Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.1

คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.1

Published by pop.pek, 2021-10-07 07:49:16

Description: คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.1

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครเู ปด ประเดน็ เก่ียวกบั ปจ จัยที่มีอิทธพิ ล ๓) ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ สุโขทัยเต็มไปด้วยทรัพยำกร ตอพฒั นาการสมัยสโุ ขทยั จากนน้ั ครูสุมให นกั เรยี นอธิบายปจ จัยสาํ คญั ทมี่ ีอทิ ธพิ ลตอ ธรรมชำต ิ เช่น ป่ำไม้ สตั วป์ ่ำ ของปำ่ รวมไปถึงแรธ่ ำตตุ ำ่ งๆ ท่เี ปน็ ประโยชน์ตอ่ กำรดำ� เนนิ ชวี ิต พัฒนาการในสมยั สโุ ขทยั ทหี่ นาชั้นเรียน ของผู้คนในชมุ ชน 2. ครทู ดสอบความรดู วยการต้งั คําถามใหน ักเรยี น ๔) การคมนาคม สุโขทัยสำมำรถติดต่อทำงน้�ำกับแคว้นต่ำงๆ ท่ีอยู่ทำงตอนเหนือ ตอบ เชน • ปจจยั ใดบางท่มี อี ิทธพิ ลตอ พฒั นาการของ และแควน้ ทำงตอนใตไ้ ด้สะดวก ทำ� ใหเ้ ป็นเส้นทำงกำรค้ำท่ีสำ� คญั สว่ นทำงบกมีเส้นทำงที่สำมำรถ อาณาจกั รสโุ ขทัย ติดต่อกับแควน้ ตำ่ งๆ ไดท้ ง้ั ทำงเหนอื ทำงใต้ และตะวันตก (แนวตอบ ปจจยั ดานภูมิศาสตรและส่ิงแวดลอม สภำพภูมิศำสตร์และสิ่งแวดล้อมดังท่ีกล่ำวมำแล้ว สะท้อนให้เห็นว่ำท�ำเลที่ตั้งของ เชน สภาพภูมิประเทศที่ตงั้ อยบู นท่ีราบลุมและ ทสุโำ� ขกทำรัยเเพปำ็นะชปุมลชกู นเลทยี้ ำงงตกวัำเรอคง้ำไกดับ ้ โเดมยือใงชใร้ กะลบ้เบคชียลง ปแระลทะำชนำวเขตำ้ ่ำมงำชชำว่ตยิ ตเช่ำน่งภ ทำำ�ษนำบ พสุโรขะทรว่ ัยงส 1สำมระำนรำ้�ถหทร่ีจอื ะ มีแมน ํ้าปง วัง ยม และนา นไหลผาน จงึ เหมาะ ตระพัง เปน็ ตน้ แกก ารดํารงชพี ดา นเกษตรกรรม และยงั เปน เสน ทางคมนาคมทางนา้ํ ท่สี ะดวกในการ ๒.๒ ปัจจัยดำ้ นอำรยธรรม ตดิ ตอ คา ขายกบั เมืองตา งๆ สภาพภูมอิ ากาศ ที่ไมร อนมากเกนิ ไป และมีฝนตกชกุ ในฤดู อำรยธรรมต่ำงๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อพัฒนำกำรของชุมชนสุโขทัยเกิดข้ึนจำกกำรรับวัฒนธรรม มรสุม การมีทรัพยากรธรรมชาตอิ ดุ มสมบรู ณ ภำยนอกท่ีมีกำรเผยแพร่เข้ำมำในบริเวณอำณำจักรสุโขทัยผสมผสำนกับวัฒนธรรมเดิมของไทย เชน ปาไม สัตวป า เปน ตน นอกจากนยี้ งั มี ทส่ี ำ� คญั กม็ ที งั้ ทำงดำ้ นศำสนำ ภำษำ กำรปกครอง กฎหมำย และศลิ ปกรรม โดยมพี ระพทุ ธศำสนำ ปจจัยดานอารยธรรม ซ่งึ สโุ ขทัยไดรบั อิทธพิ ล เปน็ หลกั ยดึ เหนย่ี วจติ ใจ และสรำ้ งสรรคศ์ ลิ ปวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญำไทยสบื ตอ่ กนั มำในสมยั หลงั จากวัฒนธรรมภายนอกและนาํ มาผสมผสาน กับวฒั นธรรมดั้งเดิมของตน) ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย แสดงให้เห็นว่าในสมัยสุโขทัยมีการจัดระบบชลประทานเพ่ือ กักเก็บนา�้ ไวใ้ ชใ้ นเมอื ง โดยการทา� คนู า้� สระนา้� หรอื ตระพงั 9๒ เกรด็ แนะครู บูรณาการเชอื่ มสาระ ครใู หนักเรียนดภู าพ หนา 92 และแนะนาํ การอานและแปลความภาพถาย ครูอาจนําภาพถา ยทางอากาศแสดงทต่ี ง้ั จงั หวดั สุโขทัยหรือระบบสารสนเทศ ทางอากาศ โดยบูรณาการเช่ือมโยงกบั สาระภมู ศิ าสตร หวั ขอ เคร่ืองมือทาง ทางภมู ศิ าสตร (GIS) มาใชประกอบการเรียนการสอน เพ่ือทน่ี ักเรยี นจะไดเหน็ ภมู ศิ าสตร เพ่อื ใหนกั เรียนสามารถวเิ คราะหล กั ษณะทําเลท่ตี ั้งของอาณาจกั ร ทาํ เลทต่ี ง้ั เมืองสุโขทยั ในมมุ ตา งๆ สุโขทัยได และนาํ ความรูไปใชใ นการอา นและแปลความภาพถา ยทางอากาศ อ่นื ๆ ตอไป นกั เรียนควรรู 1 ทาํ นบพระรวง หรอื สรดี ภงส เปน เขื่อนดิน (คันดิน) ที่สรา งข้นึ เพือ่ เก็บกักนํ้า และชักนํ้าไปตามคลองสงน้าํ มาเขากําแพงเมือง เขาสระนํ้าหรือตระพงั เพอื่ นําน้ํา ไปใชในเมอื งและพระราชวังในสมัยโบราณ ซงึ่ ในปจ จุบนั กรมชลประทานไดบรู ณะ และซอ มแซมขน้ึ มาใหม 92 คูม ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ó. พฒั นาการทางดา้ นการàมÍ× งการปกครÍงสมยั สโุ ขทยั 1. ครูแบง นกั เรยี นออกเปน 5 กลุม เพอื่ ศกึ ษา พฒั นาการทางดา นตา งๆ สมยั สโุ ขทยั กำรท่ีอำณำจักรสุโขทัยมีควำมเจริญรุ่งเรืองและสำมำรถด�ำรงอยู่ได้ยำวนำนถึง ๒๐๐ ปี โดยแตละกลุมศกึ ษา ดงั น้ี เศษนนั้ สำเหตสุ ำ� คัญประกำรหนึง่ สืบเนอื่ งมำจำกกำรมีระบบกำรเมอื งกำรปกครองท่ีเหมำะสมกับ กลุมท่ี 1 พฒั นาการทางดานการเมือง สถำนกำรณ์ในขณะน้ัน โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงกำรมีสถำบันพระมหำกษัตริย์เป็นหลักส�ำคัญในกำร การปกครอง ปกครองรำชอำณำจักร กลมุ ท่ี 2 พฒั นาการทางดานเศรษฐกิจ พฒั นำกำรทำงดำ้ นกำรเมอื งกำรปกครองของอำณำจกั รสโุ ขทยั มคี วำมเปน็ มำโดยลำ� ดบั ดงั น้ี กลุมที่ 3 พัฒนาการทางดา นสงั คม กลุมที่ 4 พัฒนาการทางดานศิลปวัฒนธรรม ๓.๑ ลกั ษณะควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งพระมหำกษัตรยิ ก์ ับรำษฎร กลมุ ที่ 5 พฒั นาการทางดานความสัมพันธ ระหวางประเทศ กำรปกครองของอำณำจักรสุโขทัยในยุคเร่ิมแรกเป็นกำรปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” ครูใหนักเรียนแตละกลมุ สรปุ สาระสําคญั จาก เช่น จำกกำรที่พ่อขุนรำมค�ำแหงมหำรำชโปรดให้แขวนกระด่ิงไว้ท่ีประตูวังเพ่ือให้รำษฎรท่ีมีเรื่อง การศึกษาคนควา จัดทาํ เปนรายงานสง ครูผสู อน เดอื ดร้อนไปส่นั กระดงิ่ ร้องทุกข์ได ้ แล้วพระองค์จะมำตดั สินคดดี ้วยพระองคเ์ อง เปน็ ต้น กำรที่พระมหำกษัตริย์สุโขทัยพระองค์นี้ทรงมีควำมห่วงใยต่อรำษฎรท่ีมีควำมทุกข์ยำก 2. ครใู หก ลมุ ท่ี 1 นําเสนอสาระสาํ คญั เก่ียวกับ และทรงเปิดโอกำสให้รำษฎรได้ร้องทุกข์ได้ด้วยตนเองอย่ำงใกล้ชิด โดยพระองค์จะทรงแก้ไข พัฒนาการทางดานการเมอื งการปกครองสมัย ควำมทุกข์ยำกของรำษฎรด้วยพระองค์เองเช่นน้ี นับเป็นธรรมเนียมทำงกำรเมืองกำรปกครองท่ี สุโขทยั หนาชน้ั เรยี น จากนน้ั ครตู ัง้ คาํ ถามเพ่ือ ส�ำคัญย่ิงของไทยในสมัยต่อๆ มำ ที่พระมหำกษัตริย์ทรงห่วงใยอำณำประชำรำษฎร์เสมือนหนึ่ง ใหนักเรียนวิเคราะห เชน บิดำห่วงใยต่อบุตร นับเป็นควำมสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่ำงพระมหำกษัตริย์กับรำษฎรของ • รปู แบบการปกครองของสโุ ขทยั ในระยะแรก พระองค์ เปนแบบใด และรูปแบบดงั กลา วมี ต่อมำในสมัยของพระมหำธรรมรำชำท่ี ๑ (ลิไทย) ได้มีกำรแสดงให้เห็นถึงฐำนะของ ความเหมาะสมตอ การปกครองบานเมือง พระมหำกษัตรยิ ท์ ี่ทรงเปน็ “ธรรมราชา” โดย ในสมัยนนั้ หรือไม อยางไร ย้�ำให้เห็นถึงพระมหำกษัตริย์ทรงปฏิบัติตำม (แนวตอบ ในระยะแรกสุโขทัยใชรปู แบบ หลักทำงพุทธศำสนำที่เรียกว่ำ “ทศพิธราช- การปกครองแบบพอปกครองลกู ซึ่งรปู แบบ ธรรม” หรือธรรม ๑๐ ประกำรเพ่ืออำณำ ดังกลาวมีความเหมาะสม เพราะสโุ ขทยั ประชำรำษฎร์จะได้มีควำมร่มเย็นเป็นสุข ดัง ในระยะแรกยังเปนอาณาจกั รขนาดเล็ก ปรำกฏอยู่ในหนังสือเร่ือง “ไตรภูมิพระร่วง” 1 ทผี่ คู นยังมจี ํานวนไมมากนกั การใชร ูปแบบ การปกครองแบบนี้จะทาํ ใหด ูแลราษฎรได อันเป็นพระรำชนิพนธ์ของพระมหำธรรม- อยา งทั่วถึง) รำชำท่ี ๑ (ลิไทย) ที่สะท้อนให้เห็นถึงกำร ปกครองแบบ “ธรรมราชา” นอกเหนอื ไปจำก กำรปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” ดังที่ได้ กลำ่ วมำแล้ว ภาพวาดจินตนาการพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช เสด็จออก รบั ฟังเรอ่ื งราวร้องทุกขจ์ ากราษฎร 9๓ บรู ณาการเช่อื มสาระ นกั เรยี นควรรู ครูเลา เรอ่ื งไตรภมู ิพระรวงใหน ักเรยี นฟงพอสังเขป พรอ มยกตัวอยาง 1 ไตรภมู พิ ระรว ง หรอื เตภมู กิ ถา เปนวรรณคดที างพระพทุ ธศาสนา แตงขนึ้ หลกั ธรรมทศพธิ ราชธรรม ซ่ึงเปนธรรม 10 ประการ ทีพ่ ระมหากษตั ริยทรง โดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลไิ ทย) เพ่อื เทศนาโปรดพระราชมารดาและส่ังสอน ปฏบิ ัติในการปกครองราษฎร โดยบรู ณาการเชอ่ื มโยงกับวชิ าพระพุทธศาสนา ประชาชนใหเ กรงกลัวตอบาป ประกอบแตค วามดี ทงั้ นีเ้ ปน ผลสืบเนื่องจาก เกี่ยวกับหลกั ธรรมของพระมหากษัตริยแ ละนกั ปกครอง จากน้ันใหน กั เรยี น การกอ ต้งั อาณาจักรขนึ้ ใหมซึ่งตองการใหป ระชาชนอยใู นศลี ธรรม มรี ะเบียบวนิ ัย รวมกนั แสดงความคดิ วา บา นเมอื งในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) รบู าปบุญคณุ โทษ และยดึ มน่ั ในพระพทุ ธศาสนา จงึ จะสามารถตอสกู บั ศตั รูได มสี ภาพความเปนอยูอยางไร ไตรภมู ิแบง ออกเปน กามภูมิ รปู ภมู ิ และอรปู ภูมิ มุม IT ศกึ ษาคนควา ขอมูลเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกับไตรภมู พิ ระรวง ไดที่ http://www. sukhothai.go.th/history/hist_09.htm เวบ็ ไซตจ งั หวดั สโุ ขทยั คูม ือครู 93

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูสมุ นักเรียนใหสรปุ ความสมั พันธร ะหวา ง เทวรปู พระอิศวร พระมหากษตั รยิ กับราษฎรในสมัยสุโขทัย และ เปรียบเทียบกับพระราชกรณียกิจของพระบาท- 1 เทวรปู พระนารายณส ีก่ ร สมเด็จพระเจา อยูห ัวในสมัยปจจุบัน (ภาพใหญ) หอเทวาลัยเกษตรพิมาน ปรากฏขอความในศิลาจารึกวา สรางข้ึนเพื่อประดิษฐานเทวรูปในศาสนา (แนวตอบ อาณาจกั รสโุ ขทัยในระยะแรกปกครอง พราหมณ- ฮินดู (ภาพเล็ก) เทวรปู พระอศิ วร และเทวรปู พระนารายณสกี่ ร ศลิ ปะสุโขทัย แบบพอปกครองลกู พระมหากษัตริยมคี วามใกลชิด กบั ราษฎร เชน พอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชโปรดให นอกจากนี้ในสมัยพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) ในราชสํานักสุโขทัยไดเริ่มมีการใช แขวนกระดงิ่ ไวท ีป่ ระตูวังเพอ่ื ใหร าษฎรมาส่ันกระด่งิ ราชาศัพทกับพระมหากษัตริย ดังมีหลักฐานปรากฏอยูในศิลาจารึก แสดงใหเห็นถึงคติในการ รองทุกข แลวพระองคจ ะมาตัดสนิ คดคี วามดวย ปกครองที่พระมหากษัตริยทรงเปนสมมติเทพตามที่เชื่อกันวา พระองคประดุจดังอวตารของ พระองคเ อง ตอ มาพระมหากษัตรยิ ท รงปฏบิ ตั ิตาม พระผเู ปน เจา ตามศาสนาพราหมณ - ฮนิ ดู แตร ปู แบบการปกครองดงั กลา วนอ้ี าจยงั ไมช ดั เจนเหมอื น หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา รวมทง้ั ในชว ง กบั คติแบบสมมตเิ ทพในสมยั อยธุ ยา ปลายสมยั กม็ คี ตคิ วามเชอื่ ในศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู ท่วี า พระมหากษตั รยิ ท รงเปน สมมติเทพดวย ดังน้ัน ในสมัยสุโขทัย ความสัมพันธระหวางพระมหากษัตริยกับราษฎรท่ีเดนชัดจะมี ในขณะทีป่ จ จุบนั ประเทศไทยปกครองในระบอบ ทั้งลักษณะบิดาปกครองบุตรและความเปน “ธรรมราชา” แตก็มีความเช่ือวาพระมหากษัตริย ประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ ทรงเปนประมขุ ทรงเปนสมมติเทพอยูดวยเหมือนกัน โดยพระมหากษัตริยยังคงมีพระราชอํานาจสิทธิ์ขาดในการ ภายใตร ฐั ธรรมนญู ซง่ึ การปฏิบตั ิพระราชกรณยี กจิ ปกครองแผน ดิน ของพระบาทสมเด็จพระเจา อยหู วั ก็ไมแ ตกตาง เรอ่ื งนารู ไปจากพระมหากษัตรยิ ในสมยั สุโขทยั ทัง้ น้มี ี จุดมงุ หมายเพ่ือใหร าษฎรมชี วี ติ ความเปน อยูท ด่ี ี 1 และมคี วามสุข) ในสมัยสุโขทัยมีการสรางเทวรูปตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ - ฮินดู เชน พระนารายณ พระพรหม พระอศิ วร เปน ตน เทวรูปที่พบหลอดวยสํารดิ มีทัง้ ขนาดกลาง และขนาดเทาคนจรงิ หรือใหญก วา สนั นิษฐานวา สรา งขนึ้ เพ่อื ประกอบในพธิ ีกรรมของราชสาํ นักเก่ียวกบั พธิ ีบวงสรวง ซ่ึงเปนความเชอ่ื นอกเหนอื จากพระพุทธศาสนา ท่ปี ระดิษฐานอยา งมัน่ คงในสุโขทยั ศาสตราจารย หมอมเจา สุภทั รดิศ ดศิ กุล ทรงวิจัยเคร่อื งทรงของเทวรปู และ กาํ หนดอายโุ ดยตรวจสอบกบั หลักฐานจากศลิ าจารึก พบวา เทวรูปกลมุ หน่ึง (ภาพประกอบดา นบน) กาํ หนดอายุไว ราวรัชกาลของพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) เทวรูปกลุมน้ีมีพระพักตรรูปไข เคร่ืองแตงพระพักตรก็ไมตางจาก พระพุทธรูปสว นใหญของสุโขทัย นอกจากพระเนตรของเทวรูปทไ่ี มไ ดหรีล่ งตํ่า ๙๔ นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดตอไปน้ีเปน สาเหตุสาํ คัญทที่ ําใหค วามสมั พันธร ะหวางพระมหากษัตริย 1 หอเทวาลยั เกษตรพมิ าน หรอื เทวาลยั มหาเกษตร ตง้ั อยนู อกกาํ แพงเมอื งสโุ ขทยั กับประชาชนในสมยั สุโขทยั ตอนปลายหางเหินกนั ทางดา นทศิ ตะวนั ตก ชอื่ เทวาลยั มหาเกษตรปรากฏอยใู นศลิ าจารกึ วดั ปา มะมว ง 1. การรับแนวคิดเทวราชามาใช โดยกลา วถงึ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลไิ ทย) ทรงประดษิ ฐานรปู พระอศิ วรและ 2. ประชาชนมุงอยกู ับการทํามาหากิน พระนารายณไ วท เี่ ทวาลยั มหาเกษตรในปา มะมว งนี้ เพอ่ื เปน ทสี่ กั การบชู าของ 3. พระมหากษตั รยิ ไมใ สพระทัยดแู ลราษฎร พวกดาบสและพราหมณท ง้ั หลายเมอื่ พ.ศ. 1892 ตวั โบราณสถานมแี ผนผงั เปน 4. พระมหากษตั ริยท รงมพี ระราชกรณยี กจิ มากกวาเดมิ รูปสเี่ หลี่ยมจตั ุรัส ผนงั กอดว ยอิฐ ท้งั ผนังและมณฑปมีขนาดใหญ หนั หนา ไปทาง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ในสมัยสโุ ขทัยตอนปลายไดร ับแนวคดิ ทศิ ตะวนั ออก เทวราชามาจากขอมทพ่ี ระมหากษตั รยิ ทรงเปน เสมือนเทพเจา ดงั นน้ั วธิ หี รือ 2 เทวรปู เทวรูปของสุโขทัยทงั้ พระอศิ วรและพระนารายณมลี กั ษณะที่เปน ธรรมเนียมปฏบิ ตั กิ ็ตา งออกไปจากเดมิ มีข้ันตอนซับซอนมากขนึ้ เพอ่ื แสดงถงึ เอกลักษณ คอื มกี ารทรงเคร่อื งทรงแบบเทวดาของลงั กาทง้ั มงกฎุ และเครอ่ื งแตง กาย ฐานะท่สี งู สง ของพระมหากษัตรยิ  จงึ เปน สาเหตุสาํ คญั ท่ีทําใหพระมหากษัตรยิ  สําหรับพระพกั ตรและพระวรกายจะคลายคลึงกับพระพุทธรูปของสโุ ขทยั กับประชาชนหางเหินกันออกไป 94 คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๓.๒ อาณาเขตการปกครอง 1. ครนู ําแผนทโ่ี ครงรา งอาณาจักรสุโขทยั มาให นกั เรยี นดู จากนนั้ ใหนกั เรียนชว ยกันบอก อาณาเขตการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครอบคลุม อาณาเขตการปกครองของอาณาจักรสโุ ขทยั บรเิ วณเมอื งตา่ งๆ ไมม่ ากนกั มเี มอื งสโุ ขทยั เมอื งเชลยี ง (สวรรคโลก) และเมอื งแพร ่ ทางใตล้ งมา ในสมยั พอขนุ รามคําแหงมหาราชและสมัย ถงึ เมืองพระบาง (นครสวรรค)์ เปน็ ต้น ต่อมาในสมยั พอ่ ขุนรามค�าแหงมหาราช อาณาจกั รสโุ ขทัย พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลไิ ทย) และสุมนกั เรียน ไดม้ ีอาณาเขตขยายกว้างขวางขึ้น ดงั น้ ี ออกมาชี้ตาํ แหนง ในแผนท่ีหนา ชัน้ เรยี น แผนท่แี สดงอาณาจักรสโุ ขทยั สมัยพ่อขุนรามคาำ แหงมหาราช ทิศตะวันออก 2. ครใู หน กั เรียนยกขอ ความจากศิลาจารกึ สโุ ขทยั ได้เมืองสระหลวง สองแคว (พิษณุโลก) ลมุ บาจาย แสนหวี จักรวรรดจิ ีน ท่ีกลาวถงึ อาณาเขตการปกครองของอาณาจกั ร (หลม่ เกา่ ) สระคาถงึ ขา้ มฝง่ั แมน่ า้� โขง ถงึ เวยี งจนั ทน์ สโุ ขทัย จากนัน้ ใหตคี วามพอสงั เขป และเวยี งคา� พกุ ามอังวะ น.โขงน.สาละวินเชียงรุงพงสาลี ญวนเหนอื ทศิ ตะวันตก น.โขงเชียงแสน 3. ครใู หน กั เรียนทาํ แผนผังแสดงอาณาเขต ไดเ้ มอื งฉอด หงสาวดจี นสดุ ฝง่ั ทะเลเปน็ อาณาเขต พกุ าม การปกครองของอาณาจกั รสโุ ขทยั ในสมัยพอ ขุน ทิศเหนอื น.อริ วดี รามคําแหงมหาราชและสมัยพระมหาธรรมราชา ไดเ้ มอื งแพร ่ เมอื งนา่ น เมอื งพลว่ั (อ. ปวั จ. นา่ น) ลานนา นา น อาวตังเกย๋ี ท่ี 1 (ลไิ ทย) โดยแยกตามทศิ ตางๆ จากนนั้ เลยฝง่ั โขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) เปรยี บเทียบความกวางขวางของพ้ืนท่ี ทศิ ใต้ หงสาวดี เชยี งใหมศรสสี สุโชัแขอพนงทารแัยล คยัเววยี งจธนั าทตนุพ นม ไดเ้ มอื งคนฑ ี(กา� แพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค)์ พะสมิ แพรก (ชัยนาท) สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี อาวเมาะตะมะ สุโขทยั น.มลู ดานงั ละโว พิมายขดออนมนคมรดธแมดง ปากเซ สุพรรณภูมิ อโยธยา เพชรบรุ ี พระตะบอง น.โขง สตรึงเตรง ญวนใต อาวไทย ไซง อ น ทะเลอันดามนั นครศรธี รรมราช ทะเลจนี ใต นครศรธี รรมราชจนสุดฝั่งทะเล โกตาราช ในสมยั พระมหาธรรมราชาท ่ี ๑ (ลไิ ทย) เมดนั เกาะสุมชอางตแรคาบมะละกา พระองค์ได้ทรงรวบรวมอาณาจักรขึ้นใหม่ ครอบคลุมเมืองระหว่างล�าน�้าปิง ล�าน้�าน่าน และลา� น�้าปา่ สกั โดยแยกตามทิศต่างๆ ไดด้ ังนี้ ทิศตะวนั ออก ทศิ เหนอื ได้เมืองสระหลวง สองแคว (พษิ ณุโลก) ไดเ้ มอื งแพร่ไปจดเมอื งราด (นา่ น) และเมอื งชวา (หลวงพระบาง) ทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ ได้เมอื งปากยม (พจิ ิตร) ทไดิศเ้ ตมะอื วงนั สอรอะคกาเฉหียรอืงเเหมนอื องื สะคา้ 1 และเมอื งลมุ บาจาย ทศิ ใต้ (เมอื งหล่มเก่า จงั หวดั เพชรบูรณ์) ได้เมืองคนฑี (ก�าแพงเพชร) และเมืองพระบาง (นครสวรรค)์ ทิศตะวนั ตกเฉยี งใต้ ทศิ ตะวันตก จดเมอื งตาก แไดลเ้ ะมเอืมงอื ชงาบกางั งรพาวา นเม (2อืกง�าสแพุ พรงรเณพภชารว) เมอื งนครพระชมุ 95 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู อาณาเขตการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยมีลกั ษณะและการเปล่ียนแปลง 1 เมืองสระคาหรอื เมอื งสะคา ตามจารึกสุโขทยั หลักท่ี 1 กลาววา อยไู ปทาง อยางไร ตะวนั ออกและไกลจากสุโขทยั กวา เมอื งลมุ บาจาย ซงึ่ เช่อื กันวา ตรงกบั เมอื งหลม เกา แนวตอบ อาณาจักรสุโขทัยชวงแรกมีอาณาเขตการปกครองไมก วางขวาง จงั หวดั เพชรบรู ณ จารึกหลกั ที่ 8 กลาววา พระยาลไิ ทยตเี มอื งแถวแมนํ้าปา สักได มากนัก กลาวคอื สมยั พอ ขนุ ศรีอนิ ทราทติ ยม อี ํานาจทางการปกครอง ตลอดหมด จึงไปอยเู มอื งสองแคว เมอื งสระคาหรอื สะคา ก็นาจะอยู ครอบคลมุ เมอื งเชลียง (สวรรคโลก) และเมอื งแพรท างทิศเหนอื และทางใต แถวแควปาสัก เหนอื เมืองหลม เกาข้นึ ไปนัน่ เอง ลงมาถึงเมืองพระบาง (นครสวรรค) เทา นั้น กระทงั่ สมยั พอขนุ รามคาํ แหง 2 เมืองบางพาน เปน ชมุ ชนโบราณทต่ี ั้งอยบู นเสน ทางถนนพระรว งทจ่ี ะไปยัง มหาราชซงึ่ สโุ ขทัยมอี ํานาจทางการเมอื งเขมแข็ง อาณาเขตการปกครอง สุโขทัย มลี กั ษณะผังเมอื งคอ นขางกลม มคี ูน้าํ และคันดินลอมรอบ 3 ชนั้ ภายใน จึงไดกวางขวางมากขึน้ คอื ทางทิศตะวันออกจดเวียงจันทน ทิศตะวันตก เมืองพบซากโบราณสถานขนาดเลก็ มีสภาพเปน กองศิลาแลง ความสาํ คัญของ ถึงเมอื งหงสาวดี ทิศเหนอื ถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) และทิศใตถงึ เมอื ง ชุมชนแหงนี้ คือ เปนเมืองที่อยบู นเสนทางคมนาคมท่ีตดิ ตอกับกรุงสุโขทยั และ นครศรธี รรมราช อยา งไรก็ตาม หลงั จากการสวรรคตของพอ ขนุ รามคาํ แหง เมืองอืน่ ไดส ะดวก และตั้งอยูบนทรี่ าบลมุ ซี่ึงเพาะปลูกไดด ี มหาราช อํานาจทางการปกครองของสโุ ขทัยก็ออ นแอลงตามลาํ ดบั กระทง่ั สมยั พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) จงึ ไดขยายอาณาเขตการปกครอง คมู อื ครู 95 อีกคร้ัง แตก ไ็ มก วางขวางเทาสมยั พอ ขุนรามคาํ แหงมหาราช ในเวลาตอมา สุโขทยั กต็ กอยภู ายใตอ ํานาจการปกครองของอาณาจกั รอยธุ ยา

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครซู ักถามนกั เรยี นเกย่ี วกับรปู แบบการปกครอง ๓.๓ รูปแบบการปกครอง สมยั สุโขทยั เพ่ือทดสอบความรคู วามเขาใจ จากน้ัน ใหน ักเรยี นทํากิจกรรมที่ 4.1 จากแบบวัดฯ ราชธาสนมี ใัยนสรุโะขยทะแัยรพกรพะมระหมาหกาษกัตษรตั ิยรทิยรทงรมงีอมําีคนําานจาํ เหดน็ดาขพาดระในนากมาวราปก“พคอรอขงุน”ท1กรางรปปรกะคทรับอองมยูใีลนกั เษมณืองะ ประวตั ิศาสตร ม.1 การกระจายอํานาจการบริหารจากราชธานอี อกไปสหู ัวเมอื งตางๆ ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝก ฯ เมืองตางๆ ท่ีขึ้นอยูกับกรุงสุโขทัยตามที่ปรากฏอยูในศิลาจารึกมักรวมกันเปนกลุมเมือง ประวัตศิ าสตร ม.1 กิจกรรมท่ี 4.1 ชนั้ ใน ชน้ั กลาง ชน้ั นอก ตามระยะทางใกลไ กลตามลาํ ดบั โดยมเี มอื งใหญท ส่ี าํ คญั ปกครองเมอื งเลก็ ๆ หนว ยที่ 4 พฒั นาการของอาณาจักรสุโขทัย อยู ๔ เมอื ง ไดแก กรุงสุโขทัย (ราชธานี) ศรีสชั นาลยั กําแพงเพชร และสองแคว (พิษณุโลก) พระมหากษตั รยิ ท รงแตง ตงั้ พระโอรสไปปกครองเมอื งดงั กลา ว๑๕(ยกเวน ราชธาน)ี ซงึ่ มกี ารปกครอง กจิ กรรมตามตวั ชี้วดั คะแนนเต็ม คะแนนท่ไี ด เปนอิสระภายในเมืองของตน และเม่ือมีการผลัดเปล่ียนแผนดินมักเกิดปญหาการสืบราชสมบัติ ทาํ ใหมีการสรู บเพอื่ แยง ชงิ อํานาจกัน กจิ กรรมที่ ๔.๑ ใหนักเรียนดูภาพวาดเกี่ยวกับเรื่องราวในสมัยพอขุนราม- ñõ คําแหงมหาราช แลววิเคราะหในประเด็นคําถามท่ีกําหนด นอกจากนี้ การปกครองหัวเมืองตางๆ ที่อาศัยอํานาจของเมืองราชธานียังไมสามารถรวม ศูนยอํานาจไวในเขตราชธานีไดอยางแทจริง ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพระมหากษัตริย (ส ๔.๓ ม.๑/๒) พระองคใหมในเมอื งราชธานี เมอื งข้ึนตางๆ ท่อี ยูหางไกล อาจต้งั ตัวเปนอสิ ระได เชน เมือ่ สิน้ สมยั พอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช เมอื งเลก็ ๆ อยา งเชยี งทอง (ตาก) และพระบาง (นครสวรรค) ตา งกพ็ ากนั เฉฉบลบั ย ต้งั ตัวเปนอิสระ เปนตน ๑. จากภาพแสดงใหเหน็ วาลักษณะการปกครองของสโุ ขทัยในระยะแรกเปน แบบใด ...............ก....า...ร....ป...ก....ค....ร....อ...ง....แ...บ....บ....พ....อ....ป....ก....ค....ร...อ....ง...ล....ูก.......โ..ด....ย....ม...ีพ....อ....ข...ุน....ท....ร...ง....ท....ํา..ห....น.....า...ท....่ดี ....แู ...ล....ท....กุ ....ข..ส.....ขุ ...ข...อ...ง...ร....า..ษ.....ฎ...ร............................... .................................................................................................................................................................................................................................................... ๒. ภาพนแ้ี สดงความสัมพนั ธระหวางพระมหากษัตริยกับราษฎรในลกั ษณะใด ...............พ.....ร...ะ...ม....ห....า...ก....ษ....ัต.....ร...ิย....ท....่ีม....ีค....ํา...น.....ํา...ห....น.....า...พ....ร....ะ..น.....า...ม....ว...า.......“...พ.....อ...ข...ุ.น....”........ท....ร...ง....ท....ํา...ห....น.....า...ท....ี่ด....ูแ....ล....ท....ุก....ข...ส.....ุข...ข...อ....ง...ร....า...ษ....ฎ....ร... .ท....ร...ง...ใ...ห....ค....ว...า...ม...ใ...ก....ล....ช...ิด....โ...ด...ย....ย...อ....ม....ร...ับ....ฟ....ง....ค....ว...า..ม....ค....ิด....เ..ห....็น....ซ....ึ่ง...ก....ัน.....แ...ล....ะ...ก....ัน........ท.....ร...ง...ใ...ห....ค....ว...า...ม...เ..ป....น....ธ....ร...ร....ม...แ...ก....ร....า...ษ....ฎ....ร...โ...ด....ย... .โ..ป....ร...ด....ใ...ห....ร...า...ษ....ฎ....ร...ท....เ่ี..ด....อื...ด....ร....อ ...น.....ส....า...ม...า...ร...ถ....ไ..ป....ส.....น่ั ....ก....ร...ะ...ด....งิ่...ร....อ ...ง...ท....กุ....ข...ไ...ด.... ..พ.....ร...ะ...ม...ห....า...ก....ษ....ตั....ร...ยิ....ก ....จ็ ...ะ...เ.ส.....ด....จ็ ...อ....อ...ก....ม....า..ร....บั ....ฟ....ง... .แ...ล....ะ..ช...ว...ย....แ...ก....ป....ญ ....ห....า...ค....ว...า...ม...เ..ด....ือ...ด....ร....อ...น.....ด....ัง...ก....ล....า...ว.................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................................................................................... ๓. นักเรียนมีความคดิ เหน็ อยางไรตอลักษณะการปกครองของสโุ ขทยั ดังท่ีปรากฏในภาพ ...............ก.....า..ร....ป....ก....ค....ร....อ...ง....แ...บ....บ.....พ....อ...ป....ก.....ค....ร...อ....ง...ล....ูก....ม....ีค....ว...า...ม...เ..ห....ม....า...ะ...ส....ม...ก....ั.บ....ก....า...ร...ป....ก....ค.....ร...อ....ง...อ....า..ณ......า...จ...ัก.....ร...ส....ุโ...ข...ท....ัย....ใ..น.....ร...ะ...ย....ะ.. .แ...ร...ก....ต....้ัง....ร...า...ช...ธ...า...น.....ี ....เ..พ....ร....า..ะ...ร....า..ษ.....ฎ...ร....ย...ัง....ม...ีจ....ํา...น....ว...น.....น....อ....ย...แ...ล....ะ...อ....า..ณ......า...เ.ข...ต....ข...อ....ง...ก....ร....ุง...ส....ุโ...ข...ท....ัย...ย....ัง...ไ...ม...ก....ว...า...ง....ข...ว..า...ง....ม...า...ก....น....ัก.... .พ....ร....ะ...ม...ห....า...ก.....ษ....ัต....ร....ิย....จ...ึ.ง...ท.....ร...ง....ส....ร....า...ง....ค....ว...า...ม....ส....ัม....พ....ัน.....ธ....ใ...ก....ล....ช...ิ.ด....ก....ับ....ร....า...ษ.....ฎ....ร...เ..พ....่ื.อ...จ....ะ...ไ...ด....ป....ก.....ค....ร....อ...ง....ด....ูแ...ล.....อ...า...ณ......า...จ...ั.ก....ร... .อ...ย....า...ง...ท....่ัว...ถ....ึง........แ...ต....ม....า..ใ...น.....ส....ม...ัย....ห....ล....ัง...พ.....ร...ะ...ม...ห....า...ก....ษ....ั.ต....ร...ิย....ท....ร...ง....ม...ีฐ....า...น....ะ...เ..ป....น....ธ....ร...ร....ม...ร....า...ช...า...โ..ด....ย....ป....ฏ....ิบ....ัต....ิต....า...ม...ห.....ล...ั.ก....ธ...ร...ร....ม... .ท....า..ง....พ....ร...ะ...พ....ทุ....ธ...ศ....า...ส....น....า...แ...ล....ะ...ท....ร...ง....เ.ป....น.....ส....ม...ม....ต....เิ ..ท....พ....ด....ว..ย.................................................................................................................................... (พิจารณาคาํ ตอบของนักเรียน โดยใหอยใู นดลุ ยพนิ จิ ของครผู ูส อน) ๓๗ 2 วดั พระศรรี ตั นมหาธาตเุ ชลยี ง เมอื งศรสี ชั นาลยั ซง่ึ เปน เมอื งสาํ คญั ในการปอ งกนั ขา ศกึ ทางดา นทศิ เหนอื โดยในสมยั สโุ ขทยั ตอนตน มีความสําคัญรองจากราชธานี ๙๖ ๑๕ สารานกุ รมประวตั ศิ าสตรไทย เลม ๑ อกั ษร ก. ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน. ๒๕๔๙ หนา ๑๘๗. นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT รปู แบบการปกครองของอาณาจักรสโุ ขทัยมีลักษณะอยา งไร 1 พอขนุ เปนคาํ ขนึ้ ตน พระนามพระเจา แผนดินในสมัยสุโขทยั ตอนตน โดยคําวา แนวตอบ สุโขทัยมีพระมหากษัตริยป กครอง โดยในระยะแรกปกครองแบบ “ขุน” เปน คาํ เรยี กพระนามพระเจา แผนดินครองแควน เลก็ ๆ เชน ขนุ สามชนแหง พอปกครองลกู ตอ มาปกครองแบบธรรมราชาทีพ่ ระมหากษตั ริยทรงใช เมืองฉอด สวนคาํ วา “พอ ” เปนหวั หนา ของขนุ ในแควนตางๆ เทยี บไดก บั คําวา หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาในการดแู ลทุกขส ขุ ของราษฎร รวมทัง้ มี “แม” ในคาํ แมทพั พอขุนจะทําหนา ท่ีดแู ลทกุ ขส ขุ ของราษฎร และปกครอง คตคิ วามเชือ่ ที่วา พระมหากษัตริยท รงเปนสมมตเิ ทพดว ย สวนการปกครอง บา นเมอื งใหม คี วามรมเยน็ หวั เมือง จะมีลักษณะของการกระจายอาํ นาจจากราชธานีไปยังหัวเมอื งตา งๆ 2 วดั พระศรรี ตั นมหาธาตเุ ชลียง หรอื เรยี กอีกชอื่ หนึง่ วา วดั พระปรางค ตั้งอยนู อกกําแพงเมืองเกาศรสี ัชนาลยั เปน กลุม โบราณสถานขนาดใหญและเปน พระอารามหลวง ภายในวดั มีโบราณสถานทสี่ าํ คัญ ไดแก ปรางคประธาน กอดวย ศิลาแลงฉาบปูน ดา นหนาองคพ ระปรางคม วี ิหารทภี่ ายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ขนาดใหญปางมารวชิ ัย กําแพงวัดเปน ศลิ าและแทน กลมขนาดใหญเ รียงชิดติดกนั เปน รปู สีเ่ หลยี่ มผืนผา 96 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ô. พฒั นาการทางด้านàศรɰก¨ิ สมยั สโุ ขทยั 1. ครเู ปดประเด็นเก่ยี วกับพัฒนาการทางดาน ในอำณำจกั รสโุ ขทัย คนไทยสว่ นใหญ่ประกอบอำชพี ทำงด้ำนเกษตรกรรม ได้แก ่ กำรทำ� นำ เศรษฐกจิ สมยั สุโขทัย จากนน้ั ใหนกั เรยี น ทซ่งึ�ำเไปร่ ็นทระ�ำบสวบนเศ รแษลฐะกเลจิ ี้ยแงบสบตั ยวัง์ ชสีพ่วน1อำชพี ท่สี ำ� คญั รองลงมำ ไดแ้ ก่ กำรคำ้ ขำย และกำรหัตถกรรม กลมุ ที่ 2 นําเสนอสาระสาํ คญั หนา ชน้ั เรียน 4.๑ ปจั จยั ทเ่ี ออ้ื ตอ่ พฒั นำกำรทำงดำ้ นเศรษฐกจิ ของอำณำจกั รสโุ ขทยั 2. ครูใหน ักเรียนดูภาพตระพงั ตระกวนจาก ปจั จัยทเ่ี อื้อต่อพัฒนำกำรด้ำนเศรษฐกิจของอำณำจักรสุโขทัยที่สำ� คญั มดี งั นี้ หนังสือเรยี น หนา 97 แลว ถามวาเก่ยี วของ ๑) การใช้ระบบชลประทานในการเกษตร สภำพพ้ืนท่ีของสุโขทัยส่วนใหญ่ กับเศรษฐกิจสุโขทัยอยางไร (แนวตอบ เปนแหลงน้ําสําหรับนาํ มาใชใ น ไม่เหมำะแก่กำรเพำะปลูก ฤดูแล้งจะมีน้�ำน้อย จึงต้องมีกำรใช้ระบบชลประทำนเข้ำช่วยจึงจะ การอุปโภคบรโิ ภคและเพาะปลูก) สำมำรถท�ำกำรเพำะปลูกได้ เช่น กำรสร้ำง “ตระพัง” เก็บน�้ำหรือสระส�ำหรับเก็บน้�ำไปใช้ในกำร เพำะปลูก เป็นตน้ ๒) เปนศูนย์กลางในการติดต่อกับดินแดนอ่ืนๆ ทั้งภายในและภายนอก อาณาจักร เน่ืองจำกสุโขทัยตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้�ำปิง ยม และน่ำน ซ่ึงเป็นเส้นทำงคมนำคม ติดต่อกบั ดินแดนทอ่ี ยทู่ ำงตอนเหนอื และตะวนั ออกของแมน่ ้ำ� ปิง รวมทัง้ ติดตอ่ กับดนิ แดนท่ีติดกบั ทะเลทำงดำ้ นตะวนั ตก และทะเลทำงดำ้ นตะวนั ออก ทำ� ใหส้ ง่ เสรมิ กำรประกอบอำชพี กำรคำ้ ไดเ้ ปน็ อยำ่ งดี ๓) นโยบายการยกเวน้ การจดั เกบ็ ภาษผี า่ นดา่ น ทเี่ รยี กวา่ “จกอบ” 2(จงั กอบ) กำรทส่ี โุ ขทยั มนี โยบำยกำรยกเวน้ กำรจดั เกบ็ ภำษผี ำ่ นดำ่ นหรอื “จกอบ” (จงั กอบ) มสี ว่ นชว่ ยใหก้ ำร คำ้ ขำยของอำณำจกั รสโุ ขทยั ขยำยตวั ออกไปไดใ้ นระดบั หนงึ่ เพรำะจะชว่ ยใหเ้ กดิ แรงจงู ใจใหม้ พี อ่ คำ้ เขำ้ มำคำ้ ขำยในสโุ ขทัยมำกขน้ึ ตระพงั ตระกวน เปน็ ตวั อยา่ งหนงึ่ ของสระนา�้ ทมี่ อี ยเู่ ปน็ จา� นวนมาก ซ่ึงขุดขึ้นในเขตราชธานี เพื่อสะดวกแก่การนา� น�้ามาใชป้ ระโยชน์ 97 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู ปจ จัยใดบา งท่สี ง ผลใหเ ศรษฐกจิ ของสุโขทัยมีความเจรญิ รงุ เรอื ง จงอธิบาย 1 ระบบเศรษฐกิจแบบยงั ชีพ เปน ระบบเศรษฐกจิ ทีผ่ คู นใชช ีวิตความเปนอยู มาพอสังเขป แบบงายๆ ไมซบั ซอ น เชน การเกบ็ หาของปา ลา สัตว เพาะปลูก จับปลาเพือ่ แนวตอบ มหี ลายปจ จยั เชน ปจจัยดานภูมิศาสตร จากท่ตี ั้งของสุโขทัยที่อยู บรโิ ภคภายในครวั เรือน ไมไ ดผ ลติ เพอื่ จําหนาย ซงึ่ เปน ลักษณะทางเศรษฐกจิ บริเวณลุม แมน า้ํ ปง วัง ยม และนาน จงึ เหมาะแกการเปนเสน ทางคมนาคม ของชุมชนในอดีต และคาขาย ปจ จยั ดา นทรพั ยากรธรรมชาติ เชน สตั วป า ของปา ปาไม 2 จกอบ เปนภาษชี นดิ หนึง่ ท่เี กบ็ จากผูนาํ สตั วแ ละสินคาไปขายในทตี่ างๆ หรือ ที่อุดมสมบูรณ ปจ จัยดานการชลประทาน ทที่ ําใหม ีน้ําไปใชในการเพาะปลกู เปนภาษีทีเ่ ก็บจากสตั วแ ละสนิ คา ทนี่ าํ เขามาขาย โดยวธิ ีเกบ็ จงั กอบในสมยั สุโขทยั ปจ จัยดา นนโยบายการยกเวนการเกบ็ ภาษผี า นดา นหรือจกอบ ซงึ่ จูงใจให จะเก็บในอตั รา 10 ชัก 1 และการเกบ็ นน้ั มิไดเก็บเปนเงินเสมอไป อาจเก็บเปน พอคาเขา มาคา ขายในสโุ ขทัยมากขน้ึ เปน ตน สิ่งของกไ็ ด ในการจัดเกบ็ จงั กอบ รฐั จะต้ังสถานทที่ ี่สะดวกคอยดักเก็บ เชน ถาเปน ทางบก กจ็ ะไปตง้ั ทีป่ ากทางหรอื ทางท่ีจะเขาเมือง ถา เปน ทางนํ้า ก็จะตั้งใกลทา นาํ้ โดยสถานทีเ่ ก็บจงั กอบ เรยี กวา ขนอน คมู อื ครู 97

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูสุมนกั เรียนออกมาอธบิ ายลกั ษณะทาง 4.๒ ลกั ษณะทำงดำ้ นเศรษฐกจิ ทส่ี ำ� คญั เศรษฐกจิ ของอาณาจักรสโุ ขทัยทห่ี นาชน้ั เรียน เพือ่ ทดสอบความรู เศรษฐกจิ ของสโุ ขทยั ท่สี �ำคญั ไดแ้ ก ่ กำรเกษตรกรรม กำรพำณชิ ยกรรม และกำรหัตถกรรม (แนวตอบ เศรษฐกิจของสโุ ขทยั ขึ้นอยูก บั ซ่งึ มลี ักษณะ ดงั น้ี การเกษตรกรรม พาณชิ ยกรรมจากการคา ขาย สนิ คา ตางๆ เชน เครือ่ งเทศ พริกไทย นํา้ ตาล ๑) การเกษตรกรรม พ้นื ฐำนทำงเศรษฐกิจของอำณำจักรสโุ ขทยั ส่วนใหญข่ ้นึ อยูก่ ับ งาชา ง หนงั สัตว นอแรด เปนตน รวมทัง้ การหัตถกรรม โดยการผลติ เครอ่ื งปน ดนิ เผา อำชพี เกษตรกรรม แตต่ อ้ งมกี ำรจดั ระบบชลประทำนเพอื่ ชว่ ยในกำรเพำะปลกู ในฤดแู ลง้ รวมไปถงึ หรอื เครอ่ื งสงั คโลก การคาขายเคร่อื งสงั คโลก เพื่อกำรอุปโภคและบริโภคด้วย เชน่ กำรสร้ำงรำงคนั ดนิ สร้ำงเหมือง ฝำย คู ตระพงั และท�ำนบ และสินคาชนิดตา งๆ ทั้งภายในอาณาจักรและ สงไปขายนอกอาณาจกั รนํารายไดม าสูส ุโขทัย กั้นน�้ำ (สรีดภงส)์ เปน็ ตน้ อยางมาก นอกจากนี้ การทสี่ โุ ขทยั ไมเก็บภาษี ผา นดา นจากพอ คา กท็ ําใหเกิดการขยายตัว ๒) การพาณิชยกรรม อำชีพท่ีส�ำคญั อยำ่ งหนง่ึ ของ ทางการคา ซึ่งสงผลใหเศรษฐกจิ ของสุโขทัยมี คนไทยในสมัยสุโขทัย คือ กำรค้ำขำย ในเมืองสุโขทัย ความเจริญกา วหนาพอสมควร) มเีตรลียำกดวค่ำ้ ำข“ตำลยาสด�ำปหสราับนให”1 ้ชกำำวรเซมื้อือขงำไยดแ้ซลื้อกขเำปยลส่ียินนคใน้ำ สมัยสุโขทัย นอกจำกจะมีกำรแลกเปล่ียนส่ิงของ 2. ครูอานขอความในศลิ าจารึกสุโขทยั หลักที่ 1 ซึ่งกันและกันแล้ว ในตอนปลำยสมัยสุโขทัย ใหนักเรยี นฟง ความวา “เมื่อช่ัวพอขนุ ราม- ได้มีกำรใช้เงินตรำในกำรซื้อขำยสินค้ำ เช่น คาํ แหง เมืองสุโขทยั น้ีดี ในนาํ้ มปี ลา ในนามี เงินพดด้วงใช้เป็นส่ือกลางการแลกเปลี่ยนในสมัยสุโขทัย ใน พ.ศ. ๑๙๐๔ ในศิลำจำรึกกล่ำวถึง “เบ้ีย” ขาว เจา เมอื งบเ อาจกอบในไพรลทู า ง เพ่อื นจงู คาดว่าเรม่ิ ใช้ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๐๐๐ เปน็ ตน้ มา ใน พ.ศ. ๑๙๙๙ มีกำรใชเ้ งิน “บาท” เปน็ เงินตรำ วัวไปคา ขม่ี า ไปขาย ใครจักใครคาชา งคา ใคร จกั ใครค า มาคา ใครจกั ใครค า เงอื นคาทองคา” สำ� หรบั เปน็ สอื่ กลำงใชแ้ ลกเปลย่ี น และมกี ำรใช ้ “เงนิ พดดว ง” ซง่ึ ทำ� ดว้ ยโลหะผสม เรมิ่ ใชใ้ นสมยั ใด จากน้นั ใหนักเรียนอภิปรายรว มกันเกี่ยวกบั ยงั ไมป่ รำกฏแนช่ ดั ในสมยั พระมหำธรรมรำชำท ่ี ๑ (ลไิ ทย) โปรดเกลำ้ ฯ ใหผ้ ลติ เงนิ หนกั หนงึ่ บำทขนึ้ สภาพเศรษฐกิจของสุโขทัยในสมัยพอ ขนุ ใชเ้ ปน็ มำตรฐำน สว่ นพอ่ คำ้ และรำษฎรผลติ เงนิ พดดว้ งขน้ึ ใชเ้ องได ้ แตต่ อ้ งมมี ำตรฐำนเหมอื นเชน่ รามคาํ แหงมหาราช ที่รำชกำรผลิต กำรมีระบบเงินตรำแสดงใหเ้ ห็นว่ำสโุ ขทัยมคี วำมเจรญิ รงุ่ เรอื งทำงดำ้ นกำรคำ้ มำก ในศิลำจำรึกระบุว่ำ กรุงสุโขทัยไม่มีกำรเก็บภำษีผ่ำนด่ำนจำกบรรดำพ่อค้ำทั้งหลำย ทั้งน้ี อำจเป็นเพรำะวำ่ ต้องกำรใหเ้ กิดกำรขยำยตัวทำงกำรคำ้ ส่วนภำษีอ่นื ๆ เชน่ คำ่ ธรรมเนยี มตำ่ งๆ ภำษรี ำยไดจ้ ำกกำรคำ้ ภำษคี ่ำนำ สนั นิษฐำนว่ำคงจะมีกำรเกบ็ ตำมปกติ เพือ่ เอำไวใ้ ชป้ ระโยชน์ใน รำชกำรแผน่ ดนิ กำรค้ำขำยแลกเปลี่ยนในสมัยสุโขทัย นอกจำกจะมีกำรค้ำขำยภำยในอำณำจักรแล้ว ยังมี กำรค้ำขำยกบั ดินแดนต่ำงๆ นอกรำชอำณำจกั รอีกดว้ ย เช่น หงสำวดี ตะนำวศร ี ล้ำนนำ ปตั ตำนี มะละกำ ชวำ ลงั กำ อนิ เดีย จนี เป็นตน้ สินค้ำออกท่ีส�ำคัญของสุโขทัย เช่น เครื่องเทศ ของป่ำหำยำก พริกไทย น�้ำตำล งำช้ำง หนงั สตั ว ์ นอแรด เปน็ ตน้ สว่ นสนิ คำ้ เขำ้ เชน่ ผำ้ ไหม ผำ้ ทอ เครอ่ื งประดบั ประเภทอญั มณ ี เปน็ ตน้ 98 นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอใดเปน ลักษณะการคา ของอาณาจกั รสโุ ขทยั 1 ตลาดปสาน คําวา “ปสาน” สันนษิ ฐานวา มีรากศพั ทมาจากคาํ วา “บาซาร” 1. ราษฎรคา ขายไดอ ยา งเสรี ในภาษาเปอรเซีย แปลวา ตลาด คาํ วา ตลาดปสานน้ันปรากฏอยูในศลิ าจารึกสโุ ขทัย 2. ราชการเปน ผูผ กู ขาดการคา หลักที่ 1 ของพอ ขนุ รามคําแหงมหาราช ความวา “...เบอ้ื งตีนนอนเมอื งสุโขทัยนี้ 3. ราชการคา ขายแขงกบั ราษฎร มีตลาดปสาน...” โดยตลาดน้ีสนั นิษฐานวา มมี ากอนสถาปนากรุงสุโขทัยโดยเปน 4. ราษฎรทาํ การคา ไดบ างชนิด ทชี่ ุมนมุ ของพอ คาชาวตางชาติ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ดงั ปรากฏขอ ความในศิลาจารึกสโุ ขทัย หลกั ที่ 1 วา “...ใครจกั ใครค าชา งคา ใครจักใครคา มา คา ใครจกั ใครคาเงอื น มมุ IT คา ทองคา ” ซง่ึ แสดงใหเห็นวา ในสมยั สุโขทัยทางราชการไดใหเ สรภี าพในการ คาขายแกราษฎร ศึกษาคนควา ขอมลู เพม่ิ เตมิ เกีย่ วกบั เงินพดดว ง ไดท ่ี http://www.thaibank- museum.or.th/museum110.php เวบ็ ไซตพพิ ิธภัณฑธนาคารไทย 98 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) การหตั ถกรรม การหตั ถกรรมของสโุ ขทยั สว นใหญเ ปน การผลติ เครอ่ื งปน ดนิ เผา 1. ครใู หน กั เรียนในชั้นเรียนวิเคราะหส ภาพทาง หรอื เครอื่ งสังคโลก มีหลายแบบ เชน แบบเคลือบสีเขียวไขกาท่ีมกี ารขดู ลายใตนาํ้ เคลอื บ เรยี กวา เศรษฐกิจของสโุ ขทยั ในปจ จุบนั เมือ่ เทยี บกบั อดตี เซลาดอน แบบสนี าํ้ ตาลลว น และแบบเคลอื บสขี าวทเี่ ขยี นลายดว ยสดี าํ หรอื นา้ํ ตาลเขม ใตน าํ้ เคลอื บใส (แนวตอบ ในปจ จบุ ันเศรษฐกจิ ของจังหวดั โดยไดมีการขดุ พบซากเตาเผาเครอื่ งสงั คโลกเปน จาํ นวนมากบรเิ วณเมอื งศรีสชั นาลัย สโุ ขทยั จะมหี ลากหลายประเภทมากขึน้ โดย เครื่องสังคโลกทําเปนส่ิงของเครื่องใชใน เศรษฐกจิ หลักกย็ ังขึ้นอยกู ับการเกษตรกรรม หลายรปู แบบ เชน จาน ชาม หมอ กระปกุ กานาํ้ นอกจากนย้ี งั มีการพาณชิ ยกรรมเชน เดียวกับใน รวมถึงเครื่องประดับสถาปตยกรรมทางศาสนา อดีต แตป จจบุ นั การคา มกี ารขยายตวั มากขึ้น เชน ชอฟา รูปปนเทวดา นักรบ หรือส่ิงของ แมวาจะมกี ารผลติ เครอ่ื งสงั คโลกเลยี นแบบของ เกี่ยวกับความเช่ือและศาสนา เชน มงั กร นาค ด้งั เดิมออกขายเหมือนอดตี แตก ็ไดม ีโรงงาน ยกั ษ เปนตน พบวา มกี ารสง เครอื่ งสงั คโลกออก อุตสาหกรรมขนาดใหญหลายแหง ซง่ึ เปนผลมา แลกเปล่ียนคาขายกับดินแดนตางๆ ท้ังชุมชน จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ) ชายฝง ทะเล คาบสมทุ รทางใต และตามหมเู กาะ ตางๆ เชน ฟลปิ ปนส อินโดนีเซยี ญี่ปนุ เปนตน 2. ครแู ละนักเรยี นรว มกันสรุปความรูเก่ียวกับ แสดงใหเ หน็ ถงึ เครอื ขา ยการคา ทก่ี วา งขวางของ พฒั นาการทางดา นเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย เครอ่ื งสังคโลก 1 จากน้ันใหนักเรยี นทํากิจกรรมท่ี 4.2 จากแบบวดั ฯ ประวตั ศิ าสตร ม.1 เตาทเุ รยี งปา ยาง พบทเี่ ขตอทุ ยานประวตั ศิ าสตรศ รสี ชั นาลยั ซ่งึ เปนแหลงผลติ เครอ่ื งสังคโลกแหลง ใหญของสโุ ขทัย ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ประวตั ิศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 4.2 หนวยที่ 4 พฒั นาการของอาณาจกั รสุโขทยั เรอ่ื งนารู กิจกรรมที่ ๔.๒ ใหน กั เรยี นตอบคาํ ถามเกย่ี วกบั พฒั นาการดา นเศรษฐกจิ และ คะแนนเตม็ คะแนนท่ไี ด สงั คมของสุโขทยั ดังตอไปนี้ (ส ๔.๓ ม.๑/๒) สังคโลก คือ เครื่องปนดินเผาชนิดเคลือบ เนื้อละเอียด สวนใหญจะมี òð สนี า้ํ ตาล สนี ํา้ ตาลปนเหลอื ง สีเขียวไขก า สีขาวแบบหนาทึบ รปู แบบของเครอ่ื งสังคโลก มีต้ังแตเคร่อื งใชส อยถว ยชาม ไห โอง ครก ตกุ ตา ตลอดจนเครอ่ื งประดบั ตกแตง อาคาร ๑. สภาพเศรษฐกิจของอาณาจักรสโุ ขทยั มีลกั ษณะอยา งไร สถานทตี่ า งๆ ...............พ....ื้น.....ฐ...า...น.....ท....า..ง....เ..ศ....ร...ษ....ฐ....ก....ิจ...ข...อ....ง...อ....า...ณ.....า...จ...ัก.....ร...ส....ุโ...ข...ท....ัย...ส.....ว...น....ใ...ห....ญ.....ข...ึ้น....อ....ย...ูก....ับ.....อ...า...ช...ีพ....เ..ก....ษ....ต....ร....ก....ร...ร....ม........ม...ีก....า...ร....ป....ล....ูก... พ....ืช...พ.....ัน....ธ...ุธ....ญั ....ญ.....า...ห....า...ร...ม....า..ก....ม....า..ย........เ.ช....น........ข...า ..ว.......ห....ม...า...ก........พ....ล....ู....ม...ะ...พ....ร...า...ว.......ม...ะ...ม...ว...ง.......เ..ป....น....ต....น.........น....อ....ก...จ....า...ก....น....ี้....ช...า...ว...ส....โุ..ข...ท....ยั... เชอื่ กนั วา คาํ วา “สงั คโลก”เพยี้ นมาจากคาํ วา “สวรรคโลก” หรอื คาํ วา “ซอ งโกลก” ย....ัง...ป....ร...ะ...ก....อ...บ.....อ...า...ช...พี....ค....า...ข...า..ย....โ..ด....ย....ม...ีต....ล....า...ด....ป....ส....า...น....เ..ป....น....แ...ห....ล....ง...ซ....้ือ...ข...า...ย....แ...ล....ก....เ.ป....ล....ี่ย....น....ส....ิน.....ค....า ......ม...ีก....า...ร...ใ...ช...เ..ง...ิน....ต....ร....า...ใ..น.....ก....า..ร... ซึ่งหมายถึง เตาแผนดินซอ ง เนอ่ื งจากสโุ ขทยั ไดร ับเทคนิคการทําสงั คโลกมาจากจีน ซ....้อื...ข...า...ย......ร....ว...ม...ถ....งึ ...อ....า..ช...พี....ห....ตั....ถ....ก....ร...ร....ม......โ...ด....ย...ก....า...ร...ผ....ล....ิต....เ.ค....ร....อ่ื ...ง....ป...น.....ด....ิน....เ..ผ....า..ห....ร....อื ...เ..ค....ร...ือ่....ง...ส....งั....ค....โ..ล....ก....เ..ป....น....จ....าํ ..น.....ว...น....ม....า..ก........... สาํ หรบั เตาทใ่ี ชผ ลติ เครอ่ื งสงั คโลกนน้ั มอี ยหู ลายแหง ครอบคลมุ อาณาบรเิ วณ .................................................................................................................................................................................................................................................... พื้นท่ีเมืองเกาสุโขทยั ศรสี ชั นาลัย ท่ีสโุ ขทยั มแี หลงเตาเผา เรยี กวา “เตาทเุ รยี งสโุ ขทยั ” ที่ศรีสัชนาลัยมีแหลงเตาเผาท่ีปายาง เรียกวา “เตาทุเรียงปายาง” และแหลงเตาเผา ๒. นักเรียนคิดวาปจจัยใดที่สงผลใหการเกษตรกรรมและพาณิชยกรรมในสมัยสุโขทัยมีความ ทเ่ี กาะนอย เรยี กวา “เตาทเุ รียงเกาะนอย” เจริญรุง เรือง ...............ม....ีห....ล...า...ย....ป....จ...จ....ยั .......เ..ช...น.........ป....จ...จ....ัย...ด....า...น....ส.....ภ...า...พ....ภ....ูม...ศิ....า...ส....ต....ร.... ....ก....ร...ุง....ส....โุ..ข...ท....ัย....ต....้งั ...อ...ย....ูบ....ร...ิเ..ว...ณ.....ท....ี่ร....า...บ....ล....มุ ...ท....่ีม....แี ...ม...น.....าํ้...ป...ง... ว...งั......ย...ม.......น....า..น.....ไ..ห....ล....ผ...า...น.......จ....งึ ...เ.ห....ม....า..ะ...แ...ก....ก....า..ร....เ.พ....า...ะ...ป...ล....กู.......บ....ร...โิ...ภ...ค....อ....ปุ....โ..ภ....ค......แ...ล....ะ...ส....ะ..ด....ว...ก....ใ..น.....ก....า..ร....ส....ญั.....จ...ร...ค....า...ข...า..ย....ท....า..ง....น....า้ํ.. ป....จ....จ...ยั....ด....า ..น.....ท....ร...ัพ....ย....า...ก....ร...ธ...ร....ร...ม....ช...า..ต....ิ....เ..ช...น ........ป....า..ไ...ม.......ส....ัต....ว...ป....า ......ข...อ...ง....ป....า ......ซ...งึ่....ส....ุโ..ข...ท....ยั....ม...ีอ....ย...อู....ย...า...ง...อ....ดุ ....ม...ส....ม....บ....ูร...ณ...... ...ป....จ....จ...ยั... เฉฉบลับย ด....า...น....ก....า...ร....ช...ล....ป...ร....ะ..ท....า...น........โ..ด....ย...ก....า...ร....ส....ร...า...ง...ส....ร....ดี ....ภ....ง...ส....ส....าํ...ห....ร...ับ....ก....ัก....เ..ก....็บ....น.....าํ้...เ.อ....า..ไ...ว...ใ..ช...ใ...น....ฤ....ด....แู...ล....ง......เ..พ....อ่ื....ช...ว ...ย...ใ...ห....ส....า..ม....า...ร...ถ... ทําการเพาะปลกู ได เปน ตน.................................................................................................................................................................................................................................................... ๓. “…เจาเมืองบเอาจกอบในไพรลูทาง เพ่ือนจูงวัวไปคา ขี่มาไปขาย ใครจักใครคาชาง คา ใครจักใครค ามา คา ใครจักใครค า เงอื นคา ทอง คา…” จากขอ ความดังกลาว นกั เรียนคดิ วา สงผลดีตอเศรษฐกิจของสุโขทัยอยางไร ...............ใ...น....ส....ม....ยั ...ส....โุ...ข..ท....ยั....ไ..ด....ม...ก.ี ...า...ร...ย....ก....เ.ล....กิ....ก....า...ร...เ..ก....บ็....ภ....า..ษ.....ผี ...า...น....ด....า...น....ห....ร...อื....จ...ก....อ....บ....แ...ล....ะ..ก....า...ร...ใ...ห....เ .ส....ร....ภี ...า...พ....ท....า...ง...ก....า...ร...ค....า...ข...า..ย... กลาวไดวาพัฒนาการทางดานเศรษฐกิจของอาณาจักรสุโขทัย มีความเจริญกาวหนา อ....ย...า...ง...เ..ต....ม็...ท....่ี...จ....ึง...ท....าํ...ใ..ห....พ....อ....ค....า...เ.ก....ิด....แ...ร....ง...จ....ูง...ใ..จ....ท....จี่...ะ...เ..ข...า..ม....า...ค....า..ข...า...ย...ใ...น....ส.....ุโ..ข...ท....ยั....ม...า...ก....ข...น้ึ .......ส....ง...ผ....ล....ใ..ห....ก....า...ร...ค....า...ข...อ....ง...ส....โุ..ข...ท....ยั... เพยี งพอทจี่ ะทาํ ใหบ า นเมอื งดาํ รงอยไู ดใ นระยะเวลาหนงึ่ ขณะทอ่ี าํ นาจทางการเมอื งและการทหาร ก็มคี วามเขม แข็งเฉพาะในสมัยพอ ขุนรามคําแหงมหาราช ขยายตัวออกไป.................................................................................................................................................................................................................................................... ๙๙ .................................................................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................................... ๔. พระพทุ ธศาสนาไดเ ขามามอี ทิ ธพิ ลตอ วิถีชีวติ ของผูคนในสังคมสโุ ขทัยอยางไร จงวิเคราะห ...............พ....ร....ะ..พ....ทุ....ธ...ศ....า...ส....น.....า...ไ..ด....เ..ข...า ..ม....า..ม....อี...ทิ....ธ....พิ ....ล....ต....อ ...ว...ถิ....ชี ...วี ...ติ ....ข..อ....ง...ค....น.....ท....กุ ....ช...น....ช...น้ั.....ใ..น.....ส....งั...ค....ม.......เ.ร....ม่ิ ...จ....า..ก....พ....ร....ะ..ม....ห....า...ก....ษ....ตั ....ร...ยิ... ไ...ด....น....ํา...ห....ล....ัก....ธ...ร....ร...ม....ท....า...ง...พ....ร....ะ..พ....ุท....ธ....ศ....า..ส.....น....า...ม....า..ป....ร....ับ....ใ...ช...ใ..น.....ก....า...ร...ป....ก....ค....ร....อ...ง........เ..ช...น.........พ....อ...ข...ุน.....ร...า...ม....ค....ํา...แ...ห....ง...ม....ห....า..ร....า...ช...ท....ร...ง... ส....ง่ั....ส....อ...น.....ศ....ลี ....ธ...ร...ร....ม...แ...ก....ร....า...ษ....ฎ....ร...ใ..น.....ว...ัน....พ....ร....ะ......ห....ร....ือ...พ....ร....ะ..ม....ห....า..ธ....ร...ร....ม...ร...า...ช...า...ท....่ี ....๑.......(..ล....ไิ...ท....ย...)......ท....ร....ง...อ....อ...ก....ผ...น.....ว...ช.......ร...ว...ม...ท....้ัง... พ....ร....ะ..ร....า...ช...น....ิพ....น.....ธ...ว...ร....ร...ณ.....ก....ร....ร...ม....ท....า...ง...พ....ร....ะ..พ....ุท....ธ....ศ....า..ส.....น....า.......เ..ร....ื่อ...ง........ไ..ต....ร....ภ....ูม...ิพ....ร....ะ..ร....ว...ง...ห....ร...ือ....เ..ต....ภ....ูม...ิก....ถ....า.......ข...ณ.....ะ...เ..ด....ีย...ว...ก....ัน.... ร....า..ษ.....ฎ...ร....ส....โุ..ข...ท....ยั....ก....็ใ..ห....ท....า...น....แ....ล...ะ...ถ....ือ...ศ....ลี.......ม....ีก....า..ร....ท....อ...ด....ก....ฐ....นิ .......ฟ....ง...เ..ท....ศ....น....ม....ห....า...ช...า..ต....ิ............................................................................... ๓๘ (พิจารณาคาํ ตอบของนกั เรียน โดยใหอ ยใู นดุลยพินจิ ของครผู สู อน) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ขอ ใดตอไปนเี้ ปน สินคา หลกั ของอาณาจักรสโุ ขทัยที่พอคา ตางชาตติ องการ ครอู าจพานักเรยี นไปดแู หลงผลติ เคร่ืองสงั คโลกท่อี ําเภอศรีสชั นาลยั จังหวดั อยา งมาก สุโขทยั หรอื ไปแวะชมศูนยศึกษาและอนรุ ักษเ ตาสงั คโลก (เตาทุเรียง) เพือ่ ให นกั เรียนมีความรูเ กย่ี วกบั โบราณวัตถุท่ยี ังคงคณุ คา มาจนถึงปจ จุบนั 1. เครือ่ งสงั คโลก 2. ผลติ ผลจากปา นกั เรยี นควรรู 3. ผลิตผลทางการเกษตร 4. ผลิตภัณฑป ระเภทผา ไหม 1 เตาทุเรียง เปน เตาสาํ หรับเผาเครื่องถว ยชามตางๆ หรอื เครือ่ งสังคโลกใน สมัยสุโขทัย พบมากที่เมืองศรสี ัชนาลยั เตาทเุ รียงจะพบอยูในบริเวณใกลล าํ นํ้า วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะสุโขทยั มีความอดุ มสมบูรณข อง เพราะน้ําเปน สว นประกอบสาํ คญั ในกระบวนการผลิต ตง้ั แตขน้ั ตอนการเตรยี มดิน หมกั ดิน การปน จนถึงการเผา รวมท้งั ลํานา้ํ ยงั เปนเสนทางในการขนสง อกี ดวย ทรัพยากรปา ไม ดงั นน้ั ผลผลติ จากปาท่ีสาํ คัญ เชน เคร่อื งเทศ หนงั สตั ว ครงั่ ยางสน นา้ํ ผ้งึ ไมก ฤษณา เปนตน จึงเปนทีต่ อ งการของพอ คาตา งชาติ มาก เพราะเปน สินคา ทม่ี ีคุณภาพและราคาไมแ พง คมู อื ครู 99

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูเปด ประเดน็ เกี่ยวกับพฒั นาการทางดา น ๕. พัฒนาการทางดา้ นสังคมสมัยสโุ ขทยั สังคมสมยั สุโขทัย จากนั้นใหน กั เรียนกลมุ ที่ 3 นาํ เสนอสาระสําคัญหนา ช้นั เรยี น จำกกำรท่ีมีกำรรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นของคนไทยรอบๆ บริเวณเมืองสุโขทัยและบริเวณ ใกลเ้ คยี งในระยะแรกๆ จนกระทงั่ ไดม้ กี ำรขยำยตวั ของชมุ ชนจำกหมบู่ ำ้ นกลำยเปน็ เมอื ง และกลำย 2. ครูนําบตั รคาํ ของกลมุ คนในสังคมสโุ ขทัย ไดแ ก เปน็ อำณำจักรในทส่ี ดุ ไดท้ �ำใหส้ ภำพของสงั คมไทยสมยั สโุ ขทัยมีลกั ษณะผู้คนทม่ี ีควำมหลำกหลำย พระมหากษตั รยิ  พระราชวงศ ขุนนาง ไพร มำกขนึ้ ดงั นั้น ผู้คนในสงั คมไทยสมัยสุโขทยั จงึ จำ� เปน็ ต้องมอี �ำนำจหน้ำทแี่ ละควำมรับผิดชอบตอ่ และขา มาใหน ักเรียนชว ยกันบอกความหมาย สงั คมเพอื่ ให้สงั คมสำมำรถดำ� รงอยูไ่ ดจ้ นสำมำรถตง้ั เป็นอำณำจักรได้ และบทบาทหนา ที่ในสังคม สภำพของโครงสร้ำงสงั คมสโุ ขทยั มลี ักษณะดงั นี้ 3. ครูใหนกั เรียนรว มกันแสดงความคิดเหน็ วา 5.๑ กลมุ่ คนในสงั คมสโุ ขทยั ในสมยั สุโขทัยใชว ิธีการใดในการสรา งความ สงบสุขใหแ กสังคม กลุ่มคนในสังคมสมยั สโุ ขทัย สำมำรถแบ่งออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ได้แก ่ บคุ คลท่มี อี ำ� นำจ (แนวตอบ นอกจากกฎหมายแลว ผูน าํ สโุ ขทยั ได หนำ้ ที่ในกำรปกครอง ประกอบดว้ ย พระมหำกษตั รยิ ์ พระรำชวงศ ์ (เจ้ำนำย) ขุนนำง และบุคคล ใชศาสนาเปนเคร่ืองมือในการอบรมราษฎรใหมี ทอี่ ยู่ใต้กำรปกครอง ประกอบด้วย ไพร่ และข้ำ โดยมรี ำยละเอียดดังน้ี ศีลธรรม เชน ในสมัยพอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช ทรงนมิ นตพระสงฆจ ากนครศรธี รรมราชมา พระมหำกษัตริย์ เผยแผแ ละสั่งสอนธรรมแกราษฎร หรอื ในสมยั คอื ผมู้ อี �ำ น�จสงู สดุ ในก�รปกครองอ�ณ�จกั รในระยะเรม่ิ แรก พระมห�กษตั รยิ ส์ โุ ขทยั เปรยี บเสมอื น พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลไิ ทย) ทรงพระราช- นพิ นธหนังสอื ไตรภมู ิพระรว ง ที่สอนใหคนทํา บดิ �ของร�ษฎร ตอ่ ม�พระมห�กษตั รยิ ม์ ลี กั ษณะเปน็ “ธรรมร�ช�” สว่ นคว�มเปน็ สมมตเิ ทพของ แตค วามดี ละเวน ความช่วั เมอื่ ราษฎรอยูใน พระมห�กษัตริย์จะเริม่ ขนึ้ ในตอนปล�ยสมยั สุโขทยั แตย่ งั ไมช่ ดั เจนเท่�กับสมยั อยุธย� ศลี ธรรม มพี ระพทุ ธศาสนาเปนเครือ่ งยดึ เหนยี่ ว จติ ใจ สงั คมก็จะเกิดความสงบสุข) พระรำชวงศ์ เปน็ ผทู้ มี่ เี ชอ้ื ส�ยรว่ มกบั กษตั รยิ ์ บ�งครง้ั เรยี กว�่ “เจ�้ น�ย” บรรด�พระร�ชวงศท์ ใี่ กลช้ ดิ และ มีคว�มส�ม�รถอ�จได้รับมอบหม�ยจ�กพระมห�กษัตริย์ให้ปกครองดูแลเมืองสำ�คัญ หรืออ�จ มีโอก�สไดส้ บื ร�ชสมบัติได้ ขนุ นำง หม�ยถึง ผู้ท่ีปฏิบัติหน้�ที่ดูแลบ้�นเมือง ปกครองผู้คน และเป็นผู้นำ�กำ�ลังไพร่พลออก ทำ�สงคร�มป้องกันอ�ณ�จกั รต�มพระบรมร�ชโองก�รของพระมห�กษตั รยิ ์ ไพร่ 1 หม�ยถงึ ร�ษฎรส�มญั ชนธรรมด� มอี สิ ระในก�รด�ำ รงชวี ติ มสี ทิ ธภิ �ยใตก้ ฎหม�ยทกี่ �ำ หนดไว้ ไพรจ่ ะถกู เกณฑแ์ รงง�นไปใชเ้ ปน็ ครง้ั คร�ว ไพรม่ ที งั้ ไพรท่ เี่ ปน็ ของหลวงหรอื ของพระเจ�้ แผน่ ดนิ และที่ขึน้ อยูก่ บั เจ้�น�ยหรือคนอน่ื ๆ ข้ำ หม�ยถึง กลุ่มคนท่ีไม่มีอิสระและเสรีภ�พในก�รดำ�เนินชีวิตของตนเอง และต้องเสียสละ แรงง�นใหก้ บั น�ยในสมยั สโุ ขทยั มศี ลิ �จ�รกึ กล�่ วว�่ พระมห�ธรรมร�ช�ท่ี๑(ลไิ ทย)ทรงน�ำ เชลยศกึ ม�เปน็ ข�้ พระวดั ป�่ แดง หรอื ศลิ �จ�รกึ บ�งหลกั กก็ ล�่ วว�่ พระมห�เถรศรศี รทั ธ�ฯ ซอ้ื คนปลดปลอ่ ยเปน็ ๑00 อสิ ระในขณะทเ่ี ดนิ ท�งจ�กสโุ ขทยั ไปล�ำ พนู ดงั นน้ั ในสมยั สโุ ขทยั คนธรรมด�ทวั่ ไปกส็ �ม�รถมขี �้ ได้ เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูอธิบายเพ่มิ เตมิ วา นอกจากกลมุ คนตา งๆ ดังกลาวแลว สุโขทยั ยังมพี ระสงฆ ครใู หนักเรียนศกึ ษาคน ควา ความรเู พ่มิ เติมเกย่ี วกบั วถิ ีชีวติ ความเปน อยู ทที่ ําหนา ท่ีสง่ั สอนธรรมใหแกป ระชาชน ซ่ึงพระสงฆสมยั สโุ ขทัยแบงเปน 2 ฝาย คือ ของคนในสมยั สโุ ขทยั สรุปสาระสําคัญและนํามาอภปิ รายในชนั้ เรียน คามวาสี เปน กลมุ พระสงฆท จี่ าํ พรรษาในเมือง เนนการศกึ ษาพระคมั ภีร กับ อรญั วาสี เปนกลมุ พระสงฆที่จําพรรษานอกชมุ ชน เนน การปฏิบตั ธิ รรม ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ไพรม บี ทบาทสาํ คัญอยางไรในสังคมสโุ ขทัย นักเรยี นควรรู แนวตอบ ไพรถอื เปนประชากรจาํ นวนมากของสงั คมสโุ ขทยั เปน ราษฎรท่ีมี อิสระในการดาํ รงชีวติ มีสทิ ธิตามทกี่ ฎหมายกาํ หนด โดยจะถูกเกณฑแรงงาน 1 ราษฎรสามัญชน ในสังคมสโุ ขทัยราษฎรสโุ ขทยั มีความผูกพนั ใกลชดิ กบั หรอื ออกศึกเปน คร้งั คราว พระพุทธศาสนา ดงั จะเห็นไดจากการอยใู นศีลธรรมและเขารวมพิธีกรรมทางศาสนา เชน ฟง ธรรม รักษาศีล ทําบญุ ใหทาน สรางวดั ดังปรากฏขอ ความในศิลาจารึก สโุ ขทยั หลักท่ี 1 วา “...วนั เดือนดับ เดอื นโอกแปดวนั วันเดือนเตม็ เดือนบา งแปดวัน ฝูงปูครู เถร มหาเถร ขน้ึ นั่งเหนือขดารหินสูดธรรมแกอ บุ าสก ฝูงทวยจําศลี ...” และ อกี ตอนหนงึ่ วา “...คนในเมืองสโุ ขทยั น้ี มักทาน มักทรงศลี มกั โอยทาน...” 100 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู นอกจำกน ี้ ยงั มพี ระภกิ ษสุ งฆซ์ งึ่ เปน็ กลมุ่ สำ� คญั อกี กลมุ่ หนง่ึ เนอ่ื งจำกพระพทุ ธศำสนำนิกำย 1. ครูและนกั เรยี นรวมกนั สรปุ ความรูเ ก่ยี วกับ หนิ ยำน หรือนิกำยเถรวำทลัทธลิ ังกำวงศเ์ จริญร่งุ เรืองในสุโขทยั ซึ่งพระมหำกษตั ริย์ลงมำถึงไพร่ พฒั นาการทางดา นสังคมสมัยสุโขทัย และข้ำ ก็สำมำรถบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้ อีกท้ังบรรดำพระภิกษุสงฆ์ยังได้รับกำรอุปถัมภ์ จำกพระมหำกษัตริย์แหง่ กรุงสโุ ขทัยอีกด้วย 2. ครเู ปด ประเด็นเก่ียวกับพัฒนาการทางดา น ศิลปวฒั นธรรมสมัยสุโขทัย จากนัน้ ใหนกั เรยี น 5.๒ กฎหมำยและกำรพจิ ำรณำคดคี วำม กลุม ท่ี 4 นาํ เสนอสาระสําคญั หนา ช้นั เรียน ในสมัยสุโขทัยได้มีหลักฐำนท่ีแสดงให้เห็นว่ำมีกำรตรำกฎหมำยในลักษณะต่ำงๆ เพ่ือสร้ำง ควำมเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยและควำมเปน็ ธรรมใหเ้ กดิ ขน้ึ ในสงั คม กฎหมำยทต่ี รำขนึ้ ในสมยั สโุ ขทยั จำกหลกั ฐำนทค่ี น้ พบและตคี วำมได้จำกศลิ ำจำรึกสุโขทยั มีลักษณะตำ่ งๆ ดงั นี้ ๑. ลักษณะทรัพยส์ ินมรดก ๒. ลกั ษณะกำรพิจำรณำคดีควำม ๔๓.. ลลักกั ษษณณะะโกจำรร1รอ้ งฎกี ำ อย่ำงไรก็ตำม กล่ำวได้ว่ำ ลักษณะสังคมในสมัยสุโขทัยยังไม่มีควำมสลับซับซ้อนมำกนัก ทั้งน้ีเน่ืองจำกในสมัยน้ันจ�ำนวนผู้คนยังไม่มำก ประกอบกับชำวสุโขทัยมีพระพุทธศำสนำเป็น เครอ่ื งยดึ เหนยี่ วจิตใจ จงึ ทำ� ให้กำรด�ำเนินชีวิตของผู้คนในสมยั สุโขทัยคอ่ นขำ้ งมลี กั ษณะเรียบง่ำย และสงบสุข ๖. พฒั นาการทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมสมยั สโุ ขทยั ศิลปวัฒนธรรมช่วยให้เกิดควำมเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของคนไทยในสมัยสุโขทัย ศิลป- วฒั นธรรมเหลำ่ นเี้ กดิ จำกกำรผสมผสำนระหวำ่ งวฒั นธรรมดงั้ เดมิ ของคนไทยกบั วฒั นธรรมทแ่ี พร่ เข้ำมำจำกภำยนอก จนกลำยเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยสมัยสุโขทัย และมีกำรสืบทอดมำจนถึง ปัจจุบนั พฒั นำกำรทำงดำ้ นศลิ ปวฒั นธรรมทส่ี ำ� คญั ในสมัยสโุ ขทยั มีดงั นี้ ๖.๑ ดำ้ นศลิ ปกรรม ศิลปกรรมสมัยสุโขทัยเป็นศิลปะท่ีมีกำรผสมผสำนระหว่ำงศิลปะดั้งเดิมกับศิลปะที่ได้ รับมำจำกอำรยธรรมอ่ืน จนกลำยเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะไทยสมัยสุโขทัย โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง กำรรับเอำพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทลัทธิลังกำวงศ์จำกนครศรีธรรมรำชมำประดิษฐำนใน กรุงสุโขทัย ส่งผลท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงด้ำนศิลปกรรมอย่ำงมำกมำย จำกหลกั ฐำนทำง ดำ้ นโบรำณคดที ยี่ งั หลงเหลอื อย ู่ พบวำ่ ศลิ ปกรรมสมยั สโุ ขทยั มที ง้ั ดำ้ นสถำปตั ยกรรม ประตมิ ำกรรม และจติ รกรรม โดยมีรำยละเอยี ด ดงั นี้ ๑0๑ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู ขอใดเปน เครือ่ งกํากับพฤตกิ รรมของชาวสุโขทยั ทําใหส ภาพสงั คมมี 1 ลกั ษณะโจร กฎหมายลักษณะโจรสมยั สโุ ขทยั (จากศลิ าจารกึ หลักที่ 38) ความสงบสุข มลี ักษณะเปนกฎหมายอาญา เชน ใหร างวัลแกผ ูจับขโมยหรือนําของถกู ขโมยไป คนื เจา ของ การไมช วยจับโจรมีความผดิ เสมอื นลกั ทรัพยผูอ ื่น เปนตน กฎหมายนี้ 1. กฎหมาย มีจดุ มุงหมายเพอื่ ทีจ่ ะใหป ระชาชนพยายามนาํ ตวั ผกู ระทาํ ความผิดมาลงโทษใหได 2. ระบบชนช้นั และเพ่ือเปนการสงเสรมิ ใหป ระชาชนเปน พลเมอื งดี 3. พระพทุ ธศาสนา 4. จํานวนประชากร มมุ IT วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. พระพทุ ธศาสนาเปนเคร่ืองกํากบั พฤติกรรม ศกึ ษาคนควา ขอมูลเพ่มิ เติมเกยี่ วกับลักษณะกฎหมายในสมัยสุโขทัย ไดท่ี http://www.info.ru.ac.th/province/sukhothai/pkr8.htm เวบ็ ไซตส ารสนเทศ ทสี่ าํ คญั ของชาวสุโขทัย จากความเลือ่ มใสศรทั ธาและการปฏิบัติตนตาม จงั หวัดทตี่ ้ังสาขาวิทยบรกิ ารเฉลมิ พระเกยี รติ มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง หลกั ธรรมตางๆ รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมของชาวสโุ ขทัยของ พระมหากษตั ริยผ า นทางวรรณคดที างพระพุทธศาสนาเร่ือง ไตรภูมิพระรว ง คูม ือครู 101

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครนู ําภาพศิลปกรรมสโุ ขทยั เชน เจดยี องคใหญ ๑) สถาปัตยกรรม สถำปตั ยกรรมทีส่ �ำคัญของสโุ ขทยั ประกอบด้วย เจดยี ์ อำคำร ที่วัดมหาธาตุ วดั ชางลอม วดั เจดยี เจด็ แถว พระพุทธรูปปางลลี า เปน ตน มาแสดงให วิหำร โบสถ์ หรอื อโุ บสถ เปน็ ต้น นักเรียนดู จากนั้นใหน กั เรียนแสดงความคิดเห็น (๑) เจดยี ์ เจดยี ์แบบสโุ ขทยั แทฐ้ ำนจะเป็นสีเ่ หลย่ี ม ๓ ช้ันตั้งซอ้ นกัน องค์เจดีย์มี เกี่ยวกบั ลักษณะและความงดงามของศลิ ปกรรม สมัยสุโขทยั ลกั ษณะเปน็ ทรงกลม หรอื ยอ่ มมุ แบบเหลยี่ ม มซี มุ้ จระนำ� ปลำยเจดยี จ์ ะทำ� เปน็ รปู ทรงพมุ่ ขำ้ วบณิ ฑ์ หรือดอกบัวตูม เช่น พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่วัดมหำธำตุ พระเจดีย์องค์กลำงท่ีวัดเจดีย์เจ็ดแถว 2. ครูใหนักเรียนดภู าพเจดยี จากหนังสอื เรียน หนา เมืองศรีสัชนำลัย และในสมัยสุโขทัยยังมีกำรสร้ำงเจดีย์แบบลังกำ (ทรงระฆังคว่�ำ) มีฐำนเป็นรปู 102 แลว ใหน ักเรยี นเปรยี บเทยี บเจดยี ร ปู แบบ สี่เหล่ียม บำงแห่งท�ำเป็นรูปปูนปั้นช้ำงคร่ึงตัวยื่นศีรษะออกมำรำยรอบท่ีฐำนพระเจดีย์ ฐำนช้ันท่ี ตา งๆ ในสมยั สุโขทัยวา มีลักษณะแตกตางกัน สองมซี มุ้ ประดษิ ฐำนพระพทุ ธรปู อยโู่ ดยรอบ ตอ่ จำกนน้ั จงึ เปน็ ฐำนกลมซอ้ นขนึ้ ไปจนถงึ องคร์ ะฆงั ควำ�่ อยา งไร แบบลงั กำ ส่วนบนของระฆงั เปน็ บลั ลังก์รูปส่ีเหล่ยี มต่อด้วยปล้องไฉน รปู วงแหวนเปน็ ชั้นๆ จนถงึ (แนวตอบ เจดยี ท ่สี รา งในสมยั สุโขทยั มีอยหู ลาย ยอดรูปบัวตูม เช่น พระเจดีย์วัดช้ำงล้อม เมืองศรีสัชนำลัย นอกจำกนี้ยังมีกำรสร้ำงเจดีย์ แบบ เชน แบบลงั กำผสมศรวี ชิ ยั มฐี ำนเปน็ รปู สเี่ หลย่ี มแบบศรวี ชิ ยั และอำจมคี หู ำประดษิ ฐำนพระพทุ ธรปู ดว้ ย • เจดียแ บบสุโขทัยแท ฐานเปนส่ีเหลีย่ ม 3 ชน้ั ตอนบนเปน็ พระเจดีย์ทรงลังกำ เช่น เจดยี ์ท่วี ัดเจดียเ์ จ็ดแถว เมอื งศรีสชั นำลัย เปน็ ต้น องคเ จดยี เปน ทรงกลม หรือยอมุมแบบเหลยี่ ม มีซมุ จระนํา ยอดเจดยี เ ปนทรงพมุ ขา วบณิ ฑ 1 เจดยี ท์ รงกลมแบบลงั กา เจดียแ์ บบลังกาผสมศรีวชิ ยั หรือดอกบวั ตมู เชน เจดยี ป ระธานท่ี วัดช้างล้อม จังหวัดสโุ ขทัย วดั เจดยี ์เจด็ แถว จงั หวัดสโุ ขทยั วัดมหาธาตุ เปนตน เจดีย์ทรงพุ่มขา้ วบิณฑ์ • เจดยี แบบลงั กา มฐี านเปน รปู ส่ีเหลย่ี ม มีปนู ปน วัดเจดยี ์เจด็ แถว จงั หวดั สุโขทัย ประดับโดยรอบ ฐานช้ันที่สองมซี มุ ประดับ พระพทุ ธรูปโดยรอบ ชัน้ ตอ ไปเปน ฐานกลม (๒) อาคาร หลักฐำนที่ยงั หลงเหลืออยูต่ ำมวดั วำอำรำม มีลักษณะเป็นอำคำรโถง ซอ นขึ้นไปจนถงึ องคเจดยี ท รงระฆงั ควาํ่ หรอื อำคำรทม่ี ฝี ำผนงั มหี ลงั คำซอ้ นกนั เปน็ ชนั้ ๆ ผงั อำคำรเปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผำ้ ทำงดำ้ นหนำ้ กอ่ สวนบนของระฆังเปน บลั ลงั กร ูปสี่เหล่ียมตอ เปน็ มขุ ยนื่ ออกมำ มบี นั ไดขนึ้ สองขำ้ งทำง เชน่ วหิ ำรทวี่ ดั สวนแกว้ อทุ ยำนนอ้ ย เมอื งศรสี ชั นำลยั ดวยปลอ งไฉนรปู วงแหวนเปนช้ันๆ จนถึง เปน็ ตน้ ยอดรูปบัวตูม เชน เจดียทว่ี ดั ชา งลอม เปนตน สำ� หรบั สถำปตั ยกรรมรปู ทรงอำคำรที่ก่อด้วยศิลำแลง หลังคำใช้เรียงด้วยศลิ ำแลง • เจดยี แ บบลงั กาผสมศรวี ชิ ัย มีฐานเปน ซอ้ นเหลอ่ื มกนั ขนึ้ ไปจนถงึ ชนั้ สงู สดุ ทไ่ี ปบรรจบกนั เชน่ วหิ ำรทว่ี ดั กฎุ รี ำย เมอื งศรสี ชั นำลยั เปน็ ตน้ รูปสีเ่ หล่ยี มแบบศรีวิชยั ยอดเจดยี เ ปน ทรง ลังกา เชน เจดียท่วี ัดเจดียเจ็ดแถว เปนตน) ๑0๒ นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เจดยี ท รงพมุ ขาวบณิ ฑเปนเอกลกั ษณทางสถาปตยกรรมของสโุ ขทัยดว ย 1 เจดียทรงพมุ ขา วบิณฑ เปน สถาปตยกรรมแบบสโุ ขทัยแทท ศ่ี ิลปนสุโขทยั นยิ ม เหตผุ ลใด สรา งไวตามหัวเมืองสําคญั ของสุโขทัย อาทิ ศรีสัชนาลยั นครชุม สองแคว เปน ตน 1. มีความงดงามสมสวน ซึ่งการพบเจดยี ท รงลกั ษณะเชน นีต้ ามเมืองตา งๆ อาจแสดงถึงอาํ นาจทางการเมอื ง 2. เปนรปู แบบท่ีสุโขทัยริเริม่ สรา งสรรคข้นึ การปกครองของสโุ ขทยั ตอหัวเมอื งนนั้ ๆ ก็เปน ได 3. เปนเจดยี ท ่ีพบมากที่สุดในอาณาจักรสโุ ขทยั 4. มีลกั ษณะของการผสมผสานอทิ ธพิ ลทางศลิ ปะแบบตางๆ มมุ IT วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เจดยี ทรงพมุ ขาวบณิ ฑร ิเร่มิ สรา งสรรคข้ึนใน อาณาจกั รสุโขทยั ไมมีการสรางเจดียแ บบนีใ้ นอาณาจักรอนื่ สมัยหลังตอ มา ศกึ ษาคน ควาขอมลู เพิม่ เตมิ เก่ียวกบั เจดยี ร ูปทรงตางๆ ไดท ี่ http://www.info. โดยมลี กั ษณะโดดเดน เปน ของตนเองอยา งเดนชดั จงึ กลาวไดวา เปน ru.ac.th/province/sukhotai/art1.htm เว็บไซตสารสนเทศจังหวดั ทีต่ ง้ั สาขา เอกลกั ษณท างสถาปตยกรรมของสุโขทัยโดยแท วิทยบรกิ ารเฉลมิ พระเกียรติ มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง 102 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู พระอจนะ ครใู หนกั เรยี นอธบิ ายเก่ยี วกบั สถาปตยกรรม ประเภทอาคาร วหิ าร และโบสถในสมัยสโุ ขทยั วา มณฑปวัดศรชี มุ ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปูนป้นั ปางมารวชิ ัย ปรากฏเรยี กในศิลาจารึกว่า “พระอจนะ” มีลักษณะอยางไร สว่ นอาคารทเี่ ปน็ ปราสาทราชวงั ปจั จบุ นั นไ้ี มป่ รากฏหลกั ฐานทจี่ ะใหท้ า� การศกึ ษาได้ (แนวตอบ เราสามารถทราบเพยี งโครงสรา้ งกวา้ งๆ เทา่ นน้ั เพราะสว่ นใหญส่ รา้ งดว้ ยไมจ้ งึ ผพุ งั ไปตามกาลเวลา • อาคาร กอ ดวยศิลาแลง มีแผนผังเปน แล ดบหบลทน่ัี่มกีโถันงไ ปเชถงึ่นสย ว่อมนดณส ฑถหาปลปวงั ตัคดั ยาศกเรปรีชร็นมุมช ร2ั้นเปูมปทอื รรงะงสมอโุาขาณคทา ัยร๓ ทเ ปมี่ ช็นลี้นั ตกั ษ้นทณเ่ี ระียเกปวน็ า่ ส เ่ี “หมลณย่ี ฑม ปจ”ะม1มหี ีทลัง้ งั แคบาบเปทน็ ีม่ ชผี น้ั นแงั หแลลมะ รูปส่เี หลย่ี มผนื ผา มีฝาผนงั หลงั คาซอ นกนั (๓) วิหาร วหิ ารมีลักษณะใหญ่กว่าโบสถ์ กา� แพงทึบและเจาะเป็นช่องเล็กๆ คลา้ ย เปนช้นั ๆ เรยี กวา มณฑป ดา นหนาเปนมขุ หนา้ ตา่ งเพอื่ ใหแ้ สงลอดเขา้ ไปขา้ งในได ้ นยิ มสรา้ งไวด้ า้ นหนา้ ของเจดยี ์ เชน่ พระวหิ ารหลวงกลาง ยนื่ ออกมา มบี ันไดขึ้นสองทาง เมอื งสโุ ขทยั นอกจากนกี้ ม็ ลี กั ษณะเปน็ วหิ ารทม่ี ผี นงั กน้ั ขน้ึ มาครงึ่ หนง่ึ เชน่ วหิ ารหลวงวดั มหาธาตุ • วหิ าร เปนสิ่งกอ สรางมีกําแพงทบึ และเจาะ บางแหง่ มศี ลิ าแทง่ สรา้ งเปน็ รว้ั เลยี นแบบรวั้ ไม ้ เชน่ ทวี่ ดั พระเชตพุ น บรเิ วณอทุ ยานประวตั ศิ าสตร์ เปนชอ งเลก็ ๆ คลา ยหนา ตาง นิยมสรางไว สโุ ขทัย เป็นตน้ ดา นหนา ของเจดยี  • โบสถ มแี ผนผงั เปน รปู สเี่ หลยี่ มผนื ผา หนั หนา (๔) โบสถห์ รอื อโุ บสถ เปน็ สงิ่ กอ่ สรา้ งทส่ี า� คญั และมคี นเขา้ ไปใชง้ านมากทส่ี ดุ ของวดั ไปทางทิศตะวนั ออก มีขอบเขตสมี าเพ่ือใช และใชเ้ ปน็ ทปี่ ระกอบสงั ฆกรรม จงึ ต้องมกี ารกา� หนดขอบเขต หรอื ท่เี รยี กว่า “สมี า” โบสถส์ ุโขทัย ประกอบสังฆกรรม) แทบทกุ หลงั จะหนั หน้าไปทางทศิ ตะวันออก มแี ผนผงั เป็นสเี่ หล่ียมผนื ผา้ เช่น โบสถว์ ัดมหาธาต ุ โบสถ์วดั นางพญา เมืองศรสี ัชนาลยั เปน็ ต้น นอกจากน ี้ ยงั พบสถาปตั ยกรรมอกี ประเภทหนง่ึ ซงึ่ ยงั คงเหลอื รอ่ งรอยมาจนถงึ ปจั จบุ นั คือ พวกกา� แพงเมอื ง ซ้มุ ประตู ป้อมปราการ โดยก�าแพงเมืองจะมีการขุดคลู ้อมรอบ ตวั อยา่ งที่ เหน็ ไดเ้ ดน่ ชดั เชน่ กา� แพงเมอื งเกา่ สโุ ขทยั กา� แพงและปอ้ มทงุ่ เศรษฐ ี จงั หวดั กา� แพงเพชร เปน็ ตน้ 103 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู ความเจรญิ ทางศิลปวฒั นธรรมของอาณาจกั รสุโขทยั เปน รากฐานของ 1 มณฑป เปน คาํ เรยี กอาคารชนิดหนึ่งในศิลปะสุโขทัย มลี กั ษณะเปน ทรง ศลิ ปวัฒนธรรมไทยในปจ จุบนั หลายดา น ยกเวน ขอใด สเี่ หลี่ยม กอ ดวยอฐิ หรือศิลาแลง มีประตูดา นหนา เพียงดานเดียว ภายในประดษิ ฐาน พระพทุ ธรปู ขนาดใหญ สวนหลังคากอดว ยอิฐหรอื ศลิ าแลง มีทงั้ ทเ่ี ปนทรงจ่ัวและ 1. พระพทุ ธรปู หลงั คาโคง แตหากอาคารใดหลังคาพงั ทลายไปแลว สนั นิษฐานวานาจะเปนหลงั คา 2. เครอ่ื งสงั คโลก เคร่อื งไมม งุ กระเบื้อง 3. พระพทุ ธศาสนา 2 มณฑปวัดศรีชุม เปน มณฑปที่ใหญทสี่ ุดของสุโขทัย โดยเปนอาคารทรง 4. ภาษาและวรรณกรรม สีเ่ หลยี่ ม ทผ่ี นังมอี ุโมงคเ ปน ทางเดินขึน้ ไปถงึ ยอดมณฑปได จึงมกั เรยี กวา อโุ มงค วดั ศรีชมุ ภายในอุโมงคน ย้ี ังเปน ทีค่ นพบศิลาจารกึ สโุ ขทยั หลักที่ 2 (จารกึ วดั ศรีชมุ ) วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เคร่ืองสังคโลกเปน ศิลปวฒั นธรรมของ ซ่ึงจารกึ เรือ่ งราวการกอต้ังราชวงศผาเมือง ราชวงศพระรวง และการสถาปนา กรุงสุโขทัย อาณาจกั รสุโขทยั ท่ีไมปรากฏหลกั ฐานวา เปน รากฐานของการพฒั นาอยาง สบื เนือ่ งของเครอ่ื งปน ดินเผาไทยในปจ จุบัน คูมือครู 103

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู มุ นักเรยี นอธบิ ายลกั ษณะของพระพุทธรปู ๒) ประติมากรรม ผลงำน สมยั สโุ ขทยั จากภาพพระพทุ ธรปู ในหนงั สือเรยี น ทำงดำ้ นประตมิ ำกรรมทส่ี ำ� คญั ในสมยั สโุ ขทยั หนา 104 ได้แก่ กำรแกะสลักศิลปวัตถุต่ำงๆ กำรปั้น (แนวตอบ จากภาพเปน พระอจนะในวัดศรชี ุม พระพุทธรูป และกำรท�ำเครื่องปั้นดินเผำ เปน พระพุทธรูปปางมารวิชัย มพี ระพักตรรปู ไข (สังคโลก) ซึ่งก็มีกำรปั้นรูปสัตว์ต่ำงๆ เช่น พระขนงโกง พระนาสกิ แหลมงมุ พระโอษฐบาง รปู นำค รูปช้ำง เปน็ ตน้ และแสดงอาการยมิ้ พระรัศมีเปน เปลวเพลงิ งดงาม พระวรกายออนชอยสงางามสมสดั สวน พระพุทธรูปสุโขทัยได้รับกำร พระอรุ ะผาย พระอังสาใหญ พระกรยาวและ ยกยอ่ งวำ่ เปน็ พทุ ธประตมิ ำกรรมทม่ี คี วำมงำม กลมกลึง นว้ิ พระหตั ถเรยี วยาว) สมบรู ณอ์ ยำ่ งลงตวั คอื “พระพกั ตรเ์ รยี วรปู ไข่ ปรำศจำกไรพระศก พระขนงโกง่ พระนำสกิ งมุ้ 2. ครูใหนักเรยี นคน ควาเกีย่ วกับพระพทุ ธรูปสมัย พระกรรณยำว พระโอษฐเ์ ลก็ บำง ลกั ษณะคลำ้ ย สุโขทยั จากน้ันนาํ ขอ มูลมาอภิปรายรวมกันใน ยม้ิ เลก็ นอ้ ย” ช้นั เรยี น ควำมงดงำมของพระพุทธรูป สุโขทัยเป็นผลของพัฒนำกำรทำงศิลปะที่ สั่งสมมำจำกกำรสร้ำงสรรค์ของช่ำง รวมถึง ประติมากรรมในสมัยสุโขทัยที่เป็นพระพุทธรูป ได้รับการ กำรสนับสนุนของพระมหำกษัตริย์และได้ ยกยอ่ งมากวา่ สามารถสร้างสรรคไ์ ดอ้ ย่างงดงามมาก สง่ อทิ ธพิ ลตอ่ กำรสรำ้ งงำนพทุ ธศลิ ปแ กบ่ ำ้ นเมอื งในยคุ ตอ่ มำจนถงึ ปจั จบุ นั ภ ำพลำยเส้น๓ส)ล ักจบติ นรกแรผร่นมช นในวสนมหยั ินส โุ ขปทรยัะด ภับำมพณจติฑรปกรวรัดมศมรทีีชงัุ้มภ 1ำจพังลหำวยัดเสสน้ ุโแขลทะัยภ ำเพปเ็ขนยีภนำโพดชยเำฉดพกำทะี่ มอี ทิ ธพิ ลของศลิ ปะลงั กำ โดยเฉพำะเทวดำทปี่ รำกฏมลี ักษณะใกล้เคียงกับศลิ ปะลงั กำอย่ำงมำก สำ� หรับจติ รกรรมฝำผนงั นั้นต่ำงจำกภำพลำยเสน้ สีที่ใชเ้ ปน็ สีแบบด�ำ แดง ทเี่ รยี กว่ำ “สเี อกรงค์” ภำพเขียนทีส่ �ำคญั คือ ภำพเขยี นทวี่ ัดเจดียเ์ จ็ดแถว เมอื งศรีสชั นำลยั ภาพโคชานิยชาดก เป็นภาพลายเส้นสลัก บนแผ่นหินชนวน ประดับมณฑปวัดศรีชุม จงั หวดั สุโขทัย ๑04 เกรด็ แนะครู บูรณาการเชอ่ื มสาระ ครนู าํ ภาพทแ่ี สดงถงึ ความเปนเอกลกั ษณอ ันโดดเดน ทางดานศลิ ปกรรม ครูเลา ใหนักเรยี นฟง วาภายในมณฑปวดั ศรชี มุ ผนงั ทางดา นหลงั องคพระอจนะ ในสมัยสโุ ขทยั เชน เจดียทรงพมุ ขาวบิณฑ พระพุทธรูปปางลลี า มารว มกนั จะมีอุโมงคแ คบๆ ทคี่ นสามารถเดนิ เขา ไปยังหลังเศียรพระได เมื่อขึน้ ไปแลว และ อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกับความงดงามทางศิลปะ โดยบรู ณาการ พดู ออกมาดังๆ เสียงจะดังกองกังวานเหมอื นวาพระอจนะพดู ได จึงเปน ท่ีมาของ เช่อื มโยงกบั กลมุ สาระการเรียนรูศลิ ปะ วชิ าทัศนศิลป หวั ขอทศั นศลิ ปใน คํารํ่าลอื วา พระพูดได ซึ่งในสมัยกอนจะเปน วิธหี นึง่ ทใ่ี ชใ นการปลกุ ปลอบขวัญทหาร วัฒนธรรมไทย เชน เจดยี ท รงพุม ขา วบณิ ฑหรอื ทรงดอกบัวตมู เปน เจดีย ในยามสงคราม ลักษณะพเิ ศษทป่ี รากฏที่สโุ ขทัยและเมืองสําคัญๆ ทีม่ ีความเกีย่ วของกับ ราชธานสี ุโขทยั โดยตวั เจดยี ต ้ังอยบู นฐานสงู เพื่อใหด ูเดน เจดยี ลักษณะน้ี นกั เรยี นควรรู เปน การผสมผสานรปู แบบจากศิลปะเขมร ลา นนา และพุกาม จนกลายเปน เอกลักษณท ่โี ดดเดนของสุโขทัย ในการสรา งเจดยี ท รงนจี้ ะมเี จดยี ท รงพุม 1 วดั ศรชี มุ คําวา “ศรี” มาจากภาษาพน้ื เมืองเดิมวา “สะหลี” ซึ่งหมายถงึ ตนโพธิ์ ขาวบิณฑอยตู รงกลางเปน เจดียประธาน อาจเปน สัญลักษณข องศนู ยก ลาง ดังน้นั ชื่อศรีชุม จงึ แปลวา ดงของตน โพธิ์ สนั นิษฐานวา วัดนมี้ ีมาต้งั แตสมยั จักรวาลหรือเขาพระสเุ มรุ ซึ่งเปนเขาที่สถิตอยใู จกลางจกั รวาลตามความเชื่อ พอ ขุนรามคาํ แหงมหาราช จดุ เดน ของวัด คอื พระอจนะ ดงั ปรากฏชื่ออยูใ นศลิ าจารึก ในไตรภมู ิพระรว ง เพ่อื แสดงใหเห็นวาสโุ ขทยั เปนเมอื งศูนยกลางแหงอํานาจ สโุ ขทัยหลกั ท่ี 1 ซง่ึ สนั นษิ ฐานวาคอื พระพุทธรปู องคใหญท ่ีวัดแหง น้ี โดยพระอจนะ ตัวเจดยี ป ระธานต้ังอยเู หนอื เรือนธาตสุ ่เี หลี่ยมยอไมย ส่ี บิ หมายถึง ผูไ มหว่ันไหว เปน พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ัย ขนาดหนาตักกวา ง 11.3 เมตร 104 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๖.๒ ดานภาษาและวรรณกรรม 1. ครูสนทนากับนักเรียนเพ่อื ใหเขา ใจถึง ความเจรญิ ของสุโขทยั ทางดา นภาษาและ ความเจริญดานภาษาและวรรณกรรมนับเปนวัฒนธรรมท่ีสําคัญยิ่ง วรรณกรรมวา เปนวัฒนธรรมสําคัญท่ีจัดเปน ในสมยั สโุ ขทยั เพราะเปน มรดกตกทอดมาจนถงึ คนไทยในยคุ ปจ จบุ นั ทาํ ให มรดกตกทอดมาถงึ คนไทยในปจ จบุ ัน เกิดความภูมิใจในบรรพบุรุษที่ไดสรางสรรคสิ่งท่ีเปนเกียรติภูมิของ คนไทยใหด ํารงอยูม าจนทกุ วนั นี้ 2. ครูใหนักเรียนชวยกันบอกความสาํ คัญของ ลายสอื ไทยและวรรณกรรมสมยั สโุ ขทยั ตอ ๑) ดานภาษา พอขุนรามคําแหงมหาราชไดทรงประดิษฐ คนไทยในปจจบุ ัน (แนวตอบ ลายสอื ไทยท่ีพอ ขนุ รามคําแหง เอรักียษกรวไาทย“ลโาดยยสดือัดไแทปยล”ง1จแาลกะอไักดษมรีกขาอรมพแัฒละนมาอมญาจขน้ึนเใปนนพอัก.ศษ. ร๑ไ๘ท๒ย๖ มหาราชทรงประดิษฐข ึ้น ทําใหค นไทยมี ในปจ จุบนั ทาํ ใหป ระเทศไทยเปนหน่ึงในไมก ่ปี ระเทศในโลกทม่ี ีภาษา ศิลาจารึกสโุ ขทยั หลักที่ ๑ ตวั อกั ษรใชเปนของตนเอง ซ่ึงอักษรไทยทีใ่ ชก นั เปนของตนเอง ท้ังภาษาเขียนและภาษาพูดอยางสมบูรณ คนไทยทุกคนจึงควรภาคภูมิใจ อยูในปจจบุ นั ก็มีววิ ฒั นาการมาจากลายสือไทย และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริยและบุญคุณของบรรพบุรุษ ท่ีไดสรางสรรค ดงั นั้น คนไทยรุนหลงั จึงควรภาคภมู ใิ จและใช อกั ษรและภาษาไทยใหต กทอดสบื มาจนถงึ ปจ จบุ นั และควรรว มมอื รว มใจกนั อนรุ กั ษใ หค งอยสู บื ไป ภาษาไทยใหถกู ตอง สวนวรรณกรรมสโุ ขทยั เชน ศิลาจารกึ สุโขทัยหลกั ท่ี 1 ไตรภูมพิ ระรวง ๒) ดานวรรณกรรม วรรณกรรมสมัยสุโขทัยท่ีรจู กั กันโดยท่วั ไป คือ ศิลาจารกึ และ นอกจากจะสะทอ นสภาพสงั คมและวฒั นธรรม ไตรภมู ิพระรวง ของสโุ ขทยั แลว ยงั ส่ังสอนใหค นทําแตค วามดี (๑) ศลิ าจารกึ ใหค วามรทู างดา นประวตั ศิ าสตร โบราณคดี อกั ษรศาสตร และอนื่ ๆ ละเวนการทาํ บาป) อีกหลายอยา ง เชน ในศลิ าจารึกสุโขทัยหลกั ที่ ๑ สะทอนใหเห็นถงึ สภาพสังคมและวัฒนธรรมของ สุโขทัยไดเ ปน อยางดี เปน ตน (๒) ไตรภูมิพระรว ง พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ทรงพระราชนิพนธขึ้น เม่ือ พ.ศ. ๑๘๘๘ โดยไดรับอิทธิพล จากพระพุทธศาสนา นับวาเปนวรรณคดีเลมแรกของไทย โดยบรรยายถึงความทุกขยากของนรก พรรณนาถึงสวรรค ถอยคําบรรยายกอใหเกิดภาพพจนและอารมณ ทําใหเกิดความเกรงกลัวตอบาปและมุงทําแต ความดี นอกจากน้ี ยงั มหี ลกั คาํ สอนใหพ ระมหา- กษตั รยิ ท รงประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามหลกั ทศพธิ ราช- ธรรมในพระพทุ ธศาสนา จงึ จะไดช อ่ื วา เปน ธรรม- ราชา และจะทําใหอาณาประชาราษฎรรมเย็น ไตรภูมพิ ระรวงเปนวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีวาดวยเร่ือง เปนสขุ นรก-สวรรค พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลไิ ทย) พระราชนพิ นธขนึ้ เพอื่ ใชส ง่ั สอนราษฎรใหตงั้ มน่ั อยูในศีลธรรม ๑๐๕ บรู ณาการเชื่อมสาระ นกั เรยี นควรรู ครเู ลาเร่อื งยอของวรรณคดใี นสมยั สุโขทยั เชน ไตรภมู ิพระรว ง เปนตน 1 ลายสอื ไทย คณุ ลกั ษณะพิเศษของลายสอื ไทย คอื ความสงู ตํ่าของตัวอักษร โดยบูรณาการเช่ือมโยงกบั กลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทย วิชาภาษาไทย เสมอกันและวางรูปพยัญชนะและสระทุกตวั ไวในบรรทดั เดยี วกนั ทําใหไมส้ินเปลอื ง (วรรณคดี) เกีย่ วกบั การวิเคราะหคณุ คา ของวรรณคดี และวชิ าพระพุทธศาสนา เนือ้ ท่ี และจากรปู อักษรท่ีสวนมากเปนเสน เดียวกนั ตลอด จึงทําใหเขยี นงายและ เก่ียวกบั หลักธรรมตางๆ ทส่ี อนใหค นมุงทําความดี โดยครยู กตัวอยา ง รวดเร็ว การวิเคราะหค ุณคา ของวรรณคดีทางดา นวรรณศิลป ดานเน้อื หา ดา นสงั คม และการประยกุ ตใช จากน้นั ใหน ักเรยี นไปอานวรรณคดเี ร่ืองอื่นเพ่ิมเติม มุม IT แลวทาํ การสรุปเร่ืองยอ และวเิ คราะหคุณคาของวรรณคดี นํามาเลาใหเพอ่ื นฟง ในชั้นเรียน ศกึ ษาคนควา ขอมลู เพ่มิ เตมิ เกี่ยวกับไตรภูมพิ ระรว ง ไดท่ี http://www.info. ru.ac.th/province/sukhothai/wtripoom.htm เวบ็ ไซตสารสนเทศจังหวดั ทีต่ ัง้ สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง คมู อื ครู 105

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูสมุ ตัวแทนนักเรยี นออกมาสรุปเกย่ี วกับ 6.๓ ด้านศาสนาและความเชือ่ ศาสนาและความเชือ่ และประเพณีสาํ คญั ของสุโขทัย เพือ่ เปนการทบทวนความรู ในสมัยสุโขทัยราษฎรโดยทั่วไปมีการนับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ ปรากฏการณ์ตาม ธรรมชาติ และพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทลทั ธิลังกาวงศ์ ส่วนศาสนาพราหมณ์ - ฮินด ู อาจจะ (แนวตอบ ชาวสุโขทัยนับถือทั้งพระพทุ ธศาสนา มีการนบั ถืออยู่บา้ งในราชส�านักสมยั สโุ ขทัยตอนปลาย นิกายเถรวาทลทั ธิลงั กาวงศ ศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู และนับถอื ผี วญิ ญาณของบรรพบุรษุ สวนประเพณี 6.๔ ดา้ นประเพณที ส่ี า� คญั สาํ คัญ เชน การใหทานและถอื ศลี ซึง่ ชาวสุโขทัย จะถอื ศลี ในชวงเขา พรรษา การเผาเทียนเลน ไฟ ในสมัยสุโขทัยมีประเพณีส�าคัญท่ีคนไทยได้ยึดถือปฏิบัติและได้เป็นมรดกตกทอดทาง ดวยการจดุ เทียนและตะเกยี งนา้ํ มนั หากอยบู นบก วัฒนธรรมมาจนถึงสมัยปัจจุบัน ประเพณีเหล่าน้ีล้วนมีคุณค่าทางวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก หรือถาอยใู กลน ํา้ ก็จุดเทยี นใสก ระทงลอยนํ้าเลน และมีประโยชน์ตอ่ สังคมไทยมาตง้ั แต่สมัยสุโขทัยจนถงึ สมยั ปจั จบุ นั ประเพณที ีส่ า� คญั และปรากฏ ซง่ึ การเผาเทยี นเลนไฟนจ้ี ะกระทํากันหลังออกพรรษา หลักฐานโดยนา� มาเปน็ ตวั อย่าง มีดังน้ี การทอดกฐนิ แกพระภิกษสุ งฆ การทาํ บุญ ฟง ธรรม การฟงเทศนมหาชาติ ซ่งึ เปน เรอื่ งราวในอดีตชาติ ๑) การให้ทานและถือศีล ในศิลาจารึกกล่าวถึงชาวสุโขทัยให้ทานและถือศีล ของพระพุทธเจาเมอื่ ครั้งเสวยพระชาตเิ ปน พระเวสสนั ดร เปนตน ) เป็นประเพณีนิยม แม้แต่บรรดาเจ้านายและขุนนางทั้งชายหญิงต่างก็ล้วนแต่ถือศีลในช่วงเวลา เขา้ พรรษา แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ประเพณกี ารนบั ถือพระพทุ ธศาสนาของชาวเมอื งสโุ ขทยั ๒) การเผาเทยี นเล่นไฟ ในสมัยสโุ ขทยั มีประเพณีการเผาเทียนเลน่ ไฟ ซ่งึ ปรากฏ เป็นหลักฐานในศิลาจารึก การเผาเทียนเล่นไฟน้ีในสมัยน้ันสันนิษฐานว่าเป็นการจุดเทียนและ ตะเกียงน�า้ มนั ผ้คู นทอ่ี ย่บู นพื้นดนิ หรอื บนบกก็สามารถท�าได ้ แตถ่ า้ อยู่ใกลน้ �้ากส็ ามารถจดุ เทียน ใส่กระทงลอยน�้าเล่นได้ หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า “ลอยกระทง” การเผาเทียนเล่นไฟน้ีกระท�ากัน หลงั ออกพรรษา และมีการทอดกฐินตามประเพณี ประเพณจี องเปรยี งลอยพระประทปี ซงึ่ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเกดิ ในสมยั สโุ ขทยั อนั เปน็ ทม่ี าของประเพณลี อยกระทงในปจั จบุ นั 106 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชื่อมสาระ ครเู ลาถงึ วิถีการดาํ เนินชีวิตของชาวสุโขทัยท่ียึดมั่นและผกู พันกบั ครอู าจใหนักเรยี นไปคน ควา เกยี่ วกับงานลอยกระทงเผาเทยี นเลน ไฟของสุโขทัย พระพุทธศาสนาสืบทอดมาจนถึงปจ จบุ ัน โดยบูรณาการเชอื่ มโยงกบั วิชา ทไ่ี ดร บั การฟน ฟูขนึ้ มาใหมเ ม่อื พ.ศ. 2520 จนทําใหมชี อื่ เสียงและไดรบั ความสนใจ พระพทุ ธศาสนา เก่ียวกบั การประดษิ ฐานและการสง เสริมพระพทุ ธศาสนา ท้ังจากชาวไทยและชาวตา งชาติเปนจาํ นวนมาก จากน้นั นําขอ มูลมาอภปิ ราย ในสมยั สุโขทัย รวมถึงเนนเกยี่ วกบั การปฏบิ ัติตนของชาวเมืองสโุ ขทัยเนื่อง รวมกันในชั้นเรียน ในวันสาํ คัญทางศาสนา โดยนําขอ ความตามท่ีปรากฏในศลิ าจารึกหลกั ที่ 1 มาใหนกั เรียนศึกษาประกอบ มุม IT ศกึ ษาคน ควาขอ มูลเพิม่ เติมเกยี่ วกับประเพณีลอยกระทง ไดที่ http://www. m-culture.go.th/ckffi inder/userffi iles/E-book/lbook.pdf 106 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) การทอดกฐิน ในสมัยสุโขทัย มีขอความในศิลาจารึกไดกลาวถึงประเพณีการ 1. ครูใหนักเรียนคนควาเกี่ยวกบั ประเพณีสุโขทัย ท่ีสบื ทอดมาจนถงึ ปจ จบุ นั เชน การใหท านและ ทอดกฐินหลังออกพรรษาแลว พระมหากษัตริย เจานาย ขุนนาง และราษฎรท้ังชายและหญิง ถอื ศลี ในวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ตางก็ยึดถือประเพณีการถวายผาพระกฐินแดพระภิกษุสงฆ ซ่ึงประเพณีดังกลาวนี้ก็ยังคงสืบทอด ประเพณีลอยกระทง ประเพณีทอดกฐนิ ตอ กนั มาจนถงึ ทุกวนั นี้ การทําบุญและฟงธรรม เปน ตน จากน้ันให นกั เรียนแสดงความคิดเหน็ รว มกนั ถึงความ ๔) การทาํ บญุ และฟง ธรรม เนื่องจากชาวสุโขทัยนบั ถอื พระพุทธศาสนา ประเพณี สําคญั ของประเพณดี ังกลาวตอวถิ ชี ีวติ ของ คนไทย สําคัญอยางหน่ึง คือ การทําบุญและฟงธรรม จากหลักฐานในศิลาจารึกกลาวถึงการทําบุญและ ฟงธรรมในวันพระท้ังวันข้ึนและวันแรม ๘ คํ่า และ ๑๕ คํ่า ซึ่งปจจุบันนี้ชาวพุทธในไทยก็ยัง 2. ครแู ละนกั เรยี นรวมกันสรุปความรูเก่ยี วกับ ทาํ บญุ รกั ษาศลี ฟง ธรรม ในวนั พระหรอื วนั ธรรมสวนะตามวดั ตา งๆ เหมอื นเชน ในสมยั สโุ ขทยั พัฒนาการทางดานศลิ ปวัฒนธรรมสมยั สโุ ขทยั สมเด็จพระส๕ัม)มากสาัมรพฟุทงธเทเจศานในมคหรั้งาทชี่เาสตวิยพเปรนะชกาาตรฟิเปงนเทพศรนะเเวกสี่ยสวันกดับรเ1ร่ือขงณระาทวใรนงอบดําเีตพช็ญาตบิขาอรมงี เปนชาติสุดทาย คือ ทานบารมี กอนที่จะตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ถือกันวาหากใครได ฟง เทศนม หาชาตจิ นจบ และบาํ เพญ็ กศุ ลตามกาํ หนดกจ็ ะไดบุญมาก และไดไปเกิดในศาสนาของ พระศรีอริยเมตไตรย ซึง่ จะมาตรัสรเู ปนพระพทุ ธเจาองคตอไป ๖) การนับถือผีและเทวดา ประเพณีสําคัญอยางหน่ึงสําหรับผูครองเมืองสุโขทัยที่ จทะสี่ ตถอ ติ งอปยฏใู นิบภตั เูิเขปาน2สเาํพครญั าะคเชอื อื่ กกานั รวแา สถดา งปคฏวบิ าตัมถิเคกู าตรอ พงบตชูามาสปงิ่รศะเกั พดณสิ์ ทิี ธจ์ิะอทนั าํ ไใดหแบ กา น เเทมวอื ดงารแม ลเะยหน็ วัเปหนนสา ขผุ ี แตถ า ปฏบิ ตั ไิ มถ ูกตอ งตามประเพณีจะกอใหเกดิ ผลรา ยตอ บา นเมอื ง ฐานเจดยี ว ดั ปา มะมวง อยนู อกเมืองสุโขทยั ดา นทิศตะวนั ตก ปรากฏขอความในศลิ าจารกึ วา พระยาลิไทยโปรดใหสรา งข้ึน ๑๐๗ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู ประเพณใี ดในสมยั สุโขทัยท่ีเกดิ จากความเชอ่ื ดง้ั เดิม 1 พระเวสสันดร ทรงบาํ เพ็ญทานบารมโี ดยบรจิ าคพระโอรส พระธดิ า และ 1. การทอดกฐนิ พระชายาใหแกพราหมณชูชก เพือ่ นาํ ไปรบั ใชภรรยา ในทางพระพุทธศาสนาถือวา 2. การเผาเทยี นเลนไฟ เปนการใหท านระดับกลาง คอื ข้ันอปุ ทานบารมี ทเี่ สยี สละเพ่อื ประโยชนแ กส วนรวม 3. การนบั ถือผีและเทวดา แตใ นทางสังคมของฆราวาสแลวถอื วา เปนสิง่ ที่กระทาํ ไดยากอยา งยิ่ง และเหน็ วา 4. การฟง เทศนมหาชาติ ขดั กบั จริยธรรมในฐานะบิดาที่ตองดแู ลบตุ รธิดาและภรรยาใหม ีความสุข 2 หวั หนา ผีทสี่ ถติ อยูในภูเขา โดยชาวสุโขทยั เช่ือวา ผพี ระขพุง ซงึ่ สถติ อยู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การนบั ถอื ผีและเทวดาเปนความเชื่อดัง้ เดมิ ณ เขาหลวง มีความสาํ คญั สงู กวา ผีอ่นื ใดในบานเมือง โดยเปนวิญญาณศักดสิ์ ทิ ธ์ิ ทที่ าํ หนาที่คมุ ครองบานเมอื ง ดังปรากฏขอ ความในศิลาจารกึ สโุ ขทัยหลักที่ 1 วา ของผคู นในดนิ แดนอุษาคเนย รวมทงั้ สุโขทยั กอ นการรับอิทธิพลทางพระพุทธ- “...มพี ระขพงุ ผเี ทพดา ในเขาอันนน้ั เปนใหญก วาทุกผี ในเมอื งนี้ ขุนผูใดถือเมือง ศาสนาและศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู ซง่ึ ยงั คงสบื ทอดความเชอื่ เร่ืองผมี าจนถงึ สโุ ขทยั น้แี ล ไหวด ีพลถี ูก เมืองนเ้ี ทีย่ ง เมอื งน้ีดี ผไิ หวบด ี พลีบถ ูก ผีในเขาอั้น สมัยปจจุบนั บค มุ บเกรง เมืองนีห้ าย...” คมู อื ครู 107

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูเปด ประเดน็ เกย่ี วกับพัฒนาการทางดาน ÷. พฒั นาการทางดา้ นคÇามสมั พนั ¸ร์ ÐËÇา‹ งปรÐàทÈสมยั สโุ ขทยั ความสมั พันธร ะหวา งประเทศสมัยสุโขทัย จากน้นั ใหน กั เรียนกลมุ ที่ 5 สง ตัวแทนนาํ เสนอ กำรที่อำณำจักรสุโขทัยสำมำรถด�ำรงรักษำควำมมั่นคงและสร้ำงสรรค์ควำมเจริญรุ่งเรือง สาระสาํ คัญหนา ชั้นเรียน อยู่ได้ถึง ๒๐๐ ปีนั้น ปัจจัยที่ส�ำคัญประกำรหน่ึงเป็นผลมำจำกกำรด�ำเนินควำมสัมพันธ์ระหว่ำง ประเทศทเี่ หมำะสมและสอดคล้องกบั สถำนกำรณ์ในขณะนนั้ กำรทำ� ควำมเขำ้ ใจถึงพัฒนำกำรของ 2. ครูทดสอบความรูโ ดยใหน กั เรยี นแบง กลุม ใหม สโุ ขทยั ทำงดำ้ นควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งประเทศจะทำ� ใหม้ คี วำมเขำ้ ใจประวตั ศิ ำสตรส์ โุ ขทยั มำกยงิ่ ขนึ้ กลมุ ละ 4 คน แตล ะคนมหี มายเลขประจาํ ตวั 1, 2, 3, 4 เพ่ือตอบคําถามจากบตั รคําท่คี รู 7.๑ จดุ ประสงค์ในกำรสรำ้ งควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งประเทศ เตรยี มไว โดยใหปฏิบตั กิ จิ กรรม ดงั น้ี สมาชิกหมายเลข 1 อา นคําถาม กำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศของไทยสมัยสุโขทัย กล่ำวโดยภำพรวมก็เพื่อขยำย สมาชกิ หมายเลข 2 วิเคราะหค ําถามและหา อำ� นำจหรอื ขอบเขตใหก้ วำ้ งขวำงออกไป เพอ่ื รกั ษำควำมมน่ั คงและปอ้ งกนั กำรรกุ รำนจำกภำยนอก คาํ ตอบ เพื่อผลประโยชน์ทำงด้ำนเศรษฐกิจและกำรค้ำ เพ่ือเผยแพร่และรับกำรถ่ำยทอดวัฒนธรรม และ สมาชิกหมายเลข 3 ตรวจสอบคําตอบ เพือ่ รกั ษำสมั พนั ธไมตรีกับรัฐอ่นื สมาชิกหมายเลข 4 นําเสนอคาํ ตอบของกลุม 7.๒ ลักษณะกำรสรำ้ งควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงประเทศ 3. ครูเร่มิ แจกบัตรคําถามเกย่ี วกับความสัมพันธ ระหวางสโุ ขทัยกับลานนากอน โดยคาํ ถาม เชน ลักษณะกำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศของไทยสมัยสุโขทัยมีหลำยวิธีด้วยกัน • ลกั ษณะความสัมพนั ธระหวา งสโุ ขทยั กบั แล้วแต่ว่ำสถำนกำรณ์ในขณะน้ันจะมีกำรเผชิญหน้ำกันหรือมีควำมสัมพันธ์อันดีต่อกัน ลักษณะ ลา นนาเปน แบบใด กำรสรำ้ งควำมสมั พันธ์จึงมคี วำมแตกต่ำงกันออกไป • ความสัมพันธร ะหวางสุโขทยั กับลานนาใน บรรดำรฐั ตำ่ งๆ ทมี่ คี วำมสัมพันธก์ บั สโุ ขทัย มีรำยละเอยี ดดังต่อไปนี้ สมัยพอ ขุนรามคาํ แหงมหาราชมีลกั ษณะ อยางไร ๑) ความสมั พนั ธก์ บั ลา้ นนา ในสมยั สโุ ขทยั พอ่ ขนุ รำมคำ� แหงมหำรำชไดท้ รงดำ� เนนิ • เพราะเหตใุ ดในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) สโุ ขทัยกับลา นนาถึงหา งเหินกนั ควำมสมั พนั ธท์ ำงกำรทตู กบั อำณำจกั รลำ้ นนำ ดว้ ยกำรรว่ มมอื กบั พระยำมงั รำยมหำรำช • สโุ ขทยั เผยแผพระพทุ ธศาสนาใหแกลา นนา และพระยำงำ� เมอื งแหง่ แควน้ พะเยำ เพอ่ื ปอ้ งกนั กำรรกุ รำนจำกมองโกล โดยวิธใี ด นอกจำกนี้ พ่อขุนรำมค�ำแหงมหำรำชและพระยำง�ำเมือง • ในสมัยพระมหาธรรมราชาท่ี 3 (ไสลือไทย) แหง่ แควน้ พะเยำยงั ไดเ้ สดจ็ ไปชว่ ยพระยำมงั รำยมหำรำชเลอื กชยั ภูมิ ความสัมพนั ธร ะหวา งสุโขทัยกับลา นนาเปน และวำงผงั เเชมียอื งงใรหำชมธ่”ำ1นขแีอหงลง่ ใ้ำหนมน ่ คำ อื เ“มนื่อพ บพรุ ศ.ี ศร.นี ค๑ร๘พ๓งิ ๙ค ์ เชน ไร ตำมคำ� เชญิ ของพระยำมังรำยมหำรำช ควำมร่วมมอื กันของกษตั รยิ ์ท้งั ๓ พระองค์ แสดง ใหเ้ หน็ ถงึ ควำมสำมคั คขี องชนชำตไิ ทยในกำรรว่ มมอื กนั ป้องกนั กำรรกุ รรำนจำกศตั รภู ำยนอกไดเ้ ปน็ อย่ำงดี ภาพวาดจนิ ตน2าการพอ่ ขนุ รามคา� แหงมหาราชแหง่ สโุ ขทยั และ พระยาง�าเมอื งแห่งพะเยา เสดจ็ ไปชว่ ยพระยามังรายมหาราช แหง่ ลา้ นนา เลอื กชยั ภมู ใิ นการสรา้ งราชธานแี หง่ ใหมข่ องลา้ นนา ๑08 นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ลกั ษณะความสัมพันธระหวางสุโขทยั กับลานนามจี ุดประสงคใดเปน สาํ คญั 1 นพบุรีศรนี ครพิงคเ ชียงใหม ดวยเหตทุ ี่พอขุนรามคําแหงมหาราชทรงรว มสรา ง 1. ความมัน่ คง บํารุงพระพทุ ธศาสนา เมืองเชียงใหมดวย ทาํ ใหผ ังเมอื งเชยี งใหมไ ดร ับอทิ ธพิ ลจากสโุ ขทัย เมอื่ แรกสรา ง 2. บํารุงพระพทุ ธศาสนา คาขายระหวา งกนั กาํ แพงเมืองมีขนาดกวา ง 1,800 เมตร ยาว 2,000 เมตร และขดุ คูนํ้ากวาง 18 เมตร 3. คาขายระหวางกนั สานสมั พันธกบั จนี ซึง่ ภายหลังไดปรับเปลี่ยนจนปจ จบุ ันเปนรปู สเี่ หลย่ี มยาวดา นละ 1,160 เมตร 4. สานสัมพนั ธก บั จีน สรา งสรรคง านศิลป 2 พระยางําเมอื ง เปน กษตั ริยค รองเมอื งพะเยาองคที่ 9 เม่ือพระชนมายุได 16 วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. สุโขทัยในสมัยพอ ขุนรามคําแหงมหาราช ชนั ษา พอขุนม่งิ เมืองพระราชบดิ าทรงสง ไปศกึ ษาวิชาความรูทเ่ี มืองลพบุรี จึงไดร จู ัก ไดรวมมอื กับลานนาและพะเยา เพอ่ื ปอ งกนั การรกุ รานจากพวกมองโกลที่ กบั พอขุนรามคําแหงมหาราชแหง กรุงสโุ ขทยั และเปน พระสหายกันนบั แตน้ันมา ยึดครองจีนในเวลาน้ัน และสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 2 ไดสงพระสมุ นมหา- ใน พ.ศ. 1310 พระราชบิดาสวรรคต จึงขึ้นครองราชยแทน ตอ มาพระยามังราย เถระข้นึ ไปเผยแผพ ระพุทธศาสนายังเมอื งเชียงใหมตามการนมิ นตของพระยา มหาราชทรงยกทัพมาประชดิ เมอื งพะเยา พระองคจงึ ยกเมืองชายแดนบางเมืองให กอื นาแหงลา นนา เพ่ือเปนการสงบศึก และทง้ั สองพระองคไ ดทาํ สญั ญาเปนมติ รตอกนั พอขุน รามคาํ แหงมหาราชซงึ่ เสด็จมาเยย่ี มพอขุนงําเมอื งจึงไดมโี อกาสรจู กั กับพระยา มังรายมหาราชดว ย ทงั้ สามพระองคจ งึ ทาํ สัญญาวา จะเปนมิตรสหายทด่ี ีตอ กนั 108 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ในสมยั พระมหำธรรมรำชำท่ ี ๑ (ลิไทย) ลกั ษณะควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงสุโขทัยทีม่ ีต่อล้ำนนำ 1. ครใู หเ วลานกั เรยี นแตละกลมุ ระดมความคดิ ใน เริม่ หำ่ งเหินกนั เพรำะล้ำนนำไดส้ ง่ กองทพั เข้ำยึดเมืองตำกของสโุ ขทยั การตอบคําถาม จากนน้ั ใหน ักเรียนสงตวั แทน ต่อมำใน พ.ศ. ๑๙๑๒ ตรงกับสมัยพระมหำธรรมรำชำท ี่ ๒ แห่งสโุ ขทัย พระยำกือนำแ1ห่ง ออกมาตอบหนา ชน้ั เรยี น ลำ้ นนำทรงมศี รทั ธำในพระพทุ ธศำสนำนกิ ำยเถรวำทแบบลงั กำวงศ ์ จงึ ทรงนมิ นตพ์ ระสมุ นมหำเถระ ซึ่งเปน็ พระภกิ ษุชำวสโุ ขทยั ใหจ้ ำรกิ ขน้ึ ไปเผยแผ่พระพุทธศำสนำท่เี มืองเชียงใหม่ 2. เม่อื แตล ะกลุมตอบครบ ครูเฉลยคาํ ตอบ ก ลบั คนืพเรหะมมอื หนำเธดรมิ ร มจงึรทำชรงำสทง่ ี่ พ๒ร ะสทมุ รนงเมหห็นำเเปถ็รนะโข2อนึ้กไำปสยดงั ีทเม่ีจอืะเงสเชริมยี งสใรห้ำมงต่สำัมมพคันำ� ขธ์ออัขนอดงีกพับรละ้ำยนำกนอืำนใหำ ้ (แนวตอบ ส่งผลให้พระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทแบบลังกำวงศ์ได้ไปประดิษฐำน และมีควำมเจริญรุ่งเรือง • มีหลายแบบ ขึ้นอยกู บั สถานการณในขณะนั้น ในอำณำจกั รลำ้ นนำตงั้ แตน่ น้ั ขณะเดยี วกนั พระสมุ นมหำเถระไดเ้ จรจำควำมเมอื งขอเมอื งตำกจำก เชน การดําเนินความสัมพันธทางการทูต พระยำกือนำคืนให้แก่อำณำจักรสุโขทัยตำมเดิม เพรำะเดิมเมืองตำกขึ้นกับสุโขทัย ต่อมำล้ำนนำ การสง กําลังทหารเขา ยึดครอง การสง กองทพั ได้แผ่ขยำยอ�ำนำจเขำ้ ครอบครอง เขาชว ยเหลือ การเผยแผพระพุทธศาสนา ต่อมำในสมัยพระมหำธรรมรำชำที่ ๓ (ไสลือไทย) แห่งกรุงสุโขทัยได้ทรงส่งกองทัพขึ้นไป เปน ตน ช่วยท้ำวยี่กุมกำม พระเชษฐำของพระยำสำมฝั่งแกนแห่งล้ำนนำบุกเข้ำตีเมืองเชียงใหม่แต่ • การดาํ เนนิ ความสัมพนั ธท างการทูต ดวยการ ไม่ส�ำเร็จ นโยบำยกำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ต่อล้ำนนำของสุโขทัยในลักษณะดังกล่ำวย่ิงท�ำให้ ชว ยเหลือพระยามังรายมหาราชแหงลานนา ควำมบำดหมำงระหวำ่ งสโุ ขทยั กับล้ำนนำมีมำกขึ้น ในการเลือกชัยภูมแิ ละวางผังเมืองราชธานี แหง ใหม • เพราะลานนาสง กองทัพมายึดเมืองตากของ สโุ ขทัย • ดว ยการสงพระสมุ นมหาเถระไปเผยแผ พระพุทธศาสนายงั เมอื งเชียงใหม • มีความหา งเหนิ กัน เพราะสุโขทัยไดแ ผขยาย อทิ ธิพลเขา ไปยงั ลา นนา) 3. ครชู มเชยนักเรยี นทกุ กลมุ ท่รี ว มปฏิบัติกจิ กรรม เปนอยา งดี และเนน เกี่ยวกบั ความรับผดิ ชอบ ในการทาํ งานเปน กลุม ภาพวาดจินตนาการแสดงการสู้รบระหว่างทหารสุโขทัยกับทหารล้านนา อันเป็นผลมาจากการที่สุโขทัยพยายามที่จะ แผ่ขยายอทิ ธิพลขึ้นไปทางตอนบน ๑09 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู การสรา งความสมั พนั ธอ ันดกี ับลานนา สงผลใหอ าณาจักรสโุ ขทยั ไดร ับผลดี 1 พระยากอื นา ทรงเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา พระองคท รงสรา งวัดสวนดอก อยางไร หรือวัดบปุ ผารามใน พ.ศ. 1914 เพื่อใหเปนที่จําพรรษาของพระสุมนมหาเถระ แนวตอบ การสรางความสัมพนั ธท่ีดกี บั ลานนา ทั้งการชวยลา นนาเลือก และเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. 1916 โปรดใหสรางเจดียบ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตขุ อง ชยั ภมู ใิ นการสรา งราชธานีแหงใหม ลว นสงผลดตี อสโุ ขทัย ทําใหป ลอดภัย พระพุทธเจา ซงึ่ พระสุมนมหาเถระอญั เชิญมาจากสโุ ขทัย โดยประดิษฐานไวท ี่ จากการถกู พวกมองโกลโจมตีทางเหนือ หรือการสงพระภกิ ษสุ โุ ขทยั ไปเผยแผ วดั พระธาตุดอยสเุ ทพและวดั บุปผาราม พระพุทธศาสนาท่เี ชยี งใหม กส็ งผลใหสุโขทัยมบี ทบาทสาํ คัญในการเผยแผ 2 พระสุมนมหาเถระ หลงั จากที่พระยากือนานิมนตท า นมายงั เมอื งเชียงใหม พระพุทธศาสนาไปยังดนิ แดนตา งๆ ในชวงสมยั น้ัน รวมทงั้ ปลอดภยั จาก กไ็ ดถ วายสวนดอกไมท างทิศตะวันตกของเมืองเชยี งใหมใ หสรางเปน วัด มีชอ่ื วา การโจมตีของดนิ แดนเหลา นัน้ ดว ย วดั บปุ ผาราม หรอื เรยี กวา วดั สวนดอก ทว่ี ดั แหงน้ีปรากฏเจดียท รงพมุ ขาวบณิ ฑ เปนเจดียบ รวิ าร ซง่ึ แสดงใหเ ห็นถงึ ความสัมพนั ธระหวา งสุโขทยั กบั ลา นนา คมู ือครู 109

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ตอ ไปครแู จกบัตรคาํ ถามเกย่ี วกับความสมั พนั ธ ระหวางสโุ ขทัยกับอยุธยา โดยคาํ ถาม เชน • ลกั ษณะความสมั พันธระหวา งสุโขทัยกับ ๒) ความสมั พันธ์กบั อยุธยา กรงุ ศรีอยุธยำไดร้ ับกำรสถำปนำข้ึนเม่อื พ.ศ. ๑๘๙๓ อยธุ ยาเปนแบบใดบาง ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสุโขทัยกับอยุธยำมีหลักฐำนในต�ำนำนชินกำลมำลีปกรณ์กล่ำวว่ำ สมเด็จ • ในตํานานชนิ กาลมาลีปกรณไ ดก ลา วถงึ พระรำมำธิบดที ่ี ๑ (อู่ทอง) แหง่ กรุงศรอี ยุธยำ ไดท้ รงยกทพั ไปยึดเมอื งพิษณุโลกของสุโขทัยไว้ได้ ต่อมำพระมหำธรรมรำชำท่ี ๑ (ลิไทย) ได้ส่งคณะทูตพร้อมเครื่องรำชบรรณำกำรไปเจรจำขอ ความสัมพันธระหวา งสโุ ขทัยกับอยุธยาไว เมอื งพษิ ณุโลกคนื ซึ่งสมเด็จพระรำมำธิบดที ่ี ๑ (อูท่ อง) กพ็ ระรำชทำนคืนแก่สุโขทัย อยา งไร ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ ซง่ึ ตรงกบั สมยั พระมหำธรรมรำชำท ่ี ๒ มหี ลกั ฐำนวำ่ สมเดจ็ พระบรม- • ความสัมพนั ธร ะหวางสุโขทยั ในสมัย รำชำธิรำชที่ ๑ (ขุนหลวงพง่ัว) อยุธยำได้ยกทัพมำตีเมืองก�ำแพงเพชรของสุโขทัยได้ และ พระมหำธรรมรำชำท ่ี ๒ ตอ้ งออกมำถวำยบงั คมและยอมเปน็ เมอื งขนึ้ พระมหาธรรมราชาที่ 2 กับอยธุ ยามลี ักษณะ ต่อมำใน พ.ศ. ๑๙๔๓ พระมหำธรรมรำชำท่ ี ๓ (ไสลอื ไทย) แห่งอำณำจกั รสโุ ขทยั ทรง อยา งไร ประกำศให้สโุ ขทยั เปน็ เอกรำช แตถ่ งึ ตอนปลำยรชั กำลหลงั พ.ศ. ๑๙๕๒ สโุ ขทยั ตกเปน็ เมอื งขนึ้ • การสรา งความสัมพนั ธท างเครือญาติกบั ของอยธุ ยำอกี ซง่ึ ตรงกบั สมยั สมเดจ็ พระอนิ ทรำชำ (เจำ้ นครอนิ ทร;์ พ.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๗) กษตั รยิ ์ อยธุ ยาสง ผลดตี อ สโุ ขทัยอยางไร แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยำ • ความขดั แยง ภายในของสุโขทัยในชวงปลาย นอกจำกน้ี สุโขทัยยังได้สร้ำงควำมสัมพันธ์ฉันเครือญำติกับอยุธยำโดยพระรำชธิดำ สงผลตอ อาณาจักรสโุ ขทัยอยา งไร ของพระมหำธรรมรำชำท่ี ๒ (เป็นพ่ีสำวของพระยำบำล) ได้ทรงอภิเษกกับเจ้ำสำมพระยำ 2. ครูใหเวลานกั เรียนแตละกลุม ระดมความคิด (ต่อมำได้เป็นกษัตริย์อยุธยำ ทรงมีพระนำมว่ำ “สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๒” ) ซึ่งเป็น จากนัน้ ใหนกั เรียนสงตวั แทนออกมาตอบ พระรำชโอรสของสมเด็จพระอินทรำชำ กษตั รยิ ์อยุธยำอกี ดว้ ย 3. เมื่อแตละกลุมตอบครบ ครเู ฉลยคาํ ตอบ ภำยหลังสน้ิ สุดรชั กำลพระมหำธรรมรำชำท่ี ๓ (ไสลือไทย) แห่งกรงุ สโุ ขทยั ใน พ.ศ. (แนวตอบ ๑ท๙�ำใ๖ห๒้ส มพเรดะ็จโอพรรสะขออินงทพรรำะชมำหต้อำธงรทรรมงรนำ�ำชทำัพทจี ่ ำ๒ก กครอื ุง ศพรรีอะยยุธำยบำำขล้ึนกับมพำถรึงะเยมำือรำงมพ รไะดบต้ ำ่องส1 (ู้ชนิงคอร�ำสนวำรจรกคัน์) • มที ้งั การสง กาํ ลงั ทหารเขา ยดึ ครอง เพอ่ื ระงบั เหต ุ จนเหตกุ ำรณส์ งบลง พระยำบำลหรอื บรมปำลไดค้ รองเมอื งพษิ ณโุ ลก ทรงมพี ระนำม การดําเนนิ การทางการทตู และการสรา ง วำ่ “พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล)” สว่ นพระยำรำมครองกรงุ สโุ ขทยั พระยำเชลยี งครองเมอื ง ความสมั พนั ธท างเครือญาติ เชลียง (สวรรคโลก) พระยำแสนสอยดำวครองเมืองก�ำแพงเพชร โดยท่ีอำณำจักรสุโขทัยมีฐำนะ • สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี 1 (อูทอง) แหงอยธุ ยา เปน็ เมอื งประเทศรำชของอยุธยำ ทรงยึดเมืองพษิ ณุโลกของสโุ ขทยั ไว ตอ มา พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลไิ ทย) ทรงสง คณะทูตไปเจรจากลับคืนมา • การสง กําลังทหารเขายดึ ครอง โดยขุนหลวง พองั่วแหง อยธุ ยาทรงยกทัพมาตไี ดเมอื ง กําแพงเพชรของสโุ ขทัย ทําใหส โุ ขทัยยอม ภาพวาดจินตนาการพระมหาธรรม- เปนเมืองข้ึน ราชาท่ี ๑ (ลิไทย) ส่งคณะทูตมา • ทาํ ใหอาณาจกั รสโุ ขทยั มคี วามม่ันคงเปน เจรจาขอเมืองพิษณุโลกกลับคืนจาก สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (อู่ทอง) ปกแผน มากขึ้น แหง่ กรุงศรีอยุธยา • ทําใหอาณาจกั รสโุ ขทัยตองเปนประเทศราช ๑๑0 ของอยุธยา) 4. ครชู มเชยนักเรียนทกุ กลุม ที่รว มปฏบิ ัตกิ ิจกรรม เปน อยา งดี ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู 1 เมืองพระบาง เปน เมอื งโบราณซึง่ สันนิษฐานวา ตงั้ ข้นึ ในสมยั สโุ ขทัย โดยปรากฏ จากการศึกษาเร่อื งความสมั พนั ธร ะหวา งสุโขทัยกับอยธุ ยา นักเรยี นสามารถ ชือ่ ในศลิ าจารึกวา เมอื งพระบาง เปน เมอื งหนาดา นสําคัญในการทาํ ศึกสงครามของ สรปุ ไดวาอยา งไร ไทยมาทุกยคุ สมัย นกั วิชาการบางทานใหทัศนะวา ตัวเมืองดงั้ เดิมนา จะต้งั อยูบรเิ วณ แนวตอบ ความสัมพนั ธระหวางสโุ ขทยั กับอยธุ ยามีหลายลักษณะ ทง้ั การใช เชงิ เขาขาด (เขาฤๅษ)ี จรดวดั หวั เมือง (วัดนครสวรรค) ดงั มหี ลกั ฐานเชิงเทนิ ดิน กาํ ลังทหารเขายดึ ครอง โดยขึน้ อยูก บั ความเขมแขง็ ของสโุ ขทยั ในชวงเวลานั้น เปนแนวปรากฏอยู ตอมาเมืองนี้ไดเปล่ียนช่ือเปน เมืองชอนตะวัน เพราะตวั เมอื งต้งั เมือ่ ใดท่สี ุโขทัยเกิดความออ นแอ กจ็ ะถกู ยดึ ครองไดโดยงาย แตถา มีความ อยูบนฝงตะวนั ตกของแมนํ้าเจา พระยา และหนั หนาเมืองไปทางแมน ํา้ ซึง่ อยทู างทิศ เขม แข็งกจ็ ะประกาศตนเปน อิสระ นอกจากน้ี สโุ ขทัยยังมีความสมั พันธทาง ตะวันออก ทาํ ใหแ สงอาทติ ยสอ งเขาหนา เมืองในชวงเชา ภายหลังจงึ เปลยี่ นชอ่ื เปน เครอื ญาติกบั อยุธยาดวย อยา งไรก็ดี ภายหลังรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 3 เมอื งนครสวรรค (ไสลือไทย) สุโขทัยออนแอจากการแยง ชงิ ราชสมบตั ิภายในราชวงศ จึงทาํ ให อยธุ ยาเขามาแทรกแซง และในทีส่ ุดก็ผนวกสุโขทยั รวมเขา เปนสวนหนงึ่ ของ อยธุ ยา 110 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู และได้ถูกผนคววกาเมขส้ามัเปพ็นนั สธ่วข์ นอหงนสโุ่ึงขขทอยังตออ่ยอุธยยธุายาเมในื่อฐสามนเะดเ็จมพอื งรปะบระรเมทไศตรราโชลสกน้ินสาดุถลแ1งหใ่งนกรพุงศ.ศร.ีอ๒ย๐ุธ๐ย๖า 1. ครแู จกบตั รคาํ ถามเก่ยี วกบั ความสมั พนั ธ ระหวางสุโขทยั กบั นครศรีธรรมราช โดยคําถาม เสด็จขน้ึ มาปกครองเมืองพษิ ณโุ ลกในฐานะราชธานีแทนกรงุ ศรีอยธุ ยา เชน • ลักษณะความสมั พนั ธระหวา งสุโขทยั กบั ผลจากการเปล่ียนวิธีการปกครองสุโขทัยในครั้งน้ัน ท�าให้สุโขทัยกลายเป็นดินแดน นครศรธี รรมราชเปน แบบใด • ความสมั พนั ธร ะหวา งสโุ ขทยั กบั ส่วนหน่ึงของอยุธยาอย่างสมบูรณ์ และนับจากนี้เป็นต้นไปเมืองพิษณุโลกของสุโขทัยก็กลายเป็น นครศรีธรรมราช สนั นิษฐานวาเริ่มตน ข้นึ ใน สมยั พระมหากษัตริยพ ระองคใด หัวเมอื งราชธานีของกรุงศรีอยุธยา จนสนิ้ สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ • พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาทลัทธลิ ังกาวงศ ประดษิ ฐานในสุโขทัยไดอ ยา งไร ๓) ความสมั พนั ธ์กบั นครศรีธรรมราช สโุ ขทยั มีความสมั พันธก์ ับนครศรีธรรมราช • เพราะเหตุใดหลงั สมัยพอ ขนุ รามคําแหง ในลักษณะของการขยายอิทธิพลทางการเมืองเข้าไปปกครองดแู ลในฐานะเมืองประเทศราช และมี มหาราช ความสมั พันธร ะหวางสุโขทยั กบั นครศรธี รรมราชถึงเส่ือมลง ความสัมพันธ์ทางดา้ นวฒั นธรรมผา่ นทางพระพทุ ธศาสนา • สโุ ขทยั ไดร บั ประโยชนในเรอ่ื งใดมากท่สี ุด จากการติดตอสมั พนั ธก บั นครศรีธรรมราช ความสัมพันธ์ระหว่างสุโขทัยกับเมืองนครศรีธรรมราช สันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มต้นขึ้น 2. ครูใหเวลานักเรยี นแตละกลมุ ระดมความคดิ ใน ในสมัยพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช เมื่อนครศรีธรรมราชยอมรับอิทธิพลทางการเมืองของสุโขทัย การตอบคําถาม จากนนั้ ใหนักเรยี นสงตัวแทน ออกมาตอบหนา ชัน้ เรยี น โดยยอมเป็นเมืองประเทศราชของสุโขทยั 3. เมื่อแตล ะกลุมตอบครบ ครเู ฉลยคาํ ตอบ นอกจากน้ี สโุ ขทัยยงั มคี วามสัมพนั ธ์ทางดา้ นวฒั นธรรมกับเมืองนครศรธี รรมราช โดย 2 (แนวตอบ พ่อขุนรามค�าแหงมหาราชโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ • การขยายอทิ ธิพลทางการเมอื งของสโุ ขทัย เขาไปปกครองดแู ลนครศรธี รรมราชในฐานะ จากนครศรีธรรมราชขึ้นมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุโขทัย ท�าให้พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เมอื งประเทศราช และความสมั พันธด าน วฒั นธรรมผานการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ลัทธลิ งั กาวงศ์ประดิษฐานอยา่ งมั่นคงในสุโขทยั นบั ต้งั แต่น้ันเป็นตน้ มา • พอขุนรามคาํ แหงมหาราช • พอขุนรามคาํ แหงมหาราชโปรดใหนมิ นต ความสัมพันธ์ท่ีสุโขทัยมีต่อนครศรีธรรมราช เริ่มเสื่อมลงหลังสมัยพ่อขุนรามค�าแหง พระสงฆจ ากนครศรีธรรมราชขน้ึ มาเผยแผ พระพทุ ธศาสนาท่สี โุ ขทยั มหาราช เนอ่ื งจากระยะทางทอ่ี ยหู่ า่ งไกล รวมทงั้ ภายหลงั เมอ่ื มกี ารกอ่ ตง้ั อยธุ ยาทอี่ ยถู่ ดั จากสโุ ขทยั • ระยะทางท่ีหา งไกล และการขยายอาํ นาจ ของอยธุ ยาเขาไปแทนทส่ี โุ ขทัย ลงมา แล้วอยธุ ยาเรม่ิ ขยายอ�านาจเข้าไปแทนที่ • การนบั ถอื พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาทลัทธิ ลังกาวงศ) ภาพวาดจินตนาการพ่อขุนราม- คา� แหงมหาราชทรงนมิ นตพ์ ระสงฆ์ 4. ครูชมเชยนักเรียนทุกกลุมที่รว มปฏบิ ตั ิกิจกรรม จากนครศรีธรรมราชมาเผยแผ่ เปน อยา งดี พระพุทธศาสนาทส่ี ุโขทยั 111 ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู ลักษณะความสัมพนั ธระหวา งอาณาจกั รสโุ ขทัยกับเมืองนครศรธี รรมราช 1 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองคทรงเปนพระราชโอรสของเจาสามพระยา ในขอ ใดถูกตอง และมพี ระมารดาเปนเจาหญิงแหงราชวงศพระรว งของสุโขทยั ดงั น้ัน พระองคจ งึ มี เช้อื สายฝา ยสโุ ขทัย เม่อื พระมหาธรรมราชาท่ี 4 (บรมปาล) สวรรคต พระองคเมอื่ 1. เศรษฐกิจการคา ความมั่นคง ครงั้ ดาํ รงตําแหนง เปน พระมหาอปุ ราชไดค รองเมอื งพษิ ณุโลก และเมือ่ พระองคขน้ึ 2. ความม่นั คง อาํ นาจการปกครอง ครองราชสมบัตกิ ไ็ ดผนวกสุโขทยั เขากบั อยุธยาอยางสมบรู ณ 3. อํานาจการปกครอง ศาสนาและวัฒนธรรม 2 พระสงฆในพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทลทั ธลิ งั กาวงศ โดยพอ ขุนรามคาํ แหง 4. ศาสนาและวฒั นธรรม เศรษฐกจิ การคา มหาราชโปรดใหอ ยูว ัดอรัญญิก นอกเมอื งสโุ ขทยั และพระองคจ ะเสดจ็ ไปนมัสการ เปนประจําทกุ วันกลางเดอื นและส้นิ เดอื น วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. สุโขทัยไดข ยายอทิ ธิพลทางการปกครอง ไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช และปกครองในฐานะเปน เมอื งประเทศราช สวนเมืองนครศรีธรรมราชท่ศี าสนาและวฒั นธรรมมคี วามเจรญิ รงุ เรืองกไ็ ด ชวยในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนามายังกรงุ สุโขทัยตามพระราชประสงคของ พอ ขุนรามคําแหงมหาราช พระพุทธศาสนาในอาณาจกั รสุโขทยั จงึ เปน นกิ าย เถรวาทลทั ธลิ ังกาวงศ คูมอื ครู 111

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครแู จกบตั รคําถามเก่ียวกบั ความสัมพันธระหวาง ๔) ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ สุโขทยั กับหวั เมืองมอญ และสโุ ขทัยกบั ลังกา สุโขทัยมีความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญในลักษณะ โดยคําถาม เชน ของความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง โดยสุโขทัย • ลกั ษณะความสัมพนั ธระหวา งสโุ ขทยั กบั หัวเมอื งมอญเปน แบบใดบา ง ปกครองหัวเมืองมอญในฐานะเมืองประเทศราช • หัวเมืองมอญในสมัยสโุ ขทยั ประกอบดวย ส�าหรับความสัมพันธ์ทางด้านการค้า สุโขทัยใช้ เมอื งใด หัวเมืองมอญเป็นเมืองท่าส�าหรับการค้าขายทาง • หัวเมอื งมอญมีความสําคัญตอสโุ ขทยั อยางไร • สโุ ขทัยกบั ลงั กามคี วามสมั พันธใ นลกั ษณะใด ด้านอ่าวเมาะตะมะหรือทะเลอันดามัน รวมทั้ง • สุโขทัยไดรับประโยชนในเรอื่ งใดมากที่สดุ จากการตดิ ตอ สมั พนั ธก ับลงั กา ความสมั พนั ธท์ างดา้ นวฒั นธรรมผา่ นทางพระพทุ ธ- ศาสนา 2. ครูใหเ วลานกั เรยี นแตละกลุมระดมความคิดใน การตอบคําถาม จากน้นั ใหน กั เรยี นสง ตัวแทน หัวเมืองมอญในสมัยสุโขทัย ได้แก่ ออกมาตอบหนา ชน้ั เรยี น ภาพวาดจินตนาการสุโขทัยใช้หัวเมืองมอญเป็น เมืองมะรดิ ทวาย ตะนาวศรี หงสาวดี สะเทิม และ 3. เมอ่ื แตละกลุม ตอบครบ ครเู ฉลยคาํ ตอบ เมอื งท่าการค้าดา้ นทะเลอนั ดามนั นครพนั (แนวตอบ • ความสัมพันธดานการเมืองโดยสุโขทัยปกครอง ในสมัยพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช อิทธิพลของสุโขทัยได้เข้าไปควบคุมหัวเมืองมอญ ในฐานะเมอื งประเทศราช ดา นการคา และ ในลักษณะหัวเมืองประเทศราชของสุโขทัย ภายหลังส้ินสมัยพ่อขุนรามค�าแหงมหาราชไปแล้ว ดา นวัฒนธรรมผา นทางพระพทุ ธศาสนา • เมอื งมะริด ทวาย ตะนาวศรี หงสาวดี สะเทมิ หวั เมืองมอญเริ่มเป็นอิสระ และบางครงั้ ก็อยู่ใตอ้ า� นาจรฐั ที่เข้มแข็งกว่าสุโขทยั และนครพนั • เปน เมอื งทาสําคัญในการตดิ ตอคา ขายกบั ทางด้านการค้า สุโขทัยใช้หัวเมืองมอญเป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขายกับพ่อค้า พอคา ตา งชาติ และเปนท่ศี กึ ษาพระธรรมวินัย ชาวต่างชาติที่แล่นเรือส�าเภามาจากอาหรับ อินเดีย และลังกา นอกจากนี้ ทางด้านวัฒนธรรม ของพระสงฆส โุ ขทัย สโุ ขทยั ยงั ไดจ้ ดั สง่ คณะสงฆเ์ ดนิ ทางไปศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั กบั คณะสงฆม์ อญ แลว้ นา� กลบั มาเผยแผ่ • ความสมั พันธดานวัฒนธรรมผานทาง พระพุทธศาสนา ให้แกช่ าวสุโขทัยอกี ตอ่ หนงึ่ ดว้ ย • การเผยแผพระพุทธศาสนา) ๕) ความสัมพันธ์กับลังกา ลังกาเป็นเกาะอยูท่ างตอนใตข้ องอินเดยี ในมหาสมทุ ร 4. ครูชมเชยนักเรียนทุกกลุม ที่รวมปฏบิ ตั กิ ิจกรรม อนิ เดยี สโุ ขทยั มคี วามสมั พนั ธก์ บั ลงั กาทางดา้ นวฒั นธรรม เพราะในสมยั พอ่ ขนุ รามคา� แหงมหาราช เปน อยางดี ทรงนิมนต์พระมหาเถรสังฆราชจากเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมคณะภิกษุสงฆ์น�าเอาพระพุทธ- ศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลงั กาวงศ์มาประดิษฐานในกรุงสโุ ขทัย ตอ่ มาประมาณ พ.ศ. ๑๙๐๐ ตรงกบั สมยั พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลไิ ทย) พระอโนมทสั สี และพระสุมนมหาเถระน�าพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เก่า (หรือรามัญวงศ์) จากนครพันมา เผยแผ่ทส่ี ุโขทัย คร้ันถึง พ.ศ. ๑๙๗๒ ตรงกบั สมัยพระมหาธรรมราชาท่ี ๔ (บรมปาล) พระธรรม คัมภีรจ์ ากเชียงใหมน่ �าพระพทุ ธศาสนานิกายลังกาวงศใ์ หมจ่ ากลงั กามาเผยแผ่ท่ีสุโขทยั อกี ด้วย 112 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ประโยชนท่สี โุ ขทัยไดร ับจากการมคี วามสมั พนั ธอันดกี ับหัวเมืองมอญคอื ขอใด ครูเลา เร่อื งเก่ยี วกับมะกะโทหรอื พระเจา ฟา รว่ั ซ่งึ มีความสัมพนั ธทางเครอื ญาตกิ ับ 1. ไดเมืองไวส ูศกึ กบั พมา สุโขทัยสมยั พอขุนรามคาํ แหงมหาราชใหนักเรียนฟงวา มะกะโทเปนพอคาชาวมอญ 2. ไดเมืองทาออกสทู ะเล ตอมาไดเขารับราชการในราชสํานกั สุโขทยั และอภเิ ษกสมรสกบั พระราชธดิ าของ 3. ไดแหลงซ้อื ขา วราคาถูก พอ ขนุ รามคําแหงมหาราช ภายหลงั ไดกลบั ไปต้ังตัวเปน ใหญท เี่ มืองเมาะตะมะ 4. ไดแ รงงานทม่ี ีคณุ ภาพ พอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชจงึ พระราชทานนามแกมะกะโทวา พระเจา ฟารั่ว ใหเ ปน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. สุโขทัยใชหวั เมอื งมอญเปนเมืองทาสาํ หรบั ปฐมกษัตริยแ หง เมอื งเมาะตะมะ จากนั้นครใู หนักเรยี นอภปิ รายรวมกันถึงประโยชน คา ขายทางดานอาวเมาะตะมะ นอกจากนยี้ งั ไดร ับการเผยแพรว ฒั นธรรม ที่สุโขทัยไดรบั จากความสัมพนั ธดงั กลา วกบั มอญ ผา นทางพระพทุ ธศาสนาจากพระสงฆมอญดว ย 112 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain ๖) ความสัมพันธ์กับจีน สุโขทัยมีควำม 1. ครูแจกบตั รคาํ ถามเกย่ี วกบั ความสัมพันธ สคัวมำพมันสธมั ์กพับนั จธีนด์ ทงั ำกงลดำ่ ้ำวน สกโุ ำขรทคยั ้ำจในะตรอ้ะบงสบง่ บครณรณะทำตูกพ1ำรร อ้ ลมักเคษรณอื่ งะ ระหวางสุโขทัยกบั จนี โดยคําถาม เชน บรรณำกำรไปถวำยจักรพรรดิจีน ท�ำให้จีนเข้ำใจว่ำสุโขทัย • ลกั ษณะความสมั พันธร ะหวา งสุโขทัยกบั จนี แสดงควำมออ่ นนอ้ มตอ่ จนี จงึ อนญุ ำตใหพ้ อ่ คำ้ ทร่ี ว่ มเดนิ ทำง เปนแบบใด มำกับคณะทูตสำมำรถซื้อขำยสินค้ำจีนได้อย่ำงสะดวกโดย • ในสมยั พอ ขนุ รามคําแหงมหาราช สโุ ขทยั ไมต่ ้องเสยี ภำษ ี และเมือ่ เดินทำงกลบั จีนก็ไดจ้ ดั มอบส่ิงของ สรา งความสัมพันธก บั จีนอยา งไร ใหก้ บั คณะทูตนำ� กลบั มำยงั สุโขทยั ด้วย • การทส่ี โุ ขทยั มีความสมั พนั ธอ ันดกี บั จีน กำรสร้ำงควำมสัมพันธ์กับจีนในลักษณะของ สง ผลดีตอสโุ ขทัยอยา งไร กำรค้ำในระบบบรรณำกำร เรมิ่ ตน้ ในสมัยพ่อขุนรำมคำ� แหง มหำรำช โดยในชว่ ง พ.ศ. ๑๘๓๕ - ๑๘๔๐ สโุ ขทยั สง่ คณะทตู ภาพวาดจินตนาการแสดงเหตุการณ์สุโขทัย 2. ครูใหเวลานกั เรียนแตละกลุมระดมความคิด พรอ้ มเครอื่ งบรรณำกำรไปจนี และในสมยั พระยำเลอไทยก็ได้ ส่งคณะราชทูตพร้อมเคร่ืองบรรณาการ จากนนั้ ใหน กั เรยี นสงตัวแทนออกมาตอบ ส่งไปอกี ไปถวายจักรพรรดิจีน 3. เมอื่ แตล ะกลุมตอบครบ ครูเฉลยคาํ ตอบ กำรท่ีสุโขทัยสร้ำงควำมสัมพันธ์อันดีกับจีน นับว่ำเป็นประโยชน์ต่อสุโขทัยอย่ำงย่ิง (แนวตอบ ทเพำรงำทะะนเลอ กกจำำรกตจดิ ะตไดอ่ ้ผคลำ้ ขปำรยะโ ยแชลนะว์ทธิ ่ีคีกุ้มำครท่ำทำ� เำคงรดอื่ ้ำงนปกั้นำดรคิน้ำเผแำลใ2้วห ม้ ยคี ังณุไดภ้รำับพคดวจีำมำกรชู้เก่ำ่ียงวจกนี ับอกกี ำดร้วเยดินเรือ • ความสัมพันธดา นการคาในระบบบรรณาการ • สุโขทัยสงคณะทตู พรอ มเครอ่ื งบรรณาการ ø. Íิท¸พิ ÅขÍงÍารย¸รรมµÐÇันÍÍกทÕมè ¼Õ Åµ‹Íสุโขทยั ไปถวายแกจกั รพรรดจิ นี • ทําใหไ ดร ับความรเู กีย่ วกับการเดินเรอื ทาง อำณำจักรสุโขทัยได้มีกำรพัฒนำอย่ำงต่อเน่ืองและเจริญก้ำวหน้ำมำเป็นล�ำดับ ทั้งทำงด้ำน ทะเล กาํ ไรจากการคา ขาย และวิธีการทาํ กำรเมืองกำรปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ เครือ่ งปนดินเผาใหมีคณุ ภาพดจี ากชา งจีน) ส่วนหน่ึงล้วนไดร้ บั อิทธพิ ลจำกอำรยธรรมตะวันออกท้ังสนิ้ อำรยธรรมตะวนั ออกท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ พฒั นำกำรของอำณำจกั รสโุ ขทัย ทส่ี �ำคญั มดี งั นี้ 4. ครูชมเชยนกั เรียนทกุ กลมุ ท่รี วมปฏิบตั กิ ิจกรรม เปน อยางดี และเนน ยา้ํ เกยี่ วกับความรับผดิ ชอบ 8.๑ ดำ้ นกำรเมอื งกำรปกครอง ในการทํางานเปน กลมุ 5. ครแู ละนักเรียนรว มกันสรุปความรูเกยี่ วกบั พัฒนาการทางดานความสมั พนั ธร ะหวา ง ประเทศสมยั สุโขทัย กำรเมอื งกำรปกครองสมยั สโุ ขทยั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจำกพระพทุ ธศำสนำนกิ ำยเถรวำทลทั ธลิ งั กำวงศ์ ขยายความเขา ใจ Expand จำกลังกำ ที่สั่งสอนให้พระมหำกษัตริย์ต้องทรงไว้ซ่ึงทศพิธรำชธรรม ดังจะเห็นได้จำกในสมัย พระมหำธรรมรำชำท ี่ ๑ (ลไิ ทย) ไดท้ รงเผยแพรแ่ ละแสดงออกถงึ ควำมเป็น “ธรรมราชา” ของ ครใู หนกั เรยี นกลุม เดมิ สรุปพัฒนาการทางดา น พระมหำกษัตริย์สุโขทัย ซึ่งได้รับอิทธิพลมำจำกพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทลัทธิลังกำวงศ์ ตางๆ สมัยสุโขทัยเปนผังมโนทัศนนาํ สงครผู สู อน นอกจำกน้ี พระมหำกษัตริย์ยังต้องมีทศพิธรำชธรรมในกำรปกครองด้วย ซ่ึงอิทธิพลทำงด้ำน กำรปกครองน้ีไดเ้ ป็นรำกฐำนใหก้ บั พระมหำกษัตรยิ ท์ ี่ขึ้นปกครองบ้ำนเมอื งในสมัยต่อๆ มำดว้ ย ตรวจสอบผล Evaluate กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1. ครูตรวจรายงานและผังมโนทัศนพ ฒั นาการทาง ๑๑๓ ดา นตา งๆ สมยั สโุ ขทัย 2. ครูสังเกตพฤตกิ รรมความมสี วนรวมในการตอบ คาํ ถามและการแสดงความคดิ เห็นของนักเรยี น นักเรียนควรรู ครใู หน กั เรยี นสืบคน ความสมั พนั ธร ะหวางสุโขทยั กบั อาณาจักรทีต่ นสนใจ 1 คณะทตู เอกสารฝา ยจนี ระบวุ า อาณาจกั รสโุ ขทัยไดส งคณะทูตพรอมดวย เพิ่มเตมิ จากหนงั สอื เรียน แลว จัดทาํ เปน บันทกึ การศกึ ษาคนควา โดยเนน ของพน้ื เมอื งเปนกํานัลแกจักรพรรดิราชวงศห ยวนของจนี รวม 14 คร้ัง ระหวา ง เกยี่ วกับลกั ษณะความสัมพันธว า เปน แบบใด พ.ศ. 1835-1865 สว นจนี สมัยราชวงศห ยวน สง ทูตมายงั สุโขทยั 4 คร้ัง แตม าถึง สโุ ขทยั เพยี ง 3 ครง้ั โดยมจี ุดหมายเพ่อื ท่จี ะแผอาํ นาจของจักรพรรดิกุบไลขาน และใหส ุโขทัยยอมออ นนอม 2 เครือ่ งปน ดนิ เผา สุโขทยั มเี คร่อื งปน ดินเผาที่มีคุณภาพและมีความสวยงาม ซง่ึ มลี ักษณะเดนตรงทกี่ ารเคลือบเนื้อละเอียด โดยเฉพาะเคร่ืองถว ยสเี ขียวไขก า หรอื ทเ่ี รยี กวา เซลาดอน ซงึ่ เคร่อื งถว ยของสุโขทัยไดร บั เทคนิควิธกี ารมาจาก การทาํ เครอื่ งถวยจีน และเครื่องถวยของสโุ ขทัยยังเปน สนิ คา สงออกไปขายยงั อาณาจักรตา งๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต ดังพบหลักฐานจากซากเรือ ท่ีจมในอา วไทยและพบเศษเครื่องถว ยสุโขทยั คมู อื ครู 113

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครยู กตวั อยางอารยธรรมตะวนั ออกทีม่ ีผลตอ สุโขทัย แลว สุมใหนักเรียนตอบวาไดร ับอิทธพิ ลมา จากแหลงใด เชน นอกจำกนี้ ลักษณะควำมเชื่อท่ีถือว่ำพระมหำกษัตริย์ของสุโขทัยมีฐำนะเป็น “สมมติเทพ” ในสมัยสุโขทัยตอนปลำย ก็ได้รับอิทธิพลมำจำกศำสนำพรำหมณ์ - ฮินดู ซึ่งเขมรได้รับมำจำก • การเมอื งการปกครองแบบธรรมราชา อินเดีย และสุโขทัยก็เริ่มรับอิทธิพลของศำสนำพรำหมณ์ - ฮินดู มำจำกเขมร ซึ่งถือว่ำ (แนวตอบ ไดรับอทิ ธพิ ลจากพระพทุ ธศาสนา พระมหำกษัตริย์เป็นเทพเจ้ำอวตำรมำปกครองมนุษย์ และสุโขทัยมำปรับปรุงใช้เป็นสมมติเทพ นกิ ายเถรวาทลทั ธลิ งั กาวงศจากลังกา) แนวคิดทำงกำรเมืองดงั กลำ่ วน้กี ็ไดร้ บั อิทธพิ ลมำจำกอำรยธรรมตะวนั ออกเชน่ กนั • ลักษณะเศรษฐกจิ แบบการคาสาํ เภา 8.๒ ด้ำนเศรษฐกิจ (แนวตอบ ไดร ับอทิ ธพิ ลจากจนี ) ลกั ษณะทำงเศรษฐกจิ ของอำณำจกั รสโุ ขทยั สว่ นหนง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลทำงดำ้ นอำรยธรรมจำกจนี สาํ รวจคน หา โดยเฉพำะทำงดำ้ นกำรคำ้ สำ� เภำทพี่ อ่ คำ้ จนี เขำ้ มำคำ้ ขำยกบั สโุ ขทยั นอกจำกน ้ี กำรทส่ี โุ ขทยั ทำ� กำร Explore คำ้ ขำยกบั จนี ทำ� ใหท้ ำงสโุ ขทยั ตอ้ งยอมรบั กำรคำ้ ในระบบบรรณำกำรของจนี ทง้ั นเ้ี พอื่ ผลประโยชน์ ทำงดำ้ นกำรค้ำขำย ครูใหนกั เรียนศกึ ษาอิทธิพลของอารยธรรม ตะวันออกทีม่ ีผลตอ สุโขทัยจากหนังสอื เรียน หนา 8.๓ ด้ำนสังคม 113-115 แลว นาํ มาอภิปรายในชัน้ เรียน ทรงมีฐกำำนระทเสี่ปโุน็ ข ท“ยัธไรดรมร้ บัราอชทิ าธ”พิ 1แลสขดองงใวหฒั ้เหนน็ธรวรำ่ มกทำรำเงปดลำ้ ่ียนนพแรปะลพงทุ ฐธำศนำะสขนอำง พสง่รผะมลหใหำพ้กษระัตมรหิยำ์ในกษสงัตั ครมยิ ์ อธบิ ายความรู Explain สุโขทัย ได้รบั อิทธิพลมำจำกพระพทุ ธศำสนำนกิ ำยเถรวำทลัทธลิ ังกำวงศ์จำกลังกำ ครูตั้งคําถามเพอื่ ใหน ักเรียนตอบ เชน นอกจำกนี้ กำรท่ีคนไทยในสมัยสุโขทัยนับถือพระพุทธศำสนำ ท�ำให้กุลบุตรได้เข้ำมำบวช • พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ- ฮินดไู ด มอี ิทธิพลตอการเมืองการปกครองของสุโขทัย เปน็ พระภกิ ษสุ งฆ์ในพระพทุ ธศำสนำ พระภกิ ษสุ งฆ์ในสงั คมไทยไดร้ บั กำรเคำรพโดยทว่ั ไป นบั ตงั้ แต่ พระมหำกษัตริย์จนถึงบรรดำไพร่ - ข้ำ เนื่องด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย อยางไร อนั ไดแ้ ก ่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ (แนวตอบ พระมหากษตั ริยส โุ ขทยั ทรงปฏบิ ัติ ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อให 8.4 ดำ้ นวัฒนธรรม ราษฎรมีความรม เยน็ เปน สขุ นอกจากน้ี พระมหากษัตริยย งั ทรงมีฐานะเปนสมมตเิ ทพ วัฒนธรรมไทยส่วนหน่ึงได้รับอิทธิพลมำจำกอำรยธรรมตะวันออก และสุโขทัยได้รับเข้ำมำ ทถ่ี ือวาพระองคเปนเทพเจา อวตารลงมา ผสมผสำนกบั วฒั นธรรมไทยจนกลำยเป็นวฒั นธรรมสโุ ขทยั ปกครองมนษุ ยด ว ย) ตวั อยำ่ งวฒั นธรรมทสี่ ำ� คญั ๆ ของสโุ ขทยั เชน่ ทำงดำ้ นพระพทุ ธศำสนำ สโุ ขทยั ไดร้ บั อทิ ธพิ ล • อารยธรรมจีนมีอทิ ธพิ ลตอสุโขทัยเรือ่ งใดบาง พระพุทธศำสนำจำกลังกำผำ่ นทำงนครศรีธรรมรำช และหวั เมอื งมอญ (แนวตอบ เชน การคา สาํ เภา การคาในระบบ ทำงดำ้ นสถำปตั ยกรรม สว่ นหนงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมำจำกลงั กำ เชน่ กำรสรำ้ งพระพทุ ธรปู ทำงดำ้ น บรรณาการ วธิ กี ารทาํ เครอื่ งสังคโลก เปน ตน) หตั ถกรรม สว่ นหนงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจำกจนี เชน่ กำรทำ� เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผำหรอื เครอื่ งสงั คโลก ส�ำหรับ • วัฒนธรรมสโุ ขทยั ทไ่ี ดร บั อิทธพิ ลจากอารยธรรม วรรณกรรมพระพทุ ธศำสนำ เช่น ไตรภมู ิพระร่วง ก็ได้รับอิทธพิ ลจำกอนิ เดียและลังกำ ทำงดำ้ น ตะวันออกมีอะไรบาง จงยกตวั อยา ง ภำษำสว่ นหนงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจำกขอม มอญ และอนิ เดยี เชน่ ตวั อกั ษรสโุ ขทยั ของพอ่ ขนุ รำมคำ� แหง มหำรำช กฎหมำยไดร้ บั อิทธพิ ลจำกพระธรรมศำสตรข์ องอินเดยี ผ่ำนมำทำงมอญ เป็นตน้ (แนวตอบ เชน การสรางพระพทุ ธรปู ที่ไดร บั อิทธิพลจากลงั กา การทําเครอื่ งปน ดินเผาที่ ไดรบั อทิ ธิพลจากจนี ภาษาและกฎหมายไดรบั ๑๑4 อทิ ธิพลจากอนิ เดยี ผานทางมอญ ขอม เปนตน) ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอ สอบป ’52 ออกเกย่ี วกับอิทธิพลของอารยธรรมตะวนั ออกท่ีมีตอ ไทย 1 ธรรมราชา หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาทเี่ กย่ี วเนอื่ งกบั การเปน ธรรมราชา อารยธรรมตะวันออกขอใดท่ีมผี ลตอ ประเทศไทยในดานเศรษฐกจิ ของพระมหากษตั รยิ  ทส่ี าํ คญั ไดแ ก “ทศพธิ ราชธรรม” 10 ประการ ไดแ ก 1. การใชป ฏทิ นิ 1. การให (ทาน) 2. การตง้ั อยใู นศลี (ศลี ) 3. การบรจิ าค (ปรจิ จาคะ) 2. การทาํ เครอื่ งสงั คโลก 4. ความซอื่ ตรง (อาชชวะ) 5. ความออ นโยน (มทั ทวะ) 6. ความมตี บะ (ตบะ) 3. การปกครองระบอบประชาธิปไตย 7. ความไมโ กรธ (อกั โกธะ) 8. ความไมเบยี ดเบียน (อวิหิงสา) 9. ความอดทน 4. พระมหากษัตรยิ ตามแบบธรรมราชา (ขันต)ิ 10. ความไมคลาดธรรม (อวโิ รธนะ) และ “จักรวรรดิวตั ร” 12 ประการ เชน สงเคราะหช ว ยเหลือบคุ คลภายในพระราชฐานและหมทู หารใหดี สงเคราะห วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การทาํ เครื่องสังคโลกสมยั สโุ ขทัยไดร บั อทิ ธพิ ลทางเทคนคิ วธิ ีการผลติ จากจนี จัดเปน งานหตั ถกรรมทส่ี รา งรายได กษัตริยเ จา เมืองขนึ้ ทงั้ หลายใหด ี คมุ ครองพราหมณแ ละคหบดีทั้งหลายอยาให ใหแ กส โุ ขทัยเปนอยา งมาก เดอื ดรอ น ทํานุบํารุงผูขัดสนไรทรพั ย เปน ตน 114 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage กระตนุ ความสนใจ 8.5 ทำงดำ้ นควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งประเทศ ครูใหน ักเรยี นดภู าพภมู ิปญญาสมยั สุโขทยั เชน เครือ่ งสังคโลก ลายสือไทย พระพทุ ธรปู ปางลีลา อำรยธรรมตะวันออกมีอิทธิพลต่อควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศในสมัยสุโขทัยอยู่ไม่น้อย สรดี ภงส เปนตน จากนั้นครตู ้ังคําถาม เชน อำรยธรรมตะวันออกท่ีมีผลดีต่อกำรสร้ำงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศของสุโขทัยมีหลำยด้ำน เชน่ พระพทุ ธศำสนำที่ไดร้ บั จำกลงั กำมสี ว่ นทำ� ใหค้ วำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งสโุ ขทยั กบั นครศรธี รรมรำช • ภาพนค้ี ืออะไร ลังกำ มอญ และล้ำนนำ ด�ำเนินไปด้วยควำมรำบร่ืนโดยอำศัยพระพุทธศำสนำเป็นส่ือเช่ือม • ภาพดังกลาวมคี วามสําคัญตอชาวสโุ ขทยั ควำมสัมพนั ธ์ นอกจำกนี้กำรที่สุโขทัยยอมรับกำรค้ำในระบบบรรณำกำรของจีนตำมรูปแบบวัฒนธรรม อยางไร กำรค้ำของจีน ช่วยท�ำให้สุโขทัยมีควำมสัมพันธ์อันดีกับจีนโดยตลอด และได้รับผลประโยชน์ทำง • ในทอ งถ่ินของนักเรียนมีสิง่ ของเครอื่ งใช ด้ำนกำรคำ้ กบั จนี ด้วยควำมรำบรน่ื กล่ำวโดยสรุป อำรยธรรมตะวันออกท่ีมีอิทธิพลต่อไทยสมัยสุโขทัยในด้ำนกำรเมือง อะไรบา งทเี่ ปน ภมู ปิ ญ ญาไทย จงยกตัวอยา ง กำรปกครอง เศรษฐกจิ สงั คม วัฒนธรรม และควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงประเทศ ดงั ได้กลำ่ วมำแลว้ มาพอสงั เขป มสี ่วนสำ� คัญทนี่ ำ� ไปสูก่ ำรพฒั นำควำมเจรญิ กำ้ วหน้ำของอำณำจักรสโุ ขทัยในที่สุด สาํ รวจคน หา Explore ๙. การสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญาในสมยั สโุ ขทยั ครใู หนักเรียนศกึ ษาคนควาเกย่ี วกับ อำณำจักรสุโขทัยด�ำรงอยู่ได้เป็นเวลำนำนถึง ๒๐๐ ปีเศษ ปัจจัยส�ำคัญประกำรหนึ่ง คือ การสรา งสรรคภ มู ิปญ ญาในสมยั สุโขทัย กำรมีภูมิปัญญำเป็นของตนเอง ดังจะเห็นได้จำกกำรที่คนไทยสมัยสุโขทัยสำมำรถอำศัยวิธีคิด จากหนังสอื เรียน หนา 115-120 และจาก ว ิธกี ำรด แงั นละั้นจ ินกำตรนศำกึ กษำำรใเกน่ยีกวำกรแับกก้ไำขรปสรญั ้ำหงสำใรนรคกำภ์ รมู ดิปำ� ัญเนญินำชไวี ทิตยขสอมงยัตสนุโใขหทด้ ัย�ำ 1รจงงึ อมยวี ไู่ ตัดถ้อุปยร่ำะงสปงรคกท์ตจ่ีสิ ะุขให้ แหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ กลมุ สาระ คนไทยมีควำมรู้ควำมเข้ำใจ และภูมิใจในควำมเป็นไทยที่ได้สั่งสมมำและได้เป็นมรดกตกทอดมำ หองสมดุ โรงเรยี น ขอ มูลทางอนิ เทอรเนต็ เปนตน จนถงึ ปจั จบุ นั นี้ 9.๑ ควำมหมำยของภูมิปัญญำไทย ค�ำว่ำ “ภูมิปัญญาไทย” หมำยถึง ควำมรู้ ทักษะ ควำมเชื่อ และพฤติกรรมของคนไทย ในกำรปรับตัวให้เข้ำกับธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม แล้วสร้ำงสรรค์สังคมและสั่งสมประสบกำรณ์ เหล่ำนัน้ เปน็ เวลำนำนเพ่ืออนุชนรุ่นหลังตอ่ มำ 9.๒ ปัจจัยทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ กำรสรำ้ งสรรค์ภมู ิปญั ญำไทยสมยั สุโขทยั ในสมัยสโุ ขทัยมปี จั จยั ส�ำคัญท่สี ง่ ผลตอ่ กำรสรำ้ งสรรคภ์ มู ปิ ัญญำของคนไทย ดงั น้ี ๑. ควำมตอ้ งกำรปจั จยั ในกำรดำ� รงชีวิต เช่น เครอื่ งมือ เคร่ืองใช ้ เปน็ ต้น ๒. ควำมตอ้ งกำรแกไ้ ขปญั หำท่ีเกิดจำกสภำพแวดลอ้ มตำมธรรมชำติ เชน่ ต้องกำร เก็บกักนำ�้ เอำไว้ใชใ้ นฤดรู ้อน (แลง้ ) เป็นต้น ๑๑5 ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ปจ จยั ใดบา งทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอการสรางสรรคภมู ิปญ ญาไทยสมยั สโุ ขทัย ครใู หขอ เสนอแนะนักเรียนในการทาํ งานรวมกันเปน ทมี การแบงหนา ท่แี ละ แนวตอบ มีหลายปจจยั ท่สี ําคญั เชน ความตองการปจจยั ในการดํารงชวี ติ ภาระงานท่ีเหมาะสมแกส มาชิกในกลมุ เพอ่ื ใหก ารปฏบิ ตั ิงานกลุมบรรลุวตั ถปุ ระสงค เชน เคร่อื งมือเคร่ืองใช ความตอ งการแกไขปญหาทีเ่ กิดจากสภาพแวดลอ ม ท่วี างไวรว มกัน ตามธรรมชาติ เชน สรา งท่กี กั เกบ็ นํา้ ไวใชใ นฤดแู ลง ความตอ งการทจ่ี ะใช หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาในการสรางสังคมใหส งบสุข เชน การปลกู ฝง นักเรยี นควรรู ใหคนเกรงกลวั การทาํ บาป ทาํ แตค วามดี ความตอ งการใหเ กิดความม่ันคง ในอาณาจกั ร เชน การประดษิ ฐล ายสือไทย เพอ่ื ใหค นไทยมีภาษาไทยและ 1 ภมู ปิ ญญาไทยสมยั สโุ ขทัย เครือ่ งสังคโลกสโุ ขทัยจดั เปนภมู ิปญ ญาในสมยั อักษรไทยใชแบบเดยี วกันท่ัวอาณาจกั ร เปน ตน สโุ ขทยั ประเภทหนงึ่ ที่ถูกสรางสรรคข ้นึ มา ซึง่ เทคนคิ ในการเผาตอ งมีการพัฒนามา อยา งยาวนานกวา จะกลายเปนเครือ่ งสังคโลกที่สวยงามได ในระยะแรกอาจเปน การผลิตเพ่ือใชส อยภายในครัวเรอื น และตอมาไดม ีการพฒั นาการผลิตเพื่อสง ออก ในสมัยสโุ ขทยั คมู ือครู 115

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรยี นชวยกนั ยกตัวอยา งภมู ิปญญาไทย ๓. ควำมต้องกำรที่จะใช้ประโยชน์จำกหลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำเพื่อน�ำมำสร้ำง สมัยสุโขทยั มาพอสงั เขป แลวบอกประโยชนของ ควำมสงบสุขให้กบั สังคม เชน่ ปลูกฝังให้คนไทยเกิดควำมเกรงกลวั ต่อบำป เป็นตน้ ภมู ปิ ญ ญาดงั กลาว ๔. ควำมต้องกำรให้เกิดควำมมั่นคงของอำณำจักร เช่น ต้องกำรให้คนไทยมีกำร (แนวตอบ เชน สรีดภงสหรือทํานบพระรว ง พดู อ่ำน เขยี นภำษำเดยี วกัน อันแสดงถงึ ควำมเป็นคนในเช้ือชำติเดียวกนั เพือ่ จะไดร้ ่วมกันสร้ำง มปี ระโยชนในการกกั เก็บนา้ํ ไวใ ชใ นฤดแู ลง ควำมเจริญรุ่งเรืองใหก้ ับอำณำจกั ร เป็นตน้ ตระพงั หรือสระสาํ หรับเก็บนา้ํ และระบายนา้ํ ปัจจัยส�ำคัญเหล่ำน้ีท�ำให้เกิดภูมิปัญญำไทยต่ำงๆ อันเป็นผลงำนจำกกำรสร้ำงสรรค์ การนําศลิ าแลงซ่งึ เปน วสั ดใุ นทอ งถ่ินมาสรา ง ของชำวสุโขทยั อาคาร สถานที่ตา งๆ เชน กําแพงชนั้ ในของ เมืองศรีสชั นาลยั การผลติ เครือ่ งสังคโลกสําหรบั 9.๓ ผลงำนกำรสรำ้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญำไทยในสมยั สโุ ขทยั เปนภาชนะในครวั เรอื นและสง เปน สินคาออกขาย การประดษิ ฐโลหกรรมสํารดิ เพื่อนํามาใชทําเปน ในสมัยสุโขทัย มีผลงำนทำงด้ำนภูมิปัญญำไทยหลำยอย่ำงที่แสดงให้เห็นถึงควำมสำมำรถ เครื่องมอื เครอ่ื งใชตา งๆ หรอื ปน พระพทุ ธรูป ของคนไทยในกำรแก้ไขปัญหำกำรด�ำรงชีวิตในลักษณะต่ำงๆ ได้เป็นอย่ำงดี โดยจะยกตัวอย่ำง เปนตน ) ให้เหน็ พอสงั เขป ดงั นี้ ๑. กำรรจู้ กั สรำ้ งทกี่ กั เกบ็ นำ้� เอำไวใ้ ชใ้ นฤดแู ลง้ เนอื่ งจำกสภำพของดนิ ในสมยั สโุ ขทยั 2. ครใู หน ักเรียนทํากิจกรรมท่ี 4.5 จากแบบวดั ฯ สว่ นใหญเ่ ปน็ ดนิ ปนทรำยที่ไมอ่ มุ้ นำ�้ ทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หำในกำรเพำะปลกู เพรำะขำดแคลนนำ้� โดยเฉพำะ ประวตั ศิ าสตร ม.1 ในฤดแู ล้ง ดว้ ยเหตุน้ ี ชำวสุโขทยั จงึ หำวธิ กี ำรแกไ้ ขปญั หำดงั กล่ำว ด้วยกำรสร้ำงระบบชลประทำน เพือ่ เก็บน�ำ้ เอำไวใ้ ชไ้ ด้ตลอดทั้งป ี มีกำรชักน้�ำ เก็บกกั นำ้� และระบำยน�ำ้ ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ แบบฝกฯ ประวตั ศิ าสตร ม.1 กิจกรรมท่ี 4.5 กลำ่ วคอื มกี ำรชกั นำ้� หนว ยท่ี 4 พัฒนาการของอาณาจกั รสุโขทยั จำกที่สูงทำงด้ำนตะวันตกของ สุโขทัยมำยังบริเวณที่เป็นแหล่ง กจิ กรรมที่ ๔.๕ ใหน กั เรยี นดภู าพ ๒ ภาพตอ ไปนี้ แลว ตอบคาํ ถามทกี่ าํ หนด คะแนนเต็ม คะแนนท่ีได ที่อยู่อำศัย ตลอดจนมีกำรสร้ำง แนวคันดินเพื่อบังคับน�้ำที่ไหล (ส ๔.๓ ม.๑/๓) ñõ จำกที่สูงและหุบเขำมำเก็บไว้ใน ค ู ห้วย สระนำ�้ โดยมที อ่ ดนิ ขนำด ภาพท่ี ๑ ภาพที่ ๒ ใหญ่ฝังลึกอยู่ใต้ผิวดินเป็นท่อ นลำ�้�ำเนลี้ ยี เงร แียนกววค่ำนั ด“สนิ รสีดำ� ภหงรสบั ์”บ1หงั ครบัือ ๑. ภูมปิ ญ ญาท้ังสองภาพคืออะไรและจัดอยูในสมยั ใด “ทา� นบพระรว่ ง” ...............ภ....า...พ....ท....่ี ...๑......ค....ือ......ส....ร....ดี ....ภ...ง....ส....ใ..น.....ส....ม....ยั ...ส....ุโ...ข...ท....ยั ............................................................................................................................................ ภาพที่ ๒ คือ เขื่อนในสมยั รัตนโกสินทร.................................................................................................................................................................................................................................................... ฉบับ สรดี ภงสห์ รอื ทา� นบพระรว่ ง เปน็ ภมู ปิ ญั ญาของชาวสโุ ขทยั ทด่ี ดั แปลงภมู ปิ ระเทศ เฉลย.................................................................................................................................................................................................................................................... สร้างเป็นอ่างเก็บน้�าขนาดใหญข่ ึน้ มา เพือ่ แก้ปญั หาการขาดแคลนน�้า .................................................................................................................................................................................................................................................... ๑๑๖ .................................................................................................................................................................................................................................................... ๒. วตั ถุประสงคในการสรางสรรคภ ูมิปญญาเพ่ืออะไร ...............ส....ร....ดี ....ภ...ง....ส....ส ....ร...า...ง...ข...นึ้....เ..พ....อื่....ก....กั ....เ.ก....บ็....น.....า้ํ...ไ..ว...ใ..ช...ใ...น....ฤ....ด....แู...ล....ง......เ..น....อื่....ง...จ...า...ก....ส....ภ....า...พ....ด....นิ ....ข...อ...ง....ส....โุ..ข...ท....ยั...ส.....ว ..น.....ใ..ห....ญ.....เ..ป....น ....ด....นิ.... ป....น.....ท....ร...า...ย........ไ..ม....อ...ุม....น....้ํา........จ...ึง...ท....ํา...ใ...ห....เ.ก....ิด....ป....ญ.....ห....า...ข...า...ด....แ...ค....ล....น....น.....ํ้า..ท....ํา...ก....า...ร...เ..พ....า...ะ...ป....ล....ูก....ใ..น.....ฤ...ด....ูแ...ล....ง........ส....ว...น.....เ.ข...ื่อ....น....ส.....ร...า...ง...ข...้ึน.... เ..พ....อื่...ก....กั....เ..ก....บ็....น.....าํ้ ..ไ...ว...ใ ..ช...เ..ม...อื่....เ.ก....ดิ....ข...า...ด....แ...ค....ล....น....น.....า้ํ ..ใ...น....ฤ....ด....แู...ล....ง...เ..ช...น....เ..ด....ยี...ว...ก....บั....ส.....ร...ดี....ภ....ง...ส.......แ...ล....ะ..เ..ข...อ่ื...น.....บ....า...ง...แ...ห....ง...ย....งั ...ส....า...ม...า...ร...ถ.... ผ....ล....ติ ....ก....ร...ะ...แ...ส....ไ..ฟ....ฟ.....า.....ร....ว..ม....ท....ั้ง...ใ...ช...เ..ป...น.....ส....ถ....า...น....ท....ท่ี....อ....ง...เ..ท....่ยี ...ว...ไ..ด....อ....ีก....ด....ว...ย....................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................................... ๓. ภมู ปิ ญญาทงั้ สองภาพสงผลตอ การดาํ รงชวี ติ ของมนุษยในอดตี จนถงึ ปจ จบุ ันอยา งไร ...............ก....า...ร...ส....ร....า...ง...ท....ี่ก....ัก....เ..ก....็บ....น....ํ้า...ไ...ว...ใ..ช...ใ...น....ฤ....ด....ูแ...ล....ง...จ....ะ...ช...ว...ย...แ...ก....ไ...ข...ป....ญ.....ห....า..ก....า...ร...ข...า...ด....แ...ค....ล....น.....น....ํ้า.......ใ...ห....ส....า...ม...า...ร....ถ...ม....ีน....ํ้า...ไ...ว...ใ..ช... อ....ุป....โ..ภ....ค....บ....ร....ิโ..ภ....ค....แ....ล...ะ...ใ...ช...ส....ง....เ.ส.....ร...ิม....ใ..น.....ก....า..ร....เ..พ....า...ะ..ป....ล....ูก.........ซ...่ึง....ช...ว...ย...ใ...ห....เ..ก....็บ....เ..ก....่ีย...ว...ผ....ล....ผ...ล....ิต....ท....า...ง...ก....า...ร...เ..ก....ษ.....ต...ร....ไ...ด....ม...า...ก....ข...้ึน.... น.....อ...ก....จ....า...ก....น....ี้.....เ..ข...ื่อ...น.....ท....ี่ส....า...ม....า..ร....ถ....ผ...ล....ิต....ก....ร....ะ...แ...ส....ไ...ฟ....ฟ....า...ไ..ด.....ก...็.ช...ว...ย...ใ...ห....ม....น....ุษ....ย....ใ...น....ส....ม....ัย...ป.....จ...จ....ุบ....ัน.....ม...ีค....ว...า...ม....ส....ะ...ด....ว...ก....ส....บ....า...ย... มากขนึ้ ดว ย.................................................................................................................................................................................................................................................... ..................................(..พ....จิ....า..ร....ณ.....า...ค....าํ...ต....อ...บ....ข...อ....ง...น....กั....เ..ร....ีย...น.......โ...ด....ย...ใ...ห....อ...ย....ูใ..น.....ด...ุล....ย....พ....ิน....จิ....ข...อ...ง....ค....ร...ูผ....สู ....อ...น.....)............................................... ๔๑ นกั เรียนควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดตอ ไปนไ้ี มใ ชภ ูมปิ ญญาในสมยั สโุ ขทยั ที่เกิดจากลักษณะทางภมู ศิ าสตร 1 สรดี ภงส อยใู นอทุ ยานประวตั ศิ าสตรส โุ ขทยั โดยตง้ั อยนู อกกาํ แพงเมืองเกา ทาง 1. การสรางตระพังไวเกบ็ นํา้ ทิศตะวนั ตกเฉียงใต ตรงบรเิ วณท่ีถูกขนาบดวยภูเขา 2 ลูก คือ เขาพระบาทใหญ 2. การผสมตะกว่ั ในการหลอมสาํ ริด กับเขากว่ิ อายมา ในปจจบุ นั สรีดภงสไ ดรับการปรบั ปรุงขน้ึ ใหมโ ดยกรมชลประทาน 3. การใชศ ิลาแลงสรางโบสถและวหิ าร รว มกับกรมศลิ ปากรใหม คี วามสงู และแขง็ แรงกวาเดิมสําหรบั ใชเก็บกกั นาํ้ มคี วามสงู 4. การเผาเครอ่ื งสงั คโลกดวยเตาทุเรยี งในฤดฝู น ประมาณ 10 เมตร สามารถกกั เกบ็ นํ้าไดถ ึง 400,000 ลกู บาศกเ มตร และยงั สามารถ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การผสมตะกวั่ ในการหลอมสาํ ริดเปน ความรู ใชป ระโยชนไดด ีมาถึงปจ จบุ นั นบั เปน ภมู ิปญญาและวทิ ยาการทน่ี า ท่งึ อยา งหนงึ่ ดานการประดษิ ฐโลหกรรมที่ชาวสุโขทัยคิดคน ขน้ึ มาเพือ่ ประโยชนในการ ของชาวสุโขทัย ดาํ รงชีวติ ซ่ึงเหมาะสมในการใชท ําภาชนะ เคร่ืองประดบั เปน ตน 116 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู นอกจากน้ีก็มีการสราง “ตระพัง” หรือสระสําหรับเก็บน้ํา มีการสรางแหลงรับน้ํา 1. ครตู ัง้ คําถามใหน ักเรยี นชว ยกันวิเคราะห เชน และระบายนํา้ ทเ่ี ปน สว นเกินจากแหลงกกั เกบ็ นา้ํ จะใชวิธกี ารระบายนาํ้ โดยทางนํ้าเล็กๆ ลงสูที่ตํา่ • ระหวา งสรดี ภงสก ับเขอ่ื นในปจจบุ ัน ซึ่งมีทงั้ สระนํ้าขนาดใหญและลาํ คลองทีท่ าํ หนา ที่ระบายนํา้ ลงสแู มนํา้ ลําคลอง แหลงสาํ หรบั รบั น้าํ นักเรียนคดิ วามีความเหมอื นหรอื แตกตา งกนั และเก็บน้าํ เพ่อื ระบายนํา้ สว นเกนิ ไปยังพ้ืนทีท่ ีต่ ํา่ กวา นนั้ เรียกวา “สรีดภงส” อยางไร (แนวตอบ ความเหมอื น คอื สรา งขึ้นสําหรับ การท่ีชาวสุโขทัยสามารถคิดคนวิธีเอาชนะปญหาการขาดแคลนน้ําในฤดูแลงดวย กักเก็บน้าํ ไวใ ชในฤดแู ลง ความแตกตา ง คอื วธิ ีการที่ปจ จุบัน เรียกวา “การชลประทาน” จดั ไดว าเปน ภมู ปิ ญ ญาไทยอยา งหนึ่งของชาวสโุ ขทัย เข่ือนในปจจบุ ันสามารถนาํ มาใชป ระโยชน ซึ่งแนวคิดนกี้ ็ยังคงใชปฏบิ ตั ิตอ เน่ืองกันมาในสมัยหลงั ๆ ไดห ลากหลายกวา โดยนํามาใชผลิตกระแส ไฟฟา กไ็ ด หรือเปนสถานทีท่ องเทย่ี ว) ๒. การรูจักใชศิลาแลงมาสรางอาคารสถานที่ตางๆ ศิลาแลงเปนหินท่ีจะกลายสภาพ • หากสมมตใิ หนักเรียนเปน คนงาน จะมาชวย เปนดินในระยะหลังตอๆ มา แตยังไมเปนดินที่แทจริง มีสภาพแข็งและมีลักษณะพรุน มีสีแดง กอสรางอาคารสถานท่ใี นสุโขทัยอยางไร และสะสมอยูในพ้นื ดนิ ชาวสโุ ขทยั สามารถจะตัดศลิ าแลงเหลาน้ีเอามาสรา งโบสถหรือศาสนสถาน (แนวตอบ ในการกอสรางจะใชวัสดุ ทีเ่ รียกวา ตางๆ ได โดยสกัดเอาศิลาแลงออกมาเปนแผนๆ และนํามาซอนเรียงกันจนมีลักษณะเปนผนัง ศิลาแลง มีสแี ดง แข็ง และมรี ูพรุน ตอ งรบี ของอาคารสถานที่น้ัน จากน้ันใชน้ํายาเปนตัวประสานใหศิลาแลงแตละแผนเชื่อมตอกันเปนศิลา นาํ มาใชทันทที ขี่ ุดโดยนาํ มาสกัดเปน แผน แผน ใหญ ใชทาํ เปน ผนังของอาคารได ตวั อยางอาคารสถานทีท่ ่กี อดว ยศิลาแลง เชน กาํ แพงเมอื ง แลว วางเรยี งซอนกนั โดยใชนาํ้ ยาเปน ช้ันในของเมอื งศรสี ัชนาลัย เปนตน ตวั ประสาน สวนใหญใ ชใ นการกอ สรา ง อาคาร โบสถ ศาสนสถานตางๆ) การรูจักใชศิลาแลงท่ีมีอยูในธรรมชาติมาใชใหเปนประโยชนของชาวสุโขทัย จัดเปน ภมู ปิ ญ ญาไทยอยางหน่งึ ท่ีรูจกั นาํ วสั ดุทีม่ อี ยูใกลต ัวมาสรา งอาคารสถานท่ี 2. ครใู หน กั เรยี นไปคนควา เพิ่มเตมิ วา ศลิ าแลง สามารถนาํ มาใชป ระโยชนอ ะไรไดอีกบางใน ปจจุบัน (แนวตอบ ในปจจบุ ันศิลาแลงถูกนาํ มาใช ประโยชนม ากมาย เชน เปน วสั ดตุ กแตง บานเรอื น อาคารสมยั ใหม ทาํ ถนน และทํา หนิ ประดบั ปพู น้ื เปนตน ) โบสถว ดั มหาธาตุ 1ซงึ่ อยกู ลางราชธานี ผงั เปน รปู สเี่ หลยี่ ม เสากอ ดว ยศลิ าแลง ๑๑๗ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู จากภูมิปญญาดา นการชลประทานของสโุ ขทยั กอ ใหเกดิ ประโยชนตอ ครอู ธิบายใหนักเรียนเขาใจเพิ่มเตมิ วา ศลิ าแลงเปน วสั ดธุ รรมชาตทิ ่เี กดิ ขนึ้ ใน อาณาจักรสุโขทัยอยางไร บรเิ วณมรสุมเขตรอน ซง่ึ ผคู นในทวีปเอเชยี และเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตร จู กั นํามาใช แนวตอบ ภมู ิปญญาดานการชลประทานของสโุ ขทัยจะเปน การรจู ักสราง ประโยชนเปน เวลานานแลว นบั ต้งั แตส มยั กอ นประวตั ศิ าสตร โดยนาํ ศิลาแลงมาบด ทกี่ ักเกบ็ นํ้าไวใ ชใ นฤดูแลง ท่เี รียกวา สรดี ภงสหรือทาํ นบพระรว ง ซ่ึงกอให ผสมกบั ยางไมใ ชเปนสใี นการวาดภาพตามถํา้ และหนา ผาหนิ และยงั นํามาใชสรา ง เกดิ ประโยชนแ กอ าณาจกั รสุโขทยั โดยรวม โดยชวยแกปญ หาการขาดแคลน วดั และปราสาทหิน ซ่งึ พบไดท ง้ั ในประเทศไทย ลาว และกมั พูชา นํ้าในการเพาะปลูก และการอุปโภคบริโภคของชาวสุโขทยั นกั เรียนควรรู 1 วดั มหาธาตุ ราชธานสี โุ ขทยั มวี ดั มหาธาตเุ ปนวดั กลางเมือง หรือวดั ทีเ่ ปน ศนู ยกลางของอาณาจักร โดยวดั มหาธาตุสโุ ขทยั แหงน้ีมเี จดยี ท รงพมุ ขาวบณิ ฑเปน เจดยี ประธานของวดั ซึ่งเปน เจดียท ่มี รี ูปแบบเปน เอกลักษณเ ฉพาะตวั ของสุโขทยั เจดียลกั ษณะนจ้ี ะกระจายไปอยตู ามเมืองตางๆ ทีม่ ีความสัมพนั ธกบั สุโขทัย โดยสันนษิ ฐานวาตน แบบนา จะมาจากท่ีวดั มหาธาตสุ ุโขทยั คูมอื ครู 117

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู นทนากับนกั เรียนเก่ยี วกับภูมปิ ญญาไทยใน ๓. กำรรู้จักเคลือบเครื่องปั้นดินเผำให้มีควำมสวยงำม คนไทยรู้จักกำรใช้ดินเหนียว การทําเครื่องสังคโลก และการประดษิ ฐโลหกรรม มำปน้ั เปน็ ภำชนะตำ่ งๆ แลว้ นำ� ไปเผำจนแกรง่ กอ่ นนำ� ไปใชง้ ำน โดยมกี ำรสบื สำนตอ่ กนั มำตงั้ แตส่ มัย สาํ ริด จากนั้นใหน กั เรียนชวยกนั สรปุ สาระสาํ คญั ก่อนประวัติศำสตร์ แต่เม่ือมำถึงสมัยสุโขทัย คนไทยเริ่มรู้จักกำรเคลือบเคร่ืองปั้นดินเผำ ของภมู ิปญ ญาดงั กลา ว ใหม้ คี วำมสวยงำม เคร่ืองเคลือบดนิ เผำนเ้ี รียกวำ่ “เคร่อื งสงั คโลก” ภมู ปิ ญั ญำไทยในกำรทำ� เครอ่ื งสงั คโลกของชำวสโุ ขทยั น ี้ เรม่ิ ตงั้ แตก่ ำรรจู้ กั ใชด้ นิ เหนยี ว (แนวตอบ การทาํ เครอ่ื งสังคโลกนั้นเรม่ิ ต้งั แต และดินขำวท่ีมีคุณภำพในกำรปั้น กำรน�ำยำงไม้บำงชนิดมำประกอบในกำรผลิตน�้ำยำเคลือบ รูจักใชด ินเหนยี วและดินขาวที่มคี ุณภาพในการปน บภรำเิชวนณะแเพหล่ือง่ใหผล้ดติูสทวยส่ี ำง� คำมญั กไดำรแ้ สกร ่ ้ำเงตเำตทำเุ เรผยี ำงทที่สเ่ี มำอืมงำเรกถำ่ รสะโุ บขทำยยั ค 1วเตำำมทรเุ้อรนยี งไดท้ เี่ กดำังะหนลอ้ ักย ฐำแนละทเี่พตำบทอเุ ยรยูี่ในง การนาํ ยางไมมาใชประกอบในการผลิตนา้ํ ยาเคลือบ ทปี่ ำ่ ยำงทำงตอนเหนอื ของเมอื งศรสี ชั นำลยั ภาชนะใหดสู วยงาม ตลอดจนการสรางเตาเผาที่ ภูมิปัญญำอีกอย่ำงหน่ึงก็คือ กำรเผำเคร่ืองปั้นดินเผำ ในกำรเผำเครื่องปั้นดินเผำ ระบายความรอ นไดด ี สวนโลหกรรมสาํ ริด จะตอง มักจะเผำกันมำกในฤดูฝน เพรำะว่ำอำกำศในเตำและฟนท่ีจะใช้เผำมีควำมช้ืนมำกขึ้น ท�ำให้ ผสมตะกัว่ ลงในสําริด เพือ่ ใหโ ลหะหลอมไดงายและ เคร่ืองเคลือบดนิ เผำสเี ขยี วไข่กำมคี วำมสวยงำมกว่ำเผำในฤดรู ้อน ชวยลดฟองอากาศในโลหะเหลว จะทําใหว ตั ถุที่หลอ มีคณุ ภาพดี ซงึ่ เหมาะแกการทําเปน ภาชนะ เครอ่ื งประดับ แตถา ทําเครอื่ งมือ อาวธุ หรอื ปน พระพุทธรูป มักจะไมผ สมตะกวั่ ลงในสํารดิ ) จานและกาน้�าสังคโลกสเี ขียวไข่กา ๔. กำรรู้จักประดิษฐ์โลหกรรมส�ำริด มนุษย์รู้จักประดิษฐ์โลหกรรมมำตั้งแต่สมัย กอ่ นประวตั ศิ ำสตร ์ โดยน�ำมำใช้ทำ� เครือ่ งมอื เคร่อื งใช้ต่ำงๆ กำรประดิษฐ์โลหกรรมส�ำริดของคนไทยสมัยสุโขทัย ได้เกิดภูมิปัญญำไทยอย่ำงหนึ่ง คือ กำรที่ชำวสุโขทัยได้ทดลองจนพบว่ำ กำรผสมตะก่ัวลงในส�ำริดนั้นท�ำให้โลหะหลอมได้ง่ำย มำกขึ้น และช่วยลดฟองอำกำศในโลหะเหลว ท�ำให้วัตถุท่ีหล่อมีคุณภำพดี เหมำะสมกับกำรใช้ ท�ำภำชนะ เคร่ืองประดับ และใช้ท�ำวัตถุที่มีรูปร่ำงซับซ้อน แต่ถ้ำท�ำเครื่องมือและอำวุธ หรือ ปน้ั พระพุทธรปู มกั จะไม่ผสมตะกั่วลงในสำ� ริด เพรำะตอ้ งกำรสำ� ริดท่แี ขง็ แกร่ง และทนทำน ๑๑8 นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 เตาทุเรียงท่ีเมอื งเกาสโุ ขทยั ปจจบุ ันอยูในบริเวณอุทยานประวัติศาสตรส โุ ขทัย ครูใหน กั เรียนสืบคนขอ มลู เกี่ยวกบั ภมู ิปญ ญาในการผลิตเครื่องสงั คโลก ตําบลเมืองเกา อาํ เภอเมอื งสโุ ขทัย เปนแหลง เตาท่ีอยูใกลก ับวดั พระพายหลวงบริเวณ สมยั สุโขทัยจากแหลง การเรียนรูต า งๆ เชน หอ งสมุด อินเทอรเน็ต เปน ตน แนวคเู มอื งสุโขทยั เกา เรยี กวา แหลงเตาแมโจน โดยพบเตาทเุ รียงกวา 40 เตา โดยจัดทําลงในกระดาษ A4 พรอมทง้ั บอกความสําคัญของภมู ปิ ญญา เรียงรายอยตู ามลํานา้ํ แมโจน สวนใหญจะผลติ ภาชนะถว ยโถโอชามที่เปนของใชสอย ดังกลาวตอ สงั คมไทยสมยั สโุ ขทยั เครือ่ งปน ดินเผาเคลือบสีดาํ หรอื สีนํ้าตาล เบศูรณรากษารฐกจิ พอเพียง ครูใหนกั เรียนชวยกันยกตัวอยางภูมปิ ญ ญาไทยในสมัยสโุ ขทยั จากนน้ั ครตู งั้ ประเดน็ ใหน กั เรยี นรว มกันอภปิ ราย เชน • ภูมิปญ ญาไทยสมัยสุโขทัยทม่ี ีผลตอสงั คมไทยในปจ จบุ นั • ภูมิปญ ญาไทยสมยั สโุ ขทัยกับหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 118 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เรอ่ื งนารู ครูสมุ นกั เรียนอกมาอธิบายความรเู กี่ยวกับ ภูมิปญ ญาการทาํ ปูนปน ในสมัยสโุ ขทยั ท่หี นา ชนั้ เรียน พระพทุ ธรูปสมัยสโุ ขทยั การสรา งพระพุทธรปู ในสมยั สุโขทัยแบงออกเปน ๔ หมวด ดังนี้ (แนวตอบ ภมู ิปญญาในการทําใหป ูนแขง็ ตวั โดย ๑. หมวดวดั ตระกวน เปนพระพทุ ธรูปสมัยสโุ ขทัยรุนแรก ทําจากปนู ปน เชน พระพทุ ธรปู ใชป นู ผสมทรายและนา้ํ ออย ทาํ ใหเ หมาะในการปน พระพทุ ธรปู และงานปนประดบั ตกแตงศาสนสถาน ปนู ปน วัดพระพายหลวง จงั หวดั สุโขทัย ตา งๆ) ๒. หมวดใหญ สว นใหญห ลอ ดว ยสาํ รดิ ปร1ะทบั นงั่ ขดั สมาธริ าบ และยงั นยิ มสรา งในอริ ยิ าบถ หรอื ปางลลี า เชน พระพทุ ธรปู ปางลลี าทรี่ ะเบยี งคดวดั เบญจมบพติ รฯ กรงุ เทพมหานคร ๓. หมวดพระพทุ ธชินราช เปน การหลอ พระพทุ ธรูปสาํ ริดขนาดใหญ ทจ่ี ดั วาเปนงานปน หลอ ที่สมบรู ณข ั้นสงู สดุ เชน พระพทุ ธชินราช วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ จังหวดั พิษณุโลก ๔. หมวดกาํ แพงเพชร พบไดนอยและไมค อ ยมีช่ือเสยี ง เชน พระพทุ ธรปู ปางมารวิชยั ใน พิพธิ ภณั ฑสถานแหงชาติ กําแพงเพชร จังหวัดกําแพงเพชร ประดิษฐกรรมโลหกรรมสําริดในสมัยสุโขทัยมีอยูท่ัวไป ท้ังเคร่ืองมือ เคร่ืองใช และ พระพุทธรูปปางมารวิชัย ปางลีลาลอยตัวท่ีทําดวยสําริดในสมัยสุโขทัย เปนตน นับไดวาเปน ภมู ิปญญาในการประดษิ ฐโลหกรรมสํารดิ ไดอยางหนง่ึ ๕. การรูจักใชวัสดุที่มีสวนผสมเหมาะสําหรับทําใหปูนปนแข็งตัว เพ่ือผลงานและ ลวดลายจะไดป รากฏออกมาอยา งสวยงาม ชาวสุโขทัยไดคนหาวิธีตางๆ เพื่อจะใหปูนปนแข็งตัว ถือวาเปนภูมิปญญาท่ีสําคัญ อยา งหน่ึง เพราะชาวสโุ ขทยั ไดคน พบวา การใชป ูน ทราย และนาํ้ ออยผสมกันทําใหป นู ปน แข็งตัว ไดภายในเวลาไมนาน เหมาะสําหรับการ ปนพระพุทธรูป และการปนสิ่งประดิษฐ ตกแตงศาสนสถานตางๆ ตามที่ตองการ ไดงา ยข้นึ เชน ลวดลายปูนปน ที่มณฑป วดั ตระพงั ทองหลางนอกเมอื งสโุ ขทยั ทาง ทิศตะวันออก เปนตน วัดตระพังทองหลาง มีลวดลายปูนปนอันวิจิตรรอบ มณฑป แมจะหักพังไปเปนสวนใหญก็ยังพอเหลือ รอ งรอยใหจนิ ตนาการถงึ ความสวยงามได ๑๑๙ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู หากนกั เรียนตอ งการไปดูภูมปิ ญญาสมยั สโุ ขทยั เกย่ี วกบั งานปูนปน สามารถ ครแู นะนําใหนักเรยี นไปศกึ ษางานศิลปะปนู ปน ทมี่ ีชื่อเสียงเพ่ิมเตมิ เชน ศลิ ปะ ไปดูไดจากทใ่ี ด ปูนปนเมืองเพชรบรุ ี หรือเปดเวบ็ ไซต www.youtube.com คนหาเกี่ยวกับศิลปะ แนวตอบ หลายแหง โดยเฉพาะทจ่ี งั หวัดสุโขทัย เชน ภาพปูนปนพระสาวก ปูนปน เพอื่ ศกึ ษาขั้นตอนในการสรางสรรคงานปูนปน ซึง่ เปน งานศลิ ปะแขนงหน่ึง ทฐ่ี านเจดยี ป ระธานวัดมหาธาตุ ภาพปูนปน ปางเสด็จจากดาวดึงสในซุมดา น ทางดา นวิจิตรศิลป ทงั้ ยงั ชวยเปน การอนุรกั ษศิลปะไทยอันทรงคณุ คา ดว ย ทศิ ใตของมณฑปวดั ตระพงั ทองหลาง ภาพปูนปน ฐานเจดยี วดั เจดียส ี่หอ ง ลวดลายปูนปนประดบั ผนังวิหารวัดนางพญา เมอื งศรสี ัชนาลยั เปน ตน นกั เรยี นควรรู 1 พระพุทธรูปปางลลี า ถือเปน งานประติมากรรมทง่ี ามท่สี ุดชิ้นหน่งึ ของ ศลิ ปกรรมไทยสมยั สโุ ขทยั สาํ หรบั ความเปน มาของพระพทุ ธรปู ปางลลี านนั้ นาจะมา จากพระพทุ ธรปู ปางเสดจ็ ลงจากสวรรคช น้ั ดาวดึงส ภายหลังจากเสด็จขน้ึ ไปเทศนา โปรดพระราชมารดา โดยเปน ตอนทพ่ี ระพุทธเจาทรงพระดําเนินลงมาตามบันได คมู ือครู 119

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูซักถามนักเรียนวา นอกจากภมู ปิ ญญาดังท่ี ๖. กำรใช้คติควำมเชื่อในเรื่องพระพุทธ- กลาวมา สโุ ขทัยยังมีภมู ิปญ ญาดานอนื่ อีกหรือไม ศำสนำควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม กำรปลูกฝัง จงยกตัวอยา งมาพอสงั เขป นิสัยของคนไทยในสมัยสุโขทัยให้มีแต่ควำมสงบ และมี ศลี ธรรม เพือ่ ควำมร่มเย็นของผคู้ นในสงั คม จ�ำเปน็ ตอ้ ง (แนวตอบ มี เชน การแตงหนงั สอื ไตรภูมพิ ระรว ง อำศัยวิธีกำรที่แยบยล จึงมีกำรประยุกต์น�ำเอำค�ำสอนใน เพื่อใชความเชอื่ ทางศาสนาควบคุมพฤตกิ รรม พระพุทธศำสนำมำเป็นเครื่องมือปลูกฝังศีลธรรมของ ของคนในสังคม หรอื การประดิษฐอักษรไทยของ คนในสังคม ตัวอย่ำงเช่น กำรน�ำเอำนรก สวรรค์ ซึ่ง พอขนุ รามคําแหงมหาราชทด่ี ดั แปลงมาจากอกั ษร ปรำกฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วงมำสอนให้คนยึดท�ำ ขอมและมอญ ทําใหสะดวกในการเขียนและ แตค่ วำมดีและเกรงกลัวต่อบำป เป็นตน้ การพมิ พใ นสมัยปจจบุ นั เปน อยางมาก และทส่ี าํ คัญ กำรใช้คติควำมเชื่อในเรื่องพระพุทธศำสนำ คอื ทาํ ใหค นไทยมตี วั อักษรใชเปนแบบฉบับของ มำเป็นเคร่ืองควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมจึงนับ ภาพวาดในสมดุ ไทยเ1กยี่ วกบั นรก - สวรรค์ ตนเอง เปน ตน) เปน็ ภูมปิ ญั ญำอันชำญฉลำดอยำ่ งหน่งึ ของชำวสุโขทัย ตามเรือ่ งท่ปี รากฏอย่ใู นไตรภมู ิพระร่วง ๗. กำรประดษิ ฐต์ วั อกั ษรไทยขนึ้ มำใชเ้ ปน็ แบบฉบบั ของตนเอง กำรประดษิ ฐอ์ กั ษรไทย ท่ีเรยี กว่ำ “ลายสอื ไทย” ของพอ่ ขนุ รำมค�ำแหงมหำรำช เมือ่ พ.ศ. ๑๘๒๖ น้ัน ทรงไดด้ ัดแปลง ตัวหนังสือขอม มอญ ซ่ึงนิยมใช้กันอยู่แถบแม่น้�ำเจ้ำพระยำแต่เดิม นอกจำกนี้ตัวอักษรของ พ่อขุนรำมคำ� แหงมหำรำชน่ำจะไดร้ ับอิทธิพลจำกลงั กำและอินเดยี ด้วย ภูมิปัญญำในกำรประดิษฐ์อักษรไทยของ พ่อขุนรำมค�ำแหงมหำรำช มีลักษณะพิเศษและมี ประโยชนต์ อ่ กำรใชเ้ ขยี นเปน็ อยำ่ งมำก เชน่ กำรนำ� สระมำ เรียงอยู่ระดับเดียวกันกับพยัญชนะ จึงท�ำให้เกิดควำม สะดวกต่อกำรพมิ พ์ในยุคปจั จุบัน (แต่สมยั ต่อมำไดน้ ำ� เอำ สระไปไว้ข้ำงบนตัวพยัญชนะบ้ำงข้ำงล่ำงพยัญชนะบ้ำง) หรอื กำรเขยี นพยญั ชนะทกุ ตวั เรยี งอยบู่ รรทดั เดยี วกนั ไมม่ ี พยัญชนะซอ้ นกนั เหมอื นตวั หนงั สือของเขมร มอญ พมำ่ นับว่ำเป็นควำมส�ำคัญยิ่ง เพรำะสะดวกต่อกำรพิมพ์ใน ยุคหลงั เปน็ อยำ่ งมำก เปน็ ตน้ ควำมพเิ ศษของตวั อกั ษรไทยทพ่ี อ่ ขนุ รำมคำ� แหง มหำรำชไดท้ รงประดษิ ฐข์ นึ้ มำน ้ี ถอื ไดว้ ำ่ เปน็ ภมู ปิ ญั ญำไทย ในสมัยสโุ ขทยั ท่กี ลำยเป็นมรดกตกทอดมำจนทุกวันน้ี ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ของพ่อขุนราม- ค�าแหงมหาราช และตัวอย่างการเรียง อักษรบนบรรทัดเดียวกัน ๑๒0 นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอ ใดกลาวไดถ กู ตองเก่ียวกับอิทธิพลทางวฒั นธรรมสมยั สโุ ขทยั ทมี่ ีตอ 1 สมดุ ไทย เปนสมุดทท่ี าํ จากใบลานหรอื ใบขอ ยทน่ี ํามาพบั ทางดา นแนวขวาง สงั คมไทยปจ จุบัน แลวพับทบกลบั ไปมา เพือ่ ใชบนั ทึกขอ มลู ตา งๆ ถือเปน หลักฐานที่สามารถนํามาใช 1. วรรณคดที ี่เก่ียวขอ งกบั พระพุทธศาสนาลว นไดรับอทิ ธพิ ลจาก ศึกษาเร่อื งราวทางประวัตศิ าสตรใ นดา นน้นั ๆ ได ไตรภูมพิ ระรว ง 2. เคร่อื งปน ดินเผาในปจ จบุ ันมวี ิวัฒนาการมาจากเครอ่ื งสงั คโลกในสมัย มุม IT สโุ ขทัย 3. สรดี ภงสห รือทํานบพระรว งเปน ตน กําเนิดของเขอื่ นชลประทานตา งๆ ศึกษาคน ควา ขอมูลเพม่ิ เติมเก่ียวกบั ลายสือไทย ไดที่ http://www. ในปจจุบนั siamarchives.com เว็บไซตสยามจดหมายเหตุ 4. พอ ขนุ รามคําแหงมหาราชทรงประดษิ ฐอ กั ษรไทยเพ่ือใชใ นการติดตอ สือ่ สารมาจนถงึ ปจ จบุ ัน 120 คมู ือครู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. พอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงประดิษฐ อกั ษรไทยใน พ.ศ. 1826 โดยดดั แปลงมาจากอักษรมอญและขอม และมี ววิ ัฒนาการสืบเนอ่ื งตอ กันมาจนเปน อักษรไทยในปจ จบุ นั

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสน้ เวลา 1. ครใู หน กั เรยี นในช้ันเรยี นรวมกันประมวล ลาํ ดบั เหตกุ ารณส าํ คญั ในสมยั สโุ ขทยั เหตกุ ารณสําคัญในสมัยสุโขทัยตามท่ีศึกษามา แลว นํามาเขียนเพมิ่ เตมิ ลงในตารางลาํ ดับ พ.ศ. พ.ศ. ๑79๒ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เร่ิมเสวยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์อาณาจักรสุโขทัย เหตกุ ารณสาํ คญั ในสมยั สโุ ขทัยจาก นับเป็นปท่ีสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี รวมท้ังเป็นปท่ีเร่ิมต้นของราชวงศ์ หนงั สือเรยี น หนา 121 ๑๗๕๐ พระรว่ งอกี ด้วย ๑๘๐๐ 2. ครูยกตวั อยา ง พ.ศ. ทเี่ กิดเหตกุ ารณสําคญั ใน ๑๘๕๐ พ.ศ. ๑8๒๒ พ่อขุนรามค�าแหงมหาราชข้ึนเสวยราชย์ และเป็นปท่ีพระองค์ทรงปลูกต้นตาล ประวตั ศิ าสตรไทยสมยั สโุ ขทัย หรอื ยกตวั อยาง อนั เป็นพชื มงคลทีส่ �าคัญของสุโขทัย พระมหากษัตรยิ สุโขทยั รัชกาลตางๆ จากน้ัน สมุ นกั เรียนใหอ ธบิ ายเหตุการณส าํ คญั ทาง พ.ศ. ๑8๒4 สโุ ขทยั ไดเ้ มอื งเมาะตะมะเปน็ หวั เมืองประเทศราช ประวัตศิ าสตรท ีเ่ กิดขึน้ ในชวงเวลานนั้ หรือ พ.ศ. ๑8๒๖ พอ่ ขุนรามค�าแหงมหาราชทรงประดิษฐอ์ ักษรไทย (ลายสอื ไทย) เกดิ ขึน้ ในรชั กาลนนั้ มาพอสงั เขป พ.ศ. ๑8๓0 พ่อขุนรามค�าแหงมหาราชได้ทรงท�าสัญญาเป็นไมตรีร่วมกันกับพระยามังราย มหาราช แหง่ อาณาจักรล้านนา และพระยางา� เมืองแหง่ แควน้ พะเยา พ.ศ. ๑84๑ พอ่ ขนุ รามคา� แหงมหาราชสวรรคต พ.ศ. ๑88๓ พระยาลิไทยครองเมืองศรีสชั นาลยั พ.ศ. ๑888 พระยาลไิ ทยพระราชนิพนธ์ “ไตรภมู พิ ระรว่ ง” ๑๙๐๐ พ.ศ. ๑890 พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลไิ ทย) เสวยราชสมบัติกรงุ สโุ ขทัย ๑๙๕๐ พ.ศ. ๑904 พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ทรงผนวชทวี่ ดั ป่ามะมว่ ง 1 พ.ศ. ๑905 พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) เสด็จไปประทับท่ีเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เพื่อปองกนั ทัพกรงุ ศรอี ยุธยา จนถึง พ.ศ. ๑๙๑๑ พ.ศ. ๑9๒๑ พระมหาธรรมราชาท่ี ๒ เสดจ็ ออกมาถวายบังคมสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ ๑ (ขนุ หลวงพงั่ว) (พ.ศ. ๑๙๑๓ - ๑๙๓๑) แห่งกรุงศรอี ยธุ ยา และสุโขทัยตกเปน็ เมอื งข้นึ ของอยุธยาระหว่าง พ.ศ. ๑๙๒๑ - ๑๙๓๑ พ.ศ. ๑9๓๑ สโุ ขทยั เป็นอสิ ระไม่ข้ึนตอ่ อยุธยา ๒๐๐๐ พ.ศ. ๑9๖๒ พระมหาธรรมราชาท่ี ๓ สวรรคต พระยาบาลกับพระยาราม พระราชโอรสของ พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้สืบราชสมบัติ เกดิ การตอ่ สแู้ ยง่ ชงิ อา� นาจกนั จนกระทงั่ สมเดจ็ พระอนิ ทราชาแหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ตอ้ งเสดจ็ ขน้ึ ไปจดั การเหตกุ ารณจ์ นเปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ย พระยาบาลไดเ้ ปน็ พระมหา- ธรรมราชาท่ี ๔ ครองเมืองพิษณุโลก ส่วนพระยารามครองเมืองสุโขทัย และ อาณาจักรสโุ ขทยั ตกเป็นเมอื งขึ้นของอาณาจักรอยุธยาอกี ครัง้ หนง่ึ พ.ศ. ๒00๖ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยาผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับ อาณาจกั รอยธุ ยา ๒๐๕๐ ๑๒๑ กิจกรรมทา ทาย นกั เรียนควรรู ครใู หน กั เรียนศกึ ษาเหตกุ ารณส าํ คัญในสมัยสุโขทยั จากหนงั สือเรยี น 1 พษิ ณโุ ลก เปน เมอื งทจ่ี ดั วา มคี วามสาํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรมายาวนาน หนา 121 หรือจากแหลงการเรยี นรูตา งๆ เพ่มิ เตมิ แลวใหนกั เรยี นลําดบั เดมิ เมืองพษิ ณโุ ลกเปน เมอื งเกา สมัยขอม ซงึ่ อยูหา งจากที่ตัง้ เมืองปจจบุ ันลงไป เวลาและจดั ทาํ เปน เสน เวลา (Timeline) ลงในกระดาษ ตกแตงใหสวยงาม ทางใตประมาณ 5 กโิ ลเมตร เรยี กวา เมอื งสองแคว เหตทุ มี่ ชี อ่ื นี้เพราะตั้งอยู ระหวา งแมน ้ํา 2 สาย คือ แมน าํ้ นา นกับแมน ้ําแควนอย สาํ หรับที่ตั้งตัวเมอื งเกา ในปจ จบุ ันอยูบ ริเวณวดั จุฬามณี ซงึ่ เปนวดั เกา แกของพษิ ณโุ ลก เม่ือประมาณ พ.ศ. 1900 สมยั พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลไิ ทย) โปรดใหยายเมอื งสองแควมาตั้ง อยูบรเิ วณตัวเมอื งในปจ จบุ ัน และในสมยั อยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรง เปลีย่ นชือ่ เปน เมืองพิษณโุ ลก คมู ือครู 121

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูใหน กั เรียนในชัน้ เรยี นศึกษาพระราชกรณยี กจิ àÊÃÁÔ ÊÒÃÐ ของอาณาบจุคักครสลสโุ ขําคทัญยั สําคญั ของพอขุนรามคาํ แหงมหาราช จากนนั้ ใหชวย กันบอกวามผี นู ําหรอื บคุ คลสาํ คัญใดอีกบา งท่ีอยูรว ม พอ่ ขนุ รำมคำ� แหงมหำรำช สมยั กบั พระองค และแตล ะพระองคมคี วามสัมพันธ กนั อยางไร ทรงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และ พระนางเสือง มีพระนามเดิมว่า “ราม” พระองค์ทรงมีความ กลา้ หาญในการศกึ ษาสงครามมาตงั้ แตย่ งั มไิ ดเ้ สดจ็ ขนึ้ ครองราชย์ วรี กษตั รยิ ผ์ ทู้ รง โดยทรงกระท�ายุทธหัตถีกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ส่งผลให้ เป็นท้ังนักรบ นักปราชญ์ และนักปกครอง แว่นแคว้นตา่ งๆ ไมก่ ลา้ มาคกุ คามอาณาจักรสุโขทยั และเมื่อเสด็จ ทรงพฒั นาอาณาจกั รสโุ ขทยั จนเจรญิ รงุ่ เรอื ง ข้นึ ครองราชย์แล้ว ก็ทรงมสี ่วนส�าคัญในการสรา้ งสรรค์ชาติไทย ราษฎรอยู่ดีมีสุข ด้วยพระราชกรณียกิจ ทม่ี คี ณุ ปุ การอนั ยง่ิ ใหญ่ จงึ ทรงไดร้ บั การ ยกย่องเป็น “มหาราช” พระองค์แรก ของคนไทย พระรำชกรณยี กจิ ที่สำ� คัญ  ทรงขยำยอำณำเขต ของอาณาจักรสุโขทัยออกไปอย่าง กว้างขวางมากท่สี ุดในสมยั สโุ ขทัย  ทรงวำงรูปแบบกำรปกครอง “แบบพอปกครองลูก” โดยทรงดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด เช่น โปรดให้แขวน กระด่ิงไว้ที่ประตูพระราชวังเพื่อให้ราษฎรได้ร้องทุกข์ และพระองค์ ก็จะทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง เป็นต้น อันเป็นแบบอย่างให้กับ ผูป้ กครองบา้ นเมืองในยคุ หลงั ๆ ของไทย  ทรงส่งเสริมให้มีกำรค้ำเสรี โดยไม่เก็บภาษีผ่านด่าน ทเ่ี รียกว่า จกอบ (จังกอบ) ท�าใหก้ ารค้าขายของสุโขทัยขยายตวั 1  ทรงคดิ ประดิษฐ์อกั ษรไทย เรียกว่า “ลายสือไทย” ขึ้น เม่ือ พ.ศ. ๑๘๒๖ ท�าให้คนไทยมอี ักษรไทยใชม้ าจนถงึ ทุกวนั น้ี และ โปรดใหจ้ ารกึ ตวั อกั ษรลงบนศลิ าจารกึ หลกั ที่ ๑ ทา� ใหค้ นไทยยคุ หลงั ไดร้ ับรู้เรื่องราวตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนในสมยั สโุ ขทัย  ทรงน�ำพระพุทธศำสนำนิกำยเถรวำทลัทธิลังกำวงศ์ จากเมืองนครศรีธรรมราชมาเผยแผ่ที่กรุงสุโขทัย ท�าให้พระพุทธ- ศาสนาได้วางรากฐานม่นั คงในอาณาจกั รสโุ ขทยั จนกระทั่งไดก้ ลาย เป็นศาสนาประจา� ชาตไิ ทยมาจนถงึ ปจั จุบนั  ทรงเปนพันธมิตรกับพระยำมังรำยมหำรำชแห่ง ล้ำนนำและพระยำง�ำเมืองแห่งพะเยำ เพื่อปองกันการรุกราน ของพวกมองโกล รวมทั้งทรงช่วยเหลอื พระยามังรายมหาราชในการ เลือกชัยภมู ิและวางผงั เมอื งราชธานแี หง่ ใหม่ คอื นพบุรีศรีนครพงิ ค์ เชยี งใหม่  ทรงสร้ำงควำมสัมพันธ์ทำงกำรทูตกับจีน โดยส่งคณะทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการไปเข้าเฝาฯ พ่อขุนรามค�าแหงมหาราชแห่งสุโขทัยและพระยาง�าเมือง จกั รพรรดิกุบไลข่านแหง่ ราชวงศห์ ยวนเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ แหง่ พะเยา เสดจ็ ไปชว่ ยพระยามงั รายมหาราชแหง่ ลา้ นนา เลอื กชยั ภมู ใิ นการสรา้ งราชธานแี หง่ ใหมข่ องลา้ นนา ๑๒๒ นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT จดุ ประสงคสาํ คญั ในการสรา งความสมั พนั ธระหวา งประเทศของอาณาจกั ร 1 ลายสอื ไทย แตกตางไปจากอักษรขอมและอักษรมอญท่ใี ชก นั มาแตด ้งั เดมิ สโุ ขทัย คอื อะไร ลกั ษณะสําคัญ คือ เปน ตวั อักษรทีล่ ากข้นึ ลงเปนเสนตรง รปู อักษรอยูใ นทรงเหลีย่ ม แนวตอบ การสรา งความสัมพันธร ะหวางประเทศของไทยในสมยั สุโขทยั เรยี กวา อกั ษรเหล่ียม การเขยี นเร่ิมตนจากหวั อักษร ลากเสน สืบตอ กนั ไปโดยไมตอง โดยภาพรวมมจี ดุ ประสงคเ พื่อขยายอาํ นาจและรกั ษาความมั่นคง เพอ่ื ยกเครอ่ื งมอื เขยี นขนึ้ วางรปู สระอยใู นบรรทดั เดยี วกบั รูปพยญั ชนะ และมีเคร่ืองหมาย ผลประโยชนท างการคา เพ่ือเผยแพรห รือรบั การถา ยทอดทางวฒั นธรรม วรรณยุกตเอกและโท ใชป ระกอบการเขยี น เพือ่ ใหอ านไดครบตามเสยี งในภาษาไทย และรักษาสัมพันธไมตรกี ับรฐั อนื่ 122 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand ñð. คÇามàสÍè× มÍÓนา¨ขÍงÍา³า¨กั รสโุ ขทยั 1. ครูซักถามนกั เรียนวา จากการศกึ ษาพฒั นาการ ทางประวตั ศิ าสตรส มยั สุโขทัยในดานตางๆ อำณำจกั รสุโขทัยเส่ือมอำ� นำจลงในทส่ี ุด และต้องสญู เสียอำ� นำจให้กบั อยธุ ยำ ดว้ ยสำเหตุ มาแลว ใหน ักเรยี นอภิปรายรวมกนั เกีย่ วกับ ดงั ต่อไปนี้ สาเหตขุ องการเส่อื มอาํ นาจของอาณาจกั ร ๑. อ�ำนำจทำงทหำรของสโุ ขทัยเริม่ อ่อนแอ เช่น กำรท่อี ยุธยำยกมำตเี มืองพษิ ณโุ ลกได ้ สโุ ขทัย จนพระมหำธรรมรำชำท่ี ๑ (ลิไทย) แห่งสุโขทัยต้องส่งทูตมำเจรจำขอเมืองคืน หรือกำรท่ี พระมหำธรรมรำชำท่ ี ๒ ไม่สำมำรถปรำบหวั เมืองหงสำวดที ตี่ งั้ ตวั เป็นอิสระได ้ เปน็ ต้น แสดงให้ 2. ครแู ละนกั เรยี นรวมกันสรปุ ความรูเ ก่ียวกับ เห็นถงึ ควำมออ่ นแอทำงด้ำนกำรทหำรของสุโขทยั ได้เปน็ อย่ำงดี พฒั นาการของอาณาจกั รสโุ ขทยั ทไ่ี ดศกึ ษา ๒. เกิดกำรแย่งชิงอ�ำนำจทำงกำรเมืองภำยในรำชวงศ์พระร่วง เช่น กรณีที่เกิดควำม มาแลว ทงั้ หมด ขัดแย้งกันระหว่ำงพระยำบำลและพระยำรำม พระรำชโอรสของพระมหำธรรมรำชำท่ี ๒ จนมี กำรสู้รบกันเอง ทำ� ให้เกิดควำมอ่อนแอภำยในรำชสำ� นกั 3. ครใู หน ักเรียนจดั ทําสมดุ ภาพภูมิปญญา ๓. กำรค้ำขำยกับต่ำงประเทศซบเซำลง เนื่องจำกหัวเมืองมอญและอยุธยำซึ่งอยู่ทำง สมยั สโุ ขทัย พรอ มทง้ั วิเคราะหอทิ ธิพลของ ตอนใตใ้ กล้ฝัง่ ทะเลมีควำมเขม้ แขง็ ขนึ้ ทำ� ให้สโุ ขทัยถูกแยง่ ชิงผลประโยชน์ทำงเศรษฐกจิ ไป ภูมปิ ญญาดงั กลาวตอสงั คมไทยในปจ จบุ นั ด้วยเหตุผลดังกล่ำวข้ำงต้น ท�ำให้อำณำจักรสุโขทัยเริ่มอ่อนแอและเสื่อมลงตำมล�ำดับ จนในท่ีสุดได้ถูกผนวกเข้ำเป็นส่วนหน่ึงของอำณำจักรอยุธยำ ซ่ึงเป็นกลุ่มอ�ำนำจของคนไทย 4. ครใู หนกั เรียนตอบคําถามประจําหนว ย ด้วยกันเอง เม่อื พ.ศ. ๒๐๐๖ การเรยี นรู กล�่ วโดยสรปุ นบั ตงั้ แตบ่ รรพบรุ ษุ ไทยไดส้ ถ�ปน�อ�ณ�จกั รสโุ ขทยั ขนึ้ เมอ่ื พ.ศ ๑๗๙๒ ตรวจสอบผล Evaluate อ�ณ�จกั รแหง่ นไ้ี ด้มพี ัฒน�ก�รในด�้ นต�่ งๆ ม�โดยตลอด ทงั้ ท�งด้�นก�รเมอื งก�รปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และคว�มสัมพันธ์ระหว่�งประเทศ ส่งผลให้อ�ณ�จักรสุโขทัย 1. ครตู รวจสมดุ ภาพภูมปิ ญญาสมยั สโุ ขทัย มีคว�มเจริญรุ่งเรือง ร�ษฎรอยู่ดีมีสุข และมีคว�มม่ันคงจนส�ม�รถขย�ยอ�ณ�เขตออกไป 2. ครสู ังเกตพฤตกิ รรมความมีสว นรว มในการตอบ อย่�งกว�้ งขว�ง คําถามและการแสดงความคิดเห็นของนกั เรียน สุโขทัยดำ�รงอยู่ม�ได้ประม�ณ ๒๐๐ ปเศษ หลังจ�กสมัยพ่อขุนร�มคำ�แหงมห�ร�ช ไปแลว้ อ�ำ น�จท�งทห�รของสุโขทัยเริม่ อ่อนแอ เกดิ ก�รแย่งชิงอำ�น�จท�งก�รเมือง ก�รค้� ซบเซ� สง่ ผลใหอ้ �ณ�จกั รสโุ ขทยั เสอ่ื มอ�ำ น�จลงต�มล�ำ ดบั และถกู ผนวกเข�้ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ อ�ณ�จกั รอยุธย� ซึง่ เป็นอ�ณ�จกั รของคนไทยเช่นกัน ใน พ.ศ. ๒๐๐๖ มรดกท�งภูมิปญญ�ไทยอันทรงคุณค่� แ1ละเป็นเอกลักษณ์ของสมัยสุโขทัย เช่น ก�รประดิษฐ์ตัวอักษรไทย ก�รสร้�งพระพุทธรูป ก�รชลประท�น เครื่องสังคโลก เป็นต้น ได้ตกทอดสืบม�ถึงอนุชนรุ่นหลัง และบ�งส่วนก็ยังมีอิทธิพลม�ถึงปจจุบัน คนไทยทุกคน จึงควรตระหนักถึงคุณค่� และสำ�นึกในพระมห�กรุณ�ธิคุณของพระมห�กษัตริย์และ บรรพบุรุษไทย ที่ได้สร้�งสรรค์มรดกอันลำ้�ค่�ข้ึนม� และควรร่วมมือร่วมใจกันธำ�รงรักษ� ใหเ้ ป็นสมบตั ทิ �งวัฒนธรรมอย่คู ชู่ �ตไิ ทยตลอดไป ๑๒๓ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู ปจจัยสําคญั ท่ีสุดทท่ี ําใหอาณาจักรสโุ ขทยั ออ นแอคอื ขอ ใด 1 การสรางพระพทุ ธรูป พระพุทธรูปสมยั สุโขทัยสรางข้นึ ตามคตพิ ระพุทธศาสนา 1. ถกู จนี รุกราน นกิ ายเถรวาทลัทธิลงั กาวงศ พบมากในบริเวณภาคเหนือตอนลาง (เชน สุโขทัย 2. ประสบภยั ธรรมชาติ กําแพงเพชร พษิ ณุโลก และจังหวัดใกลเ คียง) วสั ดุทใ่ี ชสรางพระพทุ ธรปู นิยมหลอ 3. พระมหากษตั ริยอ อ นแอ ดวยโลหะและปนู ปน พระพทุ ธรูปสมยั สุโขทยั ถอื ไดวามคี วามงดงามตามอดุ มคตไิ ทย 4. อาณาจักรอยธุ ยามคี วามเขมแขง็ แทนท่ี อยางแทจรงิ โดยมลี ักษณะสําคัญ คอื พระวรกายโปรง พระพักตรร ปู ไขยาวสมสว น ยม้ิ พองาม พระขนงโกงรับกบั พระนาสกิ ท่งี ุม เลก็ นอ ย พระโอษฐแ ยมอ่ิม ดมู เี มตตา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. อาณาจกั รอยธุ ยาไดกอ ต้ังและเจรญิ รงุ เรืองขนึ้ พระเกตุมาลารูปเปลวเพลิง พระสังฆาฏยิ าวจรดพระนาภี พระศกแบบกน หอย ไมมีไรพระศก พระพทุ ธรูปศลิ ปะสุโขทัยท่มี ีช่ือเสียงมาก เชน พระพทุ ธชนิ ราช ตง้ั แต พ.ศ. 1893 เปนตน มา ในขณะที่สโุ ขทัยเรมิ่ ออ นแอลงจากการแยงชิง พระพุทธชนิ สหี  พระพทุ ธรปู ปางลีลา เปนตน อํานาจภายใน ประกอบกบั การคาซบเซา จงึ ทําใหถูกผนวกเขา กบั อาณาจักร อยุธยาใน พ.ศ. 2006 สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คูมอื ครู 123

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูตรวจสอบความถูกตองในการตอบคาํ ถาม คÓ¶ามปรШÓËนÇ‹ ยการàรยÕ นรู้ ประจําหนว ยการเรียนรู ๑. ปจั จัยใดทที่ ำ� ใหค้ นไทยสำมำรถสถำปนำอำณำจักรสโุ ขทัยข้นึ มำไดส้ ำ� เร็จ หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ๒. กำรปกครองสมยั สโุ ขทยั มลี กั ษณะเดน่ อยำ่ งไร และสง่ ผลตอ่ พฒั นำกำรของสโุ ขทยั อยำ่ งไร ๓. ใ นสมัยสุโขทัยประกอบด้วยคนกลุ่มใดบ้ำง แต่ละกลุ่มมีบทบำทหน้ำที่และมีควำมส�ำคัญ 1. รายงานและผงั มโนทศั นพ ฒั นาการทางดาน ตางๆ สมยั สุโขทัย อยำ่ งไร ๔. เหตุผลในกำรสร้ำงสัมพันธไมตรีกับดินแดนต่ำงๆ ของสุโขทัยมีอะไรบ้ำง จงอธิบำยมำ 2. สมดุ ภาพภูมปิ ญญาสมยั สุโขทยั พอสังเขป ๕. กำรเส่ือมอ�ำนำจของสโุ ขทยั เกดิ จำกสำเหตุใดบำ้ ง ๖. ม รดกทำงวฒั นธรรมของสโุ ขทยั ทส่ี บื ทอดมำถงึ ปจั จบุ นั มอี ะไรบำ้ ง และนกั เรยี นจะมวี ธิ กี ำร อนุรักษ์ใหค้ งอย่สู บื ไปได้อย่ำงไร กิ¨กรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการàรยÕ นรู้ กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ ๕ คน จดั ทำ� รำยงำนพฒั นำกำรของอำณำจกั ร สุโขทัยในแต่ละด้ำน แล้วส่งตัวแทนออกมำสรุปประเด็นส�ำคัญๆ หน้ำชั้น แลว้ น�ำรำยงำนสง่ ครูผ้สู อน กิจกรรมที ่ ๒ ใหน้ ักเรียนเลอื กภำพศิลปกรรมสโุ ขทัยมำ ๑ ตัวอย่ำง น�ำมำติดบนกระดำษ โปสเตอร์แล้วอธิบำยลักษณะเดน่ ทำงศิลปะ พร้อมตกแต่งให้สวยงำม กจิ กรรมท ่ี ๓ ใหน้ กั เรยี นจดั ทำ� สมดุ ภำพภมู ปิ ญั ญำสมยั สโุ ขทยั และรว่ มกนั วเิ ครำะหอ์ ทิ ธพิ ล ของภูมิปญั ญำดังกล่ำวต่อสังคมไทยในปัจจุบนั ๑๒4 แนวตอบ คําถามประจําหนว ยการเรยี นรู 1. ความรวมมอื ของผูนาํ คนไทยระหวา งพอ ขนุ บางกลางหาวกบั พอ ขุนผาเมืองขับไลขอมสบาดโขลญลาํ พงออกจากสโุ ขทยั จงึ ทาํ ใหส ามารถสถาปนาอาณาจักรสโุ ขทัยไดสําเรจ็ 2. สมัยสุโขทยั มกี ารปกครองแบบพอปกครองลกู ที่พระมหากษัตริยทรงดูแลราษฎรอยางใกลชดิ นบั เปน ธรรมเนียมการปกครองทสี่ ําคญั ยิง่ ของไทยในสมัยตอมาจนถึงปจจุบัน 3. สงั คมสมยั สุโขทยั ประกอบดวย พระมหากษัตริยเ ปน ผมู อี าํ นาจสูงสุดในการปกครอง พระราชวงศไดรับมอบหมายจากกษัตริยใหปกครองเมอื งสาํ คญั ขุนนางเปนผดู ูแล บา นเมอื ง ไพรเ ปนสามัญชนธรรมดา และขาเปน กลุมคนที่ไมมีอิสระในการดําเนินชวี ิต นอกจากนี้ ยงั มพี ระภกิ ษสุ งฆเปนกลุมทม่ี ีบทบาทสําคัญในการเผยแผพระพทุ ธ- ศาสนาดว ย 4. สโุ ขทยั ตอ งการขยายอาณาเขตในลา นนาและนครศรธี รรมราช ตอ งการผลประโยชนด านเศรษฐกิจและการคา กับหวั เมืองมอญและจีน รวมทั้งการเผยแผแ ละรบั วฒั นธรรม ทางพระพทุ ธศาสนาจากลังกา หัวเมอื งมอญ และนครศรธี รรมราช 5. สุโขทยั มีความออ นแอทางทหารจนไมส ามารถปอ งกันการรุกรานของอยุธยาได ความออ นแอของราชสาํ นกั ซึ่งมีปญ หาภายในจากการแยงชงิ อํานาจกนั เองภายในราชวงศ และการคาขายทางทะเลกับตางชาติซบเซา เพราะหัวเมืองมอญและอยุธยาเขม แขง็ ขน้ึ 6. มรดกทางวัฒนธรรมของสโุ ขทัย เชน คตคิ วามเชอ่ื ในหนังสือไตรภูมิพระรวง ท่ีสอนใหคนทําความดีและเกรงกลวั ตอ การทาํ บาป ลกั ษณะการเขยี นอกั ษรไทยดวยการนาํ สระวางเรียงแนวเดียวกบั พยญั ชนะ ประเพณีการลอยกระทง เผาเทียนเลนไฟ เปน ตน วธิ ีการอนรุ กั ษมรดกทางวฒั นธรรมสุโขทัย เชน เรยี นรูเกีย่ วกับไตรภมู พิ ระรว งแลว นาํ ไปปรับใชในชวี ติ ประจาํ วนั การใชภ าษาไทยใหถูกตอ ง เปน ตน 124 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู ๕หนว ยการเรยี นรทู ่ี 1. อธบิ ายทตี่ งั้ และสภาพภูมิศาสตรท ี่มีผลตอ พัฒนาการของ พัฒนาการในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต 2. อธิบายพัฒนาการทางประวัตศิ าสตรของ ประเทศตา งๆ ในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออก- เฉยี งใตไ ด 3. อธบิ ายความรว มมอื ของอาเซียนในดา นตางๆ ได ตัวชวี้ ัด สมรรถนะของผเู รียน ● อธิบายพฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และ 1. ความสามารถในการสื่อสาร การเมอื งของประเทศตา งๆ ในภมู ิภาคเอเชยี 2. ความสามารถในการคดิ ตะวนั ออกเฉยี งใต (ส ๔.๒ ม.๑/๑) 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวิต สาระการเรียนรแู กนกลาง คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค ● ทตี่ ั้งและสภาพทางภูมศิ าสตรของประเทศ 1. มีวินยั ตางๆ ในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต 2. ใฝเรียนรู ทีม่ ีผลตอพัฒนาการทางดา นตา งๆ 3. มงุ มัน่ ในการทํางาน ● พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร สังคม เศรษฐกิจ มารนี า เบย แซนดส (Marina Bay Sands) ในบริเวณอาวมารีนา กระตนุ ความสนใจ Engage และการเมืองของประเทศตางๆ ในภมู ิภาค ประเทศสงิ คโปร เปนศูนยกลางธุรกิจและการเงนิ ของประเทศ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต ครูนาํ ภาพท่เี ปนเอกลกั ษณของประเทศตางๆ ÀÙÁÔÀÒ¤àÍàªÕµÐÇѹÍÍ¡à©Õ§㵌໚¹´Ô¹á´¹·èÕÁÕ¼ÙŒ¤¹ ในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต เชน วิถชี ีวิต ● ความรว มมอื ผา นการรวมกลมุ เปน อาเซยี นของ µÑé§¶èÔ¹°Ò¹ÁÒµéѧᵋÊÁÑÂâºÃÒ³ à¹è×ͧ¨Ò¡ÁÕ·èÕµÑé§áÅÐÊÀÒ¾ ความเปน อยู อาคารบา นเรือน ศาสนสถาน อาหาร ประเทศในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต ·Ò§ÀÙÁÔÈÒʵÏ·èÕÁÕ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞµ‹Í¾Ñ²¹Ò¡Ò÷ҧ´ŒÒ¹µ‹Ò§æ ชดุ แตง กายประจาํ ชาติ เปน ตน มาใหน กั เรยี นดู ที่ถือวาเปน พัฒนาการของภมู ภิ าค ¢Í§ÀÙÁÔÀÒ¤ áÅÐÂѧÁÕ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔÍØ´ÁÊÁºÙó ¨Ö§ÁÕ แลว ตั้งคาํ ถามกระตนุ ความสนใจของนกั เรยี น เชน ËÅÒªҵԾÂÒÂÒÁ¢ÂÒÂÍÔ·¸Ô¾ÅࢌÒÁÒ¤Ãͺ¤Ãͧ ·íÒãËŒ à¡Ô´¤ÇÒÁäÁ‹Ê§º¢éÖ¹ã¹ÀÙÁÔÀÒ¤ ÀÒÂËÅѧ¨Ò¡ä´ŒÃѺàÍ¡ÃÒª • เปนภาพเกย่ี วกับประเทศใดในภมู ิภาค »ÃÐà·Èµ‹Ò§æ «Öè§ÁÕ¤ÇÒÁᵡµ‹Ò§¡Ñ¹·éѧ´ŒÒ¹ÍØ´Á¡Òó·Ò§ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ¡ÒÃàÁÍ× § àÈÃɰ¡¨Ô 椄 ¤Á áÅÐ͹×è æ ä´ÃŒ ÇÁµÇÑ ¡¹Ñ ໹š ÍÒà«ÂÕ ¹ áÅо²Ñ ¹Ò໹š »ÃЪҤÁÍÒà«ÂÕ ¹ à¾Íè× »ÃÐÊÒ¹¤ÇÒÁÃÇ‹ ÁÁÍ× ¡¹Ñ • ภาพดังกลาวมคี วามสาํ คัญตอประเทศนัน้ ã¹Í¹Ñ ·èըоѲ¹ÒÀÁÙ ÔÀÒ¤¹ÕéãËŒà¨ÃÞÔ ¡ŒÒÇ˹ŒÒä»´ŒÇ¡ѹ อยางไร • เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตในความรูจักของ นกั เรียนเปน อยางไร เกร็ดแนะครู ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรูท่สี อดแทรกการพัฒนาทักษะกระบวนการ ที่สําคญั ไดแ ก กระบวนการสืบสอบ กระบวนการกลมุ และทักษะการคดิ แบบตา งๆ เชน การคดิ วิเคราะห สงั เคราะห และการคิดอยางเปน ระบบ เพ่อื ใหน กั เรยี นสามารถ อธิบายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศตางๆ ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉยี งใต ดังตอไปน้ี • ครใู หน กั เรียนรวมกลมุ กันศึกษาพฒั นาการของประเทศในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตจ ากแหลง การเรียนรตู า งๆ แลว จัดทําเสน เวลา (Timeline) แสดงพัฒนาการของประเทศเหลา นน้ั ตง้ั แตอดตี จนถงึ ปจจบุ นั • ครูใหนักเรยี นรวมกลมุ กันศกึ ษาเกย่ี วกับความรวมมอื ของประเทศในภูมภิ าค เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต แลวจดั ทํารายงานเกยี่ วกบั กลุมความรวมมอื ท่สี ําคัญ ของภูมภิ าค ไดแก อาเซยี น คูมอื ครู 125

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนกั เรียนดภู าพแผนท่แี สดงประเทศใน ñ. ·àÍÕèµàªÑé§áÕµÅÐÐÇʹÑÀÍҾ͡·àÒ©§ÕÂÀ§ÙÁãÔȵҌ Ê1µÃ·èÕÁռŵ‹Í¾Ñ²¹Ò¡ÒÃã¹ÀÙÁÔÀÒ¤ ภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตจ ากหนังสอื เรียน หนา 126 จากนนั้ ยกตวั อยา งชือ่ ประเทศมา 4-5 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตมีผูคนต้ังถ่ินฐานมาเปนเวลานาน ปจจุบันมีประชากร ประเทศ แลวสุม ใหนักเรยี นบอกตําแหนงท่ีต้งั และ ราว ๖๒๘ ลา นคน (พ.ศ. ๒๕๕๘) มคี วามอดุ มสมบรู ณด ว ยทรพั ยากรธรรมชาติ อณุ หภมู พิ อเหมาะ อาณาเขตตดิ ตอของประเทศดังกลาว สาํ รวจคน หา Explore ไมร อ นไมห นาวจนเกนิ ไป มลี มมรสมุ พดั ผา นซง่ึ เปน ผลดแี กก ารเพาะปลกู และเปน ประโยชนต อ การ เดินเรือในสมัยกอน นอกจากน้ี ยังอยูในเสนทางการเดินเรือคาขายระหวางอินเดียกับจีน ทําให ครูใหนักเรียนศึกษาเกย่ี วกับท่ตี ั้งและสภาพทาง อารยธรรมที่สาํ คัญของโลกสมัยโบราณ คอื อารยธรรมอินเดยี และอารยธรรมจีนมาพบกัน สงผล ภมู ศิ าสตรท่มี ีผลตอพฒั นาการในภมู ิภาคเอเชีย ใหมีอิทธิพลตอประเทศตางๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต และยังมีศาสนาสําคัญของโลกเผยแผ ตะวันออกเฉียงใตจากหนงั สอื เรียน หนา 126-134 เขามาในเวลาตอมา จึงทําใหภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และจากแหลง การเรียนรูตางๆ เพม่ิ เตมิ เชน ศาสนา ภาษา และวฒั นธรรม หองสมดุ กลุม สาระ หองสมดุ โรงเรยี น ขอมูลทาง ความอุดมสมบูรณของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะเครื่องเทศและพริกไทย ทําใหชาติตะวันตก 2 อนิ เทอรเ น็ต เปนตน แสวงหาเสนทางเดินเรือมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต การแขงขันกันทางการคาไดนําไปสูการ ยึดดินแดน ทําใหชาติท้ังหลายยกเวนไทย ตางตกเปนอาณานิคมของชาติตะวันตก จนกระท่งั การเรยี กชอ่ื ประเทศและชาวเมยี นมา หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ จงึ ไดร บั เอกราช ปจ จบุ นั ประเทศตา งๆ ในภมู ภิ าคนี้ไดร ว มมอื กันจัดตั้ง แตเ ดมิ ไทยเรยี กประเทศพมา มาตง้ั แตส มยั ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และรว มมือกันในทกุ ดา นอยางใกลช ดิ มากยง่ิ ข้นึ โบราณ กระทง่ั ภายหลงั การประชุมสภาคร้ังแรก เม่อื วนั ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 จงึ ไดเปล่ียน แผนที่แสดงประเทศในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ชอ่ื ประเทศเปน สาธารณรฐั แหง สหภาพเมียนมาร (The Republic of the Union of Myanmar) เมียนมา* เวยี ดนาม ปจ จุบนั สาํ นกั งานราชบัณฑิตยสภา โดยคณะ ลาว กรรมการจัดทําพจนานุกรมชื่อภูมศิ าสตรส ากล ฟลิปปนส ไดกาํ หนดใหเ รียกช่อื ประเทศวา สาธารณรฐั ไทย ทะเลจีนใต มหาสมุทรแปซฟิ ก แหง สหภาพเมยี นมา โดยสามารถใชเ รียกท่วั ไป กมั พชู า บรูไน ไดทั้งเมยี นมาและพมา ดงั นัน้ ในสว นหนังสอื ตมิ อร- เลสเต เรียนและคูมือครทู ี่ปรากฏคาํ วา “เมยี นมาร” ทะเล จงึ ใหใ ชเ ปน “เมียนมา” หรือ “พมา” แทน อนั ดามัน มาเลเซยี สงิ คโปร อินโดนเี ซีย มหาสมทุ รอนิ เดยี * เดิมไทยเรียกประเทศพมา มาตัง้ แตส มัยโบราณ กระทงั่ ภายหลังการประชมุ สภาเปน ครง้ั แรกเม่อื วนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๑๒๖ พ.ศ. ๒๕๕๔ จงึ ไดเ ปลี่ยนชื่อประเทศเปนสาธารณรัฐแหงสหภาพเมยี นมา (The Republic of the Union of Myanmar) นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ขอใดกลา วไดถกู ตองเกย่ี วกบั ปจจัยดานท่ีต้ังทม่ี ีผลตอพัฒนาการของ 1 เอเชียตะวันออกเฉียงใต หมายถึง ดินแดนท่อี ยูร ะหวางประเทศจนี และ ภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต ประเทศอนิ เดีย ปจจุบนั ไดแ ก ประเทศเมียนมาร เวียดนาม ลาว ไทย กัมพูชา 1. เปน จุดบรรจบกันของอารยธรรมจนี และอนิ เดีย มาเลเซยี สงิ คโปร อินโดนเี ซยี บรูไน ฟล ปิ ปน ส และติมอร-เลสเต ดนิ แดนแถบนี้ 2. เปน ภมู ิภาคแรกท่ีชาติตะวนั ตกเขา มาครอบครอง บางทีเรยี กวา เอเชยี อาคเนย สวนคาํ วา “เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต” เรม่ิ ใชคร้ังแรก 3. กอใหเกดิ แหลงทรพั ยากรธรรมชาติท่ีใหญท ่สี ดุ ในโลก ในระหวางสงครามโลกครั้งที่ 2 เพือ่ กาํ หนดเขตปฏบิ ตั กิ ารของกองทพั พนั ธมติ รใน 4. สงเสรมิ ใหเกิดการรวมกลมุ ทางเศรษฐกิจไดอ ยา งมัน่ คง ภมู ิภาคน้ี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตอ ยูใน 2 ชาตติ ะวนั ตก โดยวาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) ชาวโปรตเุ กส เสน ทางเดินเรือคา ขายระหวา งจีนและอนิ เดยี เปนผลทาํ ใหอ ิทธิพลของ เปนชาวตะวนั ตกชาติแรกท่เี ดนิ ทางออ มแหลมกดู โฮปทางตอนใตของทวปี แอฟรกิ า ทง้ั สองอารยธรรมสง ตอมายังประเทศตางๆ ในภมู ิภาคน้ี อทิ ธิพลทาง ผานมหาสมทุ รอินเดียไปยงั อนิ เดยี ไดใ น พ.ศ. 2041 นับเปน การเปด เสน ทางใหม อารยธรรมทสี่ ําคญั เชน ศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู พระพุทธศาสนาซึง่ เปน ไปยังตะวันออกไกล ที่เรยี กวา เสนทางเครอื่ งเทศ เริ่มต้ังแตเ มอื งกัว (Goa) ศาสนาท่ีสําคญั ของภมู ภิ าค ทางตอนใตข องอินเดยี ศรีลงั กา มะละกา จนถงึ หมเู กาะโมลกุ กะ (ซึ่งไดช อื่ วา เปน หมูเกาะเคร่อื งเทศ) ในอินโดนีเซีย 126 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู 1.1 ที่ตงั้ และสภาพภูมิศาสตร ์ 1. ครูนาํ แผนที่หรอื ลกู โลกจาํ ลองมาใหน กั เรียน ช้ีตาํ แหนง ทต่ี งั้ ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออก- ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตต้ งั้ อยรู่ ะหวา่ งละตจิ ดู ๑๐ องศาใตท้ ตี่ มิ อร์ - เลสเต กบั ละตจิ ดู เฉยี งใต และบอกอาณาเขตตดิ ตอ ของประเทศ ๒๘ องศาเหนือที่ภาคเหนือของเมียนมา และลองจิจูด ๙๒ องศาตะวันออกท่ีภาคตะวันตก ตา งๆ ในภูมภิ าคน้ี ขปอาปงเัวมนียวิ นกินมี า1ม ีทกา�ับเลลอทง่ีตจัง้ ิจแูดล ะอ๑า๔ณ๑า เขอตง ศดางั ตนะี ้ วันออก บริเวณชายแดนปาปัว (อินโดนีเซีย) กับ 2. ครตู งั้ คาํ ถามเก่ียวกบั ทต่ี ง้ั และสภาพภูมิศาสตร ทิศเหนอื ทศิ ตะวันตก ทศิ ตะวนั ออก ทศิ ใต้ ของภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต โดยให ติดต่อกบั สาธารณรฐั ติดต่อกับอินเดีย จดมหาสมทุ รแปซฟิ กิ จดทะเลติมอร ์ และ นักเรยี นในชนั้ เรียนชว ยกนั ตอบ เชน ประชาชนจีน บังกลาเทศ และ และปาปัวนิวกินี ทะเลอะราฟรู า • ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตม ที าํ เลทีต่ ัง้ มหาสมุทรอนิ เดยี เปนอยา งไร (แนวตอบ ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตต ้งั อยู ประเทศในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ ระหวา งละตจิ ูด 10 องศาใตท่ตี ิมอร-เลสเต กับละติจดู 28 องศาเหนือทีภ่ าคเหนอื ของ ประกอบดว้ ย ๑๑ ประเทศ ตง้ั อยบู่ นพน้ื ท ่ี ๒ สว่ น เมียนมา และลองจจิ ดู 92 องศาตะวนั ออก ทภ่ี าคตะวนั ตกของเมยี นมา กบั ลองจจิ ดู คือ ประเทศที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ 141 องศาตะวนั ออกบรเิ วณชายแดนปาปว (อินโดนีเซีย) กับปาปว นวิ กินี) มเมาียเลนเมซยาี ก2ไบัทปยร ะลเทาศว ทเตี่ วงั้ ียอดยนบู่ านมเก ากะัมหพรอื ูชหาม เู่แกลาะะ • ภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตมีกีป่ ระเทศ และมที ต่ี งั้ อยางไร ได้แก่ สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (แนวตอบ มี 11 ประเทศ โดยตง้ั อยูบนพ้นื ท่ี 2 สวน คอื ประเทศทตี่ ง้ั อยบู นผนื แผน ดนิ ใหญ และติมอร์ - เลสเต ไดแ ก เมียนมา ไทย ลาว เวยี ดนาม กมั พชู า และมาเลเซยี กบั ประเทศทตี่ งั้ อยบู นเกาะหรือ ลักษณะภูมิประเทศของภูมิภาคเอเชีย แมน่ ้ำ� โขงเป็นแมน่ ำ�้ นำนำชำตทิ ่ไี หลผำ่ นหลำยประเทศ หมเู กาะ ไดแก สงิ คโปร บรไู น ฟล ิปปน ส ในภมู ภิ ำคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ อินโดนเี ซยี และตมิ อร-เลสเต) ตะวนั ออกเฉียงใต ้ แบ่งออกได ้ ๔ ลกั ษณะ ดังน้ี • ภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใตมอี าณาเขต ๑. เขตที่ราบลุ่มแม่น�้า ท่ีส�าคัญ เช่น ติดตอ กบั บริเวณใด (แนวตอบ ทศิ เหนือตดิ ตอกับจีน ทิศตะวันตก ท่ีราบลุ่มแม่น้�าโขงในกัมพูชาและลาว ซ่ึงเป็น ตดิ ตอกับอินเดีย บงั กลาเทศ และมหาสมทุ ร เขตที่อดุ มสมบูรณ์และเปน็ เขตเกษตรกรรมหลักของประเทศ อินเดีย ทิศตะวันออกจดมหาสมทุ รแปซิฟก และประเทศปาปว นิวกินี และทิศใตจดทะเล ๒. บรเิ วณทเี่ ปน็ ชายฝง่ั ทะเล คาบสมทุ ร เกาะ และหมเู่ กาะ เชน่ ชายฝง่ั ทะเลตอนใต ้ และ ติมอรแ ละทะเลอะราฟูรา) ตะวันตกของเมียนมา ทางตะวนั ตกและตะวันออกของไทย ประเทศท่เี ปน็ เกาะ คือ สิงคโปร์ และ หมเู่ กาะ คือ อินโดนีเซีย ฟิลปิ ปินส์ บรเิ วณนี้มสี ัตว์น�า้ อดุ มสมบรู ณ์ บางประเทศมแี หลง่ น้�ามนั ดบิ และแกส๊ ธรรมชาติ ๓. เขตทร่ี าบสงู ทส่ี า� คญั เชน่ ทร่ี าบสงู ทางตะวนั ออกของเมยี นมา ทมี่ ปี ระชากรอาศยั อยู่ ไมม่ ากนกั เพราะอากาศแหง้ แลง้ และการเดนิ ทางลา� บาก แตม่ ที รพั ยากรธรรมชาตทิ างเศรษฐกจิ ทมี่ คี า่ เช่น ป่าไม้ อญั มณี เปน็ ต้น 127 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู ลักษณะภมู ปิ ระเทศเขตใดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใตท เี่ ปน แหลง 1 ปาปว นวิ กนิ ี เปนประเทศในเขตโอเชียเนีย ตง้ั อยูท างตะวนั ตกของมหาสมุทร ตัง้ ถน่ิ ฐานของประชากรและมพี ัฒนาการกลายเปน เมืองทีส่ ําคญั ในปจ จบุ นั แปซิฟก ประกอบดว ยสว นตะวันออกของเกาะนิวกนิ ี เกาะบเู กนวิลล และกลุมเกาะ แนวตอบ เขตท่ีราบลุมแมน ้ําและเขตชายฝง ทะล โดยเขตทีร่ าบลุม แมน าํ้ บิสมารก เมอื งหลวงชื่อ พอรต มอรสบี เคยเปนดนิ แดนที่อยภู ายใตการดูแลของ มีความอดุ มสมบูรณของดนิ และนํ้าเหมาะแกก ารเกษตรกรรมและการคมนาคม ออสเตรเลยี มากอ น ประกอบดวยดนิ แดนปาปวและดนิ แดนทรัสตเทรริทอรีแหง ขนสง ภายในแผนดนิ สว นเขตชายฝงทะเลมีทาํ เลทีต่ งั้ ท่ีเหมาะสมตอ การเปน นิวกนิ ี ไดร บั เอกราชเมือ่ พ.ศ. 2518 เมืองทาคาขาย ตลอดจนการทาํ ประมงชายฝง 2 มาเลเซีย ต้ังอยใู นเขตเสน ศูนยสตู ร ประกอบดว ยดนิ แดน 2 สว น คอื มาเลเซียตะวนั ตก ต้งั อยูบ นคาบสมุทรมลายู ประกอบดวย 11 รฐั ไดแ ก ปะหงั สลงั งอร เนกรเี ซมบลิ ัน มะละกา ยะโฮร เประ กลนั ตนั ตรงั กานู ปน ัง เกดะห และ ปะลสิ กบั มาเลเซยี ตะวนั ออก ตง้ั อยูบนเกาะบอรเ นียว (กาลิมันตัน) ประกอบดวย 2 รัฐ คือ ซาบาหแ ละซาราวัก นอกจากนี้ ยังมีเขตการปกครองภายใตสหพันธรฐั อีก 3 เขต คือ กรงุ กัวลาลัมเปอร เมืองปตุ ราจายา และเกาะลาบวน คูม อื ครู 127

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครตู ง้ั คาํ ถามเพื่อใหนกั เรยี นอธิบายถงึ ลกั ษณะ ๔. เขตทิวเขา แบงเปน ๒ ลักษณะ คือ ทิวเขาท่ีมีขนาดไมสูงใหญมากนักและ ภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศในภมู ภิ าคเอเชีย เปน บริเวณทีเ่ ปลือกโลกสงบตวั จึงไมเกดิ แผนดนิ ไหวหรอื ภเู ขาไฟปะทุ เชน เขตทวิ เขาในรฐั ฉาน ตะวันออกเฉียงใต เชน ของเมียนมา และเขตทิวเขาที่มีขนาดสูงใหญและเปลือกโลกยังเคล่ือนไหวอยูจึงเกิดแผนดินไหว • ลักษณะภมู ปิ ระเทศในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออก- และภเู ขาไฟปะทุ เชน ทวิ เขาในเกาะสมุ าตรา เกาะชวา ในอนิ โดนเี ซยี และทวิ เขาในหมเู กาะฟล ปิ ปน เฉยี งใตแ บง ออกเปน กล่ี ักษณะ อะไรบาง เปนตน (แนวตอบ แบงเปน 4 ลักษณะ ไดแก สภาพภูมิอากาศเปนแบบรอนช้ืนและอยู 1. เขตทร่ี าบลุมแมน า้ํ ท่ีสําคัญ เชน ทีร่ าบลมุ ในเขตมรสมุ โดยชว งเดอื นพฤษภาคมถงึ ตลุ าคม แมน าํ้ โขงในกัมพชู าและลาว เปน ตน มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใตพัดจากมหาสมุทร 2. บรเิ วณชายฝง ทะเล คาบสมทุ ร เกาะ และ อินเดียผานเอเชียตะวันออกเฉียงใตไปยังจีน หมูเ กาะ เชน ทางตะวนั ตกและตะวันออก ทําใหมีฝนตกชุกและชวงเดือนพฤศจิกายนถึง ของไทย สิงคโปร อินโดนเี ซีย ฟล ปิ ปน ส เมษายน มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจาก เปนตน จีนเขามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต 3. เขตที่ราบสงู ท่สี าํ คญั เชน ทรี่ าบสงู ทาง 1 ทําใหอุณหภูมิต่ําลงและมีฝนนอย นอกจากน้ี ตะวันออกของเมียนมา เปน ตน ยังมีลมพายุไตฝุนจากทะเลจีนใต และลมพายุ 4. เขตเทือกเขา แบง เปน 2 ลกั ษณะ คือ นาขน้ั บนั ไดบรเิ วณทิวเขาในหมเู กาะฟลิปปน เทือกเขาที่มีขนาดไมส ูงใหญมากนัก เชน เขตเทอื กเขาในรัฐฉานของเมยี นมา และเขต ไซโคลนจากอาวเบงกอลพัดผานเขามาเปนครั้งคราวทําใหเกิดลมแรง ฝนตกหนักในบางประเทศ เทอื กเขาทม่ี ีขนาดสงู ใหญ เชน เทือกเขา เชน เวียดนาม ลาว ไทย ไดรับผลกระทบจากการเกิดอุทกภยั และวาตภัย ซงึ่ สง ผลตอ การดําเนิน ในเกาะสมุ าตรา เกาะชวาในอนิ โดนีเซีย ชีวิตของประชากรอยางมาก เปนตน) ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีสําคัญในภมู ิภาคน้ี ไดแ ก ปา ไม สัตวปา แรธ าตุ อัญมณี และนาํ้ มัน รวมถึงการมีทรัพยากรดินและน้ําที่อุดมสมบูรณ ทําใหสามารถอยูไดโดยไมตองพ่ึงพาทรัพยากร 2. ครูสมุ นกั เรียนออกมาอธบิ ายเกีย่ วกบั ลักษณะ จากถน่ิ อน่ื ภูมอิ ากาศของประเทศตางๆ ในภูมภิ าค สาํ หรบั ประเทศไทย ตง้ั อยบู รเิ วณกงึ่ กลาง เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต แลวใหเ พือ่ นๆ แผน ดนิ ใหญข องภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต รวมแสดงความคดิ เหน็ เพ่มิ เติม ภมู ปิ ระเทศสว นใหญเ ปน ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ โดยเฉพาะ ทางตอนกลางของประเทศมีท่ีราบลุมแมน้ํา เจาพระยา ซึ่งเปนเขตเกษตรกรรมท่ีสําคัญ ของประเทศ ทางตอนเหนือเปน ทวิ เขาสลบั กบั ที่ราบระหวางหุบเขา เปนตนกําเนิดของแมนํ้า หลายสาย และมีปา ไมอ ุดมสมบรู ณ สว นทางใต มีภูมิประเทศเปนคาบสมุทรแคบยาวยื่นลงไป ในทะเล แมนา้ํ เจา พระยา แมน ้ําสายสําคญั ของประเทศไทย ๑๒๘ เกรด็ แนะครู บูรณาการเชื่อมสาระ ครมู อบหมายใหน ักเรยี นศกึ ษาคนควา ภาพและขอ มลู ของลักษณะทาง ครนู าํ ชมจากส่อื คอมพิวเตอร โดยเขาโปรแกรม Google Earth ใหน กั เรยี นดู ภมู ิศาสตรท ส่ี ําคัญของภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต เชน โตนเลสาบใน ภาพถายทางอากาศทาํ เลท่ีตง้ั ของประเทศในภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต แลว ประเทศกมั พูชา เกาะบาหลีในประเทศอินโดนีเซีย เพ่อื บรู ณาการเชอ่ื มโยง อธิบายใหนักเรยี นฟงเกยี่ วกบั ลักษณะภูมปิ ระเทศของประเทศตางๆ อยางสงั เขป กับสาระภมู ิศาสตร ในหวั ขอ สภาพแวดลอมทางกายภาพของทวีปเอเชีย แลวจัดทําเปน ปา ยภาพโดยมีขอมลู ประกอบ พรอมทัง้ ตกแตงใหสวยงาม นักเรียนควรรู 1 หมูเกาะฟลิปปน ประกอบดว ยเกาะตา งๆ ประมาณ 7,100 เกาะ ตง้ั อยใู น มหาสมทุ รแปซิฟก พน้ื ทีท่ ุกเกาะมีภูเขาเปน แกนกลาง ยอดเขาท่สี งู ทส่ี ดุ ในฟลิปปนส มชี ือ่ วา อาโป (Apo) ต้งั อยูบนเกาะมนิ ดาเนา นอกจากน้ี หมูเกาะฟล ิปปนยังตงั้ อยู ในแนวแผน ดนิ ไหวของโลกอกี ดว ย จึงมักเกิดแผนดนิ ไหวรนุ แรงข้นึ บอยๆ สวนท่รี าบ มอี ยนู อย ทีร่ าบสําคัญอยทู างตอนกลางของเกาะลูซอน เรยี กวา ท่รี าบมะนลิ า 128 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ ท่ีตัง้ และสภาพทางภมู ิศาสตรทมี่ ผี ลตอ พัฒนาการของภูมิภาค ครูสนทนากบั นกั เรยี นเพื่อทบทวนลกั ษณะ เอเชียตะวันออกเฉียงใต ภูมิประเทศของภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต แลว ตัง้ คาํ ถามใหน กั เรยี นวเิ คราะห เชน ที่ตั้งและสภาพภูมิศาสตรดังที่กลาวมาแลว ลวนสงผลตอพัฒนาการของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตมาตั้งแตอดีต เนื่องจากภูมิภาคนี้ตั้งอยูระหวางอินเดียและจีน จึงเปนชุมทาง • จากทต่ี ้ังและสภาพภมู ศิ าสตรดังทีไ่ ดศกึ ษา การคาสําคัญมาตั้งแตสมัยโบราณ และการเปนจุดแวะพักของเรือสําเภาเพ่ือคอยการเปล่ียน มาแลว สงผลตอพฒั นาการของภมู ิภาค ฤดูมรสมุ เพื่อเตมิ เสบยี งอาหาร หรือซอ มแซม เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตอ ยา งไร เรอื ทาํ ใหต อ งพาํ นกั อยรู ะยะหนง่ึ พอ คา ตา งชาติ (แนวตอบ จากการท่ภี มู ิภาคน้ตี ้ังอยรู ะหวาง บางคนเขามาต้ังหลักแหลงแตงงานกับชาว อินเดียและจีน จึงเปน จดุ แวะพักของ พนื้ เมอื ง นอกจากนย้ี งั มชี าวพน้ื เมอื งเดนิ ทางออก เรอื สนิ คา พอ คา ตา งชาตบิ างสวนไดเขามา ไปยงั ตา งถน่ิ อกี ดว ย ประกอบกบั การมสี นิ คา จาก ตั้งถนิ่ ฐานทนี่ ี่ จนกอใหเ กดิ การแลกเปลีย่ น ตางถิ่น และมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีคาและ วฒั นธรรมระหวา งกนั ซึ่งมผี ลตอพัฒนาการ หายากอยมู าก จงึ ทาํ ใหม ผี คู นหลากหลายเชอื้ ชาติ ทางดานตา งๆ ของชุมชนในภมู ิภาคนี้ ศาสนา เขามาติดตอ จนเกิดการแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะอยางยงิ่ มีชมุ ชนหลายแหง ทีเ่ ตบิ โต วัฒนธรรมตอกัน สงผลใหภูมิภาคนี้ไดรับ สภาพพื้นที่ท่ีเปนคาบสมุทร ทําใหดินแดนตางๆ ของ จนกลายเปน เมอื งทา ที่สาํ คัญ เชน มะละกา วฒั นธรรมหลากหลายจากภายนอก ซง่ึ มผี ลตอ ภาคใตข องไทยเตบิ โตขนึ้ เปน เมอื งทา สาํ คญั มาตง้ั แตอ ดตี ปตตาเวีย (กรงุ จาการตา) นครศรธี รรมราช เปนตน) พัฒนาการดานตางๆ ของชุมชนในภูมิภาคน้ี โดยเฉพาะอยางยิ่งทําใหชุมชนพ้ืนเมืองหลายแหง เติบโตขึ้นเปน เมอื งทา เชน กรงุ ศรีอยธุ ยา นครศรีธรรมราช ไชยา มะละกา ปาเล็มบัง ปต ตาเวีย • นักเรียนคิดวา สภาพภมู ศิ าสตรในบริเวณใด อเปานณตานจักแรลจะาพมัฒปานใานเเปวน ียรดัฐนหารมือออาณาณาจากัจัรกโรบเจรานณละต1า งอๆาณหาลจาักยรอขาอณมาใจนกั กรัมพเชูชน า อาณาจกั รนามเวยี ด ท่ีมีการตง้ั ถนิ่ ฐานของผคู นจํานวนมาก อาณาจักรสุโขทัยในไทย อาณาจักรศรีเกษตร อาณาจักรพุกามในพมา ออาาณณาาจจักักรรมทะวตาะรรวัมด2ี เพราะเหตุใด อาณาจักรมชั ปาหติ ในอินโดนเี ซยี เปนตน (แนวตอบ บรเิ วณทีร่ าบลุมแมน าํ้ เชน ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ อริ ะวดใี นเมยี นมาและทรี่ าบลมุ แมน ํ้าเจาพระยาในไทย เปนตน เพราะมี แหลงนํ้าอดุ มสมบูรณเ หมาะสาํ หรับการ อุปโภคบรโิ ภค การเพาะปลูก การเลย้ี งสตั ว รวมทง้ั บรเิ วณท่ีราบชายฝงทะเลกเ็ หมาะ แกก ารเปน จุดแวะพกั แลกเปลย่ี นสินคาของ พอคา ตา งชาติ และการคมนาคมระหวางกัน) อานันทเจดยี และวหิ ารสพั พัญู ประเทศเมียนมา เมืองโบราณมิเซิน ประเทศเวียดนาม เปนพุทธสถาน เปน พทุ ธสถานแบบเถรวาท ในสมัยอาณาจักรพุกาม แบบมหายาน ในสมัยอาณาจกั รจามปา ๑๒๙ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู ฤดมู รสุมเปน ปจ จยั สาํ คญั ทางภมู ศิ าสตรท่ีกอใหเกดิ การเผยแพรอารยธรรม 1 อาณาจักรเจนละ เปน อาณาจกั รขอมยุคตน สนั นิษฐานวามีศูนยกลางอยูทาง จากภายนอกภูมภิ าคอยางไร ตอนกลางของลุมแมนา้ํ โขงแถบเมืองจาํ ปาศักดิ์ในประเทศลาวปจจุบนั ภายหลงั ตอมา อาณาจักรเจนละไดแ ตกเปน 2 สว น ไดแก เจนละบกหรอื เจนละเหนอื กบั เจนละนํา้ 1. การเปด เมืองทา คา ขายเมือ่ พน ฤดมู รสมุ หรือเจนละใต ในตอนปลายยุคเจนละนํา้ ไดต กอยูใตอ ทิ ธพิ ลของชวา จนกระทง่ั 2. การสง กองเรอื คาขายของกษัตรยิ เมอ่ื ฤดมู รสมุ สนิ้ สดุ ลง ในสมยั ของพระเจา ชัยวรมันท่ี 2 ทรงรวบรวมเจนละบกและเจนละน้ําเขา ดวยกัน 3. การเดินเรอื สมั พนั ธกับความเช่อื เรื่องเทพเจา ในธรรมชาติ และสรา งอาณาจกั รขอมสมยั เมอื งพระนครข้ึน 4. การรอฤดูมรสมุ ทเี่ หมาะสมตอ การเดินเรอื ของพอคา ตา งชาติ 2 อาณาจักรมะตะรมั ตงั้ ยตู อนกลางของเกาะชวา มอี ายอุ ยใู นชวงประมาณ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. การรอฤดูมรสมุ ทเี่ หมาะสมตอการเดนิ เรอื พทุ ธศตวรรษที่ 12-15 เจา ผูครองเมือง คือ ราชวงศส ัญชยั ไดขยายอํานาจไปจนถึง เกาะบาหลี สมุ าตรา และเขมร เปนคูแขงกบั อาณาจักรศรีวิชยั ตัง้ แตพุทธศตวรรษที่ ของพอคา ตางชาติ ทําใหพอ คาตอ งพํานกั อยูใ นภูมภิ าคระยะหนึง่ จงึ เกิด การเผยแพรอ ารยธรรมและความสัมพนั ธกบั คนในภูมภิ าคในรปู แบบตางๆ 15-16 และเปน ฝายแพ มะตะรมั กลับมามอี าํ นาจอีกคร้งั หนง่ึ ในชวงพทุ ธศตวรรษที่ 22 มีการสถาปนาราชวงศม ะตะรมั ข้นึ ในชว งกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 22 มะตะรัมสามารถ ยึดครองชวาไดเ กือบทั้งเกาะ แตเม่ือเผชญิ กับการขยายอทิ ธพิ ลของฮอลนั ดา ประกอบกับเกดิ การแยงชิงอํานาจภายในเชอื้ พระวงศ มะตะรัมจึงออ นแอลงภายใต อิทธิพลของฮอลนั ดานับตง้ั แตพทุ ธศตวรรษที่ 22 เปน ตนมา คมู ือครู 129

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูขออาสาสมัครนกั เรยี นออกมาสรปุ สาระสาํ คัญ ทต่ี งั้ และสภาพทางภมู ศิ าสตรม์ ผี ลตอ่ พฒั นาการของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใ้ นดา้ น เกีย่ วกับอิทธิพลของทตี่ ง้ั และสภาพภมู ิศาสตรท ม่ี ผี ล ต่างๆ ดังตอ่ ไปนี้ ตอพฒั นาการของภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต ดา นการเมอื งหนา ชน้ั เรยี น จากนน้ั ครูใหนักเรยี นใน ๑) การเมือง รัฐก่อนสมัยใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับแนวคิดด้านการ ชั้นเรียนรว มกันวิเคราะหแนวคิดทางการเมอื ง การปกครองของประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ปกครองจากอินเดียและจีน โดยรับแนวคิดผู้ปกครองเป็นสมมติเทพจากศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ในชว งกอนและหลงั จากชาตติ ะวนั ตกเขา มาใน จแกัลระพครตริธดร ิรกมารราสชอาบขเขอา้งรพบั รระาพชุทกาธรศแา1ลสะนลาทั จธาขิกงอจินอ๊ื เจดาียก จสนี ่ว ตนอ่เวมียาดรฐันใานมอรนิ ับโแดนนวเี ซคยีิดแกลาะรมปากเคลเรซอยีงประจั บจบอุ บนั ภมู ภิ าคน้ี ตา่ งยอมรับนบั ถือศาสนาอสิ ลาม การปกครองจึงยึดตามหลักศาสนา ผปู้ กครองเรยี กว่า “สลุ ต่าน” ส่วนฟิลปิ ปินสม์ ีการปกครองแบบชนเผา่ เมอื่ ชาวตะวันตกเข้ามาในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ (แนวตอบ ในชว งกอ นทช่ี าตติ ะวนั ตกเขา มายัง ได้ตกเป็นอาณานิคมของสเปน จึงได้รับอิทธิพลของคริสต์ศาสนาและวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ดนิ แดนแถบนีไ้ ดรับแนวคดิ การเมืองการปกครอง ผสมผสาน มาจากอนิ เดยี และจนี กลา วคอื แนวคดิ ทผ่ี ปู กครองเปน สมมตเิ ทพในศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู และคตธิ รรมราชา ทางพระพทุ ธศาสนาจากอนิ เดีย และแนวคดิ การปกครองระบอบจกั รพรรดิ การสอบเขารับราชการ และลทั ธขิ งจื๊อจากจนี ตอ มาเมอ่ื ชาติตะวนั ตกเขา มา ยดึ ครองดินแดนตางๆ เปน อาณานิคม กไ็ ดเ ผยแพร แนวคิดการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยและ คอมมวิ นสิ ตใ หแ กป ระเทศตางๆ) มัสยิดปตุ รำ แสดงใหเ้ ห็นถึงอิทธพิ ลของศำสนำอิสลำม โบสถ์สมัยบำโรก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของคริสต์ ท่ีเข้ำมำในประเทศมำเลเซยี ศำสนำทเ่ี ขำ้ มำในประเทศฟิลปิ ปนิ ส์ เมอ่ื เขา้ สสู่ มยั จกั รวรรดนิ ยิ มในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ รฐั สว่ นใหญ่ในเอเชยี ตะวนั ออก- เฉียงใต้ตกเปน็ อาณานคิ มของชาตติ ะวนั ตก ไดแ้ ก ่ พม่า มลาย ู สงิ คโปร์ บรูไน เปน็ ขององั กฤษ เวยี ดนาม ลาว เขมร เปน็ ของฝรั่งเศส อนิ โดนเี ซียเปน็ ของฮอลันดา (เนเธอร์แลนด)์ ฟลิ ิปปินส์ เปน็ ของสเปน และต่อมาเป็นของสหรัฐอเมรกิ า และตมิ อร์ - เลสเตเปน็ ของโปรตเุ กส ในสมยั อาณานคิ ม ชาวเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตไ้ ดร้ บั แนวคดิ ทางการเมอื งเขา้ มาอยา่ ง หลากหลาย หลังสงครามโลกครง้ั ที่สองสนิ้ สดุ ใน พ.ศ. ๒๔๘๘ หลายประเทศไดร้ ับเอกราช ขณะที่ บางประเทศต้องต่อส้ทู า� สงครามกับเมืองแม่ เชน่ เวียดนามท�าสงครามกบั ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. ๒๔๙๗ ในชว่ งสงครามเยน็ (พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๕๓๔) ประเทศตา่ งๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ต่างได้รับ ผลกระทบจากความขดั แยง้ แยง่ ชงิ อา� นาจระหวา่ งฝา่ ยโลกเสรที มี่ สี หรฐั อเมรกิ าเปน็ ผนู้ า� กบั ฝา่ ยโลก คอมมวิ นิสต์ท่มี สี หภาพโซเวียตเปน็ ผูน้ า� ทา� ให้เกิดสงครามขนึ้ ในภูมภิ าค เช่น สงครามเวียดนาม และการสรู้ บเพื่อแยง่ อา� นาจระหวา่ งฝ่ายรฐั บาลกบั พรรคคอมมวิ นสิ ต์ในประเทศต่างๆ 13๐ นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT การท่ีพระมหากษตั รยิ ไ ทยทรงมีฐานะเปนสมมติเทพ เปน คติความเช่ือใน 1 การสอบเขา รับราชการ เปนระบบทร่ี าชสาํ นกั จีนในสมยั สงั คมศกั ดนิ าจัดขน้ึ ศาสนาใด เพือ่ คัดเลอื กปญ ญาชนเขารบั ราชการ ซง่ึ เร่ิมใชต งั้ แตส มัยราชวงศส ยุ จนถงึ ราชวงศชิง 1. คติดั้งเดมิ โดยแบง ออกเปน ระดบั ตา งๆ ดงั เชน ในสมัยราชวงศห มงิ และราชวงศช งิ มกี ารสอบ 2. ศาสนาพราหมณ- ฮินดู ในระดบั ทองถนิ่ (ถงเซงิ ) การสอบระดบั ภมู ภิ าค (เซียงซอ่ื ) จะจัดข้นึ ทกุ 3 ปท่ี 3. พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท เมอื งหลวงของมณฑลตา งๆ การสอบระดับประเทศ (ฮุยซื่อ) จัดขึ้นทุก 3 ปเชนกนั 4. พระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน การสอบในพระราชวัง (เตี่ยนซ่อื ) กษัตริยทรงเปนผูออกขอ สอบเอง ผทู ี่สอบได วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ไทยรับแนวคิดพระมหากษตั ริยท รงเปน อันดบั 1 จะไดรับตาํ แหนง “จวงหยวน” (จอหงวน) สมมตเิ ทพจากศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู ซง่ึ เชอ่ื วา พระมหากษตั รยิ เปนอวตาร ปางหนงึ่ ของพระนารายณ จงึ มีฐานะความเปน อยูเหนอื คนทัง้ ปวง 130 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู àÊÃÔÁÊÒÃÐ สงครามเยน็ ครูใหนักเรยี นดูภาพและอานเสรมิ สาระเรือ่ ง สงครามเย็นจากหนงั สือเรียน หนา 131 สงครามเย็น 1คือ สภำวะควำมตึงเครียด ครตู ้ังคําถามเพอื่ ใหน กั เรยี นอธบิ ายความรู เชน ท่ีเกิดขึ้นหลังสงครำมโลกคร้ังท่ี ๒ ระหว่ำงกลุ่มประเทศ • สงครามเยน็ เกิดขึ้นจากสาเหตใุ ด โลกเสรีที่มีสหรัฐอเมริกำเป็นผู้น�ำและโลกคอมมิวนิสต์ (แนวตอบ เกดิ จากความขัดแยง ทางดาน ท่ีมีอดีตสหภำพโซเวียตเป็นผู้น�ำ โดยท้ัง ๒ ประเทศ อดุ มการณท างการเมืองของประเทศ พยำยำมใช้วิธีกำรต่ำงๆ เช่น กำรโฆษณำชวนเชื่อ มหาอํานาจท้ังสองประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา ทปี่ กครองในระบอบประชาธปิ ไตยกบั กำรท�ำสงครำมจิตวิทยำ เพ่ือปองกันมิให้ฝำยตรงข้ำม สหภาพโซเวียตทีป่ กครองในระบอบ ขยำยอิทธิพลเข้ำมำยังเขตของตน ในขณะเดียวกัน คอมมิวนิสต) ก็พยำยำมรักษำผลประโยชน์ของตนไว้ หรือพยำยำม แสวงหำให้มีมำกขึ้น โดยเฉพำะกำรพยำยำมดึง • กาํ แพงเบอรล ินมคี วามเก่ียวขอ งกับ ประเทศต่ำงๆ ให้เข้ำมำเป็นบริวำรของตนจนก่อ สงครามเยน็ อยา งไร (แนวตอบ เปน สัญลักษณของสงครามเยน็ ให้เกิดควำมขัดแย้งในประเทศน้ันๆ ตัวอย่ำงที่เห็น โดยสหภาพโซเวียตสรางขึน้ เพ่ือปด กัน้ ไมใ ห ได้ชัด คือ กำรเกิดสงครำมเกำหลีและสงครำม ชาวเยอรมันอพยพจากเบอรลนิ ตะวันออก เวียดนำม สงครำมเย็นได้ส้นิ สุดลง ใน พ.ศ. ๒๕๓๔ ไปยงั เบอรลนิ ตะวนั ตก) เม่ือสหภำพโซเวียตล่มสลำยและแยกออกเป็น • สงครามเยน็ มคี วามแตกตา งจากสงคราม ๑๕ ประเทศ ทั่วไปอยางไร เหตกุ ำรณก์ ำรสูร้ บในสงครำมเวียดนำม (แนวตอบ สงครามท่ัวไปจะเปนการสูรบกนั โดยตรงของคูสงคราม 2 ฝาย แตส งคราม กำ� แพงเบอรล์ ิน สัญลักษณ์ของสงครำมเย็น เย็นนนั้ คสู งครามจะไมรบกันโดยตรง แตจะ ถกู สรำ้ งขนึ้ เพอื่ กน้ั กรงุ เบอรล์ นิ ตะวนั ตกกบั เบอรล์ นิ ตะวนั ออก สดู ว ยวิธกี ารแขง ขันแยง ชิงอาํ นาจและขยาย อทิ ธิพลในดา นตา งๆ เชน ดา นการทตู ดาน การทหาร ดานการโฆษณาชวนเชื่อ โดยใช คาํ พูด ส่ิงตีพิมพ หรอื การเผยแพรเ อกสาร ตางๆ เปน ตน) 131 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ครใู หนักเรียนคน ควาเกี่ยวกับวิกฤตการณสงครามเย็นท่ีสําคัญในหวั ขอ ครูเปด วดี ทิ ัศนส ารคดเี กีย่ วกับวิกฤตการณส งครามเยน็ เชน สงครามเวยี ดนาม ความเปนมาของเหตุการณโดยสงั เขป และผลของเหตกุ ารณท่มี ตี อ โลก สงครามเกาหลี จากน้ันใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเก่ยี วกบั ผลของสงครามดงั กลาว แลวนาํ ขอ มลู จัดทาํ เปนรายงานสงครผู ูสอน ตอ ประเทศนนั้ และภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตโ ดยรวม นักเรยี นควรรู 1 สงครามเยน็ (Cold War, พ.ศ. 2488-2534) คําวา “สงครามเย็น” เปน ศพั ทใ หมท เ่ี รียกสถานการณของโลกต้งั แตภายหลังสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 เปน ตนมา โดยเปนสงครามท่ีประเทศคสู งครามไมใชอาวธุ ทําสงครามกันอยางเปด เผย แตจะ มกี ารสะสมกําลงั อาวธุ และกําลังรบ ควบคไู ปกบั การตอสูดว ยวิธีการแขงขันแยงชิง อํานาจและอิทธิพลในดา นตางๆ เชน ดานการทูต ดานการทหาร ดา นอุดมการณ ทางการเมือง และการแสวงหาพันธมติ รไวเปน พวกหรอื บรวิ าร เปน ตน วิกฤตการณ สงครามเยน็ ที่สาํ คัญ เชน สงครามเกาหลี สงครามเวยี ดนาม เปนตน คมู อื ครู 131

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูซกั ถามนกั เรียนเกี่ยวกับอทิ ธพิ ลของทีต่ ้ังและ ปจจบุ นั เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตมีรูปแบบการปกครองหลายแบบ ไดแ ก สภาพภูมศิ าสตรท ีม่ ีผลตอพฒั นาการของภูมภิ าค ประเทศทป่ี กครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ เ ปน ประมขุ ไดแ ก ไทย กมั พชู า เอเชียตะวันออกเฉียงใตในดานเศรษฐกิจ เชน และมาเลเซยี • พื้นฐานทางเศรษฐกิจของภมู ภิ าคเอเชยี พระบาทสมเดจ็ พระบรมนาถนโรดม สหี มนุ ี พระมหากษตั รยิ  สมเด็จพระราชาธิบดฮี จั ญี ฮสั ซานัล โบลเกียห มอู ซิ ซดั ดิน ตะวนั ออกเฉยี งใตข้ึนอยกู บั อะไร แหงกมั พูชา วดั เดาละหแ หง บรูไน (แนวตอบ เกษตรกรรม) ประเทศที่ปกครองระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย คอื บรูไน • ชมุ ชนใดบา งทเ่ี ปน เมอื งทาการคา ทางทะเล ท่สี าํ คญั ในอดีตของภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออก- เฉยี งใต เพราะเหตุใด (แนวตอบ เชน ศรีวิชัย มัชปาหิต เปนตน เพราะตงั้ อยบู ริเวณชายฝงทะเลทสี่ ะดวกใน การตดิ ตอ คา ขาย และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม กบั ดนิ แดนภายนอก จึงสามารถควบคมุ เสนทางการคาทางทะเลได) ประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีประธานาธิบดีเปนประมุข ไดแก อินโดนีเซีย ฟลิปปน ส สงิ คโปร เมยี นมา และตมิ อร - เลสเต ประเทศทป่ี กครองระบอบสังคมนิยม ไดแ ก เวยี ดนาม และลาว ๒) เศรษฐกจิ พนื้ ฐานเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉยี งใตตงั้ แตอดตี จนถึงปจจุบนั คือ เกษตรกรรม ซ่ึงผลผลิตทางการเกษตรหลายอยางลวนมีความสําคัญตอการคามาต้ังแตอดีต เชน เครอื่ งเทศ ของปา ขาว ซทง่ึ ําตใง้ัหอห ยลูใานยบเรมเิ อืวณงพชฒั อ งนแาคเปบน มอะาลณะกาาจ1ักทราํ แใลหะส เาปมน าเรมถอื คงวทบาคกมุารเสคนาขทอางง ภมู ภิ าค เชน อาณาจกั รศรวี ชิ ยั การคาทางทะเลทส่ี ําคัญในหมูเกาะอินโดนีเซีย และระหวางหมเู กาะอินโดนีเซียกับจนี ตอนใต และ เมอื่ พอ คา ตา งชาตเิ ขา มาตดิ ตอ คา ขาย ทาํ ใหไ ดร บั อารยธรรมตา งชาติ เชน ศาสนาพราหมณ  - ฮนิ ดู พระพุทธศาสนานิกายมหายานจากอินเดีย สวนอาณาจักรมัชปาหิตเปนอาณาจักรพ้ืนเมือง ที่สืบทอดความเจริญตอจากอาณาจักรศรีวิชัย สามารถขยายอิทธิพลครอบคลุมรัฐอิสระหลายรัฐ ในแหลมมลายูและเกาะสุมาตรา เปนอาณาจักรท่ีเติบโตจากการเปนเมืองทาจนสามารถควบคุม เสน ทางการคาทางทะเลได เปน ตน ต้ังแตพ ทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ เปนตน มา สินคา สาํ คัญของภมู ิภาค คือ ขาว ยางพารา ดีบกุ เเปขนาคทวตี่ บอ คงุกมาทรามงาเกศใรนษตฐลกาิจดแโลลกะบทังาํคใับหใใ หนปสลมูกยั พอาืชณเศารนษคิ ฐมกิบจางสปวรนะสเทิงคศโปเชรน ก2็เอปนิ นโแดหนลเี ซงยีสงถอกู อเกมสอื ินงแคมา จนกระทงั่ ไดพัฒนาไปเปน เมอื งทา สาํ คญั ของภูมภิ าค ๑๓๒ นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT ขอ ใดไมจดั เปน ปจจยั สาํ คัญท่ที าํ ใหภ ูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต 1 ชอ งแคบมะละกา อยรู ะหวา งตอนใตข องคาบสมทุ รมลายกู บั เกาะสมุ าตรา สามารถเพาะปลกู ขา วไดดี เชอ่ื มระหวา งมหาสมทุ รอนิ เดยี กบั ทะเลจนี ใต ชอ งแคบมะละกาถอื เปน เสน ทางเดนิ เรอื 1. พ้ืนดนิ อดุ มสมบรู ณ ขนสง สนิ คา ทมี่ คี วามสาํ คญั มากทส่ี ดุ แหง หนง่ึ ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต 2. ผคู นชอบอาชีพชาวนา และของโลก ทเ่ี ชอื่ มประเทศตา งๆ ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตเ ขา กบั ดนิ แดน 3. มีปริมาณน้าํ ฝนเพยี งพอ แถบตะวนั ออกกลางและยโุ รป โดยแตละปจ ะมีเรือพาณชิ ยแ ลน ผา นเสน ทางนถี้ งึ กวา 4. มีแสงแดดจดั ตลอดท้งั ป 50,000 ลาํ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. การทภี่ มู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต 2 สงิ คโปร เศรษฐกจิ เกอื บทงั้ หมดขนึ้ อยกู บั การคา เพราะลกั ษณะทต่ี งั้ ของสงิ คโปร สามารถเพาะปลูกขา วไดดี เนอื่ งจากมีปจ จยั ทางดานสภาพแวดลอม เปรยี บเสมอื นประตกู ารคมนาคมทางทะเลระหวา งมหาสมทุ รอนิ เดยี ทะเลจนี ใต เอือ้ อํานวย จงึ ไมเ กย่ี วของกบั พฤติกรรมการชอบเปนชาวนาของประชากร และมหาสมทุ รแปซฟิ ก ทงั้ ยงั เปน จดุ เชอ่ื มตอ จากภาคพน้ื ทวปี เอเชยี ลงไปสหู มเู กาะ อนิ โดนเี ซยี ออสเตรเลยี และนวิ ซแี ลนด จงึ เปน ทาํ เลทตี่ ง้ั ทเี่ หมาะสมในการแวะพกั ของเรอื เดนิ สมทุ ร และทาํ ใหส งิ คโปรเ ปน เมอื งทา ทเี่ จรญิ รงุ เรอื งมาตงั้ แตค รง้ั เปน อาณานคิ มขององั กฤษจนถงึ ปจ จบุ นั 132 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ปจั จุบันเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้เปน็ แหลง่ ปลกู ขา้ วรายใหญข่ องโลก โดยไทยและเวียดนาม ครูเกริ่นนําเก่ยี วกับสภาพสงั คมและวัฒนธรรม เปน็ ผสู้ ง่ ออกขา้ วอนั ดบั ตน้ ๆ บางประเทศ เชน่ มาเลเซยี บรูไน อนิ โดนเี ซยี มที รพั ยากรนา�้ มนั มาก ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตพ อสงั เขป เมียนมามีปา่ ไมแ้ ละอญั มณ ี ซงึ่ นอกจากจะมีวตั ถุดบิ มาก ตน้ ทุนต�่าแล้วยังมีแรงงานทง้ั มีฝีมือและ จากนน้ั ต้งั คาํ ถามเพ่อื ใหนักเรียนอธิบายความรู เชน มีค่าแรงถูกอยู่มาก ท�าให้มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาต้ังโรงงานอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เชน่ อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ โรงงานประกอบรถยนต์ ผลิตเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ าม • ความเชือ่ ดั้งเดมิ ของชนพืน้ เมอื งในภูมภิ าค บางประเทศ คอื ลาว กมั พชู า และเมยี นมา มฐี านะทางเศรษฐกจิ ไม่ดแี ละสาธารณปู โภคพนื้ ฐาน เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตก อ นจะมีการนับถือ ยงั ไมไ่ อดยม้ ่าางตไรรฐกา็ตนากมย็ งั กคางรพรึง่ วพมากเกันษเปต็นรกปรรระมชแาลคะมกอาารเทซ่อียงนเท ย่ีเขวตเปก็นาหรคล้าักเสรี 1และความร่วมมือทาง ศาสนาตา งๆ เปน อยางไร เศรษฐกิจกับประเทศนอกภูมิภาค เช่น กลุ่มเอเปก ก็ท�าให้มีความร่วมมือเพ่ือพัฒนาเศรษฐกิจ (แนวตอบ นับถอื ส่ิงศกั ดิส์ ทิ ธิ์ ธรรมชาติ ทง้ั ในและนอกภมู ภิ าคเพมิ่ มากขนึ้ และทา� ใหม้ อี า� นาจตอ่ รองทางการคา้ กบั ประเทศตา่ งๆ เพมิ่ ขนึ้ ดว้ ย และภูตผปี ศาจ) ๓) สังคมและวัฒนธรรม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐาน • เพราะเหตใุ ดเวียดนามจงึ ไดร ับอทิ ธิพลของ อารยธรรมจนี มากกวาอินเดีย มานาน ชนพน้ื เมอื งมวี ฒั นธรรม มคี วามเชอื่ และภาษาของตนเอง ความเชอื่ ดง้ั เดมิ คอื การนบั ถอื (แนวตอบ เพราะทาํ เลที่ตัง้ ทอ่ี ยูตดิ กบั จนี และ สิง่ ศักดสิ์ ิทธิ์ นับถอื ธรรมชาติและผี ตอ่ มาเม่ือมีการตดิ ต่อกบั อนิ เดยี จีน และอาหรบั กท็ า� ใหไ้ ดร้ ับ เคยถกู จนี ปกครองมาเปน เวลาประมาณพันป อารยธรรมของชาตเิ หลา่ นนั้ เขา้ มาผสมผสาน ไมว่ า่ จะเปน็ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ด ู พระพทุ ธศาสนา จึงทําใหอ ารยธรรมจีนฝงรากลกึ ในเวียดนาม) และศาสนาอสิ ลาม รวมทง้ั ภาษา วรรณกรรม กฎหมาย ธรรมเนยี มประเพณีในราชสา� นกั ประเพณี พธิ ีกรรมทางศาสนา รูปแบบการด�าเนินชีวติ เชน่ อาหาร การแตง่ กาย ส่ิงของเคร่อื งใช้ ทัง้ จาก อนิ เดีย จีน และอาหรบั ทตี่ ง้ั และสภาพทางภมู ศิ าสตรย์ งั มผี ลตอ่ การรับอารยธรรมแตกต่างกัน เช่น เวียดนาม เป็น ประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ท่ีรับ อารยธรรมจนี อย่างลกึ ซง้ึ เพราะอยตู่ ดิ กับจีน เคยถกู จนี ปกครองประมาณพนั ป ี อารยธรรมจนี จงึ ฝงั รากลกึ ในเวียดนาม เช่น ชนชั้นปกครองและปัญญาชน เวียดนามนับถือลัทธิขงจื๊อแบบจีน ประชาชนนับถือ พระพทุ ธศาสนานิกายมหายานจากจนี ส่วนประเทศ อ่ืนๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับอารยธรรมจาก อนิ เดยี มากกวา่ จนี 2 เจดยี ว์ ดั เทยี นมู่ เมอื งเว้ ประเทศเวยี ดนาม เปน็ วดั ในพระพทุ ธศาสนา นิกายมหายาน 133 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู การตดิ ตอ กบั ตางชาติ เชน อินเดีย จีน สงผลตอ วถิ ีชีวติ ของชาวเอเชีย 1 เขตการคาเสรี (Free Trade Area : FTA) เปนความตกลงระหวาง 2 ประเทศ ตะวันออกเฉยี งใตอยางไร ขึน้ ไป โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ พอื่ ลดอุปสรรคทางการคา ใหเหลือนอ ยทสี่ ดุ เพอ่ื ใหเกดิ แนวตอบ ทําใหอ ารยธรรมตางชาตโิ ดยเฉพาะอินเดยี และจีนเขา มามีอิทธพิ ล การคา เสรีระหวางกัน และในปจจุบนั ประเทศตา งๆ ก็ไดพ ยายามขยายขอบเขตของ ตอวิถกี ารดาํ เนนิ ชวี ิตของประชากร ไมว าจะเปน ดา นการเมอื งการปกครอง FTA ใหครอบคลุมการคา และการบริการ เชน การปกครองแบบเทวราชา ระบบการสอบคัดเลือกเขา รบั ราชการ 2 วัดเทียนมู เปนวดั โบราณทีส่ วยที่สดุ ของเมืองเว ซง่ึ มเี จดียท่ีเปนทรงแปดเหลีย่ ม ดา นเศรษฐกิจ เชน การผลติ เครอื่ งสังคโลก การคา ผา ไหม ดา นอกั ษรศาสตร 7 ชน้ั แตละชั้นหมายถงึ ชาติภพตา งๆ ของพระพทุ ธเจา โดยไดรบั อิทธพิ ลทาง เชน ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ดานศาสนา เชน การนบั ถอื พระพุทธศาสนา สถาปต ยกรรมจนี ผสมกับความเชอ่ื ของพระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน ทางดา นซา ย ศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู ลัทธิขงจอ๊ื ลัทธิเตา การสรางพระพุทธรูป วัด เจดยี  และดานขวาของเจดยี เปนทตี่ ง้ั ของศลิ าจารึก และระฆังสาํ ริดขนาดใหญซง่ึ หนกั โบสถ วิหาร เปน ตน 2,000 กิโลกรัม สว นทางดา นหลังของเจดียเ ปน ประตทู างเขาสูบรเิ วณภายในวัด โดยมีรูปปนเทพเจา 6 องค คอยยืนเฝาปกปองมิใหค วามชัว่ เขามาแผวพาน คมู ือครู 133

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู ครูและนักเรยี นสรุปความรูเ กย่ี วกับทีต่ ้ังและ อกี ตัวอย่างหนง่ึ คือ ประเทศลาวตงั้ อยู่ในบริเวณที่ สภาพทางภมู ศิ าสตรท มี่ ผี ลตอพัฒนาการของ ไม่มีทางออกสู่ทะเลและถูกล้อมรอบด้วยประเทศอ่ืน ลาว ภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตใ นดา นตางๆ จึงไม่อยู่ในฐานะเมืองท่าท่ีต่างชาติจะเข้ามาติดต่อค้าขาย เพอ่ื เปนการทบทวนความรูทั้งหมด ขยายความเขา ใจ Expand และมีการติดต่อกับภายนอกน้อยกว่าอาณาจักรอื่นๆ วฒั นธรรมจากภายนอกจึงเข้าไปถงึ ช้า แต่มขี ้อดีคือ ทา� ให้ สามารถรักษาวัฒนธรรมพ้ืนเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ครูใหน กั เรียนชว ยกนั แสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกบั ไวไ้ ดม้ ากกวา่ ประเทศทอี่ ารยธรรมตา่ งชาตเิ ขา้ ถงึ ไดส้ ะดวก ความสําคญั ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตท ีม่ ี ท้ังน้ีสังคมของรัฐโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอโลกตงั้ แตอ ดีตจนถงึ ปจจบุ ัน แลวสรปุ ผลลง จะแบง่ คนออกเปน็ ชนชน้ั ปกครอง และชนชน้ั ผถู้ กู ปกครอง สมุดจดงานสง ครผู ูสอน ชำวหลวงพระบำง ประเทศลำว ในปจจุบัน โดยมีศาสนสถานเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน พระสงฆ ์ ยงั คงมีวิถีชีวิตแบบดัง้ เดิม โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ นักบวช และผ้มู ีความรทู้ างศาสนา เปน็ ผู้ได้รบั การยกย่อง (แนวตอบ เชน เปนแหลงการคาเครื่องเทศท่สี ําคญั วถิ ชี วี ิตท่ผี กู พนั กบั พระพุทธศำสนำ นบั ถอื มาก และมีทรพั ยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ เชน ปา ไม สินคา ของปา ซง่ึ เปนท่ตี อ งการของพอ คาตา งชาติ ศิลปกรรมแขนงต่างๆ ในภมู ภิ าคส่วนใหญส่ รา้ งข้นึ จากความศรทั ธา นอกจากน้ยี งั เปน ภูมภิ าคท่ีมีผูคนมาตง้ั ถน่ิ ฐานและ ในศาสนา เช่น นครวัด - นครธมในกัมพูชา บุโรพุทโธในอินโดนีเซีย สรางสมความเจริญมาเปนเวลายาวนาน ซงึ่ ความ เจดยี ์ชเวดากองในเมยี นมา พระบรมธาตเุ จดยี ์ในไทย เปน็ ตน้ เจรญิ ตางๆ ไดเ ปน มรดกตกทอดแกคนรุน หลงั และ คร้ันถึงพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ อารยธรรมตะวันตกได้แพร่เข้ามา กลายเปนแหลง มรดกโลกในปจจบุ นั เชน บุโรพุทโธ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าสมัยอ่ืน โดยเฉพาะการศึกษาแบบ ปรมั บานันในประเทศอินโดนเี ซีย เมอื งโบราณฮอยอนั กสามรยั ปใกหคมร่ กอาง รแแลพะทควยา์ ศมิลยปตุ วธิ ิทรรยมาใกนาสรงัตคะมวนั ศตากส นแานควรคสิ ดิ ตเ ์1กส่ียง่ วผกลับใหกส้าภรเามพอื ง ในประเทศเวียดนาม เปน ตน) ตรวจสอบผล Evaluate สังคมของภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคมเมืองมากขึ้น ท�าให้ ชนชน้ั กลางมบี ทบาทสงู ในสงั คมแทนทข่ี นุ นาง ขา้ ราชการ การรบั 1. ครูตรวจสมุดจดงานของนักเรยี น วฒั นธรรมท่หี ลากหลายจากภายนอกเขา้ มาผสมผสานกับ 2. ครูสังเกตพฤติกรรมความมสี วนรว มในการตอบ วัฒนธรรมท้องถ่ิน ท�าให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีวัฒนธรรมแบบผสมผสาน และมีเอกลักษณ์ คาํ ถามและการแสดงความคดิ เห็นของนักเรียน เปน็ ของตนเอง พระเจดีย์ชเวดำกองในกรุงย่ำงกุ้ง ประเทศเมียนมำ เปน็ พทุ ธสถำนทปี่ ระชำชนใหค้ วำมเคำรพนบั ถอื มำก 134 นักเรยี นควรรู กิจกรรมทา ทาย 1 ศาสนาครสิ ต โดยประชากรสว นใหญใ นประเทศฟล ปิ ปน สก บั ตมิ อร- เลสเต ครูใหน กั เรียนจัดทาํ ตารางหรอื ผงั กราฟกแสดงอิทธพิ ลทางภูมิศาสตร จะนบั ถอื ศาสนาครสิ ตน กิ ายโรมนั คาทอลกิ เหตผุ ลหนง่ึ มาจากการทป่ี ระเทศเหลา นี้ ท่มี ตี อ พฒั นาการของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตท งั้ ทางดา นการเมือง เคยอยใู ตก ารปกครองของชาตติ ะวนั ตกมากอ น กลา วคอื ฟล ปิ ปน สเ คยอยใู ตอ ทิ ธพิ ล การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม โดยนักเรียนอาจคน ควา ภาพ ของสเปน สว นตมิ อร- เลสเตอยใู ตอ ทิ ธพิ ลของโปรตเุ กสกอ นทอ่ี นิ โดนเี ซยี จะเขา มา หรือขอ มูลเพิ่มเตมิ จากแหลงการเรยี นรตู างๆ ตามความสนใจ ยดึ ครองในภายหลงั มมุ IT ศึกษาคน ควาขอมลู เพมิ่ เติมเกยี่ วกับภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ไดท ี่ http://www.seas.arts.tu.ac.th เว็บไซตโ ครงการเอเชียตะวันออกเฉยี งใตศกึ ษา 134 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Engage กระตนุ ความสนใจ ò. ¾Ñ²¹Ò¡Òâͧ»ÃÐà·Èã¹ÀÙÁÀÔ Ò¤àÍàªÕµÐÇ¹Ñ ÍÍ¡à©Õ§㵌 ครนู าํ ภาพโบราณวตั ถุหรอื โบราณสถานทสี่ ําคญั ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตมา ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตม ผี คู นตง้ั ถนิ่ ฐานมานบั หมน่ื ป และมกี ารกอ ตงั้ เปน อาณาจกั ร ใหน ักเรยี นดู จากนั้นตัง้ คาํ ถามกระตนุ ความสนใจ มานานกวา ๑,๐๐๐ ปแลวในเกือบทุกสวนของภูมิภาค เชน ทวารวดี พุกาม ศรีวิชัย กัมพูชา ของนักเรียน เชน เปนตน อีกท้ังมีความรุงเรืองอยางสูง เมื่อชาติตะวันตกเขามาคาขาย และลาอาณานิคม หลาย อาณาจักรยกเวนไทยตางตกเปนอาณานิคมของชาติตะวันตก คือ อังกฤษ ฝร่ังเศส ฮอลันดา • นกั เรียนรูจกั ภาพใดบา ง (เนเธอรแ ลนด) สเปน และสหรฐั อเมรกิ า หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ กลมุ ประเทศอาณานคิ มทงั้ หลาย • ภาพดังกลาวอยใู นประเทศใด ตางไดรับเอกราช และพยายามพัฒนาประเทศตามพ้ืนฐานและความสามารถของตน ปจจุบัน ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ๑๐ ประเทศไดรวมกันเปนประชาคมอาเซียน เพื่อ และมคี วามสาํ คญั อยา งไร ชวยเหลือและรวมมือกันในดานตางๆ เพ่ือใหเกิดความเขาใจพัฒนาการของประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต จึงแบงการอธิบายออกเปนสมัยโบราณ สมัยใหม และสมัยปจจุบัน สาํ รวจคน หา Explore ดังตอไปน้ี ครูใหน ักเรยี นแบง ออกเปน 3 กลุม คละกัน ๒.๑ พัฒนาการในสมยั โบราณ ตามความสามารถ เพื่อศกึ ษาเกี่ยวกบั พัฒนาการ ของประเทศในภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต เอเชียตะวันออกเฉียงใตมีผูคนอยูอาศัยมานาน หลักฐานท่ีเกาแกที่สุด คือ โครงกระดูก จากหนังสือเรยี น หนา 135-145 และจากแหลง มนษุ ยช วาพบที่รมิ ฝงแมน ้าํ โซโลใกลเ มืองตรินิล (Trinil) บนเกาะชวา มีอายปุ ระมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ป การเรียนรตู างๆ เพิม่ เติมในประเด็นตอไปน้ี รลูจว ักงมกาาแรลนวําโแลลหะะเปโดน ยดเนิฉแพดานะนทําี่ไดสสํารราิดงมสารใรชค ค เวชานมเจทรี่ดิญอทงัดซเอทนยี ม1กบั ดนิ แดนอน่ื ในเวลาเดยี วกัน คือ กลมุ ที่ 1 ศึกษาเรือ่ ง พฒั นาการในสมัยโบราณ กลมุ ที่ 2 ศึกษาเรอ่ื ง พฒั นาการในสมยั ใหม กลมุ ท่ี 3 ศึกษาเรือ่ ง พฒั นาการในสมยั ปจ จุบนั ในเวยี ดนาม บา นเชียงในไทย และรูจักการเพาะปลกู คือ รจู กั อธบิ ายความรู Explain การเพาะปลกู ขาว เมอื่ ประมาณ ๖,๐๐๐ ปม าแลว ผูคนของเอเชียตะวันออกเฉียงใตสรางสมความเจริญ ของตนเอง ประกอบกับเอเชียตะวันออกเฉียงใตอยูระหวาง ครูใหน กั เรียนกลมุ ท่ี 1 สง ตัวแทนออกมานําเสนอ เสนทางการคาอินเดียกับจีน จึงไดรับอิทธิพลทางอารยธรรม รายงานหนาชนั้ เรยี น จากนน้ั เปดโอกาสใหเพอื่ นๆ จากสองอารยธรรมใหญ คอื อารยธรรมจนี ทางดานตะวันออก กลมุ อืน่ ทสี่ งสยั ซกั ถามจนเกดิ ความเขาใจ ซึง่ มอี ิทธพิ ลตอ เวียดนามมาก และวฒั นธรรมอินเดียทางดาน ตะวันตก ซ่ึงมอี ิทธิพลตอพมา ไทย ลาว และกมั พชู า สาํ หรับ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ไดรับอิทธิพลในระยะแรก สวน ฟล ปิ ปนส อารยธรรมอินเดยี และจีนยังแผเ ขาไปไมถ งึ สําหรับอารยธรรมอินเดียกอใหเกิดพัฒนาการทาง ประวัติศาสตรข้ึนมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต คือ การตั้ง กลองมโหระทึกสําริด พบที่เวียดนาม อาณาจกั รตามแบบอินเดีย และเครื่องมือสําริด พบที่บานเชียง อาํ เภอหนองหาน จงั หวัดอดุ รธานี ๑๓๕ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉยี งใต ปจ จัยใดท่มี ีความหลากหลายมากทสี่ ุด ครูอาจใชเ ทคนิคการสอนแบบรวมมอื โดยใหน ักเรียนแบง หนา ท่ีกนั ทํางาน 1. ศาสนา ตามที่ไดรบั มอบหมาย นักเรียนแตละคนจะมกี ารอภปิ ราย ซักถาม แลกเปลีย่ น 2. กลมุ ชาตพิ นั ธุ ความคิดเหน็ ตลอดจนมีการชว ยเหลือซึ่งกันและกนั เพ่อื ใหทุกคนมีสว นรว มใน 3. สภาพภูมิศาสตร การทาํ งานภายในกลมุ และงานประสบผลสําเร็จอยางมีประสทิ ธภิ าพ 4. การประกอบอาชพี นกั เรยี นควรรู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. กลมุ ชาติพนั ธเุ ปน ปจจัยที่มีความหลากหลาย 1 ดองซอน เปนวัฒนธรรมสมัยกอ นประวัติศาสตรใ นยคุ สําริดตอนปลาย มากที่สดุ ของสังคมเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต โดยนักมานุษยวทิ ยาไดแ บง มีศนู ยกลางอยทู ่ีลมุ แมน า้ํ แดงทางตอนเหนือของเวยี ดนาม วัฒนธรรมนีม้ ีอิทธพิ ล ชาตพิ นั ธุข องคนในภูมภิ าคนีต้ ามเกณฑดานภาษาออกเปน 6 กลุม ใหญ ไดแก ตอ ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตโดยเฉพาะในคาบสมทุ รมลายตู ้ังแต 1,000-1 ไท-กะได ออสโตรเนเชียน เนกริโต จนี -ทิเบต ออสโตร-เอเชยี ติก และเวียติก ปก อนครสิ ตศักราช เรมิ่ รจู กั การทาํ นา มรี ะบบชลประทาน การเลยี้ งสตั ว การทาํ ประมง นอกจากนยี้ งั มคี วามสามารถในการหลอมสาํ ริด หลกั ฐานสําคัญ คือ กลองมโหระทึกดองซอน คูมอื ครู 135

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูสนทนากบั นักเรยี นเพอื่ ใหเขาใจวาพฒั นาการ ฟชูนอื่ นัอ า1(ฝณู้หานจากัน)ร อาณาจกั รสําคญั ท่ีได้รบั อิทธพิ ลอารยธรรมอนิ เดยี ของภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตเร่มิ ต้งั แตการ ท่ีต้ัง ชว่ งเวลา/เหตกุ ารณส าํ คัญ ต้งั ถ่ินฐานของชุมชนในสมยั กอนประวตั ิศาสตร และไดส รางสมความเจรญิ จนพฒั นาเปน กมั พูชา พุทธศตวรรษที่ ๗ - ๑๒ ฟูนันหมดอ�านาจ เพราะเกิดความ อาณาจกั รตา งๆ โดยไดรบั อิทธิพลจากวฒั นธรรม แตกแยกข้นึ ภายใน อาณาจักรขอมหรือเขมรข้ึนมาแทนที ่ ตางชาตเิ ขา มาผสมผสานกับวฒั นธรรมด้ังเดิม ของตนเอง โดยเฉพาะอนิ เดยี และจีน จามปา เวยี ดนามตอนกลาง พทุ ธศตวรรษท่ ี ๘ - ๑๕ ได้รบั อทิ ธิพลทางอารยธรรมจากอนิ เดีย มีการท�าสงครามกับขอมและเวียดนาม หมดอ�านาจเพราะแพ้ 2. จากนัน้ ครูตงั้ คาํ ถามใหน กั เรยี นตอบวา อาณาจกั ร เวยี ดนาม โบราณในดินแดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใดบา ง ท่ไี ดรับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดยี ศรวี ชิ ยั เกาะสมุ าตราและ ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๙ เป็นอาณาจักรท่ีรุ่งเรืองทาง (แนวตอบ เชน อาณาจักรฟนู นั อาณาจกั รเจนละ ทางใต้ของไทย การค้า อาณาจกั รขอมหรอื เขมรในกัมพชู า อาณาจักร ตลอดแหลมมลายู พกุ ามในพมา อาณาจักรจามปาในเวียดนาม อาณาจกั รมัชปาหติ อาณาจกั รมะตะรมั ใน ขอมหรือเขมร กมั พูชา ในชว่ งศตวรรษท ่ี ๑๒ - กลางพทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๔ เรยี กวา่ “อาณาจกั ร อนิ โดนเี ซีย เปน ตน) ศรเี กษตรและพุกาม พม่า เจนละ หรอื เจนิ้ ลา่ ” ตงั้ แตก่ ลางพทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๔ คอื อาณาจกั ร ขอมสมยั เมอื งพระนคร หรอื เมอื งนครหลวงสนิ้ สดุ อา� นาจในปลาย ทวารวดี ไทย พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ มีการสร้างศาสนสถานท่ีใหญ่โต สวยงาม มากมาย มกี ษตั รยิ ท์ ยี่ ง�ิ ใหญ ่ คอื พระเจ้าสรุ ิยวรมนั ท ่ี ๒ ผสู้ รา้ ง นครวัด และพระเจา้ ชยั วรมนั ท ี่ ๗ ผู้สร้างนครธม พุทธศตวรรษท่ี ๘ - ๑๙ เริ�มจากอาณาจักรปยุหรือศรีเกษตรที่ นบั ถอื พระพุทธศาสนา ตอ่ ดว้ ยอาณาจักรพุกามในทางเหนอ� ของ พม่า พุทธศตวรรษท่ี ๑๕ ส่วนทางใต้เป็นอาณาจักรมอญ ออนาณริ ทุ าธจ ์2ักซรง�ึ พทุรกงาขมยมาีกยอษา�ัตนราิยจ์ทไดี่ยก้�ิงวใหา้ งญให่ ญค ื่อท รพงทรา�ะนเจบุ ้าา� อรโงุ นพรรธะาพหทุ รธือ- ศาสนา และเป็นผ้สู ร้างเจดีย์ชเวชิกอน พทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๑ - ๑๖ เปน็ สมยั ท่พี ระพทุ ธศาสนารุ่งเรืองมาก โดยเผยแผ่ถึงทุกภาคของไทย มะตะรมั เกาะชวา พุทธศตวรรษท่ ี ๑๔ กษตั รยิ ์แห่งราชวงศ์ไศเลนทรส์ ร้างบุโรพทุ โธ อินโดนเ� ซยี พระเจา้ ทักษาแหง่ ราชวงศ์สัญชยั สรา้ งปรมั บานัน 136 ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’52 ออกเกย่ี วกบั อทิ ธพิ ลของอารยธรรมตา งชาตติ อดนิ แดน นกั เรียนควรรู เอเชียตะวันออกเฉียงใต อารยธรรมใดเปน รากฐานที่สาํ คัญทสี่ ดุ ของดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต 1 ฟูนนั เปน คาํ มาจากภาษาเขมรโบราณ (ขอม) วา “บนัม” และภาษาเขมร 1. จีน ปจ จบุ ันวา “พนม” แปลวา ภูเขา เร่อื งราวของอาณาจกั รฟูนนั ทราบไดจากบนั ทกึ 2. อินเดีย ของราชทตู จนี ซึ่งเขา มายังดนิ แดนน้เี มือ่ ประมาณปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 8 ฟนู นั ได 3. อิสลาม รับวัฒนธรรมอนิ เดียทง้ั รูปแบบการปกครอง สงั คมและวฒั นธรรม มเี มอื งทาสาํ คัญ 4. กรีก-โรมัน คอื เมอื งออกแกว (Oc-EO) (อยูในเวยี ดนามปจจบุ นั ) เปน แหลง รายไดสาํ คญั วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะหลกั ฐานทพี่ บสวนใหญเปนหลกั ฐาน ฟนู นั เสื่อมอํานาจลงเมือ่ ตกอยูภายใตการปกครองของอาณาจักรเจนละ ท่ีเกย่ี วขอ งกับศาสนาที่รบั มาจากอนิ เดีย ทง้ั ศาสนาพราหมณ-ฮินดู เชน 2 พระเจา อโนรธาหรอื อนริ ทุ ธ ทรงปกครองพกุ ามในชวง พ.ศ. 1587-1620 ศวิ ลงึ ค เทวรปู พระวษิ ณุ พระนารายณ และพระพทุ ธศาสนา เชน พระพทุ ธรูป ทรงรวบรวมกลมุ คนและดนิ แดนตา งๆ ในบรเิ วณลมุ แมน าํ้ อริ วดใี หอ ยภู ายใต วัด เจดีย เทวรปู พระโพธสิ ตั วอ วโลกิเตศวร เปน ตน การปกครองของพกุ าม ดนิ แดนสําคญั ที่พระองคข ยายอํานาจไปปกครอง คอื เมอื งสะเทิมของพวกมอญ ทําใหไ ดรับอิทธิพลของพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท จากดนิ แดนมอญและรับวฒั นธรรมมอญ 136 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียท่ีมีต่ออาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ คือ แนวความคิดเรื่อง 1. ครซู กั ถามตอ โดยใหน กั เรยี นชว ยกนั ยกตวั อยา ง พระมหากษตั รยิ ท์ เี่ ปน็ เทวราช หรอื กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงทศพธิ ราชธรรม กฎหมายตามแนวพระธรรมศาสตร ์ อิทธิพลของอารยธรรมอินเดียทมี่ ีตอ อาณาจกั ร ภาษาสนั กฤตและบาล ี วรรณกรรมเรอ่ื งรามเกยี รตแิ์ ละมหาภารตะ การใชพ้ ทุ ธศกั ราชและจลุ ศกั ราช โบราณตา งๆ ในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต เแฉบียบงอใยตา่้มงีกศาลิ รปเะล ือสกถราับปอตั ายรกยรธรมรร อมยอา่ ินงเไดรกียต็ าเมพ รจาะะเไหมน็ ่ไไดด้รช้ ับดั รเจะนบวบา่ วผรคู้ รนณใะนซ1ภ่ึงมู เปภิ า็นคกเาอรเชแยีบต่งะแวยนั กอผอู้คกน- (แนวตอบ อทิ ธิพลของอารยธรรมอนิ เดยี มหี ลาย ในสงั คมทต่ี ายตวั เขา้ มา และยงั คงรกั ษาวฒั นธรรม ความเชอ่ื เรอื่ งผสี างวญิ ญาณของตนเองไวด้ ว้ ย ดา น ทง้ั ดา นการเมอื งการปกครอง เชน แนวคิด ต ้งั แตต่ อ้นิทพธุทิพธลศขตอวงรอราษรทย่ี ธ๑ร๙รม เอปิน็นเตด้นียมทาี่ม ีตเพ่ออราาะณกาาจรักทรศี่ ตา่าสงนๆา อใสิ นลเาอมเชเ2ผียยตแะผวัน่เขอ้าอมกาเทฉาียงงหใมตเู่้เกสาื่อะมขลองง เทวราชา ท่ีเชอ่ื วาพระมหากษตั ริยค ือเทพเจา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการรุกรานของพวกมองโกลท่ีปกครองจีนต่ออาณาจักรต่างๆ ท่ีรับ อวตารลงมา หรือธรรมราชา ที่พระมหากษตั ริย อารยธรรมอินเดีย รวมถึงเกาะชวา ทรงใชท ศพิธราชธรรมเปน หลักในการปกครอง ส�าหรับอาณาจักรเวียดนาม จีนปกครองเวียดนามเป็นเวลาประมาณ ๑,๐๐๐ ปี จนปลาย ดา นวรรณกรรม เชน เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ดา นภาษา พทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๖ จงึ เปน็ อสิ ระจากจนี มกี ารสู้รบกับพวกจาม จนพวกจามพา่ ยแพอ้ ยา่ งเด็ดขาด เชน ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ดา นศาสนา ใน พ.ศ. ๒๐๑๔ เชน การนบั ถอื ศาสนาพราหมณ- ฮินดู หลงั จากอาณาจกั รทร่ี บั อารยธรรมของอนิ เดยี เสอ่ื มและหมดอา� นาจไป ดนิ แดนตา่ งๆ ก็มกี าร พระพทุ ธศาสนา เปนตน ) กอ่ ตง้ั อาณาจกั รขน้ึ มาใหม ่ โดยทอี่ ารยธรรมอนิ เดยี มคี วามสา� คญั ลดลงไป เชน่ ราชวงศต์ องอูในพมา่ อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาในไทย เป็นต้น พอถึงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ภูมิภาค 2. ครูสนทนากบั นักเรยี นจนเขาใจวา นอกจาก เอเชยี ตะวันออกเฉียงใตเ้ ร่มิ มีการเปล่ียนแปลงจากการเข้ามาของชาติตะวนั ตก อารยธรรมอนิ เดียแลว ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออก- เฉยี งใตยังไดรบั อิทธิพลจากอารยธรรมจีนและ เสน เวลา อิสลาม กอ นการเขามาของชาติตะวนั ตก แสดงอทิ ธพิ ลของอารยธรรมตา งชาตติ อ ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต จากน้นั ครใู หนักเรยี นไปคน ควา อารยธรรมจีน และอสิ ลามเพมิ่ เติม แลว บอกวา อทิ ธพิ ลของ อารยธรรมจนี และอสิ ลามทม่ี ผี ลตอ อาณาจกั ร โบราณตา งๆ ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต มอี ะไรบา ง โดยยกตวั อยา งมาพอสงั เขป ราวพุทธศตวรรษที่ 7 อำรยธรรมอนิ เดยี เขำ้ มำ ราว ุพทธศตวรรษ ี่ท 21 ชำติตะวนั ตกและ ยกเว้นเวยี ดนำมท่ีได้รบั ครสิ ต์ศำสนำเข้ำมำ อำรยธรรมจำกจีน พทุ ธศตวรรษท่ี ๕ ๑๐ ๑๕ ๒๐ ๒๕ ศำสนำอิสลำมเผยแผเ่ ขำ้ มำ ราว ุพทธศตวรรษที่ 19 137 กจิ กรรมทา ทาย นักเรยี นควรรู ครใู หนกั เรียนคน ควา เพม่ิ เตมิ เกี่ยวกบั การเขามาของศาสนาอิสลามใน 1 ระบบวรรณะ วรรณะ แปลวา สีผวิ ซึง่ ชาวอารยันท่ีรกุ รานอินเดียไดนํามาใช ภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตจ ากแหลงการเรียนรตู างๆ จากน้ันให ในการแบง ชนช้นั ทางสงั คมของอนิ เดีย แตล ะวรรณะจะมีสถานะทางสังคมไม แสดงความคดิ เห็นในประเด็นคําถามทีว่ า เพราะเหตุใดศาสนาอิสลาม เทาเทยี มกัน ประกอบดว ย 4 วรรณะ ไดแ ก พราหมณ กษัตรยิ  แพศย และศูทร จงึ ประสบความสําเร็จในการเผยแผศ าสนาจนกลายเปน ศาสนาท่ปี ระชากร นอกจากนี้ยังมพี วกนอกวรรณะซ่ึงเกดิ จากการแตงงานขา มวรรณะ โดยทีห่ ญงิ มี ในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตนบั ถอื กนั มากท่ีสุด โดยเขียนคําตอบลง สถานะทางสงั คม (วรรณะ) สูงกวา ชาย คือ หญิงอยใู นวรรณะพราหมณ ชายอยูใ น สมุดจดงานสง ครูผูสอน วรรณะศทู ร บตุ รทเี่ กิดมาจะเรยี กวา จัณฑาล เปนที่รังเกียจของวรรณะอื่น 2 ศาสนาอสิ ลาม ปจ จยั ที่ทําใหศาสนาอสิ ลามเขา มาเผยแผใ นชีวติ ประจําวัน ของประชาชนในบรเิ วณหมูเกาะไดนน้ั เพราะศาสนาอสิ ลามมีหลกั การท่ีเขากนั ไดดี กับวิถชี ีวติ ของผคู น จนทาํ ใหม อี ิทธพิ ลตอ การดาํ รงชวี ิต เชน หลักของศาสนาที่วา อิสลามิกชนทุกคนเปนพน่ี องกนั ตองชว ยเหลอื เก้ือกูลกนั หรอื ในการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ผนู ําจะเปนบุคคลใดกไ็ ดท ชี่ มุ ชนน้นั ยกขึ้นมา เพราะศาสนาอิสลามไมม ีองคก รสงฆ เปนตน ทําใหศาสนาอิสลามเปนทีน่ ิยมของกษัตรยิ  ชนช้นั สงู และสามญั ชน คมู ือครู 137

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูทบทวนความรขู องนกั เรียน โดยสมุ นกั เรียน ในสมัยโบราณ หรืออาณาจกั รยุคโบราณ มพี ฒั นาการทางดา้ นตา่ งๆ ดังนี้ ใหออกมาอธบิ ายถึงพฒั นาการทางดา นตา งๆ ของภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใตสมัยโบราณ ๑) พัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครอง มีลักษณะส�าคัญ คือ มีสถาบัน ท่หี นา ชน้ั เรียน กษัตริย์เป็นแกนส�าคัญ ในพม่า ไทย และลาว มีการนบั ถอื พระพุทธศาสนา มี “พระมหากษัตริย์” ในมลายู (มาเลเซีย) 2. ครูใหน กั เรยี นทํากจิ กรรมที่ 5.1 จากแบบวดั ฯ ชวา (อินโดนีเซีย) ซ่ึงนับถือศาสนาอิสลาม มี “สุลต่าน” ประวัติศาสตร ม.1 ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝก ฯ ในเวยี ดนามซง่ึ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลอารยธรรมจนี ม ี “จกั รพรรด”ิ หรอื “หวา่ งเด”๋ สว่ นฟลิ ปิ ปนิ สย์ งั ไมไ่ ดร้ วมเปน็ ประเทศมเี พยี งหวั หนา้ ประวตั ศิ าสตร ม.1 กิจกรรมท่ี 5.1 หรอื ผนู้ า� ของแตล่ ะชนเผา่ ในชว่ งเวลานอ้ี �านาจของอาณาจักร หนว ยท่ี 5 พัฒนาการของภมู ภิ าคเอเชย� ตะวันออกเฉียงใต ต่างๆ ข้ึนอยู่กับความเข้มแข็งและความสามารถของประมุข กิจกรรมตามตัวช้วี ดั เช่น พระเจ้าบุเรงนองของพม่า พ่อขุนรามค�าแหงมหาราช คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด ของไทยสมยั สุโขทัย พระเจ้าชัยวรมนั ท่ ี ๗ ของขอมหรอื เขมร กิจกรรมที่ ๕.๑ ใหน กั เรยี นอา นขอ ความทกี่ าํ หนดให แลว ทาํ เครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ งใหส มั พนั ธก นั (สามารถตอบไดม ากกวา ๑ ประเทศ) ñõ (ส ๔.๒ ม.๑/๑) ขอความ ไทย โบราณ เป็นต้น ดังนั้น อาณาจักรสมัยนี้จึงมีการท�าสงคราม พมา ท้ังแย่งชิงอ�านาจภายใน และการสงครามระหว่างอาณาจักร ลาว ต่างๆ อยู่มาก ฝ่ายชนะก็มีการกวาดต้อนผู้คน ยึดทรัพย์สิน ักมพูชา ของมีคา่ รวมทงั้ งานศลิ ปวัตถกุ ลับไปยังบา้ นเมืองของตน เ ีวยดนาม มาเลเ ีซย ๒) พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ ลักษณะ สิงคโป ร ิอนโด ีนเซีย ฟลิป ปน ส บรูไน ิตมอ ร - เลสเต ๑. ใชส กลุ เงนิ ดอ ง ✓ พระบรมรำชำนสุ ำวรยี พ์ ระเจำ้ บเุ รงนอง 1 ๒. เมอื งหลวงชอื่ กรงุ ดลิ ี แยกตวั ออกจาก ✓ พระมหำกษตั รยิ ท์ ส่ี รำ้ งควำมเปน็ ปกึ แผน่ อนิ โดนเี ซยี ให้กับพมำ่ ✓ ๓. สงออกขาวเปน อนั ดบั ตนๆ ของโลก ✓ ✓ ✓ ✓✓ ✓ ๔. มกี ารปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย ✓ ✓ เฉฉบลับย ๕. ประชาชนสว นใหญน บั ถอื ครสิ ตศ าสนา ✓ ๖. ประเทศทม่ี จี าํ นวนหมเู กาะมากทส่ี ดุ ใน ✓ ภูมภิ าค ✓✓ ส�าคัญ คือ เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ หรือเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ๗. ทีต่ ัง้ ของสํานกั งานเลขาธิการอาเซยี น ๘. เคยเปนท่ีต้ังของอาณาจักรศรีวิชัย ✓ การเกษตรมีการทา� นาเป็นหลัก และปลกู พชื ผลอ่ืนกเ็ พอ่ื บรโิ ภคในครวั เรอื น ถา้ มเี หลอื กข็ ายหรอื และเคยเจริญรงุ เรอื งทางการคา ๙. ใชภาษาอังกฤษเปนภาษาประจําชาติ ✓✓ ✓✓ เปล่ยี นเป็นสว่ ยใหก้ ับทางราชการ มีการเลยี้ งสัตว ์ และเกบ็ หาของป่าทง้ั เพ่อื ใช้ประโยชน์และขาย หรอื ภาษาราชการ ๑๐. มศี าสนสถานสําคัญ คอื บุโรพุทโธ ✓ ๑๑. เคยถกู ฝรัง่ เศสเขา ยดึ ครอง ✓✓✓ มีแรงงานคนและสตั ว์ เชน่ โค กระบือ เปน็ แรงงานสา� คญั ในการผลิต ๑๒. พระราชวงั โบราณเมืองเว ✓ เมืองโบราณฮอยอัน การคา้ ในแบบเกา่ มที ง้ั การคา้ ภายในและการคา้ ภายนอก ทส่ี า� คญั คอื การคา้ ทางทะเล ๑๓. ตาํ แหนง ประมขุ สูงสดุ ของประเทศ ✓ ✓✓ ✓ คือ พระมหากษัตริย โดยอาศัยลมมรสุมในการเดินเรือ ตลาดส�าคัญ คือ จีน ญี่ปุ่น ทางด้านตะวันออก และอินเดีย ๑๔. ประเทศผูกอตัง้ อาเซยี น ✓ ✓✓✓✓ ✓ ๑๕. ประเทศในภมู ภิ าคทไี่ มม ที างออกสทู ะเล มเปะอลระ์เกซาีย 2 พทราะนงดค้ารนศตรีอะวยันธุ ยตาก เโปด็นยตเม้นือ สงทิน่าคสา้ �าสค�าัญคญั ใน รเชะยน่ ะ แขรอกงอปย่าู่ท ี่เหกนาังะสสุัตมวา์ ตเรคาร ่ือตง่อเทมศา คพือร กิเมไทือยง ๔๘ ก�ายาน เปน็ ต้น ๓) พฒั นาการดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ลกั ษณะสา� คญั เปน็ สงั คมชนชน้ั คอื ชนชนั้ ปกครองหรอื มลู นาย กบั ผถู้ กู ปกครอง หรอื ราษฎรสามญั ทาส สว่ นพระสงฆ์ไดร้ บั การเคารพยกยอ่ ง จากสงั คม และผเู้ คยบวชเรยี นมโี อกาสดีในการเลอ่ื นฐานะทางสงั คม ทา� นองเดยี วกนั ในสงั คมมสุ ลมิ ผเู้ คยไปแสวงบญุ ท่นี ครเมกกะ ก็ได้รบั การยกย่องเช่นเดียวกนั 138 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ลกั ษณะทางเศรษฐกจิ ของภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตใ นขอ ใดทีค่ งอยู 1 พระเจาบุเรงนอง เปนกษตั ริยพ มา พระองคท่ี 3 ในราชวงศต องอู ทรงมี ตง้ั แตส มัยโบราณจนถึงปจ จบุ ัน เกียรตปิ ระวตั ิทางการรบอนั เล่อื งลอื จนไดรับฉายาวา “ผชู นะสบิ ทิศ” กอ นทพ่ี ระองค 1. การแบง ชนช้ันทางสังคมระหวา งเจา นายกับทาส จะเสดจ็ ขึน้ ครองราชย ทรงมีฐานะเปนแมทพั คนสําคญั ของพระเจา ตะเบ็งชะเวต้ี 2. การทาํ สงครามเพ่ือกวาดตอ นผคู นและทรพั ยส ินมีคา สาํ หรบั พระนามของพระเจาบเุ รงนอง ในสาํ เนียงพมาจะออกเสยี งวา บาเยนอง 3. การประกอบอาชีพทางการเกษตรและคา ขายกบั ภายนอก มีความหมายวา พระเชษฐาธิราช และมีพระนามเตม็ วา บาเยนองจอเดงนรธา 4. การปกครองท่ยี ึดพระปรชี าสามารถของกษตั ริยผ เู ปน ประมขุ (ซ่ึงไทยเรยี กเพ้ยี นเปนบุเรงนองกะยอดินนรธา) วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การประกอบอาชพี ทางการเกษตรและคาขาย 2 มะละกา ตั้งอยทู างใตข องคาบสมทุ รมลายบู ริเวณชองแคบมะละกา ตรงขา ม กบั ภายนอกยงั คงเปนกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ที่สาํ คัญของภมู ิภาคนใ้ี นปจ จุบนั กับเกาะสุมาตรา มะละกาตงั้ ข้ึนเมื่อประมาณ พ.ศ. 1945 โดยผูคนทีอ่ พยพล้ีภัยมา เม่อื พิจารณาจากสินคาสงออกสําคัญของหลายประเทศ เชน ไทย เวียดนาม จากเกาะสมุ าตรา และไดพัฒนาจนเจริญรุงเรอื งเปน เมืองทา ทดี่ ึงดูดเรือและพอ คา เปน ผูสงออกขา วรายใหญของโลก เปน ตน จํานวนมากจากดินแดนตา งๆ เชน จีน อินเดีย อาหรบั และยุโรป รัฐมะละกาเคย ตกอยูภายใตการปกครองของประเทศตา งๆ ไดแก โปรตเุ กส ฮอลนั ดา และองั กฤษ แตภายหลังสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 มะละกาเขา รวมอยใู นสหพันธรฐั มลายาและกลาย เปนสว นหนึ่งของมาเลเซียเมอ่ื มาเลเซยี ไดร ับเอกราชจากอังกฤษ 138 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 2.2 พฒั นาการในสมยั ใหม่ 1. ครูใหน ักเรยี นกลมุ ท่ี 2 สง ตวั แทนออกมา นําเสนอรายงานหนา ชน้ั เรยี น จากน้ันเปด โดยทวั่ ไปถอื วา่ ประวตั ศิ าสตรภ์ มู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตส้ มยั ใหมเ่ รม่ิ ในกลางพทุ ธศตวรรษ โอกาสใหเพ่ือนๆ กลุมอื่นทีส่ งสัยซกั ถาม ท ่ี ๒๑ เมอื่ โปรตเุ กสเขา้ มายดึ ครองมะละกาในมลายหู รอื มาเลเซยี ซงึ่ เปน็ เมอื งทา่ สา� คญั ของภมู ภิ าค จนทกุ คนเกดิ ความเขา ใจ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๔ และในปีเดียวกันนั้นโปรตุเกสก็เดินทางถึงหมู่เกาะเคร่ืองเทศและเป็นผู้ผูกขาด การคา้ เครอ่ื งเทศเปน็ เวลานาน โดยมสี เปน องั กฤษ ฮอลนั ดา (เนเธอรแ์ ลนด)์ พยายามเขา้ มาแขง่ ขนั 2. ครเู กรนิ่ นาํ เก่ยี วกบั พฒั นาการในสมยั ใหมใ น ระยะแรกของการแขง่ ขนั ของชาตติ ะวนั ตกในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ มจี ดุ มงุ่ หมายทส่ี า� คญั ชว งท่ีชาติตะวนั ตกเขา มา จากนัน้ ต้งั คําถาม คือ เข้าควบคุมเมืองท่าส�าคัญและแหล่งผลิตเครื่องเทศ ในบริเวณหมู่เกาะของเอเชียตะวันออก- และใหนักเรยี นชว ยกนั ตอบ เชน เฉยี งใต ้ ยกเวน้ ฟิลิปปินสซ์ ่งึ สเปนเขา้ ยึดครองต้งั แตแ่ รกในปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ • ชาตติ ะวนั ตกใดบางท่ีเขา มาขยายอิทธิพลใน พฒั นาการทางประวัติศาสตร์ของหลายประเทศ เช่น พมา่ ไทย กัมพูชา พระมหากษตั รยิ ์ ภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ทรงลดความเป็นเทพเจ้าลง และเป็นธรรมราชามากขึ้น พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็น (แนวตอบ โปรตุเกส สเปน ฮอลนั ดา องั กฤษ ศาสนาท่ีมีความส�าคัญ ยกเว้นในมลายู (มาเลเซีย) อินโดนีเซียท่ีเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ฝร่ังเศส และสหรฐั อเมริกา) ในฟิลิปปินส์ที่นับถือคริสต์ศาสนา และในเวียดนามท่ีนับถือลัทธิขงจ๊ือและพระพุทธศาสนานิกาย • ในชว งแรกทช่ี าติตะวันตกเขามามจี ุดประสงค มหายาน อะไร และแตกตา งจากชว งหลังอยา งไร ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ชาตติ ะวนั ตกทเี่ ขา้ มายดึ ครองประเทศตา่ งๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (แนวตอบ ในชว งแรกมจี ดุ ประสงคเ พือ่ การคา เร่ิมจากการยึดครองเมืองท่าและแหล่งผลิตเคร่ืองเทศก่อน ดังน้ัน จึงท�าให้บริเวณที่เป็นหมู่เกาะ เครือ่ งเทศและการเผยแผคริสตศาสนา แต ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของชาติตะวันตก โดยฮอลันดาค่อยๆ ขยายอิทธิพลเข้าครอบครอง ในชว งหลงั เพ่อื เขา ยดึ ครองดนิ แดนตา งๆ อินโดนีเซียแทนโปรตุเกส อังกฤษขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากสุลต่านแห่งยะโฮร์ และเม่ือ พ.ศ. เปนอาณานิคม เพราะตองการไดทรพั ยากร ๒๓๖๗ ได้ทา� สนธสิ ญั ญากบั ฮอลนั ดาแบง่ เขตอิทธิพลกันในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยฮอลนั ดา และกาํ ลงั คนไปใช เนือ่ งจากการปฏิวัติ จะมอี ทิ ธพิ ลตง้ั แต่ใตเ้ กาะสงิ คโปรล์ งไป สว่ นองั กฤษมอี ทิ ธพิ ลเหนอื เกาะสงิ คโปรข์ น้ึ มา หลงั จากนนั้ อตุ สาหกรรมและการเกดิ ระบบทนุ นยิ มใน องั กฤษไดข้ ยายอทิ ธพิ ลเขา้ สูม่ ลาย ู จนมีอา� นาจการปกครองเหนอื มลายูทัง้ หมด ยุโรป) ในปีเดียวกันกับท่ีอังกฤษท�าสนธิสัญญากับฮอลันดา อังกฤษเร่ิมท�าสงครามคร้ังแรกกับ พม่า ซึ่งท�าให้พม่าเริ่มเสียดินแดนบางส่วนให้อังกฤษ และในครั้งท่ี ๓ พม่าต้องสูญเสียเอกราช ใหแ้ กอ่ ังกฤษใน พ.ศ. ๒๔๒๘ และถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนงึ่ ของจักรวรรดิอินเดียของอังกฤษ สว่ นฝรง่ั เศสไดท้ า� สงครามกบั เวยี ดนาม เมอื่ พ.ศ. ๒๔๐๑ เวยี ดนามแพต้ อ้ งทา� สนธสิ ญั ญาใน พ.ศ. ๒๔๐๕ ยกดินแดนเวียดนามตอนล่างที่เรียกว่า “โคชินไชน่า” (Cochin-China) ให้ฝร่ังเศส พร้อมกับเปิดเมืองท่าและต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม และให้ฝร่ังเศสมสี ทิ ธเิ ดนิ เรอื ในแมน่ �้าโขง จากนนั้ ฝรงั่ เศสไดข้ ยายอา� นาจตอ่ ไป จนไดเ้ วยี ดนามทงั้ หมดใน พ.ศ. ๒๔๒๘ นอกจากน ี้ ฝรง่ั เศสยงั ขยายอา� นาจเขา้ ไปในกมั พชู าและลาว ซงึ่ เปน็ ประเทศราชของไทย โดย ใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ได้เขมรด้านตะวันออก พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้ดนิ แดนลาวส่วนใหญ่ และตอ่ มาไดก้ ัมพชู า และลาวสว่ นท่ีเหลือจากไทย 139 ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู สาเหตุทช่ี าตติ ะวันตกตอ งการไดด นิ แดนมะละกาในมลายเู ปน อาณานคิ ม ครูอธิบายใหนักเรยี นเขาใจเพมิ่ เตมิ วา ชาติตะวันตกท่เี ขา มายึดครองดนิ แดน คืออะไร ตางๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตเปนอาณานิคมน้นั มวี ธิ กี ารปกครอง 2 รูปแบบ คอื การปกครองทางตรง โดยประเทศแมจะสง ผสู ําเรจ็ ราชการมาปกครองโดยตรง กบั 1. มีแหลงน้ํามนั ท่มี ีปริมาณมาก การปกครองทางออ ม ท่ปี ระเทศแมยอมใหเจาเมอื งปกครองตนเองได แตยงั ตอ งมี 2. เหมาะในการใชเปนฐานทัพเรือ ท่ีปรึกษา ซึ่งเปนผูส าํ เรจ็ ราชการท่ีประเทศแมสงมา จากการปกครองทงั้ 2 รปู แบบ 3. เปนศูนยก ลางทางการคาและขนสง ประเทศแมจ ะบงั คบั ใหชาวอาณานคิ มปฏิบตั ติ นอยูภายใตกฎหมายและการปกครอง 4. เปน จุดยุทธศาสตรข องการผูกขาดการคา เดียวกัน และในบางเขตกจ็ ะถกู รวมเปน เขตเดียวกนั เพอื่ ความสะดวกในการปกครอง เชน ฝรง่ั เศสไดร วมเขตอาณานคิ มของตน ไดแก เวยี ดนาม ลาว และกมั พชู า วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เมืองมะละกาเปนศูนยกลางทางการคา และ เขาดว ยกนั รวมเรียกวา อนิ โดจีน หรืออังกฤษปกครองพมา โดยรวมใหเปน สวนหน่ึง ของอินเดยี โดยอยภู ายใตการปกครองของผูสาํ เร็จราชการของอินเดีย เปนตน ขนสง ทส่ี าํ คัญในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต เนื่องจากต้งั อยใู นชอ งแคบ มะละกาที่เปน เสน ทางเดนิ เรือคาขายเชอื่ มระหวา งโลกตะวนั ออกกบั ตะวนั ตก อกี ทั้งยังเปน แหลงผลติ สนิ คา สําคัญ เชน เครือ่ งเทศตางๆ จงึ เปนทีต่ องการ ครอบครองของชาตติ ะวนั ตก คูมอื ครู 139

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หน กั เรยี นดตู ารางแสดงการยึดครอง ตารางแสดงการยึดครองดนิ แดนในเอเชียตะวนั ออกเฉย� งใตข้ องชาติตะวนั ตก ดนิ แดนในภูมิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ของชาติตะวันตกจากหนงั สือเรียน หนา 140 ชาตติ ะวนั ตก ดินแดน ไดเ้ อกราช แลวซักถามวา ทเ่ี ขา้ ยดึ ครอง ท่ถี ูกยดึ ครอง • ประเทศในภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตตก เปนอาณานิคมของชาตติ ะวนั ตกใดบา ง อังกฤษ พมา่ พ.ศ. ๒๔๙๑ (แนวตอบ พมา มลายู (มาเลเซีย) สิงคโปร พ.ศ. ๒๕๐๐, พ.ศ. ๒๕๐๖ ก่อตัง้ มาเลเซีย (รวมมลายู บรูไนตกเปน ของอังกฤษ เวยี ดนาม กัมพูชา มลาย ู(มา1เลเซยี ) สิงคโปร ์ ซาบาห ์ (บอร์เนย� วเหนอ� ) และซาราวัก) ลาวตกเปนของฝรง่ั เศส อินโดนเี ซยี ตกเปนของ พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้สทิ ธิปกครองตนเอง ฮอลันดา ฟลปิ ปน สต กเปน ของสหรัฐอเมรกิ า สิงคโปร์ พ.ศ. ๒๕๐๘ สิงคโปร์แยกจากมาเลเซยี เป็นประเทศเอกราช และติมอรตะวันออกตกเปน ของโปรตุเกส) บรูไน พ.ศ. ๒๕๒๗ • ประเทศใดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต ท่ไี มตกเปน อาณานคิ ม ฝรง�ั เศส เวียดนาม พ.ศ. ๒๔๙๗ (แนวตอบ ประเทศไทย) กัมพชู า พ.ศ. ๒๔๙๖ ลาว พ.ศ. ๒๔๙๗ 2. ครูใหนักเรยี นทํากิจกรรมท่ี 5.2 จากแบบวดั ฯ ประวัตศิ าสตร ม.1 ฮอลันดา อนิ โดนเ� ซีย พ.ศ. ๒๔๙๒ สหรฐั อเมรกิ า ฟลิ ปิ ปนิ ส์ พ.ศ. ๒๔๘๙ โปรตเุ กส ติมอรต์ ะวนั ออก พ.ศ. ๒๕๑๙ อนิ โดน�เซียรวมตมิ อรต์ ะวนั ออก พ.ศ. ๒๕๔๕ ติมอรต์ ะวนั ออกเปน็ เอกราช ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ และเปล่ียนชื่อเปน็ ติมอร์ - เลสเต แบบฝก ฯ เสน เวลา ประวัติศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 5.2 การไดร บั เอกราชของดนิ แดนในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตจ ากชาตติ ะวนั ตก หนว ยที่ 5 พฒั นาการของภมู ภิ าคเอเชย� ตะวนั ออกเฉยี งใต พ.ศ. 25๐๐ พ.ศ. 25๐2 กิจกรรมที่ ๕.๒ ใหน กั เรยี นดภู าพธงชาตติ ะวนั ตกตอ ไปนี้ แลว เขยี นชอื่ ประเทศ คะแนนเตม็ คะแนนทไ่ี ด มลายู (มาเลเซยี ) ไดร้ ับเอกรำชจำกอังกฤษ สงิ คโปร ไดส้ ิทธปิ กครองตนเองจำกอังกฤษ ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตท ต่ี กเปน อาณานคิ มลงใน õ พ.ศ. 2491 พ.ศ. 2519 พมา่ ได้รบั เอกรำชจำกอังกฤษ อินโดนเี ซีย รวมติมอรต์ ะวนั ออก ชอ งวางใหถกู ตอ ง (ส ๔.๒ ม.๑/๑) เขา ยึดครอง ....พ....ม....า.....ม....ล....า...ย...ู...(..ม....า..เ..ล....เ..ซ...ยี....).....ส....งิ...ค....โ...ป....ร......บ....ร....ไู ..น........ องั กฤษ พ.ศ. 2489 พ.ศ. 2527 ฝรง่ั เศส ฟลปิ ปน ส์ ได้รับเอกรำชจำกสหรฐั อเมริกำ บรไู น ไดร้ บั เอกรำชจำกอังกฤษ สหรฐั อเมริกา เนเธอรแลนด เขายึดครอง พ.ศ. โปรตุเกส .........................เ..ว..ยี....ด....น....า...ม......ก....ัม....พ....ูช...า......ล....า..ว........................... ๒๔๕๐ ๒๕๐๐ ๒๕๕๐ เขายึดครอง เฉฉบลบั ย พ.ศ. 2492 พ.ศ. 25๐8 พ.ศ. 2545 ฟล ิปปนส........................................................................................................ อินโดนเี ซีย ไดร้ บั เอกรำชจำกฮอลนั ดำ สิงคโปร์ แยกจำกมำเลเซีย ตมิ อร์ พ.ศ. 2496 เปน็ ประเทศเอกรำช ตะวันออก กมั พูชา ได้รบั เอกรำชจำกฝรง่ั เศส ได้รบั เอกรำช เขายึดครอง จำกอินโดนีเซยี อินโดนเี ซีย........................................................................................................ และเปลี่ยนชอื่ 2 เขา ยึดครอง พ.ศ. 2497 พ.ศ. 25๐6 เป็นติมอร์-เลสเต เวียดนามและลาว ไดร้ บั เอกรำชจำกฝร่งั เศส มลายู (มาเลเซยี ) กอ่ ตงั้ มำเลเซีย 14๐ (รวมมลำย ู สงิ คโปร ์ ซำบำห์ (บอร์เนียวเหนอื ) และซำรำวัก) .................................ต...ิม....อ...ร....ต ....ะ..ว...นั.....อ...อ....ก.................................... ๔๙ นักเรยี นควรรู กจิ กรรมทา ทาย 1 สิงคโปร กอนทจี่ ะอยูใตอทิ ธิพลขององั กฤษ เคยตกเปนอาณานิคมของโปรตเุ กส ครใู หนักเรียนศกึ ษาคน ควา เพิ่มเตมิ เก่ียวกบั ประเทศในภูมภิ าคเอเชยี และฮอลันดามากอน ภายหลังอังกฤษขอเชา เกาะสงิ คโปรจ ากสุลตานยะโฮร ตะวันออกเฉียงใตในยคุ จกั รวรรดินิยมมาคนละ 1 ประเทศ โดยกาํ หนดให และตอมาไดป กครองภายใตร ะบบสเตรทส เซทเทิลเมนส (Straits Settlements) มขี อมูลของการตกเปน อาณานคิ มของประเทศน้นั สถานการณข องประเทศ ซงึ่ ใหบ ริษทั อนิ เดียตะวนั ออกของอังกฤษเขาควบคมุ ดแู ลสิงคโปร รวมทงั้ ปนงั และ ขณะเปนอาณานคิ ม และการไดร ับเอกราช แลว จดั ทาํ เปน บันทกึ การศกึ ษา มะละกา ตอมารัฐบาลอังกฤษจงึ ไดเขา มาดแู ลระบบนีเ้ องใน พ.ศ. 2410 สงิ คโปร คนควา สง ครผู ูส อน จึงกลายเปนอาณานคิ มของอังกฤษ 2 ติมอร- เลสเต เดิมคือ ตมิ อรตะวันออก ซง่ึ เคยเปน อาณานิคมของโปรตุเกส ตง้ั แต พ.ศ. 2063 ภายหลงั โปรตุเกสถอนตวั ออกไป อินโดนเี ซยี จงึ ไดสง ทหารเขา ยึดครองตมิ อรต ะวันออก โดยผนวกเขาเปนจังหวดั ท่ี 27 เม่อื พ.ศ. 2518 และ ใน พ.ศ. 2542 ติมอรตะวันออกไดแ ยกตัวเปน อสิ ระและไดร ับเอกราชเมอื่ วันท่ี 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 มีชื่อเรยี กประเทศอยางเปน ทางการ คอื ติมอร-เลสเต (Timor-Leste) ซ่งึ เปน ช่ือในภาษาโปรตุเกส 140 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การที่ชาติตะวันตกเขามายึดครองประเทศตางๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต มีทั้งผลดีและ ครูใหนักเรยี นอภปิ รายรวมกนั ถงึ ผลดีและ ผลเสีย ดงั น้ี ผลเสยี ของการที่ชาตติ ะวนั ตกเขา มายึดครอง ประเทศตา งๆ ในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต ๑) ผลดี ๑. ทาํ ใหค วามขดั แยง และการสงครามระหวา งอาณาจกั รตา งๆ ทมี่ มี านานสนิ้ สดุ ลง (แนวตอบ ผลดี เชน อาจไดรับการสนับสนนุ ๒. คนพ้ืนเมืองสวนหนึ่งมีโอกาสไดรับการศึกษาตามแบบชาติตะวันตก โดยเฉพาะใน ชวยเหลือดา นการเงนิ การทหาร การศึกษา การเกษตร รวมถงึ ไดร บั การถายทอดวทิ ยาการ มลายูและพมา ที่ถูกอังกฤษยดึ ครอง ตางๆ จากประเทศแม ๓. มีการพัฒนาพ้ืนที่ใหเปนแหลงเพาะปลูกขนาดใหญ เพื่อสงเปนสินคาออก เชน ผลเสยี เชน ขาดอิสรภาพ ถกู กดข่ี สญู เสีย การขยายพื้นที่นาเพื่อปลูกขาวในพมา การปลูกยางพาราในมลายูและเวียดนาม การปลูกกาแฟ วัฒนธรรมบางอยา งของชาติ เชน ภาษา ประเพณี ในอนิ โดนีเซีย เปนตน ตา งๆ เปนตน โบราณวัตถมุ คี า ซง่ึ เปนมรดกของ ชาติและทรัพยากรธรรมชาตอิ าจถกู นาํ ออกนอก ๔. กอใหเกิดสํานึกในความเปนชาติหรือชาตินิยมรวมกัน เพื่อเรียกรองหรือตอสูเพื่อ ประเทศ รวมถึงอาจตองสูญเสยี เลอื ดเนื้อจากการ เอกราชของตน ตอสูเพื่อปลดแอกจากประเทศแม เปน ตน ) ๒) ผลเสีย ๑. หลายชาตถิ กู ชาตทิ ปี่ กครองแยง ผลประโยชนเ พอื่ นาํ ไปเลย้ี ง ไปบาํ รงุ บา นเมอื งของ ตนเอง โดยใหความสนใจตอชาวพ้ืนเมืองนอย หรือไมใหความสนใจในการปรับปรุงชีวิตความ เปน อยขู องชาวพ้นื เมอื งใหด ขี ึ้นเทา ทค่ี วร เชน กรณขี องเวยี ดนาม อินโดนเี ซยี เปนตน ๒. หลายชาติไดเอกราชจากการตอสูอยางรุนแรง เชน เวียดนาม อินโดนีเซีย ทําให สูญเสยี ชีวติ ผูค นเปน จาํ นวนมาก สําหรบั เวียดนามแมจะไดรบั เอกราช แตป ระเทศตอ งถกู แบงแยก เปน ๒ สว น คอื เวยี ดนามเหนอื กบั เวยี ดนามใต ตองตอสูเ พอ่ื รวมประเทศอีกหลายป จนกระทัง่ พ.ศ. ๒๕๑๘ จงึ รวมประเทศไดส าํ เรจ็ แตค วามเสยี หายจากสงครามยงั สง ผลตอ เนอ่ื งอกี เปน เวลานาน ของญกี่ปาุนรรไะดหร วบั าเงอสกงรคาชราขมอโงลบกาคงรช้ังาทตี่ิใน๒เอหเชรยีือตสะงวคนั รอาอมกมเหฉายี เงอใเตช ียสบว นูรพหานงึ่ 1(เพกดิ.ศข.นึ้ ๒จ๔า๘กก๔าร-สน๒บั ๔ส๘น๘นุ ) ซึ่งญ่ีปุนมีการเผยแพรอุดมการณ “ทวีปเอเชียสําหรับชาวเอเชีย” เมื่อญี่ปุนเขายึดครองภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใตก ็ไดใชพลังชาตินิยมนส้ี นับสนนุ ญปี่ นุ โฮจมิ นิ ห ผนู าํ คนสาํ คญั ในการทาํ สงครามรวมชาตเิ วยี ดนาม ไดสาํ เรจ็ ใน พ.ศ. ๒๕๑๙ ๑๔๑ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู ญีป่ นุ ใชวธิ กี ารใดในการหาแนวรว มในดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ครูอาจนาํ วดี ิทัศนส ารคดเี กีย่ วกับชวี ประวตั ขิ องโฮจมิ นิ ห (Ho Chi Minh) มาให เพ่ือรวมรบในสงครามโลกครั้งท่ี 2 นักเรียนดู เพ่ือจะไดร ูแ ละเขาใจเก่ยี วกับนักปฏิวัติชาวเวยี ดนาม ผนู าํ คนสาํ คัญใน แนวตอบ ญปี่ นุ ใชการเผยแพรอ ุดมการณ “ทวปี เอเชยี สําหรับชาวเอเชยี ” การปลดแอกจากการยดึ ครองของฝรงั่ เศสและสามารถรวมชาติเวยี ดนามไดเ ปน ซึ่งขณะนนั้ ประเทศสว นใหญใ นภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใตเปนอาณานคิ ม ผลสาํ เรจ็ โฮจมิ นิ หถ อื เปนรฐั บรุ ุษทช่ี าวเวยี ดนามใหการเคารพอยา งมาก ของชาติตะวันตก ญี่ปนุ จึงใชพลงั ชาตินิยมเพอ่ื ปลกุ กระแสใหช าวเอเชียรวมกนั ตอ สเู พ่อื ปลดแอกจากตา งชาตทิ เ่ี ขา มายดึ ครองดนิ แดน นกั เรยี นควรรู 1 สงครามมหาเอเชียบูรพา เปน สวนหนง่ึ ของสงครามโลกครง้ั ที่ 2 โดยเปน สงครามทีเ่ กิดขึ้นในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกและเอเชยี แปซฟิ ก ในระหวาง สงครามโลกครงั้ ที่ 2 ญ่ปี ุนไดใชนโยบาย “วงไพบลู ยร ว มกันแหง มหาเอเชียบูรพา” ตอชาติเอเชียตางๆ เพอ่ื ใหห ลุดพน จากอทิ ธพิ ลของชาติตะวนั ตก โดยแบง เปน วงไพบลู ยดา นใน ไดแก ญป่ี ุน จนี แมนจูกัว และ วงไพบลู ยด า นนอก คือ ดินแดน ในแถบเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตและหมูเกาะในมหาสมุทรแปซฟิ ก คมู อื ครู 141


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook