Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือคำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืชอย่างปลอดภัย 2563

คู่มือคำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืชอย่างปลอดภัย 2563

Published by บันทึกเกษตร, 2021-05-21 06:57:48

Description: คู่มือคำแนะนำการป้องกันกำจัดแมลง-สัตว์ศัตรูพืชอย่างปลอดภัย

Search

Read the Text Version

  

เอกสารวิชาการ คำแนะนำการปองกันกำจดั แมลง-สัตวศตั รพู ืช อยา งมปี ระสทิ ธิภาพและปลอดภัยจากงานวิจัย ISBN………………………………………………. จัดทำโดย คณะนกั วิจยั กลุมบรหิ ารศัตรพู ืชและกลุมกีฏและสตั ววิทยา สำนกั วจิ ัยพฒั นาการอารักขาพชื กรมวิชาการเกษตร เอกสารวิชาการฉบับบนี้ มีจุดประสงคเพอื่ เผยแพรความรูในการใชสารปอ งกนั กำจดั แมลงสตั วศ ัตรพู ืชอยางปลอดภัยแกผ ูท ่สี นใจ คำแนะนำในการอางอิง สุภราดา สคุ นธาภริ มย ณ พทั ลุง เสาวนิตย โพธพ์ิ ูนศักดิ์ ศรีจำนรรจ ศรจี ันทรา และพฤทธิชาติ ปุญวัฒโท. 2563 เอกสารวิชาการ คำแนะนำการปอ งกนั แมลง-สัตวศ ตั รูพืช อยางมีประสทิ ธภิ าพและปลอดภยั จากงานวิจัย. กลุมบริหารศัตรพู ชื /กลุมกฏี และสัตววิทยา สำนักวจิ ัยพัฒนาการอารักขาพชื กรมวชิ าการเกษตร. 230 หนา .

คำนำ เอกสาร “คำแนะนำการปอ้ งกนั กำจัดแมลง-สัตว์ศัตรพู ืช อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากงานวิจัย” เปน็ เอกสารฉบบั ปฐมฤกษท์ จ่ี ัดทำขึน้ โดยอ้างองิ เน้ือหาบางส่วนจาก หนงั สือคำแนะนำการป้องกนั กำจัดแมลงและสัตว์ศัตรูพืช ปี 2553 ของกลุ่มกีฏและสัตววิทยา/กลุ่มบริหารศัตรูพืช และได้มีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบันโดยนำผลงานวิจัยของกลุ่มกีฏและสัตววิทยา และกลุ่มบริหารศตั รูพืช ในช่วงปี พ.ศ. 2554-2558 และจาก ผลงานวิจัยในช่วงปี พ.ศ. 2559-2563 ของชุดโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขยายและการใช้ประโยชน์ของชีว ภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ โครงการวิจัยและพัฒนาการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเพื่อใช้เป็นคำแนะนำในการผลิตพืชบริโภค ภายในประเทศและส่งออก โครงการวิจัยการพัฒนาระบบการจัดการศัตรูพืชที่ต้านทานต่อสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และ โครงการวิจัยเทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช มารวบรวมเพื่อจัดทำเอกสาร “คำแนะนำการป้องกัน กำจดั แมลง-สตั ว์ศตั รูพชื อย่างมีประสิทธภิ าพและปลอดภยั จากงานวจิ ัย” โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือใช้เป็นข้อมลู ในการป้องกันและ ลดการระบาดของแมลงและสัตว์ศัตรูพืชในสภาพแวดล้อมที่มีความแปรปรวนในปัจจุบัน และเพื่อเผยแพร่ความรู้การป้องกัน กำจดั แมลง-สัตว์ศตั รูพืชอยา่ งถูกต้องและเหมาะสม เนอ้ื หาในเอกสารได้รวบรวมคำแนะนำการใชส้ ารชีวภัณฑ์ คำแนะนำการใช้ สารเคมีกำจัดแมลงอย่างปลอดภัยต่อผู้ใช้ ผู้บริโภค และสภาพแวดล้อม ตลอดจนคำแนะนำการใช้สารกำจัดแมลงแบบ หมนุ เวียนตามกลุ่มกลไกการออกฤทธ์ิเพ่อื ชะลอปัญหาความต้านทาน อนึ่งผลสมั ฤทธข์ิ องการป้องกันกำจดั แมลงศัตรูพืชโดยใชช้ ีวภัณฑ์ หรือสารเคมีชนิดต่าง ๆ อาจมีความแตกต่าง กันไปตามสภาพแวดล้อม ตลอดจนความชำนาญของเกษตรกรผูใ้ ช้ ดังนั้นการใช้เทคนิคต่าง ๆ ตามคำแนะนำการป้องกันกำจัด แมลง-สัตว์ศัตรูพืชในเอกสารฉบับน้ี อาจต้องนำไปประยุกต์เพ่ือปรับใชใ้ ห้เหมาะสมกบั สภาพการระบาดของแมลงศตั รูพืชในแต่ ละทอ้ งท่ี เอกสารฉบับนี้จะมีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อมูลผลงานวิจัยที่สิ้นสุด เพื่อเผยแพร่ตามช่องทางสื่อสารออนไลน์ ต่าง ๆ โดยคณะผู้จัดทำตลอดจนนักวิจัยที่ได้ดำเนินงานวิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำแนะนำต่าง ๆ ในเอกสารฉบับนี้จะเป็น ประโยชนต์ ่อเกษตรกรและผทู้ ี่สนใจวิธีการสมยั ใหม่ในการปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพชื ท่ีมีประสทิ ธิภาพและปลอดภยั สุภราดา สุคนธาภริ มย์ ณ พทั ลุง เสาวนติ ย์ โพธ์พิ ูนศักด์ิ ศรจี ำนรรจ์ ศรจี นั ทรา พฤทธชิ าติ ปุญวฒั โท หัวหน้าชุดโครงการวิจยั /หวั หน้าโครงการ มถิ ุนายน 2563

คำแนะนำการใช้เอกสาร 1. ชอื่ สามัญของสารกำจัดแมลง-สตั วศ์ ตั รพู ืชทีแ่ นะนำนัน้ ทางคณะผ้วู ิจยั ได้ทำการทดลองแล้วและเรียงลำดับชนิดสารที่ เหมาะสมมากทีส่ ุดไว้เป็นอันดับแรก โดยคำนึงถึงประสทิ ธิภาพ ความประหยดั ความปลอดภยั ต่อผใู้ ช้ ผู้บรโิ ภคและ สง่ิ แวดลอ้ มเป็นสำคัญ 2. การเขียนทบั ศพั ท์ชื่อสามัญภาษาไทยของวัตถุอนั ตรายทางการเกษตรท่ีกรมวชิ าการเกษตรเปน็ ผรู้ ับผิดชอบ ใช้ตาม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบญั ชรี ายช่ือวตั ถุอนั ตราย (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2558 3. ตวั อักษรภาษาองั กฤษทต่ี ามหลงั เปอร์เซน็ ตส์ ารออกฤทธขิ์ องสารกำจัดแมลง ไร สตั ว์ ศตั รพู ชื แสดงถึงสตู ร ดูรายละเอยี ดหน้า 20 4. กลุม่ กลไกการออกฤทธ์ขิ องสารกำจัดแมลง ไรศัตรูพืช อ้างอิงจาก IRAC (Insecticide Resistance Action Committee) ปี 2020 (https://irac-online.org) เพ่อื เป็นประโยชน์ในการใช้สารแบบหมุนเวยี นตามกลุ่มกลไกการ ออกฤทธิ์ เพื่อชะลอความต้านทานของศตั รูพชื ตอ่ สารกำจดั แมลง และไรศตั รูพชื 5. ระดับความเป็นพิษ (LD50) ของสารออกฤทธ์ิ เป็นระดับความเปน็ พิษเฉียบพลนั ทางปากของสารกำจดั แมลง ไรศตั รูพืช แตล่ ะชนิดท่ฆี ่าหนูตาย 50% โดยอา้ งองิ ข้อมูลจากเวปไซด์ https://sitem.herts.ac.uk แปลผลระดบั ความเป็นพษิ ตามข้อมูลการจดั ระดับความเปน็ พษิ ท่ีใชท้ างการเกษตร ของ WHO (World Health Organization) มคี วามแตกต่าง กบั ระดบั ความเป็นพิษ (LD50) ของสารออกฤทธ์ิในผลิตภัณฑ์ 6. คำแนะนำสารกำจดั แมลงที่เป็นสูตรผสมสำเร็จรปู (premix) ในเอกสารฉบับนี้ จะใชส้ ญั ลักษณ์ “ / ” เช่น ไทอะมีทอกแซม/แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน ((thiamethoxam)/lambda-cyhalothrin) 7. คำแนะนำสารกำจดั แมลง ไรศัตรพู ชื ท่นี ำมาผสมในถังผสม (tank mix) จะใชส้ ัญลักษณ์ “ + ” เชน่ อมิ ดิ าโคลพรดิ +ไซเพอรเ์ มทรนิ (imidacloprid+cypermethrin) 8. ในกรณีท่ีสารกำจดั แมลงชนดิ เดียวกัน แตม่ ีเปอรเ์ ซน็ ตก์ ารออกฤทธติ์ ่างกัน อตั ราการใช้ที่ระบุไวต้ ้องเปล่ยี นแปลงไป ตามเปอรเ์ ซน็ ตส์ ารออกฤทธิข์ องสารกำจัดแมลงชนดิ นนั้ ๆ ซึง่ มวี ิธีการคำนวณตามตัวอย่าง ดงั นี้ สารกำจดั แมลงชนิด ก. มเี ปอรเ์ ซ็นตส์ ารออกฤทธิ์ 25% EC อัตราการใช้ท่ีแนะนำ 25 มล./น้ำ 20 ลติ ร ถา้ สารกำจัดแมลงชนดิ ก. มีเปอรเ์ ซน็ ตส์ ารออกฤทธ์ิ 1% EC จะมีอัตราการใช้ 25x25 = 625 มล./น้ำ 20 ลิตร ถ้าสารกำจัดแมลงชนดิ ก. มีเปอรเ์ ซ็นต์สารออกฤทธ์ิ 50% EC จะมอี ัตราการใช้ 25x25 = 12.5 มล./นำ้ 20 ลติ ร 50 9. เอกสารฉบบั น้ีเรยี งความสำคัญของขอ้ มูลทค่ี วรร้กู ่อนการใช้ การเลอื กใชส้ าร และหลงั การใชส้ าร ตามลำดบั

สารบญั หน้า คำนำ 1 คำแนะนำการใช้เอกสาร 8 การป้องกันอนั ตรายจากสารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพชื 15 พิษและอันตรายของสารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืช 21 การเลอื กและการใชส้ ารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืช 34 39 การจดั แบง่ กลุม่ สารฆ่าแมลงและไรตามกลไกการออกฤทธ์ิ 42 46 คำแนะนำการป้องกันกำจดั แมลง สัตว์ศัตรูพชื 49 50 ขา้ วโพด (Corn)……………………………………………………………………………………………………. 52 ขา้ วฟ่าง (Sorghum)……………………………………………………………………………………………….. 53 ออ้ ย (Sugarcane)............................................................................................................. 57 มนั สำปะหลงั (Cassava)................................................................................................... 62 ยาสบู (Tobacco)............................................................................................................. 64 ฝา้ ย (Cotton)................................................................................................................... 65 หมอ่ น (Mulberry)........................................................................................................... 67 ถ่วั เหลอื ง (Soybean)....................................................................................................... 70 ถ่วั เขยี ว (Mung bean).................................................................................................... 74 ถั่วลสิ ง (Groundnut or peanut)................................................................................... 77 ละห่งุ (Castor bean)...................................................................................................... 78 งา (Sesame)................................................................................................................... 79 ทานตะวนั (Sunflower).................................................................................................. 80 มะพร้าว (Coconut)........................................................................................................ 81 ปาล์มนำ้ มัน (Oil palm).................................................................................................. 82 กลว้ ย (Banana)………………………………………………………………………………….……………… 84 มะม่วงหิมพานต์ (Cashew nut)………………………………………………………………………….. 85 โกโก้ (Cocoa.)…………………………………………………………………………………………………… 87 กาแฟ (Coffee)…………………………………………………………………………………………………. 88 แกว้ มังกร (Dragon fruit)…………………………………………………………………………………… 90 ทุเรียน (Durian)………………………………………………………………………………………………… 91 ฝรัง่ (Guava)…………………………………………………………………………………………………….. อง่นุ (Grape)…………………………………………………………………………………………………….. พทุ รา (Jujube)…………………………………………………………………………………………………. ลิ้นจ่ี/ลำไย (Litchi/Longan)………………………………………………………………………………. ลองกอง/ลางสาด (Longkong/Langsaat)…………………………………………………………… มะม่วง (Mango)……………………………………………………………………………………………….

สารบัญ (ต่อ) หน้า 93 มังคดุ (Mangosteen)……………………………………………………………………………………….. 95 มะละกอ (Papaya)…………………………………………………………………………………………… 97 สับปะรด (Pineapple)………………………………………………………………………………………. 98 สละ (Salacca)…………………………………………………………………………………………………. 99 กระท้อน (Santol)…………………………………………………………………………………………….. 100 เงาะ (Rambutan)……………………………………………………………………………………………. 101 ชมพู่ (Rose apple)………………………………………………………………………………………….. 102 สตรอวเ์ บอรร์ ่ี (Strawberry)………………………………………………………………………………. 103 น้อยหน่า (Sugar apple)…………………………………………………………………………………… 104 พชื ตระกูลส้ม (Citrus)………………………………………………………………………………………. 109 หน่อไมฝ้ รงั่ (Asparagus)…………………………………………………………………………….. 111 มะเขือ (Brinjal) มะเขือเปราะ (Aubergine) มะเขือยาว (Eggplant)……………………. 113 มะระ (Bitter melon)……………………………………………………………………………………… 114 ขน้ึ ฉ่าย (Celery)……………………………………………………………………………………….. 115 พรกิ (Chilli)……………………………………………………………………………………………………. 119 พืชตระกลู กะหล่ำ (Cruciferous)…………………………………………………………………….. 122 แตงกวา (Common cucumber) แตงโม (Water melom)…………………………… 124 กะเพรา (Holy basil) และโหระพา (Sweet basil)………………………………………. 126 กระเจ๊ียบเขยี ว (Okra)……………………………………………………………………………….. หอมแดง (Shallot) หอมแบ่ง (Multiplier onion) หอมหวั ใหญ่ (Onion) และ 128 กระเทียม (Garlic)………………………………………………………………………………………… 130 มันฝรงั่ (Potato)……………………………………………………………………………………… 131 ผกั ชฝี รงั่ (Stink weed)……………………………………………………………………………. 132 มนั เทศ (Sweet potato)………………………………………………………………….……… 134 มะเขือเทศ (Tomato)………………………………………………………………………………….. 136 ถั่วฝักยาว (Yard-long bean) ถ่วั ลันเตา (Garden pea)………………………………. เห็ดยานางิ (Black mushroom) เหด็ แครง (Common split gill) 138 เห็ดหูหนู (Wood ear mushroom)เหด็ นางรม, เหด็ นางรมฮังการี (Oyster 142 mushroom) เห็ดเปา๋ ฮื้อ (Abalone mushroom) เหด็ เข็มเงิน (Silver enoki 143 mushroom)……………………………………………………………………………………….. 144 เบญจมาศ (Chysanthemum)……………………………………………………………………. 144 ปทุมมา (Siam tulip)…………………………………………………….…………………………… 145 เยอรบ์ รี า่ (Gerbera)………………………………………………………………..………………….. 147 มะลิ (Jasmine)…………………………………………………………………………………………. กลว้ ยไม้ (Dendrobium)……………………………………………………………………………. กหุ ลาบ (Rose)………………………………………………………………………………………….

สารบญั (ต่อ) หนา้ การใช้สารฆ่าหนู (Rodenticide) 149 ข้าวและธัญพชื เมืองหนาว (Rice and temperate cereal)………………………… 151 ข้าวโพด (Corn)……………………………………………………………………………………… 153 ถวั่ เหลือง (Soybean)…………………………………………………………………………….. 155 ถวั่ เขยี ว (Mung bean)…………………………………………………………………………… 157 ออ้ ย (Sugar cane)………………………………………………………………………….……. 159 โกโก้ (Cocoa)………………………………………………………………………………………. 160 ปาลม์ น้ำมัน (Oil palm)………………………………………………………………………… 161 การใช้สารฆา่ หอย 162 ข้าว (Rice)…………………………………………………………………………………..…. 163 พืชตระกูลกะหลำ่ (Cruciferous)…………………………………………………………. 164 กลว้ ยไม้ (Orchid)……………………………………………………….………………….. 164 นกศัตรูขา้ ว (Bird rice pest) ………………………………………….…………………. 165 ปนู า (Rice field crab) ………………………………………………….…………………. การใช้ตัวหำ้ ตัวเบยี น เชอ้ื จุลินทรยี ์ 167 คำแนะนำการใช้แตนเบยี นไข่ไตรโคแกรมมา (Trichogramma spp.) ควบคมุ แมลง 169 ศตั รูพชื ................................................................................................................... 172 การใชแ้ ตนเบียนเพล้ียแป้งมันสำปะหลงั สชี มพู (แตนเบยี นอะนาไกรสั ) ควบคุมเพล้ียแป้งมนั 175 สำปะหลงั สชี มพ.ู .................................................................................................................................... 177 179 คำแนะนำการใชแ้ ตนเบยี นแมลงดำหนามมะพร้าว (แตนเบยี นอะซีโคเดส และแตนเบียน 181 เตตระสตคิ สั ) ควบคมุ แมลงดำหนามมะพร้าว....................................................... 184 188 การใช้แตนเบยี นหนอนหัวดำมะพร้าว (แตนเบียนโกนโิ อซัส) ควบคุมหนอนหวั ดำ 191 มะพรา้ ว................................................................................................................ 193 195 คำแนะนำการใชม้ วนพิฆาต Eocanthecona furcellata (Wolff) ควบคมุ แมลงศตั รูพชื คำแนะนำการใชแ้ มลงหางหนีบขาวงแหวน (Ring-legged earwig) ควบคมุ แมลงศตั รูพชื 198 คำแนะนำการใชแ้ มลงช้างปกี ใส Plesiochrysa ramburi ควบคุมแมลงศตั รูพชื คำแนะนำการใชเ้ ช้อื แบคทเี รยี ควบคุมแมลงศัตรูพืช....................................... 205 คำแนะนำการใช้เชอื้ ไวรัส NPV ควบคมุ แมลงศตั รูพชื ..................................... คำแนะนำการใช้ไส้เดือนฝอยควบคุมแมลงศตั รูพืช......................................... 217 คำแนะนำการใชร้ าเขยี วเมทาไรเซยี มควบคุมด้วงแรด.................................... คำแนะนำการใช้โปรโตซัวกำจัดหนูศตั รูพืช.................................................... 219 คำแนะนำการพน่ เหยือ่ พิษโปรตนี กำจดั แมลงวันผลไม้..................................... การใช้สารฆา่ แมลงแบบหมุนเวียนเพื่อแก้ปญั หาความต้านทานในแมลงศัตรูพชื หัวฉีดและเครื่องพน่ สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื การทำลายสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืชทเี่ หลือใช้และภาชนะบรรจุ วัตถุอนั ตรายกำจดั แมลง ไร และสตั วศ์ ัตรพู ชื ทห่ี า้ มใชท้ างการเกษตร

สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ 224 วัตถุอันตรายกำจดั แมลง ไร และสตั ว์ศตั รูพชื ทอ่ี ย่รู ะหว่างการตดิ ตามเฝ้าระวัง ดรรชนชี ่ือสามัญของสารฆา่ แมลงและสตั วศ์ ตั รูพชื 225 บรรณานุกรม คณะผู้จดั ทำ/คณะผู้วจิ ัย 228 ผงั การผสมสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพชื ในกลว้ ยไม้-คะน้า 230

1 การป้องกันอนั ตรายจากสารป้องกนั กำจัดศตั รพู ชื 1. เส้นทางที่สารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ืชเข้าสูร่ ่างกายมนุษย์ สารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื เข้าสูร่ า่ งกายมนษุ ย์ได้ 3 ทาง ได้แก่ 1) สารพิษที่เข้าทางปาก เปน็ การบรโิ ภคผัก ผลไม้ทม่ี สี ารพิษเจอื ปน 2) สารพิษทเี่ ขา้ ทางระบบหายใจ เป็นการสดู ฝุ่นละอองของสารพษิ ขณะผสมสารเคมี หรอื การปฏบิ ตั ิงานที่ เก่ยี วขอ้ งกบั สารเคมี 3) สารพิษทเี่ ข้าทางผิวหนงั เปน็ การสมั ผสั กบั สารเคมีขณะปฏิบตั ิงาน 2. ปจั จยั ท่ีทำใหส้ ารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืชเสื่อมสภาพ 2.1 ระยะเวลาเก็บรักษา ช่วงระยะเวลาเก็บรักษา หมายถึง ช่วงเวลาที่สามารถเก็บสารเคมีไว้ใช้ก่อนที่จะ เส่อื มสภาพไป สำหรบั สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรพู ืช โดยทัว่ ไปเกบ็ รกั ษาไว้ได้ 2 ปี ถ้าหากเก็บไว้นานเกินกำหนด อาจจะเกดิ 2.1.1 สารออกฤทธิ์อาจสลายตัวเป็นสารชนิดใหม่ที่มีพิษมากขึ้น หรือทำให้ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ลด ตำ่ ลง 2.1.2 สตู รของสารเคมีชนดิ ตา่ ง ๆ อาจเปลี่ยนสภาพไปทำให้ไมส่ ามารถผสมหรอื พน่ ได้ 2.1.3 สารเคมีสูตรผง และผงละลายนำ้ สามารถสลายตัวไดง้ ่ายเนื่องจากอณุ หภูมิ ความช้ืน แสงมาก และการบรรจุ หีบห่อ อายุการเก็บรักษาสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะลดลงเมื่อเปิดใช้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อใช้แล้วครึ่งหนึ่ง สารเคมีชนดิ ผงและ ละลายน้ำไมค่ วรเกบ็ ไว้นานเกนิ 1 ปี 2.2 การชำรุดของภาชนะบรรจุ ภาชนะสำหรับบรรจุสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะผุกร่อนโดยสารเคมีที่บรรจุน้ัน หรือแตก หรือฉีกขาดได้ สารป้องกันกำจัดศตั รูพชื ชนิดน้ำมันเขม้ ข้น (EC) อาจทำให้รอยต่อรอยเชือ่ มของภาชนะบรรจุชำรุดได้ ง่าย สารป้องกันกำจัดศตั รูพืชบางชนิดเม่ือเกบ็ ไวจ้ ะมีความเป็นกรดสูงขนึ้ ซึ่งสามารถทำใหภ้ าชนะบรรจผุ กุ รอ่ นได้เร็วขนึ้ ด้วย ดังนั้น ควรมีการตรวจสอบห้องเก็บสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูร่องรอยการสึกกร่อน การรว่ั ไหล และการเล่ือมสภาพของถังบรรจุสาร นอกจากนั้น ควรตรวจการจับเป็นก้อนของสารเคมชี นิดผง การตกตะกอนของ สารเคมที ่เี ปน็ ของเหลว หรือการเปียกชนื้ ของหบี หอ่ 3. ขอ้ ควรพจิ ารณาในการเกบ็ รกั ษาสารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ชื การเก็บรักษาสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นการชักนำสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเข้าสูร่ ่างกายผ้ทู ่ี เก่ยี วข้องได้ ในการปอ้ งกนั อนั ตรายจากสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื ในกรณีน้ีมขี ้อควรพจิ ารณา ดงั นี้ 3.1 อา่ นและทำความเข้าใจคำแนะนำในฉลากใหล้ ะเอยี ด 3.2 ควรเกบ็ สารเคมีในถงั บรรจเุ ดมิ เสมอ 3.3 อยา่ เก็บสารเคมีไวใ้ นภาชนะสำหรบั บรรจุอาหารซ่งึ อาจเกิดความเขา้ ใจผิดได้ โดยคดิ วา่ เป็นอาหาร 3.4 ควรเก็บสารเคมใี นห้องเกบ็ ใส่กญุ แจเรยี บร้อย 3.5 ไม่ควรเก็บสารเคมีหรือภาชนะบรรจสุ ารเคมีไวท้ ่เี ดยี วกับอาหารและน้ำดม่ื 3.6 ควรแยกเกบ็ สารควบคมุ แมลงและสารควบคุมวัชพชื เพื่อหลีกเล่ียงการปะปนกัน 3.7 ตรวจหารอยรว่ั รอยฉีกขาดภาชนะบรรจุสารเคมเี ป็นประจำอยา่ งสมำ่ เสมอ 4. การขนสง่ สารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช 4.1 อนั ตรายจากการขนส่งสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืช 4.1.1 การรั่วไหล ขณะขนย้าย เกิดจากภาชนะบรรจุชำรุด รอยเย็บตะเข็บชำรุดหรือเกิดจากการทิ่มแทงจาก ของมีคม หรือภาชนะบรรจุแตกหรอื ฉีกขาด 4.1.2 เกดิ อบุ ตั เิ หตุไฟไหม้ มีสารเคมที ี่ตดิ ไฟง่ายอยู่ในบริเวณเดียวกัน 4.1.3 เกิดอบุ ตั เิ หตุ ทำให้สารเคมีนั้นปนเปอ้ื นกับอาหารสง่ิ แวดลอ้ ม และคน 4.2 ข้อควรพิจารณากอ่ นทำการขนส่งสารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช ผรู้ บั ผดิ ชอบตอ้ งทำการตรวจสอบความเรียบร้อยอยา่ งละเอยี ดกอ่ น ดังนี้

2 4.2.1 การบรรจุหีบห่อ หบี ห่อที่บรรจุสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืชต้องได้มาตรฐาน สามารถทนทานต่อการกระแทก ระหวา่ งการขนสง่ ภาชนะหบี ห่อที่ไมไ่ ด้มาตรฐานจะทำให้เกิดอุบตั ิเหตุขณะขนสง่ ได้ง่าย 4.2.2 เครื่องหมายและฉลาก เครื่องหมายและฉลากต้องมีติดไปกับสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชนั้น โดยทั่วไปหลาย ประเทศมกี ฎหมายบังคับไว้ จดุ ประสงค์เพอื่ เตือนให้ผทู้ เ่ี ก่ียวขอ้ งรู้ถึงอนั ตรายทจี่ ะเกดิ เมื่อปฏิบัตเิ ก่ยี วข้องกับสารเคมเี หล่าน้ี 4.2.3 สภาพดินฟ้าอากาศ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชถ้าอยู่ในสภาพอากาศที่มีความร้อนสูงและความชื้นมาก เกนิ ไประหวา่ งเกบ็ รักษาหรือขณะขนสง่ จะมกี ารสลายตัว และอาจทำให้วัสดทุ ีท่ ำภาชนะบรรจเุ สอ่ื มสภาพได้ 4.2.4 วธิ ีการขนย้ายและอปุ กรณ์ท่ีใช้ อปุ กรณเ์ ครื่องใช้ตา่ ง ๆ ทช่ี ว่ ยในการขนย้าย เช่น ตะขอ สามารถทำให้หีบ ห่อชำรุดได้ จึงไม่ควรนำมาใช้ คนงานที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายสารเคมีเหล่านี้ต้องได้รับการแนะนำเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ เหล่านนั้ มากอ่ น การใช้อุปกรณเ์ ครื่องใช้ไม่เหมาะสม อาจทำใหห้ ีบห่อบรรจุสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ืชชำรุดได้ 4.3 การปฏบิ ตั เิ ม่อื เกิดเหตุฉกุ เฉนิ ผู้ที่เกี่ยวข้องควรเตรียมพร้อมเพื่อรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องลงมือแก้ไขสถานการณ์ทันที โดย ทำการตรวจหาการร่ัวไหลของสารป้องกนั กำจัดศัตรพู ืช เพอื่ ปอ้ งกันอันตรายทเ่ี กดิ ขึ้นตามมา ซงึ่ มีขอ้ แนะนำทค่ี วรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 4.3.1 เมอ่ื มีอุบัติเหตุขณะทำการขนสง่ ให้ปฏิบัติดังต่อไปน้ี 1) ปิดเคร่ืองยนต์ 2) หยดุ สบู บุหรี่ และห้ามจดุ ไฟทันที 3) เปดิ ดชู ่ือสารเคมี ชนดิ ของสารเคมใี นบัญชที บี่ ันทกึ ไว้ 4) ทำการเตอื นภัยบรเิ วณพื้นท่ีท่ีเกดิ อุบัตเิ หตุ 5) พยายามควบคุมการกระจายของวัตถอุ ันตรายโดยกลบดว้ ยดิน ทราย ปูนขาว หรอื ข้ีเล่ือย 6) กันผู้โดยสารให้อยู่ต้นลมหรอื เหนอื ทิศทางกระแสลมเพื่อป้องกันการสูดดมสารพิษ 7) เกบ็ รวบรวมภาชนะและสิง่ ปนเปอื้ นตา่ ง ๆ ฝังกลบใหห้ มดหรือเผาทำลายเสีย 4.3.2 การปฐมพยาบาล ในกรณีท่ีสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชเปือ้ นคน ขจัดสารเคมีทีห่ กเปื้อนออกให้หมด ด้วยการ ทำความสะอาดดว้ ยน้ำและสบู่หลาย ๆ ครงั้ 4.3.3 การป้องกนั ไฟ ถ้ามไี ฟเกดิ ข้นึ 1) ดบั ไฟให้หมด เพ่ือป้องกันไมใ่ ห้ลกุ ลามไป 2) เมอ่ื มีไฟไหมส้ ารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ชื ใหห้ ลกี เล่ียงการสูดดมควันพษิ 5. แนวทางปฏิบัตเิ พอ่ื หลีกเลีย่ งการรบั พิษของสารเคมี 5.1 อา่ นและทำความเขา้ ใจคำแนะนำการใชบ้ นฉลากให้ละเอียด 5.2 ระมัดระวงั ขณะเขา้ ไปเกี่ยวข้องกบั สารป้องกนั กำจัดศตั รูพืช เช่น รนิ สารเคมี หรือผสมสารเคมี 5.3 ดแู ลอปุ กรณก์ ารพน่ ให้อยูใ่ นสภาพพรอ้ มใช้งาน ไมม่ ีรอยร่ัวหรอื ชำรุด 5.4 ทำความสะอาดรา่ งกายพร้อมกบั ทำความสะอาดชดุ ป้องกันทกุ คร้งั ท่ีเลิกปฏิบัตงิ าน 5.5 ห้ามกนิ ดม่ื และสบู บหุ รีข่ ณะปฏบิ ัตงิ าน 6. อุปกรณป์ อ้ งกนั พิษจากสารปอ้ งกันกำจดั ศัตรพู ชื 6.1 ชุดป้องกันอันตราย ชุดป้องกันที่เหมาะสมที่ได้มาตรฐานต้องเป็นชุดในลักษณะที่ปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย (coverall) หรือเป็นชุดที่สามารถป้องกันการซึมผ่านของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ มีความคงทนและสามารถซักล้างได้ง่าย (ภาพที่ 1)

3 ภาพท่ี 1 ชดุ ป้องกันอนั ตรายจากสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช 6.2 ถุงมอื ทีจ่ ำหน่ายตามท้องตลาดมหี ลายชนิดและหลายรปู แบบ (ภาพท่ี 2) ถงุ มอื ที่ดจี ะต้องป้องกันตัวทำละลาย ที่ผสมในสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช แต่มีราคาแพง ถุงมือราคาถูกที่จำหน่ายในท้องตลาด ส่วนมากจะไม่ทนทานต่อสารป้องกัน กำจดั ศัตรูพืชชนิดเข้มขน้ ถุงมอื ที่ทำจากพลาสตกิ ผสมยางจะป้องกันสารป้องกันกำจดั ศัตรพู ชื ไดห้ ลายชนดิ กอ่ นใช้ถุงมือทุกครั้ง ควรตรวจสอบอย่างละเอียดวา่ มีการชำรุดหรือไม่ โดยเฉพาะตามซอกน้ิวมือ หากชำรุดมีรอยแตกหรือร่วั ควรเปลี่ยนคู่ใหม่ เม่ือ เสร็จส้ินการปฏิบตั งิ านต้องล้างมือและทำความสะอาดถงุ มือทั้งภายนอกและภายใน ตากใหแ้ หง้ แล้วใช้แปง้ โรยภายในทำให้ง่าย ต่อการสวมใส่ในคร้ังต่อไป ภาพที่ 2 ถงุ มอื

4 6.3 รองเท้าหุ้มข้อ หรือที่รู้จักกันทั่ว ๆ ไป คือ รองเท้าบู๊ท (ภาพที่ 3) มีจำหน่ายหลายชนิดและหลายรูปแบบ เช่นกัน การใช้งานควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะการปฏิบัติงานพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในนาข้าว ควร เลอื กใชร้ องเท้าบู๊ทท่ีมีความสงู ปดิ ถึงคร่ึงน่อง กระชบั และไมม่ ซี ับใน มีความสะดวกต่อการเดินในสภาพนาข้าว เม่ือใช้ต้องสวม ให้ขากางเกงคลุมไว้ภายนอก เพื่อป้องกันไม่ให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชไหลซึมลงภายในรองเท้าและสัมผัสกับร่างกายได้ ต้อง ล้างและทำความสะอาดทุกคร้งั หลังเลกิ งาน และควรตรวจสอบสภาพอย่างสม่ำเสมอ หากชำรุดควรเปลีย่ นคู่ใหมท่ นั ที ภาพท่ี 3 รองเทา้ ห้มุ ขอ้ 6.4 อปุ กรณ์ปกปอ้ งระบบหายใจ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนดิ ได้แก่ 6.4.1 หน้ากากชนิดใช้แล้วทิ้ง หน้ากากชนิดใช้แล้วทิ้ง (ภาพที่ 4) ที่เหมาะสมสำหรับพ่นสารควบคุมแมลง จะต้องประกอบด้วยตัวกรอง 2 ส่วน คือ ชั้นแผ่นกรอง ที่ทำจากเส้นใยไม่ถักทอกรองฝุ่นและละอองยาฆ่าแมลง และชั้นกรอง คาร์บอน ที่แทรกอยู่ตรงกลางของชั้นแผ่นกรองสำหรับกรองไอระเหยของยาฆ่าแมลง สำหรับผงคาร์บอนนั้นจะทำมาจาก กะลามะพร้าว โดยนำไปเผาและกระต้นุ เพื่อใหเ้ กิดรูพรุนโดยใช้ไอน้ำอุณหภูมิสูง (800 - 900 องศาเซลเซยี ส) หรือใช้ไนโตรเจน จนไดผ้ งคารบ์ อนท่ีมรี พู รนุ สงู เพือ่ จับไอระเหยของสารอนิ ทรีย์ ภาพท่ี 4 หนา้ กากชนิดใช้แลว้ ท้ิง 6.4.2 หนา้ กากชนิดเปลยี่ นไสก้ รอง (ภาพที่ 5) หน้ากากชนดิ เปล่ียนไสก้ รองที่เหมาะสมสำหรับ พน่ สารควบคมุ แมลงจะตอ้ งประกอบด้วยตัวกรอง 2 สว่ น คือแผน่ กรอง และตลบั กรองคาร์บอน (ภาพท่ี 6)

5 ภาพท่ี 5 หน้ากากชนิดเปลี่ยนไส้กรองแบบไส้กรองเดีย่ วและไส้กรองคู่ ภาพที่ 6 แผน่ กรอง และตลบั กรองคาร์บอน 6.5 ครอบตานิรภยั (ภาพที่ 7) เป็นอปุ กรณ์สำหรับชว่ ยปอ้ งกันหรอื เพ่อื ลดอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นในขณะทำงาน ดังนน้ั จึงควรสวมขณะทำการเตรียมหรือพ่นสารควบคมุ แมลงเพื่อป้องกันการซึมผา่ นบรเิ วณดวงตาและผวิ หนังโดยรอบ ภาพท่ี 7 ครอบตานิรภัย สำหรับเกณฑ์ในการเลือกครอบตานริ ภยั มี 5 ประการ ดงั น้ี 1. ควรเลอื กชนดิ ท่มี ีกรอบกระชบั แข็งแรง เหมาะกบั การสวมใส่ในการทำงาน 2. ควรเลือกชนดิ ท่มี ีคุณสมบัตใิ นการป้องกนั อนั ตรายไดส้ ูงสุดและใชง้ านได้ตลอดเวลา ตลอดจนผ่านการทดสอบ มาตรฐานและแสดงสญั ลักษณ์จากหน่วยงานที่นา่ เช่ือถือ เช่น สญั ลกั ษณ์ Z87+ หมายถึง ผา่ นมาตรฐานทดสอบสำหรับอุปกรณ์ ปกปอ้ งใบหนา้ และดวงตาของสหรัฐอเมรกิ า

6 3. มีขนาดที่กวา้ งใหญ่พอดีกับขนาดของรูปหน้าและจมกู โดยวดั ระยะหา่ งของชว่ งตาลบด้วยความกว้างของจมูกจะ เทา่ กบั เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางทย่ี าวของเลนส์ที่จะใช้ 4. สามารถทำความสะอาดได้ง่ายเพื่อใหอ้ ยู่ในสภาพพร้อมใชง้ านได้ทนั ทีและไมต่ ดิ เชื้อได้งา่ ย 5. ทนความร้อนไมต่ ิดไฟงา่ ย 6.6 ผา้ กันเป้ือน (ภาพที่ 8) โดยทัว่ ไปใชใ้ นขณะท่ีผสมหรือถ่ายเทสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื ลงในภาชนะอื่น หรือใช้ ขณะที่ล้างทำความสะอาด ผ้ากันเปื้อนทำด้วยพลาสติก ยาง หรือโพลีเอทธีลีน การป้องกันไม่ให้สัมผัสกับสารป้องกันกำจัด ศัตรูพืช ควรออกแบบให้ปิดด้านหน้าตั้งแต่คอลงไปถึงหัวเข่า บางท้องที่เกษตรกรใช้ผ้าพลาสติกผูกติดกับหน้าท้องคลุมลงถึง หน้าแข้งเพื่อป้องกันสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่พ่นกับพืชที่มีทรงพุ่มหนาทึบ เช่น การพ่นสารควบคุมแมลงศัตรูฝ้ายและข้าว จากการทดลองพบวา่ ปริมาณสารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชจะตดิ จากสว่ นล่างของร่างกายข้นึ มายังสว่ นบนของรา่ งกายตามความสูง ของต้นพืช เพื่อปอ้ งกนั การสัมผสั กบั สารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื ถา้ หากเกษตรกรไม่มีชุดเส้ือผา้ ป้องกันสารพิษ อาจใช้ผ้าพลาสติก ปกปิดสว่ นของรา่ งกายทีจ่ ะสัมผัสกบั สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ืชได้ตามสมควร ภาพที่ 8 ผา้ กันเป้ือน 7. ข้อแนะนำสำหรับการพจิ ารณาเลือกชดุ และอปุ กรณ์ปอ้ งกันสารพิษ ในกรณีที่ไม่มีชุด ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชควรเลือกใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นแทน อย่างน้อยก็จะช่วยลด การปนเป้อื นของสารปอ้ งกันกำจดั ศัตรพู ชื ได้ระดับหน่ึง มีข้อแนะดังน้ี 7.1 สำหรับชุดปฏบิ ัติงาน เมอ่ื ต้องการใช้งาน ควรเลือกใชช้ ดุ ทมี่ คี ณุ สมบัติ ดงั นี้ 1) มคี วามสบายเม่อื สวมใส่ แนะนำให้ใช้ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ทำด้วยผ้าฝา้ ยหรือสารสงั เคราะหอ์ ืน่ 2) สามารถปกปิดอวัยวะต่าง ๆ ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันสารพิษเข้าสู่ร่างกาย และควรสวมหมวกเพื่อป้องกัน สารเคมีตกลงบนศรี ษะ 3) ชุดปฏบิ ตั ิงานตอ้ งไมห่ นามากเกนิ ไป และมีนำ้ หนกั พอสมควร 4) ชุดปฏบิ ัติงานต้องอยใู่ นสภาพดี ไมข่ าด 5) ควรแยกทำความสะอาดเส้ือผ้าชดุ ปฏิบัติงาน ไม่ควรปะปนกับเสอื้ ผ้าทีใ่ ช้ประจำวัน 7.2 ชุดผา้ สำหรับปอ้ งกนั สารเคมี ควรเลอื กใช้ชดุ ทมี่ ีคณุ สมบัติ ดังน้ี 1) เม่อื ปฏิบัตงิ านเกย่ี วขอ้ งกบั สารเคมี ควรใสช่ ุดทท่ี ำด้วยผ้าฝา้ ยหรือผา้ ใยสังเคราะห์ 2) ชุดที่ปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย (coveralls) เป็นชุดที่เหมาะสมที่สุด ควรเป็นชุดที่ใช้กระดุมหรือยางยดื ท่ี บริเวณขอ้ มือและคอ และไมค่ วรมกี ระเป๋า 3) ชดุ ปอ้ งกนั ที่ทำเปน็ 2 ส่วน เสอื้ และกางเกง ควรใชต้ ามเชน่ เดียวกบั ชุดปฏิบัตงิ าน 7.3 ผา้ กันเปอ้ื น ใช้เพ่อื ป้องกนั สารเคมีบริเวณด้านหนา้ ของรา่ งกาย ตง้ั แตบ่ ริเวณหน้าอกจนถึงหวั เข่า แนะนำให้ใช้ พลาสตกิ แทน

7 7.4 ถงุ มอื ควรใสถ่ งุ มือ เม่ือเทสารเคมี ผสมสารเคมแี ละการขนยา้ ยสารเคมี ถ้าไม่มีถงุ มือท่ีเหมาะสม สามารถใช้ถุง มือพลาสติกแทนได้ช่ัวคราว ควรเป็นถุงที่ใสง่ า่ ย สะดวก และหยิบจับวัสดไุ ด้ง่าย 7.5 หน้ากากป้องกันหน้า สำหรับป้องกันสารเคมกี ระเด็นเข้าหน้าขณะทำการผสมสารเคมี แว่นตาป้องกันสารเคมี ควรใชแ้ วน่ สายตาแทน

8 พษิ และอันตรายของสารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รพู ชื สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแต่ละชนิดเปรียบเหมือนดาบ 2 คม ด้านหนึ่งจะป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป้าหมาย และอีกด้าน หน่ึงทำใหเ้ กิดอันตรายต่อคนและสัตว์ รวมถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมดว้ ย ดงั นั้น ผู้ท่เี กย่ี วขอ้ งกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ดงั กลา่ ว ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเปน็ พิษและอนั ตรายที่จะเกดิ ขึน้ ใหช้ ัดเจนก่อนการใชง้ าน 1. พษิ ของสารป้องกันกำจัดศตั รูพชื พิษหรือความเป็นพิษ หมายถงึ ความสามารถของสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืชชนิดน้ัน ๆ ทจี่ ะก่อให้เกิดอันตรายหรือ บาดเจ็บต่อเป้าหมาย ถ้าสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้นมีพิษสูง อันตรายที่บุคคลที่เกี่ยวข้องจะได้รับก็มีสูงด้วย ความเป็นพิษน้ี ตรวจวัดด้วยค่า LD50 (โดย LD50 หมายถึงปริมาณสารเคมบี รสิ ุทธ์ิที่ทำให้สัตว์ทดลองตาย 50 เปอร์เซ็นต์ มีหน่วยเป็นมิลลกิ รมั ต่อกโิ ลกรัมของนำ้ หนกั ของสัตวท์ ดลอง พิษของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชชนิดเดียวกัน เมื่อเข้าสู่ร่างกายคน ค่า LD50 อาจแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ เส้นทางท่ีสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื นน้ั เขา้ สู่รา่ งกาย และชนดิ ของสูตรสำเร็จของสารป้องกันกำจัดศตั รูพืชน้ัน ๆ 2. ชนดิ ของความเปน็ พิษ ความเปน็ พิษของสารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืช สามารถแบ่งออกเป็นกลมุ่ ใหญๆ่ ได้ 2 กลุ่ม ดงั น้ี 2.1 พิษเฉียบพลัน (acute toxicity) เมื่อได้รับพษิ จะแสดงอาการทันที แม้จะรับพิษเพียงครั้งเดียว ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การรับหรอื สัมผัสกบั วัตถอุ ันตรายในปรมิ าณมากอยา่ งกระทันหนั เชน่ สารเคมกี รด เป็นตน้ 2.2 พษิ เรอื้ รงั (chronic toxicity) เป็นการรับพษิ ครงั้ ละไม่มาก เป็นระยะเวลานาน และได้รบั หลายครัง้ จึงจะแสดง อาการ 3. ผลเสยี ของสารป้องกันกำจัดศตั รูพืช ผลเสียที่เกิดขึน้ จากสารพิษนั้นมมี ากมาย ได้แก่ สารพิษอาจตกค้างอยู่ในผลผลิต ในสิ่งแวดล้อม เช่น ตกค้างในดิน ตามแหล่งน้ำ ซึ่งจะหมุนเวียนกลบั มาสูพ่ ืชที่เปน็ อาหารของคนได้ ดังนั้น จึงควรใช้สารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพืชเทา่ ทีจ่ ำเป็นเท่านัน้ และการใช้แตล่ ะครั้งต้องใช้อย่างเหมาะสมดว้ ย ผลเสยี ท่ีเกิดจากสารพิษ แบ่งออกเป็นกลมุ่ ได้ 3 กลุ่ม ดงั น้ี 3.1 ผลเสียต่อสุขภาพ การได้รับสารพิษบ่อยครั้งและติดต่อกันเป็นเวลานาน สารพิษอาจสะสมในร่างกายจนถึง ปริมาณที่เป็นพิษ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ ทรุดโทรม เกิดการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ยังมีผลทางอ้อมเช่นกัน ได้แก่ จะให้รา่ งกายต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้น้อยลง ถา้ หากได้รบั พิษในปริมาณที่สูง รา่ งกายจะแสดงอาการจากการท่ีได้รับ สารพษิ ชัดเจนภายในเวลาไมน่ าน เช่น อาการออ่ นเพลีย วิงเวยี นศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง และท้องร่วง ในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะผักสด จะมีสารพิษตกค้างมาก เช่น ถั่วฝักยาว คะน้า เป็นต้น เมื่อบริโภค สารพิษจะเข้าสู่ร่างกายและสะสม ดังนั้น ก่อนบริโภค ควรล้างก่อน การล้างด้วยน้ำไหลนาน 2 นาที จะลดปริมาณสารพิษได้ ประมาณ 54-63 เปอร์เซน็ ต์ 3.2 ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถ้ามีสารพิษสะสมในดินหรือแหล่งน้ำในปริมาณสูง จะทำให้สิ่งมีชีวิตในดิน หรือใน แหล่งน้ำตาย เช่น ไส้เดือน ปลาซึ่งเป็นแหล่งอาหารโปรตีนของคน ถ้าสารพิษที่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมเข้าไปในห่วงโซ่อาหาร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมากมาย เกษตรกรพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเพื่อฆ่าแมลง เมื่อนกกินแมลงนกก็จะตายด้วย หรือถ้า สารพษิ สะสมในแหลง่ น้ำ ปลาท่อี าศัยอยู่จะได้รับสารพิษดว้ ย ถา้ คนจบั ปลาจากแหล่งน้ำนั้นมาบริโภค คนกจ็ ะได้รับสารพิษด้วย เช่นกัน สารพษิ จะสะสมในรา่ งกายคนมากขน้ึ จนในทสี่ ุดจะเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพได้ 3.3 ผลเสยี ตอ่ เศรษฐกจิ พจิ ารณาเบ้ืองตน้ งา่ ยๆ ถ้าสนิ ค้าเกษตรทสี่ ่งขายมีปริมาณสารพษิ สงู เกนิ ค่ามาตรฐาน คงไม่ มใี ครอยากซอื้ สนิ ค้าน้นั ไปบริโภคแน่นอน การสง่ สนิ คา้ ออกตอ้ งหยุดชะงัก ทำใหร้ ายไดล้ ดลงก็จะเกิดความเสียหายต่อเกษตรกร และตอ่ เศรษฐกิจของประเทศโดยรวม เปน็ ตน้ ถ้าพิจารณาด้านสุขอนามัยของเกษตรกร หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เมื่อได้รับพิษ และแสดงอาการเจ็บป่วย จำเปน็ ตอ้ งทำการรกั ษาพยาบาล ซึง่ ต้องเสยี ค่ารกั ษามากมายกวา่ จะหายจากอาการปว่ ย แม้จะรักษา หายแล้ว บางกรณกี ย็ ังมอี าการแพ้สารพษิ เป็นประจำ

9 4. อนั ตรายของสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ชื อันตรายหมายถึงการเจ็บปว่ ยทเี่ กิดข้ึนเมอ่ื ได้รับสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช อันตรายท่ีเกดิ ข้ึนนนั้ จะรุนแรงมากน้อย ระดับใดขน้ึ กบั ปัจจัยหลายประการด้วยกนั ได้แก่ หนทางที่สารพิษเขา้ สู่รา่ งกาย (ทางการหายใจ ทางผิวหนงั และทางปาก) อตั ราการใช้ ความถ่ีในการใช้ ระยะเวลาทใ่ี ช้ และสตู รสำเร็จของสารป้องกันกำจดั ศัตรพู ืช สำหรับการจัดแบ่งความเป็นพิษของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช องค์การอนามัยโลกได้กำหนดระบบการจัดระดับ ความเป็นพิษของสารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรไว้เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยอาศัยข้อมูลจากอันตรายที่เกิดขึ้นต่อคนหรือ สัตว์ทดลองเมื่อได้รับหรือสัมผัสกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช องค์การอนามัยโลกได้แบ่งระดับความเป็นพิษออกเป็น 4 กลุ่ม (ตารางท่ี 1) ตารางที่ 1 ระดบั ความเปน็ พิษของสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ชื แบ่งตามองค์การอนามัยโลก LD50 สำหรับหนูทดลอง (กรมั หรือมลิ ลกิ รัม/กโิ ลกรัมของน้ำหนกั ตัว) ชน้ั ระดบั ความเป็น ทางปาก ทางผวิ หนงั ปริมาณสารพษิ ท่ีทำให้เกดิ ปรมิ าณสารพษิ พิษ อาการกับคน อุปกรณ์ท่ใี ช้สำหรับ (น้ำหนกั 70 กก.) ตวงยานำ้ ของแขง็ ของเหลว ของแขง็ ของเหลว < 20 < 10 < 40 I a พิษรา้ ยแรงมาก < 5 20-200 10-100 40-400 < 5 กรัมหรอื 5 มิลลลิ ิตร < 1 ช้อนชา 100-1000 5 กรัมหรือ 5 มิลลิลติ ร 1 ชอ้ นชา I b พษิ ร้ายแรง 5-50 200-2000 > 1000 400-4000 30 กรัมหรอื 30 มลิ ลลิ ติ ร 2 ช้อนโตะ๊ > 2000 > 4000 > 30 กรมั หรอื 30 มิลลลิ ติ ร > 2 ชอ้ นโต๊ะ II พษิ ปานกลาง 50-500 III พิษน้อย > 500 ทม่ี า: (WHO, 2009) จากข้อมลู ในตาราง สรปุ ไดว้ า่ ถา้ LD50 มีคา่ สูง ความเปน็ พษิ ของสารเคมชี นิดน้ันจะต่ำ เช่น สารเทฟลูเบนซูรอน มีค่า LD50 = 5,000 สารเคมีชนิดนี้มีความเป็นพิษต่อคนและสัตว์ทดลองต่ำมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า LD50 มีค่าต่ำ สารเคมีชนิด นน้ั จะมีความเป็นพษิ ต่อคนหรือสัตว์ทดลองสงู มาก เช่น สารไตรอะโซฟอส มีค่า LD50 = 82 ซึ่งเป็นสารเคมีท่ีมีความเป็นพิษต่อ คนและสตั ว์ทดลองสูง 5. ฉลากสารป้องกันกำจดั ศัตรพู ชื ข้อความที่ปรากฏบนฉลากเป็นคำแนะนำในรายละเอียดต่าง ๆ ด้านประสิทธิภาพการป้องกันกำจดั วิธีการใช้ และ การปอ้ งกันอันตราย รวมทงั้ ข้อแนะนำอ่นื ๆ ด้วย ข้อมลู ทง้ั หมดนนั้ ได้ผลมาจากการทดลองทงั้ ในห้องปฏิบัติการและในสภาพไร่ ดงั น้ัน ถา้ ผูท้ ่เี กย่ี วขอ้ งทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ เหล่านนั้ การใช้สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รพู ชื ก็จะได้ประโยชนส์ งู สุด 5.1 วัตถุประสงค์ ฉลากสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช เป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย เพื่อต้องการให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้ ทราบขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เหล่านี้ 5.1.1 ชนิดของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในภาชนะบรรจนุ ั้น เปน็ สารกำจัดวชั พชื เช่น พาราควอต อาทราซีน หรือสารปอ้ งกนั กำจดั แมลง เช่น เฟนโิ ตรไธออน หรอื อิมดิ าโคลพรดิ เป็นต้น 5.1.2 เป้าหมายในการใช้สารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช เชน่ ใชเ้ พื่อ กำจดั วชั พืช โรคพืช หรือแมลงศัตรูพชื เป็นต้น ซง่ึ อาจบ่งบอกข้อมูลเฉพาะได้อีก เชน่ เปน็ สารปอ้ งกนั กำจดั แมลงท่ีใช้ได้ผลดีกับกลุ่มแมลงปากดูด เช่น คารโ์ บซัลแฟน หรืออิมิ ดาโคลพรดิ เปน็ ตน้ 5.1.3 คำแนะนำวิธีการใช้ เป็นคำแนะนำด้านการผสม ทั่วไปจะแนะนำอัตราการใช้เป็นปริมาณการใช้ (กรัม หรือ มิลลลิ ติ ร) ตอ่ นำ้ 20 ลิตร เช่น สารคารบ์ าริล อัตราการใช้ 20-30 กรมั ตอ่ นำ้ 20 ลิตร เปน็ ต้น 5.1.4 อันตรายที่อาจเกิดขึ้นและข้อแนะนำการปฏิบัติเพื่อป้องกัน เมื่อทำการผสม การเก็บรักษา และการใช้ ทั่วไปเป็นคำแนะนำข้อควรปฏิบัติขณะผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ข้อแนะนำการใช้อุปกรณ์ป้องกันสารพิษ หรือคำแนะนำ วธิ กี ารใช้ เช่น ขณะทำการพน่ ควรเรม่ิ จากด้านใตล้ ม ขณะผสมสารป้องกนั กำจัดศัตรูพชื ไมค่ วรสูบบุหร่ี เปน็ ต้น

10 5.1.5 คำแนะนำลักษณะอาการเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับสารพิษ ข้อบ่งชี้ลักษณะเมื่อได้รับสารพิษ รวมถึง คำแนะนำการปฐมพยาบาลเบ้อื งต้นดว้ ยในกรณีที่ได้รับพิษจนแสดงอาการ เป็นต้น 5.2 ขอ้ ท่คี วรพิจารณาการจัดทำฉลาก เพื่อใหข้ อ้ มลู บนฉลากบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ และได้ประโยชน์สงู สุด ฉลาก ควรมลี ักษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 5.2.1 ลกั ษณะของฉลากต้องชดั เจน เด่นชัด ถ้าเปน็ เครือ่ งหมายหรือสญั ลักษณ์ ต้องมีความชดั เจน และดึงดูด ความสนใจไดด้ ี 5.2.2 ข้อความบนฉลากต้องกระชับ สั้น อ่านง่าย เข้าใจได้ทันที ข้อมูลคำแนะนำต่าง ๆ ที่เขียนลงบนฉลาก น้ัน ต้องให้บคุ คลทวั่ ไปสามารถอ่านและเขา้ ใจได้งา่ ย 5.2.3 ควรใช้ภาษาท้องถ่ิน หรือภาษาทใ่ี ช้เปน็ ทางการไมค่ วรใช้ภาษาอน่ื บนฉลาก 5.2.4 ขนาดของตวั พิมพ์ ตอ้ งมขี นาดโตพอเพ่ือให้อ่านได้ง่ายดว้ ยตาเปลา่ 5.2.5 ใช้ตัวอักษรธรรมดาท่ชี ัดเจนและอ่านงา่ ย 5.2.6 การเนน้ ข้อความสำคัญต้องชดั เจน เช่น ใชต้ วั หนา พิษรา้ ยแรงย่ิง เปน็ ต้น 5.2.7 การเนน้ ขอ้ มูลดว้ ยสตี ่าง ๆ ต้องใช้สที แ่ี ตกต่างกันชดั เจน เช่น 1) ขอ้ ความสีดำบนพื้นสเี หลือง 2) ขอ้ ความสเี ขยี วบนพืน้ สขี าว 3) ขอ้ ความสีแดงบนพื้นสีขาว 4) ขอ้ ความสขี าวบนพนื้ สนี ำ้ เงนิ 5) ขอ้ ความสดี ำบนพน้ื สขี าว 5.2.8 ใช้แถบสีกำหนดความแตกต่างของความเป็นพิษ (ภาพที่ 1) ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้แล้ว ได้แก่ 1) แถบสแี ดง หมายถึง สารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชมพี ษิ รา้ ยแรงมาก 2) แถบสีเหลอื ง หมายถงึ สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพืชมีพิษร้ายแรง 3) แถบสนี ำ้ เงิน หมายถงึ สารป้องกนั กำจัดศัตรพู ืชทีค่ วรระวงั ภาพท่ี 1 แถบสกี ำหนดความเป็นพิษของสารป้องกันกำจัดศัตรพู ชื การใชเ้ ครือ่ งหมาย สัญลักษณ์ รูปภาพ ในฉลาก เปน็ การส่งผา่ นคำแนะนำในรปู แบบท่เี ข้าใจง่าย โดยเฉพาะผู้ที่เกีย่ วท่ี ไม่สามารถอา่ นขอ้ ความคำแนะนำบนฉลากได้ (ภาพท่ี 2)

11 ให้เกบ็ มิดชดิ พน้ มือเดก็ ให้ชำระลา้ งหลังการใช้ เปน็ อนั ตรายต่อสตั ว์ เป็นอันตรายต่อปลา เลีย้ ง และสตั ว์น้ำ ห้ามเททิ้ง ในแหลง่ นำ้ สวมอปุ กรณ์ป้องกันตา สวมอุปกรณ์ป้องกนั จมกู และปาก สวมหน้ากากป้องกนั ไอพิษ สวมถงุ มอื ป้องกันการ สมั ผัสถกู มือ สวมผ้ากนั เปื้อน เพื่อ ป้องกนั อนั ตรายต่อ สวมชุดป้องกันวตั ถุ ผู้ใช้ อนั ตรายตลอดตัวผู้ใช้ สวมรอ้ งเทา้ ป้องกัน ขณะฉีดและใช้ เท้า พิษรา้ ยแรงมาก พิษรา้ ยแรง อันตราย ภาพท่ี 2 ความหมายของสญั ลักษณบ์ นภาชนะบรรจุสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื 5.2.9 คำแนะนำหรือข้อความต่าง ๆ บนฉลากตอ้ งสามารถส่ือความหมายตามความเป็นจริงถึงผู้ค้าปลีก หรือ ผ้ใู ช้ได้ชดั เจน ไมส่ ามารถตีความเปน็ อย่างอื่นได้ และไม่ควรใช้ข้อความในลักษณะของการเปรียบเทียบ เชน่ สารอิมิดาโคลพริด สามารถควบคมุ แมลงปากดูดดีทสี่ ดุ ควรใช้คำพดู ธรรมดาว่า สารอิมดิ าโคลพริดใชค้ วบคมุ แมลงปากดูดได้ เปน็ ตน้ 5.2.10 ฉลากตอ้ งติดกบั ภาชนะบรรจุไมห่ ลุดหรือลอกออกไดง้ ่าย 5.3 ข้อมลู ท่ีควรมีในฉลากของสารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื ควรประกอบด้วยข้อมลู ทจ่ี ำเป็น ดังต่อไปนี้ 5.3.1 ขอ้ มลู ทางวชิ าการ เปน็ ข้อมลู ที่บ่งบอกรายละเอียดสำคัญตอ่ ไปน้ี 1) สง่ิ ทบี่ รรจุในภาชนะนั้นเป็นสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพชื ชนดิ ใด มรี ะดบั ความเป็นพษิ ระดับใด เป็นตน้ 2) คำแนะนำการใช้ การปอ้ งกันสารพิษ รวมไปถงึ คำแนะนำในการปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้

12 3) เทคนิคการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ใช้อย่างไร (ผสมน้ำพ่น หรือหยอดพร้อมปลูก เป็นต้น) เมื่อไร (ช่วงเวลาการใช้ที่เหมาะสม ได้แก่ เมื่อพบการระบาดของหนอน 2 ตัวต่อต้น หรือ เหมาะสมสำหรับการพ่นในเวลาเยน็ เช่น การใชไ้ วรสั เปน็ ตน้ ) และควรใช้ทไี่ หน 4) คำแนะนำการผสมสารป้องกนั กำจดั ศัตรูพชื 5) คำแนะนำวิธีการทำความสะอาดอุปกรณ์การพ่น การจัดการภาชนะบรรจุที่ใช้หมดแล้ว และชุด ป้องกันต่าง ๆ 6) คำแนะนำความเหมาะสมของการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช 2-3 ชนิดพร้อมกันเป็นไปได้ หรือไม่ 5.3.2 ขอ้ มลู ทางดา้ นกฎหมายและการผลติ 1) ทะเบียนวัตถุอนั ตราย 2) ชอ่ื บรษิ ทั ผูผ้ ลติ ตัวแทนจำหน่ายหรอื รา้ นคา้ ปลีก 3) วนั ทผ่ี ลติ /สตู รสำเรจ็ 5.4 รายละเอียดข้อมูลทั้งหมดที่ต้องพิมพ์ลงบนฉลาก ตามข้อกำหนดของกฎหมายตามที่กล่าวแล้วนั้น ในแต่ละ หัวข้อยังมีรายละเอียดย่อย ๆ อีก โดยทั่วไปแล้วข้อมูลย่อย ๆ นี้จะบ่งบอก ชนิด ประสิทธิภาพ และวิธีการใช้ของสารป้องกัน กำจดั ศตั รูพชื นน้ั อย่างชดั เจน ซง่ึ จดั กลุม่ ออกไดด้ ังนี้ 5.4.1 รายละเอยี ดของสารป้องกนั กำจดั ศตั รูพืชในภาชนะบรรจุ ประกอบดว้ ยรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 1) ชอ่ื การค้า 2) ช่อื สามญั 3) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ 4) เปอรเ์ ซน็ ต์ความเข้มข้นของสารออกฤทธ์ิ 5) ชนิดของสตู รสำเรจ็ 5.4.2 ความเขม้ ข้นของผลิตภณั ฑ์ 5.4.3 คำแนะนำ ประโยชน์การใช้ผลิตภัณฑ์ ตอ้ งประกอบดว้ ยรายละเอียดต่อไปนี้ 1) วิธีการใช้ เป็นข้อความอธิบายวิธีการใช้ที่ชัดเจน ใช้อย่างไร ใช้เมื่อไร และใช้ที่ไหน เพ่ือ ประสทิ ธภิ าพสงู สุด และปลอดภยั มคี วามเสีย่ งนอ้ ยทีส่ ดุ ซึง่ ควรมขี ้อความตอ่ ไปน้ี - คำเตือนเพอ่ื ป้องกนั การใชผ้ ดิ - ใชไ้ ดใ้ นพชื อะไร ศตั รพู ชื ชนิดไหน - อตั ราการพ่นตอ่ ไร่ ชว่ งเวลาการใช้ทเี่ หมาะสม วธิ กี ารใชท้ ี่ถูกตอ้ ง - ค่าช่วงเวลาที่อนุญาตให้ทิ้งช่วงตั้งแต่การพ่นสารจนถึงวันเก็บเกี่ยวที่เรียกว่า pre-harvest interval (PHI) - ขอ้ ห้ามในการใช้สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรูพชื 2) คำแนะนำการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรพู ืชต้องเป็นรายละเอียดที่สัน้ ชัดเจนโดยระบวุ า่ สารปอ้ งกัน กำจดั ศัตรูพืชชนดิ น้ีใชค้ วบคุมศตั รพู ชื อะไร (โรค แมลง หรอื วชั พชื ) 3) คำแนะนำการใชท้ ่วั ไป เปน็ ขอ้ ความช้แี นะการใชท้ ถี่ กู ตอ้ งเหมาะสม ไดแ้ ก่ - การเตรียมการ การผสม การใช้ การเกบ็ รักษา รวมถึงการขจัดภาชนะทีใ่ ชแ้ ล้ว เปน็ ตน้ - คำเตือนวา่ ผลิตภัณฑน์ ส้ี ามารถใชร้ ่วมกบั สารชนดิ อื่นได้หรือไม่ - คำเตือนถึงอนั ตรายท่ีอาจสง่ ผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม 4) คำแนะนำด้านความปลอดภยั ขอ้ ความท่ีใช้ ควรเป็น - ภาษา ขอ้ ความ หรือสัญลกั ษณท์ ีเ่ ข้าใจง่าย - ใชภ้ าพแสดงความเปน็ พษิ การตดิ ไฟ หรือสามารถระเบดิ ได้ เป็นตน้ - ใช้แถบสี ระบคุ วามเปน็ พิษ ควรใช้แถบสีตามระบบขององค์การอนามยั โลก

13 - ควรพมิ พ์ ข้อความ \"เก็บให้พน้ มอื เดก็ \" 5) การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและคำแนะนำแก่แพทย์ต้องมีข้อความระบุวิธีการรักษา เมื่อได้รับ สารพิษ ได้แก่ - อาการเมอ่ื ได้รบั สารพิษ - การปฐมพยาบาลเบ้อื งตน้ - ข้อมลู หรือคำแนะนำแกแ่ พทย์ 5.4.4 ปรมิ าณ (น้ำหนัก หรอื ปริมาตร) ของผลิตภณั ฑ์ในภาชนะบรรจุ 5.4.5 ทะเบียนวตั ถุอันตราย 5.4.6 วัน เดือน ปี ทีผ่ ลติ 5.4.7 จำนวนลอ็ ตท่ผี ลิต กลา่ วโดยสรปุ ว่าสารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชนนั้ แมจ้ ะเป็นทน่ี ิยมอย่างกว้างขวางในกลุม่ ของเกษตรกร เนื่องจากมีข้อดีอยู่ หลายประการ ขณะเดยี วกันก็กอ่ ให้เกดิ ผลเสยี ท่ีติดตามมามากมายด้วย ดังนี้ 5.5 ข้อดีของสารปอ้ งกันควบคมุ ศตั รูพืช 5.5.1 ใช้ได้สะดวกและทุกเวลา 5.5.2 ป้องกันกำจัดศตั รูพชื ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ 5.5.3 ไมต่ ้องใช้เทคนิคมาก 5.6 ข้อเสียของสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ชื 5.6.1 ทำใหศ้ ตั รพู ืชสร้างความต้านทาน เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนใยผกั เปน็ ตน้ 5.6.2 ทำให้ปริมาณศัตรูพืชเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เนื่องจากศัตรูธรรมชาติถูก ทำลายไป 5.6.3 ทำให้เกิดปัญหาพิษตกค้างของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในพืชสัตว์ และสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจเป็น อนั ตรายตอ่ มนุษย์ 5.6.4 ทำใหเ้ กดิ อนั ตรายโดยตรงต่อผ้ใู ช้ 5.6.5 ทำให้ส่งิ มชี ีวิตอื่นทไี่ ม่ต้องการทำลายต้องตายไปด้วย เช่น นก ปลา ผง้ึ และแมลงมีประโยชน์ชนิดต่าง ๆ 5.6.6 ทำใหเ้ กิดการระบาดของศัตรพู ืชชนิดใหมๆ่ ซง่ึ แต่ก่อนไมป่ รากฏว่ามีความสำคญั 5.6.7 ทำให้สมดุลธรรมชาติและสภาพทางระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนเปลี่ยนแปลงไป เกิดการระบาดของ ศตั รูพชื ได้ง่าย แม้ว่าสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืชจะมผี ลเสยี หลายประการ แตก่ ารใช้สารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ืชก็เป็นวิธีการเดียวที่สามารถ ลดปรมิ าณการระบาดของศัตรูพืชได้อยา่ งรวดเรว็ ดังนั้น การเรยี นรรู้ ายละเอยี ดของสารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื ชนิดตา่ ง ๆ ทั้งที่มี อนั ตรายสูงและต่ำ ตลอดจนเทคนคิ ในการใชอ้ ย่างถกู ต้อง ยอ่ มมผี ลดีต่อการนำสารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืชไปใชใ้ ห้ไดป้ ระสทิ ธิภาพ สงู สุด ประหยดั ค่าใช้จา่ ย และมีอันตรายนอ้ ยต่อสง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นนั้ เมอ่ื ต้องการใช้สารป้องกนั กำจดั ศัตรูพืชใหม้ ีประสิทธิภาพและถูกต้อง ผใู้ ช้ต้องเลือกสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้ ถกู กบั ชนิดของศัตรูพชื เลือกใช้ให้เหมาะกับเวลา ใชอ้ ตั ราการทถี่ ูกตอ้ ง และเลือกวธิ ีการใช้หรอื การพน่ ที่เหมาะสม 6. การประเมินความเส่ยี งของสารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ืช คา่ ความปลอดภยั Acceptable Daily Intake เรยี กยอ่ วา่ ADI หมายถึง ปริมาณสารทีบ่ ริโภคทุกวนั ตลอดชีวิตแล้ว ไม่พบความความเสี่ยงที่มีผลกระทบและเป็นต่อสุขภาพของผู้บริโภคค่า ADI มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมของสารต่อกิโลกรัมของ นำ้ หนกั ตวั เช่น สาร ไดอะซนิ อนมีค่า ADI = 0.05 มิลลกิ รัมต่อน้ำหนักตัว 1 กโิ ลกรมั สมมตผิ บู้ ริโภคมนี ้ำหนักตวั 60 กิโลกรัม ดงั น้นั จงึ สามารถรบั สารหรอื บรโิ ภคได้ 60x0.05 = 3 มิลลิกรัมต่อวนั และเมื่อนำค่ามาคำนวณเพอ่ื หา สารพิษตกค้างของสารไดอะซินอน CODEX อนุญาตให้ตกค้างในคะน้า คือ 0.05 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักคะน้า 1 กโิ ลกรัม ดงั นัน้ ผ้บู รโิ ภคมนี ำ้ หนักตวั 60 กิโลกรมั สามารถบริโภคคะน้าได้ไม่เกนิ 3/0.05 = 60 กโิ ลกรัมต่อวันโดยไม่ก่อให้เกิด

14 อนั ตรายเมื่อได้รบั ตลอดชวี ติ ซ่งึ เปน็ ไปไม่ไดท้ ผ่ี บู้ รโิ ภคนำ้ หนัก 60 กิโลกรมั จะบริโภคคะน้าทม่ี ีนำ้ หนักเท่าน้ำหนกั ตวั ในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามค่าดังกล่าวเป็นเพียงการคำนวณเท่านั้น อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่อาจก่อให้เกิด อันตรายจากการบริโภคผกั ท่มี กี ารปนเปอ้ื น ดงั น้ันก่อนบริโภคควรล้างผักตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสขุ แนะนำเป็นกจิ วตั ร

15 การเลอื กและการใช้สารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพชื การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้น มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องซึง่ ผูใ้ ช้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากละเลยอาจส่งผล ทำใหก้ ารควบคุมศัตรูพชื เปา้ หมายน้นั ไม่ได้ผล ทำให้ผลผลติ เสียหาย หรอื ทำให้คุณภาพของผลผลติ ลดลง ราคาลดลงและไมเ่ ป็น ท่ตี อ้ งการของตลาด 1. การเลือกสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืช การเลือกสารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื ให้ได้ประสทิ ธภิ าพสูงสดุ นั้น มีขอ้ ควรพจิ ารณาหลกั ดงั น้ี 1.1 ประสิทธภิ าพของสารป้องกันกำจดั ศัตรูพชื ต้องเฉพาะเจาะจง หรอื แนะนำไวส้ ำหรับการป้องกันกำจัดศัตรูชนิด นนั้ เทา่ นัน้ ซึง่ เก่ยี วข้องกบั ปจั จยั หลายอยา่ งด้วยกนั เชน่ ระยะการเจริญเติบโตของพืช ค่าใช้จ่ายในการใชส้ าร หรอื พษิ ตกค้าง ท่ีจะเกดิ กับผลผลติ เปน็ ตน้ 1.2 ชนิดของศัตรูพืช ศัตรูพืชที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรมี 4 กลุ่ม ได้แก่ โรคพืช แมลงศัตรูพืช หรือวัชพืช ภายใต้ กล่มุ เหลา่ นี้ยงั มีศัตรูพืชอกี หลายประเภท ซง่ึ การใช้สารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื จะแตกตา่ งกัน ท้งั นขี้ ึ้นกับชนดิ ของศตั รพู ชื ลกั ษณะ การเข้าทำลายของศัตรูพืช ซึ่งต้องเลือกวิธีการใช้สารให้เหมาะสมด้วย แมลงกลุ่มปากดูด ได้แก่ แมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟ เพลี้ย จกั จ่ัน หรอื เพลย้ี อ่อน แมลงกลมุ่ นจี้ ะอาศัยดดู กินน้ำเลยี้ งบรเิ วณใต้ใบ ดังนนั้ ถา้ จะใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชควรเลือกใช้สาร ประเภทดูดซมึ ผสมนำ้ พน่ โดยเนน้ การพน่ ทบี่ ริเวณแมลงอาศัยอยู่ สว่ นหนอนผีเสือ้ ต่าง ๆ ซึง่ เป็นแมลงกลุม่ กัดกินทำลายใบ ผล หรือต้น ควรเลอื กใชส้ ารกลุ่มถูกตัวตาย หรอื กินตาย เปน็ ต้น แมลงศตั รใู นโรงเก็บ เช่น มอดชนิดตา่ ง ๆ ควรใช้ สารรมเมธิลโบร ไมด์หรือ สารรมฟอสฟีน เป็นต้น การกำจัดวัชพืช ควรพิจารณาการเลือกใช้อย่างเหมาะสมก่อนการใช้ อาจเลือกใช้สารกำจัด กอ่ นวชั พืชงอก หรือหลังจากวัชพืชงอกแล้ว เป็นต้น 1.3 การใชร้ ว่ มกบั สารชนดิ อืน่ บางครัง้ การระบาดของศัตรูพชื อาจมหี ลายชนดิ อาจมีการระบาดรว่ มกันระหว่างไร ศัตรูพืชและหนอนผีเสื้อ ซึ่งจำเป็นต้องใช้สาร 2 ชนิดพร้อมกัน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่เลือกใช้นั้นต้องผสมกันได้ ไม่จับตัว เป็นตะกอน 1.4 ความสะดวกในการขนส่งและการเก็บรักษา การขนส่งสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้อง พิจารณาอย่างละเอียด หีบห่อที่ใช้บรรจุ ไม่ว่าจะเป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในรูปของของเหลวหรือฝุ่นผง ต้องเรียบร้อย สามารถป้องกันชำรดุ เสยี หายได้ 1.5 ไม่เป็นอนั ตรายตอ่ ศัตรูธรรมชาติหรือแมลงทเี่ ป็นประโยชน์ 1.6 มีพิษตกค้างสั้น 1.7 ไมเ่ ปน็ พิษตอ่ ตน้ พืช 2. การใชส้ ารป้องกันกำจดั ศตั รูพืช 2.1 การใช้แบบผสมน้ำ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ใช้แบบนี้ เป็นสารเคมีที่ละลายอยู่ในตัวทำละลายในรูปของ น้ำมันหรือผง ซึ่งมีความเข้มข้นสูง ต้องนำมาผสมกับน้ำก่อนใช้ตามคำแนะนำ บางชนิดอยู่ในสูตรผสมสำเร็จรูปมาจากโรงงาน ผ้ผู ลติ สามารถใช้ไดท้ นั ทีโดยไม่ตอ้ งผสมนำ้ การใช้สารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชแบบผสมน้ำแบง่ ออกได้ 5 วิธี (ตารางท่ี 1) คือ 2.1.1 การใชแ้ บบผสมน้ำมาก เป็นวิธีการทใี่ ช้น้ำผสมกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในอตั รามากกว่า 80 ลิตรต่อ ไร่สำหรับพชื ไร่ และมากกวา่ 160 ลิตรต่อไรส่ ำหรับไมผ้ ล ซง่ึ เปน็ วธิ กี ารท่ีเกษตรกรนิยมใช้ โดยทำการพน่ ด้วยเคร่ืองพ่นสารชนิด ใชแ้ รงคน หรอื ชนิดใชเ้ คร่ืองยนต์ การใชแ้ บบน้ีมีขอ้ เสียคือ ละอองสารมีขนาดค่อนขา้ งโต จะรวมตัวไหลลงดินได้งา่ ย เป็นผลให้ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชติดอยู่บนใบพืชเพียงเล็กน้อย ดังนั้น ควรทำการพ่นให้กระจายตามส่วนต่าง ๆ ของต้นพืชอย่างทั่วถึง ไมใ่ ห้โชกจนเกนิ ไป 2.1.2 การใช้แบบผสมนำ้ ปานกลาง เปน็ วธิ กี ารท่ีใช้น้ำผสมกบั สารป้องกนั กำจัดศัตรพู ชื ในอตั ราการพ่นระหว่าง 30-80 ลติ รต่อไรส่ ำหรับพชื ไร่ และ 80-160 ลติ รต่อไรส่ ำหรับไม้ผล วิธีการน้ีเป็นอกี วิธีหนึ่งท่เี กษตรกรสว่ นมากปฏิบตั ิกัน โดย พน่ ด้วยเครือ่ งพน่ สารชนดิ ใช้แรงคนหรือชนิดใชเ้ ครื่องยนต์ 2.1.3 การใชแ้ บบผสมนำ้ น้อย เป็นวิธีการทลี่ ดปรมิ าณนำ้ ที่ผสมกับสารป้องกนั กำจดั ศตั รพู ชื เหลือเพยี งไรล่ ะ 10-30 ลิตรสำหรบั พืชไร่ และ 30-80 ลติ รตอ่ ไรส่ ำหรบั ไมผ้ ล ตามชนดิ และอายุของพชื โดยใชเ้ ครอื่ งยนต์พน่ สารสะพายหลัง

16 แบบใช้แรงลมและใชห้ ัวฉดี ที่ควบคมุ อัตราการไหลได้ การพ่นสารแบบนำ้ น้อยจะมีขนาดละอองสารเล็กและสม่ำเสมอมาก การ พน่ วธิ ีน้ีสามารถลดค่าใชจ้ ่ายได้มาก ทำงานไดเ้ ร็วขน้ึ แตต่ ้องระมัดระวังอนั ตรายที่จะเกิดกับผู้พ่นและผทู้ อี่ ยู่ใกลเ้ คยี งมากยงิ่ ขึ้น 2.1.4 การใช้แบบผสมน้ำน้อยมาก เป็นวิธีการที่น้ำใช้ผสมกับสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชในอัตราการพ่นระหว่าง 1-10 ลติ รต่อไร่สำหรับพชื ไร่ และ 10-30 ลิตรตอ่ ไร่สำหรบั ไมผ้ ล ตามชนดิ และอายขุ องพืช โดยใช้เครอื่ งยนตพ์ น่ สารสะพายหลัง แบบใช้แรงลมและใชห้ ัวฉีดท่ีควบคมุ อตั ราการไหลได้ การพน่ สารวิธนี ้ีให้ละอองเลก็ มากและค่อนขา้ งสมำ่ เสมอ 2.2 การใช้แบบไมผ่ สมน้ำ เป็นการใช้สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพืชทีม่ สี ูตรเฉพาะ เชน่ ULV พ่นโดยเคร่อื งพ่นสารที่มีหัวฉีด แบบจานหมนุ หรอื เคร่ืองยนต์พน่ สารแบบใช้แรงลมท่ีดัดแปลงหวั ฉีด โดยท่วั ๆ ไป การพน่ สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืชด้วยวิธีนี้ใช้ อัตราการพ่นนอ้ ยกว่า 1.0 ลิตรต่อไรส่ ำหรับพชื ไร่ และมากกวา่ 10 ลิตรต่อไร่สำหรบั ไมผ้ ล ตารางท่ี 1 อัตราการพน่ (ลติ รตอ่ ไร)่ สำหรบั การพน่ สารในพชื ไร่และไมผ้ ล วธิ กี ารพ่น อตั ราการพน่ สาร (ลติ รต่อไร่) 1. แบบผสมนำ้ มาก (high volume, HV) พืชไร่ ไมผ้ ล 2. แบบผสมน้ำปานกลาง (medium volume, MV) >96 >160 3.แบบผสมนำ้ น้อย (low volume, LV) 32-96 80-160 4. แบบผสมน้ำนอ้ ยมาก (very low volume, VLV) 8-32 32-80 0.8-8 8-32 5. แบบไม่ผสมน้ำ (ultra low volume, ULV) <0.8 >8 (Matthews, 2014) หมายเหตุ : พืชไร่ รวมถงึ พืชไร่ ขา้ ว และผกั ไมผ้ ล รวมถงึ ไมผ้ ล และไม้ยนื ต้น 2.3 การใชแ้ บบพ่นฝุ่น ผง เม็ด เปน็ การใชโ้ ดยไมผ่ สมนำ้ การใช้แบบนส้ี ามารถใช้กับเครื่องพน่ ชนิดเดียวกับการพ่นสาร ป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมน้ำทั่วไปทีม่ ีอุปกรณ์สำหรับการพ่นแบบฝุ่นผง เช่น เครื่องยนต์พ่นสารสะพายหลังชนิดใชแ้ รงลม ซ่ึงจะมอี ปุ กรณ์สำหรบั การพน่ ฝุน่ ผงอยูด่ ้วย หรอื ใช้เครือ่ งพ่นทใ่ี ชส้ ำหรับการพน่ ฝนุ่ ผงเทา่ นน้ั ซงึ่ มจี ำหน่ายทั่วไป การพ่นสารปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ืชแบบฝุ่นหรอื ผงโดยไม่ผสมนำ้ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่หาน้ำได้ยาก ลมและความช้ืน เปน็ ปัจจัยสำคัญทีท่ ำให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชเกาะติดอยู่กับสว่ นต่าง ๆ ของพืชได้มากหรือน้อย การพ่นสารโดยวิธีน้ีควรพ่น ในขณะที่ลมสงบ และพืชมีความชื้นเล็กน้อย จะช่วยให้สารป้องกันกำจดั ศัตรูพืชเกาะติดกับพืชได้ดขี ึ้น เวลาที่เหมาะในการพน่ สารประเภทนี้ คือเช้ามืดหรือกลางคืน อย่างไรก็ตาม การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบฝุ่นผงนี้ มีประสิทธิภาพการควบคุม ศตั รพู ืชต่ำกว่าการใชใ้ นแบบผสมนำ้ และเหมาะสำหรบั การใชใ้ นพ้นื ทข่ี นาดเลก็ เทา่ นน้ั การพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบฝุ่นหรือผง จะเป็นอันตรายมากต่อระบบการหายใจมากกว่าการพ่นสารวิธี อ่นื ๆ เพราะละอองสารปลิวฟงุ้ อยู่ตลอดเวลาในขณะทำการพน่ จึงตอ้ งเพิ่มความระมดั ระวังเพ่ือความปลอดภยั ของผู้พ่นและผู้ที่ อยใู่ กลเ้ คียง ผใู้ ชค้ วรมีหน้ากากกรองละอองปอ้ งกนั ด้วย จากข้อเสียนเี้ องจึงทำใหไ้ มเ่ ป็นท่ีนยิ มของเกษตรกร สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนอกจากจะใช้แบบฝุ่นผงโดยไม่ต้องผสมน้ำแล้ว สามารถผลิตออกมาใช้ในรูปของเม็ด ซึ่ง การผลติ แบบเม็ดจะมสี ว่ นคลา้ ยกับแบบผงมาก ตา่ งกันที่ขนาดของเม็ดซง่ึ มีขนาดใหญ่กวา่ เหมาะสำหรับการใช้ร่วมกับการปลูก พืช อาจใช้หว่าน หรือโรยตามแถวพืช การหว่านหรือโรยควรสวมถุงมือและหน้ากาก การใช้สารป้องกนั กำจัดศัตรพู ืชในรูปของ เม็ดนี้ ตัวสารออกฤทธิ์จะละลายออกมาช้า ๆ ช่วยให้สามารถควบคุมศัตรูพืชได้นานขึ้น โดยเฉพาะการใช้สารพวกดูดซึมจะมี ประสิทธิภาพอยู่ได้ประมาณ 20-30 วัน และสามารถใช้ปอ้ งกันกำจัดได้ท้งั ศัตรูพชื ที่อยู่ในดินและที่อยู่บนพืช สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ในรปู เม็ดนี้ ไดจ้ ากการเคลอื บสารออกฤทธิ์บนวัสดุอืน่ เช่น เมด็ ทราย หรอื เม็ดดิน เป็นตน้ ทว่ั ไปแลว้ แบ่งออกเปน็ 3 กลมุ่ ดว้ ยกัน 2.3.1 กลมุ่ ทมี่ ขี นาดโต (macro granule: GG): มีขนาดระหว่าง 2,000-6,000 ไมโครเมตร

17 2.3.2 กลมุ่ ทีม่ ขี นาดละเอยี ดปานกลาง (fine granule: FG): มขี นาดระหวา่ ง 300-2,500 ไมโครเมตร 2.3.3 กลุ่มที่มีขนาดละเอียดมาก (micro granule: MG): มีขนาดระหว่าง 100-600 ไมโครเมตร (1 มิลลิเมตร = 1,000 ไมโครเมตร) อย่างไรกต็ าม ขนาดของเม็ดอาจกำหนดเป็น \"mesh\" ตามขนาดการเรียกของตะแกรงท่เี ม็ดสารนั้นผ่านได้ การใช้ ในรปู ของเม็ดน้ีมีข้อได้เปรยี บคือ สารพิษจะไมป่ ลวิ ตามกระแสลมเนื่องจากมีขนาดโต ดังน้นั จึงไมเ่ ปน็ อันตรายต่อระบบหายใจ สามารถใช้ในสภาพลมแรงได้ และไมจ่ ำเปน็ ต้องใชอ้ ุปกรณ์เครอ่ื งพ่น ใชว้ ิธหี วา่ น หรอื หยอดไดเ้ ลย 2.4 การใชแ้ บบกา๊ ซรม สารรม การใชแ้ บบน้ีเกิดจากการท่ีสารป้องกนั กำจัดศัตรูพืชเปล่ียนสภาพเป็นกา๊ ซ ซ่ึงการเปลี่ยน สภาพนั้นเกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ เกิดจากคุณสมบัติของตัวสารเองที่จะเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซเมื่อมีความชื้น เช่น อะลูมิเนียม ฟอสไฟดจ์ ะเปลย่ี นเปน็ ก๊าซฟอสฟีนซึ่งมีพิษสูงมาก ที่ความชื้นมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ หรอื เปลี่ยนสภาพเปน็ ก๊าซที่อุณหภูมิห้อง เช่น เมทิลโบรไมด์ เมื่อเก็บอยู่ภายใต้ความดันจะคงสภาพเป็นของเหลว เมื่อปล่อยออกมาจะเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซทันทีที่ อณุ หภมู ิห้อง เปน็ ต้น การเปล่ียนสภาพเปน็ ก๊าซอกี กรณี ไดแ้ ก่ การใชค้ วามรอ้ นบงั คบั ให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื นน้ั ระเหยเป็นกา๊ ซ เช่น การใช้เครื่องพ่นหมอก โดยการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชกับตัวทำละลาย เช่น น้ำมันดีเซล เมื่อปล่อยให้สารผสมดังกล่าว ผา่ นลงในก๊าซร้อนของเครอื่ งยนต์ สารผสมนั้นจะกลายเป็นหมอกควันทันที เป็นต้น การบังคบั ให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพชื เปล่ียนเป็นก๊าซท้ัง 2 กรณีนิยมใช้มากในการรมเพ่ือกำจัดศัตรูพืชตามโรงเก็บ หรอื โกดังท่เี ก็บผลผลติ เกษตร ปญั หาสำคัญคือ อันตรายทีผ่ ใู้ ช้จะได้รับสูงมาก เช่น เมทิลโบรไมดเ์ มื่อเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซแล้ว จะไม่มีกล่นิ ไมม่ ีสี ทำใหผ้ ้ใู ชไ้ ม่รู้วา่ บรเิ วณนน้ั มกี ๊าซน้อี ยู่ เปน็ ตน้ สตู รของสารป้องกันกำจดั ศตั รูพชื สตู รของสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื เปน็ สภาพหรือรูปแบบของสารเคมี หรอื ผลติ ภณั ฑ์ที่ได้จากการผสมปรุงแต่ง ระหว่าง สารสำคัญกับส่วนผสมอื่น เพื่อให้สารผสมปรุงแต่งหรือผลิตภัณฑ์นั้นเหมาะสำหรับการนำไปใช้ การที่ต้องผสมปรุงแต่งให้เป็น ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพการใช้นั้น เนื่องจากสารสำคัญมคี ุณสมบตั ิท้ังทางกายภาพและทางเคมีที่แตกต่างกัน เช่น ของแข็ง ของเหลว หรือความสามารถในการละลายในสารละลายต่าง ๆ และรวมถึงอัตราหรือปริมาณการใช้สารสำคัญที่แนะนำต่อ เป้าหมายค่อนข้างต่ำ จึงจำเป็นต้องผสมปรุงแต่งกับสารผสมอื่น ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ควบคุมศัตรูพืชได้ การผสมปรุงแตง่ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชมีเป้าหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ เพื่อกระจายสาระสำคัญให้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายอย่างทั่วถึง และสม่ำเสมอ และเพื่อเสรมิ ประสิทธภิ าพการควบคุมศัตรพู ืชใหส้ ูงขนึ้ เชน่ เพ่ิมความเปน็ พษิ ต่อศัตรูพืช เพิม่ การดูดซึมเข้าสู่ต้น พืช ความคงทนตอ่ การสลายตัว การจับเกาะเปา้ หมายได้นานขน้ึ ลดอันตรายทมี่ ตี อ่ ผ้ใู ช้ ลดการปลวิ หรือการระเหย เปน็ ตน้ 1. องค์ประกอบหลกั ของสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื โดยทัว่ ไปผลิตภณั ฑ์ สารป้องกันกำจัดศตั รูพืช ประกอบดว้ ยสว่ นผสมหลัก 2 ส่วน ไดแ้ ก่ สารสำคญั และสว่ นผสมอ่ืน 1.1 สารสำคัญ เป็นสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทำลายศัตรูพืชได้ โดยทั่วไปเป็นสารอินทรีย์สังเคราะห์ และมีคุณสมบัติที่ แตกต่างกัน ท้งั คณุ สมบัติทางเคมแี ละคุณสมบัติทางกายภาพ 1.2 ส่วนผสมอื่น เป็นสารชนิดอื่นที่ผสมในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นอยู่ในรูปที่สามารถใช้ได้อย่ างมี ประสิทธิภาพ สารกลุ่มนี้รวมถึงสารตัวทำละลาย สารทำให้เจือจาง หรือสารลดแรงตึงผิว เป็นต้น ซึ่งสารผสมปรุงแต่งที่ นำมาใชผ้ สมควรมีคุณสมบตั ิ ดังน้ี 1.2.1 มีราคาถกู 1.2.2 สามารถนำไปใชไ้ ดง้ า่ ย 1.2.3 สะดวกในการเก็บรักษาและการขนสง่ 1.2.4 มีความคงทนและคงสภาพไดน้ านพอสมควร 1.2.5 ทำใหส้ ารเคมที ่ไี ม่ละลายน้ำสามารถรวมกบั น้ำได้ 1.2.6 ทำให้สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพืชตดิ กับผิวศัตรูพชื ไดด้ ี

18 1.2.7 ลดแรงตงึ ผิวทำให้สารป้องกนั กำจัดศตั รพู ืชกระจายตามผิวใบพชื ไดด้ ี 2. ประเภทของสูตรผสมของสารปอ้ งกันกำจัดศตั รพู ืช สูตรผสมของสารปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ืชตามการจัดแบง่ ขององคก์ ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ท่มี ี ในประเทศไทยสรปุ ได้ดงั น้ี 2.1 กลุ่มสารผสมรูปแบบของของเหลว สารเคมีกลุ่มนี้ผสมอยู่ในรูปแบบของของเหลวจำเป็นต้องผสมน้ำก่อน นำไปใช้ ประกอบดว้ ย 2.1.1 สารผสมน้ำมันข้น (emulsifiable concentrate: EC) เป็น สูตรผสมที่นิยมใช้มากที่สุด สารผสมเป็น สภาพของเหลวเนื้อเดียว ได้จากการละลายสารสำคัญในตัวทำละลาย และผสมสาร emulsifier เพื่อให้สารออกฤทธิ์สามารถ รวมกับน้ำได้ สารนี้เมื่อผสมรวมกับน้ำจะได้สารละลายมีสีขาวขุ่น คล้ายน้ำนม เช่น อิมิดาโคลพริด 050 อีซี หรือ คาร์โบซัล แฟน 20 เปอร์เซน็ ต์ อีซี เปน็ ต้น 2.1.2 สารผสมข้นละลายน้ำ (water soluble concentrate: WSC) เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีสภาพ แบบเดยี วกบั ชนดิ แรก แต่เนือ่ งจากสารสำคัญสามารถละลายนำ้ ได้ จึงไมใ่ ส่สาร emulsifier ดงั น้ัน เวลาผสมกบั นำ้ จะไม่มีสีขาว ขนุ่ 2.1.3 สารผสมของเหลวขน้ (soluble concentrates: SL) เป็นสารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพชื คล้ายกับ WSC สีใส ผสมกบั น้ำจะไม่มสี ีขาวขุ่น เชน่ อมิ ิดาโคลพรดิ 100 เอสแอล เปน็ ต้น 2.1.4 สารผสมแขวนลอยขน้ (suspension concentrates: SC หรอื flowable concentrates: F หรอื FL) เป็นสูตรสำเร็จแบบใหม่คล้ายคลึงกับ wettable powder ซึ่งอยู่ในรูปของครีมหรือของเหลวเข้มข้น สามารถรวมกับน้ำได้ดี และอนุภาคของสารสามารถแขวนลอยอยู่ได้นานในสารละลาย โดยปกติสารสำคัญไม่ละลายหรือละลายได้น้อยมากในน้ำหรอื ตัวทำละลาย และตัวสารนั้นถูกบดให้มีขนาดเล็กกว่าขนาดของ wettable จึงทำให้แขวนลอยอยู่ได้นาน เช่น แอสเซ็นต์ 5 เปอรเ์ ซ็นต์ เอสซี เป็นตน้ 2.1.5 สารผสมแขวนลอยข้นสำหรับคลุกเมล็ด (flowable concentrate for seed treatment: FS) เป็น ของเหลวในรูปของสารแขวนลอย ใช้คลกุ เมลด็ หรอื ผสมน้ำพน่ 2.1.6 สารผสมแคปซลู แขวนลอย (capsule suspensions: CS) เปน็ สารผสมเหลวที่ไดจ้ ากกระจายแขวนลอย ของสารสำคญั ในรูปแคปซูลขนาดเลก็ ต้องผสมน้ำก่อนใช้ 2.1.7 สารผสมน้ำมันแขวนลอยในน้ำ (aqueous suspo-emulsion: SE) เป็นสารผสมเหลว ที่ได้จากการ กระจายแขวนลอยของอนุภาคของสารสำคญั ในน้ำ 2.1.8 สารเข้มข้นผสม organic solvent (OD Oil-based suspension concentrates: OD) เช่น โมเวนโต โอดี 2.1.9 สารผสมแขวนลอยข้นผสมสารผสมแคปซลู แขวนลอย (microcapsule / suspension combinations: ZC) เช่น เอฟโฟเรีย 247 แซดซี 2.2 กล่มุ สารผสมรูปแบบของผงหรือฝนุ่ สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ในกลุ่มนผ้ี ลติ ออกมาจำหน่ายในลักษณะต่าง ๆ กนั คือ 2.2.1 สารผสมชนิดผงละลายน้ำ (wettable powder: WP) ประกอบด้วยสารสำคญั และสารที่ทำให้เจือจาง ซึ่งเป็นสารผสมอื่น โดยปกติจะเป็นดินหรือ synthetic silica (hydrate silicon dioxide) และนิยมผสมสารทำให้เปียก (wetting agent) และตัวกระจาย (dispersing agent) สารปอ้ งกนั กำจดั ศตั รูพชื ชนิดนอ้ี ย่ใู นรปู ผง การบรรจุควรมิดชิดไมใ่ ห้ถูก ความชื้นจะทำใหส้ ารผสมรวมตวั กันเปน็ ก้อน สารออกฤทธ์ิอาจเส่อื มได้ เชน่ คารบ์ าริล 85 ดบั บลวิ พี เป็นต้น 2.2.2 สารผสมชนิดผง (dust: D หรือ dustable power: DP) เป็นผงแห้ง ประกอบด้วยสารสำคัญและสาร ผสมอน่ื ซึง่ อาจเป็นผงของหนิ บางชนิด เชน่ talc และ bentonite สารชนดิ น้ีมีความเขม้ ข้นตำ่ สามารถใช้ไดท้ นั ทีโดยเคร่ืองพ่น ผง ไมต่ ้องผสมน้ำ

19 2.2.3 สารผสมชนิดเม็ด (granules: G หรือ GR) คล้ายๆ ชนิดผง แต่มีขนาดของผงหรือเม็ดใหญ่กว่า เป็นสาร ปอ้ งกนั กำจดั ศัตรูพืชที่มีสารสำคัญเคลือบอยู่ดา้ นนอก สารผสมอืน่ ทนี่ ิยมใช้คือ ดิน และทราย เปน็ ต้น การใช้สารป้องกันกำจัด ศัตรพู ืชกระทำได้โดยการหว่านบนดินหรอื ในนำ้ คลา้ ยกับใสป่ ุ๋ย เชน่ ฟรู าดาน 3 เปอรเ์ ซน็ ต์ จี หรือ คูราแทร์ 3 จี เปน็ ตน้ 2.2.4 สารผสมแคปซลู ขนาดเลก็ (microcapsule) เปน็ สตู รสำเร็จใหม่ โดยการใช้สารท่ไี ม่ระเหย เช่น สารผสม ของ gelatin เคลอื บสารป้องกนั กำจดั ศตั รูพชื ทำให้ตวั สารสำคญั ไม่ซึมผ่านออกมาจึงไม่มีพษิ ในทางสัมผัส แต่จะมีพิษเม่ือกินเข้า ไป ในกรณีที่ต้องการให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนั้นมีฤทธิ์ทางสัมผัสด้วยจะเคลือบด้วยสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอีกชนิดหนึ่ง เช่น ในรูปของ juvenile hormone mimic \"Altosid\" สามารถออกฤทธิ์ได้นานเพียง 1-2 วัน แต่ถ้าเคลือบด้วยสาร polyurethane จะสามารถออกฤทธิ์ไดน้ านถงึ 53 วัน เป็นตน้ 2.2.5 สารผสมเหย่อื พิษ (bait: B) หมายถึง เหย่อื พษิ โดยการผสมสารป้องกันกำจัดศัตรูพชื กับอาหารหรือสาร ดงึ ดดู แมลง ทำให้แมลงเขา้ หาเหย่ือพิษในปริมาณมาก เชน่ สะตอม 0.005 เปอร์เซ็นต์ เป็นตน้ 2.3 กลุ่มสารผสมรปู แบบของสารรม สารเคมีในกลุ่มนีจ้ ะเปลยี่ นสถานะเป็นก๊าซที่อุณหภูมิต่ำหรืออุณหภูมิห้องได้ดี มคี วามเข้มข้นสงู พอที่จะกำจัดศตั รูพืช อตั ราการใชจ้ ะกำหนดเป็นน้ำหนักของสารต่อปริมาตรที่จะทำการรมสาร เช่น สารเมทิล โบรไ์ มด์ จะกำหนดอัตราการใชเ้ ป็น 24 กรัมต่อลกู บาศก์เมตร เป็นตน้ สารรมทด่ี ีต้องสามารถแทรกกระจายตัวได้ดี กลุ่มสารรม นปี้ ระกอบด้วย 2.3.1 สารรมชนดิ พ่นฝอย (aerosol) สารควบคมุ แมลงในรปู แบบนี้จะมีขนาดของละอองเล็กมาก สามารถลอย อยูใ่ นอากาศได้นาน ตวั สารจะอยูใ่ นสภาพที่รวมตัวกับกา๊ ซเหลวในกระป๋องทปี่ ดิ สนิท หรอื ให้ตวั สารโดนความร้อนจะเปลี่ยนเป็น ควนั โดยใช้เครอื่ งพ่นเฉพาะเรยี กว่าเครอื่ งพน่ หมอก ขนาดของละอองจะอยูร่ ะหว่าง 0.1-50 ไมโครเมตร (ไมครอน) 2.3.2 สารรม (fumigant) เป็นสารรมควันที่ออกฤทธิ์ในรูปของก๊าซพิษ จำเป็นต้องใช้ในสถานที่ปิดสนิท โดย ปกตใิ ช้ในการฆา่ ศตั รูพืชในโรงเกบ็ หรือเปน็ สารรมดิน สารน้อี าจอยใู่ นรูปของเหลวหรือของแข็งก็ได้ แตม่ ีคณุ สมบัตริ ะเหยตัวได้ดี ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ้ ง จะมีพิษโดยเข้าทำลายทางระบบหายใจ เช่น สารเมทลิ โบรไมด์ หรอื สารฟอสฟีน เป็นต้น

20 สูตรผสมของสารป้องกนั กำจัดศัตรพู ชื ตามการจดั แบง่ ขององค์การอาหารและเกษตรแหง่ สหประชาชาติ (FAO) ท่มี ีในประเทศไทย คำย่อ (code) ชื่อเต็ม (term) คำจำกดั ความ (definition) CS EC capsule suspension สารแขวนลอยแคปซลู ในของเหลว ต้องผสมนำ้ ก่อนพ่น F emulsifiable concentrate สารผสมเข้มข้น สารออกฤทธิ์ (active ingredient) ละลายอยู่ FS ใ น ต ั ว ท ำ ล ะ ล า ย (solvents) ผ ส ม เ ป ็ น เ น ื ้ อ เ ด ี ย ว กั น G, GR (homogeneous formulation) ต้องผสมน้ำก่อนพ่น เมื่อผสม GB นำ้ มลี กั ษณะสขี าวขุน่ OD flowable concentrates สารผสมแขวนลอยข้นอยู่ในรูปของครีมหรือของเหลวเข้มข้น SC สามารถรวมกับนำ้ ได้ดี SG flowable concentrate for seed สารผสมแขวนลอยทม่ี ีสภาพคงท่ี พรอ้ มใชก้ บั เมล็ดไดท้ ันที หรือ SL SP treatment หลังจากผสมนำ้ WDG, WG WP granular สารผสมชนิดเม็ด ประกอบด้วยขนาดต่าง ๆ ได้แก่ 100-600 WS 300-2,500 และ 2,000-6,000 ไมโครเมตร ZC granular bait เหยื่อพษิ ชนิดเมด็ oil-based suspension สารเข้มขน้ ผสม organic solvent concentrates suspension concentrate สารผสมแขวนลอยในสภาพคงที่ สารออกฤทธิ์อาจไม่ละลายใน (= flowable concentrate) น้ำมันหรือในน้ำ เมอื่ ผสมนำ้ ได้สารละลายสขี าวข่นุ water soluble granule สารผสมเหลว เมื่อละลายน้ำจะได้สารละลายของสารออกฤทธิ์ ในนำ้ soluble concentrate สารผสมเหลว มสี ใี สหรอื ขาวขนุ่ ต้องผสมน้ำก่อนพ่น water soluble power สารผสมชนดิ ผง ตอ้ งผสมนำ้ ก่อนพ่น water dispersible granule สารผสมชนดิ เม็ด ต้องผสมน้ำกอ่ นพน่ wettable powder สารผสมชนิดผง ต้องผสมนำ้ ก่อนพน่ water dispersible power for สารผสมชนิดผง ต้องผสมน้ำในอัตราความเข้มข้นสูงก่อนใช้กับ slurry seed treatment เมลด็ microcapsule / suspension สารผสมแขวนลอยขน้ ผสมสารผสมแคปซูลแขวนลอย combinations

21 การจัดแบ่งกลมุ่ สารฆา่ แมลงและไรตามกลไกการออกฤทธ์ิ ข้อมูลจาก IRAC (http://www.irac-online.org) (พฤษภาคม 2563) และ BASF (http://www.researchgate.net/file.PostFileLoader.html) กล่มุ 1. สารกลุ่มยบั ยงั้ เอนไซม์อะเซททลิ โคลนิ เอสเทอเรส กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มน้ีออกฤทธิ์ต่อระบบ กลมุ่ ย่อย 1A สารคาร์บาเมท (Carbamates) ประสาท โดยเป็นตัวยับยัง้ การทำงาน (inhibitor) ของ Alanycarb, Aldicarb, Bendiocarb, Benfuracarb, เอนไซม์อะเซทิลโคลินเอสเทอเรส ซ่งึ ทำหนา้ ที่ยอ่ ยสาร Butocarboxim, Butoxycarboxim, Carbaryl, สื่อประสาทชนดิ acetyl choline ทีท่ ำหนา้ ที่ถ่ายทอด Carbofuran, Carbosulfan, Ethiofencarb, กระแสประสาทที่บริเวณปลายประสาท (synapse) Fenobucarb, Formetanate, Furathiocarb, จากเซลประสาทหน่ึงไปสู่อีกเซลประสาทหน่ึงในระบบ Isoprocarb, Methiocarb, Methomyl, ประสาทส่วนกลางของแมลง (central nervous Metolcarb, Oxamyl, Pirimicarb, Propoxur, system, CNS) การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะ Thiodicarb, Thiofanox, Triazamate, เซทิลโคลินเอสเทอเรสทำให้มีการคั่งของสารสื่อ Trimethacarb, XMC, Xylylcarb ประสาท acetyl choline ที่บริเวณปลายประสาทใน ปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดกระแสประสาท กลมุ่ ย่อย 1B สารออรแ์ กนโนฟอสเฟต ไม่หยุดและเกิดมากเกินไป (hyperexcitation) จนทำ (Organophosphates) ใหแ้ มลงตาย Acephate, Azamethiphos, Azinphos-ethyl, Azinphosmethyl, Cadusafos, Chlorethoxyfos, Chlorfenvinphos, Chlormephos, Chlorpyrifos, Chlorpyrifos-methyl, Coumaphos, Cyanophos, Demeton-S-methyl, Diazinon, Dichlorvos/ DDVP, Dicrotophos, Dimethoate, Dimethylvinphos, Disulfoton, EPN, Ethion, Ethoprophos, Famphur, Fenamiphos, Fenitrothion, Fenthion, Fosthiazate, Heptenophos, Imicyafos, Isofenphos, Isopropyl O-(methoxyaminothio-phosphoryl) salicylate, Isoxathion, Malathion, Mecarbam, Methamidophos, Methidathion, Mevinphos, Monocrotophos, Naled, Omethoate, Oxydemeton-methyl, Parathion, Parathion- methyl, Phenthoate, Phorate, Phosalone, Phosmet, Phosphamidon, Phoxim, Pirimiphos- methyl, Profenofos, Propetamphos, Prothiofos, Pyraclofos, Pyridaphenthion, Quinalphos, Sulfotep, Tebupirimfos, Temephos, Terbufos, Tetrachlorvinphos, Thiometon, Triazophos, Trichlorfon, Vamidothion

22 กลุม่ 2. สารกลมุ่ ทห่ี ยุดการทำงานของชอ่ งคลอไรดท์ ท่ี ำงานโดยกรดแกมมา อะมโิ นบวิ ไทริค (GABA) กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบ กล่มุ ย่อย 2A สารไซโคลไดอีน (Cyclodiene) ประสาทโดยไปขัดขวาง (block) การทำงานของช่อง Chlordane, Endosulfan คลอไรด์ที่ทำงานโดยกรดแกมมาอะมิโนบิวไทริค (GABA-gated chloride channel) ทำให้ไม่สามารถ กลุม่ ย่อย 2B สารฟีนีลไพราโซล ลดระดับการสง่ กระแสประสาทได้ นอกจากนี้สารกล่มุ (Phenylpyrazoles) นี้บางชนิดยังสามารถขัดขวางการทำงานของช่องคลอ Ethiprole, Fipronil ไรด์ที่ทำงานโดยกลูตาเมท (Glutamate-gated chloride channel) ได้ด้วย เช่นสารฟิโปรนิล ซึ่งจะ ทำให้ chloride ion ไม่สามารถไหลเข้าไปภายในเซล ประสาทเพือ่ ลดระดับกระแสประสาท (potential) ทำ ใ ห ้ ม ี ก า ร ส ่ ง ก ร ะ แ ส ป ร ะ ส า ท ม า ก ผ ิ ด ป ก ติ (hyperexitation) กลุ่ม 3. สารกลุม่ ทป่ี รบั การทำงานของช่องโซเดียม กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบ กลุ่มย่อย 3A สารไพรที รนิ (Pyrethrins) และไพรี ประสาทโดยจะไปปรับ (modulator) ของ voltage- ทรอยด์ (Pyrethroids) gated sodium channel ที่บริเวณผิว axon ของเซล Acrinathrin, Allethrin, d-cis-trans Allethrin, d- ประสาท ทำให้การปิดของ voltage-gated sodium trans Allethrin, Bifenthrin, Bioallethrin, channel ช้ากว่าปกติ ทำให้ช่วงการถ่ายทอดกระแส Bioallethrin S-cyclopentenyl isomer , ประสาทเกิดยาวนาน (hyperexitation) สารกลุ่มน้ี Bioresmethrin, Cycloprothrin, Cyfluthrin, beta- ออกฤทธ์ิได้รวดเรว็ มาก ทำใหแ้ มลงตายทันทีเม่ือแมลง Cyfluthrin, Cyhalothrin, lambda-Cyhalothrin, ไ ด ้ ร ั บ ส า ร โ ด ย เ ร ี ย ก อ า ก า ร ต า ย ท ั น ท ี ่ น ี ้ ว่ า gamma-Cyhalothrin, Cypermethrin,alpha- “knockdown” Cypermethrin, beta-Cypermethrin, thetacypermethrin, zeta-Cypermethrin, Cyphenothrin , (1R)-trans- isomers], Deltamethrin, Empenthrin (EZ)-(1R)- isomers], Esfenvalerate, Etofenprox, Fenpropathrin, Fenvalerate, Flucythrinate, Flumethrin, tau- Fluvalinate, Halfenprox, Imiprothrin, Kadethrin,Permethrin, Phenothrin [(1R)-trans- isomer], Prallethrin, Pyrethrins (pyrethrum), Resmethrin, Silafluofen, Tefluthrin, Tetramethrin, Tetramethrin [(1R)-isomers], Tralomethrin, Transfluthrin, กลุม่ ย่อย 3B สารดดี ีที (DDT) และเมทอ็ กซีคลอร์ (Methoxychlor) DDT, Methoxychlor

23 กลมุ่ 4. สารกลมุ่ ทป่ี รบั การทำงานของตวั รบั สารอะเซติลโคลีนชนดิ นโิ คตนิ กิ โดยการจับแบบ แข่งขัน กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้เป็นสารที่ออก กลมุ่ ย่อย 4A สารนโี อนโิ คตินอยด์ ฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารนิโคตินที่พบในใบ (Neonicotinoids) ยาสูบ โดยสารจะเลยี นแบบ (agonist) การทำงานของ Acetamiprid, Clothianidin, Dinotefuran, สารสื่อประสาท acetylcholine สารกลุ่มนี้จะไป Imidacloprid, Nitenpyram, Thiacloprid, แข่งขัน (แย่งกัน) กับสารอะเซติลโคลีนในการจับที่ Thiamethoxam ตัวรับสารอะเซติลโคลีนชนิดนิโคตินิก (nicotinic acetylcholine receptor, nAChR) ที่ผิวของปลาย กลุ่มย่อย 4B เซลประสาทบรเิ วณ synapse แล้วกระตุ้นให้ nAChRs Nicotine ท ำ ง า น ใ น ก า ร ส ่ ง ก ร ะ แ ส ป ร ะ ส า ท ท ี ่ ม า ก ผ ิ ด ป ก ติ (overstimulation) ในระยะแรก ส่วนระยะต่อมาเม่ือ กลมุ่ ย่อย 4C สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้จับท่ีตัวรับสารอะเซติลโคลีนชนิดนิ Sulfoximines โคตินิกนานๆ จะทำให้ตัวรับเปลี่ยนรูปทรงไปเป็น รูปทรงที่ไม่สามารถทำงานได้ (desensitized) หรือ กลุม่ ย่อย 4D สารบูทโี นไลด์ (Butenolides) nAChD สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้มีพิษสูงมากต่อผึ้ง จึงไม่ Flupyradifurone ควรใช้ในพืชช่วงท่ีพืชกำลังออกดอกและมีผึ้งมาช่วย ผสมเกสร กลมุ่ ย่อย 4E สารเมโสไอโอนิกส์ (Mesoionics) Triflumezopyrim กลุม่ 5. สารกลุ่มทป่ี รับการทำงานของตัวรับสารอะเซติลโคลินชนิดนิโคตินกิ โดยการจบั ที่ ตำแหน่งแอลโลสเตอรกิ ทต่ี ำแหนง่ ที่ 1 กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ Spinetoram, Spinosad ระบบประสาท โดยจะไปจับท่ีตัวรับสารอะเซติลโคลิน ชนิดนิโคตินิก (nicotinic acetylcholine receptors, nAChRs) ที่ตำแหน่งแอลโลสเตอริกที่ตำแหน่งที่ 1 ท่ี ผิวของปลายเซลประสาทบริเวณ synapse ซึ่งจะ แตกต่างจากสารกลุ่ม 32 โดยสารฆ่าแมลงในกลุ่ม 5 จ ะ ไ ป จ ั บ ที่ nAChRs ใ น ต ำ แ ห น ่ ง macrocyclic lactone site ซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งที่สารฆ่าแมลงที่ อยู่ในกลุ่ม 4 จับ (สารฆ่ากลุ่ม 4 จับที่ nAChRs ใน ตำแหน่งที่ acetylcholine จับ) การจับของสารฆ่า แมลงในกลุ่ม 5 จะกระตุ้นให้ nAChRs ทำงานในการ ส่งกระแสประสาทมากผิดปกติ (hyperexcitation) คลา้ ยๆ กบั สารฆ่าแมลงท่อี ย่ใู นกล่มุ 4 กลมุ่ 6. สารกลมุ่ ทปี่ รับการทำงานของชอ่ งคลอไรด์ท่ที ำงานโดยกลตู าเมตโดยการจับทตี่ ำแหนง่ แอลโลสเตอรกิ กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆา่ แมลงกลมุ่ นี้ออกฤทธ์ติ ่อ Abamectin, Emamectin benzoate, Lepimectin, ระบบประสาทและกลา้ มเนื้อ โดยจะไปยับยง้ั การ Milbemectin

24 นำกระแสประสาทระหวา่ งเซลประสาทและเซล กล้ามเนอื้ โดยสารกลุ่มอะเวอเมคตินจะไปกระตุ้นการ จับของ glutamate ที่ Glutamate-gated chloride channels (GluCls) บริเวณปลายเซลประสาทที่ เชอื่ มตอ่ กับเซลกล้ามเนื้อ ทำให้คลอไรด์ไอออนจำนวน มากไหลผา่ นชอ่ งคลอไรด์เขา้ ไปในเซลประสาท จึงเกิด การยบั ยง้ั กระแสประสาท หรอื เกิด hyperpolarization ข้ึน และทำใหก้ ลา้ มเนื้อแมลง เป็นอัมพาต กลุ่ม 7. สารกลุ่มเลยี นแบบฮอร์โมนจวู ไี นล์ กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออก กลมุ่ ย่อย 7A สารจูวไี นลฮ์ อร์โมนอานาลอ็ ก ฤทธ์ิขัดขวางกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ (Juvenile hormone analogues แมลง (metamorphosis) จากตัวออ่ น (larval stage) Hydroprene, Kinoprene, Methoprene ไปเป็นตัวเต็มวัย (adult stage) โดยสารกลุ่มนี้จะไป เลียนแบบการทำงานของฮอร์โมนจูวีไนล์ (Juvenile กลุ่มย่อย 7B hormone, JH) โ ด ย ก า ร เ ข ้ า ไ ป จ ั บ ท ี ่ juvenile Fenoxycarb hormone receptor ท ำ ใ ห ้ เ ก ิ ด ก า ร ย ั บ ย ั ้ ง ก าร แสดงออกของยนี (gene expression) ต่างๆ ท่ีจำเป็น กล่มุ ย่อย 7C ในขบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแมลง Pyriproxyfen (metamorphosis) ส่งผลให้แมลงมกี ารลอกคราบท่ีไม่ สมบูรณ์ สภาพเป็นตัวอ่อนผิดปกติ และไม่สามารถ เจริญเปน็ ตัวเต็มวัยได้ นอกจากน้ีสารฆา่ แมลงกลุ่มน้ียัง มีผลในการฆา่ ไข่ของแมลง (ovicidal effect) อีกด้วย กลมุ่ 8. สารกลุม่ ที่ยบั ยง้ั กลไกการทำงานของร่างกายแบบไมเ่ ฉพาะเจาะจง (ยบั ยัง้ หลายจดุ ) กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้เปน็ สารที่ กลุ่มย่อย 8A แอลคิล เฮไลด์ (Alkyl halides) วอ่ งไวในการทำปฏิกิริยา สารจะไปจับทโ่ี ปรตนี ต่างๆ Methyl bromide ในรา่ งกายแมลงแลว้ เปลีย่ นแปลงโครงสร้าง ความจำเพาะเจาะจงของโปรตนี นั้นๆ ทำให้โปรตนี ใน กลุ่มย่อย 8B อวัยวะต่างๆ มโี ครงสร้างผดิ ปกตแิ ละไมส่ ามารถ คลอโรพิครนิ (Chlorpicrin) ทำงานตามหนา้ ที่ได้ สารฆา่ แมลงกลุ่มนีจ้ งึ มีผลในการ ยบั ยง้ั กลไกการทำงานของรา่ งกายอยา่ งไมจ่ ำเพาะ กลมุ่ ย่อย 8C ฟลูออไรด์ (Fluorides) เจาะจงได้ในหลายๆ จุด Cryolite (Sodium aluminum fluoride), Sulfuryl fluoride กลมุ่ ย่อย 8D โบเรต (Borates) Borax, Boric acid, Disodium octaborate, Sodium borate, Sodium metaborate

25 กล่มุ ย่อย 8E ตาตา อีมตี ิก Tatar emetic กลมุ่ ย่อย 8F สารที่ทำใหเ้ กดิ เมธิลไอโซไธโอไซ ยาเนท (Methyl isothiocyanate generators) Dazomet, Metam กลุ่ม 9. สารกลุ่มทป่ี รบั การทำงานของช่อง TRPV ที่ Chordotonal organ กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิต่อ กลมุ่ ย่อย 9B สารอนุพันธข์ องไพริดีน อะโซเมธนี ระบบประสาท โดบไปปรับการทำงานของช่อง (Pyridine azomethine) Transient receptor potential vanilloid (TRPV Pymetrozine, Pyrifluquinazon channel) ใ น chordotonal organ ซ่ึ ง chordotonal organ เป็นอวัยวะรับความรู้สึกที่มี กลมุ่ ย่อย 9D สารไพโรพนี (Pyropenes) กระจายทั่วร่างกายแมลง มีหน้าที่สำคัญในการรับ Afidopyropen ความรู้สึกต่างๆ เช่น การสัมผัสและประสานงาน เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ เปน็ ไปตามปกติ ในแมลงพวกมวน (Homoptera) การ ทำงานของ chordotonal organ จะช่วยให้แมลง เคลอื่ นไหวส่วนต่างๆ ของปากในการดดู กนิ น้ำเลี้ยงพืช อย่างเป็นปกติ สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ของแมลงจะไปรบกวนการทำงานของ chordotonal organ จึงทำให้แมลงไม่สามารถดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ได้ เกิดการหยุดดูดกินพืชอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันมัก ใช้สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ในการป้องกันกำจัด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยอ่อน และแมลงหวี่ขาว สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้มีพิษ น้อยต่อแมลงที่มีประโยชน์ จึงนิยมใช้ในการบริหาร ศัตรูพืช กลุ่ม 10. สารกลุ่มทยี่ ับยงั้ การเจรญิ เตบิ โตของไรโดยไปจบั ที่เอนไซม์ chitin synthase (CHS1) กลไกการออกฤทธิ์: สารกลุ่มนย้ี ับยัง้ การเจรญิ เติบโต กล่มุ ย่อย 10A ของไรศัตรูพชื โดยสารจะไปจับทีเ่ อนไซม์ chitin Hexythiazox, Clofentezin, Diflovidazin synthase (CHS1) ทำให้ยบั ย้ังการสงั เคราะห์สารไค ติน (chitin) ซง่ึ เปน็ องคป์ ระกอบสำคญั ของผนงั ลำตวั กลมุ่ ย่อย 10B ของไร สารชนดิ นม้ี ีประสิทธิภาพในการฆา่ ไข่ และตวั Etoxazole อ่อนไร ไดด้ ี แต่ไม่มปี ระสทิ ธิภาพในการฆา่ ตัวเตม็ วยั ไร กลุ่ม 11. สารกลุ่มจลุ นิ ทรยี ท์ ีท่ ำลายผนงั เนื้อเย่ือลำไส้สว่ นกลางของแมลง กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่ลำ กลมุ่ ย่อย 11A ไส่ส่วนกลางของแมลง โดยเชื้อบาซิลลัส ทูริงเจนซิส บาซิลลสั ทูรินเยนสสิ (Bacillus thuriniensis) และ ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมบวกที่สามารถสร้างผลึกโปรตีน โปรตนี สารพษิ ทสี่ ร้างขนึ้ มาของ สารพิษในตัว เมื่อแมลงกินผลึกโปรตีนของเชื้อชนิดน้ี Bacillus thuringiensis subsp. israelensis

26 ผลึกก็จะละลายภายใต้สภาพด่างของทางเดินอาหาร Bacillus thuringiensis subsp. aizawai ของแมลง และปลดปล่อยสารพิษ (Cry toxins) Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki ออกมา สารพิษที่ถูกปลดปล่อยออกมาตอนแรกยังอยู่ Bacillus thuringiensis subsp. Tenebrionis ในสภาพที่ไม่เป็นพิษ (protoxin) ต่อมาน้ำย่อยภายใน ทางเดินอาหารของแมลงจะย่อยสารพิษที่อยู่ในสภาพ กล่มุ ย่อย 11B ที่ไม่เป็นพิษจนกลายเป็นสารที่เป็นพิษ (toxin) ต่อ บาซิลลัส สเฟยี ริคัส (Bacillus sphaericus) และ แมลง สารพษิ นจี้ ะไปจับกบั cadherin ทบี่ ริเวณผิวของ โปรตนี สารพษิ ทส่ี รา้ งข้ึนมา ทางเดินอาหารส่วนกลาง ทำใหเ้ กิดการสรา้ งรู (pores) ที่ผนังทางเดินอาหารของแมลง ทำให้เกิดการสูญเสีย สมดุลของร่างกาย เช่น สมดุลของไอออนต่างๆ แมลง เกิดอาการป่วยและติดเชื้อในกระแสโลหิตตาย (septicemia) กลุ่ม 12. สารกลุ่มทยี่ ับยงั้ เอนไซมเ์ อทพี ี ซินเธส ในไมโตคอนเดรยี กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธ์ิกับ กลมุ่ ย่อย 12A ไดอะเฟนไธยูรอน ระบบผลิตพลังงาน โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Diafenthiuron ATP synthase ใน mitochondria เอนไซม์นี้ทำ หน้าที่ในการสังเคราะห์ ATP ซึ่งเป็นสารที่เซลใช้เป็น กลมุ่ ย่อย 12B ออร์แกนโนติน ไมตไิ ซด์ (Organotin แหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นสารฆ่า miticides) แมลงกลมุ่ นจ้ี ึงทำใหเ้ ซลตา่ งๆ ของแมลงขาดพลงั งาน Azocyclotin, Cyhexatin, Fenbutatin oxide กลุ่มย่อย 12C โพรพาไกท์ Propagite กล่มุ ย่อย 12D เตตราไดฟอน Tetradifon กลมุ่ 13. สารกลุ่มอนั คบั เพลอ่ (uncouplers) ทร่ี บกวนการเกิดปฏกิ ิริยาเตมิ หม่ฟู อสเฟต (การ สร้าง ATP) โดยขดั ขวางการเกดิ ความตา่ งระดบั ของโปรตอน กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิกับ Chlorfenapyr, DNOC, Sulfluramid ระบบผลิตพลังงาน โดยสารจะเข้าไปรับโปรตอนจาก บริเวณกลางๆ ของผนังชีวภาพภายในไมโตคอนเดรีย (inner membrane) ที่มีโปรตอนปริมาณมากๆ และ ส่งโปรตอนข้ามผนังชีวภาพเข้าไปตรงบริเวณช่องว่าง (matrix) ด้านในสุดของไมโตคอนเดรีย จากนั้นสารฆ่า แมลงกลุ่มนี้ก็จะข้ามผนังชีวภาพกลับเข้ามาอีกเพื่อไป รับโปรตอนจากบริเวณกลางๆ ของผนังชีวภาพภายใน ไมโตคอนเดรียอีก แล้วส่งโปรตอนเข้าไปภายในบริเวณ ช่องว่างของไมโตคอนเดรียอีก ทำเช่นนี้ซ้ำกันเรื่อยๆ จึงเป็นการขัดขวางการเกิดความต่างระดับของ

27 โปรตอนภายในไมโตคอนเดรีย ทำให้ไม่สามารถ สังเคราะห์ ATP ได้ แมลงจึงขาดพลังงานและตายใน ที่สุด กลุ่ม 14. สารกลุ่มทขี่ วางช่องของตวั รบั สารอะเซตลิ โคลนิ ชนดิ นโิ คตินิก กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์กับ Bensultap, Cartap hydrochloride, Thiocyclam, ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ส า ร ก ล ุ ่ ม น ี ้ ไ ด ้ แ ก ่ ส า ร พ ว ก Thiosultap-sodium thiocarbamate หรือ สารเนรีสท็อกซิน อานาล็อก (nereistoxin analogues) เช่น bensultap, cartap hydrochloride, thiocyclam, thiosultap-sodium สารกลุ่มนี้เป็น proinsecticides ทั้งหมด หมายความ ว่าสารกลุ่มนี้ไม่มีพิษต่อแมลงโดยทันที แต่เมื่อแมลง ได้รับสารกลุ่มนี้เข้าสู่ร่างกาย สารจะถูกเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเคมีจนกลายเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่ เรียกว่า เนรีสท็อกซิน (nereistoxin) ซึ่งจะมีพิษสูงต่อ แมลงโดยจะไปขวาง (block) ที่ช่องทางผ่านของ ไอออนของตัวรับสารอะเซติลโคลินชนิดนิโคตินิก (nicotinic acetylcholine receptors) ท ำ ใ ห ้ ไ ม่ สามารถสง่ กระแสประสาทได้ และเปน็ อัมพาต กลุ่ม 15. สารกลมุ่ ทยี่ ับยงั้ การสังเคราะหไ์ คตินโดยไปจบั ท่ีเอนไซม์ chitin synthase (CHS1) กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ Bistrifluron, Chlorfluazuron, Diflubenzuron, ระบบการเจริญเติบโต สารกลุ่มนี้ได้แก่ สารกลุ่มเบน Flucycloxuron, Flufenoxuron, Hexaflumuron, โซอิลยูเรีย ซึ่งเป็นสารอนุพันธ์ของยูเรีย (H2NCONH2) Lufenuron, Novaluron, Noviflumuron, มีคุณสมบตั ใิ นการควบคุมการเจริญเติบโตของแมลงใน Teflubenzuron, Triflumuron ระยะหนอนผีเสื้อ โดยสารจะไปจับกับเอนไซม์ chitin synthase (CHS1) ทำให้ยับยั้งการสังเคราะห์สารไค ติน (chitin) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผนังลำตัว ของหนอนผีเสือ้ เมือ่ แมลงไมม่ สี ารไคตินทีผ่ นังลำตัวจึง ทำใหแ้ มลงตายในข้นั ตอนการลอกคราบเนอ่ื งจาก ผนงั ลำตัวท่สี ร้างขึน้ มาใหม่จะไม่แขง็ แรงเปราะบางผิดปกติ ปริแตกง่าย ทำให้น้ำระเหยออกจากลำตัวแมลงได้ง่าย ภายหลงั การลอกคราบ แมลงจงึ ขาดน้ำตาย นอกจากน้ี ผนังลำตัวที่สร้างขึ้นมาใหม่จะอ่อนนิ่มเกินไป ไม่ สามารถพยุงโครงสร้างรูปทรงของอวัยวะต่างๆ ได้ ทำ ใหแ้ มลงพกิ าร กลุ่ม 16. สารกลุ่มทย่ี ับยงั้ การสังเคราะห์ไคตนิ ชนิด 1 กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆา่ แมลงกลมุ่ นี้ออกฤทธิ์ต่อ Buprofezin ระบบการเจรญิ เตบิ โตคล้ายกับสารฆา่ แมลงกลุม่ 15

28 คือยบั ยง้ั การสงั เคราะหส์ ารไคตนิ แตส่ ารกลมุ่ 16 จะ ออกฤทธ์ิเฉพาะเจาะจงกับแมลงปากดดู ในอันดับ Homoptera ได้แก่ เพล้ียอ่อน เพล้ยี แป้ง เพลยี้ หอย เพล้ยี จกั จ่ัน เพลย้ี กระโดด และแมลงหว่ีขาว จึง แตกต่างกับสารกลุ่ม 15 ซ่ึงจะออกฤทธเ์ิ ฉพาะเจาะจง กับหนอนผเี สอื้ และหนอนด้วงเท่านน้ั กล่มุ 17. สารกลุ่มท่ีขดั ขวางการลอกคราบในพวกหนอนแมลงวนั กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลมุ่ นี้ออกฤทธิ์ต่อ Cyromazine ระบบการเจริญเติบโต โดยขดั ขวางการเจรญิ เตบิ โต และพฒั นาของหนอนแมลงในอนั ดบั Diptera ซง่ึ ไดแ้ ก่ หนอนแมลงวันชนิดต่างๆ โดยการรบกวนการ ทำงานของระบบฮอร์โมนท่ีควบคมุ การลอกคราบ ทำ ให้ไม่สามารถลอกคราบตามปกติได้ กล่มุ 18. สารกล่มุ ท่ีทำให้ตวั รับฮอรโ์ มนเอคไดโซนทำงาน กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆา่ แมลงในกลุม่ นี้ออกฤทธ์ติ ่อ Chromafenozide, Halofenozide, ระบบการเจริญเติบโต สารกลุ่มนไ้ี ดแ้ ก่ สารกลุ่มไดเอซิ Methoxyfenozide, Tebufenozide ลไฮดราซนี (diacylhydrazines) ซง่ึ เป็นสารอนุพันธ์ ของไฮดราซนี (H2N-NH2) สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ ควบคุมการเจริญเติบโตของแมลง โดยจะไปเหนย่ี วนำ ใหแ้ มลงเกิดการลอกคราบก่อนเวลาท่ีสมควร กลไก การออกฤทธ์ิของสารฆา่ แมลงกลุ่มนีค้ ือการเลยี นแบบ การทำงานของฮอร์โมนเอ็คไดโซน (ecdysone) ท่ที ำ หนา้ ที่ในการลอกคราบ โดยโมเลกลุ ของสารฆา่ แมลง จะไปจบั กบั ตัวรบั ฮอร์โมนเอ็คไดโซน (ecdysone receptors) ทำใหต้ ัวรับฮอรโ์ มนเอ็คไดโซนเกิดการ กระตุ้นและทำงานโดยสง่ สัญญาณใหย้ นี ตา่ งๆ ที่ เก่ียวข้องกับการลอกคราบทำงาน (gene expression) ในช่วงจังหวะเวลาทีไ่ ม่เหมาะสม ผลที่ได้ คอื แมลงมกี ารสรา้ งผนงั ลำตัวใหมท่ ผ่ี ิดปกติ ไม่สมบูรณ์ แมลงไม่สามารถลอกคราบเก่าออกจากลำตัวได้ ทำให้ การลอกคราบผดิ ปกติและแมลงจะตายในทีส่ ดุ สาร กลมุ่ น้อี อกฤทธก์ิ ับหนอนผเี สื้อและหนอนด้วง กลุ่ม 19. สารกลมุ่ ทท่ี ำใหต้ วั รับสารอ็อกโตปามีนทำงาน กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ Amitraz ระบบประสาท โดยการทำหน้าทีค่ ลา้ ยสารสื่อประสาท ชนดิ ออ็ กโตปามีน (octopamine) ของแมลง ซ่ึงสาร

29 สอื่ ประสาทชนดิ ออ็ กโตปามนี ในแมลงนี้จะทำหน้าท่ี คล้ายฮอรโ์ มนอะดรนี าลนี ในคน คอื ทำให้เกิดอาการ ตนื่ ตวั และมีพละกำลงั มากเพ่ือหนหี รือต่อสู้เอาชีวิต รอดจากภัยอนั ตราย เม่ือแมลงไดร้ ับสารฆา่ แมลงกลุ่ม นเี้ ข้าไปในร่างกาย สารจะไปจับทตี่ วั รับสารอ็อกโตปา มีน (octopamine receptor) แล้วกระตนุ้ ให้เกิดการ ผลติ สาร cAMP ในปริมาณที่สงู มากในเซล สาร cAMP ทผ่ี ลิตขนึ้ มาจะไปกระตุน้ ให้รา่ งกายแมลงเกดิ การ ตื่นตวั ในระดับท่สี งู มาก (hyperexcitation) จนเกดิ อาการส่นั ควบคุมตัวเองไม่ได้ และไมส่ ามารถกนิ อาหารได้ กลุ่ม 20. สารกลมุ่ ทยี่ บั ยง้ั การขนสง่ อเิ ลกตรอนทีค่ อมเพลก็ ซ์ 3 ในไมโตคอนเดรีย กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มน้ีออกฤทธ์ิต่อ กลมุ่ ย่อย 20A ไฮดราเมธลิ นอน ระบบการผลติ พลังงาน โดยการยับย้ังการขนส่งอิเลกต Hydramethylnon รอนที่โปรตีนคอมเพล็กซ์ 3 ในไมโตคอนเดรียของเซล จึงยับยั้งขบวนการผลิตพลังงานในรูป ATP และแมลง กลุม่ ย่อย 20B อะซีควโิ นซิล จะตายเนอื่ งจากการขาดพลงั งาน Acequinocyl กลมุ่ ย่อย 20C ฟลูอะไครไพริม Fluacrypyrim กลมุ่ ย่อย 20D ไบฟนี าเซท Bifenazate กล่มุ 21. สารกลุม่ ทย่ี บั ยง้ั การขนสง่ อเิ ลกตรอนที่คอมเพล็กซ์ 1 ในไมโตคอนเดรยี กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบการ กลุม่ ย่อย 21A เอ็มอีทีวัน อะคารไิ ซด์ (METI ผลิตพลังงาน สารกลุ่มนี้สามารถฆ่าแมลงและไร acaricides) โดยสารจะไปยับยั้งขบวนการถ่ายทอดอิเลคตรอนท่ี Fenazaquin, Fenpyroximate, Pyridaben, โปรตีนคอมเพล็กซ์ I ซึ่งอยู่ภายในไมโตคอนเดรีย Pyrimidifen, Tebufenpyrad, Tolfenpyrad (mitochondrial complex I electron transport inhibitors, MET I) จึงยับยัง้ ขบวนการผลติ พลังงานใน กลุ่มย่อย 21B โรติโนน (Rotinone) รูป ATP ทำให้แมลงและไรเป็นอัมพาต (paralysis) Rotenone (Derris) และตายเนื่องจากการขาดพลังงาน สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ กวา้ งและออกฤทธ์เิ รว็ ต่อแมลงท้งั ปากกดั และปากดูด กลมุ่ 22. สารกลุม่ ทีเ่ ปน็ ตวั ขวางช่องโซเดียมทที่ ำงานโดยความต่างศักยไ์ ฟฟ้า กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธ์ิต่อ กลุ่มย่อย 22A อ๊อกซาไดอะซนี (Oxadiazines) ระบบประสาท โดยการไปขวาง (block) ที่ช่อง Indoxacarb ทางผ่านของโซเดียม (sodium channels) ที่เซล

30 ประสาท จึงทำให้ไม่เกิดการถ่ายทอดกระแสประสาท กลุม่ ย่อย 22B เซมคิ าร์บาโซน (Semicarbazones) และแมลงเป็นอมั พาต (paralyze) Metaflumizone กล่มุ 23. สารกลุ่มท่ียับยง้ั เอน็ ไซมอ์ ะเซทลิ โคเอ คาร์บอ็ กซเิ ลส กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ Spirodiclofen, Spiromesifen, Spiropidion, ระบบการเจริญเติบโต โดยยับยั้งเอนไซม์ acetyl Spirotetramat coenzyme A carboxylase (ACCase) ซึ่งมีหน้าที่ใน การสงั เคราะห์กรดไขมนั (fatty acids) เพอื่ นำไปสร้าง ผนังเซลของแมลงในกระบวนการเจริญเติบโตและ พัฒนา แมลงที่ได้รบั สารกล่มุ น้ีจงึ ไม่สามารถสงั เคราะห์ กรดไขมนั ได้ ทำใหต้ วั อ่อนแมลงหยดุ การเจริญเตบิ โต กลุม่ 24. สารกลุม่ ท่เี ป็นตวั ยับยงั้ การขนส่งอเิ ลคตรอนท่คี อมเพลก็ ซ์ 4 ในไมโตคอนเดรยี กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ กลุ่มย่อย 24A ฟอสไฟด์ (Phosphides) ระบบการผลิตพลังงาน ได้แก่ แก๊สฟอสฟีน Aluminium phosphide, Calcium phosphide, (phosphine) และไซยาไนด์ ซึ่งออกฤทธิ์โดยสารจะ Phosphine, Zinc phosphide ไปยับยั้งขบวนการถ่ายทอดอิเลคตรอนที่โปรตีนคอม เ พ ล ็ ก ซ ์ IV ซ ึ ่ ง อ ย ู ่ ภ า ย ใ น ไ ม โ ต ค อ น เ ด รี ย กลุ่มย่อย 24B ไซยาไนด์ (Cyanides) (mitochondrial complex IV electron transport Calcium cyanide, Potassium cyanide, Sodium inhibitors, MET IV) จึงยับยั้งขบวนการผลิตพลังงาน cyanide ในรูป ATP ทำให้แมลงตายเนือ่ งจากการขาดพลงั งาน กล่มุ 25. สารกลมุ่ ทเ่ี ปน็ ตวั ยับยั้งการขนสง่ อิเลคตรอนทคี่ อมเพล็กซ์ 2 ในไมโตคอนเดรีย กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ กล่มุ ย่อย 25A อนุพนั ธุข์ อง Beta-ketonitrile ระบบการผลิตพลังงาน โดยการยับยั้งขบวนการ Cyenopyrafen, Cyflumetofen ถ่ายทอดอิเลคตรอนที่โปรตีนคอมเพล็กซ์ II ซึ่งอยู่ ภายในไมโตคอนเดรีย (mitochondrial complex II กลมุ่ ย่อย 25B คาร์บอกซานิไลด์ electron transport inhibitors, MET II) จึงยับ ยั้ ง (Carboxanilides) ขบวนการผลิตพลังงานในรูป ATP ทำให้แมลงตาย Pyflubumide เนื่องจากการขาดพลังงาน กลุ่ม 26. (วา่ ง) กลมุ่ 27. (วา่ ง) กลมุ่ 28. สารกลุ่มที่เป็นตวั ปรับการทำงานของตวั รับชนดิ ไรยาโนดีน

31 กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่ากลุม่ นีเ้ ปน็ สารทม่ี ีกลไกการ Chlorantraniliprole, Cyantraniliprole, ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยสารจะ Cyclaniliprole, Flubendiamide, Tetraniliprole เข้าไปภายในเซลกล้ามเนื้อแมลง แล้วไปที่บริเวณ sarcoplasmic reticulum ซ ึ ่ ง เ ป ็ น ท ี ่ เ ก ็ บ ส ะ ส ม calcium ion แล้ว สารจะไปจับตรง ryanodine receptors ที่อยู่บริเว ณผิว ข อง sarcoplasmic reticulum ทำให้เกิดการกระตุ้นการปลดปล่อย calcium ion ออกมาภายในเซลกล้ามเนื้อ ซ่ึง calcium ion จะไปเหนี่ยวนำทำใหก้ ล้ามเนอื้ แมลงเกิด การหดตัว กล่าวได้ว่าสารฆ่ากลุ่มนี้ไปจับและกระตุ้นท่ี ryanodine receptors ทำให้เกิดการปลดปล่อย calcium ion ออกมาเรื่อยๆ จึงทำให้กล้ามเนื้อแมลง เกิดการหดตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เกิดการคลายตัว กล้ามเนื้อแมลงจึงไม่สามารถทำงานเป็นปกติได้ เช่น กล้ามเนื้อส่วนปากไม่สามารถทำงานในการกัดกินใบ พืชได้ แมลงไม่สามารถเดินหรือเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย และเป็นอมั พาต กลุ่ม 29. สารกลุม่ ที่ปรับการทำงานท่ี Chordotonal organ - ยงั ไมท่ ราบจดุ จบั ทีช่ ัดเจน กลไกการออกฤทธิ์: สารฆ่าแมลงกลุม่ น้ีออกฤทธ์ิท่ี Flonicamid ระบบประสาท โดยไปปรบั การทำงานของ chordotonal organ โดยสารไปจับทจี่ ุดจับอ่ืนซึง่ เปน็ คนละจุดกบั สารฆ่าแมลงในกล่มุ 9 ซง่ึ chordotonal organ เป็นอวยั วะรบั ความรสู้ ึกทมี่ ีกระจายอย่ทู ัว่ ร่างกายแมลง มีหน้าทสี่ ำคัญในการรับความรู้สึกต่างๆ เช่น การสมั ผสั และประสานงานเกี่ยวกับการ เคล่อื นไหวสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายใหเ้ ปน็ ไปตามปกติ ในแมลงพวกมวน (Homoptera) การทำงานของ chordotonal organ จะชว่ ยให้แมลงเคล่ือนไหวสว่ น ตา่ งๆ ของปากในการดูดกนิ น้ำเลยี้ งพืชอย่างเป็นปกติ สารฆ่าแมลงกลุ่มนเี้ ม่ือเขา้ สู่ร่างกายของแมลงจะไป รบกวนการทำงานของ chordotonal organ จงึ ทำให้ แมลงไมส่ ามารถดูดกินนำ้ เล้ียงจากพชื ได้ กลุ่ม 30. สารทป่ี รับการทำงานของ GABA-gated chloride channel ทตี่ ำแหนง่ แตกต่างจาก สารกลมุ่ 2 กลไกการออกฤทธ์ิ: สารกลุ่มน้ีออกฤทธต์ิ ่อระบบ Broflanilide, Fluxametamide ประสาท โดยไปปรบั การทำงาน (modulate) การ ทำงานของช่องคลอไรด์ที่ทำงานโดยกรดแกมมาอะมิ

32 โนบิวไทริค (GABA-gated chloride channel) ทำให้ การการส่งกระแสประสาทผิดปกติ กลุม่ 31. สารกลุ่ม Baculoviruses ท่มี ีความจำเพาะในการเกดิ โรคต่อแมลง กลไกการออกฤทธ์ิ: สารฆ่าแมลงกลุม่ น้ีเป็นไวรัสท่อี อก สารฆา่ แมลงกลุ่มนี้ ได้แก่ Granuloviruses (GVs) ซง่ึ ฤทธ์ิทีล่ ำไส้ของแมลง ไวรสั baculovirus ชนดิ ต่าง ๆ ได้แก่ Cydia pomonella GV, Thaumatotibia จะทำลายแมลงต่าง order ต่าง ๆ ไดแ้ ตกต่างกนั leucotreta GV และ Nucleopolyhedroviruses เนื่องจาก baculovirus แตล่ ะชนดิ จะมี baculovirus- (NPVs) ซง่ึ ได้แก่ Anticarsia gemmatalis MNPV, unique Per os Infectivity Factor (PIF) protein Helicoverpa armigera NPV Complex ซงึ่ จะชว่ ยในการจับกับ PIF targets ท่เี ซล ลำไสส้ ่วนกลางของแมลงไดต้ ่างกนั กลมุ่ 32. สารกลุ่มทีป่ รบั การทำงานของตวั รับสารอะเซติลโคลนิ ชนดิ นโิ คตินกิ โดยการจบั ท่ี ตำแหนง่ แอลโลสเตอริกทต่ี ำแหนง่ ท่ี 2 กลไกการออกฤทธิ์: สารฆา่ แมลงกลมุ่ น้ีออกฤทธ์ิต่อ สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ ไดแ้ ก่ GS-omega/kappa HXTX- ระบบประสาท โดยจะไปจับที่ตัวรับสารอะเซติลโคลนิ Hv1a ซ่งึ ปน็ peptide ที่ไดจ้ ากพิษของแมงมมุ ชนิดนิโคตนิ กิ (nicotinic acetylcholine receptors, nAChRs) ทผ่ี วิ ของปลายเซลประสาท ท่ตี ำแหน่งท่ี 2 ซ่ึงจะแตกตา่ งจากสารกลมุ่ 5 กลุม่ UN (Unknown) ทกี่ ลไกการออกฤทธย์ิ ังไม่ทราบแน่ชดั สารฆ่าแมลงกลุ่มนยี้ งั ไมท่ ราบกลไกการออกฤทธ์ทิ ี่ ได้แก่ สาร azadirachtin สาร benzoximate สาร แนน่ อน bromopropylate ส า ร chinomethionat ส า ร dicofol สาร pyridalyl สาร sulfur สาร lime sulfur และสาร mancozeb กลมุ่ UNB (Unknown B) เปน็ แบคทเี รีย (ที่ไมใ่ ช่ Bt) ซึง่ กลไกการออกฤทธย์ิ ังไมท่ ราบแน่ชดั สารฆ่าแมลงกลุ่มนยี้ งั ไม่ทราบกลไกการออกฤทธิท์ ่ี ไดแ้ ก่ เช้ือแบคทีเรยี Burkholderia spp. และ แนน่ อน Wolbachia pipientis (Zap) กลุ่ม UNE (Unknown E) เปน็ สารจากพืช ได้แก่ สารสงั เคราะห์ สารสกดั และสารพวกน้ำมัน ซ่ึงกลไกการออกฤทธิ์ยงั ไมท่ ราบแนช่ ัด สารฆ่าแมลงกลุ่มนย้ี ังไม่ทราบกลไกการออกฤทธ์ทิ ี่ ได้แก่ สารสกดั จากพืช Chenopodium แนน่ อน ambrosioides near ambrosioides extract, สาร Fatty acid monoesters with glycerol หรือ propanediol จากพืช และสารพวกนำ้ มนั จากสะเดา (Neem oil)

33 กลมุ่ UNF (Unknown F) เป็นสารจากเชอ้ื รา ซง่ึ กลไกการออกฤทธ์ิยงั ไมท่ ราบแนช่ ัด สารฆ่าแมลงกลุ่มนย้ี งั ไม่ทราบกลไกการออกฤทธ์ทิ ่ี ไดแ้ ก่ เชื้อรา Beauveria bassiana strains, แนน่ อน Metarhizium anisopliae strain F52 และ Paecilomyces fumosoroseus Apopka strain 97 กลมุ่ UNM (Unknown M) เป็นสารท่ีไปขัดขวางการทำงานของโปรตีนทั่วไปทไ่ี มจ่ ำเพาะ เจาะจง โดยวธิ กี ล ซ่ึงกลไกการออกฤทธิ์ยังไม่ทราบแน่ชัด สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ยังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ ได้แก่ Diatomaceous earth แนน่ อน กลุ่ม UNP (Unknown P) เป็นเปป็ ไตล์ของโปรตนี ซงึ่ กลไกการออกฤทธยิ์ งั ไม่ทราบแนช่ ัด สารฆ่าแมลงกลุ่มนี้ยังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ ไดแ้ ก่ สารพวกเป็ปไทลข์ องโปรตนี ซึง่ เปน็ พิษตอ่ แมลง แนน่ อน กลุ่ม UNV (Unknown V) เปน็ ไวรัส (ทไ่ี ม่ใช่ Baculovirus) ซงึ่ กลไกการออกฤทธยิ์ งั ไมท่ ราบ แน่ชัด สารฆา่ แมลงกลุ่มน้ียงั ไมท่ ราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ ไดแ้ ก่ ไวรัสทไ่ี ม่ใช่ Baculovirus ซง่ึ เปน็ พิษต่อแมลง แนน่ อน

34 ขา้ วโพด (Corn) การพ่นสารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพ่นสารแบบสูบโยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) ระยะข้าวโพดอายุ 1-2 สัปดาห์ ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 30-40 ลติ ร อายุ 3-4 สปั ดาห์ ใชน้ ำ้ ไร่ละ 40-50 ลติ ร อายุ 5 สัปดาห์ข้ึนไป ใช้น้ำไร่ละ 60-80 ลติ ร หลังขา้ วโพดออก ฝกั หรอื ใกลเ้ ก็บเก่ยี วพ่นเฉพาะฝกั ใช้นำ้ ไร่ละ 60-80 ลติ ร สารป้องกันกำจดั ศัตรพู ชื ศัตรูพืช ชอ่ื สามัญ % กลุ่ม ระดับ อัตรา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ และสูตร ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ (LD50) หนอนกระทู้ สไปนโี ทแรม 12% SC 5 น้อย 20 มล./ พ่นสารกลมุ่ ใดกลมุ่ หนึง่ ตาม ขา้ วโพดลายจดุ (spinetoram) (>5,000) นำ้ 20 คำแนะนำ พน่ ครงั้ แรกเมอ่ื (Spodoptera ลติ ร ข้าวโพดอายุ 6-7 วนั หลงั frugiperda ) 25% WG 10 กรัม งอก หรอื พิจารณาจาก /น้ำ 20 สภาพการระบาดในแตล่ ะ ลิตร ฤดูซง่ึ มีความรุนแรงแตกตา่ ง รา้ ย 20 มล./ กนั ต้องสลับกลมุ่ สารทุก 30 อมี าเมกตนิ เบนโซเอต 1.92% EC 6 แรง นำ้ 20 วนั ตามวงรอบชวี ิต เพอ่ื ลด (emamectin (76) ลิตร ความต้านทานต่อสารกำจดั benzoate) ปาน 10 กรัม แมลง 5% WG กลาง /นำ้ 20 (76) ลิตร คลอรฟ์ ีนาเพอร์ 10%SC 13 ปาน 30 มล./ (chlorfenapyr) กลาง นำ้ 20 (441) ลติ ร อินดอกซาคารบ์ 15%EC 22A ร้าย 30 มล./ (indoxacarb) แรง น้ำ 20 (179) ลิตร เมทอกซีฟีโนไซด์/ 30%/6% 18/5 นอ้ ย 30 มล./ สไปนโี ทแรม SC (>5,000)/ นำ้ 20 (methoxyfenozide/ น้อย ลิตร spinetoram) (>5,000) คลอแรนทรานลิ โิ พรล 5.17% 28 นอ้ ย 30 มล./ (chlorantraniliprole) SC (>5,000) นำ้ 20 ลติ ร ฟลูเบนไดอะไมด์ 20% WG 28 นอ้ ย 10 (flubendiamide) (≥2,000) กรมั /นำ้ 20 ลิตร บาซิลลสั ทรู ิงเยนซิส SC 11 - 80 มล./ พ่นเมอื่ พบหนอนขนาดเล็กท่ี (Bacillus นำ้ 20 เพ่ิงฟักจากไข่ thuringiensis) ลติ ร เพลยี้ ไฟ ไทอะมีทอกแซม 35% FS 4A ปาน 5 มล./ คลุกเมล็ดก่อนปลกู ขา้ วโพด (thiamethoxam) กลาง เมลด็ 1 (Frankliniella UPDATE (1,563) กก. Williams) เพลย้ี ไฟถว่ั

35 สารปอ้ งกนั กำจดั ศัตรพู ืช ศตั รพู ืช ชอื่ สามัญ % กลุม่ ระดับ อตั รา วธิ กี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ และสตู ร ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ เพล้ยี ไฟข้าวโพด (LD50) และเพล้ียไฟ ระบาด ในระยะข้าวโพดตน้ (Caliothrips อมิ ดิ าโคลพรดิ 60% FS 4A รา้ ย 10 มล./ เลก็ และเมอ่ื เกดิ ฝน sp.) (imidacloprid) แลง้ เพล้ียไฟดอกไม้ แรง เมลด็ 1 ฮาวาย UPDATE เพล้ยี ไฟดอกไม้ (Thrips (131) กก. ฮาวายระบาดใน hawaiiensis) คารบ์ ารลิ ระยะขา้ วโพดออก (carbaryl) 70% WS ปาน 5 กรัม/ ฝกั แมลงชอบ ทำลายทไี่ หม ทำให้ กลาง เมลด็ 1 ฝกั ไมต่ ดิ เมลด็ ให้ พ่นเฉพาะบริเวณ (131) กก. ปลายฝัก ควรหลกี เลีย่ งการ 85% WP 1A นอ้ ย 40 พ่นเมอ่ื เพลีย้ ไฟระบาด พ่น พน่ สารเมอื ตรวจพบ ดว้ งเตา่ และแมลง (614) กรัม/นำ้ ซำ้ ตามความจำเปน็ หางหนีบ ซ่งึ เป็นตวั ห้ำของเพลย้ี ออ่ น 20 ลิตร หลงั จากขา้ วโพดติด ฝกั แลว้ อิมดิ าโคลพริด 10% SL 4A รา้ ย 30 มล./ (imidacloprid) 5% SC 2B แรง นำ้ 20 มพี ิษตอ่ ผ้งึ สูง (131) ลติ ร ฟโิ พรนลิ มีพษิ ตอ่ ผึง้ สูง (fipronil) รา้ ย 15 มล./ แรง น้ำ 20 มีพิษต่อผึ้งสูง (92) ลติ ร เพลย้ี ออ่ น คารบ์ ารลิ 85% WP 1A น้อย 50 กรัม ระยะก่อนออกดอก พน่ (614) /นำ้ 20 เฉพาะจดุ เมื่อพบความ ขา้ วโพด (carbaryl) ลิตร หนาแน่นของเพล้ียอ่อน (Rhopalosi- 2.5% EC 3A รา้ ย 40 มล./ มากกวา่ 25% ของพนื้ ทใ่ี บ แรง นำ้ 20 ทงั้ ต้น ระยะออกดอก พน่ phum maidis) เบตา-ไซฟลทู ริน มาก ลิตร เฉพาะจดุ เมอ่ื พบความ เพลยี้ ออ่ นออ้ ย (beta-cyfluthrin) (>14.3) หนาแน่นของเพล้ยี อ่อน (Melanaphis 60% EC 1B ปาน 15 มล./ มากกว่า 25% ของชอ่ sacchari) กลาง น้ำ 20 (1,139) ลติ ร ไดอะซินอน 70% WG 4A ร้าย 10 กรัม พ่นเมื่อพบการระบาดของ (diazinon) แรง /น้ำ 20 เพลยี้ ไฟ และ/หรอื เพลีย้ (131) ลติ ร อ่อน เพลีย้ ไฟ อมิ ิดาโคลพริด ข้าวโพด (imidacloprid) 25% WG 4A น้อย 10 กรมั (Frankliniella (1,563) /น้ำ 20 Williams) ไทอะมที อกแซม ลติ ร เพล้ยี ไฟ (thiamethoxam) (Caliothrips 16%SG 4A น้อย 15 กรัม sp.) โคลไทอะนิดนิ (>500) /นำ้ 20 เพล้ยี ไฟดอกไม้ (clothianidin) ลิตร ฮาวาย (Thrips hawaiiensis)

36 ศตั รพู ชื ชือ่ สามัญ สารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพชื ระดบั วธิ ีการใช้ หมายเหตุ % กลุ่ม เพล้ยี อ่อน อมี าเมกตนิ เบนโซเอต ความ อัตรา ทำลายในขา้ วโพด สารออกฤทธิ์ กลไกการ เป็นพิษ การใช้ อายุ 1-2 สัปดาห์ ขา้ วโพด (emamectin และสูตร ออกฤทธิ์ หลังจากน้นั จะมี 1.92% EC 6 (LD50) แตนเบยี น (Rhopalosiphu benzoate) Apanteles sp. 2.5% EC 3A รา้ ย 10 มล./ ช่วยควบคุมหนอน แรง น้ำ 20 จึงไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งใช้ 5% EC 15 (76) ลติ ร สารฆ่าแมลง m maidis) สำหรบั แหลง่ ทม่ี ี แมลงศัตรธู รรมชาติ เพลี้ยออ่ นออ้ ย จำพวกแตนเบียน จำนวนมากไมค่ วรใช้ (Melanaphis เพราะมีพิษตอ่ แตน เบียนสงู sacchari) พน่ เฉพาะบรเิ วณ รอบแปลงทม่ี กี าร หนอนกระทู้ เบตา-ไซฟลทู ริน ร้าย 40 มล./ พน่ เมอ่ื พบหนอนเฉลย่ี 2-3 ระบาดและควรพน่ แรง น้ำ 20 ตัว/ตน้ พ่นซ้ำตามความ ตอนเย็น หอม (beta-cyfluthrin) มาก ลิตร จำเปน็ ปกติในขา้ วโพดฝัก ออ่ นพบปริมาณ (Spodoptera (>14.3) 30 มล./ แมลงทำลายน้อย นำ้ 20 จงึ ไม่จำเป็นต้องใช้ exigua) ฟลูเฟนนอกซรู อน นอ้ ย ลิตร สารฆา่ แมลง (flufenoxuron) (>3,000) คลอรฟ์ ลูอาซรู อน 5% EC 15 นอ้ ย 30 มล./ (chlorfluazuron) UNV น้ำ 20 1A (>8,500) ลิตร นิวเคลียรโ์ พลฮี ีโดรซสี - ไวรสั หรือ เอ็นพวี ี 85% WP 1A - 20 มล./ หนอนกระทู้หอม 85% WP 3A นำ้ 20 (Nucleopolyhedro ลิตร virus or NPV) หนอนกระท้คู อ คาร์บารลิ น้อย 45 พน่ เมอ่ื พบหนอนทำลาย รวง หรอื หนอน (carbaryl) (614) กรัม/น้ำ ขา้ วโพดเฉลย่ี 3-4 ตัว/ต้น กระทู้ ควายพระอินทร์ คารบ์ ารลิ 20 ลิตร พ่นซำ้ ตามความจำเป็น (Mythimna (carbaryl) separata) นอ้ ย 40 กรัม พน่ เมอื่ พบใบถกู ทำลาย (614) /นำ้ 20 มากกว่า 25% ของพน้ื ท่ีใบ ด้วงกหุ ลาบ (Adoretus ลิตร ทงั้ ต้น compressus) ร้าย 10 มล./ หนอนเจาะลำตน้ ทำลาย 2 หนอนเจาะลำ เดลทาเมทรนิ 3% EC แรง นำ้ 20 ระยะ ต้นข้าวโพด (deltamethrin) (87) ลิตร ก. ระยะกอ่ นออกดอก (Ostrinia furnacalis) - ข้าวโพดเล้ียงสตั ว์ พน่ เมื่อ พบยอดข้าวโพดถูกลำลาย มากกว่า 50 ตน้ จาก ข้าวโพด 100 ต้น

37 ศตั รูพชื ช่อื สามญั สารป้องกนั กำจดั ศัตรพู ชื ระดบั อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ % กล่มุ ความ การใช้ ไตรฟลูมรู อน เปน็ พิษ - ขา้ วโพดหวาน พ่นเมอื่ พบ มีพษิ ร้ายแรงต่อ (triflumuron) สารออกฤทธ์ิ กลไกการ (LD50) 30 กรัม ยอดข้าวโพดถูกทำลาย แมลงหางหนบี และสตู ร ออกฤทธิ์ /นำ้ 20 มากกวา่ 30 ต้น จาก เทฟลเู บนซรู อน 25% WP 15 นอ้ ย ลติ ร ข้าวโพด 100 ตน้ สำหรับขา้ วโพดเลยี้ ง (teflubenzuron) 5% EC 15 25 มล./ ข. ระยะออกดอก สตั ว์ เม่อื ฝักติดเมล็ด 5% EC 15 (>5,000) นำ้ 20 - ข้าวโพดเล้ยี งสตั ว์ พน่ เมอ่ื แล้ว ไม่จำเป็นตอ้ ง คลอรฟ์ ลอู าซรู อน 5% SC 2B ลติ ร พบหนอน 2 ตัว/ต้น หรอื ใชส้ ารฆ่าแมลง (chlorfluazuron) 5% EC 15 น้อย 25 มล./ รูเจาะ 2 ร/ู ตน้ มีพิษร้ายแรงตอ่ น้ำ 20 - ข้าวโพดหวาน พ่นเมอ่ื พบ แมลงหางหนบี ฟิโพรนิล 5% SC 2B (>5,038) ลิตร หนอนมากกวา่ 50 ตัว หรอื (fipronil) 85% WP 1A 20 มล./ รูเจาะ 50 รู จากขา้ วโพด บางครัง้ พบเพลี้ย นอ้ ย น้ำ 20 100 ต้น กระโดดดำระบาด หนอนเจาะสมอ ฟลเู ฟนนอกซรู อน 70% WS 4A ลติ ร พน่ เฉพาะฝกั ท่หี นอนลง เฉพาะบริเวณรอบ ฝ้าย (flufenoxuron) (>8,500) 20 มล./ ทำลายไหมพน่ ซำ้ ตามความ แปลงที่ตดิ ชายเขา หนอนเจาะฝกั น้ำ 20 จำเป็น พน่ เฉพาะบรเิ วณที่ ข้าวโพด ฟิโพรนิล ร้าย ลติ ร แมลงระบาด (Helicoverpa (fipronil) แรง พน่ เม่อื มแี มลงทำลายเฉลีย่ มอดดินระบาด armigera) 20 มล./ 3-4 ตวั /ตน้ รนุ แรงชว่ งเดอื น (92) น้ำ 20 ส.ค.-ก.ย. ในแหล่ง เพล้ียกระโดดดำ คาร์บารลิ ลิตร คลุกเมลด็ พนั ธุก์ ่อนปลูก ปลกู ที่มกี ารระบาด (Callitettix carbaryl นอ้ ย 40 ประจำคอื จังหวัด versicolor) กรมั /นำ้ สระบรุ ี ลพบรุ ี (>3,000) 20 ลติ ร นครราชสมี า ควรใช้ มอดดนิ อมิ ิดาโคลพริด สารฆา่ แมลง รา้ ย 5 กรมั / ประเภทคลกุ เมลด็ (Calomycterus (imidacloprid) แรง เมลด็ 1 พนั ธกุ์ ่อนปลกู ซ่งึ กก. ให้ผลในการปอ้ งกัน (92) กำจดั ดที ่สี ดุ ถ้าพบ การระบาดจึงพน่ นอ้ ย ดว้ ยสารฆ่าแมลง ชนดิ ผสมนำ้ (614) น้อย (131) sp.)

38 สารปอ้ งกันกำจดั ศตั รูพชื ศัตรูพชื ช่อื สามัญ % กลมุ่ ระดับ อัตรา วิธีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ และสตู ร ออกฤทธิ์ เปน็ พษิ (LD50) ตก๊ั แตนปาทงั กา้ คารบ์ ารลิ 85% WP 1A น้อย 125 วางเหยอื่ พษิ ช่วงเวลา การเตรยี มเหยอ่ื พษิ (Patanga (carbaryl) succincta) (614) กรัม/น้ำ กลางวันเป็นแนวกวาง 1 ผสมคารบ์ ารลิ 125 ตั๊กแตนไฮโรไกล ฟสั 20 ลติ ร เมตร แต่ละแนวห่างกัน กรัม หรือ 210 กรมั (Hieroglyphus spp.) ประมาณ 40 เมตร เรม่ิ ตน้ น้ำ 20 ลติ ร ตั๊กแตนโลคสั ตา้ (Locusta ด้านเหนอื ลมในชว่ งเดือน กากน้ำตาล 2 ลติ ร migratoria manilensis) ก.พ.-กลางเดือน เม.ย. เพ่ือ แกลบ 60 ลติ ร ซงั กำจัดตวั เต็มวยั ทีอ่ อกจาก ข้าวโพด 30 ลิตร การพกั ตัว หรอื ใช้มนั สำปะหลัง สดสบั เปน็ ชน้ิ ขนาด 1-5 ลกู บาศก์ เซนติเมตร 50 ลติ ร แทนซังข้าวโพด (เติมนำ้ ใหช้ ุม่ ถ้า จำเป็น) ตวั อ่อนของ คาร์บารลิ 85% WP 1A นอ้ ย 25 พ่นสารฆ่าแมลงเฉพาะ ถ้าวชั พืชบรเิ วณนั้น ตั๊กแตนทุกชนิด (carbaryl) (614) กรัม/น้ำ บรเิ วณทมี่ ตี ั๊กแตน พยายาม มตี ๊ักแตนอาศัย ควร เฟนิโตรไทออน (fenitrothion) 20 ลติ ร ให้ถกู ตวั ต๊กั แตนโดยตรง พน่ เพื่อกนั ไมใ่ ห้ ไดอะซินอน 50% WP 1B ปาน 20 อพยพไปทำลาย (diazinon) กลาง กรัม/นำ้ ข้าวโพด (330) 20 ลติ ร 60% EC 1B ปาน 20 มล./ กลาง น้ำ 20 (1,139) ลิตร 40% WP น้อย 20 กรัม (1,139) /นำ้ 20 ลิตร

39 ขา้ วฟา่ ง (Sorghum) การพ่นสารฆา่ แมลงด้วยเคร่อื งพน่ สารแบบสบู โยกสะพายหลงั (knapsack sprayer) ระยะกล้าใช้นำ้ ไร่ละ 40 ลิตร อายุ 2-5 สัปดาห์ พน่ เฉพาะมีช่อแล้วหรอื ใชน้ ้ำไร่ละ 60 ลิตร ระยะออกดอกพน่ ท้งั ตน้ ใช้น้ำไรล่ ะ 80-100 ลติ ร สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพืช ศัตรพู ชื ชอื่ สามัญ % กลุม่ ระดบั อัตรา วิธีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ และสูตร ออกฤทธิ์ เป็นพิษ (LD50) เพล้ยี อ่อน แลมบด์ า-ไซฮาโลทริน 2.5% EC 3A ร้าย 10 มล./ พน่ เพยี งครงั้ เดยี วเฉพาะ ปกตไิ มแ่ นะนำให้ใช้ - เพลี้ยออ่ น (lambda- แรง น้ำ 20 บรเิ วณท่ีพบแมลงระบาด สารฆ่าแมลง เพราะ ขา้ วโพด cyhalothrin) (56) ลติ ร พืชมคี วามทนทาน (Rhopalosi- ตอ่ การทำลายของ phum maidis) ไตรอะโซฟอส 40% EC 1B ร้าย 40 มล./ เพลี้ยออ่ นพอสมควร - เพลี้ยออ่ นออ้ ย (triazophos) แรง นำ้ 20 และมศี ตั รธู รรมชาติ (Melanaphis (66) ลิตร หลายชนดิ ช่วย sacchari) ควบคุมปรมิ าณ เพลยี้ ออ่ น ดงั น้ัน ควรใช้สารฆา่ แมลง เมอื่ พบการระบาด ในระยะขา้ วฟ่างเรม่ิ ตดิ เมลด็ และฝนท้ิง ชว่ งเท่านนั้ หนอนแมลงวนั อมิ ดิ าโคลพรดิ 70% WS 4A ปาน 3-5 คลกุ เมลด็ ก่อนปลูก คำแนะนำสำหรบั เจาะยอดขา้ ว (imidacloprid) กลาง กรัม/ เกษตรกร ฟ่าง (131) เมลด็ 1 1. ปลูกข้าวฟ่างพันธ์ุ (Atherigona กก. ดีทแ่ี นะนำใหป้ ลูก soccata) เชน่ สุพรรณบรุ ี 60, อทู่ อง 1, เค.ยู 439, เค.ยู 630 และเค.ย.ู 804 2. กำหนดวันปลูก ขา้ วฟา่ งในแตล่ ะ ทอ้ งที่ใหใ้ กลเ้ คยี งกนั ข้าวฟ่างท่ีปลกู ล่าจะ ถูกแมลงรุ่นที่สอง ทำลายมาก 3. ในแหล่งท่พี บ แมลงระบาดเป็น ประจำควรใชเ้ มลด็ พันธุเ์ พม่ิ ขนึ้ เพื่อ ชดเชยความเสยี หาย และถอนต้นทถ่ี กู ทำลายเผาทง้ิ เมอ่ื ข้าวฟา่ งอายุ 2 สัปดาห์

40 สารปอ้ งกันกำจดั ศัตรูพชื ศัตรูพืช ชอ่ื สามญั % กล่มุ ระดบั อัตรา วธิ ีการใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธ์ิ กลไกการ ความ การใช้ และสตู ร ออกฤทธิ์ เปน็ พิษ (LD50) 4. กอ่ นฤดูปลกู ดัก ตัวเตม็ วยั ดว้ ยกับดกั ปลาปน่ ชนดิ ไม่สกดั น้ำมนั ซ่งึ ใช้อาหาร ไก่เปน็ เหยือ่ ล่อและ ทำลายท้งิ 5. ใชส้ ารฆ่าแมลง เฉพาะแหล่งท่ีพบ การระบาดอย่าง รนุ แรงเป็นประจำ หนอนกระทู้คอ คาร์บารลิ 85% WP 1A นอ้ ย 50 พ่นเพียงครง้ั เดยี วในระยะ มักจะพบแมลงศตั รู รวง หรอื หนอน (carbaryl) (614) กรมั /น้ำ ก่อนทข่ี ้าวฟ่างจะออกชอ่ ธรรมชาติคอย กระทู้ 20 ลิตร เฉพาะบรเิ วณทแี่ มลงระบาด ควบคมุ ปรมิ าณ ควายพระอินทร์ หนอนชนดิ นีอ้ ยู่ (Mythimna เสมอ โดยทัว่ ไปจึง separata) ไมม่ จี ำเป็นตอ้ งใช้ สารฆ่าแมลง มวนอ้อย คาร์บารลิ 85% WP 1A นอ้ ย 20 พน่ เพยี งคร้ังเดียวใน (Phaenacantha (carbaryl) (614) กรมั /น้ำ เวลาเย็นให้ทวั่ ไร่ เมอ่ื พบ saccharicida) 20 ลิตร แมลงระบาดมากกวา่ 20 แลมบด์ า-ไซฮาโลทรนิ 2.5% EC 3A รา้ ย 10 มล./ ตัว/ตน้ ในระยะขา้ วฟา่ งเรม่ิ แรง นำ้ 20 ตดิ เมล็ด (lambda- cyhalothrin) (56) ลติ ร ไตรอะโซฟอส 40% EC 1B รา้ ย 30 มล./ (triazophos) แรง นำ้ 20 (66) ลติ ร มวนเขียวขา้ ว ไทโอดิคาร์บ 75% WP 1A ปาน 25 พน่ เพียงครั้งเดยี วเฉพาะช่อ มักระบาดในพ้นื ท่ี (Nezara (thiodicarb) กลาง กรัม/นำ้ ข้าวฟา่ ง บริเวณที่พบแมลง ปลกู ขา้ วฟา่ งลา่ viridula) (50) 20 ลติ ร ระบาด เกษตรกรควรปลกู ข้าวฟ่างพันธทุ์ ี่มชี ่อ รวงไมแ่ น่นมาก หนอนเจาะสมอ ไทโอดิคาร์บ 75% WP 1A ปาน 20-30 เกษตรกรควรเลอื ก ฝ้าย (thiodicarb) กลาง กรมั /นำ้ ปลกู ขา้ วฟา่ งพันธ์ุที่ (Helicoverpa (50) 20 ลิตร ชอ่ รวงไมแ่ นน่ ถ้า armigera) พบหนอนจำนวน เลก็ น้อยควรเก็บ ทำลาย

สารปอ้ งกนั กำจัดศัตรพู ืช 41 ศัตรูพชื ชอื่ สามัญ % กลมุ่ ระดับ อัตรา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ และสตู ร ออกฤทธ์ิ เป็นพิษ มกั จะพบระบาดใน (LD50) ข้าวฟา่ งพันธ์ทุ ่มี ีช่อ รวงใหญ่และแนน่ หนอนใยขา้ ว คารบ์ ารลิ 85% WP 1A ปาน 50 และให้ช่อขณะท่ียัง ฟา่ ง (carbaryl) มฝี นตกชุก (Stenachroia กลาง กรัม/นำ้ elongella) ไทโอดคิ ารบ์ (thiodicarb) (614) 20 ลิตร 75% WP 1A รา้ ย 25 แรง กรมั /นำ้ (50) 20 ลิตร

42 อ้อย (Sugarcane) การพ่นสารฆ่าแมลงด้วยเครื่องพ่นสารแบบสูบโยกสะพายหลัง (knapsack sprayer) อ้อยอายุ 1-4 เดือน (ระยะแตก กอ) ใช้น้ำไร่ละ 60-70 ลิตร อ้อยอายุ 5 เดือนขึ้นไป พ่นด้วยเครื่องยนต์พ่นสารแบบแรงดันน้ำสูง (high pressure pump sprayer) ออ้ ยอายุ 5-8 เดือน ใชน้ ำ้ ไร่ละ 80-100 ลติ ร ออ้ ยอายุ 9-11 เดือน ใชน้ ำ้ ไรล่ ะ 110-120 ลติ ร สารป้องกันกำจัดศัตรพู ืช ศัตรูพชื ช่อื สามญั % กลุม่ ระดับ อตั รา วิธกี ารใช้ หมายเหตุ สารออกฤทธิ์ กลไกการ ความ การใช้ ใช้ในกรณเี กิดภาวะ และสูตร ออกฤทธิ์ เป็นพษิ (LD50) หนอนกอออ้ ย อนิ ดอกซาคารบ์ 15%EC 22A รา้ ย 15 มล./ เมอ่ื ออ้ ยอายุ 1 เดอื น หรอื - หนอนกอลาย (indoxacarb) แรง นำ้ 20 เม่อื ออ้ ยแสดงอาการยอด แห้งแล้งความชนื้ ใน จดุ เลก็ (179) ลิตร เหีย่ ว 10% พ่น 2-3 คร้ัง ดินไมพ่ อหรอื มหี นอ่ (Chilo อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC 6 รา้ ย 10 มล./ ห่างกนั 14 วัน ในชว่ งเดือน อ้อยแตกใหมห่ ลงั infuscatellus) (emamectin แรง น้ำ 20 ม.ี ค.-ม.ิ ย. เกบ็ เกย่ี ว - หนอนกอสีขาว benzoate) (76) ลิตร (Scirpophaga คลอแรนทรานลิ โิ พรล 5.17% 28 นอ้ ย 20 มล./ excerptalis) (chlorantraniliprole) SC - หนอนกอสชี มพู (>5,000) น้ำ 20 (Sesamia เดลทาเมทริน ลิตร inferens) 3% EC 3A รา้ ย 10 มล./ (deltamethrin) แรง น้ำ 20 (87) ลิตร หนอนกอลาย ปโิ ตรเลยี มสเปรย์ 83.9% UNE นอ้ ย 100 พ่นให้ทวั่ ต้นออ้ ยเมื่อพบไข่ ใช้ในระยะออ้ ยเปน็ จดุ ใหญ่ ออยล์ EC (4,300) มล./นำ้ 0.2-1.0 กลุ่ม/ต้น ลำและพ่นตอนเย็น (Chilo petrolium spray oil 20 ลติ ร tumidicostalis) เดลทาเมทริน 3% EC 3A รา้ ย 10 มล./ พน่ เมื่อพบตัวเตม็ วยั 1-5 deltamethrin แรง นำ้ 20 ตวั /กอ (87) ลิตร แมลงนนู หลวง ฟโิ พรนิล 5% SC 2B รา้ ย 80 มล./ ในแหลง่ ท่ีมีแมลงนูนหลวง ในแหลง่ ทม่ี แี มลงนูน (Lepidiota fipronil แรง นำ้ 20 ระบาด พน่ ตามรอ่ งอ้อย หลวงระบาด ระยะ stigma) (92) ลิตร ตอนปลกู แล้วกลบดนิ ทเ่ี หมาะสมในการ สำหรับตออ้อยใหพ้ น่ ทัง้ 2 ป้องกนั กำจดั คอื ดา้ น ของกอออ้ ย หา่ งจาก ระยะที่หนอนเริม่ ฟัก กอออ้ ยประมาณ 20 ออกจากไขห่ รอื เซนติเมตร แล้วกลบดิน ประมาณกลางเดอื น ม.ิ ย. ดว้ งหนวดยาว ฟิโพรนลิ 5% SC 2B รา้ ย 80 มล./ ในแหลง่ ที่มดี ้วงหนวดยาว อ้อย fipronil แรง นำ้ 20 อ้อยระบาด พ่นบนทอ่ น (Dorysthenes (92) ลติ ร พันธุต์ อนปลกู เพียงครง้ั เดยี ว buqueti) แล้วกลบดิน ในออ้ ยตอชว่ ง ระยะแตกกอ เมอ่ื พบการ ระบาดของหนอนด้วงหนวด ยาวออ้ ยมากกวา่ 7% ให้พ่น สารฆ่าแมลงท้งั 2 ด้านของ กออ้อยแลว้ กลบดิน