คู่มอื พัฒนาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควดิ -19 1 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คานา เนื่อง ด้วยสถานก ารณ์การ แพ ร่ร ะ บาดขอ งโ ร คติดเชื้อไ ว รัสโคโ รน า 2 01 9 ( COVID-1 9 ) กระทรวงศึกษาธิการได้ให้สถานศึกษาในสังกัดและในกํากับปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษนี้ พร้อมทั้งให้ส่วนราชการ กาํ หนดแนวทางแก้ปัญหาการจัดการเรยี นการสอนท่ีไม่สามารถเปดิ เรียนได้ตามปกติ เพอื่ ความปลอดภยั ของผู้เรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรที่เก่ียวข้อง กระทรวงศึกษาธิการจึงกําหนดเปิดเรียนที่2 ปีการศึกษา 2564 และ กําหนดการจดั การเรียนรู้ 5 รูปแบบ ได้แก่ 1. การเรยี นแบบชัน้ เรยี น (ON - SITE) 2 .การเรยี นผ่านทีวี ผ่านระบบ ดาวเทียม (ON - AIR) 3. การเรียนออนไลน์แบบเรียลไทม์ผ่านอินเตอร์เน็ต (ONLINE) 4. การเรียนย้อนหลังผ่าน เวปไซต์ ช่อง You Tube และแอปพลิเคชัน่ (ON DEMAND) 5. การเรียนท่บี ้านด้วยเอกสาร (ON HAND) ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอกุดชุม จึงได้จัดทําคู่มือพัฒนาระบบการการ เรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ขึ้น เพ่ือเป็นส่ือประกอบการเรียนรู้และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มที ักษะ ในการแสวงหาความรู้ สามารถนาํ ความร้ไู ปปรบั ใช้ในชวี ติ ประจําวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและพัฒนาผู้เรียนให้ บรรลตุ ามจดุ มุ่งหมายของหลักสูตร กศน.อาํ เภอกุดชมุ พฤศจิกายน 2564 สารบญั เนอื้ หา หน้า
ค่มู อื พัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 2 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย รายวชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร31001) 4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 7 เรยี นรู้ด้วยตนเอง 12 การทําผังความคดิ 16 การใชแ้ หลง่ เรียนรู้ 18 การใช้แหล่งเรยี นรู้ผ่านเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต 25 การจัดการความรู้ 27 คดิ เปน็ 31 ลักษณะขอ้ มลู และการเปรียบเทยี บขอ้ มูล ดา้ นวิชาการ ตนอง สงั คม 34 การวิจัยอย่างง่าย 37 การสรา้ งเคร่ืองมือวิจัย 39 การเขยี นโครงการวิจยั 41 แบบทดสอบหลังเรยี น 50 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรียน 54 29 รายวชิ าการพัฒนาอาชพี ให้มคี วามมัน่ คง (อช31003) 30 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 32 ศกั ยภาพธุรกิจเพื่อความม่นั คงในอาชีพ 34 การจดั ทาํ แผนพฒั นาการตลาดเพอ่ื ความม่ันคงในอาชพี 36 การกําหนดกลยุทธ์ 38 การจดั ทาํ แผนพัฒนาการผลติ หรอื การบริการเพือ่ ความมนั่ คงในอาชีพ 69 แบบทดสอบหลงั เรยี น 73 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียน รายวิชาเศรษฐกิจพอพียง (ทช31001) 74 แบบทดสอบก่อนเรยี น 75 ความพอเพยี ง 78 ชมุ ชนพอเพยี ง 82 การแก้ปัญหาชมุ ชน 86 สถานการณข์ องประเทศและสถานการณ์โลกกับความพอเพียง 55 แบบทดสอบหลังเรยี น 102 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน 104 105 รายวชิ าลูกเสือ กศน. (สค32035) 107 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 109 ประวัตกิ ารลูกเสอื ไทย
คู่มอื พัฒนาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 3 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกับคณะลูกเสือแห่งชาติ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรียน 126 คุณธรรมจรยิ ธรรมของลกู เสอื 130 คาํ ปฏญิ าณ และกฎของลูกเสอื 133 ลกู เสอื กศน. กับจติ อาสา และการบรกิ าร 136 แบบทดสอบหลงั เรียน 147 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น 157 159 รายวชิ าทักษะการเรียนรู้ (ทร31001) ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย สาระความร้พู น้ื ฐาน มาตรฐานท่ี 1.1 มคี วามรู ความเขาใจ ทักษะและเจตคติท่ีมีตอการเรียนรูดวยตนเอง มาตรฐานท่ี 1.2 มีความรูความเขาใจ ทักษะและเจตคติที่ดีตอการใชแหลงเรยี นรู้ มาตรฐานท่ี 1.3 มีความรู ความเขาใจ ทักษะและเจตคติท่ดี ตี อการจัดการความรู มาตรฐานท่ี 1.4 มีความรู ความเขาใจ ทกั ษะและเจตคติทด่ี ตี อการคิดเปน มาตรฐานที่ 1.5 มคี วามรูความเขาใจ ทกั ษะ และเจตคติท่ดี ีตอการวจิ ยั อยางงาย มาตรฐานท่ี 1.6 มีความรูความเขาใจทักษะและเจตคตทิ ด่ี ตี อศักยภาพของพื้นท่ใี นการเพิม่ ขดี ความสามารถของประกอบอาชีพ 5กลมุ อาชพี ใหม สาระสาคญั รายวิชาทักษะการเรียนรู้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนในด้านการเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้ แหล่งเรียนรู้ การจัดการความรู้ การคิดเป็นและการวิจัยอย่างง่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถกําหนดเปูาหมายวาง แผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าถึงและเลือกใช้แหล่งเรียนรู้จัดการความรู้ กระบวนการแก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ท่ีจะ สามารถใช้เป็นเครื่องมือชี้นําตนเอง ในการเรียนรู้ และการประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับหลักการพ้ืนฐาน และการพัฒนา 5
คู่มือพัฒนาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 4 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ศักยภาพหลกั ของพน้ื ท่ใี น5กลมุ่ อาชีพใหม่ คอื กลมุ่ อาชพี ดา้ นการเกษตรกรรมอุตสาหกรรมพาณิชยกรรม ความคิดสร้างสรรค์ การ บรหิ ารจัดการและการบริการ ตามยุทธศาสตร์ 2555กระทรวงศึกษาธิการได้อยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดชวี ิต ผลการเรียนรูที่คาดหวัง เมอื่ ศึกษาบทจบ แลวคาดหวังวาผูเรียนจะสามารถ เรอ่ื งที่ 1 การเรียนรู้ด้วยตนเอง 1. ประมวลความรู้ และสรปุ เป็นสารสนเทศ 2. ทาํ งานบนฐานขอ้ มูลด้วยการแสวงหาความร้จู นเปน็ ลักษณะนิสยั 3. มคี วามชาํ นาญในทักษะการอ่านทกั ษะการฟังทกั ษะการสังเกตและทกั ษะการจดบนั ทึกอย่างคลอ่ งแคล่วรวดเร็ว เรือ่ งที่ 2 การใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 1. ผูเ้ รยี นมคี วามรู้ความเข้าใจ เหน็ ความสําคญั ของแหล่งเรยี นรู้ 2. ผเู้ รยี นสามารถใช้แหลง่ เรยี นรู้ ห้องสมดุ ประชาชนได้ เร่ืองท่ี 3 การจดั การความรู้ 1. ออกแบบผลิตภณั ฑ์ สรา้ งสูตร สรุปองค์ความรู้ใหม่ 2. ประพฤตติ นเปน็ บุคคลแห่งการเรียนรู้ 3. สร้างสรรคส์ ังคมอุดมปัญญา เรอ่ื งท่ี 4 การคิดเปน็ 1. อธิบายถงึ ความเช่อื พื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ของคนคดิ เปน็ และการเชือ่ มโยงไปสู่การเรยี นรู้เร่อื ง การคดิ เปน็ ปรัชญาคิดเปน็ การคิดแก้ปญั หา อย่างเป็นระบบ แบบคนคิดเป็นได้ 2. วิเคราะห์จาํ แนกลักษณะของข้อมลู การคิดเปน็ ท้งั 3 ดา้ น ทนี่ ํามาใช้ประกอบการคดิ และการตัดสินใจ ทงั้ ข้อมูลดา้ นวชิ าการ ข้อมูลเกี่ยวกบั ตนเอง ขอ้ มลู เกี่ยวกบั สังคมและสภาวะแวดล้อม โดยเน้นที่ขอ้ มลู ด้านคุณธรรมจริยธรรมทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั บุคคล ครอบครัว และชุมชน ที่เปน็ จุดเนน้ สาํ คัญของ คนคดิ เปน็ ได้ 3. ฝึกปฏิบัติการคิดการแกป้ ญั หาอยา่ งเป็นระบบ การคิดเป็น ทัง้ จากกรณตี ัวอยา่ งและหรือสถานการณ์ จริงในชุมชน โดยนาํ ขอ้ มลู ด้านคุณธรรมจรยิ ธรรม ซึง่ เปน็ ส่วนหน่ึงของขอ้ มลู ทางสงั คมและสภาวะ แวดลอ้ มมาประกอบการคดิ การพฒั นาได้ เรื่องที่ 5 การวิจัยอยา่ งงา่ ย 1. อธิบายความหมายและความสาํ คัญของการวิจัยได้ 2. ระบุกระบวนการ ขั้นตอนของการทาํ วิจัยอย่างงา่ ยได้ 3. อธบิ ายสถิตงิ า่ ยๆ และสามารถเลอื กใชส้ ถิตทิ ่ีเหมาะสมกบั การวิจยั ในแตล่ ะเรอ่ื งของตนเองได้อยา่ งถูกต้อง 4. สร้างเคร่ืองมอื การวิจยั ได้ 5. เขียนโครงการวิจยั ได้ 6. เขยี นรายงานการวจิ ัยและเผยแพรง่ านวจิ ยั ได้ เร่ืองท่ี 6 ทกั ษะการเรยี นรู้และศักยภาพหลักของพ้นื ท่ใี นการพัฒนาอาชพี 1. อธบิ ายความหมาย ความสําคญั ของทกั ษะการเรียนรู้ และศกั ยภาพหลักของพืน้ ท่ที แี่ ตง่ ต่างกัน 2. ยกตัวอยา่ งศักยภาพหลักของพนื้ ท่ที ีแ่ ตกตา่ งกัน 3. สามารถบอกหรือยกตัวอย่างเก่ยี วกบั ศักยภาพหลักของพ้ืนทข่ี องตนเอง
คู่มือพฒั นาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควิด-19 5 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 4. ยกตวั อยา่ งอาชีพท่ีใช้หลกั การพนื้ ฐานของศกั ยภาพหลกั ในการประกอบอาชพี ในกล่มุ อาชีพใหม่ได้ ขอบขายเนอื้ หา เร่ืองที่ 1 การเรยี นรู้ด้วยตนเอง 1.ความหมาย ความสาํ คัญ และกระบวนการของการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 2. ทกั ษะพืน้ ฐานทางการศกึ ษาหาความรู้ ทกั ษะการแก้ปญั หา และเทคนิคในการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 3. การทําแผนผังความคิด 4. ปจั จยั ทท่ี ําใหก้ ารเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองประสบความสาํ เร็จ เรอ่ื งที่ 2 การใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ 1. ความหมาย ความสําคญั ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ 2. แหลง่ เรียนรู้ประเภทห้องสมดุ 3. ทกั ษะการเขา้ ถึงสารสนเทศของห้องสมดุ 4. การใช้แหลง่ เรยี นรู้สําคัญๆ ในประเทศ 5. การใช้แหลง่ เรียนรผู้ า่ นเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ เรื่องที่ 3 การจดั การความรู้ 1. ความหมาย ความสําคญั หลักการ 2. กระบวนการจดั การเรียนรู้ การรวมกล่มุ เพอ่ื ต่อยอดความรู้ และการจดั ทําสารสนเทศเพื่อเผยแพร่ความรู้ 3. ทักษะกระบวนการจดั การความรู้ เรอ่ื งที่ 4 การคิดเปน็ 1. ความเชอื่ พ้นื ฐานทางการศึกษาผู้ใหญก่ บั กระบวนการคดิ เปน็ การเช่ือมโยงสู่ปรชั ญาคดิ เป็นและการคดิ การตัดสินใจแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบแบบคนคิดเป็น 2. ระบบข้อมูล การจาํ แนกลกั ษณะของข้อมลู การเกบ็ ขอ้ มลู การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ข้อมูลทั้งดา้ น วชิ าการ ด้านตนเอง และสงั คมสภาวะแวดล้อม โดยเน้นไปที่ขอ้ มลู ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรมที่เก่ยี วข้องกบั บุคคล ครอบครวั และชุมชน เพอ่ื นาํ มาใช้ประกอบการตดั สนิ ใจแก้ปัญหาตามแบบอย่างของคนคิดเป็น 3. กรณีตวั อยา่ ง และสถานการณ์จริงในการฝึกปฏิบัตเิ พอื่ การคดิ การแกป้ ัญหา แบบคนคิดเป็น เร่ืองที่ 5 การวิจยั อย่างง่าย 1. ความหมาย ความสําคญั ของการวจิ ยั 2. กระบวนการและข้ันตอนการทาํ วจิ ัยอย่างง่าย 3. สถติ งิ า่ ยๆ เพื่อการวจิ ยั 4. การสรา้ งเครือ่ งมือวจิ ยั 5. การเขียนโครงการวิจัย 6. การเขียนรายงานการวจิ ยั อย่างง่ายและการเผยแพร่ผลงานวิจยั บทที่ 6 ทักษะการเรยี นร้แู ละศกั ยภาพหลักของพ้ืนทใ่ี นการพฒั นาอาชีพ 1. ความหมาย ความสําคญั ของศักยภาพหลักของพื้นที่ 2. กลมุ่ อาชพี ใหม่ 5 ด้าน และศกั ยภาพหลักของพ้ืนที่ 5 ประการ 3. ตวั อย่างการวิเคราะห์ศักยภาพหลกั ของพ้ืนที่
คมู่ ือพัฒนาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณ์โควดิ -19 6 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย แบบทดสอบก่อนเรียน รายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ ทร 31001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย คาํ ชแ้ี จง จงเลอื กข้อที่ทา่ นคดิ ว่าถกู ตอ้ งท่ีสุด 1. ขอ้ ใดเป็นแหลง่ รวบรวมขอ้ มูลสารสนเทศ มากท่ีสุด ก. หอ้ งสมุด ข. สวนสาธารณะ ค. อินเทอร์เนต็ ง. อุทยานแห่งชาติ 2. หอ้ งสมดุ ประเภทใดที่เก็บรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศท่มี ีเนื้อหาเฉพาะวิชา ก. ห้องสมุดประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ ารี” ข. ห้องสมดุ โรงเรียนสวนกุหลาบ ค. ห้องสมดุ มารวย ง. ห้องสมดุ อําเภอ 3. แหล่งเรยี นรู้ หมายถึงข้อใด ก. สถานท่ีให้ความรตู้ ามอัธยาศัย ข. แหล่งคน้ คว้าเพือ่ ประโยชนใ์ นการพัฒนาตนเอง ค. แหลง่ รวบรวมความรแู้ ละขอ้ มลู เฉพาะสาขาวชิ าใดวชิ าหนง่ึ ง. แหลง่ ขอ้ มูลและประสบการณท์ ี่ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนแสวงหาความรูแ้ ละเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 4. ถ้านกั ศกึ ษาต้องการรเู้ ก่ยี วกบั โลกและดวงดาว ควรไปใช้บริการแหลง่ เรยี นรใู้ ด ก. ทอ้ งฟาู จาํ ลอง ข. เมอื งโบราณ ค. พิพธิ ภัณฑ์ ง. หอ้ งสมดุ 5. หนังสอื ประเภทใดทห่ี ้ามยืมออกนอกหอ้ งสมุด ก. เรอ่ื งแปล ข. หนังสืออ้างอิง ค. นวนยิ าย เร่อื งสัน้ ง. วรรณกรรมสาํ หรบั เดก็
ค่มู อื พัฒนาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 7 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 6. เหตใุ ดหอ้ งสมุดจงึ ต้องกําหนดระเบยี บและข้อปฏิบัติในการเขา้ ใชบ้ ริการ ก. เพ่อื อาํ นวยความสะดวกตอ่ ผใู้ ชบ้ รกิ าร ข. เพอ่ื สนองความต้องการแกผ่ ู้ใช้บรกิ าร ค. เพื่อให้การบรหิ ารงานห้องสมดุ เป็นไปอยา่ งเรยี บร้อย ง. เพ่อื ให้เกิดความเปน็ ธรรมและความเสมอภาคแก่ผ้ใู ช้บรกิ าร 7. การจดั ทําคมู่ อื การใช้หอ้ งสมดุ เพ่ือให้ขอ้ มูลเก่ยี วกับห้องสมุด เปน็ บริการประเภทใด ก. บรกิ ารข่าวสารขอ้ มูล ข. บริการสอนการใชห้ ้องสมุด ค. บริการแนะนําการใช้ห้องสมดุ ง. บริการตอบคาํ ถามและชว่ ยการคน้ คว้า 8. ความสาํ คัญของห้องสมดุ ขอ้ ใดที่ช่วยให้ผู้ใชบ้ ริการมีจิตสํานกึ ทด่ี ีตอ่ ส่วนรวม ก. ช่วยให้ร้จู กั แบ่งเวลาในการศกึ ษาหาความรู้ ข. ชว่ ยใหม้ ีความรู้เทา่ ทันโลกยคุ ใหมต่ ลอดเวลา ค. ชว่ ยใหม้ นี ิสยั รักการค้นคว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง ง. ช่วยให้ระวงั รกั ษาทรพั ยส์ นิ สง่ิ ของของห้องสมดุ 9. ห้องสมุดประเภทใดใหบ้ ริการทุกเพศ วยั และความรู้ ก. ห้องสมดุ เฉพาะ ข. ห้องสมดุ โรงเรยี น ค. หอ้ งสมุดประชาชน ง. หอ้ งสมุดมหาวทิ ยาลัย 10. ห้องสมดุ มารวยเปน็ ห้องสมดุ ประเภทใด ก. ห้องสมดุ เฉพาะ ข. ห้องสมดุ โรงเรียน ค. หอ้ งสมดุ ประชาชน ง. ห้องสมดุ มหาวิทยาลยั 11. ขอ้ ใดเปน็ แหล่งเรยี นรู้ทสี่ าํ คัญในการทาํ กิจกรรมทางศาสนาและสอนคนให้เป็นคนดี ก. วดั ข. มัสยิด ค. โบสถ์ ง. ถูกทุกขอ้ 12. ขอ้ ใดต่อไปนี้คอื ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับจากอินเทอร์เน็ต ก. ส่งจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ ข. ใช้คน้ หาข้อมลู ทํารายงาน ค. ดาวน์โหลดโปรแกรม ง. ถกู ทุกขอ้
คู่มือพัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 8 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 13. เว็บไซต์คืออะไร ก. แหล่งรวบเวบ็ เพจ ข. แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูล ค. สว่ นท่ีช่วยค้นหาเวบ็ เพจ ง. คอมพวิ เตอร์เก็บเว็จเพจ 14. เวบ็ เพจเปรยี บเทยี บกบั สิ่งใด ก. ลิ้นชกั ข. แฟูมเอกสาร ค. หนงั สือ ง. หน้าหนังสอื 15. ถา้ หากหน้าเวบ็ เพจโหลดไมส่ มบรู ณ์ ต้องแกไ้ ขอย่างไร? ก. กดปุมกากบาท ข. กดปุม Refresh ค. คลกิ เมา้ ส์ที่ปุม ง. กดปมุ Refresh และคลกิ เม้าท์ที่ปุม 16. การจัดการความรู้เรยี กส้นั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 17. เปูาหมายของการจัดการความรคู้ อื อะไร ก. พัฒนาคน ข. พัฒนางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทกุ ข้อ 18. ข้อใดถูกต้องมากท่ีสดุ ก. การจัดการความรหู้ ากไม่ทาํ จะไม่รู้ ข. การจดั การความรู้ คือการจัดการความรขู้ องผ้เู ชยี่ วชาญ ค. การจดั การความรู้ ถอื เปน็ เปาู หมายของการทํางาน ง. การจัดการความรู้ คอื การจัดการความรู้ที่มีในเอกสาร ตาํ รา มาจดั ใหเ้ ปน็ ระบบ 19. ขัน้ สูงสุดของการเรยี นรู้คืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มลู ง. ความรู้ 20. ชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ (CoP) คอื อะไร
คู่มอื พัฒนาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 9 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ก. การจดั การความรู้ ข. เปูาหมายของการจดั การความรู้ ค. วิธกี ารหนงึ่ ของการจัดการความรู้ ง. แนวปฏิบัตขิ องการจัดการความรู้ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1. ค 2. ค 3. ง 4. ก 5. ข 6. ง 7. ค 8. ง 9. ค 10. ก 11. ง 12. ง 13. ข 14. ง 15. ข
คู่มอื พัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควดิ -19 10 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย 16. ข 17. ง 18. ก 19. ก 20. ค เรื่องที่ 1 เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 1 ความหมาย และความสาคัญ ของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง ความหมาย และความสาคัญของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรเู้ ป็นเรื่องของทุกคน ศักด์ศิ รีของผู้เรยี นจะมไี ดเ้ ม่ือมีโอกาสในการเลอื กเรียนในเรอ่ื งท่ีหลากหลาย และมีความหมายแก่ตนเอง การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 2 ด้าน คือ องค์ประกอบภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อม โรงเรียน สถานศึกษา สิ่งอํานวยความสะดวก และครู องค์ประกอบภายใน ได้แก่ การคิดเป็น พ่ึงตนเองได้ มี อิสรภาพ ใฝุรู้ ใฝุสร้างสรรค์ มีความคิดเชิงเหตุผล มีจิตสํานึกในการเรียนรู้ มีเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้ การ เรยี นรทู้ เี่ กดิ ขนึ้ มิได้เกดิ ขึ้นจากการฟังคาํ บรรยายหรือทาํ ตามที่ครผู ู้สอนบอก แต่อาจเกิดข้ึนได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้โดยบงั เอญิ การเรยี นรแู้ บบน้เี กิดข้ึนโดยบังเอญิ มไิ ดเ้ กดิ จากความตง้ั ใจ 2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ด้วยความตงั้ ใจของผู้เรยี น ซ่ึงมีความปรารถนาจะรู้ใน เรือ่ งนนั้ ผเู้ รยี นจึงคดิ หาวิธีการเรียนดว้ ยวิธีการตา่ งๆ หลังจากนัน้ จะมีการประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเองจะเป็น รูปแบบการเรียนรทู้ ที่ วคี วามสาํ คญั ในโลกยคุ โลกาภวิ ัตนบุคคลซ่ึงสามารถปรับตนเองให้ตามทันความก้าวหน้าของ โลกโดยใช้ส่ืออุปกรณย์ คุ ใหมไ่ ด้ จะทําให้เป็นคนที่มคี ณุ คา่ และประสบความสําเร็จไดอ้ ย่างดี 3. การเรียนรู้โดยกลุม่ การเรียนร้แู บบนี้เกิดจากการท่ผี ้เู รียนรวมกลมุ่ กันแลว้ เชิญผูท้ รงคุณวุฒิมาบรรยาย ให้กบั สมาชิกทําใหส้ มาชกิ มีความรูเ้ รื่องทว่ี ทิ ยากรพดู 4. การเรียนรู้จากสถาบันการศึกษา เป็นการเรียนแบบเป็นทางการ มีหลักสูตร การประเมินผล มี ระเบยี บการเขา้ ศึกษาทีช่ ัดเจน ผ้เู รยี นต้องปฏบิ ัติตามกฎระเบียบทก่ี ําหนด เมอื่ ปฏิบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กําหนด ก็จะได้รับปริญญา หรือประกาศนียบัตร จากสถานการณ์การเรียนรู้ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การเรียนรู้อาจเกิดได้ หลายวิธี และการเรียนรู้นั้น ไม่จําเป็นต้องเกิดข้ึนในสถาบันการศึกษาเสมอไป การเรียนรู้อาจเกิดข้ึนได้จากการ เรยี นรู้ด้วยตนเอง หรือจากการเรียนโดยกลุ่มก็ได้ และการท่ีบุคคลมีความตระหนักเรียนรู้อยู่ภายในจิตสํานึกของ บุคคลน้ัน การเรียนรู้ด้วยตนเองจึงเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ในลักษณะที่เป็นการเรียนรู้ ที่ทําให้เกิดการเรียนรู้
คู่มือพฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 11 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ตลอดชีวิต ซ่ึงมีความสําคัญสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน และสนับสนุนสภาพ “สังคมแห่งการ เรยี นรู้” ไดเ้ ป็นอย่างดี การเรียนรดู้ ้วยตนเองมีความสาคัญอย่างไร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรู้หนึ่งที่สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงของสภาพปัจจุบัน และเป็นแนวคิดท่ีสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสมาชิกในสังคมสู่การเป็น สังคมแห่งการเรียนรู้ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ท่ีทําให้บุคคลมีการริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเอง มี เปูาหมายในการเรียนรู้ท่ีแน่นอน มีความรับผิดชอบในชีวิตของตนเอง ไม่พ่ึงคนอ่ืน มีแรงจูงใจ ทําให้ผู้เรียนเป็น บุคคลทใ่ี ฝรุ ู้ ใฝุเรยี น ทมี่ ีการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ เรียนรู้วธิ เี รยี น สามารถเรียนรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ได้มากกว่าการเรียนท่ี มีครูปอู นความรใู้ หเ้ พยี งอย่างเดียว การเรียนรู้ด้วยตนเองได้นับว่าเป็นคุณลักษณะที่ดีท่ีสุดซ่ึงมีอยู่ใน ตัวบุคคลทุก คน ผูเ้ รยี นควรจะมีคุณลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเองจัดเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอด ชีวติ ยอมรบั ในศกั ยภาพของผูเ้ รียนว่าผู้เรียนทุกคนมคี วามสามารถที่จะเรยี นรสู้ งิ่ ตา่ ง ๆ ได้ด้วยตนเอง เพ่ือท่ีตนเอง สามารถทีด่ ํารงชีวิตอยูใ่ นสังคมที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาไดอ้ ยา่ งมีความสขุ การเรยี นรดู้ ้วยตนเองมีความสาคญั ดงั น้ี 1. บุคคลท่ีเรียนรู้ด้วยการริเริ่มของตนเองจะเรียนได้มากกว่า ดีกว่า มีความตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายและมี แรงจูงใจสูงกว่า สามารถนําประโยชน์จากการเรียนรู้ไปใช้ได้ดีกว่าและยาวนานกว่าคนที่เรียนโดยเป็นเพียงผู้รับ หรอื รอการถา่ ยทอดจากครู 2. การเรียนรู้ด้วยตนเองสอดคล้องกับพัฒนาการทางจิตวิทยา และกระบวนการทางธรรมชาติ ทําให้ บุคคลมีทิศทางของการบรรลุวุฒิภาวะจากลักษณะหน่ึงไปสู่อีกลักษณะหน่ึง คือ เม่ือตอนเด็ก ๆ เป็นธรรมชาติท่ี จะตอ้ งพึง่ พงิ ผอู้ ่ืน ตอ้ งการผู้ปกครองปกปูองเลี้ยงดู และตัดสินใจแทนให้ เม่ือเติบโตมีพัฒนาการข้ึนเร่ือยๆ พัฒนา ตนเองไปสู่ความเปน็ อสิ ระ ไม่ตอ้ งพึง่ พงิ ผู้ปกครอง ครู และผูอ้ ่นื การพัฒนาเป็นไปในสภาพท่ีเพ่ิมความเป็นตัวของ ตัวเอง 3. การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองทําให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ ซ่ึงเป็นลักษณะที่สอดคล้องกับพัฒนาการใหม่ ๆ ทางการศกึ ษา เช่น หลักสตู ร หอ้ งเรยี นแบบเปิด ศูนยบ์ ริการวชิ าการ การศึกษาอย่างอิสระ มหาวิทยาลัยเปิด ล้วน เน้นให้ผ้เู รยี นรับผดิ ชอบการเรียนรู้เอง 4. การเรียนรู้ด้วยตนเองทําให้มนุษย์อยู่รอด การมีความเปล่ียนแปลงใหม่ ๆ เกิดข้ึนเสมอ ทําให้มีความ จําเป็นที่จะตอ้ งศกึ ษาเรยี นรู้ การเรยี นรดู้ ้วยตนเองจึงเป็นกระบวนการตอ่ เนอื่ งตลอดชีวติ การเปรยี บเทียบบทบาทของครูและผู้เรยี นตามกระบวนการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง บทบาทของผ้เู รียนในการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง บทบาทของครูในการเรียนรดู้ ้วยตนเอง 1. การวเิ คราะห์ความตอ้ งการในการเรยี น 1. การวิเคราะหค์ วามตอ้ งการในการเรยี น วนิ จิ ฉยั การเรยี นรู้ สร้างความคุ้นเคยให้ผู้เรียนไว้วางใจ เข้าใจ บทบาทครู วนิ ิจฉยั ความตอ้ งการในการเรียนรู้ของตน รบั รแู้ ละยอมรบั ความสามารถของตน บทบาทของตนเอง มคี วามรบั ผิดชอบในการเรียนรู้ วิเคราะห์ความต้องการการเรียนรู้ของผู้เรียน และ สร้างบรรยากาศการเรยี นร้ทู ่ีพอใจดว้ ยตนเอง มสี ่วนรว่ มในการระบุความตอ้ งการในการเรียน พฤตกิ รรมทีต่ ้องการให้เกิดแก่ผู้เรยี น กําหนดโครงสร้างคร่าว ๆ ของหลักสูตร ขอบเขต เนือ้ หากว้าง ๆ สรา้ งทางเลือกทห่ี ลากหลาย
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควิด-19 12 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย บทบาทของผเู้ รียนในการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง บทบาทของครูในการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง เลือกสง่ิ ท่ีจะเรียนจากทางเลือกตา่ งๆ ท่ี กาํ หนด สร้างบรรยากาศให้เกิดความตอ้ งการการเรียน วางโครงสร้างของโครงการเรยี นของตน วิเคราะห์ความพร้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดย การตรวจสอบความพรอ้ มของผู้เรยี น มสี ่วนร่วมในการตัดสนิ ใจในทางเลือกนั้น แนะนาํ ขอ้ มลู ใหผ้ เู้ รียนคิด วิเคราะหเ์ อง 2. การกาหนดจุดมงุ่ หมายในการเรียน 2. การกาหนดจุดม่งุ หมายในการเรียน ฝึกการกาํ หนดจดุ มงุ่ หมายในการเรยี น กําหนดโครงสร้างคร่าวๆ วัตถุประสงค์การ เรียน รู้จุดมุ่งหมายในการเรียน และเรียนให้บรรลุ ของวชิ า จุดมงุ่ หมาย ช่วยให้ผู้เรียนเปล่ียนความต้องการที่มีอยู่ให้ เป็น รว่ มกันพฒั นาเปูาหมายการเรียนรู้ จุดมงุ่ หมายการเรยี นรู้ท่ีวดั ไดเ้ ป็นได้จรงิ กําหนดจุดม่งุ หมายจากความตอ้ งการของตน เปิดโอกาสให้มีการระดมสมอง ร่วมแสดง ความ คิดเหน็ และการนําเสนอ แนะนําข้อมลู ให้ผู้เรียนคิด วิเคราะหเ์ อง 3. การออกแบบแผนการเรียน 3. การออกแบบแผนการเรยี น ฝึกการทํางานอยา่ งมขี น้ั ตอนจากง่ายไปยาก เตรียมความพรอ้ มโดยจดั ประสบการณ์การ เรียนรู้ การใชย้ ทุ ธวิธที ีเ่ หมาะสมในการเรียน เสริมทกั ษะทจี่ ําเป็นในการเรยี นรู้ มคี วามรับผดิ ชอบในการดําเนินงานตามแผน มีสว่ นร่วมในการตัดสนิ ใจ วิธกี ารทํางาน ต้อง ร่วมมือ ร่วมใจรบั ผิดชอบการทาํ งานกลุม่ ทราบว่า เรือ่ งใดใช้วิธีใด สอนอย่างไร มีส่วนรว่ ม รับผิดชอบควบคมุ กิจกรรมการเรียนรู้ของ ตัดสินใจเพียงใด ตนเองตามแผนการเรียนทก่ี าํ หนดไว้ ยั่วยใุ หเ้ กดิ พฤติกรรมการเรยี นรู้ ผปู้ ระสานส่งิ ท่ตี นเองรกู้ ับสงิ่ ทผี่ ู้เรียนต้องการ แนะนําข้อมูลให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์เองจนได้ แนวทางที่แจม่ แจง้ สร้างทางเลือกท่หี ลากหลาย ให้ผเู้ รียนเลือกปฏิบัติตามแนวทางของตน 4. การแสวงหาแหลง่ วทิ ยาการ 4. การแสวงหาแหลง่ วิทยาการ ฝกึ คน้ หาความรูต้ ามท่ไี ด้รับมอบหมายจาก สอนกลยุทธก์ ารสืบค้นขอ้ มูล ถ่ายทอดความรู้ แหลง่ การเรยี นร้ทู ี่หลากหลาย ถ้าผ้เู รยี นต้องการ กําหนดบุคคล และสอ่ื การเรยี นทีเ่ กี่ยวขอ้ ง กระตนุ้ ความสนใจ ช้ีแหลง่ ความรแู้ นะนําการใช้สือ่ มีส่วนร่วมในการสบื ค้นขอ้ มลู ร่วมกับเพ่อื นๆ จัดรปู แบบเน้ือหา สื่อการเรยี นที่เหมาะสม บางสว่ น ด้วยความรับผดิ ชอบ สังเกต ตดิ ตาม ใหค้ ําแนะนําเมอ่ื ผ้เู รยี นเกิด เลือกใช้ประโยชน์จากกิจกรรมและยุทธวธิ ี ปญั หาและต้องการคาํ ปรกึ ษา 5. การประเมินผลการเรียนรู้ 5. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ฝึกการประเมนิ ผลการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง ให้ความรู้และฝึกผเู้ รียนในการประเมินผลการ
คู่มือพฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณโ์ ควดิ -19 13 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย บทบาทของผเู้ รยี นในการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง บทบาทของครูในการเรียนรดู้ ้วยตนเอง มีส่วนรว่ มในการประเมินผล ผู้เรียนประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิดว้ ยตนเอง เรยี นรทู้ ีห่ ลากหลาย เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นนาํ เสนอวธิ กี าร เกณฑ์ ประเมินผล และมสี ่วนรว่ มในการตดั สนิ ใจ จดั ทาํ ตารางการประเมนิ ผลทจี่ ะใช้รว่ มกัน แนะนําวิธกี ารประเมินเม่อื ผูเ้ รยี นมขี อ้ สงสัย 2 ทักษะพื้นฐานทางการศกึ ษาหาความรู้ ทักษะการแกป้ ญั หาและเทคนคิ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง คําถามธรรมดา ๆ ทเี่ ราเคยได้ยินได้ฟงั กนั อยู่บ่อย ๆ กค็ อื ทาํ อย่างไรเราจึงจะสามารถฟังอย่างรู้เร่ือง และ คิดได้อย่างปราดเปร่ือง อ่านได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนเขียนได้อย่างมืออาชีพ ทั้งน้ี ก็เพราะเราเข้าใจกันดีว่า ท้งั หมดน้เี ปน็ ทักษะพื้นฐาน (basic skills) ท่สี ําคญั และเป็นความสามารถ (competencies) ท่ีจําเป็นสําหรับการ ดาํ รงชีวติ ทัง้ ในโลกแห่งการทาํ งาน และในโลกแหง่ การเรยี นรู้ การฟัง เปน็ การรับรูค้ วามหมายจากเสยี งทไี่ ดย้ ิน เปน็ การรบั สารทางหูการไดย้ ินเปน็ การเรม่ิ ตน้ ของการฟัง และเป็นเพียงการกระทบกันของเสียงกับประสาทตามปกติ จึงเป็นการใช้ความสามารถทางร่างกายโดยตรง ส่วน การฟังเป็นกระบวนการทาํ งานของสมองอกี หลายข้นั ตอนต่อเนอื่ งจากการได้ยินเป็นความสามารถท่ีจะได้รับรู้ส่ิงท่ี ไดย้ นิ ตีความและจับความสง่ิ ที่รบั รู้น้นั เข้าใจและจดจาํ ไว้ ซึง่ เปน็ ความสามารถทางสตปิ ัญญา การพดู เปน็ พฤติกรรมการสือ่ สารทใ่ี ชก้ ันแพร่หลายทั่วไป ผพู้ ูดสามารถใช้ทั้งวจนะภาษาและอวัจนะภาษา ในการส่งสารติดต่อไปยงั ผ้ฟู งั ได้ชดั เจนและรวดเร็วการพูด หมายถึง การสื่อความหมายของมนุษย์โดยการใช้เสียง และกริ ิยาท่าทางเป็นเคร่อื งถา่ ยทอดความรูค้ วามคิด และความร้สู ึกจากผพู้ ูดไปสผู่ ฟู้ งั การอ่าน เปน็ พฤตกิ รรมการรับสารท่สี าํ คัญไม่ยง่ิ หยอ่ นไปกว่าการฟงั ปจั จบุ นั มผี ูร้ ้นู กั วิชาการและนักเขียน นําเสนอความรู้ ข้อมูล ข่าวสารและงานสร้างสรรค์ ตีพิมพ์ ในหนังสือและสิ่งพิมพ์อ่ืน ๆ มาก นอกจากน้ีแล้ว ข่าวสารสําคัญ ๆ หลังจากนําเสนอด้วยการพูด หรืออ่านให้ฟังผ่านสื่อต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะตีพิ มพ์รักษาไว้เป็น หลักฐานแกผ่ อู้ ่านในช้ันหลัง ๆความสามารถในการอ่านจึงสําคัญและจําเป็นยิ่งต่อการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพใน สังคมปจั จบุ ัน การเขียน เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตัวอักษร เพ่ือสื่อความหมายให้ผู้อ่ืนเข้าใจจากความข้างต้น ทําให้มองเห็นความหมายของการเขียนว่า มีความ จําเป็นอย่างยิ่งต่อการส่ือสารในชีวิตประจําวัน เช่น นักเรียน ใช้การเขียนบันทึกความรู้ ทําแบบฝึกหัดและตอบ ข้อสอบบุคคลท่ัวไป ใช้การเขียนจดหมาย ทําสัญญา พินัยกรรมและคํ้าประกัน เป็นต้น พ่อค้า ใช้การเขียนเพ่ือ โฆษณาสนิ ค้า ทาํ บัญชี ใบส่ังของ ทาํ ใบเสร็จรับเงิน แพทย์ ใชบ้ นั ทึกประวตั คิ นไข้เขียนใบสงั่ ยาและอ่นื ๆ เป็นตน้ 3 การทาแผนผงั ความคดิ (Mind Map) การเขยี นแผนผงั ความคิดคอื อะไร การเขียนแผนผังความคิด คือ การเอาความรู้มาสรุปรวมเป็นหมวดหมู่เพ่ิมการใช้สี และใช้รูปภาพมา ประกอบ ช่วยให้เรามองเหน็ ภาพรวมได้ชดั เจน การทาแผนผงั ความคดิ (Mind Map) กฎของการทาแผนผังความคดิ
คูม่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณโ์ ควดิ -19 14 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1. เร่มิ ต้นด้วยภาพสีตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ ภาพ ๆ เดียวมีค่ากว่าคําพันคํา ซ้ํายังช่วยให้เกิดความคิด สรา้ งสรรค์ และเพม่ิ ความจาํ มากข้ึนด้วย ใหว้ างกระดาษตามแนวนอน 2. ใช้ภาพใหม้ ากท่สี ุดใน แผนผังความคิดของคุณ ตรงไหนที่ใช้ภาพได้ให้ใช้ก่อนคําหรือรหัสเป็นการช่วย การทํางานของสมอง ดึงดดู สายตาและช่วยจาํ 3. ควรเขยี นคําบรรจงตวั ใหญ่ ๆ ถา้ เป็นภาษาองั กฤษให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ เพ่ือที่ว่าเม่ือย้อนกลับมาอ่านใหม่ จะให้ภาพท่ีชัดเจน สะดุดตาอ่านง่าย และก่อผลกระทบต่อความคิดมากกว่า การใช้เวลาเพ่ิมอีกเล็กน้อยในการ เขยี นตวั ใหใ้ หญ่อ่านงา่ ยชัดเจน จะชว่ ยให้เราสามารถประหยัดเวลาได้เมอ่ื ยอ้ นกลบั มาอ่านใหม่อีกครั้ง 4. เขียนคําเหนือเส้นและแต่ละเส้นต้องเชื่อมต่อกับเส้นอื่น ๆ เพื่อให้แผนผังความคิดมีโครงสร้างพื้น ฐานรองรบั 5. คาํ ควรมีลักษณะเปน็ “หนว่ ย” เชน่ คาํ ละเส้น เพราะจะช่วยให้แต่ละคําเชื่อมโยงกับคําอ่ืน ๆ ได้อย่าง อิสระเปิดทางให้แผนผงั ความคดิ คล่องตัวและยืดหยนุ่ มากข้นึ 6. ใช้สี ใหท้ ว่ั แผนผงั ความคดิ เพราะสชี ว่ ยยกระดับความจําเพลนิ ตา กระตนุ้ สมองซีกขวา 7. เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ใหม่ ๆ ควรปล่อยให้หัวคิดมีอิสระมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่ามัวแต่ คิดว่าจะเขยี นลงตรงไหนดี หรอื ว่าจะใสห่ รอื ไมใ่ สอ่ ะไรลงไป เพราะลว้ นแต่จะทําให้งานลา่ ช้าไปอย่างนา่ เสยี ดาย หลกั ของแผนผังความคิด (Mind Map) คือ การฟ้นื ความจําในทุกเร่อื งทห่ี ัวคิดนึกออกจากอบศูนย์กลาง ความคิด สมองของคณุ สามารถจะจุดประกายความคิดต่าง ๆ ได้เร็วกว่าท่ีมือคุณเขียนทัน คุณจึงต้องเขียนแบบไม่ หยุดเลย เพราะถ้าคุณหยุด คุณจะสังเกตได้ว่าปากกาหรือดินสอของคุณยังคงขยุกขยิกต่อไปบนหน้ากระดาษ ในช่วงท่ีคุณสังเกตเห็นน้ีก็อย่าปล่อยให้ผ่านไป จงรีบเขียนต่ออย่ากังวลถึงลําดับ หรือการจัดองค์ประกอบให้ดูดี เพราะในทสี่ ดุ มนั ก็จะลงตวั ไปเอง หรอื ไมอ่ ย่างนนั้ คอ่ ยมาจัดอีกครง้ั ในตอนท้ายเปน็ คร้ังสดุ ทา้ ยก็ยอ่ มได้ 4 ปจั จยั ที่ทาใหก้ ารเรยี นรูด้ ้วยตนเองประสบความสาเรจ็ ความพร้อมในการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning Readiness : SDLR) เป็นสิ่งสําคัญ และ จําเป็นอย่างมากสําหรับผู้ที่มีความสนใจ มีความรักจะเรียนรู้ด้วยตนเอง วัดได้จากความรู้สึก และความคิดเห็นที่ ผู้เรียนมตี ่อการแสวงหาความรู้ การทบ่ี ุคคลจะเรยี นรดู้ ้วยตนเองได้นน้ั ตอ้ งมีลักษณะความพรอ้ มของการเรียนรู้ด้วย ตนเอง 8 ประการ ดงั น้ี 1. การเปิดโอกาสต่อการเรียนรู้ ได้แก่ การมีความสนใจในการเรียนรู้มากกว่าผู้อื่น มีความพึงพอใจกับ ความคิดรเิ ริม่ ของบคุ คล มีความรักในการเรียนรแู้ ละความคาดหวังว่าจะเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง แหล่งความรู้มีความ ดึงดูดใจ มีความอดทนต่อการค้นหาคําตอบในส่ิงท่ีสงสัย มีความสามารถในการยอมรับและใช้ประโยชน์จากคํา วิจารณ์ได้ การนาํ ความสามารถด้านสตปิ ัญญามาใชไ้ ด้ มีความรบั ผดิ ชอบตอ่ การเรยี นรูข้ องตนเอง 2. มอี ัตมโนทัศน์ในด้านของการเป็นผู้เรียนท่ีมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การมีความม่ันใจในการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ความสามารถจัดเวลาในการเรียนรู้ได้ มีระเบียบวินัยต่อตนเองมีความรู้ในด้านความจําเป็นในการเรียนรู้ และแหล่งทรพั ยากรการเรียนรู้ มคี วามคดิ เห็นต่อตนเองวา่ เป็นผ้ทู ม่ี คี วามอยากรูอ้ ยากเหน็ 3. การมีความคิดริเริ่มและเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้แก่ ความสามารถติดตามปัญหายาก ๆ ได้อย่าง คล่องแคลว่ ความปรารถนาต่อการเรียนรู้อยู่เสมอ ช่ืนชอบต่อการมีส่วนร่วมในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ มี ความเชอ่ื มน่ั ในความสามารถทจี่ ะทํางานด้วยตนเองได้ดี ช่ืนชอบในการเรยี นรู้ มีความพอใจกับทักษะการอ่าน การ
คู่มือพัฒนาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 15 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ทาํ ความเข้าใจ มคี วามรูเ้ ก่ียวกับแหลง่ ความรู้ต่าง ๆ มีความสามารถในการวางแผนการทํางานของตนเองได้ และมี ความคดิ รเิ รมิ่ ในเรือ่ งการเร่ิมตน้ โครงการใหม่ ๆ 4. การมีความรบั ผดิ ชอบต่อการเรยี นรู้ของตน ไดแ้ ก่ การมีทศั นะต่อตนเองในด้านสติปัญญาอยู่ในระดับ ปานกลางหรือสูงกว่า ยินดีต่อการศึกษาในเรื่องท่ียาก ๆ ในขอบเขตที่ตนสนใจ มีความเชื่อมั่นต่อหน้าที่ในการ สํารวจตรวจสอบเกี่ยวกับการศึกษา ช่ืนชอบที่จะมีบทบาทในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความ เช่ือม่นั ตอ่ หน้าท่ใี นการสาํ รวจตรวจสอบเก่ยี วกับการศึกษา ชื่นชอบทีจ่ ะมบี ทบาทในการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ ด้วยตนเอง มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง และมีความสามารถในการตัดสินความก้าวหน้าในการ เรยี นรู้ของตนเองได้ 5. รกั การเรียนรู้ ไดแ้ ก่ มีความชื่นชมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าใน การเรยี นรู้ มคี วามสนุกสนานกับการสืบสวนหาความจริง 6. ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ มีความคิดท่ีจะทําสิ่งต่าง ๆ ได้ดี สามารถคิดค้นวิธีการ แปลก ๆ ใหม่ ๆ และความสามารถท่จี ะคดิ วธิ ตี า่ ง ๆ ได้มากมายหลายวิธีสาํ หรับเร่อื งนน้ั ๆ 7. การมองอนาคตในแง่ดี ได้แก่ การมีความเข้าใจตนเองว่าเป็นผู้ที่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความ สนุกสนานในการคิดถึงเร่ืองในอนาคต มีแนวโน้มในการมองปญั หาวา่ เป็นสง่ิ ทา้ ทายไม่ใชส่ ญั ญาณใหห้ ยุดกระทํา เรื่องท่ี 2 การใช้แหล่งเรียนรู้ 1 ความหมาย ความสาคัญ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ความรหู้ รอื ข้อมูลสารสนเทศเกิดขึ้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และมีการเผยแพร่ ถึงกันโดยใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศภายในไม่ก่วี นิ าที ทําให้มนุษย์ต้องเรียนรู้กับสิ่งที่เปล่ียนแปลงใหม่ๆ เพ่ือให้สามารถรู้เท่าทัน เหตุการณ์ และนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข ความรู้หรือข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ดงั กล่าวมอี ยใู่ นแหล่งเรียนรู้ล้อมรอบตัวเรา ดังนั้นการเรียนรู้ที่ เกิดขึ้นภายในห้องเรียนย่อมเป็นการไม่เพียงพอใน ความรู้ท่ไี ด้รับ ความหมายของแหล่งเรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้ หมายถึง บรเิ วณ ศนู ยร์ วม บอ่ เกดิ แหง่ หรอื ที่ ทม่ี สี าระเนื้อหาเปน็ ข้อมลู ความรู้ ความสาคัญของแหล่งเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรมู้ ีบทบาทสําคญั ในการพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของประชาชน ดงั น้ี 1. เปน็ แหล่งท่ีมขี ้อมูล/ ความรู้ ตามวัตถุประสงค์ของแหล่งเรียนรู้นั้น เช่น สวนสัตว์ ให้ความรู้เรื่องสัตว์ พิพธิ ภัณฑใ์ ห้ความรเู้ ร่ืองโบราณวัตถสุ มยั ตา่ ง ๆ 2. เป็นส่ือการเรียนรู้สมัยใหม่ท่ีความรู้ก่อให้เกิดทักษะ และช่วยการเรียนรู้สะดวกรวดเร็ว เช่น อินเทอรเ์ น็ต 3. เป็นแหล่งช่วยเสริมการเรียนรู้ของการศึกษาประเภทต่าง ๆ ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอก ระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั
คู่มอื พัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 16 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย 4. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตท่ีมนุษย์เข้าไปหาความรู้ได้ด้วยตนเองตามความสนใจ และ ความสามารถ 5. เป็นแหลง่ ทม่ี นุษยส์ ามารถเขา้ ไปปฏิบัติได้จริง เช่น การประดิษฐ์เครื่องใช้ต่าง ๆ การ ซ่อมเครื่องยนต์ เป็นตน้ ช่วยกระตุ้นใหเ้ กิดความสนใจ ความใฝรุ ู้ 6. เปน็ แหล่งทีม่ นษุ ยส์ ามารถเข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกบั วทิ ยาการใหม่ ๆ ยงั ไมม่ ขี องจรงิ ให้เห็น หรือไม่สามารถ เขา้ ไปดูจากของจรงิ ไดโ้ ดยเรียนรู้ การดูภาพยนตร์ วดี ิทัศน์ หรอื สอ่ื อื่น ๆ 7. เป็นแหล่งส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในท้องถ่ินให้เกิดความตระหนักและ เห็นคุณค่าของ แหลง่ เรียนรู้ 8. เปน็ สง่ิ ท่ชี ่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติ คา่ นยิ มให้เกดิ การยอมรบั ส่ิงใหม่ แนวคิดใหม่ เกิด จินตนาการ และ ความคดิ สร้างสรรคก์ บั ผ้เู รียน 9. เปน็ การประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายและเพ่ิมรายได้ให้แหลง่ เรยี นรขู้ องชมุ ชน ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรมู้ กี ารแบ่งแยกตามลักษณะได้ 6 ประเภท ดังน้ี 1. แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล ได้แก่ บุคคลท่ีมีความรู้ ความสามารถด้านต่าง ๆ ที่สามารถถ่ายทอด ความรู้ด้วยรูปแบบวิธีต่าง ๆ ที่ตนมีอยู่ให้ผู้สนใจหรือผู้ต้องการเรียนรู้ เช่น ผู้เช่ียวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ ผู้ อาวุโสทีม่ ปี ระสบการณ์มามาก หรืออาจจะเป็นบุคคลท่ี ได้รับแต่งต้ังเป็นทางการ มีบทบาทสถานะทางสังคม หรือ อาจเป็นบคุ คลท่เี ปน็ โดยการงานอาชีพ หรอื บุคคลท่ีเป็นโดยความสามารถเฉพาะตัว หรือบุคคลท่ีได้รับแต่งตั้งเป็น ภูมปิ ญั ญา 2. แหล่งเรียนรู้ประเภทธรรมชาติ ได้แก่ ส่ิงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และให้ ประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น ดนิ นํา้ อากาศ พืช สัตว์ ต้นไม้ แร่ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาติ เหล่าน้ีอาจถูกจัดให้เป็นอุทยาน วนอุทยาน เขต รกั ษาพันธ์สุ ัตว์ปาุ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์ ศึกษาธรรมชาติ เปน็ ตน้ 3. แหล่งเรียนรู้ประเภทวัสดุและสถานท่ี ได้แก่ อาคาร ส่ิงก่อสร้าง วัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งต่าง ๆ ท่ี ประชาชนสามารถศึกษาหาความรู้ให้ได้มาซ่ึงคําตอบ หรือสิ่งท่ีต้องการจากการเห็น ได้ยิน สัมผัส เช่น ห้องสมุด ศาสนสถาน ศนู ยก์ ารเรยี น พพิ ธิ ภณั ฑ์ สถานประกอบการ ตลาด นิทรรศการ สถานที่ทางประวัตศิ าสตร์ ชุมชนแห่ง การเรยี นรู้ต่าง ๆ 4. แหล่งเรยี นรู้ประเภทสื่อ ไดแ้ ก่ สิง่ ที่ทาํ หนา้ ท่เี ปน็ ส่อื กลางในการถา่ ยทอดเน้อื หา ความรู้สารสนเทศ ให้ ถงึ กันโดยผา่ นประสาทสมั ผัส ได้แก่ หู ตา จมกู ลนิ้ กาย และใจ แหล่งเรียนรู้ ประเภทน้ี ทําให้กระบวนการเรียนรู้ เป็นไปไดอ้ ย่างรวดเรว็ มปี ระสิทธิภาพสงู ท้ังสอ่ื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ สื่อส่งิ พิมพ์ ส่ือโสตทศั น 5. แหล่งเรียนรู้ประเภทเทคนิค ส่ิงประดิษฐ์คิดค้น ได้แก่ สิ่งที่แสดงถึงความก้าวหน้าทาง นวัตกรรม เทคโนโลยดี ้านตา่ ง ๆ ท่ไี ดม้ กี ารประดิษฐ์คิดค้นหรอื พัฒนาปรบั ปรงุ ขนึ้ มาให้มนุษย์ได้ เรียนรู้ถึงความก้าวหน้า เกิด จนิ ตนาการ แรงบนั ดาลใจ 6. แหล่งเรยี นรู้ประเภทกจิ กรรม ได้แก่ การปฏิบัติการดา้ นประเพณีวัฒนธรรม ตลอดจน การปฏิบัติการ ความเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหา และปรับปรุงพัฒนาสภาพต่าง ๆ ในท้องถิ่น การที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมใน กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การรณรงค์ปูองกันยาเสพติด การส่งเสริมการเลือกต้ัง ตามระบบประชาธิปไตย การรณรงค์ ความปลอดภัยของเดก็ และสตรใี นท้องถิ่น 2 แหลง่ เรียนร้ปู ระเภทห้องสมุด
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 17 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ห้องสมดุ เป็นแหลง่ เรยี นรูท้ ี่สาํ คัญประเภทหนึ่ง ทจี่ ัดหา รวบรวมสรรพวิชาการต่าง ๆ ทเ่ี กิด ข้ึนจากทั่วโลก มาจดั ระบบ และใหบ้ รกิ ารแกก่ ลมุ่ เปูาหมายศึกษาค้นควา้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ปัจจุบันมีคําอ่ืน ๆ ท่ีหน่วยงานต่าง ๆ ใช้ในความหมายของคําว่า ห้องสมุ ด เช่น ห้องสมุด และศูนย์ สารสนเทศ สํานกั บรรณาสารการพัฒนา สาํ นักบรรณสารสนเทศ สาํ นกั หอสมดุ สาํ นกั วทิ ยบริการ เป็นตน้ หอ้ งสมดุ โดยท่วั ไปแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดงั น้ี 1. หอสมุดแหง่ ชาติ นับเปน็ หอ้ งสมดุ ทใ่ี หญท่ ่สี ดุ ในประเทศ ดาํ เนนิ การโดยรฐั บาล ทาํ หน้าท่หี ลัก คือ รวบรวมหนังสือ ส่ิงพิมพ์ และสือ่ ความรู้ ทุกอยา่ งทผ่ี ลิดขึ้นในประเทศ และ ทุกอยา่ งที่เก่ยี วกับประเทศ ไม่วา่ จะจัดพิมพ์ในประเทศใด ภาษา ใด ท้ังนี้เป็นการอนุรักษ์สื่อความรู้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินทาง ปัญญาของชาติมิให้สูญไป และให้มีไว้ใช้ในอนาคต นอกจากรวบรวมสิ่งพิมพ์ในประเทศแล้ว ก็มี หน้าที่รวบรวมหนังสือท่ีมีคุณค่า ซึ่งพิมพ์ในประเทศอื่นไว้เพ่ือการ ค้นคว้าอ้างอิง ตลอดจนทําหน้าท่ี เป็นศูนย์รวบรวมบรรณานุกรมต่าง ๆ และจัดทําบรรณานุกรมแห่งชาติออก เผยแพร่ให้ทราบทั่ว กันว่ามีหนังสืออะไรบ้างที่ผลิตข้ึนในประเทศ หอสมุดแห่งชาติจึงเป็นแหล่งให้บริการทาง ความรู้แก่ คนท้ังประเทศ ชว่ ยเหลือการคน้ ควา้ วจิ ยั ตอบคาํ ถาม และให้คําแนะนําปรกึ ษาเกย่ี วกบั หนังสอื 2. ห้องสมดุ ประชาชน หอ้ งสมดุ ประชาชนดําเนินการโดยรัฐ อาจจะ เป็นรฐั บาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น หรือเทศบาล แล้วแต่ระบบ การปกครอง ตามความหมายเดิม ห้องสมุดประชาชนเป็น ห้องสมุดที่ประชาชนต้องการให้มีในชุมชนหรือเมืองที่ เขา อาศัยอยู่ ประชาชนจะสนับสนุนโดยยินยอมให้รัฐบาลจ่ายเงิน รายได้จากภาษีต่าง ๆ ในการจัดตั้งและ ดําเนินการห้องสมุด ประเภทน้ีให้เป็นบริการของรัฐ จึงมิได้เรียกค่าตอบแทน เช่น ค่าบํารุงห้องสมุด หรือค่าเช่า หนังสือ ท้ังนี้เพราะถือว่าประชาชนได้บํารุงแล้ว โดยการเสียภาษีรายได้ให้แก่ ประเทศ หน้าที่ของห้องสมุด ประชาชนก็คือ ให้บริการหนังสือและส่ืออ่ืน ๆ เพื่อการศึกษาตลอดชีวิต บริการข่าวและเหตุการณ์ ต่าง ๆ ท่ี ประชาชนควรทราบ ส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและการรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ให้ ข่าวสาร ข้อมูลท่ี จําเปน็ ตอ้ งใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านและการพัฒนาด้านตา่ ง ๆ 3. ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยและวิทยาลยั
คมู่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 18 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย เป็นห้องสมุดท่ีตั้งอยู่ในสถานศึกษาระดับ อุดมศึกษา ทําหน้าท่ีส่งเสริมการเรียนการสอนตามหลักสูตร โดยการจดั รวบรวมหนังสือและสอ่ื ความรอู้ ืน่ ๆ ในหมวดวิชา ตา่ ง ๆ ตามหลกั สูตร ชว่ ยเหลอื ในการคน้ คว้าวิจัยของ อาจารย์ และนักศึกษา ส่งเสริมพัฒนาการทางวชิ าการของอาจารย์ และนักศึกษา และช่วยจัดทําบรรณานุกรมและ ดรรชนีสาํ หรบั ค้นหาเรื่องราวทีต่ ้องการ แนะนาํ นกั ศึกษาในการใชห้ นงั สอื อ้างอิงบตั รรายการ 4. ห้องสมดุ โรงเรียน เป็นห้องสมุดทต่ี ้ังอยใู่ นโรงเรยี นมัธยมและโรงเรียนประถมศึกษา มีหน้าท่ีส่งเสริมการ เรียนการสอนตาม หลกั สตู ร โดยการรวบรวมหนงั สือและสื่อ ความรู้อ่ืน ๆ ตามรายวิชา แนะนํา สอนการใช้ห้องสมุดแก่ นักเรียน จัด กจิ กรรมส่งเสริมนสิ ัยรกั การอ่าน แนะนําให้ร้จู ัก หนงั สือท่ีควรอ่าน ให้รู้จักวธิ ศี กึ ษาค้นคว้าหาความร้ดู ้วย ตนเอง ให้ รู้จักรักและถนอมหนังสือ และเคารพสิทธิของผู้อื่น ในการใช้ห้องสมุดและยืมหนังสือซึ่งเป็นสมบัติของทุกคน รว่ มกนั ร่วมมือกบั ครอู าจารยใ์ นการจดั ชวั่ โมงใช้ห้องสมุด จัดหนังสือ และสื่อการสอนอื่น ๆ ตามรายวิชาให้แก่ครู อาจารย์ 5. ห้องสมุดเฉพาะ เปน็ ห้องสมุดซึง่ รวบรวมหนงั สือในสาขาวิชาบางสาขาโดยเฉพาะมกั เป็นสว่ นหน่ึงของหน่วยราชการ องค์การ บริษัทเอกชน หรอื ธนาคารทําหน้าท่จี ัดหาหนงั สือและใหบ้ รกิ ารความรู้ ข้อมูลและข่าวสารเฉพาะเรอื่ งที่เก่ียวข้องกับการดําเนินงานของหน่วยงาน น้ันๆหอ้ งสมดุ เฉพาะจะเนน้ การรวบรวมรายงานการคน้ ควา้ วิจัยวารสารทางวิชาการและเอกสารเฉพาะเรื่องที่ผลิตเพ่ือการใช้ใน กลุ่ม นักวิชาการบรกิ ารของหอ้ งสมดุ เฉพาะจัดพมิ พ์ข่าวสารเก่ียวกบั ส่ิงพิมพเ์ ฉพาะเรอ่ื งสง่ ใหถ้ ึงผู้ใช้ จดั สง่ เอกสารและเร่ืองย่อของเอกสาร เฉพาะเรื่องให้ถึงผู้ใช้ตามความสนใจเปน็ รายบุคคล ความสาคญั ของหอ้ งสมดุ ประชาชน ห้องสมุดประชาชนมีความสําคัญเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาคนในชุมชน และของประเทศ ในทุกด้าน ดังนี้ 1. เป็นแหล่งกลางในการจัดหารวบรวม และบริการข้อมูลข่าวสารสําคัญท่ีทันเหตุการณ์ และความ เคลื่อนไหวของโลกท่ปี รากฏในรปู ลักษณต์ ่าง ๆ มาไว้บริการแก่ประชาชน 2. เป็นแหล่งเรียนรู้การศึกษาตามอัธยาศัยท่ีให้พ้ืนฐานความคิดของประชาชนโดย ส่วนรวมและเป็น พ้ืนฐานความเตบิ โตทางสตปิ ัญญาและวฒั นธรรมอยา่ งต่อเนือ่ งตลอดชีวิต 3. เปน็ ศูนย์ข้อมูลชมุ ชนในการส่งเสรมิ กจิ กรรมด้านการศึกษาและวฒั นธรรมของชมุ ชน 4. เป็นแหลง่ กลางทจ่ี ะปลกู ฝังใหป้ ระชาชนมนี สิ ัยรักการอ่าน การศึกษาค้นควา้ หาความรู้ การศกึ ษาวิจัย 5. เปน็ แหล่งท่ปี ระชาชนสามารถใช้หนังสือ สอื่ ความรู้ตา่ ง ๆ ให้เป็นประโยชน์อยา่ งเต็มที่ ตามความตอ้ งการ 6. เปน็ แหลง่ สนับสนุนการเผยแพร่ความรู้ ความคิด ทศั นคติ ประสบการณใ์ นรูปแบบ ของสื่อตา่ งๆ
คู่มอื พัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 19 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 7. เปน็ แหล่งการเรียนรทู้ ่ีเชื่อมโยงการศึกษานอกระบบการศกึ ษาในระบบและเช่อื มโยงแหล่งเรยี นรู้ต่าง ๆ 3 ทักษะการเข้าถึงสารเทศของห้องสมุดประชาชน ปัจจุบนั ความกา้ วหน้าของเทคโนโลยี ชว่ ยลดขน้ั ตอนการหาข้อมลู ของห้องสมุดประชาชน ผู้เรียนสามารถ คน้ หาได้จากอินเทอร์เนต็ วา่ มหี อ้ งสมดุ ประชาชนท่ีใดบ้าง สถานที่ตั้ง เวลาเปิด-ปิด หมายเลขโทรศัพท์ กิจกรรมท่ี ให้บริการ ชว่ ยใหผ้ ้ใู ชส้ ะดวกและสามารถเข้าถึงห้องสมุดได้ง่าย หอ้ งสมดุ ทุกประเภททุกชนดิ จะมีการจัดระบบหมวดหมู่ของสารสนเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ สําคัญเพ่ือให้ ประชาชนเขา้ ถึงสิ่งทีต่ ้องการสนใจได้ง่าย สะดวกรวดเรว็ และสะดวกในการบรหิ าร จัดการหอ้ งสมุดเพ่อื การบริการ กลุ่มเปูาหมายในระยะยาว ระบบหมวดหมู่ที่ห้องสมุดนํามาใช้จะเป็นระบบสากลท่ีท่ัวโลกใช้ และเหมาะกับกลุ่ม เปูาหมายเข้าถึงได้ งา่ ย ระบบทนี่ ยิ มใชใ้ นประเทศไทยเปน็ ส่วนใหญ่ มี 2 ระบบ ได้แก่ ระบบทศนยิ ม ของดิวอ้ี ซง่ึ ใช้ตัวเลขอารบิกเป็น สญั ลักษณ์ แทนหมวดหมู่สารสนเทศ นิยมใช้ในห้องสมุดประชาชน กับอีกระบบหน่ึง ได้แก่ระบบรัฐสภาอเมริกัน ใช้อักษรโรมนั (A-Z) เปน็ สัญลกั ษณ์ นิยมใช้ในหอ้ ง สมดุ มหาวทิ ยาลยั ระบบทศนิยมของดิวอ้ี แบ่งความรู้ในโลกออกเป็นหมวดหมู่จากหมวดใหญ่ไปหาหมวดย่อย จากหมวด ย่อยแบ่งเป็นหมยู่ อ่ ย และหมูย่ ่อยๆ โดยใช้เลขอารบิก 0-9 เปน็ สัญลักษณ์ ดงั น้ี 000 สารวิทยาความรูเ้ บ็ดเตล็ดทว่ั ไป 500 วทิ ยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตรบ์ รสิ ุทธิ)์ 100 ปรัชญาและวิชาท่ีเกย่ี วข้อง 600 เทคโนโลยี (วิทยาศาสตร์ประยกุ ต์) 200 ศาสนา 700 ศลิ ปกรรมและการบันเทิง 300 สงั คมศาสตร์ 800 วรรณคดี 400 ภาษาศาสตร์ 900 ภูมิศาสตรแ์ ละประวัตศิ าสตร์ ระบบรัฐสภาอเมริกา (Library of Congress Classification) ห้องสมุดมหาวิทยาลัยในประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ซ่ึงปรับปรุง และพัฒนา โดย เฮอร์เบิร์ด พัทนมั (Herbirt Putnum) เม่ือปี พ.ศ. 2445 ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกันแบ่งหมวดหมู่วิชาออกเป็น 20 หมวด ใช้อักษรโรมันตัวใหญ่ A-Z ยกเว้น ตัวอักษร I, O, W, X, Y เพ่ือสําหรับการขยายหมวดหมู่วิชาการใหม่ ๆ ในอนาคต ตารางการแบง่ หมวดหม่หู นงั สือระบบหอสมดุ อเมริกนั แบ่งหมวดหมวู่ ิชาการเป็น 20 หมวดใหญ่ ดังน้ี เรอื่ งที่ 4 : การใช้แหลง่ เรยี นรสู้ าํ คัญๆ ภายในประเทศ 1. หมวด A : ความร้ทู ั่วไป 9. หมวด K : กฎหมาย 2. หมวด B : ปรัชญา ศาสนา 10. หมวด L : การศกึ ษา 3. หมวด C : ประวัติศาสตร์ 11. หมวด M : ดนตรี 4. หมวด D : ประวัตศิ าสตร์สากล 12. หมวด N : ศิลปกรรม 5. หมวด E-F : ประวตั ศิ าสตร์อเมรกิ า 13. หมวด P : ภาษาและวรรณคดี 6. หมวด G : ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา คติชน 14. หมวด Q : วิทยาศาสตร์ วิทยา 15. หมวด R : แพทยศาสตร์ 7. หมวด H : สงั คมศาสตร์ 16. หมวด S : เกษตรศาสตร์ 8. หมวด J : รัฐศาสตร์ 17. หมวด T : เทคโนโลยี
คูม่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณ์โควิด-19 20 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย 18. หมวด U : วชิ าการทหาร 20. หมวด Z : บรรณารักษศาสตร์ 19. หมวด V : นาวกิ ศาสตร์ สําหรับห้องสมุดประชาชนซ่ึงผู้ใช้บริการเป็นประชาชนท่ัวไป การจัดหมวดหมู่หนังสือ นอกจาก ระบบ ดังกล่าวแล้ว ยังมีช่ือหมวดหนังสือและสื่อเพ่ือเพิ่มความสะดวกในการค้นหา เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี ประวตั ิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กฬี า นนั ทนาการ เป็นตน้ ห้องสมุดประชาชน เฉลมิ ราชกมุ ารี ในโอกาสม่ิงมงคลสมัยท่ีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระ ชนมายุ 36 พรรษา เมื่อปีพุทธศักราช 2534 กระทรวงศึกษาธกิ ารได้รับพระราชทานพระราชานญุ าต ให้ดําเนินโครงการจัดต้ัง ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และเพื่อสนอง แนวทางพระราชดําริในการส่งเสริม การศึกษาสาํ หรับประชาชนทไี่ ดท้ รงแสดงในโอกาสตา่ ง ๆ บทบาทหน้าท่ี 1. ศูนย์ข่าวสารข้อมูลของชุมชน หมายถึง การจัดห้องสมุดให้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ ค้นคว้า วิจัย โดยมีการจัดบริการหนังสือ เอกสารส่ิงพิมพ์ ส่ือโสตทัศน์ ตลอดจนการจัดทําทําเนียบ และการแนะแนวแหล่ง ความรอู้ ่ืนๆ ทีผ่ ใู้ ชบ้ รกิ ารสามารถไปศึกษาเพ่ิมเติม 2. ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ของชุมชน หมายถึง การเป็นแหล่งส่งเสริม สนับสนุน และจัด กิจกรรมการ เรียนรู้ที่หลากหลาย โดยห้องสมุดอาจดําเนินการเอง หรือประสานงานอํานวยความสะดวก ให้ชุมชน หรือ หน่วยงานภายนอกมาจัดดาํ เนนิ การ กิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดข้ึนจะให้ความสําคัญแก่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการ อ่าน การแนะแนว การศึกษา และการพัฒนาอาชีพ การสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเอง การจัดการศึกษานอก โรงเรียน สายสามัญ การจัดกลุ่มสนใจและชั้นเรียนวิชาชีพ การส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศัยในรูปของ นิทรรศการ การอภิปรายการเรียนรู้ระหว่างสมาชิกในครอบครัว การถ่ายทอดความรู้จากผู้รู้ในชุมชน และการ แสดงภาพยนตรแ์ ละสอ่ื โสตทัศน์ 3. ศนู ยก์ ลางจัดกจิ กรรมของชุมชน หมายถึง การให้บริการแก่ชุมชนในการจัดกิจกรรม การศึกษาและ ศลิ ปวัฒนธรรม เช่น การประชุมขององค์กรท้องถ่ินและชมรมตา่ งๆ การจัดนทิ รรศการ การแสดงผลิตภัณฑ์ การจัด กจิ กรรมวันสําคญั ตามประเพณี การจัดสวนสขุ ภาพ สนามเด็กเลน่ และ สวนสาธารณะ เป็นตน้ 4. ศูนย์กลางสนับสนุนเครือข่ายการเรียนรู้ในชุมชน หมายถึง การจัดให้เกิดกระบวน การท่ีจะเช่ือม ประสานระหว่างห้องสมุดและแหล่งความรู้ในชุมชนอ่ืนๆ เช่นที่อ่านหนังสือประจําหมู่บ้าน สถานศึกษา แหล่ง ประกอบการ ภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน ด้วยการผลิตและเผยแพร่เอกสารสิ่งพิมพไ์ ป สนบั สนุนเวียนหนังสือจัดทําทําเนียบ ผู้ร้ใู นชมุ ชน จัดกิจกรรมเพื่อใหเ้ กดิ การแลกเปล่ยี นเรียนรรู้ ะหว่าง ชมุ ชน เป็นต้น ห้องสมุดวทิ ยาลัยและมหาวิทยาลัย ห้องสมุดวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย เป็นแหล่งเรียนรู้หลักในสถาบันอุดมศึกษา มีบทบาท หน้าที่ส่งเสริม การเรียนการสอนตามหลักสูตรท่ีเปิดในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยน้ัน ๆ เป็นสําคัญ โดยการจัดรวบรวมหนังสือ และสื่อความรู้อื่น ๆ ในสาขาวิชาตามหลักสูตร ส่งเสริมช่วยเหลือการ ค้นคว้าวิจัยของอาจารย์และนักศึกษา ส่งเสริมพัฒนาการทางวิชาการของอาจารย์และนักศึกษาโดย จัดให้ มีแหล่งความรู้ และช่วยเหลือจัดทํา บรรณานุกรมและดรรชนีสาํ หรับคน้ หาเรือ่ งราวท่ีต้องการ บทบาทและหน้าที่
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควิด-19 21 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 1. ดาํ เนินการจัดหา รวบรวม และสงวนรักษาทรัพย์สินทางปัญญา วิทยาการ ศิลปกรรม และวัฒนธรรม ของชาตใิ นรูปของหนังสือตัวเขยี น เอกสารโบราณและจารึก หนังสือตัวพิมพ์ ส่ือสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และส่ือ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ที่ผลติ จากในประเทศและต่างประเทศ 2. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ดําเนินงานด้านเทคนิควิชาการบรรณารักษศาสตร์ สารนิเทศศาสตร์ และ เทคโนโลยีสารนิเทศตามหลักมาตรฐานสากล ตลอดจนให้การฝึกอบรมแก่ บุคลากรของหน่วยงาน และ สถาบนั การศกึ ษาทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ 3. ให้บริการการอ่าน ศึกษาค้นคว้า และวิจัยแก่ประชาชนเพ่ือให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ตลอดชีวิตและ การศึกษาตามอธั ยาศยั 4. เป็นศนู ย์ประสานงานระบบสารนิเทศทางวชิ าการแหง่ ชาติ 5. เปน็ ศนู ยข์ อ้ มลู วารสารระหวา่ งชาติแหง่ ประเทศไทย และภมู ิภาคเอเซยี ตะวนั ออก เฉียงใต้ ศูนย์กําหนด เลขมาตรฐานสากลประจําหนงั สอื และวารสาร ศูนยก์ าํ หนดรายละเอยี ดทาง บรรณานุกรมของหนังสือท่ีจัดพิมพ์ใน ประเทศ และเปน็ ศูนยก์ ลางแลกเปลยี่ นและยืมส่งิ พิมพใ์ นระดบั ชาติและนานาชาติ อุทยานการศกึ ษา อุทยานการศึกษา (Educational) หมายถึง การออกแบบระบบการศึกษาเพ่ืออํานวยความ สะดวกและ บริการแกป่ ระชาชนในทอ้ งถ่ินในเขตเมือง เป็นการบริการท่ีผสมผสานระหว่างการพักผ่อน หย่อนใจกับการศึกษา ตามอัธยาศัย เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีความ เห็นแตกต่างกันในเร่ืองของนิยามของ “อุทยานการศึกษา” ซ่งึ สามารถสรุปได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ก. กลุ่มพัฒนาการนิยม จัดอุทยานการศึกษาเพ่ือปัญหาการขาดแคลนวัสดุ อุปกรณ์ อาคารสถานที่ ส่ิงแวดล้อมและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหายากไว้ในที่เดียวกัน โดยจัดเป็นสถาน ศึกษาขนาดใหญ่ท่ี สามารถใหก้ ารศึกษาในหลกั สูตรที่จัดไมไ่ ด้ในโรงเรยี นปกติ เพราะขาดทรพั ยากร การศกึ ษาเพือ่ เอื้ออํานวย โอกาสทางการศึกษาแก่นักศึกษา นักเรียนทุกระดับช้ัน ประชาชนทั่วไปท้ังใน และนอกเวลาเรียนปกติ เป็นการตอบสนองตอ่ การใหก้ ารศึกษาทงั้ ในระบบ นอกระบบ และการศึกษา ตลอดชีวติ ข. กลุ่มมนุษยนิยม มีการจัดอุทยานการศึกษาเพ่ือแก้ปัญหาการขาดแคลนวัสดุ อุปกรณ์ อาคารสถานที่ ส่ิงแวดล้อมและบุคลากรทีม่ คี วามเชี่ยวชาญ หายากไว้ในที่เดียวกันคล้ายกับกลุ่ม พิพัฒนาการนิยม แต่ใน อุทยานการศกึ ษาของกล่มุ มนษุ ยนยิ ม เนน้ ให้มสี ว่ นบริเวณทรี่ ่มร่ืนเป็นท่ี พักผ่อนแก่ผู้ใช้อุทยานการศึกษา เพิม่ ขึน้ อกี ส่วนหนงึ่ 5 การใช้แหล่งเรยี นรผู้ ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต อินเทอร์เนต็ (Internet) คืออะไร ถา้ จะถามวา่ อนิ เทอร์เน็ต (Internet) คอื อะไร ก็คงจะตอบไดไ้ มช่ ัดเจน คงตอบได้ กว้างๆ ว่า คอื 1) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) ขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากนํา เอาคอมพิวเตอร์และ เครือข่ายคอมพิวเตอร์จากท่ัวโลกมาเช่ือมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียวกันโดยใช้ข้อ ตกลงในการส่ือสารระหว่าง คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายหรือใช้ภาษาสื่อสารหลัก (Protocol) เดียวกัน คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) 2) เป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ใช้เป็นเคร่ืองมือในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เกือบทุกประเภท เป็น เครอ่ื งมอื สื่อสารของคนทุกชาติ ทุกภาษาทว่ั โลก และ
คูม่ อื พัฒนาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควิด-19 22 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 3) เป็นเสอื่ (Media)เผยแพร่ขอ้ มูลได้หลายประเภท เช่น ส่อื ส่ิงพมิ พ์,ส่อื โทรทัศน์ สอ่ื วทิ ยุ ส่ือโทรศัพท์ เปน็ ต้น อินเทอรเ์ นต็ สาคัญอย่างไร เทคโนโลยีสนเทศ (Information Technology) หลายประเทศทั่วโลกกําลังให้ความสําคัญ เทคโนโลยี สารสนเทศ หรือเรยี กโดยยอ่ ว่า “ไอที (IT) ซ่ึงหมายถึงความรู้ในวิธีการประมวลผล จัดเก็บ รวบรวม เรียกใช้ และ นาํ เสนอข้อมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือที่จําเป็นต้องใช้สําหรับ งานไอที คือคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ ส่ือสาร โทรคมนาคม โครงสรา้ งพน้ื ฐานด้านการสอ่ื สาร ไมว่ ่า จะเป็นสายโทรศัพท์ ดาวเทียม หรือเคเบิ้ลใยแก้วนํา แสง อินเทอร์เนต็ เปน็ เคร่ืองมือสําคัญอย่างหน่ึง ในการประยุกต์ใช้ไอที หากเราจําเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารใน การทาํ งานประจาํ วัน อินเทอรเ์ น็ตจะ เปน็ ชอ่ งทางที่ทําใหเ้ ราเข้าถงึ ขอ้ มูลข่าวสารหรือเหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆ ทวั่ โลกทีเ่ กดิ ข้ึนได้ในเวลา อันรวดเรว็ ในปัจจบุ ันสามารถสืบค้นข้อมูลได้ง่ายๆ กว่าสื่ออ่ืนๆ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่ง รวบรวมข้อมูล แหล่งใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นที่รวมท้ังบริการเครื่องมือสืบค้นข้อมูลหลายประเภท จนกระท่ัง กลา่ ว ไดว้ า่ อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสําคัญอย่างหน่ึงในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในระดับ บุคคล และองค์กร ความหมายของอนิ เทอรเ์ น็ต อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ : Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ท่ีมีการ เชื่อมต่อระหว่าง เครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาท่ีใช้สื่อการกันระหว่างคอมพิวเตอร์ท่ี เรียกว่า โพรโทรคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายน้ีสามารถส่ือสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล์ (E-mail), เว็บบอร์ด (Web bord), แชทรูม (Chat room) การสบื คน้ ข้อมลู และขา่ วสารต่างๆ รวมท้งั คัดลอกแฟมู ข้อมลู และโปรแกรมมาใชไ้ ด้ หนา้ ทแ่ี ละความสาคญั ของแหล่งเรยี นรูอ้ นิ เทอร์เน็ต การสื่อสารในยคุ ปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเปูาหมาย จํานวนมากๆ ไดใ้ นเวลาอันรวดเรว็ และใช้ตน้ ทุนในการลงทนุ ตํ่า เปน็ สิง่ ท่ีพึงปรารถนาของทกุ หนว่ ยงาน และอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อ ทีส่ ามารถตอบสนองต่อความต้องการดงั กล่าวได้ จงึ เปน็ ความจําเป็นท่ีทุกคน ต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้า กบั เทคโนโลยีใหมน่ ้ี เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ดงั กล่าวอยา่ งเต็มที่ อินเทอร์เนต็ ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐาน การส่ือสารเดียวกัน เพ่ือใชเ้ ป็นเครอื่ งมอื สอื่ สารและสบื คน้ สารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ท่ัวโลก ดังนั้น อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวม สารสนเทศจากทุกมุมโลก ทกุ สาขาวิชา ทุกดา้ น ทัง้ บันเทงิ และวชิ าการ ตลอดจนการประกอบธุรกจิ ต่างๆ
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 23 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เรอ่ื งที่ 3 การจดั การความรู้ 1 แนวคิดเกย่ี วกับการจัดการความรู้ ความหมายของการจดั การความรู้ การจดั การ (Management) หมายถึง กระบวนการในการเข้าถงึ ความรู้ และการถ่ายทอด ความรู้ท่ีต้อง ดาํ เนินการว่ มกันกบั ผูป้ ฏบิ ัติงาน ซง่ึ อาจเรมิ่ ต้นจากการบ่งช้คี วามรู้ท่ตี ้องการใช้ การ สรา้ งและแสวงหาความรู้ การ ประมวลเพือ่ กลัน่ กรองความรู้ การจัดการความรใู้ หเ้ ปน็ ระบบ การ สรา้ งชอ่ งทางเพื่อการส่ือสารกบั ผ้เู กี่ยวข้อง การ แลกเปลย่ี นความรู้ การจัดการสมัยใหมก่ ระบวนการ ทางปัญญาเป็นส่ิงสําคัญในการคิด ตัดสินใจ และส่งผลให้เกิด การกระทํา การจดั การจึงเนน้ ไปท่ี การปฏิบัติ
ค่มู อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควดิ -19 24 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่ควบคู่กับการปฏิบัติ ซ่ึงในการปฏิบัติจําเป็น ต้องใช้ความรู้ท่ี หลากหลายสาขาวิชามาเชื่อมโยงบูรณาการเพ่ือการคิดและตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ จุดกําเนิดของความรู้คือ สมองของคน เปน็ ความร้ทู ีฝ่ ังลกึ อยูใ่ นสมอง ชแ้ี จงออกมาเป็นถ้อยคําหรือ ตัวอักษรได้ยาก ความรู้นั้นเมื่อนําไปใช้ จะไมห่ มดไป แตจ่ ะยงิ่ เกดิ ความรู้เพิ่มพนู มากขึน้ อยู่ในสมอง ของผปู้ ฏิบตั ิ ในยุคแรก ๆ มองว่า ความรู้ หรือทุนทางปัญญา มาจากการจัดกระบวนการตีความ สารสนเทศ ซึ่ง สารสนเทศกม็ าจากการประมวลขอ้ มูล ขัน้ ของการเรียนรู้ เปรียบดังปิระมิดตามรปู แบบนี้ ความสาคัญของการจัดการความรู้ หัวใจของการจดั การความรู้ คอื การจัดการความรู้ท่ีอยู่ในตัวบุคคล โดยเฉพาะบุคคลท่ีมี ประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานจนงานประสบผลสําเร็จ กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่าง คนกับคน หรือกลุ่มกับกลุ่ม จะ ก่อใหเ้ กิดการยกระดบั ความร้ทู ่ีส่งผลต่อเปูาหมายของการทํางาน นั่นคือเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของงาน คน เกิดการพฒั นา และสง่ ผลตอ่ เนือ่ งไปถงึ องคก์ รเป็น องค์กรแหง่ การเรียนรู้ ผลทเี่ กิดขนึ้ กบั การจัดการความรู้จึงถือว่า มคี วามสาํ คญั ตอ่ การพฒั นาบุคลากร ในองคก์ ร ซ่ึงประโยชน์ทจ่ี ะเกิดขน้ึ ต่อบุคคล กลุ่ม หรือองค์กร มีอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1. ผลสัมฤทธ์ิของงาน หากมีการจัดการความรู้ในตนเอง หรือในหน่วยงาน องค์กร จะเกิด ผลสําเร็จท่ี รวดเร็วย่ิงข้ึน เนื่องจากความรู้เพื่อใช้ในการพัฒนางานน้ันเป็นความรู้ที่ได้จากผู้ท่ีผ่านการ ปฏิบัติโดยตรง จึง สามารถนํามาใช้ในการพัฒนางานได้ทันที จะเกิดนวัตกรรมใหม่ในการทํางาน ท้ัง ผลงานท่ีเกิดขึ้นใหม่ และ วฒั นธรรมการทํางานรว่ มกนั ของคนในองค์กรท่ีมีความเออื้ อาทรตอ่ กัน 2. บคุ ลากร การจัดการความรู้ในตนเองจะส่งผลให้คนในองค์กรเกิดการพัฒนาตนเอง และส่งผลรวมถึง องค์กร กระบวนการเรียนร้จู ากการแลกเปลยี่ นความรรู้ ่วมกนั จะทาํ ใหบ้ ุคลากรเกิด ความม่นั ใจในตนเอง เกิดความ เปน็ ชุมชนในหม่เู พือ่ นร่วมงาน บุคลากรเป็นบคุ คลเรียนรแู้ ละสง่ ผล ให้องคก์ รเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อกี ดว้ ย 3. ยกระดับความรขู้ องบุคลากรและองคก์ ร การแลกเปลย่ี นเรียนรู้ จะทําให้บุคลากรมี ความรู้เพ่ิมข้ึนจาก เดิม เห็นแนวทางในการพัมนางานที่ชดั เจนมากขึน้ และเมอ่ื นาํ ไปปฏิบัติจะทําให้ บุคลากรและองค์กรมีองค์ความรู้ เพอื่ ใช้ในการปฏิบัติงานในเรื่องท่สี ามารถนาํ ไปปฏบิ ัติได้ มอี งค์ ความรู้ทจี่ ําเปน็ ต่อการใชง้ าน และจดั ระบบให้อยู่ใน สภาพพรอ้ มใช้
คู่มอื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณ์โควดิ -19 25 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2 รปู แบบและกระบวนการในการจัดการความรู้ รปู แบบการจัดการความรู้ การจัดการความรู้นั้นมีหลายรูปแบบ หรือท่ีเรียกกันว่า “โมเดล” มีหลากหลายโมเดล หัวใจ ของการ จัดการความรู้ คอื การจัดการความร้ทู อี่ ยใู่ นตวั คนในฐานะผปู้ ฏิบัตแิ ละเป็นผมู้ ีความรู้ การ จัดการความรู้ท่ีทําให้คน เคารพในศักด์ิศรีของคนอ่นื การจดั การความรู้นอกจากการจัดการความรู้ใน ตนเองเพ่ือให้เกิดการพัฒนางานและ พัฒนาตนเองแล้ว ยังมองรวมถึงการจัดการความรู้ในกลุ่มหรือ องค์กรด้วยรูปแบบการจัดการความรู้จึงอยู่บน พื้นฐานของความเชอ่ื ที่วา่ ทกุ คนมคี วามรู้ ปฏิบตั ใิ น ระดบั ความชํานาญทตี่ ่างกัน เคารพความรทู้ อี่ ยู่ในตวั คน กระบวนการจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการแบบหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรเข้าถึงขั้นตอน ที่ทําให้เกิดการ จัดการความรู้ หรอื พัฒนาการของความรูท้ จี่ ะเกดิ ขึน้ ภายในองคก์ ร มขี ้ันตอน 7 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การบ่งชีค้ วามรู้ เปน็ การพจิ ารณาว่า เปูาหมายการทํางานของเราคืออะไร และเพื่อให้ บรรลุเปูาหมาย เราจําต้องรู้อะไร ขณะน้ีเรามคี วามรู้อะไร อยใู่ นรูปแบบใด อยู่กับใคร 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เป็นการจัดบรรยากาศและวัฒนธรรมการทํางานของคน ในองค์กรเพื่อ เอ้ือให้คนมีความกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยนความรู้ซง่ึ กันและกัน ซงึ่ จะก่อให้เกดิ การสร้างความร้ใู หม่เพ่ือใช้ใน การพัฒนาอย่ตู ลอดเวลา 3. การจัดการความรใู้ หเ้ ปน็ ระบบ เปน็ การจดั ทาํ สารบญั และจัดเกบ็ ความรู้ประเภทต่าง ๆ เพ่ือให้การเก็บ รวบรวมและการค้นหาความรู้ นํามาใช้ได้ง่ายและรวดเรว็ ย 4. การประมวลและกลน่ั กรองความรู้ เป็นการประมวลความรใู้ หอ้ ยู่ในรูปเอกสาร หรือ รูปแบบอ่ืน ๆ ที่มี มาตรฐาน ปรับปรุงเน้อื หาให้สมบูรณ์ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและใชไ้ ดง้ า่ ย 5. การเขา้ ถึงความรู้ เป็นการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ เข้าถึงความรู้ ได้ง่ายและสะดวก เช่นใชเ้ ทคโนโลยี เว็บบอรด์ หรือบอร์ดประชาสมั พันธ์ เป็นตน้ 6. การแบ่งปันแลกเปล่ียนความรู้ ทําให้หลายวิธีการ หากเป็นความรู้เด่นชัด อาจจัดทํา เป็นเอกสาร ฐานความร้ทู ใี่ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ หากเป็นความรู้ฝังลึกท่ีอยู่ในตัวคน อาจจัดทําเป็น ระบบแลกเปล่ียนความรู้ เป็นทีมข้ามสายงาน ชุมชนแห่งการเรียนรู้ พ่ีเลี้ยงสอนงาน การสับเปลี่ยน งาน การยืมตัวเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ เป็นตน้ 7. การเรยี นรู้ การเรยี นรู้ของบคุ คลจะทาํ ให้เกิดความรใู้ หม่ๆ ข้ึนมากมาย ซ่ึงจะไปเพม่ิ พูน องค์ความรู้ของ องค์กรท่ีมีอยู่แล้วให้มากข้ึนเร่ือย ๆ ความรู้เหล่าน้ีจะถูกนําไปใช้เพื่อสร้างความรู้ใหม่ ๆ เป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด เรียกวา่ เป็น “วงจรแหง่ การเรยี นรู้” 3 การรวมกลมุ่ เพอ่ื ต่อยอดองคค์ วามรู้ บุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการจดั การความรู้ ในการจัดการความรู้ด้วยวิธีการรวมกลุ่มปฏิบัติการเพ่ือต่อยอดความรู้ การแลกเปล่ียน เรียนรู้เพื่อดึง ความรู้ที่ฝังลึกในตัวบุคคลออกมาแล้วสกัดเป็นขุมความรู้ หรือองค์ความรู้เพื่อใช้ในการ ปฏิบัติงานนั้น จะต้องมี บคุ คลท่ีสง่ เสรมิ ให้เกิดการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ ในบรรยากาศของการมีใจใน การแบ่งปันความรู้ รวมท้ังผู้ท่ีทําหน้าที่ กระตุน้ ใหค้ นอยากท่ีจะแลกเปล่ยี นเรยี นร้ซู ง่ึ กันและกนั บคุ คล ทสี่ ําคัญและเกย่ี วข้องกบั การจัดการความรู้
คมู่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณ์โควิด-19 26 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย การเผยแพรค่ วามรู้ เป็นการนําความรู้ท่ีได้รับมาถ่ายทอดให้บุคลากรในองค์กรได้รับทราบ และให้มีความรู้ เพียงพอต่อการ ปฏิบตั ิงาน การเผยแพร่ความรจู้ ึงเป็นองคป์ ระกอบหนงึ่ ของการจัดการความรู้ การ เผยแพร่ความรู้มีการปฏิบัติกัน มานานแลว้ สามารถทาํ ใหห้ ลายทางคอื การเขยี นบันทึก รายงาน การฝึกอบรม การประชุม การสัมนา จัดทําเป็น บทเรียนท้ังในรูปแบบของหนงั สอื บทความ วดิ ิทศั น์ การอภปิ รายของเพ่อื นรว่ มงานในระหว่างการปฏิบัติงาน การ อบรมพนักงานใหม่อย่างเป็นทางการ ห้องสมุด การฝึกอบรมอาชีพและการเป็นพ่ีเล้ียง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน รปู แบบอน่ื ๆ เชน่ ชุมชนนักปฏิบัติ เร่ืองเล่าแห่งความสําเร็จ การสัมภาษณ์ การสอบถาม เป็นต้น การถว่ายทอด หรือ เผยแพรค่ วามรู้ มีการพฒั นารูปแบบโดยอาศยั เทคโนโลยเี พอ่ื การสอื่ สาร และเทโนโลยีมีการกระจาย ไปอย่าง กว้างขวาง ทําให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ผ่านเทคโนโลยีโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตได้รับ ความนิยมอย่าง แพร่หลายมากข้นึ การเผยแพร่ความรู้และการใชป้ ระโยชน์ มีความจําเป็นสําหรับองค์กร เนื่องจากองค์กรจะ เรียนรู้ได้ดีขึ้น เม่ือมีความรู้ มกี ารกระจายและถา่ ยทอดไปอยา่ งรวดเร็ว และเหมาะสมทั่วท้ังองค์กร การเคลื่อนท่ีของสารสนเทศ และความรรู้ ะหวา่ งบุคคลหนงึ่ ไปอีกบุคคลหน่งึ นั้น จงึ เป็นไปได้โดยตัง้ ใจ และไมต่ ัง้ ใจ 4 การฝกึ ทกั ษะกระบวนการจดั การความรู้ การจัดการความรู้ด้วยตนเอง การจัดการความรู้ด้วยตนเอง จะทําให้ผู้เรียนเรียนรู้หลักการอันแท้จริงในการพัฒนาตนเอง และจูงใจ ตนเองใหก้ ้าวไปส่กู ารพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตและคุณภาพในการทาํ งาน เปน็ ผู้มสี ัมฤทธผ์ิ ลสงู สดุ โดยการนําองค์ความรู้ ท่ีเปน็ ประโยชน์ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ จริง และการทาํ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวทันต่อโลกยุค โลกาภิวัตน์ มีโอกาสแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและ ประสบการณ์การทํางานร่วมกัน มีทัศนคติท่ีดีต่อ ชีวติ นเองและผอู้ นื่ มคี วามกระตอื รือรน้ และเสรมิ สร้าง ทัศนคติที่ดีต่อการทาํ งาน นําไปสู่การเห็นคุณค่าของการอยู่ ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเกื้อกูล เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ในลักษณะ ของทมี ทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ การจัดการความรู้เปน็ เรือ่ งท่เี ร่ิมตน้ ทค่ี น เพราะความรเู้ ป็นส่ิงท่เี กดิ มาจากคน มาจาก กระบวนการเรียนรู้ การคิดของคน คนจึงมบี ทบาทท้งั ในแงข่ องผู้สรา้ งความรู้และเป็นผู้ท่ีใช้ความรู้ ซึ่ง ถ้าจะมองภาพกว้างออกไปเป็น ครอบครัว ชมุ ชน หรอื แมแ้ ต่ในหนว่ ยงาน ก็จะเห็นไดว้ ่าทง้ั ครอบครัว ชมุ ชน หนว่ ยงาน ล้วนประกอบข้ึนมากจาคน หลาย ๆ คน ดังนั้น หากระดับปัจเจกบุคคลมีความ สามารถในการจัดการความรู้ ย่อมส่งผลต่อความสามารถใน การจัดการความรู้ของกลุ่มดว้ ย วิธีการเรยี นรู้ทเ่ี หมาะสมเพอื่ ใหเ้ กิดการจัดการความรู้ด้วยตนเอง คือให้ผู้เรียนได้เร่ิมกระบวน การเรียนรู้ ต้ังแต่การคิด คิดแล้วลงมือปฏิบัติ และเมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดความรู้จากการปฏิบัติ ซึ่งผู้ ปฏิบัติจะจดจําท้ังส่วนที่ เป็นความร้ฝู งั ลกึ และความรู้ท่ีเปิดเผย มกี ารบนั ทกึ ความรูใ้ นระหวา่ งเรยี นรู้ กิจกรรมหรือโครงการลงในสมุดบันทึก ความรูป้ ฏิบตั ิที่บนั ทกึ ไว้ในรูปแบบตา่ งๆ จะเปน็ ประโยชน์ สําหรับตนเองและผู้อนื่ ในการนําไปปฏิบัติแก้ไขปัญหาท่ี ชุมชนประสบอยู่ให้บรรลุเปูาหมาย และข้ัน สุดท้าย ให้ผู้เรียนได้พัฒนาปรับปรุงส่ิงท่ีกําลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ย้อนดูว่าในกระบวนการเรยี นรู้นัน้ มีความบกพร่องในขน้ั ตอนใด ก็ลงมือพมั นาตรงจดุ นัน้ ให้ดี ทกั ษะการเรียนรู้ เพื่อจดั การความรใู้ นตนเอง
คู่มือพฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 27 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ผู้เรียนจะต้องพัฒนาตนเอง ให้มีความสามารถและทักษะในการจัดการความรู้ด้วยตนเอง ให้มีความรู้ที่ สูงขน้ึ ซึ่งสามารถฝกึ ทักษะเพื่อการเรยี นรไู้ ด้ดงั น้ี 1. ฝึกสังเกต ใช้สายตาและหูเป็นเครื่องมือ การสังเกตจะช่วยให้เข้าใจในเหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์ น้ัน ๆ 2. ฝึกการนาเสนอ การเรียนรู้จะกว้างขึ้นได้อย่างไร หากรู้อยู่คนเดียว ต้องนําความรู้ไปสู่การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอ่ืน การนําเสนอให้คนอ่ืนรับทราบ จะทําให้เกิดการแลกเปล่ียนความรู้กัน อยา่ งกว้างขวาง 3. ฝกึ ต้ังคาถาม คําถามจะเป็นเคร่ืองมืออย่างหน่ึงในการเข้าถึงความรู้ได้ เป็นการต้ังคําถาม ให้ตนเอง ตอบ หรอื จะใหใ้ ครตอบกไ็ ด้ ทาํ ใหไ้ ด้ขยายขอบข่ายความคิด ความรู้ ทําให้รู้สึก และรู้กว้าง ย่ิงขึ้นไป อกี อันเนือ่ งมาจากการทีไ่ ด้ศกึ ษาค้นคว้าในคําถามทีส่ งสัยนัน้ คําถามควรจะถามว่า ทําไม อย่างไร ซึ่ง คาํ ถามระดับสูง 4. แสวงหาคาตอบ ต้องรวู้ ่าความรู้ หรือคําตอบท่ีต้องการน้ันมีแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าได้จาก ท่ีไหนบ้าง เป็นความรูท้ ่อี ย่ใู นหอ้ งสมดุ ในอินเตอร์เนต็ หรือเป็นความรู้ที่อยู่ในตัวคน ที่ต้องไปสัมภาษณ์ ไปสกัด ความรู้ออกมา เปน็ ต้น 5. ฝึกบูรณาการเช่อื มโยงความรู้ เนื่องจากความรู้เร่อื งหน่ึงเรอ่ื งใดไมม่ ีพรมแดนกั้น ความรู้นั้น สัมพันธ์ เชื่อมโยงกันไปหมด จึงจําเป็นต้องรู้ความเป็นองค์รวมของเร่ืองนั้น ๆ อย่างยกตัวอย่างปุ๋ยหมัก ไม่ เฉพาะแตม่ ีความรเู้ รื่องวิธีทําเท่านั้น แต่เชื่อมโยงการกําหนดราคาไว้เพ่ือจะขาย โยงไปที่วิธีใช้ ถ้าจะ นาํ ไปใช้เอง หรอื แนะนําให้ผอู้ ื่นใช้ โยงไปถึงบรรจุภัณฑว์ ่าจะบรรจุกระสอบแบบไหน ทุกอย่าง บูรณา การกันหมด 6. ฝึกบันทึก จะบันทึกแบบจดลงสมุด หรือเป็นภาพ หรือใช้เคร่ืองมือบันทึกใด ๆ ก็ได้ ต้อง บันทึกไว้ บันทึกไว้ปรากฏร่องรอยหลกั ฐานของการคิดการปฏิบัติ เพ่ือการเข้าถึงและการเรียนรู้ของ บุคคลอ่ืน ด้วย 7. การฝกึ เขยี น เขียนรายการของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของตนเองและผู้อ่ืน งานเขียน หรอื ขอ้ เขยี นดังกล่าวจะกระจายไปเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรกู้ ับผูค้ นในสังคมทีม่ าอ่านงานเขยี น เร่อื งที่ 4 คิดเปน็ 1 ทบทวนความเช่อื พืน้ ฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ่ของคนคดิ เปน็ และการเชื่อมโยงไปสปู่ รชั ญาคดิ เป็น การแกป้ ญั หาอย่างเป็นระบบของคนคิดเปน็ “คิดเป็น” เปน็ กระบวนการคดิ และตดั สนิ ใจแก้ปัญหาวิธหี น่ึงของคนทาํ งาน กศน.ทที่ า่ นอาจารย์ ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ อดีตอธิบดีกรมการศกึ ษานอกโรงเรียนและอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้นําเสนอไว้เป็นทิศทางและ หลักการสําคญั ในการดําเนนิ งานโครงการการศึกษาผ้ใู หญ่และการศกึ ษานอกโรงเรียนในสมยั นั้น และใช้เป็นปัญหา ส่องนําทางในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในระยะตอ่ มาดว้ ย “คิดเป็น” ตั้งอยู่บนความเช่ือพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ท่ีเป็นหลักความจริงของมนุษย์ที่ว่า คนเรามี ความหลากหลายแตกตา่ งกัน แต่ทกุ คนต้องการความสุขเป็นเปูาหมายสูงสุด คน กศน.เช่ือว่าปัญหาหรือความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดข้ึนได้ก็สามารถแก้ไขได้ ความทุกข์หรือปัญหาเป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นกับคนมากน้อย หนักเบา ตา่ งกันออกไป เม่ือเกิดปัญหาหรือความทกุ ขค์ นเราก็ต้องพยายามหาทางแก้ปัญหาหรือคลี่คลายความทุกข์ให้หมด
ค่มู อื พฒั นาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณ์โควดิ -19 28 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ไปให้ความสุขกลับคืนมา ความสุขของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ต่อเม่ือมนุษย์กับสภาวะแวดล้อมที่เป็นวิถีชีวิตของตน สามารถปรับตัวกับสภาวะแวดล้อมให้กลมกลืนกันได้น้ี มนุษย์ต้องรู้จักแสวงหาข้อมูลท่ีหลากหลายและเพียงพอ อย่างน้อย 3 ด้านด้วยกัน คือ ข้อมูลด้านวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง และข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมทาง สังคม ชุมชน นํามาวิเคราะห์ศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบและสังเคราะห์เพื่อหาทางเลือกท่ีดีท่ีสุดนํามาใช้ แกป้ ัญหา เราได้เรียนรู้ถึงความเช่ือพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ โดยการทํากิจกรรมร่วมกันทั้ง 5 กิจกรรมแล้วดัง บทสรปุ ทีไ่ ดร้ ว่ มกันเสนอไว้แล้ว ความเช่ือพื้นฐานที่สรุปไว้น้ีคือ ความเชื่อพื้นฐานที่เป็นความจริงในชีวิตของคนท่ี กศน. นํามาเป็นหลักให้คนทาํ งาน กศน. ตลอดจนผู้เรยี นไดต้ ระหนกั และเข้าใจแลว้ นําไปใชใ้ นการดํารงชวี ติ เพ่ือการ คดิ การแกป้ ัญหา การทาํ งานร่วมกบั คนอืน่ การบริหารจัดการในฐานะเป็นนายเป็นผู้นําหรือผู้ตาม ในฐานะผู้สอน ผู้เรียนในฐานะเป็นสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในชุมชนและสังคม เพื่อให้รู้จักตัวเอง รู้จักผู้อ่ืน รู้จักสภาวะ ส่งิ แวดล้อม การคิดการตัดสินใจตา่ ง ๆ ท่คี าํ นึงถงึ ขอ้ มลู ท่เี พียงพออย่างน้อยประกอบด้วยข้อมูล 3 ด้าน คือ ข้อมูล ทางวชิ าการ ขอ้ มลู เก่ยี วกบั ตนเองและข้อมูลเกี่ยวกับสงั คม สิ่งแวดลอ้ ม ด้วยความใจกวา้ ง มอี ิสระ ยอมรับฟังความ คดิ เห็นของผู้อื่นไม่เอาแต่ใจตนเอง จะได้มีสติ รอบคอบ ละเอียดถ่ีถ้วน ไม่ผิดพลาดจนเกินไป เราถือว่าความเชื่อ พ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ ดังกล่าวนี้ คือ พ้ืนฐานเบ้ืองต้นของการนําไปสู่การคิดเป็ น หรือเรียกตามภาษา นกั วิชาการวา่ ปฐมบทของกระบวนการคดิ เปน็ 2 คิดเปน็ และกระบวนการคิดเป็น แนวคดิ และทศิ ทางของการคดิ เปน็ “คดิ เป็น” เปน็ คําไทยส้ัน ๆ ง่าย ๆ ท่ีดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ใช้เพ่ืออธิบายถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ คนในการดํารงชวี ิตอยใู่ นสงั คมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อน ได้อย่างปกติสุข “คิดเป็น” มาจากความเชอ่ื พื้นฐานเบ้อื งตน้ ท่ีวา่ คนมคี วามแตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่ทุกคนมีความต้องการสูงสุดเหมือนกัน คือความสุขในชีวิต คนจะมีความสุขได้ก็ต่อเม่ือมีการปรับตัวเองและสังคม ส่ิงแวดล้อมให้เข้าหากันอย่างผสม กลมกลนื จนเกิดความพอดี นําไปส่คู วามพอใจและมคี วามสุข อย่างไรก็ตามสังคมสิ่งแวดล้อมไม่ได้หยุดน่ิง แต่จะมี การเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ และรุนแรงอยูต่ ลอดเวลาก่อใหเ้ กดิ ปญั หา เกิดความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบาย ใจข้นึ ไดเ้ สมอ กระบวนการปรบั ตนเองกับสงั คมสง่ิ แวดล้อมให้ผสมกลมกลืนจึงต้องดําเนินไปอย่างต่อเนื่องและทัน การ คนท่ีจะทําได้เช่นน้ีต้องรู้จักคิด รู้จักใช้สติปัญญา รู้จักตัวเองและธร รมชาติสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี สามารถแสวงหาข้อมูลที่เก่ียวข้องอย่างหลากหลายและพอเพียง อย่างน้อย 3 ประการ คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลทางสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตนเองมาเป็นหลักในการวิเคราะห์ปัญหาเพ่ือเลือกแนว ทางการตดั สินใจทีด่ ที ่ีสุดในการแก้ปัญหา หรือสภาพการณ์ท่ีเผชิญอยู่อย่างรอบคอบ จนมีความพอใจแล้วก็พร้อม จะรับผดิ ชอบการตัดสินใจนนั้ อยา่ งสมเหตสุ มผล เกดิ ความพอดีความสมดุลในชีวิตอย่างสันติสุข เรียกได้ว่า “คนคิด เปน็ ” กระบวนการ คดิ เปน็
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณโ์ ควดิ -19 29 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย กระบวนการและขั้นตอนการแก้ปญั หาของคนคิดเป็น เร่ืองท่ี 3 ลักษณะของข้อมูลและการเปรียบเทียบข้อมูล ด้านวิชาการ ตนเอง และสังคม สิ่งแวดล้อม และ ทกั ษะเบอื้ งตน้ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูลทงั้ สามด้าน เพ่ือประกอบการตดั สนิ ใจแก้ปัญหาแบบคนคิดเปน็ ข้อมูลคอื อะไร ขอ้ มูล คอื ข่าวสารรายละเอียดตา่ งๆ ทีเ่ กิดขึ้นภายในองค์การหรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ กอ่ นทจ่ี ะมีการ จัดระบบให้เป็นรูปแบบที่คนสามารถเข้าใจ และนาํ ไปใช้ได้ เป็นข้อเท็จจริงหรือตัวแทนของข้อเท็จจริงของส่ิงท่ีเรา
คู่มอื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 30 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สนใจท่ีมีอยู่ในชีวิตประจําวัน ข้อเท็จจริงท่ีเกี่ยวกับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอย่างต่อเนื่อง เช่น จํานวนผู้ปุวยที่ติดเชื้อ เอดส์ในหมู่บ้าน ราคาพชื ผักผลไม้ต่างๆ ข้อเท็จจริงท่ีเป็นสัญลักษณ์ ตัวเลขจํานวนลูกค้า ตัวเลขที่เก่ียวกับจํานวน ชั่วโมงทที่ าํ งานในแตล่ ะสปั ดาห์ ตัวเลขท่ีเก่ียวกบั สนิ ค้าคงคลังเพื่อรายการสั่งของ ตัวเลขท่ีเป็นน้ําหนักและส่วนสูง ของคน หรือตัวเลขท่ีเป็นรายได้ประจําเดือน ตัวเลขท่ีเป็นคะแนนการสอบ เป็นต้น ข้อมูลเป็นข้อความหรือ รายละเอียดซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบตา่ งๆ เช่น รูปภาพ เสียง วีดีโอ คําอธิบายพ้ืนฐานหรือเหตุการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับสิ่ง ต่างๆ เป็นตน้ ขอ้ มูลกบั สารสนเทศ ข้อมูล และ สารสนเทศมีความหมายที่แตกต่างกัน แต่มีความคล้ายคลึงและสัมพันธ์เก่ียวข้องกันอยู่มาก ขอ้ มลู หมายถึง ข้อมูลดิบที่เป็นข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจําวันที่เก็บรวบรวมมาจาก แหล่งต่างๆ อาจเปน็ ตัวเลข ตวั อักษร หรอื สัญลักษณ์ รปู ภาพ และเสยี ง ถอื วา่ เปน็ ขอ้ มูลระดับปฏิบัติการ ข้อมูลที่ดี จะต้องมีความถูกต้องแม่นยําและเป็นปัจจุบัน เช่น ปริมาณ ระยะทาง ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ คะแนนการสอบ บันทึก รายงาน ฯลฯ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่นํามาผ่านกระบวนการประมวลผล วิเคราะห์จนสามารถนําไปใช้ในการตัดสินใจ ต่อไปไดท้ ันที ลักษณะของข้อมลู ข้อมลู เม่อื จําแนกตามลักษณะแล้วสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนดิ คือ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) หมายถึง ข้อมูลที่เป็นนามธรรมไม่สามารถบอกได้ว่า มีค่ามาก หรือนอ้ ยเพียงใด แต่จะสามารถบอกไดว้ า่ ดหี รือไมด่ ี หรอื บอกลักษณะความเปน็ กลมุ่ ของข้อมูล เชน่ เพศ ศาสนา สี ผม คุณภาพสนิ ค้า ความพึงพอใจ ฯลฯ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Data) หมายถึง ข้อมูลท่ีสามารถวัดค่าได้ว่ามีมากหรือน้อย ซ่ึงสามารถ วัดค่าออกมาเป็นตวั เลขได้ เชน่ คะแนนสอบ อณุ หภูมิ ส่วนสูง นํา้ หนัก ปริมาณต่างๆ ฯลฯ ประเภทของขอ้ มลู ขอ้ มูลเมือ่ จําแนกตามแหล่งที่มาแล้ว สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 ชนิด คอื ข้อมูลปฐมภูมิ Primary Dataหมายถึง ข้อมูลที่ผู้ใช้เป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลข้ึนเอง เช่น การเก็บจาก แบบสอบถาม การทดลองในห้องทดลอง ขอ้ มูลทุตยิ ภมู ิ Secondary Dataหมายถึง ข้อมลู ที่ผใู้ ช้นาํ มาจากหน่วยงานอื่น หรือผู้อื่นที่ได้ทําการเก็บ รวบรวมมาแล้วในอดีต เช่น รายงานประจําปีของหน่วยง่านต่างๆ ข้อมูลท้องถิ่นซ่ึงแต่ละ อบต. เป็นผู้รวบรวมไว้ ฯลฯ 4 คุณธรรม จริยธรรม : องคป์ ระกอบทสี่ าคัญของการคิดแกป้ ัญหาแบบคนคิดเปน็ 1. ความหมายของคุณธรรมและจรยิ ธรรม คุณธรรม (Moral) คอื คณุ + ธรรม หมายถึง คุณงามความดีท่เี ป็นธรรมชาติก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสงั คม ซง่ึ รวมสรุปวา่ คอื สภาพคณุ งาม ความดี คณุ ธรรม คือ ความดีงามในจติ ใจที่ทําใหบ้ ุคคลประพฤตดิ ี ผูม้ ีคุณธรรมเป็นผู้มีความเคยชินในการประพฤติ ดีด้วยความรู้สึกในทางดงี าม คณุ ธรรมเป็นสง่ิ ท่ตี รงกันข้ามกับกิเลส ซึ่งเป็นความไม่ดีในจิตใจ ผู้มีคุณธรรมจึงเป็นผู้ ไมม่ กั มากด้วยกิเลส ซงึ่ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดี
คู่มอื พฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 31 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย สรุปแล้ว คณุ ธรรม หมายถึง ส่งิ ทสี่ งั คมยอมรับวา่ เปน็ ส่งิ ดีงามที่เกิดจากส่วนร่วมของการศึกษาการปฏิบัติ ฝึกอบรม และการกระทาํ จนเคยชินเกิดเปน็ ลักษณะนิสัย เปน็ สิ่งท่มี ีคณุ ประโยชน์ ตอ่ ตนเองตอ่ ผู้อนื่ และต่อสังคม จริยธรรม (Ethics) คือ จริย ได้แก่ ความประพฤติ + ธรรมะ ได้แก่ หลักปฏิบัติ หมายถึงหลักแห่งความ ประพฤตหิ รือแนวทางของการประพฤติ มีผู้ให้ความหมายของคาํ ว่า จริยธรรมไว้หลายทศั นะ ดงั น้นั ความหมายของจริยธรรมโดยรวมจะเห็นตรงกนั ว่า เป็นสงิ่ ทเี่ ชื่อกนั ว่า เป็นความดีงามที่ควรยึดเป็น หลกั ในการประพฤติ ปฏิบตั ติ อ่ ตนเอง ตอ่ ผู้อ่ืนและต่อสงั คม ทงั้ การกระทําด้วยกายและตระหนักด้วยใจ จากการให้ความหมายของคณุ ธรรม และจริยธรรมในหลายทศั นะนี้ จะเหน็ ได้ว่า แม้ความหมายของคุณธรรม และ จริยธรรมจะแตกต่างกัน แต่ก็มีความหมายใกล้เคียงและสัมพันธ์กัน และบางคนก็ใช้ควบคู่กันไปเป็นคุณธรรม จริยธรรม ซ่ึงหมายถึง การกระทําหรือการประพฤติปฏิบัติท่ีดีท่ีปลูกฝังอยู่ในอุปนิสัยอันดีงามของคน ตลอดจน ความร้สู กึ นกึ คิดทีถ่ ูกต้อง ซึง่ อยใู่ นจติ สํานึกความรบั ผดิ ชอบชั่วดีของบคุ คลน้นั ๆ อันเป็นเคร่อื งเหนี่ยวรั้งและควบคุม ความประพฤติของบุคคลท่ีแสดงออกเพื่อให้บรรลุในส่ิงท่ีปรารถนา เช่น ความซื่อสัตย์ ความสามัคคี ความมีวินัย ความกตญั ญู และความเออื้ เฟ้อื เผ่อื แผ่ เปน็ ต้น ความสาคญั ของคณุ ธรรมและจริยธรรม สภาพสังคมไทยในปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว พร้อมท้ังความเจริญ ทางด้านเทคโนโลยีการส่ือสารที่สามารถสื่อสารกันทั่วทั้งโลกภายในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ประชาชนและ เยาวชนเกดิ การรับรู้ข้อมลู ข่าวสาร ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบการดํารงชีวิตของเพ่ือนร่วม โลก แล้วถือเปน็ ตวั แบบในการดาํ รงชวี ติ ของตน โดยขากการคดิ วิเคราะห์ถึงความเป็นมาและเหตุผลที่แท้จริงอย่าง ถูกตอ้ ง ซึ่งปรากฏอยู่ในสังคมปจั จบุ นั และส่งผลกระทบตอ่ คุณภาพการทจุ รติ คอรัปช่ันในวงการราชการ การทุจริต ในการสอยเขา้ ศกึ ษาต่อในสถาบันการศกึ ษาต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยที ่ที ันสมยั เป็นเครื่องมอื รวมท้ังปัญหาการขยาย บรกิ ารทางเพศของนสิ ติ นกั ศึกษา เป็นต้น ซ่ึงปัญหาต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการหย่อนยานทางด้านคุณธรรม จริยธรรมของประชาชนในชาติเปน็ อย่างมาก และควรท่ีจะไดร้ ับการแก้ไขอย่างเรง่ ด่วน คณุ ธรรมและจริยธรรมมคี วามสาํ คัญมาก เพราะเปน็ รากฐานของความเจริญรงุ่ เรืองของสังคม และเป็นสิ่ง ที่กําหนดความเจริญและความล่มสลายของสังคม ดังนั้น ผู้บริหารประเทศ และผู้ที่เก่ียวข้องต้องตระหนักและ เล็งเห็นความสําคัญในการที่จะแก้ปัญหา เร่งพัฒนาจิตใจและพฤติกรรมของบุคคลในทุกระดับช้ันร่วมกันหา แนวทางในการแก้ปัญหาคณุ ธรรมและจริยธรรมในสังคม และหาทางปลูกฝังใหบ้ คุ คลในสังคมมีคุณธรรม จริยธรรม เพอ่ื ให้บคุ คลสามารถทจ่ี ะดํารงอยู่ในสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข บทสรุป คนเราเมื่อเกิดมามีชีวิต มีการทํางาน สัมพันธ์ติดต่อกับคนอื่นๆ ในสังคมท่ีมีความแตกต่างกันอย่าง หลากหลาย การเผชิญกบั ปัญหากเ็ ปน็ ธรรมชาตหิ นไี มพ่ ้น คนจึงตอ้ งมีสติ มีสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาในการแสวงหา ข้อมลู ท่ีหลากหลายและเพยี งพอมาใช้ประกอบการคิด การแก้ปัญหาเหล่าน้ันให้ลุล่วงไป สภาพสังคมไทยปัจจุบัน เป็นยคุ โลกาภิวตั น์ ความเจริญทางดา้ นเทคโนโลยีการสื่อสารถึงกนั ทั่วโลกในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้เยาวชนและ ประชาชนเกิดการรบั รขู้ า่ วสาร ศิลปวัฒนธรรม รูปแบบการดํารงชีวิตของเพื่อนร่วมโลก และรับมาเป็นตัวแบบใน การดาํ รงชวี ติ ของตน โดยไม่มกี ารไตร่ตรองปรบั แตง่ ใหส้ อดคล้องกับวัฒนธรรม ประเพณีและความเช่ือของไทยเรา เอง ขาดการวิเคราะห์ถึงความเป็นมา และแนวปฏิบัติที่แท้จริงของเขา ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านวัฒนธรรมและวิถี ชวี ิต กระทบตอ่ คณุ ภาพชีวิตของประชาชนเป็นอันมาก เช่น ปญั หาการทาํ งานทีไ่ มโ่ ปรง่ ใสของผู้มีอํานาจ การทุจริต
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณ์โควดิ -19 32 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย คอรัปช่ันเชิงนโยบายในวงราชการ ปัญหาขายบริการทางเพศของนักศึกษา ปัญหาการพนันบอล ปัญหาติดยา ปญั หาหน้ีนอกระบบ ครอบครวั แตกแยก ปัญหาการแตง่ งานก่อนวยั อนั ควร ปัญหาการหย่ารา้ งบอ่ ยครง้ั ปัญหาเด็ก ซ่ิง เด็กแว้น ปัญหาโรคเอดส์ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการย่อหย่อนทางด้านคุณธรรม จริยธรรมของ ประชาชนในชาติที่ต้องแก้ไขอย่างรีบด่วน คุณธรรมจริยธรรมหลายเร่ือง จึงมีความสําคัญต้องนํามาเป็นข้อมูล ประกอบการคดิ การตดั สินใจของคนคิดเป็นมากข้ึน ท้ังการนํามาเรียนรู้ นํามาฝึกพัฒนาบุคลากร นํามาปฏิบัติเพื่อ ปอู งกันและแกไ้ ขปญั หา อยา่ งไรก็ตาม คุณธรรมและจรยิ ธรรมก็เป็นเร่ืองของบรบิ ทของแต่ละชุมชนที่ไม่เหมือนกัน การนําคุณธรรมจริยธรรมไปใช้ในการคิดการแก้ปัญหาของคนคิดเป็นจึงต้องใช้วิจารญาณไตร่ตรอง พั ฒนาให้ เหมาะสมกับบรบิ ทของชมุ ชนและวัฒนธรรมของชุมชนดว้ ย เร่อื ง 5 การวจิ ยั อย่างง่าย 1 ความหมาย ความสาคญั ของการวิจยั เมอื่ ได้ยินคําว่า “การวิจัย” คนสว่ นใหญ่จะรูส้ กึ ว่าเปน็ เรอ่ื งท่ที ํายาก มีขนั้ ตอนมาก ต้องใช้เวลานาน ต้องมี ความรูใ้ นการสรา้ งเคร่อื งมอื การวิจยั และการใช้สถติ ิต่างๆ ทาํ ใหห้ ลายคนไม่อยากทําวิจัย ข้อเท็จจรงิ คอื การวจิ ยั มหี ลายระดับตั้งแต่ระดับยากๆ ซับซ้อน ที่ต้องใช้ความรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ และใช้เวลาเป็น ปๆี ในการทําวิจัยแต่ละเร่ือง จนถึงการวิจัยที่ง่ายๆ แม้แต่เด็กอนุบาลหรือเด็กประถมในเมืองนอกก็มีการทําวิจัยหรือท่ีเรียกเป็น ภาษาองั กฤษว่า Researchเปน็ วา่ เล่น ดงั น้นั การวิจัยจงึ ไม่ใช่เร่ืองยากอยา่ งท่คี ดิ เสมอไป คาํ ถามคอื การวิจัยคอื อะไร ทําไมต้องทาํ วจิ ยั ทาํ แลว้ ไดป้ ระโยชน์อย่างไร การวจิ ัยเปน็ การหาคาํ ตอบท่ีอยากรู้ ทีส่ งสยั ท่ีเปน็ ปญั หาข้อข้องใจ แต่คําตอบนั้นต้องเช่ือถือได้ ไม่ใช่การ คาดเดา หรอื คิดสรุปไปเองโดยใชค้ วามรสู้ กึ วิธีการหาคาํ ตอบจึงต้องเปน็ กระบวนการข้นั ตอนอยา่ งเปน็ ระบบ ตัวอย่าง เชน่ ถา้ ตอ้ งการทราบวา่ นักร้องในดวงใจของนักศกึ ษามัธยมศึกษาตอนปลายใน ศรช. วัดแจ้งเป็น ใคร จะคาดเดาเอาเองหรอื ไปสอบถามนักศึกษาเพยี งคน สองคน แล้วมาสรุปว่านักร้องในดวงใจของนักศึกษาตอน ปลายใน ศรช. วดั แจ้ง เป็นคนนั้น คนน้ีไม่ได้ แต่ตอ้ งทาํ แบบสอบถามไปให้กลุม่ ตวั อย่างที่เป็นตัวแทนของนักศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลายใน ศรช. วดั แจ้ง เป็นผู้ตอบ แลว้ นาํ มาสรุปคําตอบขอ้ ค้นพบทไี่ ด้ เป็นต้น ผลทไี่ ด้จากการทําวิจัย นอกจากจะได้รับคําตอบท่ีต้องการรู้แล้ว ผู้วิจัยเองก็ได้ประโยชน์จากการทําวิจัย คอื การเป็นคนช่างคิด ชา่ งสงั เกต ศึกษาค้นคว้าหาความรูแ้ ละเขียนเรยี บเรยี งอยา่ งเป็นระบบ นอกจากนั้นการวิจัย จะเกดิ ประโยชน์ในภาพรวม ดังนี้ 1. การวิจัยทําให้เกิดความรู้ทางวิชาการใหม่ๆ 2. การวจิ ัยชว่ ยใหเ้ กิดนวตั กรรม สิง่ ประดิษฐ์ แนวคดิ ใหมๆ่ 3. การวจิ ยั ช่วยตอบคําถามที่อยากรู้ ให้เขา้ ใจปญั หาและชว่ ยในการแกไ้ ขปญั หา
คูม่ อื พฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 33 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย 4. การวจิ ัยชว่ ยในการวางแผนและการตัดสนิ ใจ 5. การวจิ ยั ช่วยใหท้ ราบผลและขอ้ บกพรอ่ งจากการดาํ เนนิ งาน 1 กระบวนการและขน้ั ตอนการทาวิจัยอยา่ งง่าย การทาวจิ ัย ดาํ เนนิ การเป็นขั้นตอน ดงั นี้ ข้ันตอนแรก มักจะเร่ิมต้นจากผู้วิจัยอยากรู้อะไร มีปัญหาข้อสงสัยอะไร เป็นข้ันตอนการกําหนดคําถาม วจิ ัย/ปัญหาวจิ ัย ตัวอย่างคําถามการวิจัย เช่น นักร้องในดวงใจวัยรุ่นคือใคร นักการเมืองในดวงใจวัยรุ่นคือใคร วัยรุ่นใช้ เวลาวา่ งทาํ อะไร เปน็ ต้น ตวั อย่างปัญหาวจิ ยั เชน่ ปญั หาการตดิ เกมสข์ องวยั รุ่น ปญั หาการใช้เวลาว่างของวัยรนุ่ ฯลฯ เปน็ ตน้ เม่ือกําหนดคาํ ถามการวิจัย/ปัญหาวจิ ัยแลว้ ขน้ั ตอนท่ีสอง คอื การเขยี นโครงการวจิ ยั ซ่งึ ตอ้ งเขียนก่อนการทําวิจัยจริง โดยเขียนให้ครอบคลุมว่า จะ ทําวจิ ยั เรือ่ งอะไร (ชื่อโครงการวจิ ัย) ทําไมจงึ ทาํ เรอื่ งนี้ (ความเป็นมาและความสําคญั ) อยากร้อู ะไรบ้างจากการวิจัย (วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย) มีแนวทางข้ันตอนการดําเนินงานวิจัยอย่างไร (วิธีดําเนินการวิจัย) ระยะเวลาการวิจัย และแผนการดําเนนิ งาน (ปฏิทินปฏิบัติงาน) การวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์อย่างไร (ประโยชน์ของการวิจัยหรือผลที่ คาดวา่ จะไดร้ บั ) ขัน้ ตอนทสี่ าม คือการดาํ เนนิ งานวิจยั ตามแผนที่กาํ หนดไว้ในโครงการวจิ ัย ขนั้ ตอนทส่ี ่ี คือการเขียนรายงานการวิจัย สว่ นใหญ่ประกอบดว้ ยหัวข้อ คือ 1. ชอ่ื เร่ือง 2. ชอื่ ผ้วู จิ ยั 3. ความเป็นมาของการวจิ ัย 4. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย 5. วิธีดําเนินการวจิ ัย 6. ผลการวจิ ัย 7. ข้อเสนอแนะ 8. เอกสารอา้ งองิ (ถ้ามี) ขั้นตอนสุดท้าย คือ การเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั เพ่ือให้บคุ คล หรือหน่วยงานทีเ่ ก่ียวข้องนําผลงานวิจัยนี้ไปใช้ ประโยชน์ตอ่ ไป 3. สถติ ิงา่ ยๆ เพอ่ื การวจิ ัย สถติ ิท่ีใช้ในการวิจยั โดยท่ัวไปไดแ้ ก่ ความถ่ี ร้อยละ และคา่ เฉล่ีย ซงึ่ มีความหมายและวิธีคิดคาํ นวณดังนี้ 1. ความถี่ Frequency ความถี่ (Frequency)คือการแจงนับจํานวนของส่ิงที่เราต้องการศึกษาว่ามีจํานวนเท่าใด เช่น จํานวนผู้เรียนในห้องเรียน จํานวนสิ่งของ จํานวนคนที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เป็นต้น วิธีหาความถี่ ทําได้โดยการแจงนับจํานวนของสิ่งที่เราต้องการศึกษา ตัวอย่างเช่นชุดตวั เลขตอ่ ไปน้ี ตวั เลขใดมีความถ่ีมากท่ีสุด10151810131010151818คําตอบก็คือ 10 เพราะแจงนับ ความถี่ได้ 4รองลงมาคือตัวเลข 18ท่ีแจงนบั ความถ่ีได้ 3 ตวั เลข15ความถ่ี 2และตัวเลข 13มคี วามถี่นอ้ ยท่สี ดุ คือ1 2. รอ้ ยละ (Percentage)
คมู่ ือพฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควดิ -19 34 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ร้อยละ (Percentage) เป็นสถิติที่ใช้กันมากในงานวิจัย เพราะคํานวณและทําความเข้าใจได้ง่าย นิยม เรยี กว่า เปอรเ์ ซ็นต์ ใช้สัญลกั ษณ์ % การใชส้ ตู รในการคํานวณหาคา่ รอ้ ยละมีดงั นี้ รอ้ ยละ = ตัวเลขทต่ี อ้ งการเปรยี บเทยี บ x100 จานวนเต็ม วธิ กี ารคาํ นวณหาคา่ ร้อยละ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ ตัวอย่าง หมู่บ้านแห่งหน่ึง มีจํานวนประชากรรวมทั้งสิ้น 50 คน เป็นหญิง 20 คน เป็นชาย 30 คน มี ประชากรหญิงและชายคดิ เป็นร้อยละ ดังน้ี หญงิ = รอ้ ยละ 40 หรือ 40% ชาย = ร้อยละ 60 หรอื 60% หมายเหตุ การคํานวณค่ารอ้ ยละ เมื่อรวมกันแล้วจะต้องได้ร้อยละ 100 หรือ 100% เสมอ ยกเว้นถ้ามี จดุ ทศนิยมและมีการปัดเศษ 3. ค่าเฉล่ยี คา่ เฉลี่ย (Mean) คอื ค่ากลางๆ ของขอ้ มลู คาํ นวณโดยการนําค่าของข้อมลู ทั้งหมดมารวมกัน แล้วหารด้วย จาํ นวนขอ้ มลู ท่ีมอี ยู่ การใชส้ ตู รในการคํานวณหาคา่ เฉลย่ี ไดด้ ังน้ี ค่าเฉล่ยี = ผลรวมของขอ้ มูลทั้งหมด จาํ นวนข้อมูลท่ีมีอยู่ 4 การสรา้ งเคร่ืองมอื การวจิ ยั ความหมาย ความสาคญั ของเคร่อื งมือการวจิ ัย ในการดําเนินงานวิจัย มีความจําเป็นต้องมีการรวบรวมข้อมูล เพื่อนํามาวิเคราะห์หาคําตอบตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัยท่ีกําหนด เคร่ืองมือการวิจัย เป็นส่ิงสําคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่ิงที่ต้องการศึกษา เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวิจัยมีหลายประเภท แต่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือการวิจัยแบบใด ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ต้องการไดข้ อ้ มลู ทีต่ รงตามข้อเทจ็ จรงิ เพ่อื ทาํ ให้ผลงานวจิ ัยเชอื่ ถือได้และเกดิ ประโยชน์มากทีส่ ุด ประเภทของเครื่องมือการวิจัยท่ีนิยมใช้กันมาก ได้แก่ การใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบ สงั เกต การสรา้ งแบบสอบถาม แบบสอบถามเปน็ เครื่องมอื การวิจยั ท่ีนิยมนํามาใช้รวบรวมข้อมูลงานเชิงปริมาณ เช่น การวิจัยเชิงสํารวจ การวจิ ัยเชงิ อธบิ าย เปน็ ตน้ แบบสอบถามมีทงั้ แบบสอบถามปลายปดิ และแบบสอบถามปลายเปดิ แบบสอบถามปลายปิด เป็นแบบสอยถามท่ีระบุคําตอบไว้แล้ว ให้ผู้ตอบเลือกตอบหรือาจให้เติมคําหรือ ข้อความสน้ั ๆ เท่าน้นั ตวั อยา่ ง อาชีพของท่านคืออะไร ครู พยาบาล ทหาร
คู่มอื พัฒนาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 35 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เกษตรกร อน่ื ๆ ระบ.ุ ..................... แบบสอบถามปลายเปดิ เปน็ แบบสอบถามท่ไี มไ่ ด้กาํ หนดคําตอบไว้ แต่ให้ผ้ตู อยได้เขียนแสดงความคิดเห็น อยา่ งอสิ ระ ตัวอยา่ ง แบบสอบถามปลายเปิด นักศกึ ษานิยมไปศึกษาคน้ ควา้ ข้อมลู ท่ีแหล่งการเรียนรู้ใด เพราะอะไร นกั ศกึ ษาใช้เวลาว่างทาํ อะไรบา้ ง นกั ศึกษา มีปัญหาเรอ่ื งการเรียนอะไรบ้าง ฯลฯ การสรา้ งแบบสอบถาม มขี ้นั ตอนดังนี้ 1. ศึกษาค้นคว้าข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องที่จะวิจัย และประชากรกลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษา แล้วยกร่าง แบบสอบถาม 2. นาํ ไปให้ผมู้ คี วามรู้ชว่ ยตรวจสอบ และใหข้ ้อเสนอแนะ 3. ปรบั ปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ 4. นําไปทดลองใช้กอ่ นเพือ่ ความเชอ่ื มัน่ วา่ กลุ่มตัวอยา่ ง (กลุ่มเลก็ ๆ ไมต่ ้องทุกคน) เขา้ ใจคาํ ถามและ วธิ ีการตอบคําถาม แลว้ นําผลการทดลองมาปรบั ปรุงแก้ไขอีกครงั้ กอ่ นนาํ ไปใชจ้ รงิ 5. นําไปเกบ็ รวบรวมข้อมูลกับกลมุ่ ตัวอย่างท้งั หมด การสร้างแบบสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ เป็นเครือ่ งมอื การวจิ ยั ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู งานวจิ ยั ทกุ ประเภท ทุกสาขา แต่ที่นิยม คือใช้กบั การวจิ ยั เชิงคุณภาพ การสมั ภาษณ์ เป็นการรวบรวมขอ้ มูลในลกั ษณะเผชญิ หน้ากนั ระหว่างผ้สู ัมภาษณ์ โดยผู้สัมภาษณ์เป็นผู้ซักถามและ ผใู้ ห้สมั ภาษณ์เป็นผ้ใู หข้ อ้ มูลหรือตอบคาํ ถามของผู้สมั ภาษณ์ แบบสัมภาษณ์มีท้ังแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง คือผู้สัมภาษณ์ใช้คําถามปลายเปิด เป็นคําถาม กวา้ งๆ ปรับเปล่ียนได้ ให้ผู้ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ท่ีผู้ สัมภาษณก์ ําหนดประเด็นคาํ ถาม หรอื รายการคาํ ถามเรยี งลําดบั ไว้แลว้ กอ่ นท่ีจะสัมภาษณ์ ตัวอยา่ งการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เช่น ครูสัมภาษณ์นักศึกษาเกี่ยวกับปัญหาในการเรียนการสอน ครจู ะตัง้ คาํ ถามอยา่ งไรก็ไดเ้ พ่ือใหน้ ักศึกษาแสดงความคิดเห็นตอ่ เร่ืองท่คี รอู ยากรู้ ตัวอย่างการสัมภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง เช่น คณะกรรมการสอบสัมภาษณน์ กั ศึกษาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้ คณะกรรมการอาจจะต้องเตรียมแบบสัมภาษณแ์ บบมีโครงสร้างไว้ล่วงหน้า โดยกําหนดรายการคําถามเพ่ือการ สัมภาษณไ์ ว้กอ่ น แตอ่ าจปรับเปลี่ยนคาํ พดู ได้บา้ งตามความเหมาะสม การสรา้ งแบบสังเกต แบบสังเกตเป็นเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล ท่ีใช้ได้กับงานวิจัยทุกประเภทโดยเฉพาะงานวิจัยเชิง คุณภาพ งานวจิ ัยเชงิ ทดลอง
คูม่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ชว่ งสถานการณ์โควิด-19 36 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย แบบสงั เกตแบง่ เป็น แบบสังเกตทไ่ี มม่ โี ครงรา่ งการสังเกต ซึ่งเป็นแบบที่ไม่ได้กําหนดเหตุการณ์พฤติกรรม หรือสถานการณ์ท่จี ะสังเกตไวช้ ัดเจน และแบบสังเกตท่ีมีโครงร่างการสังเกต เป็นแบบที่กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะสังเกตอะไร สังเกตอย่างไร เมอื่ ใด และจะบนั ทกึ ผลการสังเกตอย่างไร ตัวอยา่ งแบบสงั เกตท่ไี ม่มโี ครงรา่ งการสังเกต เชน่ การสังเกตพฤติกรรมในการพบกลุ่มของนักศึกษาระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ศรช. วดั แจ้ง ผสู้ ังเกตกจ็ ะบนั ทกึ พฤตกิ รรมต่างๆ ของนักศึกษาตามทเ่ี ปน็ จริง ตวั อยา่ งแบบสังเกตที่มีโครงร่างการสังเกต เช่น แบบสังเกตพฤติกรรมในการพบกลุ่มของนักศึกษาระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ศรช. 5. การเขียนโครงการวจิ ยั ความสาคัญของโครงการวจิ ัย โครงการวิจัยคือ แผนการดาํ เนนิ วจิ ัยท่ีเขียนขึ้นก่อนการทําวิจัยจริง มีความสําคัญคือ เป็นแนวทางในการ ดาํ เนินการวจิ ัยสําหรบั ผู้วจิ ัยเองและผู้เก่ียวข้อง เช่น ครู อาจารย์ หรือผู้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัย เพ่ือให้คําปรึกษา และติดตามความก้าวหนา้ ของการดาํ เนินงานวจิ ัย ถ้าจะเปรียบกับการสร้างบ้าน ที่ต้องมแี ปลนหรือพมิ พ์เขียวทรี่ ะบุรายละเอยี ดของการสรา้ งบ้านทกุ ขั้นตอน สําหรับเป็นเคร่ืองมือในการควบคุม กํากับดูแลของเจ้าของบ้าน หรือผู้รับเหมา เพ่ือให้การสร้างบ้านเป็นไปตาม แบบทกี่ ําหนด โครงการวิจยั ก็เปรียบเสมือนแปลนหรอื พมิ พเ์ ขยี วเช่นกนั คือเป็นทิศทางแนวทางการดาํ เนินงานวิจัย ให้เปน็ ไปตามแผนการวจิ ัยท่กี าํ หนด องคป์ ระกอบของโครงการวจิ ัย โดยทว่ั ไป โครงการวจิ ยั ประกอบด้วยหวั ข้อ ดังตอ่ ไปนี้ 1. ชื่อโครงการวจิ ยั 2. ความเปน็ มาและความสาํ คัญ 3. วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั 4. ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รับ 5. การศึกษาเอกสารทเี่ กยี่ วข้อง 6. สมมตุ ฐิ านการวิจัย 7. ขอบเขตการวจิ ยั 8. วิธีดําเนินการวจิ ัย 9. นยิ ามศัพท์ 10. ระยะเวลาดําเนินการ 11. แผนการดําเนินการ 12. สถานที่ทาํ การวิจยั 13. ทรพั ยากรและงบประมาณ 14. ประวัตผิ ู้วจิ ัย/คณะวจิ ยั อย่างไรก็ตาม การเขียนโครงการวิจัยอาจมีหวั ขอ้ แตกต่างจาก 14 หัวขอ้ ข้างตน้ ขน้ึ อยู่กับข้อกําหนดของ สถานศึกษา แหล่งทุน หรือความต้องการของผู้ให้ทําโครงการวิจัย และอาจมีจํานวนหัวข้อมากกว่าหรือน้อยกว่า
คมู่ อื พัฒนาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 37 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย 14 หัวข้อก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการวิจัย เช่นงานวิจัยเชิงสํารวจ งายวิจัยเชิงคุณภาพ ไม่จําเป็นต้องมี สมมตฐิ านการวจิ ัย เปน็ ตน้ เทคนคิ การเขยี นโครงการวจิ ัยอยา่ งง่าย สาํ หรับผู้ท่เี ร่ิมเขยี นโครงการวิจยั อาจจะทดลองเขยี นโครงการวิจัยอย่างง่ายๆ ไม่จําเป็นต้องมีหัวข้อครบ ทง้ั 14 หัวข้อ ตามขา้ งต้น แตใ่ ห้ครอบคลุมวา่ จะทําวิจยั เร่ืองอะไร (ชือ่ โครงการวิจยั ) ทาํ ไมจึงทาํ เรือ่ งนี้ (ความเป็นมาและความสําคัญ) อยากร้อู ะไรบ้างจากการวจิ ัย (วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย) มีแนวทางขั้นตอน การดาํ เนนิ งานวจิ ัยอย่างไร (ปฏิทนิ ปฏบิ ัติงาน) การวิจัยนจี้ ะเป็นประโยชน์อย่างไร (ประโยชน์ของการวิจยั หรือผลที่ คาดว่าจะไดร้ ับ) เทคนิคการเขียนโครงการวิจยั อย่างง่าย ประกอบด้วยหัวขอ้ และคาํ อธบิ ายการเขียน ดังต่อไปนี้ 1.ชื่อโครงการวิจยั ชอ่ื โครงการวิจัยควรกะทัดรัด ส่ือความหมายได้ชัดเจน มีความเฉพาะเจาะจงในส่ิงท่ี ศึกษา 2.ความเป็นมาและความสาคัญ เขียนอธิบายให้เห็นความสําคัญของสิ่งท่ีศึกษาเขียนให้ตรงประเด็น กระชบั เป็นเหตเุ ปน็ ผล มีอา้ งองิ เอกสารที่ศกึ ษา (ถา้ มี) 3.วัตถุประสงค์ของการวิจัย เขียนให้สอดคล้องกับช่ือโครงการวิจัย ครอบคลุมเรื่องท่ีศึกษา เขียนให้ ชดั เจน อาจมขี ้อเดียว หรือหลายขอ้ ก็ได้ 4.วิธีดาเนนิ การวิจัย ระบุถงึ วธิ ีการดําเนินการวิจยั ให้ครอบคลุมหัวข้อต่อไปน้ี 4.1 ประชากรกลมุ่ ตวั อย่าง สิง่ ทีศ่ ึกษาคอื อะไร มจี าํ นวนเทา่ ไร 4.2 วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ระบวุ ิธีการเกบ็ การบนั ทึกขอ้ มูล ระยะเวลา หรอื ชว่ งเวลา สถานที่ 4.3 เครื่องมือวิจัย ระบุชนิด เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสาํ รวจ 4.4 การวิเคราะห์ข้อมลู ระบวุ ิธกี ารวิเคราะหข์ ้อมลู สถิติท่ีใช้ 5.ปฏิทินปฏิบัติงาน เขียนข้ันตอนการดําเนินการวิจัยโดยละเอียด และระยะเวลาการดําเนินการแต่ละ ข้ันตอน 6.ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รบั เขียนเป็นข้อๆ ถึงประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะเกดิ ขึ้นจากการทําวจิ ัย ตัวอยา่ งการเขียนโครงการวิจัยอยา่ งง่าย ตัวอย่างการเขยี นวิจยั ตอ่ ไปนี้ เกิดจากผู้วิจัยต้องการคําตอบว่านักศึกษานอกโรงเรียนมีการศึกษาค้นคว้า ดว้ ยตนเองอย่างไร เพราะการเรยี นการสอนสว่ นใหญ่ของการศึกษานอกโรงเรยี น ผู้เรยี นจะได้รับมอบหมายจากครู ใหไ้ ปศึกษาเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง จงึ เขยี นโครงการวจิ ัยอยา่ งา่ ยๆ ดังต่อไปน้ี 1.ชื่อโครงการวิจยั “การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองของนกั ศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การเรยี นชมุ ชนวดั แจ้ง” 2.ความเป็นมาและความสาคญั เนือ่ งจากนักศกึ ษาการศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ มีอาชพี และภารกจิ ต่างๆ มากมาย จงึ มขี ้อจํากัดเรอ่ื งเวลา ไมส่ ามารถมาพบกล่มุ หรือเขา้ เรียนทุกวันได้ สถานศึกษา จึงจัดให้นักศึกษามาพบกลุ่มเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ เพ่ือครูได้สอนเสริมและให้นักศึกษามีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สอบถามปญั หาการเรียน ตลอดจนมอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษาค้นคว้าในหัวข้อวิชาท่ีเรียน ทํารายงาน หรอื นาํ เสนอเพือ่ แลกเปลยี่ นเรยี นร้ใู นการพบกลมุ่ ครง้ั ตอ่ ไป
ค่มู ือพัฒนาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณโ์ ควดิ -19 38 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย การทค่ี รมู อบหมายให้นักศกึ ษาไปศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่เช่นน้ี จึงน่าสนใจศึกษาว่า นกั ศึกษามวี ธิ ีการศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองอยา่ งไร และพบปญั หาอุปสรรคอะไรบ้าง มขี อ้ เสนอแนะอย่างไร ข้อค้นพบจากการวิจัยคาดว่าจะทําให้ครูและสถานศึกษาสามารถนําไปเป็นข้อมูลใ นการพัฒนาปรับปรุง และสนับสนุนการศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเองของนกั ศึกษาให้เกิดประสิทธภิ าพต่อไป 3.วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย เพือ่ ศึกษา 3.1ขอ้ มลู พนื้ ฐานของนกั ศึกษาการศกึ ษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลายศรช. วดั แจ้ง 3.2วธิ ีการศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเองของนกั ศึกษาการศกึ ษานอกโรงเรยี นระดบั มัธยมศึกษาตอนปลายศรช. วดั แจ้ง 3.3ปัญหาอุปสรรคในการการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนระดับ การศึกษาตอนปลายศรช. วัดแจง้ 3.4ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายศรช. วัดแจ้ง 4. วิธดี าเนินการวจิ ัย 4.1 ประชากรได้แก่นักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายปีการศึกษา 2552 สงั กัด ศรช. วดั แจง้ จํานวน 200 คน 4.2 กลุ่มตัวอย่าง สุ่มตัวอย่างจากนักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายปี การศกึ ษา 2553 สังกดั ศรช. วดั แจง้ จาํ นวน 50 คน 4.3 เคร่ืองมือวิจัยใช้แบบสอบถาม มี 4 ตอน คือ ข้อมูลพ้ืนฐานของนักศึกษา วิธีการศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเองของนักศกึ ษา ปญั หาอุปสรรคที่พบ และข้อเสนอแนะ 4.4 วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกบ็ รวบรวมแบบสอบถามด้วยตนเองในเดอื นธันวาคม 2553 4.5 การวเิ คราะห์ข้อมูล ใชค้ วามถ่ี คา่ ร้อยละ คา่ เฉลย่ี ปฏิทินปฏิบัติงาน ขนั้ ตอนการวิจยั ตค. พย. ธค. มค. 1.เขยี นโครงการ 2.ศึกษาเอกสารและกลุม่ ตวั อย่าง 3.สรา้ งแบบสอบถาม/ทดสอบ 4.เกบ็ รวบรวมข้อมลู 5.วเิ คราะหข์ ้อมูล/สรปุ / เขียนรายงาน 6.ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะไดร้ บั 6.1 ครผู สู้ อนใชเ้ ป็นแนวทางปรับการเรยี นการสอนเพ่ือช่วยเหลือ สนับสนุนการศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ด้วย ตนเองของนกั ศกึ ษา 6.2 สถานศึกษาใช้เป็นแนวทางในการกําหนดกฎเกณฑ์ เพ่ือส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ ดว้ ยตนเองของนักศึกษา
คู่มือพฒั นาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณ์โควดิ -19 39 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 6 การเขียนรายงาน การวิจยั อย่างงา่ ย และการเผยแพร่ผลงานการวจิ ยั องค์ประกอบในการเขียนรายงานการวิจยั อย่างงา่ ย ส่วนใหญ่เปน็ การนําเสนอในหวั ข้อตอ่ ไปน้ี 1. ช่อื เร่ือง 2. ชือ่ ผู้วจิ ัย 3. ความเปน็ มาของการวจิ ยั 4. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 5. วธิ ีดาํ เนนิ การวจิ ยั 6. ผลการวจิ ยั 7. ข้อเสนอแนะ 8. เอกสารอ้างอิง (ถา้ มี) การเขยี นรายละเอียดของรายงานการวจิ ยั อย่างง่าย มดี งั ตอ่ ไปนี้ 1.ช่ือเร่อื ง การเขียนชื่อเร่ืองควรเขียนให้กะทัดรัด ตอบคําถามให้ได้ว่า ใคร ทําอะไร กับใคร การเขียนชื่อเร่ืองที่สื่อ ความหมายชดั เจน จะทาํ ให้เห็นประเด็นที่จะศึกษาอยใู่ นช่ือเรอ่ื ง 2.ช่ือผูว้ จิ ยั ระบชุ ่ือผเู้ รยี นซึง่ เป็นผู้ทําการวิจัย พร้อมท้ังสถานศึกษาที่ผูเ้ รยี นกําลงั ศกึ ษาอยู่ 3.ความเปน็ มาของการวจิ ัย การเขยี นความเปน็ มาของการวจิ ัย คือ การระบุให้ผู้อ่านได้ทราบว่าทําไมจึงต้องทํางานวิจัยชิ้นน้ี มีท่ีมาที่ ไปอย่างไร ดังน้ัน ผู้วิจัยควรจะกล่าวถึงสภาพปัญหาหรือสภาพท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซ่ึงสภาพดังกล่าวก่อให้เกิด ปัญหาอะไรบ้าง หรือสภาพดังกล่าวถ้าได้รับการปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จะก่อให้เกิดปัญหา อะไรบ้าง และใครคือผูไ้ ดร้ ับประโยชน์ดังกล่าว มแี นวคิดอย่างไรในการแก้ปัญหาหรือแนวทางการพัฒนาปรับปรุง แกไ้ ข และแนวคดิ ดังกล่าวได้มาอยา่ งไร (แนวคดิ ดงั กล่าวอาจได้มากจากการศึกษาเอกสาร หรือจากประสบการณ์ ตรงท่ีไดจ้ ากการสงั เกต การสมั ภาษณ์ เป็นต้น) พร้อมระบุแหลง่ อ้างองิ 4.วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั การเขยี นวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั เปน็ การระบุให้ผู้อา่ นได้ทราบว่า งานวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยต้องการทําอะไร กบั ใคร และจุดหมายปลายทางหรือผลลัพธ์สดุ ท้ายท่ีผวู้ ิจยั ต้องการคอื อะไร 5.วธิ ดี าเนินการวจิ ยั การเขียนวธิ ดี ําเนนิ การวิจยั ควรครอบคลมุ หวั ขอ้ ดังตอ่ ไปนี้ 5.1 กลุ่มเปูาหมายทตี่ ้องการทาํ การวจิ ยั ควรระบุให้ชดั เจนวา่ คอื ใคร 5.2 เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ควรระบใุ หช้ ัดเจนว่าการวิจยั คร้ังนี้ใชเ้ คร่ืองมืออะไรบ้างในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล หรือแกป้ ัญหา เช่น แบบสาํ รวจ การสัมภาษณ์ การสงั เกต การจดบันทึก เปน็ ตน้ เรื่องท่ี 6 ทกั ษะการเรียนรู้และศักยภาพหลักของพืน้ ท่ใี นการพัฒนาอาชพี ในปัจจุบันโลกมีการแข่งขันกันมากขึ้น โดยเฉพาะการประกอบอาชีพต่าง ๆ จําเป็นต้องมีความรู้ ความสามารถ ความชาํ นาญการ ท้ังภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ผู้ท่ีประสบผลสําเร็จในอาชีพของตนเอง จะต้องมีการ ค้นคว้า หาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เพ่ือเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงอยู่
คูม่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 40 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ตลอดเวลา การที่จะจัดการอาชีพให้ได้ผลสําเร็จนั้นจําเป็นต้องมีปัจจัยหลายด้าน การเรียนรู้ปัจจัยด้านศักยภาพ หลกั ของพน้ื ที่ เปน็ เรอ่ื งทีส่ ําคัญเรอ่ื งหนงึ่ ที่ตอ้ งเรียนรู้ 1 ความหมายความสาคัญของศกั ยภาพหลกั ของพืน้ ที่ในการพฒั นาอาชีพ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตนท์ ่มี แี นวโนม้ การเปล่ยี นแปลงท้งั ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชากร พลังงาน สง่ิ แวดลอ้ ม เทคโนโลยี ขอ้ มูล ขา่ วสาร และความร้อู ย่างเสรี การศึกษาซง่ึ เปน็ กลไกสําคัญของการพัฒนาทรัพยากร ของชาติให้กา้ วทนั การเปล่ียนแปลง สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างสง่างามในประชาคมโลก การจัดการศึกษาจึงต้อง ให้ความสาํ คญั และเห็นคุณค่าของภูมสิ งั คม ภูมริ ฐั ศาสตร์ ศกั ยภาพทุกดา้ นที่จะเปน็ ตน้ ทนุ ทางการศึกษา รวมทั้งต่อ ยอดการศึกษาสู่การพัฒนาประเทศในด้านอื่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก เพ่ือยกระดับ คุณภาพชีวิตและสังคมทั้งองคาพยพ มีการมองหาศักยภาพในทุกภาคส่วนของสังคม ปัจจัยภายนอก และปัจจัย ภายใน ทจ่ี ะสามารถเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคล่ือนการศึกษาได้ เน้นการจัดการศึกษาโดยยึดพื้นที่เป็นฐานในการ พัฒนา โดยคํานึงถึงสภาพแต่ละพื้นที่ ท่ีมีความแตกต่าง และมีความต้องการท้องถิ่นไม่เหมือนกัน การพัฒนา การศึกษาจึงต้องเน้นพื้นที่เป็นสําคัญ โดยมีพื้นฐานอยู่บนศักยภาพด้านต่าง ๆ ของพ้ืนท่ีน้ัน โดยการพัฒนา และ ยกระดับคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน ใหม้ คี วามเป็นอย่ทู ่ดี ี สร้างความม่งั ค่ังทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคม ให้กับประเทศ และอีกประการหน่ึงท่ีสําคญั ในสภาพการปัจจุบัน คือ แม้ท่ีผ่านมาประเทศไทยจะสามารถยกระดับ คุณภาพการศกึ ษาใหป้ ระชาชนในแต่ละพ้นื ท่มี งี านทาํ แล้วในระดับหน่ึง แต่ด้วยพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเรว็ และรุนแรงของสงั คมโลกดังกลา่ วไดส้ ่งผลต่อสังคมไทย ให้เข้าสู่สังคมแห่งการแข่งขันอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ความอย่รู อดของประเทศ ปัจจุบันขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขัน และการพัฒนาศักยภาพของประเทศให้ เกิดประโยชน์สูงสุด ประเทศไทยจึงต้องเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก หากประเทศไทยไม่ เตรียมพร้อม และไม่สามารถแข่งขันในเวทีระดับภูมิภาคได้ จะทําให้เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน การยกระดับ คุณภาพการศึกษา จึงต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย และไม่เพียงแต่ในภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น หากแต่จะต้องเป็นทุกภูมิภาคของโลก เพราะทกุ ภูมิภาคไมว่ ่าจะเป็นพ้ืนทีท่ ่เี จรญิ แลว้ หรือกําลังพัฒนากต็ าม ล้วนมี โอกาสท่ีซอ่ นอย่ทู ั้งสิ้น หากการศึกษาสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ สามารถมองเห็นโอกาสท่ีซ่อน อยู่ จะทาํ ใหป้ ระเทศยืนอยู่บนเวทโี ลกไดอ้ ยา่ งม่ันคง และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ด้วยเหตุนี้ การศึกษาจึง มีความสําคัญมากในการพัฒนาประเทศ และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ จึงต้องมีพื้นฐานมาจากระบบ การศึกษาที่มีคุณภาพ ท่ีสามารถผลิตบุคลากรท่ีมีคุณภาพออกมาพัฒนาประเทศได้ และการเริ่มต้นพัฒนา การศกึ ษาตอ้ งเริ่มตน้ จากการวิเคราะห์ และคน้ หาศกั ยภาพภายในออกมาก่อน และควบคู่ไปกับทําความเข้าใจการ เป็นไปของโลก กระบวนทัศน์ในการพัฒนาการศึกษาจึงตอ้ ง “ดูเรา ดูโลก” คอื เขา้ ใจตวั เอง และเข้าใจว่าโลกหมุน ไปทางใด เพื่อว่งิ ไปโดยไมท่ ิ้งใครไว้ขา้ งหลัง มีความรเู้ ทา่ ทนั ทนุ นิยม และรขู้ อ้ จัดกาํ จัดของเรา เพราะปลายทางของ การพัฒนาการศึกษา หัวใจคือประชาชน คอื การผลิตบคุ ลากรท่มี ีคณุ ภาพในการพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคงยั่งยืน นนั่ เอง การจดั การศกึ ษาดา้ นอาชพี ในปจั จุบันมคี วามสาํ คัญมาก เพราะจะเปน็ การพฒั นาประชากรของประเทศให้ มคี วามรู้ ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชีพ เป็นการแก้ปัญหาการว่างงานและส่งเสริมความเข้มแข็ง ให้แกเ่ ศรษฐกิจชมุ ชน ซง่ึ กระทรวงศึกษาธิการได้กาํ หนดยทุ ธศาสตร์ 2555 ภายใต้กรอบเวลา 2 ปี ท่ีจะพัฒนา 5 ศักยภาพของพ้นื ทีใ่ น 5 กลุ่มอาชพี ใหม่ ให้สามารถแข่งขันได้ใน 5 ภูมิภาคหลักของโลก “รู้เขา รู้เรา เท่าทัน เพ่ือ แข่งขันได้ในเวทีโลก” และกระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดภารกิจท่ีจะพัฒนายกระดับการจัดการศึกษาเพ่ือเพ่ิม ศักยภาพและ ขีดความสามารถให้ประชาชนได้มีอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ ที่ม่ันคง โดยการดําเนินการพัฒนา
คู่มือพัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณโ์ ควดิ -19 41 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ยกระดบั และจัดการศึกษาเพ่อื เพม่ิ ศกั ยภาพ และขีดความสามารถให้ประชาชนได้มีอาชีพท่ีสามารถสร้างรายได้ที่ มัง่ ค่งั และมน่ั คง เพือ่ เปน็ บุคลากรที่มีวินัย เป่ียมไปด้วยคุณธรรมจริยธรรมมีสํานึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อ่ืน และสังคม ภายใตห้ ลกั การพนื้ ฐานที่คํานึงถึงศักยภาพและบริบทรอบ ๆ ตัวผู้เรียน เพ่ือมุ่งสู่เปูาหมายของการเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับศักยภาพในการทํางานให้กับบุคลากรคนไทย ให้แข่งขันได้ในระดับ สากล โดยคํานึงถึงหลักการพ้ืนฐานท่ีคํานึงถึงศักยภาพและบริบทรอบๆ ตัวผู้เรียน ดังน้ัน สาระทักษะการเรียนรู้ เป็นสาระเก่ียวกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนในด้านการเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้แหล่งเรียนรู้ การ จัดการความรู้ การคิดเป็น และการวิจัยอย่างง่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถกําหนดเปูาหมาย วาง แผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เข้าถงึ และเลอื กใชแ้ หล่งเรียนรู้ จัดการความรู้ กระบวนการแก้ปญั หา และตดั สนิ ใจอย่าง มีเหตุผล ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการชี้นําตนเองในการเรียนรู้ และการประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับ หลักการพน้ื ฐาน และการพัฒนา 5 ศักยภาพหลักของพ้ืนท่ีใน 5 กลุ่มอาชีพใหม่ คือ กลุ่มอาชีพด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจัดการและการบริการ ตามยุทธศาสตร์ 2555 กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวติ 2. พน้ื ทห่ี ลกั ในการพัฒนาอาชพี และการวิเคราะห์ศักยภาพหลกั ของพนื้ ทใี่ นการ พัฒนาอาชีพ 1. กลุ่มอาชีพใหม่ 5 กลมุ่ อาชีพ 1.1 กลุ่มอาชพี ด้านเกษตรกรรม 1.2 กลุม่ กลมุ่ อาชีพด้านอุตสาหกรรม 1.3 กลมุ่ อาชพี ดา้ นพาณิชยกรรม 1.4 กลมุ่ อาชพี ด้านความคิดสร้างสรรค์ 1.5 กลุ่มอาชพี ด้านบริหารจัดการและการบรกิ าร 2. พนื้ ทีห่ ลกั ในการพัฒนาอาชีพ 5 พ้ืนที่ พ้นื ทห่ี ลกั ในการพฒั นา ประกอบด้วย
คู่มอื พฒั นาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณ์โควิด-19 42 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 3 ศักยภาพหลักของพืน้ ทีใ่ นการพฒั นาอาชพี 1. ศกั ยภาพของทรัพยากรธรรมชาตใิ นแตล่ ะพ้ืนท่ี หมายถงึ ทรพั ยากรธรรมชาติหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เองตามธรรมชาติ และมนุษย์ สามารถนํามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เชน่ บรรยากาศ ดนิ นํ้า ปุาไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ปุา แร่ธาตุ พลงั งาน และกําลงั แรงงานมนุษย์ เป็นต้น การนําเอาศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพ้ืนที่เพื่อนํามาใช้ ประโยชน์ในด้านการประกอบอาชพี ต้องพจิ ารณาวา่ ทรพั ยากรทางธรรมชาตทิ จ่ี ะต้องนาํ มาใชใ้ นการประกอบอาชีพ ในพื้นท่ีมีหรือไม่มีเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่มี ผู้ประกอบการต้องพิจารณาใหม่ว่าจะกอบอาชีพที่ตัดสินใจเลือกไว้ หรอื ไม่ 2. ศักยภาพของพ้ืนที่ตามหลักภูมิอากาศ หมายถึง ลักษณะของลมฟูาอากาศท่ีมีอยู่ประจําท้องถิ่นใด ท้องถน่ิ หนึ่ง โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิประจําเดือน และปริมาณนํ้าฝนในช่วงระยะเวลาต่างๆ ของปี เช่นภาคเหนือของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นหรือเป็นแบบสะวันนา (Aw) คือ อากาศร้อนชื้นสลับกับฤดูแล้ง เกษตรกรรม กิจกรรมที่ทํารายได้ต่อประชากรในภาคเหนือ ได้แก่ การทําสวน ทําไร่ ทํานา และเล้ียงสัตว์ภาคใต้ เป็นภาคทมี่ ีฝนตกตลอดทั้งปี ทําให้เหมาะแก่การปลูกพชื เมืองร้อน ที่ต้องการความชุ่มชื้นสูง เช่น ยางพารา ปาล์ม น้ํามัน เป็นต้น การประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ผู้ประกอบอาชีพจําเป็นต้องพิจารณาเลือกอาชีพให้เหมาะสมกับ สภาพสภาพภูมิอากาศเพราะสภาพภูมิอากาศจะมีความสมั พันธ์กบั การประกอบอาชีพ 3. ศักยภาพของภูมิประเทศและทาเลท่ีต้ังของแต่ละพ้ืนที่ หมายถึง ลักษณะของพื้นท่ีและทําเลท่ีตั้งใน แต่ละพื้นที่ ซ่ึงพ้ืนท่ีแต่ละทําเลจะมีลักษณะแตกต่างกัน เช่น เป็นภูเขา ท่ีราบสูง ท่ีราบลุ่ม ท่ีราบชายฝั่ง สิ่งที่เรา ต้องศึกษาเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ เช่น ความกว้าง ความยาว ความลาดชัน และความสูงของพ้ืนท่ี เป็นต้น การประกอบอาชีพใดๆก็ตามไม่ว่าจะเป็นการผลิต การจําหน่าย หรือการให้บริการก็ตามจําเป็นต้องพิจารณาถึง ทําเลท่ีตง้ั ที่เหมาะสมและการคมนาคมขนสง่ ต่างๆ
คมู่ อื พัฒนาระบบการเรียนรู้ชว่ งสถานการณ์โควิด-19 43 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 4. ศกั ยภาพของศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวิถชี วี ิตของแต่ละพ้ืนท่ี หมายถงึ ลักษณะ วัฒนธรรม ประเพณี และความแตกต่างกันในการดาํ รงชีวิตของประชากรในพื้นท่ี ซึ่งมีผลต่อการประกอบอาชีพ ผู้ ที่จะประกอบอาชพี อาจตอ้ งพจิ ารณาและเลอื กประกอบอาชพี ใหเ้ มะสมกับวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของแต่ ละพืน้ ที่ 5. ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพ้ืนท่ี หมายถึง บุคคลที่อยู่ในพื้นที่ท่ีต้องได้รับการพัฒนา ความรู้ ความคิดและสามารถการนําศักยภาพของแต่ละบุคคลในแต่ละพื้นท่ีมาใช้ ในการปฏิบัติงานให้เกิด ประโยชน์สูงสุด และสร้างให้แต่ละบุคคลเกิดทัศนคติท่ีดีต่อการประกอบอาชีพ เกิดความตระหนักในคุณค่าของ ตนเอง และเมื่อพิจารณาถึงทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพ้ืนที่ โดยเฉพาะภูมิปัญญาไทย แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป ความรสู้ มัยใหม่จะหลัง่ ไหลเขา้ มามาก แต่ภมู ปิ ญั ญาไทยก็สามารถปรับเปล่ียนให้เหมาะสมกับยุคสมัยได้ การเลือก หรือการเข้าสอู่ าชพี ต่างๆจําเป็นต้องมกี ารพจิ ารณาในเรือ่ งนด้ี ว้ ยเพราะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ นั้นจําเป็นต้อง มกี ารดําเนินการอย่างเป็นระบบ เพราะหากไม่ดาํ เนินการตามกระบวนการอยา่ งเป็นระบบแลว้ จะก่อให้เกิดผลเสีย ต่อการประกอบอาชีพในอนาคตได้ เพราะผลท่ีได้รับจากการบริหารนั้นไม่สอดคล้องกับความสําเร็จของการ ประกอบอาชีพ จะเหน็ ไดว้ า่ การเรยี นรู้และวิเคราะห์หาจดุ อ่อนจุดแข็งของศักยภาพหลักของพื้นท่ีมีความสําคัญและมีผล ตอ่ การพฒั นาอาชีพใหเ้ ขม้ แข็งมากขึ้น เพราะศักยภาพหลกั ของพน้ื ที่เปน็ ปัจจยั หนง่ึ ทีท่ าํ ใหผ้ ้ปู ระกอบการ มี โอกาส เข้าสูก่ ารประกอบอาชีพไดม้ ายง่ิ ขึ้น
คมู่ อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควดิ -19 44 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย แบบทดสอบหลงั เรียน รายวิชาทกั ษะการเรียนรู้ ทร 31001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย คาํ ชแ้ี จง จงเลอื กขอ้ ที่ทา่ นคดิ ว่าถกู ต้องที่สุด 1. ขอ้ ใดเปน็ แหล่งรวบรวมขอ้ มูลสารสนเทศ มากทีส่ ุด ก. หอ้ งสมุด ข. สวนสาธารณะ ค. อนิ เทอรเ์ นต็ ง. อุทยานแห่งชาติ 2. หอ้ งสมดุ ประเภทใดทเี่ กบ็ รวบรวมทรพั ยากรสารสนเทศทมี่ ีเนอ้ื หาเฉพาะวิชา ก. หอ้ งสมุดประชาชน “เฉลมิ ราชกุมารี” ข. ห้องสมุดโรงเรยี นสวนกุหลาบ ค. ห้องสมุดมารวย ง. หอ้ งสมดุ อาํ เภอ 3. แหลง่ เรยี นรู้ หมายถงึ ขอ้ ใด ก. สถานท่ีให้ความรู้ตามอัธยาศัย ข. แหลง่ ค้นควา้ เพอื่ ประโยชนใ์ นการพัฒนาตนเอง ค. แหลง่ รวบรวมความรู้และข้อมูลเฉพาะสาขาวชิ าใดวชิ าหนง่ึ ง. แหล่งขอ้ มูลและประสบการณท์ ่ีสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนแสวงหาความรู้และเรยี นร้ดู ้วยตนเอง 4. ถ้านักศกึ ษาต้องการรเู้ กย่ี วกับโลกและดวงดาว ควรไปใช้บรกิ ารแหลง่ เรียนรใู้ ด ก. ท้องฟาู จําลอง ข. เมอื งโบราณ ค. พิพธิ ภณั ฑ์ ง. ห้องสมดุ 5. หนงั สือประเภทใดท่ีห้ามยมื ออกนอกห้องสมดุ ก. เรอ่ื งแปล ข. หนงั สืออา้ งอิง ค. นวนยิ าย เรอื่ งสนั้ ง. วรรณกรรมสําหรบั เดก็
คู่มอื พฒั นาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณ์โควดิ -19 45 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 6. เหตุใดหอ้ งสมดุ จึงต้องกาํ หนดระเบียบและข้อปฏบิ ัตใิ นการเข้าใชบ้ ริการ ก. เพ่ืออาํ นวยความสะดวกตอ่ ผูใ้ ช้บรกิ าร ข. เพอ่ื สนองความต้องการแก่ผ้ใู ช้บรกิ าร ค. เพอื่ ใหก้ ารบริหารงานห้องสมุดเปน็ ไปอย่างเรียบร้อย ง. เพื่อให้เกิดความเปน็ ธรรมและความเสมอภาคแกผ่ ใู้ ช้บริการ 7. การจัดทาํ ค่มู ือการใช้หอ้ งสมุดเพือ่ ให้ข้อมลู เกี่ยวกับหอ้ งสมุด เปน็ บรกิ ารประเภทใด ก. บรกิ ารขา่ วสารข้อมูล ข. บรกิ ารสอนการใช้ห้องสมุด ค. บรกิ ารแนะนําการใช้ห้องสมดุ ง. บริการตอบคาํ ถามและช่วยการคน้ คว้า 8. ความสาํ คญั ของห้องสมดุ ข้อใดท่ชี ว่ ยให้ผ้ใู ช้บริการมีจติ สํานึกทดี่ ีตอ่ ส่วนรวม ก. ช่วยใหร้ จู้ กั แบง่ เวลาในการศกึ ษาหาความรู้ ข. ชว่ ยให้มีความร้เู ทา่ ทนั โลกยคุ ใหม่ตลอดเวลา ค. ช่วยใหม้ นี ิสยั รกั การค้นควา้ หาความรูด้ ้วยตนเอง ง. ชว่ ยใหร้ ะวังรักษาทรัพย์สนิ สงิ่ ของของหอ้ งสมดุ 9. หอ้ งสมุดประเภทใดให้บริการทกุ เพศ วัย และความรู้ ก. ห้องสมุดเฉพาะ ข. หอ้ งสมดุ โรงเรียน ค. ห้องสมดุ ประชาชน ง. ห้องสมุดมหาวิทยาลัย 10. ห้องสมุดมารวยเปน็ ห้องสมดุ ประเภทใด ก. หอ้ งสมุดเฉพาะ ข. ห้องสมดุ โรงเรยี น ค. ห้องสมดุ ประชาชน ง. หอ้ งสมุดมหาวทิ ยาลัย 11. ขอ้ ใดเป็นแหล่งเรียนรู้ทส่ี ําคญั ในการทาํ กิจกรรมทางศาสนาและสอนคนให้เปน็ คนดี ก. วดั ข. มสั ยดิ ค. โบสถ์ ง. ถกู ทกุ ข้อ 12. ขอ้ ใดตอ่ ไปนีค้ ือประโยชนท์ ี่ได้รบั จากอนิ เทอรเ์ น็ต ก. ส่งจดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ ข. ใช้ค้นหาข้อมูลทํารายงาน
ค่มู อื พัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 46 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ค. ดาวนโ์ หลดโปรแกรม ง. ถูกทุกขอ้ 13. เวบ็ ไซต์คอื อะไร ก. แหล่งรวบเวบ็ เพจ ข. แหล่งท่เี ก็บรวบรวมข้อมลู ค. ส่วนที่ช่วยค้นหาเว็บเพจ ง. คอมพิวเตอรเ์ กบ็ เว็จเพจ 14. เวบ็ เพจเปรียบเทียบกับสิ่งใด ก. ล้ินชัก ข. แฟูมเอกสาร ค. หนงั สอื ง. หนา้ หนงั สอื 15. ถ้าหากหน้าเวบ็ เพจโหลดไม่สมบูรณ์ ต้องแกไ้ ขอย่างไร? ก. กดปุมกากบาท ข. กดปมุ Refresh ค. คลกิ เม้าส์ที่ปุม ง. กดปุม Refresh และคลกิ เม้าท์ทปี่ ุม 16. การจัดการความรเู้ รียกสน้ั ๆ ว่าอะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 17. เปาู หมายของการจดั การความรคู้ ืออะไร ก. พัฒนาคน ข. พัฒนางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถกู ทกุ ขอ้ 18. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากที่สดุ ก. การจัดการความร้หู ากไมท่ าํ จะไมร่ ู้ ข. การจัดการความรู้ คอื การจดั การความรู้ของผ้เู ช่ยี วชาญ ค. การจดั การความรู้ ถอื เปน็ เปูาหมายของการทาํ งาน ง. การจดั การความรู้ คอื การจดั การความรูท้ ี่มีในเอกสาร ตาํ รา มาจัดให้เป็นระบบ 19. ขั้นสงู สุดของการเรียนร้คู อื อะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มูล
ค่มู อื พัฒนาระบบการเรียนรู้ช่วงสถานการณโ์ ควดิ -19 47 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ง. ความรู้ 20. ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) คอื อะไร ก. การจัดการความรู้ ข. เปูาหมายของการจดั การความรู้ ค. วิธีการหนง่ึ ของการจัดการความรู้ ง. แนวปฏบิ ตั ขิ องการจดั การความรู้ เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น 1. ค 2. ค 3. ง 4. ก 5. ข 6. ง 7. ค 8. ง 9. ค 10. ก 11. ง 12. ง 13. ข
คมู่ ือพัฒนาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 48 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 14. ง 15. ข 16. ข 17. ง 18. ก 19. ก 20. ค แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1.ข้อใดคอื ความสาคัญ และความจาเปน็ ของการพัฒนาอาชพี ก.เพือ่ ให้มีสนิ ค้าท่ีดีตรงตามความตอ้ งการของผ้บู รโิ ภค ข.เพอ่ื ใหผ้ ู้ผลติ ได้มกี ารคดิ คน้ ผลิตภัณฑห์ รอื สนิ ค้าไดต้ ลอดเวลา ค.ทําใหเ้ ศรฐกิจของชมุ ชนของประเทศดีข้ึน ง.ถูกทุกข้อ 2. ขอ้ ใดคือความสาคญั และความจาเป็นของการพัฒนาอาชพี ก. เพอ่ื ใหม้ ีสนิ คา้ ทด่ี ีตรงตามความตอ้ งการของผู้บรโิ ภค ข. เพือ่ ให้ผู้ผลิตได้มกี ารคดิ ค้นผลิตภัณฑ์หรอื สนิ คา้ ไดต้ ลอดเวลา ค .ทําใหเ้ ศรษฐกิจของชุมชนของประเทศดีขึ้น ง. ถกู ทุกข้อ 3. จงบอกศกั ยภาพในการบรหิ ารจดั การทางธรุ กิจ ก. เงนิ ทุน แรงงาน ข. เงินทุน แรงงาน ตลาด ค. แรงงาน ทุน อปุ กรณ์ การจัดการ ง. แรงงาน ทนุ อปุ กรณ์ การจัดการ ตลาด 4. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชนข์ องบัญชีทมี่ ีตอ่ องคก์ รธุรกิจ
คู่มอื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 49 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ก. ผู้บรหิ ารมีข้อมูลประกอบการตดั สินใจ ข. เจ้าของกิจการทราบฐานะของบรษิ ัท ค. รัฐจัดเกบ็ ภาษีได้ถูกตอ้ ง ง. ถูกทุกข้อ 5.การวิเคราะหก์ ารจดั ทาแผนการตลาดมีความจาเป็นอย่างไร ก. ชว่ ยให้สินคา้ มีราคาสงู ข้ึน ข. ผู้ประกอบการเข้าถงึ แหล่งเงินทนุ ค. ชว่ ยให้ผ้ปู ระกอบการมฐี านะม่นั คง ง. ช่วยใหผ้ ู้ประกอบการผลิตสนิ คา้ ตรงกับความต้องการของผูบ้ รโิ ภค 6.ขอ้ ใดมีลกั ษณะการวเิ คราะหค์ ลา้ ยกบั การวเิ คราะห์ศกั ยภาพทางธุรกิจ ก.การวเิ คราะหค์ วามแปรปรวน ข.การวิเคราะห์ขอ้ มุลทางสถติ ิ ค.การวเิ คราะห์คณุ ภาพการศกึ ษา ง.การวิเคราะหค์ วามสัมพันธเ์ ชงิ ฟังก์ช่นั 7. เหตุผลขอ้ ใดผปู้ ระกอบอาชพี จงึ ตอ้ งทาการวเิ คราะหศ์ ักยภาพธุรกิจก่อนดาเนินการ ก. เพอื่ ลดการวา่ งงานบุคลากร ข. เพอ่ื สร้างภาพลักษณท์ ด่ี ีขององค์กร ค. เพอื่ ลดความเสย่ี งในการดําเนนิ ธุรกจิ ง. เพอื่ ความก้าวหนใ้ นอาชพี ของบุคลากร 8. งานสงิ่ ประดษิ ฐ์ตามขอ้ ใดท่ีสามารถทาเป็นอาชพี ได้ ก. เคร่อื งจักสาน ข. การทาํ ตกุ๊ ตาเปน็ ของชาํ รว่ ย ค. ทาํ พรมเช็ดเท้จากเศษผา้ ง. ถูกทกุ ข้อ 9. การจัดการตลาด ไดแ้ ก่ ก. ผูบ้ ริโภค ผู้ผลติ ผ้จู ําหนา่ ย ข. ผบู้ ริโภค ผู้ผลิต ผู้จําหนา่ ย ค. แหลง่ ขาย การส่งสริมการตลาด ระบบการเงิน ง. แหล่งขาย ผูซ้ ้ือ ผู้ผลิต การสง่ เสริมการขาย 10. ข้อใดคือความสาคญั ของการตลาด ก. ทําให้เศรษฐกจิ ขยายตัว ข. ชว่ ยให้ลดตน้ ทุนการผลติ ค. ทําให้เกดิ สนิ คา้ ใหมๆ่ เพิม่ ข้ึน
ค่มู อื พฒั นาระบบการเรยี นรู้ช่วงสถานการณโ์ ควิด-19 50 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ง. ถูกทกุ ข้อ 11. ปัจจยั ในการบรหิ ารจดั การ ประกอบด้วย ก. เงนิ ทุน แรงงาน ข .เงินทนุ แรงงาน ตลาด ค. แรงงาน ทนุ อปุ กรณ์ การจดั การ ง. แรงงาน ทนุ อปุ กรณ์ ตลาด และการจัดการ 12. การกาหนดกลยทุ ธท์ างการตลาดมคี วามสาคัญตอ่ การบรรลเุ ปา้ หมายสดุ ท้ายของการดาเนนิ ธรุ กจิ ดังนั้นการทาธรุ กิจตอ้ งเร่ิมจากอะไร ก. กาํ หนดวธิ กี ารทําให้ลกู ค้ารจู้ ักสินค้า ข. ศึกษาความต้องการท่แี ท้จรงิ ของลกู คา้ ค. กําหนดราคาท่เี หมาะสมกบั กําลงั ซ้อื ของผ้บู ริโภค ง. สรา้ งสนิ ค้าหรอื บรกิ ารที่ทาํ ให้ลูกคา้ เกิดความพอใจ 13. ขอ้ ใดเป็นปจั จยั ทเ่ี กย่ี วข้องกับลูกคา้ ทสี่ ง่ ผลให้ประสบความสาเร็จในการผลติ หรอื การบรกิ าร ก. ส่งิ จูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซือ้ ข. การเลอื กวธิ กี ารสง่ สินค้าใหล้ ูกคา้ ค. การสาํ รวจความตอ้ งการของลกู คา้ ง. กาํ หนดสินคา้ ตามความพึงพอใจของลูกค้า 14. นักเศรษฐศาสตร์กาหนดกลมุ่ ปจั จัยการผลิตหลกั คอื ข้อใด ก. ทีด่ ิน ทุน การผลิต การบริการ ข. ทีด่ นิ แรงงาน แผนงาน การผลติ ค. ทีด่ ิน แรงงาน การขายการตลาด ง. ทีด่ ิน แรงงาน ทนุ การประกอบการ 15. ขอ้ ใดเปน็ การดาเนินการพัฒนาระบบการผลิตหรอื การบริการอยา่ งตอ่ เนื่อง ก. มจี ติ ใจงาม ข. ความเข้าใจลกู ค้า ค. มคี วามรบั ผิดชอบ ง. สามารถจับต้องไดล้ งทุนประกอบกิจการ 16. ข้อใดต่อไปนจ้ี ดั ว่าเป็นการทาธุรกจิ เชิงรุก ที่ประสบความสาเรจ็ มากทส่ี ุด ก. ร้านเซเวน่ อีเลฟเวน่ ข. หา้ งสรรพสนิ ค้า บ๊ิกซี ค. รา้ นกาแฟในป๊ัมน้ํามัน ง. ร้านขายของโชห่วยในท้องถนิ่ 17. ข้อใดตอ่ ไปนี้เป็นความสาคัญของโครงการพฒั นาอาชพี ยกเวน้ ข้อใด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139