มหาสาวทสนั นบาต การประชมุ ใหญบ่ อ(วกระสาวก (มหาสนมบาต) ๔. วางตนเสมอตน้ เสมอปลาย ๕. การซอื่ ตรงจรงิ ใจ มติ ร สหาย ควรปฏปิ ติตอบ ๕ อยา่ ง ซ.ิ รกั ษามิตรถ้าเขาเกิดประมาท ๒. รกั ษาสมปตขิ องเขาด้วย ๓. เป็นทีพ่ ึง่ ไดเ้ มือ่ มภี ยั ๔. ยามมอี นั ตรายไม่ละทิ้งกัน ๕. นบั ถือตลอดจนวงศาคณาญาติของมิตร ทศิ เบองล่าง คอื บ่าวและลกู จ้าง นายควรอนุเคราะห์ ๕ ประการ คือ ซิ. ให้งานพอเหมาะแกก่ ำลงั ๒. ใหอ้ าหารและคา่ จา้ ง ๓. ใหก้ ารรักษาพยาบาลเวลาเจ็บไข้ ๔. ใหอ้ าหารรสแปลก ๕. ใหพ้ กั ตามเวลาสมควร บ่าวและลูกจ้างควรภกั ดรี บั ใช้ ๕ ประการ คอื ซ.ิ ทำงานกอ่ นเวลา ๒. เลิกหลังเวลา ๓. ไม่ลกั ขโมย ๔. ตงั้ ใจทำงานดี ๕. นำคุณของนายไปชม ต็ออเปน็ ใหเด้ (ด่งั ฟบทระฦทรIจาั ) ๑๐๑ kalyanamitra.org
บทท^บ ทิศเบอ้ื งบน คือ สมณพราหมณ์ กุลบุตรควรบำรงุ ๕ ประการ คือ ซิ. ปฏบิ ้ติตอ่ ทา่ นดว้ ยจิต เมตตา ๒. พดู อะไรต่อท่านด้วยจิตเมตตา ๓. คดิ ต่อทา่ นดว้ ยจิตเมตตา ๔. เต็มใจตอ้ นรบั เข้าบ้าน ๕. บรจิ าคสิงของให้อยา่ งพอเพียง สมณพราหมณ์ ควรอนเุ คราะหด์ ว้ ย 'จ ประการ คอื ซิ. หา้ มจากบาป ๒. ให้ตัง้ อยู่ในกุศล ๓. อนุเคราะห์ด้วยน้าํ ใจอนั งาม ๔. ให้ใดฟ้ ้งสิง่ ท่ยี งั ไม่เคยฟงิ ๕. อธิบายสิ่งทีเ่ คยฟิงให้แจ่มแจ้ง ๖. บอกทางสวรรค์ให้ พระบรมศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาเรอื่ งทศิ ทงั้ ๖ จบแลว้ ตรัสวา่ ถา้ ใครไหว้ ด้วยการปฏปิ ้ตดิ ังนีอ้ ยเู่ ปน็ ประจำ ย่อมสามารถสกัดก้ันอันตรายอนั จะมีมาจากทศิ เหลา่ นน้ั สงิ ศาลกมานพพงี แลว้ เล่อื มใสศรัทธา กล่าวคำสรรเสริญแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ เปน็ สรณะตลอดชวี ิต นับแตน่ ้นั มา ๑๐๒ ด้ออเป็นใหเด้ (ดง่ั เชน่ ทระฦทรเชาั ) kalyanamitra.org
— พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสดจ็ โปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ณ กรุงกบิลพสั ดุ ดัองเปน็ ใฟัเด้ (ส่ปเ๋ ฒท่ ระททฺ ธเยา้ ) ซ๐ิ ๓ kalyanamitra.org
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสด็จโปรดพระนางพมิ พา ๑๐๔ ตออเปน็ ให!ด (ลงั เชน่ ทระเๆทธเยา้ ) kalyanamitra.org
บททอ่ื บ็ เอด็ เสดจ็ นครกขลทส้ ดฺ โปรดทระทุทธบดานละ:ชาวเปิอ0 บทท 0๐ เสดจ็ นครกบลกสดุ โปรดกระทุทรบดาและชาวเมออ 'นระยะเรม่ิ ประกาศพระศาสนานัน้ สว่ นใหญ่พระบรมศาสดาประทับประจำอยู่ ในแควน้ มคธ เนอ่ื งจากมเี วฬุวันเปน็ ทปี่ ระทบั จะเสด็จไปยงั แควน้ ใดก็ตาม เม่ือเสร็จ พุทธกจิ โปรดเวไนยสตั ว์แลว้ จะเสด็จกลบั แควน้ มคธเสมอ แมแ้ ต่เหล่าสาวกทอ่ี อกไปประกาศ พระศาสนา เสรจ็ แล้วก็จะพากันกลับมากรงุ ราชคฤห์ของแควน้ มคธน้ที ำนองเดียวกนั เมอ่ื มีการประกาศพระศาสนาไปแพร่หลาย ขา่ วคราวกระจายไปถงึ นครกบลิ พสั ดุ พระเจา้ สุทโธทนะทรงรอคอยพระราชโอรสมาถงึ ๖ ปี ทรงทราบวา่ ตรสั รูพ้ ระสมั มา- สมั โพธญิ าณแล้ว ก็ทรงดีพระทัย รบี ส่งคณะอำมาดยไปทลู เชญิ เสดจ็ กลับมาเยี่ยมพระนคร ปรากฏว่าส่งไปคณะใด อำมาตย์เหล่านั้นได้ฟงั พระธรรมเทศนา ปฏิบต้ ติ ามคำสอน พากนั บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ตห์ มด เม่ือเปน็ พระอรหนั ตแ์ ลว้ ภิกษุเหล่านน้ั ยอ่ มหมดความ ยินดียินรา้ ยในอารมณท์ างโลกทั้งปวง ไมม่ ีความกังวลดว้ ยภาระอนั ใดของชาวโลก จงึ ไม่มี ใครสนใจทูลใหพ้ ระบรมศาสดาทรงทราบเรือ่ งทพี่ ระบิดาทูลเชญิ หรือมฉิ ะน้ันก็เห็นวา่ เปน็ เรอื่ งที่พระบรมศาสดาทรงพิจารณาเองวา่ เวลาใดสมควรเสด็จ ไมค่ วรรบกวนพระทยั จนถึงทตู คณะท่ี ๑0 มอี ำมาตยช์ อ่ื กาฬทุ ายี อนั เป็นสหชาตกิ ับพระบรมศาสดาเป็น หวั หนา้ คณะ อำมาตย์ผูน้ ้ีทราบลว่ งหน้าจงึ ทลู ลาบวชต่อพระเจา้ สทุ โธทนะก่อนออกเดนิ ทาง เมอ่ื เขา้ เสาพระพทุ ธเจ้าและไดฟ้ ังธรรมแล้ว ก็บรรลเุ ป็นพระอรหนั ตท์ ง้ั คณะทำนอง เดยี วกัน แต่ภิกษุกาฬทุ ายีไมล่ ืมเรอ่ื งพระราชาสทุ โธทนะรบั ลังไว้ จึงทูลอาราธนาพระ- บรมศาสดา พระองค์ทรงรบั นมิ นต์ และเสด็จด้วยพระบาทพร้อมเหลา่ ภิกษุ สนิ เวลา เดนิ ทางสองเดือน จึงถงึ พระนครกบิลพัสดุ ประทบั ในอทุ ยานของพระญาตผิ ู้หนึ่งพรอ้ มด้วย ภกิ ษุสงฆ์ ๒ หมืน่ รปู เรียกท่นี ัน้ วา่ นโิ ครธาราม เหลา่ พระญาติทง้ั หลายได้พากนั มาเสา โดยให้พระญาติผู้เยาวอ์ ยดู่ ้านหนา้ ๆ เพือ่ ถวายบังคม สว่ นพระญาตผิ ้ใู หญ่อยทู่ างทา้ ยๆ เพราะยังมีทิฏฐิมานะวา่ เป็นผเู้ กดิ ก่อน ไม่ ยอมถวายบงั คม พระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศยั ดี จึงทรงกระทำพทุ ธปาฏิหารยิ ์ ดัองเปน็ ใffเดั (ดป๋ั เ๋ ช่นทระทฺทรเจ้า) 90๕ ไ kalyanamitra.org
บททอื่ ็บเอ็ด เสมือนพระองค์ทรงลอยอยูใ่ นอากาศ โปรยละอองพระบาทเหนือเคียรเหลา่ พระญาติ เหล่านน้ั ทำใหส้ ินมานะพากนั ถวายบังคม ขณะน้นั มฝี นสแี ดงเรียกวา่ ฝนโบกขรพรรษ ตกมาจากอากาศ เป็นท่ีชุม่ ชินใจ ใคร ตอ้ งการให้เปยี กจงึ จะเปยี ก ใครไมต่ อ้ งการก็ไมเ่ ปียก กลงิ้ จากตัวไปเหมือนนาํ้ บนใบบัว ฝนนท้ี ำใหพ้ ระองค์ตรัสเลา่ ความเดมิ ในพระชาติทท่ี รงเกิดเปน็ พระเวสสนั ดร เพราะมีฝน ชนดิ เดียวกนั ตกในวนั ประชุมพระญาตทิ ำนองเดียวกนั การประชุมครง้ั น้ี ไมม่ ีผใู้ ดทูลนิมนต์ถวายภตั ตาหารพระบรมศาสดาและเหลา่ ภิกษสุ งฆ์ เข้าใจกนั ว่าพระองคค์ งจะเสด็จมาเสวยในพระราชวงั เอง ร่งุ ขึ้นพระบรมศาสดาพาเหล่าภกิ ษุเสด็จภิกขาจารตามถนนในกรงุ กบลิ พัสด'ุ ชาวเมือง แตกตนื่ โกลาหล ต่างตระหนกตกใจ พากนั ออกมาดแู ละนำสงิ ของมาใส่บาตร เพราะชาว อนิ เดียสมยั น้นั ถือวรรณะมาก วรรณะกษตั ริย์เดนิ ขออาหารอยา่ งนี้ ไมม่ ใี ครทำ ชาวเมอื ง ไมเ่ คยเห็น พระเจา้ สทุ โธทนะทรงทราบเรื่อง ทรงเสียพระทยั เป็นท่ยี งิ่ เพราะเปน็ เรอ่ื งเสื่อม พระเกยี รตอิ ยา่ งรา้ ยแรง รีบเสดจ็ ตามไปทูลเชญิ พระบรมศาสดาเสด็จกลับพระราชวงั ทรงอา้ งว่าขตั ติยวงศไม่กระทำเชน่ น้ี แต่พระบรมศาสดาตรัสขแึ้ จงวา่ พระองคป์ ฏิบัติตาม พุทธวงค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองคท์ รงกระทำดงั นก้ี ารเท่ยี วภกิ ขาจารเป็นกิจวตั ร ของสมณะ สมณะไม่ควรประมาทในการบณิ ฑบาต สมณะควรประพฤตธิ รรมโดยสจุ รติ ผู้ประพฤตธิ รรมยอ่ มอยู่เป็นสุขทัง้ ในโลกน้แี ละโลกอน่ื พระราชาทรงสดับพระธรรมเทศนาสันๆ เพยี งเทา่ นี้ สามารถบรรลุเป็นพระ- โสดาบันในขณะนนั้ เอง จงึ ไมท่ รงหา้ มปรามอกี ตอ่ ไป .V..W..'.T..T...ว..,.,.1.,..f.1..^. .^. พระบรมศาสดาประทับอยูน่ ครกบิลพัสดเุ สดจ็ ออกบิณฑบาตทุกวัน เพ่อื โปรด ชาวเมอื ง พระนางยโสธราทรงทราบข่าวการเสดจ็ มาแตต่ น้ แตพ่ ระนางไมเ่ สดจ็ ไปเสา ดว้ ยยงั นอ้ ยพระทัยและเสียพระทยั ไมเ่ คยสรา่ งโศกเลย ตั้งแตพ่ ระบรมศาสดาเสดจ็ จาก พระนครไปเมอ่ื ๖ ปีกอ่ น เพราะเป็นธรรมเนียมในสมัยนนั้ ภรรยาท่ถี ูกสามีทอดทิง้ จะ ขร้ ล้ กึ อปั ยศมาก แตด่ ว้ ยความท่ที รงระลกึ ถึงผู้เป็นท่รี กั อยา่ งเปียมล้น พระนางทรงแอบทอดพระเนตร ทางชอ่ งพระแกลในเวลาพระบรมศาสดาเสดจ็ ภิกขาจารผ่าน พระนางทรงซีให้พระโอรส ราหลุ ดพู ระบรมศาสดาตรัสวา่ “น้ันคือ พระบดิ าของลกู ” เจ้าชายราหุลทอดพระเนตร เหน็ แล้วทรงนกึ รักพระบรมศาสดาย่ิงนัก พระบรมศาสดาพรอ้ มดว้ ยภกิ ษุตดิ ตามรปู หนึง่ เสดจ็ ยงั ตำหนกั ของพระนางยโสธรา ๑๐'ว ดอั งเป็นให๋ัเดั (ต่อเช่นทระฤทธเย้า) kalyanamitra.org
เสดจ็ นครกบลทสั ดุ โปรดทระททฺ รบดานละชาวเม90 พระองคต์ รัสซแี จงตอ่ ภิกษทุ ตี่ ดิ ตามวา่ อย่าห้ามปรามถา้ พระนางจะเสด็จเขา้ สวมกอด พระบาทของพระองค์กรรแสง เพราะถา้ ลูกห้ามอาจถีงพระทยั วายด้วยความโศก เมือ่ พระองคเ์ สด็จมาถึง พระนางประคองพระวรกายอันซูบผอม พระฉววี รรณ เศร้าหมองออกมาเฝาั กลงิ้ เกลอื กพระเคียรแทบพระบาท ทรงพระกรรแสงแทบล้ินสมปฤดี พระพุทธเจา้ ทรงปลอบโยนใหส้ รา่ งโศก ตรสั ถงึ พระชาตติ า่ งๆ ในอดตี ซ่งื พระนาง ทรงเคย เปน็ คู่ทุกขค์ ่ยู ากของพระองค์มานบั พระชาติไม่ถ้วน เชน่ พระชาตทิ ี่ เคย เป็นกินนร และกินนรีด้วยกนั มา ทรงสรรเสรญิ ความซ่อื สตั ยข์ องพระนาง พระนางยโสธราเทวีทรงฟังแลว้ ก็สรา่ งโศกและทรงคลายความเสยี พระทัยลง ตัง้ พระทัยฟงิ ธรรมดว้ ยความโสมนัส เมอ่ื พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมจบ พระนางกท็ รง บรรลุ เป็นพระโสดาบนั ในวนั ท่ี ๕นบั จากที่เสดจ็ มาถึงกรุงกบลิ พัสดุ ในพระราชวงั มีพระราชพิธวี วี าหมงคล ระหวา่ งเจ้าชายบันทะ ผู้เปน็ พระอนชุ าตา่ งพระมารดา(คอื พระน้านางปชาบดโี คตมี) ของ พระบรมศาสดา กบั เจ้าหญิงชนบทกลั ยาณี พระเจา้ สทุ โธทนะทูลเชิญพระบรมศาสดา เสด็จมารว่ มงานดว้ ย เมอ่ื ทรงฉนั ภตั ตาหารเรยี บร้อยแลว้ จะเสดจ็ กลบั ทรงมอบบาตรให้ เจ้าชายบนั ทะถอื ตามส่งเสดจ็ เจา้ ชายบนั ทะเสด็จตามออกมา เจ้าหญิงชนบทกลั ยาณที ราบเรือ่ งรีบว่งิ มาทูล เตอื นใหเ้ สดจ็ กลับวังโดยเรว็ “เจา้ พี่ เสดจ็ กลบั มาเร็วๆ นะเพคะ” แตเ่ จ้าชายเสด็จตามพระพทุ ธองคไ์ ปไกลเพยี งใด พระบรมศาสดาไม่ทรงขอบาตรคนื กระท่งั ถึงทีป่ ระทับนอกเมอี ง พระองค์ตรสั ถามพระอนุชาวา่ “บนั ทะ เธอจะบวชไหม” ตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาวม์ าดว้ ยกนั เจ้าชายบันทะทรงรักและเกรงพระทัย พระเชษฐามาโดยตลอด ในครัง้ นี้กท็ ำนองเดิม เจ้าชายทรงตอบรับดว้ ยความเกรงพระทัย วา่ “บวช พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาทรงใหเ้ จ้าชายบันทะอุปสมบทเปน็ ภิกษุ นับต้ังแตว่ นั บวชน้นั เจ้าชายไม่ทรงยนิ ดใี นเพศบรรพชติ เลย ทรงระลึกถงึ แตพ่ ระคหู่ มัน้ ตลอดเวลา ใคร่ทลู ขอ ลาสิกขาอยเู่ สมอๆ แตท่ รงเกรงพระทัยพระบรมศาสดา เจา้ ชายบนั ทะทรงผนวชแล้วไมน่ าน พระนางยโสธราจงึ ทรงให้เจา้ ชายราหุลเสดจ็ ไปทูลขอราชสมบตั ิจากพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาทรงใคร่ครวญแลว้ เหน็ ว่า เจา้ ชายควรได้อริยทรัพยม์ ากกวา่ โลกยี ทรพั ย์ จึงตรัสลงั พระสารีบุตรให้เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ บวชใหพ้ ระกมุ าร เป็นสาม เณรรูป แรกในพระศา สนา พระเจ้าสทุ โธทนะทรงทราบขา่ ว เสียพระทยั ว่าราชสมบตั ไิ ม่มผี สู้ บี ทอด จงึ ทูลขอ ดอั อเอนให๋เั ด้ (ส่งเชน่ กระ!ๅทธเยา้ ) ๑๐๗ kalyanamitra.org
บทท่อี ็บเอด็ พระพุทธาบญุ าตว่า ตอ่ ไปภายหน้าหากจะมกี ารอุปสมบทใหก้ ุลบุตรผูใ้ ดกต็ าม ขอให้ ผู้ปกครองเห็นชอบดว้ ยกอ่ นพระบรมศาสดาทรงอนญุ าตจงึ เป็นธรรมเนยี มสบื กันมาทุกวนั น้ี เม่ือประทบั อยู่ทกี่ รงุ กบลิ พสั ดพุ อสมควรแกเ่ วลา พระบรมศาสดาเสด็จกลบั กรงุ - ราชคฤห์ ภกิ ษบุ นั ทะและสามเณรราหุลตามเสด็จดว้ ย มเี จ้าชายในราชสกุลทรงออก ผนวชตามหลายพระองค์ ท้ังท่บี วชดว้ ยศรทั ธาและบวชตามเพอ่ื น ที่กรงุ ราชคฤห์ ซง่ึ มเี ศรษฐีราชคฤห์สร้างวหิ ารถวาย และไดห้ ม่ันถวายทานอยู่ เนืองนิตย์ เศรษฐีผู้น้มี ีน้องเขยชอ่ื อนาถบณิ ฑกิ ะ เปน็ เศรษฐีอยกู่ รงุ สาวัตถี แควน้ โกศล เดิมมชี อื่ วา่ สุทตั ตะ เปน็ คนใจบญุ ตัง้ โรงบริจาคทานแกม่ หาชนและคนไร้ที่พ่งึ คนจึงเรยี ช่ือใหมว่ ่า อนาถบณิ ฑกิ ะ แปลวา่ ก้อนข้าวของคนยากจน อนาถบิณฑกิ ะมาหาราชคฤห'เศรษฐีเสมอๆ มอี ย่คู รั้งหน่งึ มาหาในขณะที่ราชคฤห' เศรษฐี กำลังสาละวนลังการใหผ้ คู้ นในบา้ นเตรียมการถวายทานพระภิกษสุ งฆ์มี พระพุทธเจ้าเป็นประธานในวนั รงุ่ ขน้ึ ท่านราชคฤหไมไ่ ด้ใสใ่ จต้อนรบั อนาถบิณฑิกะเทา่ ทเี่ คยทำ อนาถปิณฑกิ ะแปลกใจมาก จงึ ถามวา่ จะมีงานมงคลใหญ่ มงคลสมรส หรอื บูชามหายัญ หรอื เชิญพระเจ้าพมิ พิสารพรอ้ ม เหลา่ บริวารมาเล้ียง ราชคฤห'เศรษฐีตอบปฏเิ สธช้ีแจงว่าไดน้ มิ นตพ์ ระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเปน็ ประมขุ มาฉันภตั ตาหารในวันรงุ่ ขนึ้ อนาถบณิ ฑิกะได้ยินคำว่า “พระพุทธเจา้ ” ดีใจจนตกตะลงึ ยอ้ นถามพภี่ รรยาให้พูด ซา้ํ ใหม่ถงึ ๓ ครั้ง แลว้ กลา่ ววา่ คำวา่ พระพุทธเจา้ นน้ั เป็นคำท่ีหาฟงิ ไดย้ ากมากในโลก ตนเองใครข่ อไปเสาในเวลานั้น ราชคฤหเ์ ศรษฐีชีแ้ จงวา่ เปน็ เวลาคำคืนไมส่ ะดวก ให้รอ ตอนเชา้ เสืยก่อน อนาถบณิ ฑกิ ะกระวนกระวายใจใคร่ได้พบเห็นพระบรมศาสดาจนนอนไมห่ ลับ ตลอดคืน รบี เดนิ ทางออกไปตง้ั แต่ยังไม่ทนั สวา่ ง พระบรมศาสดาตรัสอนปุ พุ พกิ ถา และ อรยิ สจั ๔ เศรษฐไี ด้ธรรมจกั ษุเป็นพระโสดาบัน กราบทูลประกาศตนเป็นอุบาสก ถงึ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ ทพี่ ง่ึ ตลอดชีวิต ภายหลงั จากภตั ตกิจท่บี ้านราชคฤหเ์ ศรษฐีแล้ว อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐีทูลเชญิ พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมเหลา่ ภิกษสุ งฆไปยังกรุงสาวัตถี แควน้ โกศลบ้าง พระองคท์ รง รบั นิมนต์ ภกิ ษบุ นั ทะ พระอนุชาตามเสดจ็ ไปกรงุ สาวัตถีดว้ ย แตม่ ีพระทัยเร่าร้อนใคร่ลึก กลบั ไปหาเจ้าสาวอยู่ตลอดเวลา พระบรมศาสดาจงึ ทรงบนั ดาลดว้ ยพทุ ธานภุ าพพา เจ้าชายบนั ทะไปยงั ภพดาวดงึ ส' ระหวา่ งทางทรงช้ีให้ภิกษบุ ันทะดนู างลงิ ทห่ี นีไฟไหม้ปา่ ออกมาได้ นึ่งอยทู่ ีต่ อไม้ มีหูขาด จมูกแหว่ง ผิวหนังถูกไฟลวก ขนหลดุ กระดำกระดา่ ง ๑๐๘ ตอั ปืเปน็ ใ’หเดั (ดงั่ เduทระเๅทรเย้า) kalyanamitra.org
เสด็จนครกขลพสั ดุ โปรดทระทฺทธบดานละชาวเมออ น่าสมเพชเวทนา ท่สี วรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ พระบรมศาสดาทรงชีใ่ หพ้ ระบนั ทะทอดพระเนตรเหลา่ เทพธดิ า ที่งดงามท่ีย่ิงกวา่ หญิงในเมอื งมนุษย์หลายเทา่ มีฝา่ เท้าแดงดังเท้านกพริ าบ รับสังกามว่า “บนั ทะ นางฟา้ เหล่าน้ี เมอื่ เทยี บกับเจ้าหญงิ ชนบทกัลยาณีแลว้ เป็นอย่างไรบ้าง” พระบนั ทะทลู ตอบว่า “ถา้ เทียบกนั แลว้ นางชนบทกลั ยาณเี หมือนนางลงิ พกิ ารทีเ่ ห็นตัวน้ัน พระเจ้าข้า” ความสวยงามของร่างกายน้ัน ไมม่ ีทสี่ ินสดุ เราเหน็ สิงนสี้ วย เพราะยงั ไม่เห็นสงิ ท่ี สวยกว่ามาเปรียบเทียบ ถ้าหลงใหลตดิ ขอ้ งอยใู่ นเรื่องเหล่านแ้ี ล้ว จะข้องอย่ไู ม่จบสนิ พระบรมศาสดาตรสั รบั รองว่า ถา้ พระอนชุ าทรงตั้งพระทยั ปฏบิ ัติธรรม พระองค์ ทรงสญั ญาว่าจะพานางฟา้ มามอบให้ พระบนั ทะตัง้ ใจปฏิบัติธรรมอย่างดีนบั จากเวลาน้นั เหล่าภกิ ษทุ ่ที ราบเรอื่ งพากัน ล้อเลยี นขำขนั เรยี กทา่ นว่าเป็นลกู จ้างพระบรมศาสดา พระบนั ทะรู้สึกอายมาก เพราะ ภกิ ษุอื่นๆ ตั้งใจประพฤตปิ ฏบิ ัตเิ พือ่ ใหส้ ินอาสวกเิ ลส แตท่ ่านจะปฏิบัตเิ พราะเห็นแกก่ ิเลส จึงพากเพยี รเต็มทย่ี ิ่งข้ึนบรรลเุ ป็นพระอรหันต์ในเวลาไมน่ านนกั สำหรบั สามเณรราหุล บรรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ เมือ่ อุปสมบทเปน็ พระภิกษุแล้ว ที่นครสาวัตถขี องแควน้ โกศล พระบรมศาสดาทรงประกาศพระศาสนาได้รุ่งเรอื ง เป็นอันมาก ผทู้ ี่เล่ือมใสศรทั ธามีตัง้ แตพ่ ระราชาผู้ครองแคว้น คือพระเจ้าปเสนทโี กศล และพระนางมัลลิกา พระมเหสี อนาถบิณฑกิ เศรษฐี มหาอบุ าสิกาวสิ าขา เปน็ ต้น คนเหล่าน้ี เปน็ กำลงั สำคญั ในการใชท้ รพั ย์จุนเจอื พระศาสนา อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐชี ้ือทด่ี ินของ เจ้าชายเชตดว้ ยการเอาเหรียญทองคำปเู ตม็ พืน้ ดนิ ยงั ขาดอยูต่ รงบริเวณซุม้ ประตู เจา้ ของ ท่ดี นิ ขอบรจิ าคโดยให้ใชช้ อ่ื ตนเป็นชือ่ อาราม วัดแห่งน้ันจึงได้ชอ่ื ว่า เชตวนั วิหาร หรอื เชตวนารามส่วนมหาอบุ าสกิ าวสิ าขาสีมห่อเคร่ืองประดบั กายมคี ่าทสี่ ดุ ไว้ในวดั พระอานนท์ ซงึ่ เป็นพระพุทธอุปัฏฐากเกบ็ รักษาไว้ให้ นางเหน็ วา่ เปน็ ของทพี่ ระภิกษุจับตอ้ งแล้ว จงิ มี กศุ ลจิตประกาศขาย นำทรพั ย์มาสรา้ งเปน็ วดั อีกแห่งหนงึ่ ช่ือ บุพพาราม อยา่ งไรก็ตาม แม้จะเสด็จจารกิ ไปยังแคว้นใดๆ พระบรมศาสดามักเสดจ็ กลบั ยงั กรงุ ราชคฤห' แควน้ มคธเสมอ ท่ีแคว้นมคธน้เี อง ได้มเี หตกุ ารณ์รา้ ยแรงเกดิ ข้ึน คีอมีภกิ ษรุ ปู หนึ่งชอ่ื เทวทัต เป็น พระเชษฐาของพระนางยโสธรา ไดอ้ อกบวชพรอ้ มเจา้ ชายในราชสกุลอนื่ ๆ ครัง้ พระ- บรมศาสดาเสดจ็ กรุงกบิลพสั ดุ เจา้ ชายองคน์ ี้มพี นื้ นิสัยเดมิ ครุ า้ ย ข้อี ิจฉารษิ ยา ท่ี ออกบวชไมใ่ ช่เพราะมศี รทั ธา แต่บวชตามๆ เจา้ ชายพระองคอ์ ืน่ มฉิ ะนั้นเวลาถกู ใครถาม ดอ้ อเปน็ ให๋ัเดั ((•เปเ๋ ฒ่ทระททฺ รเย้ๆ); ๑๐๙ kalyanamitra.org
บทที่อบ็ เอ็ด ว่าเหตุใดไม่บวช จะเป็นทีเ่ ก้อเขนิ เม่อื ทรงออกบวชแลว้ เพียรพยายามปฏบิ ติ ติ ามอยา่ งภกิ ษุอื่นๆ แต่เนือ่ งจากพื้น นสิ ยั เดมิ ไมส่ ะอาดดงี ามพอ ทำให1้ มบ่ รรลคุ ณุ ธรรมเป็นพระอรยิ ะเหมอื นผทู้ ีบ่ วชพร้อมกัน ได้ผลแคโลกยี ฌานซงี่ มไี ดเ้ ส่ือมไดใ้ ม่แน่นอน เป็นฌานท่สี ามารถทำอภิญญาแสดงฤทธไี๋ ด้ แต่ทำกเิ สสให้หมดไปไมไ่ ด้ คร้ังหน่งื พระบรมศาสดาเสดจ็ ไปกรุงโกสัมพี ชาวเมอื งพากันมาต้อนรบั ตา่ งคน ตา่ งนำส่ีงของมาถวาย หลังจากเขา้ เสาพระบรมศาสดาแล้ว ชาวเมืองเหลา่ นน้ั ก็แยกย้าย กนั ไปเยย่ี มพระภกิ ษุทตี่ นเสื่อมใส ไตถ่ ามกันวา่ “พระสารืบตุ รของข้าพเจ้าอยไู่ หน พระโมคคลั ลานะของข้าพเจ้าอยไู่ หน พระอานนทข์ องขา้ พเจ้าอยูไ่ หน ฯลฯ” แต่ไมม่ ใี คร ถามถึงพระเทวทัตเลย พระเทวทตั ฟงิ คำไตถ่ ามเหล่านนั้ แลว้ ขัดเคอื งพระทยั เป็นอันมาก ต้องการได้ ความยกยอ่ งสรรเสริญ ต้องการลาภดงั เช่นภกิ ษรุ ูปอ่นื ๆ จงึ คดิ การใหญต่ อ้ งการเปน็ พระศาสดาเสยี เอง จงึ ออกอุบายทจ่ี ะทำใหม้ คี นมาอปุ ัฏฐากตน พระ เทวทตั เข้าฌานโลกยี ์ เนรมติ ตน เอง เป็น เด็กน้อย มงี พู ิษรา้ ยพนั ประดบั ร่างกายอยู่ ๗ ตวั เหาะเข้าไปนง่ั บนพระเพลาของพระกมุ ารอชาตคัตรู พระโอรสของพระเจา้ พิมพสิ าร พระกุมารตกพระทัยกลัวเป็นอยา่ งย่ิง ครนั้ แลว้ พระเทวทัตจงึ กลบั รา่ งเปน็ พระเถระดงั เดิม พูดจาชักชวนใหท้ รงเสอ่ื มใส ถวายภตั ตาหารวันละ ๕๐๐ สำรบั น้อมนำพระทัยให้ พระกุมารทรงคดิ ปลงพระชนมพ์ ระราชบดิ า เพอ่ื ได้เปน็ ใหญ่ในราชสมบติ เรว็ ขึน้ สว่ นพระ เหวทัต เองกจ็ ะปลงพระชนม์พระพทุ ธเจ้าเพอ่ื ปกครองสงฆ์ พระกมุ ารอชาตคตั รทู รงลอบถอื อาวธุ จะเขา้ ทำร้ายพระเจ้าพมิ พสิ าร ถกู จบั ได้ทรง สารภาพว่าต้องการราชสมบตั ิ พระเจ้าพมิ พสิ ารจึงทรงยกราชสมบตั ิให้พระโอรส แต่ พระเทวทตั ก็ทูลยุแหย่ตอ่ ไปให้ทรงฆา่ พระบดิ าใหไ้ ดต้ ราบใดทย่ี ังทรงมีพระชนมอ์ ย่ชู าวเมือง อาจพากันทูลขอรอ้ งใหเ้ ป็นพระราชาใหม่ พระเจา้ อชาตคัตรจู งึ ทรงทรมานพระบดิ าด้วยการใหอ้ ดอาหาร แรกๆ พระนาง- เวเทหิ พระราชมารดาของพระเจา้ อชาตคตั รูทรงขอเขา้ เยีย่ ม พระนางไดท้ รงนำ พระกระยาหารช่อนไวใ่ นมุ่นพระเกศาไปถวายพระสามี ตอ่ มาถกู จบั ได้พระนางกท็ รงเอา พระกระยาหารบดจนละเอยี ดแล้วทาตามพระวรกายใหพ้ ระเจ้าพมิ พิสารทรงใช้พระชิวหาเลยี ในทส่ี ดุ ลูกจับไดอ้ กี พระเจา้ อชาตคัตรมู ีรบั ลงั หา้ มพระมารดาเช้าเยยี่ มพระบิดาเปน็ อนั ขาด พระเจ้าพิมพิสารทอดพระเนตรจากทค่ี มุ ขัง เห็นภเู ขาคิชณกูฏท่ีพระบรมศาสดา ประทบั จึงเสด็จจงกรมในคกุ เปน็ พุทธบูชา มปี ตี เิ กดิ ข้นึ ในพระราชหฤทยั หล่อเล้ยี งพระวรกาย ใหท้ รงดำรงพระชนมช์ ีพอยพู่ ระเจา้ อชาตคตั รทู รงทราบเรอ่ื งตรสั ลงั ใหช้ ่างกลั บก(ช่างตดั ผม) G)G)O ตอ้ ป่เOuTหั๋เต้ (ด1ํ 0เช่นทระเๅทธเยา้ ) kalyanamitra.org
เสด็จนครกอลทัสดุ โปรดทระทฺทรอดานละชาวเมอง ใชม้ ดี โกนกรีดฝ่าพระบาทเพอ่ื เสด็จดำเนินจงกรมไมไ่ ด้ จงึ สนิ พระชนม์ เวลานั้น ทหาร มหาดเลก็ เชา้ ทลู พระเจ้าอชาตศตั รวู า่ พระโอรสของพระองค์ประสตู แิ ลว้ ความรกั ในฐานะ พระบดิ าเกิดทว่ มทน้ พระหฤทยั จึงนึกถึงพระเจ้าพิมพสิ ารพระบดิ าของพระองคว์ า่ คงรกั พระองคท์ ำนองเดียวกนั ตรสั สั่งใหป้ ลอ่ ย แต่ทหารกราบทลู วา่ พระบิดาสวรรคตแลว้ พระเจา้ อชาตศตั รูทรงเสยี พระทัยถึงสลบแล้วสลบอีกหลายครง้ั หลายครา นบั จาก นนั้ ทรงเรม่ิ เสื่อมความนยิ มในพระเทวทตั สำหรบั พระเทวทัต เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูครองราชสมบตั แิ ลว้ ก็คิดกำจัด พระบรมศาสดาหลายครัง้ ครัง้ แรกวา่ จ้างนักแม่นธนมู ารุมยงิ พระพุทธเจา้ แตพ่ ระองค์ ทรงบนั ดาลใหเ้ ง้ือธนคู ้าง ทรงทรมานจนหมดทิฏฐิ พากนั เลอ่ื มใสแล้ว จึงตรสั แสดง พระธรรมเทศนา นักแม่นธนูเหลา่ น้นั ฟิงธรรมแลว้ บรรลุเปน็ พระโสดาบันทกุ คน พระเทวทัดไม่ละความพยายาม ขึน้ ไปคอยอยู่บนยอดเขาคชิ ฌกฏู ในเวลาเชา้ เพอื่ ผลักกอ้ นหินใหญใ่ หห้ ล่นลงมาทบั พระบรมศาสดา ขณะเสดจ็ ออกบิณฑบาต ก้อนหินหลน่ มากระทบชะงอ่ นทนิ อน่ื แตกเปน็ ข้นึ เลก็ ขน้ึ นอ้ ยไปหมด มอี ยขู่ น้ึ เดยี วกระเดน็ มา กระทบพระบาท พระบรมศาสดาหอ้ พระโลหิต พระเทวทัตไม่สินความเคียดแค้น ขอช้างดรุ ้ายกำลงั ตกมนั ชอื่ นาฬาคีรี จาก พระเจา้ อชาตศตั รู นำสรุ าไปให้ช้างดื่มจนมึนเมาขาดสตยิ ิ่งข้ึน แล้วปลอ่ ยออกมาในเวลา พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตตอนเช้า พระอานนทพ์ ทุ ธอนชุ าเป็นพระอุปฏั ฐากเดินตามหลัง พระบรมศาสดา เกรงภัยจะเกดิ ข้นึ ต่อพระพทุ ธองค์ ถลันเดินขึ้นไปชา้ งหนา้ ยอมพลชี วี ติ ปอ้ งกนั พระบรมศาสดา พระองค์ทรงให้พระอานนทก์ ลบั ไปเดนิ ตามหลงั อยา่ งเดิม พระองคต์ รัสให้สติ พญาชา้ งรา้ ย ช้างคกุ เข่าลงถวายบงั คม แลว้ หนั หลังเดนิ กลับเข้าโรงชา้ งไป ประชาชนทราบข่าวโจษจนั กนั ท่ัวเมืองถงึ ความชว่ั ร้ายของพระเทวทตั ต่างพากัน ไมย่ อมใสบ่ าตรให้พระเทวทัตอกี พระเจา้ อชาตศตั รทู รงเสอ่ื มความนิยมอยแู่ ล้ว ทรง ละอายพระทัย จึงรับส่งั เลิกถวายอาหาร ๕๐อ สำรับทกุ วนั แก่พระเทวทัต ถงึ กระนน้ั พระเทวทตั ก็ไมย่ อมรู้สำนึก กบั แกลง้ ทลู ขอให้พระบรมศาสดาทรงรับ ขอ้ คดิ เหน็ อันเคร่งครดั ของตนเป็นวนิ ยั ให้พระสงฆ์ปฏิบตั ิ ๕ ประการ เมอ่ื พระบรมศาสดา ไม่ทรงอนุญาต ก็แกล้งกลา่ วจว้ งจาบวา่ พระองค์ทรงปลอ่ ยให้พระภิกษสุ งฆเ์ ป็นผมู้ กั มาก เข่นขอใหท้ รงต้งั ขอ้ บังคบั วา่ ร). หา้ มภกิ ษฉันเนึ้อสัตว์ทกุ ชนดิ ๒. ใหห้ าอาหารด้วยการบณิ ฑบาตเท่านัน้ ไมร่ ับกจิ นิมนต์ ต้องเปน็ ไห๋เั ต้ (ด0ั๋ เช่นทระทฺทรเชา้ ) ซซิ ซิ ิ kalyanamitra.org
บทที่อบ็ เอ็ด ๓. ให้อยปู่ ่าเปน็ ประจำ ไม่อย่ใู นอาราม หรืออาคารใดๆ ท่ีมผี ู้สร้างถวาย ๔. ให้ใชจ้ วี รเฉพาะผา้ ทไ่ี ดจ้ ากซากศพ ๕. ให้ใช้ยาเฉพาะลกู สมอดองด้วยน้ํามูตร(ปัสสาวะ)เทา่ น้นั พระบรมศาสดาทรงเห็นว่า การมขี ้อบงั คับเครง่ ครัดเกินไป ไมเ่ ออ้ื อำนวยยีรท่ธา ของประชาชน และเป็นการทำตนให้เลยี้ งยาก อกี ทงั้ กุลบตุ รทงั้ หลายท่ีออกบวชมาจาก สกุลตา่ งๆ กนั บางพวกเป็นสุขุมาลชาติ เช่น ตระกลู กษัตรยิ ์ ตระกูลเศรษฐี ร่างกายไม่ เคยลำบากตรากตรำมาก ถา้ ตอ้ งมคี วามเป็นอย่ทู รมานเกนิ ไป อาจเจบ็ ป่วยเป็นอันตราย ไปกอ่ นการบรรลุธรรม อกี ท้งั การใชส้ อยปจั จัยสี่ทงั้ หลายในพระวนิ ัยมีขอ้ ให้พจิ ารณาใหเ้ ห็น เปน็ เพียงใช้เพื่อจำเป็นอยูแ่ ลว้ มใิ ช่ใช้เพ่ือความพิงเฟอ้ ฟมุ เฟิอย สว่ นท่ีเก่ยี วกบั บรรดา ทายกทง้ั หลาย กค็ วรไดร้ ับการรกั ษาศรัทธา ถา้ ต้องข้อบงั คับจำกัดเสยี หมด โอกาสใน การสร้างทานของทายกท้งั หลายย่อมมีนอ้ ยลงไป พระเทวทตั จึงอา้ งเรื่องพระบรมศาสดาทรงปล่อยใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆ์ยอ่ หย่อน จะ กลายเปน็ คนมักมาก เป็นเงือ่ นไขกลา่ วว่า ภิกษใุ ดเห็นว่าขอ้ เสนอของตนมปี ระโยชน์ สมควรสนบั สนนุ ให้แยกตัวตามตนเองไปตง้ั คณะอยกู่ นั ใหม่ เวลาน้ันมภี ิกษบุ วชใหม่ มี ปัญญานอ้ ยตามพระเทวทตั ไป ๕00 รูป นบั ว่าพระเทวทตั ทำกรรมชว่ั หนกั มากถึงขัน้ อนนั ตริยกรรมเปน็ ครัง้ ทีส่ อง ครงั้ แรกคอื ทำพระบรมศาสดาหอ้ พระโลหิต คร้ังนท้ี ำสงั ฆเภท ให้สงฆ์แตกแยกกัน พระบรมศาสดาทรงมีพระกรุณาในเหล่าภิกษผุ ้หู ลงผิดน้นั ตรัสส'่ี งให้พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะไปนำกลบั เมอื่ พระสารีบตุ รไปถงึ พระเทวท้ตเข้าใจผิดคิดวา่ พระสารบี ุตรจะมาอยูก่ ับตน จงึ ขอให้พระสารบี ตุ รอบรมส'ี่ งสอนภกิ ษุเหล่าน้นั แทน ตนเอง ขอพกั ผ่อนนอนเอนหลังเลียนแบบอย่างพระพุทธองค์ แตต่ นเองขาดสตจิ ึงหลับไป พระสา- รีบตุ รแสดงพระธรรมเทศนา ภิกษุทัง้ ๕00 สง่ ใจไปตามคำสอนนน้ั บรรลุเปน็ พระอรหันต์ ท้ังหมด จึงตามพระสารีบุตรกลับไปเสาพระพทุ ธเจ้า พระเทวทตั ต่ืนขนึ้ มา ถกู สาวกคนสนทิ ชื่อพระโกกาลีกะกล่าวชํา้ เดมิ อาการป่วย ย่งิ ทรดุ หนักลง รตู้ วั ว่าจะตอ้ งตายแน่ไดส้ ตสิ ำนึกผิด ขอให้สาวกท่เี หลอื หามตนเองไป เขา้ เสาพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาทรงทราบขา่ ว ตรสั บอกเหล่าภกิ ษวุ ่า เทวทัตไม่สามารถมาถึง พระองคได้ พระเทวทัตเดินทางมาถึงสระโบกขรณีใกลว้ ัดพระเชตวนั รา่ งกายเรา่ ร้อนใคร่อาบนาี้ ขอให้วางแครห่ ามลง พอหย่อนเท้าเหยยี บถงึ พน้ื ดนิ แผน่ ดินกแ็ ยกออกสบู ลงไปโดยเรว็ จนจมมิดถึงคอ พระเทวทตั ขอเอาคางนมัสการพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เปน็ ครง้ั สดุ ท้ายกอ่ น ดอ้ อเป็นให๋ัเด้ (ดป๋ั เื ชน่ ทระททุ ธเยา้ ) kalyanamitra.org
เสด็จนครกบลทัสดุ โปรดทระ:ททฺ รขดาและชาวเธอ0 จมลงไปมิดตวั พระบรมศาสดาตรัสว่า เทวทัดทำกรรมชั่วหนกั ไว้ ต้องไปรบั โทษในอเวจีมหานรก ใน อนาคตข้างหน้า เม่อื ครบแสนมหากัปแล้ว จะได้เกดิ เปน็ พระปัจเจกพุทธเจ้าซ่อื อฏั ฐิสสระ เพราะ ใช้กระดกู คางคารวะขอขมาโทษ และพระเทวทัตเองก็เคยสรา้ งบารมีไวถ้ งึ ๒ อสงไขย'’’ ขณะน้พี ระเทวทัตยังเปน็ สัตวน์ รกอยู่ในอเวจี มรี า่ งกายสูงถงึ ร้อยโยชนย์ นื อยู่ ต้งั แต่หขู ้ึนไปจมอยใู่ นแผน่ เหลก็ ร้อนจนแดงทเี่ พดานบนครี ษะ ทอ่ นล่างต้ังแต่ตาตมุ่ ลงไป จมอยใู่ นแผ่นเหลก็ ร้อนแดงมตี ะปูตวั โตประมาณเทา่ ตน้ ตาลตอกติดมอื ทั้งสองขา้ งไว้กบั ฝา มหี ลาวเหล็กแทงตัวด้านซา้ ยทะลุชา้ งขวา แทงข้างหน้าทะลุข้างหลงั แทงจากคีรษะทะลุ ขา้ งล่าง กระดกุ กระดกิ ร่างกายไมไ่ ด้ มเี ปลวไฟร้อนแรงเผาอย่ตู ลอดเวลา ถกู ทรมานดังนี้ จนกว่าจะพน้ จากนรกอเวจี ซง่ึ มเี วลานานเทา่ กบั ๑ อนั ตรกัป ฝา่ ยพระเจ้าอชาตคตั รู เมอ่ื ทรงเลกิ คบกับพระเทวทตั แล้วกลับพระองค์ปฏิบัติ เป็นพระราชาท่ดี ี ทรงให้หมอชีวกโกมารภัจจ์แพทยห์ ลวงและแพทย์ประจำองค์ พระบรมศาสดาและภิกษุสงฆพ์ าพระองคเ์ ช้าเสาเพอื่ ทูลถามปัญหาเกย่ี วกบั การบรรพชา วา่ มปี ระโยชน์อย่างไร(สามญั ญผลสูตร) ท่ที รงถามเชน่ น้ี เพราะทรงสงสยั ว่า นกั บวชควร ปฏิบัตติ นอย่างไร แลว้ ได้บรรลุผลอยา่ งไร เพราะที่พระองค์ปลงพระชนมพ์ ระบิดา ก็ เพราะนกั บวช พระบรมศาสดาทรงชี้แจง จนพระเจา้ อชาตศัตรทู รงเข้าพระทยั แตเ่ น่อื งจากในพระทัยมวี ปิ ฏิสาร(เร่ารอ้ นใจ) ในอนันตรยิ กรรม(บาปหนัก) ทปี่ ลงพระชนม์ พระราชบิดา ทรงไดแ้ ตค่ วามเลอ่ื มใสศรทั ธา ถอื พระรัตนตรัยเป็นทพี่ ืง่ ทรงสละพระราชทรัพย์ จำนวนมาก อปุ ถัมภ์บำรุงการสังคายนาคำลงั สอนของพระพทุ ธเจ้าหลงั จากทีเ่ สดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน แลว้ บญุ ใหญต่ ังกล่าวชว่ ยพระองคไ์ ว้ เมอื่ ตายแล้ว ไม่ตอ้ งตกนรกขุมอเวจี ตกนรก ขมุ เบาขน้ึ มาซอื่ โลหกมุ ภิ เป็นนรกขุมย่อยของอเวจีมหานรก การทรมานในนรกขุมนคี้ อื สตั วน์ รกจะลูกต้มเคี่ยวอยู่ในหม้อโลหะใบใหญ่มาก มีไฟลกุ ท่วมอย่ตู ลอดเวลา นํา้ เหลว ร้อนนนั้ เดอี ดพล่าน รา่ งของสตั ว์นรกค่อยๆ จมลงทลี ะน้อย ใชเ้ วลาถึง ๓ หมื่นปนี รก จงึ จะถงึ กน้ หมอ้ แลว้ ค่อยๆ โผล่ข้นึ มาทีละน้อย ใช้เวลาอีก ๓ หมื่นปเี หมีอนกัน จึงจะถงึ ปากหม้อ รวมกำหนดอายุ ๖ หมนื่ ปีนรก เมอื่ พ้นจากนรกแลว้ อกี สองอสงไขยแสนมหากัป พระเจา้ อชาตศตั รูจะเกิดเปน็ พระปจั เจกพทุ ธเจ้าซือ่ วิชติ าว0ี 0’ '’’ธมมัปท้ฏฐกถา อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท \"°’ ทีฆนกิ าย - อัฏฐกถา ซ/ิ ๒๑๒ บาลฉี บบั ชฏั ฐลงั คายนา สผุ งั คลวิลาสินี ซ/ิ ๒๙๔ - ๕ ดัออเปน็ ใหั๋เดั (ลังเช่นทระททฺ ธเยา้ ) ๑๑๓ kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เสดจ็ ห้ามพระญาตจิ นเลกิ ทำสงครามกัน ณ แม่นาโรหิณี <o)<o)(SL ตอั อเปน็ ใหเดั (สง่ เช่นทระฦทธเย้า) kalyanamitra.org
บทที^่ 'บสอง เหตกุ ารณ์สำคญั บา0ดอนในทระทฺทธกจิ เกี่ยงกบ้ ทระญาดึ บทท ๐๒ เหตกุ ารณส์ ำคญั บา(วตอน ในทระทุกรกจิ เกียวคับทระญาติ ตุ'งีได้กล่าวแต่ตอนต้นพระประวต้ แิ ล้วว่า พระนา้ นางปชาบดโี คตมี ทรงเลี้ยงดู พระบรมศาสดามาตงั้ แต่พระชนมเ์ พยี ง ๗ วัน ทรงรกั ใครเ่ อ็นดเู ปียมลน้ พระหฤทยั แมจ้ ะ มพี ระโอรสธิดาของพระนาง เอง ก็ดู เหมือนจะไมใ่ ส่พระทยั เท่า เมอ่ื พระองคท์ รงเปลย่ี นเป็นพระศาสดา พระนา้ นางยงิ่ ทรงเลือ่ มใสเปน็ พิเศษ ดำริ ในพระทยั จะถวายลืง่ ของที่ทรงทำด้วยพระองคเ์ อง จงึ ทรงปลูกฝาิ ยชนดิ พเิ ศษใชผ้ งทองคำ ปนลงในเนอื้ ดินทเ่ี ปน็ เลิศ เน้อื ฝาื ยทใ่ี ด้ราวกับเส้นใยทองคำเหลืองสกุ ปล่ัง พระนางทรง กรอดา้ ย ทรงปัน และทอเป็นผา้ ด้วยพระองคเ์ อง ได้ผ้า ๒ ผืน ยาว ๑๔ ศอก ทรงจัดใส่ ผอบทองคำ นำไปถวายพระบรมศาสดา พระพุทธเจา้ ทรงพจิ ารณาในขณะน้นั เห็นวา่ ผู้คนท้งั หลายมีศรทั ธาในพระองค์มาก มักนำสิง่ ของตา่ งๆ มาถวายเปน็ การเฉพาะเจาะจง เหมอื นทพี่ ระน้านางทรงกระทำอยู่ ถา้ ไม่ทรงแกไขใหเ้ ชา้ ใจกนั ใหล้ กู ตอ้ งวา่ การถวายในหมู่สงฆ์ แม้แต่เพ่งิ บวชใหม่ ก็ มีอานิสงสย์ ิง่ แล้ว ตอ่ ไปภายหนา้ เม่อื พระองค์เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานแล้ว พระสาวกจะไม่ มีผูศ้ รัทธา จะพากนั อยู่อยา่ งลำบาก ไม่มีผูใ้ ดเต็มใจถวายสง่ิ ของทีจ่ ำเป็นให้ ทรงดำรดิ ังนแ้ื ลว้ พระองคจ์ ึงไม่ทรงยอมรบั ผ้าผนื น้ัน รบั สงั่ ใหพ้ ระนางปชาบดโี คตมี ถวายภกิ ษุอ่นื แต่ไมม่ ภี กิ ษรุ ูปใดยอมรบั ผ้าไว้ คงขอใหถ้ วายองคต์ อ่ ๆ ไป ในท่ีสุดถงึ ภกิ ษรุ ูปสดุ ท้าย เพ่ิงบวชใหมใ่ นวนั น้ัน ท่านไม่มีภิกษอุ นื่ ให้เกีย่ ง จึงต้อง รบั ผ้านั้นไว้ พระนา้ นางเสยี พระทัยเป็นอยา่ งยงิ่ ทรงคิดว่าถวายภกิ ษเุ พงิ่ บวช คงไดบ้ ญุ นอ้ ย ถงึ กบั กรรแสง พระบรมศาสดาทรงหยิบบาตรใหป้ าฏหิ ารยิ จ์ ากพระหตั ถล์ อยหายไปในอากาศ แล้วทรงใหพ้ ระเถระผู้มีฤทธึเ๋ หาะตามไปนำบาตรกลับมา แตไ่ ม่มีผใู้ ดหาได้ จนถึงภิกษรุ ูป สุดทา้ ย ท่านยืน่ มอื ออกไปพร้อมอธษิ รูานว่า ถา้ พระบรมศาสดาทรงปรารถนาใหท้ า่ นเป็น ผ้หู าบาตรพบ ขอให้บาตรลอยมาทมี่ ือทา่ นเอง บาตรลอยมาตามคำอธษิ ฐฺ านเป็นอัศจรรย์ ตอั 0เปน็ ไหั๋เด้ (ด่ัง!Bunระททฺ รเยา้ ) kalyanamitra.org
บทท่^ี บสอง พระพทุ ธเจา้ ทรงชีแจงให้พระน้านางทรงทราบวา่ การอุทศิ แก่สงฆ์เปน็ ส่วนรวมมี อานสิ งส์มากกว่าไดผ้ ลบุญมากกวา่ การถวายอทุ ิศจำเพาะเจาะจง ภกิ ษุในศาสนาของ พระองค์เป็นเนื้อนาบุญที่ดีเย่ียม แมว้ ่าจะบวชในวันน้นั อยา่ งเชน่ ภกิ ษุผู้รบั ผา้ ของพระนา้ นาง ซื่อ อชิตะ ผูน้ ้ื แมจ้ ะยังไม่บรรลคุ ุณวิเศษประการใด ก็เป็นผู้ทรงดืลบริสุทธ๋ี เป็นท่ีเกดิ บุญ กุศลแกผ่ ูถ้ วายสงิ ของได้เป็นอย่างดี และพระอชิตะผู้น้เื อง จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ พระนามศรอี รยิ เมตไตรย ในกาลภายหน้า เม่ือมนุษย์มีอายขุ ยั ๘ หม่นื ปี พระนางปชาบดโี คตมี สดบั พระวาจาแล้วทรงโสมนสั เป็นทยี่ ีง่ นับจากน้นั มา ประชาชนจึงพากนั นิยมถวายของเปน็ สงั ฆทานมากกวา่ ปาฏิ- บคุ คลิกทาน ทำให้ภกิ ษสุ งฆไ์ มม่ ีความยากลำบากในการครองชีวิต และทำใหส้ บิ อายุ พระพุทธศาสนามายงั่ ยืนจนทุกวนั นี้ หากประชาชนนิยมเลอื่ มใสถวายเฉพาะภกิ ษรุ ูปใดรปู หน่งึ เมอ่ื ภิกษุรูปนนั้ มรณภาพ ลง ประชาชนไมม่ ีศรทั ธาในภกิ ษอุ น่ื เลิกทำทาน ภิกษอุ ่นื เมือ่ ไม่มีผใู้ ดถวายปัจจยั ๔ ก็ ดำรงชวี ิตอย่ไู ม่ได้ ต้องสึกออกมาเปน็ ฆราวาส อายพุ ระพุทธศาสนาย่อมไม่ยงั่ ยนื ทรอหาั มทระญาติ กรุงกบิลพัสดุ อนั เป็นเมอื งท่ปี ระทบั ของพระเจา้ สุทโธทนะ พระพุทธบิดาน้นั ตัง้ อยู่ ด้านเหนอื นํ้าของแมน่ ้ัาโรหณิ ี ส่วนนครเทวทหะเปน็ เมอื งฝา่ ยพระญาตขิ องพระนางสริ -ิ มหามายาพระพทุ ธมารดา อยู่ดา้ นใต้ของแม่น้ัา ชาวเมืองทงั้ สองไดอ้ าศยั นา้ํ ในแม่น้ําโรหิณี ทำเกษตรกรรม ครั้งหน่งึ ในแมน่ ้าํ มนี ํ้านอ้ ย ชาวนาทางต้นน้าั ทดนา้ั เก็บกันไวม้ าก ทำใหช้ าวนา ทางใต้เดอื ดรอ้ น เกดิ การตอ่ วา่ ท้วงดิงลกุ ลามใหญ่โต จนเปน็ การพพิ าทระหว่างแคว้น ต่างฝา่ ยตา่ งเตรียมทำสงครามประหตั ประหารกัน ท้ังท่เี ป็นเครอื ญาติกันตั้งแตว่ รรณะ กษตั ริย์ ไปจนกระทงั้ ชาวเมืองเอง พระบรมศาสดาทรงทราบเร่ือง จึงเสด็จเหาะไปยงั ทา่ มกลางกองทพั ทกี่ ำลัง ประจนั หน้า เตรยี มรบพุ่งกัน ทรงเรยี กนายทหารท้งั สองฝา่ ยมาพร้อมหน้าตรัสถามว่า “ท่านท้ังหลายทะเลาะวิวาทกนั เพราะเหตอุ ะไร?” “มเี หตุมาจากเรือ่ งน้ัา พระพุทธเจา้ ชา้ ” นายทหารทัง้ สองฝ่ายตอบตรงกัน พระองคต์ รัสถามชักต่อไปอกี ว่า “นํ้ากบั ชวี ติ คน (สายนา้ํ กับสายเลอื ด) อะไรมีคา่ ๑<5)๖ ตอ้ 01ปบ็ ใหเั๋ ต้ (ดัป่ เ๋ ชน่ ทนืะททุ ธเจ่า) kalyanamitra.org
เหตกุ ารณ์สำคัญบา0ดอนในทระทุทธกิจ!กยี วกับทระญาติ สำคญั กวา่ กัน” “ชวี ิตคน (สายเลือดคือความเป็นญาต)ิ มคี า่ มากกว่า พระพุทธเจา้ ขา้ ” พระบรมศาสดาตรสั เน้นใหค้ ิดวา่ “ถา้ กระนน้ั ควรแลว้ หรอื ทจี่ ะเอาชีวติ คนมาแลก กบั น้ํา” เหลา่ พระญาติท้ังสองฝา่ ยไดค้ ิด จึงเลิกทำสงครามกนั สายนา้ํ จงึ ไมก่ ลายเปน็ สาย เลอื ด พระพุทธลักษณะท่ยี กพระหตั ถ์ทัง้ สองขึน้ หันฝ่าพระหตั ถ์ออกด้านหนา้ ท่เี รยี กกันวา่ “พระปางห้ามญาต”ิ มสี าเหตมุ าจากเรอื่ งราวตอนนี้ ทระเจัาสทุ !รทนะทรอประชวร ขณะที่พระพทุ ธเจ้าประทบั อยู่ท่ปี า่ มหาวันใกล้กรงุ ไพศาลี แคว้นวชั ชี ทรงทราบขา่ ว ว่า พระเจ้าสุทโธทนะทรงประชวรหนกั ดว้ ยพระโรคชรา จึงทรงรบี เสดจ็ ไปเย่ยี ม พระอาการ เวลาน้ันทรุดหนกั มาก พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดว่า “ดูกอ่ น มหาบพติ ร ชวี ติ ของมนุษยน์ ั้นสันนกั ดำรงอยไู่ ม่นานเลย ไมย่ ั่งยืนอะไร เปรยี บเหมอื นสายฟ้าแลบ ปรากฏอยู่เพยี งไมน่ าน” พระเจา้ สทุ โธทนะทรงเปน็ พระอนาคามีอยู่แลว้ สดบั พระธรรมเทศนาสนั เพยี งเท่าน้นั พอจบลงกท็ รงสำเรจ็ เป็นพระอรหนั ต์ทนั ที ตอ่ จากนนั้ อีก ๗ วนั จึงปรินิพพาน พระบรมศาสดาพรอ้ มดว้ ยพระสงฆแ์ ละพระประยรู ญาติ จัดถวายพระเพลิงพระศพ ทระกกิ ษณฺ ์90คํแรก เมือ่ พระพทุ ธบดิ าปรินพิ พานแลว้ ไมน่ านนกั พระญาติสนิททรงพระนามวา่ พระมหา -นามะไดร้ ับการคัดเลอื กให้เป็นพระราชาครองกรงุ กบิลพสั ดตุ ่อไป พระน้านางปชาบดโี คตมี มีพระประสงค์จะบวช ได้กราบทลู ขอพระบรมศาสดาบวชบา้ ง พระองค์ตรสั หา้ มถงึ ๓ ครัง้ พระนางปชาบดโี คตมี ไม่ทรงท้อถอย วันหน่ึงพระนางพรอ้ มด้วยนางกำนลั ๕๐๐ คน ท่เี ตม็ ใจบวชด้วย ต่างพากันปลงผม นงุ่ ห่มผา้ ยอ้ มดว้ ยน้าํ ฝาดอย่างเพศนักบวช ไปเข้าเผา้ กราบทูลขอบวชอีก พระพทุ ธเจ้าทรงปฏิเสธ พระนา้ นางทรงขอให้พระอานนท์กราบทลู ชว่ ยเหลือ พระบรมศาสดาทรงปฏเิ สธถึง ๓ ครัง้ อกี พระอานนท์กราบทลู ถงึ พระคุณของพระนางปชาบดีโคตมี ทีท่ รงเลี้ยงดูมา ตงั้ แตพ่ ระพทุ ธมารดาทวิ งคต พระบรมศาสดาจึงทรงอนุญาต แตม่ เี งื่อนไขใหป้ ฏิบ้ติ เรยี ก ตอ้ ง!ป็นไหเต้ (ด่เั วเช่นทระททธเขา้ ) ซิซ๗ิ kalyanamitra.org
บทท^บสอง ว่า ครธุ รรม ๘ ถ้ากระทำตามได้จงึ ให้บวช ครุธรรม ๘ คอื หลักความประพฤตทิ ภี่ กิ ษณุ ตี ้องปฏบิ ัติด้วยความเคารพศรัทธา ตลอดชวี ิตละเมิดไมไ่ ด้ มีดังน้ี ร). ภกิ ษณุ ีแม้บวชมานานถึง ๑๐0ปี ก็ตอ้ งกราบไหว้ภกิ ษแุ มเ้ พิ่งบวชเพียงวันเดยี ว ๒. ภกิ ษุณจี ะอยู่ในวัดท่ไี มม่ ภี กิ ษุไมไ่ ด้ ๓. ภกิ ษณุ ตี อ้ งไปถามวันอุโบสถ และเข้าไปพึงโอวาทจากภิกษทุ กุ ก่ึงเดือน ๔. ภกิ ษุณีอยูจ่ ำพรรษาแล้ว ตอ้ งปวารณาในสงฆ์ท้งั สองฝ่าย โดยสถานทงั้ ๓ คือ โดยได้เหน็ โดยได้ยิน โดยรงั เกยี จ (หมายถึงระแวงสงสยั หรือเห็นพฤติกรรมอะไร ทนี่ ่า เคลือบแคลง) ๕. ภิกษณุ ที ต่ี อ้ งอาบตั ิหนกั ต้องประพฤตมิ านตั (เปล้อื งตนจากความผิด) ในสงฆ์ ทง้ั สองฝา่ ย ๑๕ วัน ๖. ภิกษณุ ตี ้องแสวงหาอปุ สมั ปทา(คอื ตอ้ งบวช) ในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย โดยต้องเป็น นางสิกขมานาก่อน ๒ ปี คือถือคีล ๖ ข้อ อยา่ งเครง่ ครดั (ผิดขอ้ ใดไมไ่ ด้ ถา้ ผิดต้อง สมาทานนบั เวลาใหม)่ ๗. ภกิ ษณุ ีไม่พึงดา่ ไม่พึงบริภาษภิกษุ ไม่ว่าจะโดยปรยิ ายใดๆ ๘. ภกิ ษุว่ากล่าวภกิ ษณุ ีได้ แตภ่ กิ ษณุ วี ่ากล่าวภิกษไุ มไ่ ด้ พระนางปชาบดีโคตมี ทรงมพี ระศรัทธาแรงกลา้ ทรงยอมรับปฏิบัตคิ รุธรรมทง้ั ๘ ประการ และได้ทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษุณีองคแ์ รกในพระพุทธศาสนา ตอ่ จากน้ันพระญาติ วงศ์ฝ่ายสตรี เชน่ พระนางยโสธรา เจา้ หญงิ ชนบทกลั ยาณี เจ้าหญิงโรหิณี เจ้าหญงิ รปู นนั ทา ฯลฯ ได้พากนั ออกบวชตามกันมา และไดบ้ รรลคุ ณุ ธรรมเบ้ืองสงู เปน็ พระอรหนั ตเถรีด้วย กันทงั้ สนิ การท่พี ระบรมศาสดาทรงปฏิเสธไมย่ อมให้สตรีบวชเปน็ ภกิ ษุณนี ั้น มสี าเหตหุ ลาย ประการ เช่น เปน็ เครอ่ื งบน่ั ทอนให้มหาชนเส่ือมศรทั ธาง่าย ทำใหอ้ ายุ พระศาสนา สันลง เช่น พ้นื นสิ ัยของสตรีไม่หนกั แนน่ เจา้ แงแ่ สนงอน ข้ีอจิ ฉา มีเรื่องลุกจิก ฯลฯ ทำให้หมู่ คณะอยู่รว่ มกันยาก และเหตุการณได้เป็นไปตามที่ทรงคาดคะเนไว้ ปรากฏว่าในการปกครองภิกษณุ ี พระบรมศาสดาต้องทรงวางวนิ ัยไว้ถงึ ๓๑๑ ขอ้ ในขณะที่วินัยของพระภิกษุมเี พึยง ๒๒๗ ขอ้ แสดงว่าภิกษณุ ที ำผดิ มากกวา่ พระภกิ ษสุ งฆ์ อย่างไรกด็ ี ในครั้งกระนัน้ ไดม้ พี ระอรหนั ตเถรหี ลายรูปท่ไี ดร้ ับการยกยอ่ งจาก ๑๑๘ ดอั อเป็นใหเ๋ั ด้ (ดง่ั เช่นทระทฺทรเย้า) kalyanamitra.org
เหตกุ ารณ์สำคญั บา0ดอนในทระทุทธกิจเกยี วกับทระญาติ พระบรมศาสดาว่าเปน็ เลศิ ในด้านต่างๆ เช่น พระนางปชาบดีโตมี เปน็ เลศิ ในทางรตั ตัญฌ(ู บวชนานรู้เหตุการณก์ ่อนใคร) พระนางเขมา พระอรหนั ตเถรรี ูปนีเ้ ป็นเลิศทางมีปญั ญามาก นับเป็นอคั รสาวกิ าฝา่ ยขวา เดมิ เปน็ อัครมเหสีของพระเจ้าพิมพสิ าร หลงความงามของตนเอง ฟังพระบรมศาสดาตรัส สอนเรื่องราคะ และวิธีกำจดั จบลง บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที แลว้ บวชเป็นภิกษุณี นางอบุ ลวรรณา พระอรหันตเถรีรปู นีเ้ ป็นเลิศทางแสดงฤทธ๋ึ เป็นอคั รสาวิกาฝ่ายซ้าย เดิมเปน็ ธิดาของเศรษฐีในพระนครสาวัตถี มผี วิ พรรณงามเหมอื นดอกนิลุบล(บัวเขยี ว) มี ผู้มาสูข่ อมากจนบิดาหนกั ใจ ขอให้นางบวช นางเต็มใจอยแู่ ลว้ จึงบวชเป็นภกิ ษณุ ี คราว หนึ่งอย่เู วรจดุ ประทีปในพระอโุ บสถ ได้เพง่ ดเู ปลวเทียนเปน็ นิมติ เจรญิ ฌานดว้ ยเตโชกสณิ (กสณิ ไพ)่ บรรลุเป็นพระอรหนั ต์ นางปฏาจารา พระอรหันตเถรีรปู นเ้ี ป็นเลศิ ทางทรงพระวนิ ัย เดิมเปน็ ธิดาของเศรษฐี หนตี ามคนใช่ไปอย่ดู ว้ ยกนั มีลูกสองคน ขณะเดินทางกลบั บา้ นบิดามารดา สามีและลกู ตายกะทนั หนั ท้งั หมด มาตามทางทราบว่าพอ่ แมพ่ นี่ ้องถกู บา้ นพงั ทบั ตายหมด ทำใหเ้ สยี สติ เปน็ บา้ ผ้าหลุดลุ่ยไมส่ นใจ เดนิ บ่นเพอ้ ไปตามท่ีต่างๆ จนถงึ วัดพระเชตวนั พระบรมศาสดา ทรงแผ่เมตตา ตรสั วาจาให้สติ นางพลนั หายบ้า เมอ่ื ฟังธรรมแล้วบรรลเุ ป็นพระโสดาบัน ได้บวชเป็นภกิ ษณุ ี วันหนงึ่ ตกั นา้ํ ลา้ งเทา้ ครง้ั แรกนา้ํ ไหลไปหนอ่ ยหนงึ่ ครง้ั ท่สี องไหลไป อกี หนอ่ ย และคร้ังทส่ี ามไหลมากกว่าครง้ั ท่ีสอง จงึ กำหนดเอาน้ําเปน็ อารมณ์ เทียบกับ ความตายของหมู่สตั วว์ ่า บางคนตายในปฐมวยั บางคนตายในมชั ฌมิ วยั บางคนตายใน ปจั ฉมิ วยั บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ นางกีสาโคตมี พระอรหนั ตเถรีรปู นี้เปน็ เลิศทางครองจวี รเศรา้ หมอง เดมิ เปน็ ธดิ า ของคนยากจน แตเ่ ศรษฐขี อไปเป็นลกู สะใภ้ เพราะทรัพยส์ มบตั ขิ องเศรษฐกี ลายเปน็ ถา่ น มนี างคนเดียวทเ่ี ห็นถา่ นเป็นเงนิ ทอง เศรษฐจี ิงรูว้ า่ นางเป็นคนมบี ญุ มอบทรพั ย์ใหน้ าง ทรัพย์จึงกลบั เป็นเงนิ ทองตามเดิม ตอ่ มาบตุ รชายเพิ่งสอนเดนิ ของนางตาย นางเสียใจไปกราบทูลให้พระบรมศาสดา ประทานยาใหล้ ูกของนางฟัน พระองคใ์ ห้นางไปขอเมลด็ พนั ธุผกั กาด ในบ้านของคนทไี ม่ เคยมญี าตติ าย ปรากฏว่านางหาไม่ได้ คนทุกคนทกุ บ้านล้วนมีแตญ่ าติพ่นี อ้ งตายด้วยกนั มาแล้วทั้งสนิ นางจงึ ได้คิด เมื่อฟงั พระธรรมเทศนา บรรลุเป็นพระโสดาบนั ทันที ไดบ้ วช เป็นภกิ ษุณี วนั หนึง่ นง่ั พจิ ารณาเปลวประทีปในพระอุโบสถ เห็นบางดวงกำลังลกุ โพลง ไม่ นานกค็ ่อยหร่ี และในท่สี ดุ ก็ดับ นางถอื เอาอาการของเปลวไพ่ มีเกดิ และดับ เป็นอารมณ์ บรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ ลอ้ เ)เปน็ ใหเ๋ั ด้ (ลัปืเชน่ ทระทเาธเยา้ ) ซิซ๙ิ kalyanamitra.org
สวรรค์ มนษุ ย์ สตั วน์ รก ตา่ งมองเห็นกนั ในวนั ที่พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดงึ สใ์ นวนั เทโวโรหณะ ซ๒ิ ๐ ดอั งเป็นโห๋เั ดั (สO่ ldบทระๆเทธเย้า) kalyanamitra.org
พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าทรงจำพรรษาอยู่ ณ ป่าปาเรไลยก' มีช้างปาเรไลยก'กับลิงปา่ เสาอปุ ฏั ฐาก ตอ้ อเป็นใหั๋เต้ (ด่ังเชน่ ทระททฺ 8เจา) kalyanamitra.org
บทท่^ื บสาม บทศ่ OO เหตุการณสำคัญบาอตอนในกระทุทรกจิ สํวไป ประเทศอินเดียยคุ น้ัน มีนกั บวชลทั ธติ า่ งๆ มาก บา้ งกช็ อบอวดอิทธฤิ ทธึ๋ทดี่ เู ป็น เร่ืองอศั จรรย์ หรอื อวดการกระทำทีผ่ ูอ้ ่นื ทำไมไ่ ด้ เพ่ือเรยี กความเลอื่ มใสจากประชาชน บางพวกแสวงหาความพน้ ทกุ ข์ด้วยวธิ ผี ดิ ๆ เช่น การทรมานร่างกาย เปลือยกายลอ่ นจ้อน แสดงวา่ ไมย่ ดึ ถอื ในรา่ งกาย ยนื ขาเดยี วตลอดเวลา กำมอื ไว้แน่นไมค่ ลายกระทง่ั เล็บงอก ยาวทะลุฝ่ามอื น่ังบนตะปู อา้ ปากแหงนดูดวงอาทิตย์ หรืออืน่ ๆ ซึ่งยงั ลืบเชอื้ สายการ กระทำมาจนทุกวันนี้ แต่เม่ือมีพระพทุ ธเจ้าบังเกิดช้ืน พระราชาและผู้คนในแคว้นต่างๆ พากนั นยิ ม เสอ่ื มใสมากชื้นเร่ือยๆ ทำใหน้ ักบวชนิกายอืน่ เกลียดชงั บางพวกคดิ อจิ ฉารษิ ยา บางพวก คิดทำลายดว้ ยกลอบุ ายตา่ งๆ ขณะทพ่ี ระบรมศาสดาเสดจ็ ไปที่เมอื งสาวัตถี แควน้ โกศล พวกนกั บวชเดยี รถยี เ์ ห็นวา่ พระพุทธองคท์ รงหา้ มสาวกแสดงปาฏหิ าริย์ และพระองค์คงทรงหา้ มพระองคเ์ องดว้ ย จงึ ท้าพระพทุ ธเจา้ แสดงปาฏหิ าริย์แข่งกับพวกตน พระองค์ตรัสตอบรบั ว่า พระองค์ทรงห้าม สาวก แต่ไม่ได้ห้ามพระองคเ์ อง ทรงรับคำท้า จะทรงแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์ (แสดงคู่) ซง่ึ ไม่ มีผใู้ ดแสดงไดม้ ากอ่ น เชน่ แสดงน้าํ คกู่ ับไฟ ทโี่ คนต้นมะมว่ ง เมือ่ พวกเดยี รถยี ์ทราบว่าพระบรมศาสดาจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ทีโ่ คนต้นมะมว่ ง กใ็ หค้ นไปเทย่ี วโคน่ ต้นมะม่วงจนหมด จะไดไ้ มม่ ที ใ่ี หท้ รงแสดง พอถงึ วนั กำหนดนัดหมาย มผี ู้นำผลมะมว่ งสุกมาถวาย พระบรมศาสดาทรงฉันแลว้ รับลงั ใหผ้ ิงเมลด็ มะมว่ งลงในดิน ใชน้ ํา้ ลา้ งพระบาทรดลง ทันใดนนั้ ต้นมะม่วงกง็ อกช้นื โดย เร็วพลนั เดบิ โตแผก่ งิ่ ก้านสาขาถึง ๕๐ ศอก เปน็ อัศจรรย์ให้ปรากฏแกส่ ายตามหาชน แล้วทรงสำแดงยมกปาฏิหารยิ ์ เป็นพระรูปกายในพระอริ ิยาบถตา่ งๆ อย่างละหนง่ึ คู่ ทรงบันดาลใหท้ ่อนํา้ ใหญ่พุ่งจากพระวรกายเบือ้ งบน เปลวไฟพ่งุ เปน็ สำออกจากพระวรกาย เบ้อื งล่าง เปน็ ต้น พวกเดียรถยี เ์ ห็นดงั น้ันกย็ อมฟายแพ้ดว้ ยความอปั ยศ จนต้องไปโดดนาี้ ตาย <5๒๒ ตอั งเปน็ ใหเดั (ลอั เช่นทระททุ รเช้า) kalyanamitra.org
เหดุการณส์ ำคัญบา0ตอนในกระทุทรกจิ ทว้เป ผคู้ นกพ็ ากันเลอื่ มใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึน้ เสดจ็ โปรคทระททุ ธมารดา เมือ่ พระบรมศาสดาเผยแผ่พระศาสนาได้ ๗ พรรษา และทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ แล้วทรงรำลกึ ถงึ พระพุทธมารดา ทรงเหน็ ว่าแม้พระสมั มาลม้ พุทธเจา้ พระองคก์ อ่ นๆ ใน อดีตกาลน้นั เม่อื ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย์แล้ว จะเสดจ็ ไปทรงจา้ พรรษาท่สี วรรค์ช้นั ดาวดึงส์ จึงทรงดำรเิ สด็จไปโปรดพระพทุ ธมารดา ซง่ึ ทรงบังเกดิ เป็นเทพบุตรอยูใ่ นสวรรค์ ชั้นดุสิต แตท่ ี่เสดจ็ ไปแคส่ วรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ เพอ่ื ทรงเปดิ โอกาสใหเ้ ทพยดาชน้ั ต้นๆ ไดพ้ ึง พระธรรมเทศนาด้วย เพราะในเทวภูมนิ ้นั สวรรคช์ ้นั สูงข้นึ ไปมากๆ มแี สงสวา่ งเจดิ จา้ มาก เทพยดาชนั้ ตาไม่สามารถข้ึนไปได้ แต่เฉพาะสวรรค์ช้นั ดาวดึงสเ์ หมอื นเปน็ เทวภมู ชิ นั้ กลางๆ เทวดาชน้ั ตากว่าหรือสูงกวา่ พากนั มาได้หมด พระพุทธเจ้าเสด็จประทับบนแท่นคลิ าทป่ี ลู าดดว้ ยผา้ กัมพลทิพย์สแี ดง เรียกว่า บณั ฑุกัมพลศึลาอาสน์ โคนตน้ ปาริฉตั ร พระอนิ ทรจ์ อมเทพของสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ทรงปา่ วประกาศใหเ้ ทพยดาทง้ั หลาย มาชมุ นุมพึงพระธรรมเทศนา เทพบุตรสิรมิ หามายาพระพุทธมารดา ก็ไดเ้ สดจ็ จากสวรรค์ ชั้นดุสิต พรอ้ มทั้งเทพบตุ รอ่ืนๆ มาฟิงธรรมดว้ ย พระบรมศาสดาทรงแสดงพระอภิธรรม(ธรรมช้ันสูง) ตลอดพรรษานน้ั พระพทุ ธ- มารดาพรอ้ มเทพยดาอ่ืนๆ ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุเปน็ พระโสดาบนั เป็นอันมาก ในระหว่างพรรษาซ่ึงพระบรมศาสดาประทบั อยูส่ วรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระองค์เสดจ็ บณิ ฑบาตที่โลกมนษุ ย์อกี โลกหนึ่งซอื่ อตุ ตรกรุ ทุ วปี แลว้ กลบั ไปเสวยท่ศี าลาป่าหิมพานต์ พระสารบี ตุ รไดเ้ ขา้ เสาพระบรมศาสดาทน่ี ้ัน พระองค์ทรงแสดงพระอภธิ รรมเทศนาท่ที รง แสดงแก่เหล่าเทพยดาใหพ้ ระสารีบุตรพงึ โดยสังเขป พระสารีบตุ รนำมาสอนลกู ศึษย์ ๕๐๐ คน ทเ่ี คยมีอุปนิสยั เพราะได้พงึ คำสาธยายพระอภิธรรมสมยั ท่ีตนเกดิ เป็นค้างคาว ๕๐๐ ตัว อยูใ่ นถา้ํ ซ่งื มีพระภกิ ษใุ นพทุ ธกาลของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระนามวา่ กัสสปะ สวด สาธยายพระอภิธรรมกถาท่นี นั้ คิษย์ท้งั ๕๐๐ ของพระสารีบตุ ร สามารถศกึ ษาพระอภิธรรมได้แตกฉาน เม่อื หมดฤดฝู นออกพรรษา พระบรมศาสดาเสดจ็ ลงจากดาวดงึ สส์ ่โู ลกมนุษย์ พระอินทร์เนรมิตบันได ๓ ชนิด พาดจากยอดเขาสิเนรุ ลงทปี่ ระตเู มืองสังกัสนคร มีบนั ได แก้วอยู่กลางสำหรบั พระบรมศาสดา ขา้ งขวาเป็นบนั ไดทอง สำหรับเทพยดาทง้ั หลาย ขา้ งซา้ ยเปน็ บนั ไดเงิน สำหรบั ท้าวมหาพรหม ตอ้ งเปน็ ในัเ๋ ด้ (ดั่อเช่นทระททุ ธเยา้ ) ๑๒๓ kalyanamitra.org
บททื่^บสาม ขณะพระบรมศาสดาประทับยนื อยู่บนบนั ไดแกว้ มณนี นั้ เบอ้ื งบนกเ็ ปดิ ใหเ้ ห็นได้ ท้งั เทวโลกและพรหมโลก เบอ้ื งล่างนิรยนรกทง้ั หลายกเ็ ปดิ โลง่ เทวดา พรหม มนุษย์ และ สตั ว์นรกแลเหน็ ซ่งึ กนั และกันตา่ งไดแ้ ลเหน็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเสดจ็ ลงจากสวรรคพ์ รอ้ มๆ กนั กพ็ ากันมีจิตคิดปรารถนาจะไดบ้ รรลถุ งึ ความเปน็ พระพทุ ธเจา้ บ้างดว้ ยกนั ทุกคน ทกุ วนั นี้เหลา่ พุทธคาสนิกชนยังนยิ มถอื วา่ วันออกพรรษาเปน็ วันพระพุทธเจา้ เสด็จลงจากดาวดึงส์จึงมพี ิธีทำบญุ เรยี กวา่ ตกั บาตรเทโว(ย่อมาจาก เทโวโรหณะ แปลว่า ลงจากเทวโลก) หรือตกั บาตรดาวดึงส์ บางแหง่ ผคู้ นแนน่ มาก นำของใส่บาตรเขา้ ไม่ถึง พระภกิ ษุ จึงทำเป็นหอ่ ข้าวมีหางยาวไว้จับโยนเข้าไปใหถ้ ึงบาตร เรียกวา่ ข้าวต้มลกู โยน อยา่ งทางภาคใตเ้ ปน็ ตน้ ทรประ0U09คทาทระหว่า0เหล่ากิกษสุ อปทํ กsoโกสัมค แมพ้ ระพทุ ธ เจา้ ของเราจะมพี ระพทุ ธานุภาพมาก เพยี งใดก็ตาม แตบ่ าง เรื่องกต็ ้อง ปล่อยไปตามแตอ่ ำนาจกเิ ลสของคนเหลา่ นน้ั เช่น พระเทวทัต พระเจ้าสปุ ปพทุ ธะ ซ่งึ ถกู แผน่ ดนิ สบู ทั้งสองคน หรอื อย่างเรอื่ งการทะเลาะวิวาทของเหลา่ ภกิ ษุชาวเมืองโกสัมพีกเ็ ช่นเดยี วกัน ภกิ ษุผู้เปน็ อาจารยท์ างฝา่ ยพระนกั เทศน์เขา้ วัจจกฎุ (ี ส้วม) ใชน้ ้ีาในภาชนะไม่หมด ไมเ่ ทคืน แลว้ หงายภาชนะไว้ อาจารยฝ์ ่ายพระวนิ ยั (พวกรกั ษาคีลเคร่งครดั ) เข้าไปพบเชา้ ออกมา ต่อว่า ว่าผิดวินัย อาจารย์ฝา่ ยนักเทศนช์ ี้แจงว่า ตนไมท่ ราบ บัดนี้ทราบแลว้ ตอ่ ไปจะไม่ทำอกี อาจารยฝ์ า่ ยพระวินยั ตอบว่า เมื่อไมท่ ราบกไ็ ม่ผิด ตา่ งฝา่ ยตา่ งแยกกันไป แตอ่ าจารย์ฝ่าย พระวินัยอดไม่ได้ นำเร่ืองไปเล่าใหล้ ูกคษิ ย์ของตนทราบ ฝา่ ยลกู คษิ ยก์ ็นำไปกลา่ วเยาะเย้ย ลูกคิษยพ์ ระนักเทศน์วา่ วินัยเลก็ นอ้ ยแค่นีก้ ไ็ มร่ ู้ เมอ่ื ความทราบถึงอาจารย์ฝา่ ยพระนักเทศน์ ก็บันดาลโทสะและตา่ งเพง่ โทษซ่งึ กันและกนั จงึ เกดิ การทะเลาะวิวาทบานปลายกนั ใหญโต แตกแยกกันไปหมดทั้งเมอื ง ท้งั ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อบุ าสิกา ประชาชนจนตลอดเทวโลก และพรหมโลก พระบรมศาสดาทรงทราบขา่ ว ไดส้ ง่ คณะสงฆ์มาทำการไกลเ่ กลย่ี หลายครัง้ แต่ ไม่สำเรจ็ แมพ้ ระองค์เสด็จมาเองกท็ รงแกป้ ัญหาไมไ่ ด้ไมม่ ผี ู้[.ดยอมพิง กลับพดู จาไม่เคารพ ยำเกรงวา่ ขอใหพ้ ระองคท์ รงเป็นผู้ขวนขวายนอ้ ยเถดิ หมายถงึ พูดทำนองว่า อยเู่ ฉยๆ เถดิ ธุระไมใ่ ช่ พวกเขาอยากทะเลาะกนั พระองค์ทรงเห็นว่าสาวกดอ้ื รัน้ จึงทรงปลกี ตวั เสด็จ ตามลำพัง ไปอาคัยอยูใ่ นป่าปาเรไลยก์ ทน่ี น่ั มีขา้ งเชอื กหน่งึ เบื่อโขลง หนีออกมาอยตู่ ามลำพงั เหน็ พระบรมศาสดามีใจ ๑๒๔ ตอั 0เป็นใหเด้ (ดเวเช่นทรรฤั ทรเจัา) kalyanamitra.org
เหตุการณ์สำคัญบาอตอบในทระททุ ธกิจท่วั ไป เล่ือมใส จึงเขา้ มาปรนนิบัตติ ่างๆ นบั ต้งั แต่ใชง้ วงถอื กิ่งไม้ปัดกวาดทำความสะอาดทีพ่ กั กลางคืนอยู่ยามป้องกนั สัตวร์ า้ ย ตอนเชา้ เขา้ ปา่ หาผลไม้มาถวาย ตอนเย็นต้มน้าํ ใหส้ รง โดยใชง้ วงสบู น้าํ ใสแ่ อ่งหนิ ท่ีกลางวันมแี ดดส่องจนร้อนจดั หรอื มฉิ ะนั้นก็เอากง่ิ ไมเ้ ข่ียหิน ท่ีเผาไฟจนรอ้ นลงในแอ่งน้าํ สว่ นลิงนอ้ ยตวั หน่งึ ออกมาอยนู่ อกฝูงตามลำพงั เห็นชา้ งปรนนิบัติพระบรมศาสดา มีความพอใจใครท่ ำตามอย่าง จงึ ไปหักรวงผึ้งทง้ั รวงมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้ แตไ่ มท่ รงฉัน ลงิ พจิ ารณาดเู ห็นตวั ผึ้งอ่อนตดิ อยู่ จงึ หยบิ ออกเสยี แลว้ ถวายใหมเ่ ฉพาะทเ่ี ปน็ ส่วนนั้าผง้ึ ทรงรบั แลว้ เสวย ลงิ ดีใจกระโดดโลดเตน้ พลดั ตกกง่ิ ไมต้ าย ไปเกดิ ในสวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์ พระบรมศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ ณ ปา่ ปาเรไลยกน์ ี้ตลอดพรรษา ฝ่ายในเมือง โกสมั พื เมอื่ การทะเลาะวิวาทแผ่ไปกว้างขวาง จนเป็นทีเ่ บอ่ื หนา่ ยของประชาชน อกี ทัง้ ชาวเมืองทราบเรอื่ งท่ีเหล่าภกิ ษดุ ือ้ ดิงต่อพระพทุ ธเจ้า ทำใหพ้ ระองค์ต้องเสดจ็ ไปหลีกเร้น อยู่ในป่า ชาวเมอื งไม่มีโอกาสเขา้ เสา จงึ พากันโกรธเคอื งภิกษุเหลา่ นน้ั พากันไมถ่ วายอาหาร บณิ ฑบาต ทำให้ภกิ ษุทั้งหลายอดอยากไปท้ัวหน้าทง้ั สองฝ่าย เมือ่ ต้องหวิ โหย ทิฏฐมิ านะก็ ลดลง หันหน้าเขา้ ปรึกษาหารอื กนั ยอมรบั ผิดทง้ั สองฝา่ ย แตช่ าวเมอื งไมย่ อมให้อภยั ให้ นำพระบรมศาสดาคืนมา เหลา่ ภกิ ษเุ มอื งโกสัมพจี งึ วงิ วอนใหพ้ ระอานนทไปเสาพระบรมศาสดา เพอื่ กราบ ทูลใหย้ กโทษ เมอ่ื พระอานนทเ์ ดนิ ทางไปถึง ช้างปาเรไลยคเ์ หน็ แต่ไกล เข้าใจวา่ จะมาทำ อันตราย จึงเตรียมวงิ่ เชา้ ไปทำรา้ ย พระบรมศาสดาตรัสหา้ มไว้ ชา้ งพงิ แล้วเข้าใจจึง คอยทอี ยู่ แต่เมื่อเหน็ พระอานนทแ์ สดงความเคารพเปน็ อย่างยิ่ง ช้างคิดเปน็ มติ รด้วย พระบรมศาสดาทรงอนญุ าตให้เหลา่ ภกิ ษุเมอื งโกสมั พเี ช้าเสา ชา้ งจงิ มีโอกาสหาผลไมม้ า ถวายเหล่าภิกษุ เมอ่ื พระบรมศาสดาทรงรบั การขมาโทษจากเหล่าภกิ ษชุ าวเมอื งโกสัมพีแล้ว ต้อง ทรงกลบั ออกจากป่าเพื่อแสดงพระธรรมเทศนาโปรดมหาชนต่อ ชา้ งเดินทางตามมาดว้ ย พอเข้าเขตหมู่บ้าน พระองค์ตรัสใหช้ า้ งกลบั เชา้ ป่าตามเดมิ เพราะมาใกล้แดนมนุษย์มี อนั ตรายมาก ชา้ งยืนน่งึ สง่ ดว้ ยความเสียใจ เมือ่ พระบรมศาสดาและเหล่าภิกษจุ ากไป ลบั ตา หวั ใจของชา้ งปาเรไลยกก์ แ็ ตกสลายตายไปบงั เกิดในสวรรค์ ทรอปลออายสุ ัออาร พระพุทธเจา้ เสดจ็ จาริกประกาศพระศาสนาไปตามแวน่ แควน้ ต่างๆ เปน็ เวลา ๔๕ พรรษา นบั ตง้ั แต่วนั ตรัสรู้ กระทั้งพระชนม์ ๘0 พรรษา พระศาสนา เปน็ ปกี แผ่นม่ันคง ทรงประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาให้พทุ ธบริษัทท้งั ๔ สามารถสีบทอดต่อและดำรงตนอยู่ใน ตอ้ งเปน็ ใทเต้ (ดงั่ เฒท่ ระทฺทรเย้า) ซ๒ิ ๕ kalyanamitra.org
บททสีบลาม พระสัทธรรมตามอปุ นสิ ยั เปน็ ประโยชน์แกม่ นษุ ย์และเทพยดาเปน็ อนั มาก ในพรรษากาลท่ี ๔๕ เสดจ็ จำพรรษาครงั้ สุดท้ายท่ีบา้ นเวฬวุ คามในเขตเมืองไพศาสี ทรงอนญุ าตให้เหลา่ ภิกษจุ ำพรรษาตามสถานทต่ี ่างๆ ทคี่ ้นุ เคย ในเมอื งเดียวกนั ระหว่างพรรษา สมเดจ็ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงประชวรด้วยโรคชราอาพาธหนัก ทรงมีทุกขเวทนาแรงกลา้ พระองค์ทรงดำรงพระสดีสัมปชญั ญะอดกล้นั ในทุกขเวทนา เหลา่ นั้น ทรงทำความเพยี รในอิทธบิ าทภาวนา ได้แก่ ฉันทะ(มใี จรกั ในธรรมนั้นๆ) วริ ยิ ะ(พยายามทำใหธ้ รรมนน้ั เกิด) จติ ตะ(เอาใจใส่ ฝืกใฝ่ในธรรมนนั้ ) วีมังสา(พจิ ารณา ใคร่ครวญ ไตรต่ รอง สอบสวนหาเหตผุ ลในธรรมน้ัน) ขับไลค่ วามเจบ็ ไขเ้ หล่านั้นใหห้ ายไป พระอานนท์เถระพทุ ธอปุ ัฏฐากเข้าเผ่ากราบทูลความในใจที่เห็นพระองค์ทรง ประชวรวา่ รลู้ กึ เปน็ ทกุ ขเ์ หมือนร่างกายเจบ็ ปว่ ยงอมระงมไปดว้ ย ใจคอมืดมนไปทว่ั ทกุ ทศิ ธรรมะท้ังหลายก็ไมแ่ จม่ แจง้ เพราะความวิตกกังวลในพระอาการประชวร แต่อุน่ ใจอยู่นิดหนึ่ง ท่พี ระองคย์ ังไมต่ รสั พทุ ธพจน์ใดเป็นการลงั ลา คงยงั ไมป่ รินพิ พาน เมอื่ ได้เห็นพระองค์ ทรงหายดแี ล้วรูล้ ึกดีใจ พระบรมศาสดาตรสั ว่า ร่างกายของพระองค์ชรามาก เหมือนเกวยี นชำรดุ แลว้ เอาไมไื ผ่มาซ่อมแซมไว้ สว่ นเรือ่ งตรสั พุทธพจน์ล่ังสอนอกี น้นั พระองคไ์ ดส้ อนจนหมดสิน แลว้ ไมม่ สี ิงใดซอ่ นเร้นอยอู่ กี เลย ครนั้ แล้วพระพทุ ธองค์ทรงกลา่ วใหพ้ ระอานนทใ์ ดค้ ดิ ทจี่ ะกราบทูลอาราธนาให้ พระองคด์ ำรงพระชนม์อยจู่ นถึงอายุกปั (เวลานั้นมนุษย์มอี ายุ ๑๐๐ ป)ี หรือเกินกว่าน้นั ตรัสแสดงถงึ คุณของการภาวนาอทิ ธบิ าท ๔ ว่ามีอานภุ าพทำใหผ้ บู้ ำเพญ็ มอี ายยุ นื ถงึ หนึ่ง อายุกปั หรือเกนิ กวา่ นัน้ ได้ตรสั เรื่องน้ีซ่าๆ ถึง ๓ ครงั้ แต่ฝ่ายมารเชา้ ดลใจพระอานนท์ ทำให้คิดอะไรไมอ่ อก งงงวยไปเสีย พงิ แล้วไมเ่ ขา้ ใจพระประสงค์ พระองคจ์ ิงใหพ้ ระอานนท์ ออกไปนงั้ ที่อ่ืน ขณะนนั้ เองมารกเ็ ขา้ ไปทวงสญั ญาวา่ เมอ่ื พระองค์ตรัสรู้ใหมๆ่ ตรัสวา่ ตราบใด ที่พทุ ธบริษทั ๔ คือ ภิกษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อบุ าสิกา ยังไม่ฉลาด ยังไมส่ ามารถแสดงธรรม ได้ลึกซง้ึ กวา้ งขวาง ทง้ั การบวชประพฤตพิ รหมจรรยย์ ังไมแ่ พร่หลายไปทั่ว ได้รบั ความ สำเร็จบริบูรณด์ ว้ ยดี ทำใหเ้ กิดประโยชนแ์ ก่มหาชนเปน็ อันมาก ทั้งเทพยดาและมหาชน แลว้ พระองคจ์ ะยังไม่ปรนิ พิ พาน บัดน้ีทุกสิงทีท่ รงตอ้ งการ เปน็ ไปตามพระประสงคแ์ ล้ว ขอพระองคจ์ งปรนิ ิพพานเถิด เปน็ เวลาอันสมควรแล้ว พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ตรัสว่า ไม่ตอ้ งว่นุ วายอะไร พระองค์จะปรินพิ พานในเวลาต่อ จากนน้ั อกี ๓ เดือน ครนั้ แล้วทรงมีพระสติสัมปชญั ญะนั้นปลงอายสุ ังขาร ณ ปาวาลเจดยี ์ เมืองไพศาลี เกิดอศั จรรย์แผน่ ดนิ ไหวใหญ่ เสียงกลองทิพย์บันลือล่ันในอากาศ ๑๒๖ ดอั อเปน็ เห!ดั (ด0ํ เช่นทระททุ ธเช้า) kalyanamitra.org
เหตกุ ารณ์สำคัญบาดตอนในทระทฺทธกจิ ทวั่ ไป I พระอานนทเ์ ถระแปลกใจมาก จงึ เข้าเสาพระบรมศาสดาทลู ถามสาเหตทุ ี่ทำใหแ้ ผ่นดนิ ไหว พระองค์ตรสั ช้ีแจงว่า สาเหตุท่ที ำใหแ้ ผน่ ดินไหวมี ๘ ประการ คือ ๑. ลมกำเริบ (เกดิ ขึน้ เอง) ๒. ผู้มีฤทธี๋ทำใหเ้ กิด ๓. พระโพธสิ ตั วจ์ ตุ จิ ากสวรรคช์ ้ันดุสิต ลงสพ่ ระครรภ์ ๔. พระโพธสิ ตั ว์ประสูติ ๕. พระตถาคตเจา้ ตรัสร้พู ระสมั มาสัมโพธิญาณ ๖. พระตถาคตเจ้าเร่ิมแสดงธรรม ประกาศพระศาสนา ๗. พระตถาคตเจา้ ปลงอายุสังขาร ๘. พระตถาคตเจา้ ปรินพิ พาน แผ่นดนิ ไหวขณะนน้ั เป็นเพราะพระองคท์ รงปลงอายสุ งั ขาร พระอานนท์ได้สติ กราบทูลอาราธนาให้ทรงดำรงพระชนมอ์ ยตู่ ่อไปจนถึงกปั หน่งึ เพื่อประโยชนแ์ กเ่ ทพยดา และมนุษย์ทง้ั หลาย พระบรมศาสดาทรงหา้ ม พระอานนท์วงิ วอนถึง ๓ ครัง้ อา้ งวา่ พระองคท์ รงเจริญอทิ ธบิ าท ๔ แคลว่ คล่องชำนาญยอ่ มทรงดำรงพระชนมต์ อ่ ไปได้ พระบรมศาสดาไดต้ รสั ตอ่ ไปว่า พระองคท์ รงเปิดโอกาสใหพ้ ระอานนทก์ ราบทลู อารธนาถงึ ๓ ครงั้ แลว้ พระอานนทไ์ ม่เขา้ ใจเอง จงึ เป็นความผดิ ของพระอานนทผ์ เู้ ดียว เมอ่ื ทรงปลงอายุสังขารแล้ว(คอื ต้ังใจกำหนดวนั ปรินิพพาน)ไมส่ ามารถแกไขเป็นอยา่ งอน่ื ได้ นอกจากนั้นพระบรมศาสดายงั ตรัสยอ้ นไปถงึ เวลาอน่ื ๆ ท่ที รงเปดิ โอกาสใหท้ ูล อาราธนาในสถานที่ตา่ งๆ ถึง ๑'ว ตำบล คอื ท่ีเมอื งราชคฤห์ ๑๐ ตำบล ทีเ่ มืองเวสาลี ๖ ตำบล พรอ้ มกันนน้ั ไดต้ รัสพระธรรมเทศนาแกพ่ ระอานนทว์ ่า “ดกู ่อนอานนท์ เราไดบ้ อก มาแตต่ ้นแลว้ วา่ บรรดาสัตว์ หรอื สิงที่ปรุงแตง่ ขน้ึ มา(สังขาร) ซงึ่ เป็นท่รี กั ทช่ี อบใจทง้ั หมด ทั้งสนิ ย่อมต้องพลัดพราก มอี ันเป็นไปตา่ งๆ ไมค่ งทนถาวรอยไู่ ดต้ ามท่เี ราต้องการ ของ สิงใดท่ีไมเ่ ปลี่ยนแปลงเท่ยี งแทแ้ นน่ อน ท่ีเหล่าสัตว์ประสงค์อยากไดน้ ้นั ไมส่ ามารถหาได้ จากที่ไหนๆ สงิ ใดมีปัจจัยต่างๆ ทำให้เกดิ มา สิ่งน้นั กต็ อ้ งสนิ สูญไปเปน็ ธรรมดา การร่ิาร้อง ทะยานอยากไปว่าขอส่งิ เหล่าน้ันอย่าเสอ่ื มสูญไปเลย เปน็ สีง่ ท่เี ปน็ ไปไมไ่ ด”้ “ดกู อ่ นอานนท์ สิง่ ใดทพี่ ระตถาคตได้สละแลว้ ปลอ่ ยแล้ว ละแลว้ วางแล้ว จะ ให้เปลี่ยนเอากลับคนื เพราะเหน็ แก่ชวี ิต เป็นสง่ิ ทเี่ ปน็ ไปไม่ได”้ ดอ้ ดเปน็ ให๋!ั ดั (ด0ั่ เชน่ ทระทฺทธเยา้ ) ๑๒๗ kalyanamitra.org
บทท่^ี บสาม ประทานไอวาทแกก่ กิ ษสฺ อฆ์ กีปา่ มหาวัน เมื่อตรสั สอนพระอานนทด์ งั กล่าวแลว้ เสด็จไปยงั ศาลาที่ปา่ มหาวัน ตรัสให้ภกิ ษุ ท้งั หลายท่อี าศยั อยู่ในเมืองเวสาลมี าเชา้ เสา ตรสั ประทานโอวาทมีเน้อื ความว่า ไม่จำเปน็ ทีภ่ กิ ษุทงั้ หลายจะปรารถนาให้พระองค์ทรงมพี ระชนมอ์ ยู่ต่อไปอีกนานๆ เพราะธรรมทง้ั หลายทภ่ี ิกษุปฏิบัตแิ ลว้ ตรัสรู้ในชาตินี้ เป็นความรูเ้ หนือโลก ไดป้ ัญญาขน้ั โลกุตตระ(พ้นการเวียนวา่ ยตายเกิด) พระองคไ์ ด้ส์งสอนไว้ด้วยพระปัญญาอันย่ิงแล้ว ขอ ใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายต้ังใจปฏบิ ัติตามอย่างแทจ้ ริง ก็จะเป็นผลสำเร็จ ไดร้ ับประโยชน์ ผใู่ ดยัง ไม่บรรลุมรรคผล ใหร้ บี ขวนขวาย อย่ามัวประมาท อย่ามัวเสยี ใจ เมือ่ เหล่าภิกษุพากันกระทำตามคำสอนนื้ใหม้ ากเขา้ พระศาสนากจ็ ะตั้งอยู่ไดน้ าน ไม่เส่อื มสญู ซึง่ จะเป็นประโยชนส์ ุขต่อมหาชนเป็นอันมาก เป็นการอนเุ คราะหส์ ตั วโ์ ลก พรอ้ มท้ังเทพยดาทง้ั ปวง ธรรมท่พี ระองค์ทรงแสดงไวเ้ ปน็ อยา่ งดีแลว้ นื้คอี โพธปิ กั ขิยธรรม ๓๗ (ธรรมท่ี เกีอ้ หนนุ ใหร้ ูแ้ จง้ ) ไดแ้ ก่ สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มัปปราน ๔ อิทธบิ าท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมอี งค์ ๘ เม่อื ภกิ ษพุ ากนั ศึกษาเลา่ เรยี นและปฏบิ ัติใหม้ ากยงิ่ ขน้ึ ไม่วา่ พระพทุ ธเจา้ จะทรงมี ชวี ิตอยู่หรือไม่ ประโยชน์ท่ีประชาชนไดร้ บั ทั้งเทพยดาและมนุษย์ทัง้ หลาย กส็ ำเรจ็ เชน่ เดียวกนั สตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื ธรรมะอนั เป็นที่ตง้ั ของสติ (สติคอื ความนกึ ได้ การคมุ ใจไวก้ ับ สง่ื ทีเ่ ก่ียวข้อง) มตี ัง้ สตกิ ำหนดพิจารณาใน กาย เวทนา(ความรสู้ กี ) จติ และธรรม ล้มมัปปธาน ๔ คอื ความเพียร ๔ อย่าง เพยี รละความชว่ั ทม่ี อี ยูใ่ ห้หมด เพียรไม่ ให้ความช่วั ใหมเ่ กดิ เพียรรกั ษาความดที ่มี อี ยู่เอาไว้ เพยี รสรา้ งความดใี หม่ใหย้ ่ิงๆ ข้นึ อิทธบิ าท ๔ คอื ทางแห่งความสำเรจ็ มฉี ันทะ(ความพอใจรกั ใคร)่ วิริยะ(ความ เพียรทำ) จติ ตะ(การเอาใจสกใฝ่) และวมิ งั สา(การพิจารณาใครค่ รวญดว้ ยปญั ญา) อินทรยี ์ ๕ ธรรมทเี่ ป็นใหญ่ในหนา้ ท่ีของตน คอื ศรัทธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา พละ ๕ ธรรมที่มีกำลังมาก ๕ ประการ เหมือนอินทรยี ์ ๕ โพชณงค์ ๗ ธรรมทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของการตรัสรู้ คือ ซิ. สติ การนกึ ได้ ใจอยูก่ ับกิจ จติ อยู่กับเร่อื ง ๒. ธมั มวิจยะ การพจิ ารณาเลอื กธรรม การสอดส่องสีบด้นธรรม ๓. วริ ยิ ะ ความเพียร ตออเป็นใหเด้ (ดั่อidนทระทุท8เย้า) ๑๒๘ kalyanamitra.org
เหตุการณส์ ำคัญบาอดอนในทระทฺทธกจิ ท่ัวไป ๔. ปตี ิ ความอมิ่ ใจ ๕. ปัสลทั ธิ ความสงบกายสงบใจ ๖. สมาธิ ใจตง้ั มั่น ใจแนว่ แนเ่ รือ่ งใดเรือ่ งหนงึ่ ๗. อเุ บกขา ความมใี จเป็นกลาง เพราะรู้เหน็ ตามความเป็นจรงิ มรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ ปฏิบัติใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ คอื มคี วามถกู ตอ้ งในเร่ือง ๘ อย่าง ได้แก่ ความคดิ เห็น การดำริ การพูดจา การงาน การเลย้ี งชีวติ ความเพยี ร สติ และสมาธิ ต่อจากน้ันพระองค์ตรัสถ้อยคำแสดงความสลดใจ ใหผ้ พู้ ีงเกดิ ความสงั เวช เดือนใจใหเ้ กดิ ความสำนึก ท่จี ะนอ้ มใจมาทางกุศล รวมท้ังตรัสสอนเรื่องธรรมคือความ ไมป่ ระมาท ด้วยพระวาจาวา่ “ดูกอ่ นภกิ ษุท้งั หลาย เราขอเดอื นท่านทง้ั หลายใหร้ ู้ว่า สงั ขาร(ลี่งทมี่ ีปัจจยั ปรุงแตง่ ขึ้น)ทั้งหลาย มีความเสอ่ื มไปเปน็ ธรรมดา ท่านท้ังหลายจงยัง(กระทำ)ประโยชนต์ น และประโยชน์ผ้อู ืน่ ให้ถงึ พรอ้ ม(สำเรจ็ )บรบิ รู ณด์ ว้ ยความไมป่ ระมาทเถิด เราตถาคตจัก ปรนิ ิพพานเร็วๆ น้ี คืออีก ๓ เดอื นขา้ งหน้า คนทัง้ หลาย ไมว่ ่าเปน็ คนหนุ่ม คนแก่ คนฉลาด ม่งั มหี รอื ยากจน ล้วนต้องตายด้วย กนั ทุกคน มคี วามตายคอยอยขู่ า้ งหน้า เหมอื นภาชนะทป่ี ันด้วยดินทช่ี ่างปันทำขน้ึ ทั้งทีม่ ี ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ยงั ไมไ่ ดเ้ ผาหรือเผาสุกแลว้ ไม่วา่ ชนิดใด ต้องแตกทำลายในที่สุด ชวี ติ สัตวท์ ัง้ หลายกใ็ นทำนองเดยี วกนั แตกทำลายไปในท่ีสุด เราตถาคตมีวยั ชรามาก แล้ว ชวี ติ ของเราเหลือน้อยแลว้ เราตอ้ งจากพวกทา่ นไปกอ่ น เราเองทำที่พึง่ ให้ตนเองไวแ้ ล้ว ดูก่อนภกิ ษุทงั้ หลาย ท่านจงเป็นผ้ใู ม่ประมาท มีสติ มีคลี อันดเี ลศิ จงมคี วามดำริดี ใหม้ ัน่ คง จงตามรกั ษาจติ ของตนเอง ใครกต็ ามอยู่ในธรรมวนิ ยั นอ้ี ยา่ งไม่ประมาท คนคนนน้ั จะพ้นจากการเวยี นว่ายตายเกิด จะเป็นผ้ลู ้ีนทุกข์” พระบรมศาสดาตรัสสอนเรอื่ งใหส้ ลดใจ และสอนไมใ่ ห้ประมาทด้วยประการฉะนี้ ครน้ั รุ่งเชา้ เปน็ เวลาเสด็จออกบณิ ฑบาต พระองคเ์ สด็จเขา้ ไปในเมืองเวสาลี เมือ่ เสดจ็ กลับ พันตวั เมือง ทรงหันพระวรกายกลับท้งั พระองค์(หนั หลังกลบั ) ทอดพระเนตรตัวเมอื ง ตรัสว่า “ดกู อ่ นอานนท์ พระตถาคตจกั เห็นเมืองเวสาลี ครง้ั น้ีเปน็ คร้งั สุดทา้ ย ตอ่ จากนจ้ี ะ ไม่ได้เหน็ อีกแล้ว ดูก่อนอานนท์ เวลาน้ีเราเดนิ ทางตอ่ ไปยงั บา้ นภัณฑุคามกันเถดิ ” ลอ้ ปเื น็เนใศำล้ (ส0์ 1durเระทฺทรเยา้ ) ซ๒ิ ๙ kalyanamitra.org
บทท^บสาม ทระโอวาททบานกัณฑคุ าม สมเด็จพระผู้มพี ระภาคเจ้าตรสั เทศนาท่ีบ้านภัณฑคุ าม เรอ่ื ง คีล สมาธิ ปัญญา วมิ ุตติ เป็นอรยิ สัจธรรม ๔ ประการ มากกว่าตรสั สอนอย่างอืน่ “ดูกอ่ นภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะเหตทุ เ่ี ราไม่ตรสั รู้(รู้แจ้ง)ไม่แทงตลอดในธรรมทัง้ ๔ คีอ คีล สมาธิ ปญั ญา วิมุตติ นี้ เราทั้งหลายคอื ท้ังตถาคตและสาวกทัง้ หมด จึงพากัน ทอ่ งเที่ยวเวียนวา่ ยตายเกดิ ในกำเนดิ ตา่ งๆ สนิ เวลาช้านานนัก โมหะ อันเป็นความโง่ หลง เปน็ ความมดื ปกปดิ ไมใ่ หเ้ กิดปัญญาตรสั รูธ้ รรมทัง้ ๔ นี่เอง เป็นเหตใุ หเ้ ราท้งั หลายตอ้ ง ตกอยใู่ นสงั สารทกุ ขอ์ ันวจี ติ รเปน็ อเนกประการ ดกู ่อนภกิ ษุทัง้ หลาย มาบดั น้ี คลี สมาธิ ปัญญา วีมุตติ ซง่ึ เปน็ อรยิ ธรรมเหลา่ น้นั 1 เราทั้งหลายได้ตรัสรแู้ จ้งแล้ว ได้แทงตลอดแล้ว ตณั หาท่ีจะก่อภพใหเ้ ราเกดิ เราดัดทง้ิ ไป หมดแลว้ ตณั หาอันเปน็ บว่ งร้อยรัดเราใหต้ ดิ อยใู่ นภพ เหมอื นเชอื กผกู เท้ากา ทำใหบ้ นิ หนี ไปไหนไมไ่ ด้ หลดุ จากเราแล้ว ตัณหาไม่สามารถทำภพอะไรใหเ้ ราตอ้ งเกิดอีก ตอ่ ไปนเ้ี รา ตถาคตและพวกท่านท้ังหลายจะไมเ่ กดิ อิก” พระบรมศาสดาตรสั แสดงอานิสงสข์ องอรยิ ธรรมท้ัง ๔ นี้ว่า “คลื เป็นท่ตี งั้ พืน้ ฐานอนั สำคัญยงของคณุ ธรรมเบ้ืองสงู เหมอื นผืนแผน่ ดินเป็น ฐานสำหรับอาคัยทำกจิ การทั้งปวงทีต่ อ้ งทำดว้ ยเร่ยี วแรง(ทำด้วยกาย) เม่ืออบรมคีลได้ บริสุทธื่บรบิ ูรณ์ดี จะอบรมสมาธไิ ด้ดี สมาธิเมอื่ อบรมได้ดแี ล้ว มอี านิสงสใ์ หญ่ เพราะสมาธิ จะอบรมให้เกิดปัญญา เมอ่ื ปญั ญาอบรมดแี ล้ว จิตจะมวี มี ตุ ติหลดุ ถอนพ้นจากอาสวะ ทั้งหลายท่ดี องอยูใ่ นสันดาน มดี องด้วยกาม(รูป เสยี ง กลนิ่ รส สัมผัส) ดองด้วยภพ (เกิด ในท่ีต่างๆ) ดองดว้ ยอวิชชา(คือความไมร่ อู้ ะไรตามความเปน็ จริง) เมื่อจติ หลดุ พนั จากอาสวะทัง้ ปวงแล้ว ย่อมพ้นจากสังสารทุกขท์ ัง้ สิน สกิ ขาทัง้ ๓ นค้ี ีอ คลี สมาธิ ปญั ญา เปน็ หนทางใหถ้ ึงวิมุตต(ความหลุดพน้ ) เปน็ แกน่ ของพระธรรมวนิ ัย สาวกจะบรรลวุ มิ ุตตินไ้ี ด้ ก็ด้วยทำไตรสิกขาใหบ้ ริบรู ณ”์ ทระโอวาททโกคนคร เมอื่ เสด็จถงึ โภคนคร ตรสั สอนเหล่าภิกษสุ งฆด์ ว้ ยเร่ือง มหาปเทส ๔ เพ่อื เป็นหลัก สำหรับทภ่ี กิ ษุสงฆจ์ ะใชต้ ัดสนิ ว่า สงิ ใดเปน็ ธรรม เป็นวินยั เปน็ พระพทุ ธพจนห์ รอื มิใช่ โดย ตรัสวา่ “ถ้าจะมีภิกษใุ ดมาอา้ งว่า สงิ เหลา่ นี้เป็นธรรม เป็นวนิ ยั เป็นพระพุทธพจน์ ที่ พระศาสดาทรงสอนไว้ ทีส่ งฆ์บัญญ่ตไว้ ที่คณะตา่ งๆ กลา่ วไว้ หรอื อา้ งบุคคลใดกด็ ี พวก เธออยา่ รีบดว่ นเชือ่ ถือ ยินดีรบั คำพูดเหลา่ นน้ั แต่อย่าเพึ่งปฏิเสธ ใหส้ อบทานคำสอน ๑๓๐ ตัอปเ๋ ปน็ ใหเด้ (ส่ปืเชน่ ทระเๆทรเจา) kalyanamitra.org
เหตกุ ารณ์สำคัญบาอตอนในกร::ททุ ธกจิ คัวไป เหล่านนั้ ให้ถี่ถ้วนแนน่ อน เทยี บดใู นพระสูตร(พระธรรมเทศนาทที่ รงแสดงไว้ในท่ตี า่ งๆ ) เทียบดใู นพระวนิ ัย(ขอ้ ห้ามตา่ งๆ ทที่ รงกำหนดไว้) ถ้าถ้อยคำเหล่าน้ันเทยี บในพระสตู รก็ไม่ตรง เทียบในพระวินัยก็ไม่ตรงให้เข้าใจ ไดว้ ่าไม่ใช่คำพูดของตถาคต ผูบ้ อกรับมาผดิ จำมาคลาดเคล่ือน แตถ่ า้ เทยี บดแู ลว้ เช้า กนั ไดท้ ง้ั พระสตู รและพระวินัย ไมม่ ีล่ืงใดคลาดเคล่ือน ให้สนั นษิ ฐานได้ว่าเปน็ คำสอนของ พระผ้มู ีพระภาคแน่แล้ว ผ้บู อกรบั ฟ้งมาดว้ ยดี ไมว่ ิปริต” มหาปเทส ๔ หลักอ้างอิงเทยี บเคียงเก่ียวกบั พระวินัย ๔ ประการ ร). ลงื่ ใดไม่ทรงห้าม วา่ เปน็ สิง่ ไมค่ วร แต่สิง่ นนั้ เข้ากนั ได้กับสิ่งไมส่ มควรต่อสมณะ สิง่ นั้นไม่สมควร ๒. ส่ิงใดไม่ทรงหา้ ม วา่ เป็นสิง่ ไม่ควร แต่สง่ิ นน้ั เข้ากนั ไดก้ ับส่ิงท่คี วรตอ่ สมณะ สง่ิ น้นั ควร ๓. ส่ิงใดไมท่ รงอนญุ าตว่าเปน็ ส่ิงสมควร แต่สิง่ นน้ั เช้ากนั ได้กบั ส่ิงไมส่ มควร ส่งิ น้นั ไม่สมควร ๔. สิง่ ใดไมท่ รงอนุญาตวา่ เปน็ สงิ่ สมควร แต่ส่ิงนั้นเข้ากันได้กับสิ่งสมควร สิง่ นน้ั ควร ตัออเปน็ ใหเต้ (ด้ปiื dนทระเๅท8เจ้า) ๑๓๑ kalyanamitra.org
พระอานนท์ตกั น้าํ ในแมน่ ามาถวายพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ จ๓๒ ตอ้ งเปน็ ให๋เั ค้ (ดงั่ เชน่ หระททฺ ธเย้า) kalyanamitra.org
พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าทรงแสดงปัจฉิมโอวาทกอ่ นเสด็จดับขันธปรนิ พิ าน ตอ้ งเปน็ ใหเด่ (ลงั !ชบ่ ทระเๅทธ1ฉ่ำ] ร)ุ ๓๓ kalyanamitra.org
บทท่^ื บร่ บทท ๐๔ ใกล้เวลาเสดจ็ ลับขนรปรนททาน 1ใ4 เวลานนั้ ข่าวการปลงอายสุ งั ขารของพระบรมศาสดาแพรส่ ะพดั ไป เหลา่ ภิกษสุ งฆต์ า่ งพากันมาเสาแวดลอ้ มอยเู่ ปน็ จำนวนมาก พระองคเ์ สด็จจากโภคนคร ไปถงึ เมอื งปาวานคร ประทับอยทู่ ่สี วนมะมว่ งของนายจุนทะ บตุ รช่างทอง นายจุนทะทราบขา่ วแล้วดีใจมาก รบี ไปเขา้ เสา พระองค์ตรัสสอนใหน้ ายจนุ ทะ เชอ่ื เร่ืองกรรมและวบิ าก(ผลของกรรม) ให้ถือมนั่ ปฏิบต้ ตนอยใู่ นกุศล มคี วามกลา้ หาญ ร่นื เรงิ ในการประพฤตทิ ถี่ ูกทำนองคลองธรรม ปฏบิ ต้ ลง่ื ที่ลูกทคี่ วร นายจุนทะกราบทูลนิมนต์พระบรมศาสดาพรอ้ มภกิ ษุสงฆท์ ั้งหมดรับภตั ตาหาร เชา้ วันรงุ่ ขึ้นท่บี า้ นของตน รุง่ ขึ้นเปน็ วนั ข้ึน ร)๔ คำ เดือน ๖ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจา้ พรอ้ มด้วยภกิ ษสุ งฆ์ และเหลา่ พทุ ธบริษัทเป็นจำนวนมาก เสดจ็ จากสวนมะมว่ งไปยงั บา้ นนายจุนทะ นายจุนทะถวายภัตตาหารอนั ประณีตต่างๆ รวมทง้ั อาหารชือ่ สกุ รมทั ทวะ (อาจปรุง ด้วยเนอ้ื สุกรอ่อนจริง หรอื ปรงุ ด้วยเหด็ ท่มี รี สอรอ่ ย เหมอื นเนื้อสุกรอ่อนกไ์ ด)้ พระองคท์ รง รับอาหารชนดิ น้ืไว้ ให้นายจุนทะถวายอาหารอื่นๆ แกภ่ ิกษุสงฆ์ ให้นำอาหารท่มี ีชือ่ สุกรมัททวะท่ีเหลือจากพระองค์ไปเทสงดนิ เสียท้งั หมด หา้ มผใู้ ดบรโิ ภค เพราะเป็นอาหาร ย่อยยาก เสรจ็ แล้วทรงแสดงธรรมให้นายจนุ ทะดีใจในบญุ ของตน เมอ่ื พระบรมศาสดาทรงบรโิ ภคอาหารของนายจนุ ทะไมน่ าน ก็เกิดอาพาธแรงกล้า ทรงพระประชวรลงพระโลหติ (ถา่ ยเปน็ เลือด)มีทกุ ขเวทนามากทรงอดกลั้นดว้ ยอธิวาสนขันติ ตรสั ชวนหมภู่ กิ ษเุ ดินทางไปเมอื งกสุ ินารา ระหว่างทางทรงเหน็ดเหนอื่ ยพระวรกายมาก ตรัสส่งั ใหป้ ผู ้าสงั ฆาฏิรองประทบั นง้ั ตรัสเรียกพระอานนทใ์ หน้ ำบาตรไปตักนํา้ ในแมน่ า้ํ มาถวาย พระอานนท์กราบทูลคดั ค้านวา่ แมน่ ํ้านน้ั มีนา้ํ นอ้ ย เกวยี น ๕๐๐ เล่มเพิ่งข้าม น้าํ จึงขนุ่ เป็นโคลนทัว้ ไปหมด ควรไปฉันนาํ้ ท่ี แม่นา้ั กกุธานทีชง่ื อยูถ่ ัดไป ตอ้ งเปน็ ใหัเ๋ ล้ (ส่อเอน่ ทระเๅทธเยา้ ) kalyanamitra.org
ไกลเั วลาเสด็จดับขนั ธปรบททาน พระบรมศาสดาตรัสสงั่ ถึง ๓ ครงั้ พระอานนท์จงึ ไดค้ ดิ ว่า ธรรมดาผ้เู ป็นพระพทุ ธเจ้า นั้นจะตรสั พระวาจาสิงใด ตอ้ งมสี าเหตุทกุ ครั้งไป จึงรบี ไปตักนาํ้ ด้วยพทุ ธานุภาพของ พระพุทธองค์ เป็นทีน่ า่ พศิ วง เมื่อพระอานนทถ์ ือบาตรเข้าไปใกล้แม่นํ้า น้ําทข่ี นุ่ อยู่ด้วย ล้อเกวียนกพ็ ลนั ใสสะอาดเป็นอศั จรรย์ แรงกรรมนัน้ เป็นสิงมีอำนาจมาก ทำกรรมใดไวล้ า้ ถึงคราวใหผ้ ล แม้ทรงบังเกิด เป็นถงึ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ เม่อื อกศุ ลวีบากคร้ังทรงเกิดเปน็ พ่อคา้ นำเกวยี นไปคา้ ขาย โคเทียมเกวียนกระหายน้าํ พ่อค้าเห็นนาํ้ ขุ่น ไม่ยอมให้โคดม่ื ใหท้ รมานลากเกวยี นไปอีกไกล เพื่อดมื่ นํา้ ที่ใสกว่า ผลของกรรมตามมาทันในขณะน้ี กรรมบนั ดาลใหพ้ ระอานนทช์ ักขา้ ทำให้พระบรมศาสดาทรงกระหายน้ํามากย่งิ ข้ึน มีหลายเรอื่ งในพระประวตั ทิ ่มี ีอกุศลวบี าก(ผลของกรรมซัว)ตามทัน ทำให้พระบรม- ศาสดาทรงพบเหตกุ ารณ์ไม่สมควรต่างๆ เชน่ ถูกสะเกด็ หนิ ทำพระบาทห้อพระโลหิต (เพราะเคยผลักน้องชายตา่ งมารดาตกเหวตาย) ถกู นางจญิ จมาณวีกาใส่ความว่าทรงทำ นางต้งั ครรภ์ (เพราะเคยกลา่ วใส่ความพระปัจเจกพทุ ธเจ้า) ประชวรลงพระโลหติ ฯลฯ ล้วนแตเ่ ป็นการยนื ยนั ใหเ้ หน็ อำนาจของแรงกรรมท้งั สิน ขณะที่พระบรมศาสดาเสวยนา้ํ ดบั ความกระหาย และประทบั อยใู่ ต้รม่ ไมเ้ วลานน้ั มบี ุตรแห่งมัลลกษัตรยิ ผ์ หู้ นง่ึ ชื่อ ปกุ กุสะ เปน็ สาวกของอาฬารดาบส กาลามโคตร ออก จากเมอี งกุสินารา มาปาวานคร ผา่ นมาทางทพ่ี ระบรมศาสดาประทบั นงึ่ อยู่ จงึ เข้าไป ถวายความเคารพ พระองคท์ รงแสดงสันติวิหารธรรม(ธรรมเปน็ เคร่ืองอย่อู ย่างสงบ) ใหพ้ ิง ปุกกสุ ะพิงแล้วเกดิ ความเลื่อมใสถวายผา้ เนื้อดสี เี หลอื งดงั ทองคำทออย่างประณตี ชือ่ ผา้ สิงคิวรรณ ๒ ผนื พระบรมศาสดาให้แบ่งถวายพระอานนท์ผนื หนง่ึ เมื่อปกุ กสุ ะจาก ไปแลว้ พระอานนทได้นำผา้ นั้นถวายพระบรมศาสดา พระองค์ทรงบุง่ ผนื หนึ่งหม่ ผนื หน่งึ เมอื่ ครองผ้าเสรจ็ แลว้ พระวรกายพลันปรากฏพระรศั มผี ุดผ่องเปล่งปสงั่ ผิดปกติ ทันที พระอานนท์กราบทลู สรรเสรญิ พระบรมศาสดาข้ึแจงว่า ผวิ พรรณของพระองคจ์ ะ ผดุ ผ่องเป็นพิเศษอยู่ ๒ คร้งั คร้งั หนึง่ ในคนื ทจ่ี ะตรสั รู้ และครงั้ ท่ีสองในคีนที่จะปรินิพพาน พระองคจ์ ะปรนิ ิพพานในคืนนี้ ท่ีระหว่างตน้ สาละสองตน้ ณ สาลวัน ของมัลลกษัตริย์ เมอื งกุสนิ ารา คร้นั แล้วตรัสชวนเสด็จไปยังแมน่ าํ้ กกธุ านที เพอื่ ลงสรงและเสวยสา่ ราญพระอริ ิยาบถ ตามพระพทุ ธอธั ยาศัย แล้วเสดจ็ ไปประทับทสี่ วนอมั พวนั ตรสั ป้องกนั นายจนุ ทะ ผู้ถวาย ภตั ตาหารมีอสุดทา้ ยว่า ลา้ มใี ครตำหนิใหน้ ายจนุ ทะเดือดร้อนใจวา่ พระพุทธเจ้าทรงบริโภคอาหารของเขา ทำให้เสด็จปรนิ ิพพาน ใหข้ ึ้แจงว่า พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรัสจากพระโอษฐเ์ องว่า อาหาร ๒ ดอ้ อเป็นใหึเด้ (ฒั่)เ8บทระเๅทธเจา้ ) ๑๓๕ kalyanamitra.org
บทที่สบร่ ม้ือ ที่มีผลบุญยิ่งใหญม่ ากเท่าๆ กัน เหนือการถวายภัตตาหารในมอื้ อื่นๆ ท้ังสนิ คอื มือ้ ท่ี บรโิ ภคแล้ว ตรสั รพู้ ระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธญิ าณ และมอ้ื ท่บี รโิ ภคแล้วปรินิพพานชนิดสิน ทงั้ กเิ ลสและชวี ติ อานสิ งส์การถวายอาหารมอื้ สุดท้ายที่นายจุนทะกระทำแลว้ น้ี จะเปน็ กรรมดสี ่งผลใหไ้ ดร้ บั อายุ วรรณะ สุข ยศ และสวรรค์ พร้อมท้งั ความเป็นใหญ่ พระบรมศาสดาทรงใหพ้ ระอานนท์เปน็ ผกู้ ล่าวรับรองผลบญุ ดงั กล่าวแลว้ นนั้ ให้ ผูอ้ น่ื ฟงั ทรอทอดทระวรกายครอสดุ ทัาย ตอ่ จากนนั้ พระผ้มู พี ระภาคเจ้าพร้อมดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์เป็นอันมาก เสด็จขา้ มแมน่ า้ํ หริ ัญญวดี ถึงเมอื งกสุ ินารา ประทับทอ่ี ทุ ยานใหญ่นอกเมอื ง ชือ่ สาลวโนทยาน คือ สวน ปา่ ตน้ สาละ เป็นไม้ยืนตน้ ขนาดใหญ่ มใี บใหญ่ ดอกเปน็ ชอ่ ยาวสีขาวห้อยลง พระบรมศาสดาตรสั ให้พระอานนท์เตรยี มพระทบ่ี รรทมระหวา่ งต้นสาละ ๒ ตน้ วางพระเคยี รทางทศิ เหนือ ทรงนอนตะแคงในทา่ นอนของราชสหี (์ สหี ไสยา) คือตะแคงขา้ ง ขวา พระบาททัง้ ค่ชู อ้ นเหล่อื มกนั ดำรงพระสติสัมปชัญญะ ต้ังพระทยั บรรทมเปน็ คร้ัง สุดทา้ ยไม่ทรงลุกข้ึนอีกแล้ว เรียกว่า อนุฏฐานไสยา ในเวลาน้นั เองแมม้ ิใชฤ่ ดูกาล ต้นสาละทั้งค่กู พ็ ลนั ผลดิ อกออกช่อบานสะพรง่ั สี ขาวงามอร่ามเต็มตน้ ดอกทีบ่ านเต็มท่กี ร็ ่วงพรลู งพน้ื ดนิ เป็นพทุ ธบูชา ดอกไมท้ ิพย์บน สวรรค์ชือ่ มณฑารพ ตลอดจนจณุ จนั ทนส์ ุคนธชาต(ิ นํ้าหอมอนั เป็นของทิพย์) กโ็ ปรยปราย ลงมาจากอากาศ ตกยงั พระสรรี ะแหง่ พระตถาคตเจา้ ท้ังสังคีตดนตรที พิ ยจ์ ากสวรรค์ก็ บันลือประโคมไปในอากาศเป็นมหานฤนาทโกลาหล เพอ่ื บชู าพระบรมศาสดาเป็นครัง้ สุดท้าย ทรอแสดอกิงการสกั การบชู าทมอานสอสย์ อ พระบรมศาสดาตรัสเลา่ ถึงลงิ ตา่ งๆ ท่เี กิดข้นึ ในขณะนน้ั วา่ เป็นทิพยบูชาสกั การะ ท่ี เหลา่ เทพยดากระทำถวายเป็นพทุ ธบูชา แต่สำหรับการสักการบชู าท่ีพุทธบรษิ ัท ๔ ควรทำ ต่อพระองคน์ ัน้ ทรงกล่าววา่ แมเ้ หลา่ พุทธบริษทั ๔ มภี กิ ษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสกิ า จะ นำเอาอามิสสิงของมากมายเทา่ ใดมาทำการบูชา ก็ไม่ไดผ้ ลมากเทา่ บูชาด้วยการปฏบิ ัติ ธรรมสมควรแกธ่ รรม(คือธรรมขอ้ ใดควรปฏบิ ัติอย่างใดก็ปฏบิ ตั ิตามนัน้ ) ปฏิบตั ชิ อบย่งิ ประพฤติธรรมโดยสมควร ๑๓๖ ตองเป็นไหัเ๋ ลั (ลงั เช่นทระททุ 81ชัา) kalyanamitra.org
ใกณัวลาเสดจ็ ลันขนั ธปรนททาน ดรส!รอป้เทวดาทมาเฝ็าในอณะน้นั พระภกิ ษุรูปหนง่ึ ซอ่ื อปุ วาณเถระยนื ถวายงานพัดอยู่เบือ้ งพระพักตรพ์ ระบรมศาสดา ตรัสสงั่ ให้หลกี ไปอยทู่ อี่ น่ื ไมใ่ ห้บงั พระองค์ พระอานนท์สงสัยสาเหตุทท่ี รงไลอ่ ปุ วาณะ พระตถาคตเจา้ ทรงช้ีแจงว่า เทพยดาท้ังหลายทวั่ หมน่ื โลกธาตุมาเสาพระองคเ์ ตม็ พืน้ ที่ ใน สวนสาละท่ีมีบริเวณถงึ ๑๒ โยชนน์ ้ัน ทีว่ า่ งแม้เท่าปลายขนของเนือ้ ทรายกไ็ มม่ ี มี เทพยดาอยูเ่ ต็มไปหมดทั้ง ๑๒ โยชน์ โดยรอบ เหล่าเทวดาพากันโทษพระอุปวาณะว่า พวกเขาพากนั มาจากแดนไกล หวงั จะเห็น พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เปน็ ครั้งสุดท้าย เพราะพระสมั มาสัมพุทธเจา้ มไิ ด้ทรงอุบัติข้ึนบ่อยๆ นานๆ จึงจะบงั เกิดขน้ึ สกั พระองคห์ นึ่ง แต่มาแลว้ ก็ไมไ่ ดเ้ หน็ เพราะภกิ ษุรูปนื้ยืนบงั เสยี พระองคจ์ งึ ทรงให้พระอุปวาณะหลีกออกไป พระอานนทท์ ูลถามถงึ สภาพของเทพยดาที่มา ประชมุ กัน พระบรมศาสดาตรสั เล่าวา่ เทวดาอยกู่ นั เตม็ ทั้งบนพน้ื ดนิ และในอากาศ ตา่ ง พากนั สยายผมยกแขนท้ังสองกล้ิงเกลือกไปมา เหมือนมเี ทา้ ขาด(ทรงกายยนื ไมไ่ ด)้ คร์าครวญถึงพระตถาคตวา่ ทำไมจึงปรินพิ พานเร็วนัก ดวงตาของโลกมาหายเสยี เรว็ นัก เหล่าเทพยดาเหล่าใดทเี่ ป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์ ยอ่ มมสี ติสัมปชญั ญะ อดุ กลนั้ ความเสียใจได้เพราะปราศจากราคะแล้ว มีแตธ่ รรมสังเวชวา่ สังขารธรรม ทัง้ หลายเป็นสิงไม่เทยี่ งแทแ้ น่นอน สตั ว์ท้งั หลายจะหวงั เอาความเท่ยี งแท้จากสงั ขาร ได้ อยา่ งไรกัน ทรอแสดอสกานททใศเกิดความสลดใจ (สอั เวชนยสกาน ๔ แหอ่ ) พระอานนทก์ ราบทูลวา่ แต่เดิมในเวลาเข้าพรรษา ภกิ ษทุ ้ังหลายจำพรรษากันตาม ที่ต่างๆ เม่อื ออกพรรษาแลว้ จะพากันมาเข้าเสาพระบรมศาสดา ภกิ ษุท้งั หลายเม่อื ได้มาอยู่ พรอ้ มหน้ากัน ได้เชา้ ใกลก้ ัน ก็มีความซนื่ ชมยนิ ดี ต่อจากน้ีเม่ือพระองค์ทรงล่วงลบั ไปแลว้ พวกเรากจ็ ะไม่ไดอ้ ยู่พรอ้ มหนา้ กนั อีก เหมือนอยา่ งเวลาท่พี ระองคด์ ำรงพระชนมอ์ ยู่ พระโลกนาถตรสั แสดงสถานท่ี ๔ แหง่ ท่คี วรได้ดไู ดเ้ หน็ ไดพ้ บกัน อันเป็นท่ี กุลบุตรผูม้ ศี รทั ธาเห็นแล้วจะเกดิ ความสลดใจ คอื ๑. สถานท่ที พี่ ระองค์ประสูติจากพระครรภ์ ๒. สถานทท่ี ่ตี รัสรู้พระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธิญาณ ๓. สถานทีท่ แี่ สดงปฐมเทศนา เผยแผพ่ ระศาสนา ดัอปืเป็น?หเ๋ั ด้ (ล0ั๋ เ8นทระ1ๅทธเ0า) ๑๓๗ kalyanamitra.org
บททื่รบ^ ๔. สถานท่ีทเ่ี สดจ็ ดบั ขนั ธปรินพิ พาน พทุ ธบริษทั ทัง้ ๔ ควรได้เห็น ได้ดู ได้เกดิ ความสลดใจ ในสถานทท่ี ั้ง ๔ แห่งน้ี เมื่อเหน็ แล้วยอ่ มได้ความเช่อื ความเลือ่ มใสว่า พระตถาคตเจา้ ทรงบงั เกดิ ตรงสถานทน่ี ี้ พระองค์ตรสั รตู้ รงนี้ เรม่ิ เผยแผพ่ ระธรรมตรงน้ี และเสด็จดับขนั ธปรินพิ พานตรงน้ี ผทู้ ไ่ี ป ยังสถานทีท่ ้ัง ๔ จะเปน็ ผู้มศี รัทธาในพระศาสนา ตายแล้วไปสุคติโลกสวรรค์ ขัอปฎบัด(บออกิกษฺดอ่ สดร ตอ่ จากนั้นพระอานนทท์ ลู ถามข้อปฏบิ ตั ิทีค่ วรทำตอ่ บรรดาเหล่าสตรี พระบรมศาสดาตรสั ว่า ไม่ตอ้ งเหน็ ไม่ตอ้ งดเู ลยเป็นดีทสี่ ดุ พระอานนทท์ ูลว่า ถ้ามคี วามจำเป็นตอ้ งเห็นต้องดู จะทำประการใด พระองคต์ รสั ว่า ถ้าจำเปน็ ต้องเห็นตอ้ งดู กไ็ ม่ควรพูดด้วย พระอานนท์ทูลวา่ ถ้าจำเปน็ ตอ้ งพดู จะทำอยา่ งไร พระองคต์ รสั วา่ ตอ้ งพดู ล่งื ทีเ่ ป็นประโยชน์ เช่นการแสดงธรรม โดยตงั้ สตไิ ว้ให้มน่ั ไมให้แปรปรวนด้วยราคะตณั หา ไมม่ ีอาการละเมิดทางกาย ทางวาจา วางตนให้เหมาะสม กับการเปน็ สมณะ วธีปฎป๋ดในทระททุ รสรระ ครัน้ แลว้ พระอานนทท์ ลู ถามถึงการปฏบิ ัตติ ่อพระสรีระของพระบรมศาสดาหลังจาก ทท่ี รงดบั ขันธปรินิพพานแลว้ พระองคต์ รสั ตอบวา่ สาวกของพระองค์ที่เป็นบรรพชิต ไม่ ตอ้ งจดั การเร่ืองพระบรมศพ ให้พยายามปฏิบัตติ ามคำลังสอนเพ่อื สำเร็จประโยชน์ของ ตนเองใหไ้ ด้ จงอย่าประมาทในประโยชน์ของตน ใหเ้ พียรเผากเิ ลสและบาปกรรมใหล้ ื่น เปน็ ผู้ม่งุ ในการประพฤตพิ รหมจรรย์ให้ถึงท่สี ดุ ทกุ อริ ิยาบถ เรอื่ งการบูชาพระสรีระน้ันเป็นเรอ่ื งของกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ที่เป็นบัณฑิต เสอ่ื มใสในพระตถาคตเจ้า จะกระทำกัน แตพ่ ระอานนทก์ ็ทลู ถามวิธีปฏบิ ัติไว้ เผ่ือบุคคลทัง้ หลายเหลา่ น้ันไม่รู้ พระบรมศาสดาตรสั ตอบวา่ ปฏบิ ตั เิ หมือนกระทำตอ่ พระสรรี ะของพระเจา้ จกั รพรรดริ าชคือ ใชผ้ า้ ขาวใหมพ่ ันพระสรีระจนรอบ แล้วใช้สำลพี ันซบั อกี ครง้ั หนง่ึ ทำ คงั นี้เรอ่ื ยไป ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญพระสรรี ะต้งั ไวใ้ นรางเหล็กทม่ี นี า้ั มันเต็ม ปดิ ครอบดว้ ย ๑๓๘ ต้ออเป็นให!ต้ (ด0่ั เ8ยทระฤทธเชา้ ) kalyanamitra.org
ใกลัเวลาเสดจ็ ดับยัน8ปรอททาน ฝารางเหลก็ วางบนเซงิ ตะกอน ทีท่ ำดว้ ยไม้หอมเผาดว้ ยไม้หอม ถวายพระเพลงิ เสร็จแล้ว เชิญพระอฐ้ ิธาตุบรรจุไว้ในสถูป สร้างไวท้ ่ีถนนใหญ่ ๔ สายมาพบกัน (ทางสี่แยก) เมอื่ ผคู้ นมาจากทิศทัง้ ๔ เหน็ เขา้ มีจิตใจเส่ือมใส สง่ั สมบุญกุศลด้วยการนำ ดอกไมท้ ีจ่ ดั อย่างมรี ะเบยี บหรือของหอมอ่ืนๆ เชน่ นาํ้ หอม(สุคนธชาติ) จุณ(ผงหอม) มา ทำการบูชากราบไหว้พระสถูป ทำจิตใจใหเ้ ล่ือมใสในพระพทุ ธคุณ จะเป็นประโยชนส์ ุขแก่ มหาชนเหล่านั้นสนิ กาลนาน นอกจากน้ันพระบรมศาสดาตรสั ถงึ ถูปารหบุคคล ๔ คือ บุคคลท่ีควรนำกระดูก มาใส่สถูปไวใ้ ห้มหาชนบูชา มี ๔ คอื <ร)ุ . พระตถาคตอรหนั ตสัมมาลม้ พุทธเจา้ ๒. พระปัจเจกพทุ ธเจา้ ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจา้ จักรพรรดิราช บคุ คล ๔ ประเภทน้ี เปน็ บุคคลที่ควรทำสถูปบรรจอุ ฐั ธ่ าตุไวใ้ หผ้ คู้ นท้ังหลาย สักการบชู าด้วยความเลอื่ มใส กุศลจิตทเ่ี กดิ ข้นึ จะสามารถพาผ้คู นเหล่านั้น เมอื่ ตายแลว้ ไปบงั เกิดในสคุ ติโลกสวรรค์ ประทานทระโอวาทเฉทาะทระอานนท พระอานนทน์ ้ัน เป็นเจ้าชายในวงศ์ศากยะ โอรสของพระเจา้ สุกโกทนะ พระเจา้ อา ของเจา้ ชายสิทธัตถะ ออกบวชพร้อมเจา้ ชายอื่นๆ ในพระราชวงศ์ เชน่ เจา้ ชายอนรุ ทุ ธะ และช่างตัดผมชื่อ อุบาลี เป็นตน้ แต่ครั้งพระบรมศาสดาเสดจ็ กรุงกบิลพสั ดุครั้งแรก ไดร้ บั เลือกเป็นพระอปุ ฏั ฐากประจำพระองศ์ของพระพุทธเจา้ ได้รบั ยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะ (เลิศ) หลายด้าน คือ เป็นพหูสูต เปน็ ผู้มสี ติ มคี ติ มธี ดิ ิ(ปัญญา) เมือ่ บวชแลว้ ไดต้ ดิ ตามพระบรมศาสดาไปทัว้ ทุกหนทุกแห่ง คอยปรนนิบตั ิ ทำ หน้าท่ีเปน็ อย่างดีย่ิงมิได้บกพร่อง จงึ ไม่ค่อยมีเวลาบำเพ็ญธรรมเป็นสว่ นตัว ไดบ้ รรลุ คุณธรรมเบ้ีองต้นเป็นพระโสดาบันเท่าน้ัน ครน้ั เวลานน้ั ฟิงพระตถาคตเจ้าตรสั สั่งลาดว้ ยเร่อื งต่างๆ เพ่ือปรินพิ พาน พระอานนท์ ปลงใจยงั ไม่ได้มีความเศร้าเสยิ ใจ พอมโี อกาสว่างจึงหลบไปยงั วหิ ารหลงั หน่งึ ปดิ ประตู เอามอี เหน่ยี วเกาะสลักกลอนประตู(ทำเปน็ รปู หวั ลงิ เรียกวา่ กปิสสี ะ) ซบหน้าลงกบั บานประตู ร้องไหค้ รา่ื ครวญด้วยเสยี งอันดงั รำพนั ว่าตนเองยงั ไม่บรรลเุ ปน็ พระอรหันต์ พระตถาคต เจา้ ผเู้ ปน็ พระเชษฐาและเปน็ พระศาสดาด้วย เคยอนุเคราะห์อยูเ่ สมอนน้ั บดั นีจ้ ะปรินิพพาน จากไปแล้ว จะไม่ไดเ้ หน็ พระพกั ตร์อีก ๑๓๙ ตอั งเป็นให๋ัเดั (ดอเช่นทระทฺทธเยา้ ) kalyanamitra.org
บททรบร่ พระพทุ ธเจา้ เห็นพระอานนทห์ ายไป ตรัสถามถึง ภกิ ษุท้ังหลายกราบทลู ว่า พระอานนทแ์ อบไปยนื รอ้ งไหอ้ ยู่ พระองคร์ ับสง่ั ใหม้ าเสา ตรัสปลอบเตอื นสตวิ ่า “ดกู ่อนอานนท์ อย่าเลย เธออยา่ เศรา้ โศก อย่าร้องไหค้ รา์ ครวญ เราบอกเธอมา ตง้ั แต่เดมิ แลว้ วา่ ความเปน็ อยู่ประจำของเราทกุ คนนัน้ ไมม่ วี ่างเวน้ จากความแปรปรวน ของสตั ว์ของสังขารทร่ี ักที่เจริญใจท้งั ปวงน้ันแหละ (ในชวี ติ ของเราต้องพบความพลัดพราก จากส่งิ ทร่ี ักอยู่เสมอ) ดูก่อนอานนท์ สงิ่ คงทเ่ี ทยี่ งแทถ้ าวรที่สัตว์ทงั้ หลายอยากไดน้ น้ั จะหาจากสังขาร ทีไ่ หนได้ ของส่ิงใด มีปจั จัย(ส่วนประกอบ) ปรงุ แต่งใหเ้ กิดขนึ้ เอง ของสิ่งน้ันกจ็ ะตอ้ ง ฉิบหายสนิ สญู ไปเป็นธรรมดา ใครๆ จะปรารถนาว่า ขออย่าเส่อื มสูญไปเลย เป็นไปไมไ่ ด้ ดูกอ่ นอานนท์ เธอไดอ้ ปุ ัฏฐากเราตถาคต ดว้ ยกายกรรม ดว้ ยวจีกรรม ดว้ ยมโนกรรม อันประกอบดว้ ยเมตตา ไมเ่ ป็นทีส่ องรองใคร ไมม่ ปี ระมาณ มาสินเวลาช้านาน เธอทำ บญุ ไว้มาก จงเพียรพยายามปฏิบ้ติ เธอจะเป็นผไู มมอ่ าสวะ จะเปน็ พระอรหนั ตในเรว็ ๆ น”ี้ พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์ ตอ่ จากน้ัน สมเดจ็ พระผู้มีพระภาคตรสั ชมเชยพระอานนท์ให้ภิกษทุ ง้ั หลายพงี ว่า พระอานนทเ์ ป็นพุทธอุปัฏฐากทหี่ าได้ยากย่งิ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ถงึ แม้พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจ้าในอดีตมมี าแลว้ จะก่ี พระองค์ก็ตาม ภิกษุผู้มีหนา้ ทอ่ี ปุ ัฏฐากพระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจ้าเหลา่ นัน้ ทวี่ า่ ทำ หน้าท่ีไดด้ เี ยื่ยมก็ทำไดเ้ ท่าอานนทน์ ้ีเท่าน้นั และแม้พระอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ท่จี ะ ตรัสรตู้ อ่ ไปในอนาคตภายภาคหน้าจะอกี กีพ่ ระองค์กต็ าม ภิกษผุ ู้มีหนา้ ท่ีอปุ ฏั ฐากซงึ่ ทำ หน้าทไี ดด้ เี ยย่ิ ม กไ็ ม่มีผู้ใดเกนิ อานนท์ ในเวลาน้ี ดูกอ่ นภกิ ษทุ ้งั หลาย อานนทเ์ ป็นบณั ฑติ ทำอะไรด้วยปญั ญา รวู้ ่านเ่ี ป็นเวลาทคี่ วร ใหพ้ ุทธบรษิ ทั เช้าเสาตถาคต เวลาใดภิกษคุ วรเสา เวลาใดภิกษุณีควรเสา เวลาใดอุบาสก อบุ าสิกา พระราชามหากษัตริย์ มหาอำมาตย์ ขา้ ราชบรพิ าร หรอื แมเ้ ดียรถยี ์ หรือสาวก ของเดยี รถียเ์ ขา้ เสา อานนท์ร้เู วลาเหลา่ น้ีดี โดยถี่ถว้ นทุกประการ เมอ่ื ใดที่เหลา่ พุทธบริษทั ๔ ขอพบอานนท์ เม่อื พบแล้วจะดีใจ ย่งิ ถ้าไดพ้ ีงธรรม ก็ ยิ่งมีจติ ชน่ื ชมยินดี ไม่อมิ่ ไมเ่ บื่อพีงธรรมนัน้ เลย พออานนทห์ ยดุ แสดงธรรม ผพู้ ีงกย็ ังมีใจ ยินดี ไมอ่ ่มิ ไม่เบอื่ มอี ุปมาเหมอื นพระเจา้ จักรพรรดิราช จะตรัสสิ่งใดแกก่ ษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณบรษิ ทั ผ้ฟู งิ เหล่านัน้ ยอ่ มชืน่ ชมไมร่ ู้อิ่มเชน่ เดยี วกัน” ด้อปเื ป็นในเส (ด016นทระเๅทรเยา้ ) kalyanamitra.org
ใกล้เวลาเสดจ็ ดับขนั รปรบททาน ทรงแสด01รออเมองกสฺ นิ ารา เมือ่ พระบรมศาสดาตรัสสรรเสรญิ พระอานนท์จบลงแลว้ พระอานนท์กราบทูลขอ อาราธนา จะเชญิ พระองคโ์ ปปรินพิ พานที่มหานครอืน่ ที่ใหญ่กว่า เชน่ เมืองจำปา ราชคฤห์ สาวตั ถี สาเกต โกสัมพี พาราณสี อันเป็นเมอื งทก่ี ษตั ่รยิ ์ พราหมณ์ คฤหบดลี ว้ นแต่ยง่ิ ใหญ่ เลอื่ มใสพระองค์ จะไดป้ ระกอบสกั การบูชาไดส้ มพระเกียรติผเู้ ป็นอัจฉริยรตั นบรุ ุษอันเลศิ ของโลก กุสินาราเป็นเมืองเลก็ มาก ดอ้ ยเกินไป แต่พระบรมศาสดาตรัสปฏิเสธ ทรงกล่าววา่ อยา่ เห็นวา่ กุสนิ าราเป็นเมืองเลก็ เมอื งดอน เปน็ แคก่ ง่ิ นคร ในปางกอ่ นทน่ี มี่ ีพระเจ้าจักรพรรดทิ รงพระนามวา่ มหาสุทศั น์ มี มหาสมุทรทง้ั ๔ เป็นทส่ี ุดเขตแดน พระองค์ชนะขา้ ศกึ ทง้ั ปวงดว้ ยอำนาจธรรมะ ไมต่ ้องใช้ ศาสตราวธุ และการลงโทษ อาณาเขตของพระองค์ไม่มชี า้ คึกศตั รู ไม่มใี ครคดิ ขบถกำเรบิ พระองค์ทรงมรี ัตนะ ๗ ประการ มพี ระนครใหญ่จากทศิ ตะวันออกไปตะวันตก ๑๒ โยชน์ ทศิ เหนือไปทิศใต้ ๗ โยชน์ โดยประมาณ มเี มืองกุสาวดีเปน็ ราชธานอี ันสมบูรณม์ ่งั คั่ง ผคู้ นพลเมืองมีมากเกลอ่ื นกล่นคับคง่ั อาหารการกนิ อดุ มสมบูรณ์ เป็นทรี่ ่ืนรมย์เหมือน ทิพย์นครของเทพเจา้ ในกุสาวดีราชธานีนนั้ มีเสยี งกิกก้องนฤนาททัง้ วนั ทง้ั คนื ด้วยเสยี ง ๑๐ อย่าง คอื เสยี งชา้ ง ม้า รถ กลองเภรี ตะโพน พณิ ขบั รอ้ ง กงั สดาล(ระฆัง) และสงั ข์ รวมทั้งเสียง ผู้คนรอ้ งเรยี กกันบริโภคอาหาร เมืองนไี้ มเ่ คยมเี วลาเงยี บเสียงเลยท้งั กลางวนั กลางคืน พระบรมศาสดาตรัสยนื ยันการปรินิพพาน ณ สถานทน่ี ้ี แล้วตรสั ค่ังให้พระอานนท์ เข้าไปแจง้ ข่าวแกม่ ลั ลกษตั รยิ ์วา่ พระองคจ์ ะปรนิ พิ พานในยามสดุ ทา้ ยคืนวันน้ี อย่าให้ มัลลกษตั ริยเ์ สียใจภายหลังวา่ พระตถาคตเจา้ ปรนิ พิ พานในแวน่ แคว้นของตน แต่พวกตน ไมไ่ ด้พบพระองคเ์ ปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ย พระอานนท์รบั พระบญั ชาแล้ว เดินทางไปยงั สณั ฐาคารศาลา ซงึ่ เหลา่ มัลลกษตั ริย์ กำลงั ประชมุ ด้วยธุระกันอยู่ แจง้ ขา่ วให้ทราบและบอกว่าใครปรารถนาเข้าเสาก่อนปรนิ พิ พาน กจ็ งรบี พากนั ไป อยา่ ตอ้ งเสยี ใจภายหลงั ว่าไม่ไดเ้ ห็นพระบรมศาสดาเปน็ คร้ังสดุ ท้าย เมือ่ เหล่ามลั ลกษตั รยิ ์ ชายา โอรส และสุณิสา(สะใภ้) ทราบข่าวจากพระอานนท์ ก็พากันเศรา้ โศกเสยี ใจ ทรงพระกำสรดเสวยทุกขโทมนสั หนกั หนาสาหัส สยายผม ยกแขน ท้งั สองครืา่ ครวญ ประหนึ่งมีเทา้ ขาดล้มกลง้ิ เกลือกไปมา รา่ื ไรรำพันวา่ สมเด็จพระผู้พระ- ภาคเจา้ จะปรินิพพานเร็วนัก ดวงตาของโลกจะอนั ตรธานเสียแล้ว ตา่ งพากนั รอ้ งไห้ เดนิ ทางไปเขา้ เสา เหลา่ มลั ลกษัตริยแ์ ละเซ็อพระวงศม์ ีจำนวนมากด้วยกนั ถา้ เข้าเสาทลี ะองค์จะเสีย เวลามากพระอานนทจ์ ึงใหเ้ ขา้ เสาเปน็ หมคู่ ณะตามวงศส์ กลุ จึงถวายอภวิ าทเสรจ็ ในปฐมยาม ตอ้ ปืเป็นใท์เต้ (ส่ป๋เชน่ ทระททฺ รเยา้ ) kalyanamitra.org
บทท'ี ทีบ^ สาวกผเู ดบั วชเป็นคนสดุ ทาั ยชอสุก้ททะ ในคนื นน้ั ปรพิ าชกผหู้ นงึ่ ชื่อ สุภัททะ อาศยั อยใู่ นเมอื งกสุ ินารา ทราบขา่ วว่า พระบรมศาสดาจะปรินิพพานในคืนน้กี ็นกึ ถงึ เร่อื งราวท่เี คยได้ยนิ มาวา่ พระตถาคตอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจ้าน้ัน ไมไ่ ด้บงั เกิดข้ึนบ่อยๆ ในโลก นานเหลอื เกินเปน็ บางคร้งั บางคราวจึง จะอุบตั ิเกดิ ขนึ้ เวลานีพ้ ระองคใ่ กล้จะปรินิพพาน ตนเองมีความสงสยั บางอย่างคา้ งอยู่ ควร รบี ไปเสาเพื่อจะไดก้ ราบทูลถาม สภุ ทั ทะจงึ รบี เดนิ ทางไป ขออนุญาตพระอานนท์เข้าเสา พระอานนทก์ ลา่ ว หา้ มปรามว่า เวลาน้ีไมค่ วรรบกวนพระบรมศาสดา สภุ ทั ทะก็กลา่ ววิงวอนอยอู่ ย่างนั้น ๒-๓ ครงั พระบรมศาสดาทรงได้ยิน จงึ ตรสั แก่พระอานนทว์ ่า อย่าหา้ ม ใหส้ ภุ ัททะเข้าเสาได้ สุภัททะทลู ถามวา่ คณาจารยเ์ จ้าลทั ธิท้ัง 'ว คน คือ ปรู ณกสั สปะ มกั ขลโิ คศาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกจั จายนะ สญั ชยเวลฏั ฐบตุ ร และ นิครนถนาฏบตุ ร ซึ่งมชี ่อื เสียง โด่งดังเวลาน้นั มีสาวกมาก ผ้คู นยกย่องว่าเปน็ คนดปี ระเสริฐ คนเหล่านน้ั ตรัสรดู้ ้วยปญั ญา อันยงิ เหมอื นท่ีพวกเขาอวดอา้ งหมดทกุ คน หรือเปน็ เพียงบางคน พระตถาคตเจา้ ตรสั ว่า “ดูกอ่ นสภุ ัททะ เธออย่าสนใจเรอ่ื งทถ่ี ามนั้นเลย จงพงี ธรรมทเี่ ราจะแสดงให้ฟิง แล้วทำตามให้สำเร็จประโยชนเ์ ถิด เธอจงฟง้ ใหด้ ี มรรคคือขอ้ ปฏบิ ตั ิมีองค์ประกอบ ๘ อย่าง ปฏิบตั แิ ลว้ จะเปน็ ผู้ประเสริฐ พ้นจากขา้ ศึกคือกเิ ลส การ ปฏิบัติตามหนทางนเ้ี ทา่ นนั้ เปน็ ทางปฏบิ ตั ปิ ระเสริฐ ถา้ ในธรรมวนิ ยั ใด ในคำส่งั สอนของ ใครๆ ก็ตาม ไม่มีการสอนในเรือ่ งน้ี ในคำสอนหรีอลัทธิเหลา่ น้นั ย่อมไม่มีสมณะทซี่ ิ,๒1๓,๔ พระโสดาบนั พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ดูก่อนสภุ ัททะ ถ้ามรรคมีองค์ ๘ อยใู่ นธรรมวนิ ยั คำสัง่ สอนของใครแลว้ สมณะท่ี ซิ, ๒, ๓, ๔ ย่อมเกิดในธรรมวินัยนน้ั ในธรรมวินัยทเ่ี ราสัง่ สอนไวน้ ้ีเปน็ ธรรมวนิ ยั เดียวทมี่ ี มรรคมอี งค์ ๘ ดังน้ัน สมณะท่ี ซิ, ๒, ๓ และ ๔ จงิ มใี นธรรมวินัยนี้แหง่ เดียว ดูก่อนสภุ ทั ทะถา้ หากภิกษทุ ้งั หลายเหล่านจี้ ะพงึ ปฏิปตดปี ฏบิ ด้ ชี อบอยู่เสมอสบื กนั ไป โลกกจ็ ะไม่วา่ งจากพระอรหนั ต์ ดกู ่อนสภุ ัททะ เรามีอายุ ๒๙ ปี ได้ออกบวชแสวงหาวา่ อะไรเปน็ กุศล ตง้ั แต่บวช แลว้ จนกระทัง้ ถงึ ขณะนี้ เปน็ เวลานับได้ ๕ซิ ปี สมณะทเี่ ป็นผพู้ น้ จากกเิ ลสได้ ไม่มใี นลทั ธิ คำสอนอ่นื สมณะที่ ซทิ ี่ ๒ ที่ ๓ ท่ี ๔ มแี ต่ในธรรมวินยั นีเ้ พยี งแหง่ เดยี ว ลทั ธคิ ำสอนอน่ื ๆ ว่างเปล่าจากสมณะผูร้ ู้แจ้ง ดูก่อนสุภทั ทะ ถ้าภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี ปฏบิ ัตดิ ีปฏบิ ตั ชิ อบตลอดไป โลกจะไมว่ ่าง ๑๔๒ ด้อ010ฟ้ห1ด (ดเั๋ )Iชํนทระทุก8เท้า) kalyanamitra.org
ใกล้เวลาเสดจ็ ดับยันธนรนททาน จากพระอรหันต์ สภุ ัททะฟงั พระธรรมเทศนาแล้วมคี วามเสอื่ มใส แสดงตนเป็นอุบาสกทูลขอบรรพชา อปุ สมบท โดยปกติแลว้ ตามพระวนิ ัยนั้นพระพทุ ธองคท์ รงบญั ญต้ ิการบวชใหเ้ ดยี รถยี ไ์ ว้ว่า ตอ้ งให้ผูข้ อบวชอยู่ปริวาส คอื ทดลองประพฤติวตั รตามทีก่ ำหนดให้ได้ก่อน เปน็ เวลา ๔ เดือน หลงั จากน้ันถ้ายังเส่ือมใสยนิ ดีบวชอยู่อีก จึงใหบ้ รรพชาอุปสมบทเป็นภกิ ษุ แตใ่ นรายสุภทั ทะนีพ้ ระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศยั อยวู่ ่าบารมเี ตม็ เปยี มแลว้ แม้สุภัททะจะขออยปู่ รวิ าสให้นานถึง ๔ เดอื น พระบรมศาสดาก็ประทานอนญุ าตให้ พระอานนท์จัดการบวชสภุ ทั ทะในเวลานัน้ เมอ่ื สุภทั ทะบวชแล้ว ไม่รอช้ารบี ปลกี ตนออกจากหมูค่ ณะ สงดั อยูแ่ ต่ผเู้ ดยี ว ไม่ ประมาทเร่งทำความเพียรเผากิเลส ปฏิบัติกัมมฏั ฐานตามท่ีพระผู้มีพระภาคประทานคำสอน ใหน้ ั้งบำเพญ็ เพียรและอธิษฐานจงกรม ท่ดี ้านหนง่ึ ของสวนต้นสาละนน้ั ชำระวปิ ัสสนา ปัญญาให้บริสทุ ธึจ๋ ากอุปกิเลส พลนั บรรลุเปน็ พระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา เสรจ็ แลว้ จึงเดินกลบั มาถวายบงั คมพระบรมศาสดานงึ่ อยูใ่ นหมู่ภกิ ษุสงฆ์ ดรสสอ่ิ ลาดัวย เรอ,วด่าอา ISอง สง่ ทเปน็ ตวั แทนงองทระองค์ พระบรมศาสดาตรสั ลังไวว้ ่า เมอ่ื พระองคท์ รงจากไปแลว้ อย่าคดิ วา่ ตอ่ จากนีไ้ ม่มี ผ้ใู ดเปน็ ศาสดา ให้ถอี วา่ ธรรมและวินยั ท่ไี ดแ้ สดงและบัญญต้ ไว้ดีแล้วนน้ั เป็นศาสดาแทน พระองค์ เรอง การเรยกกันในหมสู่ งฆ ทรงใหเ้ รียกกนั โดยเคารพตามลำดบั ใครบวชก่อน บวชหลงั ผทู้ แี่ ก่พรรษากวา่ (บวช ก่อน) เรียกภิกษทุ ี่อ่อนพรรษากว่า เรยี กตามซึ่อ ตามสกุล หรือจะใชค้ ำวา่ อาวุโสกไ็ ด้ ภิกษผุ อู้ อ่ นพรรษากว่าเรยี กภกิ ษุผแู้ ก่พรรษาวา่ “ภันเต” (ทา่ นผู้เจรญิ ) หรืออายัสมา ISOง การสงทรหนทณฑ ตรสั บอกอนญุ าตไวว้ ่า “ดกู อ่ นอานนท์ เมอื่ เราล่วงลับไปแลว้ ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะ ถอนสกิ ขาบทเล็กน้อยเสยี บ้าง ก็จงถอนเถดิ ” ลำหรบั เร่ืองภกิ ษฉุ นั นะ ซง่ึ ดื้อดึงวา่ นอนสอนยาก ไม่ฟังคำใครตกั เตือน เพราะ ถีอวา่ เคยเป็นทหารมหาดเล็กคนสนทิ รบั ใช้เจา้ ชายสิทธิ'ตถะมาก่อน พระบรมศาสดาตรัส ลงั ใหส้ งฆล์ งพรหมทณั ฑ์ คือพระฉันนะอยากพดู อะไรกป็ ล่อยให้พูด ไมต่ อ้ งใหภ้ ิกษรุ ปู ใด ต้ออเปน็ ใหเั๋ ลั (ดงั !8บทระทุกรเยา้ ) ดา kalyanamitra.org
บทท่^ี บ^ วา่ กล่าว การไมว่ า่ ไมส่ อนอะไร เรียกวา่ พรหมทณั ฑ์ ต่อจากนนั้ ทรงมีพทุ ธานุญาตวา่ ใครมคี วามสงสัยในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรคหรอื ในปฏปิ ทาขอ้ ใดใหถ้ ามไดเ้ ดยี๋ วนอ้ี ย่าได้เดอื ดร้อนเลยี ใจภายหลงั ว่า เม่อื พระศาสดา อยูเ่ ฉพาะหน้าแล้ว ไม่ถามเอาไว้ พระตถาคตเจา้ ตรัสอนุญาตให้ถามถงึ ๓ ครัง้ ภิกษุทกุ รปู ตา่ งพากนั น่งิ อยู่ พระอานนทเ์ ห็นดงั นนั้ จึงกราบทลู วา่ “เป็นเรื่องน่าอศั จรรย์ น่าเลือ่ มใส แปลก ประหลาดมาก ภกิ ษุแม้แตร่ ปู เดยี วในสงฆ์หมู่น้ี ไม่มีผูใ้ ดสงสยั เคลือบแคลงอะไรในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค ในปฏิปทาเลย” พระบรมศาสดาตรัสวา่ พระอานนท์กล่าวเพราะเลือ่ มใส แต่พระองค์ทรงทราบ ดว้ ยพระญาณอยแู่ ลว้ วา่ ไม่มีภิกษรุ ปู ใดสงสยั ในพระรตั นตรัย ในมรรค หรอื ในปฏิปทา เลยในบรรดาภิกษุทั้ง ๕๐๐ นี้ อย่างตาสดุ กไ็ ด้คณุ พิเศษเป็นพระโสดาบนั ไม่ฉิบหาย (ไม่ ตกอบายภมู ิอีกแล้ว) เป็นธรรมดา มีแต่จะตรสั รู้ตอ่ ไปในภายหน้า คำดรสสอนครอสุดทาั ย (ปิจรมไอ1วาท) ครัน้ แล้วพระตถาคตเจ้า ประทานปัจฉมิ โอวาทว่า “ดูกอ่ นภิกษุทัง้ หลายบดั นเ้ี ราผู้เปน็ พระตถาคตขอเตอื นท่านทง้ั หลายให้รู้วา่ สงั ขาร ทัง้ หลายมีความเสอื่ มมคี วามฉิบหายไปเป็นธรรมดาท่านทง้ั หลายจงทำกจิ ท้ังปวงท่ีจะเปน็ ประโยชน์ของตนเอง และประโยชน์ของผ้อู ื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” ขอ้ ความนเ้ี ป็นพระวาจาคร้ังสดุ ทา้ ย ขณะสมเด็จพระผมู้ พี ระภาคเจ้าบรรทมอยบู่ น พระแทน่ ทีป่ รินพิ พาน พระโอวาททง้ั ปวงท่ีทรงลงั สอนไว้ท้งั ๔๕ พรรษานั้น รวมแลว้ อยใู่ น เรอ่ื ง “ความไม่ประมาท” นเี้ ท่าน้นั เป็นพระวาจาในอวสานกาล่ นบั แต่นน้ั ไม่ตรสั อะไรอกี เลย ทรงทำปรนิ ิพพาน บรกิ รรมด้วยอนปุ ุพพวิหารสมาบัตทิ งั้ ๙ (สมาบัตใิ นธรรมทป่ี ระณีตสูงต่อขน้ึ ไปเรอ่ื ยๆ ตาม ลำดบั มี ๙ คอื รูปณาน ๔ อรปู ฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนโิ รธ สมาบตั ิทด่ี บั สญั ญาและ เวทนาได้) เวลานน้ั พระอนุรุทธเถระผเู้ ป็นเลิศทางทิพยจักษุล่งจิตตามดูพระผมู้ พี ระภาค เหน็ วา่ เม่อื พระองคท์ รงเข้าสมาบตั ดิ บั สญั ญา(ความจำอะไรๆ ได้) ดับเวทนา(ความรสู้ กี สุขทกุ ข์ หรือไม่สขุ ไม่ทุกขต์ า่ งๆ) ระยะเวลาหน่ึง แล้วถอยกลับมาต้ังตนใหมท่ ป่ี ฐมฌาน แล้วเล่อื น สมาธิจิตสงู ขน้ึ ไปเปน็ ขั้นๆ ตามลำดบั พอถงึ ฌานที่ ๔ จตุตถฌาน ออกจากฌานที่ ๔ ก็ ปรนิ พิ พาน ในยามสุดทา้ ยของคนื วนั เพญ็ วิสาขบูรณมีเดือน 'ว G)Gl (al ดอั ปเื ปน็ ใหเั๋ ดั (ด่ัปเื ช่นกระเๅท8เยา้ ) kalyanamitra.org
ใกลัเวลาเสด็จดบั ยน้ 8ปรนททาน ทันใดนนั้ กบ็ งั เกดิ มหศั จรรย์ แผ่นดินไหวใหญ่สะทา้ นสะเทอื นเลอ่ื นลน่ั ขนลุก ขนพอง สยองเกล้า กลองทิพย์บรรลือล่นั ไปในนภากาศ เป็นมหาโกลาหลในปจั ฉมิ กาล ทา้ วมหาพรหมกล่าวคาถาแสดงความสังเวชและเลื่อมใสที่มตี อ่ พระผูม้ ีพระภาควา่ “บรรดาสตั ว์ทง้ั ปวงในโลกนไ้ี ม่เลอื กหนา้ ลว้ นตอ้ งทอดท้งิ รา่ งไว้ถมพ้นื ปฐพี แม้แต่องค์พระ- ตถาคตเจา้ ผู้เปน็ พระศาสดา ทรงพระคณุ อันใหญห่ ลวง ไม่มีผใู่ ดเปรียบได้ ตรสั รู้พระสมั มา- สัมโพธิญาณด้วยพระองคเ์ องโดยลำพงั ไม่มีผใู่ ดสอน มีทศพลญาณเปน็ กำลงั พระองค์ก็ ยังดำรงคงอยู่ให้ถาวรไมไ่ ด้ ยงั ตอ้ งดับขนั ธปรินพิ พานเลยื แล้ว ควรสงั เวชสลดใจนกั ” พระอนิ ทร์กล่าวคาถาว่า “สังขารท้งั หลายไม่เทย่ี งหนอ มเี กดิ ข้นึ และเสือ่ มล่ืนไป เป็นธรรมดา เกิดข้นึ และคับไป ไมย่ ั่งยนื ถาวรม่ันคงอยไู่ ด้ การที่สงั ขารคือนามรปู หรือ เบญจขนั ธเ์ หลา่ นนั้ ระงับเสียได้ ย่อมนำมาซง่ึ ความสขุ เพราะสังขารทุกข์ เช่น ชาติ ชรา มรณะ จะมาครอบงำอกี ไมไ่ ด้” พระอนรุ ทุ ธเถรเจา้ กลา่ วคาถาว่า “พระพุทธเจ้าทรงมจี ติ คงทใี่ นโลกธรรมทั้ง ๘ ทรงไม่หวั่นไหว สนิ แลว้ ทั้งลมหายใจ เข้าและหายใจออก พระองค์ไมห่ ว่นั ไหวสะทกสะทา้ นด้วยมรณธรรมแต่ประการใด ทรง ปรารภแต่สนั ติ ความสงบระงับ คือ นิพพานเป็นอารมณ์ ทรงทำกาละชนิดพันวสิ ยั ของ สามัญญสตั ว์ พระองคท์ รงไมม่ ีพระหฤทัยสะทกสะท้านหดหพู่ วัน่ พรงึ ต่อมรณธรรมเลย ทรงอดกล้ันทุกขเวทนาด้วยพระสตสิ มั ปชญั ญะเปน็ อย่างดีเยยี่ ม พระองค์เสดจ็ ปรนิ พิ พาน ไม่เหลอื ทง้ั กายและใจ เปรียบเหมอื นประทีปทลี่ กุ โพลงคบั วบู ไปฉะนั้น พระอานนทก์ ล่าวว่า “เมอื่ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า ผ้ปู ระกอบดว้ ยอาการอันประเสริฐ ทง้ั ปวงคบั ขนั ธปรนิ ิพพานแล้ว เกิดเหตมุ หัศจรรยอ์ ันนำขนลุกขนพองในเวลาน้นั ให้ มนษุ ย์และเทวดาไดเ้ หน็ ” คำกลา่ วนี้เปน็ การสอนเตอื นใจวา่ รา่ งกายทีม่ ีใจครองอยูน่ ี้ ตกอยูใ่ นอำนาจของ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มผี ู้ใดหนีพัน แม้แต่องค์พระทศพลสัมมาสมั พุทธเจ้า ซึ่ง เป็นพระศาสดาเอกในโลก เปน็ ผูป้ ระเสริฐสุด ไมม่ ีผ้ใู ดเปรียบ ยังหนีไมพ่ ัน ต้องเสด็จ คบั ขันธปรนิ ิพพาน ไม่ดำรงถาวรอย่ไู ด้ สาธชุ นทง้ั หลายควรสลดใจ ไมป่ ระมาท ทำกุศลสัมมาปฏบิ ัตเิ ป็นที่พ่ึงแก่ตน เพือ่ ให้สำเรจ็ เปน็ หนทางไปสคุ ตโิ ลกสวรรคแ์ ละนพิ พาน ด้วยอำนาจแหง่ ความไมป่ ระมาทเป็น หลกั สำคัญ ’ฝ*V* ซ๔ิ ๕ ดอ้ ปืเอนให้เดั (ดง่ั I8นทระททฺ ธเยา้ ) kalyanamitra.org
พระภิกษสุ งฆ'ที่ลว้ นเปน็ พระอรหันตท์ ั้งสนิ จำนวน ๕00 รปู ประชมุ กนั เพื่อกระทำปฐมสงั คายนา ณ ถา้ํ ใหญใ่ กลก้ รงุ ราชคฤห' ๑๔๖ ดอั อเป็นให๋ัเด้ (สง่ เช่นทระททฺ ธเย้า) kalyanamitra.org
บทท่^ื บห้า แล๖้ เสด็จลับยนั ธปรบททานแลว้ บทท ๐๕ หล'0 เสดจ็ ลบั ขน81J รนททานนลวั คร'นเมอ่ื สมเด็จพระผ้มู ีพระภาคเจา้ เสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พานแล้ว เป็นเวลายงั ไม่ สว่างดี พระอนรุ ทุ ธะกบั พระอานนท์ผลัดกนั แสดงธรรมปลอบใจพทุ ธบริพ1ั ตกมควรแกเ่ วลา พอสวา่ ง พระอานนท์เปน็ ผู้เขา้ ไปแจง้ แก่เหล่ามลั ลกษตั รยิ ์ เพอื่ เตรยี มการถวาย พระเพลงิ คราวน้นั มัลลกษัตริยโ์ ปรดให้ป่าวประกาศไปทว้ั เมือง เพ่อื รวบรวมน้ําหอม ของ หอม และปวงดอกไม้ รวมทั้งดนตรมี เี ทา่ ไรใหน้ ำมารว่ มในงาน กระทำพิธสี กั การบูชาพระ ศพตลอด ๖ วัน พอวนั ที่ ๗ เหล่ามลั ลกษตั รยิ ์ปรกึ ษากนั วา่ จะอัญเชญิ พระสรรี ะแห่เข้าพระนคร ทางทศิ ใต้ แล้วถวายพระเพลิงนอกพระนคร แตเ่ มื่อพากันยกพระศพอย่างไรกไ็ มเ่ คล่อื นที่ พระอนรุ ทุ ธะตรวจดูด้วยทิพยจักษุพบว่าขดั ต่อความต้องการของเหล่าเทพยดา เทวดาใคร่ให้เคล่อื นพระสรรี ะเข้าทางทศิ เหนือ แล้วออกทางทศิ ตะวันออก ไปประดษิ ฐาน ท่มี กุฏพนั ธนเจดีย์ ท่ีประชมุ จงึ ตกลงทำตามความต้องการของเทพยดา กส็ ามารถเคลือ่ น พระศพไต้โดยงา่ ย ขณะนนั้ พวงดอกไม้สวรรค์ช่ือมณฑารพ ท่ีเทวดาบันดาลให้ตกลงมาทำพุทธบชู า กต็ กลงมาดารดาษทกุ หนทกุ แห่งในนครกสุ ินารา สงู ทว่ มหวั เขา่ เสียงดนตรมี นุษยแ์ ละ ดนตรีทิพย์กึกก้องเอิกเกริกเปน็ โกลาหล เหลา่ มลั ลกษตั ริย์พากนั กระทำพธิ คี รบถ้วนทกุ ประการตามท่มี พี ุทธาธิบายไว้ แต่เม่ือนำไฟเช้าไปจุดเพอื่ ถวายพระเพลงิ จดุ เท่าใดก็ไมต่ ดิ พระอนุรทุ ธเถรเจา้ แจง้ ใหท้ ปี่ ระชุมทราบว่า เทพยดาทงั้ หลายปรารถนาให้รอพระมหากัสสปเถระมาถวาย บังคมเบึ้องพระบาทพระบรมศาสดากอ่ น จึงจะถวายพระเพลิงได้ เวลาน้ันพระมหากัสสปเถรเจา้ ยังกำลังเรง่ เดินทางมากบั ภิกษบุ รวิ ารประมาณ ๕๐๐ รูป จากปาวานคร ระหวา่ งทางพบอาชวี กผหู้ น่ึงถือดอกมณฑารพเดินสวนทางมา จงึ ถาม ข่าวของพระผู้มพี ระภาคเจ้า อาชีวกนัน้ แจง้ ใหท้ ราบวา่ พระบรมศาสดาปรนิ ิพพานแล้ว ตอ้ ปืเปน็ ใหเด้ (ลั๋ปเ๋ ชน่ ทระเๆทรเจ้า) ๑๔๗ kalyanamitra.org
บททึ่^บหา้ พรอ้ มทั้งให้ดูดอกมณฑารพทเี่ ก็บมาจากสถานท่ปี รินิพพานซึ่งเปน็ ดอกไม้ทไี่ ม่มีในเมืองมนษุ ย์ เม่ือทราบข่าว ภิกษุผู้สนิ ราคะแลว้ มสี ตสิ มั ปชญั ญะอดกลั้นดว้ ยธรรมสังเวช ส่วนภิกษปุ ุถุชนยงั มีราคะอยกู่ ็เศรา้ โศกปริเวทนา เกลอื กกล้งิ รำพันถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ในหมู่คณะน้นั มีภิกษซุ ึง่ มาบวชเม่ือแกร่ ูปหนึง่ ซ่ือสภุ ิททะ(ซ่อื เหมือนภกิ ษทุ ่ีบวช เป็นรูปสุดท้าย) กล่าววาจาไมส่ มควรขึน้ วา่ “หยดุ เสียใจกันได้แล้ว ไม่ต้องเศร้าโศกถงึ พระ- สมณโคดมองค์นั้นหรอก เมอื่ ท่านมีชวี ติ อยคู่ อยสงั พวกเรา ไมใ่ ห้ทำโน่น ไมใหท้ ำน่ี ตอนนี้ ทา่ นพ้นจากเราไปเสยี ได้ เราไมต่ ้องมีใครมาบังคับ ใครชอบใจจะทำอะไรก็ทำได้ ดีเสยี อกี ” พระมหากัสสปะฟงั แลว้ คิดจะยกขึน้ มาเป็นข้อลงโทษทีก่ ล่าววาจาจ้วงจาบ แต่ เห็นว่ายังไมใ้ ช่เวลาสมควร จงึ เพยี รกล่าวห้ามปรามโดยธรรม แลว้ รีบพาหมคู่ ณะเรง่ เดินทาง จนถึงมถฏุ พันธนเจดยี ์ ประนมมือนมัสการทำประทกั ษณิ จิตกาธาน ๓ รอบ แลว้ ถวายบงั คมพระบาทของพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ดว้ ยเคยี รเกลา้ ขณะน้ันเองจติ กาธาน(เชิงตะกอน)กม็ ีไฟลุกโพลงขน้ึ เองเป็นอัศจรรยด์ ว้ ยเทวานภุ าพ เผาพระสรีระของพระบรมศาสดา ส่วนท่เี ปน็ พระฉวีภายนอก และพระจมั มะหนงั ภายใน พระนหารูเลน้ เอน็ น้อยใหญ่ พระลสกี าไขข้อ ทั้งหมดนไ้ี ฟไหมโ้ ดยไม่มเี ถา้ หรือเขมา่ ไฟ เหมอื นไฟไหม้เนยใสหรือนา้ํ มัน พระสรรี ะ สว่ นทเี่ ป็นพระอฐ้ ิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทันตา ทงั้ หมดเหลืออยู่ รวมทงั้ ผา้ พันพระศพชนั้ ในอีก ๑ คู่ นอกจากนัน้ ไฟเผาจนหมด ลนิ้ เสร็จแลว้ มีท่อนา้ํ ไหลมาเองจากนภากาศ มนี ้ัาพุขึ้นจากต้นสาละดบั จิตกาธาน รวมทง้ั เหล่ามัลลกษัตริยก์ ็นำนัา้ หอมทงั้ หลายช่วยกนั ดบั แลว้ จึงอัญเชญิ พระบรมสารีรกิ ธาตุ ไปประดิษฐานท่สี ณั ฐาคารศาลาภายในนครกสุ ินารา มเี คร่ืองปอ้ งกันรอบอาคาร มที หาร ถือธนคู อยพทิ กั ษ์ มงี านฉลองสักการบูชาตอ่ อีก ๗ วนั แจกทระสารรกราดุ เม่ือขา่ วการปรนิ พิ พานและถวายพระเพสิงพระสรีระของพระตถาคตเจ้าแพรไ่ ป ตามนครและแวน่ แคว้นตา่ งๆ บรรดาบคุ คลผทู้ ีม่ ีความเคารพเลอ่ื มใสในพระบรมศาสดา เช่น พระเจ้าอชาตคตั รแู ห่งนครราชคฤห์ กษตั ริยล์ ิจฉวีแห่งนครไพศาสี กษตั รยิ ศ์ ากยะและ พระประยรู ญาตใิ นรามคาม มหาพราหมณเ์ จ้าเมอื งเวฏฐทปี กนคร และมลั ลกษตั ริยน์ ครปาวา รวม ๗ แห่ง ตา่ งส่งทตู เชิญราชสาสน์มาขอส่วนแบ่งพระสารรี กิ ธาตุ เพอ่ื นำไปสร้างสถูป ทำการสักการบูชา แต่ละเมืองไดส้ ง่ คณะทหารร่วมมากบั ราชทตู พากนั ตัง้ ลอ้ มนครกุสนิ ารา ไวอ้ ย่างแนน่ หนา ๑๔๘ ตอ้ (วเปน็ ใหเต้ (ลังเชน่ ทระฦทธเยา้ ) kalyanamitra.org
หล0้ เสดจ็ ลับข้นธปรนททานแลว้ คณะมัลลกษัตรยิ ์แต่แรกหวงแหนพระบรมสารีริกธาตุมาก เพราะเหน็ วา่ พระบรม ศาสดาทรงอุตสา่ ห์เสดจ็ มาปรนิ ิพพานในแว่นแควน้ ของตน จงึ จะไม่ยอมแบง่ ให้ผู้ใด เกิด การทะเลาะวิวาทกนั ขึ้นกบั ราชทูตฝ่ายท่ีมาขอ พราหมณช์ ื่อโทณะเปน็ ทีเ่ คารพนบั ถือของมลั ลกษตั ริย์ไดก้ ลา่ วเดอื นให้สติว่า พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญขนั ตธิ รรมและสามัคคีธรรมใหห้ า่ งไกลจากวิหงิ สาและอาฆาต พระองคเ์ ป็นที่เคารพเลอ่ื มใสของมหาชนเปน็ อนั มาก ทวั่ ไปในแว่นแควน้ ตา่ งๆ ควรแบง่ ปัน พระบรมสารีริกธาตุไปเป็นทส่ี กั การบชู า โดยรอใหพ้ ร้อมหนา้ กนั ทงั้ ๘ แวน่ แคว้น แลว้ แบ่งให์ไปเทา่ ๆ กัน เหล่ามลั ลกษัตรยิ ์และราชทตู ทัง้ ปวงฟังขอ้ เสนอแนะของโทณพราหมณ์แล้ว ก็ เหน็ ดดี ้วย มัลลกษตั รยิ ์เองก็รตู้ นเองดวี ่าเป็นแคว้นเล็ก ถา้ ต้องทำสงครามประหัตประหาร กัน กเ็ ห็นทีจะฟายแพ้ถ่ายเดียว เรื่องนคี้ ิดไปแลว้ ก็จะเหน็ ขงึ้ ถงึ พระปรชี าญาณของ พระผู้มพี ระภาคเจา้ หากพระองค์เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานทีน่ ครใหญ่ ซ่ึงมกี ำลงั กองทพั เข้มแขง็ โอกาสแจกพระบรมสารีรกิ ธาตคุ งไม่มี ทกุ ฝ่ายพรอ้ มใจกนั ใหโ้ ทณพราหมณด์ ำเนินการแบ่งส่วนพระบรมสารรี ิกธาตุ พราหมณ์ใชท้ ะนานทองตวงเป็น ๘ ส่วน แจกจา่ ยกนั ไปเทา่ ๆ กัน พราหมณข์ อไวแ้ ต่ ทะนานทองนน้ั ราชทูตของแต่ละนครจงึ แยกยา้ ยกลับ ต่อมาโมรยิ กษัตรยิ ์เมืองปิปผลิวนั สง่ ราชทตู มาบ้าง มลั ลกษัตริยใ์ ห้เชิญพระองั คาร (เถา้ )ไปทำสถปู บรรจไุ ว้ให้มหาชนสักการบชู า คงเปน็ เถ้าถ่านจากสิงของทีใ่ ชถ้ วายพระเพลงิ ลูกไฟเผาแล้วเหลอื เปน็ เถ้าอยู่ เพราะสิงท่ีเป็นสว่ นของพระสรีระไฟไหมแ้ ล้วไม่มเี ถา้ เหลอื รวมแลว้ ครั้งน้มี สี ลปู สำหรับบชู าระลกึ ถงึ พระพุทธคณุ รวมท้ังของโทณพราหมณ์ ดว้ ยเป็น ๑0 แห่ง ประชุมใหญท่ ระสอฆ 1ทลกระทำปธมสอั คายนา วนั เดยี วกับทีโ่ ทณพราหมณแ์ จกพระบรมสารีรกิ ธาตเุ หล่าภกิ ษสุ งฆ์1ดร้ ่วมประชมุ ใหญ่ พระมหากัสสปเถรเจ้าไดก้ ลา่ วเลา่ เรอ่ื งท่ภี ิกษุสภุ ทั ทะผู้บวชตอนแก่กลา่ วตเิ ตยี นจว้ งจาบ พระบรมศาสดาและพระวนิ ยั ใหเ้ กดิ ความสังเวชสลดใจในหมู่สงฆ์วา่ เพียงพระบรม- ศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วนั ยงั มีผมู้ ีความคิดเหน็ วิปริตไปไดถ้ งึ เพยี งน้ี ถ้าปลอ่ ยปละ ละเลยใหน้ านไปจะฟันเฝอ่ เผ่ือมอื ลัชชปี ลอมบวชมุ่งทำลายพระศาสนา ยอ่ มจะบิดเบือน พระธรรมวินยั ได้งา่ ย สิง่ ทมี่ ิใชธ่ รรม มิใชว่ นิ ยั จะรุง่ เรอื ง สว่ นธรรมวินัยท่แี ท้จะลบเลอื น ลกู ทำลายสญู หายไป พวกคนบาปจะพากันลบลา้ งพระธรรมวนิ ัย เมอื่ คนเลวมากข้นึ ก็จะ ดัอปเื ป็นใหเ๋ั ดั (ลัป๋ เ๋ ช่นทระ!'!ทรเยา้ ) kalyanamitra.org
บททื่รiํ บห้า พากันมีกำลงั กล้าแข็ง คนดีอยู่ในพระธรรมวนิ ัยจะเส่อื มถอยนอ้ ยกำลงั นอกจากนัน้ ยังได้นำพระพุทธดำรสั ตรัสลงั พระอานนทม์ ากลา่ วยีนยนั ใหส้ งฆ์ ทราบทวั่ กนั ว่า พระตถาคตเจา้ ประทานพทุ ธโอวาทไว้วา่ เมอื่ พระองค์ปรนิ ิพพานลว่ งไปแล้ว ให้นับถือธรรมและวินยั เป็นศาสดาปกครองสงฆแ์ ทนพระองค์ แลว้ ได้นำเรอื่ งสมัยพระบรมศาสดาคร้ังยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ เสดจ็ จาริกมลั ล- ชนบทเมืองปาวา มลั ลกษัตรยิ เ์ มืองนน้ั เสดจ็ มาเฝาื สดับพระธรรมเทศนากลับไปแล้ว เหลา่ ภิกษุลว้ นยงั ไม,ง่วงเหงา พระองคท์ รงใหพ้ ระสารบี ุตรแสดงธรรมแกเ่ หลา่ ภกิ ษสุ งฆแ์ ทน พระสารีบตุ รนำเรอ่ื งนศิ ณั ฐนาฏบตุ ร หวั หนา้ ลทั ธิเชนในเวลานน้ั ตายลง เหล่าสาวกแตก ความสามัคคี ววิ าทกนั และกันเป็นการใหญ่ ในศาสนาของพระพทุ ธเจา้ ไม่ควรให้มเี ร่ืองเชน่ น้ันเกดิ ข้นึ จึงควรต้องทำสงั คายนา พระธรรมวินยั ใหก้ ล่าวเปน็ แบบเดียวกันไม่แตกแยก เพ่อื ให้พรหมจรรยค์ อื พระศาสนานี้ ต้งั อยู่ไดน้ าน เป็นประโยชนส์ ขุ ตอ่ มหาชนเป็นอนั มาก รวมทงั้ มนษุ ย์และเทพยดาทั้งหลาย เวลาน้นั พระสารบี ตุ รยังไดแ้ สดงหมวดธรรมตา่ งๆ ท่พี ระบรมศาสดาตรัสสอนไว้ รวม ซ๐ิ ประการ ให้ทีป่ ระชุมสงฆ์คร้ังนนั้ ฟงั คร้ันจบลงพระผมู้ พี ระภาค เจ้าทรงประทานสาธุการสรรเสรญิ พระสารีบุตรวา่ ดีแล้ว ชอบแลว้ การกล่าวสอนเปน็ อยา่ งเดยี วกัน ไมว่ ิวาทกนั ด้วยคำสอน เป็นคุณความดี การ รวบรวมธรรม เปน็ หมวดหมู่ เปน็ ล่ืงควรทำ ท่ีประชุมสงฆ์มมี ดใิ ห้ร่วมกนั สงั คายนาตรวจสอบพระธรรมและพระวนิ ัยที่ พระพทุ ธเจ้าทรงลังสอนใหถ้ ูกต้องตรงกนั โดยเลือกพระอรหนั ตเถระผ้ใู หญ่ ๓ รปู ทำหนา้ ที่ เปน็ ประธานการสังคายนา คือ พระมหากัสสปะ พระอบุ าลี และพระอานนท์ ประชุมกันใน ถาํ้ ใหญใ่ กล้กรงุ ราชคฤห์ แคว้นมคธ พระเจ้าอชาตศัตรูรบั เป็นธรุ ะเรอื่ งอปุ ถมั ภ์ปัจจยั สี่แก่ พระภกิ ษุสงฆท์ ี่เขา้ ร่วมประชุมทั้งหมด ตลอดระยะ เวลา ๓ เดือน จน แล้ว เสร็จ ซงึ่ กอ่ นท่ี การประชมุ สงั คายนาจะเรมิ่ ขึ้น เหลา่ ภกิ ษุทีจ่ ะเข้าร่วมประชุมทำสังคายนาในครั้งนนั้ ยกเว้นพระอานนท์ แลว้ ล้วนแตเ่ ป็นพระอรหนั ต์ทง้ั สนิ ๔๙๙ รูป พระอานนทไดก้ ระทำความเพียรอย่างย่ิงยวด เพอ่ื ต้องการบรรลธุ รรมเบอึ้ งสูง เป็นพระอรหนั ต์ใหท้ นั วันทำสงั คายนา ความเพียรมากเกนิ ไป ไมไ่ ด้รับผลสำเร็จ ทำให้เกดิ ความเม่ือย ลา้ คิดจะเอนหลังพกั ผอ่ นสกั ครู่ แลว้ จึงคอ่ ยกำหนดทำความเพียรตอ่ ขณะอยูใ่ น ทำครง่ึ นั่งครึง่ นอนและจิตคลายออกจากความเพยี รทมี่ ากเกินไปอยนู่ ัน้ พลนั จติ กร็ วม เขา้ สศ่ ูนยก์ ลางกาย บรรลุคณุ ธรรมเบ้อื งสงู เป็นพระอรหนั ตพ์ ร้อมปฏิสัมภิทา แสดงอภิญญา มดุ ดินไปโผล่ขน้ึ กลางท่ปี ระชมุ ทันเวลา เริม่ ต้นสงั คายนาพอดี นบั เป็นพระอรหนั ตอ์ งค์ที่ ๕๐๐ ในที่ประชุม ซ๕ิ ๐ ตอ้ งเปน็ ?หัเ๋ ต้ (สิวเชน่ ทระทฺทธเยา้ ) kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223