นตน้ 3. การประเมินความสามารถพน้ื ฐาน (Based Assessment) การประเมินความสามารถพื้นฐาน เป็นการประเมินให้ทราบถึงพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กเพื่อคน้ หาจดุ เดน่ จดุ ดอ้ ย โดยเปรยี บเทียบกบั พฒั นาการตามวัยของเดก็ ทัว่ ไป ซ่งึ จะเป็น ข้อมูลในการวางแผนการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็น และพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ตลอดจนให้คำนึงถงึ ทกั ษะพน้ื ฐานทั้ง 6 ทักษะ หลกั การและกระบวนการประเมนิ ความสามารถพน้ื ฐานเด็ก มหี ลักการท่สี ำคญั 7 ประการ โดย โบว์ จี. แฟรงค์ (Bowe. G. Frank 1995 : 93) สรุปไว้ ดงั น ี้ 1. นักการศึกษาและนักวิชาชีพควรคำนึงถึงกระบวนการประเมิน 5 ประการ นี้เป็นสำคญั 1.1 การสงั เกตพฤติกรรมเดก็ อยา่ งเปน็ ระบบ 1.2 การจดบันทึกผลการประเมนิ ในหลายสถานการณ์ 1.3 การวเิ คราะหง์ านและจัดกระทำกบั ข้อมลู พฤติกรรมเด็ก 1.4 การแยกแยะความแตกตา่ งของพฤตกิ รรมเด็ก 1.5 ระบุวตั ถุประสงคข์ องการสอนตามสิ่งประเมินได้ 2. พฤติกรรมท่ีได้จากการสังเกตน้ัน อาจมิใช่สาเหตุของปัญหาก็ได้ อย่าด่วนตัดสินใจ จากสถานการณเ์ ดยี ว 3. การสังเกตพฤติกรรม ต้องประเมินทุกด้าน ท้ังทางด้านร่างกาย ด้านสังคม การสื่อภาพ ด้านอารมณ์ ด้านสติปัญญา และด้านการปรับตน ไม่ควรแยกประเมินเฉพาะ ด้านใดดา้ นหนงึ่ คมู่ อื การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 27 สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

4. ในการเปรียบเทียบระดับพัฒนาการท่ีเบี่ยงเบนไป ต้องใช้เกณฑ์มาตรฐานเด็กปกติ ในวยั เดียวกนั 5. การประเมินเด็กและการวัดผลเด็กควรได้จากการรวบรวมจากการสังเกตเด็กที่บ้าน ทค่ี ลนิ กิ ในโครงการบรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิม หรือที่โรงเรยี น 6. ความแตกต่างเรื่องเช้ือชาติและวัฒนธรรม สภาพของความจริง ควรนำมาเป็น ข้อพิจารณาด้วย นอกจากนี้บทสมั ภาษณ์ของผูป้ กครองกเ็ ป็นสว่ นหน่งึ ในการประเมนิ เดก็ ดว้ ย 7. ควรประเมนิ หลายครั้งกอ่ นที่จะสรุปผล 4. การจัดทำแผนการให้บริการเฉพาะครอบครัว (Individualized Family Services Plan : IFSP) / การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) 4.1 การจดั ทำแผนการใหบ้ รกิ ารเฉพาะครอบครัว (Individualized Family Services Plan : IFSP) เป็นแนวทางในการวางแผนช่วยเหลือเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษและครอบครัว ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครอบครัวกับผู้เกี่ยวข้องในการจัดทำแผน บริการท่ีเหมาะสมของแต่ละครอบครัว แผนบริการเฉพาะครอบครัวน้ีจะประกอบด้วยข้อมูล ทเ่ี กีย่ วข้องกับการบริการตา่ งๆ ทจี่ ำเปน็ ในการสง่ เสรมิ พัฒนาการเด็ก รวมทั้งขอ้ มูลทจ่ี ะชว่ ยเพิ่ม ความสามารถของครอบครัวในการดูแลหรือส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด องค์ประกอบของการประสานงานบริการ จะมีความหลากหลายในการให้บริการของนักวิชาการ ต่างอาชีพ ที่มีความสำคัญต่อการบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็น พิเศษมาก มีความแตกต่างกันข้ึนอยู่กับโครงสร้างและหน้าท่ีนักวิชาชีพ อย่างไรก็ตามในการ ติดต่อสื่อสารกับครอบครัวที่มารับบริการ ความร่วมมือของผู้เช่ียวชาญสหวิชาชีพมาวางแผนร่วมกัน ในการปฏิบัติงานต้องมีผู้ประสานงานบริการทำหน้าท่ีเป็นผู้รวบรวม ประสานงานให้ข้อมูล สนบั สนุน ช่วยเหลอื ตามความตอ้ งการจำเปน็ จึงจะทำให้งานประสบผลสำเรจ็ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 4.2 การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) หมายถึง แผนซ่ึงกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาท่ีผู้เก่ียวข้องทุกคน ควรตระหนัก รับผิดชอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและมีส่วนร่วมต่อการจัดการศึกษา รวมท้ังมีแนวทาง ในการจัดหาหรือจัดบริการเสริมได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของ คนพิการ ตลอดจนกำหนดเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือ อ่นื ใดทางการศึกษาเฉพาะบุคคล ซึ่งประกอบดว้ ย ขอ้ มลู ท่วั ไป ขอ้ มูลทางการศึกษา การวางแผน การจัดการศึกษา ความต้องการส่ิงอำนวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใด ทางการศึกษา คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล และความเห็นชอบ ของบิดา มารดา ผปู้ กครองหรือผูเ้ รียน 28 คู่มอื การชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรับโรงเรยี นเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

5. การใหบ้ รกิ ารดว้ ยกจิ กรรมทเ่ี หมาะสม (Appropriate Intervention Activities) การจัดกิจกรรมให้เด็กพิการทุกประเภทจะต้องคำนึงถึงระดับความสามารถพื้นฐานและ ข้อจำกัดของเด็กพิการแต่ละคน กิจกรรมท่ีจัดให้กับเด็กพิการ นอกจากต้องคำนึงถึงระดับ ความสามารถพ้ืนฐานและข้อจำกัดดังกล่าวแล้ว ยังต้องคำนึงถึงพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ความสามารถทักษะทั้ง 6 ด้าน และทักษะท่ีจำเป็นแต่ละ ประเภทความพกิ าร 6. การประเมนิ ความกา้ วหน้า (Re-Assessment) การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม จะต้องมีการจดบันทึกและรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึงอาจจะได้จากการสังเกตพฤติกรรมเด็ก (Observation) การสัมภาษณ์ (Interview) การเขียนบันทึกเกีย่ วกับตัวเดก็ (Anecdotes) แฟ้มผลงานเดก็ (Portfolios) การใช้ แบบประเมินผลพัฒนาการ (Checklists) การเขียนบันทึก (Journals) การทำสังคมมิติ การใช้ แบบทดสอบ (Test) โดยครูการศึกษาพิเศษ ครูผู้รับผิดชอบ นักวิชาชีพและผู้เก่ียวข้อง อาจมี การประชุมเพ่ือสรุปความก้าวหน้าของเด็กแต่ละคน ตลอดจนมีการรายงานความก้าวหน้าโดยมี พ่อแม่หรือผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินผล และร่วมตัดสินใจในการปรับกิจกรรม ให้มีความเหมาะสม ซง่ึ ควรจะมีการประเมินผลอยา่ งนอ้ ยปีละ 1 ครั้ง 7. การนเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมนิ ผลและการสง่ ตอ่ การนิเทศ ตดิ ตาม ประเมินผลและการส่งตอ่ เปน็ การกำกบั ติดตามผล การให้บรกิ าร ช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม ตามแนวทางการให้บริการ และการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องและเหมาะสม ตอบสนองความต้องการจำเป็นพิเศษและเป็นไปตามแผนบริการเฉพาะครอบครัว และแผนการ จัดการศึกษาเฉพาะบุคคล รวมถึงการที่เด็กพิการได้รับการสนับสนุนส่ิงอำนวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษาที่ตรงตามความต้องการตามท่ีกำหนดไว้ใน แผนบริการเฉพาะครอบครัวและแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ตลอดจนเด็กพิการได้รับ การส่งต่ออยา่ งเหมาะสมทง้ั ทางดา้ นการศกึ ษา การแพทย์ การอาชีพ และการสงั คมสงเคราะห์ คู่มือการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่มิ (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ 29 สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ

สรปุ เป็นแผนภมู ิ กระบวนการให้บรกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเร่มิ (ตงั้ แตแ่ รกเกิด - 5 ป)ี ได้ดังนี ้ กระบวนการให้บรกิ าร ผู้รับผดิ ชอบ การรวบรวมข้อมูลทั่วไปของเด็กพิการ l ครูการศกึ ษาพเิ ศษ l การสงั เกต l ครูผรู้ ับผิดชอบ l การสมั ภาษณ ์ l ผปู้ กครอง l การซักประวัต ิ ผ้เู กี่ยวข้อง เช่น ชมุ ชน นกั วิชาชพี l การใชส้ ังคมมติ ิ l การเย่ยี มบา้ น l ครกู ารศกึ ษาพิเศษ l ครูผรู้ บั ผดิ ชอบ / แพทย์ / การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา / นักวิชาชพี / สถานศึกษา / สง่ ตอ่ โรงพยาบาล l แบบทดสอบ l แบบคดั กรอง การประเมินความสามารถพนื้ ฐาน l ครกู ารศกึ ษาพเิ ศษ l แบบประเมนิ /แบบทดสอบ l ครผู ู้เกีย่ วข้อง l นักวิชาชีพ การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) l คณะกรรมการจดั ทำแผนการจัด l ข้อมลู ท่วั ไป การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล l ขอ้ มลู ทางการศกึ ษา l การวางแผนการจัดการศกึ ษา l ความตอ้ งการส่ิงอำนวยความสะดวก สอ่ื ฯ l คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล l ความเห็นชอบของบิดา/มารดา/ผู้ปกครอง หรอื คนพิการ 30 คมู่ ือการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ

การให้บริการด้วยการจัดบริการท่ีเหมาะสม l ครกู ารศึกษาพิเศษ ในการส่งเสริม l ครูผู้รับผิดชอบ l ทกั ษะการใชก้ ลา้ มเน้อี มดั ใหญ ่ l นักวชิ าชพี และผ้เู กย่ี วขอ้ ง l ทักษะการใชก้ ลา้ มเนีอ้ มดั เล็ก l ทกั ษะทางด้านภาษาและการสอื่ สาร l ทักษะทางสังคม l ทักษะการช่วยเหลือตนเอง l ทักษะความสามารถทางการเรียนรู้และ ทักษะทจี่ ำเป็นแตล่ ะประเภทความพกิ าร การประเมินความกา้ วหน้า l ครูการศกึ ษาพเิ ศษ l การสงั เกตพฤติกรรมเดก็ (Observation) l ครูผู้รบั ผดิ ชอบ l การสมั ภาษณ์ (Interview) l นักวชิ าชีพและผเู้ กีย่ วข้อง l การเขียนบนั ทึกเกยี่ วกบั ตวั เดก็ (Anecdotes) l แฟม้ ผลงานเด็ก (Portfolios) l การใชแ้ บบประเมินผลพัฒนาการ (Checklists) l การเขียนบนั ทึก (Journals) l การทำสังคมมติ ิ (Sociometry) l แบบทดสอบ (Test) การนิเทศ ติดตาม ประเมินผล และการส่งต่อ l ครกู ารศึกษาพิเศษ l แบบประเมิน / แบบทดสอบ รายงานผล l นกั วชิ าชีพ การพฒั นา l นกั วิชาการ l ผเู้ ก่ียวข้อง เชน่ ศึกษานิเทศก์ (ศน.) ครรู บั ผิดชอบ คู่มือการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ (Early Intervention : EI) เด็กพิการ 31 สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศูนย์การศึกษาพิเศษ

บทท่ี 4 แนวทางการจัดกิจกรรมการให้บรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่ิม การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม การส่งเสริมพัฒนาการ การอบรมเลี้ยงดูและ เตรียมความพรอ้ มอยา่ งเหมาะสม ด้วยปฏสิ ัมพนั ธ์ทีด่ ีระหวา่ งเดก็ กับพ่อแม่ เด็กกับผูเ้ ล้ียงดู หรอื บุคลาการที่มีความรู้ความสามารถ เพ่ือให้เด็กพัฒนาตนเองตามลำดับข้ันของพัฒนาการ อยา่ งเต็มศกั ยภาพและสอดคลอ้ งกบั ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล โดยมีหลักการ ดงั น้ ี 1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กพิการหรือเด็กท่ีม ี ความต้องการพเิ ศษทกุ ประเภท 2. ยึดหลักการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม การอบรมเล้ียงดู และเตรียมความพร้อม โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ท้ังนี้ ให้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็ก ตามบริบทของชุมชน สงั คม และวัฒนธรรม 3. พฒั นาเด็กโดยองค์รวมผา่ นการเล่นและกจิ กรรมท่เี หมาะสมกับวยั 4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ ให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพและ มีความสขุ ตามศกั ยภาพ 5. ประสานความรว่ มมอื ระหวา่ งครอบครัว ชุมชนและสถานศกึ ษาในการพฒั นาเดก็ เด็กพิการควรได้รับบริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมต้ังแต่พบความพิการเพ่ือส่งเสริม พัฒนาการด้านต่างๆ ให้มีพัฒนาการที่ดีและมีคุณภาพ พัฒนาการท่ีควรส่งเสริม ได้แก่ ทักษะ การใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่ ทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะทางด้านภาษาและการส่ือสาร ทักษะทางสังคม ทักษะการช่วยเหลือตนเอง ทักษะความสามารถทางการเรียนรู้ ซ่ึงแต่ละทักษะ มีความสำคัญในการจดั กจิ กรรมเพ่ือสง่ เสรมิ พฒั นาการเด็ก ดังนี้ คู่มอื การช่วยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ 33 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนย์การศกึ ษาพิเศษ

1. ทกั ษะการใชก้ ลา้ มเนือ้ มัดใหญ่ (Gross Motor Skill) การเคลื่อนไหวโดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีความสำคัญอย่างย่ิงต่อการพัฒนาและ การเจริญเตบิ โตของเด็ก เนอื่ งจากเป็นพนื้ ฐานของการพัฒนาทักษะอ่นื ๆ แนวทางการจัดกิจกรรม ฝึกปฏิบัติการใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่เก่ียวกับการนั่ง ยืน เดิน วิ่ง ปีนป่าย กระโดด และทำกจิ กรรมอ่ืนๆ ในชีวติ ประจำวนั จดุ มุ่งหมาย เพื่อให้สามารถควบคุมกล้ามเน้ือมัดใหญ่ กล้ามเน้ือมัดเล็ก และการเคล่ือนไหว ใหป้ ระสานสัมพันธ์กนั ได้อย่างคลอ่ งแคล่ว 2. ทกั ษะการใช้กลา้ มเน้อื มดั เลก็ (Fine Motor Skill) การใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กเป็นความสามารถในการประสานการเคล่ือนไหว ระหว่าง มอื กบั ตา ความจำ ความคิด การแยกแยะส่ิงตา่ งๆ การแก้ปัญหา และความพรอ้ มดา้ นวชิ าการ เพ่ือเปน็ พน้ื ฐานทางการศึกษา แนวทางการจัดกิจกรรม ฝกึ ปฏิบัติการใช้กล้ามเนื้อมดั เล็กเกีย่ วกับการใช้กล้ามเนื้อ จดุ มงุ่ หมาย เพื่อให้สามารถควบคุมกล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเน้ือมัดเล็ก และการเคลื่อนไหว ใหป้ ระสานสัมพนั ธก์ นั ได้อย่างคล่องแคลว่ 3. ทกั ษะทางด้านภาษาและการส่ือสาร (Language/Communication Skill) การใช้ภาษาสอ่ื สารเปน็ ความตอ้ งการพ้นื ฐานของมนษุ ย์ เพือ่ สื่อสารบอกความต้องการ และตอบสนองต่อคำพูดของคนอื่น ประสบการณ์ในการเรียนรู้ภาษาเป็นส่ิงท่ีเด็กได้รับตั้งแต่แรกเกิด จากการฟังและความสนใจ นำไปสู่การเรียนแบบภาษา ท่าทาง ผลัดกันออกเสียงและพูดคุย รจู้ ักเลน่ ดว้ ยกัน ผลดั กันเล่น ผลดั กันเลยี นแบบ มกี ารใชเ้ สียงและภาษาท่าทางแสดงความเขา้ ใจ มกี ารใชศ้ ัพท์ในระดบั ง่ายๆ และพฒั นาจนเปน็ ภาษาพูด เปน็ วลี และเป็นประโยคตามลำดับ แนวทางการจดั กจิ กรรม ฝึกปฏิบัติการใช้ภาษา การรับรู้ ความเข้าใจภาษา และการแสดงออกทางภาษา ทง้ั ภาษาท่าทางและภาษาพดู ทเี่ ป็นเสียง คำ วลี ประโยค และการพดู สนทนาในชวี ิตประจำวัน จดุ มุ่งหมาย เพอื่ สื่อสาร สนทนา กบั ผู้อน่ื ในสงั คม ในชวี ติ ประจำวันได้อยา่ งมีความสขุ 34 คมู่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ

4. ทักษะทางสงั คม (Social Skill) ทักษะทางสังคมมีความจำเป็นต่อเด็กเป็นอย่างมาก การท่ีเด็กจะเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ได้ดีขึ้นนั้น ต้องมีทักษะทางสังคมท่ีดีด้วย เด็กที่มีทักษะทางสังคมจะทำให้เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน กับผู้อ่ืน การเล่น การแบ่งปัน การรอคอย หรือความมีน้ำใจ ล้วนเป็นผลมาจากการมีทักษะ ทางสงั คมทัง้ สิน้ แนวทางการจดั กิจกรรม ฝึกปฏิบัติการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคม ความรับผิดชอบ การแสดงอารมณ์และความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ การรับรู้ความต้องการ และความรู้สึกของ ผ้อู นื่ การเลน่ ตามลำพังและเล่นเป็นกลุ่ม จดุ มงุ่ หมาย เพ่อื ใหป้ ฏบิ ัตติ นอยู่รว่ มกับผู้อ่นื ในสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และมีความสขุ 5. ทกั ษะการช่วยเหลอื ตนเอง (Self - Help Skill) การช่วยเหลือตนเองเป็นความสามารถท่ีพัฒนาผสมผสานจากทักษะด้านการ เคล่ือนไหวต่างๆ ของร่างกาย การประสานการทำงานระหว่างมือกับตา เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ยงั ตอ้ งอาศยั ความสามารถในการฟงั เขา้ ใจ และปฏิบตั ติ ามคำขอร้อง รวมทง้ั สอ่ื สาร กับคนอื่นๆ ใหเ้ ข้าใจ ผูท้ ่ีมที กั ษะการช่วยเหลือตนเองทถี่ ูกต้อง เหมาะสมจะมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและผ้อู ่ืนรวมทงั้ มบี คุ ลิกภาพทด่ี ี แนวทางการจดั กจิ กรรม ฝึกปฏิบัติเก่ียวกับการทำความสะอาดร่างกาย การแต่งกาย การรับประทานอาหาร การด่มื น้ำและการขบั ถา่ ย จุดมงุ่ หมาย เพอ่ื ใหส้ ามารถชว่ ยเหลือตนเองในชีวิตประจำวนั ได้ 6. ทักษะความสามารถทางการเรยี นรู้ (Pre-academic Skill) พื้นฐานทางวิชาการ เป็นความสามารถในการเรียนรู้ส่ิงต่างๆ รอบตัวเอง เช่น การเรียนรู้เรื่องสี รูปทรง ประเภทส่ิงของชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้เร่ืองการอ่าน การเขียน การคิดวิเคราะห์ ซึ่งทักษะพื้นฐานทางวิชาการจะต้องทำงานประสานกับทักษะ กล้ามเน้ือมัดเล็ก เพราะจะเกิดการเรียนรู้ในข้ันพื้นฐานท่ีต้องอาศัยเร่ืองการสัมผัส การทำงาน ประสานกนั ระหว่างมือกับตา คมู่ อื การชว่ ยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 35 สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ

แนวทางการจดั กิจกรรม ฝึกปฏิบัติการรับรู้เกี่ยวกับร่างกาย ที่ตั้งของวัตถุ สี รูปทรง ขนาด จำนวน ปริมาณ พื้นผวิ ทศิ ทาง ตำแหน่งทต่ี ้งั เวลา การจำแนก การเปรียบเทยี บความแตกตา่ ง ความเข้าใจและ การแก้ปัญหา จดุ มงุ่ หมาย เพ่ือให้มีความพร้อมในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และสามารถ แก้ปัญหาง่ายๆ ในชวี ิตประจำวันได ้ 36 คูม่ อื การชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ

ตัวอย่างแนวทางการพฒั นาศกั ยภาพเด็กพกิ าร 1. ทกั ษะการใชก้ ลา้ มเนอื้ มัดใหญ่ ที่ ทกั ษะ กิจกรรม 1 การนง่ั อยู่แลว้ ลกุ ขึน้ ยนื ได้ 1. นง่ั เหยียดขาไปขา้ งหน้า 2. มือข้างขวายนั พ้นื ข้างลำตัว 3. งอเข่าทง้ั 2 ขา้ ง เท้าหนั ไปขา้ งซ้าย 4. มือทงั้ 2 ขา้ ง จับท่มี นั่ คงใกล้ตวั ทส่ี งู จากพืน้ 5. ดันตัวขน้ึ นัง่ บนส้นเทา้ ทง้ั 2 ขา้ ง 6. ยืดตัวตรงในทา่ คกุ เข่า 7. ยดื เขา่ ทง้ั สองข้างพรอ้ มกบั ดันตวั ขน้ึ เป็นท่ายนื 8. ขณะดนั ตวั ขึน้ ไม่ควรปลอ่ ยมือจากทีเ่ กาะ 2 การเดนิ 1. ยืนตรงทรงตัวได้ 2. โน้มตวั ไปข้างหน้าพรอ้ มแกว่งแขนขวา 3. กา้ วเท้าซ้าย 4. โนม้ ตัวไปขา้ งหลังพรอ้ มแกว่งแขนซา้ ย 5. ก้าวเท้าขวา 6. ทำซำ้ ขนั้ ตอนที่ 2-5 3 การเดนิ ขึ้นบนั ได 1. มือขา้ งหน่งึ จับราวบนั ได 2. จับราวบนั ได กา้ วเท้าข้างหน่งึ ข้ึนบันได 3. เด็กเลอื่ นมือข้างที่จับราวบันไดใหส้ งู ข้ึนไปอกี 4. กา้ วเท้าอีกขา้ งหน่ึงขึ้นบนั ได 13 5. เทา้ ท้งั 2 ข้าง ขึ้นไปยนื คูก่ ันบนข้นั บนั ได ส ข อ้อ่ื 4เแ สลนะกออา2112แรปุ....เนดถลกกใะน้าินรกูรเ ะกบเดณขาดอก็ ยรา ์ลยฝ่งนังพปึกทไลกมลราิจ่สางสกยาตตมรเัวทิกรา มา้ร ถนป้ีคฏวริบมตั ีผไิ ดู้ฝ้ดึกีคไอม6231546ย่ค....... ดวตกกยกมทกรูแา้้าา้นืัวือำาเลวววอเตพแงขเเเอยาขน่ิมทททยยู่มใาบคา้า้้านง่่าขอซขสวลปทงัน้อาวลา้ำใล่ามตยกาตกับายพยอพขลวัขยืนารน ้า้ชร้าเตก้องทอ้ทงิดรลใมข้ามี่เนงพำอท้ึน3ทลขตยรง้ับัง้ำั้น,ัวาเ่กูเนัตขขตะหบั4ไวัยยออด่าทตง่ง่านง,ต่ี ัง้ปปจกก่อ5ตลเลันาไกราปารปซงิดยยฝไร ้ำอดเเกึจะททัน้ มนา้า้ตาท รณรางยต1แัวกไฟด่เดุตด้ ็กี ไดง้ ่าย ขณะเดินเขยง่ ปลายเทา้ คูม่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ 37 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพเิ ศษ

ท ่ี ทกั ษะ กจิ กรรม 5 เดนิ บนกระดานทรงตวั 1. ตวั อยู่ในท่ายืนลำตัวตรง 2. ก้าวขาข้างท่ีถนดั ก้าวขึน้ ยนื บนกระดานทรงตวั 3. ก้าวขาอีกข้างหน่ึงก้าวขึ้นตามไปโดยวางเท้า 6 เดินข้ามสิง่ กีดขวาง อยู่หนา้ ขาท่ถี นดั 4. กา้ วขาทถี่ นดั เดินบนกระดานทรงตวั 7 คลานลอดท่ออุโมงค ์ โดยวางเทา้ อย่หู นา้ ขาข้างที่ไมถ่ นดั 5. ก้าวขาท่ี ไม่ถนัดเดินบนกระดานทรงตัว โดยวางเทา้ อยหู่ นา้ ขาขา้ งทีถ่ นดั 6. เดินบนกระดานทรงตัวในลักษณะก้าวขาสลับ กนั เร่อื ยๆ 1. ตัวอยู่ในทา่ ยืนลำตัวตรง กางขาออกเล็กนอ้ ย 2. กา้ วขาข้างทถ่ี นัดข้ามสงิ่ กดี ขวาง 3. ก้าวขาอีกข้างหนึ่งข้ามสิ่งกีดขวางตามไป อยู่ในท่ายนื ตรงเทา้ ชิด 4. กา้ วขาขา้ งทีถ่ นัดขา้ มสิง่ กีดขวาง แลว้ ตามดว้ ย ขาอกี ขา้ งหนงึ่ 5. ทำตามขอ้ 4 ไปเร่อื ยๆ จนเสรจ็ กจิ กรรม 6. เปลี่ยนเป็นขาข้างที่ไม่ถนัดข้ามสิ่งกีดขวางก่อน แล้วตามดว้ ยขาอกี ข้าง เดินกา้ วขา้ มสงิ่ กีดขวาง โดยก้าวแบบสลับขาจนเสร็จกจิ กรรม 1. ต้งั อยทู่ ่าคลานหน้าท่ออุโมงค์ 2. กม้ ลงคลาน โดยมดุ ศรี ษะเขา้ ไปในทอ่ อุโมงค์ 3. คลานออกจากทอ่ อโุ มงค์ในฝ่ังตรงขา้ ม 38 คู่มือการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารและศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ

ท ่ี ทักษะ กจิ กรรม 8 การกลิง้ บอล 1. ตวั อยู่ในท่ายนื ลำตัวตรง 2. กางขาออกห่างประมาณ 1 ฟตุ 3. ใชม้ ือทงั้ 2 ข้าง ถือลูกบอลไว ้ 9 การโยนบอลลงตะกร้า 4. ก้มตัวลงปล่อยลูกบอลจากมือให้กลิ้งราบไป 10 การยนื กระโดดสูง กับพ้นื 11 การเตะบอลเข้าประตู 1. ตั้งตัวอยู่ในทา่ ยืนลำตวั ตรง 2. กางขาออกจากลำตัว หา่ งประมาณ 1 ฟตุ 3. ใช้มือทัง้ 2 ขา้ ง ถือลกู บอลไว้หา่ งจากตะกร้า ประมาณ 1-2 เมตร 4. กม้ ตัวลงไปขา้ งหน้าเลก็ น้อย 5. โยนลูกบอลออกจากมอื ท้ัง 2 ข้าง ใหพ้ ร้อมกัน ลงในตะกร้า 1. ตัง้ ตัวอยู่ในทา่ ยืนลำตวั ตรง 2. ก้าวขาข้างท่ีถนัดไปก่อนแล้วตามด้วยขาอีกข้าง ไปยืนบนแท่น ความสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร 3. งอเข่าลงท้ัง 2 ข้าง พร้อมกนั ลำตัวตั้งตรง 4. ก้มมองจุดกระโดดแล้วยกส้นเท้าท้ัง 2 ข้าง ขน้ึ พรอ้ มกัน 5. กระโดดลงจดุ ที่กำหนดให้ โดยใช้ขาทัง้ 2 ข้าง รบั นำ้ หนกั ตวั ใหเ้ ท่ากันเพอ่ื ปอ้ งกนั การล้ม 1. ตั้งตวั อยู่ในท่ายนื ลำตวั ตรง 2. กางขาออกข้างลำตัวห่างประมาณ 1 ฟตุ 3. ยกขาข้างทถี่ นดั เหยียดออกไปด้านหลงั 4. เตะตรงก่ึงกลางของลูกบอล เพื่อให้ลูกบอล กล้ิงในแนวเส้นตรงเข้าประตู ค่มู ือการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร 39 สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพิการและศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ

ท่ี ทกั ษะ กจิ กรรม 12 การกระโดดพรอ้ มกนั สองเท้า 1. ตงั้ ตวั อยู่ในทา่ ยืนลำตวั ตรง 2. ยอ่ เขา่ ทงั้ 2 ขา้ ง ลงพร้อมกนั ลำตัวต้ังตรง ในแนวเสน้ ตรง 3. ยกสน้ เทา้ ท้ัง 2 ข้าง ข้ึนพรอ้ มกัน 4. กระโดดลงจดุ ตามท่ีกำหนดในแนวเสน้ ตรง 5. ใชข้ าทัง้ 2 ข้าง รบั น้ำหนักตัวให้เท่าๆ กัน 13 การเดินซกิ แซก 1. ตั้งตัวอยู่ในท่ายืนลำตวั ตรง 14 การขวา้ งบอลลอดหว่างขา 2. ก้าวขาข้างท่ีถนัดไปตามจุดอ้อมกรวยในแนว ซกิ แซก 3. ก้าวขาอีกข้างไปตามจุดอ้อมกรวยในแนว ซกิ แซก 4. เดนิ สลบั โดยการก้าวขาสลบั กนั ไปเร่ือยๆ ในแนวซกิ แซก 1. ตง้ั ตัวอยู่ในทา่ ยืนลำตวั ตรง 2. กางขาออกขา้ งลำตวั ห่างประมาณ 2 ฟุต 3. ใชม้ อื ท้งั 2 ขา้ ง ถอื ลูกบอลไว ้ 4. ก้มตัวลงโยนลูกบอลออกจากมือทั้ง 2 ข้าง โดยใหล้ อดผ่านหว่างขาของตนเอง 15 การถีบจกั รยาน 2 ลอ้ 1. ยืนดา้ นขา้ งจักรยานมือท้ัง 2 ขา้ ง แบบมลี ้อประคอง จบั ทีบ่ งั คบั เล้ียว 2. ยกขาครอ่ มจกั รยาน 3. นั่งลงบนอานรถจกั รยาน 4. ยกเท้าทง้ั 2 ขา้ ง วางไว้บนทีบ่ ันไดปนั่ จักรยาน 5. เหยียดเทา้ พรอ้ มใช้เทา้ ปั่นบันไดให้หมุน 6. ทำซำ้ ข้นั ตอนที่ 4-5 40 คมู่ อื การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เด็กพิการ สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพเิ ศษ

2. ทักษะการใช้กล้ามเนอื้ มดั เลก็ กิจกรรม ที่ ทกั ษะ 1. วางตะกรา้ ลกู บอลกบั ตะกร้าเปล่าไว ้ 1 หยบิ บอลใสต่ ะกร้า 2. ย่นื มือไปจบั ลูกบอล จับลูกบอลข้ึน 3. ยา้ ยลกู บอลไปตะกร้าเปล่า 2 การหมุนและคลายเกลียว 4. ปลอ่ ยลูกบอลใส่ตะกรา้ เปล่า 3 ตอกหมุดไมล้ งในช่อง 5. หยิบลูกบอลลกู ตอ่ ไป ทำเหมือนขน้ั ตอนท่ี 1-5 4 การปนั้ ดนิ น้ำมนั จนหมดลูกบอลในตะกร้า 5 การร้อยลกู ปัด 1. เตรียมวัสดทุ ี่มีลกั ษณะแบบเกลยี ว 2. ใชม้ อื ขา้ งทีถ่ นดั จบั ท่วี สั ดุ 3. บดิ มือและขอ้ มือตามแนวเกลยี วให้เกลยี วเขา้ 4. บิดมือตามแนวเกลียวที่ตรงข้ามกับขน้ั ตอนท่ี 3 1. ใชม้ ือทถี่ นัดจับค้อนตอก 2. ยกค้อนขนึ้ ใหต้ รงกบั หมดุ ทจี่ ะตอก 3. ตอกหมดุ ลงโดยสะบัดขอ้ มือขน้ึ -ลง 4. ตอกใหห้ มุดจมลงไป 1. หยบิ ดินน้ำมันวางบนโต๊ะ 2. วางฝามือขา้ งที่ถนัดลงบนดินนำ้ มนั 3. วนมอื ทวนเข็มนาฬิกา 4. คลงึ ดินนำ้ มันเป็นกอ้ นกลม 5. ใช้มือหยิบดินน้ำมันท่ีคลึงป้ันเป็นรูปตามท่ี ตอ้ งการ 1. จับปลายเชือกดว้ ยมือขา้ งทถี่ นดั 2. จบั ปลายเชอื กให้ปลายเชือกข้ึนด้านบน 3. จบั ลกู ปัดด้วยมอื อีกขา้ งแล้วหยิบลกู ปัดยกขึน้ 4. สอดปลายเชอื กใสร่ ลู กู ปดั 5. ใช้มือขา้ งทีถ่ นัดจับปลายเชือกขึน้ ดา้ นบน 6. ปล่อยมือท่ีถือลูกปัดออกให้ลูกปัดเล่ือนลง ตามเชอื ก คู่มือการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention : EI) เดก็ พกิ าร 41 สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ

ท ี่ ทกั ษะ กิจกรรม 6 จัดขนาดรูปทรงที่มีขนาดตา่ งกัน 1. ใช้มือขา้ งท่ถี นัดจบั รปู ทรง 2. หยบิ รูปทรงข้นึ ลงในกรอบ 3. เทยี บรูปทรงกับกรอบทีม่ ขี นาดเทา่ กนั 7 หยิบรปู ทรงใสบ่ ลอ็ กไดถ้ กู 4. สอดรูปทรงลงในกรอบที่มขี นาดเท่ากนั 5. ปล่อยมือจากรปู ทรงใหล้ งกรอบ 6. หยบิ รปู ทรงชิ้นตอ่ ไปทำตามขนั้ ตอนที่ 2-5 จนหมด 1. ใชม้ อื ขา้ งทถ่ี นดั จับรูปทรง 2. เทียบรปู ทรงกับบล็อกใหต้ รงกัน 3. สอดใส่รูปทรงท่ีตรงตามบลอ็ ก 4. ปล่อยมือจากรูปทรงใหเ้ ข้ากบั บลอ็ กที่ถูกตอ้ ง 8 การพบั คร่ึงกระดาษ 1. ใชม้ ือขา้ งซ้ายจบั มุมลา่ งของกระดาษดา้ นซา้ ย 9 การจัดภาพตดั ตอ่ 2. ใช้มือขา้ งขวาจบั มมุ ลา่ งของกระดาษด้านขวา 3. ยกมุมกระดาษทั้งสองข้างขึ้นไปพับกับมุมบน ทั้งสองขา้ ง 4. ปล่อยมือข้างใดข้างหน่ึงแล้ววางทับกระดาษ เพื่อไม่ให้กระดาษเคล่ือน 5. ใช้มืออีกขา้ งหนึ่งรีดกระดาษให้เปน็ แนวเรยี บตรง 1. หยิบภาพช้ินท่ี 1 2. ดูให้รู้ว่าส่วนไหนอยตู่ รงไหน 3. หมุนทิศทางใส่ให้ถกู 4. ปล่อยมือทจี่ ับภาพช้นิ ที่ 1 เมื่อใสภ่ าพ ถกู ตำแหน่งและทศิ ทาง 5. หยิบภาพชนิ้ ที่ 2 ทำเหมือนข้นั ตอนที่ 1-4 จนเป็นภาพทีส่ มบูรณ์ 42 คมู่ ือการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ สำหรบั โรงเรียนเฉพาะความพิการและศูนยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ

ที ่ ทกั ษะ กจิ กรรม 10 ต่อก้อนไมเ้ ปน็ ตึกสูง 1. จับกอ้ นไม ้ 11 ตดั กระดาษดว้ ยกรรไกร 2. ถอื ก้อนไม้แล้วยกขนึ้ 3. นำไปวางไว้ 12 คลิปหนีบกระดาษสดี ำลงบน 4. ปล่อยมือท่จี บั กอ้ นไม ้ กระดาษแขง็ 5. หยิบก้อนไม้ช้ินต่อไปนำไปวางซ้อนก้อนไม ้ ชนิ้ ที่ 1 ทำตามขัน้ ตอน 2-5 จนครบ 1. หยบิ กรรไกร 2. ใช้มอื ข้างทีถ่ นัดสอดนว้ิ หัวแม่มือเขา้ ไป ในหกู รรไกรขา้ งหนึ่ง 3. สอดน้ิวช้ีหรือน้วิ กลางเขา้ ไปในหกู รรไกร อีกขา้ งหน่ึง 4. กางน้ิวหัวแม่มือและนิ้วช้ีหรือนิ้วกลางออก เพ่ือขยับขากรรไกรใหป้ ลายถ่างออก 5. สอดกระดาษเขา้ ปลายถ่างของกรรไกร 6. หุบนวิ้ หวั แมม่ ือ และน้ิวชห้ี รือนิ้วกลาง เพอื่ ตดั กระดาษ 7. ขลิบขอบกระดาษใหข้ าดหลายๆ ท่ี โดยกางและหุบกรรไกร 1. ใช้มือข้างทถี่ นดั หยบิ คลปิ หนีบกระดาษ 2. วางน้ิวหัวแม่มอื ทป่ี ลายคลปิ ด้านใดดา้ นหน่ึง 3. วางนิ้วชี้กับน้ิวกลางทปี่ ลายคลปิ ตรงขา้ มกบั นว้ิ หัวแมม่ อื 4. ออกแรงบบี ใหค้ ลปิ อา้ ออก 5. ใช้มืออีกข้างหนง่ึ จับกระดาษแขง็ 6. นำกระดาษแข็งสอดเข้าคลปิ ขา้ งทีอ่ า้ ออก 7. ปลอ่ ยมือที่หนีบคลิปใหค้ ลปิ หนีบกระดาษ คูม่ อื การชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 43 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศูนย์การศึกษาพิเศษ

3. ทกั ษะทางด้านภาษาและการสอ่ื สาร กิจกรรม ท่ี ทักษะ 1. รจู้ ักของทีต่ นเองต้องการ 1 ชีบ้ อกความตอ้ งการของตนเอง 2. จำสง่ิ ของทีต่ อ้ งการ 3. ชภ้ี าพส่งิ ของที่ตอ้ งการ 4. ชี้ภาพตามทค่ี รบู อก 2 บอกชอื่ จากบัตรภาพ 1. ดูรูปภาพจากบัตรภาพ 2. ชีภ้ าพทค่ี รูบอกชือ่ (มคี รชู ว่ ย) 3. ชภ้ี าพตามทคี่ รูบอกดว้ ยตนเอง 3 ออกเสียงพยัญชนะตามทกี่ ำหนด 1. ดูรูปภาพจากบตั รภาพ 2. ออกเสยี งตามครู 3. ออกเสียงเองเมื่อครูกำหนดให ้ 4 ออกเสียงสระ 1. บรหิ ารลนิ้ 2. ฝึกออกเสียงสระตามรูปปากครู 3. ฝกึ ออกเสยี งสระเม่อื ครูกำหนด 5 บอกชื่อสงิ่ ของท่ีใช้ในชีวิตประจำวนั 1. รจู้ ักของทคี่ รหู ยบิ มาแสดง 2. ฟงั ครูเรียกชอื่ ของใช้ 3. เข้าใจเม่ือครชู แ้ี ละถามชือ่ สิ่งของ 4. เมอ่ื ครูช้แี ละถามชือ่ ส่ิงของสามารถบอกได ้ 44 คมู่ อื การชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่มิ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ

ที่ ทักษะ กิจกรรม 6 พดู ตามครไู ดค้ รั้งละ 2 พยางค์ 1. ดรู ปู ภาพ 2. พูดตามครู 1 คำ 3. พดู ตามครู 2 คำ 4. ช้รี ปู แลว้ พดู 2 คำ ตอ่ กันตามคร ู 5. พดู ออกเสยี งเองเมื่อครูกำหนดได้ 7 ชแ้ี ละบอกอวัยวะส่วนประกอบของ 1. ดูรปู ภาพอวัยวะ ร่างกาย ตั้งแต่ 1 อย่างขน้ึ ไป 2. ชอ้ี วยั วะของตวั เองเม่ือครยู กภาพอวัยวะ 3. เมื่อครูเอย่ ชื่ออวัยวะสลับกนั ไปมา กช็ ้ีถกู ทุกครั้ง 8 ปฏบิ ัตติ ามคำสง่ั ง่ายๆ ได้ 1. มองและฟังเม่ือครูถอดรองเท้า และพูดคำว่า รองเท้า 2. ดเู มือ่ ครสู าธิตการถอดรองเทา้ 3. ใสร่ องเท้าตามคำสัง่ ไดถ้ กู ต้อง คู่มอื การช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เด็กพกิ าร 45 สำหรบั โรงเรยี นเฉพาะความพิการและศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ

4. ทกั ษะทางสงั คม ที่ ทักษะ กิจกรรม 1 การสรา้ งสมั พันธภาพระหว่างบุคคล 1. รจู้ กั การมีปฏิสมั พันธก์ ับบคุ คลรอบข้าง เช่น การไหว้ การกล่าวทักทาย 2. สอนและฝึกการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง โดยครูเป็นตน้ แบบ 3. ฝกึ การมีปฏิสมั พนั ธก์ ับบคุ คลรอบขา้ ง ในชีวติ ประจำวัน 2 การบอกข้อมูลสว่ นตัว 1. รู้จักชื่อ-นามสกุล รูปร่างหน้าตา เพศ อายุ ของตนเอง 2. บอกช่อื -นามสกลุ เพศ อายขุ องตนเอง 3. เล่าเร่ืองราวขอ้ มลู สว่ นตัวได้อย่างถกู ต้อง 3 สมาชกิ ในครอบครวั 1. รู้จักข้อมูลเกี่ยวกับพ่อ แม่ พี่น้อง เช่น ชื่อ นามสกุล เพศ อายุ 2. บอกขอ้ มลู เกี่ยวกบั สมาชิกในครอบครวั ของตนเอง 3. เล่าเรอื่ งราวขอ้ มูลเก่ยี วกับสมาชิก ในครอบครวั ได้อยา่ งถูกต้อง 4 การปฏิบัติตามกฎระเบียบของ 1. บอกกฎระเบียบของหอ้ งเรียนและโรงเรยี น หอ้ งเรยี นและโรงเรยี น 2. อธิบายความหมายกฎระเบียบของห้องเรียน และโรงเรยี น 3. ปฏิบัตติ นตามกฎระเบยี บเป็นแบบอยา่ ง ท่ถี ูกตอ้ ง 4. สังเกตการปฏบิ ตั ติ นตามกฎระเบยี บ 5. ดูการดำเนินชวี ิตจริงในห้องเรยี นและโรงเรยี น 5 การปฏิบัติตามกฎระเบยี บข้อตกลง 1. บอกกฎระเบยี บขอ้ ตกลงของสังคม ของสงั คม 2. อธิบายความหมายกฎระเบียบข้อตกลง ของสงั คม 3. ปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บขอ้ ตกลงของสงั คม 4. เรยี นรู้การปฏบิ ัตติ ามกฎระเบยี บขอ้ ตกลง ของสงั คมในชวี ิตจรงิ 46 ค่มู อื การชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention : EI) เด็กพิการ สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ

ท ี่ ทกั ษะ กจิ กรรม 6 การมีมารยาททางสงั คม 1. ดูภาพมารยาทตา่ งๆ 2. แนะนำมารยาทในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ 3. รู้จักใช้คำพูดกับบุคคลต่างๆ ได้ถูกต้องและ เหมาะสม 4. เปน็ แบบอย่างในการปฏบิ ัตติ น 5. แนะนำการปฏิบัติตนในการรักษามารยาท 7 การป้องกันการถูกล่วงละเมิดจาก 1. ฝึกการแสดงบทบาทให้เหมาะสมกับเพศ ผอู้ น่ื ของตนเอง เช่น การแต่งกาย 2. ฝึกการดูแลรกั ษาความสะอาด และการปอ้ งกนั โรคตดิ ตอ่ ทางอวยั วะเพศ 3. เลือกทำกิจกรรมท่ีเบ่ียงเบนความสนใจทางเพศ เชน่ การเลน่ กฬี า การทำงานอดเิ รกตา่ งๆ 4. รจู้ กั สิทธิทางเพศของตนเองและผอู้ ่นื 8 การมีคุณธรรม จริยธรรม 1. ฝกึ ความรบั ผดิ ชอบในงานต่างๆ ท่ีได้รบั มอบหมาย และหน้าทขี่ องตนเองและผ้อู ่นื 9 การทำกิจกรรมรว่ มกัน 2. จัดสถานการณ์จำลองในการฝึกการเอื้อเฟื้อ เผอื่ แผ่ ความเมตตา กรณุ า ทงั้ ตอ่ คนและสตั ว ์ 3. ฝึกปฏิบัติตนในการแบ่งปัน และความอดทน อดกล้ันตามสถานการณต์ า่ งๆ ท่เี กดิ ขึ้นในชีวิต ประจำวนั 4. ฝึกปฏิบตั ิตนใหเ้ ป็นคนรจู้ ักรกั ษาระเบียบวนิ ัย 1. ใหเ้ ลน่ ต่างคนตา่ งเลน่ ตามความพึงพอใจ 2. พูดแนะนำการเล่นหรือกิจกรรมทีส่ นุกสนาน 3. สอนกฎกติกาการเลน่ ร่วมกนั 4. นั่งเล่นร่วมกับเพื่อน โดยมีการแลกเปล่ียน ของเลน่ และพดู คยุ กนั 10 การชนื่ ชมผอู้ นื่ ดว้ ยการตบมอื หรอื คำพดู 1. ยกตวั อยา่ งบุคคลที่เป็นตวั อยา่ งที่ด ี 2. อธบิ ายถงึ การปฏบิ ตั ิตนท่ีดี 3. เปน็ แบบอยา่ งในการปฏิบัติตน 4. เข้าร่วมกจิ กรรมและฝึกปฏิบตั จิ รงิ คูม่ ือการชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ (Early Intervention : EI) เดก็ พิการ 47 สำหรับโรงเรียนเฉพาะความพกิ ารและศูนย์การศึกษาพิเศษ