การศกึ ษาแนวคิดเรอื่ งสนั ติภาพของติช นทั ฮันห์ THE STUDY OF THE CONCEPT OF PEACE ACCORDING TO THICH NHAT HANH พระเตยี ม รตนโชโต (กนิ วุ งศ)์ วิทยานิพนธน์ ี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรปรญิ ญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาปรัชญา บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั พทุ ธศักราช ๒๕๕๙
การศกึ ษาแนวคดิ เรื่องสันติภาพของตชิ นทั ฮนั ห์ พระเตยี ม รตนโชโต (กินวุ งศ)์ วิทยานิพนธน์ ้เี ปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรปริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาปรชั ญา บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย พทุ ธศักราช ๒๕๕๙ (ลขิ สิทธ์ิเป็นของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
The Study of the Concept of Peace According to Thich Nhat Hanh Phratiem Ratanachoto (Kinouvong) A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of The Requirement for the Degree of Master of Arts (Philosophy) Graduate School Mahachulalongkornrajavidyalaya University Bangkok, Thailand C.E. 2016 (Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
ชอื่ วิทยานพิ นธ์ : การศกึ ษาแนวคิดเรอื่ งสนั ตภิ าพของตชิ นทั ฮนั ห์ ผู้วจิ ัย : พระเตียม รตนโชโต/กินุวงศ์ ปรญิ ญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาปรชั ญา) คณะกรรมการควบคุมวิทยานพิ นธ์ : พระครูภาวนาโพธิคณุ , ผศ.ดร. พธบ. (ศาสนา), M.A. (Phil.), M.A. (Phol.sc.), M.Phil. (Phil.), Ph.D. (Phil.) : รศ.อุดม บวั ศรี ป.ธ. ๗, พธบ. (ปรชั ญา), พม., M.A. (Phil.) : ผศ.ดร.สุวนิ ทองป้นั พธบ. (ปรชั ญา), M.A. (Phil.), Ph.D. (Phil.) วันที่สาเร็จการศกึ ษา : ๒๔ /พฤศจิกายน/ ๒๕๕๙ บทคัดยอ่ การวิจัยน้ี มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑. เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องสันติภาพ ๒. เพื่อศึกษา แนวคิดเร่ืองสันติภาพของติช นัท ฮันห์ ๓. เพื่อวิเคราะห์แนวคิดเร่ืองสันติภาพของติช นัท ฮันห์ ในโลก ปัจจุบัน เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยการเก็บข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ และทุติยภูมิ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ด้วยวิธกี ารพรรณนาตามหลักอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดเร่อื งสันตภิ าพ ได้แก่ สถานการณ์หรือภาวะที่ปราศจากสงคราม ปราศจากความขัดแย้ง ปราศจากความรุนแรง สันติภาพเป็นเร่ืองของความเสมอภาค เป็นเรื่องสิทธิ มนุษยชน เป็นความสงบทีม่ นุษยไ์ ดม้ อบความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ดว้ ยกัน ติช นัท ฮันห์มีแนวคิดเกี่ยวกับสันติภาพ ดังนี้ ๑) สันติภาพเป็นภาวะท่ีปราศจากสงคราม ปราศจากความรุนแรง สันติภาพคือกระบวนการแห่งสันติวิธี กระบวนการสร้างความสมานฉันท์ สันติภาพต้องพัฒนาความเข้าใจเพ่ือหยุดสงคราม สันติภาพต้องเข้าใจสงครามในฐานะปัจเจกบุคคล และประชาชาติ ๒) แนวคิดสนั ติภาพกับการเปล่ยี นแปลงพัฒนาร่วมกัน ตชิ นทั ฮันห์เห็นว่า สันติภาพ ต้องไม่แบ่งแยก สันติภาพต้องพัฒนาการรับฟังความทุกข์ของกันและกัน สันติภาพคือการเป็นอยู่ ระหวา่ งกันและกนั ของมนุษย์ สันตภิ าพตอ้ งมีความมุง่ มนั่ ในการสรา้ งสันตสิ ุขใหก้ ับตนเอง ติช นัท ฮันห์มีแนวคิดว่า การสร้างสรรค์สันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ดังน้ี ๑) สันติภาพต้องสร้างจากภายในเพ่ือการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข ๒) สันติภาพต้อง เปลย่ี นแปลงตัวเองเพื่อหนทางแห่งสันติภาพ โดยการแปรเปล่ียนด้วยการถอนความคิดเห็นที่ผิด การ แปรเปลี่ยนด้วยการสร้างความเห็นที่ถูกต้อง ๓) การฝึกปฏิบัติเจริญภาวนาเพื่อหนทางแห่งสันติภาพ ๔) การฝึกปฏิบัติเจริญสติเพื่อหนทางแห่งสันติภาพ โดยการฝึกปฏิบัติการหายใจอย่างมีสติในปัจจุบัน ขณะ ๕) ปฏิบัติตามคาสอนทางพระพุทธศาสนาสร้างสันติภาพในโลกปัจจุบัน โดยการฝึกปฏิบัติตาม
ข วิถีทางของพระพุทธเจ้าเราจะพบอิสระ อริสัจ ๔ คือ สิ่งท่ีต้องเข้าใจและเปล่ียนแปลงความทุกข์ ฯลฯ ๖) แนวคิดสันตภิ าพในปัจจบุ ันกับอนาคตของสันติภาพโลก โดยการเปลี่ยนจิตสานึกต่อความโลภและ ความรุนแรง การรักษาสุขภาพจิตและความรับผิดชอบต่อเพ่ือนมนุษย์ โดยการเริ่มต้นที่ตนเอง แล้ว ขยายตอ่ ไปยังครอบครัว ชุมชน สงั คม และโลก จงึ จะเกดิ สันตภิ าพทแ่ี ท้จรงิ
ค Thesis Title : The Study of the Concept of Peace According to Thich Nhat Hanh Researcher : Phratiem Ratanachoto (Kinouvong) Degree : Master of Arts (Philosophy) Thesis Supervisory Committee : Phrakhrubhavanabodhiguna, B.A., M.A. (Phil.), M.A. (Pol.Sc.), M.Phil., Ph.D. (Phil.) : Assoc. Prof. Udom Buasri Pali VII, Dip. In Ed., B.A., M.A. : Asst. Prof. Dr. Suwin Thongpan B.A. (Phil.), M.A. (Phil.), Ph.D. (Phil.) Date of Graduation : 14 November 2016 Abstract The aims of this research were 1) to study the concepts of peace, 2) to study the concept of peace in accordance with Thich Nhat Hanh and 3) to study Thich Nhat Hanh’s concept of peace in the current time. This documentary research was carried out by collecting the data from primary and secondary sources and then the data were analyzed by the inductive description principles. The research results revealed that peace is defined as the situation or condition without war, conflicts and violence. It is the matter of equality, human right and is created through loving kindness towards human beings. The concepts of Thich Nhat Hanh are as follows: 1) peace is the condition without war, violence, peace process and harmony creation; peace must be made based on individual and national comprehension against war and 2) based on the peace concept and collaborative change, Thich Nhat Hanh mentioned that peace is not discrimination, is made by listening to one another suffering, is coexistence of human and can be made by intension to create peace to oneself.
ง Thich Nhat Hanh has the idea for building peace in the current world as follows: 1) peace must be created within oneself for peaceful coexistence; 2) wrong views must be changed as the right view, considered as self-change for peace; 3) meditation is the way of peace; 4); consciousness development by mindfully breathing is the way of peace; 5) following and practicing Buddhist teachings is the way to find freedom and the Four Noble Truths which should be understood as a source for alternating suffering and 6) for creating peace in the present time and for peace in the future, true peace can be created by changing attitudes towards greed and violence, mental health maintenance and responsibility of human beings; this must be done within oneself at first and extended to family, community, society and world.
จ กติ ตกิ รรมประกาศ วิทยานิพนธ์นี้สาเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณพระครูภาวนาโพธิคุณ, ผศ.ดร. รศ.อุดม บัวศรี ผศ.ดร.สุวิน ทองปั้น อาจารย์ท่ีปรึกษาที่ได้คอยให้คาปรึกษาช้ีแนะปรับปรุง วิทยานิพนธ์มาโดยตลอด ขอขอบพระคุณ พระราชวรเมธี ประธานคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ทีไ่ ด้แนะนาขัดเกลาวทิ ยานพิ นธใ์ ห้ดียง่ิ ข้นึ และกรรมการสอบวิทยานิพน ผู้ให้คาช้ีแนะในการปรับปรุง วทิ ยานิพนธ์ให้สมบูรณเ์ ป็นอยา่ งดี ผูว้ จิ ยั รู้สกึ ซาบซ้งึ และขอขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งสูงไว้ ณ ท่ีน้ี ขอขอบคุณปิยมิตรของข้าพเจ้าทุกท่านที่เป็นกาลังใจ และคอยให้คาปรึกษาพร้อมท้ังให้ คาแนะนาข้อคิดต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้วิจัยตลอดมา คุณค่าและประโยชน์ใดๆ ที่เกิดจาก วิทยานิพนธ์ฉบับน้ี ผู้วิจัยขอมอบเป็นความกตัญญูกตเวทิตาแด่คุณพ่อคุณแม่ท่ีคอยส่งเสริมสนับสนุน ทางด้านการศึกษาให้ขา้ พเจ้าจนถึงทุกวนั นี้ สุดทา้ ยนี้ เหนอื ไปกว่าความเข้าใจเรื่องสันติภาพ คือ ความดี ความรัก ความอบอุ่น ความ เอาใจใส่อันดีงามทุกประการท่ีได้รับจากครูบาอาจารย์ทุกท่าน หน่ึงในนั้น คือ ความซาบซึ้ง ความ สานึกและการตอบแทนคณุ ทอ่ี ยู่ในความรสู้ กึ ของผูศ้ ึกษาไปตราบนานเท่านาน พระเตยี ม รตนโชโต (กนิ ุวงศ)์ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
สารบัญ ฉ เรอ่ื ง หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาองั กฤษ ค กติ ตกิ รรมประกาศ จ สารบญั ฉ สารบัญภาพ ฌ บทที่ ๑ บทนา ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย ๔ ๑.๓ ปัญหาท่ีต้องการทราบ ๔ ๑.๔ ขอบเขตของการวจิ ยั ๔ ๑.๕ นยิ ามศัพท์เฉพาะทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ๔ ๑.๖ ทบทวนเอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕ ๑.๗ วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย ๘ ๑.๘ ประโยชน์ทไ่ี ด้รบั จากการวจิ ัย ๘ บทที่ ๒ แนวคดิ เรือ่ งสนั ตภิ าพ ๙ ๒.๑ ความหมายของสนั ตภิ าพ ๙ ๒.๒ ประเภทของสันติภาพ ๑๐ ๒.๓ ระดับของสนั ติภาพ ๑๒ ๒.๔ ความสาคัญของสนั ติภาพ ๑๓ ๒.๕ แนวคดิ ทฤษฎีเรอ่ื งสนั ติภาพ ๑๕ ๒.๖ ผลงานวจิ ัยท่ศี ึกษาเกย่ี วกบั สันตภิ าพ ๒๒ ๒.๗ สรุป ๒๘ บทท่ี ๓ แนวคดิ เรื่องสนั ติภาพของติช นทั ฮนั ห์ ๓๐ ๓.๑ ประวตั ขิ องตชิ นทั ฮนั ห์ ๓๐ ๓.๒ แนวคิดเรือ่ งสันติภาพของ ติช นทั ฮนั ห์ ๓๒ ๓๒ ๓.๒.๑ แนวคิดสันติภาพในทศั นะตอ่ สงครามและความรนุ แรง
ช ๓.๒.๑.๑ สันติภาพต้องเป็นภาวะที่ปราศจากสงคราม ๓๒ ๓.๒.๑.๒ สันตภิ าพตอ้ งไม่ใช้ความรุนแรง ๓๕ ๓.๒.๑.๓ สนั ตภิ าพคือกระบวนการแหง่ สนั ตวิ ิธี ๓๘ ๓.๒.๑.๔ สนั ตภิ าพกับกระบวนการสรา้ งความสมานฉนั ท์ ๔๑ ๓.๒.๑.๕ สันติภาพต้องพฒั นาความเขา้ ใจเพื่อหยดุ สงคราม ๔๓ ๓.๒.๑.๖ สนั ตภิ าพตอ้ งเข้าใจสงครามในฐานะปัจเจกบุคคลและประชาชาติ ๔๔ ๓.๒.๒ แนวคิดสนั ตภิ าพกบั การเปลยี่ นแปลงพฒั นาร่วมกนั ๔๕ ๓.๒.๒.๑ สันติภาพต้องไม่แบ่งแยก ๔๕ ๓.๒.๒.๒ สนั ติภาพต้องพัฒนาการรบั ฟงั ความทุกข์ของกนั และกัน ๔๘ ๓.๒.๒.๓ สนั ตภิ าพคอื การเป็นอยรู่ ะหวา่ งกันและกันของมนษุ ย์ ๕๐ ๓.๒.๒.๔ สนั ตภิ าพตอ้ งมีความมงุ่ มัน่ ในการสรา้ งสันตสิ ุขใหก้ ับตนเอง ๕๔ ๓.๓ สรปุ ๕๖ บทท่ี ๔ แนวคดิ เรื่องสนั ตภิ าพของตชิ นัท ฮนั ห์ ในโลกปจั จุบนั ๕๗ ๔.๑ แนวคิดการแปรเปลีย่ นสังคมและชุมชนเพ่ือสันติภาพ ๕๗ ๔.๑.๑ การแปรเปลย่ี นเงอื่ นปมภายในเพื่อการอยรู่ ว่ มกนั ๕๗ ๔.๑.๒ การแปรเปลย่ี นชมุ ชนใหเ้ ป็นชมุ ชนท่ีปฏิบตั ิธรรม ๕๘ ๔.๑.๓ การแปรเปลย่ี นสังคมและชมุ ชนต้องดาเนินไปเพื่อเพื่อนมนุษย์ ๕๙ ๔.๑.๔ การแปรเปล่ียนชุมชนต้องดาเนินไปอย่างมสี ติ ๕๙ ๖๒ ๔.๒ การแปรเปลี่ยนตวั เองเพอ่ื หนทางแหง่ สนั ติภาพ ๖๒ ๔.๒.๑ การแปรเปลย่ี นด้วยการถอนความคิดเหน็ ทีผ่ ดิ ๖๓ ๔.๒.๒ การแปรเปลี่ยนดว้ ยการสร้างความเหน็ ท่ถี ูกต้อง ๖๔ ๔.๒.๓ การแปรเปลย่ี นด้วยการปฏิบตั ิในแนวทางแห่งสติ สมาธิ ปญั ญา ๖๕ ๔.๒.๔ การแปรเปล่ียนด้วยการสรา้ งความเหน็ อกเหน็ ใจต่อผอู้ น่ื ๖๖ ๔.๒.๕ การแปรเปลี่ยนด้วยการหยดุ นิสยั ของตนเองเพื่อการอย่รู ่วมกัน ๖๖ ๔.๒.๖ การแปรเปลย่ี นด้วยการสร้างพลังนิสัยดา้ นบวก ๖๗ ๔.๒.๗ การแปรเปลี่ยนด้วยการสรา้ งความเกอ้ื กลู ๖๘ ๔.๒.๘ การแปรเปลี่ยนดว้ ยการสร้างความสัมพันธ์ ๖๙ ๔.๒.๙ การแปรเปล่ียนตนเองด้วยความรกั ๖๙ ๔.๒.๑๐ การแปรเปลย่ี นการกระทาทกุ อยา่ งด้วยสนั ติ ๗๑ ๗๑ ๔.๓ การฝึกปฏบิ ัติเจริญภาวนาเพ่อื หนทางแหง่ สันติภาพ ๔.๓.๑ การปฏบิ ตั ิเจรญิ ภาวนาต้องนามาใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั
๔.๓.๒ การเจรญิ ภาวนาตอ้ งทาดว้ ยความการณุ ย์ ซ ๔.๓.๓ การเจรญิ ภาวนาต้องทาด้วยความรกั ๔.๓.๔ การเจรญิ ภาวนาดว้ ยการสลดั ความกระวนกระวาย ๗๒ ๔.๓.๕ การเจรญิ ภาวนาตอ้ งไม่แบ่งแยกและไม่ใช้ความรนุ แรง ๗๒ ๔.๓.๖ การเจรญิ ภาวนาตอ้ งทันสถานการณ์ของโลก ๗๓ ๔.๔ การฝกึ ปฏบิ ัติเจรญิ สตเิ พ่ือหนทางแห่งสันติภาพ ๗๔ ๔.๔.๑ ฝกึ ปฏิบัตกิ ารหายใจอยา่ งมีสตใิ นปจั จบุ นั ขณะ ๗๔ ๔.๔.๒ การเจรญิ สติเพอ่ื สันตภิ าพต้องกลับมาส่ตู นเอง ๗๖ ๔.๔.๓ การเจริญสติตอ้ งทาในชวี ิตประจาวัน ๗๖ ๔.๔.๔ การเจรญิ สติคืองานเพื่อสนั ตภิ าพในปจั จุบันและอนาคต ๗๗ ๔.๔.๕ การเจรญิ สติต้องมองถึงความสมานฉนั ท์ของเราทุกคน ๗๗ ๔.๕ คาสอนทางพระพุทธศาสนาสร้างสนั ติภาพในโลกปจั จุบนั ๗๘ ๔.๕.๑ ศกึ ษาคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาโลกจะมีสันตภิ าพ ๗๘ ๔.๕.๒ ฝึกปฏิบตั ติ ามวถิ ีของพระพทุ ธเจ้าเราจะพบอสิ ระ ๗๙ ๔.๕.๓ อริสัจ ๔ คอื สง่ิ ทีต่ อ้ งเขา้ ใจและเปลี่ยนแปลงความทุกข์ ๘๐ ๔.๕.๔ สรา้ งสันตภิ าพในโลกปัจจุบนั ดว้ ยการฝึกปฏบิ ตั อิ านาปานสติ ๘๒ ๔.๖ แนวคดิ สันตภิ าพในปัจจบุ นั กบั อนาคตของสันติภาพโลก ๘๒ ๔.๖.๑ การเปลย่ี นจติ สานกึ ตอ่ ความโลภและความรุนแรง ๘๓ ๔.๖.๒ การรกั ษาสุขภาพจติ และความรับผดิ ชอบต่อเพ่อื นมนษุ ย์ ๘๕ ๔.๖.๓ การตระหนกั รู้ด้วยการปกปอ้ งแผน่ ดนิ เพื่อสันสนั ติภาพ ๘๕ ๔.๖.๔ การปลดปล่อยความทุกข์เพอื่ สันตภิ าพของคนรนุ่ ต่อไป ๘๖ ๔.๗ สรุป ๘๗ ๘๗ บทที่ ๕ สรุปผลการวจิ ัย และข้อเสนอแนะ ๘๘ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๙๐ ๕.๒ ข้อเสนอแนะ ๙๐ บรรณานุกรม ๙๗ ประวัติผู้วิจยั ๙๘ ๑๐๔
สารบัญภาพ ฌ เร่ือง หน้า ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคิดสนั ตภิ าพ ๒๑ ภาพที่ ๒.๒ แนวคิดกระบวนการสนั ตภิ าพ ๒๘ ภาพที่ ๓.๑ แนวคิดการลดความรุนแรง ๓๘ ภาพที่ ๔.๑ การแปรเปลยี่ นชมุ ชนเพอ่ื สนั ตภิ าพ ๖๒
บทท่ี ๑ บทนา ๑.๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทาให้เกิดคาถามว่า ท่ีจริงแล้วโลกนี้มี สันตภิ าพท่ีแทจ้ ริงหรอื ไม่ หรอื สนั ติภาพเป็นเพียงสภาวะชั่วคร้ังชั่วคราว ท่ีข้ึนอยู่กับสถานการณ์ เวลา สถานท่ี และบุคคล หรือการไม่มีสันติภาพเป็นเรื่องธรรมดาปรกติของโลก จึงไม่ต้องเสียเวลาที่จะ ค้นหาวิถีทางแห่งสันติภาพ ท้ังที่หลายคนหลายฝ่ายทั่วโลก ต่างพยายามเรียกร้องหรือพยายามที่จะ สร้างสันติภาพให้เกิดข้ึน ท้ังท่ีบางครั้งหากพิจารณาดูแล้ว ก็เกิดคาถามข้ึนอีกว่า วิธีการเช่นนี้หรือคือ วิธีท่ีจะทาให้เกิดสันติภาพ เช่น การทาสงครามโดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อสันติภาพ๑ ท้ังท่ีสันติภาพเป็น ความใฝ่ฝันของมนุษยชาติมาทุกยุคทุกสมัย แม้กระน้ันโลกแทบไม่เคยว่างเว้นจากสงคราม เมื่อ สงครามโลกครั้งท่ี ๑ เสร็จสิน้ เชอื่ กนั ว่า “สงครามท่ียุตสิ งครามท้ังหลาย” จะนามาซ่ึงสันติภาพได้ แต่ แล้วผ่านไปเพียงแค่ ๒ ทศวรรษ สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ก็เกิดขึ้น การพ่ายแพ้อย่างยับเยินของเยอรมนี และญ่ีปุ่นเม่ือ ๖๐ ปีที่แล้ว และการเกิดองค์การสหประชาชาติ (The United Nations) ได้สร้าง ความหวังไปท่ัวท้ังโลกว่าสันติภาพจะสถาปนาตั้งม่ันในโลก แต่แล้วหลังจากน้ันไม่กี่ปีโลกก็ต้องเผชิญ กับสงครามเยน็ ทนี่ าไปสู่สงครามและความรุนแรงน้อยใหญ่ไปท่ัวโลก รวมท้ังสงครามเกาหลี สงคราม เวียดนาม และสงครามในอัฟกานิสถาน๒ ซ่ึงก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บอย่างมหันต์ นอกจากน้นั ยงั ก่อใหเ้ กิดความเสียหายทางดา้ นทรัพย์สินอีกมากมาย หากมองถึงรากเหง้าของปัญหาดังกล่าว ให้ลึกลงไปมากกว่านี้ก็จะพบว่า เบ้ืองลึกของ ความโหดเห้ียมรุนแรงของมนุษย์ท่ีทาต่อกัน คือ อวิชชาอันยังให้เกิดอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ เสริมกาลังด้วยอานาจจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้โลภะ โทสะ โมหะ มีพลังขับเคลื่อน รุนแรงย่ิงขึ้น ทาให้การแย่งชิงอย่างโหดเหี้ยมขยายไปทั่วโลก๓ แม้แต่เทคโนโลยีท่ีสร้างข้ึนเพ่ือ ประโยชน์ในการอานวยความสะดวกสบายต่างๆ กก็ ลับถูกมาใช้เปน็ เคร่ืองมือทาลายล้างมนุษย์เสียเอง ๑ ไอศูรย์ พยัฆศิริ, “การศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดเร่ืองสันติภาพของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๖), หนา้ ๘๑. ๒ พระไพศาล วิสาโล, ขอคนื พ้ืนทธี่ รรม, (กรุงเทพมหานคร: มตชิ น, ๒๕๕๓), หนา้ ๔๓. ๓ ประเวศ วะสี, ประเทศไทยกบั สันติภาพโลก, (กรงุ เทพมหานคร: สานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แหง่ ชาติ, ๒๕๔๕), หน้า ๒.
๒ ทาให้คนในยคุ ท่ีเจริญนี้ กลับมีภยั อันตรายมากขึ้น เพราะทาลายกันไดง้ า่ ยยง่ิ ขึน้ ๔ แม้ว่าสงครามใหญ่ๆ ระดับโลกดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้ว แต่ปัญหาเรื่องการแย่งชิงอานาจ และผลประโยชน์กย็ ังปรากฏให้เห็นอยู่มากหลาย เพียงแต่ในปัจจุบัน การแย่งชิงได้แปรรูปไป แต่ก็ยัง เป็นการแย่งชิง ซึ่งรุนแรงมากข้ึนในนามของการค้าเสรี การเงินเสรี การแข่งขันเสรี ทาให้โลกทั้งโลก เป็นระบบเปิดท่ีจะไปแย่งชิงกันอย่างเสรี ไม่ว่าจะมีประดิษฐ์กรรมทางคาพูดและทางวิชาการมาเรียก และอธบิ ายมนั วา่ อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นการขับเคลื่อนดว้ ยความโลภและอานาจอยู่เหมือนเดิม๕ สังคม ทม่ี ีการแกง่ แย่งแขง่ ขนั กัน ตา่ งคนต่างมงุ่ หาผลประโยชน์ เอารัดเอาเปรียบขม่ เหงกนั แม้ไม่ปรากฏเป็น การรบราฆ่าฟันกัน ไม่เป็นสงคราม ก็จัดว่าเป็นสันติภาพไม่ได้ เพราะไม่มีความสงบที่แท้จริง เมื่อไม่มี ความสงบก็ไม่มีความสุขที่แท้จริง๖ ความเร่าร้อนกระวนกระวาย ความบีบค้ันไม่สบาย ไม่ปลอดโปร่ง เป็นอาการของความขาดสันติภาพในจิตใจ ซึ่งปัจเจกชนจานวนมากต้องประสบอยู่เสมอ ฉันใด ความ เดือดร้อนวุ่นวาย การเบียดเบียนรุกรานขัดแย้งกัน ก็เป็นอาการของความขาดสันติภาพภายนอก ที่ สังคมประสบอยเู่ สมอ ฉันนั้น การขัดแย้ง รุกรานเบียดเบียนกัน เมื่อขยายตัวรุนแรงข้ึน กลายเป็นการ สู้รบประหัตประหารกนั ระหวา่ งหมู่ชน ก็มีศัพท์เฉพาะเรียกว่าสงคราม เมื่อสงครามเกิดขึ้น ความทุกข์ ยากเดอื ดรอ้ น ความวนุ่ วายระส่าระสายกย็ ง่ิ ทวคี วามรนุ แรงและแผข่ ยายกวา้ งขวางย่งิ ขึน้ ๗ สภาวะเหล่าน้ี ถือได้ว่าเป็นสภาวะการขาดสันติภาพ เพราะสันติภาพ มิใช่หมายถึงเพียง แค่สันติภาพภายนอก คือการปลอดสงคราม การปลอดภาวะความรุนแรงทางกายภาพ และทาง โครงสร้าง เป็นสภาพที่มนุษย์ไม่กระทาความรุนแรงต่อตนเอง ต่อเพ่ือนมนุษย์ ต่อส่ิงมีชีวิต และต่อ สิ่งแวดล้อม มีระเบียบข้อบังคับท่ีเป็นระบบหน่ึงของการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยไม่ใช้กาลัง หรือ สภาพที่ไม่มีความขัดแย้ง หากแต่สันติภาพที่แท้นั้น หมายถึง สันติภาพภายใน คือสภาวะท่ีจิตใจสงบ สุข ปราศจากความขัดแย้งท้ังภายใน และภายนอกอีกด้วย๘ ดังนั้น การพัฒนาจิตวิญญาณ และการ ขจัดความขัดแย้งในจิตใจรวมถึงการยึดถืออัตตาของบุคคลนั้นเป็นสิ่งสาคัญ เพราะหากบุคคลมี ศีลธรรม มีความรักให้แก่สรรพส่ิงก็จะนาไปสู่จุดมุ่งหมาย คือ สันติภาพภายในจิตใจของแต่ละบุคคล หรือ สันตภิ าพภายในซ่งึ เปน็ จุดเร่ิมต้นในการสรา้ งสันตภิ าพในระดบั ท่กี ว้างข้นึ ๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธวิธีแก้ปัญหาเพื่อศตวรรษที่ ๒๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธรรม สาร จากดั , ๒๕๔๔), หนา้ ๓๗-๓๘. ๕ ประเวศ วะสี, ประเทศไทยกับสนั ตภิ าพโลก, หนา้ ๒. ๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), การศึกษาเพ่ือสันติภาพ, พิมพ์คร้ังท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธ ธรรม, ๒๕๔๐), หนา้ ๑๓. ๗ ทศ พันธุมเสน และ จนิ ตนา ยศสุนทร, จากมหาสงครามสู่สันติภาพ, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: ธนธัช, ๒๕๔๒), หนา้ ๘. ๘ มานิตา ลีโทชวลิต, “การวิเคราะห์นิทานชาดกที่ส่งเสริมสันติธรรมสาหรับเด็กปฐมวัย”, วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๔), หน้า ๒.
๓ วิธีการท่ีจะขจัดความขัดแย้ง เพื่อที่จะทาให้เกิดสันติภาพได้น้ัน จาเป็นท่ีจะต้องเริ่มต้นท่ี สันติภาพภายในตัวบุคคล ด้วยการลดความโลภ โกรธ หลง ก่อน แล้วสันติภาพก็จะสะท้อนออกมาสู่ ภายนอก ดังที่พระ ราชวรมุณี ได้กล่าวไว้ว่า หากเราไม่มีสันติภาพภายในแล้ว ก็ยากท่ีจะทาให้เกิด สันตภิ าพภายนอกข้ึน เพราะคนที่ไม่มีสันติในใจ ไม่มีความสงบ ใจก็จะมีความทุกข์ คนที่จิตใจมีทุกข์ก็ จะระบายความทุกข์ออกไป ทาให้เกิดปัญหาก็คือความทุกข์ เม่ือมีปัญหาแก้ไม่ได้ก็หาทางระบายออก จึงทาให้ขาดสนั ตภิ าพภายนอกตามมา๙ ติช นัท ฮันห์ เป็นบุคคลสาคัญของโลกผู้หน่ึงท่ีมองเห็นความสาคัญในการสร้างสรรค์ สันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะศานติสุขภายในของแต่ละปัจเจกชน มีความสาคัญมากในการ สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก ดังท่ี ทาไลลามะเคยพูดถึงติช นัท ฮันห์ ไว้ว่า “ติช นัท ฮันห์ เป็น ครูผู้สอนความเช่ือมโยงของสันติภายในและสันติภาพของโลก” จุดเด่นประการหน่ึงท่ีเด่นชัดคือ คา สอนทเี่ ชื่อมโยงให้เราเห็นว่า การพัฒนาตนเองภายในเพ่ือแก้ปมทุกข์ความขัดแย้งภายในของเรานั้นมี สว่ นสาคญั ในการสร้างสันตภิ าพต่อโลก๑๐ ท่านเห็นว่าการที่จะสร้างสรรค์สันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคมโลกได้น้ัน ผู้คนในขบวนการ สันติภาพต้องมีศานติสุขภายในจิตใจตัวเองก่อนเป็นประการแรก หากเราไม่สงบสุขเราก็ทาอะไรเพ่ือ สันติไม่ได้ หากเราไม่สามารถยิ้ม เราก็ไม่สามารถช่วยให้คนอื่นยิ้มได้ หากเราไม่สงบสุข เราก็ไม่ สามารถแบ่งปนั ให้ขบวนการสนั ตไิ ด้ บ่อยครั้งขบวนการสันติคุกรุน่ ไปด้วยความโกรธเคืองและความชัง ไม่ได้เล่นบทบาทท่ีเราคาดหวัง เราต้องการวิธีการที่สดใสของการมีศานติสุข ของการสร้างสรรค์ สันติภาพ นั่นคือเหตุท่ีว่า ทาไม่จึงเป็นสิ่งสาคัญนักสาหรับเราท่ีจะฝึกสติ เพื่อท่ีจะแสวงหาวิธีการมอง เพ่ือที่จะเห็นและเพ่ือที่จะเข้าใจ มันจะเป็นความมหัศจรรย์หากเราสามารถนาวิธีการมองโดยไม่ แบ่งแยก ให้เกิดขบวนการสันติภาพ มันเป็นวิธีการเดียวที่จะทอนความเกลียดชังความก้าวร้าว งาน สนั ติภาพหมายถงึ ความมีศานตสิ ุขเปน็ ประการแรกสุด เราต้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน เด็กๆ ของเราต้อง พง่ึ พงิ เราเพื่ออนาคตของเขา๑๑ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยเห็นว่า แนวคิดเรื่องสันติภาพของ ติช นัท ฮันห์ มีความสาคัญ และเป็นประโยชน์มากต่อการสร้างสันติภาพให้เกิดข้ึนแก่มวลมนุษย์โลก ตั้งแต่ระดับปัจเจกชนจนถึง สังคมระดับโลก จึงเป็นเร่ืองท่ีน่าสนใจศึกษาค้นคว้า เพ่ือนามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการ ดาเนินชวี ติ ในสงั คม และในโลกปัจจบุ ันตอ่ ไป ๙ มานิตา ลีโทชวลิต, “การวิเคราะห์นิทานชาดกที่ส่งเสริมสันติธรรมสาหรับเด็กปฐมวัย”, วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบณั ฑติ , (บัณฑติ วิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔), หนา้ ๒-๓. ๑๐ ทวศี ักดิ์ อชุ ุคตานนท,์ เพ่ือนงาม ตชิ นทั ฮนั ห์, (สมทุ รปราการ: บา้ นภายใน, ๒๕๕๓), หนา้ ๑๑๕. ๑๑ ติช นทั ฮันห์, สนั ติภาพทุกย่างก้าว, แปลโดย ประชา หุตานุวัตร, สุภาพร พงศ์พฤกษ์, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร: ศยาม, ๒๕๕๔), หน้า ๑๔๒-๑๔๓.
๔ ๑.๒ วัตถุประสงคข์ องการวิจยั ๑.๒.๑ เพ่ือศกึ ษาแนวคดิ เรอื่ งสนั ตภิ าพ ๑.๒.๒ เพ่ือศึกษาแนวคดิ เรื่องสันติภาพของติช นทั ฮนั ห์ ๑.๒.๓ เพอ่ื วเิ คราะห์แนวคิดเรอ่ื งสนั ตภิ าพของติช นัท ฮันห์ ในโลกปัจจบุ ัน ๑.๓ ปญั หาท่ีตอ้ งการทราบ ๑.๓.๑ แนวคดิ เร่อื งสนั ตภิ าพเป็นอย่างไร ๑.๓.๒ แนวคดิ เรื่องสนั ตภิ าพของ ติช นทั ฮนั ห์เปน็ อยา่ งไร ๑.๓.๓ แนวคิดเรอื่ งสนั ติภาพของตชิ นัท ฮนั ห์ ในโลกปจั จุบนั เป็นอยา่ งไร ๑.๔ ขอบเขตของการวจิ ยั ๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเน้ือหา มุ่งศึกษาความหมายท่ัวไปของสันติภาพ แนวคิดเร่ือง สนั ติภาพของติช นัท ฮนั ห์ และสนั ติภาพในโลกปจั จบุ นั ๑.๔.๒ ขอบเขตดา้ นเอกสาร ๑) ข้อมูลปฐมภมู ิ ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และงานเขียนของติช นัท ฮนั ห์ ๒) ข้อมูลทุตยิ ภูมิ ได้แก่ ตารา หนงั สอื เอกสารบทความ และงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับ สนั ตภิ าพของตชิ นทั ฮนั ห์ ๑.๕ นิยามศัพทเ์ ฉพาะทใี ช้ในการวจิ ัย แนวคิด หมายถึง หลักการ ทัศนะ ความเห็นท่ีว่าด้วยเร่ืองสันติภาพ ซึ่งในงานวิจัยน้ี หมายถงึ แนวคิดเกย่ี วกบั สนั ตภิ าพของตชิ นัท ฮนั ห์ สันติภาพ หมายถึง ภาวะแห่งความสงบสุข ปราศจากสงคราม ความรุนแรง และความ ขัดแยง้ ตา่ งๆ ท้งั ในระดับตน สังคม และระหวา่ งมนษุ ยก์ ับสิง่ แวดลอ้ มด้วย สนั ติวธิ ี หมายถึง วิธีการท่ไี ม่ใช้ความรนุ แรงในการแก้ปญั หาหรอื ดาเนินชีวติ สันติภาพของติช นัท ฮันห์ หมายถึง สภาวะท่ีปราศจากความรุนแรงและความขัดแย้ง ทง้ั ภายในและภายนอก
๕ ๑.๖ ทบทวนเอกสารและรายงานการวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง ๑.๖.๑ เอกสารทว่ั ไป พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ การศึกษาเพื่อสันติภาพ ว่า เมอ่ื เรามองในแง่สันติที่แท้และสูงสุดก็คือพระนิพพาน แต่ถ้าเรามองในรูปหยาบๆ กว้างๆ ชาวโลกมัก มองสันติแคค่ วามสงบภายนอก มกั จะไมม่ องลกึ เขา้ ไปถงึ ภายในจิตใจ คือเขามองสันติท่ีความเรียบร้อย ในสังคม การไม่รบราฆ่าฟัน ไม่มีสงคราม อยู่กันโดยไม่เบียดเบียน อย่างนี้เขาเรียกว่าสันติภาพ สันติภาพอย่างน้ีก็คือความอยู่ดีมีสุขของประชาชนหรือของสังคมหรือของโลกทั้งหมด แม้จะมองใน ความหมายท่ีหยาบๆอย่างนี้ก็เข้ากับจุดหมายของพระพุทธศาสนาอยู่ดีเพราะว่าพระพุทธศาสนามี หลักการว่าพระศาสนาน้ีดารงอยู่เพ่ือ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย๑๒ คือ เพื่อประโยชน์ เกอื้ กูล เพอื่ ความสขุ แกค่ นจานวนมาก เพ่อื อนุเคราะห์ชาวโลก พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ พุทธสันติวิธี : การบูร ณาการหลักการและเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง ว่า สันติวิธีตามแนวพุทธไม่ได้ “หยุดตัว” หรือ “ชะลอตัว” เม่ือสังคมเกิดสันติสุขแล้วเท่านั้น หากแต่ส่ิงท่ีมนุษย์ต้องเดินทางต่อไปตามแนวพุทธก็คือ มนุษย์ในสังคมนั้นต้องอาศัยประโยชน์จาก “สังคมท่ีมีสันติสุข” โดยใช้สันติที่เกิดในสังคมนั้นเป็น “พื้นท”่ี ในการแสวงหา และพัฒนาตนตามแนวของ “ไตรสิกขา ซึง่ ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา” เพื่อ เข้าถึงสันติที่แท้จริงซึ่งเป็น “สันติที่ซ่อนอยู่ภายในใจ” ต่อไป ซึ่งต่างจากแนวคิดของตะวันตกท่ีมุ่งให้ สังคมเกิดสันติภาพ และอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขในสังคมโดยไม่มีสงคราม และความรุนแรงเท่านั้น๑๓ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมฺ จติ โฺ ต) ไดก้ ล่าวไว้ในหนังสือ พุทธวิธีสร้างสันติภาพ ว่า ในทางพระพุทธศาสนา เรื่องสนั ติภาพเก่ียวข้องกับปจั เจกชนมากพอๆ กับสังคมและสถาบัน สันติภาพ ภายในใจของปัจเจกชนปูรากฐานให้กับสันติภาพในสังคม แท้ท่ีจริงนั้น สังคมมีสันติภาพถาวรได้ ถ้า สมาชิกแต่ละคนของสังคมมีสันตภิ าพภายในจติ ใจ ถ้าไมม่ สี ันติภาพภายในกไ็ ม่อาจมีสันติภาพภายนอก คาปรารภขององค์การยูเนสโก ได้ประกาศสัจจธรรมความจริงข้อน้ีว่า “เพราะสงครามเร่ิมที่ใจคน จึง ควรสร้างป้อมปราการแห่งสันติภาพท่ีใจคน” ปฐมคาถาแห่งคัมภีร์พระธรรมบทได้สะท้อนความรู้สึก ทานองเดียวกันว่า “ใจเป็นผู้นาสรรพสิ่ง ใจเป็นใหญ่ (กว่าสรรพส่ิง) สรรพสิ่งสาเร็จได้ด้วยใจ ถ้าพูด หรือทาส่ิงใดด้วยใจช่ัว ความทุกข์ย่อมติดตามตัวเขาเหมือนล้อหมุนเต้าตามรอยเท้าโค” ดังนั้น สันตภิ าพภายในกับสนั ตภิ าพภายนอกจึงแยกกันไม่ออกต้องพัฒนาไปพรอ้ มๆ กนั ๑๔ ๑๒ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), การศึกษาเพ่อื สันติภาพ, หนา้ ๖. ๑๓ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร), พุทธสันติวิธี : การบูรณาการหลักการและเคร่ืองมือ จดั การความขัดแยง้ , (กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั ๒๑ เซน็ จูรี่ จากดั , ๒๕๕๔), หน้า ๔๑๓. ๑๔ พระเมธีธรรมาภรณ์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีสร้างสันติภาพ, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท อมรินทรพ์ รนิ้ ติ้งกรุพ๊ จากดั , ๒๕๓๒), หนา้ ๒๑-๒๓.
๖ พินจิ รัตนกุล ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ศาสนาและสงคราม ว่า ความเมตตากรุณาของศาสนา พุทธมีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมไปถึงสรรพสิ่งท่ีมีชีวิตท่ีไม่ใช่มนุษย์ และแม้แต่ส่ิงท่ีไม่มีชีวิตใน ธรรมชาติก็อยู่ในข่ายของความเมตตาด้วย ดังน้ัน ความเมตตากรุณาจึงเป็นหลักจริยธรรมท่ีศาสนา พุทธใช้สาหรับเป็นพ้ืนฐานของความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ และ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ศีลข้อแรกของพุทธศาสนาห้ามทาลายชีวิตทุกข์ประเภท เพราะถือว่าชีวิตทุกชีวิตมีคุณค่าในตัวเอง และรักสุขหนีทุกข์เหมือนกัน เจตนารมณ์ของศีลข้อนี้ไม่ ตอ้ งการให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขข้อขัดแย้งต่างๆ แต่ให้ใช้สันติวิธีที่มีความเมตตาเป็นพ้ืนฐาน เช่น การ ใช้เหตุผล การมีความอดทน การรู้จักให้อภัย การประนีประนอม การยึดถือความยุติธรรม และ ประโยชน์ส่วนร่วมกนั เป็นสาคัญ๑๕ พระไพศาล วิสาโล ได้เขียนไว้ในหนังสือ ส่องสว่างทางไท ว่า ความรุนแรงนอกจากขจัด ความช่ัวร้ายออกไปไม่ได้แล้ว ในท่ีสุดกลับเพ่ิมคนชั่วร้ายให้มีมากขึ้น แทนที่จะลดลง คนชั่วร้ายท่ี เพิ่มขึ้นน้ันได้แก่ บุคคลท่ีใช้ความรุนแรงกระทากับผู้อ่ืน (แม้จะเพื่อพิทักษ์ความดีก็ตาม) และบุคคลท่ี เป็นเหยื่อของความรุนแรง ซ่ึงเกิดความเคียดแค้นชิงชัง และหันไปหาความรุนแรงท่ีเข้มข้นกว่าเพื่อ ตอบโต้ ดว้ ยเหตุนี้เราจึงควรต้งั หม่ันอย่ใู นหลักการสันตวิ ธิ ใี ห้มากทสี่ ดุ เทา่ ทจ่ี ะทาได้๑๖ ๑.๖.๒ งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง คัทลียา รัตนวงศ์ ทาการวิจัย เร่ือง “แนวคิดเร่ืองสันติภาพของซัยยิด กุฎุบ” ผล การศกึ ษาพบวา่ แนวคิดเรอ่ื งสนั ติภาพน้ันมีจุดรว่ มทีส่ าคญั ของแนวคดิ เร่ืองสันตภิ าพของแต่ละแนวคิด นั้น คือสันติภาพมิใช่ภาวะท่ีปราศจากสงครามเท่านั้น หากแต่สันติภาพจะต้องประกอบขึ้นด้วย องค์ประกอบต่าง ๆ มากมาย เช่น ความสงบสันติภายในจิตใจของบุคคลแต่ละคน สันติภาพภายใน สังคมและโลก เม่ือเกิดความขัดแย้งใด ๆ ข้ึน ไม่ว่าจะระหว่างประชาชนกับรัฐ หรือรัฐกับรัฐก็ตาม จะต้องขจัดความขัดแย้งเหล่านั้นด้วยสันติวิธี นอกจากน้ียังจะต้องดูแลสังคมแต่ละสังคมมิให้เกิดการ กระทาความรุนแรงเชิงโครงสร้างขน้ึ ภายในสังคมด้วย๑๗ ไอศรู ย์ พยัฆศิริ ทาการวิจยั เร่ือง “การศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องสันติภาพของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต)และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์” จากการศึกษาพบว่า แนวความคิดเรื่อง สันตภิ าพของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์มีความคล้ายคลึงกันในด้าน ทศั นะที่มตี อ่ สนั ตภิ าพ รวมทงั้ จุดม่งุ หมายและการศกึ ษาท่ีจะพัฒนามนุษย์ไปสู่สันติภาพแต่อาจมีความ แตกต่างกันในบางแง่มุมและรายละเอียด เช่น วิธีการและกระบวนการของการศึกษาในการพัฒนา มนุษย์ และทัศนะท่ีมีต่อสนั ตภิ าวะภายนอกของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ ๑๕ พนิ ิจ รัตนกลุ , ศาสนาและสงคราม, (นนทบุรี: ธงิ ค์ บียอนด์ บุ๊คส์, ๒๕๕๕), หนา้ ๑๖-๑๗. ๑๖ พระไพศาล วิสาโล, สอ่ งสว่างทางไท, (กรุงเทพมหานคร: กลุ่มเสขิธรรม, ๒๕๔๗), หนา้ ๒๓๘. ๑๗ คัทลียา รัตนวงศ์, “แนวคิดเร่ืองสันติภาพของซัยยิด กุฎุบ”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๕๐), หนา้ ๑๑๙.
๗ ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว ทัศนะท่ีมีต่อสันติภาพ ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต)และมารต์ นิ ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ มีความคล้ายคลึงกัน คือ ความมุ่งหมายท่ีจะให้มนุษย์อยู่ รว่ มกันด้วยสันตสิ ขุ ในสังคม โดยปราศจากการแบ่งแยกผิวพรรณ เชื้อชาติ ศาสนา และการอยู่ร่วมกัน อย่างประสานกลมกลืน ทั้งสองท่านมีความเห็นสอดคล้องว่าสันติภาพท่ีแท้เริ่มมาจากสันติภาวะ ภายในจิตใจของมนษุ ย์แลว้ สง่ ผลออกมาทางการกระทาทเ่ี ป็นประโยชนส์ ุขแกส่ งั คมสว่ นรวม๑๘ จิรวัฒน์ เพชรชานาญ ทาการวิจัย เรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์สันติวิธีตามแนว พระพุทธศาสนากับสังคมไทย” ผลการศึกษาพบว่า หลักคาสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาทถือว่า มนุษย์และส่ิงมีชีวิตมีคุณค่าทางจริยธรรม แม้ว่าจะต่างกันทางด้านต่างๆ แต่หลักแนวคิดสันติวิธีใน พระพุทธศาสนาก็มีความคิดเห็นว่ามนุษย์สามารถอยู่ได้โดยการพึ่งพาอาศัยกัน ประการต่อมา พระพทุ ธศาสนามที ่าทีและแนวคดิ เกย่ี วกับความขัดแย้งว่าเป็นส่ิงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพียงแต่เข้าใจ กฎการเปลีย่ นแปลงของสรรพส่ิง และปรับตวั เข้ากบั ปัจจยั แวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์ด้วยกัน ซ่ึง มกั จะมีแนวคดิ ทีแ่ ตกตา่ งกัน ไมว่ ่าจะเป็นการศึกษา ฐานะ และอาชีพการงาน ซ่ึงเป็นฐานแนวคิดที่มา ของความขดั แยง้ ๑๙ พระวมิ าน คมภฺ ีรปญโฺ ญ (ตรกี มล) ทาการวิจยั เรอ่ื ง “การศึกษาวิเคราะห์ศีล ๕ ในฐานะ เปน็ รากฐานของสันติภาพ” ผลการวิจัยพบว่า สันติภาพเป็นสภาวะที่ปราศจากความรุนแรง และเป็น สภาวะทปี่ ราศจากการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ท้ังความรุนแรงต่อตนเองหรือผู้อ่ืน และส่ิงแวดล้อม แนวคิดเก่ียวกับสันติภาพมีอยู่หลายประเภท นักการศาสนาจะมุ่งเน้นให้ความสาคัญกับสันติภาพทาง จิตท่ปี ราศจากความรุนแรง แต่นักเคลื่อนไหวทางสงั คมมองวา่ สันติภาพเป็นภาวะท่ีไม่ถูกกดขี่หรือเอา รัดเอาเปรียบ ในขณะที่นักปฏิบัติการทางสังคมจะมองว่า สันติภาพเป็นภาวะที่ไม่ใช้ความรุนแรงทั้ง ทางตรง ทางอ้อม ทางโครงสร้างและทางวัฒนธรรม การสร้างสันติภาพทาได้โดยการควบคุมกิเลส ภายในของแต่ละบุคคล การไมก่ ่อความรุนแรงท้งั ทางตรงและทางอ้อม การควบคุมพฤติกรรมด้วยการ ใช้ข้อกาหนดกฎเกณฑ์ทางสังคม การปรับโครงสร้างและค่านิยมเพ่ือไม่ให้เอื้อ หรือส่งเสริมการใช้ ความรนุ แรงทกุ รปู แบบ๒๐ ๑๘ ไอศูรย์ พยัฆศิริ, “การศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดเร่ืองสันติภาพของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ป ยตุ โฺ ต)และมารต์ ิน ลเู ธอร์ คิง จูเนยี ร์”, วิทยานิพนธ์อกั ษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๖), หนา้ บทคัดยอ่ . ๑๙ จิรวัฒน์ เพชรชานาญ, “การศึกษาวิเคราะห์สันติวิธีตามแนวพระพุทธศาสนากับสังคมไทย”, วทิ ยานพิ นธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๔), หนา้ บทคัดย่อ. ๒๐ พระวิมาน คมฺภีรปญฺโญ (ตรีกมล), “การศึกษาวิเคราะห์ศีล ๕ ในฐานะเป็นรากฐานของสันติภาพ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า บทคัดย่อ.
๘ พระมหานครินทร์ แก้วโชติรุ่ง ทาการวิจัย เร่ือง “สันติภาพตามแนวคิดของท่านพุทธ ทาสภิกขุ: ความหมายและการประยุกต์ใช้ในโลกปัจจุบัน” จากการศึกษาพบว่า คาว่า “สันติภาพ” ตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุมิได้หมายถึงความสงบสุขเท่าน้ัน หากแต่ท่านยังได้อธิบายคา ดังกล่าวด้วยการนามาเชื่อมโยงเข้ากับแนวคิด และวิธีการตีความของท่าน โดยมีธรรมะใน พระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน คาว่า “สันติภาพ” ตามแนวคิดของท่านจึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองกับ มนุษย์และสรรพส่ิงท่ีอยู่รอบตัวมนุษย์ ส่งผลให้ความหมายของสันติภาพรวมความไปถึงการมีธรรมะ การมศี ีลธรรม การไม่เหน็ แก่ตัว การไมต่ กเป็นทาสของกิเลสหรือวตั ถุ การมีใจสงู ๒๑ จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น สรุปได้ว่า สันติภาพ หมายถึง ความสงบ ซึ่งรวมท้ังความสงบภายในและความสงบภายนอกด้วย ความสงบภายในเป็นความสงบ ทางด้านจิตใจของปัจเจกบุคคลแต่ละคล ส่วนความสงบภายนอก หมายถึงสภาวะท่ีโลกปราศจาก สงคราม ไมม่ ีการเบียดเบียนซ่งึ กนั และกนั สงั คมมีความสงบรม่ เยน็ ๑.๗ วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ซ่ึงมีข้ันตอนการ ดาเนนิ การตามลาดบั ดังตอ่ ไปนี้ ๑.๗.๑ ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารชั้นปฐมภูมิ (Primary Sources) ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า และงานเขียนของติช นทั ฮนั ห์ ๑.๗.๒ ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารช้ันทุติยภูมิ (Secondary Sources) ได้แก่ ตารา หนังสือ เอกสารบทความวิชาการ และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพของติช นัท ฮันห์ ๑.๗.๓ วิเคราะหข์ ้อมูลท้งั หมดตามวัตถปุ ระสงค์ ๑.๗.๔ เรียบเรียงและสรปุ ผลการวจิ ัยพร้อมขอ้ เสนอแนะ ๑.๘ ประโยชน์ท่ีไดร้ บั จากการวจิ ัย ๑.๘.๑ ทาใหท้ ราบแนวคดิ เรอ่ื งสนั ติภาพ ๑.๘.๒ ทาให้เข้าใจแนวคิดเร่อื งสนั ติภาพของตชิ นัท ฮันห์ ๑.๘.๓ ทาให้ไดอ้ งคค์ วามรู้เกี่ยวกับสนั ตภิ าพของตชิ นัท ฮันห์ ในโลกปัจจบุ ัน ๒๑ พระมหานครินทร์ แก้วโชติรุ่ง, “สันติภาพตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ: ความหมายและการ ประยุกต์ใช้ในโลกปัจจุบัน”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๓๙.
บทท่ี ๒ แนวคดิ เร่ืองสนั ติภาพ บทน้ีเปน็ การศกึ ษาเก่ยี วกับ ความหมาย ประเภท ระดับ ความสาคัญ แนวคิดทฤษฎี และ ผลงานวิจยั ท่ศี กึ ษาเกย่ี วกับสันตภิ าพ ดังนี้ ๒.๑ ความหมายของสนั ตภิ าพ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายไว้ว่า สันติภาพ คือ ความสงบ เชน่ โลกตอ้ งการสนั ตภิ าพ จงรว่ มมือกนั รักษาสนั ตภิ าพของโลก๑ Webster’s Third New International Dictionary ได้ให้ความหมายของสันติภาพไว้ ดงั น้ี ๑. ประชาชนอย่ใู นสภาพที่ปราศจากความวุ่นวายสับสน (Freedom from civil clamor and confusion) ๒. มอี ิสระในความรู้สกึ นึกคดิ ปราศจากส่งิ ท่ีทาให้วิตกกังวลหรือถูกบีบบังคับ (A mental or spiritual condition marked by freedom from disquieting or oppressive thoughts or emotions) ๓. สภาพความเงียบสงบท่ีปราศจากส่ิงรบกวนภายนอกต่างๆ (A tranquil state of freedom from outside disturbances and harassment or eternal repose) ๔. ความปรองดองและความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคล (Harmony in human or personal relations) ๕. สภาพท่ีรัฐบาลได้ตกลงร่วมกัน (A state of mutual concord between governments) ๖. การทาสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน หรือการ ยุติสงครามระหว่างกัน (A pact or agreement to and hostilities or to come together in amity between those who have been at war or in a state of enmity or dissension) ๗. ไม่มีการทากจิ กรรมและไมม่ เี สยี งใดๆ (Absence of activity and noise) ๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔, พิมพ์คร้ังที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๕๖), หน้า ๑๒๐๖.
๑๐ ๘. บุคคลซ่ึงรู้จักให้อภัยและรักษาความสงบไว้ได้ (One that makes gives or maintains tranquility)๒ Oxford Advanced Leaner’s Dictionary ให้ความหมายของสนั ตภิ าพไว้ ๓ นยั ไดแ้ ก่ ๑) สันติภาพ หมายถึง สถานการณ์หรือช่วงเวลาท่ีประเทศหรือพ้ืนท่ีหน่ึงๆ ไม่มีสงคราม หรือความรุนแรง (a situation or a period of time in which there is no war or violence in a country or an area) ๒) ภาวะแหง่ ความสงบเงียบ (the state of being calm or quiet) และ ๓) ภาวะแห่งการดารงชีวิตอย่างมีมิตรภาพโดยปราศจากข้อโต้แย้ง (the state of living in friendship with somebody without arguing)๓ จากความหมายของสันติภาพเหล่าน้ี พอสรุปได้ว่า สันติภาพก็คือภาวะแห่งความสงบสุข ปราศจากสงคราม ความรุนแรง และความขัดแย้งต่างๆ ท้ังในระดับตน สังคม และระหว่างมนุษย์กับ ส่ิงแวดล้อมด้วย ซ่ึงคนทุคน ทุกชนทุกเผ่า ทุกประเทศ และทุกชาติในโลกนี้สามารถอยู่ร่วมกันด้วย ความสงบสันติ ๒.๒ ประเภทของสนั ตภิ าพ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร) ได้ประมวลสันติภาพเชิงลบว่าคือสภาวะที่ ปราศจากส่ิงทตี่ รงขา้ มกบั สันติภาพ ๔ ชนดิ ไดแก่ ปราศจากสงคราม ปราศจากความรุนแรง ปราศจาก ความรุนแรงแตม่ ีความขัดแย้ง และปราศจากความรนุ แรงและความขัดแย้ง โดยสันติภาพ ๓ ชนิดแรก จดั เป็นสันตภิ าพภายนอก สว่ นชนดิ สุดทา้ ยจัดเปน็ สันตภิ าพภายใน ดงั น้ี ๑. สนั ตภิ าพภายนอก คอื สนั ตภิ าพทีห่ มายถงึ สภาพทีป่ ราศจากสงคราม ปราศจากความ รนุ แรงและปราศจากความรนุ แรงแตม่ ีความขัดแยง้ ดังน้ี ก. สันติภาพ คือ สภาพท่ีปราศจากสงคราม นักคิดหรือนักสันติภาพ เช่น ตอลสตอย (Leo Tolstoy) ทอฟฟ์เลอร์ (Alvin Toffler) อิเคดะ (Daisaku Ikeda) พระราหุล (Walpola Sri Rahula) และ บุญยง ว่องวาณิช เป็นต้น เห็นว่าสันติภาพ คือสภาพที่ปราศจากสงครามโดยนาเสนอ สงครามและสันติภาพในเชิงทวิลักษณ์ประดุจดากับขาว หรือดีกับช่ัว ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ต้ังอยู่บน พน้ื ฐานของปรากฏการณ์ ๑ ใน ๒ ของปรากฏการณ์หลัก คือสภาพท่ีสังคม รัฐ ประเทศ หรือโลกไม่มี สงคราม และ หลังจากที่สงครามไดผ้ า่ นพ้นไปแล้ว จึงเรยี กสถานการณ์ท้งั ๒ นีว้ ่าสันติภาพ ๒ นสิ ติ ปริญญาโทสาขาการสอนสังคมศึกษา, “มโนมติ แนวพิจารณาหลักและเหตุผลเกี่ยวกับสันติภาพ”, วารสารศกึ ษาศาสตร์ปรทิ ัศน,์ ปที ่ี ๒ ฉบับที่ ๒ (๒๕๒๘): ๑๐๖-๑๐๗. ๓ มนตรี ววิ าห์สขุ , เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ศาสนากับสนั ติภาพ, (นครปฐม: มหาวิทยาลัยราช ภฏั นครปฐม, ๒๕๕๕), หนา้ ๒๙.
๑๑ ข. สนั ตภิ าพ คอื สภาวะทีป่ ราศจากความรุนแรง นักคิดอีกกล่มุ หนงึ่ เช่น กัลตุง (Johan Galtung) ทะไล ลามะ (Dalai Lama) พุทธทาสภิกขุ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ประเวศ วะสี และ โคทม อารียา เป็นต้น เห็นว่าสันติภาพไม่ใช่เพียงสภาวะที่ ปราศจากสงครามแต่คือสภาวะที่ปราศจากความรุนแรง เพราะหากสันติภาพหมายถึงเพียงสภาวะที่ ปราศจากสงครามก็มีค่าเพียงเล็กน้อยสาหรับคนที่กาลังจะตายด้วยความอดอยากหรือหนาวเย็น สนั ตภิ าพจึงหมายถงึ สภาวะทีต่ รงขา้ มกบั วกิ ฤตกิ ารณ์ หรือความผดิ ปกติ ท่ีทาให้ต้องกระทบกระทั่งกัน และกนั ทาให้ผูค้ นดารงชีวติ เปน็ สุขและมีสมานฉันทต์ ่อกัน ไม่มีความบบี ค้นั ๔ ดา้ น ได้แก่ ความบีบคั้น ทางกายหรอื วัตถุ ความบีบค้ันทางสังคม ความบบี คั้นทางจติ และ ความบบี ค้ันทางปญั ญา ค. สันติภาพ คือ สภาวะท่ีปราศจากความรุนแรงแต่มีความขัดแย้ง พุทธทาสภิกขุ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) พระไพศาล วิสาโล กัลป์ตุง สายหยุด เกิดผล และ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นต้น เปน็ นกั สนั ติภาพท่ีมแี นวคดิ สอดคลอ้ งกนั บนพ้นื ฐานของพระพทุ ธศาสนาว่าในสังคมเชิงโลกิยะ น้ันสามารถที่จะขัดแย้งกันได้ แต่ขัดแย้งอย่างไร ให้ได้ประโยชน์ หรือ ไม่นาไปสู่ความรุนแรง ดังน้ัน สนั ติภาพ คือ ภาวะทไี่ ม่มีความรุนแรงไม่ใชไ่ มม่ คี วามขัดแยง้ เพราะธรรมชาติ หรือมนุษย์ขัดแย้งกันได้ นอกจากน้ีความขัดแย้งยังมีประโยชน์อีก ๓ อย่าง คือ ๑) เป็นล้ินชักนิรภัย (safety value) ซ่ึงช่วย ผ่อนคลายความเป็นศัตรูกันและกันให้เบาบางลงได้ ๒) ย้าเอกลักษณ์ของกลุ่มให้ชัดเจนข้ึนในกรณีที่ เกดิ ความขัดแย้งกับกลุ่มอ่ืน ๆ ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดภายในกลุ่มและเสริมสร้างความเป็นเอกภาพ และดุลยภาพ และ ๓) เป็นสัญญาณเตือนสังคมว่าปัญหากาลังคุกรุ่นอยู่ อันจะนาไปสู่กระบวนการใน การหาช่องทางในการแก้ไข หรือจัดการ หรือแปรสภาพความขัดแย้งให้กลายเป็นบวกในลาดับต่อไป ๒. สันติภาพภายใน นอกจากสันติภาพภายนอก หรือสันติภาพเชิงสังคม หรือสันติภาพ เชิงโลกิยะ อันหมายถึง สภาพท่ีปราศจากสงคราม สภาวะท่ีปราศจากความรุนแรง และสภาวะท่ี ปราศจากความรุนแรงแต่มีความขัดแย้ง ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีสันติภาพภายใน หรือสันติภาพเชิง จิตวิญญาณ หรือสันติภาพเชิงโลกุตระด้วย ได้แก่ สภาวะท่ีปราศจากความรุนแรงและความขัดแย้ง ดงั นี้ ง. สนั ติภาพ คอื สภาวะทีป่ ราศจากความรนุ แรงและปราศจากความขัดแย้ง พระธรรม ปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร มีฤกษ์) พระไพศาล วิสาโล พระติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) และ วิจิตร ศรีสอ้าน เป็นต้น ได้ชี้ให้เห็นว่านอกจากสันติภาพภายนอก หรือ สันติภาพเชิงสังคมแล้ว ยังมีสันติภาพภายใน หรือสันติภาพสูงสุด หรือสันติภาพเชิงโลกุตระ คือ นิพพาน อันเป็นสภาวะทปี่ ราศจากความรุนแรงและความขดั แย้งภายในจิต๔ ๔ พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส (นธิ บิ ณุ ยากร), พุทธสันติวิธี : การบูรณาการหลักการและเครื่องมือจัดการ ความขดั แย้ง, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั ๒๑ เซน็ จรู ี่ จากัด, ๒๕๕๔), หนา้ ๙๘-๑๐๙.
๑๒ ๒.๓ ระดบั ของสนั ติภาพ สภาหลักสูตรและการสอนของโลก (World Council of Curriculum and Instruction) ได้ทาการวิเคราะห์มโนทัศน์เกี่ยวกับคาสันติภาพอย่างพิสดารในการประชุมวิชาการโลก (World conference) ที่อังกฤษเม่ือปี ค.ศ. ๑๙๗๕ ได้อธิบายว่า สันติภาพเป็นศัพท์ที่ใช้กับความเป็นอยู่ของ มนุษย์ไดห้ ลายระดบั ด้วยกนั แตล่ ะระดับใหม้ โนทศั น์ผันแปรไปจากกัน องคก์ ารนี้ไดว้ ิเคราะห์สันติภาพ ออกเป็น ๙ ระดบั ด้วยกันดงั ต่อไปนี้ ๑. สันติภาพภายในบุคคล (Intrapersonal peace) คือสภาพที่ไม่มีความขัดแย้งในตัว บุคคล คือ ผู้ทมี่ ีจติ ใจสงบสขุ (Peace of mind) ๒. สนั ตภิ าพระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal peace) คือสภาพทไ่ี ม่มีความขัดแย้งระหว่าง บุคคล ๓. สันติภาพภายในหมคู่ ณะ (Intragroup peace) คือสภาพที่ไม่มีความขัดแย้งภายในหมู่ คณะ ๔. สันติภาพระหว่างหมู่คณะต่าง ๆ (Intergroup peace) คือสภาพท่ีไม่มีความขัดแย้ง ระหว่างกลมุ่ ต่าง ๆ ซ่ึงกันและกัน ๕. สันติภาพภายในเผ่าพันธุ์ (Intraracial peace) คือสภาพท่ีไม่มีความขัดแย้งภายในแต่ ละเผา่ พนั ธุ์ ๖. สันติภาพระหว่างเผ่าพันธ์ุ (Interracial peace) คือสภาพที่ไม่มีความขัดแย้งระหว่าง เผ่าพันธ์ุต่างๆ ต่อกันและกนั ๗. สนั ติภาพภายในประเทศชาติ (Intranational peace) คือสภาพท่ีไม่มีความขัดแย้งกัน ภายในชาตหิ น่ึงๆ ๘. สันติภาพระหว่างประเทศชาติ (International peace) คือสภาพที่ไม่มีความขัดแย้ง กันระหว่างประเทศชาตติ ่างๆ ๙. สันติภาพของโลก (World peace) สภาพของท้ังโลกเป็นปกติสุขปราศจากสงคราม ความขัดแย้งและมคี วามยตุ ธิ รรม๕ ระดับของสันติภาพท้ัง ๙ นี้เป็นการจาแนกแบบแบ่งเป็นชั้น (Hierarchical order) สูงถึง ต่า ชั้นต่าสุดคือสันติภาพภายในบุคคลจึงมีความสาคัญเป็นมูลฐานของระดับที่สูงข้ึนไป การแก้ไข ความขัดแย้งภายในบุคคลจึงเป็นการเร่ิมต้นการขุดรากของปัญหาความขัดแย้งระดับอ่ืนๆ อีก ๘ ๕ ประชุมสุข อาชวอารุง และ ยุพิน พิพิธกุล บรรณาธิการ, ประมวลความรู้เรื่องสันติภาพ, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๓๐), หนา้ ๑๑๕.
๑๓ ระดับ ที่สูงกว่า น่ันคือ การให้การศึกษาท่ีมีคุณภาพแก่ประชากรทุกคน เพื่อขจัดความขัดแย้งใน ตนเองใหห้ มดสน้ิ ไปกอ่ นสันติภาพในระดบั อนื่ ๆ จะเกิดตามมาเองตามหลักสังคมจิตวิทยา๖ ๒.๔ ความสาคญั ของสันติภาพ สันติภาพ มีความสาคัญต่อมนุษยชาติ (Human beings) ในฐานท่ีเราเป็นส่วนหนึ่งของ สังคม ย่อมมีความปรารถนาในการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากศัตรูหรือปัญหาและอุปสรรค อุปสรรคท่ี คอยขวางกั้นความสงบสุขของมนุษย์ นอกจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังมีอุปสรรคท่ีสาคัญ คือ สงคราม (War) นี้คือ มหันตภัยทาลายชีวิตมนุษย์และทรัพยากรให้พังพินาศอย่างย่อยยับ เช่น กรณีของความ ขดั แย้งในสมยั สงครามโลกคร้ังที่ ๑ และครั้งที่ ๒๗ ภาวะความเดือดร้อนเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากการ ขาดสันติภาพ เม่อื ใดท่ีคนหรอื กล่มุ คนมคี วามเดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อมก็แสดงให้เห็นถึงภาวะ ท่ีขาดสันตภิ าพ เพราะฉะนั้น สันติภาพ จึงเป็นแนวคิดที่สาคัญอย่างยิ่งต่อมนุษยชาติท้ังปัจเจกบุคคลและ สังคมโลกหลายประการ เพราะแนวคิดดังกล่าวถือว่าเป็นเร่ืองคนในสังคมต้องการให้เกิดขึ้น ดังท่ีพระ มหานครินทร์ แก้วโชติรุ่ง ได้สรปุ ความสาคญั ของ สนั ติภาพ วา่ ประการแรก สันติภาพเป็นพื้นฐานที่ทาให้เรามองสรรพส่ิงอย่างเข้าใจ และถูกต้องตาม ความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งแม้มีความหลากหลายแตกต่างกันในสังคมโลกก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง สมานฉันท์ตามอัตภาพ โดยท่ีความแตกต่างกันมิได้เป็นอุปสรรคขัดขวางการอยู่ร่วมกันแต่อย่างใด หากแต่กลับเป็นการพ่ึงพิงอาศัยกันและกันอย่างมีดุลยภาพได้แม้ท่ามกลางการดารงอยู่อย่างไม่เท่า เทียมกันในด้านสงั คมและเศรษฐกิจ แต่ดารงอยู่อยา่ งเท่าเทียมกันตามภาวะของการเกิด แก่ เจ็บ และ ตาย ในสังคมโลกแห่งความแตกต่างและมีความผันแปรเป็นนิจ โดยไม่มีความรู้สึกกดดันบีบค้ันทาง จติ ใจแต่อยา่ งใด ประการทสี่ อง สันตภิ าพเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตท่ีมนุษย์ควรแสวงหา เนื่องจากวิกฤต ในสังคมโลกทุกระดับมีสาเหตุที่สาคัญ คือ การเกิดความขัดแย้งภายในระดับปัจเจกบุคคลแล้วค่อย ขยายวงกวา้ งออกไปสภู่ ายนอกคอื ระดับสงั คม ดงั นน้ั สันตภิ าพจึงเปน็ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตท่ีมนุษย์ ควรแสวงหา เพื่อความสงบสุขไร้วิกฤตการณ์ของมนุษย์ท้ังภายในชีวิตของปัจเจกบุคคล และสังคม ทุกๆ ระดับ ๖ ประชุมสุข อาชวอารุง และ ยุพิน พิพิธกุล บรรณาธิการ, ประมวลความรู้เรื่องสันติภาพ, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๐), หนา้ ๑๑๖. ๗ คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มนุษย์กับสังคม, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒), หนา้ ๑๓๒.
๑๔ ประการท่ีสาม สันติภาพเป็นแรงจูงใจให้มนุษย์ต่างเผ่าพันธ์ุและต่างสถานภาพเข้ามาร่วม กันทางานเป็นองค์กร มูลนิธิ หรือสถาบันต่างๆ อันจะก่อให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างกันและกัน โดยไมม่ ีการแบ่งแยกชนชนั้ วรรณะ เผ่าพันธุ์ และเชื้อชาติ ประการสุดท้าย สันติภาพนาไปสู่การสร้างสรรค์สังคมท่ีถูกต้อง เพราะสันติภาพมี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทาให้มวลมนุษย์มีความระมัดระวังต่อการ พัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสังคมของตนเองในด้านต่างๆ ท้ังทางเศรษฐกิจและการเมืองท่ีอาจ สง่ ผลกระทบตอ่ สันติภาพของปัจเจกบุคคลและสงั คมโลก๘ นอกจากสันติภาพจะมีความสาคัญต่อโลกเชิงมหัพภาคแล้ว “สันติภาพยังเป็นยอดของ ความสงบในทางธรรมและทางโลก เป็นเง่ือนไขของการอยู่อย่างเสถียรภาพทางสังคม การเมือง การ ต่อสู้ เพ่ือการปลดปล่อยมวลมนุษยชาติออกจากแอกของการกดข่ี ขูดรีด การถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และเพ่ือคุณค่าอื่นๆ ในทางสังคม” แม้แต่กฎบัตรสหประชาชาติ “มาตรา ๑ ยังมีวัตถุประสงค์เพ่ือจะ ผดุงสันติภาพและความม่ันคงระหว่างประเทศ” ช่วงเวลาที่โลกมีสันติภาพย่อมเป็นช่วงท่ีโลกอยู่ใน สถานะของความม่ันคง ซึ่งจะนาให้โลกมีความมั่นคง แน่นหนา และต้ังอยู่ได้อย่างคงทนถาวร สันติภาพมีความสาคัญต่อความอยรู่ อดของมวลมนษุ ยชาติ สันติภาพครอบคลุมความม่ันคงทุกด้าน ไม่ ว่าจะเป็นความม่ันคงด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงด้านทรัพยากร ความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคง ด้านอาหาร ความมั่นคงด้านสังคม เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ีจะทาให้มนุษย์กับธรรมชาติและโลกสามารถอยู่ ร่วมกนั ได้อย่างมน่ั คงต่อไป๙ จากความสาคัญของแนวคิดเร่ืองสันติภาพดังกล่าว มนุษย์ทุกคนจึงปฏิเสธความ รับผิดชอบต่อการสร้างสรรค์สันติภาพให้เกิดข้ึนในทุกระดับไม่ได้ เพราะว่าสันติภาพมีความสาคัญต่อ ชีวติ สงั คม ธรรมชาติและโลก เนอ่ื งจากสันติภาพมีลักษณะเป็นความสงบ เมื่อใดท่ีมีความสงบย่อมไม่ มกี ารเบียดเบยี นหรือทารา้ ยกนั ก่อใหเ้ กดิ การร่วมมือสร้างสรรค์ พัฒนา และแบ่งปันกันอย่างยุติธรรม ทาใหส้ ามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แม้จะยังมีความขัดแย้งแต่ก็ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่ทา ใหม้ นษุ ยเ์ ปน็ ภัยคุกคามต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่เป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติ และไม่เป็นภัยคุกคามต่อ โลกด้วย สันติภาพจึงเป็นเป้าหมายของชีวิตและเป็นส่ิงจาเป็นที่สังคมโลกขาดไม่ได้เพราะถ้าขาด สันติภาพเมื่อใดกจ็ ะเกดิ ความวุ่นวายและเดอื ดร้อนทันที ๘ พระมหานครินทร์ แก้วโชติรุ่ง, “สันติภาพตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ : ความหมายและการ ประยุกต์ใช้ในโลกปัจจุบัน”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๑๓-๑๔. ๙ พระวิมาน คมฺภีรปญฺโญ (ตรีกมล), “การศึกษาวิเคราะห์ศีล ๕ ในฐานะเป็นรากฐานของสันติภาพ”, วทิ ยานพิ นธพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕), หนา้ ๘๐.
๑๕ นอกจากนี้สนั ตภิ าพยังเป็นบ่อเกิดหรือความเชื่อทางอุดมการณ์ทางศาสนาด้วย เพราะทุก ศาสนาล้วนมีแนวทางมุ่งไปสู่สันติ และสันติภาพยังป้องกันไม่ให้ใช้อานาจในเชิงคุกคาม เมื่อมีความ ขัดแย้งรุนแรงสันติภาพก็จะเป็นอุดมคติหรือเป้าหมายของการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ท่ีมีความรุนแรง ดังน้ันสันติภาพเป็นส่ิงสากลที่มีความสาคัญกับมนุษย์ทุกชาติพันธ์ และมีความสาคัญต่อความมั่นคง ของโลกด้วย ๒.๕ แนวคิดทฤษฎีเรอื่ งสันติภาพ แนวคิดเรื่องสันติภาพนี้ ผู้วิจัยจะเลือกศึกษาเฉพาะนักสันติภาพ หรือนักวิชาการทาง สันติภาพท่ีมีช่ือเสียงบางท่านเท่านั้น ท่ีได้เสนอแนะแนวทางในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะการเสนอเพ่อื ขจัดความขัดแย้งจากปัญหาต่างๆ เพื่อจะได้รู้ถึงแนวคิดเรื่องสันติภาพของแต่ ละทา่ นมาเป็นแนวทางในการศกึ ษา ดงั น้ี ๒.๕.๑ แนวคิดสันติภาพในทศั นะปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา แนวคิดสันติภาพกลุ่มแรกเป็นแนวคิดในสายพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีการอธิบายไว้ตามคา สอนทางศาสนาพทุ ธ ดังต่อไปนี้ พุทธทาสภกิ ขุ ไดอ้ ธบิ ายเร่อื งสันติภาพ โดยชใ้ี ห้เหน็ วา่ สันติภาพ จะเรยี กว่า สันติสุข ก็ได้ มันเป็นชื่อ จะเรียกว่าสันติภาพก็ได้ มันเป็นภาวะของส่ิงที่มีช่ืออย่างน้ัน มีสันติหรือมีความสุข นี้มันก็ ชัดอยู่แล้ว ภาวะแห่งความมีสันติหรือมีความสุขนี่ก็เป็นภาวะ เราเลยเรียกว่า สันติภาวะหรือ สันตภิ าพ๑๐ เมอื่ พิจารณาจากคาอธบิ ายของทา่ น ก็เหน็ ได้ว่าสนั ตภิ าพน้นั ก็ต้องปราศจากปัญหาท้ังปวง ซ่งึ อยใู่ นภาวะปกติ สงบ เปน็ สขุ นั่นเอง ขณะเดียวกันท่านก็ยังอธิบายถึงคาท่ีอยู่ตรงข้ามกับสันติภาพ คือ คาว่า “วิกฤตการณ์” หมายถึง “มันผิดปกติ” มันไม่สงบ คาว่า วิ, วิ นี่ แปลได้หลายอย่าง เป็นเพียงคาอุปสรรคนาหน้า ไม่ใช่ตัวนามนามอะไร; แต่มันมีความหมายได้หลายอย่าง วิ แปลว่า วิปริต ก็ได้แปลว่า วินาศ ก็ได้ หรือแปลวา่ แปลกๆ ต่างๆ นานาก็ได้๑๑ ดังน้ันแนวคิดสันติภาพของท่านจึงกล่าวได้ว่า สันติภาพ ต้อง เป็นภาวะท่ีสงบสันติสุข ปราศจากความวิปริตหรือปัญหาความวุ่นวายทั้งปวงที่ทาให้มนุษย์ไม่มีความ สงบ ขณะที่แนวคิดดังกล่าวน้ีพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ได้กล่าวว่า เป็นแนวคิดที่มีนัยที่ส่อแสดงให้ เหน็ ถึง “สันตเิ ชิงสังคม” อันเป็สันติเชิงโลกกียะ๑๒ ๑๐ พุทธทาสภกิ ขุ, สนั ตภิ าพของโลก, (ไชยา: ธรรมทานมลู นิธ,ิ ๒๕๓๑), หน้า ๒. ๑๑ เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๒๔. ๑๒ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นธิ ิบณุ ยากร), พทุ ธสันตวิ ิธ:ี การบูรณาการหลักการและเครื่องมือจัดการ ความขดั แยง้ , หน้า ๑๐๓.
๑๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ชี้ให้เห็นว่า สันติภาพ มาจาก สันติ บวกกับภาวะ ภาวะแปลงเปน็ ไทยก็เปน็ ภาพ ภาวะคอื ความเป็น เอาไปตอ่ ทา้ ยอะไรก็ได้ แทบจะไม่มีความหมายใน ตัว สันติภาพก็คือภาวะแห่งสันตินั่นเอง สันติแปลว่าความสงบ สันติหรือความสงบนี้เป็นชื่อหน่ึงของ พระนิพพาน เป็นคาทท่ี ่านเรียกวา่ ไวพจน์ คือคาท่ีใช้แทนกันได้ สันติภาพก็คือนิพพานนั่นเอง เช่น ใน คาว่า นัตฺถิ สันฺติปร สุข สุขอ่ืนยิ่งกว่าความสงบไม่มี สุขนอกจากสันติไม่มี สนติก็คือพระนิพพาน เท่ากับพุทธพจน์ที่ว่า นิพฺพาน ปรม สุข ท่ีแปลว่านิพพานเป้นบรมสุข หรือเป็นสุขอย่างยิ่ง สรุปว่า สันตกิ ค็ ือพระนิพพานนั่นเอง๑๓ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้ช้ีให้เห็นว่า “สันติภาพ” มีความหมายทั้งใน เชิงปฏิเสธ และยืนยัน ในความหมายปฏิเสธ สันติภาพไม่เพียงแต่หมายถึงสภาวะที่ไม่มีสงครามและ ความขัดแยง้ แต่ยังหมายถึง สภาวะท่ีไม่มีความรุนแรงในโครงสร้างสังคม เช่น ความอยุติธรรม ความ ไม่เสมอภาคในสงั คม การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทาลายความสมดุลทางนิเวศวิทยา ในความหมาย เชิงยืนยนั สันตภิ าพหมายถึงสภาวะท่ีมีความสามัคคีปรองดอง เสรีภาพ และความยุติธรรม ดังน้ัน คา วา่ สนั ติภาพจงึ หมายรวมสภาวะทีไ่ มม่ คี วามขดั แย้งเข้ากับสภาวะที่มีความสามคั คี๑๔ ทะไล ลามะองค์ที่ ๑๔ (His Holiness the 14th Dalai Lama) ท่านทรงเห็นว่า สันติภาพ จะต้องเบ่งบานออกมาจากข้างในจิตใจของบุคคลก่อน ด้วยการบ่มเพาะความเมตตาและความกรุณาต่อ เพอื่ นมนษุ ย์ด้วยกัน ดังทา่ นตรสั ว่า “สันติภาพไม่ได้เกิดขึ้นจากการสวดมนต์อ้อนวอน แต่เกิดขึ้นด้วยการ กระทาของพวกเราเอง สันติภาพโลกเกิดขึ้นจากความสงบภายในจิตใจ อนึ่ง สันติภาพไม่ใช่เพียงแค่ไม่ เบียดเบียนกันเท่านั้น แต่หมายถึงการท่ีมนุษย์เราได้ช่วยเหลือกันอย่างเป็นรูปธรรม การท่ีเรามอบความ รักและความกรุณาแก่สรรพสัตว์คือหนทางท่ีนาสันติภาพมาสู่ทุกคน เราไม่มีวันได้รับสันติภาพจากโลก ภายนอก เวน้ เสยี แตเ่ ราบาเพ็ญความสงบให้เกิดขน้ึ ดว้ ยตัวของเราเอง”๑๕ แนวคิดสันติภาพในกลุ่มน้ี เม่ือพิจารณา จะสรุปได้ว่า ๑) สันติภาพ คือ สภาวะที่ ปราศจากสงคราม ๒) สันติภาพ คือ สภาวะท่ีปราศจากความขัดแย้ง รวมไปถึงความขัดแย้งทาง โครงสร้างสังคมด้วย ๓) สันติภาพ คือ ความสงบสันติท่ีมนุษย์ได้มอบความรัก ความเมตตาต่อเพ่ือน มนุษย์ด้วย ขณะเดียวกันก็จะเห็นว่ามีความเกี่ยวโยงกับสันติภาพภายนอกด้วย กล่าวคือ สันติภาพ ภายนอกไม่ว่าจะเปน็ สงคราม การใช้ความรุนแรง ความอยุติธรรม ความไม่เสมอภาคในสังคม เหล่าน้ี ๑๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), การศึกษาเพ่ือสันติภาพ, พิมพ์ครั้งท่ี ๖, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิ พทุ ธรรม, ๒๕๔๐), หน้า ๕. ๑๔ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีสร้างสันติภาพ, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทอมรินทรพ์ ร้นิ ตง้ิ กรพุ๊ จากัด, ๒๕๓๒), หนา้ ๑๗. ๑๕ พระมหา ดร.รุ่งเพชร ติกฺขวชิโร, คมวาทะองค์ทะไล ลามะ ฉบับคลาสสิก, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั พมิ พ์สวย จากดั , ๒๕๕๘), หน้า ๑๒๔- ๑๒๕.
๑๗ หากไม่อยู่ในภาวะท่ีปกติก็เป็นการไร้ซ่ึงสันติภาพ ฉะนั้นแนวคิดในสายนี้ก็จะเน้นไปที่สันติภาพภายใน จติ ใจของตนเองก่อนสนั ตภิ าพภายนอกจึงจะเกดิ ข้ึน ๒.๕.๒ แนวคดิ สนั ตภิ าพในทัศนะนักวิชาการ แนวคิดสันติภาพสายที่สอง เป็นสายท่ีพยายามเสนอแนวคิดเร่ืองสันติภาพ โดยพยายาม เสนอประเด็นเร่ืองของสงครามและความขัดแย้งว่า สันติภาพจะเกิดข้ึนได้นั้นต้องหลีกเลี่ยงสงคราม และความรุนแรง ดังน้ี นันทวัฒน์ ฉัตรอุทัย ในบทความเร่ืองสงครามและสันติภาพชี้ให้เห็นเร่ืองสันติภาพว่า โดยท่ัวไปเมื่อกล่าวถึง “Peace” และ “สนติ” ก็มักจะหมายถึง สภาวะแห่งความสงบเงียบไร้ซ่ึงความ ป่ันป่วนใดๆ ทว่าเบื้องหลังนิยามท่ีดูเรียบง่ายนี้กลับแฝงไว้ด้วยความขัดแย้งมากมาย คาถามว่า “เรา จะสามารถบรรลุสันติภาพ ด้วยวิถีแห่งความรุนแรงได้หรือไม่?” เป็นตัวอย่างหนึ่งท่ีสะท้อนให้เห็นถึง ความคลุมเครือของมโนทัศน์เร่ือง Peace ได้เป็นอย่างดี กลุ่มผู้นิยมการสร้างสันติภาพด้วยสงคราม เชื่อว่าในบางสถานการณ์สังคมจะไม่เหลือทางเลือกใดอีกนอกจากสงครามและความรุนแรง เพื่อ นาไปสู่สันติภาพ๑๖ รุ่งธรรม ศุจิธรรมรักษ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงสันภาพว่า คามสงบสุขในใจ โดยไม่มีความขัดแย้ง ในใจ หรือ เม่ือกล่าวว่าสังคมที่มีสันติภาพก็หมายถึง สังคมท่ีมีความสงบสุข โดยปราศจากความ ขัดแย้งใดๆ ในสังคม นักศกึ ษาหลายคนก็อาจเห็นว่า สันติภาพในความหมายหลังเป็นอุดมคติที่สูงกว่า สันติภาพในความหมายแรกและอาจเห็นต่อไปว่า เป็นอุดมคติที่บรรลุถึงได้ยากพอควร บางคนก็อาจ เห็นวา่ เปน็ อดุ มคติที่บรรลุถึงไม่ได้เอาเลยทีเดียว เพราะมนุษย์ก็มีความขัดแย้งกันเป็นธรรมดา อันเป็น ธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชน ซ่ึงมีความต้องการท่ีไม่จากัด แต่สิ่งที่สนองความต้องการน้ันมีอยู่จากัด๑๗ ประชุมสุข อาชวอารุง ในบทความเรื่องการวิจัยสันติภาพได้อธิบายเรื่องสันติภาพว่า สันติภาพคือ สภาพท่ีไม่มีสงคราม (The absence of war) คานิยามดังกล่าวนี้ มีข้อสังเกตว่าเป็นคา นิยามเชงิ ปฏเิ สธ (Negative) ซึง่ ไม่คอ่ ยเหมาะสม ถ้าจะถามว่าขณะท่ีเลิกสงครามเรียกว่าสันติภาพได้ หรือไมท่ ้ังๆ ทค่ี วามทกุ ข์ยากท้ังสองฝา่ ยยงั ไม่หมดไป นักวิจยั สนั ติภาพคณะหนึ่งนิยมคาจากัดความเชิง บวก (Positive peace) มากกว่า เพราะคลุมไปถึงความยุติธรรมและการพัฒนาตนเองด้วย ดังที่กรีก ๑๖ นนั ทวัฒน์ ฉตั รอุทัย, “สงครามและสันติภาพ”, จดหมายข่าว, ปที ี่ ๖ ฉบับท่ี ๓๖ (กุมภาพันธ์- มีนาคม ๒๕๔๘), หน้า ๑. ๑๗ รุ่งธรรม ศุจิธรรมรักษ์, “สันติศึกษากับสันติภาพ”, ใน เอกสารการสอนชุดวิชา สันติศึกษา หน่วยที่ ๑-๗, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช บรรณาธิการ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๕): ๑๒.
๑๘ โบราณนิยามไว้แต่โบราณว่า สันติภาพหมายถึง สภาพที่มีระเบียบข้อบังคับที่เป็นระบบหนึ่งของการ แกป้ ัญหาความชดั แยง้ โดยไม่ใชก้ าลงั ๑๘ เอกพันธ์ุ ปิณฑวณิช กล่าวไว้ว่า การอบรมเร่ืองทฤษฎีสันติภาพนั้น ไม่ใช่การหาข้อยุติ ของปัญหาความขัดแย้งแต่เป็นขั้นตอนแรกในบริบทของ “สันติศึกษา” ซึ่งจุดประสงค์ หลักของสันติ ศึกษาน้ันคือ การหาจุดยืนร่วมกันในความหมายของคาว่า“สันติภาพ” ขั้นตอนการหาจุดยืนเก่ียวกับ ลักษณะของสังคมทีม่ ีสนั ตสิ ขุ ร่วมกันนน้ั จาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยเพราะ ผู้คนในสังคมมีความแตกต่าง หลากหลาย มีความต้องการ ความเช่ือ จุดมุ่งหมาย ทัศนคติ อุดมคติ หน้าท่ีความรับผิดชอบและการ ดาเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ผู้ท่ีเป็นนักสันติวิธีต้องเข้าใจในลักษณะของผู้คนในสังคมว่า ความแตกต่าง หลากหลายน้ีเป็นไปตามธรรมชาติแต่ด้วยความแตกต่างและหลากหลายของผู้คนเหล่าน้ีจะเป็นไปได้ หรือไม่ที่คนมีความชอบ ความเชื่อ รสนิยมที่ต่างกันจะสามารถร่วมกันหาคาจากัดความของสังคมที่มี สนั ติรว่ มกันได้ “Shared value of peaceful society”๑๙ จากคากล่าวของนักวิชาการกลุ่มนี้ พิจารณาได้ว่า สันติภาพยังคงมีการนิยามถึงสภาวะท่ี ปราศจากสงครามและความขัดแย้งอยู่ แต่ก็ยังมองว่าการปราศจากสงครามนั้นและความขัดแย้งน้ันก็ ยังไม่ใช่สันติภาพเพราะเนื่องจาก สังคมท่ีอยู่ในภาวะท่ีไม่มีสงครามก็ยังดาเนินไปด้วยความทุกข์และ ความขัดแยง้ ฉะน้ันเม่อื ปราศจากสงครามและความขดั แยง้ สันติภาพก็ต้องรวมไปถึงสภาพของสังคม ท่ีต้องมีระเบียบข้อบังคับที่เป็นรูปธรรมที่ทุกคนสามารถปฏิบัติร่วมกันได้ เพื่อที่จะนาไปสู่ความสงบ โยฮัน กัลป์ตุง (Johan Galtung) บิดาแห่งการวิจัยสันติภาพสมัยใหม่ ได้อธิบาย “สันติภาพ” ไววามี ๒ ความหมาย ความหมายแรก “สันติภาพ” คือ การปราศจากซึ่งสภาวะความ รุนแรงทุกชนิด ท้ังความรุนแรงทางตรง เชิงโครงสร้าง และเชิงวัฒนธรรม หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงคือ “สันติภาพ = สันติภาพทางตรง + สันติภาพเชิงโครงสร้าง + สันติภาพเชิงวัฒนธรรม” สวน ความหมายทส่ี อง “สันตภิ าพ”คือ การแปลงเปลี่ยนความขัดแย้ง (Conflict transformation) โดยไม ใชความรนุ แรงและอยางสรางสรรค์ ใช้ความรนุ แรงและอยา่ งสร้างสรรค์๒๐ อาดมั เคิรล์ นกั วชิ าการด้านการวิจัยเร่ืองสันติภาพ ได้เสนอวิธีการในการศึกษาสันติภาพ โดยให้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ท่ีไม่สันติ (Unpeaceful relation) และความสัมพันธ์ที่สันติ (Peaceful relation) จากมุมนี้ทาให้เข้าไปสู่การอธิบายความหมายความสัมพันธ์ที่สันติ (ในระดับ บุคคล) ว่าเป็นมิตรภาพและมีความเข้าใจกันดีพอท่ีจะมองข้ามความแตกต่างที่อาจเกิดข้ึนได้ ส่วนใน ระดับทก่ี ว้างออกไปสือ่ ถงึ ความสัมพันธ์ทม่ี ีการรว่ มกนั อย่างแข็งขนั ความรว่ มมือกันอย่างมีการกาหนด ๑๘ ประชุมสุข อาชวอารุง, “การวิจัยสันติภาพ”, ใน ประมวลความรู้เรื่องสันติภาพ, ประชุมสุข อาชว อารงุ , ยุพิน พิพธิ กลุ บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงการณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๐): ๑๑๕. ๑๙ เอกพันธ์ุ ปิณฑวณิช, เอกสารประกอบการอบรมวิทยากรสันติวิธี, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://deepsouthwatch.org/sites/default/files/ths.santiphaaph1_aacchaaryek.pdf [๑๐ ม.ิ ย. ๒๕๕๙]. ๒๐ ชาญชัย ชัยสุขโกศล, บทบรรณาธิการ : สันติศึกษาคืออะไร?, [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา: https://chaisuk.files.wordpress.com/2008/09/peace-studies.pdf [๑๐ ม.ิ ย. ๒๕๕๙].
๑๙ วางแผน และมคี วามพยายามอย่างชาญฉลาดในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งท่ีแฝงอยู่ ซึ่ง ทานองเดยี วกบั ความสัมพนั ธท์ มี่ ีการพัฒนา กลา่ วคือ ถ้าการพัฒนาจะมีขึ้นได้ หรือถ้าความสัมพันธ์จะ เติบโตขึ้นในความกลมกลืนและความสร้างสรรค์ ก็จาเป็นต้องมีความเสมอภาคและการตอบสนองซ่ึง กนั และกันในเกณฑ์มากพอ๒๑ ศาสตราจารย์ วิเซนต์ มาติเนส กูสมัน (Vicent Martinez Guzman) ผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็น นักปรัชญาสันติภาพท่ีมีชื่อเสียงท่านหน่ึงในโลกแห่งวิชาสันติศึกษา ได้บรรยายเกี่ยวกับปรัชญา สันติภาพไว้ในหนังสือ “ปรัชญาเพ่ือการสร้างสันติภาพ (ท่ีหลากหลาย)” (Filosofia para hacer las paces) โดยมีการวิเคราะห์เก่ียวกับสันติภาพและการพัฒนา โดยเนื้อหาน้ันจะรวมถึงวิวัฒนาการของ สนั ตศิ ึกษาในโลกตะวันตก ไปจนถงึ การเชื่อมโยงการใช้สนั ตวิ ธิ ีและการพฒั นาสังคมในบริบทของโลกที่ พัฒนาแล้ว กาลังพัฒนา และด้อยพัฒนา กูสมันให้นิยามของสันติภาพไว้ว่า “สันติภาพน้ันเกิดจาก การต่นื ตวั ของผู้คนในแต่ละชุมชนที่จะสร้างสังคมแห่งสันติสุขในบริบทของแต่ละชุมชนเอง” ในภาษา สเปน คาว่า สันติภาพ (Paz) สามารถใช้ในรูปของพหูพจน์ได้ เพราะฉะน้ันความหมาย ของคาว่า “Paces” น้ันก็คือความหลากหลายของสันติภาพ สันติภาพในหลากหลายบริบท และรูปแบบของ สนั ตภิ าพทีส่ ร้างขนึ้ และดารงอยู่โดยผคู้ นในแตล่ ะกลุ่มชน นอกจากน้ัน กูสมัน ได้เชื่อมโยงแนวคิดของสันติศึกษาในแง่มุมและมุมมองต่างๆเข้า ดว้ ยกัน แนวคิดทงั้ หลายเหล่านี้ กูสมันเชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่จะสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางสังคม อันสันติสุขต้ังแต่ชุมชนขนาดเล็กจนถึงระดับชุมชนโลก หลักความคิดทางสันติศึกษาเหล่าน้ี ต้ังอยู่บน รากฐานทวี่ ่ามนุษยน์ นั้ มีศกั ยภาพในการสร้างสรรคแ์ ละทาลาย ทฤษฎีและแนวทางการปฏิบัติทางสันติ วิธีที่สร้างสรรค์จะช่วยนาพาให้มนุษย์ คิดและทาในสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อตนเองและส่ิงแวดล้อม รอบตัว และคุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นน้ันก็จะส่งผลให้มีวิวัฒนาการของสันติวัฒนธรรมข้ึนในสังคม มนุษย๒์ ๒ นิพนธ์ คันธเสรี ได้อธิบายเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องสันติภาพ ว่า การปลูกฝังทัศนคติต่อ สันติภาพ ก็ต้องขจัดเง่ือนไขของส่ิงท่ีจะเป็นอุปสรรคหรือที่จะทาลาย ก็คือการสร้างค่านิยมในการ เอาชนะกันและกันด้วยวิธีการท่ีรุนแรง ด้วยความโกรธ หรือโทสจริต ความอาฆาต เคียดแค้น เช่น ปรากฏเป็นตัวหนังสืออ่านเล่น การ์ตูน ภาพยนตร์ ฯลฯ ท่ีจบลงโดยผู้ชนะคือผู้ที่มีกาลัง อาวุธ มี กระบวนยุทธท์ ีท่ าลายล้างกันและกนั โดยปราศจากการสานึกในคณุ ค่าของชีวิต การสอนเร่ืองสันติภาพก็เหมือนกันกับการพัฒนาคน พัฒนาชุมชน และประเทศด้านอื่นๆ คือจะตอ้ งยึดหลกั ปฏบิ ัตวิ า่ จะพฒั นาใครเขา ต้องพัฒนาเราก่อน เราคือตัวอย่างของสิ่งที่เราสอน ใคร พูดคนนั้นก็ต้องทาให้ดู สันติภาพเป็นเร่ืองของทุกคนจะต้องร่วมกันคิดร่วมกันทาเริ่มจากตัวบุคคลแต่ ๒๑ คัทลียา รัตนวงศ์, “แนวคิดเร่ืองสันติภาพของซัยยิด กุฎุบ”,วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลัย: มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๕๐), หน้า ๒๗. ๒๒ เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช, เอกสารประกอบการอบรมวิทยากรสันติวิธี, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://deepsouthwatch.org/sites/default/files/ths.santiphaaph1_aacchaaryek.pdf [๑๐ มิ.ย. ๒๕๕๙]. ๒๒ นพิ นธ์ คนั ธเสรี, “การจัดการศึกษาหรอื พฒั นาสนั ติภาพ”, วาสารศกึ ษาศาสตร์ปริทัศน์, ปีท่ี ๒ ฉบับท่ี ๓ (๒๕๒๙): ๒๔๖.
๒๐ ละคน สร้างสรรค์ให้ในครอบครัว ในที่ทางาน ในชุมชน สังคมและประเทศชาติ แล้วต่อไปถึง นานาชาติ๒๓ บชิ ็อบคารล์ อส ฟิลิเป ซีเมเนส เบโล ได้สรุปไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพ ให้เกิดข้นึ บนโลกวา่ การศกึ ษาเพอ่ื สนั ตภิ าพหมายถึงการศึกษาสาหรับพลเมืองโลก น่ันคือการช่วยให้ เกดิ ความเขา้ ใจในเร่ืองการพึ่งพาอาศัยกันและกันทั้งโลกและความจาเป็นที่จะเชื่อมต่อความแตกต่าง ระหว่าง คนรวยและคนจน, ระหว่างซีกโลกทางเหนือท่ีพัฒนาแล้วกับซีกโลกทางใต้ท่ีด้อยพัฒนา ระหว่างตะวันตกและตะวันออก ระหว่างคริสต์เตียนและอิสลาม หรือระหว่างอิสลาม กับฮินดู เพ่ือที่จะเอาชนะความแตกต่างและการไม่ไว้วางใจซ่ึงกันและกันท่ียังคงมีอยู่ในโลก โปรแกรมเรื่อง วฒั นธรรมแหง่ สนั ติภาพในโลกและการศกึ ษาเพื่อสันติภาพและเพื่อสิทธิมนุษยชน จะช่วยให้จริยธรรม ของมนุษยชาติหวนคนื สโู่ ลกในกระแสโลกาภิวตั น์ได้๒๔ ประชุมสุข อาชวอารุง อธิบายว่า สันติภาพเป็นเร่ืองทั้งมรรคและผล (moana and end) สนั ติภาพเป็นสภาพการสงบสุขที่เราทุกคนปรารถนาที่จะเสริมสร้างข้ึน เป็นอุดมการณ์ของชีวิต ในสมัยนี้สันติภาพก็เป็นผลที่เราแสวงหา เป็นเป้าหมายท่ีต้องการให้บรรลุถึง เพ่ือพิจารณาถึง ธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง ถึงแม้ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเพียงใดก็ตาม ย่อมมีความ ขดั แยง้ ระหวา่ งกนั เกิดข้ึนเปน็ ธรรมดา การที่จะขจัดความขัดแย้งให้หมดสิ้นไปจากสังคมมวลมนุษย์คง เปน็ สุดวสิ ยั ความขัดแย้งในมวลมนษุ ย์ควรยังอยตู่ ่อไป สนั ตภิ าพจงึ เป็นวธิ ีการหนง่ึ ที่จะคล่ีคลายเข้าแก้ ปมของความขัดแย้งให้หลุดออก โดยไม่ต้องใช้วิธีรุนแรงการต่อสู้ทาร้ายร่างกาย การฆ่าฟัน ประหัตประหารทาสงครามกันดงั ทเี่ รียกวา่ “สันตวิ ธิ ี” ในสมัยนส้ี ันติภาพกเ็ ปน็ มรรคหรอื วิธกี าร๒๕ ชยั วัฒน์ สถาอานันท์ เร่ืองผ้ปู กครองในอุดมคติของ ฮนั่ เฟจือ้ (Han Fei Tzu) และวิธีการ ต่อสู้แบบสันติ สรุปไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพ โดยได้กล่าวว่า การ ทาลายล้างผู้ปกครองซ่ึงปกครองตามอุดมคติหรือปรัชญาการเมืองของฮ่ันเฟน้ันไร้ประโยชน์ สู้การ พยายามเปล่ยี นแปลงหรอื ชักจูงให้เขาเลิกใช้วิธกี ารรนุ แรงใชก้ าลงั กบั ประชาชนของเขาไม่ได้ เพราะจะ มีประโยชน์และเปน็ ไปไดม้ ากกวา่ ๒๖ ๒๓ บิช็อบคาร์ลอส ฟิลิเป ซีเมเนส เบโล, ปาฐกถาเร่ือง การศึกษาเพ่ือสันติภาพ, แปลโดย ดร. เจนจิต กสิกิจธารง, ผศ. ดร. เคิร์ก เพอร์สัน, และ อ. จรัญญา เทพพรบัญชากิจ บัณฑิตวิทยาลัยและการศึกษานานาชาติ มหาวทิ ยาลยั พายพั เชียงใหม่. ๒๕๔๗, หน้า ๘. ๒๔ บิช็อบคาร์ลอส ฟิลิเป ซีเมเนส เบโล, ปาฐกถาเร่ือง การศึกษาเพื่อสันติภาพ, แปลโดย ดร. เจนจิต กสิกิจธารง, ผศ. ดร. เคิร์ก เพอร์สัน, และ อ. จรัญญา เทพพรบัญชากิจ (บัณฑิตวิทยาลัยและการศึกษานานาชาติ มหาวิทยาลยั พายัพ เชยี งใหม่. ๒๕๔๗), หนา้ ๘. ๒๕ ประชุมสุข อาชวอารงุ , “ทฤษฎสี นั ตศิ กึ ษาและความเคลื่อนไหว”, วาสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์, ปีที่ ๒ ฉบบั ท่ี ๓ (๒๕๒๙): ๒๑๗. ๒๖ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ผู้ปกครองในอุดมคติของ ฮั่นเฟจื้อ (Han Fei Tzu) และวิธีการต่อสู้แบบ สันต,ิ คณะรฐั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาย, หนา้ ๘๖.
๒๑ ขณะเดียวกันบทความชิ้นน้ียังได้พยายามช้ีให้เห็นว่า การยึดแนวสันติวิธีน้ัน คือการไม่ใช้ กาลังหรือความรนุ แรง เพราะจะทาให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองและมนุษย์เกิดความเท่าเทียมกัน ซึ่ง หากไม่มกี ารฆา่ กัน ความสัมพันธ์ระหวา่ งมนุษย์จะพัฒนาไปในทิศทางท่ีดีขึน้ หากพิจารณาจากคาอธิบายข้างต้น ผู้ศึกษาเห็นว่า กลุ่มนี้พยายามอธิบายแนวคิดเร่ือง สันติภาพ ว่า ๑) สันติภาพต้องปราศจากความรุนแรง ๒) สันติภาพเป็นเรื่องของความเสมอภาค ๓) สนั ตภิ าพเปน็ เร่ืองสิทธมิ นุษยชน ขณะเดยี วกนั ในการรสร้างสันติภาพนั้น กลุ่มน้ีก็พยายามที่จะอธิบาย ว่าต้องพัฒนา คือ การพัฒนาสันติให้เกิดข้ึนที่ตัวเราก่อน เพราะตัวเราถือเป็นเป้าหลักท่ีจะหยุดความ โกรธหรือไม่พอใจต่อปัญหาต่างๆ ก็เท่ากับว่า แท้จริงแล้ว เร่ืองสันติภาพก็สามารถกล่าวได้สอง ประการคือ การพัฒนาสันติภาพภายในตนเอง และการพัฒนาสันติภาพภายนอก ซ่ึงเป็นเร่ืองของการ พฒั นาสันตภิ าพแบบการเช่ือมโยงกนั ในทุกๆ ฝา่ ยหรอื ในทุกๆ ดา้ น จากแนวคดิ เรอื่ งสันติภาพขา้ งต้น ผศู้ กึ ษาจึงสรุปได้ว่า แนวคิดเรื่องสันติภาพเป็นแนวคิดที่ พยายามจะหาทางออกให้กับมนุษย์โดยเฉพาะปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดความขัดแย้งกันข้ึนจนนาไปสู่การใช้ ความรุนแรง สงคราม หรือใช้วิธีการฆ่าประหัตประหารด้วยวิธีการต่างๆ เพ่ือที่จะให้ฝ่ายท่ีตนเอง ขัดแย้งนนั้ ได้รบั ซึง่ ความพ่ายแพ้ หรอื เกดิ การเสียชวี ติ ขน้ึ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงเห็นว่า แนวคิดเรื่องสันติภาพ จากนักวิชาการท่ีอธิบายข้างต้นว่า ๑) สันติภาพคือภาวะที่ปราศจากสงคราม ๒) สันติภาพคือภาวะที่ปราศจากความขัดแย้งรวมไปถึง ความขัดแย้งทางโครงสร้างสังคมด้วย ๓) สันติภาพต้องปราศจากความรุนแรง ๔) สันติภาพเป็นเร่ือง ของความเสมอภาค ๕) สันติภาพเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ๖) ความสงบสันติท่ีมนุษย์ได้มอบความรัก ความเมตตาต่อเพือ่ นมนุษย์ด้วย ภาวะทีป่ ราศจากสงคราม สันตภิ าพ ภาวะทีป่ ราศจากความขัดแย้ง ภาวะทีป่ ราศจากความรนุ แรง แนวคิด สันตภิ าพเป็นเร่อื งของความเสมอภาค สนั ตภิ าพเป็นเร่อื งสิทธมิ นษุ ยชน ความสงบสันติทีม่ นษุ ยไ์ ด้มอบความรกั และ ความเมตตาตอ่ เพ่อื นมนษุ ยด์ ว้ ย ภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคดิ สันตภิ าพ
๒๒ จากภาพกรอบแนวคดิ เรอ่ื งสนั ตภิ าพขา้ งต้น เป็นแนวคิดท่ีได้จากการสังเคราะห์คาอธิบาย เรอ่ื งสนั ติภาพจากนกั วิชาการตา่ งๆ ทั้งไทยและเทศ กรอบแนวคิดดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยเห็นว่า เป็นแนวคิด อันเป็นรากฐานสาคัญที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพ โดยจะหลีกเล่ียงไม่ได้ เพราะกระบวนการส่งเสริม สันติภาพจะต้องอาศัยกระบวนการหรือวิธีเหล่านี้เข้าไปจัดการหรือเผยแพร่ในสังคม เพ่ือให้เกิดการ สร้างค่านยิ มตอ่ สันติภาพ และปฏิเสธสิง่ ทไ่ี มใ่ ชส่ ันติภาพ ๒.๖ ผลงานวิจยั ทศ่ี กึ ษาเกีย่ วกบั สันตภิ าพ ต่อมาเป็นการสังเคราะห์ผลงานวิจัยท่ีศึกษาเกี่ยวกับสันติภาพ เพื่อจะทาให้เห็นว่า งานวิจัยที่ทาการศึกษาเก่ียวกับสันติภาพนั้นมีทิศทางอย่างไรเก่ียวกับการสร้างสันติภาพและเพ่ือจะ เป็นการสนับสนนุ งานวจิ ัยทผ่ี ู้ศกึ ษากาลังศึกษาเป็นลาดับ ดงั นี้ สายสวาท ปัจวิทย์ ทาการศึกษาเร่ือง ทิศทางนโยบายการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับ โลกทัศน์เก่ียวกบั สนั ตภิ าพในพ้ืนทช่ี ายแดนสามจังหวัดภาคใต้ ผลงานช้ินนี้พบว่า ทิศทางนโยบายการ จดั การศกึ ษาตามความคดิ เห็นของนกั วิชาการเห็นว่า การจัดการศึกษาจะตอ้ งไม่สร้างปัญหาต่อวิถีชีวิต ของคน ขอ้ ยตุ ิของนโยบายจะตอ้ งมาจากความเขา้ ใจรว่ มกัน การศึกษาจะตอ้ งช่วยให้คนมีสติปัญญา มี การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณจึงจะสามารถอธิบายอุดมคติของสันติภาพได้ เป้าหมายการศึกษาคือการที่ ผู้เรียนเป็นคนดีตามหลัก ศาสนา เน้นให้ผู้เรียนเกิดระบบคิดแบบอนาคต เสริมด้วยความเข้าใจทาง ศาสนา การศึกษาจะต้องช่วยให้คนเข้าใจกระบวนการทางานของจิตใจตนเอง เพ่ือการอยู่ร่วมกันกับ ผู้อ่ืนไดอ้ ย่างสันติ อนั จะนามาซง่ึ สงั คมท่สี งบสุข และทาให้เกิดสันตภิ าพในทีส่ ุด๒๗ งานวิจัยช้ินน้ี สรุปได้ว่า ในการสร้างสันติสุขน้ัน เป้าหมายของการศึกษา คือการ เปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อสันติภาพในทางศาสนา โดยให้จัดการศึกษาให้เน้นไปที่การส่งเสริมกระบวนการ สร้างความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างสันติ ดังน้ันแนวคิดน้ี ช้ีให้เห็นถึงแนวคิด สนั ตภิ าพที่พยายามสร้างจิตสานึกของผคู้ นในการสร้างสันสตภิ าพร่วมกันผา่ นการจดั การศึกษา ทัศนีย์ จันอินทร์ ทาการศึกษาเรื่อง วิวัฒนาการของมโนทัศน์การศึกษาเพื่อสันติภาพใน ประเทศไทย ผลงานวิจัยช้ินน้ี เผยให้เห็นว่า มโนทัศ และบทบาทในการศึกษาเรื่องสันติภาพของไทย พยายามเปลี่ยนแปลงความคิดเพอื่ ให้สอดคล้องกบั แนวคดิ เร่ืองสันติภาพกับโลกตะวนั ตก เช่น บทบาท การเรียกร้องในด้านการเมืองหรือประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม หรือการแก้ปัญหาในสาม จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ อีกท้ังบทบาทเรอื่ งสันตภิ าพในประเทศไทยยังมกี ารเผยแพร่ จัดการอบรมเรื่อง สนั ตภิ าพเพือ่ ลงไปสู่ชุมชน ครอบครวั และชุมชนท่ีเกดิ ความขดั แยง้ ๒๗ สายสวาท ปัจวิทย์, “ทิศทางนโยบายการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับโลกทัศน์เก่ียวกับสันติภาพใน พ้ืนท่ีชายแดนสามจังหวัดภาคใต้”, วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หนา้ ง.
๒๓ นอกจากน้ี ทัศนีย์ จนั อินทร์ ยังได้กลา่ วว่า “การศึกษาเพ่ือสันติภาพยังแพร่หลายอยู่ ในวงท่ีไม่กว้างขวางเท่าที่ควร ท่ีผ่านมามักมีผู้กล่าวว่าสันติภาพเป็นเร่ืองของปัญญาชน เป็นเร่ืองของ ผู้นาสังคม แต่จากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชี้ให้เห็นอย่างแน่ชัดแล้วว่าปัญหาสันติภาพ ของสังคม ส่งผลกระทบต่อคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายท่ีไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ ไม่ใช่ปัญญาชน ยิ่งถ้ามองให้ลึกซ้ึงถึงมิติทางด้านสันติภาพภายใน สันติภาพจะกลายเป็นเรื่องของ มนุษยท์ กุ คนไม่วา่ จะเป็นคนมีการศกึ ษาหรอื ไม่”๒๘ งานวิจัยชิ้นนี้สรุปได้ว่า ก็ช้ีให้เห็นเรื่องสันติภาพน้ัน ยังต้องรวมไปถึงเรื่องความเป็นธรรม ในสงั คม เร่อื งสิทธมิ นษุ ยชน ซ่ึงนั่นก็หมายถึงความเป็นธรรมในระบบโครงสร้างทางสังคมท่ีผู้มีอานาจ หรือรัฐต้องมองถงึ ความเป็นธรรมของมนษุ ย์ทกุ คนน้ันเท่ากัน อรทัย มีแสง ทาการศึกษาเร่ือง พัฒนาการอหิงสธรรมในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษา พุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา ผลงานชิ้นน้ี ได้ชี้ให้เห็นว่า ในประเทศ สหรฐั อเมรกิ า โดยเฉพาะองกรทางพระพุทธศาสนาได้มีการใช้หลักธรรมในการสร้างสรรค์พัฒนาเรื่อง ของสันติภาพขึ้นในโครงการต่างๆ หลังจากที่สิ้นสุดของสงครามโลกและสงครามเวียดนาม โดยมีการ ใชห้ ลกั อหิงสาและประยกุ ต์ใช้เพ่อื สร้างสันติภาพขน้ึ ฉะน้ันผลงานช้ินน้ีจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็น การใช้หลักธรรมสรา้ งสนั ตภิ าพขึ้นในสังคมอเมรกิ า การศึกษาคร้ังนี้ ได้ข้อสรุปเก่ียวกับสันติภาพในอเมริกา ว่า “เกิดจากการหล่อหลอมของ ความเป็นพุทธศาสนามหายานและความเป็นเซน เข้ากับวิถีชีวิตดั้งเดิมของความเป็นชาวอเมริกันที่มี อิทธิพลความเช่ือความรู้แบบคริสต์ เกิดเป็นขบวนการพระพุทธศาสนาเพ่ือสังคมผ่านโครงการต่างๆ ท้ังในประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อประโยชน์ ความสุข ความสงบ ความยุติธรรมสันติภาพและ ภราดรภาพในมวลมนษุ ยช์ าติ๒๙ พรอุษา ประสงค์วรรณะ ทาการวิจัยเรือง การศึกษาชุมชนต้นแบบต่างศาสนาที่อยู่ร่วมกัน อย่างสันติในแขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนที่มีการอยู่ร่วมกัน อยา่ งสันติระหว่างศาสนา ๓ ศาสนา คือ พุทธ คริสต์และอิสลาม ได้แก่ชุมชน แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรงุ เทพมหานครที่มคี วามงดงามแห่งหน้าประวัติศาสตร์ของพ้ืนที่ชุมชนที่ร่วมใจกันผนึกกาลังประกาศให้ โลกร้วู ่า ณ ชมุ ชนเก่าแก่แห่งน้ี มีความแข็งแรงสามัคคีกันในระหว่างสามศาสนาท่ีเหนียวแน่นสืบเน่ืองมา นับร้อยๆ ปี ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชนที่มีคนอยู่ร่วมกันถึงสามศาสนา คือ พุทธทั้งเถร วาทและมหายาน คริสต์ และอิสลาม เป็นชุมชนเก่าแก่ของพ่อค้าชาวจีนฮกเกี้ยนท่ีตั้งอยู่ริมคลองวัด กัลยาณ์ ต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและกลุ่มชนหลายเช้ือชาติ ที่อพยพจากกรุงเก่ามาต้ังถ่ินฐานอยู่บริเวณ ๒๘ ทัศนีย์ จันอินทร์, “วิวัฒนาการของมโนทัศน์การศึกษาเพ่ือสันติภาพในประเทศไทย”, วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑติ วทิ ยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๕๒. ๒๙ อรทัย มแี สง, “พัฒนาการอหงิ สธรรมในพระพุทธศาสนา: กรณีศกึ ษาพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพ่ือสันติภาพ แห่งสหรฐั อเมรกิ า”, สารนิพนธ์พทุ ธศาสตรดุษฎบี ัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หนา้ ๘๑.
๒๔ ดา้ นทิศใต้ของคลองบางหลวง หรอื คลองบางกอกใหญ่ใกล้ริมฝ่งั แม่น้าเจ้าพระยา๓๐ จากผลงานการวิจัยข้างต้น จะเห็นว่า ความต่างของศาสนาหรือหลักคาสอนที่ต่างกัน แต่ ได้อาศัยอยู่ด้วยกันท้ังสามศาสนาอย่างสันติบางทีอาจไม่ได้เป็นปัญหาในการอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้น การตกลง การเจรจา การถ้อยทีถ้อยอาศัยหรือการบูรณาการคาสอนทางศาสนาท้ังสามศาสนา ตลอดจนการสร้างกิจกรรมต่างๆ ในชุมชนร่วมกันก็เป็นการสร้างทิศทางและเป้าหมายของสันติภาพ ทั้งสิ้น กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ความเชื่อทางศาสนา การ ปฏิบัติตนตามคาสอน แนวคิดทางวัฒนธรรม เหล่าน้ีถือว่าเป็นสิ่งที่ยากแก่การเช่ือมโยงเข้าหากัน โดยเฉพาะความขัดแย้งทาศาสนา แต่สามารถสร้างความสุขให้เกิดข้ึนภายในชุมชนที่มีความแตกต่าง ทางความคิดได้ภายใต้การถอ้ ยทีถอ้ ยอาศัยกนั ฮามีดะห์ฮาสัน โต๊ะมะ ทาการวิจัยเรื่อง การปฏิรูปการปกครองและการสร้างสันติภาพ ของเคาะลีฟะฮฺอับดุลมาลิก บิน มัรฺวาน แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺ ผลงานชิ้นนี้ ได้ข้อสรุปในประเด็นการ สร้างสันติภาพว่า การสร้างสันติภาพของเคาะลีฟะฮฺอับดุลมาลิกบิน มัรฺวานแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺ ท่านได้ขบั เคล่อื นมงุ่ เน้นสรา้ งสนั ตภิ าพท้ังภายในและนอกรัฐอิสลามโดยใช้กระบวนการการเจรจาโดย สันติวิธีอย่างสุดความสามารถ และความรุนแรงเป็นทางเลือกสุดท้าย จึงประสบผลสาเร็จอย่าง ภาคภูมิใจ ที่ทาให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองมีความเป็นเอกภาพและอยู่อย่างปกติสุขอย่าง สมหวังและยงั่ ยืน๓๑ ดงั นน้ั งานวจิ ัยช้ินน้ี ยงั ชี้ให้เหน็ วา่ การสรา้ งสันตภิ าพน้ัน เป็นเรื่องของการเจรจาไกล่เกลี่ย โดยใชว้ ธิ ีการอยา่ งสันติ ซึ่งเปา้ หมายของสนั ตภิ าพน้ันคือความเป็นเอกภาพหรือความสมดุลระหว่างรัฐ และประชาชน การใช้ความรุนแรงจึงถูกตั้งไว้เป็นทางเลือกหรือวิธีสุดท้าย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า การ ปฏิรูปการปกครองของ เคาะลีฟะฮฺอับดุลมาลิก บิน มัรฺวาน แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮฺ ยังให้ความสาคัญ กับเร่ืองสันติภาพมากกว่าการใช้กาลังจากรัฐ แต่ในขณะท่ีการใช้กาลังหรือความรุนแรง แน่นอนว่า ความหายนะยอ่ มเกดิ ขนึ้ ด้วยกันท้งั สองฝ่ายและนาไปสูก่ ารทาสงครามได้ วรมาศ ยวงตระกูล ทาการวจิ ัยเรื่อง วาทกรรมสงครามและสันติภาพในกวีนิพนธ์สงคราม ซ่ึงได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ที่สร้างวาทกรรมต่อต้านสงครามว่า “กวีนิพนธ์ใน ช่วงเวลาที่เกิดการเปล่ียนแปลงทางความคิดอย่างสาคัญจากการสนับสนุนสงครามไปสู่การต่อต้าน สงคราม และในที่สุดยังได้พัฒนาต่อไปถึงการใช้กวีนิพนธ์สงครามเป็นเครื่องมือเรียกร้อง “สันติภาพ” อีกด้วย ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎีแล้ว “สงคราม” และ “สันติภาพ” จะเป็นคู่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ๓๐ พรอุษา ประสงค์วรรณะ, “การศึกษาชุมชนต้นแบบต่างศาสนาท่ีอยู่ร่วมกันอย่างสันติในแขวงวัด กัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หนา้ ๑๒๐. ๓๑ ฮามีดะห์ฮาสัน โต๊ะมะ, “การปฏิรูปการปกครองและการสร้างสันติภาพของเคาะลีฟะฮฺอับดุลมาลิก บนิ มัรฺวานแห่งราชวงศอ์ ุมยั ยะฮฺ”, วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ๒๕๕๗), หน้า ๓๒๕.
๒๕ และนักสนั ติภาพก็ปฏเิ สธความเปน็ ไปได้ของการบรรลถุ งึ สนั ติภาพดว้ ยสงคราม”๓๒ จากคากล่าวข้างต้น จะเห็นว่า ในแวดวงทางด้านวรรณกรรมก็ยังมีการสร้างแนวคิดเรื่อง สันตภิ าพข้ึน ซงึ่ สะทอ้ นมุมมองหรอื แนวคิดทจ่ี ะปฏเิ สธการทาสงครามอยา่ งชัดเจน และยงั เป็นการเผย ให้เห็นถึงทัศคติที่มีต่อเรื่องสันติภาพว่า การทาสงครามนั้นไม่มีฝ่ายหน่ึงใดได้ประโยชน์ แต่ความ หายนะเกิดขึ้นด้วยกันท้ังสองฝ่าย ดังนั้นกวีนิพนธ์ก็ยังทาหน้าท่ีสะท้อนแนวคิดของการไม่ใช้ความ รนุ แรงหรือปฏเิ สธการสนับสนุนการทาสงครามไม่ว่าด้วยรูปแบบใดก็ตาม น่ันก็แสดงถึงความต้องการ ที่อยากให้โลกน้ีปราศจากสงครามและสร้างสันติภาพขึ้นในสังคมท่ีมีความขัดแย้งกันข้ึน เพราะกวี นพิ นธ์ต่างกใ็ หค้ วามสาคญั ในเร่อื งสนั ติภาพและไม่ต้องการภัยท่เี กิดจากสงคราม เสาวรส ปลื้มใจ และอุทิศ สังขรัตน์ ทาการศึกษาเรื่อง ผู้หญิงกับการสร้างสันติภาพ ชายแดนใต้ ผลการศึกษาพบว่า ผูห้ ญิงได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างสันติภาพด้วยการใช้วิธีการอย่าง สันติวิธีซึ่งมีลักษณะท่ีสาคัญ ๔ ประการ คือ ๑) การเยียวยา เยี่ยมเยือนและดูแลให้การช่วยเหลือผู้ ได้รับผลกระทบ ๒) ส่งเสริมศักยภาพผู้หญิงให้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาผ่านโครงการกิจกรรม ต่างๆ ที่จัดข้ึนโดยกลุ่มผู้หญิงท่ีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ๓) การประสานความ เข้าใจระหว่างผู้ได้รับผลกระทบกับหน่วยงานรัฐ และ ๔) การเปิดพื้นท่ีการทางานในชุมชนเพื่อความ ย่ังยืน ซึ่งบทบาทดังกลา่ วเปรยี บเสมอื นฟันเฟืองทีน่ ามาสกู่ ารสร้างสันติภาพในการทางานช่วยเหลือแก่ สังคมและการมีพ้ืนท่ีสาธารณะในการทางานภาคประชาสังคมนาไปสู่การยอมรับบทบาทของกลุ่ม ผหู้ ญิงท่มี สี ่วนรว่ มในการสร้างสนั ตสิ ุข ในจงั หวัดชายแดนใต้มากยิ่งขึ้น๓๓ งานวิจัยช้ินนี้จะเห็นว่า บทบาทชองผู้หญิงนั้นมีความโดดเด่นในการเข้ามามีส่วนร่วมใน สังคมผ่านกิจกรรมต่างๆ ท่ีเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม นั่นเป็นการสร้างความ สันติสุขให้เกิดข้ึนกับชายแดนใต้ หรือนัยหน่ึงสามารถกล่าวได้ว่า บทบาทของผู้หญิงใต้ที่มีต่อสังคมใน การสร้างความสขุ ให้เกิดขน้ึ มรี ากฐานหรือแนวคิดเร่ืองสันติภาพอยู่ด้วย ซ่ึงก็หมายถึง การสร้างความ สมดุลระหว่างมนุษยแ์ ละสังคม หรือการลดแรงเสียดทานของไฟใต้ การสร้างความสมานฉันท์ การลด ความรุนแรง เพ่อื ทาให้ไมเ่ กิดความขดั แย้งขน้ึ ดงั นน้ั บทบาทของผหู้ ญิงจากงานวิจัยเล่มนี้ จึงถือได้ว่า เป็นการขับเคล่ือนการสร้างความสุขในพ้ืนท่ีท่ีมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสามจังหวัดชายแดน ภาคใตต้ ามวถิ ีทางของสนั ตภิ าพ อธิพฒั น์ สินทรโก ได้ทาการศึกษาเร่ือง การจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธี ผล จากการศึกษาพบวา่ แนวทางในการจัดการความขัดแย้งประกอบด้วย ๑) การสร้างความเป็นธรรมใน กระบวนการยุตธิ รรม ๒) การเร่งสะสางปมปัญหาความขัดแย้ง ๓) การลดความขัดแย้งในระดับบุคคล ๓๒ วรมาศ ยวงตระกลู , “วาทกรรมสงครามและสันติภาพในกวีนิพนธ์สงคราม”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสต รมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗), หน้า ๒๓๕. ๓๓ เสาวรส ปล้มื ใจ และอุทิศ สงั ขรัตน,์ “ผ้หู ญิงกบั การสรา้ งสันติภาพชายแดนใต้”, วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตรม์ หาวทิ ยาลัยทกั ษณิ , ปที ่ี ๑๐ ฉบับที่ ๑ (เมษายน–กันยายน ๒๕๕๘): ๒๒๕.
๒๖ ๔) การยอมรับฟังความคิดเหน็ ท่ีแตกตา่ ง ๕) การสรา้ งความปรองดอง ๖) การสร้างความรู้ความเข้าใจ เก่ียวกับแนวทางสนั ติวธิ ี และ ๗) การสรา้ งความยดึ มนั่ ในแนวทางสนั ติวธิ ีใหแ้ ก่สงั คม๓๔ จากแนวทางดังกล่าวน้ี ถือว่าเป็นกระบวนการส่งเสริมในเรื่องของสันติภาพ ซึ่งหาก พิจารณาแล้วสามารถท่ีจะแบ่งออกได้ ๓ ระดับด้วยกันคือ กระบวนการสร้างความเป็นธรรมในเร่ือง กฎหมาย การเจรจาไกลเ่ กลย่ี ต่อปัญหาที่เกิดข้ึนอย่างสันติ และการสร้าวค่านิยมในเร่ืองของสันติภาพ ดังนั้น ผลงานช้ินนี้ถือว่า เป็นการหาแนวทางที่จะลดระดับของความขัดแย้งลง เพ่ือจะนาไปสู่การ พัฒนาเร่อื งสนั ติภาพให้เกิดขนึ้ เมื่อพิจารณาจากผลงานวิจัยข้างต้นในภาพรวมจะเห็นว่า ผลงานวิจัยแต่ละเล่มน้ันได้เผย ใหเ้ หน็ ถึงแนวคิดเร่ืองสันติภาพ แม้ว่าจะศึกษาในประเด็นต่างกันไป เช่น บทบาทของผู้หญิงใต้ในการ สร้างความสขุ การใชห้ ลกั ธรรมในการสรา้ งสันติสุข เหลา่ นไ้ี ดแ้ สดงถงึ กระบวนการหรือการขับเคล่ือน ในเรอื่ งของสันติภาพทั้งสิ้น เพราะต่างก็พยายามหาทางออกจากปัญหาหรือความขัดแย้งด้วยกัน หรือ แม้ว่า สันติภาพ อาจมีการนิยามความหมายที่หลากหลาย แต่ท่ีสุดแล้วเป้าหมายก็เพ่ือทางของการ หลุดพ้นจากปัญหาของความขัดแยง้ นนั่ เอง การเสวนาในเวทีพูดคุยนานาชาติว่าด้วย “กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทของ อาเซียน” ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฯ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กล่าวไว้ว่า “สันติภาพก็อาจหมายรวมไปถึงการเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม การเคารพต่อหลักการความเช่ือและวัฒนธรรมจารีตของผู้คน หรือแม้แต่การมีสิทธิใน การกาหนดอนาคตของตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นเป้าหมายของผู้คนที่มีส่วนข้องเกี่ยวในความขัดแย้ง และมีแนวโน้มท่ีนิยามของ ‘สันติภาพ’ จะแตกต่างหลากหลาย การต่อสู้ช่วงชิงความหมายเก่ียวกับ สนั ตภิ าพจงึ เป็นเนอ้ื หาสาคัญ ของกระบวนการในการแสวงหาทางออกจากความขดั แยง้ น่นั เอง๓๕ ฉะน้ัน จะเห็นว่า แนวคิดเรื่องสันติภาพ แม้ว่าความขัดแย้งหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน แตล่ ะพนื้ ท่ี ผคู้ นหรือบคุ คลทม่ี สี ว่ นเกี่ยวขอ้ งจะพยายามนิยามความหมายเพื่อชว่ งชิงความได้เปรียบใน ฝ่ายของตนเองในความหมายที่ต่างกันไป แต่ความหมายของสันติภาพก็ยังมีความเก่ียวโยงกับปัญหา ของความขัดแย้ง ปัญหาสงคราม ผู้ศึกษาจึงเห็นว่า สันติภาพแม้จะนิยามในความหลากหลาย ท่ีสุด แลว้ จุดประสงคข์ องความหมายนัน้ หรือแนวคิดน้ัน ก็มีทิศทางเดียวกันคือ การทาให้สังคมรอดพ้นจาก ความรนุ แรง การใชก้ าลงั เพือ่ ใหพ้ นื้ ทีน่ ้ันเกิดความสขุ แก่คนสว่ นใหญ่ ๓๔ อธพิ ฒั น์ สินทรโก, “การจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธี”, วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตร มหาบณั ฑติ , (วิทยาลยั การบริหารรัฐกจิ : มหาวิทยาลัยบูรพา, ๒๕๕๕). ๓๕ รอมฎอน ปันจอร์, กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทอาเซียน, (ปัตตานี : โครงการจัดพิมพ์ ดีพบุ๊คส์ (deepbooks) ศนู ย์เฝา้ ระวังสถานการณภ์ าคใต้, ๒๕๕๖), หน้า ๑๓.
๒๗ เมื่อความหมายหรือทิศทางของสันติภาพ เน้นไปท่ีความสุขหรือความสงบ น่ันก็แสดงว่า ไม่ว่าสันติภาพจะถูกนิยามความหมายอย่างไร สันติภาพ ก็คือความสุขและความสงบอันเป็นภาวะที่ ปราศจากความไม่สงบนั่นเอง ดังที่ วิจิตร ศรีสอ้าน กล่าวไว้ในบทความเรื่อง การจัดการศึกษาเพื่อ สันติภาพ ว่า “ ท่ีเรารู้สึกว่าที่ใดภาวะใดถ้าเป็นภาวะที่มีความสงบ มีความสุขไร้ความขัดแย้งก็จะมี สันติภาพ ไม่ว่าจะมองจากระดับบุคคล ระดับสังคมหรือระดับโลกในส่วนรวม เพราะฉะนั้นคาไทยที่ พูดถึงความสงบสขุ ดูจะมีความหมายตรงและดีกว่าคาว่าสันติภาพ เพราะท่ีไหนมีความสงบ มีความสุข น่ันกก็ ค็ อื ภาวะไรค้ วามขัดแย้ง ภาวะท่ที าให้เกิดความสงบ”๓๖ กฤช ปุณณกัณฑ์ ทาการศึกษาเร่ือง พระพุทธศาสนากับสันติภาพของโลก ได้ข้อสรุปท่ีมี ทิศทางของสันติภาพไปในทิศทางเดียวกัน คือ “พระพุทธศาสนาเป็นท้ังศาสนาและทั้งปรัชญา ซ่ึง ประกอบด้วยแนวคิดที่เป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล เคารพใน ความเป็นคน ความรว่ มมือและช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกันเชื่อถือในสติปัญญา หรือเสรีภาพในการค้นคว้า ความปรารถนาสุดทา้ ยของพระพทุ ธศาสนา คอื ”นิพพาน” อนั เป็นยอดแหง่ ความสงบ”๓๗ เม่ือมองจากคากล่าวข้างต้น นั่นก็แสดงว่า แนวคิดเร่ืองสันติภาพของพระพุทธศาสนาก็มี ทิศทางและความหมายไปในทางทสี่ รา้ งสรรค์และพฒั นา กล่าวคือ การท่ีผู้คนในสังคมยอมรับสิทธิและ เสรีภาพของคนอ่ืนอย่างเท่าเทียมกัน ยอมรับในความต่างทางความคิดทางศาสนา และการยอมรับนี้ คือหนทางท่ีจะพัฒนาสังคมให้เดินไปสู่สันติภาพ หรือความสงบ หรือนิพพาน ตามความหมายทาง ศาสนาพุทธ จากการศกึ ษาทั้งเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเร่ืองสันติภาพ เป็นแนวคิดท่ี ถูกสร้างขึ้นจากความไม่เท่าเทียม ความรุนแรง ความขัดแย้ง การใช้กาลัง ตลอดจนการใช้อาวุธ ประหัตประหารทาลายมนุษย์ด้วยกันเอง ขณะเดียวกันแนวคิดเรื่องสันติภาพนั้น เราไม่อาจท่ีจะ กาหนดให้อยู่ที่ปัญหาของความรุนแรง หรือปัญหาสงครามเท่าน้ัน แต่แนวคิดเรื่องสันติภาพยังอาจ มองไปถึงเร่ืองสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน คุณค่าของความเป็นมนุษย์และแนวคิดเรื่องสันติภาพนี้ถูก แสดงออกภายใต้อุดมการณ์ของมนุษย์ที่เห็นว่า สังคมเกิดความขัดแย้ง สังคมเกิดความไม่เท่าเทียม หรือสังคมไม่มีความสงบสุข ซึ่งปัญหาเหล่าน้ีทาให้เกิดแนวคิดเรื่องสันติภาพขึ้นเพ่ือที่จะขจัดปัญหา เหล่านี้ออกไป หากกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แนวคิดเร่ืองสันติภาพมีลักษณะเป็นกระบวนการที่พยายาม ปลดปล่อยผู้คนทอี่ ยใู่ นความไมส่ งบใหพ้ บความสงบหรอื ความสขุ ดงั ภาพประกอบ ดงั นี้ ๓๖ วิจิตร ศรีสอ้าน, “การจัดการศึกษาเพื่อสันติภาพ”, ใน สันติศึกษากับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง : รวมบทความคดั สรร, วลยั อารณุ ี บรรณาธกิ าร, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๐): ๑๘๙. ๓๗ กฤช ปุณณกัณฑ์, “พระพุทธศาสนากับสันติภาพของโลก”, ใน ประมวลความรู้เร่ืองสันติภาพ, ประชุมสุข อาชวอารุง และยุพิน พิพิธกุล บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๐), หน้า ๒๗๑.
๒๘ ปญั หาความไมส่ งบ แนวคิดสันติภาพ ความสงบสุขสันติ กระบวนการแก้ไข ภาพท่ี ๒.๒ แนวคดิ กระบวนการสนั ตภิ าพ จากภาพข้างต้น จะเห็นว่า แนวคิดเรื่องสันติภาพ เป็นแนวคิดท่ีเกิดจากปัญหาหรือภาวะ ของความไม่สงบ และต้องการกระบวนการหรอื วิธกี ารท่จี ะเข้าไปแก้ไขระงับปัญหาน้ัน โดยมีเป้าหมาย หรืออดุ มการณ์ที่ตอ้ งการคือ ความสงบสุขหรอื สันติ แนวคิดเร่อื งสันตภิ าพนอกจากจะเป็นแนวคดิ ที่สร้างขนึ้ เพ่อื ต้องการขจัดภาวะของความไม่ สงบแล้ว สันติภาพยังเป็นแนวคิดที่ถูกถ่ายทอดและถูกสร้างขึ้นอย่างมีระบบและกระบวนการ เพ่ือท่ีจะนาไปใช้แก้ปัญหาในพื้นที่ของสังคมท่ีมีความขัดแย้ง และเพื่อพัฒนาอารยธรรมมนุษย์ให้เกิด การพฒั นาอย่าสูงสดุ ในการอยรู่ ่วมกันในสังคม ๒.๗ สรุป จากการศึกษาแนวคิดเรื่องสันติภาพ สามารถสรุปได้ดังนี้ ๑) สันติภาพ คือ ภาวะท่ี ปราศจากสงคราม ๒) สันติภาพ คือภาวะที่ปราศจากความขัดแย้งรวมไปถึงความขัดแย้งทาง โครงสร้างสังคมด้วย ๓) สันติภาพ คือภาวะที่ปราศจากความรุนแรง ๔) สันติภาพเป็นเรื่องของความ เสมอภาค ๕) สนั ตภิ าพเป็นเร่ืองสิทธิมนุษยชน ๖) สันติภาพ เป็นความสงบสันติท่ีมนุษย์ได้มอบความ รักความเมตตาตอ่ เพื่อนมนษุ ยด์ ว้ ย ขณะท่ีผลงานวิจัยที่ทาการศึกษาเร่ืองสันติภาพ ก็พบว่า พยายามเปิดเผยข้อมูลให้สังคม ได้รับรู้ว่า สังคมในปัจจุบันยังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความรุนแรง ความไม่เสมอภาค สิทธิ มนุษยชน ซ่งึ ก็สอดคล้องกบั แนวคิดเร่ืองสันติภาพของนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและนักวิชาการ ในสังคม เพราะถึงแม้ว่า สันติภาพจะมีการอธิบายไว้กันตามแนวคิดของตนเอง แต่ก็จะเห็นได้ว่า ความมุ่งหมายหลักแล้ว ต่างก็พยายามทาให้ปัญหาต่างๆ สลายไปจากสังคม เช่น สงคราม ความ ขดั แย้ง ความรนุ แรง ตลอดท้งั การจัดระเบียบโครงสรา้ งทางสังคมด้วย ดังน้นั แนวคดิ เรอ่ื งสนั ตภิ าพจึงไมไ่ ด้ระบุไว้เพยี งแนวคดิ ซงึ่ จะเห็นได้ว่า มีความพยายามที่ จะเสนอแนวคิดเร่ืองสันติภาพเอาไว้หลายประการ ซึ่งไม่ใช่แนวคิดสันติภาพแบบโดดๆ ดังที่ โคทม อารยี า ไดก้ ลา่ วว่า “สันติภาพ (Peace) น้ันไม่สามารถพิจารณาได้เป็นแนวคิดโดดๆ สันติภาพนั้นเป็น
๒๙ เร่ืองท่ีเกี่ยวกับมนุษย์ หรือสิทธิมนุษย์ชน (human rights) สันติภาพนั้นเป็นเรื่องเก่ียวกับการพัฒนา (Development) ซ่ึงจะเปน็ สว่ นลดเงื่อนไขความขัดแย้งน่ังเอง เพราะฉะน้ัน Peace, human rights, development (P.H.D) น้นั เปน็ เสมือน ๓ เสา้ แหง่ เปา้ หมายทีพ่ ึงปรารถนา”๓๘ หากพิจารณาจากคากล่าวข้างต้น ก็จะเห็นว่า เป็นแนวคิดท่ีพยายามจะเสนอแนวคิดเรื่อง สนั ติภาพในสองลักษณะคอื มองปัญหาเร่ืองสงคราม ความขดั แย้ง ความรนุ แรง และพยายามที่จะมอง ในเรื่องความสงบสุขของผู้คนที่ต้องปราศจากปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงมองว่า สันติภาพ นั้น ก็ คือแนวคิดจะพยายามหาทางออกหรือแก้ไขเร่ืองราวของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสงคราม ความ รนุ แรงใดๆ ก็ตาม และสันติภาพคือกระบวนการท่ีต้องพัฒนาเพ่ือให้ดาเนินไปสู่ภาวะของสันติสุขหรือ ทค่ี าสอนทางพระพุทธศาสนาเรียกวา่ ภาวะของความสงบและสันติ ๓๘ วลัย อารุณี บรรณาธิการ, สันติศึกษากับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง : รวมบทความคัดสรร, (กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๐), หน้า ๒๔.
บทที่ ๓ แนวคิดเรอ่ื งสันติภาพของตชิ นัท ฮันห์ แนวคดิ เรอื่ งสนั ติภาพของท่านติช นัท ฮันห์ จากการบรรยายธรรมะคาสอนของท่าน โดย จะเปน็ การวิเคราะห์ในประเดน็ เรือ่ งสนั ตภิ าพวา่ ท่านตชิ นัท ฮันห์ มีทัศนะหรือแนวคิดอย่างไรในเรื่อง สนั ตภิ าพ ซ่ึงเรื่องสนั ตภิ าพนน้ั ท่านติช นทั ฮันห์ มกี ารบรรยายเอาไว้หลากหลายแง่มุมในมุมมองหรือ ทศั นะตามคาสอนทางพระพุทธศาสนา ดงั จะมกี ารวิเคราะห์ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๓.๑ ประวตั ิของตชิ นทั ฮนั ห์ ติช นัท ฮันห์ เป็นพระมหาเถระนิกายเซน ชาวเวียดนาม ผู้บุกเบิกความคิดท่ีว่าพุทธ ศาสนาจาเป็นต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจาวัน และพุทธธรรมเป็นสิ่งที่สามารถ ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันได้ (Engaged Buddhism) ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักท่านใน ฐานะพระเถระช้ันผู้ใหญ่ พระอาจารย์เซน พระมหาเถระในพุทธศาสนามหายาน ผู้สอนการเจริญสติ ภาวนา เป็นกวี นกั เขียน และนกั ต่อสเู้ พอ่ื สันติภาพ ท่านติช นัท ฮันห์ ถือกาเนิดเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ในจังหวัดกวงสี ภาคกลางของประเทศ เวียดนาม ท่านมีนามเดิมว่า เหงียน ซวน เบ๋า ( Nguyen Xuan Bao) “ติช นัท ฮันห์” เป็นฉายาเม่ือ ท่านไดร้ ับการอุปสมบทแล้ว คาวา่ “ติช” (Thich) ในเวียดนามใช้เรียกพระ มีความหมายว่า เป็นผู้สืบ ทอดพุทธศาสนา ส่วน “นัท ฮันห์” (Nhat Hanh) เป็นนามทางธรรมของท่าน มีความหมายว่า “การ กระทาเพียงหนึ่ง” (One Action) หมู่ศิษย์ในทางตะวันตก เรียกท่านว่า “Thay” (ไถ่) ซ่ึงในภาษา เวียดนามมคี วามหมายว่า “ทา่ นอาจารย์” พ.ศ. ๒๔๘๕ เม่ืออายุได้ ๑๖ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรท่ีวัดต่ือฮ้ิว (Tu Hieu) วิถี ชวี ติ ในวดั เซนแหง่ น้ี เปน็ รากฐานอันสาคญั ต่อชีวิตนักบวชของท่าน สามเณรต้องเรยี นรู้การมีชีวิตอยู่ใน ปัจจบุ ันขณะ ในทุกการกระทา อาจารย์ได้มอบหนังสือเล่มเล็กๆ กาชับให้ศึกษาหนังสือนั้น จนกว่าจะ เข้าใจ “การนาสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน” เป็นตอนแรกของคู่มือเล่มเล็ก น้ัน กล่าวถึง อากัปกิริยาของพระฝึกหัด จะต้องเกิดข้ึนพร้อมไปกับสัมมาสติ หรือการกาหนดรู้ใน ปจั จบุ นั
๓๑ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ตชิ นทั ฮนั หไ์ ด้อปุ สมบทเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุ ๒๓ ปี ท่านได้เดินทางไป ไซ่งอ่ น เพ่ือชว่ ยฟ้นื ฟูพทุ ธศาสนา และเขียนบทความ ซง่ึ ถูกต่อตา้ นอยา่ งมาก จากผู้นาองค์กรชาวพุทธ และจากรัฐบาลในระยะนัน้ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เม่ือท่านได้รับ การเสนอทุนจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เพื่อศึกษา ศาสนาเปรียบเทียบ จึงเดินทางไปยัง ประเทศสหรัฐอเมริกา จากน้ัน ๑ ปี ท่านได้รับทุนจาก มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แต่ท่านตัดสินใจ เดินทางกลับเวียดนาม เพ่ือกลับมาทางานด้านความร่วมมือ ระหว่าง พุทธมหายาน และหินยานในประเทศ และต้ังโรงเรียนยุวชนรับใช้สังคม เพื่อรักษาสังคม ท่ี เสียหายจากสงคราม สานต่อแนวคิดเรื่องพุทธศาสนาท่ีผูกสัมพันธ์กับสังคม และ พัฒนาวงการสงฆ์ ด้วยการสอนและ เขยี นในสถาบนั พุทธศาสนาขั้นสงู เป็นการบง่ บอกถึงแนวคิดของท่านว่า การกระทา และปญั ญา ตอ้ งก้าวไปด้วยกัน (Action and wisdom must go together) และจัดตง้ั คณะเทียบหิน ในปี ๒๕๐๙ ท่านตระหนักว่า ต้องมีการเปล่ียนแปลงวิธีการการต่อสู้เพื่อสันติภาพ เพ่ือแก้ปัญหาท่ี ต้นเหตุคือ หยุดการสนับสนุนสงคราม และมุ่งเน้น สันติภาพ โดยปลุกจิตสานึกต่อคนท่ัวโลก จนมาร์ ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ( Martin Luther King, Jr.) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกา ซ่ึง ได้รับรางวลั โนเบลสาขาสันติภาพ (Nobel Peace Prize) เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๕๐๗ ไดเ้ สนอนามทา่ นตชิ นัท ฮนั ห์ เข้าชงิ รางวัลโนเบลสาขาสนั ตภิ าพ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ การทางานเชน่ นี้ ทาใหร้ ัฐบาลเวียดนามใต้ ปฏิเสธการกลับประเทศของท่าน จนแม้รวมประเทศแล้วก็ตาม ท่านจึงล้ีภัยอย่างเป็นทางการใน ประเทศฝรั่งเศส โดยสอนประวัติศาสตร์พุทธศาสนาเวียดนาม ที่มหาวิทยาลัย และสร้างอาศรมแห่ง หน่ึงนอกเมืองปารีส เพื่อเขียนหนังสือ และปลูกพืชผักสมุนไพร ซึ่งท่านติดต่อลับๆ กับพระภิกษุที่ถูก จาคุกในเวียดนาม เพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ระหว่างน้ันท่านยังคงทางาน เพื่อ สันติภาพและผู้ลี้ภัย จากประสบการณ์ของท่านที่ได้พบเห็นชะตากรรมของผู้ลี้ภัยด้วยตนเอง จน สามารถชว่ ยเหลือผู้คนไดอ้ กี มาก ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เม่ือผู้มาปฏิบัติธรรมท่ีอาศรมของท่านทวีจานวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าน จงึ เรม่ิ กอ่ ตงั้ ชุมชนแหง่ ใหม่ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ให้ช่ือว่า หมู่บ้านพลัม ( Plum Village ) ซึ่งถือเป็นบ้านของท่านจนทุกวันนี้ ในช่วงแรกหมู่บ้านพลัมเป็นแหล่งพักพิงของผู้ล้ีภัย ในช่วงการ ปรบั ตวั กอ่ นเข้าสสู่ งั คมใหม่ในประเทศใหม่ ปัจจบุ ันหมู่บ้านพลัมได้ต้อนรับผู้คนมากมายในการปฏิบัติ สมาธิภาวนา และไดเ้ ริม่ มีสมาชิกเปน็ นักบวชต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ มีสมาชิกนักบวช กว่าห้าร้อยคน มาจากย่ีสิบกว่าประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ที่หมู่บ้านพลัมในฝร่ังเศสที่ Green Mountain Dharma Center รัฐเวอร์มอนต์ และ Deer Park Monastery รัฐแคลิฟอร์เนียใน สหรัฐอเมริกา และท่วี ัด บทั หงา เมอื งบา๋ วหลอบ และ วดั ต่ือฮ้วิ เมอื งเว้ ประเทศเวยี ดนาม
๓๒ ท่านติช นัท ฮันห์ ได้จัดตั้ง \"หมู่บ้านพลัม\" (Plum village) ขึ้น ณ ประเทศฝรั่งเศส อัน เป็นชุมชนแบบอย่าง การปฏิบัติธรรมแห่งพุทธบริษัท ๔ ที่เน้นการเจริญสติในชีวิตประจาวันอย่าง ตระหนักรู้ในแต่ละลมหายใจเข้าออก และกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ในชุมชนปฏิบัติธรรมแห่ง หมู่บ้านพลัม มีทั้งสิ้น ๑๒ แห่ง อยู่ในประเทศฝรั่งเศส อเมริกา เยอรมัน และเวียดนาม นอกจากนี้มี กลุ่มปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านติช นัท ฮันห์ (สังฆะ) กระจายอยู่หลายประเทศท่ัวโลกเกือบ หน่ึงพนั กลมุ่ ภายในสงั ฆะหมูบ่ า้ นพลมั ประกอบด้วยวดั ๘ วัด ไดแ้ ก่ - Upper Hamlet, Lower Hamlet, New Hamlet, Lower Mountain Hamlet กระจายตวั อยใู่ นหมบู่ ้านชนบทใกล้เมอื ง Bordeaux ทางใต้ของ ประเทศฝรั่งเศส - Clarity Hamlet, Solidity Hamlet ท่ี Deer Park Monastery รฐั แคลฟิ อรเ์ นีย - Green Mountain Dharma Center, Maple Forest Monastery ท่ีรัฐเวอร์มอนต์ ประเทศสหรัฐอเมรกิ า นอกจากนย้ี ังมสี งั ฆะอื่นๆ อยู่ในหลายประเทศทว่ั โลก จนกระท่ังปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เม่ือสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเวียดนามเข้าสู่ภาวะ ปกติ หลังไฟของสงครามเวยี ดนามดบั มอดลงไปแล้วถึง ๓๐ ปี ท่านติช นัท ฮันห์ จึงได้เดินทางกลับมา เยอื นประเทศเวียดนาม แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านอย่างเป็นทางการ หลังการจากมา เป็นเวลายาวนานถึง ๓๙ ปี ซ่ึงก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชนชาวเวียดนามอย่างอบอุ่น ปัจจุบันท่านติช นัท ฮันห์ ยังคงพานักอยู่ท่ีหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส และยังคง เดินทางไปประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลก พร้อมด้วยภิกษุและภิกษุณีแห่งหมู่บ้านพลัม เพื่อเผยแผ่ธรรม และนาการเจรญิ สติเจรญิ ภาวนาแกผ่ สู้ นใจซง่ึ มีเปน็ จานวนมาก๑ ๓.๒ แนวคดิ เรอ่ื งสนั ตภิ าพของตชิ นทั ฮันห์ จากการศึกษา แนวคดิ เร่อื งสันติภาพของ ตชิ นัท ฮันห์ ปรากฏว่า ธรรมะหรือคาสอนทาง พระพุทธศาสนาท่ีติช นัท ฮันห์ นามาใช้ในการสอนและเผยแพร่ต่อชาวพุทธนั้น ประกอบไปด้วย แนวคิดเรื่องสนั ตภิ าพ ดงั นี้ ๓.๒.๑ แนวคิดสนั ติภาพในทัศนะต่อสงครามและความรนุ แรง ๓.๒.๑.๑ สันตภิ าพตอ้ งเปน็ ภาวะทีป่ ราศจากสงคราม แนวคิดเรื่องสันติภาพประการแรก คือ ติช นัท ฮันห์ เห็นว่า สงครามเป็นเรื่องของ ความทุกข์ โดยเฉพาะเม่ือครั้งสงครามเวียดนาม คนเวียดนามต้องตกอยู่ภายใต้ประเทศมหาอานาจ และกาลังทางอาวุธลูกระเบิดที่ถูกปล่อยลงจากท้องฟูาใส่คนเวียดนามทาให้คนเวียดนามต้องระทม ๑ ศนู ยป์ ฏบิ ตั ิธรรมนานาชาติ หมูบ่ า้ นพลัม เมืองบอร์กโดซ์ (Bordeaux) ประเทศฝรงั่ เศส, ประวตั ิและ ปฏิปทาทา่ นตชิ นัท ฮนั ห์, [ออนไลน์]. แหลง่ ทีม่ า: http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21739 [๑๐ มิ.ย. ๒๕๕๙].
๓๓ อย่างแสนสาหัส ดังน้ัน จุดยืนท่ี ติช นัท ฮันห์ แสดงขึ้นท่ามกลางภาวะของสงครามน้ัน คือ “สันติภาพ” ดงั ทีท่ ่าน กล่าวว่า ชาวเวยี ดนามผู้ระทมทุกข์เวทนาภายใต้ลูกระเบิด จาเป็นต้องอยู่กับความจริงมากกว่านั้น เรา ต้องการสันติภาพเราไม่สนใจกับชัยชนะหรือความปราชัยของใคร เราเพียงต้องการให้ลูกระเบิด หยุดตกใส่พวกเรา แต่หลายๆ คนในขบวนการสันติภาพคัดค้านข้อเสนอของเราที่เรียกร้องให้หยุดยิง อย่างทันทีทันใด๒ จากขอ้ ความขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ แนวคิดเร่ืองสนั ติภาพท่ีปราศจากสงครามน้ัน ติช นัท ฮันห์ ไมไ่ ด้มองแค่วา่ ฝุายใดฝาุ ยหน่งึ จะชนะหรือพา่ ยแพ้ต่อสงคราม หรือแม้มีกลุ่มคนท่ีแสดงการไม่เห็นด้วย กับการแสดงจดุ ยืนใหม้ ีการหยดุ ยงิ ของของ ติช นัท ฮันห์ แต่ท่านได้มองว่า ความเสียหายและหายนะ ที่เกิดส่งผลกระทบต่อคนเวียดนามน้ันมากเกินที่จะเยียวยาได้ วิธีการท่ีจะลดความหายนะน้ีจึงอยู่ท่ี การแสดงให้ประเทศมหาอานาจรู้ว่า เราไม่ต้องการชนะหรือเราไม่ต้องการพ่ายแพ้ แต่เราต้องการ สันติภาพของคนเวยี ดนาม เพราะท่านไม่ต้องการใหเ้ กิดความหายนะอกี ต่อไป สงครามเวียดนามท่ีทาให้ผู้คนล้มตายกันมากน้ัน ติช นัท ฮันห์ มองว่า ประชาชนเป็น เหย่ือของสงคราม ซึ่งเกิดมาจากปัญหาการใช้อานาจทางรัฐในการกาหนดนโยบายควบคุมกิจการ ต่างๆ ปัญหาน้ีจึงเป็นรากเหง้าของสงคราม และนาไปสู่การใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา และ ทาให้ผู้คนหรือชาวเวียดนามต้องอยู่ภายใต้ความโหดร้ายและความทุกขเวทนาของสงคราม ดังท่ี ติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า “ประการหนึ่งของรากเหง้าคือ ทัศนะการมองโลกทั้งสองฝุายคือเหยื่อของ นโยบายท่ผี ดิ พลาด นโยบายท่ีเชอื่ ว่าการใช้ความรุนแรงคือการจัดการกบั ปญั หา ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ ชาวเวยี ดนามตาย และไม่ตอ้ งการให้ทหารอเมรกิ ันตายเชน่ กัน” จากคากล่าวข้างตน้ สะท้อนใหถ้ งึ แนวคดิ เรือ่ งสนั ตภิ าพของ ตชิ นทั ฮันห์ ว่า ความรุนแรง การประหตั ประหารทาลายล้างกันเพื่อเอาชนะกันน้ัน ไม่ใช่เร่ืองสันติภาพ หรือสันติภาพน้ันจะต้องไม่ มกี ารล้มตายด้วยกันทั้งสองฝาุ ย ซ่งึ แนวคดิ สนั ติภาพของ ตชิ นทั ฮันห์ นั้นจะเห็นว่า ตรงข้ามกับความ เชือ่ ทีว่ า่ การใช้ความรนุ แรงคือวธิ กี ารสรา้ งสันติภาพหรือวิธกี ารชว่ ยแก้ปัญหา เม่ือดูในภาพรวมเก่ียวกับแนวคิดเรื่องสันติภาพของท่าน ติช นัท ฮันห์ จึงกล่าวได้ว่า สันติภาพไม่ใช่เร่ืองของการสร้างความสุขโดยการทาสงคราม หรือการใช้ความรุนแรงเข้ากระทาต่อ ฝุายหน่ึงฝุายใด ไม่ใช่การกล่าวโทษว่าฝุายใดถูกฝุายใดผิดเพื่อต้องการสร้างสันติภาพในฝุายของ ตนเอง แต่สาหรับท่านติช นัท ฮันห์ สันติภาพภาวะที่ปราศจากสงครามน้ันคือ การหยุดการทา สงคราม คือภาวะที่ตนเองมองเห็นปัญหาภายนอกและภายในตนเอง และนอกจากการมองเห็น รากเหง้าและปญั หาของสงครามทีเ่ กิดข้ึนแล้ว สงิ่ ทที่ ุกคนตอ้ งทาความเขา้ ใจร่วมกันเพ่ือไม่ให้เกิดความ ๒ ติช นัท ฮันห์, สันติภาพทุกย่างก้าว, แปลโดย ประชา หุตานุวัตร, สุภาพร พงศ์พฤกษ์, พิมพ์คร้ังท่ี ๖, (กรงุ เทพมหานคร: ศยาม, ๒๕๕๔), หน้า ๑๔๗.
๓๔ รุนแรงอันนาไปสู่การทาสงครามขึ้น คือ การไม่เข้าข้างฝุายใดฝุายหนึ่ง ไม่กล่าวว่าฝุายใดฝุายหนึ่งถูก หรือผิด ดังที่ท่าน กล่าวว่า “เราต้องมองลึกลงไปในสถานการณ์ แล้วเราจะมองเห็นรากเหง้าของ สงคราม เราไม่สามารถจะติเตียนกล่าวโทษฝุายใดฝุายหนึ่ง เราต้องอยู่เหนือแนวโน้มท่ีจะเข้าข้างฝุาย ใดฝาุ ยหนึง่ ” ติช นัท ฮันห์ พยายามที่จะสื่อสารให้คนในสังคมโลกได้รับรู้ว่า สันติภาพเกิดข้ึนไม่ได้หาก เรายังฝักใฝุฝุายใดฝุายหนึ่ง แต่สันติภาพจะเกิดข้ึนได้นั้น คือ การยอมเข้าใจและอยู่เหนือภาวะของ ความขัดแย้ง ซ่ึงก็หมายถึง ทางสายกลางตามคาสอนของพระพุทธศาสนา หรือการพัฒนาตนเองใน การระงับความขดั แย้งที่เกิดขึ้นภายในจติ ใจ โดยท่ไี มต่ อ้ งการกลา่ วโทษฝุายใดฝาุ ยหนงึ่ เม่ือมองจากคากล่าวของท่านติช นัท ฮันห์ ในประเด็น คือ สันติภาพท่ีปราศจากสงคราม นนั้ สง่ิ ที่ท่านพยายามส่ือสารให้รับรู้ร่วมกันอย่างมาก โดยเฉพาะเม่ือสงครามเกิดขึ้น หรือสงครามได้ ยุติลงแล้ว ไม่ว่าฝุายชนะหรือฝุายแพ้หรือฝุายท่ีได้รับผลกระทบ ควรท่ีจะหันมาพิจารณาตนเอง มากกว่าการท่ีจะไปกล่าวโทษว่าประเทศใด หรือฝุายใดผิดฝุายใดถูก เพราะนั่นถือว่า ไม่ใช่หนทางใน การสร้างสันติภาพ และไม่ได้ทาให้สถานการณ์ก้าวข้ามไปในทางท่ีดี ดังท่ีท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า “การกล่าวตาหนิไม่เคยเลยท่ีจะได้ผลดีหรือก่อให้เกิดการใช้เหตุผล มีแต่การโต้แย้ง นั่นคือ ประสบการณ์ของฉัน ไม่มีการกล่าวโทษ ไม่มีเหตุผล ไม่มีข้อโต้แย้ง มีแต่เพียงความเข้าใจ หากเธอ เขา้ ใจ เธอจกั แสดงความเขา้ ใจ เธอจกั สามารถมีความรกั และสถานการณก์ ย็ อ่ มเปลย่ี นไป”๓ น้ีก็แสดงให้เห็นว่า การใช้ความอ่อนโยน ความรัก ความเข้าใจ ความสงบเยือกเย็น ด้วย วธิ ีการแห่งสนั ติวธิ ีในการแกไ้ ขปัญหาของสงครามและความรุนแรง ซึ่งท่านได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มี ทางใดที่จะแก้ไขปัญหาให้สถานการณ์ดีข้ึนนอกจากความเข้าใจ ความรักที่ต้องย่ืนให้กัน น่ันก็หมายถึง การมองเพอื่ นมนุษย์ดว้ ยความเมตาตาซ่ึงกันและกัน ฉะน้ันจึงเรียกได้ว่า เป็นวิธีการแห่งสันติวิธี ที่ดีท่ีสุด สาหรบั การทาให้ภาวะของสงครามน้ันหรือความรุนน้ันได้คลี่คลายและลดการประหัตประหารกัน ดังน้นั หากมองตามการอธิบายขา้ งต้น สันติภาพ จะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเมื่อปลดปล่อยตนเองให้อยู่ เหนือวิสัยของความขัดแย้ง ปัญหาและหยุดการกระทาที่สร้างความหายนะแก่เพื่อนมนุษย์ด้วย สงคราม นั่นก็หมายความวา่ การลดการกระทาทเ่ี ป็นการเบียดเบียนผู้อ่ืน ซึ่งแนวคิดสันติภาพประการ แรกกอ็ าจกลา่ วได้วา่ สันติภาพนั้น ก็ต้องปลอดสงคราม ซ่ึงสอดคล้องกับคากล่าวของ ไดอากุ อิเคดะ ท่ีได้กล่าวว่า “ศตวรรษท่ี ๒๑ กาลังจะถึงอย่างรวดเร็ว องค์กรของเราต้องพยายามเพ่ือให้บรรลุ เปูาหมายแห่งอุดมการณ์ ที่จะจรรโลงโลกให้ปลอดจากสงคราม ถึงเวลาแล้วท่ีเราจะต้องก้าวรุดไป ข้างหนา้ อยา่ งองอาจกลา้ หาญสู่สนั ติภาพนิรันดรอันเป็นเปาู หมายท่ปี ระชาชนท่วั โลกยกย่องยอมรบั ”๔ ๓ ติช นัท ฮันห์, สันติภาพทุกย่างก้าว, แปลโดย ประชา หุตานุวัตร, สุภาพร พงศ์พฤกษ์, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรงุ เทพมหานคร: ศยาม, ๒๕๕๔), หน้า ๑๐๘. ๔ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร), พุทธสันติวิธี : การบูรณาการหลักการและเคร่ืองมือ จัดการความขัดแยง้ , (กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั ๒๑ เซน็ จรู ี่ จากดั , ๒๕๕๔), หน้า ๑๐๐.
๓๕ ดังน้ันแนวคิดเรื่องสันติภาพประการแรกก็คือ สภาวะท่ีปราศจากสงคราม ท่านติช นัท ฮนั ห์ พยายามเสนอวา่ เม่อื ทาความเขา้ ใจในปญั หาอยา่ งดแี ล้ว เราต้องพยายามไม่เอนเอียงหรือเข้าหา ฝาุ ยใดฝุายหนงึ่ กลา่ วคือ การเดนิ ทางสายกลางตามแนวทางของพระพุทธศาสนาจะเป็นเครื่องก้ันเพื่อ ไม่ใหเ้ กิดสงครามขนึ้ มาได้ เพราะทา่ นติช นทั ฮนั ห์ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “เราต้องอยู่เหนือแนวโน้ม ท่ีจะเข้าข้างฝุายใดฝุายหนึ่ง” น่ันก็หมายถึง การเลือกเดินทางสายกลางที่ไม่ฝักใฝุฝุายใด การเลือกท่ี จะไม่เข้าข้างฝุายใดน้ัน ยังชี้ให้เห็นถึงการลดระดับอานาจของแต่ละฝุายลง เพื่อหาวิธีการที่ดีกว่าใน การแก้ไขปัญหาสงคราม และเมื่อเลือกท่ีจะเดินทางสายกลาง ทิศทางของสันติภาพก็ยังมีโอกาสที่ มนษุ ยบ์ นโลกจะเขา้ ถึงได้ ๓.๒.๑.๒ สนั ตภิ าพตอ้ งไม่ใชค้ วามรุนแรง การไม่ใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหาถือว่าเป็นแนวคิดท่ีสาคัญต่อการนามาใช้ใน สถานการณ์ของความขัดแยง้ ซ่ึงท่านตชิ นทั ฮนั ห์ ก็มองเห็นว่าสนั ติภาพจะเกิดข้ึนได้น้ัน ความรุนแรง ตอ้ งไมเ่ กดิ ขึ้น แต่ทง้ั น้ีกต็ ้องอาศยั ความพยายามของตัวบุคคลท่ีต้องมีความเข้าใจปัญหาของสงคราม และผลกระทบที่เกิดจากสงคราม เพราะผลกระทบจากสงครามน้ัน ส่ิงแรกท่ีเห็นได้ชัดเจน มนุษย์บน โลกต่างได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ท่านติช นัท ฮันห์ จึงมองว่า การที่จะสร้างสันติภาพให้ เกดิ ขึน้ เราจะตอ้ งไมน่ าความรนุ แรงมาใชใ้ นการตัดสินปญั หา ดังที่ทา่ นกลา่ วว่า ระหว่างความขัดแย้งเราต้องการบุคคลที่เราสามารถเข้าใจความทุกขเวทนาของท้ังสอง ฝุาย ตัวอย่างเช่น หากประชากรจานวนหน่ึงในแอฟริกาใต้สามารถไปยังอีกฝุายหนึ่งและเข้าใจความ ทุกขเวทนาของเขาและบอกเล่าส่ิงน้ันต่ออีกฝุายหน่ึง มันจะช่วยได้มากเราต้องการเช่ือมโยง เรา ต้องการการส่ือสารการฝึกปฏิบัติการสันติวิธี ประการแรกสุด คือความไม่รุนแรงเมื่อสถานการณ์ ยุ่งยากมาถึง เราก็จะมีการตอบสนองในทางท่ีจะช่วยคล่ีคลายสถานการณ์เหล่านี้ ซ่ึงสามารถ ประยุกต์ใชก้ บั ปัญหาครอบครวั เชน่ เดียวกันกับปัญหาสงั คม๕ ข้อความข้างต้นได้แสดงเจตนาและความรู้สึกจากภายในจิตใจของท่านติช นัท ฮันห์ โดย พยายามที่จะสื่อสารให้สังคมได้รับรู้ว่า ความทุกขเวทนาอันเกิดจากความรุนแรง เป็นความแสนสาหัสท่ี โลกต้องรับรู้ และหาทางที่จะลดความทุกขเวทนานั้นลง ด้วยการเสนอให้มีบุคคลที่สามารถเข้ามา ดาเนินการภายใต้กระบวนการสันติวิธี คือ การตีแผ่ผลกระทบจากภัยของสงครามให้ผู้คนในโลกได้รับรู้ เพื่อท่ีจะหาทางช่วยแก้ไขปัญหา ซ่ึงท่านติช นัท ฮันห์ เชื่อว่า เป็นวิธีเดียวท่ีจะคล่ีคลายปัญหานั้นลงได้ ตัวอย่างของการไม่ใช้ความรุนแรงน้ัน ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พยายามแสดงให้เห็นว่า ส่ิงท่ี จะต้องนามาใช้ในการแก้ไข้ คือ ความรักและความเข้าใจ กล่าวคือ เมื่อเกิดความรุนแรงข้ึน ฝุายท่ีถูก กระทานั้นควรท่ีจะเข้าใจปัญหาของความรุนแรงนั้นด้วยตัวเราเอง และพยายามทาความเข้าใจว่า ปัญหาเหล่าน้นั เกดิ มาจากสาเหตุใด ดังท่ที า่ นไดย้ กตวั อยา่ งให้เหน็ ดังน้ีว่า ๕ ตชิ นทั ฮนั ห์, สนั ตภิ าพทุกยา่ งกา้ ว, หนา้ ๑๔๘.
๓๖ สมมุตว่าลูกชายของเธอต่ืนขึ้นมาและเห็นว่าค่อนข้างจะสายแล้ว จึงได้ตัดสินใจปลุก น้องสาวเพ่ือว่าน้องจะได้มีเวลากินอาหารเช้ามากพอก่อนที่จะโรงเรียน แต่ปรากฏกว่าน้องสาวบ่น งึมงาแทนท่ีจะกล่าวว่า “ขอบคุณนะที่มาปลุกหนู” เธอกลับแหกปาก “หุบปากซะ ปล่อยฉันไว้คน เดยี วเถอะ” และกเ็ ตะถบี พชี่ าย พชี่ ายอาจโมโห คิดในใจว่า “ฉนั อุตสา่ หป์ ลุกหลอ่ นดๆี กลับมาเตะเสีย อีก” เขาอาจจะวิ่งไปท่ีครัวเพื่อบอกกับเธอซึ่งเป็นแม่ถึงเร่ืองที่เกิดขึ้น หรือไม้ก็อาจจะเตะน้องสาว กลับไป แต่แล้วเขาก็กลับคิดว่าระหว่างกลางคืนได้ยินเสียงน้องไอแค๊ก แค๊ก เขาตระหนักว่าน้องสาว ตอ้ งไมส่ บายเปน็ แน่การทีเ่ จา้ หลอ่ นประพฤตนิ ่าชงั กเ็ พราะหลอ่ นเป็นหวดั นั่นเอง๖ ติช นัท ฮันห์ ได้ยกเรื่องพี่ชายและน้องสาวขึ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงการลดระดับของ ความโกรธและความรุนแรงลง ซ่ึงในเรื่องน้ัน น้องสาวนั้นได้มีอารมณ์ของความไม่พอใจอย่างรุนแรง จนได้พูดถ้อยคาที่หยาบคายออก แต่พ่ีชายก็กลับสามารถรู้ได้ว่า สาเหตุของความไม่พอใจหรือการ แสดงออกของนอ้ งสาวทีก่ ระทาต่อพีช่ ายนน้ั เกิดมาจากสาเหตใุ ด ตัวอย่างท่ียกขน้ึ มานี้ได้เผยให้เห็นถึง ลักษณะของความรุนแรงได้เกิดข้ึนแล้ว แต่ถูกตอบสนองด้วยการสาวหาสาเหตุ และการระงับความ รุนแรงน้นั ดว้ ยความเขา้ ใจของพ่ชี าย ฉะน้ันเมื่อพิจารณาจากการยกเร่ืองพี่ชายและน้องสาวขึ้นมาสอนผู้คนของท่านติช นัท ฮนั ห์ กจ็ ะเห็นว่า การใช้ความรุนแรงโต้ตอบน้ันไม่ได้เกิดผลดีอย่างไร โดยเฉพาะความรุนแรงน้ันอาจ ได้กลายเป็นเรื่องเลวร้ายยากแก่การแก้ไข การใช้ความสงบ ความรัก และความเข้าใจในการแก้ไข ปัญหาน้ันเป็นเรื่องท่ีสมควรมากกว่า เพราะแน่นอนว่า การใช้ความรุนแรงโต้ตอบย่อมได้รับความ รุนแรงนั้นกลับมา แต่ในทางตรงกันข้ามหากใช้ความสันติเข้าโต้ตอบความรุนแรง เราก็จะเห็นผล ในทางทดี่ ขี น้ึ ดังท่ที า่ นติช นทั ฮันห์ กล่าวในตอนหนึ่งวา่ เราเปน็ ส่ิงท่เี รารูสึกและรับรู้ ถ้าเราโกรธ เราคือความโกรธน้ัน ถ้าเรารัก เราคือความ รกั น้ัน ถา้ เราดูยอดเขาท่ีปกคลุมด้วยหิมะ เราก็เป็นยอดเขานั้น เราจะเป็นอะไรก็ได้ตามที่ เราตอ้ งการฉะน้ัน ทาไมเราจึงยอมดรู ายการโทรทศั น์ช้นั เลว ทส่ี ร้างโดยนักสร้างที่ต้องการ กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เพ่ือหาเงินอย่างมักง่าย รายการท่ีทาให้หัวใจเราเต้น แรง กามอื เกรง็ พอดูเสรจ็ แลว้ เราก็หมดแรง๗ จากคากล่าวข้างต้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิธีการจัดการกับอารมณ์ของมนุษย์ท้ังสอง ด้าน คือความโกรธ และความรัก ซ่ึงการใช้ความโกรธเข้าระงับความโกรธน้ันอาจได้รับผลกระทบที่ รุนแรง เปรียบเสมือนการใช้กาลังเข้าปะทะกันระหว่างทหารที่ถูกสั่งการจากอานาจของรัฐให้เข้าทา การปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมต่อต้าน ขณะที่ในด้านของความรัก ก็เปรียบเสมือนวิธีการใช้ความ ประนีประนอมเข้าแก้ปัญหาของความรุนแรง ซ่ึงผลที่ออกมาน้ันก็จะอาจจะแตกต่างกับการใช้ความ ๖ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๑๐๙. ๗ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๓๘.
๓๗ โกรธหรือความรุนแรงเข้าแกป้ ญั หา บทความวิชาการในวาสารของ ขจรจิต บุนนาค ทาการศึกษาเร่ือง ความขัดแย้ง ความ รุนแรง ได้ข้อสรุปท่ีเป็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ คือเราสามารถลด ระดับของความรุนแรงน้ันลงได้ ดังที่กล่าวว่า สาหรับความเชื่อมโยงระหว่างความขัดแย้งกับความ รนุ แรงน้ันอยู่ทค่ี วามขัดแยง้ เปน็ ต้นกาเนิดของความรุนแรง เพราะความขัดแย้งที่เกินระดับพอดี ทาให้ ในบางครั้งมนุษย์เลือกใช้ความรุนแรงมายุติความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ความขัดแย้งสามารถคล่ีคลายลงได้ ด้วยวิธีการอืน่ ทไี่ ม่ใช้ความรุนแรง ดังนนั้ ความรุนแรงจึงไม่ใช่สิ่งท่ีเกิดตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งปกติ และ สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะหากไม่หลีกเล่ียงความรุนแรงจะนามาซ่ึงความหายนะท่ีใหญ่หลวงจาก ความเขา้ ใจเร่ืองข้อแตกตา่ งระหวา่ งความขัดแย้งกบั ความรุนแรงดังกล่าวข้างต้นนั้น สามารถสร้างเป็น ข้อแนะนา เพื่อให้ผู้ส่ือข่าวนาไปประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกข้อมูลเหตุการณ์ เพ่ือท่ีจะหลีกเล่ียงจาก ความรนุ แรงได๘้ ส่วนชัยวัฒน์ สถาอานันท์ กล่าวว่า “แนวคิดสันติภาพเองมีคุณค่าแฝงอยู่ คุณค่านั้นคือ ความเคารพในชีวิตของผู้อื่นและไม่ประสงค์จะยอมรับความรุนแรงในฐานะทางออก หากแต่มองว่า ความรนุ แรงเปน็ ตวั จากดั ทางเลอื กของมนษุ ยย์ ิ่งกวา่ ทางอ่ืน ทางเลือกที่จะเช่ือมความพยายามท่ีจะลด ปญั หาความรนุ แรงเชงิ โครงสร้างโดยไมใ่ ช้ความรนุ แรงทางตรงนั้น ดจู ะอยู่ทไ่ี มใ่ ชค้ วามรุนแรง”๙ ขณะที่พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต) กล่าวไว้ในหนังสือวิถีสู่สันติภาพว่า “คนที่จะ สร้างสันติภาพ เพ่ือทาไม่ให้มีความความรุนแรงอย่างท่ีเรียกกันในปัจจุบันว่า อหิงสา ฝร่ังว่า Nonviolence นั้น ต้องเป็นคนท่ีมีสติปัญญาความสามารถอย่างยอดเย่ียม ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะไปทาได้ ไมใ่ ช่ฟังแค่วา่ เวรไม่ระงับด้วยการจองเวร แล้วพูดได้แค่ว่าเราอย่าไปจองเวรนะ ก็จบเท่านั้นเอง เราก็ เลยสูญสิ้นเราต้องคิดกันให้จริงจังในแง่นี้ และท่านก็อุตส่าห์สอนไว้มากมาย การพัฒนาความสามารถ กับการมีเจตจานงที่เป็นธรรม มุ่งดีปรารถนาสันติสุขน้ัน ต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่เอาแค่มุ่งดีเพียงอย่าง เดียว”๑๐ จากตัวอยา่ งข้อความข้างตน้ ท้ังหมด จะเห็นว่า แนวคิดของการไม่ใช้ความรุนแรงนั้น ไม่ใช่ เร่ืองท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ กล่าวคือ ความรุนแรงน้ันเกิดขึ้นได้โดยความคิด และการกระทาของ มนุษย์น่ันเอง ซ่ึงก็มีวิธีการท่ีจะลดหรือหลีกเล่ียงความรุนแรงนั้นลงได้ เพราะต่างก็เช่ือและเห็นไปใน ทิศทางเดียวกันว่า ความรุนแรงนั้น จะนามาซึ่งความหายนะที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งแน่นอน ๘ ขจรจิต บุนนาค, “ความขัดแย้ง VS ความรุนแรง”, วารสารนักบริหาร, ปีท่ี ๓๑ ฉบับท่ี ๓ (ก.ค.- ก.ย. ๒๕๕๔): ๑๓๖- ๑๔๔. ๙ ชัยวัฒน์ สถาอนันท์, สันติทฤษฎีวิถีวัฒนธรรม, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๓๙), หนา้ ๑๐. ๑๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), วิถีสู่สันติภาพ, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๕๔), หนา้ ๕๑ – ๕๒.
๓๘ ผลกระทบของความรุนแรงน้ัน คือความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความทุกข์ทรมาน ความระทมทุกข์ เวทนาของผคู้ น ดังน้นั แนวคิดเรือ่ งสันติภาพในประเด็นของการไม่ใช่ความรุนแรงของติช นัท ฮันห์ กล่าว ได้ว่า การใช้ความโกรธหรือความรุนแรงในการโต้ตอบต่อฝุายตรงข้ามนั้น เป็นเร่ืองที่ไม่น่าสมควร นามาใช้ในการแก้ไขปัญหาของความขัดแย้งหรือความรุนแรง เพราะไม่ใช่วิถีทางของการสร้าง สันติภาพให้เกิดข้ึนกับมนุษย์และสังคมโลก ในทางตรงกันข้าม การใช้ความรักและความเข้าใจต่อ สถานการณห์ รือสาเหตทุ ่เี กิดข้นึ ด้วยการพิจารณาอย่างมีสติ คือสิ่งท่ีต้องมาใช้ในการสร้างสันติภาพใน การอยู่ร่วมกัน เพราะเป็นวถิ ีทางท่ีจะลดระดบั ของความรนุ แรง หรือเหตุการณท์ จี่ ะนามาสู่การใช้กาลัง น้นั ลงได้ หรอื เป็นการปิดช่องว่างของความสูญเสยี และความหายนะต่อชีวิตเพ่อื นร่วมโลกน้ันลงได้ ดัง ภาพประกอบข้างลา่ ง ความโกรธ ความรนุ แรง เพ่ิมความหายนะ ความรกั ความประนีประนอม ลดความหายนะ ภาพที่ ๓.๑ แนวคิดการลดความรนุ แรง ดังน้ันแนวคิดเร่ืองสันติภาพในแง่ของการไม่ใช้ความรุนแรงน้ัน ท่านติช นัท ฮันห์ ก็ยัง สะท้อนให้เห็นทั้งสองด้านระหว่างการใช้ความโกรธ และความรักเข้าระงับปัญหา ซึ่งผลก็ออกมา ต่างกัน โดยเฉพาะการใช้ความรักหรือทางแห่งสันติก็คือ หนทางที่ทุกคนควรนามาประยุกต์ในในการ แก้ไขความขดั แย้งและความรนุ แรง ๓.๒.๑.๓ สันติภาพคอื กระบวนการแหง่ สนั ตวิ ธิ ี กระบวนการแห่งสันติภาพตามแนวคิดของท่านติช นัท ฮันห์ ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า สันติภาพนั้นจะต้องดาเนินไปสู่กระบวนการแห่งสันติวิธี ซึ่งกระบวนที่จะเกิดขึ้นและดาเนินไปสู่ แนวทางแห่งสันติภาพได้น้ัน ส่ิงที่ต้องตระหนักและนามาใช้การสานสันติภาพ คือ การเจรจาพูดคุยท่ี เต็มไปด้วยถ้อยคาแห่งรัก ถ้อยคาแห่งความสงบ และท่านยังมองว่า เป็นสิ่งสาคัญอย่างมากต่อการ สร้างสนั ตภิ าพ และเป็นวิธีการเดียวทจ่ี ะชว่ ยลดแรงกระเพื่อมของความเกลียดชัง ความโกรธ และการ แกแ้ ค้นลงได้ ดังทที่ า่ นกลา่ วไว้ในเรอ่ื ง “จดหมายรักถึงสมาชิกสภา” ว่า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125