Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.1

คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.1

Published by pop.pek, 2021-10-07 07:49:16

Description: คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.1

Search

Read the Text Version

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู (๔) ชุมชนยุคสําริด พบรองรอยชุมชนกสิกรรมท่ีมีพัฒนาการตอเนื่องมาต้ังแต 1. ครซู ักถามนกั เรียนวา เพราะเหตุใดพฒั นาการ ยคุ หนิ ใหมมาถึงยคุ สํารดิ ในเขตจังหวดั แมฮอ งสอน เชียงใหม เชยี งราย นา น อุตรดติ ถ ตาก ลําพูน ของชุมชนโบราณในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื โดยพบวามีการใชทั้งเคร่ืองมือสําริดและหินขัด เครื่องมือเครื่องใชหลายชนิดของชุมชนในภาคน้ี จงึ นา จะมีความเกา แกกวาชุมชนโบราณใน แสดงใหเหน็ วามีการผสมผสานแลกเปล่ียนทางวฒั นธรรมระหวา งชมุ ชนตางๆ ดวย ภาคอนื่ ๆ ของประเทศไทย (แนวตอบ เพราะบริเวณนม้ี สี ภาพภมู ิศาสตรท่ี กาํ ไลสาํ รดิ ขดุ พบทแ่ี หลง โบราณคดบี า นยางทองใต 1 เหมาะแกการต้ังถน่ิ ฐานของมนษุ ยม ากกวา อาํ เภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชยี งใหม แหลง อ่นื กลาวคือ มสี ภาพภูมศิ าสตรเปน กลองมโหระทึกสําริด พบท่ีอําเภอเมือง จังหวัด ทุง หญา ปา โปรง มีแมน ํ้าลาํ คลอง ทําใหม นุษย อุตรดติ ถ สามารถตง้ั หลักแหลงและดํารงชพี อยูไ ด จงึ มี การพฒั นาจากชุมชน หมบู าน ไปสูเมืองซึง่ อยู (๕) ชมุ ชนยคุ เหลก็ ไดพ บแหลง ชมุ ชนโบราณที่ใชเ ครอื่ งมอื ทาํ จากเหลก็ กระจาย ตดิ ท่ี ไมไ ดเ รร อน ดังพบรอ งรอยการอยูอาศยั อยูตามลุม แมน ํ้าสายตา งๆ ในเขตจงั หวดั แมฮ องสอน เชียงใหม เชียงราย นา น อุตรดติ ถ ลําพูน ของมนุษยม าอยา งตอ เนอ่ื ง) หลักฐานทางโบราณคดีตางๆ แสดงใหเห็นวาชุมชนในบริเวณภาคเหนือมี 2. จากนน้ั ครูใหน กั เรยี นชวยกันยกตัวอยาง พัฒนาการชากวาภูมิภาคอื่น แตถึงกระน้ันในภาคเหนือก็มีการตั้งหลักแหลงอยูอาศัยกันอยาง ชุมชนโบราณสมยั กอ นประวตั ิศาสตรใ นภาค ตอ เนือ่ ง และสามารถพัฒนาจากชุมชนเปนบานเมือง เปน แควน และเปน อาณาจักรเชน เดยี วกัน ตะวนั ออกเฉียงเหนือมาพอสังเขป (แนวตอบ เชน ชุมชนโบราณที่บานเชียง จังหวัด ๓) พัฒนาการของชุมชนโบราณบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นท่ี อุดรธานี ชุมชนทีบ่ านนาดี บานโนนนกทา จังหวัดขอนแกน เนนิ อุโลก จงั หวดั นครราชสีมา สวนใหญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปนท่ีราบสูงท่ียกตัวสูงทางตะวันตกและลาดเอียงไปทาง เปนตน) ตะวันออกลงสูแมน้ําโขง ตอนกลางของภาคมีลักษณะเปนแองคลายกนกระทะ มีแมนํ้าชีและ แมน ํ้ามูลไหลผา น มแี นวทวิ เขากนั้ เปนขอบของภาคทางดา นตะวันตกและดา นใต บรเิ วณภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของไทยเปน แหลง ทม่ี มี นษุ ยอ าศยั อยตู ง้ั แตส มยั กอ นประวัตศิ าสตร โดยพบหลักฐานหลายแหง เชน (๑) ชมุ ชนยคุ หนิ เกา ทอ่ี าํ เภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย และอาํ เภอดอนตาล จงั หวดั มุกดาหาร พบเครื่องมอื หนิ กะเทาะท่เี ปนเครอื่ งมอื ขุด สบั และตดั (๒) ชุมชนยคุ หนิ กลาง ทอ่ี าํ เภอเชียงคาน จงั หวัดเลย อําเภอดอนตาล จงั หวัด มกุ ดาหาร พบหลักฐานเครอื่ งมอื ขุดและเคร่ืองมอื สบั ตัด ซ่งึ ตอเน่ืองมาจากยุคหินเกา (๓) ชมุ ชนยคุ หนิ ใหม ทบี่ า นโนนนกทา อาํ เภอภเู วยี ง จงั หวดั ขอนแกน พบภาชนะ ดินเผา ลูกปด ทาํ จากเปลอื กหอย ขวานหินขดั หนิ สบั ๕๓ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู การหลอโลหะมีความสาํ คัญตอ ชมุ ชนโบราณสมัยกอนประวตั ิศาสตร 1 กลองมโหระทึกสาํ รดิ กลองมโหระทึกน้นั จะมลี วดลายท่คี อนขา งหลากหลาย อยา งไร ซึ่งลวดลายแตละลายจะมีความหมายทสี่ าํ คัญตอวถิ ชี ีวิตของมนษุ ยใ นสมัยกอน แนวตอบ การหลอโลหะแสดงใหเห็นถึงการพัฒนาทางดานเทคโนโลยี ประวตั ศิ าสตร เชน กบ ปลา เปนสัญลักษณท ่ีเกยี่ วขอ งกับนา้ํ ความอดุ มสมบรู ณ การผลิตเคร่อื งมือเครื่องใชที่มปี ระสิทธิภาพดีกวาเครื่องมือหนิ นอกจากชว ย หรอื พิธกี รรมขอฝน สว นนกยงู อาจเกี่ยวกับความรงุ เรอื งและการคมุ ครอง เปน ตน เพ่ิมผลผลิตแลว ยังทาํ เปนอาวธุ ทีแ่ ขง็ แกรง ซงึ่ มีสวนในการพฒั นาทางสังคม จากชมุ ชนไปสูบ า นเมืองและแควน ในเวลาตอมา มุม IT ศึกษาคนควา ขอมลู เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกับแหลง โบราณคดบี า นโนนนกทา ไดที่ http:// cd.mculture.go.th/vdn/index.php?c=showitem&item=97 เวบ็ ไซตศนู ยขอ มลู กลางทางวฒั นธรรมจงั หวัดขอนแกน คมู อื ครู 53

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหนกั เรยี นดภู าพเคร่อื งปน ดินเผาเขียนสีแดง (๔) ชุมชนยคุ สาํ รดิ ที่บ้านเชียง อา� เภอหนองหาน ซงึ่ พบที่บา นเชียง จากหนงั สือเรยี น หนา 54 จงั หวดั อดุ รธาน ี ซง่ึ ไดร้ บั การประกาศใหเ้ ปน็ มรดกโลก เปน็ แหลง่ แลวใหแสดงความคิดเหน็ วา เคร่ืองปน ดนิ เผา ชมุ ชนสา� รดิ ทเ่ี กา่ แกแ่ ละสา� คญั ทสี่ ดุ ในประเทศไทย สง่ิ ของทพี่ บ มีความสําคัญตอ พฒั นาการของชมุ ชนสมยั กอน คอื ภาชนะดนิ เผาลายเขยี นสแี ดงบนพน้ื สนี วล มที ง้ั ลายเชอื กทาบ ประวตั ิศาสตรใ นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื อยางไร ลายขดู ขดี บนผวิ ขดั มนั โครงกระดกู มนษุ ย ์ โครงกระดกู สตั ว ์ เครอ่ื ง (แนวตอบ มคี วามสําคญั ในฐานะที่เปนหลกั ฐาน ประดบั ทา� จากลกู ปดั สง่ิ ของเครอื่ งใชท้ า� จากหนิ และโลหะ ทางประวตั ศิ าสตรป ระเภทหนึ่ง ท่แี สดงใหเห็นถึง เครอื่ งปนั ดนิ เผาเขยี นสแี ดง พบทบ่ี า้ นเชยี ง จงั หวดั ภาชนะและเคร่ืองมือเครื่องใช้ที่ท�าจากส�าริด แม่พิมพ์ การตง้ั ถิน่ ฐานของชมุ ชนโบราณในสมัยกอน อุดรธานี แสดงพัฒนาการของชุมชนในสมัยก่อน หินทรายท่ีใช้หล่อส�ารดิ ประวตั ศิ าสตร ซึ่งมพี ฒั นาการในดานเทคโนโลยี ประวตั ศิ าสตร์ ในการประดิษฐ์เครือ่ งมอื เคร่ืองใช้ การผลติ เครอ่ื งมือเครือ่ งใช อีกทงั้ เปนภาชนะท่ี เเพชื่อ่นก ารภดาา� รพงชเขีวิตียนสีที่ผาแต้ม 1ผาหมอนน้อย นอกจากน้ียังพบภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ผลติ ขน้ึ เพ่ือประโยชนใชสอยในชวี ติ ประจําวนั อ�าเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ภาพเขียนสีท่ี และมีการตกแตง ลวดลายใหมคี วามสวยงาม) เขาจนั ทนง์ าม อา� เภอสีควิ้ จงั หวดั นครราชสีมา เปน็ ต้น (๕) ชมุ ชนยคุ เหลก็ ชุมชนโบราณที่บ้านเชียง จงั หวดั อุดรธานี นา่ จะเป็นผนู้ �าใน 2. ครูใหนักเรียนคน ควา การทําเครอื่ งปน ดินเผา การใชเ้ หลก็ ก่อนทีอ่ นื่ ซงึ่ จากหลักฐานทางดา้ นโบราณคดีแสดงใหเ้ หน็ วา่ ชมุ ชนท่บี ้านเชียงมีความ ลายเขียนสบี านเชยี งเพม่ิ เตมิ จากแหลงการเรียนรู ก้าวหนา้ ดา้ นโลหกรรมมาก นอกจากทบ่ี า้ นเชยี งแลว้ ยงั คน้ พบเครอื่ งมอื ยุคเหลก็ ในทีอ่ ื่นๆ อีก เช่น ตา งๆ จากนนั้ นําขอ มูลมาอภปิ รายรวมกันใน ทบ่ี า้ นนาด ี บ้านโนนนกทา จงั หวดั ขอนแกน่ เนนิ อโุ ลก จงั หวดั นครราชสมี า เปน็ ตน้ นอกจากน้ี ชั้นเรียน ยงั พบแหลง่ แรเ่ หลก็ ในเขตจงั หวดั เลยทมี่ อี ายุประมาณ ๒,๘๐๐ ปีล่วงมาแล้ว พัฒนาการของชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเก่าแก่กว่าภาคอ่ืนๆ เพราะใน สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรบ์ รเิ วณนม้ี สี ภาพภมู ศิ าสตรเ์ หมาะสมกวา่ แหลง่ อนื่ คอื มที งั้ ปา่ โปรง่ ทงุ่ หญา้ แมน่ า�้ ลา� คลอง ทร่ี าบสงู เปน็ แหลง่ เกลอื สนิ เธาว ์ ซง่ึ มนษุ ยส์ ามารถตง้ั หลกั แหลง่ และดา� รงชพี อยไู่ ด้ และมีการพัฒนาเข้าสูก่ ารเป็นชมุ ชน หมบู่ า้ น ชุมชนเมอื ง ทอ่ี ยู่ติดท ่ี เพราะจากการสา� รวจช้ันดนิ พบร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับภาคกลางแล้ว ชุมชนใน ภาคกลางมคี วามตอ่ เนื่องในการพัฒนาเป็นชุมชนเปน็ เมอื ง เป็นแคว้น และเป็นอาณาจกั รเรว็ กวา่ เนื่องจากดินแดนบริเวณภาคกลางมีความ อุดมสมบูรณ์กว่า และสะดวกในการ ตดิ ต่อกับชมุ ชนต่างแดนมากกวา่ แต่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มี พัฒนาการของชุมชนจนเข้าสู่ยุค ขวานส�ารดิ พบท่บี ้านเชยี ง อา� เภอหนองหาน จังหวดั อุดรธานี อาณาจกั รเช่นกัน ๕๔ นักเรียนควรรู กจิ กรรมทาทาย 1 ภาพเขยี นสีทผี่ าแตม ภาพเขยี นสกี ลุมผาแตมน้แี บงไดเ ปน 4 กลุม ตามช่อื ครใู หนกั เรียนสบื คนขอมลู เพม่ิ เตมิ เกี่ยวกบั พฒั นาการของชุมชนโบราณ หนา ผาเรียงตอ กันไป ดงั น้ี สมัยกอนประวัตศิ าสตรใ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภาคใต โดยนาํ ขอ มูล มาจัดทาํ เปน เสน เวลา (Timeline) 1. ผาขาม มภี าพเขียนดวยสีแดงเปนภาพปลาและภาพชา ง 2. ผาหมอนนอย มภี าพนาขาว ภาพคนกําลังไลส ตั วท่มี ีเขาเปน กง่ิ คลา ยกวาง ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT ถานักเรยี นไปพบหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตรทยี่ งั ไมเ คยมีใครสาํ รวจพบ ภาพคนยนื เหนี่ยวคนั ธนหู รือหนา ไมเลง็ ไปที่สตั วส่ีเทา มากอ น ควรดาํ เนินการอยา งไร 3. ผาแตม มีช่ือเสียงโดง ดงั ทีส่ ดุ โดยเขียนบนผนงั เพงิ ยาวประมาณ 180 เมตร แนวตอบ แจง ใหหนวยงานท่ีเกยี่ วขอ งโดยตรง เชน สํานกั งานศิลปากร กาํ นัน ผูใหญบ านในทองถนิ่ ใหรับทราบโดยเร็ว เพื่อจะไดดาํ เนนิ การสาํ รวจ มีภาพเขยี นประมาณ 300 รูป ประกอบดวย ภาพสตั วตางๆ คน วัตถุ ฝา มอื และเกบ็ รักษา และรูปสัญลักษณ สาํ หรับรปู ฝา มอื เขยี นดว ยสีแดง มีสดี าํ บางเลก็ นอ ย ปรากฏประมาณ 200 ภาพ 4. ผาหมอน มีภาพเขยี นดว ยสีแดงเหมือนกับโครงบา น ภาพคนยนื เทา สะเอว นุงผายาวแบบกระโปรงครงึ่ นอง 54 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๔) พฒั นาการของชมุ ชนโบราณบรเิ วณภาคใต บรเิ วณภาคใตเ้ ปน็ แหลง่ ทม่ี มี นษุ ย์ 1. ครสู มุ ถามนกั เรียนเกย่ี วกับชุมชนโบราณใน บรเิ วณภาคใตข องประเทศไทย พรอมทง้ั ยก อาศัยอยู่ตง้ั แต่ก่อนประวตั ศิ าสตร์เชน่ กัน ซง่ึ มีพฒั นาการ ดงั น้ี หลักฐานท่ีแสดงถึงการตั้งถิน่ ฐานประกอบ (๑) ชมุ ชนยคุ หนิ เกา ทจี่ งั หวดั กระบ ่ี พบเครอ่ื งมอื ยคุ หนิ เกา่ ทที่ า� เปน็ เครอ่ื งมอื ขดุ (แนวตอบ ชมุ ชนโบราณในภาคใตมีตั้งแต ยคุ หินเกา จนถึงยคุ เหลก็ ไดแก เครอื่ งมือสบั ตดั โดยเฉพาะทถ่ี า้� หลงั โรงเรยี นทบั ปรกิ ตา� บลทับปริก อา� เภอเมือง จังหวัดกระบี่ 1. ชมุ ชนยคุ หนิ เกา เชน ท่ถี าํ้ หลังโรงเรียน พบหลักฐานการพ�านักอาศัยของมนุษย์เก่าแก่ท่ีสุดในดินแดนไทยตั้งแต่ ๓๗,๐๐๐ - ๒๗,๐๐๐ ปี ทบั ปรกิ จังหวดั กระบี่ พบเครือ่ งมือหนิ ลว่ งมาแลว้ และยงั พา� นกั อาศยั ตอ่ มาอกี หลายสมยั สําหรับสับ ตัด เปน ตน 2. ชมุ ชนยุคหนิ กลาง เชน แหลง โบราณคดี (๒) ชุมชนยคุ หินกลาง พบเครื่องมอื หนิ กะเทาะ ที่จงั หวัดกระบ ่ี เช่นเดยี วกับที่ บานพลีควาย จงั หวดั สงขลา พบขวานหิน พบเครอ่ื งมอื ในยคุ หนิ เกา่ และพบขวานหนิ ทแี่ หลง่ โบราณคดบี า้ นพลคี วาย ตา� บลกระดงั งา อา� เภอ เปน ตน สทงิ พระ จังหวัดสงขลา 3. ชมุ ชนยุคหินใหม พบภาชนะดินเผาท่ที ําเปน หมอ สามขา และพบขวานหินขดั ในจงั หวดั (๓) ชมุ ชนยคุ หนิ ใหม พบภาชนะดนิ เผาทท่ี า� เปน็ กระบ่ี พังงา เหหมน็ ้อถสงึ ากมารขตาดิแตบอ่ บกเนัดรียะวหกวับา่ ใงนชเมุ ขชตนจ ังแหลวะัดพกบาขญวาจนนหบนิุรขี ดัแ1ชสนดดิงให้ 4. ชุมชนยุคสํารดิ เชน ทถี่ ้ําผหี วั โต จงั หวัด มีบา่ และไม่มบี ่าในจังหวดั กระบี ่ และพังงา กระบี่ พบภาพเขียนสสี มัยกอนประวตั ิศาสตร พบภาพเขียนส2ีส(ม๔ัย)กช่อมุนชปนรยะควุ ัตสาํิศราดิ ส ทตถ่ีร์เา�้ ปผห็ีนวัภโาตพ จคงั หนวสดั วกมระบี ่ เปน ตน ชดุ ยาว ทีศ่ ีรษะมรี ูปร่างคล้ายเขาสัตว์ แยกเปน็ ๒ แฉก 5. ชุมชนยคุ เหล็ก เชน ท่ีอําเภอคลองทอ ม พบรอ่ งรอยการกอ่ ตง้ั ชมุ ชนบรเิ วณอา่ ว รมิ ทะเล และ จังหวัดกระบี่ พบลูกปดพ้นื เมอื งจํานวนมาก รมิ แมน่ า้� ในเขตจงั หวดั สรุ าษฎรธ์ าน ี นครศรธี รรมราช เครื่องมือหินของมนุษย์ ขุดได้จากถ�้าหลังโรงเรียน และช้นิ สว นเครื่องมือเหลก็ เปน ตน ) กระบี่ พังงา สงขลา เป็นต้น หลักฐานทางด้าน ทับปริก อา� เภอเมือง จงั หวัดกระบ่ี โบราณคดีทีส่ า� รวจพบ เช่น ขวานหนิ ขัด หมอ้ ดนิ เผาสามขา ภาชนะดินเผาลายเขยี นสีแดง ใบมดี 2. จากน้ันครแู ละนักเรียนอภิปรายรว มกันถึง กา� ไล แหวน ลูกปดั กลองมโหระทกึ สา� ริด เปน็ ตน้ ความแตกตางระหวางพฒั นาการของชมุ ชน โบราณในภาคใตกบั ชมุ ชนโบราณในภาคอ่ืนๆ เรือ่ งนารู ของไทย มโหระทึก เปน็ เครือ่ งมอื ส�ารดิ ทีพ่ บไดท้ ่วั ไปในภูมิภาคอุษาคเนย์ หรือบริเวณเอเชยี มโหระทึก พบท่ีวัดตล่ิงพัง ตะวันออกเฉยี งใต้ ตั้งแต่เหนอื สดุ ท่ีมณฑลยนู นาน จนถงึ ใต้สุดท่หี ม่เู กาะอนิ โดนีเซีย (ซึ่งนับ (ครี วี งการาม) ตาํ บลตลง่ิ งาม เปน็ บรเิ วณอุษาคเนย์ทง้ั หมด เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปมาแล้ว) อําเภอเกาะสมุย จังหวัด สรุ าษฎรธ านี มโหระทกึ มชี อื่ เรียกตา่ งๆ กนั บางแห่งเรยี กว่า “ฆอ งบ้งั ฆองกบ” บางแห่งเรยี กวา่ “กลองทอง (แดง) กลองกบ” ในยุคแรกๆ เป็นภาชนะใส่ส่ิงของศักดิ์สิทธ์ิฝังไว้กับศพ บางแห่งใส่กระดูกคนตาย ต่อมากลายเป็นเครื่องประโคมตีในพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีศพ จึงเรียกกันภายหลังว่า “กลอง” เพราะมีรูปร่างเหมือนกลองไม้ แต่บางทีก็เรียกว่า “ฆอง” เพราะหล่อด้วยส�าริด ปัจจุบันยังมีการใช้มโหระทึกประโคมในพิธีกรรมส�าคัญของรัฐและ พระเจ้าแผ่นดนิ ๕๕ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู ความเจรญิ ของชุมชนโบราณในแตล ะแหง เราสามารถพิจารณาไดจ ากอะไร 1 ขวานหินขดั หรอื ขวานฟา ภาษามลายู เรียกวา บาตูลินตา เปนเครอื่ งมือ 1. ขนาดพืน้ ทขี่ องชุมชน เครอ่ื งใชส มยั กอนประวตั ิศาสตร ใชสําหรับสบั ตัด ฟน เฉือน และใชตกทอดมาถงึ 2. ซากเมล็ดพืชที่บริโภค สมัยประวตั ิศาสตร เปน เคร่ืองมือที่ประดิษฐจ ากหินธรรมชาติ เชน หินกรวดแมน ํ้า 3. คุณภาพของเคร่อื งมือท่ีใช หินอัคนี เปนตน นกั โบราณคดีแบงขวานหนิ ขดั ที่พบในภาคใตออกเปน 3 ขนาด 4. จาํ นวนโครงกระดกู ที่ขดุ พบ ไดแก ขนาดเล็ก ยาวไมเ กนิ 6 เซนติเมตร ขนาดกลาง ยาวไมเ กิน 15 เซนตเิ มตร และขนาดใหญ ยาว 15 เซนติเมตรขึน้ ไป วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เนื่องจากเครอื่ งมือเครือ่ งใชเปนประดษิ ฐกรรม 2 ภาพเขยี นสี เปนรูปภาพทสี่ รา งขึน้ ดว ยการลงสีท่ไี ดจากสธี รรมชาติบนพ้นื หิน โดยการวาดดวยสแี หง เขียนหรือระบายสี พน สี ทาบหรือประทับ และการสะบดั สี ทีส่ าํ คญั ยิง่ ของมนษุ ย โดยชุมชนโบราณรูจกั การทําเครื่องมือหิน และพัฒนา ภาพที่เกดิ จากการเขียนสีมีรูปรางแตกตางกันไป เชน คน สตั ว มอื และเทา ตนไม มาสกู ารหลอโลหะทีม่ คี ุณภาพดมี ากขึน้ แสดงใหเ ห็นถึงความเจรญิ กา วหนา ใบไม วัตถุและส่ิงของ สญั ลักษณตางๆ เปนตน ทางดานเทคโนโลยกี ารผลิตเครื่องมือเคร่ืองใชเพื่อประโยชนใชส อยใน ชีวิตประจําวัน คูม อื ครู 55

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูนาํ แผนทโี่ ครงรางประเทศไทยมาใหนกั เรียน (๕) ชมุ ชนยุคเหลก็ ทอ่ี �าเภอคลองท่อม 1จังหวัดกระบี่ พบลูกปัดพน้ื เมอื งจา� นวน ระบตุ าํ แหนงท่ีตง้ั ซ่งึ มีการสํารวจพบแหลง ชมุ ชน มาก และพบชน้ิ สว่ นเครอ่ื งมอื เหลก็ ในสภาพสกึ กรอ่ นและชา� รดุ มาก นอกจากนยี้ งั พบทจ่ี งั หวดั พงั งา โบราณสมัยกอ นประวัตศิ าสตรใ นภาคตางๆ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสงขลาดว้ ย ของประเทศไทยมาพอสังเขป การตง้ั หลักแหล่งของชุมชนในภาคใต้ พบว่ามกี ารอยู่อาศยั กันอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และ สามารถพัฒนาเปน็ ชมุ ชน เปน็ บา้ นเมอื ง เปน็ แคว้น และเปน็ อาณาจักรในที่สุด 2. จากนนั้ ครใู หน ักเรยี นชวยกันสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั พฒั นาการของชมุ ชนโบราณในภาคตา งๆ ของประเทศไทยลงบนกระดานดาํ เพ่อื เปน การทบทวนความรู ลูกปัดแก้วรูปดอกไม้ รูปหน้าคน อาจมาจากแถวตะวันออกกลาง หรือจากโรมัน แผ่นหินคาร์นีเลียน2รูปสตรีแบบโรมัน และตราประทับ แสดงถงึ การตดิ ตอ่ สมั พันธก์ บั ดินแดนอ่นื พบทอี่ า� เภอคลองทอ่ ม จงั หวัดกระบ่ี ๑.๔ การสร้างสรรคภูมิปญญาของมนุษยกอ นประวัติศาสตร ในดินแดนประเทศไทย การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดน ประเทศไทย ก็เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจถงึ ภมู ปิ ัญญาของมนุษย์ในสมยั น้นั อันจะเปน็ ตัวอยา่ งในการนา� ไปใช้ ในการด�าเนนิ ชีวิตของคนไทยในปจั จบุ นั ได้ ๑) ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคภ มู ปิ ญ ญาของมนษุ ยก อ นประวตั ศิ าสตร การสร้างสรรคภ์ มู ิปญั ญาของมนุษยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์เกดิ จากปจั จยั ที่สา� คัญๆ ดังน้ี ๑. ความต้องการความมน่ั คงในการดา� รงชวี ติ ประจา� วนั ในเรือ่ งอาหาร ทอี่ ยอู่ าศยั เครอื่ งนงุ่ หม่ และยารกั ษาโรค ๒. สภาพภูมศิ าสตรแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ ม เช่น การเกดิ ภยั ธรรมชาติ โรคระบาด ๓. คติความเชื่อ เช่น ความตาย ความเช่อื ในเรอ่ื งวญิ ญาณ เปน็ ต้น ๕6 นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT “นกั โบราณคดพี บรองรอยของชมุ ชนยุคเหลก็ หลายแหง ท่วั ทุกภูมิภาค 1 อาํ เภอคลองทอม เปน ท่ีต้ังของแหลง ชมุ ชนโบราณคลองทอ ม หรอื ควนลูกปด ของไทย” ขอมลู นี้บง บอกถึงอะไร ซงึ่ คาํ วา “ควนลกู ปด ” เปน ช่อื ท่ีชาวบานเรียกเมอ่ื มกี ารคน พบลูกปดแกวสีตางๆ 1. ผคู นเพม่ิ ขน้ึ ชมุ ชนจงึ ขยายตัว บนเนินดนิ บรเิ วณน้ี แตไมม ใี ครสนใจเพราะเหน็ วา ไมม ีคา หรือเพราะเห็นวา เปน 2. การใชเหล็กเริม่ คร้งั แรกท่ีดินแดนไทย ของโบราณ จึงเรียกบรเิ วณนี้วา ควนลกู ปด สว นชื่อคลองทอ มเปน ชอื่ หมบู า น 3. ชมุ ชนทกุ แหง เปนเครือญาตเิ ก่ยี วดองกัน ตําบล และอาํ เภอ 4. การกอตัวข้นึ เปน ชุมชนเรมิ่ ทยี่ คุ เหลก็ 2 หนิ คารน เี ลยี น ชาวกรกี เรยี กคารน เี ลยี นวา ซารด อิ สุ (sardius) โดยเชื่อวา มี วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ชมุ ชนยุคเหล็กเปนชมุ ชนท่ีเจรญิ เติบโตสบื อาํ นาจทจี่ ะคมุ ครองผูสวมใสจากภตู ผิ ีปศาจและประสบกบั ความสุขและความโชคดี ตอมาจากยคุ หนิ แตมีขนาดใหญขน้ึ เนื่องจากจํานวนประชากรเพ่มิ ขน้ึ และ จงึ นิยมนาํ มาประดบั รา งกายเพ่อื เปนเครือ่ งรางของขลัง หรอื เปน ตราประจาํ สําคญั มกี ารตดิ ตอกบั ชุมชนอืน่ ที่อยหู า งไกลออกไป จึงมีการกระจายกนั อยตู าม หรือตราประจาํ ตวั หรอื เปน ส่อื กลางแทนเงินตราในการแลกเปลย่ี นส่งิ ของ ทต่ี า งๆ ทั่วทุกภาคของแผน ดนิ ไทย 56 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) การสรางสรรคภูมิปญญาของมนุษยกอนประวัติศาสตร การสร้างสรรค์ 1. ครใู หนกั เรยี นกลุมท่ี 4 สงตวั แทนออกมา นาํ เสนอหนาชน้ั เรยี น และเปด โอกาสใหน ักเรียน ภมู ปิ ญั ญาของมนษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตร ์ เปน็ การสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญาเพอ่ื การดา� เนนิ ชวี ติ เปน็ หลกั ซักถามจนเกิดความเขาใจ โดยมพี ัฒนาการขึ้นเป็นล�าดบั ทเ่ี หน็ ได้ชดั เจนมดี ังน้ี 2. จากนัน้ ครสู นทนากับนักเรยี นจนเขาใจวา (๑) ดานเกษตรกรรม จากการขุดค้นทางโบราณคดีสันนิษฐานได้ว่ามนุษย์ใน ชุมชนโบราณสมัยกอนประวัติศาสตรใ นดนิ แดน ยุคหินใหม่มีการเพาะปลูกแบบท�าไร่เลื่อนลอย บางแห่งมีการเพาะปลูกข้าวในที่ลุ่ม โดยจะย้าย ประเทศไทยไดพ ยายามปรบั ตวั ใหส อดคลองกับ แหล่งเพาะปลกู ไปเร่ือยๆ ขณะเดียวกันก็มกี ารลา่ สตั ว์เปน็ อาหาร การปลกู ข้าวเรม่ิ เม่ือ ๔,๓๐๐ ปี ธรรมชาติ และนําสงิ่ ที่มีอยใู นธรรมชาติมาใช ลว่ งมาแล้ว เพ่ือความสะดวกในการดาํ รงชีวิต ลักษณะเชน นี้ ตอ่ มาในยคุ สา� รดิ และยคุ เหลก็ มกี ารใชส้ า� รดิ และเหลก็ เปน็ เครอื่ งมอื เครอื่ งทนุ่ แรง เรียกวา ภูมิปญ ญา ในการเพาะปลกู มีการรจู้ กั “การทดนา้ํ ” มาใช้ในการเกษตรกรรมอกี ดว้ ย 3. ครขู ออาสาสมคั รนักเรียนใหบ อกปจ จยั ทีม่ ี (๒) ดา นโลหกรรม จากการศกึ ษาเกยี่ วกบั อทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคภมู ปิ ญญาของมนษุ ย มนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์พบว่ามนุษย์ในสมัยน้ีรู้จัก สมัยกอ นประวัติศาสตร และยกตวั อยา ง การทา� เครอื่ งมือ เครือ่ งใช้จากสา� ริดและเหลก็ ในยุคโลหะ ภมู ปิ ญ ญาสมัยกอ นประวัตศิ าสตรมาพอสงั เขป (แนวตอบ ปจ จยั ดานความตอ งการในเร่อื ง มนุษย์ยุคเร่ิมแรกท�านาปลูกข้าว ปจจัย 4 ไดแ ก อาหาร เครอ่ื งนงุ หม ทอี่ ยูอาศัย ดั ง พ บ ห ลั ก ฐ า น ป ร า ก ฏ อ ยู ่ ใ น และยารักษาโรค ปจ จยั ทางสภาพภมู ิศาสตร ภาพเขียนสีทผี่ าหมอนน้อย อ�าเภอ และสง่ิ แวดลอ ม เชน ภัยธรรมชาติ โรคระบาด โขงเจียม จังหวดั อุบลราชธานี และ เปนตน และปจจยั ทางคตคิ วามเชื่อ สาํ หรับ พบเปลือกข้าวท่ีถ้�าปุงฮุง จังหวัด 1 ตัวอยา งภมู ิปญ ญา เชน แม่ฮ่องสอน และพบที่เนินอุโลก • ดา นเกษตรกรรม ดงั พบหลักฐานทีแ่ สดงถงึ อา� เภอโนนสงู จังหวัดนครราชสีมา การเพาะปลกู ขาวของมนุษย ทัง้ แบบทาํ ไร เลื่อนลอย และปลูกขาวในทีล่ มุ ด ีบุกห ล่อหลในอยมคุ อ2สอ�ากริดม ามเนปษุ็นยสร์�าู้จรักิดนแ�าลทะอนง�าแมดางผทส�ามเปก็บัน ขวานสา� รดิ ไดจ้ ากเบา้ หนิ ทราย พบทบ่ี า้ นเชยี ง • ดานโลหกรรม ดงั พบหลักฐานเครือ่ งมือ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ เช่น ขวาน หม้อ อา� เภอหนองหาน จังหวัดอดุ รธานี เคร่อื งใชท่ีทาํ จากสํารดิ และเหลก็ ก�าไล เป็นต้น ต่อมามีการผลิตส�าริดที่มีดีบุกผสม • ดานหตั ถกรรม เชน การทอผาจากวสั ดุท่มี อี ยู ปริมาณมาก อันเป็นโลหะท่ีมีความแข็ง และมีสีนวล ในทองถนิ่ บางกว่าส�าริดสามัญ • ดานการสรา งที่อยอู าศยั โดยใชถํ้าหรือเพิงผา เปน ทีห่ ลบภัย รวมท้งั พบรอ งรอยของหลุมเสา ๕๗ ในแหลงโบราณคดหี ลายแหง • ดา นการรักษาโรค ดังพบหวั กะโหลกมนุษยท ี่ มีรองรอยวธิ กี ารรกั ษาโรคของคนสมัยโบราณ เปน ตน ) กิจกรรมทาทาย นักเรียนควรรู ครูใหน ักเรยี นไปศกึ ษาคนควา วา ในทอ งถิ่นของตนหรอื ทอ งถน่ิ ใกลเคียง 1 เนนิ อโุ ลก เปน เนินดนิ ตง้ั อยูกลางทงุ นา จากการขดุ คนทางโบราณคดีพบวา มีหลกั ฐานอะไรท่ีแสดงใหเหน็ ถึงการสรางสรรคภูมิปญญาของมนุษยส มยั มีอายรุ ะหวา ง 2,500-1,500 ปม าแลว มีการพบศพที่มีอายอุ ยูใ นยคุ เหลก็ จาํ นวน กอนประวัติศาสตร และเมอ่ื เปรียบเทยี บกบั ภมู ปิ ญญาไทยสมัยปจจบุ นั แลว 126 ศพ เปนศพผูช าย ผูหญงิ เด็ก และทารก และมีประเพณกี ารฝง ศพทฝ่ี ง สิ่งของ มคี วามเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร โดยจัดทาํ เปนบันทกึ การศึกษา ตา งๆ ใหก ับผตู ายดวย เชน ภาชนะดนิ เผา เครือ่ งประดับ นิยมฝง ศพในหลุมทเ่ี ต็ม คน ควา ไปดว ยเมล็ดขาว ซ่ึงแสดงใหเ ห็นถึงความสําคัญของขา วทีน่ อกจากจะเปนอาหารหลกั แลว ยงั นาํ มาประกอบในพธิ กี รรมฝงศพ นอกจากนี้ยังพบแวดนิ เผาที่ใชสาํ หรบั ปน ดายเพื่อทอผา ดว ย 2 หลอ หลอม การท่มี นษุ ยคนพบวิทยาการนําโลหะมาหลอ หลอมทาํ เปน เคร่ืองมอื เครือ่ งใช อาวุธ สงผลทําใหชุมชนมีพฒั นาการท่ีรวดเรว็ กวาเดิม เน่อื งจาก เครอ่ื งมือโลหะมีความแขง็ แรงทนทาน พกพาสะดวก และใชง านไดมีประสทิ ธภิ าพ มากกวา เคร่อื งมือหนิ คมู อื ครู 57

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage Expand Expand ขยายความเขา ใจ 1. ครูใหนกั เรียนชวยกนั แสดงความคิดเห็นวา เครื่องมือเหล็ก พบที่บ้านใหม่ชัยมงคล ต�าบลสร้อยทอง เคร่ืองมือเหล็ก พบที่บ้านดอนตาเพชร อ�าเภอพนมทวน การนําเหลก็ มาใชประโยชนข องคนโบราณ อ�าเภอตาคลี จงั หวดั นครสวรรค์ จงั หวดั กาญจนบุรี แตกตางจากในปจ จบุ ันอยางไร (แนวตอบ แตกตา งในเรอื่ งกรรมวิธกี ารผลิต ในยุคเหล็ก การใช้เหล็กในดินแดนประเทศไทยน้ัน ในระยะแรกๆ มีการประดิษฐ์ใบหอก ทีป่ จจบุ ันมคี วามทันสมัยและซบั ซอ นกวา ทมี่ สี ว่ นบ้องเปน็ สา� รดิ แต่สว่ นปลายเป็นเหลก็ ตอ่ มาเหลก็ กลายเปน็ วตั ถุหลักในการท�าเคร่ืองมอื ตลอดจนสามารถนําเหล็กมาใชประโยชนได เคร่ืองใช้ เหลก็ ที่ใช้ในสมัยน้ีได้จากการถลงุ แร่เหลก็ และการทา� เคร่อื งมือเหลก็ หลากหลายกวา สมัยโบราณ โดยทาํ เปน คนในสมัยน้ันรู้จักการถลุงแร่เหล็ก โดยการน�าแร่เหล็กที่ท�าความสะอาดเรียบร้อยแล้วและ อตุ สาหกรรมขนาดใหญ) เตรียมให้ได้ขนาด มาผสมคลุกเคล้ากับถ่านแล้วใส่ลงในเตาถลุงเพ่ือเปล่ียนให้แร่เหล็กเป็นโลหะ เหล็ก รู้จักใช้ปูนขาวหรือวัสดุท่ีมีหินปูน เช่น กระดูกหรือเปลือกหอยใส่ลงไปในการถลุงเหล็ก 2. ครใู หนักเรยี นศกึ ษาเก่ียวกบั การสรา งสรรค เพอื่ จะทา� ให้แร่ธาตุอนื่ ๆ นอกเหนอื จากเหล็กแยกมารวมตัวกันเป็นตะกรันหรือขี้แรอ่ อกจากเหล็ก ภมู ปิ ญญาของมนษุ ยก อนประวตั ิศาสตรเพิม่ เตมิ การถลงุ เหลก็ แบบนเ้ี หล็กจะไม่หลอมเหลว แตจ่ ะรวมตัวกันเกาะเป็นก้อนเหลก็ หลงั จากนน้ั จะนา� จากหนังสือเรยี น แลว นําขอ มูลมาปรับปรงุ เหลก็ น้ีไปเผาใหร้ อ้ นแดง แลว้ ตเี หลก็ ซา้� ไปมา เพอ่ื ขบั ไลข่ แ้ี รท่ ย่ี งั เหลอื อยอู่ อกมาใหม้ ากทส่ี ดุ สา� หรบั เพ่มิ เติมในเสน เวลาแสดงความเจริญของมนษุ ย น�ามาประดษิ ฐ์เปน็ เครื่องมอื เครือ่ งใช้ตอ่ ไป กอ นประวตั ิศาสตรในดนิ แดนประเทศไทย หนา 58-59 เสน เวลา แสดงความเจรญิ ของมนษุ ยก อ นประวตั ศิ าสตรใ นดนิ แดนประเทศไทย พบเคร่ืองมอื หิน ๕0,000 ร๗า00ว, 00๗000,000 ป ลวงมาแล้ว พบหลกั ฐานการพักพิงราว ๓๗0,000 ป ลวงมาแ ้ลว อาศัยของมนุษย์ ๑0,000 ๒00,000 ๑๕0,000 ๑00,000 ปล ว่ งมาแล้ว ราว ๑80,000 ป พบหลักฐาน เกยี่ วกับมนษุ ย์ ๕8 ลวงมาแ ้ลว เบศูรณรากษารฐกิจพอเพยี ง ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT จากการพบหลกั ฐานตางๆ ในสมัยกอนประวัตศิ าสตร แสดงใหเ ห็นถงึ ครใู หนกั เรียนรว มกนั อภิปรายเก่ียวกบั ลักษณะการดาํ รงชวี ิตและการสรางสรรค การสรางสรรคภูมิปญ ญาของมนษุ ยสมัยกอ นอยางไร ภูมปิ ญ ญาของมนุษยยคุ กอนประวตั ิศาสตร จากน้นั ครตู งั้ ประเด็นคาํ ถามใหนกั เรียน แนวตอบ เคร่ืองมือเครื่องใชทพี่ บถกู ทาํ ขนึ้ เพอ่ื ใชประโยชนใ นการดํารงชวี ติ รวมกันตอบ เชน ประจาํ วัน ดังจะเห็นไดจากการทําเครือ่ งมือหินกะเทาะ หนิ ขดั เพอ่ื เปน อาวุธ ไวล า สตั ว หรอื เปน เคร่อื งมอื ขดุ สบั ตดั การทําเครอ่ื งปน ดนิ เผาสําหรบั เปน • มนุษยย คุ กอ นประวัติศาสตรมีการดาํ รงชวี ิตอยา งไร ภาชนะใสอ าหารและนาํ้ ประเพณกี ารฝงศพพรอ มกับสง่ิ ของตางๆ ซึง่ แสดง • มนษุ ยยคุ กอนประวตั ิศาสตรไดสรา งสรรคภ มู ิปญญาใดบาง ใหเ หน็ ถึงความเช่อื ของมนษุ ยในเรื่องเกยี่ วกบั ความตาย เปนตน • การดํารงชีวิตและการสรา งสรรคภ ูมปิ ญ ญาสมยั กอ นประวตั ศิ าสตรส อดคลอง กบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งอยา งไร 58 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand (๓) ดา นหตั ถกรรม สา� หรบั ภมู ปิ ญั ญาสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตรท์ างดา้ นหตั ถกรรม 1. ครใู หน กั เรยี นคน ควา เก่ียวกับพฒั นาการของ ไดแ้ ก ่ การทอผา้ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ ทางดา้ นโบราณคดพี บวา่ ผคู้ นในสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ใน ชุมชนโบราณสมยั กอ นประวัตศิ าสตรใ นดินแดน ดนิ แดนประเทศไทยรู้จกั นา� เสน้ ใยจากพืช คือ ปา่ น กัญชา และเส้นใยจากสัตว์ คือ ไหม มาทอ ประเทศไทยเพมิ่ เตมิ จากหนงั สอื เรียน แลว เปน็ ผนื ผา้ ดว้ ยเทคนคิ การทอแบบงา่ ยๆ นอกจากนย้ี งั พบหลกั ฐานอน่ื ๆ อกี เชน่ หนิ ทบุ เปลอื กไม้ นําเสนอในรูปแบบตา งๆ เชน ตาราง สมดุ ภาพ ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะใช้ส�าหรับผลิตเส้นใยในการทอผ้าในแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ ผงั มโนทศั น เสนเวลา (Timeline) เปน ตน อีกด้วย 2. ครใู หน ักเรียนทํากจิ กรรมที่ 3.1 จากแบบวัดฯ ประวัตศิ าสตร ม.1 (๔) ดานการสรางที่อยูอาศัย ในยุคหินใหม่ มนุษย์ได้มีการดัดแปลงสภาพ ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ แวดล้อมเพ่ือใช้เป็นท่ีอยู่อาศัย ด้วยการใช้ถ้�าหรือเพิงผาเป็นท่ีป้องกันอันตรายจากภัยธรรมชาติ และสัตวป์ า่ อนั เป็นการเริ่มต้นการตง้ั ถ่ินฐานของมนุษย์ ประวัตศิ าสตร ม.1 กิจกรรมที่ 3.1 หนว ยที่ 3 สมัยกอ นสุโขทยั ในดนิ แดนไทย ต่อมาในยุคโลหะ ได้พบรอ่ งรอยของหลมุ เสาในแหล่งโบราณคดหี ลายแหง่ ในประเทศไทย กอ่ ให้เกดิ ข้อสันนิษฐานว่ามนุษย์ในยคุ นน้ี ่าจะเรมิ่ มกี ารคิดค้นวิธกี าร กิจกรรมตามตวั ชว้ี ัด คะแนนเต็ม คะแนนทไ่ี ด กจิ กรรมท่ี ๓.๑ ใหน กั เรยี นอา นบทความตอ ไปนี้ แลว ตอบคาํ ถามตามประเดน็ ñõ ทกี่ าํ หนด (ส ๔.๓ ม.๑/๑) สรา้ งท่อี ยอู่ าศยั บ้างแล้ว จากการขุดคนทางโบราณคดีที่ชมุ ชนแหง หน่งึ ไดมกี ารคนพบหลักฐาน (๕) ดานการรักษาโรค นักโบราณคดีได้ เคร่ืองมือหินขัดท่ีมีลักษณะดานหนึ่งคม ดานหน่ึงมน และมีผิวเรียบ ขุดค้นแหล่งโบราณคดีท่ีเป็นแหล่งชุมชน พบหัวกะโหลก มีตั้งแตขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ จัดเปนเคร่ืองมือท่ีพัฒนาขึ้นมา มนษุ ยท์ ม่ี กี ารเจาะเปน็ รกู ลมและแตง่ ขอบรเู รยี บ สนั นษิ ฐาน จากหนิ กะเทาะเพอื่ ใหม ปี ระสิทธภิ าพในการใชสอยมากยงิ่ ขนึ้ นอกจากนี้ ยังพบภาชนะดินเผาท้ังแบบมีขาและไมมีขา ผิวขัดมัน โดยเฉพาะภาชนะดินเผา แบบมีขาสามขา อายุประมาณ ๔,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปมาแลว ซ่ึงนักโบราณคดีสันนิษฐานวามีลักษณะ คลายคลึงกับภาชนะของมนุษยสมัยกอนประวัติศาสตรที่ตําบลลุงชานหรือหลงชานในมณฑลชานตง ของจีน ท้ังยังพบโครงกระดูกมนุษยที่ฝงในหลุมศพรวมกับสิ่งของเคร่ืองใชตางๆ เชน ภาชนะดินเผา เครือ่ งมอื หนิ ขัด เครอ่ื งประดบั ท่ีทาํ จากเปลือกหอยและหนิ มีคา เปนตน ว่า เป็นวิธีการรักษาโรคปวดศีรษะหรือโรคลมบ้าหมู แต่ ๑. จากบทความดังกลา วควรจะเปน พัฒนาการของชุมชนโบราณในสมยั ใด เพราะเหตใุ ด ...............ส....ม....ยั ...ก....อ....น....ป....ร...ะ...ว...ตั ....ศิ ....า..ส....ต....ร....ใ ..น.....ช...ว ..ง....ย...คุ....ห....นิ.....ใ..ห....ม......โ...ด....ย...ด....จู...า...ก....ห....ล....กั....ฐ...า...น....ต....า...ง...ๆ......ท....พี่....บ.......เ..ช...น.......เ..ค....ร...อื่....ง...ม....อื ...ห....นิ....ข...ดั.... นกั มานษุ ยวทิ ยาเชอื่ วา่ เปน็ การกระทา� เพอ่ื ปลดปลอ่ ยผีร้าย เฉฉบลบั ย ซ....งึ่...ม....คี ....ว..า...ม....ป....ร...ะ...ณ.....ีต....แ...ล....ะ...ก....า..ว...ห....น.....า..ก....ว...า...เ..ค....ร...ื่อ...ง....ม...ือ....ห....ิน....ก....ะ...เ.ท.....า..ะ...ใ..น.....ย...คุ....ห....นิ.....เ.ก....า.......เ..ค....ร...อ่ื....ง...ป....น....ด....นิ.....เ.ผ....า...แ...บ....บ....ม....ขี ...า..ส....า...ม....ข...า.. ท่ีท�าให้เกิดอาการเจบ็ ปว่ ยใหอ้ อกไปจากศีรษะมนุษย ์ เพอื่ ในยคุ หินใหม่ มนุษย์รจู้ ักเพาะปลูกและสรา้ ง ซ....ง่ึ...ม....ีอ...า...ย...ุป....ร....ะ..ม....า..ณ..........๔...,..๐...๐....๐....-....๓....,..๐...๐...๐........ป....ม...า...แ...ล....ว.......โ..ค....ร....ง...ก....ร...ะ...ด....ูก....ม...น.....ุษ....ย...ใ...น....ห....ล....มุ....ศ....พ....พ....ร...อ....ม...ก....ับ.....ส....งิ่ ...ข...อ...ง....เ.ค....ร....อ่ื...ง....ใ..ช... ต....า...ง...ๆ.......ซ...ง่ึ....แ...ส....ด....ง...ใ...ห....เ.ห....น็.....ว...า..ม....น....ษุ....ย....ย...ุค....น.....ร้ี...ูจ....ัก....ป....ร...ะ...ด....ษิ ....ฐ...เ..ค....ร....อื่ ...ง...ม....อื ...เ..ค....ร...่อื....ง...ใ...ช...ท....ชี่...ว...ย...ใ...ห....ช ...ีว...ิต....ส....ะ..ด....ว...ก....ส....บ.....า..ย....ม...า...ก....ข...้นึ.... แ...ล....ะ...ย...งั....ป...ร....ะ...ก....อ...บ....พ....ิธ....ีก....ร...ร...ม....ฝ...ง....ศ....พ....ต....า..ม....ค....ว...า..ม....เ..ช...ื่อ...ข...อ....ง...ต....น.......เ..ป....น ....ต....น....................................................................................................... ลดอาการปวดศีรษะ ที่อยู่อาศัย ๒. ยุคสมัยนมี้ นษุ ยน าจะมพี ัฒนาการการดาํ รงชีวติ ในลกั ษณะใด ...............ม....น....ุ.ษ....ย....ใ...น....ย....ุค....ห....ิน.....ใ...ห....ม....ไ...ด....พ....ั.ฒ.....น.....า...ก....า...ร....ด...ํ.า...ร...ง....ช...ีว...ิต....ใ...ห.....ด....ีข...้ึน.....ก....ว...า...ย....ุค....ห....ิน.....เ..ก....า...แ....ล....ะ...ย...ุค.....ห....ิน.....ก....ล....า...ง........โ...ด....ย....ม...ี ก....า...ร...ป....ล....กู....ส....ร....า...ง...บ....า...น....เ..ร...อื....น....แ...ล....ะ...ต....ง้ั...ถ....่นิ....ฐ....า...น....เ..ป....น ....ห....ล....กั....แ...ห....ล....ง...ท....ถ่ี....า...ว...ร.......ม....กี ....า..ร....พ....ฒั.....น.....า..อ....า...ว..ุธ........เ..ค....ร...่ือ...ง....ม...ือ....เ.ค.....ร...ื่อ...ง....ใ..ช... ใ...ห....ด....ีข...น้ึ ....เ..พ....ื่อ...ป....ร....ะ..ส.....ทิ ....ธ...ิภ....า..พ....ใ...น....ก....า...ร....ใ..ช...ง...า...น.......ร....ูจ...ัก....ก....า...ร....เ.พ....า...ะ...ป....ล....ูก....แ...ล....ะ..เ..ล....ย้ี...ง....ส....ัต....ว.......................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................................... เริ่มปลูกขา้ ว ตง้ั ถ่นิ ฐาน เรม่ิ นา� เหลก็ มาทา� เครอ่ื งมอื .................................................................................................................................................................................................................................................... เครื่องใช้ ๕,000 ๓. จากหลกั ฐานทพี่ บ แสดงถงึ การสรา งสรรคภ มู ปิ ญ ญาของมนษุ ยส มยั กอ นประวตั ศิ าสตรอ ยา งไร ราว ๔,๓00 ป ลวงมาแ ้ลว ...............ก....า...ร...ป....ร....ะ..ด....ิษ....ฐ....เ..ค....ร...่ือ....ง...ม....ือ...เ..ค....ร...ื่อ....ง...ใ...ช...เ..พ....่ือ...ก....า...ร....ด....ํา..ร....ง...ช...ีว...ิต....ป....ร....ะ..จ....ํา...ว..ัน.........ด....ัง....จ...ะ...เ..ห....็น....ไ...ด....จ...า...ก....ก....า...ร...ท....ํา...เ..ค....ร...่ือ....ง...ม....ือ... ๔,000 ห....ิน.....ข...ดั ....เ.พ....อ่ื....เ..ป....น ....อ...า...ว...ุธ...ไ...ว...ล ....า ..ส.....ัต...ว.......ห....ร....ือ...เ..ป....น ....เ..ค....ร...อ่ื....ง...ม....ือ...ไ...ว..ข...ดุ........ส....ับ........ต....ัด........ก....า...ร...ท....ํา...เ..ค....ร...ือ่....ง...ป....น....ด....นิ.....เ.ผ....า...ส....ํา...ห....ร...บั....เ..ป....น.... ราว ๓,๕00 ปลวงมาแล้ว ภ....า...ช...น....ะ...ใ...ส....อ...า...ห....า...ร...แ....ล....ะ..น.....ํ้า.......ท....ั้ง...ย....ัง...แ...ส.....ด...ง....ใ..ห....เ..ห....็น.....ถ...ึง....ค....ว...า..ม....เ..ช...ื่อ...ข...อ....ง...ม....น....ุษ.....ย...ส....ม....ัย...น.....ี้เ..ก....ี่ย...ว...ก....ับ....พ....ิธ....ีก....ร...ร....ม...ใ...น....ก....า...ร...ฝ....ง... ๓,000 ศ....พ....ค....น.....ต....า..ย.......ไ..ม....ว ...า ..จ....ะ..เ..ป....น.....ก....า..ร....จ...ัด....ว...า...ง...ท....า...ท....า...ง...ข...อ...ง...ศ....พ.......ก....า...ร....ฝ...ง...ส....่งิ....ข...อ...ง...เ..ค....ร....อื่ ...ง...ใ...ช...ต....า...ง...ๆ......ล....ง...ไ...ป...ใ...น....ห....ล....ุม....ศ....พ....ด....ว...ย.... ๒,000 ราว ๒,๕00 ป ลวงมาแ ้ลว .................................................................................................................................................................................................................................................... ๑,000 ๒๖ (พิจารณาคาํ ตอบของนกั เรยี น โดยใหอ ยูในดลุ ยพนิ จิ ของครผู สู อน) ตรวจสอบผล Evaluate เริ่มน�าสา� ริดมาท�า 1. ครตู รวจชิน้ งานเกีย่ วกบั พัฒนาการของชมุ ชน เครื่องมือเครอื่ งใช้ โบราณสมยั กอนประวตั ศิ าสตรในดินแดน ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ๕๙ ประเทศไทย 2. ครสู งั เกตพฤตกิ รรมความมีสวนรว มในการตอบ ขอใดแสดงถึงภูมิปญญาสําคัญของชมุ ชนสมยั กอ นประวตั ิศาสตร คําถามและการแสดงความคดิ เหน็ ของนกั เรียน 1. รจู ักรวมกลุมกอ ต้งั เปนชุมชน 2. สรา งรายไดจ ากทรพั ยากรธรรมชาติ เกร็ดแนะครู 3. พบวธิ ีถลงุ โลหะที่นาํ ไปใชประโยชน 4. สามารถอยูรวมกันเปนกลมุ และไมส ูร บกัน ครคู วรอธบิ ายใหนกั เรียนเขา ใจวาการรกั ษาพยาบาลผปู ว ยในสมยั กอน ประวตั ศิ าสตรจะมีความเชื่อซ่งึ แตกตา งไปจากในปจ จบุ ัน ทเ่ี ร่อื งโรคภัยไขเ จบ็ เปน วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. วิธีถลุงโลหะจดั เปน ภูมปิ ญญาดานโลหกรรม เรือ่ งของวิทยาศาสตร แตก ารเจ็บปว ยสมัยกอ นประวัตศิ าสตรจะเปนเรื่องที่เกีย่ วขอ ง กับไสยศาสตรซึง่ เกิดจากความลกึ ลบั อาํ นาจของภูตผีปศาจ โดยยังสงผลมาถงึ ใน ของมนุษยสมัยกอ นประวตั ศิ าสตรท ี่รูจักนําสาํ รดิ และเหล็กมาทาํ เปน เครอื่ งมอื ปจ จุบนั ทม่ี ีการพ่ึงไสยศาสตรใ นการรกั ษาโรค เครอ่ื งใชต างๆ เพอื่ ประโยชนในการดาํ รงชีวติ ประจําวัน ซง่ึ มปี ระสิทธิภาพ และความคงทนมากกวาเคร่ืองมอื ท่ีทําจากหนิ มมุ IT ศกึ ษาคน ควา ขอ มูลเพ่ิมเติมเกยี่ วกับประวตั ขิ องผา ไทย ไดท ี่ http://phathai. tripod.com/html/Phathai1.html คมู อื ครู 59

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage 1. ครูนําภาพหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตรซ ่งึ เปน ๒. พัฒนาการจากชุมชนมาสรู่ ฐั โบราณ ภมู ปิ ญ ญาของรฐั โบราณในดินแดนไทย เชน สรอยคอทที่ ําจากลูกปด เมืองอูทอง พระปรางค ๒.๑ พฒั นาการจากชมุ ชนเปน็ บ้านเมือง สามยอด เมืองลพบรุ ี พระพทุ ธรปู ศลิ าขาว เมืองนครปฐม เปน ตน มาใหนักเรยี นดู จากน้ัน เมื่อชุมชนหลายๆ แห่ง หรือหลายหมู่บ้าน มีพัฒนาการมากขึ้น มีการติดต่อสัมพันธ์กับ ครูตั้งคาํ ถาม เชน ชุมชนอื่น ท�าให้ชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณท่ีเป็นศูนย์กลางของชุมชน การเดินทางไปมาสะดวกกลาย • ภาพอะไร และพบที่ใด เปน็ ศนู ย์กลางเศรษฐกจิ หรือเปน็ ชุมชนขนาดใหญ่ • ภาพดงั กลา วแสดงใหเห็นถงึ การต้งั ถน่ิ ฐาน เมื่อชุมชนรอบๆ เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กันมากข้ึน ชุมชนที่เป็นศูนย์กลางก็มีการเติบโต ของรฐั โบราณในดินแดนไทยอยา งไร มีโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่ซับซ้อนข้ึน ท�าให้เกิดการแบ่งหน้าที่ในสังคม เกิด ชนชนั้ เชน่ ชนชั้นปกครอง นกั บวช ชา่ งฝมี ือ ชาวนา จนกระทงั่ เกดิ เป็นสังคมเมือง และพัฒนา 2. จากน้ันครูสนทนากับนกั เรียนจนเขาใจวา เปน็ เมอื งในท่ีสุด จากหลกั ฐานทางประวัติศาสตรทพี่ บแสดงให จากหลักฐานทางด้านโบราณคดีสันนิษฐาน เหน็ วา ดนิ แดนภาคตา งๆ ของประเทศไทยได ได้ว่า พัฒนาการของชุมชนที่จะขยายตัวเป็น มชี ุมชนตงั้ ถน่ิ ฐานอาศัยอยมู าตง้ั แตสมยั กอน บา้ นเมอื งจะเรม่ิ ชดั เจนตง้ั แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี ๗ - ๘ ประวตั ิศาสตร และพัฒนามาเปน บา นเมอื ง โดยส่วนใหญ่จะพบมากในบริเวณที่อยู่ใกล้ทะเล แควน และอาณาจกั รตามลําดับ และที่ราบลุ่มแม่น�้ามากกว่าที่สูง เพราะมีความ สาํ รวจคน หา Explore ลูกปัดหินคาร์นีเลียน พบท่ีเมืองอู่ทอง อ�าเภออู่ทอง มอุดเี มมอื สงมทบสี่ ูรา� ณคญั ์กว ไ่าด แ้ เกช ่ ่นเม อื บงรสิเทวณงิ พคราะบ 1จสงั มหุทวดรั ภสางขคลใตา้ จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี ในภาคกลางบริเวณ ครใู หน ักเรียนศึกษาความรูเกยี่ วกบั พัฒนาการ จากชุมชนมาสูรัฐโบราณจากหนังสอื เรียน หนา 60-63 ท่ีราบลุ่มแม่น้�าท่าจีน แม่กลอง บางปะกง เจ้าพระยา ป่าสัก มีเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในประเดน็ ตอไปนี้ เมืองนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เมืองละโว้ จังหวัดลพบุรี เมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เมืองพระรถ จังหวัดชลบรุ ี เปน็ ต้น 1. พัฒนาการจากชมุ ชนเปน บา นเมือง อย่างไรก็ตามในบริเวณท่ีสูงหลายแห่งก็มีการ 2. พฒั นาการจากบานเมืองเปน แควน หรอื รัฐ พัฒนาจากชุมชนเป็นเมืองเช่นกัน ถ้าชุมชนนั้นมี 3. พัฒนาการจากแควนเปน อาณาจักร สภาพภูมิศาสตร์และส่ิงแวดล้อมที่เหมาะสมและ เอื้ออ�านวย เชน่ มที รพั ยากรที่มคี า่ หายาก เปน็ ท่ี ต้องการของชุมชนอ่ืน หรืออยู่ในเส้นทางคมนาคม ที่เป็นเส้นทางหลักในการติดต่อกับหลายๆ ชุมชน เชน่ ชุมชนบ้านปราสาท ในอ�าเภอโนนสูง จังหวัด นครราชสีมา บ้านดงพลอง อ�าเภอสตึก จังหวัด เหรียญเงิน พบท่ัวไปตามเมืองท่าชายฝั่งทะเล แสดง บรุ ีรมั ย์ เป็นตน้ ให้เห็นถึงความซับซ้อนของชุมชนท่ีพัฒนาขึ้นเป็นเมือง จากการติดต่อค้าขายกับดนิ แดนต่างๆ 60 นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เพราะเหตใุ ดชมุ ชนทีต่ ง้ั อยบู รเิ วณใกลทะเลและทีร่ าบลมุ แมน าํ้ จงึ ขยายตัว 1 เมืองสทงิ พระ ชุมชนโบราณสทิงพระเปน ชุมชนสาํ คญั ที่มีพฒั นาการตอเน่อื ง จากชมุ ชนไปสูบ านเมืองไดอยางรวดเรว็ มาจนเปน เมืองใหญ ซึ่งนา จะมศี ูนยก ลางอยูทีบ่ า นจะท้ิงพระ ตําบลจะทิง้ พระ แนวตอบ เพราะมีทําเลทีต่ ง้ั ที่เหมาะสมและเออ้ื อาํ นวยตอการขยายตวั เชน อาํ เภอสทงิ พระ จงั หวัดสงขลา ปจจบุ ันเรยี กวา ในเมอื ง (เปนทตี่ งั้ โรงเรยี นในเมือง) การอยูใกลท ะเลหรอื แมนํา้ ท่มี ที รัพยากรอดุ มสมบรู ณ เหมาะแกการนาํ มาใช ดังปรากฏรอ งรอยของคูนา้ํ คันดิน และซากโบราณสถาน โบราณวัตถจุ าํ นวนมาก เพาะปลกู หรืออปุ โภคบริโภค และการอยูในเสนทางแวะผานของผูคนจาก เมอื งสทิงพระมลี ักษณะผงั เมืองเปน รูปสีเ่ หล่ียมดานไมเทา มกี าํ แพง คเู มืองลอมรอบ ชมุ ชนอนื่ ๆ ทเ่ี ดนิ ทางไปมา ทําใหกลายเปน เมอื งทาในการติดตอ คา ขาย 4 ดาน สําหรับประวตั กิ ารกาํ เนดิ ของเมอื งสทิงพระยังไมปรากฏหลักฐานชัดเจน และมีความเจรญิ จนพัฒนาไปสบู า นเมือง สนั นษิ ฐานวานา จะเจริญรุงเรอื งมาตั้งแตพทุ ธศตวรรษที่ 12-18 ในสมัยตามพรลิงค และสมยั ศรวี ชิ ัย โดยเปนเมืองทาคาขายกับตางชาติ โดยเฉพาะจนี อนิ เดยี และอาหรับ 60 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู โครงกระดูกมนุษย พบที่บานโนนวัด ตําบล ครสู ุมตัวแทนนักเรียนออกมาอธิบาย พลสงคราม อาํ เภอโนนสงู จงั หวดั นครราชสมี า พฒั นาการจากชุมชนเปนบา นเมอื ง จากนน้ั สันนิษฐานวาเปนบุคคลสําคัญ เน่ืองจากมี ตัง้ คาํ ถามแลว ใหนกั เรียนชว ยกันตอบ เชน ส่ิงของมากมายฝงรวมอยูดวย เชน ภาชนะ ดนิ เผา ขวานสาํ รดิ ลกู ปด ตา งหทู าํ จากเปลอื ก • ชุมชนท่ีมีพฒั นาการเปน บา นเมอื งใน หอยทะเล กําไลทําจากเปลือกหอยทะเลและ ดินแดนไทยมที ีใ่ ดบา ง จงยกตัวอยา งมาพอ หนิ ออ น สังเขป (แนวตอบ เชน เมอื งอูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในชุมชนเหลานี้มีหลักฐานท่ีแสดงถึงการพัฒนาจาก เมอื งสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา เมอื งพระรถ ชุมชนเปนบานเมืองหลายประการ เชน หลุมศพท่ีมีท้ัง จงั หวัดชลบุรี บานดงพลอง อาํ เภอสตึก ศพคนธรรมดาและผูนําซ่ึงจะหันศีรษะไปคนละทางและมี จงั หวดั บรุ รี มั ย เปน ตน) ขา วของมคี า ตา งกนั มาก นอกจากน้ี ยงั มรี อ งรอยของการ ขุดคูน้ําและคันดินลอมรอบชุมชนซ่ึงจําเปนตองใช • นักเรียนจะทราบไดอ ยา งไรวาชุมชนใดมี แรงงานคนจํานวนมาก และการจัดการแบงหนาที่กัน พฒั นาการไปสกู ารเปนบานเมอื ง ทาํ งาน แสดงใหเ หน็ วา ตอ งเปน เมอื งทมี่ ผี คู นคอ นขา งมาก (แนวตอบ ชุมชนท่จี ะพัฒนาไปสูบ า นเมอื ง และมีผนู าํ ชุมชนซึ่งเปนจุดเร่ิมตน ของการพฒั นาเปนเมอื ง จะตอ งมลี กั ษณะสาํ คัญ คอื มีผูค นมากและ ปจจัยสําคัญอีกประการท่ีทําใหเกิดการพัฒนาจาก แบงหนา ทกี่ ันทํางาน และมกี ารตดิ ตอ และ ชมุ ชนเปน บา นเมือง คอื การตดิ ตอและรบั อารยธรรมจาก ปูนปนรูปหนาคนตางชาติ พบท่ัวไปต้ังแต รับวฒั นธรรมจากตา งชาติ ซ่ึงเราทราบได ตางชาติ จากหลกั ฐานทางโบราณคดี และหลกั ฐานท่เี ปน จากหลักฐานทพี่ บ เชน รอ งรอยการขดุ คนู ้ํา จเมังือหงวอัดทู นอคง รจปงั หฐวมดั สแพุ ลระรทณี่เบมุรือี เงมคือูบงัวน1คจรังชหยั วศัดรี และคนั ดินลอมรอบชมุ ชนท่ตี อ งใชแรงงาน คนจาํ นวนมาก เหรยี ญโรมันทพี่ บทเ่ี มือง อทู อง ซงึ่ แสดงถึงการตดิ ตอ กับชาวตางชาติ เปนตน ) บันทึกของตางชาติ แสดงใหเห็นวา ชุมชนหลายแหง ราชบรุ ี เหรียญโรมัน พบท่ีเมืองอูทอง อําเภออูทอง จังหวัด ไดติดตอกับตางชาติ ท้ังจีน อินเดีย โรมัน สุพรรณบรุ ี ดา นหนามีรปู พระพกั ตรดานขา งของจักรพรรดิ เปอรเซีย และรับอารยธรรมจากตางชาติ ซีซาร วิคโตรินุส กษัตริยโรมัน สวนดานหลังของเหรียญ โดยเฉพาะจากอินเดียมาใช ทําใหเกิดชนชั้น เปนรปู ของเทพอี ะธีนา ปกครองที่มีฐานะทางสังคมสูงขึ้น เชน เปน ผนู าํ ทมี่ คี วามศกั ดสิ์ ทิ ธดิ์ จุ เทพเจา ทาํ ใหช มุ ชน ทร่ี บั นบั ถอื ศาสนาเดยี วกนั มวี ฒั นธรรมรว มกนั มีความเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน สามารถ รวมกันไดโ ดยมีผูปกครองคนเดียวกัน ๖๑ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นควรรู ครใู หน กั เรยี นไปสอบถามหรือสมั ภาษณผ รู หู รอื ผมู ปี ระสบการณใ น 1 เมอื งคูบัว ตั้งอยูในเขตตําบลคูบัว อําเภอเมือง จงั หวดั ราชบุรี ในอดีตเปน ทองถน่ิ เก่ยี วกบั ความเปนบา นเมอื งในจงั หวัดทอี่ าศัยอยู แลวนาํ ผล ชมุ ชนท่มี คี วามสําคัญมากแหงหนง่ึ ในวฒั นธรรมทวารวดี เจริญรุงเรืองอยูในชว ง การสอบถามหรือสัมภาษณม าอภิปราย ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 12-17 มลี ักษณะผงั เมืองเปน รปู สีเ่ หล่ยี มผืนผาขนาดใหญ เปนเนนิ ดนิ ธรรมชาติที่อยูสงู จากระดับน้าํ ทะเลประมาณ 5 เมตร มีการกอ สรา ง คนู าํ้ 1 ชนั้ และคันดนิ 2 ช้นั ลอ มรอบตวั เมอื ง ซ่ึงเปนลักษณะของการสรา งเมอื ง แบบวัฒนธรรมทวารวดี จากการขดุ คน ทางโบราณคดีพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ กระจดั กระจายอยูเปนจํานวนมากทั้งในและนอกตัวเมอื งโบราณคบู ัวซึ่งเปน วฒั นธรรม ทวารวดที ้ังสิน้ คูมือครู 61

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หน ักเรยี นชวยกันสรปุ พฒั นาการจาก ๒.๒ พฒั นาการจากบ้านเมืองเป็นแคว้นหรอื รัฐ บา นเมืองเปน แควนหรอื รัฐ จากนัน้ ตง้ั คาํ ถามเพ่ือให นักเรียนอธิบายความรู เชน แควน หมายถึง กลุ่มเมืองหลายเมืองท่ีมารวมตัวกันอยู่ใน อาณาบรเิ วณที่มีขอบเขตค่อนขา้ งจะแน่นอน มีผู้คนจา� นวนมาก • การทบ่ี า นเมืองจะเปนแควนไดน ัน้ จะตองมี พอทจี่ ะตอ้ งมผี นู้ า� และมอี งคก์ รทางการปกครองทมี่ อี า� นาจรวม ลกั ษณะเชนไร ศูนย์ หรือมีอ�านาจเหนืออาณาบริเวณของตน และมีหน้าที่ (แนวตอบ ตองรวมตวั อยูในอาณาบริเวณท่ีมี จัดการปกครองให้เกดิ ระเบยี บและความสงบในสงั คม ขอบเขตคอ นขา งแนนอน มปี ระชากรมาก จากบนั ทกึ ของจนี ทก่ี ลา่ วถงึ แควน้ ตา่ งๆ ในดนิ แดนไทย และมผี นู าํ รวมทง้ั องคก รทางการปกครองท่ี เช่น “โถ-โล-โป-ต้ี” หรือ “แควนอี้เซ้ียนาโปลอ” หรือ มีอาํ นาจรวมศนู ย ซ่งึ มีหนา ทใ่ี นการจัดการ “อิศานปุระ” (กมั พชู า) แสดงใหเ้ ห็นว่าแตล่ ะแคว้นมีเมือง ปกครองใหเ กิดระเบียบและความสงบใน สา� คญั เปน็ ศนู ยก์ ลาง มกี ษตั รยิ ท์ ย่ี อมรบั นบั ถอื ศาสนาทมี่ า สงั คม) จากอนิ เดยี หรอื มคี นเชอื้ สายอนิ เดยี ทา� หนา้ ทที่ างศาสนา คตนราขปน้ึ รตะน้ทตับาดลนิ เแผลาะวค1วั นหขมีม่ อ้าบจาหรงกึ สอ์ ักตษรีศรปลู ลั จลักวระ บันทึกบางฉบับกลา่ วถงึ ศาสนสถาน รูปเคารพ พระสงฆ ์ • จากหลักฐานทางโบราณคดที ีพ่ บในภาคตา งๆ ชีวติ ความเปน็ อยูข่ องชาวเมอื ง ทา� ใหเ้ ห็นภาพของสงั คม พบที่เมืองจันเสน อ�าเภอตาคลี จังหวัด ของประเทศไทย บานเมอื งที่ขยายตวั เปน นครสวรรค์ แควน ในชว งพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีทใี่ ดบาง จงยกตัวอยา ง ขณะนั้นว่าประกอบด้วยชนชั้นปกครอง คือ กษัตริย์ ขุนนาง โดยกษัตริย์มีวิถีชีวิตแตกต่างจาก (แนวตอบ ภาคกลาง เชน ละโว ทวารวดี คนทวั่ ไป ทา� ใหก้ ษตั รยิ ์ไม่ใชต่ วั แทนของชนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ แตก่ ลายเปน็ ศนู ยก์ ลางของชมุ ชนและ ภาคเหนือ เชน หรภิ ุญชัย ภาคตะวนั ออก- บ้านเมอื ง และชนชน้ั ที่ถูกปกครอง คอื ชาวบา้ น โดยมีพระสงฆ ์ นกั บวช พราหมณ ์ ทา� หน้าทท่ี าง เฉียงเหนอื เชน โคตรบรู ณ ภาคใต เชน ศาสนา ตามพรลงิ ค เปน ตน ) จากการส�ารวจหลักฐานทางด้านโบราณคดี พบบ้านเมืองหลายแห่งได้ขยายตัวเป็นแคว้น ตงั้ แตช่ ่วงพทุ ธศตวรรษท ี่ ๑๒ - ๑๕ ในบริเวณภาคต่างๆ ของไทย เชน่ ทวารวด ี ละโว ้ บรเิ วณ • สภาพสังคมของแควนประกอบดวยชนชั้นใด ภาคกลาง หรภิ ุญชัย บริเวณภาคเหนอื ตามพรลงิ ค ์ บริเวณภาคใต้ เป็นต้น (แนวตอบ ประกอบดว ย ชนช้ันปกครอง คอื กษัตรยิ แ ละขนุ นาง และชนช้นั ท่ถี กู ปกครอง คือ ราษฎรทั่วไป โดยมพี ระสงฆ นกั บวช พราหมณ ทาํ หนา ท่ีประกอบพิธีกรรมทาง ศาสนา) สรอ้ ยลูกปัดทองค�าพร้อมจ้ี เปน็ เครื่องประดบั ของชนชน้ั สูง และภกิ ษอุ ้มุ บาตร ทา� ดว้ ยดินเผา พบท่อี า� เภออ่ทู อง จังหวดั สุพรรณบรุ ี แสดงการรับอิทธิพลพระพทุ ธศาสนาเขา้ มาสดู่ ินแดนสวุ รรณภมู ิ 6๒ นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT บานเมืองกบั แควนหรือรัฐมีความแตกตางกนั อยา งไร 1 เมอื งจนั เสน เปน แหลง ชมุ ชนทางวฒั นธรรมทวารวดที ีม่ คี วามสําคญั แหงหนงึ่ แนวตอบ บา นเมือง หมายถงึ ชมุ ชนแหงหนง่ึ ที่เจรญิ เติบโตขึ้น มคี วาม ในบริเวณลุม แมนา้ํ เจาพระยาฝงตะวนั ออก มีลกั ษณะผังเมอื งเปน รปู สเ่ี หลย่ี มมุมมน ซบั ซอนทางสงั คมมากขึ้นระหวางผคู นในบานเมอื งซงึ่ มหี นาทีห่ ลากหลาย ทงั้ 4 มมุ ลอมรอบดว ยคเู มือง ภายในคเู มืองมลี กั ษณะเปนเนนิ สูงกวา พื้นทีร่ อบนอก สวนแควนหรอื รฐั นน้ั คือ กลุมของบา นเมืองหลายๆ เมอื งรวมตัวกนั อยู คเู มอื ง จากการขุดคนทางโบราณคดที ําใหทราบวา ชาวจันเสนรจู กั การชลประทาน ในอาณาเขตท่คี อ นขางแนนอน และจะตอ งมผี นู าํ แควน หรือรัฐ มรี ปู แบบ ซึ่งคนในเมืองสามารถทาํ นาโดยนํานํ้าในคลองไปใชในการเพาะปลูกได นอกจากนี้ โครงสรางทางสงั คมทีซ่ ับซอ นกวาเดิม คือ มีชนชนั้ ปกครองและชนชนั้ ทถ่ี ูก ยงั มีการพบโบราณสถานและโบราณวัตถจุ ํานวนมาก เชน ทบ่ี ึงจนั เสน พบไหท่ี ปกครอง ตกแตงลวดลายตางๆ เศษภาชนะดนิ เผา แวดนิ เผาสําหรบั ใชใ นการปน ดา ย พระพมิ พด นิ เผา ลกู ปดแกว อาวธุ ตา งๆ เชน ขวานสาํ ริด หัวธนทู าํ ดว ยเหล็ก เปน ตน 62 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒.๓ พัฒนาการจากแคว้นเปน็ อาณาจกั ร 1. ครใู หนกั เรียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั พัฒนาการจากแควน เปนอาณาจกั รในประเดน็ อาณาจักร หมายถึง รัฐที่มีขนาดใหญ่ มีอ�านาจปกครองและมีอาณาบริเวณที่ชัดเจน คาํ ถามตา งๆ เชน มผี ปู้ กครองเปน็ ชนชนั้ ผนู้ า� ในสงั คม มกี ารรวมอา� นาจไวท้ ศี่ นู ยก์ ลาง มขี นุ นางทม่ี ตี า� แหนง่ ยศและ • แควนทพ่ี ฒั นาไปเปน อาณาจกั รไดนัน้ มหี นา้ ทช่ี ดั เจน เปน็ ผูช้ ่วยในการปกครองบ้านเมือง จะตอ งมีลกั ษณะอยางไร (แนวตอบ ตอ งเปนรฐั ขนาดใหญ มีอํานาจ การเติบโตจากแคว้นเป็น ปกครองและมอี าณาบรเิ วณทช่ี ัดเจน อาณาจกั รของดนิ แดนแตล่ ะแหง่ นนั้ มผี ูปกครองเปน ชนช้ันผนู ําในสงั คม มีการ มีปัจจัยแตกต่างกัน บางอาณาจักร รวมอาํ นาจไวท ่ศี ูนยก ลาง มีขุนนางท่ีมี พัฒนามาจากการเป็นศูนย์กลาง ตาํ แหนง ยศ และมีหนาท่ีชัดเจน เพ่อื เปน การค้า เช่น อาณาจักรท่ีต้ังอยู่ ผูช ว ยในการปกครองบานเมือง) บรเิ วณชายฝัง่ ทะเล ใกล้แม่น�า้ หรือ เส้นทางคมนาคม บางอาณาจักร 2. ครูใหน ักเรียนทาํ กจิ กรรมท่ี 3.2 จากแบบวัดฯ พัฒนามาจากการมีความเข้มแข็ง ประวัตศิ าสตร ม.1 ทางทหาร สามารถขยายขอบเขต อ�านาจออกไปปกครองและรวม ชมุ ชนท่ตี ั้งอยู่รมิ ชายฝ่งั ทะเล มีโอกาสพฒั นาเปน็ อาณาจกั รไดร้ วดเร็ว ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ แวน่ แคว้นอ่นื ได้ ประวัติศาสตร ม.1 กิจกรรมท่ี 3.2 อาณาจกั รหลายแห่งท่เี ติบโตข้นึ นอกจากจะมีปจั จยั เสรมิ เรื่องสภาพภมู ศิ าสตร์ ความมงั่ คัง่ หนวยที่ 3 สมยั กอนสุโขทัยในดนิ แดนไทย และความเข้มแข็งทางทหารแล้ว การขยายอ�านาจไปปกครองแว่นแคว้นอ่ืนยังต้องมีการสร้าง ความศกั ดส์ิ ทิ ธข์ิ องชนชน้ั ปกครองดว้ ย เชน่ การรบั คตเิ รอ่ื งกษตั รยิ เ์ ปน็ เทวราชา เปน็ จกั รพรรดริ าช กจิ กรรมที่ ๓.๒ ใหนกั เรียนอธิบายพัฒนาการจากชุมชนเปน บานเมอื ง เปน คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด เพอ่ื สรา้ งอา� นาจเดด็ ขาด และคตธิ รรมราชา เพอ่ื สรา้ งการเปน็ ผนู้ า� ทมี่ ที งั้ ความศกั ดสิ์ ทิ ธแ์ิ ละมคี ณุ ธรรม แควน หรอื รฐั และเปน อาณาจกั รในภมู ภิ าคตา งๆ (ส ๔.๓ ม.๑/๑) ñõ อาณาจักรยุคแรกๆ ที่มี พัฒนาการของบานเมือง อิทธิพลบนผืนแผ่นดินไทย เช่น ...............เ..ป....น....ช...ุม....ช...น....ข...น.....า...ด...ใ...ห....ญ.....ท....ี่ม...โี...ค....ร...ง....ส....ร...า...ง...ท....า...ง...ส....ัง....ค....ม........เ.ศ....ร....ษ....ฐ...ก....จิ........แ...ล....ะ...ก....า...ร...เ..ม...อื....ง...ท....ี่ซ....ับ....ซ....อ...น.....ข..น้ึ.........ม....ีก....า...ร...แ...บ....ง... อาณาจักรอิศานปุระ (กัมพูชา) ห....น.....า..ท....กี่....นั.....ใ..น.....ส....ัง...ค....ม.......เ..ก....ิด....ช...น....ช...ัน้.....ต....า...ง...ๆ......เ..ช...น........ช...น....ช....น้ั ....ป....ก....ค....ร...อ....ง......น.....ัก....บ....ว...ช......ช...า...ง...ฝ....ม...ือ.......ช...า...ว...น....า......ป....จ....จ...ยั....ท....ที่ ....าํ ..ใ...ห....เ..ก....ิด... ที่ขยายอ�านาจเข้ามาถึงบริเวณ ก....า...ร...พ....ฒั......น....า...จ...า...ก....ช...มุ....ช...น....เ..ป....น....บ....า...น.....เ.ม....อื...ง......ค....อื.......ม...กี....า...ร...ต....ดิ....ต....อ....แ...ล....ะ..ร....บั ....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....จ...า...ก....ต....า ..ง....ช...า..ต....ิ...ท....ง้ั...จ....า...ก....จ...นี........อ...นิ....เ..ด....ยี... ลุ่มแม่น�้าเจ้าพระยา และบริเวณ โ...ร...ม...น.ั .......เ.ป....อ....ร...เ..ซ...ยี......ด....งั...เ..ช...น.......ก....า...ร...พ....บ....เ..ห....ร...ยี...ญ.....โ...ร...ม...นั.....ท....เ่ี .ม....อื...ง...อ....ทู....อ...ง......จ....งั ...ห....ว..ดั....ส....พุ....ร....ร...ณ.....บ.....รุ ...ี...ห....ร...อื...ก....า...ร...พ....บ....ต....ะ...เ..ก...ย.ี ...ง...โ..ร....ม...นั.... ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ท....จี่....ัง...ห....ว...ัด....ก....า...ญ....จ....น....บ.....รุ ...ี...เ..ป...น.....ต....น.......ส....าํ...ห....ร...บั.....ช...ุม...ช...น.....ท....ข่ี...ย...า...ย...ต....ัว...เ..ป....น....บ....า...น.....เ.ม....ือ...ง......เ..ช...น........เ.ม....ือ...ง....ส....ท....งิ...พ....ร....ะ.....จ....งั ...ห....ว...ัด....ส....ง...ข...ล....า.. เม่ืออาณาจักรกัมพูชาเส่ือมอ�านาจ เ..ม...อื....ง...ย....ะ..ร....งั ......จ...ัง....ห....ว..ดั....ป....ต....ต....า...น....ี...เ..ม...อื....ง...อ....ูท ....อ...ง......จ....งั...ห....ว...ัด....ส....ุพ....ร....ร...ณ.....บ.....รุ ...ี...เ..ม...ือ....ง...น....ค....ร....ช...ัย...ศ....ร....ี...จ...ัง...ห....ว...ัด....น.....ค....ร...ป....ฐ....ม......เ..ป....น ....ต....น..... คนไทยจึงต้ังอาณาจักรท่ีเป็นของ ตนเองขึ้นในปลายพุทธศตวรรษท ่ี พฒั นาการของแควน / รฐั เฉฉบลับย ๑๘ คอื อาณาจกั รสุโขทัย ...............เ..ป....น.....ก....ล....ุม....เ..ม....ือ...ง....ห....ล....า...ย....เ..ม...ือ....ง....ท....่ีม...า...อ....ย....ูร....ว...ม...ก....ัน.....ใ...น.....อ...า...ณ......า...บ....ร...ิ.เ..ว...ณ.....ท....่ีม....ีข...อ....บ....เ..ข...ต....ค.....อ....น....ข....า...ง...แ...น.....น.....อ....น.........ม...ีผ....ูน.....ํา.. ซ....่ึง...เ..ป....น.....ก....ษ....ัต.....ร...ิย....เ..ป....น....ศ....ู.น....ย....ก....ล....า...ง...ข...อ....ง...บ.....า...น....เ..ม....ือ...ง........ท....ํ.า..ห....น.....า...ท....่ีป....ก....ค.....ร...อ....ง...ช...น.....ช...ั้น.....ท....ี่ถ....ูก....ป....ก....ค....ร....อ....ง.......ค....ื.อ........ช...า...ว...บ....า...น.... โ...ด....ย...ม....ีพ....ร....ะ...ส....ง...ฆ..... ....น.....ัก....บ....ว...ช........พ....ร....า...ห....ม...ณ...... ....ท....ํา...ห....น.....า...ท....ี่ท....า...ง...ศ....า...ส.....น....า........แ...ล....ะ...ม...ีอ....ง...ค....ก.....ร...ท....า...ง...ก.....า..ร....ป....ก....ค....ร....อ...ง....ท....ํา...ห....น.....า..ท....่ี จ....ัด....ก....า...ร...ป....ก....ค....ร...อ....ง...ใ...ห....เ..ม...ือ....ง...เ..ก....ิด....ร...ะ...เ..บ....ีย...บ.....แ...ล....ะ..เ..ก....ิด....ค....ว...า...ม...ส....ง....บ....เ..ร...ีย....บ....ร...อ....ย........เ..ม...ือ....ง...ห....ล....า...ย...แ...ห....ง....ไ..ด....ข...ย....า..ย....ต....ัว...เ.ป....น.....แ...ค....ว...น.... ต....ง้ั...แ....ต....ช ...ว..ง....พ....ุท....ธ...ศ....ต....ว...ร...ร....ษ....ท....่ี...๑...๒.....-....๑...๕.......เ..ช...น.......ท....ว...า...ร...ว...ด....ี...ล....ะ...โ..ว......ห....ร...ภิ....ุญ.....ช...ัย......เ..ป....น ....ต....น......................................................................... ........................................................................................................................................................................................................................................................ 1 พัฒนาการของอาณาจกั ร ...............เ..ป....น ....ร...ฐั....ท....มี่...ขี...น.....า..ด....ใ...ห....ญ.......ม....อี ...าํ...น....า...จ...ป....ก....ค....ร....อ...ง...แ...ล....ะ...ม...อี....า..ณ......า..บ.....ร...เิ..ว...ณ.....ท....ชี่...ดั....เ.จ....น.......ม....ผี ...ปู....ก....ค....ร...อ....ง...เ..ป....น ....ช...น....ช....น้ั ....ผ...นู.....าํ..ใ...น.... เทวสถานปรางค์แขก อา� เภอเมอื ง จงั หวัดลพบุรี แสดงให้เหน็ ถึงอิทธพิ ล ส....งั....ค....ม......โ..ด....ย...ร....ว..ม....อ...าํ...น....า...จ...ไ...ว...ท ...ศ.่ี ...นู.....ย...ก....ล....า..ง....แ...ล...ะ...ม...ขี...นุ.....น....า...ง...เ.ป....น.....ผ...ชู...ว...ย...ใ..น.....ก....า..ร....ป...ก....ค....ร....อ...ง...บ....า...น....เ..ม...อื....ง......ป....จ ...จ...ย.ั ...ท....ท่ี....าํ ..ใ...ห....แ ...ค....ว..น.... ของขอมทเ่ี ขา้ มายงั ดินแดนไทย พ....ัฒ......น....า...ไ..ป....ส....อู....า...ณ.....า...จ...ัก....ร....ม...หี....ล....า...ย...ป....ร....ะ..ก....า...ร.......เ..ช...น ........ป....จ...จ....ยั ...ท....า...ง...ภ....มู...ศิ....า...ส....ต....ร.... ...โ...ด....ย...แ...ค....ว...น.....ท....่ตี ....้งั ...อ...ย....ูบ ....ร...เิ..ว...ณ.....ช...า...ย....ฝ...ง...ท....ะ...เ..ล... ใ...ก....ล...แ...ม....น....า้ํ...ห....ร...อื....เ.ส....น.....ท....า..ง....ค....ม...น....า...ค....ม......ม....โี ..อ...ก....า...ส....จ....ะ..พ....ฒั.....น.....า..เ..ป....น....อ....า..ณ......า..จ....กั....ร...ไ...ด...ร....ว...ด...เ..ร...ว็......ห....ร...อื....ป...จ. ...จ...ย.ั ...ท....า..ง....ท....ห...า...ร......แ...ค....ว...น.... ท....มี่....คี ....ว...า..ม....เ..ข...ม ...แ...ข...็ง...ท....า...ง...ก....า...ร...ท....ห....า...ร....จ...ะ...ข...ย...า...ย...ข...อ....บ....เ..ข...ต...อ....ํา...น....า...จ...อ....อ...ก....ไ...ป....ป....ก....ค....ร...อ....ง...แ...ล....ะ...ร...ว...ม...แ...ว...น.....แ...ค....ว...น ....อ....นื่ ....ไ...ด.... ....เ..ป....น ....ต....น.... ส....าํ...ห....ร....บั ....อ...า...ณ.....า...จ....กั ....ร...ใ...น....ด....นิ....แ....ด....น....ไ...ท....ย......เ..ช...น.......อ...ศิ....า...น.....ป....ุร...ะ.....(...ก....มั ...พ....ูช...า...).....ส.....ุโ..ข...ท....ยั......เ..ป....น....ต....น.................................................................. 6๓ (พจิ ารณาคําตอบของนักเรยี น โดยใหอ ยูในดุลยพินจิ ของครผู ูส อน) ๒๗ บรู ณาการเชือ่ มสาระ นกั เรยี นควรรู ครูนาํ เนื้อหาเรอื่ งการต้ังถนิ่ ฐานของชุมชนโบราณไปบูรณาการเชอื่ มโยง 1 ปรางคแ ขก หรอื เทวสถานปรางคแ ขก เปนโบราณสถานท่ีมีอายเุ กาแกท ี่สดุ กับสาระภมู ิศาสตร หัวขอ ภูมิลกั ษณของประเทศไทย เพ่อื ที่นกั เรยี นจะได ของลพบรุ ี ตง้ั อยูใ กลกบั พระนารายณร าชนเิ วศน เปน ปรางคก อดว ยอิฐ 3 องค เขาใจวา สภาพทางภมู ศิ าสตรม ีความเกยี่ วของกบั การต้งั ถ่ินฐานของชุมชน ไดร ับอทิ ธพิ ลศลิ ปะเขมรแบบพะโค อายรุ าวพุทธศตวรรษท่ี 15 ในสมัยสมเดจ็ และเปนปจ จัยหนงึ่ ทส่ี งเสรมิ ใหชุมชนพฒั นาไปสูก ารเปน บานเมอื ง แควน พระนารายณม หาราชโปรดใหสรา งวิหารขนึ้ ดา นหนา และถังเก็บนํา้ ประปาทางดาน และอาณาจักร ทศิ ใตข องเทวสถาน บรู ณาการอาเซยี น ครูใหน ักเรยี นชว ยกนั สบื คนขอมลู เกีย่ วกับอาณาจกั รโบราณในสวุ รรณภมู ิ วาประเทศสมาชกิ อาเซียนมรี อ งรอยหลักฐานทีแ่ สดงการตง้ั บา นเมอื งในประเทศใด และอยใู นบริเวณใดบาง โดยใชแ ผนที่เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตประกอบการอธิบาย คูมอื ครู 63

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรียนทบทวนความรเู ก่ยี วกับพัฒนาการ ó. Ã°Ñ âºÃÒ³áÅÐÃ°Ñ ä·Âã¹´¹Ô á´¹ä·Â จากชุมชนมาสูรัฐโบราณ จากนนั้ ครูใหน ักเรียน แบงกลุม กลุมละ 4 คน ใหสมาชิกแตละกลุม มี กอ นทชี่ นชาตไิ ทยจะอพยพเขา มาตง้ั อาณาจกั รขน้ึ ในดนิ แดนทเี่ ปน ประเทศไทยในปจ จบุ นั นนั้ หมายเลขประจําตวั 1-4 ไดม หี ลายชนชาตติ ง้ั หลกั แหลง อยูในบรเิ วณนมี้ ากอ นแลว กลมุ ชนเหลา นี้ไดส รา งสรรคค วามเจรญิ ของตน รวมท้ังรับการถายทอดอารยธรรมจากตางชาติมาประยุกตใชดวย ตอมาชนชาติไทย 2. นกั เรียนแตล ะหมายเลขแยกยา ยไปเขา กลุมใหม ไดอพยพเขามาและตั้งอาณาจักรของคนไทยข้ึนปกครองแทนที่อาณาจักรเดิม โดยชาวไทยไดรับ ทีม่ หี มายเลขเหมอื นกนั ใหนักเรียนกลมุ ใหม อารยธรรมบางอยางจากอาณาจกั รโบราณเหลา นน้ั ดว ย ศกึ ษาความรูเก่ยี วกบั รัฐโบราณและรฐั ไทยใน นอกจากนี้ ชุมชนกอนสมัยสุโขทัยก็ไดมีการ ดนิ แดนไทยจากหนังสือเรียน หนา 64-80 สรางสรรคภูมิปญญาของตนเอง สําหรับการแกปญหาใน ตามหัวขอท่กี าํ หนดให การดาํ รงชวี ติ จนมคี วามเจรญิ กา วหนา และสามารถดาํ รงอยู หมายเลข 1 ศึกษาพัฒนาการของอาณาจกั ร ไดเปนอยางดีทามกลางสภาวะแวดลอมและธรรมชาติใน โบราณในภาคกลาง ขณะนนั้ รวมทง้ั เกดิ ผลงานของบคุ คลสาํ คญั ตอ การดาํ รงอยู หมายเลข 2 ศกึ ษาพฒั นาการของอาณาจกั ร ของแวนแควนบางแหงเทาท่ีมีหลักฐานปรากฏ อันเปน โบราณในภาคเหนอื สวนหน่ึงของพ้ืนฐานแหงความเจริญกาวหนาของชุมชน ตราดินเผารูปเรือสําเภา พบที่เมืองนครชัยศรี หมายเลข 3 ศกึ ษาพฒั นาการของอาณาจกั ร ในสมยั ตอ ๆ มาบนผนื แผน ดนิ ทเ่ี ปน ประเทศไทยในปจ จบุ นั หรือเมืองนครปฐมโบราณ แสดงใหเห็นวา โบราณในภาคใต สวุ รรณภมู มิ กี ารตดิ ตอ คา ขายกบั ดนิ แดนตา งๆ หมายเลข 4 ศึกษาพัฒนาการของอาณาจักร อยา งกวา งขวาง โบราณในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 3. นักเรียนแตล ะกลุมชวยกนั ศกึ ษาความรู เสรจ็ แลว ใหผ ลัดกนั ทบทวน ซักถามขอ สงสัย จากนนั้ กลับเขากลมุ เดิม และสมาชิกแตล ะคน ผลัดกันอธิบายความรูที่ไดศ ึกษามาใหเ พอื่ นๆ ในกลุม ฟง จนเขาใจดที ุกคน 1 ปรางคศรเี ทพ ภายในอทุ ยานประวัติศาสตรศรเี ทพ จังหวดั เพชรบรู ณ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ- ฮินดู ศลิ ปะเขมร แสดงใหเ หน็ ถงึ การตงั้ ถน่ิ ฐานของชมุ ชนเมอื งโบราณศรเี ทพในบรเิ วณลมุ แมน าํ้ ปา สกั ซง่ึ มพี ฒั นาการมายาวนานตงั้ แตส มยั กอ นประวตั ศิ าสตร ตอ มาไดร บั อทิ ธพิ ลจากทวารวดี และเขมรตามลาํ ดบั กอ นจะถกู ทง้ิ รา งไปในชว งกอ นหรอื ตน สมยั สโุ ขทยั ๖๔ เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ขอใดเปน ปจ จัยสําคัญตอการพฒั นาของชุมชนไปสูการเปนแควนและ ครคู วรใชเทคนิคเลาเร่อื งรอบวงใหน ักเรยี นผลัดกันเลา เรือ่ งท่ศี ึกษามาใหเ พอื่ น อาณาจกั ร ฟงทลี ะคน โดยสมาชิกทกุ คนใชเวลาในการเลาเทาๆ กันหรอื ใกลเ คยี งกัน หลังจาก 1. การนาํ ตวั อักษรมาใช วนครบรอบวงแลวใหนกั เรียนในกลุมทุกคนชว ยกนั สรปุ ประเด็นสําคญั 2. รูจ ักการตอ เรอื สาํ เภา 3. มกี ารจัดระเบยี บสังคม นกั เรียนควรรู 4. ไดร ับอารยธรรมจากอนิ เดีย วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. การไดรับอารยธรรมอนิ เดยี ในดานตา งๆ 1 ปรางคศรเี ทพ โบราณสถานปรางคศรเี ทพ ประกอบดวยปราสาทประธาน สง ผลใหบ านเมืองเกดิ การเปลยี่ นแปลงมีความเจริญกา วหนา ชมุ ชนเกิด อาคารรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผาเรยี กวา บรรณาลัยโคปรุ ะ กําแพง ชานชาลาหรือทางเดิน การพัฒนาไปสูการเปนแควนและอาณาจักร รปู กากบาท สะพานนาค และอาคารรปู สีเ่ หลย่ี มผืนผาที่ทอดยาวขนานกบั สะพานนาค 64 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๑ พฒั นาการของอาณาจักรโบราณในภาคกลาง 1. ครูนําซองคําถามเก่ียวกับอาณาจักรโบราณใน ภาคตางๆ ของประเทศไทย ไดแก ภาคกลาง อาณาจกั รโบราณในภาคกลางท่สี ําคญั มดี ังน้ี ภาคเหนือ ภาคใต และภาคตะวันออกเฉยี ง- ๑) อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๖) เปนอาณาจักรในสมัย เหนอื จํานวน 4 ซอง มาแจกใหกบั นักเรยี น ประวตั ศิ าสตรท่ีมหี ลักฐานแนนอนแหง แรกบนผนื แผน ดินไทย เรอื่ งราวของทวารวดปี รากฏอยูใน ทุกกลมุ บนั ทึกการเดินทางของหลวงจนี อีจ้ ิง ท่เี รียกชือ่ ในบันทึกวา “โถ-โล-โป-ตี้” วา เปนอาณาจกั รที่อยู ระหวา งอาณาจักรศรีเกษตร (พมาตอนใต) กับอาณาจักรอิศานปรุ ะ (เขมร) ซึ่งหมายความวา ตง้ั อยู 2. ครูใหน ักเรียนแตล ะกลุมเปดซองคําถามของ ในบรเิ วณลมุ แมนาํ้ เจาพระยา และอาจมศี ูนยกลางอยทู ่จี ังหวัดนครปฐม เพราะมีการพบเหรียญท่ี อาณาจกั รโบราณในภาคกลางกอน ซง่ึ ภายใน มจี ารึกภาษาสนั สกฤตวา “ศรที วารวตี ศวรปุณยะ” แปลวา “การบณุ ยข องพระเจา ศรที วารวดี” ๑๓ จะมคี ําถามเก่ยี วกับอาณาจกั รทวารวดีและ ในการขุดคนทางโบราณคดีที่เมืองนครชัยศรี อาณาจกั รละโว (จังหวัดนครปฐม) ไดพบหลักฐานสมัยทวารวดีจํานวนมาก เชน ธรรมจกั รศลิ า พระพุทธรปู ศลิ าขนาดใหญป ระทับน่งั หอย 3. ครใู หน กั เรยี นอานคําถามเก่ยี วกับอาณาจักร จพุลรปะบระาโททปณางเจแดสียดงธแรลระมฐารนวอมาถคึงาโรบทร่ีวาัดณพสรถะาเมนรขุน1หาดลใักหฐญาน ทเชานง ทวารวดกี อ น โดยใหนักเรียนระดมความคิด เหรียญเงิน ดานหนึ่งมีอักษรจารึก โบราณคดีเหลานี้แสดงใหเห็นถึงการเปนเมืองสําคัญของ รวมกนั เสร็จแลวสง ตวั แทนออกมาตอบ เปนภาษาสันสกฤตวา “ศรีทวารวตี นครปฐมในสมยั ทวารวดี และทจ่ี งั หวดั สพุ รรณบรุ ี สงิ หบ รุ ี และ ซง่ึ คาํ ถามมดี ังน้ี ศวรปุณยะ” อีกดานเปนลายหมอนํ้า • หลักฐานใดท่ีปรากฏเรื่องราวของอาณาจกั ร พบทีจ่ ังหวดั นครปฐม ชยั นาท กม็ กี ารพบเหรียญเงนิ ท่มี ีจารกึ ชอ่ื “ทวารวดี” ดว ย ทวารวดี (แนวตอบ บนั ทกึ การเดินทางของหลวงจีน »˜¨¨Øº¹Ñ ¹¡Ñ »ÃÐÇµÑ ÈÔ ÒʵÃÁ Õ¤ÇÒÁàËç¹à¡èÕÂǡѺ ๖๕ อจี้ งิ ที่เรียกชอ่ื ทวารวดีวา โถ-โล-โป-ตี้ ȹ٠¡ÅÒ§¢Í§ÍÒ³Ò¨¡Ñ ÷ÇÒÃÇ´ÕÇÒ‹ ¹‹Ò¨ÐÍ·‹Ù àèÕ ÁÍ× §¹¤ÃªÑÂÈÃÕ วา เปนอาณาจกั รทีอ่ ยรู ะหวางอาณาจักร ศรเี กษตร (พมาตอนใต) กบั อาณาจกั ร ¨Ñ§ËÇÑ´¹¤Ã»°Á àÁÍ× §ÅÐâÇŒ ¨§Ñ ËÇѴžºØÃÕ อิศานปรุ ะ (เขมร)) ¹Í¡¨Ò¡¹àÕé ÁÍ× §Í‹Ù·Í§ ¨Ñ§ËÇ´Ñ Ê¾Ø ÃóºÃØ Õ ¡Áç ¤Õ ÇÒÁÊÒí ¤ÑÞ • ศูนยก ลางของอาณาจกั รทวารวดอี ยู บริเวณใดในปจจบุ นั และทราบไดอ ยางไร ÁÒ¡´ŒÇ¹ФÃѺ (แนวตอบ สนั นิษฐานวาอยทู ี่จังหวดั นครปฐม ดงั พบเหรยี ญที่มจี ารึกภาษาสันสกฤตวา โบราณสถานท่เี มอื งโบราณอูทอง จงั หวดั สพุ รรณบุรี ศรที วารวตี ศวรปุณยะ แปลวา การบณุ ย ๑๓ ศลิ ปะทวารวดี : ตนกาํ เนดิ พุทธศลิ ปใ นประเทศไทย. สํานกั พพิ ิธภัณฑสถานแหงชาติ กรมศลิ ปากร, ของพระเจาศรที วารวดี) ๒๕๕๒. หนา ๒๘. • หลักฐานใดบา งที่แสดงใหเหน็ ถงึ ศลิ ปกรรม ทวารวดีในดินแดนไทย (แนวตอบ เชน ธรรมจกั รศลิ า พระพุทธรปู ศิลาขนาดใหญประทับนัง่ หอ ยพระบาท ปางแสดงธรรม จุลประโทณเจดีย ฐานอาคารทว่ี ดั พระเมรุ จงั หวดั นครปฐม เปน ตน ) ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู หากจะกลาววา ทวารวดีเปนอาณาจกั รโบราณในดินแดนไทยทเี่ ปน ครอู ธบิ ายใหน กั เรียนเขาใจวา พระพุทธรูปศลิ าซ่งึ พบท่ีวดั พระเมรุมีดวยกนั ท้ังสนิ้ ศนู ยก ลางของพระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาทในสมัยนัน้ นักเรยี นเหน็ ดวย 5 องค ปจ จุบนั ประดษิ ฐานอยูต ามทต่ี างๆ ไดแ ก ภายในวดั พระปฐมเจดยี  2 องค ใน หรือไม เพราะเหตใุ ด พพิ ธิ ภัณฑสถานแหงชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร 1 องค พิพธิ ภัณฑสถานแหงชาติ แนวตอบ เหน็ ดว ย เพราะหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท พี่ บในสมยั ทวารวดี เจา สามพระยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา 1 องค และในวัดหนา พระเมรุ จังหวดั เปนหลักฐานที่เกยี่ วเน่อื งกบั พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทเปนสว นใหญ พระนครศรีอยุธยา 1 องค ซึ่งพบกระจดั กระจายอยูทว่ั ไปในภมู ภิ าคตา งๆ ของประเทศไทย เชน ภาคใต พบพระพุทธรปู แบบทวารวดที จี่ งั หวัดสรุ าษฎรธ านี ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นกั เรยี นควรรู พบศิลปะทวารวดีผสมกบั ศลิ ปะขอมที่เมอื งฟาแดดสงยาง จงั หวัดกาฬสินธุ ภาคตะวันออก พบศิลปะทวารวดีท่ีจงั หวดั จนั ทบรุ ี ปราจีนบุรี เปนตน 1 วัดพระเมรุ เปนศาสนสถานขนาดใหญทีต่ ้ังอยูนอกกาํ แพงเมืองโบราณนครปฐม แตเ ดมิ มีเจดียท ่ีมมี ขุ ประดษิ ฐานพระพุทธรูปท้ัง 4 ทิศ และไดมกี ารปฏิสังขรณต อ เน่อื ง กนั มาหลายสมัย หลักฐานสําคัญทพ่ี บ คือ พระพทุ ธรปู ศลิ าประทบั น่งั หอ ยพระบาท ปางแสดงธรรม ทาํ จากหนิ สีขาวและสีเทาขนาดใหญห ลายองค ปจ จบุ นั ประดษิ ฐาน อยูตามทต่ี างๆ คูม ือครู 65

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนักเรยี นศึกษาเกีย่ วกบั ศลิ ปะทวารวดีจาก àÊÃÁÔ ÊÒÃÐ ÈÔŻзÇÒÃÇ´Õ หนังสอื เรยี น หนา 66 จากนนั้ ใหน ักเรยี นชว ยกนั ตอบคําถาม เชน ทวารวดี เป็นชื่อวัฒนธรรมหน่ึง ซ่ึงมีความเจริญในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๖ โดยมีศูนย์กลาง • นอกจากหลักฐานทีพ่ บทีจ่ งั หวัดนครปฐมแลว ยงั มีการพบหลักฐานศลิ ปะทวารวดที ีใ่ ดอีก ความเจริญอยบู่ รเิ วณลมุ่ แม่น้�าเจา้ พระยาตอนลา่ ง นักประวัติศาสตรแ์ ละนกั โบราณคดสี นั นิษฐานว่า น่าจะอยบู่ รเิ วณ (แนวตอบ ภาคใต เชน พบพระพุทธรปู แบบ เมอื งใดเมอื งหน่งึ ระหว่างนครปฐมและอูท่ อง แลว้ เจรญิ แพร่หลายไปยงั ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย เชน่ ภาคใต้ ทวารวดศี ลิ าท่จี งั หวัดสุราษฎรธ านี ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื พบศลิ ปะทวารวดี พเมบือพงฟระาพแดุทดธสรงูปยแาบงบ1จทังวหาวรัดวกดาีศฬิลสาินทธ่ีจุ์ ังแหลวะัดภสาุรคาตษะฎวันร์ธอาอนกีพภบาศคิลอปีสะาทนวพารบวศดิลีในปเะขทตวจาังรหววดัดีผจสันมทผบสุราี นจกงั หับวศัดิลปประาขจอีนมบทุรี่ี ผสมกบั ศลิ ปะขอมที่เมืองฟาแดดสงยาง จังหวดั กาฬสินธุ ภาคตะวันออก พบศลิ ปะ เปน็ ต้น เนื่องจากมีการค้นพบศิลาจารึกภาษามอญโบราณหลายช้ินในเมืองโบราณสมัยทวารวดี จึงสันนิษฐานว่า ทวารวดใี นเขตจงั หวัดจนั ทบุรี ปราจีนบุรี ชาวทวารวดีนา่ จะมเี ชอื้ ชาตมิ อญ หรืออยา่ งนอ้ ยใชภ้ าษามอญเปน็ หลกั เปนตน ) • ศิลปะทวารวดที ีพ่ บสว นใหญเ ปนหลักฐาน งานศลิ ปกรรมทวารวดที พี่ บสว่ นใหญเ่ ปน็ ศาสนสถานเนอ่ื งในพระพทุ ธศาสนา สว่ นประตมิ ากรรมนน้ั มลี กั ษณะ ประเภทใด รูปแบบทีแ่ สดงให้เหน็ ถึงการรบั อทิ ธพิ ลศลิ ปะอนิ เดียแบบคปุ ตะและหลงั คปุ ตะ (แนวตอบ ศาสนสถานและศาสนวัตถเุ น่อื งใน พระพุทธศาสนา เชน เจดยี จุลประโทณ แผ่นหินจ�าหลักภาพพระพุทธรูปปางสมาธิ สมัยทวารวดี พระพทุ ธรูปปางสมาธิ สมัยทวารวดี พบทวี่ ัดพระบรมธาตุ พระพุทธรปู ปางสมาธิ ปางแสดงธรรม ใบเสมา พบท่ีต�าบลโคกปบ อา� เภอศรมี โหสถ จังหวัดปราจนี บุรี ไชยา อ�าเภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี ธรรมจกั รกบั กวางหมอบ เปน ตน ) 2. จากนนั้ ครูใหนกั เรียนแสดงความคดิ เห็นรวมกัน ถงึ ลกั ษณะเฉพาะของศิลปะทวารวดี ฐานศลิ าจา� หลกั ภาพพทุ ธประวตั ติ อนทรงแสดงธรรม ศลิ ปะ ใบเสมา ศิลปะทวารวดี พบท่ีเมืองโบราณฟาแดดสงยาง ทวารวดี พบทว่ี ดั ไทร อา� เภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม อา� เภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสินธุ์ 66 เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT ทวารวดีมคี วามสําคญั ตอ อาณาจกั รโบราณในดนิ แดนประเทศไทยอยางไร ครูแนะนาํ ใหน กั เรยี นเปด เว็บไซต www.youtube.com หัวขอ ตามรอยทวารวดี แนวตอบ ทวารวดเี ปนหน่งึ ในอาณาจักรโบราณในดินแดนเอเชียตะวันออก- ทน่ี ครปฐม เพื่อใหนักเรยี นเขาใจในพัฒนาการของอาณาจักรทวารวดี รวมทงั้ เฉยี งใตท ่ีไดร ับอิทธิพลของวฒั นธรรมอินเดยี โดยเจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ ในบริเวณ ศลิ ปกรรมทวารวดที ม่ี ีความเจรญิ รุงเรอื งอยา งยิ่ง ภาคกลางของดนิ แดนประเทศไทย และไดแ ผขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรรม ใหแ กอ าณาจักรตา งๆ โดยเฉพาะการนบั ถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท นกั เรียนควรรู ดงั จะเห็นไดจ ากงานศิลปะทวารวดีทเ่ี กี่ยวเนื่องในพระพทุ ธศาสนาท่พี บไดท ั่ว ทกุ ภูมภิ าคของประเทศไทย 1 เมอื งฟาแดดสงยาง หรอื ฟา แดดสงู ยาง เปนเมอื งโบราณทม่ี คี นั ดินลอ มรอบ 2 ชน้ั จากหลกั ฐานทางโบราณคดที คี่ นพบ ทําใหท ราบวามีการอยอู าศยั ภายใน เมอื งมาตงั้ แตส มัยกอ นประวตั ิศาสตร แลวเจริญรงุ เรืองมากขึน้ ในสมยั ทวารวดี เมอ่ื ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 13-15 ดงั หลักฐานทางพระพุทธศาสนาท่ีปรากฏโดยทัว่ ไป ทงั้ ภายในเมอื งและนอกเมือง เชน ใบเสมาหินทราย ซึ่งจําหลักภาพเรื่องชาดกและ พทุ ธประวัติจํานวนมาก เปนตน 66 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู นอกจากนี้ มีการค้นพบจารึกโบราณที่เขียนด้วยภาษามอญ ครสู นทนากับนกั เรยี นเกยี่ วกบั ความเจรญิ ของ ในบริเวณจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี และ วฒั นธรรมทวารวดี จากน้นั ใหนักเรียนคน ควา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สันนิษฐานว่าชาวมอญเป็นเจ้าของ เพม่ิ เติมเก่ียวกับอิทธิพลของวัฒนธรรมทวารวดีใน อารยธรรมทวารวด ี และการทอี่ าณาจกั รทวารวดตี งั้ อย่ใู นบรเิ วณทรี่ าบลมุ่ ภูมิภาคตางๆ ของประเทศไทย โดยนาํ ขอมลู มา อภิปรายรวมกนั ในชน้ั เรียน แม่น�้าเจ้าพระยา แม่น�้าแม่กลอง และอยู่ใกล้ทะเล ท�าให้มีพ่อค้า ต่างชาติ เช่น อินเดีย เข้ามาติดต่อค้าขาย ทวารวดีได้รับอิทธิพล พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนแบบแผน ในการปกครองจากอินเดีย เกิดการผสมผสานจนเปน็ อารยธรรม ทวารวดีท่ีแพร่หลายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของไทย ดังพบได้จาก ธรรมจักรกับกวางหมอบ เป็นศิลปะ โบราณสถาน โบราณวัตถุ สมัยทวารวดีกระจายอยู่ท่ัวไป เช่น สมัยทวารวดี พบท่ีจังหวัดนครปฐม รูปน้ีมีนัยหมายถึงพระพุทธองค์ เ(ลมพอื บงนรุ )ีค รเชมยัอื ศงศร ีร(เี นทคพร ป1(เฐพมช)ร บเมรู ณือง)์ อเทู่มออื งง ฟ(าส้ แพุ ดรดรสณงบยรุา)ีง เ(มกาอื ฬงลสะนิ โธว)์ุ้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ณ ปา อสิ ปิ ตน- มฤคทายวัน เมืองไชยา (สรุ าษฎร์ธาน)ี เป็นต้น ทวารวดไี ดร้ บั อทิ ธพิ ลอนิ เดยี หลายอยา่ ง เชน่ ดา้ นการปกครอง รบั ความเชอื่ เรอื่ งการปกครอง โดยกษัตรยิ ์ สันนษิ ฐานวา่ การปกครองสมยั ทวารวดีแบ่งออกเป็นแควน้ มเี จา้ นายปกครองตนเอง แต่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ มีการแบ่งชนช้ันในสังคมออกเป็นชนชั้นปกครอง และ ชนชน้ั ทถ่ี ูกปกครอง ทางด้านศาสนาได้รับอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ - ฮินด ู และพระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะนกิ ายเถรวาท จนท�าให้ทวารวดี กลายเป็นอาณาจักรของชาวพุทธ มีการให้ความส�าคัญต่อการ ทา� บญุ โดยไดพ้ บจารกึ แสดงการถวายสง่ิ ของแกว่ ดั และพระสงฆ ์ รวมถงึ มีการสร้างงานศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา จา� นวนมาก ดงั พบโบราณวตั ถ ุ เชน่ ธรรมจกั รศลิ า พระพทุ ธรปู ทท่ี า� จากศลิ า สา� รดิ และทองคา� เสาหนิ แปดเหล่ยี ม ใบเสมา ทมี่ จี ารกึ แสดงพระธรรม รอยพระพทุ ธบาท พระพทุ ธรปู ศลิ าขาว ภายในวดั พระปฐมเจดยี ร์ าชวรมหาวหิ าร จงั หวัดนครปฐม และ พระพุทธรูปศิลาขาว ท่ีประดิษฐานอยู่ทางด้านทิศใต้ของ พระพุทธรูปศิลาขาว ปางแสดง องคพ์ ระปฐมเจดยี ์ในปจั จบุ นั รวมทงั้ สถาปตั ยกรรมทางพระพทุ ธ- ปฐมเทศนา ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะทวารวดี ประดิษฐานอยู่ด้านทิศ ศาสนาทส่ี า� คญั ในสมยั ทวารวด ี คือ พระปฐมเจดีย์ (องค์เก่า) ใต้องคพ์ ระปฐมเจดยี ์ จังหวัดนครปฐม ทีจ่ งั หวดั นครปฐม 6๗ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู จากหลักฐานท่ีพบในภาคตางๆ ของประเทศไทย นกั เรยี นสามารถสรปุ 1 เมืองศรีเทพ เดิมชอื่ เมอื งอภยั สาลี จากการศึกษาทางโบราณคดีทาํ ใหทราบ ความเจริญรุงเรอื งของอาณาจักรทวารวดไี ดเชนไร วาเมืองศรีเทพเปนชมุ ชนสมยั กอนประวตั ศิ าสตรตอนปลายเมอ่ื ประมาณ 2,000 ป แนวตอบ เปน วฒั นธรรมทมี่ ีความเจรญิ รุงเรืองในชว งพุทธศตวรรษที่ 11-16 ที่ผานมา ตอ มาไดพัฒนาขึ้นเปนสงั คมเมืองโดยรับวฒั นธรรมจากภายนอก ไดแ ก โดยมศี ูนยก ลางอยใู นบริเวณลมุ แมนํ้าเจา พระยาตอนลา ง สันนษิ ฐานวา วฒั นธรรมอนิ เดีย (พทุ ธศตวรรษท่ี 7-11) วฒั นธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษท่ี นา จะอยเู มืองใดเมืองหนึง่ ระหวางนครปฐมและอทู อง แลว เจรญิ แพรห ลาย 12-16) และวัฒนธรรมเขมรโบราณ (พทุ ธศตวรรษที่ 17-18) ในชวงทเ่ี มอื งศรีเทพ ไปยงั ภูมภิ าคตางๆ ของประเทศไทย ดงั จะทราบไดจ ากรอ งรอยหลกั ฐาน อยูภายใตว ฒั นธรรมทวารวดีน้ัน ไดก อ สรางศาสนสถานหลัก ไดแ ก โบราณสถาน ที่พบในที่ตา งๆ ไมว า จะเปนโบราณสถาน โบราณวตั ถุสมยั ทวารวดี เขาคลังใน โบราณสถานเขาคลังนอก ถํ้าเขาถมอรัตน และยังพบโบราณวตั ถุตางๆ เชน ธรรมจักรศลิ า จารึกเมอื งศรีเทพ พระพุทธรูป รปู พระโพธิสตั ว เปน ตน ซง่ึ แสดงใหเ หน็ วา ในชว งทรี่ บั วฒั นธรรมทวารวดี ชาวเมืองนับถือพระพุทธศาสนา เปนศาสนาหลัก คมู อื ครู 67

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หน ักเรยี นแตล ะกลมุ อา นคาํ ถามเกี่ยวกบั ๒) อาณาจกั รละโว (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘) ตง้ั อย่ใู นบรเิ วณลมุ่ แมน่ า�้ เจา้ พระยา อาณาจักรละโว และใหน ักเรียนระดมความคิด ฝั่งตะวันออก ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองละโว้ หรือจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน ละโว้เป็นเมืองส�าคัญ รวมกัน เสรจ็ แลวสงตัวแทนออกมาตอบ ซง่ึ คําถาม เมืองหนึ่งในสมัยทวารวดี สันนิษฐานว่าชาวละโว้ส่วนใหญ่เป็นชาวมอญ เพราะมีความใกล้ชิด มีดังนี้ กบั ทวารวดีมาก รวมทัง้ พบจารึกภาษามอญทอ้ งถนิ่ ที่เกา่ แก่มากบนเสาหินแปดเหลยี่ ม และจารกึ บนฐานพระพทุ ธรูปปางประทานพรท่ีลพบุร ี ในตา� นานจามเทววี งศ์ ซึ่งเปน็ ต�านานเมืองหริภุญชยั • ทาํ เลท่ตี ั้งของอาณาจักรละโวอยบู รเิ วณใด เรียกชาวละโว้ว่า “ชาวรามัญ” และมศี ูนยก ลางอยูทใี่ ด อาณาจักรละโว้ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแม่น�้าส�าคัญ ๓ สาย (แนวตอบ อาณาจกั รละโวต ั้งอยใู นบรเิ วณ ไหลผา่ น ไดแ้ ก ่ แมน่ า�้ เจา้ พระยา แมน่ า�้ ปา่ สกั และแมน่ า�้ ลพบรุ ี ทา� ใหม้ คี วาม ลมุ แมน้ําเจา พระยาฝง ตะวันออก โดยมี อดุ มสมบรู ณ ์ และมเี สน้ ทางตดิ ตอ่ กบั เมอื งในลมุ่ แมน่ า�้ ปา่ สกั ทร่ี าบสงู โคราช ศนู ยกลางอยทู เี่ มอื งละโวห รือจงั หวัดลพบรุ ี และเขตทตี่ ดิ ตอ่ กบั ทะเลสาบเขมร ซงึ่ อดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยปลานานาชนดิ ทา� ให้ ในปจ จุบัน) ละโวเ้ ปน็ ศนู ยร์ วมทรพั ยากร เปน็ ศนู ยก์ ลางการตดิ ตอ่ ระหวา่ งชมุ ชนโดยรอบ ส่งผลให้ละโว้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ท่ีมีเศรษฐกิจดี การติดต่อกับ • อาณาจกั รละโวม ีความสมั พันธก บั ทวารวดี ต่างชุมชนท�าให้ละโว้ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติท่ีส�าคัญ คือ อินเดีย และ อยางไร เมื่อพวกขอมหรือเขมรขยายอิทธิพลเข้ามาในลุ่มแม่น�้า (แนวตอบ ละโวเคยเปน เมอื งสําคญั ของ เจา้ พระยา ละโวไ้ ดก้ ลายเปน็ เมอื งประเทศราชของขอม เศทาวลรพูปรพะกราะฬนาจ1รังาหยวณดั ์ลพพบบทุรี่ี อาณาจักรทวารวดมี ากอ น ดงั พบจารกึ ภาษามอญและจารึกบนฐานพระพทุ ธรปู และรบั อารยธรรมของขอมดว้ ย ปางประทานพรทลี่ พบรุ ี หรอื ทบี่ ริเวณเจดยี  (๑) ละโวในสมยั ทวารวดี (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๖) เปน็ ช่วงทีร่ ับ วดั นครโกษา สาํ รวจพบสถาปต ยกรรมแบบ วฒั นธรรมจากอนิ เดยี คอ่ นขา้ งมาก รบั แนวคดิ เรอ่ื งการมกี ษตั รยิ ป์ กครอง ทวารวดขี นาดใหญ แสดงใหเห็นถึงการรับ มาดว้ ย แตห่ ลักฐานเกย่ี วกับรฐั และกษตั รยิ ์ในยคุ นพี้ บนอ้ ยมาก ทางดา้ น วัฒนธรรมทวารวดี โดยเฉพาะวฒั นธรรมทาง สงั คม มกี ารแบง่ ชนชนั้ ออกเปน็ ชนชน้ั สงู สามญั ชน และทาส พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท ภาษา และ ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบทวารวดี) ด้านศาสนาและความเช่ือ ศาสนาท่ีแพร่หลายและชนชั้น สงิ หป์ นู ปนั แบบทวารวดี พบท่ี ปกครองใหก้ ารอปุ ถัมภ ์ คือ พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท เพราะไดพ้ บ อ า� เภอเม ือง จงั ห วดั ลพ บรุ ี จารึกภาษาบาลีท่ีกล่าวถึงการอุทิศถวายสิ่งของ ข้าทาส ให้แก่วัด และ พบประตมิ ากรรม เชน่ พระพทุ ธรูป และธรรมจักรอยู่ในบริเวณนีม้ าก นอกจากน ี้ พระพทุ ธศาสนา นิกายมหายานก็ได้เผยแผ่อยู่ในละโว้ ดังพบพระพิมพ์ท่ีมี รปู พระโพธสิ ตั วป์ ระทบั ขา้ งพระพทุ ธเจา้ รวมทงั้ ยงั มคี วามเชอ่ื ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู จากอินเดียท่ีผ่านมาทางพวก พราหมณแ์ ละชนช้นั ปกครอง คนแคระปูนปันแบบทวารวดี พบที่ วดั นครโกษา อา� เภอเมอื ง จงั หวดั ลพบรุ ี 68 นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT อาณาจกั รละโวไ ดรบั รากฐานทางวัฒนธรรมท่ีสําคญั จากอาณาจกั รใด 1 ศาลพระกาฬ เดิมเรยี กวา ศาลสงู เปนเทวสถานของขอมสรา งดว ยศิลาแลง 1. จีน มลี ักษณะเปนปรางคเ ดี่ยวขนาดใหญ แผนผังเปนรูปสเี่ หลย่ี มจัตรุ ัส มมี ขุ ยนื่ ดา นหนา 2. อินเดยี อายปุ ระมาณตน พุทธศตวรรษท่ี 16 มีทับหลังรูปพระนารายณบรรทมสนิ ธุทาํ ดวย 3. ทวารวดแี ละขอม ศลิ าทรายวางอยตู ดิ ฝาผนงั วหิ ารหลังเล็กชน้ั บน และยังพบหลักศลิ าจารกึ อกั ษรมอญ 4. สรางขึ้นดว ยตนเอง โบราณ นอกจากน้ี ที่ศาลพระกาฬยังมฝี งู ลงิ เปนจาํ นวนมากดวย แนวตอบ ตอบขอ 3. อาณาจกั รละโวใ นชว งแรกเปน เมืองสาํ คญั ของ ทวารวดี จึงไดร ับอทิ ธิพลทางวฒั นธรรมอนิ เดียคอ นขางมาก ไมวา จะเปน มมุ IT ดานการเมือง การปกครอง ศลิ ปกรรม พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ตอ มา ภายหลังละโวอยูใตอ าํ นาจขอม จงึ ไดรับอทิ ธิพลทางวฒั นธรรมขอมในดา น ศกึ ษาคนควา ขอ มลู เพิ่มเตมิ เกย่ี วกับสถานท่สี ําคัญในจังหวัดลพบุรี ไดที่ http:// ตา งๆ เชน กฎหมาย ภาษา ศิลปกรรม พระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน lopburi.mots.go.th เวบ็ ไซตส าํ นักงานการทอ งเทยี่ วและกฬี าจังหวัดลพบรุ ี ศาสนาพราหมณ-ฮินดู เปนตน 68 คูม อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู สวนความเชื่อพื้นเมืองท่ีมีอยู ไดแก การบูชาบรรพบุรุษ การนับถือสิ่งลี้ลับ • นกั เรยี นทราบไดอยางไรวาละโวอยูภายใต เหนอื ธรรมชาติ การบชู าพระราชมารดา ซง่ึ แสดงถงึ ความเชอื่ เรอ่ื งการนบั ถอื บรรพบรุ ษุ และยกยอ งสตรี การปกครองของขอม (แนวตอบ ทราบไดจากหลักฐานตา งๆ เชน ดานเศรษฐกิจ อาชีพสําคัญของชาวละโว คือ การเกษตร เพราะมีพ้ืนท่ีอุดม- ในพงศาวดารเหนือไดก ลาวถึงเรือ่ งพระรวงสง สมบูรณ และมีการติดตอคา ขายกับชมุ ชนตางถิน่ เชน จีน อินเดยี หลกั ฐานทีแ่ สดงถงึ การตดิ ตอ สวยนํา้ ใหขอม ในศิลาจารกึ ภาษาขอมทล่ี พบรุ ี คาขายกับตางชาติ เชน เครื่องถวยจีน เหรียญกษาปณที่มีรูปพระอาทิตยคร่ึงดวง ตราสังข กม็ ีขอ ความทีแ่ สดงวาขอมเขามาปกครอง ตราบัลลังก ซึ่งพบที่พมาและกัมพูชาดวย และละโวยังไดสงทูตไปเมืองจีน โดยจดหมายเหตุจีน บรเิ วณน้ี รวมทง้ั ภาพแกะสลักขบวนแหข อง ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๙ เรียกละโววา “หลอหู” ทหารละโวท ร่ี ะเบยี งปราสาทนครวดั เปนตน ) (๒) ละโวภายใตอิทธิพลขอม (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘) อาณาจักรขอมขยาย • จงยกตวั อยา งหลักฐานทีแ่ สดงวามอี าณาจักร อิทธิพลเขามาปกครองบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และลุมแมน้ําเจาพระยาตั้งแตปลาย ละโวใ นดนิ แดนไทย พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ดังมีหลักฐาน เชน ในพงศาวดารเหนือกลาวถึงเรือ่ งราวพระรวงแหง เมอื งละโว (แนวตอบ เชน พระปรางคส ามยอด เทวสถาน สงสวยนํ้าใหขอมทุก ๓ ป ในศิลาจารึกภาษาขอมที่ลพบุรี ๓ หลัก มีขอความแสดงวาขอม ปรางคแขก เทวรปู พระโพธิสตั วอ วโลกิเตศวร เขามาปกครองบริเวณนี้ รวมท้ังภาพสลักขบวนทหารท่ีระเบียงปราสาทนครวัดก็มีตัวอักษรจารึก เทวรูปพระนารายณ ทจ่ี ังหวดั ลพบรุ ี เปนตน ) ระบชุ ่อื “ชาวละโว” เปน ตน • จากหลักฐานดังกลาว นักเรียนสามารถวิเคราะห “พลละโว” ภาพสลกั ขบวนแหของกรงุ ละโว ที่ ความรไู ดวา อยางไร ระเบียงดานทิศใตปกตะวันตกของปราสาท (แนวตอบ ชาวละโวน ับถือทัง้ พระพุทธศาสนา นครวัด ประเทศกมั พูชา เม่อื ราว พ.ศ. ๑๖๕๐ และศาสนาพราหมณ-ฮินด)ู เสร็จแลว ครชู มเชยนักเรยี นทีช่ ว ยกันแสดงความ คดิ เหน็ จากนั้นครูและนักเรยี นรวมกันสรปุ ความรู 1 ทับหลัง สมัยลพบุรี อิทธิพลศิลปะขอมแบบนครวัด พบท่ีปราสาทศขี รภูมิ จงั หวัดสุรนิ ทร ๖๙ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู จากภาพสลกั ขบวนทหารทร่ี ะเบยี งปราสาทนครวดั แสดงใหเหน็ ถึง 1 ทับหลงั เปนแทงหนิ รูปสเี่ หลย่ี มผืนผา ประดบั อยเู หนือกรอบประตทู างเขา ความสัมพนั ธร ะหวา งอาณาจกั รละโวก ับอาณาจกั รขอมอยางไร ในลกั ษณะเดยี วกบั ขอื่ เพอ่ื รบั นา้ํ หนักของชัน้ หลงั คา ทบั หลงั มี 2 ประเภท คือ แนวตอบ จากภาพสลกั ขบวนทหารทรี่ ะเบยี งปราสาทนครวดั มีตอนหนง่ึ เปน ทบั หลังจริง ซึง่ อยชู ้นั ใน ทาํ หนาท่ีรบั น้าํ หนักชน้ั หลงั คาอยา งแทจ รงิ และ ทบั หลัง ภาพทหารละโวยกทพั ไปชวยขอมรบกบั พวกจาม (เวยี ดนาม) แสดงใหเ หน็ ถึง ประดับ ซึง่ อยูชน้ั นอก เปน งานประดับสถาปตยกรรมซ่งึ นยิ มสลักลวดลายและ การทีล่ ะโวใ หก ารยกยองยอมรบั อาํ นาจอันยงิ่ ใหญของกษัตรยิ ข อมในชว งน้ัน ภาพเลาเร่ืองตางๆ ซึง่ ทบั หลงั ในแตละสมยั กจ็ ะมรี ูปแบบที่มีเอกลักษณท างศิลปะ คือ พระเจาสรุ ยิ วรมันท่ี 2 นอกจากน้ี เมอื งพระนครของขอมก็ไดอาศัยเมอื ง แตกตางกันไปท้งั ลกั ษณะการจดั วางและรายละเอยี ดการประดบั ตกแตง ดังนนั้ ละโวเ ปน ศูนยกลางทางการคมนาคมและการคาที่สําคัญทางดานตะวนั ตก ทับหลังจงึ เปน หลักฐานสาํ คญั ทสี่ ดุ อยางหน่ึงในการกาํ หนดอายศุ าสนสถานแหง นั้น และตะวนั ตกเฉียงเหนือ เพ่อื ขยายชอ งทางในการสรางความมั่งคั่งจากการคา และบอกไดว า ศาสนสถานน้นั สรา งข้ึนในศาสนาและลทั ธใิ ด ใหแ กขอมดว ย คูม ือครู 69

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครใู หนกั เรยี นดภู าพโบราณสถาน โบราณวตั ถุ เม่ือขอมเขาปกครองละโวนั้นตรงกับกษัตริยขอมสมัยพระเจา จากหนังสอื เรยี น หนา 70 แลวซกั ถามนักเรียน สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑(พ.ศ. ๑๕๔๕ - ๑๕๙๓) ขอมไดส ง ผแู ทนมาปกครองละโว ถงึ ความสําคัญของโบราณสถาน โบราณวตั ถุ ในฐานะเมอื งประเทศราช มีการออกกฎหมายบงั คบั ใชในละโว และ ดงั กลา ว และความเก่ยี วขอ งกับอาณาจักรละโว มรี ะบบตลุ าการ คอื ศาลสภา เปน ผตู ดั สนิ คดคี วาม ดงั จะเหน็ ไดจ าก ศลิ าจารกึ ภาษาขอมที่ศาลสงู จงั หวดั ลพบุรี 2. ครมู อบหมายใหนักเรียนคนควา เกยี่ วกับศิลปะ ดานศาสนา พระพุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนา ละโวเ พิม่ เติมจากแหลงการเรียนรูต างๆ จากนน้ั พราหมณ - ฮินดู ไดเขามามีบทบาทในละโวแทน นาํ ขอ มูลมาอภิปรายรว มกันในชน้ั เรียนถงึ ความสมั พันธเ กยี่ วขอ งกับศิลปะขอม พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทโดยเฉพาะในสมัย พระเจา ชัยวรมนั ที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๘๖๑) มกี ารสรา งสถาปต ยกรรม และประตมิ ากรรม ศีรษะรูปบุรุษ หรือเศียรเทวรูป ตเชาน มคพวราะมปรเชาง่ือคในส าศมายสอนดาเ1ปหรลาางนค้ีจแ ําขนกวเนทมวราปูก ศลิ ปะลพบุรี พบที่แหลงโบราณคดี เนนิ ทางพระ ตาํ บลบา นสระ อาํ เภอ สามชกุ จังหวดั สพุ รรณบุรี พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร เทวรูปพระนารายณ รูปสลักพระพรหมบน แผน ศลิ า เปน ตน หลังจากสมัยพระเจา ชัยวรมนั ที่ ๗ แลว อาณาจักรขอม เริ่มเสือ่ มอาํ นาจลง ทาํ ใหอ ทิ ธิพลขอมในละโวค อยๆ หมดตามไปดวย พระพทุ ธรปู ปางมารวิชยั สมัยลพบุรี พบทีอ่ ําเภอเมือง จังหวัดลพบรุ ี พระปรางคสามยอด อําเภอเมือง จังหวัดลพบรุ ี ๗๐ กจิ กรรมทาทาย นกั เรยี นควรรู ครูมอบหมายใหนกั เรยี นไปศกึ ษาคน ควาเกี่ยวกบั ปราสาทหินทสี่ รา งขึ้น ในสมยั พระเจา ชยั วรมนั ท่ี 7 ในประเทศกมั พูชาวา มแี หง ใดบา ง และ 1 พระปรางคสามยอด จังหวัดลพบุรี เปน ศลิ ปะเขมรแบบบายน สรางข้นึ ปราสาทหินใดทส่ี รางขึน้ รว มสมยั กับอาณาจักรละโว โดยใหห าภาพประกอบ ในรัชสมัยของพระเจา ชยั วรมันท่ี 7 ซงึ่ มีอายุราวพุทธศตวรรษท่ี 18 เพ่ือเปน และขอมลู ของปราสาทแตละแหงอยา งสังเขป แลว นาํ ขอ มลู ไปจดั ปายนิเทศ ศาสนสถานในพระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน สรางดวยศลิ าแลง หินทราย และตกแตงลวดลายปูนปน ท่สี วยงาม ตรงซุมประตเู ดิมคงมที ับหลงั แตท เี่ หลอื อยู ในปจจบุ นั คอื เสาประดบั กรอบประตูดา นลางแกะสลักเปนรปู ฤๅษีน่ังชันเขา ในซมุ เรือนแกว ซ่งึ เปนแบบเฉพาะของเสาประดบั กรอบประตศู ิลปะเขมรแบบบายน มุม IT ศกึ ษาคนควา ขอ มูลเพิ่มเติมเก่ียวกับประวตั เิ มอื งละโว ไดท่ี http://www. loppao.com เว็บไซตองคการบริหารสวนจงั หวดั ลพบุรี 70 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๒ พัฒนาการของอาณาจักรโบราณในภาคเหนอื 1. ตอ ไปครูใหน ักเรียนแตล ะกลุมเปดซองคําถาม ของอาณาจักรโบราณในภาคเหนือ ซง่ึ ภายใน อาณาจกั รโบราณในภาคเหนือทีส่ าํ คัญ มดี งั นี้ จะมคี าํ ถามเกย่ี วกบั อาณาจกั รโยนกเชยี งแสน อาณาจกั รหรภิ ญุ ชยั และอาณาจกั รลา นนา ๑) อาณาจกั รโยนกเชยี งแสน (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๙) มศี นู ยก ลางอยูทเ่ี มอื ง 2. ครใู หน กั เรยี นอา นคําถามเกยี่ วกบั อาณาจกั ร เชียงแสน (อาํ เภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) โยนกเชียงแสนกอ น จากนน้ั ใหทุกคนในกลุม และขยายอํานาจอยูในบรเิ วณใกลเคยี ง ระดมความคดิ รว มกนั เสรจ็ แลว สง ตวั แทน เรื่องราวเก่ียวกับอาณาจักร ออกมาตอบ ซึง่ คําถามมีดังน้ี โยนกเชียงแสนปรากฏอยูในตํานาน • ศนู ยกลางของอาณาจกั รโยนกเชียงแสนอยู สิงหนวัติกุมารและตํานานลวจังกราช บรเิ วณใด กลาวถึงเจาชายสิงหนวัติกุมารผูสืบ (แนวตอบ เมืองเชยี งแสน (อําเภอเชยี งแสน เชอื้ สายเจา นายไท จากมณฑลยนู นาน จงั หวัดเชียงรายในปจจบุ ัน)) ทางตะวนั ตกเฉยี งใตข องจนี ไดอ พยพ • นกั เรียนสามารถศึกษาเรือ่ งราวเกยี่ วกับ ผูคนลงมากอตั้งเมืองที่เชียงแสนชื่อ อาณาจักรโยนกเชยี งแสนไดจ ากหลักฐานใด “อาณาจกั รโยนกเชยี งแสน” และขยาย ปกหนังสือตํานานสิงหนวัติกุมาร บาง อาณาเขตออกไปอยา งกวา งขวาง ตอ มา ฉบบั สอบคน โดยมานติ วลั ลโิ ภดม (แนวตอบ เชน ตาํ นานสงิ หนวตั ิกุมาร ตาํ นานลวจังกราช เปน ตน) พวกขอมเขายึดครองอาณาจักรโยนกเชียงแสน • ในการศกึ ษาจากหลกั ฐาน นักเรียนสามารถ และขับไลผ ูป กครองเดิมออกไป พระเจาพรหม- อธิบายเก่ยี วกับพัฒนาการของอาณาจกั ร กุมาร เชื้อสายของกษัตริยโยนกเชียงแสน โยนกเชยี งแสนไดว าอยางไร สามารถกูเอกราช และสรา งเมืองใหมข ้ึนท่ี (แนวตอบ เจา ชายสิงหนวัติกมุ ารไดกอตั้ง พระบรมราชานุสาวรียพระเจาพรหม เวยี งไชยปราการ หลงั สมยั พระเจา พรหม เมอื งเชียงแสน ตอมาไมนานขอมเขา กษัตริยผูย่ิงใหญแหงอาณาจักรโยนก พวกมอญที่เมืองสะเทิมในพมาได ยดึ ครอง และพระเจาพรหม เชือ้ สายกษตั ริย เชียงแสน ประดิษฐานอยูที่อําเภอ ยกทัพมารุกราน พระเจาไชยสิริโอรส โยนกเชียงแสนสามารถกอบกเู อกราชได แมสาย จงั หวัดเชียงราย และตงั้ เมืองใหมท ี่เวยี งไชยปราการ แตหลัง สมยั พระเจาพรหม พวกมอญท่เี มอื งสะเทิม ของพระเจาพรหมจึงพาผูคนอพยพ เขามารุกราน พระเจาไชยสิริ พระราชโอรส หนมี าสรางเมอื งใหมทก่ี ําแพงเพชร ตอมาในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ ของพระเจาพรหมจงึ อพยพมาตงั้ เมอื งใหม มีการบูรณะเมืองเชียงแสนและมีกษัตริยไปปกครองอีก ทีก่ าํ แพงเพชร และตอ มาไดมีการอพยพ จนกระทั่งในพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ อาณาจักรโยนกเชยี งแสน กลบั ไปทเ่ี ชียงแสนอีกครง้ั จนในทสี่ ุดตกเปน จึงถกู รวมเขา เปนสวนหนงึ่ ของอาณาจักรลา นนา สวนหน่ึงของอาณาจักรลานนา) 1 เจดยี ว ดั ปา สกั อาํ เภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งราย เปนโบราณสถานที่เปนมรดกตกทอดมาจาก อาณาจักรโยนกเชยี งแสน ๗๑ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู เพราะเหตุใดอาณาจกั รโยนกเชยี งแสนจึงตองยายศูนยกลางการปกครอง 1 เจดียวัดปา สัก เปนเจดียท ่สี รางขน้ึ ในสมยั พระเจา แสนภู พระราชนัดดาของ หลายครง้ั พระยามังรายมหาราช เมอ่ื ประมาณ พ.ศ. 1838 เพ่อื ประดษิ ฐานพระบรมสารรี ิกธาตุ (กระดูกตาตมุ ขา งขวา) จากเมืองปาฏลบี ุตร เจดยี ประธานทรงมณฑปยอดระฆัง 1. ถกู ศตั รรู กุ ราน ตกแตง ดว ยลวดลายปูนปน ที่สวยงาม ดว ยเหตทุ ี่พระเจา แสนภโู ปรดใหป ลูกตนสกั ไว 2. ไดร ับภัยธรรมชาติ โดยรอบ จงึ เปนที่มาของชื่อวดั ปาสัก 3. ทาํ เลท่ตี ง้ั ไมเ หมาะสม 4. ตองการหาทางออกทะเลเพอ่ื คา ขาย มุม IT วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ดงั จะเหน็ ไดจากในชว งแรกถูกขอมเขา ศกึ ษาคนควา ขอ มลู เพมิ่ เตมิ เก่ยี วกบั อาณาจักรโยนกเชียงแสน ไดท ี่ http:// web.chiangrai.net/tourcr/Trip/Ancient-Chiangsaen/Yonok.html เวบ็ ไซต ยึดครอง จงึ ยายไปสรา งเมืองใหมท เ่ี วียงไชยปราการ ตอ มาภายหลงั ถูก ศนู ยบ ริหารจดั การการทองเทยี่ ว จงั หวัดเชยี งราย พวกมอญทเ่ี มอื งสะเทิมของพมา รกุ ราน จงึ ตองอพยพมาสรา งเมอื งใหมที่ กําแพงเพชร ตอ มาในพุทธศตวรรษท่ี 18 ไดกลับมาทีเ่ มอื งเชียงแสนอกี คร้ัง และในพทุ ธศตวรรษที่ 19 ก็ถกู รวมเขากับลานนา คมู ือครู 71

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ตอ ไปครูใหน ักเรียนอานคาํ ถามเกย่ี วกับ ๒) อาณาจกั รหรภิ ญุ ชยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๙) ตั้งอยทู ่ีเมืองหรภิ ญุ ชยั หรอื อาณาจกั รหรภิ ุญชัย จากนั้นใหทกุ คนในกลมุ ระดม จงั หวดั ลาํ พนู ในปจจุบัน และขยายอทิ ธิพลอยูในบรเิ วณใกลๆ เทานน้ั ในตาํ นานจามเทววี งศห รือ ความคดิ รวมกนั เสร็จแลว สงตัวแทนออกมาตอบ ตํานานเมืองหริภญุ ชัย กลา ววา ฤๅษวี าสเุ ทพเปน ผูสรา งเมอื งหริภญุ ชัย และขอใหก ษัตริยละโวสง ซง่ึ คาํ ถามมีดงั น้ี เช้ือพระวงศมาปกครอง ละโวจึงสงพระนางจามเทวีผูเปนพระราชธิดามาเปนปฐมกษัตริยแหง หรภิ ญุ ชยั และในตาํ นานมลู ศาสนาไดก ลา วถงึ สงิ่ มงคลทพี่ ระนางจามเทวขี อจากพระราชบดิ า ไดแ ก • ศูนยกลางของอาณาจักรหรภิ ญุ ชยั ตง้ั อยู พระสงฆ ๕๐๐ รูป ชางแกวแหวน ชา งเงิน ชา งทอง ชา งเหลก็ ชา งเขียน พอเลีย้ ง หมูหมอโหร บรเิ วณใด ไปชวยสรางเมอื งหริภุญชยั จนรงุ เรอื ง (แนวตอบ เมืองหริภญุ ชัย หรอื จงั หวัดลําพนู ใน สนั นษิ ฐานวา ชาวหรภิ ญุ ชยั เปน ชาวมอญจากเมอื งละโวท อี่ พยพ ปจจุบนั ) ขน้ึ ไปอยทู ห่ี รภิ ญุ ชยั เพราะในตํานานจามเทวีวงศเรียกชาวหริภุญชัยวา “ชาวรามญั ” และเรยี กกษตั รยิ ห รภิ ญุ ชยั วา “พระเจา รามญั ” ในระยะแรก • หลักฐานใดทีป่ รากฏเรือ่ งราวของอาณาจักร หริภุญชัยและละโวมีความสัมพันธท่ีดีตอกัน แตตอมา หรภิ ุญชยั เกิดการสูรบกัน สงผลใหหริภุญชัยตกอยูภายใต (แนวตอบ เชน ตาํ นานจามเทววี งศ ตํานาน อํานาจของละโวหลายคร้ัง ในปลายพุทธศตวรรษท่ี มลู ศาสนา เปนตน ) ๑๖ - ๑๗ แมวากองทัพละโวจะไมสามารถ เอาชนะได แตก็ทําใหหริภุญชัย • นกั เรยี นทราบไดอยา งไรวา อาณาจักร ออนแอลง ประชาชนเดือดรอนจึง หรภิ ญุ ชัยมีความสัมพันธท่ดี ีตอ ละโว อพยพไปอยูที่อ่ืน จนถึงประมาณ (แนวตอบ ในตาํ นานจามเทวีวงศเ รียกชาว ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ พระเจา หริภุญชัยวา ชาวรามญั และเรยี กกษัตรยิ  อาทิตยราชไดปกครองหริภุญชัย และ หริภญุ ชัยวา พระเจา รามญั นอกจากน้ี ไดส รา งความเจรญิ รงุ เรอื ง โดยเฉพาะการทาํ นบุ ํารงุ กษตั รยิ ล ะโวย งั สง พระนางจามเทวซี ง่ึ เปน พระพทุ ธศาสนา ทรงสรา งพระธาตหุ รภิ ญุ ชยั สรา งวดั พระราชธิดามาเปน ปฐมกษตั ริยแ หง หริภญุ ชยั ทําใหบานเมืองมีความสงบสุข พรอ มพระสงฆ 500 รูป ชา งแขนงตางๆ ตอเนื่องมาจนถึง พ.ศ. ๑๘๓๕ มากมายดว ย) พระยามังรายมหาราชแหง • อาณาจักรหรภิ ญุ ชัยลมสลายลงเพราะเหตุใด (แนวตอบ ถูกพระยามังรายมหาราชแหง ลา นนาเขา โจมตแี ละยึดครองเปน สว นหนึง่ ของอาณาจักรลา นนา) อาณาจักรลานนา ยกทพั มา โจมตีและรวมอาณาจักร หริภุญชัยเขาเปนสวนหนึ่ง 1 ของอาณาจักรลานนา (ภาพใหญ) พระธาตหุ รภิ ญุ ชยั จงั หวดั ลาํ พนู ศลิ ปกรรม ในพระพุทธศาสนาของอาณาจักรหรภิ ญุ ชัย (ภาพเลก็ ) พระบรมรปู พระนางจามเทวี ปฐมกษตั รยิ ข อง อาณาจกั รหริภุญชยั ๗๒ นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดกลา วถงึ อาณาจกั รหริภุญชยั ผิดไปจากความเปนจริง 1 พระธาตหุ รภิ ญุ ชัย มีรูปทรงลงั กา เปนปชู นียสถานสาํ คญั ของเมืองหริภญุ ชยั 1. นิยมสรางเมืองบริเวณทีล่ ุม ทพ่ี ระเจาอาทิตยราชทรงเปนผสู ถาปนาข้นึ เพ่อื ประดษิ ฐานพระบรมสารีรกิ ธาตุ 2. มีสายสมั พนั ธท ดี่ กี ับละโว (ธาตกุ ระหมอ ม ธาตกุ ระดูกอก ธาตกุ ระดกู นวิ้ มอื และธาตุยอย) ของพระพุทธเจา 3. กอ ตงั้ โดยผนู ําจากสุโขทยั และเปน ทเี่ คารพเลื่อมใสศรัทธาของชาวลาํ พนู ตัง้ แตอ ดีตมาจนถึงปจจบุ ัน 4. ถกู ลานนายึดครองในภายหลงั นอกจากนี้ พระธาตุหริภุญชยั ยงั เปน พระธาตปุ ระจําปเกิดประกาดว ย วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การกอ ตัง้ ของอาณาจักรหริภุญชัยไมได เก่ยี วของกบั ผูนําสโุ ขทยั แตเ ปนละโวท ส่ี งพระนางจามเทวี พระราชธดิ าของ มุม IT กษตั รยิ ละโว มาเปน ผกู อ ตงั้ หรภิ ุญชัย ศกึ ษาคนควาขอ มูลเพ่มิ เติมเก่ยี วกับอาณาจกั รหรภิ ญุ ชยั ไดที่ http://www. lamphun.go.th เวบ็ ไซตจ ังหวดั ลาํ พนู 72 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) อาณาจักรลานนา (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ - ๒๕) อาณาจักรลา นนารุงเรอื งขน้ึ ครใู หน กั เรยี นอานคําถามเกยี่ วกบั อาณาจักร ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ มีศูนยกลางอยทู ่ีเมืองนพบรุ ศี รีนครพงิ คเชยี งใหม (จังหวดั เชียงใหม) และ ลา นนา จากน้นั ใหทุกคนในกลุม ระดมความคิด ขยายอํานาจการปกครองไปทั่วดินแดนภาคเหนือ ผูกอต้ังอาณาจักรลานนา คือ พระยา รวมกนั เสรจ็ แลว สง ตัวแทนออกมาตอบ มงั รายมหาราช (พ.ศ. ๑๘๐๔ - ๑๘๕๔) ซึ่งเดิมปกครองเมอื งเชียงแสนในตน พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ ซง่ึ คาํ ถามมดี งั น้ี ขณะนนั้ ในภาคเหนือมอี าณาจกั รใหญนอ ยหลายแหง เชน หรภิ ุญชัย เขลางคน คร (ลาํ ปาง) โยนก- เเขชาียดงแวยสกนนั เพปรน ะอยาาณมังารจากั ยรมลาหนานราาชสแาลมะตารั้งถราปชรธาาบนปแี รหามง ใแหลมะขรว้ึนบทร่ีเววมียงแกวุมนกแาคมวน1(ตปาจงจๆบุ ันใอนยภูใานคอเาํหเนภืออ • ราชธานีแหง แรกของอาณาจักรลานนาอยู สารภี จงั หวดั เชยี งใหม) ราว พ.ศ. ๑๘๓๗ แตป ระทบั อยเู พยี ง ๒ ป๑ ๔ กย็ า ยเมอื งไปอยทู เี่ ชยี งใหมใ น บริเวณใด และตอ มายา ยมาอยูท ่ใี ด พ.ศ. ๑๘๓๙ (แนวตอบ เวียงกุมกาม (ปจ จบุ นั อยูในอาํ เภอ อาณาจกั รลานนามีความเจรญิ รุงเรอื งหลายดา น ทสี่ าํ คัญมีดงั น้ี สารภี จังหวัดเชยี งใหม) ตอ มายายมาอยูที่ (๑) ดานการปกครอง ลานนาสามารถขยายอาณาเขตออกไปอยางกวางขวาง เมืองนพบรุ ศี รนี ครพิงคเ ชยี งใหม หรอื จังหวดั โดยรวบรวมหวั เมอื งตางๆ เชน เขลางคนคร นครพิงค แควน โยนก หริภญุ ชัย เขาเปนสว นหนง่ึ เชยี งใหมในปจ จุบัน) ของอาณาจักรลานนาซ่ึงปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย มีกฎหมายที่ใชปกครอง เรียกวา “มงั รายศาสตร” • ใครคอื ผูกอตั้งอาณาจกั รลา นนา (๒) ดานศาสนา ลานนารับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศจากสุโขทัยและพมา (แนวตอบ พระยามงั รายมหาราช) มีการสังคายนาพระไตรปฎกใน พ.ศ. ๒๐๒๐ นับเปน การสงั คายนาพระไตรปฎ กเปนครงั้ ที่ ๘ มกี าร สรา งวัดหลายแหง เชน วัดเจดยี หลวง วัดโพธารามมหาวหิ าร (วัดเจดยี เจด็ ยอด) เปน ตน และมี • ความเจริญรงุ เรืองของอาณาจักรลานนา การอุปถัมภพระสงฆ นกั เรยี นทราบไดจากอะไร (๓) ดา นภาษา ลา นนามตี วั อกั ษรของตนเองใช ๓ แบบ คอื อกั ษรธรรมลา นนา 2 (แนวตอบ เชน การมกี ฎหมายใชป กครอง หรืออกั ษรตัวเมืองซ่ึงใชกันอยางแพรหลาย อักษรฝกขามท่ีดัดแปลงมาจาก เรยี กวา มงั รายศาสตร การสรา งวัดวาอาราม ตัวอกั ษรของพอขนุ รามคาํ แหงมหาราช และอักษร เชน วัดเจดียห ลวง วัดโพธารามมหาวหิ าร ขอมเมอื งหรอื อกั ษรไทยนเิ ทศ ซง่ึ ดดั แปลงมาจาก (วดั เจดียเจ็ดยอด) การมีตัวอกั ษรใชเ ปนของ อกั ษรสองแบบแรก ตนเอง ซ่งึ มอี ยู 3 แบบ ไดแก อักษรธรรม- ลานนาหรืออักษรตัวเมอื ง อักษรฝก ขาม ซากเวียงกุมกาม ซง่ึ เคยเปนราชธานขี องอาณาจักรลา นนามาช่วั ระยะเวลาหนง่ึ อกั ษรลา นนาไดร บั อทิ ธพิ ลจาก และอกั ษรขอมเมืองหรอื อักษรไทยนเิ ทศ อักษรสุโขทัย ซึ่งมีปรากฏใน เปนตน) จารกึ วดั พระยนื จงั หวดั ลาํ พนู • การลม สลายของอาณาจักรลา นนาเกิดจาก ๑๔ สรัสวดี อองสกุล. เวียงกุมกาม : การศึกษาประวัติศาสตรชุมชนโบราณในลานนา. พิมพคร้ังท่ี ๔. โรงพิมพ สาเหตใุ ด within Design Co.Ltd, ๒๕๔๘. หนา ๔๔. (แนวตอบ ความขดั แยงภายในระหวา ง ผูปกครองและขุนนาง ทําใหพมาและอยธุ ยา ผลดั กนั ขยายอํานาจเขา ไปครอบครอง จนถงึ ในสมัยธนบรุ ี ลานนาไดต กเปนประเทศราช ของไทย และในสมัยรตั นโกสนิ ทร รัชกาลที่ 5 ทรงรวมลานนาเขาเปนสว นหน่ึงของไทย) ๗๓ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู เพราะเหตุใดพระยามงั รายมหาราชจึงไดยา ยเมอื งหลวงจากเวยี งกุมกาม 1 เวียงกุมกาม เมอื งหลวงแหง แรกของอาณาจกั รลานนา ลม สลายลงเพราะถูก มาอยูทเ่ี มอื งเชยี งใหม น้ําทว มครง้ั ใหญ ทําใหเวียงกมุ กามหมดความสําคญั และถูกทิ้งใหร กรา งสบื ตอ มา แนวตอบ เนือ่ งจากเวียงกมุ กามถูกน้าํ ทวมครงั้ ใหญ สง ผลใหส ภาพ จนกระท่ังถงึ สมัยรชั กาลท่ี 5 เวยี งกมุ กามมสี ภาพเปน ชุมชนอกี คร้งั ภายใตช ือ่ บา นเมืองเสียหายยบั เยนิ เปน อยา งมาก หากจะซอ มแซมใหกลบั มาดดี งั เดิม บานชางค้าํ และมีความสาํ คัญตอประวัตศิ าสตรลา นนาในฐานะชมุ ชนโบราณเมื่อ คงเสยี เวลาและคาใชจ า ยมาก ดังนนั้ จึงเลือกท่ีตง้ั ใหมท ่เี หมาะสมกวาเดมิ พ.ศ. 2527 กค็ อื เมืองเชียงใหม 2 อักษรธรรมลานนา หรอื เรียกอกี ชือ่ หนง่ึ วา อักษรตวั เมือง อกั ษรชนิดนีพ้ ฒั นา มาจากอกั ษรมอญโบราณ และอาจสืบโยงไปถงึ อักษรพราหมขี องอินเดยี เปน อกั ษร ทีน่ ิยมใชจ ารคมั ภีรใ บลาน ซง่ึ เปน คมั ภรี ทางพระพทุ ธศาสนา นอกจากนย้ี ังนิยมใช บนั ทึกความรูตางๆ ในรปู ของสมุดที่ทาํ มาจากเปลอื กของไมสา เรียกวา พบั สาหรือ พับหนงั สา คูมอื ครู 73

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู ุมนักเรียนใหอ ธิบายความเจรญิ รงุ เรอื งของ อาณาจักรล้านนาเจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าติโลกราช 1(พ.ศ. ๑๙๘๔ - ๒๐๓๐) สมัยนี้ อาณาจักรลานนามาพอสังเขป จากนัน้ ใหน กั เรียน ลา้ นนามคี วามเขม้ แขง็ มาก และไดท้ า� สงครามกบั อาณาจกั รอยธุ ยาในสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ชว ยกนั สรุปพฒั นาการของอาณาจกั รลานนา แลว (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ตดิ ตอ่ กันเกอื บ ๒๔ ปี เขยี นบนกระดานดาํ หนา ชัน้ เรยี นเพ่ือเปนการทบทวน ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ ลา้ นนาออ่ นแอลงเพราะความแตกแยก ความรู ของผปู้ กครองและขนุ นาง ดงั นน้ั ขนุ นางกลมุ่ หนง่ึ ไดเ้ ชญิ พระไชยเชษฐาธริ าช ซึ่งมีเชื้อสายล้านนาจากอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) มาเป็นกษัตริย์ ของล้านนาระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๙ - ๒๐๙๑ แต่เมื่อพระโพธิสารราช ผู้เป็นพระบิดาส้ินพระชนม์ จึงกลับไปครองอาณาจักรล้านช้าง ดังเดมิ ความอ่อนแอของล้านนาท�าใหพ้ ม่าและอยุธยาขยาย อา� นาจเขา้ ไป จนตอ้ งตกเปน็ ประเทศราชของพมา่ ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ หลงั จากน้นั กถ็ ูกพม่าและอยุธยาผลัดกันเข้ายดึ ครอง ในบางครงั้ ก็เป็นอสิ ระ จนในสมัยธนบรุ ี ลา้ นนาจึงตกเปน็ ประเทศราชของ ไทย และในสมัยรตั นโกสินทร ์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ - พระบรมราชานุสาวรีย์พระยามังราย เจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) ทรงรวมล้านนาเข้ามาเป็น มหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักร สว่ นหนงึ่ ของราชอาณาจักรสยาม ลา้ นนา ประดิษฐานอย่ทู ่ีอ�าเภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งราย วดั เจดยี ห์ ลวง 2ศลิ ปกรรมในพระพทุ ธศาสนาของอาณาจักรล้านนา ๗๔ นักเรยี นควรรู กิจกรรมทา ทาย 1 พระเจาติโลกราช ทรงสรา งความม่ันคงภายในลานนาตลอดเวลาทีค่ รองราชย ครแู นะนําใหนักเรยี นไปสบื คน เพิ่มเตมิ เกยี่ วกบั อทิ ธพิ ลของอาณาจกั ร 46 ป สามารถยดึ ไดเ มอื งนาน เมอื งแพร จากนั้นจงึ ขยายอาํ นาจลงสูทางใต ทรง ลา นนาทยี่ งั คงหลงเหลอื ใหเห็นอยูในปจจุบนั จากนน้ั บนั ทึกสาระสาํ คัญ ทาํ สงครามกับอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนานถงึ 24 ป ทรงขยาย นาํ สงครูผูสอน อาณาเขตถึงลา นชา ง ดา นตะวันตกขยายออกไปถึงรัฐชานของพมา พระองคทรง เลอ่ื มใสและทํานุบาํ รงุ พระพุทธศาสนา ทาํ ใหฝ ายลังกาวงศใหมร ุงเรืองมาก มกี าร ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT สังคายนาพระไตรปฎกใน พ.ศ. 2020 ที่วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจดยี เจ็ดยอด) อาณาจักรลา นนากอตั้งขึน้ ไดอยางไร จงอธบิ ายมาพอเขา ใจ นบั เปน การสังคายนาพระไตรปฎกคร้งั ท่ี 8 ของโลก แนวตอบ การกอเกิดของอาณาจกั รลานนาเรมิ่ ตนจากพระยามงั รายมหาราช 2 วดั เจดยี ห ลวง เปนวัดท่มี ีเจดียใหญทส่ี ดุ ของจงั หวัดเชยี งใหม สรางขน้ึ ในสมัย กษตั ริยผูครองแควน โยนก ไดขยายอาํ นาจออกไปโดยรอบพรอ มกบั ยาย พระเจาแสนเมอื งมาแหงราชวงศม ังราย (พ.ศ. 1913-1954) ตอ มาในสมัยพระเจา ราชธานมี าอยูท่เี มอื งเชยี งราย และใชเ ชียงรายเปนศนู ยกลางรวบรวมหัวเมือง ติโลกราชโปรดใหช า งขยายเจดียใหสูงและกวางกวาเดมิ แลว เสร็จเมือ่ พ.ศ. 2024 ตา งๆ เขา มาไวในอาํ นาจ เชน แควน หริภญุ ชยั เขลางคน คร (ลําปาง) และอญั เชญิ พระแกวมรกตมาประดิษฐานระหวาง พ.ศ. 2011-2091 ภายหลงั เกดิ เปนตน ทาํ ใหแ ควนโยนกขยายใหญข นึ้ และพฒั นามาเปนอาณาจกั รลานนา แผน ดนิ ไหวครง้ั ใหญเ ม่อื พ.ศ. 2088 ทาํ ใหยอดเจดียหักโคนลง ปจจบุ นั เจดียมี ความสูงเหลือ 40.8 เมตร 74 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓.๓ พฒั นาการของอาณาจักรโบราณในภาคใต ้ 1. ครใู หน กั เรยี นแตล ะกลุมเปดซองคําถาม ของอาณาจักรโบราณในภาคใต ซง่ึ ภายใน อาณาจกั รโบราณในภาคใตท้ ่ีส�าคญั มดี งั นี้ จะมีคาํ ถามเกยี่ วกบั อาณาจกั รลังกาสกุ ะ อาณาจกั รตามพรลิงค และอาณาจักรศรวี ชิ ัย ๑) อาณาจักรลังกาสุกะ (พุทธศตวรรษที่ ๗ - ๒๓)* ตั้งข้ึนประมาณครึ่งหลัง 2. ครูใหนักเรียนอา นคําถามเก่ยี วกับอาณาจักร พุทธศตวรรษที่ ๗ มีหลักฐานปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุของจีน มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นท่ี ลงั กาสุกะกอ น จากน้นั ใหทกุ คนในกลุมระดม ในเขตจงั หวัดปัตตานีและจงั หวดั ยะลา มศี ูนยก์ ลางอย่ทู ี่อ�าเภอยะรัง จังหวดั ปัตตานี ความคดิ รวมกัน เสรจ็ แลวสง ตัวแทนออกมา อาณาจักรลังกาสุกะพัฒนาข้ึนมาจากการเป็นเมืองท่าส�าคัญท่ีมีการติดต่อค้าขาย ตอบ ซ่ึงคาํ ถามมีดงั น้ี กับต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย แต่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมากกว่า โดยส่งทูตไป • ศนู ยกลางของอาณาจกั รลังกาสุกะอยู เมืองจีนถึง ๖ คร้ัง ในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พลเมือง บรเิ วณใด สว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวพน้ื เมอื งและมพี อ่ คา้ ตา่ งชาตปิ ะปนอยดู่ ว้ ย ลงั กาสกุ ะมอี ารยธรรมทรี่ งุ่ เรอื งและมี (แนวตอบ อําเภอยะรงั จงั หวัดปตตานีใน สถาบันกษตั ริยท์ ป่ี กครองสบื ตอ่ กนั มายาวนาน ตอ่ มาตกอยภู่ ายใต้อทิ ธพิ ลของอาณาจักรศรวี ิชัย ปจจบุ ัน) อาณาจกั รลงั กาสกุ ะเปน็ ศนู ยก์ ลางสา� คญั ของพระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน ดงั ปรากฏ • นักเรยี นทราบไดอ ยางไรวา อาณาจกั ร หลกั ฐานจากจดหมายเหตขุ องหลวงจนี อจ้ี งิ และจากการขดุ คน้ ทางโบราณคดที อี่ า� เภอยะรงั จงั หวดั ลังกาสกุ ะเปน ศูนยกลางสําคัญของ ปัตตานี พบประติมากรรมส�าริดรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และสถูปจ�าลองรูปทรงต่างๆ พระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน จา� นวนมาก ทา� ให้สันนษิ ฐานว่าเป็นแหลง่ ผลิตสถูปจ�าลองเพอื่ ส่งออก รวมท้งั มีการนบั ถอื ศาสนา (แนวตอบ หลกั ฐานตางๆ เชน จดหมายเหตุ พราหมณ์ - ฮินดู ลทั ธิไศวนิกายด้วย ของหลวงจีนอี้จงิ และการขุดคนทาง โบราณคดีท่ีอําเภอยะรัง จงั หวัดปต ตานี โบราณสถานเมืองโบราณยะรงั อ�าเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๔ พบประตมิ ากรรมสํารดิ รูปพระโพธสิ ตั ว *ชาวต่างชาติ คอื ชาวอาหรับ กลา่ วถงึ ลังกาสกุ ะเป็นพวกสดุ ทา้ ยใน พ.ศ. ๒๐๕๔ แต่การขดุ ค้นทางโบราณคดีท่ียะรัง อวโลกเิ ตศวร และสถปู จาํ ลองจํานวนมาก เปน ตน) แสดงวา่ ลงั กาสกุ ะยงั มกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายอยา่ งกวา้ งขวางระหวา่ งพทุ ธศตวรรษท ี่ ๑๙ - ๒๓ อา้ งองิ จาก กรมวชิ าการ. ประวตั ศิ าสตร • การปกครองในอาณาจักรลงั กาสุกะมี ไทยจะเรยี นจะสอนกนั อยางไร. หนา้ ๕๙ และชาร์ลส ไฮแอม และรัชนี ทศรัตน.์ สยามดึกดําบรรพ ยุคกอ นประวตั ศิ าสตร ลักษณะอยางไร ถงึ สมยั สุโขทยั . หน้า ๑๘๙ - ๑๙๑. (แนวตอบ ปกครองโดยพระมหากษตั รยิ ) • อาณาจักรลงั กาสุกะลม สลายลงดว ย เหตผุ ลใด (แนวตอบ ถกู อาณาจกั รศรวี ชิ ยั เขา โจมตีและ ยึดครอง) ๗๕ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู ปจจัยสําคญั ทีท่ าํ ใหเกดิ การกอตวั ของชุมชนบรเิ วณคาบสมทุ รภาคใต ครูอธบิ ายใหน ักเรยี นเขา ใจวา อาณาจกั รโบราณในดินแดนไทยในอดตี มกี ารรบั มาจากอะไร เพราะเหตุใด และสงผานวฒั นธรรมซ่งึ กันและกนั และมีการรบั วฒั นธรรมจากตางชาติ จากนัน้ แนวตอบ ปจจัยสําคัญเกดิ ข้นึ จากอทิ ธิพลทางการคาขาย เนื่องจากทาํ เล ใหนกั เรียนในช้นั เรยี นชว ยกนั แสดงความคดิ เห็นวา อาณาจกั รใดรับวฒั นธรรมจาก ทต่ี ง้ั บรเิ วณคาบสมุทรภาคใตแ ถบชายฝงทะเลเหมาะแกการเปน จดุ แวะพกั ที่ไหนไปบา ง เรอื สนิ คาของบรรดาพอคา ท่เี ดนิ ทางเขา มาคา ขาย ทําใหชมุ ชนแถบนมี้ ี ความรงุ เรอื งจากการคา และพฒั นาไปสูก ารเปน แควน และอาณาจักรตอไป มุม IT ศกึ ษาคน ควา ขอ มลู เพม่ิ เติมเกยี่ วกบั เมืองโบราณยะรงั ไดท ี่ http://www. pattani.go.th/klang/ancient_city.htm เวบ็ ไซตสาํ นักงานคลังจงั หวัดปตตานี คูมอื ครู 75

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครูใหนักเรยี นอา นคาํ ถามเก่ียวกบั อาณาจักร ๒) อาณาจักรตามพรลงิ ค (พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๘) เปน ตามพรลิงค จากนั้นใหทกุ คนในกลมุ ระดมความคิด อาณาจักรที่มีความเกาแกอาณาจักรหน่ึงทางภาคใตของไทย มีศูนยกลางอยูท่ี รว มกนั เสรจ็ แลวสงตัวแทนออกมาตอบ ซ่ึงคําถาม นครศรีธรรมราช มีหลักฐานท่ีกลาวถึงตั้งแตพุทธศตวรรษท่ี ๘ โดยเอกสาร มีดงั น้ี อินเดียโบราณกลาวถึงอาณาจักรตามพรลิงคในช่ือ “ตมลิง” “ตัมพลิงค” เอกสารจีนสมัยราชวงศถ ัง เรียกวา “ถามเหลง” สว นสมยั ราชวงศซ งเรยี ก • ศูนยกลางของอาณาจกั รตามพรลิงคอยู อาณาจกั รนี้วา “ตานหมา ล่งิ ” ตอ มาเรยี กวา “อาณาจกั รนครศรีธรรมราช” บริเวณใด อาณาจักรตามพรลิงครุงเรืองข้ึนมาจากการเปนเมืองทาของ (แนวตอบ เมอื งนครศรธี รรมราช) พอคาชาวอนิ เดียตงั้ แตพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ ระยะแรกตามพรลิงคอ ยู ภายใตอ ทิ ธิพลของศรวี ิชัย แตในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ ศรีวิชัยเสอ่ื ม พระวิษณุ พบที่หอพระนารายณ • เรื่องราวของอาณาจักรตามพรลิงคป รากฏอยู อาํ นาจลง ทาํ ใหต ามพรลงิ คข ยายตวั กลายเปน ศนู ยก ลางการคา และ อําเภอเมือง จังหวัดนครศรี- ในหลักฐานใด การเมืองในบริเวณคาบสมุทรภาคใต หลักฐานจีนสมัยราชวงศซง ธรรมราช ศิลปะอินเดียใตที่เกา (แนวตอบ เอกสารอินเดยี โบราณ โดยกลาวถงึ ไดก ลา วถงึ วา เปน เมอื งทา ทางการคา ทม่ี กี ารแลกเปลย่ี นสนิ คา กบั จนี ท่ีสุดองคหนง่ึ ทพี่ บในภาคใต อาณาจกั รตามพรลิงคใ นช่ือ “ตมลงิ ” “ตัมพลิงค” เอกสารจนี สมัยราชวงศถัง มากชนิดกวา ทอี่ น่ื และไดส งคณะทูตไปถวายเครอ่ื งราชบรรณาการแกจีนใน พ.ศ. ๑๖๑๓ แสดงวา เรยี กวา ถา มเหลง และสมยั ราชวงศซ ง ตามพรลิงคเ ปน รฐั อิสระ เรียกวา ตานหมา ลิ่ง ตอ มาเรยี กวา ดา นการปกครอง ในศลิ าจารกึ ทวี่ ดั หวั เวยี ง อาํ เภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ านี กลา วถงึ นครศรธี รรมราช) โกศษกัตรราิยชแ”1หวงานเปคนรศผรูทีธี่รรวรบมรรวามชแใวนนรแาคชววนงใศหปญทนมอวยงเศข าพดวรยะนกันามไดวสาําเ“รพ็จรในะเพจุทาจธัศนตทวรรภราษณทุศี่ ร๑ีธ๘รรแมลาะ- ยงั เปนเครือญาตเิ ก่ยี วดองกบั ราชวงศพระรว งแหง อาณาจักรสโุ ขทยั ดวย • การปกครองและศาสนาของอาณาจักร ตามพรลิงคม ีลักษณะอยางไร 2 (แนวตอบ ดา นการปกครอง ตามพรลิงค ปกครองโดยพระมหากษัตริย สว นดา น พระบรมธาตุ ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ซ่ึงมีความเก่ียวพันกับท่ีต้ังเมืองยุคที่สาม ศาสนา ตามพรลิงคน ับถอื ศาสนาพราหมณ- ของอาณาจกั รตามพรลิงค ฮนิ ดู พระพุทธศาสนานกิ ายมหายานและ นกิ ายเถรวาทลทั ธลิ งั กาวงศ) ๗๖ • นักเรยี นเห็นดวยหรอื ไมก บั คํากลาวทว่ี า นครศรีธรรมราชเปน ศนู ยกลางสําคัญของ การเผยแผพระพทุ ธศาสนาในดินแดนไทย พรอ มอธิบายเหตผุ ลประกอบ (แนวตอบ เห็นดว ย เนอ่ื งจากนครศรีธรรมราช ไดสงพระสงฆเ ขามาเผยแผพระพุทธศาสนา นกิ ายเถรวาทลทั ธลิ งั กาวงศย งั กรงุ สุโขทยั ใน สมยั พอขุนรามคาํ แหงมหาราช ทําใหส ุโขทยั ไดรบั นับถือพระพทุ ธศาสนาเร่ือยมา) นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอ ใดคือสิง่ ที่สังคมไทยไดรบั เปนมรดกตกทอดมาจากนครศรีธรรมราช 1 พระเจาจันทรภาณศุ รีธรรมาโศกราช เปนกษตั ริยท ่มี ชี อื่ เสียงพระองคห น่ึง 1. การสรา งปราสาทหิน ในราชวงศศ รธี รรมาโศกราชแหงนครศรธี รรมราช หรืออาณาจกั รตามพรลงิ ค 2. การนับถือพระโพธสิ ตั ว ทรงแผข ยายพระราชอาํ นาจไปไกลถงึ เกาะลงั กา โดยการยกทัพไปตถี งึ 2 คร้งั 3. การนับถือพระพุทธศาสนา ตามประวัตจิ ากหลักฐานตาํ นานเมอื งนครศรีธรรมราชและตํานานพระธาตุ 4. การสรา งเจดียท รงพมุ ขา วบณิ ฑ นครศรธี รรมราช ทําใหทราบวา พระเจาจันทรภาณุเปนพระอนชุ าของพระเจา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. นครศรธี รรมราชไดร ับเอาพระพุทธศาสนา ศรธี รรมาโศกราช เม่ือพระเจา ศรธี รรมาโศกราชสวรรคต พระองคท รงขน้ึ ครอง นกิ ายเถรวาทลทั ธลิ ังกาวงศมาจากลังกา ตอ มาไดเผยแผพระพทุ ธศาสนา ราชสมบตั สิ ืบตอ ซง่ึ กอนหนาที่พระเจาจันทรภาณจุ ะครองเมืองน้นั นครศรีธรรมราช ใหแกก รงุ สโุ ขทัยในสมยั พอ ขุนรามคําแหงมหาราช และสุโขทยั ไดสืบทอด เปน สวนหนง่ึ ของอาณาจักรศรีวิชัย คร้ันเม่ือ พ.ศ. 1773 จึงไดป ระกาศตนเปน อิสระ การนับถอื พระพุทธศาสนาใหแกสงั คมไทยมาจนถงึ ปจจบุ ัน 2 พระบรมธาตุ เมืองนครศรธี รรมราช สันนิษฐานวา สรางขนึ้ ในสมยั พระเจา ศรีธรรมาโศกราชเมอื่ พ.ศ. 1098 ลักษณะเปน เจดยี ท รงกลมแบบลงั กาหรอื ทรงโอควาํ่ ทยี่ อดเจดยี ห มุ ดวยทองคําแท ความมหัศจรรยขององคพระธาตุนี้ คอื จะไมมเี งาของ พระเจดียท อดลงพน้ื ไมวา แสงอาทติ ยจะสอ งกระทบไปทางใด จงึ ทําใหพ ระเจดยี นี้ เปน หนึง่ ใน Unseen Thailand ของเมืองไทย 76 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ดา้ นศาสนา อาณาจกั รตามพรลงิ คน์ บั ถอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ด ู และพระพทุ ธศาสนา ครใู หนักเรียนอานคําถามเกีย่ วกับอาณาจกั ร นกิ ายมหายาน โดยพบศวิ ลงึ คท์ ่ีมอี ายุเก่าแกป่ ระมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๘ พระนารายณ์ศลิ าทราย ศรวี ชิ ยั จากน้ันใหทกุ คนในกลมุ ระดมความคดิ และพระโพธิสตั วอ์ วโลกเิ ตศวร ต่อมาในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ พระเจา้ จนั ทรภาณศุ รีธรรมาโศกราช รวมกนั เสรจ็ แลว สงตวั แทนออกมาตอบ ซงึ่ คําถาม ทรงยกทัพไปโจมตลี ังกา ๒ ครั้ง เพ่ือแย่งชงิ พระทนั ตธาตุจากลงั กา ท�าให้อทิ ธิพลของพระพุทธ- มีดังนี้ ศาสนานกิ ายเถรวาท ลทั ธลิ งั กาวงศ ์ และศลิ ปะแบบลงั กาเขา้ มาเผยแผแ่ ละฝงั รากลกึ อย่ใู นอาณาจกั ร นครศรีธรรมราชตั้งแต่น้ัน ดังปรากฏศาสนสถานและศาสนวัตถุที่ส�าคัญ คือ เจดีย์พระบรมธาต ุ • ศนู ยก ลางของอาณาจกั รศรวี ิชัยอยบู รเิ วณใด จังหวัดนครศรีธรรมราช พระพุทธรูปประทับยืนส�าริดปางประทานธรรม ท�าให้นครศรีธรรมราช (แนวตอบ สนั นษิ ฐานวา นาจะอยูท่ีเมอื ง กลายเป็นศูนย์กลางส�าคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนไทย ซ่ึงพระสงฆ์จาก ปาเลม็ บงั บนเกาะสุมาตรา ประเทศ นครศรีธรรมราชได้น�าพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ไปเผยแผ่ยังกรุงสุโขทัยต้ังแต่สมัยพ่อขุน อินโดนเี ซีย ซงึ่ มีอทิ ธิพลครอบคลุมตงั้ แต รามคา� แหงมหาราช เกาะชวาในอินโดนีเซียขนึ้ มาถึงอําเภอไชยา จงั หวัดสรุ าษฎรธานี ขณะท่ีนกั วิชาการ ๓) อาณาจักรศรีวิชัย (พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ - ๑๙) สันนิษฐานว่ามี บางทา นเชอ่ื วา นา จะอยทู อี่ าํ เภอไชยา) ศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีอิทธิพล ครอบคลุมตั้งแต่เกาะชวาในอินโดนีเซีย ข้ึนมาถึงอ�าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธาน ี • นกั เรียนทราบไดอยางไรวา อาณาจักร อน่งึ มนี กั วชิ าการบางทา่ นเช่ือวา่ ศนู ยก์ ลางของอาณาจกั รศรีวิชยั อาจจะอยทู่ ี่อ�าเภอ ศรวี ิชัยนาจะมคี วามเจริญรงุ เรืองมาก ไชยากเ็ ปน็ ได้ (แนวตอบ พจิ ารณาจากโบราณสถาน ระยะแรกอาณาจกั รศรวี ชิ ยั มคี วามรงุ่ เรอื งขน้ึ มาในฐานะศนู ยก์ ลางการคา้ โบราณวัตถทุ พ่ี บ รวมท้ังขอความจากจารกึ ทางทะเลระหวา่ งจนี และอนิ เดยี เพราะเปน็ เมอื งทา่ ทพี่ อ่ คา้ ตา่ งชาตเิ ขา้ มาคา้ ขายและ หรือเรอื่ งราวในจดหมายเหตจุ นี เปน ตน) พา� นกั เพอื่ คอยการเปลย่ี นลมมรสมุ ตอ่ มาในพทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๖ จนี เรมิ่ แตง่ เรอื สา� เภา ออกไปคา้ ขายยงั เมอื งตา่ งๆ โดยตรง ท�าให้บทบาทของศรีวิชัยในฐานะพ่อค้า • จากหลกั ฐานทพ่ี บ สันนิษฐานวา ชาวศรวี ชิ ัย คนกลางลดลง และท�าให้อ�านาจของศรีวิชัยในบริเวณคาบสมุทรเสื่อมลง นบั ถือศาสนาใด แตส่ ง่ ผลดตี อ่ เมอื งอนื่ ๆ ในคาบสมทุ รตอนใตข้ องไทย เพราะเมอื่ จนี เขา้ มา (แนวตอบ ระยะแรกนับถือศาสนาพราหมณ- ค้าขายโดยตรง ท�าให้เศรษฐกิจขยายตัวข้นึ เกดิ เมืองใหม่ขึ้นหลายแหง่ ฮินดู และพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เชน่ ทเี่ มอื งไชยา ซงึ่ มชี มุ ชนอาศยั อยทู่ วั่ ไปบรเิ วณชายฝง่ั ทะเล รมิ แมน่ า�้ ตอมานบั ถอื พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ครี รี ฐั และแมน่ า้� หลวง เมอื งไชยาจงึ มีความส�าคัญ จากทวารวดี และพระพทุ ธศาสนาลัทธิ ขึ้นมาในฐานะเป็นเมืองการค้าและเมืองที่รับ ลังกาวงศจ ากนครศรธี รรมราช) อารยธรรมศรวี ิชยั แต่อิทธพิ ลของศรีวิชัยที่แพร่ ไปยังดินแดนตา่ งๆ สว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งของศลิ ปะ • หลกั ฐานในขอบนมีอะไรบาง จงยกตัวอยา ง แบบศรวี ชิ ยั มากกวา่ เ1รอ่ื งอา� นาจทางการเมอื ง (แนวตอบ เชน พระบรมธาตไุ ชยา อําเภอไชยา พระพุทธรูปปางนาคปรกสาํ ริด ทวี่ ัดหัวเวียง เจดีย์พระบรมธาตุไชยา อ�าเภอไชยา จังหวัด อําเภอไชยา เทวรปู พระโพธสิ ัตวอวโลกิเตศวร สรุ าษฎร์ธานี เปน็ โบราณสถานสมยั ศรวี ชิ ัย วดั ศาลาทึง อาํ เภอไชยา เปนตน) สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๕ ก่อด้วยอิฐโบกปูน ยอดเจดีย์ตกแต่งด้วย ๗๗ เจดยี ์เลก็ ๆ โดยรอบ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู เพราะเหตใุ ดอาณาจกั รโบราณทางภาคใตจ ึงมคี วามเจริญรงุ เรอื งขนึ้ มาได 1 เจดียพ ระบรมธาตไุ ชยา ประดษิ ฐานอยทู ี่วดั พระบรมธาตไุ ชยา ตาํ บลเวียง เรว็ กวาอาณาจกั รตอนใน อําเภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎรธานี เปน พระเจดียเกาแกทีส่ รา งขนึ้ ในสมยั ศรวี ชิ ยั แนวตอบ เพราะมที าํ เลท่ตี ้งั อยูใ กลท ะเลซึ่งเปนศูนยกลางการคา ระหวาง เพอ่ื ใชประดษิ ฐานพระบรมสารีรกิ ธาตขุ องพระพทุ ธเจา และเปนพทุ ธสถาน จีนและอินเดีย ทาํ ใหมีฐานะทางเศรษฐกจิ ดี มรี ายไดทจ่ี ะนํามาพัฒนาชุมชน เพียงแหง เดยี วในประเทศไทยทีย่ งั คงรักษาความเปน เอกลกั ษณข องศิลปกรรม ไดม าก ขณะเดยี วกันการเปน ศนู ยก ลางการคา กท็ าํ ใหร บั วัฒนธรรมตางๆ สมยั ศรวี ชิ ัยไวไ ดอยา งสมบรู ณ จากภายนอกและนาํ มาปรบั ใชใ หเหมาะสมกบั ตนเอง ไมต อ งเสยี เวลาในการ คดิ คน จึงทาํ ใหอาณาจกั รมคี วามรงุ เรืองมากกวา อาณาจกั รในแผนดนิ ตอนใน มุม IT ศกึ ษาคนควา ขอ มลู เพิ่มเติมเกีย่ วกบั อาํ เภอไชยา ไดท่ี http://www.nmt. or.th/surat/talatchaiya/Lists/List39/AllItems.aspx เว็บไซตเ ทศบาลตําบลตลาด ไชยา อําเภอไชยา จงั หวดั สุราษฎรธานี คูม อื ครู 77

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูใหน ักเรียนแตละกลุมเปด ซองคําถามของ เร่ืองนา รู อาณาจกั รโบราณในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซ่ึงภายในจะมคี ําถามเก่ียวกับอาณาจกั ร ศลิ ปะศรีวชิ ัย โคตรบรู ณและอาณาจักรอศิ านปุระ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั เจรญิ รงุ่ เรอื งอยบู่ รเิ วณคาบสมทุ รภาคใตข้ องไทย ศลิ ปะศ1รวี ชิ ยั จงึ เกยี่ วขอ้ งกบั 2. ครูใหน กั เรยี นอานคาํ ถามเก่ียวกับอาณาจกั ร โคตรบูรณก อ น จากน้ันใหท ุกคนในกลมุ ระดม ศิลปะชวาภาคกลางของประเทศอินโดนีเซียซ่ึงใกล้ชิดกับศิลปะอินเดียแบบคุปตะ และแบบปาละ และ ความคิดรวมกัน เสรจ็ แลวสง ตัวแทนออกมาตอบ เน่ืองจากพระพุทธศาสนาฝายมหายานเจริญรุ่งเรืองในศรีวิชัย ชาวศรีวิชัยจึงนิยมสร้างพระโพธิสัตว์ ซงึ่ คําถามมดี ังนี้ อวโลกิเตศวร แต่ก็มีการสร้างพระพุทธรูปด้วย เช่น พระพุทธรูปนาคปรก พบท่ีวัดเวียง อ�าเภอไชยา พระพทุ ธรปู นาคปรก • ศนู ยก ลางของอาณาจักรโคตรบรู ณอยู จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี บรเิ วณใด (แนวตอบ จงั หวดั นครพนมในปจ จบุ นั โดยมี ในส่วนผลงานทางดา้ นสถาปัตยกรรมของศลิ ปะศรีวชิ ัยเหลอื อยู่นอ้ ยมาก เช่น เจดียพ์ ระบรม- อาณาเขตครอบคลุมพน้ื ที่ภาคตะวันออก- ธาตุไชยา อา� เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี เคา้ โครงของพระบรมธาตไุ ชยาใกลเ้ คยี งกับเจดยี ใ์ นศิลปะ เฉยี งเหนอื ตลอดจนดนิ แดนฝงซายของ ชวาทางภาคกลางของประเทศอนิ โดนเี ซยี จงึ ชว่ ยสนบั สนนุ ขอ้ สนั นษิ ฐานในสว่ นทศ่ี ลิ ปะศรวี ชิ ยั เกย่ี วขอ้ ง แมนํ้าโขง) กบั ศิลปะชวาภาคกลาง • เร่ืองราวของอาณาจกั รโคตรบูรณป รากฏอยู พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร ในหลักฐานใด (แนวตอบ ตาํ นานอุรังคธาตุ) สา� หรบั ดา้ นศาสนาในระยะแรกอาณาจกั รศรวี ชิ ยั ที่ไชยานบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ด ู • จากหลักฐานในขอ บน ทาํ ใหท ราบเก่ยี วกบั และพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ต่อมานับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทจากทวารวดี และ อะไร พระพทุ ธศาสนาลทั ธลิ งั กาวงศจ์ ากนครศรธี รรมราช ดงั ปรากฏศาสนสถานและศาสนวตั ถใุ นศาสนา (แนวตอบ ความเปนมาของชุมชนในอาณาจกั ร ตา่ งๆ เชน่ พระบรมธาตไุ ชยา อา� เภอไชยา พระพทุ ธรูปปางนาคปรกส�ารดิ ทว่ี ัดเวยี ง อ�าเภอไชยา ประวัตกิ ารสรางพระธาตุพนม โดยอาณาจกั ร เทวรูปพระโพธิสตั ว์อวโลกิเตศวร วดั ศาลาทงึ อา� เภอไชยา เป็นตน้ โคตรบูรณไดร บั อทิ ธพิ ลจากอินเดีย ปกครอง โดยกษตั ริย นับถอื พระพุทธศาสนานิกาย ๓.๔ พัฒนาการของอาณาจกั รโบราณในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ เถรวาทตามแบบทวารวดี รวมทงั้ มีความเชอื่ พื้นเมอื งเร่อื งการนบั ถอื ส่งิ ศักด์ิสทิ ธิ์และ อาณาจักรโบราณในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ท่ีสา� คญั มดี ังน้ี การบูชาพญานาคดวย) • อาณาจักรโคตรบูรณส นิ้ สดุ อาํ นาจลงเพราะ ๑) อาณาจกั รโคตรบรู ณ (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖) มศี นู ยก์ ลาง เหตุใด (แนวตอบ ถูกอาณาจกั รขอมขยายอทิ ธิพล อยู่ที่นครพนม มีอาณาเขตครอบคลมุ พืน้ ทภี่ าคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจน เขา มาครอบครอง และตอมาถูกอาณาจักร ดินแดนฝง่ั ซา้ ยของแม่น�า้ โขง ลานชา งเขา ยดึ ครองเปนประเทศราช) เรอ่ื งราวของอาณาจกั รโคตรบรู ณ ์ ปรากฏอยใู่ น “ตาํ นานอรุ งั คธาต”ุ ทกี่ ลา่ วถงึ ความเปน็ มาของชมุ ชนในอาณาจกั ร และประวตั กิ ารสรา้ ง พระธาตพุ นม อาณาจกั รโคตรบรู ณ์ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากอนิ เดยี มกี าร ปกครองโดยกษัตริย์ นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ตามแบบทวารวดี และมีความเชื่อพื้นเมืองเร่ืองการนับถือ สิ่งศกั ดส์ิ ิทธ์แิ ละการบูชาพญานาค พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม โบราณสถานในพระพุทธศาสนา สรา้ งข้นึ เพอ่ื บรรจุพระอรุ ังคธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ ๗8 นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ศิลปะอินเดยี แบบคปุ ตะ สมัยราชวงศค ปุ ตะ (พุทธศตวรรษท่ี 9-13) ไดรบั ครูใหนักเรยี นคน ควาประเพณีและพธิ ีกรรมทเี่ กีย่ วของกับความเชื่อ การยกยองใหเ ปนยุคทองของอินเดีย เพราะเปน สมัยทอี่ ารยธรรมอินเดยี มคี วาม พืน้ เมืองเร่อื งการนบั ถอื สงิ่ ศกั ด์ิสิทธ์แิ ละการบชู าพญานาคของชมุ ชนใน เจริญรงุ เรืองในทุกดาน ไมว าจะเปน ดานศาสนา ปรัชญา วรรณคดี ดนตรี นาฏศลิ ป ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ แลว บันทกึ ผลการคน ควา จิตรกรรม และประตมิ ากรรม ศิลปะคปุ ตะเจรญิ ข้นึ ทางภาคเหนือของอนิ เดียและได ขยายตัวออกไป ในระยะนพ้ี ระพุทธศาสนานิกายมหายานและเถรวาทเจรญิ รุง เรือง มาก เชน ที่เมอื งมถุรา เมอื งปาฏลบี ตุ ร มสี ถปู ท่สี วยงาม หรือทน่ี าลันทากไ็ ดเ ปน ศนู ยกลางทางการศึกษาพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ในขณะเดียวกนั ศาสนา พราหมณ- ฮนิ ดูกไ็ ดเจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ อีกและคอยๆ กลืนพระพุทธศาสนาไปทีละนอ ย 78 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ศาสนสถานท่ีสําคัญของอาณาจักร คือ พระธาตุพนม1ตํานานอุรังคธาตุกลาววา ครูใหนกั เรยี นอา นคาํ ถามเกย่ี วกับอาณาจักร สรา งขึน้ หลงั จากพระพทุ ธเจา ปรินพิ พาน ๘ ป พระมหากสั สปะพรอ มดว ยพระอรหนั ต ๕๐๐ รูป อศิ านปุระ จากนน้ั ใหท กุ คนในกลุมระดมความคดิ เดินทางมายังดินแดนสุวรรณภูมิเพื่อเผยแผศาสนา และนําพระอุรังคธาตุหรือกระดูกสวนหนาอก รวมกนั เสรจ็ แลว สง ตัวแทนออกมาตอบ ซง่ึ คาํ ถาม ของพระพทุ ธเจามาดวย พรอมกับไดสรางเจดยี เ พ่อื บรรจพุ ระอุรงั คธาตุ มีดังน้ี ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ พระเจาชัยวรมันท่ี ๗ แหงอาณาจักรขอม ขยายอิทธิพลมา • เรือ่ งราวของอาณาจกั รอศิ านปุระ (เจนละ) ครอบครองดินแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ตอมาเม่ืออาณาจักรลานชาง (ลาว) ปรากฏอยูในหลักฐานใด มอี าํ นาจ อาณาจกั รโคตรบูรณไดตกเปนเมอื งขน้ึ ของลานชาง (แนวตอบ เชน จดหมายเหตจุ ีนราชวงศตา งๆ และบนั ทึกของราชทตู จีน ชอ่ื โจว ตา กวน ๒) อาณาจกั รอศิ านปรุ ะ (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๘) อาณาจกั รอศิ านปรุ ะ(เจนละ) เปนตน ) หรืออาณาจกั รขอม รงุ เรืองข้นึ ในสมัยพระเจา อศิ านวรมนั (พ.ศ. ๑๑๕๙ - ๑๑๖๙) ตอ มาอาณาจกั ร • กษัตริยพระองคใดที่ทรงรวบรวมอาณาจักร แตกแยกเปน ๒ สวน คอื อาณาจกั รเจนละบกและเจนละน้าํ ในสมัยพระเจา ชยั วรมนั ที่ ๒ ทรง เจนละเขาดว ยกนั เปน อาณาจกั รขอม (เขมร) รวบรวมอาณาจกั รเจนละเขา ดว ยกันเปนอาณาจักรขอม (เขมร) เมือ่ พุทธศตวรรษท่ี ๑๔ พระองค (แนวตอบ พระเจา ชัยวรมันที่ 2) เร่มิ ตั้งเมืองหลวงในบรเิ วณใกลเ มืองพระนคร (เมอื งเสียมเรยี บ หรือเสียมราฐในปจ จบุ ัน) เร่อื งราว ขราอชงทอตูาณจีนาจชกั ื่อรอโศิจาวนตปารุ กะวหนรือ2ทเเี่จดนินลทะาปงมราากยฏังเอจยนูใลนะจใดนหพมุทาธยศเตหวตรุจรนี ษรทาี่ช๑ว๙งศแต ลา ะงเๆขยี แนลบะันในทบกึ ันเรท่ือึกงขรอาวง • เมืองหลวงของอาณาจักรขอม (เขมร) ของอาณาจกั รเจนละไวใ นชอ่ื “บันทึกวาดว ยขนบธรรมเนยี มประเพณีของเจนละ” อยูบ รเิ วณใด (แนวตอบ บรเิ วณใกลเมอื งพระนคร เสน เวลา (เมืองเสยี มเรียบหรอื เสียมราฐในปจ จบุ นั )) แสดงอาณาจกั รอศิ านปรุ ะ (ขอม) สมยั เมอื งพระนคร • อิทธิพลของอาณาจักรขอมตอดินแดนไทย พระเจา ชัยวรมนั ท่ี ๒ราว ุพทธศตวรรษ ่ีท ๑๔ ราว ุพทธศตวรรษ ่ีท ๑๘ พระเจา ชยั วรมันท่ี ๗ มอี ะไรบา ง สรา งเมอื งหริหราลยั สรา งนครธม (แนวตอบ มหี ลายดา น เชน การปกครองแบบ และพนมกุเลน สมบูรณาญาสิทธริ าชย แนวคิดสมมติเทพ เรมิ่ สมัยเมอื งพระนคร การปกครองแบบจตุสดมภ ศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู พระพุทธศาสนานิกายมหายาน พทุ ธศตวรรษที่ ดงั ปรากฏหลกั ฐานโบราณสถาน โบราณวตั ถุ เชน ปราสาทหนิ ในภาคตา งๆ ประตมิ ากรรม ๑๐ ๑๕ ๒๐ ๒๕ รูปพระโพธสิ ัตว ศวิ ลงึ ค พระพทุ ธรปู ปาง นาคปรก เปน ตน ) พระเจา สุรยิ วรมนั ที่ ๒ราว ุพทธศตวรรษ ่ที ๑๗ สรางนครวดั ๗๙ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู ขอใดมิใชเหตุผลที่อาณาจกั รขอมขยายอาํ นาจเขามายงั ดนิ แดนใน 1 พระธาตุพนม ไดร บั การบรู ณะปฏิสงั ขรณม าตามลาํ ดับ การบรู ณะครั้งแรก ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของไทย และคร้ังท่ี 2 ไมไ ดบันทกึ ไว การบรู ณะครง้ั ท่ี 3 เมอ่ื พ.ศ. 2157 ครัง้ ที่ 4 เมอื่ พ.ศ. 2233 ครัง้ ที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2349 ครง้ั ท่ี 6 เมอ่ื พ.ศ. 2444 เปน การบรู ณะครง้ั ใหญ 1. สกดั กั้นอาํ นาจของละโว และตอ จากนน้ั มากม็ กี ารบรู ณะทวั่ ไป จนกระทงั่ พ.ศ. 2518 องคพ ระธาตุชํารดุ ลมลง 2. เปน ท่ตี ้ังทางยทุ ธศาสตร ทางราชการไดด าํ เนนิ การกอสรางข้ึนใหมใหคงสภาพเดมิ มาจนถงึ ปจ จบุ นั สําหรบั 3. แสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ งานนมสั การพระธาตพุ นมประจาํ ปจะเร่ิมตั้งแตว ันขึน้ 12 คํา่ ถึงวันแรม 1 คํา่ 4. ตอ งการไดกาํ ลงั คนเพ่ิมขน้ึ เดอื น 3 2 โจว ตากวน เปน ราชทูตจากราชวงศหยวนหรือมองโกล โดยโจว ตา กวนได วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เนอ่ื งจากละโวใ นชวงเวลานั้นไดอ ยูใตอาํ นาจ เขียนบนั ทึกการเดินทางและบันทกึ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั สังคม ประเพณีของขอม ซึง่ บันทกึ น้ีแบงออกเปน 40 ตอนดว ยกนั ของอาณาจกั รขอมแลว จงึ ไมใชเหตุผลท่ลี ะโวจ ะแผขยายอาํ นาจเขา มายัง ดนิ แดนแถบน้ี สว นขอ อ่นื ลว นเปนปจ จัยที่ขอมตอ งการสาํ หรับการสรา งความ เจริญรุงเรืองใหแ กอาณาจักรตนทง้ั สิ้น คมู อื ครู 79

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครูมอบหมายใหนกั เรียนแตละกลุม ไปคน ควา ระบุว่า อาณาจักรเจนละตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักรทวารวดีและจามปา (เวียดนาม) ความรเู กย่ี วกบั ปราสาทหินทไี่ ดรบั อิทธพิ ลขอม ซงึ่ ได้แก่ บริเวณท่เี ปน็ ราชอาณาจักรกัมพชู าในปจั จุบัน ในภูมภิ าคตา งๆ ของประเทศไทย จากน้นั นาํ ในพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ อาณาจักรอิศานปรุ ะ หรอื ขอมมอี า� นาจ และเจริญรุ่งเรอื งสูงสุด ขอ มูลมาอภปิ รายและจดั ปา ยนิเทศใหสวยงาม ในสมัยพระเจ้าสุรยิ วรมันท ่ี ๒ (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘) ผสู้ รา้ งปราสาทนครวัด ปราสาทหินพนมรงุ้ และพระเจ้าชยั วรมนั ที ่ ๗ ผ้สู ร้างนครธม (ปราสาทบายน) ปราสาทตาพรหม ในชว่ งเวลานก้ี ษัตริย์ 2. ครูใหน ักเรียนทบทวนความรูโดยทาํ กิจกรรมที่ ขอมยังได้สร้างปราสาทหินขนาดใหญ่มากมายในบริเวณที่อาณาจกั รขอมขยายอา� นาจไปถงึ เชน่ 3.3 จากแบบวัดฯ ประวตั ศิ าสตร ม.1 บรเิ วณสามเหลยี่ มปากแมน่ า�้ โขง ลาวตอนใต ้ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวนั ออกของไทย จนถงึ บรเิ วณลมุ่ แมน่ า้� เจา้ พระยา ดงั ปรากฏหลกั ฐานอยู่ทั่วไป เช่น ปราสาทหินพิมาย จังหวัด ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝกฯ พนคระรปรารชางสคมี ส์ าา ปมรยาอสดา ทจหงั นหิ พวัดนลมพรบงุ้ รุป ี รปารสาาสทาเทมเอืมงอื ตงา่� ส ิงจหงั ห ์ 1จวงัดั หบวรุ ดั รี กมั ายญ ์ ปจรนาบสรุา ีทเศปขีน็ รตภน้ มู ิ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ประวตั ิศาสตร ม.1 กจิ กรรมที่ 3.3 อาณาจักรขอมได้เผยแพร่อารยธรรมไปยังรัฐท่ีอยู่ใกล้เคียงหลายด้าน ท้ังด้าน หนวยท่ี 3 สมัยกอนสุโขทัยในดนิ แดนไทย การปกครอง ได้แก่ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความเป็นสมมติเทพของกษัตริย ์ ระบบขนุ นาง การปกครองแบบจตสุ ดมภ ์ และกฎหมายพระธรรมศาสตร ์ ดา้ นศาสนาและความเชอื่ กจิ กรรมที่ ๓.๓ ใหน กั เรยี นสรปุ พฒั นาการของอาณาจกั รโบราณในดนิ แดน คะแนนเต็ม คะแนนทีไ่ ด ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู พระพุทธศาสนานิกายอาจริยวาท ไทยมาพอสังเขป (ส ๔.๓ ม.๑/๑) หรือมหายาน ดังจะเห็นได้จากโบราณสถานและโบราณวัตถุ เช่น òð ปราสาทหนิ เทวรปู ประตมิ ากรรมรปู พระโพธสิ ตั ว ์ ศวิ ลงึ ค ์ พระพทุ ธรปู ปางนาคปรก ความเช่อื เรื่องพญานาค เป็นตน้ พฒั นาการของ .......ท....ี่ส.....าํ ..ค....ัญ.........เ.ช...น........อ....า...ณ.....า...จ...กั....ร....ท....ว..า...ร....ว..ด....ี....ส....ัน....น.....ษิ....ฐ....า..น.....ว...า..ม....ีศ....ูน....ย....ก....ล....า..ง....อ...ย...ทู....ี่ อย่างไรก็ตาม การสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ท่ีต้องใช้ อาณาจกั รโบราณ จ......น.....ค....ร...ป....ฐ...ม.......ด...งั....พ....บ....จ...า...ร....กึ ...ภ....า...ษ....า...ส....นั....ส.....ก...ฤ....ต....ว...า.....“...ศ....ร...ที....ว...า...ร...ว...ต....ี...ศ....ว..ร....ป....ณุ .....ย...ะ...”.. แรงงานคนและค่าใช้จ่ายจ�านวนมาก ท�าให้อาณาจักรขอม ในดินแดนไทย แ...ล....ะ..ห....ล....กั....ฐ...า...น....ท....า...ง...โ...บ....ร...า...ณ.....ค....ด....จี...าํ...น....ว...น....ม....า..ก.......ท....ว...า...ร...ว...ด...ไ.ี ..ด....ร...บั....อ....ทิ ....ธ...พิ....ล....อ...นิ....เ..ด....ยี... ค่อยๆ เสือ่ มโทรมลงตงั้ แต่พทุ ธศตวรรษท ี่ ๑๙ เป็นตน้ มา ภาคกลาง ท....า...ง...ด....า...น....ก....า...ร...ป....ก....ค....ร....อ...ง...แ...ล....ะ...ด....า...น....ศ....า...ส....น....า.......อ...า...ณ.....า...จ....ัก...ร....ล....ะ..โ...ว... ...ม....ีศ....ูน....ย....ก....ล....า..ง... อ....ย...ูท....่ี.เ..ม...ือ....ง...ล.....ะ..โ...ว...ห....ร....ือ........จ.......ล....พ....บ.....ุร...ีใ...น.....ป....จ....จ...ุ.บ....ัน.........ส....ั.น....น.....ิษ....ฐ....า...น.....ว...า...ช...า...ว...ล....ะ...โ...ว.. ส....ว...น....ใ...ห....ญ.....เ ..ป...น.....ช...า...ว...ม...อ....ญ.......แ...ล....ะ...ไ..ด....ร....ับ....อ...ทิ.....ธ...พิ ....ล....ท....งั้ ...จ....า..ก....ท....ว...า...ร...ว...ด....ีแ...ล....ะ...ข...อ...ม............. เฉฉบลับย ภาคเหนือ .......ท....่ี.ส....ํา...ค....ั.ญ.........เ..ช....น..........อ...า....ณ.....า...จ....ัก....ร....โ...ย....น....ก.....เ..ช...ีย....ง....แ...ส....น..........ม...ี.ศ....ูน.....ย....ก....ล....า...ง....อ....ย...ู.ท...ี่ อ......เ..ช...ยี ...ง....แ...ส....น.........จ......เ..ช...ีย...ง....ร...า...ย.......เ..ค....ย....ถ...ูก....ข...อ....ม...ป....ก....ค....ร....อ...ง...ม....า...ก...อ....น.........ต....อ...ม....า..ถ....กู ....ร....ว..ม... เ..ข...า..ก....ับ.....ล....า..น.....น....า.......อ....า...ณ.....า...จ...ัก....ร....ห....ร...ิภ....ุญ.....ช...ัย........ม...ีศ....ูน.....ย...ก....ล....า...ง...อ....ย...ูท....ี่เ..ม...ือ....ง...ห....ร....ิภ...ุญ.....ช...ัย... ห....ร....ือ........จ.......ล....ํา...พ....ูน.....ใ...น.....ป....จ....จ...ุ.บ....ัน.........เ..ค.....ย...ต.....ก....อ....ย...ูใ...ต.....อ...ํา...น.....า...จ....ข...อ....ง...ล....ะ...โ...ว...ม....า...ก.....อ...น.... ภ....า..ย....ห....ล....ัง...ต....อ...ม....า...ถ...ูก....ร....ว...ม...เ..ข...า...ก....ับ....ล....า ..น.....น....า.......อ...า...ณ.....า...จ...ัก....ร....ล....า..น.....น....า.......ม...ีศ....นู.....ย...ก....ล....า...ง.. อ...ย....ูท....ี่...จ......เ..ช...ีย...ง....ใ..ห....ม......ม....คี....ว...า..ม....เ..จ...ร....ญิ ....ร....ุง...เ..ร...อื....ง...ห....ล....า...ย...ด....า...น.................................................... ภาคใต .......ท....่ี.ส....ํ.า...ค....ั.ญ...........เ..ช.... น...........อ....า...ณ......า....จ...ั.ก.....ร....ล....ั ง....ก.....า...ส.....ุ ก.....ะ........ม....ี ศ....ู.น.....ย.....ก.....ล....า....ง....อ....ย...ู. .ท...่ี อ.......ย....ะ...ร...ัง.........จ.......ป....ต.....ต....า...น....ี......อ...า...ณ......า...จ....ัก....ร....ต.....า...ม...พ.....ร....ล....ิง....ค.........ม....ีศ....ูน.....ย....ก.....ล....า...ง....อ...ย....ู.ท...ี่ จ.......น....ค.....ร....ศ....ร...ีธ....ร....ร...ม....ร....า...ช........ท....้ัง....ล....ัง...ก.....า...ส....ุก....ะ...แ....ล....ะ...ต....า...ม....พ....ร....ล....ิง....ค....เ..ค.....ย...ต....ก.....อ...ย....ูใ...ต.... อ...ิ.ท....ธ...ิพ....ล....ข....อ...ง....ศ....ร...ีว...ิช...ั.ย........อ...า...ณ......า...จ...ัก....ร....ศ....ร...ี.ว..ิ.ช...ัย........ส....ัน.....น....ิ.ษ....ฐ...า...น.....ว...า...ม...ี.ศ....ูน....ย....ก....ล....า...ง... อ....ย...ูท....่ี.เ..ม...ือ....ง...ป....า...เ..ล....็ม....บ....ัง....บ....น.....เ..ก....า...ะ...ส....ุม....า...ต....ร...า........ป....ร...ะ...เ..ท....ศ....อ....ิน.....โ..ด.....น....ีเ..ซ....ีย........ข...ณ......ะ..ท....่ี น....กั....ว...ิช...า...ก....า...ร...บ....า...ง...ท....า...น.....เ.ช...ือ่....ว...า...อ...ย...ทู....ี่...อ......ไ...ช...ย....า.....จ......ส.....ุร...า...ษ....ฎ....ร...ธ...า...น.....ี ............................... ภาคตะวนั ออก .......ท....ส่ี....าํ...ค....ญั........เ.ช...น.......อ....า..ณ......า..จ....กั ....ร...โ..ค....ต....ร...บ.....รู ...ณ........ม...ศี....นู.....ย...ก....ล....า..ง...อ....ย...ทู....ี่...จ......น....ค....ร....พ....น....ม... เฉยี งเหนอื ด....งั...ป....ร...า...ก....ฏ....เ..ร...อ่ื....ง...ร...า...ว...อ...ย....ใู ..น.....ต...าํ...น.....า..น.....อ...รุ....งั ...ค....ธ...า...ต....ุ...ต....อ ...ม...า...ถ....กู....ข...อ...ม....แ...ล....ะ..ล....า...น....ช...า...ง... เ..ข...า ..ม....า..ป....ก....ค....ร....อ...ง...ต....า...ม....ล...าํ...ด....บั.......อ....า..ณ......า..จ....กั....ร...อ....ศิ ....า..น.....ป....รุ ...ะ...ห....ร...อื...ข...อ....ม......ม....เี .ม....อื...ง....ห...ล....ว...ง... ท....่ีเ..ม...ือ....ง...พ....ร....ะ...น....ค....ร....ห....ร...ือ....เ..ส....ีย...ม....ร...า...ฐ....ใ..น.....ป....จ...จ....ุบ....ัน.........ด....ัง....ป....ร...า...ก....ฏ....เ..ร...ื่อ....ง...ร...า...ว...อ....ย...ูใ...น.... จ....ด....ห....ม....า...ย...เ..ห....ต....ุจ....ีน.....ร....า..ช....ว...ง...ศ.....ต....า...ง...ๆ........แ...ล.....ะ..บ.....ัน....ท....ึ.ก....ข...อ....ง...ร....า...ช...ท....ูต....จ....ีน.....ช...่ือ........โ...จ....ว.. ต....า...ก...ว...น........อ...า...ณ.....า...จ...กั....ร....ข..อ....ม...ไ...ด....เ.ผ....ย...แ...พ....ร....อ...า...ร...ย....ธ...ร...ร....ม...ไ...ป....ย...งั...ร....ฐั ...ต....า...ง...ๆ......ใ..ก....ล....เ..ค....ยี...ง... ๒๘ (พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดยใหอ ยูในดุลยพนิ ิจของครูผูส อน) พระพุทธรปู ปางนาคปรก พบทป่ี ราสาทหนิ พมิ าย 2 80 ปราสาทหินพิมาย โบราณสถานในอ�าเภอพิมาย จังหวัด นครราชสีมา ซ่ึงได้รับอิทธิพลการก่อสร้างมาจาก อาณาจักรอิศานปรุ ะ นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เพราะเหตุใดอาณาจกั รอศิ านปรุ ะจงึ คอยๆ เส่อื มโทรมลงและหมดความ 1 ปราสาทเมืองสิงห เปน โบราณสถานรปู แบบศิลปกรรมเขมรแบบบายนผสม ยิง่ ใหญลงไปหลงั จากสมยั พระเจาชัยวรมนั ท่ี 7 ศลิ ปะทวารวดี สรา งขึน้ ตามคติในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เมอื่ ประมาณ แนวตอบ เนอ่ื งจากในสมัยพระเจา ชัยวรมันท่ี 7 ทรงสรา งปราสาทหิน พุทธศตวรรษท่ี 18 แผนผงั ปราสาทเปน รปู ส่ีเหลยี่ มผนื ผา มีกําแพงแกวทาํ ดวย มากมายซงึ่ ใชแ รงงานคนและคาใชจายจํานวนมหาศาล ทาํ ใหอ าณาจกั รขอม ศลิ าแลงลอ มรอบ ตรงกลางเปนปรางคป ระธานกอดวยศิลาแลงประดับปนู ปน เริม่ เกดิ ความออนแอ เมอื งท่ีเคยอยใู ตอาํ นาจตา งแยกตวั เปน อสิ ระ ซ่งึ สงผล ภายในปราสาทมกี ารพบเทวรูปพระโพธสิ ตั วอวโลกิเตศวร พระพุทธรปู ปางนาคปรก ทําใหข อมเสื่อมอํานาจลงในสมยั หลังตอ มา ปราสาทแหง น้ีไดร ับการประกาศเปนอุทยานประวัตศิ าสตรแหง แรกของประเทศไทย 2 ปราสาทหนิ พมิ าย ตง้ั อยูในบรเิ วณอุทยานประวตั ศิ าสตรพ มิ าย เปน ปราสาทหนิ ทม่ี ขี นาดใหญท่สี ดุ ในประเทศไทย สันนิษฐานวาสรางข้นึ เมอื่ ปลายพุทธศตวรรษท่ี 16 ในสมัยพระเจาสรุ ยิ วรมันที่ 1 เปน ศาสนสถานในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน สาํ หรับปราสาทหนิ พมิ ายมีลักษณะพเิ ศษ คอื สรา งหนั หนาไปทางทิศใต ซึง่ แตกตาง จากปราสาทหินอ่ืนทม่ี ักหันหนาไปทางทศิ ตะวันออก 80 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู àÊÃÔÁÊÒÃÐ ปราสาทหินในดินแดนไทย 1. ครูใหน ักเรียนศกึ ษาเก่ียวกับปราสาทหินใน ดนิ แดนไทยจากหนงั สอื เรยี น หนา 81 จากนน้ั ปราสาทหิน เปนศิลปกรรมที่แสดงถึงความเจริญรุงเรืองของอารยธรรม รว มกันสรุปสาระสาํ คญั ขอม ปรากฏอยูในประเทศไทยหลายสิบแหง จากทิศตะวันออกสุดบริเวณชายแดน 2. ครแู ละนกั เรียนรว มกนั สรปุ ความรูเก่ยี วกบั ไทย - กมั พชู า มกี ลมุ ปราสาทตาเมอื น จงั หวดั สรุ นิ ทร ทศิ ตะวนั ตกมปี ราสาทเมอื งสงิ ห รฐั โบราณและรัฐไทยในดนิ แดนไทย จากนน้ั จงั หวัดกาญจนบรุ ี และเหนือสุดมปี ราสาทวัดเจาจันทร จงั หวดั สโุ ขทยั ใหนกั เรียนทาํ กจิ กรรมท่ี 3.5 จากแบบวัดฯ ประวัตศิ าสตร ม.1 ปราสาทที่ปรากฏอยูในประเทศไทย มีลักษณะสําคัญสามารถ แบง ประเภทตามลักษณะการสรางออกได ๓ ประเภท ดงั น้ี ใบงาน ✓แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ ประวตั ิศาสตร ม.1 กิจกรรมที่ 3.5 ๑. ปราสาทหินท่ีเปนศาสนสถาน หนวยท่ี 3 สมัยกอ นสโุ ขทัยในดินแดนไทย หรือ เทวาลัย มักเปนปราสาทหินท่ีมี ขนาดใหญ สรางข้ึนเพ่ือเปนสถานท่ี กิจกรรมที่ ๓.๕ ใหนักเรียนดูภาพโบราณสถานตอไปนี้ แลวตอบคําถาม คะแนนเต็ม คะแนนทไ่ี ด ประกอบพธิ กี รรม เชน ปราสาทหนิ พนมรงุ ตามประเดน็ ที่กาํ หนด (ส ๔.๓ ม.๑/๑) อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย ñð เปนตน ชือ่ โบราณสถาน ปราสาทหินพมิ าย........................................................................................................................... ท่ีจังหวัด นครราชสีมา.............................................................................................................................................. 1 สมยั อาณาจักร อศิ านปุระ (ขอม)............................................................................................................................... ปราสาทหินพนมรงุ จงั หวัดบรุ รี ัมย ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ๒. ธรรมศาลา สรางข้นึ เพือ่ เปนที่พัก เฉฉบลับย สาํ หรบั คนเดนิ ทาง ตัง้ อยูตามเสนทางจาก ชอ่ื โบราณสถาน ........ว..ดั....พ.....ร...ะ...บ....ร...ม....ธ...า...ต....ุไ..ช...ย....า.................................................................... เมอื งพระนครมายงั ปราสาทหนิ พมิ าย เชน ๓๐ ทีจ่ ังหวดั สรุ าษฎรธานี.............................................................................................................................................. ปราสาทตาเมือน อําเภอกาบเชิง จงั หวัด สมัยอาณาจกั ร ศรีวิชัย............................................................................................................................... สุรนิ ทร เปนตน ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ปราสาทตาเมอื น จังหวดั สรุ นิ ทร ๓. อโรคยาศาล หรือ กุฏฤิ ๅษี ชอื่ โบราณสถาน ........ว..ดั....พ.....ร...ะ...ธ...า...ต...หุ....ร....ภิ....ุญ....ช....ัย..................................................................... หมายถงึ สขุ ศาลา หรอื สถานพยาบาลผปู ว ย ทจ่ี งั หวัด ลาํ พูน.............................................................................................................................................. ในชมุ ชน เชน ปราสาทตาเมอื นโตจ อาํ เภอ สมัยอาณาจักร หริภญุ ชยั............................................................................................................................... กาบเชงิ จงั หวดั สุรินทร เปนตน ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ชอื่ โบราณสถาน วดั พระมหาธาตุ........................................................................................................................... ที่จงั หวดั นครศรธี รรมราช.............................................................................................................................................. สมัยอาณาจักร ตามพรลิงค............................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ชือ่ โบราณสถาน พระปรางคสามยอด........................................................................................................................... ทจ่ี ังหวัด ลพบุรี.............................................................................................................................................. สมัยอาณาจักร ละโว............................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ปราสาทตาเมอื นโตจ จงั หวดั สรุ ินทร ๘๑ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู ปราสาทหินในวัฒนธรรมขอม แสดงใหเ หน็ ถงึ ความเจริญรงุ เรืองของ ครูอธบิ ายใหนักเรยี นเขาใจเพิ่มเติมวานอกจากปราสาทหินรปู แบบศลิ ปะขอม อาณาจักรอศิ านปุระอยางไร ทพี่ บในกมั พูชาและไทยแลว ยงั พบในลาวดวย ทีส่ าํ คญั เชน ปราสาทหินวัดพู เปน แนวตอบ ปราสาทหนิ เปนศาสนสถานทสี่ รางข้ึนเพ่อื ประดิษฐานรปู เคารพ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ- ฮินดู เม่ือลาวรบั พระพุทธศาสนา ปราสาทหนิ แหง น้ี และใชในการประกอบพิธที างศาสนา ซ่ึงจะตอ งสรางดว ยวสั ดุทม่ี ีความมั่นคง จึงไดเ ปน วัดในพระพทุ ธศาสนา นอกจากนี้ยงั ไดร ับการขน้ึ ทะเบียนจากองคการ แข็งแรงประเภทอิฐหรือหนิ และใชแรงงานคน วสั ดุ และคา ใชจ ายจาํ นวนมาก ยเู นสโกใหเปนมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2544 นอกจากน้ี การสรางปราสาทหนิ กย็ งั แสดงใหเ ห็นถงึ บญุ บารมีของกษัตริย แตละพระองค ยิ่งสรางมากเทา ใดกแ็ สดงวา มีบารมมี ากเพยี งน้นั ซ่ึงสงิ่ ตางๆ นกั เรียนควรรู เหลา นีล้ ว นแสดงใหเ ห็นถงึ ความเจริญรุง เรอื งของอาณาจักรขอมทง้ั สิ้น 1 ปราสาทหนิ พนมรุง ตั้งอยบู นยอดเขาพนมรุง ตําบลตาเปก อาํ เภอเฉลิมพระ- เกยี รติ จังหวดั บรุ ีรัมย เปน ศาสนสถานท่ีสรางขน้ึ เพ่อื ถวายพระศวิ ะ ซ่ึงตั้งหนั หนา ไป ทางทศิ ตะวนั ออก ในอดตี ตั้งอยบู นเสน ทางการติดตอ ระหวา งเมืองพระนคร ประเทศ กมั พูชาในปจจบุ นั กับปราสาทหนิ พิมาย โดยเปนศูนยกลางของชมุ ชนโบราณรอบๆ ที่ตั้งปราสาท ทเี่ รียกวา ดินแดนเขมรสงู ในชวงพุทธศตวรรษที่ 15-18 คมู อื ครู 81

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครใู หนกั เรยี นศึกษาการสรางสรรคภูมิปญ ญาของ ๓.๕ การสรา้ งสรรคภ มู ปิ ญ ญาของอาณาจกั รโบราณกอ นสมยั สโุ ขทยั อาณาจักรโบราณกอนสมยั สโุ ขทยั จากหนังสอื เรียน หนา 82-84 และจากแหลงการเรยี นรตู า งๆ จากน้นั การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของมนุษย์ในอาณาจักรโบราณก่อนสมัยสุโขทัย ใหน กั เรยี นชว ยกนั ตอบคําถามในประเด็นตอ ไปนี้ ในดนิ แดนประเทศไทย กเ็ พอื่ ใหเ้ ขา้ ใจถงึ ภมู ปิ ญั ญาของผคู้ นในอาณาจกั รโบราณสมยั ประวตั ศิ าสตร์ กอ่ นสมยั สโุ ขทยั ในดนิ แดนทเ่ี ปน็ ประเทศไทยปจั จบุ นั อนั อาจจะเปน็ ตวั อยา่ งในการนา� ไปใชใ้ นการ • ปจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลตอ การสรางสรรคภมู ปิ ญญา ดา� เนนิ ชีวิตของคนไทยในปจั จุบนั ได้ ของอาณาจักรโบราณกอ นสมัยสุโขทยั มี อะไรบา ง จงอธิบายมาพอสงั เขป ๑) ปจจัยที่มีอิทธิพลตอการสรางสรรคภูมิปญญาของอาณาจักรโบราณกอน (แนวตอบ การสรางสรรคภมู ิปญ ญาของ สมยั สโุ ขทยั การสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ญั ญาของอาณาจกั รโบราณกอ่ นสมยั สโุ ขทยั ในดนิ แดนประเทศไทย อาณาจักรโบราณกอ นสมัยสุโขทัยเกดิ ข้นึ จาก ปจ จยั ภายในซึง่ เปนปจจยั พ้นื ฐาน และปจ จัย เกดิ จากปจั จยั ที่ส�าคัญๆ ดังนี้ ภายนอก โดยปจจัยพื้นฐาน ไดแก ลกั ษณะ (๑) ปจ จัยพ้นื ฐาน ทสี่ า� คัญมดี ังนี้ ทางภูมศิ าสตรและสิ่งแวดลอม ลักษณะรว ม และลกั ษณะแตกตา งทางสงั คมและวฒั นธรรม ไ หลผา่ น ใกล ท้ ะเ ล มีภ๑เู .ข าลสักงู ษ เณป็นะทตา้นง แภลูมะิศมามี สรตสรมุ ์แพ1ลัดะผส่ิงา่ นแวตดลลอ้ดอปมี คือเช ม่นร สเุมปต็นะทวี่รนั าอบอลกุ่มเฉ ียมงีแเหมน่นอื�้า สวนปจ จยั ภายนอก เชน การรบั อารยธรรม ในฤดหู นาว และมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใตใ้ นฤดฝู น สภาพภมู ศิ าสตรแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ มดงั กลา่ วเปน็ ปจั จยั อนิ เดยี จากพอ คา ท่ีเขา มาตดิ ตอ คาขายดวย ในการเสริมสร้างภูมิปัญญาของผู้คนในบริเวณอาณาจักรโบราณเหล่านี้ อันน�าไปสู่การหาหนทาง เชน ดา นภาษา ศาสนา เปน ตน) แกป้ ญั หาต่างๆ ทา่ มกลางสภาพแวดลอ้ มทางดา้ นภมู ศิ าสตรด์ ังกลา่ ว ๒. ลกั ษณะรว่ มและลักษณะแตกตา่ งทางสังคมและวัฒนธรรม เชน่ ผ้คู นใน อาณาจกั รโบราณเหล่านต้ี า่ งก็มีวฒั นธรรม “ขาว” คือ รบั ประทานข้าวเหมือนกนั ตอ้ งปลูกขา้ วเป็น อาหารคลา้ ยๆ กัน เปน็ ต้น ส�าหรับลักษณะแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมก็เป็นปัจจัยทางด้าน ภูมิปญั ญาเหมือนกัน เช่น เมอื งละโวส้ มัยทวารวดี ผู้คนนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู แต่เมือง นครชยั ศรีสมัยทวารวด ี ผคู้ นนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เปน็ ตน้ (๒) ปจ จยั จากภายนอก เชน่ จากบคุ คลภายนอกทเี่ ขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขาย กลา่ วคอื อาณาจกั รโบราณแถบน้ีได้รบั เอาอารยธรรมอินเดยี มาตั้งแต่แรกเร่ิม เชน่ ภาษา ศาสนา เป็นต้น ทา� ใหม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเสรมิ สรา้ งภมู ปิ ญั ญาของบคุ คลในอาณาจกั รโบราณบรเิ วณแถบนเ้ี ชน่ เดยี วกนั 8๒ นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT การรับอทิ ธิพลของวฒั นธรรมจากดินแดนภายนอกสง ผลดีตอ อาณาจกั ร 1 มรสุม (Monsoon) เปนลมประจาํ ฤดู คําวา “มรสุม” เปนคําท่ีมาจากภาษา โบราณอยา งไร อาหรบั วา mausim แปลวา ฤดกู าล ใชเรียกลมที่เกิดข้ึนในบริเวณทะเลอาหรับ 1. ไมตอ งคิดคนดว ยตนเอง ซง่ึ พดั มาจากทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือ เปน เวลา 6 เดอื น และจากทศิ ตะวันตกเฉยี งใต 2. ทาํ ใหมวี ัฒนธรรมเหมือนชาติอนื่ เปนเวลา 6 เดอื น ตอมาคาํ นไ้ี ดน าํ ไปใชเ รียกลมทีพ่ ดั เปล่ยี นทิศทางตามฤดกู าลใน 3. รบั ความเจรญิ มาพฒั นาอาณาจกั รของตน รอบปเ ชน นอี้ นั เนอ่ื งมาจากความแตกตางของหยอ มความกดอากาศเหนอื ภาคพน้ื ทวีป 4. จะไดมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม กับมหาสมทุ รทอี่ ยขู างเคยี ง ตวั อยา งทเี่ ห็นไดช ดั ไดแ ก บริเวณอนุทวปี อินเดียและ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. การรับอิทธพิ ลของวฒั นธรรมจากดนิ แดน ภูมภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ภายนอกโดยเฉพาะอนิ เดีย เปนการรบั ความเจรญิ ทางดานตางๆ ของ อารยธรรมอนิ เดีย เชน ภาษา ศาสนา ศิลปะ เปนตน มาปรบั ใชใ นการพฒั นา อาณาจกั รของตนใหม ีความเจริญรงุ เรอื งยงิ่ ขึ้น 82 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) ผลงานการสรางสรรคภูมิปญญาของอาณาจักรโบราณกอนสมัยสุโขทัย 1. ครูตง้ั ประเดน็ วา จากการศึกษาเกีย่ วกบั การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของอาณาจักรโบราณ ส่วนหนึ่งเกิดจากการรับอารยธรรมต่างชาติมา อาณาจกั รโบราณในภาคตา งๆ ท่ผี านมา ผสมผสานกบั วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ทา� ใหเ้ กดิ การพฒั นาทางดา้ นภมู ปิ ญั ญาขนึ้ ทสี่ �าคญั ดังนี้ ใหยกตวั อยา งผลงานการสรางสรรคภ ูมปิ ญญา (๑) การเกษตรกรรม ผคู้ นในสมยั ทวารวดไี ดม้ คี วามคดิ สรา้ งสรรค์ในการเพาะปลกู ของอาณาจกั รโบราณกอ นสมัยสโุ ขทัยมาพอ แบบใหม่ โดยมีการใช้แรงงานวัวไถนาผ่อนแรงคน ต่อมาได้พัฒนามาใช้แรงงานควายท�านา สงั เขป จากน้นั ครูใหน กั เรียนในช้ันเรยี นระดม ในที่ลุ่ม และเร่ิมเปล่ียนมาใช้พันธุ์ข้าวเมล็ดเรียว ซึ่งนิยมบริโภคกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยท่ีก่อน ความคดิ ในการหาคาํ ตอบ แลว สงตวั แทนมา หน้าน้ีใช้พันธุ์ข้าวเมล็ดป้อม การคิดหาวิธีไถนาด้วยการใช้แรงงานสัตว์ พบว่าการใช้ควายไถนา นําเสนอหนาชนั้ เรียน ในทลี่ มุ่ ซง่ึ มนี า้� ขงั ควายจะทา� งานไดด้ กี วา่ ววั นบั วา่ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทางดา้ นเกษตรกรรมอยา่ งหนงึ่ (แนวตอบ ภมู ปิ ญ ญาของอาณาจักรโบราณกอ น (๒) การเลือกทําเลในการสรางบานแปงเมือง การสร้างบ้านแปงเมืองจะต้อง สมยั สโุ ขทัย เชน อยู่ในทา� เลทต่ี งั้ ทเ่ี หมาะสม สามารถตดิ ตอ่ กบั ดนิ แดนภายในและภายนอกอาณาจกั รไดอ้ ยา่ งสะดวก • การเกษตรกรรม เชน ผคู นในสมัยทวารวดี เนพคื่อรผปลฐปมร ะคโยูบชัวน 1ท์เปัง้ ็นทตาง้นด ้าจนะกเหาร็นเไกดษ้วต่ารท ่ีตก้ังาขรคอา้ง เแมลือะงกเหารลป่ากนค้ีอรยอู่ใงน เเขชตน่ ล ทุ่มบ่ี แรมิเ่นวณ้�า เมมอืีทงาโงบอรอากณสอู่ทู่ทะอเลง ไดใชแรงงานวัวไถนาแทนแรงงานคน ตอ มา ซึ่งจะสะดวกต่อการค้าขายกับดินแดนภายนอก ขณะเดียวกันก็สามารถติดต่อกับดินแดนภายใน ไดพัฒนามาใชแ รงงานกระบอื ทํานาในทีล่ มุ ที่มพี ชื ผลอดุ มสมบรู ณ์ มที รพั ยากรและของป่าหายากอกี ด้วย และเปล่ียนมาใชพ ันธขุ า วเมล็ดเรยี วแทน (๓) การประดษิ ฐต วั อกั ษรขน้ึ ใช ในสมยั ทวารวด ี แตเ่ ดมิ กลมุ่ ชนเหลา่ นี้ใชภ้ าษา ขาวเมลด็ ปอ ม เปน ตน สันสกฤตและภาษาบาลีท่ีรับมาจากอินเดียในการส่ือสาร ภาษาสันสกฤต • การเลือกทาํ เลในการสรา งบานแปลงเมือง เกย่ี วขอ้ งกับชนชนั้ สูง และใชใ้ นคา� ประกาศพธิ ีกรรม ส่วนภาษาบาลี เชน บริเวณเมืองโบราณอทู อง นครปฐม เปน็ ภาษาในพระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท เป็นภาษาทีศ่ ักด์ิสิทธิ ์ คูบัว จะมที าํ เลทตี่ งั้ อยูใ นเขตลมุ แมน้าํ เม่ือชาวทวารวดีได้รับเอาตัวอักษรนั้นมาแล้ว ก็มาดัดแปลง มที างออกสูท ะเลซ่ึงสะดวกตอการคา ขาย ผโบสรมาณผส ซานง่ึ เกปับน็ ภอกาั ษษารขในอทงช้อางวถทิ่นว ารจวึงดกี ล2ายมาเป็นอักษรมอญ กบั ดินแดนภายนอก เปนตน (๔) ศาสนา - ความเชอื่ อาณาจกั รโบราณ • การประดษิ ฐตวั อกั ษรใช เชน ชาวทวารวดี ในดินแดนประเทศไทยก่อนสมัยสุโขทัยได้มีการสร้างสรรค์ ไดร บั ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลจี าก ภมู ิปัญญาอนั เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยมี อินเดียมาดัดแปลงผสมผสานกบั ภาษาใน การใช้ความเช่ือเกี่ยวกับค�าสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเป็น ทอ งถ่ิน จนกลายมาเปนอักษรมอญโบราณ หลักยดึ เหนย่ี วจติ ใจของพทุ ธศาสนกิ ชนทงั้ หลาย เพอื่ ความ ซึง่ เปน อักษรของชาวทวารวดี เปนตน สงบสขุ ของสังคม และน�าไปสู่การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาทาง • ศาสนา ความเชือ่ จากความเล่อื มใสศรัทธา ด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ใน อักษรมอญโบราณ พุทธศตวรรษท่ี ๑๗ ในพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ- อาณาจักรทวารวดี และอาณาจักรหริภญุ ชัย เปน็ ต้น จารกึ วดั ดอนแกว้ อา� เภอเมอื ง จงั หวดั ลา� พนู ฮนิ ดู ไดนําไปสกู ารสรางสรรคศาสนสถาน ศาสนวตั ถมุ ากมาย ดังเชนท่ปี รากฏอยูใน 8๓ อาณาจกั รทวารวดี ลานนา ตามพรลิงค ละโว เปนตน) 2. ครูและนักเรียนรวมกนั สรปุ ความรเู ก่ียวกบั การสรา งสรรคภ ูมปิ ญ ญาของอาณาจักรโบราณ กอ นสมัยสโุ ขทัย บรู ณาการเชื่อมสาระ นกั เรยี นควรรู ครสู ามารถนําเนื้อหาเรอ่ื ง การสรา งสรรคภ มู ิปญ ญาของอาณาจักรโบราณ 1 คบู วั เปนชุมชนทีม่ ีความสําคัญแหง หนึ่งในวัฒนธรรมทวารวดีซงึ่ มี กอ นสมยั สโุ ขทยั ดา นศาสนา ความเชื่อ ไปบูรณาการเชอ่ื มโยงกับวชิ า ความเจริญรงุ เรืองในชว งประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 12-17 ทต่ี ั้งของเมืองโบราณคูบวั พระพุทธศาสนา หัวขอ การเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาเขาสปู ระเทศไทย เพอื่ ที่ อยใู นเขตตําบลคบู ัว อําเภอเมอื ง จังหวัดราชบรุ ี ลกั ษณะแผนผังของเมืองโบราณ นกั เรียนจะไดเขา ใจในเรือ่ งราวการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในอาณาจกั รโบราณ เปน รปู ส่ีเหลีย่ มผืนผา ขนาดใหญ มกี ารกอ สรางคนู า้ํ 1 ชนั้ คนั ดิน 2 ช้นั ลอมรอบ ตางๆ ไดด ีย่ิงขนึ้ ตวั เมือง จากการขดุ คนพบโบราณสถานและโบราณวัตถกุ ระจัดกระจายอยเู ปน จํานวนมาก ท้ังในเมอื งและนอกตวั เมอื งโบราณคูบัว 2 ทวารวดี มีอายุอยูในชว งพทุ ธศตวรรษที่ 11-16 ศนู ยก ลางอยแู หง ใดยังไม สามารถสรุปไดแนชัด เพราะพบหลักฐานกระจายอยทู ัว่ ทกุ ภาคของไทย แตค าดวา นาจะอยบู รเิ วณท่รี าบลมุ นํา้ ภาคกลาง อาณาจักรทวารวดถี ือวา เปนอาณาจักรแรก ทีย่ อมรบั นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา และเผยแผพ ระพุทธศาสนาไปยังดินแดนอ่ืนๆ ในภมู ิภาคตางๆ ของไทย คูมอื ครู 83

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Evaluate Engage Explain อธบิ ายความรู ครูใหน กั เรียนศกึ ษาความรเู กี่ยวกบั บุคคลสําคญั àÊÃÁÔ ÊÒÃÐ ในดินแบดุคนคปลระสเําทคศัญไขทอยงกออานณสามจักัยรสโโุบขรทาณยั ของอาณาจกั รโบราณในดินแดนประเทศไทยกอนสมัย สุโขทัยจากหนงั สือเรยี น หนา 84 แลว ใหน ักเรียนสรปุ สาระสาํ คญั รว มกนั ขยายความเขา ใจ Expand บคุ คลสาํ คญั ท่ีก่อใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงประวัติศาสตร์ในบรเิ วณแถบนี้ มีดงั ต่อไปนี้ ครใู หน ักเรียนไปสืบคน พระราชประวตั แิ ละ พระนางจามเทวี พระราชกรณยี กิจของกษัตริยของอาณาจกั รโบราณ ในดินแดนประเทศไทยพระองคอ น่ื เพมิ่ เตมิ จาก พระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย ตามต�านานจามเทวีวงศ์กล่าวว่า หนงั สอื เรียน จากนั้นนําขอมูลมาอภปิ รายรวมกนั ใน พระนางเป็นธิดากษัตริย์เมืองละโว้ (ลพบุรี) ได้เสด็จจากเมืองละโว้ขึ้นมาปกครองเมือง ชัน้ เรียน หริภุญชัย (ล�าพูน) เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๓๑๐ - ๑๓๑๑ ราชวงศ์จามเทวีมีเช้ือสาย ปกครองเมอื งหรภิ ญุ ชยั สืบต่อกันมาจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในสมัยพระยายี่บา จึงสิ้นราชวงศ์ พระนางจามเทวีมีความส�าคัญต่อการวางรากฐานทางวัฒนธรรมของ หรภิ ญุ ชยั และบรเิ วณใกล้เคยี ง เนือ่ งจากขณะเสด็จจากละโว้มาสรา้ งเมอื งหรภิ ญุ ชยั ไดน้ �า เอาผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการต่างๆ มาด้วย เช่น พระภิกษุ นกั ปราชญ์ ช่างแขนงตา่ งๆ เป็นต้น นับได้ว่าเป็นการขยายตัวทางวัฒนธรรมทวารวดีจากเมืองละโว้มายงั หรภิ ญุ ชยั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ความเจรญิ ทางพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทในหรภิ ญุ ชยั ท�าให้แคว้น หริภุญชัยกลายเป็นศูนย์กลางส�าคัญของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทสืบต่อมาอีกเป็น เวลานาน พระเจา้ ชัยวรมนั ท ี่ ๗ พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๖๑) เป็นกษัตริย์ท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุดพระองค์หนึ่งของ อาณาจักรขอม เม่ือข้ึนครองราชย์แล้วได้ขยายอ�านาจของอาณาจักรขอมขึ้นไปทางเหนือและ ตะวันตกถึงดนิ แดนพมา่ และบางส่วนของแหลมมลายู พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ ทรงมีศรัทธาอย่างแรงกลา้ ในพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน ซงึ่ นบั ถอื พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวรเปน็ หลกั ทรงสรา้ งโรงพยาบาล สา� หรบั รกั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ แกร่ าษฎรถงึ ๑๐๒ แห่ง งานสถาปตั ยกรรมส�าคญั ท่พี ระองคท์ รงสรา้ งไว้ คอื เมอื งนครธม มกี �าแพงแตล่ ะดา้ น ยาวถึง ๑๒ กิโลเมตร มีคูเมืองขนาดใหญ่ล้อมรอบ และมีประตู ๕ ประตู โดยมีปราสา1ทบายน เพปร็นะจขุดรศรคูน์ ย2ป์กรลาาสงาทนนอากคจพาันกนเป้ียั็นงทตรน้ งสร้างศาสนสถานอีกมาก เช่น ปราสาทตาพรหม ปราสาท นอกจากน้ี พระองคไ์ ดท้ รงสรา้ งประตมิ ากรรมมากกวา่ ๒๐,๐๐๐ ชน้ิ ทที่ า� ดว้ ยทองคา� เงนิ สา� รดิ และหนิ กระจายทัว่ ไปในอาณาจักรขอม 8๔ นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT พระนางจามเทวีและพระเจา ชัยวรมันท่ี 7 ทรงมบี ทบาทสําคญั ใน 1 ปราสาทตาพรหม เปนปราสาทหนิ ของขอมศลิ ปะแบบบายน สรางขึ้นใน การสง เสรมิ การเผยแผศาสนาใหเ จรญิ รุงเรอื งในอาณาจักรอยางไร สมัยพระเจาชัยวรมนั ท่ี 7 เมอื่ พ.ศ. 1729 เพอ่ื อทุ ิศถวายใหแ ดพ ระราชมารดา แนวตอบ พระนางจามเทวเี ปน กษตั รยิ ทที่ รงสงเสรมิ ใหพระพทุ ธศาสนา ซึ่งสน้ิ พระชนมไ ปแลว จดั เปน ศาสนสถานในพระพุทธศาสนานิกายมหายานท่ีมี เจรญิ รงุ เรอื งในอาณาจักรหริภุญชยั และกลายเปนศนู ยกลางสําคญั ของ ขนาดใหญโ ต ซ่ึงเต็มไปดว ยหมปู ราสาทมากมาย หลังจากปราสาทแหงน้ถี กู ปา พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท สว นพระเจา ชัยวรมนั ที่ 7 เปน ผเู ผยแผ กลนื กินเปนเวลากวา 500 ป ทําใหป จจบุ นั มีรากไมใหญปกคลมุ มาก และนับเปน พระพทุ ธศาสนานิกายมหายานไปไดกวา งไกลและยงั สรา งศาสนสถานท่ี สถานทีท่ างประวัตศิ าสตรอีกแหงหนึ่งของกัมพูชาทีเ่ หมาะแกการไปเทย่ี วชม เก่ยี วเนือ่ งกับพระพุทธศาสนานิกายมหายานไวหลายแหง 2 ปราสาทพระขรรค กอสรางขึ้นเม่ือ พ.ศ. 1734 ในสมยั พระเจา ชัยวรมันที่ 7 ตามคติความเชอ่ื ในพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน เพ่ือถวายเปนพระราชกุศลแด พระราชบิดา แผนผังปราสาทเปนรปู สี่เหล่ียมผนื ผา มคี นู ้าํ ลอ มรอบ ภายในมีสถูป อยตู รงกลาง ปราสาทแหงนเ้ี คยใชเ ปน ทีป่ ระทบั ชวั่ คราวของพระเจาชัยวรมันที่ 7 เม่อื คร้งั ท่เี มอื งหลวงถูกทาํ ลายไปใน พ.ศ. 1714 84 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ Expand กลาวโดยสรุป ดินแดนที่เปนประเทศไทยปจจุบันมีผูคนอาศัยอยูต้ังแตสมัยกอน 1. ครใู หน ักเรียนแสดงความคดิ เหน็ ในประเด็น ประวตั ศิ าสตร โดยมชี มุ ชนกระจายทว่ั ไปในทกุ ภาคของประเทศไทย ตอมาเมอื่ ชมุ ชนไดขยายตัว หากไมม ีอาณาจกั รโบราณ วฒั นธรรมของไทย ใหญข ้ึน และมีการติดตอแลกเปลยี่ นสนิ คา และวฒั นธรรมกบั ชมุ ชนอนื่ ทง้ั ชมุ ชนทอ่ี ยใู กลเ คยี ง จะเปน อยา งไร และดนิ แดนทอี่ ยหู า งไกลออกไป จงึ ทาํ ใหไ ดรับอิทธพิ ลทางอารยธรรมเขามาดวย ทสี่ ําคัญคือ (แนวตอบ วัฒนธรรมไทยก็คงไมเ กิดขึ้นและ อารยธรรมอนิ เดีย เชน ศาสนาพราหมณ - ฮนิ ดู พระพุทธศาสนา ภาษาสนั สกฤต ภาษาบาลี เจรญิ รุงเรอื งเหมอื นเชนในปจจบุ ัน เพราะ เปนตน ทําใหชุมชนพัฒนาเปนเมือง เปนแควนหรือรัฐ และเปนอาณาจักรข้ึนมาในทุกภาค วัฒนธรรมไทยหลายอยางไดร ับสืบทอดมาจาก ของประเทศไทย โดยเฉพาะอาณาจกั รทวารวดีในบรเิ วณลุมแมนํ้าภาคกลาง ซ่งึ มคี วามสําคญั อารยธรรมของอาณาจักรโบราณ ไมว าจะเปน อยางย่ิงตอการพัฒนาอาณาจักรโบราณในภาคกลางในระยะตอมา ไดแก อาณาจักรละโว ดา นเกษตรกรรม การรับนบั ถือพระพทุ ธศาสนา และอาณาจักรอโยธยา ซ่งึ เปนรากฐานของประเทศไทยในปจจบุ ัน ศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู การรูจกั เลอื กทาํ เลท่ีต้งั ในการสรางบา นแปลงเมอื ง เปนตน) การเรียนรูเก่ียวกับสมัยกอนสุโขทัยในดินแดนไทย สามารถทําใหนักเรียนเขาใจ ความเปนมาของชาติไทยท่ีมีพัฒนาการความเจริญมาต้ังแตสมัยโบราณ และเกิดความรัก 2. ครใู หนักเรยี นแบงกลมุ จดั ทําแผน พบั “ตามรอย ความภาคภมู ใิ จในชาตไิ ทย วฒั นธรรมและภมู ปิ ญ ญาไทยสมยั โบราณทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ สงั คมไทย อาณาจกั รโบราณในดนิ แดนประเทศไทย” ในปจจุบัน พรอมทัง้ ติดภาพประกอบใหส วยงาม จากนนั้ นาํ ไปแจกนักเรยี นในโรงเรยี น 3. ครใู หน ักเรียนตอบคาํ ถามประจําหนวย การเรยี นรู ตรวจสอบผล Evaluate 1. ครตู รวจแผน พับ “ตามรอยอาณาจักรโบราณใน ดนิ แดนประเทศไทย” 2. ครสู งั เกตพฤตกิ รรมความมีสวนรว มในการตอบ คาํ ถามและการแสดงความคดิ เห็นของนักเรยี น 8๕ ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT บูรณาการอาเซยี น ภาพรวมของพฒั นาการจากบา นเมอื งเปน แควน และอาณาจกั รในดนิ แดน ครูควรฝกใหน ักเรียนเปนมคั คเุ ทศกใ นการแนะนาํ แหลงโบราณคดีในประเทศไทย ประเทศไทยมีลักษณะเชนไร จงอธิบายมาพอเขาใจ ทมี่ ีเปน จาํ นวนมากแกนักทอ งเท่ียวชาวไทยและชาวตา งชาติ และหากสามารถใช แนวตอบ ชมุ ชนโบราณในดินแดนประเทศไทยไดมพี ฒั นาการเปน บานเมือง ภาษาอ่ืนในการแนะนําไดจะเปนประโยชนอ ยา งมาก เชน ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื มาตั้งแตพุทธศตวรรษที่ 7-8 เปนแควนประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 12-15 ใชภ าษาอสี านหรือภาษาเขมร ภาคใตใ ชภาษาใตห รือภาษายาวี ภาคเหนอื ใชภาษา และกลายเปน อาณาจักรในชว งพทุ ธศตวรรษที่ 18-19 จากหลกั ฐานทีพ่ บใน คําเมอื ง เปน ตน รวมท้ังใชภาษาอังกฤษอยางงา ยเพือ่ เตรยี มตัวเขาสูประชาคมอาเซียน ภาคตางๆ ของไทยก็พิสูจนใหเ หน็ วา ดินแดนเหลานี้ไดมีชมุ ชนตงั้ ถนิ่ ฐานมา ที่ใชภ าษาองั กฤษเปน ภาษาราชการของอาเซียนดวย ต้งั แตตน จนพัฒนาไปสูการเปน บา นเมอื ง แควน และอาณาจกั รตามลาํ ดับ และในบางภมู ิภาคก็ไดร ับอิทธพิ ลทางวฒั นธรรมจากอาณาจักรอ่ืนท่อี ยใู กลก นั คูมือครู 85 โดยบริเวณภาคกลางเรม่ิ จากวัฒนธรรมสําคญั อยา งทวารวดี ละโว ภาคเหนอื มีวัฒนธรรมลา นนา หริภุญชยั สุโขทยั ภาคใตม วี ฒั นธรรมศรวี ิชยั นครศรธี รรมราช สวนภาคตะวันออกเฉียงเหนอื มกี ารรับวฒั นธรรมทวารวดี ละโว ขอม ลานชางผสมผสานกนั อยูทว่ั ไป ดังนัน้ จะเหน็ ไดวาดนิ แดนตา งๆ ท่ัวประเทศไทยมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมซง่ึ มาจากแหลง ตา งๆ เขาดว ยกันและหลอหลอมจนกลายเปน วฒั นธรรมของคนไทยในปจจบุ ัน

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครตู รวจสอบความถูกตอ งในการตอบคําถาม คÓถามประจÓหนว่ ยการเรียนรู้ ประจําหนวยการเรียนรู ๑. เร่ืองราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทย มีความส�าคัญต่อการศึกษา หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ประวตั ิศาสตร์ไทยอย่างไร ๒. มีปัจจัยใดบ้างท่สี ่งผลให้ชมุ ชนพฒั นาเป็นบา้ นเมือง เป็นแควน้ และเป็นอาณาจักร แผน พบั “ตามรอยอาณาจักรโบราณในดินแดน ๓. เพราะเหตุใดชุมชนท่ีตั้งอยู่ในบริเวณที่อยู่ริมชายฝั่งทะเล และแม่น�้า จึงมีพัฒนาการเป็น ประเทศไทย” อาณาจกั รไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ๔. เหตุผลใดบ้างทีส่ ่งผลให้รัฐในดนิ แดนประเทศไทยกอ่ ตวั ขึน้ เจรญิ รงุ่ เรอื ง และเส่ือมลง ๕. “อาณาจกั รโบราณ ตน้ แบบวัฒนธรรมไทย” นกั เรยี นมีความคดิ เห็นเชน่ ไรกบั ค�ากล่าวนี้ กิจกรรมสรา้ งสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในดนิ แดนประเทศไทย แลว้ น�าขอ้ มูลมาสรุปสง่ ครผู ู้สอนเป็นรายบคุ คล กิจกรรมท่ี ๒ ใหน้ กั เรยี นจดั ทา� แผนทแ่ี สดงแหลง่ ทต่ี งั้ ของรฐั โบราณ และรฐั ไทยในดนิ แดน ประเทศไทย พร้อมคา� บรรยาย แล้วนา� ไปตดิ ทปี่ ้ายนเิ ทศประจา� ช้ันเรยี น กจิ กรรมท่ี ๓ ให้นักเรียนไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ รัฐโบราณ หรอื รัฐไทยทม่ี อี ยู่ในท้องถิ่นของนกั เรียน แล้วนา� มาสรปุ ข้อมูลเพือ่ อภปิ ราย รว่ มกันในชน้ั เรยี น 86 แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู 1. ทาํ ใหมคี วามเขา ใจรากฐานของวัฒนธรรมไทยมากขึ้น เพราะไทยไดรบั มรดกทางวฒั นธรรมมาจากอาณาจกั รโบราณเหลา น้ี 2. มหี ลายปจจยั เชน การแสวงหาความอดุ มสมบรู ณในการตง้ั หลักแหลง และการติดตอและรบั อารยธรรมจากตา งชาติ เปน ตน 3. เพราะชมุ ชนมคี วามอุดมสมบรู ณ มที รพั ยากรหายากนาํ มาขายใหก ับพอคาตา งชาติ เชน อินเดีย จนี และรบั วัฒนธรรมตางชาติมาปรับใชใหเขา กับตนเอง จนสามารถ พัฒนาเปนอาณาจกั รในทสี่ ดุ 4. การกอตัง้ อาณาจักรเกิดขน้ึ โดยอาศัยปจจัยทางภูมศิ าสตรท ี่ตงั้ อยูบริเวณที่ราบลุมแมนํ้า หรือใกลชายฝง ทะเล พรอมกับการรับอารยธรรมจากภายนอกเขา มาปรบั ใช จนมคี วามเจริญรุง เรอื ง ทาํ ใหเปนทีส่ นใจของอาณาจกั รทเ่ี ขมแขง็ กวา ประกอบกับความออนแอของผูนําในอาณาจกั รนน้ั ๆ ทําใหอ าณาจกั รทเ่ี ขมแข็งกวาเขา ยึดครอง ไดงา ย อาณาจกั รเหลานัน้ จงึ เสือ่ มสลายไปในท่ีสดุ 5. อาณาจกั รโบราณกอ นสมัยสโุ ขทัยไดสรางสรรคว ฒั นธรรมและภมู ปิ ญญาดานตา งๆ ไวห ลายดา น ทัง้ ดานเกษตรกรรม การเลือกทาํ เลในการสรางบานแปงเมือง การประดิษฐตัวอักษรขนึ้ ใช ตลอดจนศาสนาและความเชอื่ ซง่ึ วฒั นธรรมและภมู ปิ ญญาดงั กลาวไดเปนตนแบบของวฒั นธรรมไทยในสมัยตอมา และหลอหลอม จนกลายเปนวัฒนธรรมไทยในปจจุบัน 86 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู ๔หนวยการเรยี นรูท ี่ 1. อธบิ ายปจ จัยทนี่ าํ ไปสูการสถาปนาอาณาจักร พฒั นาการของ และปจ จัยทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอพัฒนาการของ อาณาจกั รสุโขทัย อาณาจักรสโุ ขทยั ได ตวั ช้ีวัด 2. วิเคราะหพ ัฒนาการของอาณาจกั รสุโขทยั ใน ดา นตา งๆ ได ● วิเคราะหพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัยใน ดา นตางๆ (ส ๔.๓ ม.๑/๒) 3. วเิ คราะหอิทธพิ ลของอารยธรรมตะวนั ออกที่ มีผลตอ สโุ ขทยั ได ● วเิ คราะหอ ทิ ธพิ ลของวฒั นธรรมและภมู ปิ ญ ญา ไทยสมยั สุโขทัย และสังคมไทยในปจจุบัน 4. วเิ คราะหอ ิทธิพลของภูมปิ ญญาไทยสมัย (ส ๔.๓ ม.๑/๓) สโุ ขทัยได 5. อธิบายสาเหตกุ ารเสือ่ มอํานาจของอาณาจักร สโุ ขทยั ได สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวิต สาระการเรียนรูแกนกลาง อุทยานประวัตศิ าสตรสุโขทัย จังหวดั สโุ ขทัย คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค ● การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย และปจจัย ºÃþºÃØ ÉØ ä·Âä´ÊŒ ¶Ò»¹Ò¡Ã§Ø ÊâØ ¢·ÂÑ ¢¹Öé ໹š ÃÒª¸Ò¹¢Õ ͧ 1. มีวนิ ัย ทเ่ี กย่ี วขอ ง (ปจ จยั ภายในและปจ จยั ภายนอก) ¤¹ä·ÂàÁ×èÍ ¾.È. ñ÷ùò áÅÐä´ÊŒ ÃÒŒ §ÊÃ䤏 ÇÒÁà¨ÃÞÔ ã¹´ŒÒ¹ 2. ใฝเรยี นรู µÒ‹ §æ ·àÕè »¹š àÍ¡Å¡Ñ É³¢ ͧµ¹àͧ¢¹éÖ ÁÒ¡ÁÒ ·§éÑ ´ÒŒ ¹¡ÒÃàÁÍ× § 3. มุงมัน่ ในการทํางาน ● พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ในดาน ¡Òû¡¤Ãͧ àÈÃɰ¡¨Ô 椄 ¤Á áÅÐÇ²Ñ ¹¸ÃÃÁ ÍÒ³Ò¨¡Ñ ÃÊâØ ¢·ÂÑ 4. รักความเปน ไทย การเมอื ง การปกครอง เศรษฐกจิ สังคม และ ÊÒÁÒö´Òí çÍ‹äÙ ´Œ»ÃÐÁÒ³ òðð ¡ÇÒ‹ »‚ ¨¹¶Ù¡¼¹Ç¡ÃÇÁ໹š ความสมั พันธระหวางประเทศ ʋǹ˹èÖ§¢Í§ÍҳҨѡÃÍÂØ¸ÂÒ áµ‹Áô¡·Ò§ÀÙÁÔ»˜ÞÞÒµ‹Ò§æ ¡çä´ŒÊº× ·Í´µ‹ÍÁÒÂ§Ñ Í¹ªØ ¹Ã¹‹Ø ËÅ§Ñ áÅкҧÊÇ‹ ¹¡Âç §Ñ ÁÍÕ Ô·¸Ô¾Å ● วัฒนธรรมสมยั สโุ ขทัย เชน ภาษาไทย µÍ‹ Êѧ¤Áä·Âã¹»¨˜ ¨ØºÑ¹ วรรณกรรม ประเพณีสําคัญ ศลิ ปกรรมไทย ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ»ÃÐÇµÑ ÈÔ ÒʵÃʏ âØ ¢·ÂÑ ¨Ð·Òí ãËàŒ ¡´Ô ¤ÇÒÁÀÒ¤ÀÁÙ ãÔ ¨ ● ภูมิปญญาไทยในสมัยสโุ ขทยั เชน áÅÐÊíҹ֡㹺ØÞ¤Ø³¢Í§ºÃþª¹ä·Â áÅиíÒçÃÑ¡ÉÒÁô¡ การชลประทาน เคร่อื งสังคโลก ·Ò§ÇѲ¹¸ÃÃÁä·ÂãˤŒ §ÍÂÊÙ‹ ×ºä» ● ความเสื่อมของอาณาจกั รสโุ ขทัย กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หน ักเรียนดูภาพหนา หนวย จากนนั้ ครตู ง้ั คําถามกระตนุ ความสนใจของนกั เรยี น เชน • สถานทใ่ี นภาพนี้คือทใ่ี ด (แนวตอบ วดั มหาธาตุ จังหวดั สุโขทยั ) • สถานท่ดี ังกลา วมคี วามสําคัญอยา งไร (แนวตอบ เปน วดั สาํ คัญท่ีสดุ ของกรงุ สโุ ขทยั และเปนศูนยร วมจิตใจของชาวเมืองสุโขทยั ) เกรด็ แนะครู ครูควรจัดกิจกรรมการเรยี นรูเพอื่ ใหนักเรียนสามารถวิเคราะหพ ัฒนาการของ อาณาจักรสุโขทยั ในดานตางๆ และอิทธิพลของวฒั นธรรมและภมู ปิ ญญาไทยสมยั สโุ ขทยั ทม่ี ตี อสังคมไทยในปจ จุบัน โดยเนน ทกั ษะกระบวนการตา งๆ เชน ทักษะ การคิด ทักษะการส่อื สาร และกระบวนการสบื สอบ ดงั ตอ ไปน้ี • ครูใหนักเรยี นรวมกลุม กัน เพ่อื ชวยกันศกึ ษาพฒั นาการดานตา งๆ สมยั สโุ ขทยั แลว รวบรวมเปน รายงานและจัดทาํ เปน ผังมโนทัศน • ครูใหน กั เรียนศกึ ษาเกีย่ วกบั การสรา งสรรคภมู ปิ ญญาไทยสมัยสุโขทยั จาก แหลง การเรยี นรูตา งๆ แลว รวบรวมภาพและขอ มูลเปน สมดุ ภาพภูมปิ ญญา สมยั สุโขทยั • ครูใหน กั เรยี นสรปุ ความรูเกยี่ วกบั พัฒนาการของอาณาจกั รสุโขทัยหลังจาก การศกึ ษา แลวจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพรค วามรูแกผอู ่นื คูมือครู 87

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนกั เรยี นดภู าพโบราณสถานตางๆ ใน ñ. ¡ÒÃʶһ¹ÒÍÒ³Ò¨¡Ñ ÃÊØâ¢·ÂÑ จงั หวดั สุโขทัย หรือเปดเว็บไซต www.youtube. การที่ตองมีการศึกษาประวัติศาสตรสุโขทัย เน่ืองจากอาณาจักรสุโขทัยเปนอาณาจักรไทย com ใหน กั เรียนดู โดยพิมพค าํ วา อทุ ยาน ที่มีความเจรญิ รงุ เรอื ง มตี วั หนงั สอื ไทยทเ่ี รยี กวา “ลายสือไทย” เปน ของตนเองจนพัฒนามาเปน ประวตั ศิ าสตรส ุโขทยั และอุทยานประวัติศาสตร ตวั หนงั สอื ไทยในสมยั ปจ จบุ นั มสี ถาบนั พระมหากษตั รยิ เ ปน สถาบนั หลกั ทสี่ าํ คญั ของสงั คมสโุ ขทยั ศรีสชั นาลยั จากน้ันครูต้งั คําถาม เชน มีพระพุทธศาสนาเปนสถาบันหลักในการดําเนินชีวิตของคนไทย มีอาณาบริเวณกวางขวางและมี ผคู นดํารงอยเู ปนปกแผน จนสามารถตั้งเปน อาณาจกั รทเี่ ขมแข็ง มรี ะบอบการปกครองท่เี หมาะสม • นักเรยี นเคยไปเท่ียวสถานทดี่ งั กลา วหรอื ไม กับสภาพความเปน อยูข องอาณาจักรสุโขทยั ในสมัยน้นั ดังน้นั กอนทจี่ ะมีการสถาปนากรงุ สุโขทยั ถาเคยนกั เรยี นมีความรสู กึ อยา งไร เปนราชธานีของอาณาจักรสุโขทัยไดน้ัน สภาพแวดลอมและความพรอมของปจจัยที่นําไปสูการ สถาปนาอาณาจักรสุโขทยั ก็มคี วามสาํ คญั ตอ ประวตั ิศาสตรสุโขทยั เชน กัน • หากกลาวถงึ อาณาจักรสโุ ขทัย นกั เรียนนึกถงึ จ๑า.ก๑หลคักวฐาามนทเปางนดามนาโกบรอ านณกคาดีรไสดถแากป พนราะเปมราอื งงคสทุโ่ีวขัดพทรยั ะเพปายน หรลาวชง1ธจาังนหีวัดสุโขทัย สิง่ ใดบาง ภายหลงั ท่ีไดม กี ารศกึ ษาแลว พอจะสนั นษิ ฐานไดว า ชมุ ชนบรเิ วณเมอื งสโุ ขทยั นา จะมคี วามสมั พนั ธ (แนวตอบ เชน ศิลาจารึกสโุ ขทัย พระบรม- ราชานุสาวรียพอ ขนุ รามคําแหงมหาราช ประเพณีลอยกระทง ถว ยชามสังคโลก เปน ตน) สาํ รวจคน หา Explore กบั ชาวมอญทีเ่ คยสรางความเจริญรงุ เรอื งอยูท่ีเมอื งละโว (ลพบรุ )ี และขอม (เขมรโบราณ) ทีเ่ มือง พระนคร ครตู ั้งประเด็นคําถามวา สภาพบา นเมอื งกอ น นอกจากนี้ชุมชนบริเวณเมืองสุโขทัยแตด้ังเดิมยังมีความสัมพันธกับละวาหรือลั้ว 2และลาว การสถาปนาอาณาจกั รสโุ ขทยั เปนอยา งไร และ รวมทงั้ ไตหรอื ชาวไทยทก่ี ระจดั กระจายลงมาจากทางตอนใตข องจนี จนเกดิ การผสมผสานทางดา น ปจจยั ที่นาํ ไปสกู ารสถาปนาอาณาจักรมอี ะไรบาง วัฒนธรรมกระทง่ั กลายเปนชมุ ชนขนาดใหญ ที่มรี ะบอบการปกครองทม่ี นั่ คงจนไดร บั การสถาปนา จากนั้นใหน กั เรยี นคน ควา คาํ ตอบโดยศึกษาจาก เปนอาณาจักรสุโขทัยในท่ีสุด หนังสือเรยี น หนา 88-90 และจากแหลง การเรียนรู ตางๆ เชน หองสมดุ กลุม สาระ หอ งสมดุ โรงเรยี น ขอ มูลทางอนิ เทอรเ นต็ เปนตน วัดพระพายหลวง สันนิษฐานวาบริเวณนี้เปนท่ีตั้งของชุมชนดั้งเดิมของเมืองสุโขทัย เปนหลักฐานของชุมชนในยุคแรก ท่ไี ดร ับอทิ ธิพลขอมกอนจะมาเปนสุโขทัย ๘๘ นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT หลกั ฐานใดท่ชี ว ยยนื ยันวา สุโขทัยเปนเมืองที่มคี วามเจรญิ มากอนท่คี นไทย 1 วัดพระพายหลวง เปน โบราณสถานขนาดใหญท มี่ คี วามสาํ คญั มากแหง หนง่ึ จะสถาปนาเปนราชธานี ของเมอื งสโุ ขทยั มผี งั เมอื งเปน รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา มคี นู า้ํ ลอ มรอบ 3 ชน้ั ศนู ยก ลาง 1. ขอความจากศลิ าจารกึ ของวดั อยทู ปี่ รางคป ระธาน ซง่ึ เปน พระปรางค 3 องค กอ ดว ยศลิ าแลง ศลิ ปะเขมร 2. เรื่องราวจากเอกสารจนี แบบบายน ดา นหนาของวัดเปน อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปน 4 อริ ยิ าบถ 3. ศาสนสถานศลิ ปะขอม ไดแ ก น่งั นอน ยืน และเดนิ 4. เจดยี ท รงพุมขาวบณิ ฑ 2 ละวาหรือลัว้ เปนกลุมชนดัง้ เดมิ ท่ีอาศัยอยูบริเวณอาณาจักรลานนามากอน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ดังพบหลักฐานทางโบราณคดีท่ีสําคัญ เชน ต้งั เมอื งเชียงใหม และตอมาไดล ม สลายลงเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. 1200 ซง่ึ ตรงกบั สมยั พระปรางคท่วี ดั พระพายหลวง ซ่งึ มีรูปแบบศลิ ปะขอมเหมือนกบั ทว่ี ดั มหาธาตุ ของขุนหลวงวลิ งั คะ ผนู าํ ละวา คนสุดทาย จงั หวดั ลพบรุ ี และมีอายุเกา แกก วาการต้ังสุโขทัยเปน ราชธานี แสดงใหเ หน็ วา ชุมชนบรเิ วณสุโขทัยมีมากอ น พ.ศ. 1792 และมคี วามสัมพันธก บั ชาวมอญ ที่เมอื งละโว (ลพบุร)ี และชาวขอมที่เมืองพระนครดวย 88 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ ปจั จยั ทน่ี ำ� ไปสกู่ ำรสถำปนำอำณำจกั รสโุ ขทยั ครูสมุ ตวั แทนนกั เรยี นออกมาอธิบายเกี่ยวกับ สภาพบานเมอื งกอนการสถาปนาอาณาจักรสโุ ขทัย ปัจจยั ทนี่ �ำไปสู่กำรสถำปนำอำณำจกั รสุโขทัยมีดังนี้ และปจ จัยทนี่ าํ ไปสกู ารสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั ๑) ปจั จยั ภายใน ประกอบด้วย หนาช้นั เรียน ๑. กำรขยำยตัวของชุมชนสุโขทัย ตั้งแต่เดิมคงมี ชมุ ชนเลก็ ๆ ทีต่ ั้งอยู่บริเวณเมืองสโุ ขทยั มที ั้งชำวมอญ ขอม ละวำ้ (แนวตอบ สโุ ขทัยแตด ้งั เดิมเปน ชุมชนเมอื งท่ี หรอื ลัว้ ลำว รวมทัง้ ไตหรือคนไทยท่อี พยพลงมำจำกตอนใตข้ องจีน นาจะมีความสัมพนั ธกบั ชุมชนชาวมอญ ชาวขอม จนเกิดกำรผสมผสำนทำงวัฒนธรรม และมีกำรอพยพของ ชาวละวา หรอื ลว้ั ลาว รวมถงึ ชาวไตหรอื ชาวไทย คนไทยมำต้ังถิ่นฐำนมำกข้ึนเรื่อยๆ ในท่ีสุดได้มีกำรขยำยตัวของ ดงั พบหลกั ฐานทางโบราณคดี เชน พระปรางคท ่ี ชุมชนออกไปเพื่อรองรับกำรเคลื่อนย้ำยของคนไทยท่ีเข้ำมำพ�ำนัก วดั พระพายหลวง เปนพระปรางคท ่ไี ดร บั อทิ ธิพล ในชุมชนมำกขึ้น จนกระท่ังกลำยเป็นเมือง แคว้น และมีผู้น�ำเป็น มาจากขอม ตอมาพฒั นาจนเปนชมุ ชนขนาดใหญ คนไทยปกครองดแู ลสบื ตอ่ กนั มำ อนสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ ผาเมอื ง ประดษิ ฐาน มีการปกครองทมี่ ัน่ คง และสถาปนาเปนอาณาจกั ร ๒. ท�ำเลที่ตั้งของแคว้นสุโขทัย แคว้นสุโขทัยเป็น ณ อา� เภอหลม่ สกั จงั หวดั เพชรบรู ณ์ ในทีส่ ดุ สว นปจจยั ท่ีนาํ ไปสูการสถาปนาอาณาจักร มีท้งั ปจจัยภายในและปจจัยภายนอก ปจจัยภายใน ศนู ย์กลำงของอำณำจกั ร เพรำะต้ังอยู่ใกล้กับรมิ แม่น�้ำท่ีไหลมำจำกทำงตอนเหนอื ลงสูต่ อนใต้ออก เชน การขยายตัวของชุมชนสุโขทัย ทาํ เลท่ตี ัง้ เมอื ง สทู่ ะเล ไดแ้ ก่ แมน่ ำ�้ ปิง วงั ยม และนำ่ น และมำรวมตัวกันเป็นแม่น้�ำเจำ้ พระยำลงสู่อ่ำวไทย ทำ� ให้ การมีผูนาํ ท่ีเขม แข็ง สว นปจจยั ภายนอก เชน ชำวสุโขทัยสำมำรถค้ำขำยกับแคว้นต่ำงๆ ที่อยู่ใกล้เคียงและค้ำขำยกับชำวต่ำงชำติที่เดินทำงมำ การเสอ่ื มอาํ นาจของขอม การยอมรับอํานาจของ ทำงทะเลได้ท้ังทำงบกและทำงน้�ำ ซึ่งกลำยเป็นพ้ืนฐำนทำงเศรษฐกิจให้กับแคว้นสุโขทัยได้เป็น สุโขทยั จากคนไทยในแควนอน่ื ๆ เปน ตน) อยำ่ งด ี และสง่ ผลใหช้ มุ ชนสโุ ขทยั ขยำยตวั ออกไปมำกยงิ่ ขนึ้ ๓. มผี นู้ ำ� ทเี่ ขม้ แขง็ ชมุ ชนสโุ ขทยั เป็นแหล่งพ�ำนักที่ยั่งยืนและปลอดภัยของผู้คน เพรำะมผี นู้ ำ� ทมี่ คี วำมสำมำรถและเขม้ แขง็ เปน็ ท่ี ยอมรับของผู้คนในชุมชน โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง พอ่ ขนุ บำงกลำงหำวและพ่อขนุ ผำเมือง ทช่ี ่วยกัน ขับไล่ขอมให้พ้นจำกกำรเข้ำครอบครองสุโขทัย ไดส้ �ำเร็จ จนสำมำรถสถำปนำอำณำจกั รสโุ ขทัยได้ ในท่สี ุด ๒) ปจั จัยภายนอก ประกอบด้วย ๑. ขอมเริ่มเส่ือมอ�ำนำจลง เนอ่ื งจำกพระเจำ้ ชยั วรมนั ท ่ี ๗ ซงึ่ เปน็ กษตั รยิ ข์ อม (เขมรโบรำณ) สน้ิ พระชนมป์ ระมำณ พ.ศ. ๑๗๖๑ ทำ� ใหส้ โุ ขทยั มคี วำมปลอดภยั มำกขน้ึ 1 ๒. คนไทยในแคว้นอื่นๆ ที่เคย ศาลตาผาแดง บรเิ วณอทุ ยานประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั เปน็ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ลกั ษณะศลิ ปะขอม ตง้ั ตัวเป็นอิสระยอมรบั อ�ำนำจของแควน้ สโุ ขทยั แบบบายน ซง่ึ มกี ารพบเทวรปู ศลิ า ณ ทแี่ หง่ นดี้ ว้ ย 89 ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู ปจจยั ภายในทนี่ าํ ไปสกู ารสถาปนาอาณาจักรสโุ ขทัยมหี ลายประการ 1 ศาลตาผาแดง มีลักษณะเปน โบราณสถานหลังเดยี่ วแบบปราสาทขอม กอดว ย ยกเวนขอ ใด ศลิ าแลง เมือ่ กรมศิลปากรดําเนนิ การขดุ แตงและบรู ณะศาลตาผาแดง ไดพบช้นิ สวน เทวรปู และเทวสตรปี ระดับเครอื่ งตกแตงอยางสวยงาม เมอื่ ศกึ ษาแลว พบวา เทียบได 1. การมผี ูนําท่เี ขม แขง็ กับศิลปะเขมรแบบนครวดั ปจ จบุ นั จดั แสดงอยทู พ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง ชาติ รามคาํ แหง 2. ความเหมาะสมของทําเลทีต่ ัง้ จังหวดั สโุ ขทยั 3. การยอมรบั อํานาจจากแควนอื่นๆ 4. ความเจรญิ ในดานตางๆ ของเมือง มุม IT วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. การยอมรับอํานาจจากแควนอ่ืนๆ เปนปจ จยั ศึกษาคน ควา ขอ มูลเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกับอนุสาวรยี พอ ขนุ ผาเมือง ไดท่ี http://www. phetchabunpao.go.th เวบ็ ไซตองคก ารบรหิ ารสวนจังหวัดเพชรบูรณ ภายนอกที่นาํ ไปสูการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั สว นขอ 1. 2. และ 4. ลว นเปนปจ จยั ภายใน คมู ือครู 89

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ครูอธิบายเช่อื มโยงใหน ักเรยี นเขา ใจวา จำกปัจจัยท้ังภำยในและภำยนอกท�ำให้กำรสถำปนำอำณำจักรสุโขทัยด�ำเนินไปด้วย จากปจจยั ตา งๆ ทีน่ ักเรยี นกลาวมา ลว นสงผลให ควำมเรียบร้อย ดงั จะเหน็ ได้ว่ำ เม่อื ผู้นำ� คนไทย คือ พ่อขุนศรีนำวนำ� ถุมซง่ึ เปน็ เจ้ำเมอื งสุโขทัยได้ การสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั ดําเนินไปไดดวยดี สนิ้ พระชนมล์ ง ปรำกฏวำ่ ขอมสะบำดโขลญลำ� พงซง่ึ เขำ้ ใจวำ่ เปน็ ขอมไดน้ ำ� กำ� ลงั เขำ้ ยดึ สโุ ขทยั ไวไ้ ด้ จากนน้ั ครูขออาสาสมัครนกั เรียนออกมาอธิบาย แตก่ ็ยึดเอำไวไ้ ดไ้ มน่ ำน ผู้น�ำคนไทย ไดแ้ ก่ พ่อขุนบำงกลำงหำว และพอ่ ขุนผำเมืองเจ้ำเมืองรำด เก่ียวกบั การสถาปนาอาณาจักรสโุ ขทยั และเป็นโอรสของพ่อขุนศรีนำวน�ำถุม ได้ร่วมมือกันชิงเมืองสุโขทัยจำกขอมสะบำดโขลญล�ำพง สเอโุ ำขไทวยั้ไ ดแ้ ลห้วลถังวจำำยกพนรั้นะพน่อำขมุนว่ำผำ“เศมรือีองินไดท้สรถบำดปินนทำรพา่อทขิตุนยบ์”1ำใงหก้ ลแำตงห่พำ่อวขใุนหบ้ขำึ้นงเกปล็นำกงษหัตำรวิยท์ครรงอใชง้เเพมือียงง (แนวตอบ การสถาปนาอาณาจักรสโุ ขทัยเกดิ จาก พระนำมว่ำ “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ซึ่งเป็นต้นรำชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย และสถำปนำ กลมุ คนไทยภายใตก ารนําของพอ ขุนบางกลางหาว กรุงสโุ ขทยั เปน็ รำชธำนีใน พ.ศ. ๑๗๙๒ และพอ ขนุ ผาเมืองชวยกนั ขบั ไลข อมทเ่ี ขามา กำรที่พ่อขุนผำเมืองร่วมมือกับพ่อขุนบำงกลำงหำวขับไล่อ�ำนำจขอมให้พ้นจำกสุโขทัย ยึดครองสโุ ขทยั ไดส าํ เร็จ จากนัน้ พอ ขนุ ผาเมอื งได จนสำมำรถสถำปนำกรุงสุโขทัยเป็นรำชธำนีของอำณำจักรสุโขทัยได้เป็นผลส�ำเร็จ แสดงถึงควำม สถาปนาพอ ขุนบางกลางหาวข้ึนเปน กษตั ริยค รอง สำมคั คีของคนไทย และกำรทีพ่ อ่ ขุนผำเมืองสนบั สนุนให้พ่อขุนบำงกลำงหำวขน้ึ เป็นกษัตริย์ครอง เมอื งสโุ ขทยั มีพระนามวา พอ ขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย และ กรงุ สุโขทยั นับเปน็ ตัวอย่ำงของควำมเสยี สละประโยชน์สว่ นตนเพือ่ ประโยชนส์ ว่ นรวมโดยแทจ้ ริง ทรงสถาปนากรงุ สโุ ขทยั เปน ราชธานใี น พ.ศ. 1792) ภำยหลังจำกกำรสถำปนำเมืองสุโขทัยเป็นรำชธำนีแล้ว อ�ำนำจสุโขทัยได้ครอบง�ำไปทั่ว เหนือดินแดนต่ำงๆ ท่ีเป็นของชุมชนไทยมำก่อน จนกลำยเป็นอำณำจักรสุโขทัยและด�ำรงอยู่ได้ ขยายความเขา ใจ Expand ติดต่อกันถึง ๒๐๐ ปีเศษ และมีพระมหำกษัตริย์ในรำชวงศ์พระร่วงปกครองสุโขทัยสืบต่อกันมำ ถงึ ๙ พระองค์ ครใู หน ักเรียนสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกบั การสถาปนาอาณาจกั รสุโขทัยในรปู แบบแผนผงั ความคดิ นําสงครูผูส อน ตรวจสอบผล Evaluate รายพระนามพระมหากษตั รยิ ์ไทยในราชวงศพ์ ระรว่ งทีป่ กครองอาณาจักรสโุ ขทยั 1. ครตู รวจแผนผังความคดิ เกยี่ วกับการสถาปนา รายพระนามพระมหากษัตรยิ ์ ปที เ่ี ริ่มครองราชย์ ปที ี่สวรรคต อาณาจักรสุโขทยั ๑. พอ่ ขุนศรีอนิ ทรำทิตย์ พ.ศ. ๑๗๙๒ ไมป่ รำกฏ ๒. พอ่ ขนุ บำนเมือง ไม่ปรำกฏ พ.ศ. ๑๘๒๒ 2. ครสู งั เกตพฤตกิ รรมความมีสว นรวมในการตอบ ๓. พอ่ ขุนรำมคำ� แหงมหำรำช พ.ศ. ๑๘๒๒ พ.ศ. ๑๘๔๑ คาํ ถามและการแสดงความคิดเหน็ ของนกั เรียน ๔. พระยำเลอไทย พ.ศ. ๑๘๔๑ ประมำณ พ.ศ. ๑๘๖๖* ๕. พระยำงัว่ น�ำถุม ประมำณ พ.ศ. ๑๘๖๖* พ.ศ. ๑๘๙๐ ๖. พระมหำธรรมรำชำที ่ ๑ (ลิไทย) พ.ศ. ๑๘๙๐ พ.ศ. ๑๙๑๑ ๗. พระมหำธรรมรำชำที ่ ๒ พ.ศ. ๑๙๑๑ ประมำณ พ.ศ. ๑๙๔๒ ๘. พระมหำธรรมรำชำท ี่ ๓ (ไสลอื ไทย) พ.ศ. ๑๙๔๓ พ.ศ. ๑๙๖๒ ๙. พระมหำธรรมรำชำท ่ี ๔ (บรมปำล) พ.ศ. ๑๙๖๒ ประมำณ พ.ศ. ๑๙๘๑ 90 *เป็นข้อสันนษิ ฐำนของ ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร นักเรยี นควรรู บูรณาการเช่ือมสาระ ในการอธบิ ายทาํ เลทตี่ งั้ และลักษณะภมู ปิ ระเทศของอาณาจกั รสโุ ขทยั 1 ศรีอินทรบดินทราทติ ย เดิมเปนพระนามทกี่ ษัตรยิ ขอมพระราชทานใหแ ก ครคู วรนาํ แผนท่แี สดงลักษณะภูมิประเทศของไทยมาใหนักเรยี นดปู ระกอบ พอ ขุนผาเมอื ง พรอมกับพระราชทานพระขรรคชัยศรใี นคราวทีพ่ อขุนผาเมืองทรง เพื่อบรู ณาการเชื่อมโยงกับสาระภูมิศาสตร หัวขอภูมิลกั ษณของประเทศไทย อภเิ ษกกบั นางสขุ รมหาเทวี พระราชธดิ า ตอ มาเมอ่ื พอ ขุนผาเมืองตไี ดเ มืองสุโขทัย เพ่อื ใหนกั เรียนไดเ ขาใจถึงสภาพภูมศิ าสตรข องภาคเหนือและภาคกลางของ แลว จงึ สถาปนาพอขนุ บางกลางหาวขนึ้ ครองเมอื งสโุ ขทัย และถวายพระนาม ไทย และสามารถวเิ คราะหขอไดเปรยี บ-เสียเปรียบ จากการมีทําเลทตี่ ัง้ และ ศรีอนิ ทรบดินทราทิตยใ หแกพ อ ขนุ บางกลางหาว ลักษณะภูมิประเทศดังกลาว มมุ IT ศึกษาคนควา ขอมูลเพมิ่ เติมเกยี่ วกบั พระมหากษัตริยองคสาํ คญั ของอาณาจกั ร สุโขทัย ไดท่ี http://www.sukhothai.go.th/history/hist_o6.htm เวบ็ ไซตจังหวดั สุโขทัย 90 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage กระตนุ ความสนใจ ò. ป˜¨¨ัยทมèÕ ÕÍิทธพิ ลµÍ‹ พัฒนาการãนสมยั สโุ ขทยั 1. ครูกระตุนความสนใจดวยการใหน กั เรยี น เลน เกมตอบคําถามความรูท ว่ั ไปเกยี่ วกบั ภำยหลังจำกท่ีไดม้ ีกำรสถำปนำสุโขทัยเปน็ รำชธำนีใน พ.ศ. ๑๗๙๒ เปน็ ต้นมำ อำณำจักร อาณาจกั รสุโขทยั โดยแบงนักเรียนในหอง สุโขทยั ไดม้ พี ฒั นำกำรอยำ่ งตอ่ เนอ่ื งในทุกๆ ด้ำน ไดแ้ ก่ กำรเมือง กำรปกครอง เศรษฐกจิ สังคม ออกเปน 2 ทมี ศิลปวัฒนธรรม และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ ปัจจยั ทม่ี ีอิทธพิ ลตอ่ พฒั นำกำรในสมัยสโุ ขทัย ประกอบด้วย 2. นักเรียนท้งั 2 ทีมสงตัวแทนออกมาหนา ช้นั เรยี น เพอื่ จบั ฉลากเลือกชุดคําถามจาก ๒.๑ ปัจจัยด้ำนภมู ิศำสตร์และสง่ิ แวดลอ้ ม ชดุ คาํ ถาม 2 ชุด คอื ชดุ คําถาม A และ ชดุ คําถาม B เมื่อจับฉลากไดแลว ใหไ ปรับ ปจั จัยดำ้ นภมู ศิ ำสตร์และสิง่ แวดล้อมของอำณำจกั รสุโขทัย มลี กั ษณะทัว่ ไปดังนี ้ ชดุ คําถามจากครผู ูสอน ยม๑ ) แสลภะนาำ่ พนภ 1ไูมหิปลรผะำ่ เนทจศำก เสหุโนขอื ทลัยงตใตั้งส้อลู่ยมุู่่ในแมอำน่ ณำ�้ เำจบำ้ พริเรวะณยำท ่ีปแรละะกไหอลบสดทู่ ้วะยเทล ี่รำเหบมลำุ่มะทก่ีมบั ี 3. นกั เรียนในแตล ะทีมชว ยกนั ตอบคําถาม แลว สง ตวั แทนออกมาเขยี นคาํ ตอบท่ีหนา กระดาน แมน่ ำ�้ ปงิ ครูเฉลยคําตอบ แลวกลา วชมเชยทีมท่ีชนะ กำรด�ำรงชีพด้ำนเกษตรกรรมและกำรค้ำขำยทั้งกับภำยในและภำยนอก ส่วนทำงด้ำนตะวันตก มีทิวเขำถนนธงชัยและตะนำวศร ี และทำงด้ำนตะวันออกมที ิวเขำเพชรบรู ณ์ สาํ รวจคน หา Explore ๒) สภาพภมู อิ ากาศ สโุ ขทยั ตงั้ อยทู่ ำ่ มกลำงทวิ เขำขนำนทงั้ ทวิ เขำถนนธงชยั ทวิ เขำ ตะนำวศร ี และทวิ เขำเพชรบรู ณ ์ ทำ� ใหอ้ ำกำศไมร่ อ้ นเกนิ ไป ประกอบกบั มลี มมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และลมมรสุมตะวันออกเฉยี งใต้พัดผำ่ น จึงมีฝนตกชกุ ในฤดูมรสุม ครใู หน กั เรียนศกึ ษาเกีย่ วกับปจ จัยท่ีมอี ทิ ธิพล ตอ พฒั นาการในสมยั สุโขทยั จากหนงั สือเรยี น แม่น�้ายมเปรียบเสมือนเส้นโลหิตหลักของสุโขทัย เพราะเป็นแหล่งน้�า หนา 91-92 หรอื จากแหลงการเรียนรอู นื่ ๆ เชน เพื่อการอปุ โภคบริโภค เพาะปลูก และเป็นเส้นทางสญั จรตดิ ตอ่ ค้าขาย หอ งสมุดกลุม สาระ หอ งสมุดโรงเรียน ขอ มลู ทาง อินเทอรเ น็ต เปนตน เพื่อนํามาอภิปรายรวมกันใน ช้ันเรียน 9๑ ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู แมว า อาณาจักรสโุ ขทยั จะมีสภาพพน้ื ท่คี อนขางแหงแลงเพราะขาดแคลนนาํ้ 1 แมน ํ้าปง วงั ยม และนาน แมน า้ํ แตล ะสายเหลานีล้ วนมคี วามสาํ คญั ตอ แตสโุ ขทยั กส็ ามารถพฒั นาอาณาจักรใหร งุ เรืองได ทง้ั นเี้ ปน เพราะปจจัยใด กรุงสุโขทัยในดานการคมนาคมขนสง และทร่ี าบลุมแมน ้าํ ยงั เปน ทต่ี ง้ั หวั เมืองสาํ คัญ ดงั นี้ 1. เมอื งรายรอบเปนเครอื ญาติกนั 2. มแี หลง แรธ าตุสะสมอยใู ตดิน • ปง อยูท างทิศตะวนั ตกของสุโขทยั เปนที่ต้งั เมอื งสาํ คัญ เชน ชากงั ราว 3. มที ําเลทตี่ ้ังเอื้อตอ การตดิ ตอคาขายทีส่ ะดวก นครชมุ ไตรตรึงษ คณฑี เปน ตน 4. พระมหากษัตรยิ ใ หการอปุ ถมั ภดานการคาขาย • วงั ไหลมารวมกับแมน้าํ ปง ทต่ี าก วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. สโุ ขทยั มที าํ เลทตี่ ง้ั ครอบคลุมบรเิ วณลุมแมนํา้ • ยม เปน ทีต่ ง้ั ของกรงุ สโุ ขทยั ซึง่ มเี มอื งสาํ คัญถดั ขึ้นไปทางเหนอื คอื ปง วัง ยม และนาน ซง่ึ เปนแมนา้ํ ที่ไหลมาบรรจบกันเปนแมนาํ้ เจาพระยา ศรีสัชนาลัย ไปลงอา วไทย ทําใหส ะดวกในการตดิ ตอคาขายระหวา งเมืองภายในและ • นาน อยทู างทิศตะวนั ออกของสโุ ขทัย มีเมืองท่สี ําคญั เชน สระหลวง ภายนอก สองแคว เปน ตน คูม ือครู 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook