หนังสือในโครงการเพาะพันธ์ปัญญาลาดับที่ 36 รจู้ กั เดก็ จากโครงงาน: การพฒั นาทกั ษะแห่งอนาคตในชั้นเรยี น RBL ผศ.ดร.ปยิ ะฉัตร จติ ตธ์ รรม ผศ.ดร.วชั รี เกษพิชัยณรงค์ ผศ.ดร.นา้ ค้าง ศรวี ฒั นาโรทยั นางอรณุ วรรณ กลน่ั กลงึ ศนู ยพ์ ี่เลี้ยงโครงการเพาะพนั ธ์ุปญั ญา สถาบันนวตั กรรมการเรยี นรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
ร้จู ักเด็กจากโครงงาน การพฒั นาทกั ษะแห่งอนาคตในชัน้ เรยี น RBL ศนู ยพ์ เ่ี ลีย้ งโครงการเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา สถาบนั นวตั กรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลยั มหดิ ล สนบั สนนุ โดย สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจัย (สกว.) และ บมจ.ธนาคารกสกิ รไทย ISBN 978-616-443-357-1 พิมพ์ครัง้ ที่ 1 จานวน ตุลาคม 2562 ผู้เขยี น 600 เล่ม ออกแบบรปู เล่ม ออกแบบปก ผศ.ดร.ปิยะฉตั ร จติ ต์ธรรม พิสูจนอ์ กั ษร ผศ.ดร.วชั รี เกษพิชยั ณรงค์ จัดพมิ พ์โดย ผศ.ดร.นา้ คา้ ง ศรีวัฒนาโรทยั และ คณุ อรุณวรรณ กล่นั กลึง พมิ พ์ที่ ผศ.ดร.ปิยะฉตั ร จติ ต์ธรรม คุณจิราพร ธารแผว้ ราคา ผศ.ดร.วัชรี เกษพชิ ยั ณรงค์ และ คณุ อรณุ วรรณ กล่ันกลงึ ศูนย์พเี่ ลยี งโครงการเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา สถาบันนวตั กรรมการเรยี นรู้ มหาวิทยาลัยมหดิ ล 999 ถ.พทุ ธมณฑลสาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170 บริษัท วิจจา จา้ กัด 1/530 ซ.บรมราชชนนี 35 ถ.บรมราชชนนี แขวงตล่ิงชัน เขตตลงิ่ ชนั กรงุ เทพมหานคร 10170 Tel/Fax: 061-8929292 220 บาท
สารบัญ 1 13 คา้ น้า 27 บทท่ี 1 จากรู้สูค่ ดิ 38 บทที่ 2 การคดิ วเิ คราะห์ในการทา้ โครงงาน 48 บทท่ี 3 การคิดวเิ คราะหเ์ พื่อตัดสนิ ใจ 61 บทท่ี 4 การสังเคราะหค์ วามรู้ 84 บทที่ 5 การคิดสร้างสรรค์และการแกป้ ัญหา 106 บทท่ี 6 การสอ่ื สาร: หลักฐานแสดงทกั ษะคดิ ของผู้เรยี น 114 บทท่ี 7 การตระหนักรู้ บทที่ 8 ครเู ห็นอะไร บรรณานุกรม
คานา เนือหาในหนงั สอื เล่มนีได้เรยี บเรียงขึนมาจากประสบการณ์ของคณะผ้เู ขียนท่ี มีโอกาสได้ท้าหน้าเป็น “พี่เลียง” ในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ซึ่งมีบทบาทในการท้า หน้าที่พ่ีเลียงและโค้ชให้กับครูในการพัฒนานักเรียนให้เกิดการเรยี นร้ผู ่านการลงมือท้า โครงงานฐานวิจัย (Research-Based Project) ผา่ นมากว่า 6 ร่นุ กับโครงงานฐานวิจัย กว่า 600 เร่ือง ได้สัมผสั ตังแต่เริ่มหาโจทย์จนกระทั่งมีผลงานน้าเสนอ ท้าให้ได้เหน็ การ เติบโตทางความคิดของนักเรียน ซ่ึงผู้ที่อยู่เบืองหลงั ความส้าเร็จดงั กลา่ ว คือครูท่ีเปดิ ใจ ยอมรับการเปล่ียนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนบทบาทของตนเองจาก ครูผู้สอน มา เป็น ครูอ้านวย ครูฝึก หรือแม้กระทั่งเป็น นักเรียนรู้ ร่วมเดินทางบนเส้นทางแห่งการ เรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียน ต้องอดทนรอคอยค้าตอบ เป็นผู้ฟังที่ดี ครูต้องตระหนัก เสมอว่านักเรียนแต่ละคนมีความรู้แตกต่างกัน ในระหว่างการท้างานของนักเรียน ครู จ้าเป็นต้องตรวจสอบเสน้ ทาง คอยจับสัญญาณการเรียนรขู้ องนักเรียน ให้รู้จุดแข็งหรือ จุดอ่อนของนักเรียน เพื่อปรับทิศทางหรือกระบวนการโดยเข้าไปช่วยกระตุ้นสิ่งท่ี นักเรยี นท้าเพ่ือให้การเรยี นรู้ของเขาบรรลผุ ลสูงสุด เนือหาในหนังสือเล่มนีเป็นการถ่ายทอดจากมุมของคณะผู้เขียน ในการท้า ความรู้จักหรือประเมินนักเรียนจากโครงงานฐานวิจัยท่ีนักเรียนท้า โดยน้าตัวอย่าง ผลงานของนักเรียนรวมทังการสะท้อนคิด มาถอดเป็นทักษะท่ีส้าคัญในศตวรรษที่ 21 แล้วน้าเสนอวิธีการวัดทักษะนันผ่านตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีทักษะอยู่ในระดบั ใด (summative assessment) รวมทังน้าเสนอบทบาทของการ feedback หรือการใช้ ค้าถามตอ้ น เพอื่ ใชผ้ ลการประเมินนนั ในการพฒั นาผเู้ รียน (formative assessment) เนอื หาในหนังสือแบ่งออกเป็น 8 บท คือ บทที่ 1 จากรู้สู่คิด เป็นการสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับ การท้าโครงงาน ซ่ึงจะใช้ผลงานคือโครงงานท่ีขาดความรู้ในการท้าโครงงาน เปรียบเทียบกบั โครงงานท่ใี ชค้ วามรู้ในการท้าโครงงาน
บทที่ 2 การคิดวิเคราะห์ในการทาโครงงาน ใช้ผลงานของนักเรียนเป็น กรณีศึกษาท่ีเชื่อมโยงกับประเด็นของทักษะการคิดวิเคราะห์รูปแบบต่างๆ ได้แก่ การ คิดวิเคราะห์จนเจอช่องว่างของความรู้ การคิดวิเคราะห์ในการออกแบบส่ิงประดิษฐ์ และการวิเคราะหเ์ ชอื่ มโยง โดยสอดแทรกเทคนิคและคา้ ถามตอ้ นความคิดเพ่ือให้ผู้อ่าน ได้เหน็ กระบวนการโค้ชคิด บทที่ 3 การคิดวิเคราะห์เพ่ือตัดสินใจ ใช้ผลงานของนักเรียนท่ีไปถึงขันคิด วิเคราะห์เพอื่ ตัดสนิ ใจเปน็ กรณศี กึ ษา โดยมีบทวิพากษ์ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ ของนักเรียนในแตล่ ะกรณีเพ่อื เป็นแนวทางสา้ หรับการน้าไปใชพ้ ฒั นานกั เรียนต่อไป บทที่ 4 การคิดสังเคราะหค์ วามรู้ ใช้ผลงานของนักเรยี นท่สี ะท้อนให้เหน็ การ สร้างความรู้อย่างง่ายโดยผู้เรียนเอง มีการสอดแทรกตัวอย่างค้าถามท่ีใช้ต้อนความคิด เข้าสู่ประตูความรู้ รวมทงั ประเดน็ ความร้ทู ี่ควรจะพาเด็กไปใหถ้ งึ บทท่ี 5 การคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา ใช้ผลงานของนักเรียน โดยเฉพาะช่วงของการออกแบบวิจัยท่ีสะท้อนให้เห็นการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ใน กรณีต่างๆ เช่น ความสร้างสรรค์ที่เกิดจากความขาดแคลนเคร่ืองมือ ความสร้างสรรค์ ในการออกแบบการทดลองทตี่ อ้ งควบคมุ ตัวแปรในบรบิ ทจริง บทท่ี 6 การส่ือสาร: หลักฐานแสดงทักษะคิดของผู้เรียน ใช้ผลงานของ นักเรียน อาทิ โปสเตอร์ และ PowerPoint เป็นกรณีศึกษาเพื่อสะท้อนให้เห็น พัฒนาการด้านทักษะการส่อื สารไปพรอ้ มกบั ทกั ษะคิดของผเู้ รยี น บทท่ี 7 การตระหนักรู้ ได้น้าข้อเขียนสะท้อนคิดของนักเรียนมาถอดให้เห็น การตระหนักรู้ในเรื่องต่างๆ ท่ีเช่ือมโยงให้เห็นคุณลักษณะบางอย่างท่ีก่อเกิดขึนในตัว นักเรียน บทที่ 8 ครูเห็นอะไร เป็นการน้าเสนอมุมมองของครูท่านหน่ึงต่อการพัฒนา ในด้านต่างๆ ท่ีเกิดขึนในตัวนักเรียน ซึ่งครูท่านนีคลุกคลีอยู่กับ RBL ของเพาะพันธ์ุ ปัญญาตังแต่เร่ิมต้นจนถึงปีสุดท้าย ทังในบทบาทของครู RBL และบทบาทของพี่เลียง ใหก้ ับครูรนุ่ น้อง
ทังหมดคือส่ิงท่ีจะบอก เพ่ือให้ผู้อ่านรู้ที่มาท่ีไปของหนังสือเล่มนี หวังเป็น อยา่ งย่ิงว่าหนงั สอื เล่มนจี ะให้คณุ คา่ และสาระแก่ผอู้ ่าน ในโอกาสนี ขอขอบคุณคุณครูและนักเรียน ที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับคณะ ผู้เขยี น ขอขอบคุณส้านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั และ บมจ.ธนาคารกสกิ รไทย ท่ี ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้ท้าโครงการนีอย่างต่อเนื่องเกือบ 7 ปี และขอขอบพระคุณท่าน รศ.ดร.สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ หัวหน้าหน่วยจัดการกลางโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ที่ให้ โ อ ก า ส ไ ด้ ร่ ว ม เ รี ย น รู้ แ ล ะ ท้ า ง า น ท่ี ท้ า ท า ย แ บ บ ด้ า ด่ิ ง จ น ไ ด้ ด่ื ม ด่้ า กั บ คุ ณ ค่ า แ ล ะ ความหมายของการท้าประโยชน์เพื่อผู้อ่นื ผศ.ดร.ปยิ ะฉตั ร จติ ตธ์ รรม 30 กนั ยายน 2562
บทท่ี 1 จากรู้ส่คู ิด การบกพรอ่ งทางความคิด อาจเปน็ เพราะขาดข้อมลู ทเี่ กย่ี วขอ้ ง เมอ่ื ไม่มขี อ้ มูลใดๆ และจาเป็นต้องคดิ ก็จะคิดแบบ “คิดเอาเอง” -1-
จากร้สู ่คู ิด เด็กไทยจาเก่งแต่คิดไม่เป็น!!! เช่ือว่าหลายคนคงเคยได้ยินคานี้ สาเหตุหน่ึง อาจเป็นเพราะการวัดคุณภาพเด็กวัดท่ีความจามากกว่าการนาความรู้มาใช้ ตอบ ข้อสอบด้วยความจาแบบไม่ต้องคิด ได้คะแนนดีแต่ขาดความเข้าใจในเบ้ืองต้น เรียน เพ่ือให้จบแต่ขาดความรู้ที่แท้จริงในการดารงชีวิต และเม่อื การวัดและประเมินผลเป็น ตัวกาหนดทิศทางการจัดการเรียนรู้ ห้องเรียนส่วนใหญ่จึงเน้นการท่องจาทาให้เด็กมี ความสามารถทางสติปัญญาจากัด โดยอาจอยู่เพียงลาดับขั้นที่ 1-2 ของ Bloom (1956) ที่เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และ การประเมิน ซึ่งในภายหลังได้มีการปรับปรุงใหม่ตามแนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001) เป็น การจา การเข้าใจ การประยุกต์ การวิเคราะห์ การประเมิน และการสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานฐานวิจัย (Research-Based Learning, RBL) เป็นวิธีสอนหน่ึงท่ีผู้เขียนพบว่ามีประสิทธิภาพในการพัฒนานักเรียนให้เกิดการ เรียนรู้และมีทักษะคิดขั้นสูง แต่ก็ต้องอาศัยครูท่ีมีทักษะในการโค้ชนักเรียนคิดใน -2-
ระหว่างการทาโครงงาน ดังน้ัน จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีครูผู้สอนโครงงานจะต้องรู้ว่า นักเรียนของตนมีทักษะคิดอยู่ในระดับใด และแน่นอนว่าต้องไม่ประเมินผลในตอนท้าย เม่ือเสร็จสิ้นการทาโครงงาน (summative assessment) หากแต่ต้องมีการวัดและ ประเมินผลระหว่างทาง (formative assessment) เพื่อใช้ผลการประเมินน้ันในการ กาหนดเป้าหมายในการเดินทางให้ชัดเจนและจะได้กาหนดกิจกรรมต่างๆ ในการ พัฒนานักเรียนได้ตรงประเด็นอย่างเหมาะสม เพราะส่ิงสาคัญของการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานไม่ใชเ่ พอ่ื ใหไ้ ด้ของ (product) ที่จะนาไปแข่งขนั เพ่ือให้ชนะการประกวด หากแต่เป็น cognitive growth ของนักเรียนแต่ละคน ทั้งน้ี มีรายงานวิจัยอธิบายว่า การเชิดชูให้รางวัลที่ผลสุดท้ายของการแข่งขันสร้าง fixed mindset ให้นักเรียนผู้นั้น ยึดติดกับความสาเร็จ แล้วไม่กล้าทางานที่ยากข้ึนเพราะกลัวล้มเหลว ส่วนนักเรียนท่ี เหลือจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถเท่า การประกาศเชิดชูคือ summative assessment ท่ีไม่สามารถสร้าง growth ได้ มีเพียง summative assessment ที่ feedback เชงิ บวกไปท่กี ระบวนการเรียนรูข้ องนักเรียนเท่าน้นั ท่พี ัฒนาให้เกดิ growth mindset ได้ แม้แต่นกั เรียนหลงั ห้อง จากความรู้สกู่ ารคดิ ตง้ั สมมติฐาน ขอพาย้อนไปที่ช่วงแรกของการทาโครงงาน ที่ต้องมี “การตั้งสมมติฐาน” ซึ่ง ทาให้รู้ว่า นักเรียนแต่ละคนมีทักษะคิดระดับใด เพราะการต้ังสมมติฐานคือการ คาดคะเนผลอย่างมีหลักการและตรรกะรองรับ ไม่ใช่การเดา!!! ในที่น้ีขอนาโครงงาน “ม้าน่ังจากกระดาษหนังสือพิมพ์” ซึ่งเป็นโครงงานยอดฮิตของนักเรียนมาเป็น กรณศี กึ ษา นักเรยี นต้ังสมมตฐิ านวา่ “กระดาษหนังสือพมิ พท์ าม้านัง่ ได้” อันนผี้ ดิ เพราะ ไม่มีหลักการหรือตรรกะรองรับ และแน่นอนว่าบางท่านน่าจะเคยเห็นสมมติฐานแบบ ท่ีว่าวัสดุใดๆ ในโลกน้ีสามารถเอามาทาของได้สารพัด ซ่ึงผิดหลักการโดยส้ินเชิง ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะนักเรยี นไม่รู้ข้อมูลที่เก่ียวข้อง ก็เลยคิดแบบ “คิดเอาเอง” จึงเป็นหน้าท่ี ของครทู ่ีจะตอ้ งหนนุ นาใหน้ ักเรยี นคิดและหาขอ้ มูลเพิม่ -3-
ย้อนกลบั มาท่ีโครงงานมา้ นง่ั ของนกั เรยี น ครอู าจใช้คาถามต่อไปน้ี 1) ม้าน่งั ท่ดี ีมลี กั ษณะอยา่ งไร? 2) วสั ดุทนี่ ามาทามา้ น่งั มีคณุ สมบตั อิ ย่างไร? 3) กระดาษหนังสือพิมพม์ ีคุณสมบตั ิอะไรท่เี หมาะจะนามาทาเป็นมา้ นัง่ ? 4) กระดาษหนังสือพิมพ์มีกระบวนการผลิตอย่างไร มีก่ีแบบ แต่ละแบบมี ความเหมือนหรือตา่ งกนั อย่างไร? 5) เคยมีใครเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาทาม้าน่ังหรือไม่ ของเขามีจุดด้อย อะไร หรือยังขาดอะไร ของเราจะทาให้ดีกว่าของเขาอย่างไร? 6) จะทดสอบมา้ นง่ั ของเราวา่ ดวี ่าของเดิมได้อย่างไร? การค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทาให้นักเรียนมีความรู้มากพอท่ีจะกาหนด สมมติฐานท่ีดีได้ ตัวอย่างเช่น เม่ือนักเรียนพบว่ากระดาษท่ีใช้ทาหนังสือพิมพ์มีหลาย ชนิด ผ่านกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน มีลักษณะการเรียงตัวของเส้นใยแตกต่างกัน ซ่ึงเม่ือหาข้อมูลเก่ียวกับการเรียงตัวของเส้นใย พบว่า การเรียงตัวของเส้นใยมีผลต่อ คุณสมบัติหลายประการ เช่น ความเหนียว ความยืดหยุ่น ข้อมูลต่างๆ เหล่าน้ีถูก นามาใช้ในการกาหนดสมมติฐาน ทีนก้ี ลบั มาดูสมมตฐิ านที่นักเรยี นตั้งกัน นักเรยี น สมมตฐิ านโครงงานมา้ นง่ั คนท่ี 1 กระดาษหนังสือพมิ พท์ ามา้ นัง่ ได้ คนที่ 2 ม้าน่ังจากกระดาษ A และ B มปี ระสิทธิภาพแตกตา่ งกนั (เม่อื ซกั ถามแล้วนกั เรียนไมส่ ามารถอธบิ ายความแตกตา่ งได้) คนท่ี 3 กระดาษ A และ B มคี วามเหนยี วและยดื หยนุ่ แตกต่างกนั ดังน้นั มา้ น่ังท่ที าจากกระดาษ A และ B มีประสทิ ธิภาพแตกตา่ งกัน คนที่ 4 กระดาษ A มคี วามเหนยี วและยดื หยนุ่ กวา่ กระดาษ B ดังน้นั มา้ นั่งท่ีทาจากกระดาษ A มคี วามทนทานและรับนา้ หนักไดม้ ากกว่า ม้านั่งทท่ี าจากกระดาษ B -4-
จากกรณีสมตฐิ านของนักเรยี นทั้ง 4 คนนี้ ประเมินได้ว่า คนที่ 1 ยงั ไม่ผ่านบนั ไดขั้นแรกของ Bloom คนท่ี 2 แทบไม่ตา่ งกบั คนแรก แต่ดกี ว่าหนอ่ ยตรงท่ีสมมตฐิ านเร่ิมมาถูกทาง ซงึ่ นา่ จะตีความได้ว่านักเรยี นคนนม้ี คี วามรเู้ รื่องการตงั้ สมมติฐาน คนท่ี 3 มีทักษะคิดในขั้น “คิดประยุกต์” คือสามารถนาความรู้เร่ือง คุณสมบัติของกระดาษมาใช้ในบริบทของม้านั่ง แต่ยังไม่สามารถอธิบายประสิทธิภาพ ของมา้ นงั่ ในลักษณะทีแ่ สดงใหเ้ ห็นการคิดเช่อื มโยงเหตแุ ละผล คนท่ี 4 มีทักษะคิดในขั้น “คิดวิเคราะห์” มีการเช่ือมโยงเหตุและผลว่า คณุ สมบตั แิ บบนน้ี า่ จะส่งผลลกั ษณะนี้ นักเรียนทั้งส่ีคนนี้สามารถพัฒนาให้มีทักษะคิดที่สูงขึ้นได้อีก โดยครูจะต้อง เปล่ียนบทบาทจากผู้สอนท่ีบอกความรู้ให้นักเรียน มาเป็นการใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นให้ นักเรียนดึงความรู้ท่ีมีอยู่มาสงสัย เพ่ือค้นคว้าหาหลักฐานความเป็นเหตุและผลต่อกัน โดยเอาสาระวิชาท่เี รยี นมาอธบิ าย รู้แตไ่ ม่ (ทนั ) คิด ผู้เขียนมีโอกาสได้เป็นกรรมการตัดสินโครงงานของนักเรียนในการแข่งขัน หลายเวที ทาให้พบว่า ลักษณะการคิดในการทาโครงงานของนักเรียนแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คอื ประเภทแรกคือ “คดิ เอาเอง” เป็นโครงงานท่ีทาโดยปราศจากความรู้ ทา ให้มีความเส่ียงสงู ทีจ่ ะเกิดขอ้ ผิดพลาดหรือไม่ประสบความสาเรจ็ ประเภทที่สองคือ “รู้ แต่ไม่ (ทัน) คิด” เป็นโครงงานที่มีการค้นคว้าหาความรู้ทั้งท่ีเก่ียวข้องและไม่เกี่ยวข้อง เยอะมาก แต่ผู้ทาโครงงานไม่ได้นาความรู้ที่ค้นคว้ามาใช้ประโยชน์ในการทาโครงงาน และประเภทท่ีสามคือ “คิดแต่ไม่รอบ” เป็นโครงงานท่ีผ่านการคิดมาแล้วแต่ยังคิดไม่ รอบด้าน จะให้ได้ชัดตอนออกแบบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะโครงงาน ประเภททาของทมี่ กั จะวดั ไมก่ ดี่ า้ น ไมไ่ ดค้ านงึ ถึงบรบิ ทจริง -5-
จากประสบการณ์ในการทาโครงการเพาะพันธ์ปุ ัญญา ก็ยังคงพบโครงงานท้ัง 3 ประเภทที่ว่ามา ในที่น้ีขอกล่าวถึงประเภทท่ีสอง โดยขอนาโครงงาน “ชาชมพู่” มา เปน็ กรณีศึกษา ที่มาและความสาคญั ของโครงงานชาชมพู่ ชมพู่เป็นผลไม้เศรษฐกิจสาคัญอีกชนิดหนึ่งของจังหวัดสมุทรสาคร มีผลผลิต ตลอดท้ังปี โดยจะออกมาก 2 ช่วง คือ ปลายเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมกราคม และตน้ เดือนกุมภาพันธถ์ ึงกลางเดือนมนี าคม จนชมพู่ล้นตลาดเกดิ การเน่าเสียข้ึน จึง มีแนวคิดนาชมพู่มาแปรรูปโดยอบให้แห้งสนิทเพ่ือทาเป็นชา ซึ่งคาดว่าน่าจะ ตอบสนองต่อวัฒนธรรมการดื่มชาของผู้คนในจังหวัดสมุทรสาครได้ เพราะประชากร ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเช้ือสายจีนและชื่นชอบการด่ืมชา ท้ังนี้จากการศึกษาจากแหล่ง ต่างๆ พบว่า แม้ปัจจุบันจะมีผลิตภัณฑ์ชาผลไม้หลายชนิด แต่ยังไม่มีชาชมพู่ จึงมี แนวคิดท่ีจะทาชาจากผลชมพู่ เพ่ือนาผลไม้ท่ีมีล้นตลาดมาแปรรูปเป็นทางเลือกหน่ึง ให้กบั ผทู้ น่ี ยิ มด่ืมชา จากท่ีมาและความสาคัญข้างต้น นักเรียนเลือกท่ีจะเอาผลชมพู่มาทาชา โดยลืมนึกไปว่าชมพู่มีปริมาณน้ามากมีเน้ือน้อย ดังน้ัน การอบให้แห้งจะต้องใช้ เวลานาน อีกท้ังยังได้ปริมาณเนื้อชาแห้งน้อย จึงไม่น่าจะคุ้มค่า แต่เมื่อนักเรียนดึงดัน ท่ีจะทา ทาแล้วก็ต้องให้ได้เรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้ของนักเรียนจะสาเร็จได้เพราะครูใช้ -6-
คาถามกระตุน้ ให้คดิ เช่น 1) ชมพมู่ ปี รมิ าณนา้ และเน้ือในสัดส่วนเท่าใด? จะหาคาตอบไดอ้ ยา่ งไร? 2) รไู้ ด้อย่างไรวา่ ชาชมพูท่ ่อี บได้ มีคณุ ภาพดี? 3) ชาทด่ี มี ลี กั ษณะอย่างไร? 4) คณุ ภาพของชา ขน้ึ อยู่กับอะไรบ้าง? 5) เวลาในการอบให้แห้ง ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากน้อยเพียงใด? น่าส่งผล กระทบต่ออะไรอีกบ้าง? 6) จะต้องทาอย่างไร เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้า? วิธีการน้ันจะส่งผลต่อ คณุ ภาพของชาหรอื ไม่? 7) คุ้มคา่ พอทีจ่ ะทาหรอื ไม่? คาถามข้อที่ 1-4 ช่วยให้นักเรียนสามารถคิดออกแบบวิธีการวิจัยเพื่อให้ได้ ขอ้ มลู มากพอทจี่ ะนามาสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ซงึ่ ในทน่ี ี้นกั เรียนไดท้ าการวัดนา้ หนัก ของชมพู่กอ่ นและหลังอบ ทาใหป้ ระจกั ษช์ ัดด้วยตนเองวา่ ได้เน้ือชาแหง้ นอ้ ยมาก นอกจากนี้ นกั เรยี นยังออกแบบวิธกี ารทดสอบคณุ ภาพชา โดยคานึงถึงการชง -7-
ชาด่ืมในบริบทจริง จึงมีการทดสอบชาโดยการสังเกตสี กลิ่น รส และลักษณะของเน้ือ ชา ควบคไู่ ปกบั การสารวจความพึงพอใจของกลุ่มตวั อย่าง นกั เรียนนาขอ้ มลู ทีไ่ ด้มาคดิ วิเคราะหส์ งั เคราะห์ จนไดข้ อ้ สรุปว่า กลุม่ ตัวอย่าง ร้อยละ 82 ชื่นชอบในรสชาติของชาชมพู่ โดยร้อยละ 68 ชื่นชอบในระดับมาก ดังน้ัน จงึ มีความเปน็ ไปได้ท่ีจะผลิตชาชมพเู่ พ่ือเป็นทางเลือกหนึ่งแก่ผู้บรโิ ภคทช่ี อบดม่ื ชา โดย การตั้งราคาขายต้องคานึงถึงต้นทุนและเปรียบเทียบราคากับชาชนิดอ่ืนในท้องตลาด -8-
ด้วย นอกจากน้ี นักเรียนยังมีคาแนะนาสาหรับผู้บริโภคว่า หากชอบรสชาติหวานอม เปร้ียวนิดๆ และมีกล่ินหอมอ่อนๆ ควรแช่ชาในน้าร้อนนาน 2 นาที แต่หากชอบรส เปรี้ยวนาหวานและมกี ลิน่ หอม ควรแช่ชาในน้าร้อนนาน 3 นาที ซึ่งขอ้ สรุปน้ีสะท้อนให้ เห็นวา่ นกั เรยี นเกิดทักษะชีวิตแลว้ สาหรบั คาถามขอ้ ที่ 5-7 เปน็ คาถามทก่ี ระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นคดิ เช่ือมโยงอยา่ งเป็น เหตุเป็นผล ทาให้นักเรียนพบว่า หากผลไม้มีปริมาณน้ามาก ต้องใช้เวลาอบนาน ใช้ พลงั งานไฟฟ้ามาก ซ่งึ นอกจากจะทาใหค้ ่าไฟฟ้าสูงแลว้ ยังทาให้ทรพั ยากรธรรมชาติ (ที่ เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า) ลดลงด้วย ซงึ่ สะท้อนให้เห็นวา่ นักเรียนเร่ิมมีการคิดอย่าง เปน็ ระบบแลว้ การคิดทดสอบประสิทธิภาพ “ประสิทธิภาพ” เป็นคาท่ีผู้เขยี นเจอบ่อยมากในโครงงานประเภท “ทาของ” ซง่ึ ส่วนใหญ่ก็มักทดสอบประสิทธิภาพดว้ ยการสารวจความพึงพอใจ!!! และถงึ แม้ของที่ ทาข้ึนมาจะมีหลากหลายรปู แบบ แตผ่ ลการสารวจความพึงพอใจกไ็ มส่ ามารถใหค้ าตอบ ได้ว่ากลุม่ ตัวอยา่ งชอบแบบไหน ปัญหาน้ีเกิดจากการทาตามๆ กนั โดยขาดความเข้าใจ ไม่รู้ว่าประสิทธภิ าพคืออะไร จึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องนาพานักเรียนให้เกิดการคิด โดยคานึงถงึ บรบิ ทจริงด้วย ดงั 2 ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี -9-
คาถามชวนคิดทดสอบ “สบ”ู่ o สบูท่ ด่ี ตี ้องมลี กั ษณะอยา่ งไร? (ฟองเยอะ ลา้ งออกง่าย เนอ้ื ไม่เละเม่ือโดนนา้ ) o จะทดสอบลักษณะต่างๆ เหล่านนั้ ได้อย่างไร? คาถามชวนคดิ ทดสอบ “ตะกร้า” o ตะกร้าทท่ี าขึน้ จะนาไปใชง้ านในลกั ษณะใด? o ตะกรา้ ท่ดี สี าหรับการใช้งานในลกั ษณะน้นั ต้องมี คณุ สมบตั ิอย่างไร? o จะทดสอบคณุ สมบัตติ ่างๆ เหลา่ นน้ั ได้อยา่ งไร? การบกพรอ่ งทางความคดิ เพราะขาดข้อมลู ท่ีเกี่ยวข้อง สาเหตุหนึ่งที่ทาให้นักเรียนมีความบกพร่องทางความคดิ เป็นเพราะขาดขอ้ มูล ทเ่ี กี่ยวข้อง เมอื่ ไม่มขี ้อมลู ใดๆ และจาเปน็ ต้องคิด ก็จะคดิ แบบ “คดิ เอาเอง” ซ่ึงมคี วาม เส่ียงทจ่ี ะเกิดความผิดพลาดไดค้ ่อนข้างสูง ครูสามารถท่ีจะรู้ได้ว่านักเรียนมีปัญหาข้างต้นหรือไม่ โดยการพิจารณาจาก โครงร่างโครงงาน (proposal) ของนักเรียน เริ่มจากการอ่านที่มาและความสาคัญ ตลอดไปจนถึงวัตถปุ ระสงค์ในการทาโครงงาน ท่ีพอจะทาให้ครูคาดเดาได้ว่าต่อไปควร จะเจออะไร ดังน้ันเม่ืออ่านไปถึงการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง (literature review) ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าส่ิงท่ีอ่านมีความเก่ียวข้องกับโครงงานนั้นหรือไม่ และ เมื่ออ่านเลยไปจนถงึ วธิ ีการเกบ็ ข้อมูล กจ็ ะยง่ิ ประจักษ์ชดั วา่ มีประเด็นใดขาดหรือเกนิ จากประสบการณ์ของผเู้ ขียน พบปัญหาในการทบทวนวรรณกรรม 2 รูปแบบ คือ 1) มีเน้ือหาที่ไม่เก่ียวข้องจานวนมาก และ 2) ขาดเนื้อหาท่ีจาเป็นต้องรู้ ปัญหา ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านักเรียนมีการค้นคว้าหาข้อมูลโดยปราศจากการคิด จึงใส่ - 10 -
ข้อมูลทุกอย่างเท่าทห่ี าได้เข้าไปในรายงาน ท้ังน้ี อาจมีสาเหตุมาจาก ผู้ทาโครงงานไม่รู้ ว่า “ตนไม่รู้อะไร” ดังน้ัน ครูจะต้องช่วยให้นักเรียนทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องให้ ครอบคลุมประเด็นสาคัญท้ังหมด ซึ่งนักเรียนควรจะต้องรู้เป้าหมายในการทบทวน วรรณกรรมด้วย สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ (2561) ได้ระบุเป้าหมายในการทบทวน วรรณกรรม ไว้ดังน้ี 1) รู้ว่าใครทาอะไรก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว เพ่ือให้ตนเองมี “ความรู้เท่า” เขา เพอ่ื จะได้ไมท่ าสงิ่ ทไ่ี ม่ควรทา 2) มอี ะไรที่คนอื่นยังไม่รู้ เพ่ือให้เห็น “ช่องวา่ งความรู้” (knowledge gap) เพื่อสรา้ งความรใู้ หม่ หากพบชอ่ งว่างความรู้มาก เราควรเลอื กจะรอู้ ะไร โดยพจิ ารณาวา่ เรามีศักยภาพหาความรทู้ ี่ขาดนน้ั หรือไม่ 3) ใหไ้ ด้ “วิธีการ” เพือ่ ให้ได้ความรู้เปรยี บเทียบกับคนอ่นื ได้ อย่างไรก็ตาม นกั เรียนที่มคี วามอ่อนด้อยในการอ่าน ย่อมมีความอ่อนด้อยใน เรื่องข้อมูลด้วย ดังนั้น ครูจะต้องส่งเสริมให้นักเรียนอ่านให้มาก รวมท้ังฝึกให้นักเรียน คดิ วเิ คราะห์ จัดหมวดหมู่ขอ้ มลู เชื่อมโยงเหตแุ ละผล ใหน้ กั เรียนพิจารณาว่า 1) งานทก่ี าลังอ่าน มบี รบิ ทเหมอื นหรือใกลเ้ คยี งกับงานของเราไหม ความรู้ อะไรทเี่ อามาใช้ในบริบทของเราได้ 2) งานของเขาอธบิ ายสว่ นไหนไม่ครบ หรือสว่ นไหนขดั แยง้ กนั เอง หรือส่วน ไหนยังสรุปไม่ได้ เพอ่ื จะหาสิง่ ใหมท่ เี่ ราจะทาเพิ่มเตมิ “ช่องวา่ งความรู้” 3) อา่ นวิธีการ หากดอี ยู่แล้วก็ทาแบบเขา ขอ้ มูลจะไดเ้ ปรียบเทยี บกันได้ แต่ ถา้ พบว่าเขายังใช้วธิ ีไมด่ ี ก็เปน็ โอกาสทีเ่ ราจะเสนอขอ้ มูลท่ีดกี ว่าจากวิธที ่ีดีกว่าของเรา การทบทวนวรรณกรรมอย่างครอบคลุม จะทาใหน้ ักเรียนเห็นกรอบความคิด ใหม่ส่กู ารเปดิ มิตใิ หม่ของเร่ืองเดมิ จนทาให้งานทีเ่ ราจะทากลายเป็นของใหมห่ รอื ของท่ีดี กว่าเดิมได้ - 11 -
บทบาทครู RBL เมื่อการทาโครงงานฐานวิจัยถูกนามาใช้เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้จากการปฏิบัติ และคิดแทนการเรียนแล้วรู้ความรู้ ครูต้องจัดการให้นักเรียนได้เรียนแล้วรู้ โดยจัดให้ นักเรียนมีประสบการณใ์ หม่จากการลงมอื ปฏิบตั ิหรอื จากเรอื่ งรอบตัวแล้วดงึ ความรเู้ ดิม มาสร้างความรู้ใหม่จากข้ันการคิดวิเคราะห์ แล้วหนุนให้นักเรียนก้าวขึ้นสู่บันได้คิด สังเคราะห์ เป็นบทบาทการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้นักเรียน ทั้งนี้ ครูต้องเปล่ียน บทบาทจากที่เคยบอกความรู้มาถามเพ่ือกระตุ้นให้เกิดทักษะคิด ให้นักเรียนเรียนรู้ได้ เอง ดงั นัน้ ครตู ้องพัฒนาทักษะสาคัญคือการถาม เพ่ือเป็น coach แทน teacher หรือ mentor - 12 -
บทท่ี 2 การคิดวเิ คราะห์ ในการทาโครงงาน เมอ่ื เดก็ ทาโครงงานเรื่องใดก็ตาม ขอให้เขาร้จู กั การตงั้ คาถามเขา้ สู่โลกความเปน็ จรงิ เขาจะได้ร้สู ึกวา่ การทาโครงงานนนั้ ไม่ได้เสียเปล่า เขาไดเ้ รียนรู้ เรยี นแล้วมคี า่ - 13 -
การคิดวเิ คราะห์ในการทาโครงงาน การคิดวิเคราะห์ เป็นทักษะทางปัญญาระดับสูงที่เป็นจุดอ่อนของเด็กไทยท้ัง ประเทศ ดงั จะเห็นได้จากการทดสอบระดบั ชาติทั้งระดับ ม.3 และ ม.6 มผี ลการสอบใน รายวิชาที่ต้องใช้ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ ไม่ถึง 50% ติดต่อกันหลายปี เพราะ การเรียนการสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่ยังคงเน้นการท่องจา และถึงแม้ว่าจะมีการนา กระบวนการสอนแบบโครงงาน (Project-Based Learning, PBL) มาใช้ หากปราศจาก การนาพาสู่การคิด นกั เรยี นก็ไมส่ ามารถไตบ่ นั ไดของ Bloom ข้ึนไปถึงลาดับขั้นท่สี ูงได้ การคิดวิเคราะห์ (analyzing) เป็นการเรียนรู้มาถึงระดับท่ีผู้เรียนสามารถบอก ความแตกต่างระหว่างส่วนประกอบของสรรพสิ่ง และบอกความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนประกอบดว้ ยกันเองหรือระหว่างส่วนประกอบกับภาพรวม โดยแสดงพฤตกิ รรม เชน่ การเปรียบเทยี บ การบอกความแตกตา่ ง การวพิ ากษ์ และการจาแนกแยกแยะ “การทาโครงงาน RBL เหน่อื ยมากแตก่ ไ็ ด้ความรู้จากการลงมือลง แรงของเราเอง ทาให้เรารบั รู้ว่า การจะทาโครงงานอะไรสกั อยา่ ง ตอ้ งศึกษา ข้อมูลให้ดีกว่านี้ คานึงถึงองค์ประกอบรอบนอกดว้ ย ไม่ใช่อยากจะทาอะไร กท็ า ตอ้ งศึกษาใหเ้ ข้าใจและลงมอื ทาอย่างรอบคอบ” ข้อเขียนสะท้อนคิดข้างต้นมาจากนักเรียนในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ท่ี สะท้อนให้เห็นว่าในการทาโครงงานฐานวิจัยนักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะคิด วิเคราะห์และคิดสังเคราะห์ ซ่ึงครูสามารถหาหลักฐานเชิงประจักษ์ได้จากโครงงานที่ นักเรียนนาเสนอ - 14 -
คิดวิเคราะหจ์ นเจอชอ่ งว่างของความรู้ ขอยกตัวอย่างโครงงาน “การชะลอการเกิดสคี ล้าของยอดมะพรา้ วที่ปอกทิง้ ไว้” ซ่ึงเป็นโครงงานของนักเรยี นช้ัน ม.2 ที่จะสะท้อนใหผ้ ู้อ่านเหน็ ว่า การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์สามารถฝึกได้ต้งั แต่เรมิ่ ต้นหาโจทยท์ าโครงงาน ผเู้ ขียนพบโครงงานทานองน้ีเยอะมากในอินเตอรเ์ นต็ นกั เรียนส่วนใหญด่ ่ิงไป หาสารต่างๆ มาใช้ ซึ่งถ้าลองค้นใน Google ก็จะพบท้ังมะนาว มะขาม น้าส้มสายชู และเกลือ โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าสารต่างๆ ที่ใช้น้ัน ชะลอการเกิดสคี ลา้ ไดอ้ ย่างไร การทาโครงงานเช่นนนี้ ักเรียนจึงไม่เกิดการเรยี นร้จู นได้ ความรจู้ ากการลงมอื ทาในโครงงานนีแ้ มแ้ ต่นอ้ ย ครูสามารถพานกั เรยี นไต่บันไดไปถึงขึ้นคิดวิเคราะห์ได้ โดยใหน้ ักเรยี นสืบค้น ข้อมลู เพอื่ สาวหาเหตขุ องผล “อะไรเป็นเหตุใหผ้ ลไมท้ ่ีปอกเปลอื กทงิ้ ไวเ้ กดิ สคี ลา้ ” นักเรียนต้องรวบรวมสารสนเทศและความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนามา วิเคราะห์กลั่นกรองคัดเลือกเอามาเฉพาะส่วนที่สาคัญ ทาให้นักเรียนพบสาเหตุรวมท้ัง ปัจจัยท่ีทาให้เกิดเหตุน้ัน ซ่ึงเป็นฐานคิดสาคัญในออกแบบวธิ ีการเพื่อแกป้ ัญหาการเกิด สีคล้าของยอดมะพร้าว ดงั ในกรณีนี้ นักเรยี นตงั้ สมมตฐิ านว่า - 15 -
o ถา้ ยอดมะพร้าวทห่ี ่นั แล้วไม่สัมผัสอากาศ กจ็ ะไมเ่ กิดสคี ลา้ o ถา้ เปล่ยี นแปลงสภาพแวดลอ้ ม เอนไซมจ์ ะทางานได้ไม่ดี ยอดมะพรา้ วก็ จะเกดิ สคี ล้าช้าลง เมื่อไดส้ มมติฐานแล้ว นกั เรียนตอ้ งหาขอ้ มลู ต่อไป เพือ่ ใหร้ ้วู ิธีการทีค่ นอ่นื เคย ใช้ เพ่ือจะนาวิธีการของเขามาใช้ ท้ังนี้จากการหาข้อมูลเพ่ิม ทาให้นักเรียนพบว่า มี หลายโครงงานใช้สารในครวั เรือน ไดแ้ ก่ มะนาว มะขาม น้าส้มสายชู และเกลอื ในการ ลดการเกิดสคี ล้าของผลไม้ และจากการคิดวิเคราะห์เช่ือมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง ก็ ทาให้พบ “ชอ่ งว่างของความรู้” ทยี่ งั ไมม่ ีโครงงานไหนอธบิ ายวา่ สารเหลา่ น้นั ชะลอการ เกิดสีคล้าได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่มีรายงานว่าสารเหล่าน้ันส่งผลกระทบต่อรสชาติ กล่ิน และเนื้อสัมผัส หรือไม่ ช่องว่างของความรู้ หรือ knowledge gap ตรงน้ี จึงเป็น จุดเร่ิมต้นสาหรับการทาโครงงานของนักเรียนเพ่ือหาคาตอบท่ีจะมาเติมช่องว่างของ ความรู้ ควรตอ้ งคิดอะไรในการทาโครงงานสง่ิ ประดษิ ฐ์ ขอยกตัวอย่างโครงงาน “การพัฒนาเครื่องมือเก็บยอดสะเดา” ของนักเรียน ชั้น ม.3 มาเป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นโจทย์ที่ต่างจากงานวิจัยอื่น คือ เป็น ส่ิงประดิษฐ์ทีโ่ ครงงานสว่ นมากชอบทากัน แต่ RBL ในโครงการเพาะพันธ์ปญั ญาต้องมี หลักคิดบางอย่างเก่ียวกับโครงงานส่ิงประดิษฐ์ ที่เรียกว่า “คาถา 5 ข้อ” (สุธีระ ประเสริฐสรรพ์, 2558) คาถาขอ้ 1 “ของเดิมคอื อะไร” คาถาข้อ 2 “ของเดิมมีขอ้ ด้อยอะไรทเ่ี ราตอ้ งการแก้ไข” คาถาข้อ 3 “มีหลักการอะไรบ้างที่ใช้แก้ข้อด้อย เราเลือกหลักการใด เพราะ อะไร” คาถาข้อ 4 “เราจะประยุกต์หลักการที่เลือกเข้าสู่ส่ิงประดิษฐ์ของเราได้ อยา่ งไร” คาถาข้อ 5 “เราจะพสิ ูจนไ์ ดอ้ ย่างไรวา่ ส่ิงประดษิ ฐข์ องเราดกี ว่าเขา” - 16 -
ครูสามารถใช้คาถาน้ีในการโค้ชนักเรียนคิดขั้นสูงในระหว่างการทาโครงงาน สง่ิ ประดษิ ฐ์ได้ ทนี ้ีย้อนกลับมาดูการใช้คาถา 5 ขอ้ ในโครงงานของนกั เรียนกนั จากสไลด์การนาเสนอของนักเรียน ดังรูปข้างต้น แสดงการใช้คาถาข้อ 1 “ของเดิมคืออะไร” (ไมส้ อยที่มงี า่ ม) และคาถาขอ้ 2 “ของเดิมมีขอ้ ดอ้ ยอะไร” นักเรียน อธบิ ายแลว้ เป็นการอธิบายตามปรากฎการณ์ที่เหน็ คือ ก่งิ หกั ก่งิ ช้า ตัดพลาด และช้า ซ่ึงยังอธิบายน้อยเกินไป การอธิบายข้อด้อยต้องให้ชัด เพราะนั่นเป็นเหตุผลที่จะโน้ม นา้ วทาใหค้ นเชอ่ื ว่าเราตอ้ งทางานน้ี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ครูตอ้ งถามต่อไปยงั “ผล” ของ - 17 -
ปรากฎการณน์ ้นั เพื่อให้เห็นข้อด้อยชดั ขนึ้ คอื ช้า ผลผลติ เสียหาย และเสียโอกาสได้ผล ผลิตรอบหนา้ ถัดมาท่ีคาถาข้อ 3 “ใช้หลักการอะไรแก้ไขข้อด้อย” และคาถาข้อ 4 “เรา ประยุกต์หลักการเข้าสู่ส่ิงประดิษฐ์อย่างไร” นักเรียนกลุ่มนี้เลือกแก้ปัญหาความยาว ของดา้ มจับ โดยใช้หลักตรโี กณมิติในการคานวณให้ไดค้ วามยาวของดา้ มจับท่ีพอเหมาะ และเลือกใช้ข้อต่อที่เป็นเกลียวหมุน เพ่ือให้ปรับความส้ันยาวของด้ามจับให้เหมาะกับ การใชง้ าน ท้ังนี้ นักเรยี นไมไ่ ดอ้ ธบิ ายว่าเหตใุ ดจึงเลือกแก้ไขขอ้ ด้อยนก้ี ่อน หลักการท่ีนักเรียนเลือกใช้ ยังไม่ได้แก้ปัญหา “กิ่งช้าหรือหัก” ดังน้ัน เพ่ือ นาพานกั เรยี นหาหลักการแกป้ ัญหา ครูตอ้ งถามไปที่เหตุ ครู: “ทาไมกิ่งช้าหรอื หัก” นกั เรยี น: “การใชไ้ มส้ อยบดิ แล้วดงึ ครับ” ครู: “ทาไมตอ้ งบดิ และดึง” นกั เรยี น: “ให้ยอดสะเดาขาดออกจากกง่ิ ” - 18 -
ครู: “มีหลักการอะไรบ้างที่ทาให้ยอดสะเดาขาดจากกิ่งโดยไม่ต้อง บดิ ” นักเรยี น: “ตัดด้วยกรรไกรครับ” ครู: “ของลุงสมคิดกใ็ ช้กรรไกร” นกั เรียน: “ใช่ครบั แต่ของลงุ สมคดิ เลง็ ตดั ก่ิงท่ีต้องการยาก” ครู: “ทาไมถงึ เล็งยาก” นักเรยี น: “ด้ามจับมันอยู่แนวเดียวกับกรรไกร เลยบังสายตาทาให้มองไม่ เหน็ ยอดทจี่ ะตัดครับ” ครู: “ถ้าจะไม่ใหบ้ ังสายตาจะตอ้ งทาอย่างไร” นักเรยี น: “งอด้ามจบั ที่ต่อกบั กรรไกรครับ” ครู: “การงอดา้ มจบั ทตี่ อ่ กับกรรไกร ใชห้ ลักการอะไร” นักเรยี น: “มมุ องศาครบั ” ครู: “นอกจากมุมของกรรไกรท่ีใช้ตัดกิ่งแล้ว อุปกรณ์ของคุณลุง สมคิดยังมขี อ้ เสียตรงไหนอีก” นกั เรียน: “เชือกและรอกครับ” ชุดคาถามคาตอบข้างต้น ถูกถอดมาจากการสนทนาในบริบทจริง เป็นถาม ต้อนความคิดเพ่ือให้นักเรียนวิเคราะห์องค์ประกอบในของเดิมอย่างละเอียด นาไปสู่ การหาหลกั การมาใชใ้ นการออกแบบเครอื่ งมือโดยการแกไ้ ขจดุ ดอ้ ยต่างๆ เหล่านี้ ทาให้ นักเรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ รวมไปถึงการประเมินเพ่ือ ตัดสินใจเลือกหลกั การมาใช้แก้ปัญหา ซ่ึงเห็นได้ชัดในรายงานความก้าวหนา้ ที่นักเรียน นาเสนอ - 19 -
หลังจากท่ีนักเรียนพัฒนาเคร่ืองมือเก็บสะเดาตามแนวคิดข้างต้นแล้ว นักเรียนก็ใช้คาถาข้อ 5 “พิสูจน์อย่างไรวา่ ของเราดีกว่าเก่า” นักเรียนอธิบายดว้ ยคาวา่ “ของเขา...แต่ของเรา...” เป็นประโยคเปรียบเทียบที่ควรให้ติดหัวเด็กไว้เวลาทา โครงงานส่ิงประดิษฐ์ แล้วสุดท้ายเอาไปลองใช้จริงเปรียบเทียบ ซ่ึงนักเรียนออกแบบ การทดสอบสง่ิ ประดิษฐข์ องเขาได้อย่างน่าท่ึงมาก ดทู ้ังในเร่อื งคุณภาพและปริมาณของ สะเดา รวมถงึ ความเมือ่ ยล้าหลังการทางาน โดยพยายามควบคมุ ตัวแปรตา่ งๆ เทา่ ทที่ า ได้ ท่านผู้อ่านลองจินตนาการว่าถ้าเป็นเรา จะวัดผลดังท่ีกล่าวมานี้อย่างไร ก่อนจะไป พบกับคาเฉลยในบทท่ี 4 วเิ คราะหเ์ ชื่อมโยง ไม่บ่อยนักท่ีจะได้เห็นโครงงานนักเรียนมีการคิดเช่ือมโยง โดยเอาข้อมูล หลายๆ ข้อมูลมาประมวลร่วมกนั ผู้เขียนพบปรากฏการณน์ ีใ้ นโครงงานเชงิ สารวจ เรือ่ ง “การศึกษาการทาธรุ กจิ การสง่ ออกมะพรา้ ว” ซ่ึงเปน็ ตวั อยา่ งงานวจิ ัยแบบอปุ นัย ทเ่ี กิด จากความอยากรู้ของผู้วิจัย ในที่น้ีคือนักเรียนช้ัน ม.2 ท่ีอยากรู้เก่ียวกับธุรกิจของเขา คาถามแรกท่ีนักเรียนต้องเจอ คือ “อยากรู้ไปทาไม” “รู้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร” ซึ่ง นักเรียนส่วนใหญ่ที่ทาโครงงานลักษณะน้ีมักจะตอบไม่ได้ นักเรียนกลุ่มน้ีก็ตอบไม่ได้ - 20 -
เช่นเดียวกัน เข้าสู่สัปดาห์ท่ี 2 ครูก็ยังถามคาถามเดิม จนในสัปดาห์ที่ 3 นักเรียนมา พร้อมกับคาตอบว่า “อยากจะทาให้มะพร้าวของชุมชนเป็นท่ีต้องการของเขา และมี ความฝันวา่ สกั วนั หนง่ึ จะไดท้ าธรุ กิจและจะสามารถเติบโตไดอ้ ย่างเขา” นักเรียนไดเ้ ก็บข้อมูลจาก 3 แหล่ง ได้แก่ 1) ศึกษาเอกสารและดูงานที่บริษทั ทาธุรกิจมะพร้าวส่งออก 2) ศึกษาดูงานในชุมชนและสัมภาษณ์ปราชญ์ชาวบ้าน และ 3) สืบค้นข้อมลู จากอินเทอรเ์ นต็ เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกบั แนวคดิ ในการทาธุรกิจ ปัจจัย ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางท่ีเป็นประโยชน์สาหรับชาวสวนมะพร้าว การเก็บข้อมูลจาก หลายแหลง่ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ที่ชดั เจนเช่นนี้ทาใหโ้ ครงงานน้เี รมิ่ น่าสนใจข้นึ มาแล้ว งานนแ้ี มว้ า่ ดูเหมอื นการเกบ็ ขอ้ มูลธรรมดา แต่ผู้เขยี นไดเ้ หน็ ความสวยงามอยู่ ที่นักเรียนสามารถอธิบายความหมายเพ่ิมเติมได้เอง สามารถเอาข้อมูลต่างๆ มา เชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกันได้ คือ เรื่องของมะพร้าวน้าหอม เป็นกรณีศึกษาที่ RBL เชื่อมโยงกบั ท้องถน่ิ และชวี ติ จรงิ สามารถ project ไปหาเปา้ หมายข้างหนา้ ได้ เช่น การ มองเห็นอนาคตของธุรกิจนี้ ดังจะเห็นได้จากผลงานที่นักเรียนนาเสนอ ซ่ึงนักเรียนได้ แบง่ ขอ้ มลู เป็น 2 สว่ น ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ในมิตขิ องการทาธรุ กจิ และข้อมูลในมติ ขิ องชาวสวน มะพรา้ ว ปิดทา้ ยดว้ ยการนาเสนอชอ่ งทางทามาหากิน ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ - 21 -
ข้อมลู เกีย่ วกับการทาธรุ กจิ - 22 -
- 23 -
ข้อมูลท่ีเกีย่ วกับชาวสวนมะพรา้ ว - 24 -
ชอ่ งทางทามาหากนิ ท่ี - 25 -
จากผลงานที่นกั เรียนนาเสนอ จะเห็นได้ว่า ข้อมลู ทีน่ าเสนอไมใ่ ช่ข้อมูลดบิ มี การเลือกใช้แผนภาพ ตาราง ใส่จุดเน้นในประเด็นสาคัญ มีการนาข้อมูลมาจัด ความสัมพันธ์แบบเหตุและผล เรียบเรียงใหม่ให้มีความชัดเจนข้ึนและเพ่ิมเจตคติใน มุมมองของเขาลงไป สะท้อนให้เห็นความสามารถในการอธิบายและทักษะการคิด วิเคราะห์ท่ีนามาสกู่ ารมองเห็นความหมายของข้อมูล มีการคิดประเมินเพื่อตัดสนิ ใจจน สามารถสังเคราะหช์ ่องทางทามาหากินจากขอ้ มลู ได้ งานน้ีมีความครบถ้วนมากในหลายมิติ เราจะเห็นมิติชีวิตจริงท่ีนักเรียน เรียนรู้ นนั่ คอื มติ ิเศรษฐศาสตร์ ท่เี ขาหาได้เองจากสนามจริง ฉะนั้น ขอแนะนาครวู า่ เมอื่ เดก็ ทาโครงงานเร่อื งใดกต็ าม ขอให้เขารูจ้ ักการตงั้ คาถามเขา้ สู่โลกความเป็นจริง เขาจะ ได้ร้สู กึ ว่าการทาโครงงานนนั้ ไมไ่ ดเ้ สยี เปลา่ เขาได้เรียนรู้ เรยี นแลว้ มีค่า - 26 -
บทที่ 3 การคิดวเิ คราะห์ เพื่อตดั สินใจ การวเิ คราะหเ์ พื่อตดั สนิ ใจ เป็นการไต่บันไดไปถงึ ลาดบั ข้ัน การคิดประเมนิ เมื่อประเมนิ ได้แลว้ จงึ ตัดสินใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสม แทจ้ ริงแลว้ มนั เปน็ ทักษะทางปัญญาทสี่ ูงมาก เพราะมนั เกี่ยวโยง ไปถงึ เร่ืองการให้เหตุผลอยา่ งมีคุณธรรมอกี ด้วย - 27 -
การคดิ วเิ คราะห์เพื่อตัดสินใจ การคิดวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ เป็นการไต่บันไดไปถึงลาดับข้ันการคิด ประเมิน เมื่อประเมินได้แล้วจึงตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม พฤติกรรมท่ีสะท้อนให้ เห็นว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ถึงขั้นน้ี ได้แก่ ประเมินผล เลือก ประมาณค่า ตัดสิน แสดงความคดิ เหน็ สนับสนนุ หรอื ปกปอ้ ง และวพิ ากษว์ จิ ารณ์ เปน็ ต้น จะเลอื กทาหรือไม่ทาอะไร ทักษะการวิเคราะหเ์ พื่อตัดสนิ ใจเลอื กทาหรือไม่ทาอะไรปรากฏให้เห็นตั้งแต่ ช่วงต้นน้าท่ีนักเรียนพัฒนาเค้าโครงในการทาโครงงาน นักเรียนต้องสืบค้นข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับงานท่ีจะทา ซึ่งจาเป็นต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล หาก ขอ้ มูลผิดพลาดกน็ าไปสู่การตดั สินใจที่ผิดพลาดเช่นกนั เน่อื งจากมนั จะถูกใช้เปน็ ฐานใน การให้เหตุผลของความคิด ทักษะน้ีเป็นพ้ืนฐานการคิดอย่างมีวิจารณญาณท่ีสามารถ นาไปใช้ในชีวิตประจาวัน เช่น การเสพส่อื ออนไลน์ท่ีต้องมกี ารประเมนิ ความน่าเชื่อถอื ของแหล่งขา่ ว การตดั สินใจในการเลือกเครอ่ื งแต่งกายทต่ี ้องประเมินว่าอะไรดกี ว่าอะไร อะไรเหมาะกับสถานการณ์น้ัน ทักษะน้ีแท้จริงแล้วมันเป็นทักษะทางปัญญาท่ีสูงมาก เพราะมันยงั เกี่ยวโยงไปถงึ เรื่องการใหเ้ หตุผลอยา่ งมีคุณธรรมอีกดว้ ย ทักษะนี้ยังปรากฏให้เห็นในข้ันการคิดออกแบบ ซ่ึงนักเรียนจาเป็นต้อง ประเมินความสามารถและข้อจากัดของตนเอง วิเคราะห์ตนเองว่ามีความพร้อมหรือ ปัจจัยอะไรท่ีจะช่วยให้งานสาเร็จตามต้องการ เม่ือได้ข้อมูลมาแล้วนักเรียนก็ต้อง วิเคราะห์ว่าควรจะนาเสนอรูปแบบใด หรือเลือกใช้กราฟแบบไหน และการวิเคราะห์ ขอ้ มูลท่ไี ด้มาน้ีก็อาจนาไปสกู่ ารตัดสนิ ใจบางอยา่ ง - 28 -
กรณีศึกษา: โครงงานอาชพี ขอยกตวั อย่างโครงงานสารวจเรื่อง “เงอื่ นไขและปัจจัยในการประกอบอาชีพ ของชาวบ้านในตาบลสวนส้ม จังหวัดสมุทรสาคร” ของนักเรียนชั้น ม.1 ที่แม้ว่าจะมี การเก็บข้อมูลธรรมดาแต่มีความสวยงามที่นักเรียนบอกว่า “จะใช้เป็นแนวทางในการ ประกอบอาชีพสาหรับนักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อ” หากนักเรียนเรียนจบแล้วไม่เรียนต่อ และมีความสามารถวเิ คราะหก์ ารประกอบอาชพี ได้ เขากอ็ ยู่รอด นักเรยี นดาเนนิ งานโดยเกบ็ ขอ้ มลู โดยการสมั ภาษณ์ชาวบา้ นที่ประกอบอาชีพ แตกต่างกัน จานวน 30 อาชีพ แล้วนาข้อมูลมาจัดกลุ่มได้ 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอาชีพ เกษตรกรรม กลมุ่ อาชีพประมง กล่มุ อาชพี รับจ้าง กลมุ่ อาชีพคา้ ขาย และกลมุ่ อาชีพรับ ราชการ และจากการวิเคราะห์แยกแยะน้ีก็ทาให้นักเรียนพบว่า คนส่วนใหญ่ในกลุ่ม ตวั อย่างนี้ประกอบอาชีพกลุ่มใด ดังรปู ต่อไปนี้ - 29 -
เมื่อครูนาพานักเรียนแยกแยะและจัดกล่มุ ข้อมลู ท่ีได้จากการสมั ภาษณ์คนใน อาชีพต่างๆ ก็ทาให้นักเรียนพบว่า แต่ละอาชีพมีปัจจยั ที่เก่ียวข้องแตกต่างกัน โดยรวม แล้วมีท้ังหมด 6 ปัจจัย ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ ท่ีดิน แรงงาน ทาเล เงินลงทุน และความ ชานาญ - 30 -
การทาโครงงานในลักษณะน้ีของนักเรียนส่วนใหญ่มักจะจบลงแค่ตรงน้ี ครู ต้องโค้ชให้นักเรียนนาข้อมูลมาใช้ประโยชน์ อย่างในกรณีของโครงงานนี้ ครูตั้งคาถาม ว่า “จากข้อมูลน้ี...นักเรียนมีข้อแนะนาในการเลือกประกอบอาชีพอย่างไร” จึงทาให้ เราไดเ้ หน็ ความสามารถในการวเิ คราะหเ์ พอื่ ตดั สินใจของนกั เรยี น - 31 -
จากข้อมูลข้างต้น นักเรียนให้ข้อมูล 2 ด้าน คือ การลงทุนและรายรับ การ ลงทุนเป็นปัญหาหลักของคนที่ไม่มีต้นทุน ส่ิงที่นักเรียนต้องฝึกคือ “ความเส่ียง” ท่ีเกิด จากการที่คนจานวนมากไม่ทราบว่าใครทาอะไรอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้าแห่กันปลูกฝร่ังกัน หมด แมว้ า่ ลงทนุ น้อย แต่ก็จะมีความเส่ียงการตลาดท่ี over supply ได้ หมายความว่า นักเรียนที่ต้องทาโครงงานแบบน้ี ต้องรู้ว่าคนอ่ืนกาลังทาอะไรอยู่ด้วย ตลาดมีกาลัง absorb ผลผลิตจากอาชีพอย่างไร ดังนั้น ครูต้องนาพานักเรียนเรียน 2 ด้าน คือ หา ความรู้ว่าลม้ เหลวในอดีตที่มีกันน้ันเกิดจากอะไร เพ่ือให้นักเรียนมภี ูมคิ ้มุ กันจากการไม่ คิดแบบสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง การคิดไม่รอบด้านอาจเป็นบ่อเกิดของความโลภ ไม่ พอประมาณ ซึ่งครสู ามารถสอนให้นักเรียนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้เลย กรณีศกึ ษา: โครงงานทาขนม ขอยกตวั อยา่ ง โครงงาน “การพัฒนาสตู รขนมจากเพือ่ สรา้ งรายได้เพ่มิ ” ของ นักเรียนช้ัน ม.2 ที่อยากจะหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว ส่ิงสาคัญประการแรกในการ ทาโครงงานลักษณะนี้ คือต้องให้นักเรียนฉุกคิดว่า “ต้องไม่เอาของแพงมาทาของถูก” ดงั น้ัน ครูต้องนาพานักเรยี นคิดเกยี่ วกับต้นทุนด้วย หากตน้ ทุนสูงแต่ขายถูกก็จะขาดทนุ - 32 -
เม่ือต้นทุนสูงก็ต้องตั้งราคาขายสูง หากราคาสูงกว่าของคนอ่ืนก็จะขายไม่ได้ หาก นักเรยี นมคี วามสามารถวิเคราะห์เช่นน้ีแล้ว เขากอ็ ยู่รอดได้ ในโครงงานน้ีนักเรียนได้พัฒนาสตู รขนมจากข้ึนมา 4 สูตร โดยมีการคานวณ ตน้ ทุนเทยี บกับสตู รด้ังเดมิ แล้วทดลองขายจรงิ มรี ายละเอยี ดดังน้ี - 33 -
ผู้เขียนได้เหน็ มติ ขิ องชวี ติ จริงในงานนี้ ท่ีมจี ดุ เรม่ิ ตน้ จากการทีอ่ ยากหารายได้ เพื่อช่วยเหลือครอบครัว นักเรียนได้เรียนรู้มิติของเศรษฐศาสตร์ เรื่องต้นทุน กาไร จุดคุ้มทุน รวมถึงมุมมองในเรื่องการขาย จึงทาโครงงานมีความสวยงามและโดดเด่น กวา่ โครงงานทาอาหารท่วั ไป ความสวยงามอยู่ทน่ี กั เรยี นสามารถเอาข้อมูลมาวเิ คราะห์ - 34 -
จนตดั สนิ ใจไดว้ ่าจะขายอะไร ซึ่งนักเรียนไม่ได้ตดิ กับดกั ความคิดในตอนคดิ หาตน้ ทุนตอ่ หน่วย ต้นทุนต่าน่าจะได้กาไรสูงก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะขายได้ ผู้เขียนชอบข้อสรุปของ นักเรียนในตอนท้ายท่ีนักเรียนมองโอกาสในการคืนทุน ความสามารถในการคิด ประกอบอาชีพเช่นนี้ น่าจะทาให้เขาเอาตัวรอดได้ในยุคของการแข่งขันท่ีมีแน วโน้ม สูงขึน้ แบบกา้ วกระโดด กรณศี กึ ษา: โครงงานขยะในคลอง โครงงานนี้เป็นโครงงานของนักเรียนชั้น ม.1 ที่พัฒนาโจทย์มาจากปัญหาใน ชุมชน นักเรียนนาเสนอว่าชุมชนรอบตัวของพวกเขามีลักษณะเป็นสังคมก่ึง อุตสาหกรรม จุดท่ีชมุ ชนตงั้ อยู่เปน็ ท้ายคลองภาษเี จรญิ ทาให้ขยะ สิ่งปฏกิ ูล และวชั พชื ลอยมารวมกนั ทีจ่ ดุ น้ี จงึ เกิดแนวคิดทีจ่ ะหาแนวทางให้คนอยู่คกู่ ับคลองอยา่ งมีความสุข นักเรียนเริ่มทาโครงงานโดยการสอบถามการรับรู้ของชาวบ้านต่อปัญหาขยะในคลอง ชาวบ้านริมคลองมีวิถีชีวิตอย่างไร ปรับตัวต่อปัญหาขยะอย่างไรบ้าง ทาให้นักเรียน พบว่าว่าหลายครอบครัวที่มีฐานะก็ย้ายหนี ที่จาเป็นต้องอยู่ก็ต้องทน การทาโครงงาน สารวจทานองน้ีที่ผู้เขียนเคยพบเห็น มักจะจบเพียงแค่นี้เพราะมงี านส่งครูแล้ว คาถาม คอื นกั เรยี นไดเ้ รยี นรอู้ ะไรบ้าง ทาแล้วต้องไดร้ ู้!!! ครูต้องทาใหเ้ ด็กเรยี นรใู้ หไ้ ด้ ครู: “จะย้ายหนี หรอื จะทน ตัวนกั เรียนเลือกอย่างไหน” นกั เรยี น: “ย้ายคงยาก แต่ทาไมผมต้องทนล่ะครับ ผมว่าปัญหาน้ีมันแก้ไข ได้ เราจะเริ่มทามันครบั ” หากนักเรียนมคี วามตระหนักและมีจิตสาธารณะดว้ ยตนเองเช่นนี้ เขาก็จะโต ไปเป็นคนดีไม่สร้างความเดอื ดร้อนให้สงั คม การมีจิตสาธารณะสามารถช่วยให้สังคมมี คุณภาพที่ดีข้ึนได้ ท้ังนี้ เม่ือนักเรียนเริ่มอยากท่ีจะแกป้ ัญหาแลว้ ข้ันต่อมานักเรยี นต้อง เลือกวธิ ีการ - 35 -
นกั เรียนกลุ่มแรก เลือกทาเครอื งมือเก็บขยะอย่างง่าย แม้จะดูเหมือนการทาสิ่งประดิษฐ์ธรรมดา แต่ผู้เขียนชอบตอนท่ีนักเรียน นาเสนออุปกรณ์ ทบ่ี อกเหตุผลดว้ ยวา่ ทาไมจึงเลอื กวสั ดลุ ักษณะนี้ ทาไมเลอื กใช้ตาข่าย รูกว้างไม่ใช้ตาข่ายรูเล็ก ทาไมไม่ทาด้ามที่ยาวกว่านี้ และพวกเขาก็ได้ประเมินแล้วว่า เครื่องมอื ของพวกเขาไมส่ ามารถแกป้ ัญหาได้ทั้งหมด แตก่ ็ชว่ ยใหป้ ัญหานนั้ ลดลงได้ ซึ่ง ส่งผลต่อความรสู้ กึ เม่อื ได้เห็นด้วยตา นักเรียนกลุ่มอ่ืนๆ ก็มีการทาโครงานที่แตกต่างกันภายใต้ประเด็นปัญหา เดียวกันน้ี เช่น การศึกษาความสามารถของผักตบชวาในการบาบัดน้าเสีย การพัฒนา เคร่ืองกรองน้า และอีกกลุ่มหนึ่งพัฒนากังหันอากาศให้น้า ซึ่งดูเหมือนๆ กับโครงงาน - 36 -
ทั่วไปท่ีมีอยู่แลว้ แต่สาหรับนักเรียนช้ัน ม.1 เม่ือเริ่มต้นด้วยการลองทาตามเขา ก็ใช่ว่า จะสาเร็จได้โดยง่าย จึงเป็นจังหวะท่ีดีที่ครจู ะนาพาเขาหาความรู้ คิดวิเคราะห์เหตุและ ผล เพราะคุณค่าของการทาโครงงานไม่ใช่เพ่ือใหไ้ ดช้ ้ินงาน แต่เป็นการเรียนรู้ท่ีเกิดข้นึ จากการลงมือทา - 37 -
บทที่ 4 การคดิ สงั เคราะห์ ความรู้ การมองเพียงด้านดอี ย่างเดยี วอาจทาให้ติดกบั ดักความคิดได้ โดยง่าย นักเรยี นควรตอ้ งคิดเอาข้อดีและเสยี มาประเมิน นาเสนอผลกระทบทั้งด้านบวกและลบ เพือ่ นาไปสู่การตดั สนิ ใจที่ดที ่ีสดุ - 38 -
การคดิ สงั เคราะหค์ วามรู้ การคิดสังเคราะห์ (synthesizing) เป็นการเรียนรู้มาถึงระดับท่ีผู้เรียน สามารถผสมผสานส่วนย่อยอย่างเป็นระบบเพ่ือให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดี กว่าเดิม เช่น การถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ง่าย การกาหนดวิธีการ ใหม่ การสร้างความสัมพนั ธ์สิ่งที่เปน็ นามธรรมขึน้ มาในรูปแบบหรอื แนวคดิ ใหม่ และ การนาข้อมูลมาประมวลและสังเคราะห์เป็นคาตอบของคาถามและองค์ความรู้ที่ ต้องการ คดิ สงั เคราะหจ์ นรอ้ ง “อ๋อ” เราอุทานคานี้ออกมาเม่ือขอ้ มลู จากการวิเคราะห์ ทั้งหลายหลอมรวมเป็นหน่ึงเดียว จนเกิดการรู้ ขึน้ มาเอง (สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์, 2561) การเกิดรู้ด้วยตนเองนี้สอดคล้องกับ Constructivism Theory เป็นทฤษฎี ท่ีว่าด้วยการสร้างความร้โู ดยผเู้ รยี น ทฤษฎีน้ีเชื่อว่าการเรยี นรู้หรือการสร้างความรเู้ ปน็ กระบวนการที่เกิดข้ึนภายในของผู้เรียน โดยท่ีผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ ด้วยการนา ประสบการณ์หรือสารสนเทศมาเช่ือมโยงกับความรู้เดิมที่มีอยู่ มาสร้างความหมายใน การเรียนรู้ของตนเอง เป็นความเข้าใจของตนเองจนเกิดปัญญา คือ “ความรู้” น่ันเอง ทา่ นผอู้ ่านคดิ ว่า ตวั อยา่ งโครงงานที่ผา่ นมา...มีทกั ษะนปี้ รากฏบ้างหรอื ไม่? - 39 -
ใชผ้ งั เหต-ุ ผลในการสังเคราะหค์ วามรู้เพ่ือใชแ้ ก้ปญั หา โครงงานการแก้ปัญหาการเกิดสีคล้าในยอดมะพร้าวที่ได้นาเสนอไปแล้วใน บทที่ 2 เป็นตัวอย่างหน่ึงที่ใช้หลักคิดแบบเหตุผลในการสังเคราะห์ความรู้เพื่อใช้ แกป้ ัญหา ในบทน้ีจึงขอนาเสนอผงั เหตุ-ผล ทถ่ี ูกนามาใชใ้ นการสังเคราะห์ความรเู้ พอ่ื ใช้ แกป้ ญั หา ทา่ นผู้อา่ นเคยดูคลิปการเพาะถั่วงอกของแมล่ ูกคหู่ น่ึงไหม การปลูกถ่ัวงอกใน ตอนแรกเกิดความล้มเหลวเพราะอะไร หากจะปลูกถั่วงอกให้ได้ผลผลิตดีจะต้องทา อย่างไร - 40 -
การเข้าใจเรือ่ งราวผังเหตุ-ผล ชว่ ยให้กาหนดตัวแปรในงานวจิ ยั ได้ ผงั เหตุ-ผล ที่มีรายละเอียดแทรกระหว่างเหตุตน้ ทางกับผลปลายทางยังช่วยออกแบบกจิ กรรมวจิ ยั ท่ีนักเรียนแบ่งกลุ่มกันทางานแล้วเอาผลมาต่อจ๊ิกซอว์กันให้รู้คาตอบ why ของ ปรากฏการณ์ ตัวอย่างทย่ี กมาคอื การใช้น้าหรือแสงท่ีปรมิ าณตา่ งกัน เส้นสีน้าเงิน (เส้นบน) ให้ความเข้าใจว่าเมื่อเพ่ิมปริมาณน้า ผลปลายทาง (ผลผลิตถั่วงอก กก/วัน) เพิ่มข้ึน ส่วนเส้นสีส้ม (เส้นล่าง) ให้ความเข้าใจว่าเม่ือเพ่ิม ปริมาณแสง ผลปลายทางลดลง ในการเพาะถ่ัวงอก เราไม่ต้องการผลผลิตท่ีลดลง ดงั นั้นเราจะต้องลดปรมิ าณแสง ผงั นีจ้ งึ ชว่ ยสงั เคราะหห์ าคาตอบหาวิธีทาใหไ้ ด้ผลผลิต ดีได้ กรณศี ึกษาจากการขยายพนั ธ์ุชะคราม โครงงานนี้เป็นของนักเรียนชั้น ม.1 ที่ต้องการขยายพันธุ์ชะคราม ซึ่งเป็นพืช ท้องถ่ินที่นิยมนามาทาอาหารหลากหลายเมนู หากขยายพันธุ์ได้ เขาก็มีโอกาสท่ีจะ สร้างรายได้ ในท่ีนี้นักเรียนเลือกวิธีปักชากิ่งชะคราม โดยทดลองทาในขวดพลาสติกใส ทดลองเปรียบเทียบระบบปิดกับระบบเปิด โดยแต่ละระบบทาท้ังหมด 15 ก่ิง ให้น้าใน ปรมิ าณเท่ากนั ทกุ วนั หลงั จากผ่านไป 15 วนั จึงสงั เกตุการงอกรากของก่งิ ท่ีปกั ไว้ - 41 -
ในตอนแรก นักเรียนสรุปเพียงว่า การปักชาก่ิงชะครามในระบบปิด มีอัตรา การงอกของรากสูงกว่า การปักชาในระบบเปดิ ครตู อ้ งส่งเสรมิ ให้นักเรยี นหาคาอธิบาย ปรากฏการณ์นี้ ในกรณีน้ี ครูให้นักเรียนบอกความแตกต่างท่ีเกิดข้ึนในระบบปิดและ ระบบเปิด ทาให้นักเรียนพบว่ามีไอน้าเกิดขึ้นในระบบปิด นักเรียนมักจะตอบสิ่งที่เห็น แต่ยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างไอน้ากับการงอกของราก ดังน้ันครูต้องใช้คาถามเพื่อ ตอ้ นเขา้ ส่ปู ระตคู วามรู้ - 42 -
ครู: “ไอนำ้ มำจำกไหน” นักเรยี น: “ผมคดิ ว่ำชะครำมมนั คำยนำ้ ออกมำครับ ผมเคยเห็นพ่เี อำ ถงุ พลำสตกิ ไปคลมุ ชมพู่ ผมเห็นมไี อน้ำเกำะในถงุ ตอนเชำ้ ” ครู “แล้วชะครามในขวดทเ่ี ปดิ ไว้ มนั คายนา้ ไหม” นักเรยี น: “มนั นำ่ จะคำยน้ำเหมอื นกนั แตเ่ รำมองไมเ่ ห็น เพรำะมนั ระเหย ไปในอำกำศ” ครู: “แลว้ ไอนำ้ ทำ้ ให้เกิดผลอย่ำงไรบำ้ ง” นกั เรียน: ................................... ครู: “ดินท่อี ยู่ในขวดระบบปดิ และระบบเปิด มคี วำมแตกต่ำงกันไหม นักเรยี น: “ในระบบปิด ดินมคี วำมชืนมำกกว่ำ ออ๋ ...ผมรู้แล้ว ไอน้ำออกไป ไหนไมไ่ ด้ เลยทำ้ ใหด้ ินชืน รำกงอกได้ดีในดินทช่ี ืนครบั ” นักเรียนร้อง “อ๋อ” เมื่อเขาพบความสัมพันธ์ระหว่างไอน้า ความช้ืนในดิน และการงอกของราก เปน็ ความรอู้ ยา่ งงา่ ยท่ีนกั เรียนช้ัน ม.1 สามารถสร้างขึน้ ไดเ้ องจาก การถามต้อนของครู หากครูกระตุ้นให้นักเรียนหาคาตอบต่อว่ารากงอกออกมาจาก ตาแหนง่ ไหนของกงิ่ ตาแหน่งนั้นมลี ักษณะอยา่ งไร ทาไมตาแหน่งนนั้ จึงมีรากออกมาได้ นกั เรยี นกจ็ ะเรยี นร้ไู ดอ้ ีกมาก - 43 -
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124