ทบทวนนักธรรมเอก เวอรช์ ่ัน ๒๕๖๔
ทบทวนกระทธู้ รรม กระทธู้ รรมทอี่ อกข้อสอบแต่ละปี ปี พ.ศ. ภาษิต 2563 ปรสสฺ วา อตตฺ โน วาปิ เหตุ น ภาสติ อลกิ ํ ภูริปญโฺ ญ โส ปชู ิโต โหติ สภาย มชเฺ ฌ ปจฉฺ าปิ โส สุคตคิ ามิ โหติ. ผมู้ ีภมู ปิ ัญญา ยอ่ มไม่พดู พล่อยๆ เพราะเหตแุ หง่ คนอ่ืนหรอื ตนเอง ผนู้ นั้ ย่อมมผี บู้ ชู าในทา่ มกลางชมุ ชน แมภ้ ายหลงั เขายอ่ มไปสสู่ คุ ต.ิ (มโหสธโพธิสตตฺ ) ข.ุ ชา. วสี ติ. ๒๗/๔๒๗. 2562 มฬู ฺโห อตฺถํ น ชานาติ มฬู โฺ ห ธมฺมํ น ปสฺสติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โมโห สหเต นร.ํ ผหู้ ลงย่อมไม่รูอ้ รรถ ผหู้ ลงยอ่ มไม่เหน็ ธรรม ความหลง ครอบงาคนใดเม่ือใด ความมดื มดิ ยอ่ มมเี ม่ือนน้ั . ( พทุ ฺธ ) ข.ุ อิติ. ๒๕/๒๙๖. ข.ุ มหา. ๒๙/๑๘. 2561 อุฏฺ าตา กมฺมเธยฺเยสุ อปฺปมตฺโต วิจกฺขโณ สุสวํ หิ ติ กมมฺ นฺโต ส ราชวสตึ วเส. ผหู้ ม่นั ในการงาน ไม่ประมาท เป็นผรู้ อบคอบ จดั การงานเรียบรอ้ ย จงึ ควรอยใู่ นราช (พทุ ธฺ ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๒.
ม นักธรรมชั้นเอก หมวด วาจา กเิ ลส ไมป่ ระมาท ชการ. 1|P a g e
2560 ชยํ เวรํ ปสวติ ทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชิโต อุปสนฺโต สุขํ เสติหติ วฺ า ชยปราชย.ํ ผชู้ นะย่อมกอ่ เวร ผแู้ พย้ อ่ มนอนเป็นทกุ ข์ คนละความชนะ และความแพไ้ ดแ้ ลว้ สงบใจได้ ยอ่ มนอนเป็นสขุ . (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๒. 2559 อนฺนโท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณณฺ โท ยานโท สขุ โท โหติ ทปี โท โหติ จกฺขโุ ท. ผใู้ หข้ า้ ว ช่ือวา่ ใหก้ าลงั ผใู้ หผ้ า้ ชอ่ื ว่าใหผ้ ิวพรรณ ผใู้ หย้ าน- พาหนะ ช่ือวา่ ใหค้ วามสขุ ผใู้ หป้ ระทปี โคมไฟ ช่ือวา่ ใหจ้ กั ษุ. ( พทุ ธฺ ) ส. ส. ๑๕/๔๔. 2558 อฏุ ฺ ฐานวโต สตีมโต สุจกิ มมฺ สสฺ นิสมมฺ การโิ น สญญฺ ตสฺส จ ธมฺมชวี ิโน อปฺปมตตฺ สฺส ยโสภวิ ฑฺฒติ. เกียรตยิ ศยอ่ มเจรญิ แกผ่ ขู้ ยนั มีสติ มีการงานสะอาด ใครค่ รวญแลว้ จึงทา สารวมแ ธรรม และไม่ประมาท. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘. 2557 ขนฺติ ธรี สสฺ ลงกฺ าโร ขนตฺ ิ ตโป ตปสสฺ ิโน ขนฺติ พลํ ว ยตนี ํ ขนตฺ ิ หติ สุขาวหา. ขนั ตเิ ป็นเคร่ืองประดบั ของนกั ปราชญ์ ขนั ตเิ ป็นตบะของผพู้ ากเพยี ร ขนั ติเป็นกาลงั นาประโยชนส์ ขุ มาให้ ส. ม. ๒๒๒.
บุคคล ทาน บุคคล แลว้ เป็นอย่โู ดย อดทน งของนกั พรต ขนั ติ 2|P a g e
2556 อปุ นียติ ชีวติ มปปฺ มายุํ ชรูปนีตสสฺ น สนฺติ ตาณา เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน โลกามสิ ํ ปชเห สนฺตเิ ปกโฺ ข. ชีวิตคืออายอุ นั นอ้ ยนี้ ถกู ชรานาเขา้ ไป เม่ือสตั วถ์ กู ชรานาเขา้ ไปแลว้ ยอ่ มไม่มเี คร ผเู้ ลง็ เห็นภยั ในมรณะนน้ั มงุ่ ความสงบ พึงละโลกามสิ เสีย. (พทุ ธฺ ) ส.ํ ส. ๑๕/๗๗. 2555 นิททฺ าสลี ี สภาสลี ี อนุฏฺ ฐาตา จ โย นโร อลโส โกธปญฺญาโณ ตํ ปราภวโต มขุ .ํ คนใดมกั หลบั มกั คยุ และไมข่ ยนั เกียจครา้ น มีความมทุ ะลุ ขอ้ นน้ั เป็นเหตขุ องผฉู้ ิบ (พทุ ธฺ ) ขุ. สุ. ๒๕/๓๔๖. 2554 อนนฺ โท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณฺณโท ยานโท สุขโท โหติ ทปี โท โหติ จกขฺ ุโท. ผใู้ หข้ า้ ว ช่ือวา่ ใหก้ าลงั ผูใ้ หผ้ า้ ช่ือว่าใหผ้ ิวพรรณ ผใู้ หย้ านพาหนะ ช่ือว่าใหค้ วามสขุ ผใู้ หป้ ระทีปโคมไฟ ช่อื ว่าใหจ้ กั ษุ. (พทุ ฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๔๔. 2553 ววิ าทํ ภยโต ทสิ วฺ า อววิ าทญจฺ เขมโต สมคฺคา สขิลา โหถ เอสา พุทธฺ านุสาสนี. ท่านทง้ั หลายจงเห็นความววิ าทโดยความเป็นภยั และความไมว่ วิ าทโดย ความปลอดภยั แลว้ เป็นผพู้ รอ้ มเพรยี ง มคี วามประนีประนอมกนั เถดิ . นเี้ ป็นพระพทุ ธานศุ าสน.ี
เบด็ เตล็ด ร่ืองตา้ นทาน เบ็ดเตล็ด บหาย. ทาน สามคั คี 3|P a g e
(พทุ ฺธ) ขุ. จรยิ า. ๓๓/๕๙๕. 2552 น ปเรสํ วโิ ลมานิ น ปเรสํ กตากตํ อตตฺ โน ว อเวกฺเขยยฺ กตานิ อกตานิ จ. ไม่ควรฟังคากา้ วรา้ วของคนอน่ื ไมค่ วรมองดกู ารงานของคนอนื่ ท่เี ขาทาแลว้ และยงั พจิ ารณาดแู ตก่ ารงานของตน ท่ตี นทาแลว้ และยงั ไมไ่ ดท้ าเทา่ นน้ั (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๑. 2551 วิวาทํ ภยโต ทสิ ฺวา อวิวาทญจฺ เขมโต สมคฺคา สขลิ า โหถ เอส พุทธฺ านุสาสนี. ทา่ นทงั้ หลายเห็นความววิ าทโดยความเป็นภยั และความไมว่ วิ าทโดยความเป็นธรร ภยั ) แลว้ จงเป็นผพู้ รอ้ มเพรียง มคี วามประนปี ระนอมกนั เถิด. นเี้ ป็นพระพทุ ธานสุ า (พทุ ฺธ) ข.ุ จรยิ า. ๓๓/๕๙๕ 2550 โอวเทยยฺ านุสาเสยยฺ อสพภฺ า จ นวิ ารเย สตํ หิ โส ปิ โย โหติ อสตํ โหติ อปปฺ ิ โย. บคุ คลควรเตือนกนั ควรแนะนาส่งั สอนกนั และปอ้ งกนั กนั จากคนไม่ดี แต่เขายอ่ ม ไมเ่ ป็นท่รี กั ของคนไม่ด.ี (พทุ ธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๕ 2549 เย จ สีเลน สมฺปนฺนา ปญฺญายูปสเม รตา อารกา วริ ตา ธรี า น โหนฺติ ปรปตฺติยา. ผมู้ ปี ัญญาเหลา่ ใด ประกอบดว้ ยศลี ยินดีในความสงบ ดว้ ยปัญญา ผมู้ ปี ัญญาเหล ความช่วั แลว้ ไมต่ อ้ งเช่ือผอู้ ่ืน.
เบด็ เตล็ด งไม่ไดท้ า ควร สามคั คี รมอนั เกษม (จาก าสน.ี ธรรม มเป็นท่รี กั ของคนดี บคุ คล ลา่ นนั้ เวน้ ไกลจาก 4|P a g e
(โพธิสตฺต) ขุ. ชา. จตกุ กฺ . ๒๗/๑๔๓. 2548 ปมาทํ ภยโต ทสิ วฺ า อปปฺ มาทญจฺ เขมโต ภาเวถฏฺ ฐงคฺ ิกํ มคฺคํ เอสา พทุ ธฺ านุสาสนี. เห็นความประมาทเป็นภยั และเห็นความไมป่ ระมาทเป็นความปลอดภยั แลว้ พงึ เ นเี้ ป็นพทุ ธานสุ าสนี. (พทุ ฺธ) ขุ. จริยา. ๓๓/๕๙๕. 2547 วิวาทํ ภยโต ทสิ ฺวา อววิ าทญฺจ เขมโต สมคคฺ า สขิลา โหถ เอสา พทุ ธฺ านุสาสนี. ทา่ นทง้ั หลายจงเห็นความววิ าทโดยความเป็นภยั และความไมว่ วิ าทโดย ความปลอดภยั แลว้ เป็นผพู้ รอ้ มเพรียง มีความประนีประนอมกนั เถิด. นเี้ ป็นพระพทุ ธานศุ าสน.ี (พทุ ฺธ) ข.ุ จรยิ า. ๓๓/๕๙๕. 2546 ชยํ เวรํ ปสวติ ทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชิโต อปุ สนฺโต สุขํ เสติ หติ วฺ า ชยปราชย.ํ ผชู้ นะยอ่ มกอ่ เวร ผแู้ พย้ อ่ มนอนเป็นทกุ ข์ คนละความชนะและความแพไ้ ดแ้ ลว้ สงบ เป็นสขุ . (พทุ ฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๔๒. 2545 ยมฺหิ สจจฺ ญจฺ ธมโฺ ม จ อหสึ า สญฺญโม ทโม ส เว วนตฺ มโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจจฺ ต.ิ ผใู้ ดมคี วามสตั ย์ มีธรรม มีความไมเ่ บยี ดเบียน มคี วามสารวม และ
เบ็ดเตล็ด เจรญิ มรรคมอี งค์ ๘ สามัคคี บคุ คล บใจได้ ยอ่ มนอน บคุ คล 5|P a g e
มีความขม่ ใจ ผนู้ น้ั แล ช่อื วา่ ผมู้ ปี ัญญา หมดมลทิน เขาเรยี กทา่ นวา่ เถระ. (พทุ ฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๕๐. 2544 อปฺปมตตฺ า สตมี นฺโต สุสีลา โหถ ภกิ ขฺ โว สุสมาหติ สงกฺ ปฺปา สจติ ตฺ มนุรกขฺ ถ. ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอจงเป็นผไู้ ม่ประมาท มีสติ มศี ลี ดงี าม ตงั้ ความดารไิ วใ้ หด้ ี คอยรกั ษาจติ ของตน. ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๒. 2543 สงเฺ กยยฺ สงกฺ ติ พพฺ านิ รกฺเขยยฺ านาคตํ ภยํ อนาคตภยา ธีโร อุโภ โลเก อเวกฺขติ. พงึ ระแวงภยั ท่คี วรระแวง พงึ ระวงั ภยั ท่ยี งั ไมม่ าถงึ ผฉู้ ลาดย่อมมองดโู ลกทง้ั ๒ เพรา ข.ุ ชา. จตุกกฺ ๒๗/๑๓๖
ไม่ประมาท เบด็ เตลด็ าะกลวั ตอ่ อนาคต. 6|P a g e
แบบฟอร์มการเขียนวชิ าเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ธรรมศึกษาช้นั เอก เลขท…่ี …. ประโยคนกั ธรรมชนั้ ……… วชิ า………………………………. สอบในสนามหลวง วนั ท…่ี ….เดอื น…………………..พ.ศ…………… oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo บดั น้ีจกั ไดบ้ รรยายขยายความตามธรรมภาษติ ทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบอ้ื งตน้ เพอ่ื เป็นแนวทาง แหง่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องสาธุชนผใู้ ครใ่ นธรรมสบื ไป อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ ................................................... ............................................................................................................................. ........................ ....................................................น้ีสมดว้ ยภาษติ ทม่ี าใน....................................ความวา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ ................................................... ................................................................................................................................ ..................... ....................................................น้ีสมดว้ ยภาษติ ทม่ี าใน....................................ความวา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ .................................................... ....................................................น้ีสมดว้ ยภาษติ ทม่ี าใน....................................ความวา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo อธบิ ายความวา่ (หรอื ใช้ “อธบิ ายวา่ ,ดาเนินความวา่ ” กไ็ ด)้ ........................................................... …………………………………………………………………………………………………………… สรุปความวา่ (หรอื ใช้ “รวมความวา่ ,ประมวลความวา่ ” กไ็ ด)้ ................................................... ........................................................................................................................................... ........... สมดว้ ยภาษติ ทไ่ี ดล้ ขิ ติ ไว้ ณ เบอ้ื งตน้ วา่ oooooooooooooooooo oooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo มอี รรถาธบิ ายดงั ไดพ้ รรณามาดว้ ยประการฉะน้ี.
**(ตอ้ งเขยี นใหไ้ ดอ้ ยา่ งน้อย ๔ หน้าขน้ึ ไป) ** (ตอ้ งมกี ระทมู้ ารบั ๓ กระท)ู้ สว่ นตา่ งๆ ของโครงรา่ งกระทู้ ๑. การเขยี นหวั กระดาษ ๒. กระทตู้ งั้ ๓. คานาและเน้ือเรอ่ื งและ ๔. กรทรู้ บั ๕. สรุปความกระทู้ ๖. กระทตู้ งั้ แนวการใหค้ ะแนน วชิ ากระทธู้ รรม นกั ธรรมและธรรมศกึ ษาชนั้ เอก (๑) แต่งได้ตามกฏ ( เขยี นใหไ้ ดค้ วามยาว ๔ หน้ากระดาษขน้ึ ไป เวน้ บรรทดั ) (๒) อ้างกระท้ไู ด้ตามกฏ (กระทรู้ บั ๓ ขอ้ และบอกชอื่ ทมี่ าของกระทรู้ บั ดว้ ย) (๓) เชื่อมกระท้ไู ด้ดี (อธบิ ายกระทตู้ งั้ กบั กระทรู้ บั ใหม้ เี น้ือความสมั พนั ธก์ นั สมกบั ทยี่ กกระทรู้ บั มาอา้ ง) (๔) อธิบายความสมกบั กระท้ทู ่ีตงั้ ไว้ (อธบิ ายไมห่ ลดุ ประเดน็ ของกระทตู้ งั้ ) (๕) ใช้สานวนสภุ าพเรียบร้อย (๖) สะกดคา/การนั ต์ ถกู เป็ นส่วนมาก (๗) สะอาดไม่เปรอะเปื้ อน
ทบทวน ธรรมวิจารณ์ นักธรรมชั้นเอก อยใู่ นคานาของหนังสือ (ปี 54) สทั ธรรมปฏริ ูป คอื อะไร? เกดิ ขนึ้ จากอะไร? ตอบ คอื สทั ธรรมชนดิ ท่ีปลอมหรอื เทียม ไม่ใชส่ ทั ธรรมแท้ ฯ เกิดขนึ้ จากความเห็นผิดหรอื เขา้ ใจผดิ ของผเู้ รียบเรียง เม่ือเรยี บเรยี งไปแมผ้ ิดก็ หารูไ้ ม่ ดว้ ยเขา้ ใจวา่ ของตนถกู แลว้ ไดน้ ามาปนไวใ้ นสทั ธรรมท่แี ท้ ฯ สงั ขาร (ปี 49) สงั ขารในไตรลกั ษณก์ บั ในขนั ธ์ ๕ ตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ สงั ขารในไตรลกั ษณ์ หมายเอารูปธรรมและนามธรรมทงั้ หมดท่ีปัจจยั ปรุงแตง่ ขนึ้ ส่วนสงั ขารในขนั ธ์ ๕ หมายเอาเจตสิกธรรมท่ปี รุงแต่งจติ ใหม้ ีอาการตา่ งๆ เวน้ เวทนาและสญั ญา ฯ อนิจจตา ทกุ ขตา อนัตตตา (ปี 45) อนิจจตา ทกุ ขตา อนตั ตตา มอี ะไรปิดบงั ไวจ้ งึ ไมป่ รากฏ? อนจิ จตา กาหนดรูไ้ ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ อนจิ จตา ความท่ีสงั ขารทงั้ หลายไมเ่ ท่ยี ง ถกู สนั ตตปิ ิดบงั ไวจ้ งึ ไมป่ รากฏ ทกุ ขตา ความท่สี งั ขารทง้ั หลายเป็นทกุ ข์ ถูกอิรยิ าบถปิดบงั ไว้ จึงไมป่ รากฏ อนตั ตตา ความท่ธี รรมทงั้ หลายเป็นอนตั ตา ถกู ฆนสญั ญาปิดบงั ไว้ จึงไมป่ รากฏ ฯ กาหนดรูไ้ ดด้ ว้ ยอาการ ๓ อย่าง คือ ๑. ในทางงา่ ย ดว้ ยความเกดิ ขนึ้ ในเบอื้ งตน้ และความสนิ้ ไปในเบอื้ งปลาย ๒. ในทางละเอยี ดกวา่ นนั้ ย่อมกาหนดรูไ้ ดด้ ว้ ยความแปรในระหวา่ งเกดิ และดบั ๓. ในทางอนั เป็นอย่างสขุ มุ ย่อมกาหนดเห็นความแปรแหง่ สงั ขารในช่วั ขณะหนง่ึ ๆ คือไมค่ งท่อี ย่นู าน เพียงในระยะกาลนดิ เดยี วกแ็ ปรแลว้ ฯ ส่วนปรมตั ถปฏิปทา นิพพทิ า ความหนา่ ย (ปี 62, 59, 43) นพิ พิทาคืออะไร ? ปฏิปทาเคร่ืองดาเนินใหถ้ งึ นพิ พทิ านนั้ อยา่ งไร ? ตอบ นิพพทิ า คอื ความหนา่ ยในทกุ ขขนั ธ์ ฯ อยา่ งนคี้ อื พจิ ารณาเหน็ ดว้ ยปัญญาวา่ สงั ขารทง้ั หลายทง้ั ปวงไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ ธรรมทงั้ หลายทง้ั ปวงเป็นอนตั ตา ยอ่ มเกดิ นิพพทิ า เบอ่ื หนา่ ยในทกุ ขขนั ธ์ ไม่เพลดิ เพลิน ไมย่ ึดม่นั ไมห่ มกม่นุ อยใู่ นสงั ขารอนั ย่วั ยวนเสนห่ า ฯ (ปี 51) นิพพทิ า คืออะไร? บคุ คลผไู้ ม่ประสบลาภยศสรรเสรญิ สขุ จงึ เบือ่ หนา่ ยระอาอยา่ งนี้ จดั เป็นนิพพทิ าไดห้ รอื ไม่? เพราะเหตใุ ด? ตอบ คือ ความหนา่ ยในเบญจขนั ธห์ รอื ในทกุ ขขนั ธด์ ว้ ยปัญญา ฯ จดั เป็นนพิ พิทาไมไ่ ด้ ฯ เพราะความเบ่อื หนา่ ยดงั ท่กี ลา่ วนน้ั เป็นความทอ้ แท้ มใิ ช่เป็น ความหนา่ ยดว้ ยปัญญา ฯ ➢ เอทเทสแห่งนิพพทิ า อุทเทสที่ ๑ เอถ ปสฺสถิม โลก จิตฺต ราชรถปู ม ยตถฺ พลา วสิ ที นตฺ ิ นตฺถิ สงโฺ ค วชิ านต. สูทัง้ หลายจงมาดูโลกนี้ อนั ตระการดจุ ราชรถ ทพ่ี วกคนเขลาหมกอยู่ แตพ่ วกผู้รู้หาขอ้ งอยไู่ ม.่ 1|P a g e
(ปี 62, 43) บคุ คลเช่นไรช่ือวา่ ตดิ อยู่ในโลก ? ผตู้ ิดอยู่ในโลกจะไดร้ บั ผลอยา่ งไร ? ตอบ บคุ คลผไู้ รพ้ ิจารณา ไมห่ ย่งั เหน็ โดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสงิ่ อนั ใหโ้ ทษ ระเรงิ จนเกนิ พอดใี นสง่ิ อนั อาจใหโ้ ทษ ตดิ ในสงิ่ อนั เป็นอปุ การะ ช่ือว่าติดอย่ใู นโลก ฯ ยอ่ มไดเ้ สวยสขุ บา้ ง ทกุ ขบ์ า้ ง อนั สิง่ นน้ั ๆ พงึ อานวย แมส้ ขุ กเ็ ป็นเพยี งสามสิ คอื มีเหย่อื เจือดว้ ยของลอ่ ใจ เป็นเหตแุ ห่ง ความติดดจุ เหย่อื คอื มงั สะอนั เบด็ เก่ียวไว้ ฯ [*หมายเหตุ ปกตมิ กั จะใชส้ านวน หมกอยู่ในโลก แต่ขอ้ สอบนใี้ ชค้ าวา่ ตดิ อยู่ในโลก แทน] (ปี 61) พระบรมศาสดาทรงชกั ชวนใหม้ าดโู ลกนีโ้ ดยมีพระประสงค์ อย่างไร ? ตอบ มีพระประสงคเ์ พ่อื ใหร้ ูจ้ กั สง่ิ ท่เี ป็นจรงิ อนั มอี ยใู่ นโลก จกั ไดล้ ะส่ิงท่เี ป็นโทษ และ ไมข่ อ้ งตดิ อยใู่ นสง่ิ ท่เี ป็นคณุ ฯ (ปี 59) อทุ เทสวา่ \"สทู ง้ั หลายจงมาดโู ลกน\"ี้ โลกในท่นี ี้ หมายถงึ อะไร? คนมีลกั ษณะอยา่ งไรช่ือวา่ หมกอยใู่ นโลก? ตอบ หมายถงึ โลก โดยตรงไดแ้ กแ่ ผ่นดินเป็นท่อี าศยั โดยออ้ มไดแ้ ก่หมสู่ ตั วผ์ อู้ าศยั ฯ คนผไู้ รว้ จิ ารณญาณไมห่ ย่งั เหน็ โดยถอ่ งแท้ เพลิดเพลินในสิง่ อนั ใหโ้ ทษ ระเรงิ จนเกินพอดี ในสงิ่ อนั อาจใหโ้ ทษ ตดิ ในสิง่ อนั เป็นอปุ การะจนถอน ตนไม่ออก คนมลี กั ษณะอยา่ งนี้ ย่อมไดร้ บั สขุ บา้ งทกุ ขบ์ า้ ง แมส้ ขุ ก็เป็นเพียงสามิสสขุ สขุ อนั มีเหยอ่ื ลอ่ ใจ เป็นเหตใุ หต้ ดิ ดจุ เหย่อื อนั เบด็ เกี่ยวไว้ ฉะนน้ั ฯ (ปี 57) พระพทุ ธดารสั ท่ตี รสั ว่า “สทู งั้ หลายจงมาดโู ลกนอี้ นั ตระการดจุ ราชรถ” กบั ท่ตี รสั กะ โมฆราชว่า “โมฆราช ท่านจงมสี ตทิ กุ เม่ือ เล็งเห็นโลกโดยความเป็นของสญู ” ทรงมพี ระประสงคต์ ่างกนั อยา่ งไร ? ตอบ พระพทุ ธดารสั แรก ทรงมีพระประสงค์ จะทรงปลกุ ใจใหห้ ย่งั เห็นซงึ้ ลงไปถึงคณุ โทษประโยชนม์ ใิ ชป่ ระโยชนแ์ ห่งสงิ่ นนั้ ๆ อนั คมุ เขา้ เป็นโลก พระพทุ ธดารสั หลงั ทรงมีพระประสงคใ์ หถ้ อนอตั ตานทุ ิฏฐิ คอื ความตามเห็นวา่ เป็นอตั ตา ฯ (ปี 55) พระพทุ ธดารสั ตอนหน่ึงวา่ \"สทู งั้ หลายจงมาดโู ลกนอี้ นั ตระการดจุ ราชรถ\" ดงั นี้ โดยมีพระพทุ ธประสงคอ์ ย่างไร? ตอบ มพี ระพทุ ธประสงคเ์ พ่อื ทรงชกั ชวนแนะนาใหด้ ถู งึ โทษประโยชนม์ ใิ ชป่ ระโยชนข์ องโลก เชน่ เดยี วกบั ดลู ะคร มิใหห้ ลงชมความสวยงาม ตา่ งๆ แต่ใหเ้ พ่งดคู ติท่ดี แี ละช่วั มใี หเ้ มามวั ไปตามสง่ิ นนั้ ดงั ตรสั ตอ่ ไปอีกว่า เป็นท่คี นเขลาหมกอยู่ แตผ่ รู้ ูห้ าขอ้ ติดไม่ ฯ (ปี 54) บทอทุ เทสวา่ เอถ ปสสฺ ถมิ โลก ซ่งึ แปลว่า สทู ง้ั หลายจงมาดโู ลกนี้ พระศาสดาตรสั ชวนใหม้ าดโู ลกโดยมพี ระประสงคอ์ ย่างไร? ตอบ ทรงมีพระประสงคจ์ ะทรงปลกุ ใจพวกเราใหห้ ย่งั เหน็ ซงึ้ ลงไปถงึ คณุ โทษประโยชน์ มใิ ชป่ ระโยชนแ์ หง่ สิ่งนนั้ ๆ อนั คมุ เขา้ เป็นโลก จะไดไ้ มต่ ่ืนเตน้ ไม่ติดในส่งิ นน้ั ๆ รูจ้ กั ละสิง่ ท่เี ป็นโทษ ไมข่ อ้ งติดอย่ใู นสงิ่ ท่เี ป็นคณุ (ปี 53) อทุ เทสวา่ “สทู ง้ั หลายจงมาดโู ลกนี้ อนั ตระการดจุ ราชรถท่พี วกคนเขลาหมกอยู่ แตพ่ วกผรู้ ูห้ าขอ้ งอยไู่ ม่” จงวิจารณว์ า่ ตอนไหนแสดง ปรมตั ถปฏปิ ทา ตอนไหนแสดงปรมตั ถ์ ตอนไหนแสดงสงั สารวฏั ฏ?์ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ตอนท่วี ่า “สทู งั้ หลายจงมาดโู ลกนี้ อนั ตระการดจุ ราชรถ” แสดงปรมตั ถปฏิปทา เพราะประสงคใ์ หด้ เู พ่อื นิพพิทาเป็นตน้ ตอนท่วี า่ “แตพ่ วกผรู้ ูห้ าขอ้ งอยไู่ ม่” แสดงปรมตั ถ์ เพราะแสดงถึงความรูท้ ่เี ป็นเหตใุ หพ้ น้ จากความขอ้ งอยซู่ ง่ึ เป็นปรมตั ถธรรม อนั จะพึงไดด้ ว้ ย การปฏิบตั ิในปรมตั ถปฏิปทาโดยลาดบั ตอนท่วี ่า “ท่พี วกคนเขลาหมกอย่”ู แสดงสงั สารวฏั ฏ์ เพราะตอ้ งวนเวยี นทอ่ งเท่ยี วไปดว้ ยความเขลา ฯ (ปี 49) อทุ เทสแห่งนพิ พิทา ดงั ตอ่ ไปนี้ มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร? ก. คนเขลา ข. ผรู้ ู้ ค. หมกอยู่ ง. หาขอ้ งอยไู่ ม่ จ. โลกนี้ ตอบ ก. คนผไู้ รว้ จิ ารณญาณ ข. ผรู้ ูโ้ ลกตามความเป็นจรงิ ค. เพลิดเพลินหลงตดิ อย่ใู นสิง่ อนั มีโทษ ง. ไม่พวั พนั ในส่งิ ลอ่ ใจ จ. โดยตรง ไดแ้ ก่แผน่ ดนิ เป็นท่อี ย่อู าศยั โดยออ้ ม ไดแ้ ก่หมสู่ ตั วผ์ อู้ าศยั ฯ (ปี 43) คาวา่ โลก ในพระบาลวี า่ “เอถ ปสฺสถิม โลก ฯปฯ” หมายถงึ อะไร? พระบรมศาสดาทรงชกั ชวนใหม้ าดโู ลกนโี้ ดยมีพระประสงคอ์ ยา่ งไร? ตอบ คาวา่ โลก โดยตรงหมายถงึ แผน่ ดนิ ซง่ึ เป็นท่อี ยอู่ าศยั โดยออ้ มหมายถึง หม่สู ตั วผ์ อู้ ยอู่ าศยั ฯ 2|P a g e
ทรงมีพระประสงคใ์ หพ้ จิ ารณาดใู หร้ ูจ้ กั ของจรงิ เพราะในโลกท่กี ลา่ วนยี้ อ่ มมีพรอ้ มมลู บรบิ รู ณด์ ว้ ยสง่ิ ท่มี คี ณุ และโทษ พระบรมศาสดาทรง ชกั ชวนใหม้ าดโู ลก เพ่ือใหร้ ูจ้ กั สงิ่ ท่เี ป็นจรงิ จกั ไดล้ ะส่งิ ท่เี ป็นโทษไม่ขอ้ งตดิ อยใู่ นสิง่ ท่เี ป็นคณุ ฯ (ปี 43) บคุ คลเช่นไรช่ือวา่ หมกอย่ใู นโลก? ผหู้ มกอยใู่ นโลกไดร้ บั ผลอยา่ งไร? ตอบ บคุ คลผไู้ รพ้ จิ ารณา ไมห่ ย่งั เหน็ โดยถ่องแท้ ยอ่ มเพลดิ เพลนิ ในสงิ่ อนั ใหโ้ ทษ ยอ่ มระเรงิ จนเกนิ พอดีในสง่ิ อนั อาจใหโ้ ทษ ย่อมตดิ ในสิง่ อนั เป็นอปุ การะ ช่ือวา่ หมกอยใู่ นโลก ฯ ยอ่ มไดเ้ สวยสขุ บา้ ง ทกุ ขบ์ า้ ง อนั สงิ่ นนั้ ๆ พึงอานวย แมส้ ขุ กเ็ ป็นเพยี ง สามสิ คือ มีเหย่ือเจือดว้ ยของลอ่ ใจ เป็นเหตแุ หง่ ความตดิ ดจุ เหย่อื คือมงั สะอนั เบด็ เกี่ยวไว้ ฯ อุทเทสที่ ๒ เย จติ ฺต สญฺญเมสสฺ นฺติ โมกขฺ นติ มารพนธฺ นา. ผูใ้ ดจักระวงั จติ ผนู้ ้นั จกั พน้ จากบ่วงแหง่ มาร (ปี 63, 61) คาวา่ มาร และ บว่ งแหง่ มาร หมายถึงอะไร ? ตอบ คาวา่ มาร หมายถงึ กเิ ลสกาม อนั ทาจติ ใหเ้ ศรา้ หมอง ไดแ้ ก่ ตณั หา ราคะ และอรติ เป็นตน้ คาวา่ บว่ งแหง่ มาร หมายถงึ วตั ถกุ าม ไดแ้ ก่ รูป เสียง กล่นิ รส และโผฏฐัพพะ ฯ (ปี 57) การสารวมจิตใหพ้ น้ จากบว่ งแหง่ มาร ในหนงั สือธรรมวจิ ารณ์ มีวธิ ีปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ? ตอบ แนะนาวธิ ีปฏิบตั ิไว้ ๓ ประการคือ ๑. สารวมอินทรยี ม์ ใิ หค้ วามยินดคี รอบงา ในเม่อื เหน็ รูป ฟังเสียง ดมกล่นิ ลมิ้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนา ๒. มนสกิ ารกมั มฏั ฐานอนั เป็นปฏปิ ักษต์ อ่ กามฉนั ทะ คอื อสภุ ะและกายคตาสติหรอื อนั ยงั จติ ใหส้ ลด คือมรณสั สติ ๓. เจรญิ วิปัสสนา คอื พิจารณาสงั ขารแยกออกเป็นขนั ธ์ สนั นษิ ฐานเหน็ เป็นสภาพ ไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ฯ (ปี 53) ขอ้ วา่ ผใู้ ดจกั ระวงั จติ ผนู้ น้ั จกั พน้ จากบว่ งแหง่ มาร ดงั นี้ คาวา่ มาร และ บ่วงแห่งมาร ไดแ้ กอ่ ะไร? เพราะเหตไุ รจงึ ช่ืออยา่ งนนั้ ? ตอบ มาร ไดแ้ กก่ เิ ลสกาม คือ เจตสกิ อนั เศรา้ หมอง ชกั ใหใ้ ครใ่ หร้ กั ใหอ้ ยากได้ ช่อื อยา่ งนนั้ เพราะเป็นโทษลา้ งผลาญคณุ ความดแี ละทาใหเ้ สยี คน ฯ บว่ งแหง่ มาร ไดแ้ ก่วตั ถกุ าม คอื รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อนั เป็นของนา่ ชอบใจ ช่ืออยา่ งนน้ั เพราะเป็นอารมณเ์ ครื่องผกู ใจใหต้ ดิ ฯ (ปี 48) การสารวมจติ ใหพ้ น้ จากบ่วงแหง่ มาร ในธรรมวจิ ารณท์ า่ นแนะนาวิธีปฏิบตั ิไวอ้ ย่างไร? และถา้ จะจดั เขา้ ในไตรสิกขา จดั ไดอ้ ย่างไร? ตอบ แนะนาวธิ ีปฏิบตั ไิ ว้ ๓ ประการ คือ ๑. สารวมอนิ ทรยี ม์ ใิ หค้ วามยนิ ดคี รอบงา ในเม่อื เหน็ รูป ฟังเสียง ดมกลน่ิ ลมิ้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ อันนา่ ปรารถนา ๒. มนสิการกมั มฏั ฐานอนั เป็นปฏิปักษ์ตอ่ กามฉนั ทะ คือ อสภุ ะและกายคตาสติหรอื อนั ยงั จติ ใหส้ ลด คอื มรณสั สติ ๓. เจรญิ วปิ ัสสนา คอื พจิ ารณาสงั ขารแยกออกเป็นขนั ธ์ สนั นษิ ฐานเห็นเป็นสภาพไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ฯ จดั เขา้ ในไตรสกิ ขาไดด้ งั นี้ ประการท่ี ๑ จดั เขา้ ในสีลสิกขา ประการท่ี ๒ จดั เขา้ ในจิตตสกิ ขา ประการท่ี ๓ จดั เขา้ ในปัญญาสิกขา ฯ (ปี 47) กเิ ลสกามและวตั ถกุ าม ไดแ้ ก่อะไร? อย่างไหนจดั เป็นมารและเป็นบว่ งแหง่ มาร? เพราะเหตไุ ร? ตอบ กเิ ลสกาม ไดแ้ ก่ เจตสกิ อนั เศรา้ หมอง ชกั ใหใ้ คร่ ใหร้ กั ใหอ้ ยากได้ กล่าวคอื ตณั หา ความทะยานอยาก ราคะ ความกาหนดั อรติ ความ ขงึ้ เคยี ด เป็นตน้ จดั เป็นมาร เพราะเป็นโทษลา้ งผลาญคณุ ความดแี ละทาใหเ้ สยี คน ฯ วตั ถกุ าม ไดแ้ ก่ รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อนั เป็นของนา่ ชอบใจ จดั เป็นบว่ งแห่งมาร เพราะเป็นอารมณผ์ กู ใจใหต้ ดิ แหง่ มาร ฯ (ปี 46) บาลแี สดงปฏปิ ทาแหง่ นพิ พิทาวา่ เย จิตฺต สญฺญเมสสฺ นฺติ โมกขฺ นตฺ ิ มารพนธฺ นา ผใู้ ดสารวมจติ ผนู้ นั้ จกั พน้ จากบว่ งแหง่ มาร คาว่า “ บ่วงแหง่ มาร ” ไดแ้ กอ่ ะไร? อาการสารวมจติ คอื อยา่ งไร? ตอบ ไดแ้ กว่ ตั ถกุ าม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อนั นา่ ใคร่ นา่ ปรารถนา น่าชอบใจ ฯ อาการสารวมจติ มี ๓ ประการ คอื 3|P a g e
๑. สารวมอินทรียม์ ใิ หค้ วามยินดคี รอบงา ในเม่อื เหน็ รูป ฟังเสยี ง ดมกลิน่ ลมิ้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ อนั น่าปรารถนา ๒. มนสิการกมั มฏั ฐานอนั เป็นปฏปิ ักษ์ต่อกามฉนั ท์ คอื อสภุ และกายคตาสติ หรอื อนั ยงั จติ ใหส้ ลด คือมรณสติ ๓. เจรญิ วิปัสสนา คือพิจารณาสงั ขารแยกออกเป็นขนั ธ์ สนั นษิ ฐานเหน็ เป็นสภาพไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ฯ (ปี 44) คาวา่ มาร และ บว่ งแหง่ มาร หมายถงึ อะไร? บคุ คลจะพน้ จากบว่ งแหง่ มารดว้ ยวิธีอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ คาวา่ มาร หมายถงึ กเิ ลสกาม คอื เจตสกิ อนั เศรา้ หมอง ไดแ้ ก่ ตณั หา ราคะ และอรติ เป็นตน้ คาวา่ บว่ งแหง่ มาร หมายถงึ วตั ถกุ าม ไดแ้ ก่ รูป เสียง กลิน่ รส และโผฏฐัพพะ ฯ ดว้ ยวิธี ๓ อย่างคือ ๑. สารวมอนิ ทรีย์ มใิ หค้ วามยนิ ดคี รอบงาในเม่ือเห็นรูปเป็นตน้ อนั น่าปรารถนา ๒. มนสิการกมั มฏั ฐาน อนั เป็นปฏปิ ักษ์แกก่ ามฉนั ท์ คือ อสภุ ะและกายคตาสติหรอื มรณสั สติ ๓. เจรญิ วิปัสสนา คอื พจิ ารณาสงั ขารแยกออกเป็นขนั ธ์ สนั นิษฐานเหน็ เป็นสภาพไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ฯ (ปี 49) อทุ เทสวา่ “เย จติ ตฺ สญฺญเมสฺสนตฺ ิ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา” นนั้ การสารวมจิตทาอยา่ งไร? ตอบ การสารวมจติ มี ๓ วธิ ี คือ ๑. สารวมอนิ ทรยี ม์ ิใหค้ วามยินดคี รอบงา ในเม่ือเหน็ รูป ฟังเสยี ง ดมกล่นิ ลมิ้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนา ๒. มนสิการกมั มฏั ฐานอนั เป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉนั ท์ คือ อสภุ ะ กายคตาสติ และมรณสติ ๓. เจรญิ วิปัสสนา พิจารณาสงั ขารใหเ้ หน็ เป็น อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา ฯ (ปี 49) อทุ เทสวา่ “เย จิตตฺ สญฺญเมสสฺ นฺติ โมกฺขนตฺ ิ มารพนธฺ นา” นน้ั การสารวมจิตทาอยา่ งไร? ตอบ การสารวมจิตมี ๓ วธิ ี คือ ๑. สารวมอนิ ทรียม์ ิใหค้ วามยินดคี รอบงา ในเม่ือเหน็ รูป ฟังเสยี ง ดมกลิน่ ลมิ้ รส ถกู ตอ้ งโผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนา ๒. มนสิการกมั มฏั ฐานอนั เป็นปฏปิ ักษ์ต่อกามฉนั ท์ คอื อสภุ ะ กายคตาสติ และมรณสติ ๓. เจรญิ วปิ ัสสนา พิจารณาสงั ขารใหเ้ ห็นเป็น อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ฯ ➢ ปฏิปทาแหง่ นพิ พทิ า อทุ เทส สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ ฺ จาต.ิ .. ... ... สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ขฺ าต.ิ .. ... ... สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺ ตาติ ยทา ปญฺญาย ปสสฺ ติ อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วิสทุ ธฺ ิยา. เมอื่ ใด เหน็ ดว้ ยปัญญาวา่ สงั ขารทัง้ หลายทงั้ ปวงไมเ่ ทยี่ ง ...เป็ นทกุ ข.์ ..ธรรมทัง้ หลายทัง้ ปวง เป็ นอนัตตา เม่ือนั้น ยอ่ มหน่ายในทกุ ข์ น่นั ทางแห่งวสิ ุทธิ. (ปี 45) นพิ พิทาญาณ หมายถงึ อะไร? ปฏิปทาแห่งนิพพทิ า เป็นเชน่ ไร? ตอบ หมายถงึ ปัญญาของผบู้ าเพ็ญเพยี รจนเกดิ ความหนา่ ยในสงั ขาร ฯ การพิจารณาเหน็ ดว้ ยปัญญาวา่ สงั ขารทงั้ ปวงไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ ธรรมทง้ั ปวงเป็นอนตั ตา แลว้ เกดิ นพิ พิทา เบ่ือหนา่ ยในทกุ ขขนั ธ์ ไม่ เพลิดเพลินหมกม่นุ อยใู่ นสงั ขารอนั ย่วั ยวนเสนห่ า นเี้ ป็นปฏปิ ทาแหง่ นพิ พทิ า ฯ 4|P a g e
อนิจจตา ความไมเ่ ท่ยี ง จะกาหนดรูไ้ ดด้ ว้ ยวธิ ี ๑. ยอ่ มกาหนดรูไ้ ด้ ในทางงา่ ย ดว้ ยความเกิดขนึ้ ในเบอื้ งตน้ และความสิน้ ในเบอื้ งปลาย ๒. ในทางท่ลี ะเอียดกวา่ นนั้ ยอ่ มกาหนดรูไ้ ดด้ ว้ ยความแปรในระหวา่ งเกดิ และดบั ๓. ในอกี ทางอนั เป็นอยา่ งสขุ มุ ย่อมกาหนดเห็นความแปรแหง่ สงั ขารในช่วั ขณะหน่ึง ๆ คอื ไม่คงท่ีอย่นู าน เพยี งในระยะกาลนิดเดียวก็ แปรแลว้ (ปี 63, 58) อนิจฺจตา ความไม่เทย่ี งแห่งสงั ขาร กาหนดรูใ้ นทางง่ายไดด้ ว้ ยอาการอยา่ งไร ? ตอบ ดว้ ยความเกิดขนึ้ ในเบอื้ งตน้ และความสนิ้ ในเบอื้ งปลาย ฯ (ปี 60) ลกั ษณะเช่นใดบา้ ง เป็นเครื่องกาหนดใหร้ ูว้ ่าสงั ขารทงั้ หลายไมเ่ ทย่ี ง ? จงอธิบาย ตอบ ๑. กาหนดรูใ้ นทางงา่ ย ดว้ ยความเกดิ ขนึ้ ในเบอื้ งตน้ และความสนิ้ ในเบอื้ งปลาย ๒. กาหนดรูใ้ นทางละเอยี ดกวา่ นน้ั ดว้ ยความแปรในระหวา่ งเกดิ และดบั ๓. กาหนดรูใ้ นทางสขุ มุ ดว้ ยความแปรแห่งสงั ขารในช่วั ขณะหนงึ่ ๆ ไมค่ งท่อี ย่นู าน เช่น ความรูส้ กึ สุขทกุ ข์ เป็นตน้ ฯ (ปี 48) อนจิ จตาแหง่ สงั ขารทงั้ หลาย จะกาหนดรูไ้ ดด้ ว้ ยวธิ ีใดบา้ ง? ตอบ ๑. กาหนดรูใ้ นทางงา่ ย ดว้ ยความเกิดขนึ้ ในเบอื้ งตน้ และความสนิ้ ในเบอื้ งปลายได้ ๒. กาหนดรูใ้ นทางละเอยี ดกวา่ นนั้ ดว้ ยความแปรในระหว่างเกิดและดบั ได้ ๓. กาหนดรูใ้ นทางสขุ มุ ดว้ ยความแปรแห่งสงั ขารในช่วั ขณะหนงึ่ ๆ คอื ไม่คงท่อี ย่นู านเพยี งระยะกาลนดิ เดยี วกแ็ ปรแลว้ (ปี 47) ไตรลกั ษณ์ ทว่ี า่ เหน็ ไดย้ ากนน้ั เพราะอะไรปิดบงั ไว?้ ผพู้ จิ ารณาเหน็ อนิจจตา ความเป็นของไม่เท่ยี ง ย่อมไดร้ บั อานสิ งสอ์ ยา่ งไร? ตอบ อนิจจตา มสี นั ตติ ความสืบตอ่ แหง่ นามรูป ปิดบงั ไว้ ทกุ ขตา มอี ริ ยิ าบถ ความผลดั เปลย่ี นอริ ยิ าบถ ปิดบงั ไว้ อนตั ตตา มีฆนสญั ญา ความสาคญั เหน็ เป็นกอ้ น ปิดบงั ไว้ ฯ ย่อมไดร้ บั อานสิ งส์ คือเพกิ ถอนสนั ตติได้ ทาใหเ้ ห็นความเกดิ ขนึ้ และความดบั ไป ความไมเ่ ท่ยี งแหง่ สงั ขารทง้ั หลายดว้ ยปัญญาอนั ชอบ ย่อมเบ่ือหน่ายในสงั ขารอันเป็นทกุ ข์ ดาเนนิ ไปในหนทางแหง่ ความบรสิ ทุ ธิ์ ฯ ทกุ ขตา ความเป็ นทุกขแ์ ห่งสงั ขาร ประกอบดว้ ยทกุ ข์ ๑๐ อยา่ ง ยอ่ มกาหนดเหน็ ด้วยทกุ ขอ์ ย่างนี้ ๑. สภาวทกุ ข์ หรอื ทุกขป์ ระจาสงั ขาร คือ ชาติ ชรา มรณะ. ๒. ปกณิ ณกทกุ ข์ หรอื ทุกขจ์ ร คือ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาส. ๓. นิพทั ธทุกข์ คือ ทกุ ขเ์ นืองนติ ย์ หรือทกุ ขเ์ ป็ นเจา้ เรือน ไดแ้ ก่ หนาว รอ้ น หวิ ระหาย ปวดอจุ จาระ ปวดปัสสาวะ.ทกุ ขห์ มวดนไี้ มค่ อ่ ยมี ใครคานงึ ถงึ นกั เพราะเป็นของระงบั งา่ ย แต่ถา้ เป็นรุนแรงก็เหลือทนอย่.ู ๔. พยาธทิ กุ ข์ หรอื ทกุ ขเวทนา มปี ระเภทตา่ ง ๆ ตามสมฏุ ฐาน คืออวยั วะอนั เป็นเจา้ การไมท่ าหนา้ ท่โี ดยปกต.ิ สองหมวดนี้ แสดงไวใ้ นคริ ิ มานนั ทสตู ร ตอนอาทีนวสญั ญา โดยความเป็นโทษแห่งกาย. ๕. สนั ตาปทกุ ข์ ทกุ ขค์ อื ความรอ้ นรุม หรือทุกขร์ ้อน ไดแ้ ก่ ความกระวนกระวายใจเพราะถกู ไฟคอื กเิ ลส ราคะ โทสะ โมหะ เผา. ทกุ ขห์ มวด นมี้ าในอาทติ ตปรยิ ายสตู ร กล่าวเพรอ่ื มาถึงปกิณณกทกุ ขด์ ว้ ย แตไ่ มเ่ รียกวา่ ไฟเหมือนกเิ ลส ใชก้ ริ ยิ าเพียงวา่ เผาเหมอื นกนั . โสกะ ปรเิ ทวะ อปุ ายาส ดเู ป็นผลสืบมาจากราคะ ในเม่อื ไมไ่ ดป้ ิยารมณส์ มหวงั หรือในเม่อื ไดแ้ ลว้ มาพรากไปเสียโทมนสั ดเู ป็นผลสบื มาจากโทสะ ทกุ ข์ จะจดั เป็นผลสบื มาจากโมหะก็ไมส่ นิท เช่นนกี้ ารจดั เป็นปกณิ ณกทกุ ขเ์ ป็นไฟอกี กองหนง่ึ จงึ ไม่สนิท นา่ จดั เป็นทกุ ขค์ งเดมิ เกดิ เพราะถกู กเิ ลสเผา ดจุ ความรอ้ นแสบอนั เกดิ เพราะถกู ไฟลวก. ๖. วปิ ากทกุ ข์ หรอื ผลกรรม ไดแ้ กว่ ปิ ฏิสารคือความรอ้ นใจ การเสวยกรรมกรณ์ คือถกู ลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตก อบาย มาในบาลมี ากแห่ง. 5|P a g e
๗. สหคตทกุ ข์ ทกุ ขไ์ ปด้วยกัน หรอื ทกุ ขก์ ากับกัน ไดแ้ ก่ทกุ ขม์ เี น่อื งมาจากวบิ ลุ ผล ดงั แสดงในโลกธรรมสตู ร อฏั ฐกงั คดุ รวา่ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ เป็นทกุ ขล์ ะอย่าง ๆ . บางอาจารยอ์ ธิบายวา่ เป็นวปิ รณิ ามทกุ ข์ คือไดท้ กุ ขเ์ ม่ือแปรเป็นอ่ืนไป. น่าเขา้ ใจวา่ มีลาภคอื ทรพั ย์ ตอ้ งเฝา้ ตอ้ งระวงั จนไม่เป็นอนั หลบั นอนไดโ้ ดยปกติ เสียชวี ิตในการป้องกนั ทรพั ยก์ ็มี มียศคือไดร้ บั ตงั้ เป็นใหญ่กวา่ คนสามญั เป็นชน้ั ๆ ตอ้ งเป็นอยเู่ ติบกวา่ คนสามญั จาตอ้ งมีทรพั ยม์ ากเป็นกาลงั มกั หาไดไ้ มพ่ อใช้ ตอ้ งมภี าระมาก เวลาไม่เป็นของตน เป็นท่เี กาะของผอู้ น่ื จน นงุ นงั ตอ้ งพลอยสขุ ทกุ ขด์ ว้ ยเขาไดร้ บั สรรเสรญิ เหมือนดม่ื เหลา้ หวาน ชวนจะเพลนิ ไปวา่ ตนดี ตอ้ งมสี ตริ ะวงั มใิ หเ้ มากล่าวคอื เผลอตวั ดมื่ เหลา้ เสียอกี ผดู้ ื่มยงั อาจยง้ั ได้ สว่ นสรรเสรญิ มาจากผยู้ ่วั ยวนอยเู่ สมอ มีสขุ เป็นทางปรารถนายิ่งขนึ้ จึงยงั ไมอ่ มิ่ เป็นอนั ไม่ได้สขุ จรงิ วบิ ลุ ผลอย่างนี้ มที กุ ขก์ ากบั อย่ดู ว้ ย แสดงในโลกธรรมสตู รวา่ เป็นทกุ ขก์ ส็ ม. ๘. อาหารปรเิ ยฏฐทิ กุ ข์ คือทกุ ขใ์ นการหากนิ ไดแ้ ก่อาชวี ทกุ ข์ คอื ทกุ ขเ์ น่อื งดว้ ยการเลยี้ งชวี ติ . สตั วท์ ง้ั หลายยอ่ มแยง่ กนั หากนิ ดิรจั ฉานมี เนอื้ เป็นภกั ษา ย่อมผลาญชีวติ ชนิดเลก็ กว่าตนเป็นอาหารยอ่ มสกู้ นั เองบา้ ง เพราะเหตแุ หง่ อาหาร สตั วม์ ีหญา้ เป็นภกั ษา ออกหากิน ยอ่ ม เสย่ี งตอ่ อนั ตราย ย่อมหวาดเสียวเป็นนติ ย์ ตอ้ งคอยหลกี หนศี ตั รู หม่มู นษุ ยม์ กี ารงานขดั ทางแหง่ กนั และกนั ต่างคิดแขง่ ขนั ตดั รอนกนั ทา รา้ ยกนั ผลาญชวี ิตกนั เพราะเหตแุ หง่ อาชีวะก็มีไดเ้ สวยทกุ ขอ์ นั เป็นวบิ ากเน่อื งมาจากอาชวี ะกม็ เี ป็นอนั มาก แมผ้ มู้ ที างหาโดยไมต่ อ้ ง ประกบั ผอู้ ่นื แทบทกุ คนยงั รูส้ กึ วา่ หาไดไ้ มพ่ อเพ่ือเป็นอยสู่ ะดวก. ทกุ ขช์ นิดนแี้ สดงในบาลี โดยเป็นสงั เวควตั ถปุ ระการหนง่ึ . ๙. วิวาทมลู กทกุ ข์ คือทกุ ขม์ วี วิ าทเป็ นมลู ไดแ้ กค่ วามไม่โปรง่ ใจ ความกลวั แพ้ ความหว่นั หวาด มเี น่อื งมาจากทะเลาะกนั กด็ ี สคู้ ดีกนั ก็ดี รบกนั ก็ดี แสดงในบาลีโดยความเป็นกามาทนี พ.ทกุ ขโ์ ดยประเภทเหล่านี้ พอเป็นเครอื่ งกาหนดเหน็ สงั ขารวา่ เป็นทกุ ขไ์ ดอ้ ยู่จงึ ยตุ ิไวเ้ พยี งน.ี้ ๑๐.ทุกขขนั ธ์ หรอื ทกุ ขร์ อบยอด หมายเอาสงั ขารคอื ประชมุ ปัญจขนั ธเ์ อง แสดงในบาลีธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตรวา่ \"โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เป็ นทุกข\"์ แสดงในบาลีปฏิจจสมปุ บาทวา่ \"ความเกดิ ขนึ้ แหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั มวลน่นั ยอ่ มมดี ว้ ยอยา่ งน.ี้ (ปี 62, 54) ทกุ ขป์ ระจาสงั ขารกบั ทกุ ขจ์ ร ต่างกนั อยา่ งไร ? ตอบ ทกุ ขป์ ระจาสงั ขาร เป็นทกุ ขท์ ่ตี อ้ งมีแก่คนทกุ คน ไมส่ ามารถจะหลกี เลี่ยงพน้ ไดแ้ ก่ ความเกดิ ความแก่ ความตาย สว่ นทกุ ขจ์ ร เป็นทกุ ขท์ เ่ี กดิ ขึน้ เป็นครงั้ คราวไดแ้ ก่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาส ประจวบดว้ ยคนหรือสงิ่ อนั ไมเ่ ป็นท่รี กั พลัดพรากจาก คนหรือสิ่งอนั เป็น ท่รี กั ปรารถนาสิ่งใดไม่ไดส้ มหวงั ฯ (ปี 57) สภาวทกุ ข์ สนั ตาปทกุ ข์ ไดแ้ ก่อะไร ? ตอบ สภาวทกุ ข์ ไดแ้ กท่ กุ ขป์ ระจาสงั ขาร คือชาติ ชรา มรณะ สนั ตาปทกุ ข์ ไดแ้ กค่ วามกระวนกระวายใจเพราะถกู ไฟคอื กเิ ลสเผา ฯ (ปี 56) นพิ ทั ธทกุ ข์ กบั สหคตทกุ ข์ ตา่ งกนั อยา่ งไร? ตอบ นพิ ทั ธทกุ ข์ คือทกุ ขเ์ นืองนติ ย์ หรือทกุ ขเ์ ป็นเจา้ เรอื น ไดแ้ ก่ หนาว รอ้ น หิว ระหาย ปวดอจุ จาระ ปวดปัสสาวะ ส่วนสหคตทกุ ข์ คอื ทกุ ขไ์ ปดว้ ยกนั หรือทกุ ขก์ ากบั กนั ไดแ้ ก่ทกุ ขม์ เี น่อื งมาจากวบิ ลุ ผล ฯ (ปี 53) ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ขแ์ หง่ สงั ขารนนั้ กาหนดเห็นดว้ ยทกุ ขก์ ่ีหมวด? วิปากทกุ ขไ์ ดแ้ กท่ กุ ขเ์ ช่นไร? ตอบ ๑๐ หมวด ฯ ไดแ้ ก่วิปฏสิ าร คอื ความรอ้ นใจ การเสวยกรรมกรณค์ อื ถกู ลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย ฯ (ปี 52) ทกุ ขขนั ธ์ หรอื ทกุ ขร์ วบยอด หมายเอาอะไร? มหี ลกั ฐานอา้ งองิ ในบาลีธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู รวา่ อย่างไร? ตอบ หมายเอา สงั ขารคือประชมุ ปัญจขนั ธ์ ฯ มหี ลกั ฐานวา่ สงขฺ ติ ฺเตน ปญฺจปุ าทานกฺขนธฺ า ทกุ ขฺ า โดยย่อ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เป็นทกุ ข์ (ปี 50) สหคตทกุ ข์ คอื ทกุ ขเ์ ชน่ ไร? มยี ศช่อื ว่าเป็นทกุ ขน์ น้ั มีอธิบายอย่างไร? ตอบ คือ ทกุ ขไ์ ปดว้ ยกนั หรือทกุ ขก์ ากบั กนั ไดแ้ ก่ทกุ ขม์ ีเน่อื งมาจากวบิ ลุ ผล ฯ มียศคอื ไดร้ บั ตงั้ เป็นใหญ่กว่าคนสามญั เป็นชน้ั ๆ ตอ้ งเป็นอย่เู ตบิ กว่าคนสามญั จาตอ้ งมีทรพั ยม์ ากเป็นกาลงั มกั หาไดไ้ มพ่ อใช้ ตอ้ งมภี าระ มาก เวลาไมเ่ ป็นของตน เป็นท่เี กาะของผอู้ ่นื จนนงุ นงั ตอ้ งพลอยสขุ ทกุ ขด์ ว้ ยเขา ฯ 6|P a g e
(ปี 49) ปกณิ กทกุ ข์ คอื อะไร? จะบรรเทาไดด้ ว้ ยวิธอี ยา่ งไร? ตอบ คือ ทกุ ขจ์ ร เช่น ความเศรา้ โศกเสียใจ ความรา่ ไรบน่ เพอ้ ราพนั ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคบั แคน้ ใจ ความประสบสง่ิ ท่ี ไม่พึงปรารถนา ความพลดั พรากจากของรกั ความผิดหวงั เป็นตน้ ฯ จะบรรเทาไดด้ ว้ ยการมสี ติ ใชป้ ัญญาพจิ ารณา รูจ้ กั ปลงรูจ้ กั ปล่อยวางไมย่ ดึ ม่นั ถือม่นั ฯ (ปี 49) อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข์ คืออะไร? จะบรรเทาไดด้ ว้ ยวิธีอย่างไร? ตอบ คือ ทกุ ขใ์ นการหาเลยี้ งชีพ เช่น ตอ้ งแก่งแย่งชงิ ดีชงิ เด่นกนั เม่ือผลประโยชนข์ ดั กนั ก็ทะเลาะกนั และเม่ือยงิ่ แสวงหามากก็เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขม์ าก ฯ จะบรรเทาไดด้ ว้ ยการขยนั ประหยดั อดทนและ อดออม เป็นอย่ดู ว้ ยปัจจยั เครอื่ งเลยี้ งชพี เท่าท่จี าเป็น ตัดสง่ิ ฟ้งุ เฟ้อท่ไี ม่จาเป็น ออกไป ยินดเี ท่าทต่ี นมอี ยโู่ ดยยดึ ทฤษฎเี ศรษฐกิจพอเพยี งเป็นหลกั ในการดารงชวี ิต ฯ (ปี 48) สภาวทกุ ขแ์ ละปกณิ ณกทกุ ข์ คือทกุ ขเ์ ช่นไร? ตอบ สภาวทกุ ขค์ ือทกุ ขป์ ระจาสงั ขาร ไดแ้ ก่ ชาติ ชรา มรณะ ปกณิ ณกทกุ ขค์ อื ทกุ ขจ์ ร ไดแ้ ก่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั อปุ ายาส (ปี 47) ความเกดิ ความแก่ และความตาย จดั เขา้ ในทกุ ขห์ มวดไหน? โดยรวบยอด ทกุ ขท์ ่แี สดงในธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ไดแ้ ก่ทกุ ขเ์ ชน่ ไร? ตอบ จดั เขา้ ในสภาวทกุ ข์ คือ ทกุ ขป์ ระจาสงั ขาร ฯ ไดแ้ ก่ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ ฯ (ปี 46) นิพทั ธทกุ ข์ หมายถงึ ทกุ ขอ์ ยา่ งไร? ในทกุ ข์ ๑๐ อยา่ ง ความรอ้ นใจ หรือความถกู ลงอาชญา จดั เป็นทกุ ขเ์ ชน่ ไร? ตอบ หมายถงึ ทกุ ขเ์ นืองนติ ย์ หรือทกุ ขเ์ ป็นเจา้ เรอื น ไดแ้ ก่ หนาว รอ้ น หิว ระหาย ปวดอจุ จาระ ปวดปัสสาวะ ฯ จดั เป็นวิปากทกุ ข์ ฯ (ปี 44) ทกุ ขตา ความเป็นทกุ ขแ์ ห่งสงั ขารนน้ั กาหนดเห็นดว้ ยทกุ ขก์ ่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง? ความทกุ ขท์ ่เี กิดจากการตอ้ งดิน้ รนตอ่ สใู้ นการทามาหา กนิ จดั เป็นทกุ ขช์ นิดไหน? ตอบ ดว้ ยทกุ ข์ ๑๐ อยา่ งคือ ๑. สภาวทกุ ข์ ๒. ปกณิ กทกุ ข์ ๓. นพิ ทั ธทกุ ข์ ๔. พยาธิทกุ ข์ ๕. สนั ตาปทกุ ข์ ๖. วิปากทกุ ข์ ๗. สหคตทกุ ข์ ๘. อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข์ ๙. วิวาทมลู กทกุ ข์ ๑๐. ทกุ ขขนั ธ์ ฯ จดั เป็นอาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข์ ฯ (ปี 43) วปิ ากทกุ ขไ์ ดแ้ กท่ กุ ขอ์ ย่างไร? อฏิ ฐารมณ์ จดั เป็นทกุ ขด์ ว้ ยหรือไม่? ถา้ จดั ได้ จดั เขา้ ในทกุ ขห์ มวดไหน? ตอบ ไดแ้ ก่ วปิ ฏิสารคือความรอ้ นใจ การเสวยกรรมกรณค์ อื ถกู ลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยากและความตกอบายฯ อฏิ ฐารมณ์ จดั เป็นทกุ ขด์ ว้ ยเหมอื นกนั จดั เขา้ ในหมวดสหคตทกุ ข์ ทกุ ขไ์ ปดว้ ยกนั ฯ อนตตฺ ตา ความเป็ นอนตั ตาแหง่ สงั ขาร พึงกาหนดรู้ดว้ ยอาการเหล่านี้ คอื . ๑. ดว้ ยไมเ่ ป็นอย่ใู นอานาจ หรือดว้ ยฝืนความปรารถนา ๒. ดว้ ยแยง้ ตอ่ อตั ตา ๓. ดว้ ยความเป็นสภาพหาเจา้ ของมไิ ด้ ๔. ดว้ ยความเป็นสภาพสญู คอื ว่างหรือหายไป ๕. ดว้ ยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั *** การกาหนดรู้ความเป็ นอนัตตาของสงั ขาร รูจ้ กั พจิ ารณากาหนดเห็นสงั ขารกระจายเป็นสว่ นย่อยๆ จากฆนคือกอ้ นจนเห็นเป็นความวา่ ง ถอนฆนสัญญาความสาคัญหมายวา่ เป็ นก้อน อนั ไดแ้ ก่ ความถอื เอาโดยนมิ ิต วา่ เรา วา่ เขา วา่ ผนู้ นั้ วา่ ผนู้ ี้ *** ความเหน็ อนัตตาพงึ ปรารถนาโยนิโสมนสกิ ารกากับ จะไดก้ าหนดรูส้ จั จะทงั้ ๒ คือ ๑. สมมตสิ จั จะ จรงิ โดยสมมติ เช่นสงั ขารผใู้ หเ้ กดิ ชายสมมตวิ า่ บิดา หญิงสมมตวิ า่ มารดา เป็นตน้ ย่อมเป็นจรงิ โดยสมมติ เช่นเดยี วกบั รถและเรอื น จะพึงคดั คา้ นมไิ ด้ 7|P a g e
๒. ปรมัตถสัจจะ จรงิ โดยปรมตั ถะ คือ อรรถอนั ลกึ เช่น รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็นตน้ กระจายใหล้ ะเอยี ดออกไปไดอ้ กี เพยี งใด ยง่ิ ลกึ ดเี พียงนน้ั ยอ่ มเป็นจรงิ โดยปรมตั ถะ (ปี 58) ฆนสญั ญา คืออะไร ? กาหนดเหน็ สงั ขารอยา่ งไร จึงถอนสญั ญานนั้ ได้ ? ตอบ คือความจาหมายวา่ เป็นกอ้ น ไดแ้ ก่ความถือโดยนมิ ิตว่าเรา ว่าเขา วา่ ผนู้ น้ั วา่ ผนู้ ี้ ฯ ดว้ ยการพจิ ารณากาหนดเหน็ สงั ขารกระจายเป็น ส่วนย่อย ๆ จากฆนะ คือ กอ้ น จนเหน็ สงั ขารเป็นสภาพวา่ ง ฯ (ปี 57) พระพทุ ธดารสั ท่ตี รสั ว่า “สทู ง้ั หลายจงมาดโู ลกนอี้ นั ตระการดจุ ราชรถ” กบั ท่ตี รสั กะ โมฆราชวา่ “โมฆราช ทา่ นจงมสี ติทกุ เม่ือ เลง็ เหน็ โลกโดยความเป็นของสญู ” ทรงมพี ระประสงคต์ ่างกนั อยา่ งไร ? ตอบ พระพทุ ธดารสั แรก ทรงมพี ระประสงค์ จะทรงปลกุ ใจใหห้ ย่งั เหน็ ซงึ้ ลงไปถงึ คณุ โทษประโยชนม์ ใิ ช่ประโยชนแ์ ห่งสิง่ นน้ั ๆ อนั คมุ เขา้ เป็นโลก พระพทุ ธดารสั หลงั ทรงมพี ระประสงคใ์ หถ้ อนอตั ตานทุ ฏิ ฐิ คือความตามเหน็ ว่าเป็นอตั ตา ฯ (ปี 56) ความเป็นอนตั ตาของสงั ขารพงึ กาหนดรูด้ ว้ ยอาการอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ ๑. ดว้ ยไมอ่ ยใู่ นอานาจ หรอื ดว้ ยฝืนความปรารถนา ๒. ดว้ ยแยง้ ต่ออตั ตา ๓. ดว้ ยความเป็นสภาพหาเจา้ ของมไิ ด้ ๔. ดว้ ยความเป็นสภาพสญู คอื วา่ งหรือหายไป ฯ (ปี 55) การกาหนดรูค้ วามเป็นอนตั ตาแหง่ สงั ขารดว้ ยความเป็นสภาพสญู นนั้ คอื รูอ้ ยา่ งไร? ตอบ รูจ้ กั พจิ ารณากาหนดเหน็ สงั ขารกระจายเป็นสว่ นย่อยๆ จากฆนคือกอ้ นจนเห็นเป็นความวา่ ง ถอนฆนสญั ญาความสาคญั หมายว่าเป็น กอ้ น อนั ไดแ้ ก่ ความถือเอาโดยนมิ ิต วา่ เรา วา่ เขา ว่าผนู้ น้ั ว่าผนู้ ี้ เสียได้ ฯ (ปี 52) การพิจารณาเห็นสงั ขารเป็นอนตั ตาโดยมโี ยนโิ สมนสกิ ารกากบั จะไมก่ ลายเป็นนตั ถกิ ทฏิ ฐิ เพราะกาหนดรูถ้ งึ ธรรม ๒ ประการ ธรรมทงั้ ๒ นไี้ ดแ้ กอ่ ะไร? ตอบ ไดแ้ ก่ สมมติสจั จะ จรงิ โดยสมมติ และปรมตั ถสจั จะ จรงิ โดยปรมตั ถะ ฯ (ปี 51) ความเป็นอนตั ตาแหง่ สงั ขาร พงึ กาหนดรูด้ ว้ ยอาการอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ ดว้ ยอาการดงั นี้ คอื ๑. ไม่อยใู่ นอานาจ หรอื ฝืนความปรารถนา ๒. แยง้ ต่ออตั ตา ๓. ความเป็นสภาพหาเจา้ ของมไิ ด้ ๔. ความเป็นสภาพสญู ฯ (ปี 43) สงั ขาร ในอธิบายแห่งปฏปิ ทาของนพิ พิทานน้ั ไดแ้ กอ่ ะไร? จะพงึ กาหนดรูส้ งั ขารนน้ั โดยความเป็นอนตั ตาดว้ ยอาการอยา่ งไร? ตอบ ไดแ้ ก่ สภาพอนั ธรรมดาแตง่ ขนึ้ โดยตรงไดแ้ ก่เบญจขนั ธ์ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั ธรรมดาคมุ กนั เขา้ เป็นกายกบั ใจ ฯ ดว้ ยอาการอย่างนี้ คอื ๑. ดว้ ยไมอ่ ยใู่ นอานาจ หรือดว้ ยฝืนความปรารถนา ๒. ดว้ ยแยง้ ต่ออตั ตา ๓. ดว้ ยความเป็นสภาพหาเจา้ ของมิได้ ๔. ดว้ ยความเป็นสภาพสญู คอื วา่ ง หรอื หายไป ๕. ดว้ ยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั ฯ วิราคะ ความสนิ้ กาหนดั เมื่อหน่าย ย่อมสนิ้ กาหนดั . ➢ อทุ เทสแหง่ วิราคะ วริ าคะ เป็ นประเสริฐ แห่งธรรมทงั้ หลาย. วิราคะ คอื ความกา้ วลว่ งเสียด้วยดี ซงึ่ กามทงั้ หลาย เป็ นสุขในโลก. อทุ เทสที่ ๑ นพิ พฺ นิ ทฺ วิรชฺ ชติ. อทุ เทสที่ ๒ วริ าโค เสฏฺโฐ ธมมฺ าน. อุทเทสที่ ๓ สขุ า วิราคตา โลเก กามาน สมตกิ กฺ โม. 8|P a g e
➢ ไวพจนแ์ หง่ วริ าคะ ๘ คาทใ่ี ชเ้ รียกแทนกนั คอื มคี วามหมายทม่ี งุ่ ถงึ ความสนิ้ ราคะเหมือนกนั ๑. มทนิมมฺ ทโน ธรรมยงั ความเมาใหส้ รา่ ง ๒. ปิ ปาสวนิ โย ความนาออกเสยี ซ่งึ ความกระหาย ความกระหายเกดิ เพราะอานาจกามตณั หา ความอยากในกามคณุ ๕ , ภวตณั หา ความอยากเป็นน่นั เป็นน่ี วิภวตณั หา ความอยากไม่เป็นน่นั เป็นน่ี ๓. อาลยสมุคฆฺ าโต ความถอนขนึ้ ดว้ ยดซี ง่ึ ความอาลยั ๔. วฏฺ ฏูปจเฺ ฉโท ความเขา้ ไปตดั เสยี ซง่ึ วฏั ฏะ ๕. ตณหฺ กฺขโย ความสนิ้ ตณั หา ไดแ้ ก่ ความอยาก มี ๓ ประการ ๑) กามตัณหา ความอยากในกาม ๒) ภวตัณหา ความอยากใน ภพ ๓) วภิ วตณั หา ความอยากในวิภพ ๖. วิราโค ความสนิ้ กาหนดั ๗. นิโรโธ ความดบั ๘. นิพฺพาน ธรรมชาตหิ าเครื่องเสยี บแทงมไิ ด้ (ปี 63, 50) ไวพจนแ์ ห่งวริ าคะ ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง? ตอบ ไดแ้ ก่ มทนิมฺมทโน แปลว่า ธรรมยงั ความเมาใหส้ รา่ ง ปิปาสวินโย แปลวา่ ความนาเสยี ซ่งึ ความระหาย อาลยสมคุ ฆฺ าโต แปลวา่ ความถอนขนึ้ ดว้ ยดซี ง่ึ อาลยั วฏฺฏปู จเฺ ฉโท แปลว่า ความเขา้ ไปตดั เสียซง่ึ วฏั ฏะ ตณหฺ กขฺ โย แปลว่า ความสิน้ แหง่ ตณั หา วริ าโค แปลว่า ความสนิ้ กาหนดั นิโรโธ แปลวา่ ความดบั นิพฺพาน แปลว่า ธรรมชาติหาเครือ่ งเสยี บแทงมไิ ด้ ฯ (ปี 62, 56) คาว่า วฏั ฏปู ัจเฉโท ธรรมอนั เขา้ ไปตดั ซง่ึ วฏั ฏะ วฏั ฏะ นน้ั หมายถงึ อะไร ? และตดั ขาดไดอ้ ยา่ งไร ? ตอบ หมายถงึ ความเวยี นเกดิ ดว้ ยอานาจ กเิ ลส กรรม วิบาก ฯ ตดั ขาดไดโ้ ดยการละกเิ ลสอนั เป็นเบอื้ งตน้ เสีย ฯ (ปี 61) คาวา่ มทนิมมฺ ทโน ธรรมยงั ความเมาใหส้ รา่ ง หมายถงึ ความเมาในอะไร ? ตอบ หมายถงึ ความเมาในอารมณอ์ นั ย่วั ยวนใหเ้ กิดความเมาทกุ ประการ เชน่ ชาติ สกลุ อสิ รยิ ะ บรวิ าร กด็ ี ลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ ก็ดี ความ เยาวว์ ยั ความไมม่ โี รค และชวี ติ กด็ ี นบั เขา้ ในอารมณป์ ระเภทนี้ ฯ (ปี 60) ตณั หา เม่ือเกดิ ขนึ้ ยอ่ มเกดิ ท่ไี หนและเม่ือดบั ย่อมดบั ท่ไี หน ? ตณั หานน้ั ย่อมสนิ้ ไปเพราะธรรมอะไร ? ตอบ เม่ือเกดิ ขึน้ ย่อมเกดิ ในสิง่ เป็นท่รี กั ท่ยี นิ ดใี นโลก เม่ือดบั ย่อมดบั ในสิง่ เป็นท่รี กั ท่ียินดีในโลก ฯ เพราะวิราคะ คอื พระนพิ พาน ฯ (ปี 59) วริ าคะ ไดแ้ ก่อะไร ? คาวา่ \"วฏฺฏปู จเฺ ฉโท ธรรมเขา้ ไปตดั เสยี ซง่ึ วฏั ฏะ\" มอี ธิบายวา่ อยา่ งไร ? ตอบ ไดแ้ ก่ ความสนิ้ กาหนดั ฯ อธิบายวา่ วฏั ฏะ หมายเอาความเวียนว่ายตายเกิดดว้ ยอานาจกิเลสกรรมและวิบาก วิราคะเขา้ ไปตดั ความ เวียนว่ายตายเกิดนน้ั จงึ เรียกวา่ วฏฺฏปู จฺเฉโท ธรรมเขา้ ไปตดั เสียซง่ึ วฏั ฏะ ฯ (ปี 58) ไวพจนแ์ หง่ วิราคะวา่ มทนิมฺมทโน ธรรมยงั ความเมาใหส้ รา่ ง ความเมาในท่นี ี้ หมายถงึ ความเมาในอะไร ? ตอบ หมายถงึ ความเมาในอารมณอ์ นั ย่วั ยวนใหเ้ กิดความเมาทกุ ประการ เชน่ ความถงึ พรอ้ มแหง่ ชาติ สกลุ อิสรยิ ะ และบรวิ าร หรือลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ หรอื ความเยาวว์ ยั ความหาโรคมิได้ และชีวติ ฯ (ปี 55) ความอยากท่เี ขา้ ลกั ษณะเป็นตณั หา และไม่เป็นตณั หานนั้ ไดแ้ ก่ความอยากเช่นไร เพราะเหตไุ ร? 9|P a g e
ตอบ ความอยากท่เี ขา้ ลกั ษณะทาใหเ้ กดิ ในภพอกี ประกอบดว้ ยความกาหนดั ดว้ ยอานาจความยนิ ดี เพลดิ เพลนิ ในอารมณน์ นั้ ๆ อยา่ งนี้ จดั เป็นตณั หา เพราะเป็นทกุ ขสมทุ ยั เหตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ สว่ นความอยากท่มี อี ย่โู ดยปกติธรรมดาของคนทกุ คน แมก้ ระท่งั พระอรยิ เจา้ เช่นความอยากขา้ ว อยากนา้ เป็นตน้ ไมจ่ ดั วา่ เป็นตณั หา เพราะ เป็นความอยากท่เี ป็นไปตามธรรมดาของสงั ขาร ฯ (ปี 55) วริ าคะในพระบาลวี ่า “วริ าโค เสฏฺโฐ ธมฺมาน วริ าคะประเสรฐิ กวา่ ธรรมทง้ั หลาย” และในพระบาลีวา่ “วริ าคา วมิ จุ จฺ ติ เพราะสนิ้ กาหนดั ย่อมหลดุ พน้ ” ตา่ งกนั อย่างไร? ตอบ วิราคะในพระบาลีแรกเป็นไวพจนค์ ือคาแทนช่ือพระนพิ พาน วริ าคะในพระบาลีหลงั เป็นช่ือของพระอรยิ มรรค ฯ (ปี 45) วริ าคะเป็นยอดแหง่ ธรรมทงั้ ปวง คาว่า \"ธรรมทงั้ ปวง\" หมายถงึ อะไร? นิโรธท่เี ป็นไวพจนแ์ หง่ วิราคะ หมายถงึ อะไร? ตอบ หมายถงึ สงั ขตธรรม คือธรรมอนั ธรรมดาปรุงแตง่ และอสงั ขตธรรม คอื ธรรมอนั ธรรมดามิไดป้ รุงแต่ง ฯ หมายถงึ ความดบั ทกุ ข์ เน่อื งมาจากดบั ตณั หา ฯ (ปี 45) ตณั หาคอื อะไร? ตณั หานน้ั เม่ือเกดิ ขึน้ ยอ่ มเกดิ ท่ไี หนและเม่ือดบั ยอ่ มดบั ท่ไี หน? คาวา่ มทนิมมฺ ทโน ธรรมยงั ความเมาใหส้ รา่ ง หมายถงึ ความเมาในอะไร? ตอบ คือความอยาก ฯ เม่ือเกดิ ขนึ้ ย่อมเกดิ ในสงิ่ เป็นท่รี กั ท่ยี ินดใี นโลก เม่อื ดับยอ่ มดบั ในสงิ่ เป็นท่รี กั ท่ียนิ ดใี นโลก ฯ หมายถึงความเมาในอารมณอ์ นั ย่วั ยวนใหเ้ กดิ ความเมาทกุ ประการ เชน่ สมบตั ิแหง่ ชาติ สกลุ อสิ รยิ ะ บรวิ าร ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ก็ดี เยาวว์ ยั ความหาโรคมไิ ด้ และชวี ติ กด็ ี นบั เขา้ ในอารมณป์ ระเภทนี้ ฯ วิมุตติ ความหลดุ พน้ ➢ เอทเทสแห่งวิมตุ ติ อุทเทสท่ี ๑ วริ าคา วมิ จุ จฺ ติ. เพราะสิน้ กาหนัด ย่อมหลุดพน้ . อทุ เทสท่ี ๒ กามาสวาปิ จิตตฺ วมิ จุ จฺ ติ ถฺ ภวาสวาปิ จิตฺต วมิ จุ ฺจติ ถฺ อวิชชฺ าสวาปิ จติ ฺต วมิ จุ จฺ ิตถฺ . จิตหลุดพน้ แลว้ แม้จากอาสวะเนื่องดว้ ยกาม จติ หลุดพน้ แล้ว แมจ้ ากอาสวะเน่ืองด้วยภพ จติ หลุดพน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะ เน่ืองดว้ ยอวชิ ชา. อทุ เทสที่ ๓ วมิ ตุ ตฺ สสมฺ ึ วิมตุ ตฺ มติ ิ ญาณ โหต.ิ เมอื่ หลดุ พน้ แลว้ ญาณว่าหลดุ พน้ แล้ว ย่อมมี วมิ ตุ ติ ๕ ๑. ตทงั ควมิ ตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยองคน์ น้ั ๆ ๒. วกิ ขัมภนวิมตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยข่มไว้ ๓. สมุจเฉทวิมตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยตดั ขาด (จดั เขา้ ใน อรยิ มรรค) ๔. ปฏิปัสสทั ธิวิมตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยความสงบราบ (จดั เขา้ ใน อรยิ ผล) ๕. นิสสรณวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยออกไปเสยี (จดั เขา้ ใน นพิ พาน) สาสวะ แปลวา่ เป็นไปกบั ดว้ ยอาสวะ, ประกอบดว้ ยอาสวะ, ยงั มอี าสวะ, เป็นโลกิยะ อนาสวะ แปลวา่ ไมม่ อี าสวะ, อนั หาอาสวะมิได้ (ปี 62, 46) วมิ ตุ ติ ๕ อยา่ งไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกตุ ตระ ? ตอบ ตทงั ควมิ ตุ ติ วิกขมั ภนวิมตุ ติ เป็นโลกยิ ะ สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ ปฏปิ ัสสทั ธิวิมตุ ติ นิสสรณวมิ ตุ ติ เป็นโลกตุ ตระ ฯ 10 | P a g e
(ปี 61) บาลอี ทุ เทสวา่ วมิ ตุ ตฺ สมฺ ึ วมิ ตุ ตฺ มติ ิ ญาณ โหติ แปลวา่ เม่อื หลดุ พน้ แลว้ ญาณวา่ หลดุ พน้ แลว้ ย่อมมี อะไรหลดุ พน้ ? และหลดุ พน้ จาก อะไร ? ตอบ จติ หลดุ พน้ ฯ จากอาสวะ ๓ ฯ (ปี 60, 54) ในวมิ ตุ ติ ๕ วมิ ตุ ตใิ ดจดั เป็น อรยิ มรรค อรยิ ผล นพิ พาน ? ตอบ สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ จดั เป็น อรยิ มรรค ปฏปิ ัสสทั ธิวมิ ตุ ติ จดั เป็น อรยิ ผล นิสสรณวิมตุ ติ จดั เป็น นพิ พาน ฯ (ปี 60, 46) พระบาลีวา่ \"ปญฺญาย ปรสิ ชุ ฌฺ ติ บคุ คลยอ่ มหมดจดดว้ ยปัญญา\" มีอธิบายอยา่ งไร ? ตอบ มอี ธิบายว่า ผพู้ จิ ารณาเหน็ ดว้ ยปัญญาวา่ สงั ขารไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา เกดิ ความเบอ่ื หน่ายแลว้ วางเฉยในสงั ขารนนั้ ไม่ยนิ ดีไม่ ยินรา้ ย ไดบ้ รรลอุ รยิ มรรคอรยิ ผล ความหมดจดย่อมเกดิ ดว้ ยปัญญาอย่างนี้ ฯ (ปี 59) ความหลดุ พน้ อย่างไรเป็นสมจุ เฉทวมิ ตุ ติ? จดั เป็นโลกยิ ะหรือโลกตุ ตระ? ตอบ ความหลดุ พน้ ดว้ ยการตดั กเิ ลสไดเ้ ด็ดขาด ไดแ้ ก่อรยิ มรรค ฯ จดั เป็นโลกตุ ตระ ฯ (ปี 58) จงสงเคราะหม์ รรคมีองค์ ๘ เขา้ ในวสิ ทุ ธิ ๗ มาดู ฯ ตอบ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ จดั เขา้ ในสีลวิสทุ ธิ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ จดั เขา้ ในจติ ตวสิ ทุ ธิ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ จดั เขา้ ในทิฏฐิวิสทุ ธิ กงั ขาวิตรณวสิ ทุ ธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิฯ (ปี 56) ความเช่ือว่ามีพระเจา้ ผสู้ รา้ ง ทาการออ้ นวอนและบวงสรวงเป็นอาทิ จดั เขา้ ในอาสวะขอ้ ไหน? ตอบ จดั เขา้ ใน อวชิ ชาสวะ ฯ (ปี 55) วริ าคะในพระบาลวี ่า “วิราโค เสฏฺโฐ ธมมฺ าน วริ าคะประเสรฐิ กวา่ ธรรมทง้ั หลาย” และในพระบาลวี า่ “วิราคา วิมจุ จฺ ติ เพราะสนิ้ กาหนดั ยอ่ มหลดุ พน้ ” ต่างกนั อย่างไร? ตอบ วิราคะในพระบาลแี รกเป็นไวพจนค์ อื คาแทนช่ือพระนพิ พาน วิราคะในพระบาลหี ลงั เป็นช่อื ของพระอรยิ มรรค ฯ (ปี 53) วมิ ตุ ติ ความหลดุ พน้ นน้ั ตวั หลดุ พน้ คอื อะไร? หลดุ พน้ จากอะไร? ตวั รูว้ ่าหลดุ พน้ คอื อะไร? จงอา้ งหลกั ฐานประกอบดว้ ย ตอบ ตวั หลดุ พน้ คือจติ ฯ หลดุ พน้ จากอาสวะทง้ั หลาย ตามพระบาลีวา่ กามาสวาปิ จิตตฺ วมิ จุ จฺ ิตถฺ ภวาสวาปิ จติ ฺต วมิ จุ จฺ ิตถฺ อวชิ ฺชาสวาปิ จิตฺต วมิ จุ จฺ ิตฺถ จติ หลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะเน่อื งดว้ ยกาม จติ หลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะเน่อื งดว้ ยภพ จิตหลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากอาสวะเน่อื ง ดว้ ยอวิชชา ฯ ญาณเป็นตวั รู้ ตามพระบาลีวา่ วิมตุ ฺตสมฺ ึ วมิ ตุ ตฺ มิติ ญาณ โหติ เม่ือหลดุ พน้ แลว้ ญาณวา่ หลดุ พน้ แลว้ ยอ่ มมี ฯ (ปี 51) บาลีอทุ เทสวา่ วมิ ตุ ตฺ สมฺ ึ วมิ ตุ ตฺ มติ ิ ญาณ โหติ แปลว่า เม่อื หลดุ พน้ แลว้ ญาณวา่ หลดุ พน้ แลว้ ย่อมมี ใครเป็นผหู้ ลดุ พน้ ? และหลดุ พน้ จากอะไร? ตอบ จติ เป็นผหู้ ลดุ พน้ ฯ พน้ จากอาสวะ ๓ ฯ (ปี 50) วมิ ตุ ติ เป็นโลกยิ ธรรมหรอื โลกตุ ตรธรรม? เป็นสาสวะหรอื อนาสวะ? ตอบ ถา้ เพง่ ถงึ วมิ ตุ ตทิ ่สี บื เน่อื งมาจากนพิ พทิ าและวริ าคะแลว้ กเ็ ป็นโลกตุ ตระและอนาสวะอยา่ งเดียว ถา้ เพ่งถงึ วมิ ตุ ติ ๕ วมิ ตุ ติเป็นโลกยิ ะก็ มี เป็นสาสวะกม็ ี คือตทงั ควมิ ตุ ตแิ ละวกิ ขมั ภนวมิ ตุ ตเิ ป็นโลกยิ ะและเป็นสาสวะ วมิ ตุ ติอกี ๓ ท่เี หลอื เป็นโลกตุ ตระและเป็นอนาสวะ ฯ วิสุทธิ ความหมดจด อุทเทสที่ ๑ ปญฺญาย ปรสิ ชุ ฺฌต.ิ ย่อมหมดจดดว้ ยปัญญา. อุทเทสท่ี ๒ เอส มคโฺ ค วิสทุ ฺธิยา. น่ัน [คอื นิพพทิ า] เป็ นทางแหง่ วสิ ุทธ.ิ ลทั ธิพราหมณถ์ ือวา่ บาปท่ที าแลว้ อาจลอยเสียดว้ ยทาพิธี เม่ืออาบนํา้ เช่นเดียวกบั ชาระมลทนิ กายดว้ ยอาบนา้ โดยปกติ และลทั ธิ ครสิ ตงั ถือว่า ออ้ นวอนพระเจา้ เพ่อื โปรดยกประทานไดอ้ ยู่ เชน่ เดยี วกบั พระเจา้ แผ่นดินโปรดยกโทษพระราชาทานแกค่ นผทู้ าผิด ใหพ้ น้ พระราช อาญา ฝ่ายพระพทุ ธศาสนาถือวา่ 11 | P a g e
อตตฺ นา ว กต ปาป อตตฺ นา สงฺกลิ ิสฺ สติ อตฺตนา อกต ปาป อตตฺ นา ว วสิ ชุ ฺฌติ สทุ ธฺ ิ อสทุ ฺธิ ปจจฺ ตฺต นาญฺโญ อญฺญ วโิ สธเย. ทาบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทาบาปเอง ยอ่ มหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมอง เป็ นเฉพาะตวั คนอนื่ ยังคนอนื่ ใหห้ มดจดหาไดไ้ ม่ โดยนยั นี้ ถือว่าความบรสิ ทุ ธิ์ ภายในย่อมมีดว้ ยปัญญา. อีกบรรยายหนง่ึ อุทเทสที่ ๓ มคฺคานฏฺฐงฺคิโก เสฏฺโฐ ................. เอเสว มคฺโค นตถฺ ญฺโญ ทสฺสนสสฺ วสิ ทุ ธฺ ิยา. ทางมอี งค์ ๘ เป็ นประเสริฐสดุ แห่งทางทงั้ หลาย....ทางนั้นหมด ไมม่ ที างอน่ื เพอื่ หมดจดแหง่ ทสั สนะ. ทางมอี งค์ ๘ นน้ั ในนเิ ทศแหง่ ทกุ นโิ รคามนปี ฏิปทาอรยิ สจั แหง่ ธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู รเป็นตน้ จาแนกออกไปอยา่ งนี้ :- ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ ๕. สมั มาอาชโี ว เลยี้ งชวี ิตชอบ ๒. สมั มาสังกปั โปความดารชิ อบ ๖. สมั มาวายาโม พยายามชอบ ๓. สัมมมาวาจา เจรจาชอบ ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ ๔. สมั มากมั มันโต การงานชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ตงั้ ใจชอบ. วิสุทธิ ๗ ทางไปสพู่ ระนพิ พาน ๑. สีลวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งศลี ๕. มัคคามคั คญาณทัสสนวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง่ ญาณเป็นเครื่องเห็นวา่ ทางหรือมใิ ช่ทาง ๒. จิตตวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแหง่ ญาณเป็นเคร่ืองเห็นทางปฏบิ ตั ิ ๓. ทฏิ ฐิวิสุทธิ ความหมดจดแหง่ ทฏิ ฐิ ๗. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแหง่ ญาณทสั สนะ ๔. กงั ขาวติ รณวิสทุ ธิ ความหมดจดแหง่ ญาณ เป็นเคร่ืองขา้ มพน้ ความสงสยั ➢ จัดมรรค ๘ เขา้ ในวสิ ทุ ธิ ๗ วสิ ุทธิ ๗ มรรค ๘ สีลวิสทุ ธิ จิตตวิสทุ ธิ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ ทิฏฐิวิสทุ ธิ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ กงั ขาวิตรณวิสทุ ธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ญาณทสั สนวิสทุ ธิ 12 | P a g e
➢ อคั คัปปสาทสูตร กล่าวยกเป็ นยอดแหง่ สังขตธรรม ความเป็นทางประเสรฐิ เป็นทางยอด เพราะองค์ ๘ นนั้ แตล่ ะอยา่ ง ๆ กเ็ ป็น ธรรมดี ๆ รวมกนั เขา้ ทงั้ ๘ ยอ่ มเป็นธรรมดยี ่งิ นกั และเป็นทางเดยี วนาไปถงึ ความดบั ทกุ ข์ หรือ ถงึ ความหมดจดแหง่ ทสั สนะ แต่ จดั เป็นพวกสงั ขตธรรม ดว้ ยอธิบายอยา่ งไร ขา้ พเจา้ เขา้ ใจไม่ชดั พอจะยืนยนั ไดแ้ ตค่ ะเนว่าชะรอยจะเพง่ ว่าเป็นธรรมเน่อื งดว้ ย อปุ ทานขนั ธ์ จึงจดั เป็นสงั ขตะดว้ ยกนั ครนั้ เทยี บกบั วิราคะอนั จดั เป็นอสงั ขตะเขา้ นอกจากหมาเอาอนปุ าทาปรนิ ิพพาน ย่อมชกั ฉงน. ทางน่แี ลนาไปถงึ ความหมดจดแหง่ ทสั สนะอยา่ งไร พงึ รูด้ ว้ ยเทียบกบั วิสทุ ธิ ๗ อย่างนี้ (ปี 62, 59, 50) ธรรมอะไรพระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ เป็นยอดแหง่ สงั ขตธรรม ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ อฏั ฐังคิกมรรคเป็นยอดแหง่ สงั ขตธรรม ฯ เพราะองค์ ๘ แตล่ ะองค์ ๆ ของอฏั ฐังคิกมรรค ลว้ นแตเ่ ป็นธรรมท่ดี ี ยง่ิ รวมกนั เขา้ ทง้ั ๘ องค์ ยอ่ มเป็นธรรมดียง่ิ นกั และเป็นทางเดียวนาไปถงึ ความดบั ทกุ ขห์ รอื ถงึ ความหมดจดแหง่ ทสั สนะ ฯ (ปี 60, 54) จงจดั มรรค ๘ เขา้ ในวิสทุ ธิ ๗ มาดู ตอบ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ จดั เขา้ ในสีลวสิ ทุ ธิ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ จดั เขา้ ในจติ ตวสิ ทุ ธิ สมั มาทิฏฐิ สมั มาสงั กปั ปะ จดั เขา้ ในทิฏฐิวิสทุ ธิ กงั ขาวิตรณวสิ ทุ ธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ญาณทสั สนวิสทุ ธิฯ (ปี 57) วิสทุ ธิ ๗ แตล่ ะอยา่ งๆ จดั เขา้ ในไตรสกิ ขาไดอ้ ย่างไร ? ตอบ สลี วสิ ทุ ธิ จดั เขา้ ในสีลสกิ ขา จิตตวสิ ทุ ธิ จดั เขา้ ในจติ ตสกิ ขา ทิฏฐิวสิ ทุ ธิ กงั ขาวติ รณวิสทุ ธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวิสทุ ธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ญาณทสั สนวิสทุ ธิ จดั เขา้ ในปัญญาสกิ ขา ฯ (ปี 52) ลทั ธิบางอยา่ งมีหลกั การว่า ทาบาปแลว้ บรสิ ทุ ธิห์ มดจดไดด้ ว้ ยการอาบนา้ ดว้ ยการบวงสรวง ดว้ ยการสวดออ้ นวอน เป็นตน้ ในฝ่าย พระพทุ ธศาสนากลา่ วถึงเรื่องนีว้ า่ อย่างไร? จงอา้ งหลกั ฐาน ตอบ พระพทุ ธศาสนามหี ลกั วา่ บคุ คลทาบาปเอง ยอ่ มเศรา้ หมองเอง ไม่ทาบาปเอง ย่อมบรสิ ทุ ธิ์ หมดจดเอง ความหมดจดและความเศรา้ หมองเป็นของเฉพาะตวั ผอู้ ืน่ ทาผอู้ ่นื ใหห้ มดจดหรือเศรา้ หมองไมไ่ ด้ ความบรสิ ทุ ธิภ์ ายในย่อมมดี ว้ ยปัญญา ฯ มีพระบาลีแสดงไวว้ ่า ปญฺญาย ปรสิ ชุ ฺฌติ บคุ คลยอ่ มบรสิ ทุ ธิไ์ ดด้ ว้ ยปัญญา และวา่ อตตฺ นา ว กต ปาป อตฺตนา สงกฺ ิลสิ ฺ สติ อตตฺ นา อกต ปาป อตตฺ นา ว วสิ ชุ ฌฺ ติ สทุ ธฺ ิ อสทุ ฺธิ ปจจฺ ตตฺ นาญฺโญ อญฺญ วิโสธเย. ทาบาปเอง ย่อมเศรา้ หมองเอง ไม่ทาบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศรา้ หมอง เป็นเฉพาะตวั คนอืน่ ยงั คนอนื่ ใหห้ มดจดหาไดไ้ ม่ ฯ (ปี 44) การพจิ ารณาแลเหน็ สงั ขารโดยไตรลกั ษณ์ จดั เป็นวิสทุ ธิอะไร? จงจดั วิสทุ ธิ ๗ ลงในไตรสิกขา? ตอบ จดั เป็นทฏิ ฐิวสิ ทุ ธิ ความหมดจดแห่งความเหน็ ๑. สลี วสิ ทุ ธิ จดั เป็นศีล ๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ จดั เป็นสมาธิ ๓. ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ กงั ขาวิตรณวสิ ทุ ธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวิสทุ ธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ จดั เป็นปัญญา 13 | P a g e
สนั ติ ความสงบ สูจงพูนทางแหง่ ความสงบนั้นแล. ➢ อทุ เทสแหง่ สนั ติ สุขอนื่ จากความสงบย่อมไมม่ ี . อุทเทสท่ี ๑ สนฺติ มคฺคเมว พฺรูหย. ผู้เพ่งความสงบ พึงละอามิสในโลกเสีย. อุทเทสท่ี ๒ นตฺถิ สนฺติ ปร สขุ . อทุ เทสที่ ๓ โลกามิส ปชเห สนฺติ เปกโฺ ข. สันติ เป็นไดท้ ง้ั โลกิยะทงั้ โลกตุ ตระ ดจุ เดยี วกบั วิสทุ ธิ * ท่เี ป็นโลกยิ ะไดใ้ นบาลีวา่ น หิ รุณฺเณน โสเกน สนตฺ ึ ปปโฺ หติ เจตโส บคุ คลย่อมถึงความสงบแหง่ จติ ด้วยร้องไห้ ด้วยเศร้าโศกกห็ าไม่ * ท่เี ป็นโลกตุ ตระไดใ้ นบาลีวา่ โลกามิส ปชเห สนฺตเิ ปกฺโข ผเู้ พง่ สนั ตพิ งึ ละโลกามสิ เสีย (ปี 63) สนั ติ ความสงบ หมายถงึ สงบอะไร ? ผมู้ งุ่ สนั ตสิ ขุ อย่างแทจ้ รงิ ท่านสอนใหล้ ะอะไร ? ตอบ หมายถงึ สงบกาย วาจา ใจ ฯ ทา่ นสอนใหล้ ะโลกามสิ คือ รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อนั น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ (ปี 62) พระพทุ ธพจนว์ า่ ผเู้ พง่ ความสงบพงึ ละอามิสในโลกเสีย คาวา่ อามสิ ในโลก หมายถงึ อะไร ? และละอามิสเหลา่ นนั้ ไดด้ ว้ ยวธิ ีใด ? ตอบ หมายถงึ กามคณุ ๕ คอื รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ อนั น่าปรารถนา น่าใครน่ ่าพอใจ ฯ ละไดด้ ว้ ยการทาใจมิใหต้ ิดในสงิ่ เหลา่ นน้ั ฯ (ปี 61) โลกามิสคอื อะไร ? ท่ไี ดช้ ่ืออยา่ งนน้ั เพราะเหตไุ ร ? ตอบ คือกามคณุ ๕ ไดแ้ ก่ รูป เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ เพราะเป็นเคร่อื งล่อใจใหต้ ิดอย่ใู นโลกดจุ เหย่อื อนั เบด็ เกี่ยวไวฉ้ ะนนั้ ฯ (ปี 60) สนั ติแปลวา่ อะไร ? เป็นโลกยิ ะ หรอื โลกตุ ตระ ? ตอบ สนั ติ แปลวา่ ความสงบ ฯ เป็นไดท้ งั้ โลกิยะ และโลกตุ ตระ ฯ (ปี 59) สนั ติ ความสงบ เกดิ ขนึ้ ท่ใี ด? มีปฏปิ ทาท่จี ะดาเนนิ อยา่ งไร? ตอบ เกิดขนึ้ ท่กี าย วาจา ใจฯ มปี ฏิปทาท่จี ะดาเนิน คอื ปฏบิ ตั ิกาย วาจา ใจ ใหส้ งบจากโทษเวรภยั ดว้ ยการละโลกามสิ คือกามคณุ ๕ฯ (ปี 55) บาลแี สดงปฏิปทาแหง่ สนั ติว่า “โลกามสิ ปชเห สนตฺ ิเปกโฺ ข” แปลว่า ผเู้ พ่งความสงบพงึ ละอามสิ ในโลกเสีย ดงั นี้ คาวา่ อามสิ ในโลก หมายถงึ อะไร? ท่เี รยี กอย่างนนั้ เพราะเหตไุ ร? ตอบ หมายถงึ เบญจพิธกามคณุ คือ รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนา นา่ ใคร่ น่าพอใจ ฯ ท่เี รยี กอยา่ งนน้ั เพราะเป็นเครอื่ งลอ่ ใจใหต้ ดิ ในโลก ดจุ เหย่อื อนั เบด็ เก่ียวอย่ฉู ะนน้ั ฯ (ปี 53) สนั ติ ความสงบ เป็นโลกิยะหรอื โลกตุ ตระ? จงตอบโดยอา้ งพระบาลมี าประกอบ ตอบ เป็นไดท้ งั้ โลกิยะและโลกตุ ตระ ฯ ท่เี ป็นโลกิยะไดใ้ นบาลีวา่ น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปโฺ ปติ เจตโส บคุ คลยอ่ มถึงความสงบแหง่ จติ ดว้ ยรอ้ งไห้ ดว้ ยเศรา้ โศกก็หาไม่ ท่เี ป็นโลกตุ ตระไดใ้ นบาลีวา่ โลกามิส ปชเห สนฺตเิ ปกฺโข ผเู้ พ่งสนั ตพิ ึงละโลกามสิ เสยี ฯ (ปี 50) บาลแี สดงปฏิปทาแหง่ สนั ตวิ ่า ผเู้ พง่ ความสงบพึงละอามสิ ในโลกเสยี ความสงบ ไดแ้ ก่อะไร? อามิส ไดแ้ ก่อะไร? เพราะเหตไุ รจงึ เรียกวา่ อามสิ ? ตอบ ไดแ้ ก่ ความเรยี บรอ้ ยทางกายทางวาจาและทางใจ ฯ ไดแ้ ก่ ปัญจพิธกามคณุ คือรูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนานา่ ใครน่ ่าชอบใจ ฯ เพราะเป็นเครือ่ งลอ่ ใจใหต้ ดิ ในโลก ฯ (ปี 48) พระพทุ ธพจนว์ ่า “นตฺถิ สนฺติปร สขุ ” สขุ อืน่ ยงิ่ กวา่ ความสงบไม่มี จะไมเ่ ป็นการปฏเิ สธสขุ อยา่ งอนื่ ไปทง้ั หมดหรือ? จงอธิบาย 14 | P a g e
ตอบ ไม่เป็นการปฏิเสธเสยี ทเี ดยี ว เช่นทรงแสดงถงึ สขุ ของคฤหสั ถ์ ๔ อยา่ งไวเ้ ป็นตน้ แต่สขุ อยา่ งอน่ื นนั้ ยงั เจือไปดว้ ยทกุ ขอ์ ยู่ ยงั ไมใ่ ชส่ ขุ ไม่ อาจจะนบั ว่าเป็นสขุ ท่แี ทจ้ รงิ ได้ มแี ต่ความสงบเทา่ นนั้ ท่เี ป็นสขุ อย่างแทจ้ รงิ เพราะไม่เจอื ไปดว้ ยความทกุ ข์ฉะนน้ั สขุ ท่ยี งิ่ กวา่ ความสงบจึงไมม่ ีฯ (ปี 45) บาลีแสดงปฏปิ ทาแหง่ สนั ติวา่ โลกามสิ ปชเห สนตฺ ิเปกฺโข ความวา่ ผเู้ พ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย คาวา่ อามสิ ในโลก หมายถึงอะไร? ท่เี รยี กว่า อามิสในโลก เพราะเหตไุ ร? ตอบ หมายถงึ ปัญจพธิ กามคณุ คือรูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ อนั นา่ ปรารถนา นา่ ใครน่ า่ ชอบใจ ฯ เพราะเป็นเครอื่ งลอ่ ใจใหต้ ิดในโลก ดจุ เหย่ืออนั เบด็ เกี่ยวอยู่ ฯ (ปี 43) สนั ตแิ ปลวา่ อะไร? มปี ฏปิ ทาท่ีจะดาเนินอย่างไร? สนั ตเิ ป็นโลกิยะ หรือโลกตุ ตระ? ตอบ สนั ติ แปลวา่ ความสงบ มปี ฏิปทาท่จี ะดาเนินคือ ปฏิบตั สิ งบกาย วาจา ใจ จากโทษเวรภยั ละโลกามิส คอื เบญจพธิ กามคณุ ๕ มสี นั ติ เป็นวิหารธรรม ฯ สนั ติเป็นไดท้ ง้ั โลกยิ ะ และโลกุตตระ ฯ นิพพาน ความดบั ทกุ ข์ พระพทุ ธเจ้าทัง้ หลาย ย่อมกลา่ วนิพพานว่ายวดยิ่ง. ➢ อทุ เทสท่ี ๑ นพิ พฺ าน ปรม วทนตฺ ิ พทุ ฺธา. พึงรีบรัดชาระทางไปนิพพาน. ➢ อุทเทสที่ ๒ นพิ พฺ านคมน มคคฺ ขิปปฺ เมว วโิ สธเย. สญิ ฺจ ภกิ ขฺ ุ อิม นาว สิตฺตา เต ลหเุ มสฺสติ เฉตฺวา ราคญฺจ โทสญฺจ ตโต นิพฺพานเมหิสิ . ภกิ ษุ เธอจงวดิ เรอื นี้ เรอื อนั เธอวดิ แล้ว จักพลนั ถงึ เธอตัดราคะและโทสะแลว้ แตน่ ั้นจกั ถงึ นิพพาน. อธิบาย เรือหมายเอาอตั ภาพ เรอื อนั วิดแลว้ นน้ั หมายเอาบรรเทากเิ ลส และบาปธรรมเสยี ใหบ้ างเบาจนขจดั ไดข้ าด จกั พลนั ถึงท่าคือนพิ พาน ➢ อุทเทสที่ ๓ นิพฺพาน ปรม สขุ . นิพพานเป็ นสุขอยา่ งยวดยงิ่ . นิกขฺ ปิ ิตฺวา ครุ ภาร อญฺญ ภาร อนาทิย สมลู ตณฺห อพฺพยุ ฺห นจิ ฺฉาโต ปรนิ ิพพฺ ุ โต. ปลงภาระอนั หนกั เสียแลว้ ไมถ่ ือเอาภาระอันอ่ืน ถอนตณั หากับทงั้ มูลเสยี แลว้ หายหวิ ดับรอบแล้ว. ภาระในคาถานี้ หมายเอาปญจขนั ธ์ การถือเอาภาระ หมายเอาการถือดว้ ยอปุ ทาน การปลงภาระ หมายเอาการถอนอปุ าทาน แตม่ ที างจะ เขา้ ใจอีกอย่างหน่ึงกไ็ ดว้ า่ ละขนั ธปัญจกนี้ ดว้ ยดบั จรมิ กจิตแลว้ ไม่ถือเอาขนั ธปญจกอื่น ดว้ ยเกดิ อกี เอต สนตฺ เอต ปณีต ยทิท สพฺพสงฺขารสมโถ สพพฺ ปู ธิปฏนิ ิสฺสคโฺ ค ตณหฺ กขฺ โข วิราโค นโิ รธ นิพพฺ าน. ธรรมชาตน่นั สงบแลว้ ธรรมชาตน่นั ประณตี ธรรมชาตไรเลา่ เป็ นทส่ี งบแหง่ สังขารทงั้ ปวง เป็ นทส่ี ละคนื อุปธิทงั้ ปวง เป็ นทส่ี นิ้ แห่ง ตัณหา เป็ นทสี่ นิ้ กาหนัด เป็ นทด่ี บั คอื นิพพาน. จากพระบาลวี า่ \"สพฺพูปธิปฏนิ ิสฺสคฺโค ธรรมเป็นท่สี ละอปุ ธิทง้ั ปวง\" ในคานี้ อปุ ธิ เป็นช่ือของเป็นช่ือของกเิ ลสและปัญจขนั ธ์ ท่เี ป็นช่อื ของกิเลส มอี ธิบายวา่ เขา้ ไปทรงคือเขา้ ครอง สว่ นท่เี ป็นช่ือแห่งปัญจขนั ธ์ มอี ธิบายวา่ เขา้ ไปทรงคอื หอบไวซ้ ง่ึ ทกุ ข์ 15 | P a g e
➢ ประเภทของนิพพาน ๑. สอปุ าทเิ สสนิพพาน เป็นความดบั กเิ ลสท่ยี งั มเี บญจขนั ธเ์ หลอื ๒. อนุปาทเิ สสนิพพาน เป็นความดบั กิเลสท่ไี ม่มเี บญจขนั ธเ์ หลือ (ปี 63, 51) สอปุ าทเิ สสนพิ พาน กบั อนปุ าทเิ สสนิพพาน ตา่ งกนั อยา่ งไร? พระบาลีวา่ เตส วปู สโม สโุ ข ความเขา้ ไปสงบแห่งสงั ขารเหล่านน้ั เป็นสขุ จดั เป็นนพิ พานชนิดใด? ตอบ ตา่ งกนั คอื สอปุ าทเิ สสนพิ พาน เป็นความดบั กเิ ลสท่ียงั มเี บญจขนั ธเ์ หลอื ส่วนอนปุ าทเิ สสนพิ พาน เป็นความดบั กิเลสท่ไี ม่มเี บญจขนั ธ์ เหลอื ฯ เป็นอนปุ าทิเสสนิพพาน ฯ (ปี 61, 52) ขอ้ ความว่า ปลงภาระอนั หนกั เสยี แลว้ ไมถ่ ือเอาภาระอนั อน่ื ดงั นี้ มอี ธิบายอยา่ งไร? ตอบ อธิบายวา่ ภาระ หมายถงึ เบญจขนั ธ์ การปลงภาระ หมายถงึ การถอนอปุ าทาน การไมถ่ ือเอาภาระอนื่ หมายถงึ การไมถ่ ือเบญจขนั ธอ์ ่ืน ดว้ ยอปุ าทาน ฯ (ปี 59) พระบาลวี า่ \"สพพฺ ปู ธิปฏนิ สิ ฺสคฺโค ธรรมเป็นท่สี ละอปุ ธิทงั้ ปวง\" ในคานี้ อปุ ธิ เป็นช่ือของอะไรไดบ้ า้ ง? แต่ละอยา่ งมีอธิบายวา่ อยา่ งไร ? ตอบ เป็นช่ือของกิเลสและปัญจขนั ธ์ ฯ ท่เี ป็นช่ือของกเิ ลส มีอธิบายวา่ เขา้ ไปทรงคือเขา้ ครอง ท่เี ป็นช่อื แหง่ ปัญจขนั ธ์ มอี ธิบายวา่ เขา้ ไปทรงคอื หอบไวซ้ ่งึ ทกุ ข์ ฯ (ปี 57) คาวา่ อปุ าทิ ในคาวา่ สอปุ าทเิ สสนิพพาน หมายถงึ อะไร ? ตอบ หมายถึงขนั ธ์ ๕ (ขนั ธปัญจก) ฯ (ปี 56) พระบาลวี ่า “นกิ ขฺ ปิ ิตฺวา ครุ ภาร อญฺญ ภาร อนาทิย ปลงภาระอนั หนกั เสยี แลว้ ไม่ถือเอาภาระอนั อน่ื ” ถามว่า “ภาระ” “การไมถ่ ือเอาภาระ” “การปลงภาระ” ไดแ้ ก่อะไร? ตอบ ภาระ ไดแ้ กเ่ บญจขนั ธ์ ฯ การไมถ่ ือเอาภาระ ไดแ้ กก่ ารไม่ถือเอาเบญจขนั ธด์ ว้ ยอปุ าทาน ฯ การปลงภาระ ไดแ้ กก่ ารถอนอปุ าทานในเบญจขนั ธ์ ฯ (ปี 54) พระศาสดาทรงสอนภิกษุโดยยกเอาเรอื มาเป็นอปุ มาวา่ สญิ ฺจ ภกิ ขฺ ุ อมิ นาว สติ ตฺ า เต ลหเุ มสสฺ ติ แปลว่าภกิ ษุ เธอจงวดิ เรือนี้ เรอื อนั เธอวิดแลว้ จกั พลนั ถึง มอี ธิบายโดยย่อวา่ อยา่ งไร? ตอบ มอี ธิบายโดยย่อวา่ เรอื หมายถงึ อตั ภาพ วดิ เรอื คอื วดิ นา้ ท่รี ่วั เขา้ ในเรอื ซง่ึ หมายถงึ การบรรเทากเิ ลสและบาปธรรม ท่ไี หลเขา้ มาทว่ ม ทบั จติ ใจ ใหบ้ างเบา จนขจดั ไดข้ าด เม่ืออตั ภาพนเี้ บาก็จกั ปฏิบตั เิ พ่อื ไปสพู่ ระนพิ พานไดเ้ รว็ ฯ (ปี 51) พระบาลวี า่ สิญฺจ ภิกขฺ ุ อิม นาว แปลวา่ ภกิ ษุ เธอจงวดิ เรือนี้ คาวา่ เรือ และคาวา่ วดิ ในท่นี ี้ หมายถงึ อะไร? ตอบ เรอื หมายถึง อตั ภาพรา่ งกาย วิด หมายถงึ บรรเทากเิ ลสและบาปธรรมเสียใหบ้ างเบา จนขจดั ไดข้ าด ฯ (ปี 49) พระบาลวี า่ “ภิกษุ เธอจงวิดเรอื นี้ เรอื ทเ่ี ธอวดิ แลว้ จกั พลนั ถึง” จงใหค้ วามหมายคาต่อไปนี้ ใหถ้ กู ตอ้ งตามพระบาลนี นั้ ? ก. เรอื นี้ ข. จงวดิ (วดิ อะไร) ค. เรอื ท่วี ิดแลว้ ง. จกั พลนั ถึง (ถงึ อะไร) จ. เรือจกั ไม่จมใน........ ตอบ ก. อตั ภาพรา่ งกาย ข. วดิ นา้ คอื มจิ ฉาวติ ก ค. อตั ภาพท่บี รรเทากเิ ลสใหเ้ บาบางลง ง. ถงึ ท่า คอื พระนพิ พาน จ. ในสงั สารวฏั ฯ (ปี 46) เนอื้ ความในภารสตู รวา่ “ปลงภาระอนั หนกั เสยี แลว้ ไม่ถือเอาภาระอนั อน่ื ” ถามวา่ คาวา่ “ ภาระอนั หนกั ” ไดแ้ กอ่ ะไร? การถือและการปลงภาระอนั หนกั นน้ั หมายถงึ อะไร? ตอบ ไดแ้ ก่ ปัญจขนั ธ์ ฯ การถือ หมายถึง การถือดว้ ยอปุ าทาน การปลง หมายถงึ การถอนอปุ าทาน ฯ 16 | P a g e
(ปี 44) วฏั ฏะในบาลวี า่ วฏฺฏปู จฺเฉโท หมายถงึ อะไร? วฏั ฏะนน้ั จะขาดไดอ้ ยา่ งไร? บาลีแสดงปฏปิ ทาแห่งนิพพานว่า \" สิญฺจ ภิกขฺ ุ อมิ นาว \" ความวา่ \" ภกิ ษุเธอจงวดิ เรอื นี้ \" คาวา่ เรือ และ วดิ ในบาลนี หี้ มายถงึ อะไร? ตอบ วฏั ฏะ หมายถงึ ความเวียนเกดิ ดว้ ยอานาจกเิ ลส กรรม และวบิ าก ฯ วฏั ฏะนน้ั จะขาดไดด้ ว้ ยการละกเิ ลสอนั เป็นเบอื้ งตน้ เสยี ฯ คาวา่ เรอื หมายถงึ อตั ภาพรา่ งกาย คาวา่ วดิ หมายถึงบรรเทากเิ ลส และบาปธรรมใหเ้ บาบางจนขจดั ไดข้ าด ฯ ส่วนสังสารวัฏ เมอ่ื จติ เศร้าหมองแล้ว ทคุ ติเป็ นอนั ตอ้ งหวงั . โดยบุคคลาธษิ ฐาน เมื่อจติ ไมเ่ ศร้าหมองแล้ว สุคตเิ ป็ นอนั หวงั ได.้ คติ ➢ อุทเทสที่ ๑ จติ เฺ ต สงกฺ ลิ ิฏฺเฐ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงขฺ า. ➢ อทุ เทสท่ี ๒ จติ ฺเต อสงกฺ ิลฏิ ฺเฐ สคุ ติ ปาฏิกงขฺ า. คติ คือ ภมู ิเป็นท่ไี ปหรือเป็นท่ถี งึ เบอื้ งหนา้ แตม่ รณะ จาแนกไว้ 2 ประเภท ดงั นี้ ๑. ทุคติ ภมู เิ ป็นท่ไี ปขา้ งช่วั แบง่ เป็น ๒ ประเภท คอื นริ ยะ ๑ ตริ จั ฉานโยนิ ๑ และสามารถแบง่ เป็น ๔ ประเภท คอื อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นริ ยะ …. (หมายเหตุ นริ ยะ ก็คอื นรก) ๒. สุคติ ภมู เิ ป็นท่ไี ปขา้ งดี แบง่ เป็น ๒ ประเภท คือ เทวะ ๑ มนษุ ย์ ๑ หรอื สคุ ติ ๑ โลกสวรรค์ ๑ (ปี 63, 57) อบาย คืออะไร ? ในอรรถกถาแจกไวเ้ ป็น ๔ อย่าง อะไรบา้ ง ? ตอบ คอื โลกท่ปี ราศจากความเจรญิ ฯ มนี ิรยะ ติรจั ฉานโยนิ ปิตตวิ สิ ยะ อสรุ กาย ฯ (ปี 61) ในพระบาลวี า่ \"จติ ฺเต สงกฺ ิลฏิ ฺเฐ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงฺขา เม่อื ใจเศรา้ หมอง ตอ้ งประสบทคุ ต\"ิ ทคุ ติ คอื อะไร ? มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ คอื ภมู ิเป็นท่ไี ปขา้ งช่วั ฯ มี อบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก (ตามนยั อรรถกถา มี ๔ คือ นรก สตั วเ์ ดรจั ฉาน เปรต อสรุ กาย) ฯ (ปี 60, 44) ในสว่ นสงั สารวฏั ฏ์ สตั วโลกตายแลว้ มคี ตเิ ป็นอยา่ งไร? มอี ทุ เทสบาลแี สดงไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ สตั วโลกตายแลว้ มคี ตเิ ป็น ๒ คอื สคุ ติ และทคุ ติ ฯ มอี ทุ เทสบาลแี สดงวา่ จติ เฺ ต สงฺกิลฏิ ฺเฐ ทคุ คฺ ติ ปาฏิกงฺขา เม่ือจติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตเิ ป็นอนั ตอ้ งหวงั จิตฺเต อสงฺกลิ ิฏฺเฐ สคุ ติ ปาฏิกงฺขา เม่ือจติ ไม่เศรา้ หมองแลว้ สคุ ตเิ ป็นอนั หวงั ได้ ฯ (ปี 59) คติ คืออะไร ? สตั วโลกท่ตี ายไป มีคติเป็นอยา่ งไรบา้ ง ? ตอบ คือ ภมู ิหรอื ภพเป็นท่ไี ปหลงั จากตายแลว้ ฯ มีคติเป็น ๒ คือ ๑. ทคุ ติ ภมู ิเป็นท่ไี ปขา้ งช่วั ซง่ึ เกดิ จากการประพฤติทจุ รติ ทางกายวาจาใจ ๒. สคุ ติ ภมู เิ ป็นท่ไี ปขา้ งดี ซง่ึ เกิดจากการประพฤตสิ จุ รติ ทางกายวาจาใจ ฯ (ปี 53) คาวา่ สคุ ติ ในพระบาลวี า่ จิตฺเต อสงฺกลิ ฏิ ฺเฐ สคุ ติ ปาฏิกงขฺ า คอื อะไร? มอี ะไรบา้ ง? ตอบ คอื ภมู เิ ป็นท่ีไปขา้ งดี ฯ มี เทวะ ๑ มนษุ ย์ ๑ หรอื สคุ ติ ๑ โลกสวรรค์ ๑ ฯ (ปี 52) สตั วโ์ ลกตายแลว้ มีคติเป็นอย่างไร? มพี ระบาลแี สดงไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ มคี ตเิ ป็น ๒ คือ สคุ ติและทคุ ติ ฯ มพี ระบาลีแสดงไวว้ า่ จติ เฺ ต อสงฺกิลฏิ ฺเฐ สคุ ติ ปาฏิกงขฺ า. เม่ือจติ ไม่เศรา้ หมองแลว้ สคุ ตเิ ป็นอนั หวงั ได้ จติ ฺเต สงกฺ ลิ ฏิ ฺเฐ ทคุ คฺ ติ ปาฏกิ งขฺ า. เม่ือจติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตเิ ป็นอนั ตอ้ งหวงั ฯ 17 | P a g e
(ปี 51) ในสว่ นสงั สารวฏั สตั วโลกตายแลว้ มคี ติเป็นอย่างไร? จงอา้ งบาลีประกอบ ตอบ มคี ติเป็น ๒ คือ สคุ ติ มีบาลวี ่า จติ เฺ ต อสงกฺ ลิ ิฏฺเฐ สคุ ติ ปาฏกิ งขฺ า และ ทคุ ติ มีบาลวี ่า จติ เฺ ต สงฺกิลฏิ ฺเฐ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงขฺ า ฯ (ปี 48) สตั วโ์ ลกตายแลว้ มคี ตเิ ป็นอย่างไร? ปัจจบุ นั ภพนนั้ เกยี่ วเน่อื งกบั สมั ปรายภพอย่างไร? ตอบ สตั วโ์ ลกตายแลว้ มคี ติเป็น ๒ คือ ถา้ ทาดี คือ ประพฤติสจุ รติ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ก็ไปสสู่ คุ ติ ถา้ ทาไม่ดี คือประพฤติทจุ รติ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ก็ไปส่ทู คุ ติ ฯ จติ ดชี ่วั ในปัจจบุ นั ย่อมเป็นปัจจยั แหง่ ปฏสิ นธิในสมั ปรายภพ ภมู ิและภพในภายภาคหนา้ ขนึ้ อยกู่ บั ภมู แิ ละภพชน้ั ของจิตในปัจจบุ นั นแี้ หละ ดงั มีหลกั ธรรมในอเุ ทศบาลแี สดงวา่ เม่ือจติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตเิ ป็นอนั ตอ้ งหวงั และวา่ เม่ือจิตไมเ่ ศรา้ หมองแลว้ สคุ ติเป็นอนั หวงั ได้ ฯ (ปี 46) คติ คอื ภมู ิเป็นท่ไี ปของสตั วผ์ ตู้ ายแลว้ เป็นอย่างไร? มีบาลแี สดงอทุ เทสเก่ียวกบั คตนิ น้ั วา่ อย่างไร? ตอบ เป็น ๒ คือ ทคุ ติ ภมู เิ ป็นท่ไี ปขา้ งช่วั ๑ สคุ ติ ภมู เิ ป็นท่ไี ปขา้ งดี ๑ ฯ มีบาลีแสดงอทุ เทสวา่ ดงั นี้ ๑. จิตฺเต สงกฺ ลิ ิฏฺเฐ ทคุ คฺ ติ ปาฏิกงขฺ า เม่ือจติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตเิ ป็นอนั ตอ้ งหวงั ๒. จิตเฺ ต อสงฺกิลิฏฺเฐ สคุ ติ ปาฏกิ งฺขา เม่ือจติ ไมเ่ ศรา้ หมองแลว้ สคุ ตเิ ป็นอนั หวงั ได้ ฯ หลกั กัมมัฏฐาน สมถกัมมัฏฐาน ➢ กัมมฏั ฐาน ๔๐ ประการ รวมเป็ น ๗ หมวดนั้น คอื - * กสิณ ๑๐ กสณิ แปลว่า วตั ถอุ นั จงู ใจ คอื จงู ใจใหเ้ ขา้ ไปผกู อยู่ เป็นช่อื ของกมั มฏั ฐานแปลวา่ มีวตั ถทุ ่ชี ่ือวา่ กสิณเป็นอารมณ์ - อสุภ ๑๐ - อนุสสติ ๑๐ - พรหมวกิ าร ๔ - อาหาเรปฏิกลู สัญญา ๑ - จตุธาตุววตั ถาน ๑ - อรูป ๔ ➢ สติปัฏฐาน ๔ ๑. กายานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๒. เวทนานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๓. จติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๔. ธมั มานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ➢ *อสุภะ ๑๐ พจิ ารณาซากศพเป็นอารมณ์ ➢ อนุสสติ ๑๐ ๑. พทุ ธานุสสติ ระลกึ ถงึ คณุ พระพทุ ธเจา้ เป็นอารมณ์ ๒. ธัมมานุสสติ ระลกึ ถงึ คณุ พระธรรมเป็นอารมณ์ ๓. สงั ฆานุสสติ ระลกึ ถงึ คณุ พระสงฆเ์ ป็นอารมณ์ ๔. สลี านุสสติ ระลกึ ถงึ ศลี ท่ตี นรกั ษาเป็นอารมณ์ ๕. จาคานุสสติ ระลกึ ถงึ ทานทต่ี นบรจิ าคแลว้ เป็นอารมณ์ ๖. เทวตานุสสติ ระลกึ ถงึ เทวดาท่มี สี ลี าทิคณุ เสมอ เหมือนกบั ดว้ ยตน ตงั้ เทพดาเหลา่ นน้ั ไวเ้ ป็นพยานแลว้ กลบั ระลกึ ถงึ สี ลาทคิ ณุ ของตนเป็นอารมณ์ 18 | P a g e
๗. อุปสมานุสสติ ระลกึ ถงึ นิพพานว่าเป็นท่รี ะงบั ดบั เพลิงกเิ ลสและกองทกุ ขเ์ ป็นบรมสขุ อยา่ งยง่ิ เป็นอารมณ์ ๘. มรณัสสติ ระลกึ ถงึ ความตายของตนและสตั วผ์ อู้ ืน่ เป็นอารมณ์ ๙. *กายคตาสติ ระลกึ ไปในอาการ ๓๒ ในรา่ งกายเป็นอารมณ์ (พจิ ารณาอาการภายในของตนเป็นอารมณ)์ ๑๐. อานาปานสติ ระลกึ ถึงลมหายใจเขา้ ออกยาวสนั้ เป็นตน้ เป็นอารมณ์ ➢ การเจรญิ เมตตาพรหมวหิ าร มีความมงุ่ หมายอยา่ งนี้ ใหท้ าตนเป็นพยานวา่ ตนนอี้ ยากไดแ้ ตค่ วามสขุ เกลียดชงั ทกุ ขแ์ ละภยั ตา่ ง ๆ ฉนั ใด แมส้ ตั วท์ ง้ั หลาย ก็อยากไดส้ ขุ เกลียดชงั ทกุ ขแ์ ละภยั ต่าง ๆ ฉนั นน้ั เม่ือเห็นเชน่ นแี้ ลว้ จติ กป็ รารถนาจะใหส้ ตั วท์ งั้ สนิ้ มี ความสขุ ความเจรญิ ดว้ ยเหตนุ ี้ ท่านจงึ ใหแ้ ผเ่ มตตาจิตไปในตนกอ่ น ฯ . ➢ การเจรญิ มุทติ าพรหมวหิ าร วธิ ีเจรญิ มทุ ติ านน้ั ดงั นี้ เม่ือไดเ้ ห็นหรือไดย้ นิ มนษุ ยห์ รอื สตั ว์ เป็นอยสู่ ขุ สบาย เจรญิ รุง่ เรอื งดว้ ยสขุ สมบตั ิ พงึ ทาจติ ใจใหช้ ่ืนชมยนิ ดี แลว้ แผม่ ทุ ิตาจิตไปวา่ สตั วผ์ นู้ หี้ นอบรบิ รู ณย์ งิ่ นกั มีสขุ สมบตั มิ าก จงเจรญิ ย่งั ยนื ดว้ ยสขุ สมบตั ิยง่ิ ๆ เถิด เม่ือเจรญิ อย่เู นอื งๆ ย่อมไดร้ บั อานิสงสค์ ือ จะละความรษิ ยาในสมบตั ขิ องผอู้ ่นื ได้ ฯ ➢ การเจรญิ จตุธาตวุ วัตถาน คอื ความกาหนดหมายซง่ึ ธาตุ ๔ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ วธิ ีปฏบิ ตั ิคือ พึงกาหนดพจิ ารณาทงั้ กายตนเองและกายผอู้ ื่นใหเ้ หน็ เป็นแตส่ กั วา่ ธาตุ และพึงกาหนดใหร้ ูจ้ กั ธาตภุ ายในภายนอกใหเ้ ห็นเป็นแตส่ กั วา่ ธาตไุ ปหมดทงั้ โลก ไม่ใชส่ ตั วไ์ มใ่ ชบ่ คุ คล ➢ หวั ใจสมถกัมมฏั ฐาน (กายคตาสติ เมตตา พทุ ธานุสสติ กสณิ จตุธาตุววัตถานะ) มพี ระบรมพทุ โธวาทประทานไวว้ า่ \"สมาธึ ภกิ ฺขเว ภาเวถ สมาหโิ ต ยถาภตู ปชานาติ\" ดงั นี้ แปลความวา่ ภกิ ษทุ งั้ หลายทา่ น ทัง้ หลายจงยงั สมาธิให้เกดิ ชนผู้มจี ิตเป็ นสมาธแิ ล้ว ย่อมรู้ตามจรงิ . เพราะเหตอุ ะไร พระศาสดาจึงทรงชกั นาในอนั บาเพ็ญสมาธ.ิ เพราะในทีไ่ ด้รับอบรมดีแล้ว ย่อมเป็ นไปเพือ่ ประโยชน์อนั ใหญ่. นิวรณ์ ๕ ธรรมอนั กนั้ จติ ไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี กาจัดดว้ ยกัมมฏั ฐาน กัมมฏั ฐานแกน้ ิวรณ์ กายคตาสติ, อสภุ กมั มฏั ฐาน เมตตาพรหมวิหาร นิวรณ์ อนสุ สตกิ มั มฏั ฐาน เชน่ สลี านสุ สติ พทุ ธานสุ สติ ธัมมานสุ สติ สงั ฆานสุ สติ กามฉันทะ ความพอใจรกั ใครใ่ นอารมณท์ ่ชี อบใจ กสนิ , มรณสั สติ พยาบาท การปองรา้ ยผอู้ ืน่ จตธุ าตวุ วตั ถานะ, วิปัสสนากมั มฏั ฐาน ถนี มิทธะ ความทจ่ี ิตหดหแู่ ละเคลิบเคลมิ้ อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ ฟ้งุ ซ่านและราคาญ วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลไมแ่ น่ใจ 19 | P a g e
กัมมฏั ฐานทค่ี วรเจริญกับจรติ กมั มฏั ฐานทคี่ วรเจริญ จรติ ราคจรติ กายคตาสต,ิ อสภุ ะ ๑๐ โทสจริต วณั ณกสิณ ๔ (นีลกสิณ ปีตกสณิ โลหิตกสิณ โอทาตกสณิ ), พรหมวหิ าร ๔ โมหจริต อานาปานสติ วติ กจริต อานาปานสติ สัทธาจรติ อนสุ สติ ขอ้ ๑-๖ (พทุ ธานสุ สติ, ธัมมานสุ ติ, สงั ฆานสุ สติ, สีลานสุ สติ, จาคานสุ สติ, เทวตานสุ สต)ิ พทุ ธจิ รติ มรณสั สติ, อปุ สมานสุ สติ, อาหาเรปฏิกลู สญั ญา, จตธุ าตวุ วตั ถาน ➢ วสี ๕ (ความชานาญ) …เรือ่ งวสี ไมต่ อ้ งท่อง… เมื่อพระโยคาพจรเจา้ อนั ไดส้ าเร็จปฐมฌานชานชิ านาญเป็ นอนั ดดี ว้ ย วสที ัง้ ๕ ดังวา่ มานีแ้ ล้ว จงึ จะสามารถเจริญทุตยิ ฌานตอ่ ขนึ้ ไปได้ ถา้ ไม่ชานาญในปฐมฌานกอ่ นแลว้ จะเจรญิ ทตุ ิยฌานตอ่ ขึน้ ไป กจ็ ะเสอ่ื มเสยี จากปฐมฌานและทตุ ิยฌานทงั้ ๒ ฝ่ าย เพราะอาศยั เหตฉุ ะนี้ จงึ หา้ มไวว้ า่ ถา้ ยงั ไม่ชานาญในปฐมฌานแลว้ อยา่ พงึ เจรญิ ทตุ ยิ ฌานกอ่ น ตอ่ เม่ือชานาญคลอ่ งแคลว่ ในปฐมฌาน ดว้ ยวสี ๕ ประการแลว้ จงึ ควรเจรญิ ทตุ ิยฌานสบื ต่อขนึ้ ไปได้ เม่ือชานาญในทตุ ยิ ฌานแลว้ จงึ ควรเจรญิ ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน ปัญจมฌานสืบ ต่อ ๆ ขนึ้ ไปได้ โดยลาดบั ดงั กลา่ วแลว้ นน้ั . (ปี 63) สตปิ ัฏฐาน ๔ คืออะไรบา้ ง ? การกาหนดลมหายใจเขา้ ออก ช่ือวา่ เจรญิ สติปัฏฐาน ขอ้ ไหน ? ตอบ คือกายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน จติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน และธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ฯ ช่ือว่าเจรญิ กายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ฯ (ปี 63, 61) ผเู้ จรญิ มหาสตปิ ัฏฐาน ตอ้ งประกอบดว้ ยธรรมใดบา้ ง จงึ จะกาจดั อภชิ ฌาและโทมนสั ได้ ? ตอบ ตอ้ งประกอบดว้ ยธรรม ๓ คือ ๑. อาตาปี มีความเพียรเผากเิ ลสใหเ้ รา่ รอ้ น ๒. สมั ปชาโน รูท้ ่วั พรอ้ ม ๓. สติมา มีสติ ฯ (ปี 62) เจรญิ มรณสั สตอิ ยา่ งไรจงึ จะบรรเทาความเมาในชวี ติ ไมต่ ดิ ในโลกธรรม ? ตอบ เจรญิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ คือ ๑. สติ ระลกึ ถงึ ความตาย ๒. ญาณ รูว้ า่ ความตายจกั มแี ก่ตน ๓. เกิดสังเวชสลดใจ ฯ (ปี 62, 49) จงแสดงวธิ ีเจรญิ มทุ ติ า พรอ้ มทง้ั อานสิ งสแ์ หง่ การเจรญิ พอเป็นตวั อยา่ ง? ตอบ วธิ ีเจรญิ มทุ ติ านน้ั ดงั นี้ เม่ือไดเ้ ห็นหรือไดย้ นิ มนษุ ยห์ รอื สตั ว์ เป็นอยสู่ ขุ สบาย เจรญิ รุง่ เรอื งดว้ ยสขุ สมบตั ิ พึงทาจติ ใจใหช้ ่ืนชมยินดี แลว้ แผ่มทุ ิตาจติ ไปว่า สตั วผ์ นู้ หี้ นอบรบิ รู ณย์ ิ่งนกั มสี ขุ สมบตั มิ าก จงเจรญิ ย่งั ยนื ดว้ ยสขุ สมบตั ยิ ง่ิ ๆ เถดิ เม่ือเจรญิ อยเู่ นอื งๆ ยอ่ มไดร้ บั อานสิ งส์คอื จะละความรษิ ยาในสมบตั ขิ องผอู้ น่ื ได้ ฯ (ปี 62, 51) อารมณข์ องสติปัฏฐาน มอี ะไรบา้ ง ? ผเู้ จรญิ สตปิ ัฏฐานพงึ มคี ณุ สมบตั ิอะไรบา้ ง ? ตอบ มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ พึงมี ๑. อาตาปี มีความเพยี รเผากิเลส ๒. สมั ปชาโน มสี มั ปชญั ญะ ๓. สตมิ า มีสติ ฯ (ปี 61) คนวิตกจรติ มีนสิ ยั อยา่ งไร ? คนประเภทนคี้ วรเจรญิ กมั มฏั ฐาน บทใด ? ตอบ ชอบคิดมาก ฟงุ้ ซ่าน ฯ ควรเจรญิ อานาปานสั สติกมั มฏั ฐาน ฯ (ปี 60) เจรญิ มรณสั สติอยา่ งไรจงึ จะแยบคาย ? ตอบ เจรญิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ คือ สติ ระลกึ ถึงความตาย ๑ ญาณ รูว้ ่าความตายจักมีแกต่ น ๑ เกดิ สงั เวชสลดใจ ๑ เจรญิ อยา่ งนี้ จงึ จะแยบคาย ฯ 20 | P a g e
(ปี 60) สมถะ กบั วปิ ัสสนา ใหผ้ ลตา่ งกนั อย่างไร ? ตอบ ใหผ้ ลตา่ งกนั ดงั นี้ สมถะ ใหผ้ ลคอื ทาใหใ้ จสงบระงบั จากนวิ รณท์ ง้ั ๕ สว่ นวปิ ัสสนา ใหผ้ ลคือทาใหไ้ ดป้ ัญญาเห็นสภาวธรรม ตามความเป็นจรงิ ฯ (ปี 58) ในสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการ มนี ิมติ และภาวนาก่ีอย่าง ? อะไรบา้ ง ? ตอบ มีนมิ ติ ๓ คือบรกิ รรมนมิ ิต อคุ คหนิมติ และปฏิภาคนมิ ิต และมภี าวนา ๓ คอื บรกิ รรมภาวนา อปุ จารภาวนา และอปั ปนาภาวนา ฯ (ปี 58) ผเู้ จรญิ เมตตาเป็นประจา ยอ่ มไดร้ บั อานิสงสอ์ ะไรบา้ ง ? ตอบ ไดร้ บั อานิสงสอ์ ย่างนี้ ๑. หลบั อยกู่ เ็ ป็นสขุ ๗. ไฟไมไ่ หม้ พษิ หรอื ศสั ตราวธุ ทง้ั หลายไม่อาจประทษุ รา้ ย ๒. ตนื่ อยกู่ เ็ ป็นสขุ ๘. จิตยอ่ มตงั้ ม่นั ไดเ้ รว็ พลนั ๓. ไม่ฝันเหน็ สง่ิ ลามก ๙. ผวิ พรรณยอ่ มผอ่ งใสงดงาม ๔. เป็นท่รี กั ของมนษุ ยท์ งั้ หลาย ๑๐. ไม่หลงทากาลกริ ยิ า คือเม่ือจะตายย่อมไดส้ ติ ๕. เป็นท่รี กั ของอมนษุ ยท์ งั้ หลาย ๑๑. เม่ือตายแลว้ แมเ้ กดิ อีก กย็ อ่ มเกดิ ในท่ดี เี ป็นท่เี สวยสขุ ถา้ ไมเ่ สือ่ มจากฌาน กไ็ ปเกิดในพรหมโลก ฯ ๖. เทวดาทงั้ หลายยอ่ มรกั ษา (ปี 58) สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบา้ ง ? การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนงั โดยความเป็นของปฏิกลู จดั เขา้ ในสตปิ ัฏฐานขอ้ ไหน ? ตอบ คือกายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน จติ ตานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ฯ ในกายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ฯ (ปี 58) บรรดาอาการ ๓๒ ประการนนั้ สว่ นท่เี ป็นอาโปธาตมุ ีอะไรบา้ ง ? ตอบ มดี ี เสมหะ นา้ เหลือง เลอื ด เหง่ือ มนั ขน้ นา้ ตา มนั เหลว นา้ ลาย นา้ มกู ไขขอ้ มตู ร ฯ (* หมายเหตุ อาโปธาตุ คอื ธาตนุ า้ ) (ปี 57) ปฐมฌาณ ประกอบดว้ ยองคเ์ ทา่ ไร ? อะไรบา้ ง ? ตอบ ดว้ ยองค์ ๕ ฯ คอื วติ ก วจิ าร ปีติ สขุ เอกคั คตา ฯ (ปี 57) สมถกมั มฏั ฐาน กบั วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ต่างกนั อยา่ งไร ? หวั ใจสมถกมั มฏั ฐานมีอะไรบา้ ง ? ตอบ สมถกมั มฏั ฐาน คอื กมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายเครือ่ งสงบใจ วิปัสสนากมั มฏั ฐาน คือกมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายเคร่ืองเรอื งปัญญา ฯ มีกายาคตาสติ เมตตา พทุ ธานสุ สติ กสิณ และจตธุ าตวุ วตั ถาน ฯ (ปี 56) ในนวสีวถกิ าปัพพะ เม่ือเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึง่ ใน ๙ ชนดิ นนั้ พึงภาวนาอย่างไร? ตอบ พึงภาวนาโดยการนอ้ มเขา้ มาส่กู ายนนี้ ่แี ลวา่ อยมฺปิ โข กาโย ถงึ รา่ งกาย อนั นเี้ ลา่ เอวธมฺโม ก็มีอยา่ งนเี้ ป็นธรรมดา เอวภาวี จกั เป็นอย่าง นี้ เอว อนตีโต ไม่ลว่ งความเป็นอย่างนไี้ ปได้ ฯ (ปี 55) กมั มฏั ฐานท่พี ระอปุ ัชฌายส์ อนแก่ผบู้ รรพชาอปุ สมบทวา่ เกสา โลมา นขา ทนตฺ า ตโจ ตโจ ทนตฺ า นขา โลมา เกสา นน้ั จดั เขา้ ในสติปัฏ ฐานขอ้ ใด? ใหพ้ ิจารณาอยา่ งไร? ตอบ จดั เขา้ ในกายานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ฯ ใหพ้ ิจารณานอ้ มใจใหเ้ หน็ เป็นของนา่ เกลียดปฏิกลู ทงั้ ในกายตน ทง้ั ในกายผอู้ น่ื ฯ (ปี 55) กายคตาสตกิ มั มฏั ฐานกบั อสภุ กมั มฏั ฐาน มอี ารมณต์ า่ งกนั อย่างไร? แกน้ วิ รณข์ อ้ ใดได?้ ตอบ กายคตาสตกิ มั มฏั ฐาน มอี าการ ๓๒ ในรา่ งกายเป็นอารมณ์ อสภุ กมั มฏั ฐาน มีซากศพเป็นอารมณ์ ฯ แกก้ ามฉนั ทนวิ รณ์ ฯ (ปี 54) กมั มฏั ฐานต่อไปนี้ คอื กสณิ จตธุ าตวุ วตั ถานะ พทุ ธานสุ สติ เป็นท่สี บายแกค่ นผมู้ กั ถกู นิวรณข์ อ้ ใดครอบงา? ตอบ กสิณ เป็นท่สี บายแกค่ นผมู้ กั ถกู อทุ ธจั จกกุ กจุ จะครอบงา จตธุ าตวุ วตั ถานะ เป็นท่สี บายแกค่ นผมู้ กั ถกู วจิ กิ ิจฉาครอบงา พทุ ธานสุ สติ เป็นท่สี บายแกค่ นผมู้ กั ถกู ถีนมิทธะครอบงาฯ 21 | P a g e
(ปี 53) นิวรณ์ คอื อะไร? เม่ือจิตถกู นวิ รณน์ น้ั ๆ ครอบงา ควรใชก้ มั มฏั ฐานบทใดเป็นเคร่ืองแก?้ ตอบ คอื ธรรมอนั กนั้ จติ ไมใ่ หบ้ รรลคุ วามดี ฯ กามฉนั ท์ ใช้ อสภุ กมั มฏั ฐาน หรอื กายคตาสติเป็นเครือ่ งแก้ พยาบาท ใช้ เมตตา กรุณา มทุ ติ า พรหมวิหาร ๓ ขอ้ ตน้ เป็นเคร่อื งแก้ ถีนมทิ ธะ ใช้ อนสุ สติกมั มฏั ฐานเป็นเคร่ืองแก้ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ใช้ กสณิ หรือมรณสั สตเิ ป็นเคร่อื งแก้ วิจิกจิ ฉา ใช้ ธาตกุ มั มฏั ฐานหรอื วปิ ัสสนากมั มฏั ฐานเป็นเครอ่ื งแก้ ฯ (ปี 53) จตธุ าตวุ วตั ถานกมั มฏั ฐาน คอื อะไร? ผเู้ จรญิ กมั มฏั ฐานนจี้ ะพงึ กาหนดพจิ ารณาอย่างไร? ตอบ คือ ความกาหนดหมายซง่ึ ธาตุ ๔ โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ ฯ พึงกาหนดพิจารณาทง้ั กายตนเองและกายผอู้ น่ื ใหเ้ ห็นเป็นแต่สกั วา่ ธาตุ และพงึ กาหนดใหร้ ูจ้ กั ธาตภุ ายในภายนอกใหเ้ ห็นเป็นแต่สกั ว่าธาตไุ ป หมดทง้ั โลก ไม่ใชส่ ตั วไ์ มใ่ ช่บคุ คล ฯ (ปี 52) พระโยคาวจรสาเรจ็ ปฐมฌาณแลว้ ควรกระทาใหช้ านาญดว้ ยวสที ั้ง ๕ กอ่ นท่จี ะเจรญิ ทตุ ิยฌาณตอ่ ไป เพราะเหตใุ ด? ตอบ เพราะถา้ ไม่ชานาญในปฐมฌาณแลว้ เม่ือเจรญิ ทตุ ยิ ฌาณตอ่ ขึน้ ไปกจ็ ะเส่อื มจากปฐมฌาณและทตุ ยิ ฌาณทงั้ ๒ ฝ่าย ฯ (ปี 52) สตปิ ัฏฐาน ๔ อนั ผปู้ ฏิบตั ธิ รรมอบรมใหบ้ รบิ รู ณเ์ ตม็ ท่แี ลว้ ย่อมเป็นเพ่อื อานสิ งส์ ๕ ประการ อะไรบา้ ง? ตอบ คือ ๑. เพ่ือความบรสิ ทุ ธิ์แห่งสตั วท์ งั้ หลาย ๒. เพ่อื ความขา้ มพน้ โสกะและปรเิ ทวะทง้ั หลาย ๓. เพ่อื ความดบั สญู แหง่ ทกุ ขแ์ ละโทมนสั ๔. เพ่อื บรรลธุ รรมท่คี วรรู้ ๕. เพ่อื การทาใหแ้ จง้ พระนพิ พาน ฯ (ปี 51) จรติ คืออะไร? เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ้ งเจรญิ กมั มฏั ฐานใหเ้ หมาะกบั จรติ ของตน? ตอบ คอื ความประพฤตเิ ป็นปกติของบคุ คล ฯ เพราะกมั มฏั ฐานแตล่ ะอยา่ งก็เป็นท่สี บายของคนแต่ละจรติ ถา้ เจรญิ ไม่เหมาะกบั จรติ กรรมฐานกจ็ ะสาเรจ็ ไดโ้ ดยยาก ฯ (ปี 50) เพราะเหตไุ ร พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ทรงชกั นาใหบ้ าเพ็ญสมาธิ? หวั ใจสมถกมั มฏั ฐานมีอะไรบา้ ง? ตอบ เพราะใจท่ีอบรมดีแลว้ ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชนอ์ นั ใหญ่ เป็นกาลงั สาคญั ในอนั จะใหค้ ิดเหน็ อรรถธรรมและเหตผุ ลอนั สขุ มุ ลมุ่ ลกึ พระผมู้ ี พระภาคเจา้ จงึ ตรสั ไวใ้ นพระบาลวี ่า สมาหโิ ต ยถาภตู ปชานาติ ผมู้ ใี จตงั้ ม่นั แลว้ ย่อมรูต้ ามเป็นจรงิ ฯ มี กายคตาสติ เมตตา พทุ ธานสุ สติ กสณิ จตธุ าตวุ วตั ถานะ ฯ (ปี 49) คนสทั ธาจรติ และคนวติ กจรติ มีลกั ษณะอย่างไร? ควรเจรญิ กมั มฏั ฐานอะไร? ตอบ คนสทั ธาจรติ มีลกั ษณะเชอ่ื งา่ ยขาดเหตผุ ล คนวติ กจรติ มีลกั ษณะคดิ มาก ฟงุ้ ซา่ น ฯ คนสทั ธาจรติ ควรเจรญิ อนสุ สติ ๖ ขา้ งตน้ คนวติ กจรติ ควรเจรญิ อานาปานสติ ฯ (ปี 49) กายคตาสตกิ มั มฏั ฐานกบั อสภุ กมั มฏั ฐาน ตา่ งกนั หรอื เหมอื นกนั อยา่ งไร? จงอธิบาย ตอบ ตา่ งกนั ท่อี ารมณ์ คือ กายคตาสติ พจิ ารณาอาการภายในของตนเป็นอารมณอ์ สภุ พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ ฯ เหมอื นกนั ตรงท่พี จิ ารณาใหเ้ ห็นเป็นปฏิกลู ไมง่ ามเหมอื นกนั และเป็นปฏปิ ักษ์ต่อกามฉนั ทะ อกี ทง้ั เป็นเครือ่ งกาจดั วิปลาส ขอ้ ทเ่ี ห็นว่าสวยงาม ในส่งิ ท่ไี มส่ วยงามไดเ้ หมอื นกนั ฯ (ปี 49) การทาวตั รสวดมนต์ เป็นกจิ วตั รของพระภกิ ษุสามเณรและเป็นภาวนากศุ ล จงแสดงวิธเี จรญิ สมถกมั มฏั ฐานและวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ในบททาวตั รเชา้ มาดพู อเป็นตวั อยา่ ง? ตอบ การสวดนมสั การพระรตั นตรยั กด็ ี สวดสรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรยั กด็ ี เป็นการนอ้ มจติ ระลกึ ถงึ คณุ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ ช่อื วา่ เจรญิ พทุ ธานสุ สติ ธมั มานสุ สติ สงั ฆานสุ สติ จดั เป็นสมถกมั มฏั ฐาน ฯ 22 | P a g e
สวดสงั เวคปรกิ ติ ตนปาฐะว่า ชาตปิ ิ ทกุ ขฺ า ชราปิ ทกุ ขฺ า มรณมฺปิ ทกุ ขฺ ... รูป อนิจจฺ เวทนา อนิจจฺ า... รูป อนตฺตา เวทนา อนตตฺ า... เป็นอาทิ ตงั้ สติมคี วามเพยี ร ใชป้ ัญญาพจิ ารณาเบญจขนั ธ์ ยกขึน้ สู่ สามญั ลกั ษณะ จดั เป็นวิปัสสนากมั มฏั ฐานฯ (ปี 48) บคุ คลผถู้ กู นิวรณ์ ๕ ครอบงา พึงแกด้ ว้ ยกมั มฏั ฐานอะไรบา้ ง? ตอบ ถกู กามฉนั ทะครอบงา พงึ แกด้ ว้ ยอสภุ กมั มฏั ฐานหรอื กายคตาสติ ถกู พยาบาทครอบงา พงึ แกด้ ว้ ยเมตตาพรหมวหิ าร ถกู ถีนมทิ ธะครอบงา พงึ แกด้ ว้ ยอนสุ สตกิ มั มฏั ฐาน ถกู อทุ ธัจจกกุ กจุ จะครอบงา พึงแกด้ ว้ ยกสิณหรือมรณสั สติ ถกู วจิ ิกจิ ฉาครอบงา พึงแกด้ ว้ ยธาตกุ มั มฏั ฐานหรือวิปัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ (ปี 48) ผเู้ จรญิ เมตตาพรหมวหิ าร ทา่ นสอนใหแ้ ผ่ไปในตนก่อนนนั้ มีความมงุ่ หมายอยา่ งไร? ตอบ มคี วามมงุ่ หมายอยา่ งนี้ ใหท้ าตนเป็นพยานวา่ ตนนอี้ ยากไดแ้ ต่ความสขุ เกลยี ดชงั ทกุ ขแ์ ละภยั ต่าง ๆ ฉนั ใด แมส้ ตั วท์ งั้ หลาย กอ็ ยากได้ สขุ เกลยี ดชงั ทกุ ขแ์ ละภยั ตา่ ง ๆ ฉนั นน้ั เม่ือเหน็ เช่นนแี้ ลว้ จติ ก็ปรารถนาจะใหส้ ตั วท์ งั้ สนิ้ มคี วามสขุ ความเจรญิ ดว้ ยเหตนุ ี้ ทา่ นจงึ ใหแ้ ผเ่ มตตา จติ ไปในตนก่อน ฯ (ปี 47) จรติ ของคนในโลกนมี้ กี ่ีประเภท? อะไรบา้ ง? คนสงู อายมุ ีความกงั วลนอนไมห่ ลบั เพราะคดิ ห่วงลกู หลานเป็นตน้ จดั เป็นคนมจี รติ อะไร? กมั มฏั ฐานขอ้ ใดเป็นท่สี บายแก่คนจรติ นนั้ ? ตอบ มี ๖ ประเภท ฯ คอื ราคะจรติ ๑ โทสะจรติ ๑ โมหะจรติ ๑ วิตกจรติ ๑ สทั ธาจรติ ๑ พทุ ธิจรติ ๑ ฯ มวี ิตกจรติ ฯ ขอ้ อานาปานสติ หรอื กสิณ ฯ (ปี 47) ในอนสุ สติ ๑๐ ขอ้ วา่ มรณสั สติ ไมใ่ ชว้ า่ มรณานสุ สติ เพราะเหตไุ ร? ตอบ ท่ไี มใ่ ชอ้ ยา่ งนนั้ กเ็ พราะทา่ นสอนใหผ้ พู้ จิ ารณาเหน็ ปรากฏชดั เป็นปัจจบุ นั ธรรม จะไดเ้ กิดความไม่ประมาท เป็นผแู้ กลว้ กลา้ ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ ความตาย หากจะไปเหน่ยี วรงั้ เอาความตายท่ีลว่ งมาแลว้ ยกขนึ้ พจิ ารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลวั ตายขึน้ กไ็ ด้ ฯ (ปี 46) พระบรมศาสดาทรงชกั นาบคุ คลใหบ้ าเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเหน็ ประโยชนอ์ ยา่ งไร? พระพทุ ธจรรยาแหง่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในการทรงแสดงธรรมเรา้ ใจนน้ั ดว้ ยอาการอยา่ งไรบา้ ง? ตอบ เพราะทรงเห็นวา่ จติ ใจของบคุ คลเม่ือไดอ้ บรมดแี ลว้ ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชนใ์ หญ่ ยอ่ มรูเ้ หน็ ตามเป็นจรงิ ดงั พระบาลวี ่า สมาหโิ ต ยถา ภตู ปชานาติ ผมู้ จี ิตเป็นสมาธิแลว้ ยอ่ มรูต้ ามเป็นจรงิ ฯ ดว้ ยอาการ ๔ คือ ๑. สนทฺ สฺสนา อธิบายใหเ้ ห็นแจ่มแจง้ ใหเ้ ขา้ ใจชดั ๒. สมาทปนา ชวนใหม้ แี กใ่ จสมาทาน คือทาตาม ๓. สมตุ ฺเตชนา ชกั นาใหเ้ กดิ อตุ สาหะอาจหาญเพ่อื จะทา ๔. สมฺปหสนา พยงุ ใหร้ า่ เรงิ ในอนั ทา ฯ (ปี 46) บคุ คลในโลกนี้ เม่ือจดั ตามจรติ มกี ี่ประเภท? อะไรบา้ ง? นิวรณ์ ๕ อย่างไหนสงเคราะหเ์ ขา้ ในจรติ อะไร ? ตอบ มี ๖ ประเภท คอื คนราคจรติ ๑ คนโทสจรติ ๑ คนโมหจรติ ๑ คนสทั ธาจรติ ๑ คนพทุ ธิจรติ ๑ คนวิตกั กจรติ ๑ ฯ กามฉนั ท์ สงเคราะหเ์ ขา้ ในราคจรติ พยาบาท สงเคราะหเ์ ขา้ ในโทสจรติ ถีนมิทธะ สงเคราะหเ์ ขา้ ในโมหจรติ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ สงเคราะหเ์ ขา้ ในวติ กั กจรติ วจิ ิกจิ ฉา สงเคราะหเ์ ขา้ ในโมหจรติ ฯ (ปี 45) ปัจจบุ นั นี้ การเจรญิ กมั มฏั ฐาน เป็นท่นี ยิ มของสาธชุ น ขอทราบวา่ กมั มฏั ฐานนน้ั มีกี่อย่าง? อะไรบา้ ง? ธรรมท่เี ป็นหวั ใจของสมถกมั มฏั ฐาน มอี ะไรบา้ ง? 23 | P a g e
ตอบ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. สมถกมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายสงบใจ ๒. วิปัสสนากมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายเรอื งปัญญา ฯ มกี ายคตาสติ เมตตา พทุ ธานสุ สติ กสณิ และจตธุ าตวุ วตั ถาน ฯ (ปี 45) กายคตาสตกิ มั มฏั ฐาน กบั อสภุ กมั มฏั ฐาน แตกต่างกนั อย่างไร? กสณิ แปลวา่ อะไร และเป็นคปู่ รบั แกน่ วิ รณช์ นิดไหน? ตอบ กายคตาสตกิ มั มฏั ฐาน พิจารณารา่ งกายท่ยี งั มชี วี ติ อย่ใู หเ้ หน็ เป็นของนา่ เกลยี ด ส่วนอสภุ กมั มฏั ฐานพจิ ารณาซากศพ ฯ แปลวา่ วตั ถอุ นั จงู ใจ คือจงู ใจใหเ้ ขา้ ไปผกู อยู่ เป็นช่อื ของกมั มฏั ฐานแปลว่า มวี ตั ถทุ ่ชี ่ือวา่ กสิณเป็นอารมณ์ เป็นค่ปู รบั แกอ่ ทุ ธัจจกกุ กจุ จนวิ รณฯ์ (ปี 45) การเจรญิ มรณสตอิ ยา่ งไร จึงจะแยบคาย? ในนวสวี ถิกาปัพพะ เม่ือภิกษเุ ห็นซากศพชนิดใดชนิดหน่งึ ใน ๙ ชนดิ นน้ั ทา่ นใหภ้ าวนา อยา่ งไร? ตอบ เจรญิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ คือ ๑. มีสติ ระลกึ ถงึ ความตาย ๒. มีญาณ รูว้ า่ ความตายจกั มเี ป็นแน่ ตวั จะตอ้ งตายเป็นแท้ ๓. เกิดสงั เวชสลดใจ เจรญิ อยา่ งนจี้ งึ จะแยบคาย ฯ ท่านใหภ้ าวนาโดยการนอ้ มเขา้ มาสกู่ ายนนี้ ่แี ลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถงึ รา่ งกายอนั นเี้ ลา่ เอว ธมฺโม กม็ อี ยา่ งนเี้ ป็นธรรมดา เอว ภาวี จกั เป็นอยา่ งนี้ เอว อนตโี ต ไม่ล่วงความเป็นอยา่ งนไี้ ปได้ ฯ (ปี 45) อานาปานสติ ในคริ มิ านนทสตู ร กบั ในมหาสติปัฏฐานสตู ร ตา่ งกนั อย่างไร? ผเู้ จรญิ เมตตาเป็นประจายอ่ มไดร้ บั อานสิ งส์ อยา่ งไรบา้ ง? ตอบ ในคริ มิ านนทสตู ร แสดงการกาหนดลมหายใจท่เี ป็นไปพรอ้ มในกาย เวทนา จติ และธรรม สว่ นในมหาสตปิ ัฏฐานสตู ร แสดงแต่เพยี งกายานปุ ัสสนาเทา่ นน้ั ฯ ย่อมไดร้ บั อานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ ๑. หลบั อย่กู ็เป็นสขุ ๗. ไฟไมไ่ หม้ พิษหรอื ศสั ตราวธุ ทง้ั หลายไม่อาจประทษุ รา้ ย ๒. ต่ืนอย่กู ็เป็นสขุ ๘. จติ ย่อมตงั้ ม่นั ไดเ้ รว็ พลนั ๓. ไม่ฝันเหน็ สิ่งลามก ๙. ผวิ พรรณย่อมผ่องใสงดงาม ๔. เป็นท่รี กั ของมนษุ ยท์ ง้ั หลาย ๑๐. ไม่หลงทากาลกริ ยิ า คอื เม่ือจะตายย่อมไดส้ ติ ๕. เป็นท่รี กั ของอมนษุ ยท์ งั้ หลาย ๑๑. เม่ือตายแลว้ แมเ้ กดิ อกี กย็ ่อมเกิดในท่ดี เี ป็นท่เี สวยสขุ ถา้ ไมเ่ สื่อมจากฌาน กไ็ ปเกิดในพรหมโลก ฯ ๖. เทวดาทงั้ หลายยอ่ มรกั ษา (ปี 44) คนโทสจรติ มอี ปุ นิสยั เป็นอย่างไร? จะแกด้ ว้ ยการเจรญิ กมั มฏั ฐานบทใด? การท่ีทา่ นสอนใหเ้ จรญิ เมตตาในตนก่อนแลว้ จงึ แผ่ไปในชน อืน่ นนั้ มีเหตผุ ลอยา่ งไร? ตอบ คนท่มี จี ติ มกั ฉนุ เฉียวโกรธเคืองงา่ ย ๆ สนั ดานหนกั ไปในโทสะ มกั กอ่ ทกุ ขโ์ ทมนสั ใหแ้ ก่ผอู้ ่ืน จดั เป็นคนโทสจรติ มีโทสะเป็นเครอ่ื ง ประพฤติเป็นปกตขิ องตวั ฯ ควรเจรญิ กมั มฏั ฐาน ๘ ประการ คือวณั ณกสณิ ๔ กบั พรหมวิหาร ๔ ฯ มีเหตผุ ลดงั นี้ คือจะไดท้ าตนใหเ้ ป็นพยานวา่ ตนนอี้ ยากไดแ้ ตค่ วามสขุ เกลียดชงั ทกุ ข์ และภยั ตา่ ง ๆ ฉนั ใด สตั วท์ ง้ั หลายอ่นื ๆ กอ็ ยากไดส้ ขุ เกลียดชงั ทกุ ขแ์ ละภยั ต่าง ๆ ฉนั นน้ั เม่ือเหน็ ดงั นแี้ ลว้ จติ ก็ปรารถนาใหส้ ตั วท์ งั้ สนิ้ อ่ืน ๆ มีความสขุ ความเจรญิ ฯ (ปี 44) ผเู้ จรญิ สตปิ ัฏฐานตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิอะไรบา้ ง? ผเู้ จรญิ สตปิ ัฏฐานสมบรู ณเ์ ตม็ ท่แี ลว้ จะไดร้ บั อานิสงสเ์ ชน่ ใด? ตอบ มี ๑. อาตาปี มคี วามเพยี รแผดเผากิเลส ๒. สมปฺ ชาโน มีสมั ปชญั ญะ ๓. สตมิ า มีสติ ฯ ไดร้ บั อานสิ งส์ ๕ ประการดงั นี้ ๑. ไดค้ วามบรสิ ทุ ธิ์ ๒. ไดข้ า้ มพน้ โสกะและปรเิ ทวะ ๓. ไดค้ วามดบั ไปแห่งทกุ ขแ์ ละโทมนสั ๔. ไดบ้ รรลธุ รรมท่ถี กู ๕. ไดท้ าใหแ้ จง้ พระนิพพาน ฯ (ปี 43) สมถภาวนา เป็นอบุ ายสงบระงบั จติ อยา่ งไร? คนท่มี จี ติ มกั ลืมหลง สตไิ ม่ม่นั คง ควรเจรญิ กมั มฏั ฐานบทใด? ตอบ สมถภาวนา เป็นอบุ ายเคร่ืองสารวมปิดกนั้ นวี รณปู กเิ ลส มิใหเ้ กดิ ครอบงา จติ สนั ดานได้ ดงั บคุ คลปิดทานบกั้นนา้ ไวม้ ใิ หไ้ หลไปได้ ฉะนน้ั และเป็นอบุ ายขม่ ข่ีสะกดจติ ไวม้ ิใหด้ ิน้ รนฟงุ้ ซา่ นได้ ดงั นายสารถีฝึกมา้ ใหเ้ รยี บรอ้ ย ควรเป็นราชพาหนะไดฉ้ ะนนั้ ฯ ควรเจรญิ อานาปานสั สติ เพราะอานาปานสั สตกิ ัมมฏั ฐานนเี้ ป็นท่สี บายของคนท่เี ป็นโมหจรติ ฯ 24 | P a g e
(ปี 43) ผจู้ ะเจรญิ กายคตาสตกิ มั มฏั ฐานพึงกาหนดอะไร? เพราะเหตใุ ด ตจปัญจกกมั มฏั ฐาน ท่านจึงเรยี กวา่ มลู กมั มฏั ฐาน? ตอบ พงึ กาหนดพจิ ารณากายเป็นท่ปี ระชมุ แห่งส่วนนา่ เกลียดขา้ งบนตงั้ แตพ่ นื้ เทา้ ขนึ้ มา ขา้ งลา่ งตงั้ แต่ปลายผมลงไป มีหนงั หมุ้ อยโู่ ดยรอบ ให้ เหน็ ว่าเตม็ ไปดว้ ยของไม่สะอาดมีประการตา่ ง ๆ ฯ ท่เี รยี กวา่ มลู กมั มฏั ฐานนน้ั เพราะเป็นกมั มฏั ฐานเดมิ ท่กี ลุ บตุ รผมู้ าบรรพชา ย่อมไดร้ บั สอน กมั มฏั ฐานนไี้ วก้ อ่ นจากพระอปุ ัชฌาย์ เหมือนดงั ไดร้ บั มอบศสั ตราวธุ ไวส้ าหรบั ตอ่ สกู้ บั ขา้ ศกึ คือกามฉนั ท์ อนั จะทาอนั ตรายแกพ่ รหมจรรย์ ฯ (ปี 43) เจรญิ มรณสั สตอิ ยา่ งไรจงึ จะแยบคาย? อะไรเป็นลกั ษณะของวิปัสสนาภาวนา? ตอบ เจรญิ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๓ คือ สติ ระลกึ ถึงความตาย ๑ ญาณ รูว้ ่าความตายจกั มีแกต่ น ๑ เกิดสงั เวชสลดใจ ๑ เจรญิ อย่างนี้ จงึ จะแยบ คาย ฯ ความกาหนดรูว้ ่า สงั ขารเป็นของไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ และเป็นอนตั ตา เป็นลกั ษณะของวปิ ัสสนาภาวนา ฯ (ปี 43) สมถะ กบั วปิ ัสสนา ใหผ้ ลต่างกนั อยา่ งไร? เม่ือจะเจรญิ กมั มฏั ฐานพงึ ปฏิบตั ิอยา่ งไร? ตอบ ใหผ้ ลตา่ งกนั ดงั นี้ สมถะ ใหผ้ ลอยา่ งตา่ ทาใหร้ ะงบั นวิ รณบ์ างอยา่ งได้ อย่างสงู ทาใหเ้ ขา้ ถงึ ฌานต่าง ๆ ได้ ส่วนวิปัสสนา ใหผ้ ลอย่างต่า ทาใหไ้ ดป้ ัญญาเห็นสจั จธรรม อยา่ งสงู ทาใหไ้ ดบ้ รรลอุ รยิ ผล พน้ จากสงั สารทกุ ข์ ฯ พงึ ปฏิบตั อิ ย่างนี้ ในชนั้ ตน้ พงึ ศกึ ษาใหร้ ูว้ า่ กมั มฏั ฐานชนดิ ไหนชน้ั ใด ในกมั มฏั ฐานนน้ั ๆ มีความมงุ่ หมายเหมอื นกนั หรือต่างกนั อย่างไร ในท่นี ี้ ควรศกึ ษาใหร้ ูก้ มั มฏั ฐาน ๒ อย่างคือ ๑. สมถกมั มฏั ฐาน ๒. วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ฯ พุทธคุณกถา (นวรหคณุ แปลวา่ คุณของพระอรหนั ต์ ๙ ประการ) (ปี 63, 59) ในพระพทุ ธคณุ ๙ ประการนน้ั ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตไุ ร ? ตอบ พระพทุ ธคณุ ส่วนอตั ตสมบตั ิ เป็นเหตุ สว่ นปรหิตปฏิบตั ิ เป็นผล ฯ เพราะทรงบรบิ รู ณด์ ว้ ยพระพทุ ธคณุ ส่วนอตั ตสมบตั ิกอ่ นแลว้ จึงทรง บาเพ็ญพทุ ธกจิ ใหส้ าเรจ็ ประโยชนแ์ กเ่ วไนย ฯ (ปี 56) คณุ ของพระธรรมส่วนปรยิ ตั ิ ปฏิบตั ิ และปฏเิ วธ โดยย่อว่าอย่างไร? จงอธิบาย ตอบ คณุ ของปรยิ ตั ธิ รรม คือใหร้ ูว้ ธิ ีบาเพญ็ ศีล สมาธิ ปัญญา คณุ ของปฏปิ ัตติธรรม คือทากาย วาจา ใจ ใหบ้ รสิ ทุ ธิจ์ นบรรลมุ รรค ผล นิพพาน คณุ ของปฏิเวธธรรม คอื ละกเิ ลสเป็นสมจุ เฉทปหาน บรรลถุ ึงความสขุ อยา่ งยิง่ ฯ (ปี 55) จงแสดงพระพทุ ธคณุ ๙ โดยอตั ตสมบตั ิและปรหิตปฏิบตั ิ พอไดใ้ จความ ตอบ พระพทุ ธคณุ คอื อรห สมฺมาสมฺพทุ โฺ ธ วชิ ฺชาจรณสมฺปนโฺ น สคุ โต โลกวทิ ู เป็นพระพทุ ธคณุ สว่ นอตั ตสมบตั ิ พระพทุ ธคณุ คือ อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ สตถฺ า เทวมนสุ สฺ าน เป็นพระพทุ ธคณุ สว่ นปรหติ ปฏบิ ตั ิ พระพทุ ธคณุ คือ พทุ ฺโธ ภควา เป็นพระพทุ ธคณุ ทง้ั อตั ตสมบตั ิและปรหิตปฏิบตั ิ ฯ (ปี 50) จงจดั นวหรคณุ แต่ละอย่างลงในพระปัญญาคณุ และพระกรุณาคณุ ? ตอบ บท อรห สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ วิชชฺ าจรณสมฺปนโฺ น สคุ โต โลกวิทู เป็นพระปัญญาคณุ บท อนตุ ตฺ โร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสาน เป็นพระกรุณาคณุ บท พทุ โฺ ธ ภควา เป็นพระปัญญาคณุ และพระกรุณาคณุ ทงั้ สอง (สคุ โต ในท่บี างแห่ง จดั เป็นทงั้ พระปัญญาคุณทงั้ พระกรุณาคณุ ) ฯ (ปี 48) พระพทุ ธคณุ บทว่า “สตถฺ า เทวมนสุ สฺ าน” เม่ือกลา่ วถงึ พทุ ธจรรยาในสว่ นท่ที รงส่งั สอนมหาชน ประมวลลงเป็นขอ้ ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง? ตอบ ประมวลลงไดอ้ ยา่ งนี้ ๑. ทรงพระกรุณาหวงั จะใหผ้ ทู้ ่ที รงส่งั สอน ไดค้ วามรูอ้ นั จะใหส้ าเรจ็ ประโยชน์ ๒. ทรงม่งุ ความจรงิ กบั ประโยชนเ์ ป็นท่ตี งั้ ๓. ทรงทากบั ตรสั เป็นอย่างเดยี วกนั ๔. ทรงฉลาดในวธิ ีส่งั สอน ฯ 25 | P a g e
(ปี 47) พระพทุ ธคณุ บทวา่ สคุ โต นน้ั เป็นพระคณุ ส่วนอตั ตสมบตั ิ และสว่ นปรหิตปฏบิ ตั อิ ย่างไร? จงอธิบาย ตอบ พระคณุ สว่ นอตั ตสมบตั ิ คอื เสด็จออกผนวชไม่ย่อทอ้ เสดจ็ ดาเนนิ ไปตามอฏั ฐงั คกิ มรรคเป็นมชั ฌมิ าปฏปิ ทา มิไดท้ รงกลบั คนื มาสู่ อานาจกเิ ลสท่ีพระองคท์ รงละไดแ้ ลว้ จนบรรลอุ นตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณ เสดจ็ ไปในทใ่ี ด ก็ทรงไมม่ ีอนั ตรายใดจกั เกดิ แกพ่ ระองคไ์ ด้ เสดจ็ ไป กลบั ไดโ้ ดยสวสั ดี ฯ พระคณุ สว่ นปรหติ ปฏิบตั ิ คอื เสด็จจารกิ ไปในสถานท่ตี ่างๆ เทศนาโปรดมหาชนใหไ้ ดด้ วงตาเห็นธรรม ใหไ้ ดร้ บั ประโยชนท์ งั้ ปัจจบุ นั อนาคต และประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ คอื พระนพิ พาน อนึ่ง ทรงมพี ระวาจาดี คอื ทรงกลา่ วแต่คาท่จี รงิ ท่แี ท้ ประกอบดว้ ยประโยชนแ์ กบ่ คุ คลท่คี วรกลา่ ว เสดจ็ ไประงบั อนั ตรายดว้ ยความอนเุ คราะหเ์ กือ้ กลู แก่ปวงชน แมเ้ สด็จดบั ขนั ธปรนิ พิ พานไปแลว้ ทรงฝากรอยจารกึ คอื พระคณุ ความดใี นโลก ดจุ ฝน ตกลงยงั พืชใหเ้ ผลด็ ผล เป็นประโยชนแ์ กค่ นและสตั วผ์ พู้ ึ่งแผ่นดนิ ฯ (ปี 46) ปรยิ ตั ธิ รรม หมายถงึ อะไร? ท่ไี ดช้ ่ืออยา่ งนนั้ เพราะเหตไุ ร? ธรรมทง้ั ปรยิ ตั ิ ปฏิบตั ิ และปฏเิ วธ มีคณุ โดยย่ออย่างไร? ตอบ หมายถงึ พทุ ธวจนะทงั้ สนิ้ ฯ ท่ไี ดช้ ่ือวา่ ปรยิ ตั ิธรรม เพราะเป็นธรรมตอ้ งเล่าเรยี นศกึ ษาใหร้ ูร้ อบคอบดว้ ยดี ฯ มีคณุ โดยยอ่ อยา่ งนี้ ปรยิ ตั ิธรรม มีคณุ คือ ใหร้ ูว้ ธิ ีบาเพญ็ ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏบิ ตั ิธรรม มีคณุ คือ ทากาย วาจา ใจ ใหบ้ รสิ ทุ ธิ์จนบรรลมุ รรค ผล นพิ พาน ปฏิเวธธรรม คอื มรรค ผล นิพพาน มรรคผลนนั้ มคี ณุ คอื ละกิเลสเป็นสมจุ เฉทปหาน ส่วนนพิ พาน มคี ณุ คือ ดบั เพลงิ กเิ ลส และกองทกุ ขไ์ ดท้ ง้ั หมดฯ (ปี 45) จงแสดงพระพทุ ธคณุ ๙ โดยอตั ตสมบตั แิ ละปรหติ ปฏิบตั ิ พอไดใ้ จความ? ในพระพทุ ธคณุ ๙ ประการนน้ั สว่ นไหนเป็นเหตุ ส่วนไหน เป็นผล? เพราะเหตไุ ร? ตอบ พระพทุ ธคณุ ตงั้ แต่ อรห จนถึง โลกวทิ ู เป็นพระพทุ ธคุณสว่ นอตั ตสมบตั ิ พระพทุ ธคณุ คอื อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสาน เป็นพระพทุ ธคณุ ส่วนปรหิตปฏบิ ตั ิ พระพทุ ธคณุ คอื พทุ ฺโธ ภควา เป็นพระพทุ ธคณุ ทง้ั อตั ตสมบตั แิ ละปรหติ ปฏบิ ตั ิ ฯ พระพทุ ธคณุ ส่วนอตั ตสมบตั ิ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบตั ิ เป็นผล เพราะทรงบรบิ รู ณด์ ว้ ยพระพทุ ธคณุ สว่ นอตั ตสมบตั กิ อ่ นแลว้ จึงทรงบาเพญ็ พทุ ธกิจใหส้ าเรจ็ ประโยชนแ์ กเ่ วไนย ฯ วิปัสสนากมั มัฏฐาน หลักการเจริญวิปัสสนา ➢ การเจรญิ วิปัสสนามขี นั ธ์ ๕ เป็ นอารมณ์ ในพหลุ านุสาสนที สี่ วดในเวลาทาวตั รเช้า ตรสั ส่งั สอนแตโ่ ดยอนจิ จลกั ษณะอนตั ตลกั ษณะ หาไดต้ รสั ทกุ ขลกั ษณะไม่ แมบ้ ่มิ ไดก้ ล่าว ก็สาเรจ็ ดว้ ย อนจิ จลกั ษณะแลว้ เพราะเหตลุ กั ษณะทงั้ ๓ นี้ เป็นธรรมธาตุ ธรรมนยิ าม ธรรมฐิติ ความตงั้ อยู่ แหง่ ธรรมท่ี คงอย่บู มิ ไดย้ กั ยา้ ยประการหนงึ่ ยทนิจจฺ สงิ่ ใดไม่เทย่ี ง ต ทุกขฺ ส่ิงนนั้ เป็นทกุ ข์ ย ทกุ ฺข ตทนตตฺ ร ส่ิงใดเป็นทกุ ข์ สิ่งนน้ั เป็น อนตั ตา สิ่งใดเป็นอนตั ตาแลว้ กไ็ ม่ควรท่ี จะถือม่นั ซง่ึ สง่ิ นนั้ ดว้ ยตณั หามานะทฏิ ฐิอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เลย ตสฺมา เหตนุ นั้ พหลุ านสุ า สโนวาทนี้ จึงไดล้ กั ษณะครบทง้ั ๓ คอื อนิจฺ จตา ความเป็นของไมเ่ ท่ยี ง ทกุ ขฺ ตา ความเป็นทกุ ข์ อนตตฺ ตา ความเป็นอนตั ตา. ➢ ธรรมเป็นภมู ิเป็นอารมณข์ องวปิ ัสสนานนั้ ไดแ้ ก่ ๑.สังขาร เป็นอารมณ์ ๒.ธรรม เป็นอารมณ์ ๓.ขนั ธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ๔.ขนั ธ์ ๕ พร้อมทัง้ เหตุและปัจจัย เป็นอารมณ์ 26 | P a g e
➢ รากเหง้าป็ นเหตเุ กดิ ขนึ้ ตง้ั อยขู่ องวปิ ัสสนา (ข้นั ตอนกอ่ นการปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนา) ๑. สีลวสิ ุทธิ ความบรสิ ทุ ธิข์ องศลี ๒. จิตตวสิ ุทธิ ความบรสิ ทุ ธิ์ของจติ คืออปุ จารสมาธิและอปั ปนาสมาธิ วิสทุ ธิทงั้ ๒ นี้ เป็นรากเหงา้ ป็นเหตเุ กิดขนึ้ ตงั้ อย่ขู องวปิ ัสสนานน้ั . ผทู้ ่จี ะเจรญิ วิปัสสนานนั้ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หเ้ ป็นผมู้ ศี ีลบรสิ ุทธ์ เป็นผมู้ ีจติ บรสิ ทุ ธิ์ ดว้ ยสมาธิเสยี กอ่ น จงึ ควรจะเจรญิ วิปัสสนานน้ั ไดเ้ ลย เพราะศลี และสมาธิเป็นเหตแุ รงกลา้ ใหเ้ กิดวิปัสสนานน้ั . ➢ วสิ ุทธิทงั้ ๕ นีเ้ ป็ นตวั วิปัสสนา (ขนั้ ตอนการปฏบิ ัตวิ ปิ ัสสนา) ๑. กาหนดรูเ้ หน็ นามและรูปท่มี ีจรงิ เป็นจรงิ ตามลกั ษณะเคร่อื งหมายแจง้ ชดั ไมห่ ลงในสมมติ ว่าสตั ว์ ว่าบคุ คล ว่าตวั ตน ดงั นี้ ช่อื วา่ ทฏิ ฐวิ สิ ุทธ.ิ ๒. กาหนดรูจ้ รงิ เห็นซ่งึ นามและรูปทง้ั เหตทุ งั้ ปัจจยั ขา้ มล่วงกงั ขาในกาลทงั้ ๓ เสยี ได้ ไม่สงสยั วา่ เราจตุ ิมาแตไ่ หน เราเป็นอะไร เราจะไปเกิดท่ี ไหน เทวดามีหรอื ไมม่ ีเป็นตน้ ดงั นี้ ช่ือวา่ กังขาวิตรณวสิ ุทธิ. ๓. ความรูจ้ รงิ เห็นจรงิ วา่ น่เี ป็นตวั วปิ ัสสนาเป็นทางมรรคผล น่เี ป็นอปุ กเิ ลส มิใช่ทางมรรคผล ดงั นี้ ชอ่ื ว่ามคั คามัคคญาณทสั สนาวสิ ุทธิ. ๔. วิปัสสนาญาณทงั้ ๙ มอี ทุ ยพั พญาณเป็นตน้ มีอนโุ ลมญาณเป็นทส่ี ดุ ช่ือวา่ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ. ๕. อรยิ มรรคทง้ั ๔ ช่ือวา่ ญาณทัสสนวิสทุ ธิ. ➢ อรกสตู ร ในคมั ภีรส์ ตั ตกงั คตุ รวา่ ภตู ปพุ ฺพ ภิกขฺ เว อรโก นาม สตถฺ า อโหสิ ติตถฺ กโร กาเมสุ วตี ราโค เป็นตน้ มคี วามเป็นกระแสพระ พทุ ธภาษิตวา่ ดกู อ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย เรื่องนีไ้ ดเ้ คยมมี าแลว้ มีศาสดาเจา้ ลทั ธิผหู้ น่งึ ช่ืออรกะ เป็นคนปราศจากกาหนดั ในกามคณุ และ สาวกของอรกศาสดานนั้ มีหลายรอ้ ย อรกศาสดานนั้ แสดงธรรมแก่พวกสาวกวา่ ดงั นี้ ชวี ติ ของมนษุ ยท์ ้ังหลายนอ้ ยนดิ เดียว พลนั จะ ดบั มีทกุ ขม์ าก มคี วามคบั แคน้ มาก ควรรูส้ กึ ดว้ ยปัญญา ควรบาเพญ็ กศุ ล ควรประพฤตพิ รหมจรรย์ เกิดแลว้ จะไมต่ ายไมม่ ี. ตอ่ นใี้ น พระสตู รแสดงอปุ มาเป็นหลายขอ้ จะถวายวสิ ชั นาพรอ้ มทง้ั อรรถาธิบายเป็นลาดบั ไป ขอ้ ๑ วา่ ชวี ิตของมนุษยท์ ัง้ หลายเหมือนหยาดนา้ คา้ ง ธรรมดาวา่ หยาดนา้ คา้ งท่ปี ลายใบหญา้ เม่ือพระอาทิตยอ์ ทุ ยั ตอ้ งไอรอ้ น ก็พลนั จะ หายไป ไม่ตงั้ อย่นู านฉนั ใด ชวี ติ ของมนษุ ยท์ ง้ั หลายนเี้ ล่า เม่ือชาตมิ แี ลว้ ก็มชี รา พยาธิ มรณะ คอยรุมเผาไม่ใหเ้ ป็นไปนาน พลนั สาบสญู อนั ตรธานเสียแต่ไมท่ นั ไร เกิดแลว้ กแ็ กเ่ ฒา่ เจ็บตาย ในช่วั ยงั ไม่ทนั ถึงรอ้ ยปี ขอ้ นกี้ อ็ ปุ ไมยฉนั นนั้ . ข้อ ๒ ว่า เหมอื นตอ่ มนา้ (เหมอื นฟองนา้ ) ธรรมดาวา่ ต่อมนา้ อนั ตงั้ ขนึ้ เพราะฝนเมด็ โตตกกระทบพนื้ โดยกาลงั แรง ย่อมพลนั จะแตกไปไม่ ตงั้ อย่นู านฉนั ใด ชวี ิตตนเกดิ ขึน้ เพราะความประชมุ แหง่ เหตุ เม่ือเหตสุ ลายจากกนั แลว้ ก็พลันท่จี ะดบั ฉนั นนั้ . ข้อ ๓ ว่า เหมอื นรอยไมข้ ดี ลงในนา้ ธรรมดาวา่ นา้ เป็นของไม่แยกจากกนั เม่ือบคุ คลเอาไมข้ ดี ใหแ้ ยกจากกนั พอไมม่ ีไมค้ ่นั กก็ ลบั เล่ือน ไหลเขา้ หากนั อีน รอยปรากฏในช่วั เวลาไมข้ ดี กาลงั ลงฉนั ใด ชวี ิตนยี้ งั เป็นไปไดก้ เ็ พราะไดป้ ัจจยั อดุ หนนุ หมดปัจจยั แลว้ กห็ มดกนั สมดว้ ยพระ พทุ ธภาษิตวา่ อายุ อสุ มฺ า จ วญิ ฺญาณ ยทา กาย ชหนตฺ ิม อปวฏิ ฺโฐ ตทา เสติ เอตถฺ า สาโร น วิชชฺ ต.ิ ความวา่ เม่ือใด อายุ ไออ่นุ และวิญญาณ ละกายนเี้ สยี เม่อื นน้ั กายนยี้ อ่ มนอนทอดหาแกน่ สารมไิ ด้ ขอ้ นกี้ ม็ อี ปุ ไมยฉนั น้ัน. ขอ้ ๔ วา่ เหมือนลาธารอนั ไหลมาจากภเู ขา ธรรมดาวา่ กระแสนา้ ในลาธารไหลไปไกล กาลงั เชย่ี ว นาเอาสิ่งท่อี าจนาไดไ้ ปไม่มีหยดุ สกั ขณะ มแี ต่จะไหลไปอย่างเดียวฉนั ใด วนั คนื ลว่ งไป ๆ ก็นาเอาชีวิตลว่ งตามไปดว้ ย ไม่มพี กั สกั ขณะ มีแต่จะรุกไปส่วนเดยี วฉนั นน้ั . 27 | P a g e
ขอ้ ๕ วา่ เหมอื นกอ้ นเขฬะ(เหมือนกอ้ นเสลด) ธรรมดาวา่ บรุ ุษมกี าลงั จะถม่ กอ้ นเขฬะท่ปี ลายสนิ้ ไดโ้ ดยไมย่ ากฉนั ใด ชวี ิตนกี้ เ็ ป็นของจะ ดบั ไดง้ า่ ยฉนั นน้ั . ข้อ ๖ ว่า เหมอื นชนิ้ เนอื้ นาบไฟ ธรรมดาวา่ ชิน้ เนอื้ ท่บี คุ คลเอาลงในกะทะเหล็กอนั รอ้ นตลอดวนั ยงั คา่ ยอ่ มจะพลนั ไหม้ ไมต่ งั้ อยนู่ านฉนั ใด ชวี ติ กต็ อ้ งเพลงิ กเิ ลสและเพลิงทกุ ขเ์ ผาผลาญใหเ้ หยี้ มเกรียมไมท่ นอย่นู านฉนั นน้ั . ขอ้ ๗ วา่ เหมอื นโคทเี่ ขาจะฆ่า ตอ้ งนาไปส่ทู ่ฆี า่ ยกเทา้ เดนิ ไปเท่าใด ความตายกใ็ กลเ้ ขา้ มาเทา่ น้ัน ชีวติ นวี้ นั คนื ล่วงไปเทา่ ใด กใ็ กลค้ วาม ตายเขา้ ไปเทา่ นน้ั เหมอื นกนั . ➢ อนัตตลกั ขณสูตร ทรงยก ขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เป็นอนตั ตา ในตอนทา้ ยของพระสตู ร ทรงแสดง อานิสงสแ์ หง่ วปิ ัสสนาวา่ เอว ปสฺส ภิกขฺ เว สตุ วา อรยิ สาวโก เป็นตน้ ความวา่ ดกู อ่ นภิกษุทง้ั หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เม่ือเหน็ อยา่ งนี้ ย่อมเบอื่ หนา่ ย ยอ่ มฟอกจิตใหห้ มดจด เพราะการฟอกจิตใหห้ มดจดได้ จติ นน้ั ก็พน้ จากอาสวะทง้ั ปวง เม่ือจิตพน้ พเิ ศษแลว้ ก็ มญี าณหย่งั รูว้ า่ พน้ แลว้ และเธอรูป้ ระจกั ษช์ ดั วา่ ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยค์ ือกิจพระศาสนาไดท้ าเสร็จแลว้ กิจอ่ืนท่จี ะตอ้ งทาเช่นนี้ ไม่มีอีก ➢ วปิ ลาส (บางทีกใ็ ช้ วปิ ัลลาส กม็ ี) วปิ ลาสดว้ ยอานาจจติ และเจตสกิ ๓ ประการ คือ ๑. สญั ญาวปิ ลาส วปิ ลาสดว้ ยอานาจสาคญั ผดิ ๒. จิตตวปิ ลาส วิปลาสดว้ ยอานาจคิดผดิ ๓. ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส วปิ ลาสดว้ ยอานาจเหน็ ผิด วปิ ลาสกล่าวดว้ ยสามารถวตั ถทุ ตี่ ง้ั เป็ น(หรอื ตามเร่อื งทยี่ ดึ ถอื ) ๔ ประการ คือ ๑. วิปลาสในของท่ไี มเ่ ท่ยี งว่าเท่ยี ง ๒. วิปลาสในของท่เี ป็นทกุ ขว์ า่ เป็นสขุ ๓. วิปลาสในของท่ไี มใ่ ชต่ นวา่ เป็นตน ๔. วปิ ลาสในของท่ไี ม่งามวา่ งาม ➢ ฐานะ ๖ ๑. อนิจจะ ของไมเ่ ท่ยี ง ๒. อนิจจลกั ขณะ เครือ่ งหมายท่ีจะใหก้ าหนดรูว้ า่ ไม่เท่ยี ง ๓. ทุกขะ ของสตั วท์ นไดย้ าก ๔. ทุกขลักขณะ เครื่องหมายท่จี ะใหก้ าหนดรูว้ ่าเป็นทกุ ข์ ๕. อนัตตา สง่ิ สภาพไมใ่ ช่ตวั ตน ๖. อนัตตลกั ขณะ เครือ่ งหมายท่จี ะกาหนดรูว้ า่ เป็นอนตั ตา (ปี 63, 61) วิปัลลาสคอื อะไร ? วตั ถทุ ่วี ิปัลลาส มอี ะไรบา้ ง ? ตอบ คอื กริ ยิ าท่ถี ือเอาโดยอาการอนั ผิดจากความจรงิ ฯ มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. วิปัลลาสในของท่ไี มเ่ ท่ยี งวา่ เท่ยี ง ๒. วิปัลลาสในของท่เี ป็นทกุ ขว์ ่าเป็นสขุ ๓. วิปัลลาสในของท่ไี มใ่ ช่ตนว่าเป็นตน 28 | P a g e
๔. วปิ ัลลาสในของท่ไี มง่ ามว่างาม ฯ (ปี 60) ทกุ ขลกั ขณะ และ ทกุ ขานปุ ัสสนา เป็นอยา่ งเดยี วกนั หรือต่างกนั ? จงอธิบาย ตอบ ตา่ งกนั คือ ทกุ ขลักขณะ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะท่เี ป็นทกุ ขแ์ ห่งสงั ขาร เพราะถกู บบี คนั้ จากปัจจยั ต่าง ๆ ทกุ ขานุปัสสนา ไดแ้ ก่ ปัญญาพจิ ารณาเหน็ สงั ขารวา่ เป็นทกุ ข์ ฯ (ปี 59) ในวิสทุ ธิ ๗ วิสทุ ธิขอ้ ไหนบา้ ง เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ขนึ้ และตงั้ อยแู่ ห่งวปิ ัสสนา? เพราะเหตไุ ร? จงอธิบาย ตอบ ขอ้ สีลวิสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธิ์แหง่ ศลี และจิตตวสิ ทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธิแ์ ห่งจติ เป็นเหตใุ หเ้ กิดขนึ้ และตงั้ อย่แู หง่ วปิ ัสสนา ฯ เพราะผมู้ ศี ลี ไม่บรสิ ทุ ธิ์ จติ ย่อมไม่สงบ เม่อื จติ ไม่สงบกย็ ากท่จี ะเจรญิ วปิ ัสสนา ฯ (ปี 58) ท่านว่า ผทู้ ่จี ะเจรญิ วิปัสสนาปัญญา พงึ รูฐ้ านะ ๖ ก่อน ฐานะ ๖ นนั้ มีอะไรบา้ ง ? ตอบ มี ๑. อนจิ จะ ของไม่เทย่ี ง ๒. อนิจจลกั ขณะ เครอ่ื งหมายท่จี ะใหก้ าหนดรูว้ ่าไมเ่ ท่ยี ง ๓. ทกุ ขะ ของสตั วท์ นไดย้ าก ๔. ทกุ ขลกั ขณะ เครื่องหมายท่ีจะใหก้ าหนดรูว้ า่ เป็นทกุ ข์ ๕. อนตั ตา ส่ิงสภาพไมใ่ ช่ตวั ตน ๖. อนตั ตลกั ขณะ เคร่อื งหมายท่จี ะกาหนดรูว้ า่ เป็นอนตั ตา ฯ (ปี 57) ปัจจบุ นั มกี ารเจรญิ วิปัสสนากมั มฏั ฐานกนั มาก อยากทราบวา่ อารมณข์ องวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน คอื อะไร ? ตอบ คือสงั ขารทง้ั หลาย ทง้ั ท่เี ป็นอปุ าทนิ นกะและอนปุ าทินนกะ (หรอื ธรรมในวิปัสสนาภมู ิ คอื ขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นตน้ ) ฯ (ปี 56) ในอรกสตู รกลา่ วไวว้ า่ ชวี ติ ของมนษุ ยท์ ง้ั หลายเปรียบเหมอื นชนิ้ เนอื้ นาบไฟ มีอธิบายอยา่ งไร? และท่กี ลา่ วไวเ้ ช่นนนั้ เพ่อื ประโยชน์ อะไร? ตอบ มีอธิบายวา่ ธรรมดาวา่ ชิน้ เนอื้ ท่บี คุ คลเอาลงในกะทะเหล็กอนั รอ้ นตลอดวนั ยงั ค่า ยอ่ มจะพลนั ไหม้ ไม่ตงั้ อยนู่ านฉนั ใด ชวี ิตกถ็ กู เพลงิ กิเลสและเพลงิ ทกุ ขเ์ ผาผลาญใหเ้ หยี้ มเกรยี มไม่ทนอยนู่ านฉนั นนั้ ฯ มปี ระโยชน์ คือเป็นเครอ่ื งเตือนใจใหร้ ูส้ กึ ดว้ ยปัญญา ทาใหไ้ ม่ ประมาทในชวี ติ เรง่ ส่งั สมความดี ฯ (ปี 56) วปิ ลาส คืออะไร? จาแนกโดยวตั ถเุ ป็นท่ตี งั้ มีกี่อย่าง? อะไรบา้ ง? ตอบ คอื กริ ยิ าท่ถี ือเอาโดยอาการวิปรติ ผิดจากความจรงิ ฯ มี ๔ อย่าง ฯ คอื ความสาคญั คดิ เห็นในสงิ่ ท่ีไมเ่ ท่ยี งวา่ เท่ยี ง ความสาคญั คิดเห็นในส่งิ ท่เี ป็นทกุ ขว์ า่ เป็นสขุ ความสาคญั คดิ เห็นในส่ิงท่ไี มใ่ ชต่ นวา่ เป็นตน และ ความสาคญั คดิ เหน็ ในส่งิ ท่ไี มง่ ามว่างาม ฯ (ปี 55) ปัญญารูเ้ หน็ อยา่ งไร ช่ือว่าวิปัสสนาปัญญา? ตอบ ปัญญาอนั เหน็ ตามเป็นจรงิ คอื กาหนดรูส้ งั ขารโดยความเป็นของไม่เท่ยี ง ๑ โดยความเป็นทกุ ข์ ๑ โดยความเป็นอนตั ตา ๑ ถอนความถือ ม่นั ดว้ ยอานาจตณั หา มานะ ทฏิ ฐิเสยี ได้ ช่ือวา่ วปิ ัสสนาปัญญา ฯ (ปี 54) ในอรกสตู ร กลา่ วไวว้ า่ ชวี ิตของมนษุ ยท์ ง้ั หลายเปรียบเหมือนหยาดนา้ คา้ ง ดงั นี้ มอี ธิบายอย่างไร? และท่กี ล่าวไวเ้ ช่นนนั้ มีประโยชนอ์ ยา่ งไร? ตอบ มีอธิบายวา่ ธรรมดาหยาดนา้ คา้ งท่จี บั อย่ตู ามยอดหญา้ เม่อื ถกู แสงอาทิตยใ์ นเวลาเชา้ ก็พลนั จะเหือดแหง้ หายไปฉนั ใด ชวี ติ ของมนษุ ย์ ทงั้ หลายกฉ็ นั นน้ั มีความเกดิ แลว้ กม็ ีความแก่ ความเจ็บ ความตาย คอยเบยี ดเบยี น ทาใหด้ ารงอยไู่ ดไ้ ม่นาน ไม่ถึงรอ้ ยปีกจ็ ะหมดไป ฯ เพ่อื เป็นเครอ่ื งเตอื นใจใหร้ ูส้ กึ ดว้ ยปัญญา ทาใหไ้ มป่ ระมาทในชวี ิต เรง่ ส่งั สมความดี ฯ 29 | P a g e
(ปี 54) ในอนตั ตลกั ขณสตู ร พระศาสดาทรงยกธรรมอะไรขนึ้ แสดงวา่ เป็นอนตั ตา? และในตอนทา้ ยของพระสตู ร ทรงแสดงอานสิ งสแ์ ห่ง วปิ ัสสนาว่าอย่างไร? ตอบ ทรงยก ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ขนึ้ แสดง ฯ ทรงแสดงไวว้ ่า เอว ปสสฺ ภิกฺขเว สตุ วา อรยิ สาวโก เป็นตน้ ความวา่ ดกู ่อนภิกษุทงั้ หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เม่ือเห็นอยา่ งนี้ ยอ่ มเบอ่ื หน่าย ย่อมฟอกจิตใหห้ มดจด เพราะการฟอกจิตใหห้ มดจดได้ จติ นน้ั ก็พน้ จากอาสวะทง้ั ปวง เม่ือจติ พน้ พิเศษแลว้ กม็ ญี าณหย่งั รูว้ า่ พน้ แลว้ และเธอรูป้ ระจกั ษ์ชดั วา่ ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยค์ ือกจิ พระศาสนาไดท้ าเสรจ็ แลว้ กิจอื่นทจ่ี ะตอ้ งทาเชน่ นี้ ไม่มอี กี ฯ (ปี 53) ปัญหาวา่ ตายแลว้ เกดิ หรอื ตายแลว้ สญู จะหมดไปได้ เม่ือเจรญิ วิปัสสนาไดช้ นั้ ไหนแลว้ ? เพราะไดพ้ จิ ารณาเห็นอย่างไร? ตอบ ชน้ั กงั ขาวติ รณวิสทุ ธิ ฯ เพราะไดพ้ จิ ารณากาหนดรูจ้ รงิ เห็นจรงิ ซง่ึ นามรูปทงั้ เหตทุ ง้ั ปัจจยั ขา้ มล่วงกงั ขาในกาลทงั้ ๓ เสียได้ ไม่สงสยั วา่ เราจตุ ิมาจากไหน เราเป็นอะไร เราจะไปเกดิ ท่ไี หน เป็นตน้ ฯ (ปี 52) ในพหลุ านสุ าสนที ่สี วดในเวลาทาวตั รเชา้ ไม่มีทกุ ขลกั ษณะพระไตรลกั ษณไ์ ม่ขาดไปขอ้ หน่งึ หรอื อย่างไร? จงอธิบาย ตอบ ไมข่ าด เพราะลกั ษณะทง้ั ๓ นี้ เป็นธรรมธาตุ ธรรมนิยาม ธรรมฐิติ ความตงั้ อยแู่ ห่งธรรมทค่ี งอย่มู ิไดย้ กั ยา้ ย อีกประการหนึ่ง บาลวี า่ ยท นิจจฺ สิ่งใดไม่เท่ยี ง ต ทกุ ฺข ส่ิงนนั้ เป็นทกุ ข์ ย ทกุ ข ส่งิ ใดเป็นทกุ ข์ ตทนตฺตา ส่งิ นน้ั เป็นอนตั ตา มิใชต่ วั มใิ ช่ตน เพราะเหตนุ นั้ พหลุ านสุ าสนจี งึ ได้ ครบลกั ษณะทง้ั ๓ (ปี 52) อนตั ตลกั ขณสตู ร วา่ ดว้ ยเร่ืองอะไร? ในพระสตู รนนั้ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอานสิ งสแ์ หง่ วิปัสสนาญาณไวอ้ ยา่ งไร? ตอบ วา่ ดว้ ย ขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ เป็นอนตั ตา ฯ อานิสงสแ์ ห่งวิปัสสนาญาณนนั้ วา่ เอว ปสฺส ภิกขฺ เว สตุ วฺ า อรยิ สาวโก เป็นตน้ ความวา่ ดกู อ่ นภิกษทุ งั้ หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เม่ือเห็น อยา่ งนี้ ย่อมหนา่ ยในรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เม่ือหนา่ ยกย็ ่อมฟอกจติ ใหห้ มดจด เพราะการฟอกจิตใหห้ มดจดให้ จติ นน้ั กพ็ น้ จาก อาสวะทงั้ ปวง เม่ือจติ พน้ พิเศษแลว้ ก็มีญาณหย่งั รูว้ า่ พน้ แลว้ และพระอรยิ สาวกนน้ั รูป้ ระจกั ษว์ า่ ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยค์ อื กจิ ศาสนาไดท้ า เสรจ็ แลว้ กจิ อ่ืนทจ่ี ะตอ้ งทาเช่นนีไ้ ม่มีอกี ฯ (ปี 51) ผจู้ ะเจรญิ วปิ ัสสนาภาวนา พงึ ศกึ ษาใหร้ ูจ้ กั ธรรม ๓ ประการ อะไรบา้ ง? ตอบ ธรรม ๓ ประการ คอื ๑. ธรรมเป็นภมู ิเป็นอารมณข์ องวปิ ัสสนานน้ั (มีขนั ธ์ ๕ เป็นตน้ ) ๒. ธรรมเป็นรากเหงา้ เป็นเหตเุ กดิ ขึน้ ตงั้ อย่ขู องวปิ ัสสนานน้ั (คือสลี วิสทุ ธิและจติ ตวสิ ุทธิ) ๓. ตวั คอื วปิ ัสสนานนั้ (คอื วิสทุ ธิ ๕ ท่เี หลือ) ฯ (ปี 51) วิปัลลาส คืออะไร? แบ่งตามจิตและเจตสกิ ไดก้ ี่ประเภท? อะไรบา้ ง? ตอบ คอื กริ ยิ าท่ถี ือโดยอาการวปิ รติ ผดิ จากความเป็นจรงิ ฯ แบ่งได้ ๓ ประเภท ฯ คือ๑. สญั ญาวิปัลลาส ๒. จติ ตวปิ ัลลาส ๓. ทิฏฐิวปิ ัลลาสฯ (ปี 50) อะไรเป็นลกั ษณะ เป็นกจิ และเป็นผลของวปิ ัสสนา? ตอบ สภาพความเป็นเองของสงั ขาร คอื เป็นของไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา จรงิ อยา่ งไร ความรูค้ วามเห็นว่าสงั ขารเป็นของไม่เท่ยี ง เป็น ทกุ ข์ เป็นอนตั ตา แจง้ ชดั จรงิ อยา่ งนนั้ เป็นลกั ษณะของวิปัสสนา การกาจดั โมหะความมดื เสียใหส้ นิ้ เชงิ ไม่หลงในสงั ขารวา่ เป็นของเท่ยี ง เป็นสุข เป็นตวั เป็นตน เป็นของงาม เป็นกจิ ของวิปัสสนา ความรูแ้ จง้ เห็นจรงิ ในสงั ขารทง้ั หลายวา่ เป็นของไม่เท่ยี ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา อนั สบื เน่อื งมาจากการกาจดั โมหะความมดื เสยี ไดส้ นิ้ เชิง ไม่มี ความรูผ้ ิดความเหน็ ผดิ เป็นผลของวปิ ัสสนา ฯ (ปี 50) ในอรกสตู ร ทรงแสดงอปุ มาชีวิตของมนษุ ยท์ ง้ั หลายไวอ้ ยา่ งไรบา้ ง จงบอกมา ๓ ขอ้ ? ท่ที รงแสดงไวเ้ ชน่ นน้ั เพ่อื อะไร? ตอบ ทรงแสดงไวด้ งั นี้ คอื (ใหต้ อบเพียง ๓ ขอ้ ) ๑. เหมือนหยาดนา้ คา้ ง ๒. เหมอื นต่อมนา้ ๓. เหมือนรอยไมข้ ีดลงในนา้ ๔. เหมือนลาธารอนั ไหลมาจากภเู ขา ๕. เหมือนกอ้ นเขฬะ ๖. เหมอื นชิน้ เนอื้ นาบไฟ ๗. เหมือนโคท่ีเขาจะฆา่ ฯ 30 | P a g e
ทรงแสดงไวเ้ พ่อื เป็นเคร่อื งเตอื นใจใหเ้ รง่ รีบทาความดใี หท้ นั กบั เวลาท่ยี งั มีชวี ิตอยู่ ฯ (ปี 49) การทาวตั รสวดมนต์ เป็นกิจวตั รของพระภกิ ษุสามเณรและเป็นภาวนากศุ ล จงแสดงวิธเี จรญิ สมถกมั มฏั ฐานและวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ในบททาวตั รเชา้ มาดพู อเป็นตวั อย่าง? ตอบ การสวดนมสั การพระรตั นตรยั กด็ ี สวดสรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรยั กด็ ี เป็นการนอ้ มจิตระลกึ ถงึ คณุ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ ช่ือวา่ เจรญิ พทุ ธานสุ สติ ธัมมานสุ สติ สงั ฆานสุ สติ จดั เป็นสมถกมั มฏั ฐาน ฯ สวดสงั เวคปรกิ ติ ตนปาฐะวา่ ชาติปิ ทกุ ฺขา ชราปิ ทุกขฺ า มรณมฺปิ ทกุ ขฺ ... รูป อนจิ จฺ เวทนา อนิจจฺ า... รูป อนตตฺ า เวทนา อนตตฺ า... เป็นอาทิ ตงั้ สติมคี วามเพยี ร ใชป้ ัญญาพจิ ารณาเบญจขนั ธ์ ยกขึน้ สู่ สามญั ลกั ษณะ จดั เป็นวิปัสสนากมั มฏั ฐานฯ (ปี 47) พระบรมศาสดาทรงแสดงอานสิ งสแ์ หง่ วิปัสสนาไวใ้ นอนตั ตลกั ขณสตู รอยา่ งไร? ตอบ ทรงแสดงไวว้ ่า เอว ปสสฺ ภิกฺขเว สตุ วา อรยิ สาวโก เป็นตน้ ความวา่ ดกู ่อนภิกษุทงั้ หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เม่ือเหน็ อยา่ งนี้ ยอ่ ม เบ่อื หน่าย ย่อมฟอกจติ ใหห้ มดจด เพราะการฟอกจติ ใหห้ มดจดได้ จติ นนั้ กพ็ น้ จากอาสวะทงั้ ปวง เม่ือจติ พน้ พิเศษแลว้ กม็ ญี าณหย่ังรูว้ า่ พน้ แลว้ และเธอรูป้ ระจกั ษช์ ดั วา่ ชาติสนิ้ แลว้ พรหมจรรยค์ อื กจิ พระศาสนาไดท้ าเสรจ็ แลว้ กจิ อนื่ ท่จี ะตอ้ งทาเช่นนไี้ ม่มีอกี ฯ (ปี 47) กจิ เหตุ และผลของวิปัสสนา ไดแ้ กอ่ ะไร? ตอบ กจิ ไดแ้ ก่ การกาจดั ความมดื คือโมหะ อนั ปิดบงั ปัญญาไว้ ไมใ่ หเ้ หน็ ตามความเป็นจรงิ เหตุ ไดแ้ ก่ การท่จี ติ ตงั้ ม่นั เป็นสมาธิ ไม่ฟ้งุ ซา่ น ผล ไดแ้ ก่ การเหน็ สงั ขารตามความเป็นจรงิ ฯ (ปี 46) ความกาหนดรูอ้ ย่างไร จดั เป็นลกั ษณะของวปิ ัสสนาภาวนา? ผเู้ จรญิ วิปัสสนาภาวนา พึงรูฐ้ านะทงั้ ๖ ก่อน ฐานะทงั้ ๖ นน้ั คอื อะไรบา้ ง? ตอบ ความกาหนดรูว้ า่ สงั ขารทงั้ ปวงเป็นของไมเ่ ท่ยี ง เป็นทกุ ข์ และเป็นอนตั ตา เป็นลกั ษณะของวปิ ัสสนาภาวนา ฯ ฐานะทงั้ ๖ คือ อนจิ จะ ของไม่เท่ยี ง ๑ อนจิ จลกั ขณะ เครอ่ื งหมายทจ่ี ะกาหนดรูว้ า่ ไมเ่ ท่ยี ง ๑ ทกุ ขะ ของท่ีสตั วท์ นยาก ๑ ทกุ ขลกั ขณะ เครอื่ งหมายท่จี ะใหก้ าหนดรูว้ ่าเป็นทุกข์ ๑ อนตั ตา สภาวะมิใชต่ วั มใิ ช่ตน ๑ อนตั ตลกั ขณะ เคร่อื งหมายท่จี ะใหก้ าหนดรูว้ ่าเป็นอนตั ตา ๑ ฯ (ปี 44) วิปัลลาสคอื อะไร? จาแนกโดยวตั ถเุ ป็นท่ตี งั้ มกี ่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง? จะถอนวปิ ัลลาสนนั้ ไดเ้ พราะเจรญิ ธรรมอะไร? ตอบ คือ กิรยิ าท่ถี อื เอาโดยอาการวปิ รติ ผดิ จากความจรงิ มี ๔ อยา่ งคอื ๑. วิปัลลาสในของท่ไี มเ่ ท่ยี งวา่ เท่ยี ง ๒. วิปัลลาสในของท่เี ป็นทกุ ขว์ า่ เป็นสขุ ๓. วิปัลลาสในของท่ไี มใ่ ชต่ นวา่ เป็นตน ๔. วิปัลลาสในของท่ไี ม่งามวา่ งาม วปิ ัลลาสในของท่ไี มเ่ ท่ยี งวา่ เท่ยี ง จะถอนไดด้ ว้ ยอนจิ จสญั ญา วปิ ัลลาสในของท่เี ป็นทกุ ขว์ ่าเป็นสขุ จะถอนไดด้ ว้ ยทกุ ขสญั ญา วิปัลลาสในของท่ไี มใ่ ชต่ นวา่ เป็นตน จะถอนไดด้ ว้ ยอนตั ตสญั ญา วิปัลลาสในของท่ไี มง่ ามวา่ งาม จะถอนไดด้ ว้ ยอสภุ สญั ญา 31 | P a g e
มหาสตปิ ัฏฐานสูตร (ปี 50) ตามมหาสติปัฏฐานสตู ร ผเู้ จรญิ สตปิ ัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ วนั ถงึ ตลอด ๗ ปี พงึ หวงั ผลอะไรไดบ้ า้ ง? ตอบ พึงหวงั ผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนง่ึ คอื พระอรหตั ผลในปัจจบุ นั ชาตนิ ี้ ๑ หรอื เม่ือวบิ ากขนั ธท์ ่กี ิเลสมีตณั หาเป็นตน้ เขา้ ยึดไวย้ งั เหลืออยเู่ ป็นพระอนาคามี ๑ ฯ (ปี 48) ในธมั มานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน พระพทุ ธองคท์ รงแสดงวธิ ีพจิ ารณาสติสมั โพชฌงคไ์ วด้ ว้ ยอาการอยา่ งไร? ตอบ ดว้ ยอาการอย่างนี้ คอื เม่ือสติสมั โพชฌงคม์ อี ยู่ ณ ภายในจิต ก็รูช้ ดั วา่ มอี ยู่ ณ ภายในจติ ของเรา เม่ือไม่มอี ยู่ ณ ภายในจติ ก็รูช้ ดั วา่ ไม่มอี ยู่ ณ ภายในจติ ของเรา เม่ือยงั ไมเ่ กดิ แต่จะเกดิ ขึน้ ดว้ ยประการใด กร็ ูช้ ดั ดว้ ยประการนน้ั เม่ือเกดิ ขนึ้ แลว้ เจรญิ บรบิ รู ณข์ นึ้ ดว้ ยประการใด ก็รูช้ ดั ดว้ ยประการนน้ั ฯ (ปี 47) ในมหาสติปัฏฐานสตู ร สตปิ ัฏฐาน ๔ มีช่ือเรียกอกี อยา่ งว่ากระไร? สติปัฏฐาน ๔ นน้ั มอี านิสงสอ์ ย่างไรบา้ ง? ตอบ เอกายนมรรค ฯ มีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ ๑. เพ่ือความบรสิ ทุ ธิ์แห่งสตั วท์ ง้ั หลาย ๒. เพ่อื ความขา้ มพน้ โสกะและปรเิ ทวะ ๓. เพ่อื ความดบั สญู แหง่ ทกุ ขแ์ ละโทมนสั ๔. เพ่อื บรรลธุ รรมท่คี วรรู้ ๕. เพ่อื การทาใหแ้ จง้ พระนพิ พาน ฯ (ปี 44) การพจิ ารณากองลมหายใจเขา้ ออก เพยี งแต่รูว้ า่ สนั้ ยาว ดงั นี้ จดั เป็นสติปัฏฐานขอ้ ไหน? ในธมั มานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน หวั ขอ้ ธรรมท่ีจะนามาพจิ ารณานนั้ มอี ะไรบา้ ง? ตอบ จดั เป็นกายานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ฯ มี นิวรณ์ ๕ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๖ โพชฌงค์ ๗ และอรยิ สจั ๔ คิรมิ านนทสตู ร ➢ สญั ญา ๑๐ ความกาหนดหมายรู้ เป็นแนวสาหรบั ยกพจิ ารณาในการเจรญิ วิปัสสนากรรมฐาน เพ่อื ทาใหเ้ กิดปัญญารอบรูส้ งั ขาร ธรรรมทง้ั หลาย ๑. อนิจจสญั ญา กาหนดพจิ ารณาขนั ธ์ ๕ ใหเ้ หน็ ของไมเ่ ท่ยี ง ๒. อนัตตสัญญา กาหนดพจิ ารณาอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ใหเ้ ป็นอนตั ตา ๓. อสุภสัญญา กาหนดพจิ ารณารา่ งกาย ใหเ้ หน็ เป็นของสกปรก ๔. อาทนี วสญั ญา กาหนดพจิ ารณารา่ งกายโดยความเป็นโทษ ๕. ปหานสัญญา กาหนดพิจารณาเพ่อื ละอกศุ ลวิตก ๓ (กามวติ ก พยาบาทวติ ก วหิ ิงสาวติ ก) รวมไปถึงอกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ใหห้ มดสนิ้ ไป ๖. วริ าคสญั ญา กาหนดพจิ ารณาวริ าคะ ๗. นิโรธสัญญา กาหนดหมายนิโรธวา่ เป็นธรรมอนั ละเอียดประณีต เป็นธรรมท่ดี บั กิเลสและกองทกุ ข์ ๘. สพั พโลเก อนภริ ตสัญญา กาหนดพจิ ารณาเพ่อื ละอบุ ายและอปุ าทานในโลก ๙. สพั พสงั ขาเรสุ อนิฏฐสญั ญา กาหนดพจิ ารณาในสงั ขารทงั้ หลายท่ีเป็นไปตามกฏธรรมดา ๑๐. อานาปานสติ การตงั้ สตกิ าหนดดลู มหายใจเขา้ -ออก (ปี 58) พระพทุ ธองคท์ รงแสดงคริ มิ านนทสตู รท่ไี หน ? แกใ่ คร ? ว่าดว้ ยเร่อื งอะไร ? ตอบ ท่พี ระเชตวนั เมอื งสาวตั ถี ฯ แก่พระอานนท์ ฯ วา่ ดว้ ยสญั ญา ๑๐ ฯ (ปี 57) พระคิรมิ านนทห์ ายจากอาพาธเพราะฟังธรรมจากใคร? ธรรมนน้ั วา่ ดว้ ยเรื่องอะไร?ตอบจากพระอานนท์ ฯ วา่ ดว้ ยเร่อื งสญั ญา ๑๐ฯ (ปี 56) ขอ้ วา่ อนตั ตสญั ญา ในคริ มิ านนทสตู ร ทรงใหพ้ จิ ารณาอะไรวา่ เป็นอนตั ตา? 32 | P a g e
ตอบ ทรงใหพ้ จิ ารณาอายตนะภายใน คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ และอายตนะภายนอก คอื รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ว่าเป็น อนตั ตา ฯ (ปี 55) ในสญั ญา ๑๐ ขอ้ ท่ี ๕ ว่าปหานสญั ญา ความสาคญั หรือความใสใ่ จในการละ ขอทราบวา่ ทรงสอนใหล้ ะอะไรบา้ ง? ตอบ ทรงสอนใหล้ ะ กามวิตก พยาบาทวิตก วหิ งิ สาวิตก ธรรมอนั เป็นบาปเป็นอกศุ ลทง้ั ๔ นี้ ท่เี กิดขนึ้ แลว้ ไมใ่ หเ้ กิดขึน้ อกี ฯ (ปี 54) ในคิรมิ านนทสตู ร ขอ้ ว่า ปหานสญั ญา พระศาสดาทรงสอนใหล้ ะอะไร? ตอบ ทรงสอนใหล้ ะ กามวติ ก พยาบาทวิตก วหิ ิงสาวิตก และอกศุ ลบาปธรรม ท่เี กดิ ขึน้ แลว้ ฯ (ปี 53) พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงแสดงสญั ญา ๑๐ กะใคร? อนิจจสญั ญา พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงสอนใหพ้ ิจารณาธรรมอะไร? ตอบ พระอานนทเถระ ฯ พิจารณาขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ฯ (ปี 52) ในสญั ญา ๑๐ ทรงแสดงถึงการใหพ้ ิจารณาพระนิพพานวา่ เป็นธรรมท่สี ารอกกเิ ลส และวา่ เป็นธรรมเป็นท่ดี บั สนทิ จดั เป็นสญั ญาขอ้ ไหนบา้ ง? ตอบ พิจารณาพระนิพพานวา่ เป็นธรรมท่สี ารอกกเิ ลส จดั เป็นวิราคสญั ญา พจิ ารณาพระนิพพานวา่ เป็นธรรมเป็นท่ดี บั สนิท จดั เป็นนโิ รธสญั ญา ฯ (ปี 48) ขอ้ วา่ อนตั ตสญั ญา ในคริ มิ านนทสตู ร ทรงใหย้ กธรรมอะไรขนึ้ พจิ ารณาว่าเป็นอนตั ตา? ตอบ ทรงใหย้ กอายตนะภายใน คอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ และอายตนะภายนอก คอื รูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขนึ้ พิจารณาว่าเป็นอนตั ตา ฯ (ปี 47) วปิ ัลลาสขอ้ ว่า “วปิ ัลลาสในของท่เี ป็นทกุ ขว์ า่ เป็นสขุ ” จะถอนไดด้ ว้ ยสญั ญาอะไรในสญั ญา ๑๐? ใจความว่าอยา่ งไร? ตอบ จะถอนไดด้ ว้ ยอาทีนวสญั ญา ฯ ใจความวา่ ภิกษุยอ่ มพจิ ารณาอย่างนวี้ ่า กายอนั นแี้ ล มีทกุ ขม์ าก มโี ทษมาก เหลา่ อาพาธตา่ งๆ ย่อมเกดิ ขนึ้ ในกายนี้ ฯ (ปี 46) พระคิรมิ านนทห์ ายจากอาพาธหนกั เพราะฟังธรรมอะไร? ใครเป็นผแู้ สดง? ขอ้ ว่า “ สพฺพสงฺขาเรสุ อนจิ จฺ สญฺญญา ความจาหมายความไมเ่ ทย่ี งในสงั ขารทงั้ ปวง ” มีใจความวา่ อยา่ งไร? ตอบ เพราะฟังคิรมิ านนทสตู ร ฯ พระอานนทเถระ เป็นผแู้ สดง ฯ มใี จความวา่ ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ ย่อมเบอ่ื หน่าย ยอ่ มระอา ยอ่ มเกลียดชงั แตส่ งั ขารทง้ั ปวง ฯ (ปี 44) อนิจจสญั ญาในคริ มิ านนทสตู ร มีใจความวา่ อยา่ งไร? การพจิ ารณาอาทนี วสญั ญาโดยย่อ ไดแ้ ก่พิจารณาอย่างไร? ตอบ มใี จความวา่ \" ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ ไปในป่ าก็ดี ไปท่โี คนไมก้ ด็ ี ไปท่เี รอื นว่างเปลา่ กด็ ี ยอ่ มพจิ ารณาอยา่ งนวี้ ่า รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ไม่เท่ยี ง ย่อมเป็นผพู้ จิ ารณาเนือง ๆ โดยความไมเ่ ท่ยี งในอปุ าทานขนั ธท์ งั้ ๕ \" ฯ พจิ ารณาอย่างนวี้ า่ \" กายนมี้ ีทกุ ขม์ าก มโี ทษมาก เหลา่ อาพาธย่อมเกดิ ขนึ้ ในกายนี้ \" ฯ 33 | P a g e
ทบทวน พุทธานุพุทธประวตั ิ นักธรรมชน้ั เอก วิชาพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิและประโยชน์ (ปี 63, 59) พทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ ใหค้ วามรูแ้ ก่ผศู้ กึ ษาทางใดบา้ ง ? จงอธิบายพอไดใ้ จความ ตอบ ๑. ทางประวตั ศิ าสตร์ เชน่ ความเป็นไปของบา้ นเมอื งในครงั้ พทุ ธกาล และลทั ธิธรรมเนียมของประชาชนในสมยั นน้ั ๒. ทางจรรยาของพระพทุ ธเจา้ และจรรยาของเหล่าพระอรยิ สาวก ๓. ทางธรรมวินยั ท่ีปรากฏในตาํ นานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรมพรอ้ มทง้ั ตวั อยา่ งการบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาใหร้ ุง่ เรือง (ปี 51) พทุ ธประวตั ิ วิภาคท่ี ๑ ปรุ มิ กาล และวิภาคท่ี ๓ อปรกาล ท่ที รงรจนาไวแ้ สดงถึงเรือ่ งอะไร? ตอบ ปรุ มิ กาล แสดงถงึ เร่ืองเป็นไปในกาลก่อนแต่บาํ เพญ็ พทุ ธกจิ อปรกาล แสดงถึงเรื่องถวายพระเพลงิ และแจกพระธาตุ ฯ กว่าจะเป็ นพระพทุ ธเจา้ (ปี 57) พระมหาบรุ ุษทรงทอดพระเนตรเหน็ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย แลว้ ทรงบรรเทาความเมาในอะไรได?้ ตอบ ทรงบรรเทาความเมาในวยั ความเมาในความไมม่ ีโรค และความเมาในชวี ติ ฯ (ปี 57) ในการเสด็จออกบรรพชา พระมหาบรุ ุษทรงไดร้ บั บาตรและจีวรจากใคร ? ตอบ จากฆฏกิ ารพรหม ฯ (ปี 56) พระโพธิสตั วเ์ ม่ือจะจตุ ลิ งส่พู ระครรภพ์ ระมารดา เสดจ็ มาจากไหน? ตอบ เสดจ็ มาจากดสุ ิตพภิ พ ฯ (ปี 56) บคุ คลผเู้ ป็นสหชาติของพระศาสดา ท่บี รรลพุ ระอรหตั กอ่ นและหลงั พทุ ธปรนิ ิพพานมีใครบา้ ง? ตอบ ผบู้ รรลพุ ระอรหตั กอ่ นพทุ ธปรนิ พิ พาน มพี ระนางพมิ พาเถรแี ละพระกาฬทุ ายเิ ถระ ฯ ผบู้ รรลพุ ระอรหตั หลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน มพี ระอานนทเถระ และพระฉนั นเถระ ฯ (ปี 56) พระมหาบรุ ุษทรงดาํ เนินดว้ ยพระบาท ๗ กา้ ว หลงั จากประสตู ใิ หม่ ๆ เรอ่ื งนี้ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรง ถอดความวา่ อย่างไร? ตอบ ทรงถอดความวา่ นา่ จะไดแ้ ก่ทรงแผ่พระศาสนาไดแ้ พรห่ ลายใน ๗ ชนบท (ไดแ้ ก่ ๑.กาสีกบั โกสละ ๒.มคธะกบั องั คะ ๓.สกั กะ ๔.วชั ชี ๕. มลั ละ ๖.วงั สะ ๗.กรุ ุ) ฯ (ปี 54) บารมี ๑๐ ของพระมหาบรุ ุษมอี ะไรบา้ ง? ทา่ นเปรียบเทยี บบารมขี อ้ ไหนกบั อาวธุ ยทุ โธปกรณช์ นดิ ใด ในการต่อสกู้ บั หมมู่ าร? ตอบ คือ ทานบารมี ศลี บารมี เนกขมั มบารมี ปัญญาบารมี วริ ยิ บารมี ขนั ติบารมี สจั จบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อเุ บกขาบารมี ฯ ศีลบารมี เปรยี บเทียบกบั แผ่นดิน ปัญญาบารมี เปรียบเทยี บกบั พระขรรค์ วิรยิ บารมี เปรียบเทยี บกบั พระบาท บารมีท่ีเหลอื จากนี้ เปรยี บเทยี บกบั โล่ป้องกนั ฯ (ปี 53) มหาปรุ สิ ลกั ษณะมกี ่ีประการ? พระอณุ ณาโลมกบั พระอณุ หิสต่างกนั อยา่ งไร? ตอบ มี ๓๒ ประการ ฯ พระอณุ ณาโลม ไดแ้ กพ่ ระโลมาท่ขี าวละเอยี ดออ่ นคลา้ ยสาํ ลีอยใู่ นระหว่างพระโขนง ส่วนพระอณุ หสิ นน้ั ไดแ้ ก่พระเศยี รท่กี ลมเป็นปรมิ ณฑล ดจุ ประดบั ดว้ ยกรอบพระพกั ตร์ ฯ (ปี 51) ในวนั ท่พี ระมหาบรุ ุษประสตู ิ มีสหชาตทิ เ่ี กิดพรอ้ มกนั ก่ีอยา่ ง? อะไรบา้ ง ? ตอบ มี ๗ อยา่ ง คอื ๑. พระนางพิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. กาฬทุ ายอี มาตย์ ๔. ฉนั นะอมาตย์ ๕. มา้ กณั ฐกะ ๖. ตน้ มหาโพธิ์ ๗. ขมุ ทรพั ย์ ทงั้ ๔ ฯ 1|P a g e
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111