Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ต้องเป็นให้ได้ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า

ต้องเป็นให้ได้ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า

Published by jariya5828.jp, 2022-07-22 04:45:25

Description: ต้องเป็นให้ได้ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า

Search

Read the Text Version

หล๖ั เสดจ็ ดบั ขันธชรOnทานแลว้ การสงั คายนาคร้ังนั้นไดร้ วบรวมพระธรรมวินัยท่พี ระพทุ ธเจา้ สงั่ สอนไวเ้ ปน็ หมวดหม่ตู ามที่เหล่าพระอรหนั ตสาวกจำกันได้ นำมาชำระสอบสวนให!ั ดค้ วามตรงกัน แล้วเรยี บ เรียงเป็นบทสวดท่องจำปากเปล่าสืบต่อกนั มาชา้ นานจนกระท่ังสมยั มอี ปุ กรณ์ การเขียนหนังสอื จง้ ไดจ้ ดลงไวเ้ ปน็ ลายลักษณ์อักษร พระธรรมและพระวินัยไดเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ คณะสงฆเ์ ป็นอันมาก เปน็ เวลาประมาณ ๑๐๐ ปี จงึ เร่ิมมีเรือ่ งเสอื่ มเสยี เหลา่ ภิกษวุ ัชชีบตุ ร เมอื ง เวลาสี ย่อหย่อนผิดธรรมวนิ ัย ต้ังขอ้ ปฏิบัตเิ องข้นึ ใช้ ไมส่ มควร ๑๐ อย่าง เรยี กว่า วัตถุ ๑๐ คือ ร). เกบ็ เกลือจากท่ีเหลอื ใช้ไว้ฉนั ในวันหลงั ได้ ๒. เงาแดดเลยเทย่ี งไมเ่ กิน ๒ นิว้ ยังฉนั ได้ ๓. ฉันอาหารแลว้ พอเช้าบา้ นชาวบ้าน รบั ของฉนั อกี ได้ ๔. ภกิ ษทุ ่ีอยูใ่ นสมี า คือเขตแดนท่ีต้องทำสังฆกรรมมอี โุ บสถเปน็ ตน้ ร่วมกนั สามารถแยกทำอุโบสถตา่ งหากจากกันได้ ๔. ทำสังฆกรรม ถ้าภกิ ษยุ ังมาไมพ่ รอ้ ม กอ็ นญุ าตให้ทำไปพลางก่อน ผู้มาทีหลงั คอ่ ยขออนุมัติ ๖. ธรรมเนียมใดทอ่ี ุปชั ฌายอ์ าจารย์เคยประพฤติมา ควรประพฤติตามนั้น ๗. นาํ้ นมแปรรูปไปแลว้ แตย่ งั ไมเ่ ป็นนมเปร้ียว หมด เวลาฉนั อาหารแล้ว ดม่ื นมชนดิ ดงั กล่าวได้ ๘. สรุ าอยา่ งอ่อน ดืม่ แล้วไม่เมา ถอื ว่าดืม่ ได้ ๙. ผ้ารองน่งั ไม่มชี าย กใ็ ช้น่งั ได้ ๑๐. ถอื ว่าทองและเงิน เป็นของรับได้ ขอ้ ละเมิดทง้ั ๑๐ ขอ้ นีช้ าวบา้ นชาวเมอื งท่ีนั่น ไม่มีใครคดั คา้ น แต่พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป ไดม้ าประชุมพรอ้ มกนั ท่ี วาสกี าราม เมืองเวสาลี ชำระวัตถุ ๑๐ เหลา่ นที้ ิง้ เสยี ทำพระ- วนิ ัยให้บรีสุทธิ๋สบี มา ตอ่ จากนั้นราวปพี ทุ ธคกั ราช ๒๑๘ ใน แผ่นดินพระเจา้ อโศกมหาราช นครปาฏสีบตุ ร มพี วกเดยี รถีย์ปลอมบวช สรา้ งความมวั หมองแกพ่ ระธรรมวนิ ัยเป็นอนั มาก พระโมคคัลสบี ุตร­ ติสสเถรเจ้า ได้อาคัยพระอุปถมั ภข์ องพระเจา้ อโศกมหาราช กำจดั เดยี รถีย์เหลา่ นั้นออกจาก คณะสงฆ์ แล้วประชมุ ภกิ ษุพหูสูตทรงธรรมวนิ ยั จำนวนมากชำระคำกลา่ วท่ที ำให้พระธรรม- วนิ ยั มัวหมองออกจนหมด ทำพระธรรมวนิ ยั บริสุทธึด๋ ำรงลืบตอ่ มา ปีพทุ ธคักราช ๒๓๖ พระมหินทเถรเจา้ (พระโอรสในพระเจ้าอโศกมหาราช) นำ พระธรรมวนิ ัยไปเผยแผ่ประดิษราู นในลืหลทวีป(ประเทศลงั กาปจั จบุ ัน) พระโมคคัลสบี ุตร ได้ส่งพระเถระอนื่ ๆไปประกาศพระศาสนาทวั่ ดนิ แดนใกลเ้ คยี งประเทศอินเดยี ทางตะวนั ออก ทง้ั หมด ต้อ01ปน็ ใคเํ ต้ (ดปเ๋ ช่นทระทกฺ รเย้า) kalyanamitra.org

พเท่รี hื jหา้ พทุ ธบริษัททปี่ ระเทศลังกาใชจ้ ำพระธรรมวินัยดว้ ยการท่องจำปากเปลา่ มานานถงึ กว่าพทุ ธศักราช ๔๕๐ พระอรหนั ตท์ ัง้ หลายเห็นกลุ บุตรชัน้ หลงั เสอ่ื มถอยปัญญา จะใหท้ อ่ ง ปากเปล่าอย่างเดิมจะไม่มใี ครทำต่อไป จงึ ประชมุ กันทอ่ี าโลกเลณสถาน มลัยชนบท ที่ ลงั กาทวปี เขยี นพระปริยัตธิ รรมเปน็ ตวั อักษร จารกิ ลงไวใ้ นใบลาน ตอ่ จากนั้นอกี นับเป็นหลายรอ้ ยปี พระพุทธศาสนาแพร่กระจายไปท้ัวในทางซกี โลก ตะวันออกจนทกุ วนั นี้ แตส่ ำหรับประเทศอนิ เดยี เอง ไดม้ กี ษตั ริย์ดรุ ้ายพระองค์หน่ึงนบั ถือ ศาสนาอ่นื ทำลายลา้ งฆา่ ฟนิ ภกิ ษสุ งฆ์แทบไมม่ ีเหลอื ประมาณ ๒ หมน่ื รูป เผาสำนกั เรยี น อันย่งิ ใหญเ่ ทียบได้ว่าเปน็ มหาวิทยาลัยของพระพทุ ธศาสนาชอื่ นาลนั ทา อย่เู ป็นเวลา หลายเดือน จนพระคัมภีร์ตา่ งๆ ในอินเดยี สูญสินไปหมด นบั แตเ่ วลานนั้ พระพทุ ธศาสนาและพุทธศาสนกิ ชนกเ็ ส่ือมสญู ไปจากประเทศ อินเดียไปนาน คำสอนเท่าที่มีเหลอื อยูท่ ุกวันน้ี คอื เทา่ ทไ่ี ด้เผยแผพ่ ระศาสนาออกมาในยุคกอ่ น แตน่ านเชา้ แต่ละแห่งกม็ ผี ิดเพ้ียนเพิ่มเดิมกนั ข้นึ มาเอง บางแห่งย่อหย่อนกระทงั้ ภกิ ษมุ ี ภรรยาได้ ในบางประเทศดังทเี่ ห็นกันทกุ วนั น้ี ๑๕๒ ดัออเป็นใหเด้ (สอ่ เชน่ ทระฤทธเย้า) kalyanamitra.org

บททีสิบหก ระหวา่ อกบทาปสื ร่าonระ:บารปิ บทศ่ ๐๖ ระหว่า(วหนทา(วสรัา(วกระบารม $1ามท่กี ลา่ วมาแล้วในตอนต้นว่า พระสัมมาล้มพทุ ธเจ้านน้ั เดมิ ทเี ดยี วทรงเปน็ คนธรรมดาเหมือนอยา่ งมนุษยท์ วั่ ๆ ไป เกิดแล้วตาย ตายแลว้ เกิด เป็นสตั วใ์ นภูมโิ นน้ ภูมิน้ี ตามแต่ผลกรรมทไ่ี ด้สร้างเอาไว้ นับจำนวนชาตทิ ่เี กิดไม่ได้ กระท่งั มอี ยชู่ าติหนึง่ มีปัญญา มองเหน็ ความทุกข์ในการเกดิ และการดำรงชีวติ อยู่ ทง้ั ของตนเองและของสรรพสัตวอ์ น่ื มี ความปรารถนาใครพ่ น้ จากความทกุ ขท์ ง้ั หลาย และชว่ ยให้ผู้อน่ื พน้ ทกุ ขด์ ้วย จึงเรมิ่ พยายามหาหนทางดว้ ยการทำความดใี นรปู แบบต่างๆ นบั ตงั้ แต่ชาติทีค่ ิดได้นัน้ เร่อื ยมา ความดี ไดแ้ ก่ สิงทที่ ำแลว้ ตนเองไม่เดอื ดร้อน ผู้อ่ืนไม่เดอื ดรอ้ น เมอ่ื ทำความดี มากเขา้ ความดีจะกลายเป็นบุญ บุญ หมายถงึ สงิ ที่ใช้ชำระสนั ดานให้มีคณุ ภาพดขี ึน้ เปน็ ความประพฤตชิ อบทาง กาย วาจา และใจ สว่ นคำว่า กุศล หมายถงึ บุญท่ที ำดว้ ยความฉลาดมปี ญั ญา เรามักเรียกรวมคำ กนั ว่า บุญกศุ ล บญุ กุศลทง้ั หลายนี้เอง เมอ่ื กระทำอยา่ งย่งิ ยวดเข้มแขง็ มนั่ คงมากขน้ึ ๆ บญุ กศุ ล น้ันจะกลายเปน็ สิงมกี ำลังตดิ ตามอปุ ถัมภ์เจา้ ของขา้ มภพข้ามชาติ เรยี กบญุ กุศลทก่ี ล่ัน ตวั ไดอ้ ย่างน้วี า่ บารมี บารมนี เี้ องจำนวนนับได้ คอื มี ๑๐ อยา่ ง แตล่ ะอย่างเม่อื สะสมสร้างไว้ทลี ะเลก็ ละ น้อย จะกลายเป็นดวงใสสวา่ งอยูใ่ นศูนย์กลางกาย เมอ่ื ผ้นู ั้นปรารถนาความพ้นทกุ ข์ เรียน ว่ายตายเกิดสรา้ งบารมี ดวงบารมีจะค่อยโตขึน้ ๆ จนโตเตม็ ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลาง ๑ คบื ๔ น้วิ (ทำใจให้สงบนง่ึ ถึงระดับหนง่ึ สามารถมองเหน็ บารมีแตล่ ะดวงได)้ เมื่อบารมที ง้ั ๑๐ มขี นาดโตเตม็ ทีด่ ังกลา่ วแลว้ ทุกดวง เม่อื นนั้ ผู้สรา้ งบารมจี ะสามารถเลิกเรยี นวา่ ยตายเกิด เข้าพระนพิ พานได้ บารมี ๑๐ ประการ กล่าวเน้อื ความโดยยอ่ คอื ตอ้ (วเป็นให๋เั ด้ (ต0่ เช่นทระทฺทธเย้า) ๑๕๓ kalyanamitra.org

บทที่^บหก ๑. ทาบบารม เปน็ บารมีอันดับแรกทีจ่ ะตอ้ งกระทำ เป็นพนื้ ฐานในการสร้างคุณงาม ความดีและบารมอี น่ื ๆ เหมอื นพนื้ แผ่นดินเป็นท่ีใหส้ ิงตา่ งๆ อาศัยตงั้ อยู่ ทาน ได้แก่ การให้ การเสียสละ การบรจิ าค สงิ ที่บรจิ าคได้แก่ ๑. วตั ถสุ งิ ของ (ทรัพย์ท้ังทีเ่ ป็นสงิ มีชวี ิตและไมม่ ชี วี ิต ซ่งึ ไมเ่ ปน็ โทษตอ่ ผ้รู บั เรียก ว่า วัตถุทาน) ๒. ธรรมทาน ให้คำแนะนำท่ีดงี าม เปลี่ยนใจผู้รับเปน็ สัมมาทฏิ ฐิ รวมไปถึงอภัยทาน คือบรจิ าคหรือสละความรู้สีกท่ีไม่ดีระหวา่ งกันท้งิ ไปเสีย ทานทม่ี อี านสิ งสม์ าก คือให้ผลบญุ มาก ตอ้ งประกอบดว้ ยความบริสทุ ธ่ื ๔ อย่าง คีอ ๑. วัตถุทนี่ ำมาทำทานบริสุทธ๋ี ไดม้ าโดยไม่ผิดคืล ไม่ผิดธรรม ไมใ่ ช่ส่งิ ของทท่ี ำให้ ผรู้ บั เกดิ กเิ ลส ๒. ผู้รับทานเปน็ ผ้บู รสิ ทุ ธึ๋ เชน่ เป็นพระอรยิ บุคคล หรือบำเพ็ญเพียร เพื่อเป็น พระอรยิ ะบคุ คล เป็นตน้ ๓. ผูใ้ ห้ทานเป็นผูบ้ ริสุทธ๋ี คือเป็นผ้ทู รงคุณงามความดตี า่ งๆ มศี ึลบริสุทธเึ๋ ป็นต้น ๔. เจตนาในการทำทานบรสิ ทุ ธึ๋ เชน่ ก่อนทำ มีใจคิดว่าตอ้ งการทำเพื่อพัฒนา จติ ใจ ให้มคี ณุ ภาพดยี ง่ิ ขึน้ จึงเต็มใจทำ ขณะกำลังทำ เตม็ ใจทำด้วยความไม่เสยี ดาย มีความเคารพ ในทานท่ที ำตลอดจนเคารพผู้รับทานด้วย หลังจากทำแลว้ ก็ตามระลึกถึงความปตี ดิ ว้ ยทกุ ครงั้ ไม่เคยนึกเสียดายอกี เลย ไม่นกึ หวงั วา่ ทำทานแลว้ จะได้ส่ิงตอบแทนเป็น ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ไดช้ ื่อเสยี งเกียรติยศอันใด การนกึ เชน่ นน้ั เปน็ การบริจาคไมจ่ รงิ ไม่ขาดจากใจ กลายเปน็ การคา้ กำไร ลงทนุ เพ่ือ ให้ไดส้ ง่ิ ตอบแทนเกินกวา่ ควรทำทานเพื่อพฒั นาจิตใจ เช่น กำจัดความตระหนี่ ให้มีเมตตากรุณา รวมทง้ั ใหเ้ ป็นบอ่ เกิดของคุณงามความดอี ่ืนๆ ทานบารมที ่ีเป็นข้ันต้น ได้แก่ การเสียสละสิง่ ไม่สัาศัญมาก เช่น ทรัพยส์ ินเงนิ ทอง ทานอปุ บารมี เป็นทานบารมีขนั้ กลาง เสียสละได้แม้สิง่ ทร่ี ักมากๆ เช่น บุตร ภรรยา เลือดเนี้อ อวัยวะ ทานปรมตั ถบารมี เป็นทานบารมขี ั้นสงู สดุ แมช้ วี ิตก็สละได้ การบรจิ าคเสียสละทุกสิงเหลา่ นี้ ถา้ ใหเ้ กดิ อานิสงสอ์ ันยอดเยีย่ ม ตอ้ งตดั ใจให้ ได้ อยา่ งเด็ดขาดไมห่ วนเสยี ดายอีกเลยแมแ้ ต่น้อย เหมอื นสายน้ําทีไหลไปไม่หวิ'นคืน หรือ เหมอื นหม้อนํา้ ควาํ่ นํ้าทิ้ง ไมใ่ หเ้ หลอื คา้ งอยู่เลยแมแ้ ตห่ ยดเดียว การบริจาคก็ตอ้ งขาดจาก ใจ ดงั ทเ่ี ปรียบน้ี ดัออเปน็ ใหัเ๋ ดั (ดัง่ เทบ่ ทระเๅทธเย้า) kalyanamitra.org

ระหว่า0หนทาป๋สรา่ onระบารม ๒. คลบารม เป็นท่ตี งั้ แห่งกศุ ลกรรมท้งั ปวง ผ้ปู รารถนาประกอบคณุ งามความดี ระดับใดก็ตามจะตอ้ งเปน็ ผูม้ คี ลี เป็นพ้นื ฐาน ศึล คือความปกติของกาย และวาจา กาย วาจาทป่ี กติ คอื กายวาจาที่ไม่ทำความชวั่ จะเรยี กวา่ คลี คือการสละความชว่ั ออกจาก กมลสนั ดานจากการกระทำทางกาย ทางวาจา กค็ งไมผ่ ดิ ความชว่ั ทางกาย ไดแ้ ก่ การฆา่ การเบียดเบียนผ้อู ื่น การคดโกง ลกั ขโมยทรพั ย์ ผู้อน่ื การประพฤติผิดทางเพศตอ่ ผอู้ ื่น ความชั่วทางวาจา ไดแ้ ก่ การพูดปด พูดส่อเสียด พดู คำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ผรู้ กั ษาคีลเปน็ ประจำ จะไม่เส่ือมจากกศุ ลธรรม ได้รบั ประโยชน์ทง้ั ทางโลกและ ทางธรรม ทางโลกเปน็ ผไู้ ม่มีภัยกบั ผ้!ู ด ไมต่ ้องคอยหวาดระแวงวา่ จะมีผ้!ู ,ดคอยปองร้าย มคี นเชื่อถือเคารพไวว้ างใจ ทางธรรม ถา้ จะปฏบิ ต้ บำเพญ็ เพยี รภาวนา ใจก็จะมีกำลัง ไมม่ ี วิปฏสิ ารเดอี ดรอ้ นใจ เพราะไมไ่ ด้ทำบาปอกุศลสงิ ใดไว้ จะทำความเพียรไดง้ า่ ยกว่าผู้ท่ไี ม่ รกั ษาคลี คลี บารมกี ม็ เี ปน็ ๓ ระดับ ทำนองเดยี วกัน คือ ขนั้ ปกติ ขั้นสงู ข้ึน และข้ันสงู ที่ สละได้กระทงั้ ชีวติ เหมือนสัตวช์ นดิ หนึง่ ชื่อจามรี(คล้ายววั มขี นยาวอยู่แถบประเทศทเิ บต ดนิ แดนท่ีมหี มิ ะ) มันรกั ขนหางของมนั มาก ถ้ามันเดินไปถูกหนามเก่ียวเอาไว้ มันจะไมด่ ึง หางออกจากหนามเพราะเกรงขนขาด มันยอมยนื นึง่ อยู่กับท่ี ให้ขนหางหลดุ จากหนาม เอง ถ้าไม่หลดุ มันก็จะยนื ยอมตายอย่อู ยา่ งนั้น มันรกั ขนหางเทา่ ชวี ิต คนเราถา้ จะถือคีลให้ ไดบ้ ุญมากๆ จนแกก่ ล้าเปน็ บารมี กต็ ้องรกั คลี เทา่ ชวี ติ ยอมตาย ไมย่ อมให้คลี ขาด เหมือน จามรียอมตาย ไม่ยอมให้ขนหางขาด ๓. เนกขมั มบารมี บญุ อันย่งิ ยวดท่ไี ดจ้ ากการประพฤตติ นออกจากกาม กามไม่ได้ หมายความแค่เรอ่ื งทางเพศ แต่หมายรวมเอาทงั้ 'วอยา่ ง ได้แกร่ ูป เสียง กล่ินรส สมั ผัส และความนกึ คิดท่เี น่อึ งด้วยความพอใจ รกั ใคร่ ยินดใี นลื่งท่ไี มท่ ำให้เกิดกุศล ซง่ึ สิงเหล่านี้ มกั มีอย่ใู นชีวิตของผ้คู รองเรือนทกุ คน การไม่มีครอบครัว จงึ เป็นอบุ ายอย่างดียิ่งอย่างหนึง่ ทจ่ี ะปลีกตนให้พน้ จาก อำนาจกาม เมอ่ื ปราศจากการครองเรอื น ความตอ้ งการสิง่ ตา่ งๆ จะลดลงโดยปริยาย ทำให้เป็นผูม้ ักนอ้ ยสนั โดษได้ง่าย เมื่อชวี ิตมีความมักน้อย รจู้ ักพอ ยอ่ มมีเวลาเหลือใหม้ ี โอกาส ประกอบบญุ กศุ ลตา่ งๆ เพ่ิมขึ้น ยกตวั อยา่ ง ถา้ มคี รอบครัว มีบุตร ภรรยา หรอื สามี ทรัพยท์ ่หี ามาไดก้ ต็ ้องใช้บำรงุ เลย้ี งคนในบา้ น ท่ีจะมเี หลือบรจิ าคเป็นสาธารณะตา่ งๆ หรือบำรงุ พระพุทธศาสนากน็ อ้ ยลง หรอื ไม่มีเลย ทานบารมจี ะถกู ดัดออกไป ครั้นจะถือคลี ๕ ถ้าคู่ครองไม่เหน็ ด้วย ไมย่ ินยอมพรอ้ มใจ ไม่ว่าคีล ๕ คลี ๘ หรือ ดอั 0เอนใหเล้ (ด่อั เช่นทระฦทรเจา) ๑๕๕ kalyanamitra.org

บททร่ี บหก ทส่ี งู ขึ้นไป คลี บารมีก็หมดโอกาสกระทำ บารมีต่อๆ ขน้ึ ไปย่ิงยากขนึ้ ทุกที หรือมฉิ ะน้นั กท็ ำ ไมไ่ ด้เลย เนกขมั มบารมี จึงนบั เปน็ บารมีสำคญั ยิง่ ท่ีจะทำให้สามารถสร้างบารมอี ืน่ ๆ ได้ง่าย จึงใหถ้ อื ว่าชีวติ ทุกขณะน้เี หมือนตดิ อยู่ในคุกในตะราง อยากหลดุ พน้ ออกไปให้ไดเ้ รว็ ๆ ตอ้ ง บำเพญ็ เนกขมั มะนัน้ เอง ๔. ปีญญาบารม ปัญญาทีแ่ ท้จรงิ คือการรตู้ ามความจริง ไดแ้ กก่ ารรู้ว่า ชวี ติ ทีต่ อ้ ง เกดิ มาไมว่ า่ จะเกิดในภพภูมิใด ล้วนแต่ตอ้ งพบกบั ความทุกขท์ ั้งสนิ เพียงแตเ่ ปน็ ความทุกข์ ตา่ งระดบั มากน้อยไม่เทา่ กัน ทางที่ดีทส่ี ดุ คือตอ้ งสรา้ งบารมีรดุ หน้าอย่างเดยี ว เพอื่ ให้ เลกิ เวียนวา่ ยตายเกดิ ใหไ้ ด้ จงึ จะพน้ ทุกขถ์ าวร ปัญญาท่ีจะเขา้ ใจเรื่องนีอ้ ย่างถ่องแท้ ไม่ใชป่ ญั ญาจากการจำคำสอนของใคร หรือปัญญาจากการคิด แตต่ ้องเปน็ ปัญญาท่เี ห็นแจ้ง เรยี กวา่ ตรสั รดู้ ว้ ยการภาวนา (ภาวนา- มยปัญญา) การภาวนาให้จิตหยดุ จากความร้ลู ึกนึกคิดอืน่ ๆ ภายนอกตนเอง หยดุ เขา้ ไปภายใน เร่ือยไป กระทัง้ จติ มีพลังอำนาจข้ึนมาด้วยตนเอง สามารถมองเหน็ เรอ่ื งราวต่างๆ ของ ชวี ิตและทุกสงิ ทุกอยา่ งในภพภูมิตา่ งๆตามความเป็นจรงิ ที่มีอย่เู มอื่ นน้ั เป้าหมายการเดนิ ทาง ของชวี ิตย่อมม่ันคง ไมโ่ ลเลคลอนแคลน เพราะเม่ือได้พบประสบการณบ์ างอย่าง เช่นการ ระลกึ ชาติย้อนหลัง การเห็นการเกดิ การตายของสตั วโลกทง้ั หลาย การทำกิเลสใหส้ ินไป ย่อมเหน็ ความจริงทง้ั ปวงแจ่มแจง้ เห็นแลว้ ยอ่ มขะมกั เขมน้ ในการปฏบิ ตั ติ ามเส้นทางที่ ทำให้พน้ ทุกข์ อยา่ งไรก็ดี การปฏบิ ัติภาวนานั้นไม่ใชจ่ ะเกิดปัญญาเหน็ แจ้งทันทที นั ใด ยังจำเปน็ ตอ้ งอาศยั กัลยาณมิตรชว่ ยแนะนำช้ีทางหรือตกั เตือน กัลยาณมิตรผมู้ ีปัญญาเหลา่ นั้นไม่ จำกัดอยู่วา่ ต้องเป็นคนมยี ศมปี ริญญาหรือบรรดาคักด๋อึ ันใดอาจจะเป็นคนยากจนพิกลพกิ าร ไมร่ ู้หนังสิอเลยด้วยชำ่ แต่มปี ญั ญามบี ารมีในความรูท้ ีแ่ ท้จริง (ทางธรรม โดยเฉพาะการ ปฏบิ ัตธิ รรมขน้ั สงู ) กค็ วรเขา้ ใกล้คบหาสมาคมดว้ ย เพอ่ื รบั คำลังสอนอบรม ผู้แสวงหา ปัญญาจึงควรทำตวั เหมอื นพระบณิ ฑบาต เดนิ ภิกขาจารไปตามบา้ นตามลำดับ ไมเ่ สอื กรบั บ้านโนน้ บา้ นน้ี เมอ่ื ปรารถนามปี ญั ญากต็ อ้ งรบั พงิ คำสอนของผู้รู้ ไม่เสอื กขน้ั วรรณะ น^ม่ั ๕. วิรยบารม สรา้ งสมความเพียรไม่ย่อท้อ การสร้างบารมชี นิดใดก็ตาม จำต้องใช้ ชุ ( ำ. ■ / ■■■' ความเพยี รเป็นหลักยึด มิฉะนนั้ แลว้ ความเกียจครา้ นทอ้ แทจ้ ะเขา้ มาทำใหเ้ ปน็ คนผัดวนั ประกันพรุ่ง เมือ่ นั้นเถอะ เมอ่ื นเี่ ถอะ เวลาแต่ละนาทสี ูญไปเปล่า ศวามพากเพยี รมที ัง้ สองฝ่าย ฝา่ ยเรือ่ งอกศุ ล ต้องพยายามกำจัดความขวั้ ทม่ี ี น’้ั 'นั้ ตดิ ตัวออกไป บางคนโลภมาก ขโ๋ี มโห หลงใหลอะไรง่ายๆ อยา่ งนตี้ อ้ งพยายามกำจัดให้ ๑๕๖ ดัอเวเปน็ ไหเ๋ั ดั (อปั่ เ๋ ช่นทระททฺ ธเจ้า) kalyanamitra.org

ระหวา่ 0หนทา0สราอทระะบารปิ น้อยลงหรือใหห้ มดไปได้ยงิ่ ดี เม่ือของเก่ากำจัดออกไป ของใหมก่ ต็ ้องพยายามระมดั ระวงั ไม่ใหเ้ กดิ ขึ้น ป้องกันดว้ ยอบุ ายตา่ งๆ เชน่ พยายามสำรวมอนิ ทรีย(์ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ) ไม่ให้ไปเก่ยี วขอ้ งคลกุ คลีกบั ลี่งทจ่ี ะยวั่ เย้าใหใ้ จเขวไปทำความชัว่ ไม่วา่ ทางกาย วาจา ใจ ฝา่ ยกุศลกท็ ำนองเดียวกนั พยายามรักษาความดีทีม่ อี ยู่เดิมใหค้ งมนั่ ไวไม่เสือ่ มถอย เคยทำทาน รักษาศึล ภาวนาอยู่เสมอ ต้องไม่เลกิ ทำ พยายามขวนขวายไปให้ตลอดชวี ติ สว่ นความดีใหมๆ่ อะไรที่ยังไมเ่ คยทำ ใหพ้ ยายามทำเพ่ิมพนู กุศลธรรมน้นั มสี นั โดษไมไ่ ดเ้ ปน็ อนั ขาด ต้องพอกพนู สั่งสมด้วยวริ ยิ อตุ สาหะ เคยทำทานเพยี งเลก็ น้อย เชน่ ใสบ่ าตรวนั ละ องค์สององค์ ก็เพ่มิ เป็นสร้างถาวรวตั ถตุ า่ งๆ ขึน้ อีก ถา้ มคี วามรู้ความสามารถพอ ใหธ้ รรม เป็นทานก็ไมย่ อ่ ท้อท่จี ะทำ เคยรักษาแค่คืล ๕ กข็ วนขวายพยายามเพิม่ เป็นศลึ ๘ หรือ ๒๒๗ บวชเปน็ ภกิ ษุ เคยภาวนาไมเ่ ปน็ ข้ึนเปน็ อนั กพ็ ยายามกระทำให้ทกุ อริ ิยาบถ ให้ดูตัวอยา่ งราชสหี ์ มคี วาม เพียรเป็นเลิศ เมื่อมันนอนนน้ั มนั จะจดจำทา่ นอนของมนั ไว้ ถ้าต่ืนข้ึนมาร่างกายของมนั ไม่อยใู่ นอริ ยิ าบถเดมิ มันจะนอนใหม่ ไมย่ อมออกไปหาอาหาร ต้องนอนตน่ื ขึน้ มาใหอ้ ยู่ใน ท่าเดิมจนได้ ความเพยี รของดิรัจฉานแมใ่ นเรอื่ งไมเ่ ปน็ สาระ ยังเพยี รได้มน่ั คงขนาดนนั้ แสดงให้เหน็ พลังของความเข้มแข็งในทุกอิริยาบถ ไมว่ า่ น่งั นอน ยนื เดิน จงี ควรถอื เอามา เป็นตวั อยา่ ง ให้เรามคี วามเพียรที่จะส่ังสมบารมีให้เข้มแขง็ ดังราชสหี เ์ พียรรกั ษาอริ ยิ าบถ ๖. ขันตบารม การอดกลั้นอดทนในการสัง่ สมความดอี ันเปน็ บุญกุศลต่างๆ น้นั ไม่ใช่ จะประสบความราบร่ืนเสมอไป บางทถี ูกมองในแงร่ ้าย ถกู กลนั้ แกล้งชํ้าเดมิ ต่างๆ นานา คนทมี่ จี ติ ใจไม่เข้มแข็งจะหมดกำลงั ใจได้ง่ายๆ ขนั ติบารมีจึงต้องมีกำกบั ในจิตของเราอยู่ ตลอดเวลา ต้องอดทนทั้งทุกข์ทางกายและทกุ ขท์ างใจ ต้องไม่หลงใหลติดขอ้ งอยใู่ นลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ อนั เปน็ ของสมมุติประจำโลกนเ้ี ทา่ น้นั ไมว่ ่าจะพบโลกธรรมฝา่ ยดีดงั กลา่ ว หรือโลกธรรมฝา่ ยเลวคือ เสอ่ื มลาภ เสอื่ มยศ นนิ ทา ทุกข์ ก็ต้องตงั้ สตมิ ั่น อดทนไมห่ ว่นั ไหว ไมป่ ลอ่ ยใจให้ยินดยี นิ ร้ายไปตาม เปรียบเหมือนความอดทนของแผน่ ดิน ไมว่ า่ ผคู้ นจะเอาของดีหรอื เลว ของสะอาด ของสกปรกรดใส่ แผ่นดินก็ไม่ร้สู กึ พอใจหรอื ขนุ่ เคอื ง การดำเนินชีวติ ของเรา กต็ อ้ งอดทน อดกล้ัน ใหถ้ งึ ท่ีสดุ ไดด้ จุ เดยี วกนั ๗. สัจจบารปิ เปน็ บารมที เ่ี กดิ จากการตั้งใจมน่ั ตงั้ ใจจรงิ ท่จี ะสรา้ งความดใี หเ้ ต็มที่ เพอื่ เลกิ เวยี นว่ายตายเกดิ ให้ได้ เมือ่ ต้งั ใจจรงิ เปน็ สัจจะแล้วไม่คลอนแคลนโลเล เหมอื น คนพดู กลับไปกลับมา ไมอ่ ยูก่ บั รอ่ งกับรอย จะต้องกระทำตามท่ีพูด ทค่ี ิดไวไม่เปลยี่ นแปลง ดว้ ยอคติทง้ั หลาย สัจจะนั้นถ้าใหม้ อี านิสงส์มากตอ้ งเดิมพนั กันดว้ ยชีวิต คือเม่ือล้นั วาจา ตอ้ งเปน็ ใหั๋เต้ (ส๖่ เชน่ ทระทฺทรเย้า) ‘รึ) dicnJ kalyanamitra.org

บทท่'ี รบหก ออกไปแลว้ หรอื ตงั้ มน่ั ไว้ในใจวา่ จะทำอะไรแล้ว กไ็ ม่ยอมใหอ้ ะไรมาขวาง ทำใหต้ อ้ งเปลี่ยนใจ แมจ้ ะมีผูม้ าขฆู่ า่ ก็ยอมตาย ไมย่ อมให้ผดิ ไปจากความต้งั ใจทำความดนี ้ันๆ สัจจะต้องมัน่ คงเหมอื นดาวประกายพรึก ท่โี คจรอย่ใู นเสน้ ทางของตนตามฤดูกาล ไม่เคยเปลยี่ นแปลง ปแี ล้วปีเล่าตลอดเวลาอันยาวนาน ๘. 98ษธานบารมี คือการต้งั ความปรารถนา เพอื่ ให้บรรลผุ ลในการทำจรงิ ตง้ั เป้าหมายสิงใดไว้ ต้องหมัน่ ต้ังความปรารถนาอยูเ่ สมอ มิฉะน้นั เมอ่ื พบอปุ สรรคมากๆ จะ ออ่ นแอย่อทอ้ เสียหมด ต้องตั้งความปรารถนาอยเู่ รื่อยไป เหมือนการพายเรอื ไปสจ่ ุดหมาย ปลายทาง ตอ้ งหม่นั ถือหางเสีอเรอื ใหห้ วั เรือหันไปยงั ทศิ ท่ตี ้องการเสมอ ถ้ามัวเผลอละเลย กระแสนํ้าจะพัดให้หางเสีอเรือเฉออกไป พลอยให้หัวเรอื เปลยี่ นทิศ การต้งั อธิษฐานจติ ใหม้ ่ันคง จงึ เปรยี บเหมอื นภูเขาทตี่ ้ังมั่น ไมม่ ีอะไรมาโยกใหห้ วน่ั ไหว ปรารถนาจะใหช้ วี ิตพนั ทุกข์ ตอ้ งปรารถนาอย่อู ย่างน้ีม่ันคงเปน็ นจิ ไมม่ ีอะไรมาทำให้เปลยี่ น ใจ แมช้ ีวิตจะเปลยี่ นไปนบั ภพชาตไิ มถ่ ้วน ความปรารถนาให้พนั ทุกข์เสีกเวียนวา่ ยตายเกดิ กย็ ังตามไปเตือนให้คดิ ได็ในทกุ ภพทกุ ชาติ ๙. เมตตาบารมี เป็นบารมที ไี ด้รับจากการรักและปรารถนาดใี นสรรพชวี ิตท่ัวหนา้ ไม่ วา่ มติ รหรอื ศตั รู ดว้ ยคดิ วา่ ทกุ ชวี ิตล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในความทุกข์ ไมว่ า่ จะเกดิ เปน็ อะไร สมควรแสวงหาหนทางพันทกุ ข์ดว้ ยกนั ทง้ั หมด เมอ่ื เหน็ ใครมัวเมาประมาทอยู่ ไมร่ ้เู ลยว่า ชีวติ เกิดมาควรทำอะไร เพือ่ ให้ได้ประโยชน์สูงสดุ ให้นึกเมตตาผปู้ ระมาทมวั เมาเหลา่ นน้ั ให้มาก และบอกความจรงิ แกพ่ วกนั้นใหร้ ู้สีกตวั ด้วยความปรารถนาดี ปรารถนาดีนั้น เผ่ือแผ่ไปยงั ทใ่ี ด ผู้รับย่อมชุ่มชน่ื เบกิ บาน เหมอื นนา้ํ เมือ่ หลากไหลไปยงั ทใี่ ด กพ็ าความ ช่มุ ชนื่ เยือกเยน็ ไปยงั สถานท่เี หล่านน้ั เหมือนกนั หมด ไมเ่ ลือกทร่ี ักมักทชี่ ัง ซ๐ิ . อุเบกขาบารมี เป็นบารมีท่ไี ดจ้ ากจิตใจรกั ความยุตธิ รรมในสรรพสตั วท์ ่ัวหนา้ ไมล่ ำเอยี งเขา้ ขา้ งโน้นขา้ งน้ี ไม่ชอบไม่ชงั ในสิงใดๆ ไม่ยนิ ดยี นิ ร้ายในล่ืงตา่ งๆ เพราะมี ปัญญาคดิ ได้วา่ เป็นกฎแห่งกรรม คอื ใครทำสงิ ใดตอ้ งไดร้ ับผลของกรรมนนั้ เปน็ ธรรมดา บางทีไม่ใช่กรรมทเี่ ปน็ เหตุในชาตนิ ี้เท่าน้ัน แตเ่ ปน็ ผลของกรรมในอดีตชาติที่เพิ่งตามมา ทนั ถา้ อยูใ่ นวสิ ยั เขา้ ไปเกย่ี วข้องชว่ ยเหลอื ไดไ้ มเ่ กินกำลงั กก็ ระทำไปตามสมควร แตถ่ า้ ช่วย อะไรไม่ได้แล้ว ก็ตอ้ งปลงให้เป็นอเุ บกขา การวางเฉยไม่ยุ่งกบั เรื่องของใครเลย ทั้งท่ีอยูใ่ นวิสยั ช่วยเหลอื ได้ไม่เรียกวา่ อุเบกขา กลายเป็นคนใจดำ การวางอุเบกขาไม่รักไมช่ งั ไปในสรรพสตั ว์ท้ังหลายไม่ว่าผูน้ ัน้ จะคดิ ดหี รือชัว เหมอื น สายลมพัดผ่านไปในทตี่ า่ งๆ ไม่เลือกวา่ เป็นทหี่ อมหรอื เหม็น ลุม่ หรือดอน เมือ่ พัดผ่าน ก็สกั แตว่ า่ พัดไป ไมม่ ยี นิ ดยี นิ ร้ายในสถานทเ่ี หล่านน้ั ซ๕ิ ๘ ดอ้ อเป็นใหเั๋ ด้ (สอ่ เช่นทระ)ๆทธเยา้ ) kalyanamitra.org

ระะหว่าปืหนทาอสราชทระะขารม ระหวา่ งหนทางสร้างบารมขี องพระโพธิสัตว์ ไมใ่ ช่ราบเรยี บเสมอไป เพราะชาติ ทสี่ รา้ งบารมไี ดม้ ากที่สดุ คือชาติท่ไี ดเ้ กิดเป็นมนุษยใ์ นชมพทู วปี เพราะเปน็ สถานทเ่ี หมาะ ในการสรา้ งบารมีทกุ ชนิด จะทำทานก็มคี นยากจน หรอื สมณชพี ราหมณ์เปน็ ผ้รู ับทาน จะ ถอี คลื ก็มีความชัว่ นานาชนิดใหล้ ะเวน้ จะบำเพญ็ เนกขัมมะ ก็มกั จะมพี ระพุทธศาสนา ประดษิ ฐานอยู่ ใหได้มีโอกาสออกบวช เหลา่ นเี้ ป็นตน้ แต่พระโพธิสัตวน์ น้ั เมอื่ ยังมบี ารมอี ่อนอยู่ ไดเ้ กดิ เป็นมนษุ ย์ในชมพทู วปี แล้วกจ็ ริง แตจ่ ำความหลังในอดตี ชาตไิ ม่ได้ เม่ือจำไมไ่ ดก้ ห็ ลงลมื เรื่องการเกดิ มาเพอื่ สร้างบารมี เกิด แลว้ ตอ้ งใช้ชวี ติ ประมาทไปตา่ งๆ ต้องพลาดพลัง้ ทำบาปเพม่ิ อกี กม็ ใี นบางชาติ เมอื่ ดำเนนิ ชีวิตผดิ พลาดก็ตอ้ งเลืยเวลาไปเกดิ ในอบายภมู ิ เหมอื นเดนิ ถอยหลงั ดงั น้นั ในกำเนดิ ต่างๆ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สมณโคดมของเรา ซ่ึงพระองค์ ทรงระลึกชาตยิ ้อนหลงั นำมาเล่าให้พงิ ไวม้ ากมายน้ัน จึงมหี ลายชาติท่ีพระองค์ต้อง พลาดไปเกดิ เปน็ สตั วน์ รกบ้าง ดริ จั ฉานบ้าง เป็นสตรบี า้ ง ฯลฯ เมอื่ ใดบารมแี กก่ ล้าขนึ้ ความประมาทลดลง พอเกดิ มาก็ไมก่ ระทำความชว่ั เร่ง ทำแตค่ วามดี จนกระทง่ั บารมแี กม่ ากพอไดพ้ บพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าพระองค์ใดพระองค์ หน่ึง พระพทุ ธเจ้าพระองค์นน้ั ทรงพยากรณใ์ ห้ว่า จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ในชาติ ช้างหนา้ เมอื่ ใด พระโพธิสตั วท์ ่ีไดร้ บั พุทธพยากรณ์แลว้ อยา่ งนี้เรียกว่า นยิ ตโพธสิ ตั ว์ ซง่ึ จะเป็นผูม้ ี คุณสมบัติพิเศษประการหนึ่งคอื นับจากชาตทิ ไ่ี ดร้ ับพระพุทธพยากรณแ์ ล้วจากนั้น จะเกดิ เปน็ อะไรกต็ าม จะสรา้ งบารมีรุดหนา้ แตอ่ ย่างเดยี ว ชวี ิตพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าของ เรา สมัยเกิดแล้วเกดิ อกี สร้างบารมีอยนู่ น้ั พระองคท์ รงระลกึ ชาตินำมาเลา่ ไว้มากมาย พอ จะยกมาเป็นตัวอยา่ งเพือ่ เปน็ แบบอยา่ งแนวทางใหเ้ ราสรา้ งบารมตี ามได้ เป็นบางพระชาติ ดังจะแสดงตอ่ ไป ดอ้ ป๋เปน็ ใหั๋เด้ (ส่ิวเช่บทระเๅทรเย้า) ๑๕๙ kalyanamitra.org

บางพระชาตกิ อ่ นที่จะตรสั รู้เปน็ พระโคดมสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ๑๖๐ ดอ้ อเปน็ ใหั๋เดั (ตอ้ เฒ่ทระทฺทธเย้า) kalyanamitra.org

บททสี่ ีบเจ็ด บาเวทระชาติกอ่ นตรสรเู่ ป็นทระโคดมสมั มาสมื ทุทธเจาั บทท ๐๗ บางทรชชาดกอ่ นตรสรู้ เปน็ ทระโคดมสัมมาสับททุ รเยา้ พ\"ระิ โพธิสัตว์ในชาติแรกปรารถนาความพันทุกข์ และช่วยเพือ่ นมนุษยท์ ้งั หลาย ให้พนั ทุกข์ด้วย คอื ชาตทิ ่ีเปน็ ชายหนุ่มแบกมารดาวา่ ยนาในทะเลในยามท่ีเรือสนิ คา้ อบั ปางลง ได้เห็นความทกุ ข์ของตนเองและเพอ่ื นกะลาสเี รอื ด้วยกัน ทจ่ี มนา้ํ ตายไปต่อหน้าตอ่ ตา จน ไม่มใี ครเหลือเลย มีรายละเอียดดังน้ี เม่อื นานมาแลว้ เกินเวลากวา่ ๒๐ อสงไขยแสนมหากปั เวลานั้นเป็นเวลาสฌุ ญกปั ไม่มพี ระสมั มาสัมพุทธเจา้ มาตรสั รู้ ไมม่ แี ม้กระท้งั พระปัจเจกพทุ ธเจ้า มชี ายผู้หนง่ึ เกดิ มา กำพรา้ พอ่ อยตู่ ามลำพังกับแม่ มีฐานะยากจนมากหาเลี้ยงชวี ติ ดว้ ยการดดั ฟินและหาของ ในปา่ มาขายในเมือง เพื่อไดเ้ งินมาแลกอาหารเล้ยี งชวี ติ มารดาและตนเองไปวันๆ ต่อมามารดาชรามากขน้ึ ชายหนุม่ จึงต้องทำงานทงั้ ในบา้ นนอกบ้าน มารดาขอ ให้หาหญิงมาเป็นภรรยาสกั คนหน่งึ เพื่อจะได้ช่วยเหลืองานบา้ น เขาปฏิเสธ เพราะเห็นวา่ รายได้ทมี่ ใี นแตล่ ะวนั ยังแทบไม่พอเล้ยี งชวี ิตตนเองและมารดา ลา้ มภี รรยา กจ็ ะต้องมลี ูก เพิม่ มาอีก จะเอาอะไรเลี้ยงภรรยาและลกู วันหน่งึ เม่อื เขาขายสิงของหมดแลว้ รสู้ กึ เหน็ดเหนอื่ ยจงึ นงั่ พกั อยใู่ กลท้ า่ เรือเดนิ ทะเลท่ีนำสินค้าไปขายในต่างแดนขณะน้นั พอดมี เี รือสนิ คา้ กลบั จากต่างแดนเขา้ เทยี บทา่ ลกู เรือ ลงมาจากเรอื เปน็ จำนวนมาก ดแู ต่ละคนมีความสุข แตง่ ตวั ดมี ที รัพย์สนิ ตดิ ตัวมาด้วยมาก ภาพท่เี หน็ ทำใหช้ ายหนมุ่ คดิ ถงึ ชีวติ ของตนเอง ถ้ายังทำอาชพี เดิมตอ่ ไป จะตอ้ ง ยากจนอยูไ่ มร่ จู้ บ ยามชราหมดเรยี่ วแรงทำมาหากิน จะเอาสิงใดเลี้ยงชีวิต ลูกเตา้ กไ็ มม่ ี สมควรจะต้องหาอาชพี ท่ีมีรายได้ดีพอมีเหลือเก็บไวใิ ชไี ว้กนิ ยามแก่ อาชีพลูกเรือท่ีเห็น ก็ดู มรี ายได้ดี หรือถา้ ไดเ้ ดินทางไปถงึ สวุ รรณภมู ิ มลี ูท่ างทำมาหากินอย่างอ่นื ทด่ี ีกว่า กจ็ ะไป ประกอบอาชพี ที่น่ัน ชายหน่มุ คิดแลว้ จึงเชา้ ไปสมัครเปน็ ลูกเรือกับเจ้าของเรือ โดยขอนำมารดาตดิ เรือ ไปดว้ ยเพราะไม่มีใครเล้ยี งดู เจ้าของเรือเห็นลักษณะเป็นคนดี ยังมคี วามกตัญฌูตอ่ มารดา ดอั อเปน็ ใหัเ๋ ด้ (ส010นทระทฺทธเยา้ ) ร)'3ร) kalyanamitra.org

บทท่^ื บเจด็ จงึ รบั ไวท้ ำงาน เรอื เดินทางออกจากส่งมาได้ ๗ วันเท่านน้ั กถ็ ูกพายพุ ดั ล่มลง ตา่ งคนตา่ งวา่ ยน้าํ เข้าหาส่ง ส่วนชายหนมุ่ แบกมารดาไว้บนบา่ เกาะไม้กระดานแผน่ หนง่ึ ตะเกียกตะกาย ว่ายนา้ํ มองเห็นเพอ่ื นรว่ มทางจมนาํ้ ตายไปต่อหน้าคนแล้วคนเลา่ ตวั เขาเองก็หมดเร่ียวแรง ขาดสดิจมนัา้ อย่หู ลายครง้ั ทำใหไ้ ด้คดิ ว่า พามารดามาประสบทุกขย์ ากลำบากสาหสั ชีวิตโดยปกติ ก็มที กุ ข์ประจำอยแู่ ลว้ เช่น ตอ้ งหวิ ตอ้ งกิน อิ่มแล้วก็ตอ้ งถ่าย ยงั มีเจบ็ ไข้ ไดป้ ่วย ยังมแี ก่หมดกำลงั วังชา ในท่สี ดุ ก็ตอ้ งตาย ทุกขป์ ระจำดง้ กล่าวน้ีสตั วท์ ง้ั หลายไม่ เคยนกึ ถึง และยงั ไม่มีหนทางแก่ไข แต่กลับต้องพบกบั ทกุ ข์จรอนื่ ๆ อกี อยา่ งชีวติ ของ ตนเองขณะน้ัน ทกุ ขเ์ พราะพบกบั ของทีไมช่ อบ ทุกขเ์ พราะพลดั พรากจากของทช่ี อบ ฯลฯ ชวี ติ เป็นของนา่ กลัว การเกิดเป็นทุกข์ น่าเบอ่ื หน่ายย่ิงนัก ชายหนุ่มคิดอยากพันความทกุ ข์ทง้ั หลายเหลา่ นี้ พร้อมทง้ั เช่อื มนั่ ว่าจะตอ้ งมี หนทางพนั ทกุ ข์ เพราะทกุ อย่างในโลกน้ี มีของตรงกนั ข้ามปรากฏให้เหน็ อยู่ มมี ดี ก็มสี ว่าง มีกลางคืนก็มกี ลางวนั มีร้อนกม็ ีเย็น มจี นมรี วย มดี ีมชี วั่ ดง้ น้ันมีเกดิ แกเ่ จบ็ ตาย ก็จะตอ้ ง มไี ม่เกิด ไมแ่ ก่ ไม่เจ็บ ไมต่ าย มีทุกขก์ จ็ ะต้องมสี ขุ เมื่อมีของแก่กันดงั น้ี ก็จะต้องมีวธิ แี ก่ไขด้วย ชายหนมุ่ คิดถงึ เรือ่ งพน้ ทุกข์ในเวลา ลอยคออยู่ในน้ัาทะเลนั้นเอง คิดปรารถนาพนั ทกุ ขด์ งั นี้ จงึ ต้ังจิตอธิษฐานว่า ถ้าพามารดารอดตายไปได้ จะ ตั้งหนา้ หาหนทางใหพ้ น้ จากการเกดิ แก่ เจบ็ ตาย เมือ่ พบแล้วจะบอกใหเ้ พอื่ นรว่ มโลกรู้ และทำตามให้พันทกุ ขเ์ หลา่ นดี้ ้วย ด้วยมใี จใหญป่ รารถนาดีต่อเพ่ือนรว่ มโลก ชายหนุ่มผ้ทู กี่ ล่าวถงึ จงึ สมควรแกก่ าร ได้ช่อื ใหมว่ ่า “พระโพธสิ ัตว์” การคดิ ช่วยผู้อน่ื เป็นกศุ ลจิตอันย่ิงใหญ่ พลนั ใหช้ ายหนุ่มกลบั มเี รย่ี วแรงรวบรวม กำลงั ว่ายนํ้าพามารดาเข้าถงึ สง่ ภายใน ๒-๓ วนั ต่อมา คนอน่ื ๆ ตายสนิ ในทอ้ งทะเล เม่อื ขน้ึ สง่ แลว้ พระโพธิสัตวไ์ ด้ต้ังหนา้ ทำมาหากินเลีย้ งมารดา และพยายาม กระทำความดตี า่ งๆ ไม่ว่าจะมีอปุ สรรคลำบากยากเขญ็ เพียงใด กไ็ มย่ อ่ ท้อ กระท้งั มารดา สินชีวติ ไปแล้ว พระโพธิสัตว์ยิง่ ทุม่ เทลังสมเพิม่ พูนความดใี หย้ ิง่ ขนึ้ ไปอกี เม่อื ถงึ แก่ความตาย จึงไปบังเกิดในสคุ ติโลกสวรรค์ หมดบญุ กจ็ ุดจิ ากสวรรค์เวยี นวา่ ยตายเกิดอยู่ในภพภมู ิตา่ งๆ เรอื่ ยมานบั ชาตไิ ม่ถ้วน คราวใดทท่ี รงบังเกิดเป็นมนษุ ย์ จะทรงมีพระสตสิ ัมปชัญญะสมบรู ณ์ มีพระปญั ญาเฉียบแหลม มองเห็นทกุ ข์ภยั ในวฏั ฏสงสาร จึงทรงต้งั มน่ั ทำคุณงามความดที ุกวิถีทาง เพ่ือหาทางหลดุ พน้ จากวฏั ฏทกุ ข์ให้ได้ ๑'ว๒ ด้อปเื ป็นให๋ัเดั (ด่ังเชน่ ทระเๅทรเย้า) kalyanamitra.org

บาonระชาดกอ่ นตรัสรู้เป็นทระไคดมสมั มาสบั ทุทธ1จัา ดังพระชาดทิ ่ีเป็นพระเจา้ สัตตตุ าปนะ ทจี่ ะเลา่ ตอ่ ไปนี้ ทระเจาั สืดดุดาปนะ ชาติหน่งึ พระโพธสิ ตั ว์ทรงบังเกิดเป็นมนษุ ย์ตระกูลกษัตรยิ ์ ทนี่ ครสริ ิมดี ทรง พระนามวา่ พระเจ้าสตั ตุตาปนะ ทรงมพี ระราชสมบัตเิ พียบพร้อม แวดล้อมด้วยขา้ ราชบริพาร ท่ีจงรักภกั ดที รงครองราชยด์ ้วยทศพิธราชธรรมประชาราษฎรอ์ ยู่รม่ เยน็ เป็นสุขโดยท่วั หน้า พระเจา้ สตั ตุตาปนะโปรดการประพาสคลอ้ งชา้ งเปน็ อย่างยิง่ วนั หนง่ึ ทรงทราบ ขา่ วเร่อื งมีช้างเผือก จึงเสดจ็ ไปคลอ้ งไดม้ าโดยไมย่ าก โปรดให้นำมาข้ึนระวางเป็น ช้างหลวง ทรงมีรับลังใหค้ วาญชา้ งผเู้ ช่ยี วชาญตำราคชเวท ป็กหัดให้ชา้ งเชือ่ ง ชำนาญพิธี ใช้งานได้อย่างดภี ายใน ๗ วัน พอวนั ที่ ๘ พระองคท์ รงประทบั บนหลงั ช้างเสด็จชมเมอื งจนถงึ เวลาเยน็ ทรง สดับข่าววา่ ในราตรีก่อนมีช้างปา่ โขลงใหญบ่ ุกเช้าทำลายอทุ ยานพังยับเยิน จงึ ทรงช้าง ไปทอดพระเนตร ทันทีที่เข้าเขตพระราชอทุ ยาน ชา้ งทรงของพระองค์ซ่งึ เยอื้ งยา่ งเป็นสง่ามาอย่างดี กพ็ ลนั มอี าการเปลีย่ นแปรไป สลดั ควาญช้างตกลง แล้วตั้งหนา้ วิ่งเตลดิ เข้าป่า แม้พระราชา จะทรงลงทัณฑโ์ ดยพระขอคมกริบเพ่ือบงั คบั ช้างทรงกไ็ มเ่ กรงกลวั ยงั คงวงิ่ ตะลุยฝา่ ดงไม้ ไม่คดิ ชวี ิต พระเจ้าสัตตตุ าปนะ ทรงเห็นวา่ พระองค์อาจถกู ก่ิงไมท้ ำอันตรายถึงแก่พระชนมช์ พี จงึ ทรงคว้ากิ่งมะเดือ่ โหนพระวรกายขึ้นประทบั อยบู่ นกงิ่ ไมพ้ น้ อันตรายในคร้ังกระนน้ั เมอ่ื ทรงซกั ถามควาญช้างถึงสาเหตุ ควาญชา้ งกราบทูลวา่ เปน็ เพราะช้างเผือก ไดก้ ลิ่นนางช้าง จึงเกดิ มัวเมาด้วยไฟราคะ ลืมสินทกุ ล่ิงทกุ อยา่ งแมแ้ ต่ความเจบ็ ปวด เมือ่ ไดพ้ บนางช้าง และสำเร็จกจิ ตามประสงคแ์ ล้ว จะเช่ืองและกลับมาอยู่ในอำนาจมนตต์ ามเดมิ เหตกุ ารณเ์ ป็นไปตามท่คี วาญช้างกราบทลู ช้างเผอื กเชอื กนัน้ ในไมช่ ้ากก็ ลับมา ควาญชา้ งลังใหท้ ำลื่งใดก็ยอมทำ แมก้ ระท่ังใหเ้ อางวงถอื ก้อนเหล็กทีเ่ ผาไฟจนแดง ช้างก็ ทำตาม พระราชาทรงสลดพระทัย เห็นโทษภยั ของไฟราคะว่าร้อนแรงนกั กอ่ ให้เกดิ ภัย อนั ตรายใหญห่ ลวง มนตก์ ็สะกดไมอ่ ยู่ ไฟราคะนเ้ี องตรีงสรรพสัตว์ให้ติดอยู่ในวฏั ฏสงสาร ทรงดำริออกจากกาม ใหพ้ น้ จากอำนาจของราคะ จงึ ทรงสละพระราชสมบตั อิ อกบวชเปน็ ฤๅษี ประพฤตพิ รหมจรรย์จนสนิ อายุขัย ไปบงั เกิดในสุคตโิ ลกสวรรค์ จากน้นั ก็เวยี นว่ายตายเกดิ อกี นานแสนนาน จงึ บงั เกดิ ในตระกลู พราหมณ์ เปน็ พระพรหมดาบส ตอ้ งเป็นให้ไต้ (ดง่ เชน่ ทระทุทรเจา) ๑๖๓ kalyanamitra.org

1เทท่บี เจด์ ทระทรหมดาบส พระชาตหิ น่ึงพระโพธิสตั ว์ทรงบังเกิดเปน็ ลูกชายในตระกูลพราหมณช์ ื่อพรหมกุมาร ศกึ ษาสำเร็จไตรเพทแล้ว เปน็ อาจารย์สอนลูกศษึ ย์ ๕๐๐ คน เมื่อบิดามารดาสนิ ชวี ติ แลว้ พรหมกุมารนำทรัพย์สมบัตอิ อกบริจาค แลว้ ออกบวชเป็นฤๅษี คษิ ย์ท้ัง ๕๐๐ ได้พากัน ทยอยบวชตามมาอยู่ดว้ ย หัวหน้าคิษยท์ ้ังหมดในคร้ังนนั้ คือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธสิ ัตว์วันหนึง่ ขณะทีเ่ หล่า คษิ ย์พากันออกไปเท่ยี วหาผลไมม้ าบรโิ ภค พระพรหมดาบสไดไ็ ปกับคษิ ย์ทีเ่ ป็นหัวหน้า สอง คนปีนปา่ ยข้ึนไปบนภเู ขาปัณทระ เมื่อมองลงไปที่เชิงเขา ดาบสทั้งคู่เห็นเสอื แมล่ กู ออ่ นเพืง่ คลอดลูกได้ ๒-๓ วัน กำลงั หวิ จดั แมเ่ สอี มองจ้องลูกเขม็งเหมอื นเตรยี มจะขย้าํ กินเปน็ อาหาร พระพรหมดาบสเห็นแล้วสลดใจ เห็นทุกขภ์ ยั ในการเกดิ เปน็ สตั ว์โลก มีแตก่ าร เบยี ดเบยี นกนั เพื่ออยรู่ อด ไมเ่ ว้นแม้แต่จะเกิดเปน็ แมล่ กู กนั ตราบใดถ้ายังตอ้ งเวยี นว่าย ตายเกดิ จะตอ้ งหนไี ม่พน้ การเบยี ดเบียนนำทุกขม์ าใหแ้ ก่กนั และกนั พระดาบสเหน็ ใจในความหิวโหยของแมเ่ สอื ทย่ี ังไมม่ ีกำลังออกไปหาเหย่ือ และกม็ ี ความกรุณาในชีวติ นอ้ ยๆ เพงึ่ เกิดของลูกเสอื จึงคดิ บำเพญ็ ปรมตั ถทานบารมี สละชวี ิตตน เพ่อื ให้ชากศพเปน็ ทาน แมเ่ สือกนิ แลว้ จะได้หายหิวหลายวัน พอใหร้ า่ งกายมีกำลงั ลกู เสอื เองกจ็ ะมีความปลอดภัยในชวี ติ เสอื แม่ลกู จะไดไม่มีเวรตอ่ กนั คิดดงั นน้ั แล้ว พระดาบสจงึ แสรง้ ใชห้ วั หนา้ คิษย์ทมี่ าดว้ ยกันให้ไปเทยี่ วหาชากสัตว์ ทอี่ าจมใี นบรเิ วณน้ันมาให้แม่เสือ เมอ่ื ดาบสผเู้ ป็นคิษยเ์ ดนิ ไปลบั ตา พระพรหมดาบสก็ อธิษฐานจติ เอาอำนาจปรมตั ถทานบารมีของตนคร้ังน้ี เปน็ ปัจจยั เก้ือหนุนใหบ้ รรลุ พระสัมมาสัมโพธญิ าณในเบื้องหน้า แลว้ ตดั สินพระทยั กระโดดลงมาสนิ ชีวติ ท้ิงรา่ งไว้ ต่อหน้าแมเ่ สือ แม่เสอื จงึ เลกิ คิดกินลกู ของมัน หันมากินรา่ งพระโพธิสตั ว์แทน การกระทำครง้ั นเ้ี รยี กวา่ พุทธการกธรรม เปน็ การกระทำทท่ี ำได้ยากยงิ่ สามารถ สละสงิ ท่ีทำไดย้ าก เพอ่ื ปรารถนาการตรัสรเู้ ป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ เปล้อื งทกุ ขใ์ ห้ ตนเองและสัตวโ์ ลกใหจ้ งได้ พระพรหมดาบสสินชวี ติ แลว้ ไปบังเกดิ ในสุคตเิ ทวโลก สนิ บุญจากภพนน้ั ก็มาเวียน ว่ายตายเกิดอกี เรอ่ื ยมา จนถงึ ชาติหนึง่ มีความประมาททำอกศุ ลกรรม กาเมสมุ ิจฉาจาร ต้องไปเสวยทุกข์ในนรกอเวจเี ปน็ เวลาชา้ นาน ทำให้เสยื เวลาในการสรา้ งบารมี ชาตทิ ีว่ า่ น้ี คอื ชาติทเี่ กิดเป็นชายหนมุ่ มีอาชพี เปน็ ช่างทอง ๑๖๔ ดองเปน็ ใหเดั (ดงั่ เท่บทระททรเจา) kalyanamitra.org

บา0ทระชาตก่อนตรสั ร้เู ปน็ ทระโคดมสมั มาสมททฺ รเจ้า มานทชา่ งทอง พระโพธิสัตวช์ าตทิ ี่เกิดเปน็ ลกู ชายช่างทองน้ันด้วยกศุ ลวิบากในการรกั ษาคีลมาเป็น อยา่ งดี ทำใหม้ รี ูปรา่ งหนา้ ตาสวยงาม บคุ ลกิ สงา่ งามสมชายชาตรี ยงั มัฝืมือใน การทำเคร่อื งประดับทองคำเป็นเลิศ ไม่มTี เมือชา่ งทองผใู่ ดเสมอเหมือน มีชือ่ เล่อื งลือไป ในทท่ี ้งั ปวง ในเมอื งนัน้ มีเศรษฐผี หู้ นึง่ จะจัดพธิ ีแตง่ งานใหธ้ ิดา จงึ ใคร่ทำเคร่ืองประดบั เปน็ ของขวัญให้ ไดเ้ รียกชา่ งทองหนุ่มไปพบเพอื่ ตกลงราคา คร้นั ได้เหน็ รปู รา่ งหน้าตาของ ชา่ งทองแลว้ ก็เกิดความหวน่ั เกรงว่า ถา้ ธิดาของตนเหน็ ช่างทองเขา้ จะตอ้ งหลงรัก และขอ เลิกพธิ ีแต่งงานอย่างแน่นอน จงึ ขอตกลงใหช้ า่ งทองทำเครือ่ งประดบั โดยใหเ้ หน็ มอื และ เทา้ ลกู สาวของตนท่ยี น่ื ออกมาจากผ้ามา่ นเท่าน้ัน ชา่ งทองตกลง แตธ่ ดิ าของเศรษฐมี คี วามสงสัยวา่ เหตใุ ดบดิ าจึงตอ้ งใขว้ ธิ ีกัน้ มา่ น ไมใ่ ห้เหน็ หน้า ซ่ึงกนั และกัน เมอื่ ไดโ้ อกาสนางจึงแอบดู คร้นั เห็นแลว้ ก็เกดิ ความรกั ท่วมทน้ จับใจ ไม่ สามารถนึ่งเฉยอยูไ่ ด้ จึงเขยี นจดหมายขอนัดพบท่ีสวนหลงั บา้ น ในเวลาดกึ เมือ่ ผคู้ นใน บา้ นนอนหลบั กันหมดแลว้ ช่างทองไดไ้ ปพบตามนดั แตเ่ นื่องจากอ่อนเพลียจากการทำงานในตอนกลางวัน จงึ เผลองีบหลบั ไป เมื่อตืน่ ขนึ้ มาก็พบภาชนะใสอ่ าหารอย่างประณตี วางอยู่ แสดงว่าธดิ า เศรษฐมี าแล้ว แต่เห็นตนกำลงั หลบั จึงไมป่ ลุก (สมัยนัน้ การปลุกคนหลบั ถือว่าบาป) นาง กลบั ไปเสียกอ่ น วันท่สี อง ธดิ าเศรษฐีก็ขอนดั พบใหม่ทำนองเดียวกนั ชายหนมุ่ ก็ไปตามนัดและ นอนหลับอกี แบบเดมิ พอวนั ที่สาม ชายหนมุ่ ตืน่ มาเห็นนางกำลังเดนิ กลับ เรยี กไม่ทนั แต่กเ็ ห็นว่าธิดา เศรษฐีนั้นเป็นสตรที ีม่ ีความสวยงามมากชา่ งทองหน่มุ เกดิ หลงรกั นางเป็นทส่ี ุด แตไ่ มส่ ามารถ แกป้ ญั หาอะไรได้ เพราะในวันร่งุ ข้ึนนางไดเ้ ข้าพธิ แี ตง่ งานไปเสยี แล้ว ต่างฝา่ ยจงึ ไดแ้ ต่ เสยี ใจใฝ่ฝืนถงึ กนั และกนั แม้ฝ่ายหญงิ จะแตง่ งานไปกีเ่ ดือนกว่ี ันกต็ าม ชา่ งทองหนุม่ ไม่หายรกั นาง มแี ต่ .? nr/L ความทุกขท์ ุรนทรุ าย ในท่ีสดุ จงึ คิดอบุ ายทำเคร่ืองประดบั ทีส่ วยท่สี ดุ ไปถวายพระอุปราช ป^1 ของนครนั้น กราบทูลเลา่ เรื่องทกุ ขร์ ้อนของตนใหท้ ราบ พระมหาอปุ ราชพอใจในเคร่ืองประดบั ทน่ี ำมาตดิ สินบนมาก เพราะไมเ่ คยมี ไม่ ~' เคยเห็นของทงี่ ดงามอย่างน้มี าก่อน แทนทจ่ี ะทรงตักเตอื นหา้ มปราม กลบั ให้ความเห็นอก - cX ำ_ ไน^่ '!*’ เห็นใจ ทรงใหช้ า่ งทองแตง่ กายเปน็ หญงิ อ้างว่าเป็นพระกนิษฐภคนิ ี(นอ้ งสาว) นำไปฝากไว้ กบั เศรษฐีขอใหอ้ ยู่ร่วมหอ้ งกบั ธิดาเศรษฐี โดยหา้ มฝ่ายสามขี องนางมาเกี่ยวข้องด้วยชว่ั คราว 1ร ตอั อเนินใหเั๋ ด้ (ลังเช่นทระททธเจ้า) ๑๖๕ kalyanamitra.org

บททื่^บเจ็ด จนกว่าพระมหาอปุ ราชจะกลบั จากราชการในชนบท คนทั้งสองได้ประกอบกรรมกาเมสุมิจฉาจารกนั เปน็ เวลานานถึง ๓ เดือน โดยไมม่ ี ใครล่วงรู้ แลว้ พระมหาอปุ ราชจึงมารับกลับ ดว้ ยบาปกรรมทช่ี ายหนุ่มไม่ได้พบกัลยาณมติ รกลับพบบาปมิตรเช่นพระมหาอปุ ราช จงึ ประกอบอกุศลกรรมหนกั เปน็ เหตุใหต้ ายแล้วไปอยอู่ บายภูมิท้งั ๔ คอื นรก เปรตอสรุ กาย ดิรจั ฉาน นานถงึ ร)๔ กปั ยังมีเศษกรรมเหลือค้าง ให้ตอ้ งเกิดเป็นลา เปน็ โค เป็นคนพิการ หูหนวกตาบอดแต่กำเนดิ เป็นกะเทย เปน็ ผูห้ ญิง อย่างละ ๕๐0 ชาติ แม้เปน็ หญงิ แลว้ ก็ ยงั ต้องรบั โทษ เป็นโสเภณบี า้ ง ถูกข่มขนื บา้ ง ป่วยดว้ ยโรคเกย่ี วกบั อวยั วะเพศบา้ ง กวา่ จะ ไดเ้ ป็นผู้หญิงดีๆ กน็ านแสนนาน การตอ้ งไปรบั ผลกรรมเป็นเวลานานมากเหลา่ นัน้ ทำให้เลืยเวลาสร้างบารมี เปน็ อนั มาก เหมือนเดนิ ทางถอยหลงั พระชาติของพระโพธสิ ตั วท์ ่เี กิดเป็นชา่ งทองนี้ เปน็ ตวั อยา่ งอันดี ให้เหน็ โทษของ ความประมาท สอู้ ุตส่าห์สะสมบารมมี านับเวลายาวนานเปน็ กัปๆ เมอื่ ประมาทยอ่ มพลาด ไปทำความช่ัว เสียเวลารับผลกรรมช่ัวเปน็ กัปๆ เหมือนกนั การทำความดีอะไรก็ตาม จงึ จำเป็นตอ้ งตัง้ อธิษฐานจติ ลอ้ มตนเองไร้ให้มั่นคงว่า ขอให้บญุ กศุ ลท่ีกระทำน้ันเป็นปจั จัย ให้ถงึ มรรคผลนพิ พานเลกิ เวยี นวา่ ยตายเกิดและนับแตน่ ้ตี อ่ ไปใหส้ ร้างแตบ่ ุญกุศลอย่างเดียว ความชว่ั แม้น้อยนิดเพียงใด กข็ ออยา่ ไดก้ ระทำ ใหท้ ำดรี ดุ หนา้ จนกว่าจะเขา้ พระนพิ พาน หลงั จากพระโพธิสตั ว์ทรงใชห้ นีก้ รรมเบาบางลงแล้ว กท็ รงต้ังหนา้ บ้าเพ็ญเพยี รต่อไป ไม่ยอ่ ทอ้ กระท้งั ชาติสดุ ทา้ ยทจี่ ะหมดเวรกาเมสมุ ิจฉาจาร ได้เกดิ เปน็ พระราชธดิ าของ พระเจา้ สุปปบตุ ร แหง่ นครจัมปาวดี มีพระนามว่าเจ้าหญิงสมุ ติ ตาเทวี ทรงเปน็ พระนอ้ งนาง ต่างมารดาของสมเด็จพระปรุ าณทปี งั กรสมั มาสมั พทุ ธเจ้า แมจ้ ะทรงเกดิ ในตระกลู สูง แต่ การมเี พศเป็นสตรี ก็ไม่เอ้อื ใหแ้ สวงโมกขธรรมได้สะดวก เจาั หญอสมุ ดตา เทว สมเด็จพระปรุ าณทปี ังกรสมั มาสัมพทุ ธเจ้าผ้เู ปน็ พระเชษฐาของเจา้ หญงิ สุมติ ตาเทวี น้นั ทรงบำเพ็ญบารมมี าแล้ว ร)'ว อสงไขยแสนกปั ชาตทิ ตี่ รัสรู้นีท้ รงครองเพศฆราวาสอยู่ ในโลกยิ สขุ นานถงึ หน่ึงหมนื่ ปี จึงทรงทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คอื คนแก' คน เจบ็ คนตาย และสมณะ ทรงสลดพระทัยแล้วเสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณี ทรงทำความเพยี ร อยูเ่ พยี ง ๗ วนั กท็ รงบรรลุพระสัพพัญฌตุ ญาณ สำเร็จเปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งนน้ั พระโพธสิ ตั วช์ ื่อปจั ฉิมทปี ังกรออกบวชเป็นภกิ ษสุ าวกอยดู่ ้วย มคี วาม ๑๖'ว ตอ้ 0เปน็ ไห้เด้ (ตปเ็ ฒท่ ระnทธเย้า) kalyanamitra.org

บาดกระชาตก่อนตรสั รูเปน็ ทระโคดมสมมาสับททุ รเนา้ พากเพียรปฏบิ ัติจนไดฌ้ าน อภิญญา สมาบตั ิ ไม่ตอ้ งการบรรลุเป็นพระอรหันต์ ใคร่จะเปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองค์หนึ่งในอนาคต จึงบำเพญ็ ความดตี า่ งๆ ใหย้ ง่ิ ข้ึน วนั หน่ึง ตงั้ ใจจะจดุ ประทปี โคมไฟในตอนกลางคนื ใหส้ วา่ งไสวตลอดคนื บชู าพระปรุ าณทปี งั กร- สัมมาสมั พทุ ธเจา้ และเหล่าภิกษสุ งฆท์ ่มี ารว่ มประชุมกัน พระโพธสิ ตั วน์ ั้นจงึ เทย่ี วออกเดินบณิ ฑบาตน้ํามนั เพือ่ ไปใส่ในดวงประทปี จนเยน็ แลว้ ก็ยังไมไ่ ดน้ ้าํ มันเลยแมแ้ ตห่ ยดเดียว แต่ก็'ไมส่ ินความพยายาม จงึ ไปยืนบิณฑบาตอยู่ทปี่ ระตู วงั ใกล้ตำหนกั พระราชธดิ าสมุ ติ ตาเทวี พระราชธิดาทอดพระเนตรเหน็ รับสงั ให้นางกำนลั ไปถามความประสงค์ ทรงทราบแลว้ เจ้าหญงิ ทรงถวายนํ้ามันเมล็ดพนั ธผุ ักกาดทที่ รงมีอยู่ ทัง้ หมด พร้อมท้ังทรงฝากข้อความเพ่ือทูลถามพระบรมศาสดา ผทู้ รงเปน็ พระเชษฐาวา่ พระนางปรารถนาจะเกิดเป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ บา้ งจะสำเร็จหรอื ไม่ โดยปกติแล้ว พระสมั มาสมั พุทธเจา้ จะไม่ทรงพยากรณเ์ รอื่ งนี้แก่สตรเี ป็นอันขาด เพราะไมใ่ ชว่ ิสยั กระทำได้ เพศสตรีเปน็ เพศทอี่ อ่ นแอ มใี จคอคับแคบ โลเลงา่ ย จะประทาน 'พทุ ธพยากรณ์แก่มนุษยเ์ พศชายทส่ี ังสมบารมีมาดีแล้วมธี รรมสโมธานครบ๘ ประการ เชน่ อย่ใู นเพศบรรพชิต เปน็ ต้น พระปรุ าณทีปังกรสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั พยากรณ์ให้เฉพาะพระโพธิสตั วป์ ัจฉิม- ทีปงั กรเท่านั้น ว่าจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองค์หนึง่ ในอนาคตกาลภายภาค เบอื้ งหนา้ ส่วนเจา้ หญงิ สมุ ติ ตาเทวี ชาตินีย้ ังพยากรณ์ไมไ่ ด้ แต่ในชาติใดที่พระปัจฉมิ - ทปี งั กรสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงอบุ ัติข้นึ พระพทุ ธเจา้ พระองคน์ ัน้ จะทรงพยากรณใ์ ห้เจ้าหญงิ เอง เพราะในชาตนิ นั้ พระนางจะเกดิ เป็นเพศชาย มคี ณุ สมบัตคิ รบ ควรได้รบั สทั ธเทศ (คำพยากรณ์)แลว้ เม่อื เจ้าหญิงสุมิตตาเทวีทรงทราบว่า ในอนาคตอกี รุ)'จ อสงไขยแสนกปั จะทรงได้ รับพทุ ธพยากรณ์ สว่ นชาดนิ ี้ทรงอาภัพท่ตี ้องเป็นสตรเี พศ พระราชธิดาทรงสลด พระทัยเปน็ ย่งิ นัก จงึ เรง่ บำเพ็ญบารมตี า่ งๆ ได้แก่ ถวายทานตอ่ พระภิกษสุ งฆท์ ั้งหลาย มี พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเป็นประธาน ทรงสมาทานคีล ๘ ประพฤติพรหมจรรย์ และหมัน่ เจริญภาวนา ตราบจนสินพระชนม์ แลว้ บงั เกิดในสคุ ตโิ ลกสวรรค์ พระชาติน้ีนับเปน็ พระชาตแิ รกที่พระโพธสิ ตั วข์ องเราทรงบงั เกิดขน้ึ พบกับ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้านบั แต่ทรงแสวงหาทางหลุดพน้ เปน็ ต้นมาทำให้ทรงมกี ำลงั ใจใหญห่ ลวง มพี ระอตุ สาหะ วิริยะ ทจ่ี ะเป็นพระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระองค์หนึ่งบ้างให้จงได้ และไดท้ รง บังเกดิ ตอ่ มาอกี นานนบั ภพนบั ชาติไม่ได้ แตล่ ะชาตกิ ็ทรงบำเพญ็ บารมดี า้ นตา่ งๆ เรอื่ ยมา จนถงี พระชาติหนงึ่ ทรงอุบตั ิเปน็ กษัตรยิ ์ทรงพระนามวา่ พระเจา้ อดเิ ทวะ ดัอปฝื น(ห'เดั ((ทเชน่ ทระทฺทรเยา้ ) ๗ร)ุ '3 kalyanamitra.org

บทที่^บเจ็ด กระเยา้ อต!ิ ทวะ สมัยหนึ่งพระพรหมเทวสัมมาลม้ พุทธเจ้าเสดจ็ อบุ ัติขึน้ พระองค์ทรงบำเพญ็ บารมีมาครบ ๑'3 อสงไขยแสนกัป จึงได้ตรสั รู้ ขณะเสด็จพทุ ธดำเนนิ ไปยังมฤคทายวัน ซ่งึ อยูใ่ กลน้ ครกรณั ฑกะ เพอื่ ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสตู ร ตามพทุ ธประเพณแี ต่ เดมิ มา ของพระสัมมาสมั พุทธเจ้าทกุ พระองค์ พระบรมศาสดาเสด็จผา่ นใกลพ้ ระราชฐานของ พระเจา้ อดเิ ทวะ ผู้ครองนครกรัณฑกะ พระรศั มกี ายของพระตถาคตเจ้าฉายเจดิ จ้า กระทบจกั ษุประสาทของพระราชา จน เปน็ เหตใุ ห้ทรงตกตะลีงพรงึ เพรดิ มพี ระอาการ สะดุ้งตกพระทัยกลัวเปน็ อย่างยิง่ เพราะทรงไม่รจู้ ักพระพทุ ธเจ้าวา่ ทรงเป็นผู้มคี ุณมโี ทษ ประการใด เวลานนั้ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสตั ว์ บงั เกดิ เป็นราชปโุ รหติ ซ่ือว่า สริ ิคตุ ตะ ทำ หน้าทถ่ี วายอรรถธรรมประจำราชสำนกั ได้เหน็ พระอาการของพระราชา จึงกราบทูลให้ ทรงทราบว่า ผูม้ พี ระรศั มีกายแปลบปลาบงดงามนัน้ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ้ทู รง พระคุณอันยงิ่ ใหญ่แกส่ ัตวโลก เปน็ ผู้เลิศในโลก สนิ กิเลสอาสวะ ทรงหกั กำกงแหง่ วัฎฏสงสารไดแ้ ล้ว ไมก่ ลบั มาเวียนว่ายตายเกดิ อกิ ฯลฯ พระเจา้ อดเิ ทวะทรงทราบความแลว้ ทรงเกดิ ศรัทธาเลื่อมใสในพระบรมศาสดา ได้เสด็จไปถวายนมัสการด้วยเครอื่ งสักการะต่างๆ ทรงตง้ั พระทัยปรารถนาพทุ ธภูมิดงั เชน่ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองค์น้นั ทรงสดบั พระธรรมเทศนาแล้วมพี ระทยั เบกิ บานเป็นยิง่ นัก นับแต่น้นั มาก็ทรงบริจาคทาน สมาทานอโุ บสถคลี ประพฤตพิ รหมจรรยเ์ ป็นอาจณิ ทรงยนิ ดีในกศุ ลธรรมทงั้ ปวง มไิ ดเ้ บอ่ื หนา่ ย จนสินพระชนม์ พระชาดนิ ี้นับเป็นพระชาติแรกที่ทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ล พร้อมตง้ั มโนปณธิ าน (ต้ังความปรารถนาไว์ในใจ) จะเป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าพระองค์หนึง่ ในอนาคต โดยยงั ไม่ ไดท้ รงเอย่ พระวาจาให้ผ้ใู ดล่วงรู้ และทรงกระทำดงั นท้ี กุ ๆ ชาตเิ รื่อยมา เปน็ เวลานานถงึ ๗ อสงไขยกปั ได้พบพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้ารวมทง้ั ลนื่ ๑๒๕,๐0๐ พระองค์ หลังจากนั้น จงึ ทรงลัน่ พระวาจาด้วยความกล้าหาญ ทรงขอปรารถนาเปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ พระองคห์ นึ่ง ต่อพระพักตรข์ องพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทุกๆ พระองค์ ท่ที รงพบทุกพระชาติ การเปล่งวาจาปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ พระองคห์ นงึ่ ในอนาคต ต่อ เบ้อื งพระพักตรข์ องพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทีได้พบกนั นัน้ ไม่ใช่ผู้เปลง่ วาจาจะได้รับ พทุ ธพยากรณเ์ สมอไป ถา้ หากผ้นู ัน้ ยังมธี รรมสโมธานไมค่ รบถว้ นทัง้ ๘ ประการแล้ว พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าพระองคน์ ้ันจะตรัสเพยี งอนุโมทนาและประทานพระโอวาทให้กำลังใจ ไมท่ รงกล่าวพยากรณว์ ่าจะไดเ้ ป็นเมอ่ื ใด <ร)ิ ๖£ ตอั อเป็นให!ด (ดงเชน่ กระ:ททธเจา) kalyanamitra.org

บาonระชาตก๊ อ่ นดรasเป็นทระโคดมสมั มาสับททุ ธ1จาั ธรรมสโมธาน ๘ ข้อน้ัน ได้แก่ ร). ไดเ้ กดิ เป็นมนุษย์ ๒. เปน็ เพศชายโดยสมบูรณท์ ัง้ กายใจ ๓. มอี ุปนิสยั วาสนาบารมีที่สงั สมไวม้ ากพอทีจ่ ะเปน็ พระอรหนั ตไดใ็ นขณะนัน้ ๔. มโี อกาสพบพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๕. มเี พศเปน็ นกั บวช ในขณะพบพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ๖. สามารถบำเพ็ญภาวนาจนไดฌ้ านสมาบตั ิ ๗. สามารถบำเพ็ญบญุ ญาภสิ มภารอนั ยิง่ ยวด แมถ้ งึ ตายกย็ นิ ยอม ๘. มฉี นั ทะ ความพอใจในพระสพั พญ้ ฌตุ ญาณอยา่ งแรงกลา้ การมีธรรมสโมธานครบ ๘ ขอ้ ดังกลา่ วแล้วนี้ เป็นคณุ สมบัติของผู้สมควรไดร้ ับ พุทธพยากรณค์ รงั้ แรก สำหรับผู้เคยไดร้ ับพระพุทธพยากรณ์ในอดตี ชาตมิ าแลว้ เม่ือมาเกิดใหม่ แม้มี ธรรมสโมธานไม่ครบ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทีไ่ ดพ้ บในชาติต่อๆ มา กท็ รงกลา่ วพุทธพยากรณ์ ให้ เพราะผูใ้ ดทีเ่ คยไดร้ บั พทุ ธพยากรณแ์ ลว้ จะเปน็ นติ ยโพธิสัตว์ พระโพธิสตั วท์ ี่ เทยี่ งแท้ แน่นอน ทจ่ี ะได้เปน็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอยา่ งอนื่ ดอั งเป็นให๋ั!ดั (ส่งั เชน่ ทระททฺ รเยา้ ) ร)ุ ๖๙ kalyanamitra.org

พระชาตติ ่างๆ ของพระโพธสิ ตั วก์ อ่ นได้รบั พทุ ธพยากรณ์ ๑๗๐ ต้องเปน็ ให้ได้ (ดป่ เื ชน่ ทระททฺ รเยา้ ) kalyanamitra.org

บทท่^ี บแปด ทร01ปลo่ nระ:วาจาปรารถนาทฺทรก0 และเดัรับททุ รทยากรณ บทท ๐๘ ทรOldลอ่ ทระวาจาปรารกนาทุท8ภูม และไดรั ขั ททุ รทยากรณ ทระสาครชกั รทรรดิราช เมปพ็ ระเจ้าอดเิ ทวะสวรรคตแล้วไดท้ รงท่องเทีย่ วเกดิ เปน็ มนษุ ย์บ้าง เปน็ เทวดา บ้างนบั พระชาติไมถ่ ้วน กระทัง่ ถึงเวลาหน่ึงเป็นสุญญกปั ไม่มีพระสมั มาลม้ พุทธเจา้ มาตรัสรู้ พระโพธิสัตวข์ องเรามาเกดิ เป็นมนุษยธ์ รรมดา บรรพชาเป็นดาบสอยู่ในป่าทิมวันต์ เพยี ร ภาวนาจนไดป้ ฐมฌาน ตายแล้วไปบงั เกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกมาบังเกิดใน ราชตระกูล ณ ธัญญวดีนคร ทรงพระนามวา่ พระสาครจักรพรรดิราช เสวยราชสมบตั ิ ในทวปี ท้ัง ๔ ครองแผน่ ดินด้วยทศพธิ ราชธรรม ประชาชนอยู่ร่มเยน็ เปน็ สุขทั่วหน้า ในวนั อโุ บสถพระองค์ทรงถอี คลี อโุ บสถอยูเ่ นอื งนิจบญุ จึงบนั ดาลให้สัตตรตั นะแก้ว ๗ ประการ บังเกดิ ขึน้ แก่พระองค์ ไดแ้ ก่ จักรแก้ว ช้างแกว้ ม้าแกว้ แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแกว้ และขนุ พลแกว้ เวลานนั้ เองสมเดจ็ พระปรุ าณศากยมนุ ืโคตมสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ทรงบำเพญ็ บารมี มาครบ รุ)๖ อสงไขยแสนกปั เกดิ ในจักรพรรดริ าชตระกลู เสวยโลกยี สุข ในฆราวาสอยู่หา้ พันปี ทรงเบ่ือหนา่ ยเสด็จออกมหาภิเนษกรมณี ทรงบำเพญ็ เพียรอยู่ ๘ เดอื น จึงตรัสรู้ เปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ขณะทพี่ ระองค์ทรงแสดงพระธมั มจักกปั ปวัตตนสตู รตามพทุ ธประเพณี เปน็ เหตุ ใหเ้ กดิ โกลาหล แผ่นดินไหวใหญ่ท่ัวโลกธาตุ ทำให้จักรแก้วของพระเจา้ สาครจักรพรรดิ พระโพธสิ ตั ว์เคล่ือนตกจากทตี่ ง้ั ธรรมดาการท่จี กั รแก้วจะเคลอื่ นจากทไี ดเ้ อง มสี าเหตุอยู่ ๒ ประการ คอื ร)ุ . จะมีอนั ตรายตอ่ พระชนมช์ ีพของพระเจ้าจักรพรรดิผู้เนนิ เจ้าของ ๒. มพี ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเสด็จมาอบุ ตั ขิ ึ้นในโลก เหลา่ โหราจารย์ตรวจดแู ลว้ ลงมตวิ ่า เปน็ เพราะมีพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงบังเกิด ข้ึน พระสาครจักรพรรดริ าชทรงมปี ีดโิ สมนสั ตรัสสง่ั ให้เตรียมเครอ่ื งสกั การะเป็นอนั มาก ตอ้ งเป็น(ฯเดั (ลป์ ืเชน่ ทระททรเจ้า) ๑๗๑ kalyanamitra.org

บทที่บแปด พรอ้ มดว้ ยขา้ ราชบริพารเป็นขบวนยาวถงึ ๑๒ โยชน์ มายงั สำนกั พระสมั มาสม้ พทุ ธเจา้ ถวายอภิวาทและทำการสักการบูชา ทรงสดบั พระธรรมเทศนาแล้วย่ิงเพ่มิ ความปตี ิเลือ่ มใส ตรสั สงั ใหส้ ร้างเสนาสนะตา่ งๆ เช่น วิหาร กุฏิ ศาลา ฯลฯ อยา่ งละแสน ส่วนพระคนั ธกุฎี ทำดว้ ยแก่นจนั ทน์อนั เปน็ ไม้มีกล่นิ หอม ครัน้ แลว้ จึงถวายเปน็ สหัสสทานแดพ่ ระภิกษุสงฆ์ มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประธาน พร้อม ทรงเปลง่ พระวาจาว่า ดว้ ยอานสิ งสผ์ ลทานครัง้ นี้ ขอใหพ้ ระองค์ไดส้ ำเรจ็ เป็นพระสัมมา- สัมพทุ ธเจ้าในอนาคต ใทม้ ีพระนามวา่ โคตมะ ดงั เชน่ พระนามของพระสัมมาสมั พุทธเจ้า พระองคน์ น้ั พระปรุ าณโคดมสมั มาสัมพุทธเจ้า ตรสั เตือนพระทัยพระเจ้าสาครจกั รพรรดริ าชว่า การสรา้ งบารมีเปน็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าน้ันยากลำบากมาก มอี ปุ สรรคหนักหนาสาหัส อปุ มา แล้วเหมือนตอ้ งเดนิ ทางเทา้ เปลา่ ไปบนเถา้ ถา่ นรอ้ นระอุจากฟากหนึ่งของจกั รวาล ไปยงั อกี ฟากหนึ่ง ซงึ่ เป็นระยะทางยาวไกล หรือเหมือนเดินตะลยุ เท้าเปล่าฝา่ ถ่านเพลงิ ทม่ี ี ไฟลุกโชตชิ ่วงข้ามไปอกี ฟากหนงึ่ ของโลกธาตุ หรอื เหมือนว่ายไปในนาํ้ ทองแดงที่รอ้ นระอุ ละลายเหลวระหวา่ งซอกภเู ขาเหลก็ ท่ลี ุกเปน็ ไฟโพลงอยู่ ไมร่ ้ดู ับ เรียงรายไปตลอดระยะ ทางขา้ มไปอกี ฟากหนึง่ ของจกั รวาล ผปู้ รารถนาพุทธภูมิ จะต้องมีนี้าใจกลา้ หาญทำตามดังทอ่ี ุปมานน้ั ได้ โดยมิอาลัย เลอื ดเนอ้ื และชวี ติ จึงจะพอประสบความสำเร็จ พระเจา้ สาครจกั รพรรดิราช แม้ได้สดับอุปมาตา่ งๆ ดังนีแ้ ลว้ กท็ รงยนื ยันด้วย พระทยั ตง้ั มนเด็ดเดย่ี ว ตรัสย้าํ วา่ แม้จะตอ้ งบุกฝา่ ผา่ นอเวจมี หานรก พระองคก์ จ็ ะเสดจ็ ไปใหจ้ งได้ สมเด็จพระปุราณศากยมุนโี คตมสมั มาสัมพุทธเจ้าทรงเหน็ ถึงความตง้ั พระทยั ม่นั คง ดังนั้น จึงทรงพจิ ารณาไปในอนาคตงั สญาณก็ทราบชัดวา่ พระราชาผยู้ งิ่ ใหญน่ จ้ี ะสำเรจ็ กิจสมพระหฤทัยในเวลาตอ่ ไปอกี ๑๓ อสงไขยแสนกัป แตเ่ น่อื งจากพระชาดิน้ยี ังมธี รรม- สโมธานไมบ่ ริปูรณ์ คอื ยงั ไม่ใช่บรรพชติ จงิ มิได้ตรสั พยากรณ์ เพยี งแต่ทรงขอใหพ้ ระเจา้ - สาครจกั รพรรดริ าชทรงต้ังพระทยั ปฏิบตั พิ ุทธการกธรรมให้ย่งิ ๆขึ้นไปไดแ้ กก่ ารบำเพญ็ บารมี ๑๐ ประการ ทั้งข้ันธรรมดา(ระดบั ต้น) ระดบั กลาง และระดบั สงู สุด เรียกว่าสมดึงสบารมี รวมทงั้ บำเพ็ญปญั จมหาบริจาค คือบรจิ าคล่ีงสำคัญ ๕ ประการ มี ทรพั ย์ บตุ ร ภรรยา กาย และชีวิต เมอ่ื บำเพญ็ ได้สมบรู ณค์ รบถ้วนดงั นแ้ี ลว้ จงึ จะสามารถสำเรจ็ เปน็ พระสมั มา- สัมพทุ ธเจ้าได้ พระเจ้าสาครจักรพรรดริ าชทรงปีติโสมนัสเปน็ ล้นพ้น ราวกับจะไดต้ รสั ร้ใู นเวลา ✓ รันน้นั หรอื รงุ่ ขึ้น ทรงสละจักรพรรดสิ มบตั ิ กับรตั นะทั้ง ๗ ประการ ไว้ทะนุบำรงุ พระศาสนา แลว้ เสดจ็ ออกบรรพชาศกึ ษาคนั ถธรุ ะเชีย่ วชาญในพระไตรปฎิ ก แล้วบำเพญ็ สมถภาวนา ๑๗๒ ต้องเปน็ ใหัเ๋ ด้ (ลอั เฒ่ทระทฺทรเจ้า) kalyanamitra.org

ทรอเปลเ่ วทระวาจาปรารกนาทุทธภมู และเด่■รบททุ รทยากรณ์ ทำฌานอภญิ ญามิให้เส่ือม สินพระชนมแ์ ล้วไปเกดิ ในสคุ ติภพ ภพชาติตอ่ จากน้นั พระโพธสิ ตั วข์ องพวกเราทง้ั หลาย ไมเ่ ส่ือมคลายความเพียร ทที่ รงตง้ั พระทยั ทีจ่ ะปฏิบัติเพื่อบรรลพุ ระสัพพญั ฌุตญาณแมแ้ ตพ่ ระชาตเิ ดียว พระองค์ ทรงบำเพญ็ อธิการ และเปล่งพระวาจาขอเป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าพระองค์หน่งึ บา้ ง ใน อนาคต ต่อพระพกั ตร์พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทุกพระองคท์ ท่ี รงพบทกุ พระชาตเิ ป็นเวลา ยาวนานถงึ ๙ อสงไขยกปั เปน็ จำนวนพระพุทธเจา้ ถึง ๓๘๗,๐๐๐ พระองค์ สมยั ต่อมาพระโพธสิ ัตวท์ รงเกิดในเวลาท่ีมพี ระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ อุบตั ิขึน้ ใน มหากปั เดยี วกนั ๔ พระองค์ คือ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ พระนามวา่ ตันหงั กระ เมธงั กระ สรณงั กระ และทีปังกระ ในสมัยททุ รกาล(วอเวทระดนั หอั กรสัมมาสัมทุทรเจัา เวลานนั้ มนุษย์มอี ายุขยั ๑ แสนปี พระตันทังกรสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงบำเพญ็ บารมี มา ๑๖ อสงไขยแสนกปั ทรงบงั เกิดในตระกูลกษัตรยิ ค์ รองฆราวาสวิสัยอยูห่ นึ่งหม่นื ปี เสด็จ ออกมหาภิ เนษกรมณ์ ทรงทำความเพยี รอยู่เพยี ง ๗ วัน จงึ ตรสั รู้ ทรงประกาศพระสัทธรรม วางรากฐานพระพุทธศาสนา สงั่ สอนสรรพสตั ว์ท้งั หลายอยู่จนพระชนมายุหนง่ึ แสนพรรษา จงึ เสด็จดับขันธปรนิ พิ พาน พระโพธสิ ัตวข์ องพวกเราได้บำเพญ็ อธิการสรา้ งบารมีอย่ใู นสำนกั ของพระสมั มา- สัมพุทธเจ้าพระองค์น้ี ทรงเปล่งพระวาจาขอเป็นพระสัมมาสมั พุทธเจ้าในอนาคต ตอ่ พระบรมศาสดาตนั ทงั กระ แตไ่ มไ่ ด้รับพทุ ธพยากรณ์ เพราะธรรมสโมธานยังไม่บริบูรณ์ ต่อมาเม่อื พระพุทธศาสนาเสื่อมลง อายมุ นษุ ยล์ ดลงเรอื่ ยมาจนถงึ เหลือ ๑๐ ปี แลว้ เจริญขนึ้ ใหมถ่ งึ อสงไขยปี เสร็จแล้วค่อยลดลงเหลือเก้าหมื่นปี พระเมธงั กรสมั มา- สัมพุทธเจา้ ทรงอบุ ัติข้นึ ในตระกูลกษตั ริย์ ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ ๘ พนั ปี จึงเสด็จออก มหาภเิ นษกรมณ์ ทำความเพียรอยู่ ๑๕ วนั จึงตรสั รู้ แลว้ เสดจ็ ประกาศพระศาสนาอย่จู น ครบอายุขยั ๙ หมนื่ ปี จงึ เสด็จดับขนั ธปรินพิ พาน พระโพธิสัตว์ของเราได้ทรงบังเกิดพบและบำเพญ็ อธิการพรอ้ มทั้งทรงเปลง่ พระวาจาในทำนอง เดยี วกัน แต่ไม่ไดร้ ับพทุ ธพยากรณ์ ตอ่ จากสมยั พระเมธงั กรสมั มาสัมพุทธเจ้า อายุของมนษุ ย์ก็ไขลงกระทั้งเหลอื ๑๐ ปี แลว้ ไขขึ้นถงึ อสงไขยปี แล้วไขลงใหมเ่ หลอื ๘ หมืน่ ปี พระสรณังกรสัมมาสมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ อุบตั ิขน้ึ ในตระกลู กษตั รยิ ์ ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ ๗ พันปี จงึ เสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญเพยี รอยู่ ๑ เดอื น จึงตรสั รู้ พระโพธสิ ตั วข์ องเราทรงกระทำอธกิ ารในทำนองเดียวกันโดยไม่ได้รบั พทุ ธพยากรณ์ ดอ้ ปืฬฟ่ ห้ ไ์ ด้ (ส0่ เช่นทระทฺทรเจ้า) ๑๗๓ kalyanamitra.org

บทที่แปด จนกระทั่งถึงพระสัมมาสํมพทุ ธเจ้าพระองคท์ ี่ ๔ คือ พระทปี ังกรสัมมาสัมพทุ ธเจา้ (พระปจั ฉิมทีปังกรสมั มาสมั พุทธเจา้ ) ทระสัมมาสับททุ 81จาั ผดรสทุท8ทยากรณแ์ ก่ทระไท8สดั วย้ ออเราทระ90คํแรก ทรงพระนามวา่ พระทปี งั กรสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระสรีระสูง ๘๐ ศอก อายุขยั ของมนษุ ย์ในยุคนน้ั ๑ แสนปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสเุ ทวะ และพระนางสุเมธาอคั รมเหสี แห่ง นครรัมมวดี ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๒ หมนื่ ปี เสวยโลกยี สขุ ในปราสาทตา่ งฤดู ๓ หลงั พระนางปทมุ าเปน็ พระอัครมเหสีมีพระสนมนารมี ากถงึ ๓ แสนทรงเหน็ นมิ ิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ แล้วสลดพระทยั เมอื่ พระโอรสอุสภขันธกุมารประสตู ิ จึงปลงพระทัยทรงพญาช้างตน้ เสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณท์ รงใช้เวลาบำเพญ็ เพยี ร ๑0 เดอื น ทรงรบั ขา้ วมธปุ ายาสในนครแหง่ หนึง่ เมื่อเวลาเช้าของวนั เพ็ญกลางเดือนวิสาขะ พอถึงเวลาเย็นทรงปูลาดนิสีทนสนั ลัต กวา้ ง ๕๓ ศอก สนุ นั ทะอาชวี กเป็นผูถ้ วายหญ้าคา ๘ กำ ประทบั น่งั โคนตน้ ปิปผส(ี ต้นเสยี บ) พระอคั รสาวกคือ พระสุมงั คละ และพระดิสสะ พระพุทธอุปฏั ฐากคือ พระสาคตะ ทรงแสดงธรรม ๓ คร้งั คร้งั แรก แสดงทสี นุ ันทาราม คร้ังท่ี ๓ ทรงกระทำยมกปาฏหิ ารย' ณ โคนไม้ซิกใหญ่ ใกล้ประตูพระนครอมรวดี แล้วจึงเสด็จไปทรงแสดงพระอภธิ รรมปิฎก ๗ ปกรณ์ ท่ภี พเทวดาเพ่อื โปรดพระพทุ ธมารดา ทรงมพี ระสาวก ๔ แสนรปู ล้วนแตม่ อี ภญิ ญา มฤี ทธึ๋มากแวดลอ้ มอยู่ตลอดเวลา มสี าวกสันนบิ าตเกดิ ขึน้ ๓ คร้ัง พระตถาคตเจา้ เสดจ็ จารกิ ไปสังสอนเวไนยสัตว์ i ให้ตัง้ อยู่ในธรรมตามสภาพของตน บา้ งกไ็ ด้สำเรจ็ พระอรหันต์ บ้างตัง้ ใจม่ืนในคลี ๑๐ คีล ๕ ำ*ว์*ฯ?^' ■' อย่างนอ้ ยทีส่ ดุ กต็ ัง้ อยใู่ นไตรสรณคมน์ พระพทุ ธศาสนาแผร่ งุ่ โรจนก์ วา้ งไกลนกั กล่าวกันว่า ^,'' J หากภิกษุเหลา่ ใดไม่บรรลุพระอรหัตตผล เมอื่ ละโลกไปจะถูกครหา <ริ)ถ'โ!๔ ดัอป็เป็นใหเั๋ ด้ (ลงั เชน่ ทระเๅทธเย้า) kalyanamitra.org

ทรอฝล่อทระวาจาปรารกนาททฺ ธภมู และไดร้ บทุทรทยากรณ์ เสด็จดบั ขันธปรินพิ พานเมื่อพระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ท่ีพระวหิ ารนนั ทาราม พระสถูปบรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตสุ งู ๓'ว โยชน์ อยู่ ณ พระวิหารน้นั สว่ นพระสถปู บรรจบุ าตร จวี ร บรขิ าร และเคร่อื งบริโภคของพระองค์สงู ๓ โยชน์ อยู่ ณ โคนตน้ ไม้ โพธิพฤกษ์ สุเมรดาบส ในสมัยพระสัมมาส้มพทุ ธเจา้ พระองคน์ เี้ อง พระโพธสิ ัตว์ของเราทรงถอื กำเนดิ ใน ตระกลู พราหมณ์ มชี อี่ วา่ สุเมธ เปน็ ผู้คงแกเ่ รียนเชีย่ วชาญในศาสตรท์ ั้งหลายท่มี อี ยใู่ น ศาสนาพราหมณ์ เมอ่ื บดิ ามารดาละโลกไปแล้ว เบื่อหนา่ ยในการเวียนวา่ ยตายเกดิ จึง สละทรัพย์ถวายพระราชาใชบ้ ำรุงบา้ นเมอื ง แลว้ ออกบวชเป็นดาบสอยู่ในปา่ หมิ พานต์ ทำ ความเพียรอยู่ ๗ วัน บรรลุฌาน อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มีความสุขในการเขา้ ฌาน วันหน่ึงทา่ นสเุ มธดาบสออกจากฌานสมาบต้ ิ เหาะไปในอากาศ เหน็ ชาวเมอื งช่วย กันแผ้วถางหนทาง และปรบั พ้ืนท่ใี ห้เป็นทางเดนิ กนั อยู่มากมาย จึงลงจากอากาศไปสอบ ถาม ไดร้ บั คำตอบว่าเตรยี มหนทางให้พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยเหลา่ ภิกษสุ งฆ์ อรหนั ตสาวก ๔ แสนรปู เสด็จบิณฑบาตตามที่ชาวเมอื งทูลอาราธนาไว้ เมือ่ สเุ มธดาบสไดย้ นิ คำวา่ พุทธะ ก็มีความปตี ติ ่ืนเต้นยินดีเปน็ ท่ยี ิ่ง จงึ ขอมีสว่ น ร่วมในการทำทางบา้ งชาวเมอื งแบง่ ส่วนที่เปน็ โคลนตมใหเ้ พราะเหน็ วา่ เป็นผู้มีฤทธึ่เหาะได้ แตส่ เุ มธดาบสตอ้ งการให้ไดบ้ ุญกศุ ลมาก จึงกระทำดว้ ยเรย่ี วแรงของตนเองไม่ยอมใช้ฤทธื่ พยายามขนดินมาถมทางในขณะทำงานก็เปลง่ คำวา่ พทุ โธ พทุ โธ ดว้ ยความปตี ติ ลอดเวลา จนกระทง้ั ถึงเวลาพระบรมศาสดาเสดจ็ มา หนทางสว่ นที่เปน็ ของสเุ มธดาบสยงั ทำไม่เสรจ็ เป็นทโี่ คลนตมเฉอะแฉะอยูเ่ ท่าช่วงตัว สเุ มธดาบสตัดสนิ ใจใช้ร่างกายของตนเอง นอนบนเลนทอดรา่ งตา่ งสะพาน มองดูพระพุทธลักษณมหาบรุ ษุ ๓๒ ประการ พรอ้ ม ดว้ ยอนพุ ยญั ชนะ(สว่ นปลกี ยอ่ ย) ๘๐ พระบรมศาสดามพี ระรูปโฉมงดงามยิ่งนกั พระสรีระ ลอ้ มรอบดว้ ยพระรัศมีแปลบปลาบประดจุ สายฟา้ เหล่ามนษุ ยแ์ ละเทพยดาต่างพากนั แช่ชอ้ งสาธุการ ตามเสด็จพระองคม์ ามากมาย เหลือคณานบั ดาบสเหน็ แล้วพลนั ปรารถนาจะเป็นเชน่ องค์พระบรมศาสดานนั้ ไม่ต้องการ เปน็ พระอรหนั ตช์ ่งื สามารถเปน็ ไดใ้ นชาตนิ ้ันจึงอธษิ ฐานจิตขออำนาจบุญกุศลที่ตนใชร้ า่ งกาย ตา่ งสะพานใหพ้ ระสมั มาสมั พุทธเจา้ เสด็จผา่ นพรอ้ มพระขีณาสพอกี ๔ แสนรูป บนั ดาลให้ ไดบ้ รรลพุ ระสพั พญั ฌตุ ญาณ เป็นพระพทุ ธเจา้ พระองค์หนง่ึ ในอนาคต พระทีปังกรสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเสด็จมาถงึ ประทบั ยินอยชู่ ดิ คีรษะสเุ มธดาบส ทรง ทราบวา่ ดาบสโพธสิ ัตวก์ ำลังกระทำอธกิ ารอยู่ พร้อมท้งั เปลง่ วาจาปรารถนาพุทธภูมิ พระองคท์ รงตรวจไปในอนาคตังสญาณวา่ ดาบสผู้นีจ้ ะสมปรารถนา จงึ ตรัสพยากรณว์ า่ ตอ้ งเป็นให้เด้ (ลงั เช่นทระทฺทธเย้า) ๑๗๕ kalyanamitra.org

บทที่^บแปด นับแตน่ ต้ี อ่ ไปเป็นเวลา ๔ อสงไขยแสนกปั สุเมธดาบสผู้นจ้ี ะไดเ้ ป็นพระสัมมา- ล้มพุทธเจ้าพระองคห์ น่ึง ทรงพระนามวา่ พระโคดมสัมมาล้มพุทธเจ้า นบั แต่เวียนวา่ ยตายเกิดสร้างบารมีมานับชาตไิ มถ่ ้วน ชาตนิ ้ีเป็นชาติแรกท่ี พระโพธิสตั ว์ของเราไดร้ ับพทุ ธพยากรณ์ สุเมธดาบสดีใจเปน็ ลน้ พน้ เพราะเปน็ ทีท่ ราบ กันดีอย่แู ลว้ ว่า พระพุทธเจ้าตรสั คำใดต้องเป็นไปตามนัน้ เหลา่ เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย ได้ยินพระพทุ ธพยากรณ์น้นั ก็พากนั ดใี จถว้ นหนา้ วา่ ถ้าหากพวกตนยังไมส่ ามารถบรรลุ มรรคผลนพิ พานในชาตนิ ี้ กจ็ ะไม่ท้อถอย จะเร่งสรา้ งบารมีเรือ่ ยไปทกุ ภพทุกชาติ แล้วจะ ไดไ้ ปบรรลุธรรมในชาติท่สี ุเมธดาบสบงั เกิดเป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ทระสัมมาสมั ทุทรเจาั ทระอปค๋ ํท ๒ ทดรัสทุทรทยากรณแ์ กท่ ระโท'ธสดั ‘วป์ ๋อปเ๋ รา ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระโกณฑัญญะสมั มาสมั พทุ ธเจ้า พระสรีระสงู ๘๘ ศอก อายขุ ัยของมนษุ ยใ์ นยุคนน้ั 9 แสนปี ทรงเปน็ พระโอรสของ พระเจ้าสนุ นั ทะ และพระนางสชุ าดา แหง่ นครรัมมวดี ครองฆราวาสเสวยโลกยี สุขอยู่ 9 หม่ืนปี พระนางรจุ เิ ทวีเป็นพระอัครมเหสี มีพระโอรสพระนามว่า วชิ ิตเสนกมุ าร ทรงเห็นเทวทตู ทัง้ ๔ สลดพระทยั เสด็จออก มหาภเิ นษกรมณ์ ดว้ ยยานคอื รถทรงเทยี มมา้ มีชา้ ราชบริพารตามออกบวชด้วย 9๐ โกฏิ ทรงใช้เวลาบำเพญ็ เพียร 90 เดอื น ผ้ถู วายขา้ วมธุปายาส ชอ่ื นางยโสธรา ธดิ าของเศรษฐสี บุ นั ทคาม นิสีทนสนั ถตั (ท่รี องประทบั นึง่ ก่อนตรสั ร้)ู กว้าง ๕๘ ศอก โดยสุบันทอาชีวก ถวายหญา้ คา ๘ กำมอื ประทับนั้งโคนตน้ สาลกลั ยาณ(ี ต้นขานาง) พระอัครสาวกคือ พระภทั ทะ และพระสุภัททะ พระพุทธอปุ ัฏฐากคือ พระอนรุ ุทธะ ทรงแสดงธรรม ๓ คร้ัง ครัง้ แรก ประทานแกข่ า้ ราชบริพารทต่ี ามเสดจ็ 9๐ โกฏิ เทวดาและมนุษยบ์ รรลุ ธรรมแสนโกฏิ คร้งั ท่สี อง ประทานแกม่ นุษยแ์ ละเทพยดา เรื่องมงคลทัง้ หลาย 9๗๖ ดัออเปน็ ใหา่ ด (ร่วเช่นทระ(•เทธเชา้ ) kalyanamitra.org

ทรอเปล่งทระวาจาปรารกนาทุทธกูอ และไส้รบททุ ธทยากรณ์ ครัง้ ท่ีสาม ทรงทำยมกปาฏหิ าริย์ยํ่ายมี านะของเดียรถยี ์ แลว้ ทรงแสดงพระ- ธรรมเทศนาบนอากาศ มสี าวกสนั นบิ าตเกิดข้นึ ๓ ครงั้ เสด็จดบั ขนั ธปรินพิ พานเม่อื พระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ทพ่ี ระวิหารจนั ทาราม พระบรมสารีรกิ ธาตไุ ม่กระจัดกระจาย คงดำรงอยเู่ ป็นแท่งเดยี ว เหมือนรปู ปฏิมาทอง สถิตอยใู่ นพระเจดยี ์สงู ๗ โยชน์ ทระเจัาว์ธตาว์ ในพทุ ธกาลนี้ พระโพธิสัตวข์ องเราเกิดเปน็ พระเจ้าจักรพรรดพิ ระนามวา่ วิชติ าวิ ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์แสนโกฏิ มพี ระพุทธเจ้าเปน็ ประธาน พระศาสดาทรง พยากรณ์พระโพธสิ ตั วว์ ่า จักไดเ้ ป็นพระพทุ ธเจ้าพระนามว่าโคดม แล้วทรงแสดงธรรมให้ พระเจา้ วิชติ าวีโพธิสตั วท์ รงเบกิ บานพระทัย จนสละราชสมบติ อิ อกบวช เรียนพระไตรปิฎก ทำสมาบิต ๘ และอภิญญา ๕ใหเ้ กิดขนึ้ มีฌานไมเ่ สอ่ื มไปเกดิ ในพรหมโลก ทระสัมมาสบั ทุทธเจัาอปคทํ ี่ ๓ ท่ีดรสทุทรทยากรโปแกท่ ระโทรสตั วป์ อ0เราข ต่อจากพระพุทธเจา้ พระนามวา่ โกณทัญญะไดม้ พี ระพทุ ธเจ้าพระนามว่า พระมงั คส­ ลัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๘๘ ศอก อายขุ ัยของมนุษย์ในยุคนัน้ ๙ หมืน่ ปี ทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าอุดตระ และพระอัครมเหสีอุตตรา แห่งอตุ ตระนคร ครองฆราวาสเสวยโลกยี สขุ อยู่ ๙ พนั ปี เมอื่ พระนางยสวดพี ระมเหสที รงให้ประสตู ิ กาลพระโอรส สีวละ ก็ทรงออกมหาภเิ นษกรมณ์ ดว้ ยมา้ ทรงชื่อปณั ฑระ มีผูต้ ามเสดจ็ ออกบวช ๓ โกฏิ ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๘ เดอื น ผถู้ วายขา้ วมธปุ ายาส นางอตุ ตรา ธดิ าอตุ ตรเศรษฐี นิสที นสันถัด กว้าง ๕๘ ศอก อตุ ตรอาชีวกถวายหญ้าคา ๘ กำมือ ต้นไม้ท่ตี รัสรคู้ ือ ต้นนาคะ(ต้นกากะทิง) ดัองเนเ็ นใหเด้ (๙018นทระเๅทธเย้า) ๑๗๗ kalyanamitra.org

บททสนี แปด พระอคั รสาวกคือ พระสุเทวะ และพระธรรมเสนะ พระพุทธอปุ ัฏฐากคือ พระปาลิตะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครัง้ ครั้งแรก ประทานแก,ข้าราชบริพารทตี่ ามเสด็จ ๓ โกฏิ ท่ีชฏั สิริวัน นครสริ ิวัฒนะ ครงั้ ท่ีสอง แสดงทภ่ี พดาวดึงส์ มีสาวกอนั นิบาตเกิดข้นึ ๓ คร้ัง พระอัมมาอัมพุทธเจ้าพระองคน์ ้ี มสี รรพสัตว์เสอ่ื มใสศรัทธาเปน็ พเิ ศษ เนอ่ื งจาก ทรงมพี ระรัศมแี ผ่จากพระวรกายไปทัว่ ทง้ั หมื่นโลกธาตุ อยเู่ ป็นปกตติ ลอดเวลา จนกระทงั่ ไม่มีกลางวนั กลางคืน เหล่ามนษุ ยอ์ าศยั พระพุทธรศั มแี ทนแสงสวา่ งจากดวงอาทิตย์ มนษุ ย์จงึ ไมท่ ราบเวลากลางวันกลางคนื ต้องดูจากดอกไมบ้ านในยามเย็น และพงิ เสยี งนก รอ้ งในตอนเชา้ พระตถาคตเจ้าพระองค์น้ีมพี ระรศั มีพิเศษด้วยทรงอธิษฐานเอาไวใน พระชาติที่เปน็ พระโพธสิ ตั ว์ ทรงพำนกั อย่กู ับพระชายาพรอ้ มดว้ ยพระโอรสพระธดิ า ท่ี ภเู ขาแห่งหนง่ึ ยักษต์ นหน่งึ ปลอมตวั มาขอพระกุมารและกมุ ารี พระองค์ทรงบำเพ็ญมหา บรจิ าค พอขอไปไดไมท่ นั คลอ้ ยหลัง ยักษก์ ข็ บเคยี้ วกนิ เปน็ อาหารหมดทัง้ สองพระองค์ พระมังคลโพธสิ ตั วต์ ้องขม่ พระทยั ดว้ ยขนั ติบารมอี ยา่ งแรงกล้า ทรงอดกลนั้ ความโกรธไว้ กระทำอุเบกขาบารมวี ่าเปน็ สิงทีพ่ ระองคท์ รงสละไปแลว้ พร้อมทงั้ ทรงต้ังสจั อธิษฐาน ขอ ผลแห่งการใหท้ านคร้งั นี้ มอี านสิ งส์ให้พระองคใ์ ด้สำเร็จเปน็ พระพทุ ธเจ้า ให้มีพระรศั มี กว้างไกลดจุ โลหติ ของพระโอรสพระธดิ าทีส่ าดกระเซ็นออกจากปากยักษ์ ด้วยอธิษฐานบารมดี ังกล่าวแล้ว พระรัศมีกายของพระองค์จงึ สว่างไกลกว่า พระสมั มาอมั พทุ ธเจ้าทกุ พระองค์ ซ่งึ ทรงมเี พยี งวาหนึ่งบา้ ง ๘๐ ศอกบา้ ง จะแผ่ท่ัวจักรวาล ต่อเม่อื มีพุทธประสงคจ์ ะแสดงเท่านัน้ พระองคท์ รงจาริกอังสอนสรรพสัตวจ์ นพระชนม์ ๙ หม่ืนปี จงึ เสดจ็ ตบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ณ อทุ ยานเวสสระ มหาชนทำสถปู บูชาสงู ถึง ๓๐ โยชน์ สรุ ุจทราหมณ ในพระพทุ ธกาลนี้พระโพธิสัตว์ของเราเกิดในตระกูลพราหมณ์ ชอื่ สรุ ุจิ เม่ือเหน็ พระรศั มแี ละพิงพระธรรมเทศนา มคี วามเลอื่ มใสศรทั ธา ขอถึงพระบรมศาสดาเปน็ สรณะ บชู าพระสัมมาอมั พทุ ธเจ้าและพระภกิ ษุสงฆ์ท้งั แสนโกฏิดว้ ยดอกไม้ของหอม พรอ้ มดว้ ย ภตั ตาหารมปี านะ ขนมแปง้ ผสมนา้ี นมโคเป็นตน้ ตลอด ๗ วนั พรอ้ มท้ังกล่าววาจา ปรารถนาเป็นพระสัมมาอมั พุทธเจา้ พระองค์หน่งึ ในอนาคตเบือ้ งหน้าบา้ ง พระมงั คลสัมมา- อมั พทุ ธเจา้ ตรสั พยากรณว์ ่า สุรุจพิ ราหมณจ์ ะเปน็ พระพทุ ธเจ้าพระองค์หนึ่งในอกี ๒ อสงไขยแสนกัป ๑๗๘ ตอั ป้เป็บใหเดั (ด0์ เ8ชทระฤทธเยา้ ) kalyanamitra.org

ทรอเปล่งทระ:วาจาปรารถนาทฺทรก0ู และได:้ รบทุทรทยากรณ์ สุรุจิพราหมณฟ์ งิ พระพทุ ธดำรัสแลว้ จึงถวายสมปติทัง้ หมดไวใ้ นพระพทุ ธศาสนา ออกบวชเปน็ ภกิ ษรุ ปู หนึ่ง ตัง้ ใจศึกษาพระพุทธวจนะ ปฏิบ้ติธรรม ได้บรรลุอภิญญา ๕ สมาปติ ๘ มฌี านไมเ่ ล่อื ม จรรโลงพระพุทธศาสนาให้ร่งุ เรืองจนสินชวี ติ ไปบงั เกดิ ในพรหมโลก ทระสัมมาสบั ทุท81จัาทระ:90คทํ ่ี ๔ ทดรสั ททุ รทยากรโน์แแก,กระไทรสดั ว์ป9๋ 0เราบ สมยั ต่อมาได้มพี ระพุทธเจา้ ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระสุมนะสัมมาลม้ พทุ ธเจา้ ทรง อุปตขิ ้ึน พระสรรี ะสงู ๙๐ ศอก อายุขัยของมนุษยใ์ นยคุ นนั้ ๙ หมืน่ ปี พระพทุ ธบดิ าทรงพระนามว่า พระเจ้าสทุ ัตตะ พระพุทธมารดาทรงพระนามว่า พระนางสิรมิ า แหง่ เมขลนคร ทรงครองฆราวาสเสวยโลกยี สขุ อยู่ ๙ พนั ปี เมอ่ื พระนางวฏังสิกาพระชายา ประสตู ิพระโอรสอนูปมะแลว้ ในวนั เดยี วกับที่ทรงพบเทวทูต ๔ จงึ ทรงชา้ งราชพาหนะ เสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ มีขา้ ราชบรพิ ารตามเสด็จออกบวช ๓๐ โกฏิ ทรงใช้เวลาบำเพญ็ เพยี ร ๑๐ เดอื น ผู้ถวายขา้ วมธปุ ายาส คอื นางอนปุ มา ธิดาของอโนมเศรษฐี แหง่ อโนมนศร นสิ ที นสนั ถตั กวา้ ง ๓๐ ศอก ทำด้วยหญ้าคา ๘ กำมือ ถวายโดยอนุปมาชวี ก ประทบั นั่งใตต้ ้นนาคะ(กากะทงิ ) พระอคั รสาวกคือ พระสรณะ และพระภาวติ ตั ตะ พระพุทธอุปฏั ฐากคือ พระอุเทน ทรงแสดงธรรม ๓ คร้งั คร้ังแรก ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แกพ่ ระภิกษุ ๓๐ โกฏิ ท่บี วชตามเสดจ็ วางรากฐานพระศาสนา โ^** ^ '' ครงั้ ท่สี อง ทรงกระทำยมกปาฏิหารยิ ์ ขม่ ความมัวเมาและมานะของเหลา่ เดียรถยี ์ คร้งั ท่ีสามทรงตอบปัญหาเร่ืองการเข้านโิ รธ มีจำนวนผตู้ รัสรูธ้ รรมตาม ๙หมื่นโกฏิ ^-- มีสาวกสนั นิบาตเกิดข้นึ ๓ ครัง้ 4 เสด็จดบั ขันธปรินพิ พานเมือ่ พระชนมายุ ๙ หม่ืนพรรษา ท่ีพระวิหารอังคาราม พระสถปู บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุสงู ถงึ ๔ โยชน์ ตอ้ งเป็นใหเด้ (ดัง่ เช่นทระเๅทธเย้า] ๑๗๙ kalyanamitra.org

บทที่^บแปด ทญานาคอดลุ ะ ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสตั ว์ของเราเกิดเป็นพญานาคชื่อ อดุละ เมื่อไดท้ ราบ ขา่ วการอบุ ตั ขิ ึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ กด็ ใี จยิ่งนกั รีบพาประยรู ญาตแิ ละบริวาร ท้งั หลายออกจากเมืองนาคมาเขา้ เฝาื กระทำอธิการอันยิง่ ใหญ่ ได้แก่ถวายภัตตาหารแด่ พระภิกษุสงฆ์จำนวนถงึ หนึง่ แสนโกฏิ มพี ระพทุ ธเจ้าเป็นประธาน ถวายผา้ จวี รรปู ละ ๑ คู่ ขอถอื พระพทุ ธองคเ์ ปน็ สรณะ พรอ้ มกล่าวคำขอเปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระองค์หนึ่ง ในอนาคต พระบรมศาสดาสมุ นะพทุ ธเจา้ ตรัสพุทธพยากรณ์วา่ อกี ๒ อสงไขยแสนกัป จะได้ เปน็ สมปรารถนา อดลุ นาคราชมคี วามยนิ ดเี ปน็ อย่างยง่ิ พากนั กลับเมืองนาค มีความปตี ิ ดว้ ยคำพยากรณ์จนสนิ ชวี ิต ชาตนิ ้ีพระโพธิสัตว์มิได้ออกบวชเป็นภิกษุเพราะไม่ไดก้ ำเนดิ เปน็ มนุษย์ และไมไ่ ด้ บำเพญ็ เพียรเจรญิ ภาวนา ใหไ้ ด้ฌาน อภิญญา สมาบตั ิ อนั ใด เพราะเปน็ การกระทำทย่ี าก เกนิ วิสัย คงบำเพญ็ ความดอี ันเป็นบญุ กศุ ลท่ีพอเหมาะกับอัตภาพของตน เข่น เร่อื งทาน เรอื่ งคลี เทา่ นัน้ การศึกษาเลา่ เรียน และการปฏบิ ตั ติ ามคำสอนในพระพุทธศาสนาน้นั ไม่ เหมาะ กบั สัตวท์ ี่เกดิ ในภพภูมอิ ่นื ทีท่ ำไดผ้ ลดีทีส่ ุด มากที่สดุ คอื สัตว์ที่เกิดเปน็ มนุษย์ เพราะมี สภาพเหมาะสมหลายประการ เช่นมคี วามเปน็ อย่ทู ม่ี ีโอกาสพบเหน็ ความทุกขต์ า่ งๆ ทำให้เบือ่ หนา่ ยการเกดิ มรี า่ งกายและจติ ใจเข้มแข็ง พอจะ'ฝิกฝนอบรมตน โดยไม่ ยอ่ ท้อตอ่ อปุ สรรค ทระสัมมาสัมทุทรเจาั ทระ90คทํ ่ี ๕ ทต่ี รัสททุ รทยากรณ์ ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระเรวตะสมั มาสมั พทุ ธเจ้า พระสรรี ะสงู ๘๐ ศอก มพี ระรัศมฉี ายออกรอบพระวรกายตลอดเวลา รุ) โยชน์ ท้ัง กลางวนั กลางคนื อายขุ ัยของมนุษยย์ ุคนน้ั 'ว หม่ืนปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของ พระเจา้ วปิ ุลราช และพระนางวปิ ลุ าพระอคั รมเหสี แหง่ กรุงสุธัญญวดี ทรงครองฆราวาสวิสยั เสวยโลกยี สขุ อยู่ ๖ พนั ปี เสด็จออกมหาภเิ นษกรมณด์ ้วย ยานคือรถเทียมม้า ในวันท่ีพระโอรสวรุณะ ประสตู ิจากพระครรภข์ องพระนางสุทัสสนา พระอัครชายา มีขา้ ราชบริพารออกบวชตามเสด็จ ร)ุ โกฏิ รุ)๘๐ ดัออเป็นใหัเ๋ ด้ (ลังเช่นทระททฺ รเย้า) kalyanamitra.org

ทรงเปล่งทระวาจาปรารกนาทุทรภูม และาดัรบกฺทธทยากรณ์ ทรงทำความเพียรเป็นเวลา ๗ เดอื น ผถู้ วายขา้ วมธปุ ายาส ดือ นางสาธเุ ทวีธดิ าเศรษฐี นิสีทนสนั ถัดกว้าง ๕๓ ศอก โดยใช้หญา้ คา ๘ กำ ที่อาชีวกผ้หู นึง่ ถวาย ประทับ นงึ่ ใตต้ ้นนาคะ(ตน้ กากะทิง หรอื ตน้ บนุ นาค) พระอคั รสาวกคอื พระวรุณะ และพระพรหมเทวะ พระพุทธอุปฏั ฐากดือ พระสัมภวะ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ๓ ครงั้ มสี าวกสันนบิ าตเกิดข้นึ ๓ ครง้ั เสด็จดบั ขนั ธปรนิ พิ พานณพระราชอทุ ยานมหานาควนั พระบรมธาตุแผ่กระจาย I ไปเปน็ ส่วนๆ ในนานาประเทศ โดยทรงอธษิ ฐานขอใหพ้ ระบรมธาตขุ องพระองค์ “จงเฉลี่ย ใหท้ วั่ ถึงถัน” ทราหมณอด 1ทX ในพระพทุ ธกาลนี้ พระโพธสิ ตั ว์ของเราเกิดในตระกลู พราหมณ์ชือ่ อตเิ ทวะ ศกึ ษา เช่ียวชาญเรอื่ งไตรเภท วนั หนง่ึ อดิเทวะมโี อกาสได้ฟงั ธรรมจากพระเรวตะสมั มาสัมพทุ ธเจา้ มคี วามเลอ่ื มใสศรทั ธา ขอถงึ พระพทุ ธเจา้ เป็นสรณะ กล่าวสดดุ พี ระบรมศาสดาดว้ ย คาถาพันโศลก แล้วเปลือ้ งผา้ ห่มมีคา่ หนงึ่ พันบชู าพระธรรมเทศนา พระบรมศาสดาตรัส พยากรณว์ ่าอีก ๒ อสงไขยแสนกัปต่อไป จะเปน็ พระพุทธเจา้ พระนามวา่ โคตมะ อดิเทวะ ได้ฟังแลว้ ก็ยิง่ เลอื่ มใส ปตี ยิ ินดี ไดบ้ ำเพญ็ บารมตี า่ งๆ ย่ิงยวดขึ้นไป ทระสมั มาสัมกทุ 81จากระ90คํท่ี ๖ ทีด่ รสั กุทรกยากรณ ทรงพระนามวา่ พระโสภิตะสมั มาสมั พุทธเจ้า พระสรรี ะสงู ๕๘ ศอก อายุขยั ของมนุษย์ในยคุ นน้ั ๙ หม่นื ปี ทรงเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุธมั มะ และพระนางสุธัมมา.เทวี แหง่ สุธัมมนศร ทรงครองฆราวาสวิสยั เสวยโลกยี สุขอยู่ ๙ พนั ปี ทรงเหน็ นมิ ติ ๔ ประการ แลว้ สลดพระทยั จีงทรงผนวชในปราสาท ในวนั ท่พี ระนางมกิลาเทวปี ระสตู พิ ระโอรสสหี กุมาร ทรงบำเพ็ญเพียรภายในปราสาท ๗ วัน กบ็ รรลณุ าน ๔ ดอั งเป็นใหัเ๋ ดั (ส์ปเ๋ ชน่ ทระทฺทธเย้า) G)C^G) kalyanamitra.org

บทท่^ี บน,!Jด ผ้ถู วายข้าวมธุปายาส คือพระนางมกลิ ามหาเทวี แล้วเสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ์ พอมพี ระดำรปิ ระสงคอํ อกบรรพชา ปราสาททป่ี ระทบั ก็พลันเลือ่ นลอยขึ้นไปใน อากาศจากพระราชนเิ วศน์ของพระเจ้าสธุ มั มราช ไปสถิตอย่ยู งั แผ่นดนิ มีตน้ นาคะเป็น โพธพิ ฤกษ์อยู่ตรงกลาง เม่อื พระโสภติ ะโพธิสัตวป์ ระทบั น่ังบนนิสีทนสันลัตกวา้ ง ๓๘ ศอก ท่โี คนต้นนาคะ เหล่าสนมนารที ัง้ ปวงกพ็ ากันลงจากปราสาทไปหมด โดยไมต่ อ้ งมใี ครบอก พระโสภิตะทรงบำเพ็ญเพยี รและตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าใต้ต้นนาคะนนั้ พระอัครสาวกคือ พระอสมะ และพระสเุ นตตะ พระพทุ ธอุปฏั ฐากคือ พระอโนมะ จำนวนครง้ั ทีท่ รงแสดงธรรม ๓ ครัง้ คร้ังที่ ๒ ทรงกระทำยมกปาฏิหารยิ ์ ทโี่ คนตน้ จิตตปาฏลี ใกล้ประตสู ทุ สั สนะ มีสาวกสนั นิบาตเกดิ ข้ึน ๓ ครัง้ ทรงเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาและทรงจาริกโปรดเวไนยสัตว์จนพระชนมายุได้ ๙ หม่ืนพรรษา จงึ เสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ณ พระวีหารสหี าราม พระบรมธาตแุ ผก่ ระจาย ไปเปน็ ส่วนๆ อยู่ ณ ทีต่ า่ งๆ ทรามมโนสชุ าดะ ในคร้ังนพ้ี ระโพธิสตั วข์ องเราทรงบังเกดิ ในตระกลู พราหมณ์ชือ่ สุชาตะ อาศัยอยู่ใน เมอื งรัมมวดี ไดฟ้ ิงพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาแลว้ บงั เกดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธา ยิง่ นัก ต้ังอยใู่ นไตรสรณคมน์ ถวายมหาทานด้วยภตั ตาหารอันสมบรู ณ์ ประณตี ทง้ั คาว หวานแดพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ มพี ระพุทธเจา้ เปน็ ประธานตลอด ๓ เดอื น พระบรมศาสดาตรสั พยากรณ์วา่ พราหมณส์ ุชาตะจะได้เปน็ พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ ใคตมะในเวลาตอ่ ไปภายหนา้ ๒ อสงไขยแสนกัป พราหมณส์ ุชาตะฟงิ แลว้ ยินดยี ง่ิ นกั เพราะตระหนกั ดวี า่ พระพทุ ธเจ้าทงั้ หลายมี ดำรสั สงิ ใดตอ้ งเป็นความจรงิ เสมอ จงึ เร่งทำความเพยี รสรา้ งบารมีต่างๆ จนสนิ ชีวีต ทระสัมมาสัมทุทรเจัาทระอปคทํ ี่ ๗ ทดี่ รสทุทรทยากรโน์ ทรงพระนามว่า พระอโนมทสั สีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสงู ๕๘ ศอก อายขุ ยั ของมนษุ ยใ์ นยุคน้นั ๑ แสนปี ๑๘๒ ตองเปน็ ไหเด (ดงเชน่ ทระฦทธเจา) kalyanamitra.org

ทรปเื ปล่อทระวาจาปรารกนาททธกูD และไดัรบทุทรทยากรโบ์ ทรงเปน็ พระราชโอรสของ พระเจา้ ยสวา และพระนางยโสธรา แหง่ นครจันทวดี ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ <ริ> หม่ืนปี ทรงเหน็ นิมติ ๔ ประการ สลดพระทัย เสด็จ ออกมหาภิเนษกรมณด์ ว้ ยยานคือวอ ในขณะทพี่ ระนางสิริมาพระอคั รชายาประสูติ พระโอรสอุปสาละ(อุปวาณะ) ขา้ ราชบริพารที่ออกบวชตามเสด็จ ๓โกฏิ ระยะเวลาบำเพญ็ เพียร ๑0 เดอื น ผถู้ วายขา้ วมธุปายาส คอื ธดิ าของอนปุ มเศรษฐี ของหม่บู ้านอนปู มพราหมณ์ นสิ ที นสนั ถตั กวา้ ง ๓๘ ศอก โดยอนปู อาชวี กถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนัง่ ใต้ตน้ อัชชุนะ(ตน้ ทุม่ ) พระอคั รสาวกคอื พระนิสภะ และพระอโนมะ (พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะขณะทเี่ วียนวา่ ยตายเกิด ได้เหน็ พระอคั รสาวก คนู่ ี้เปน็ ต้นแบบ จึงตง้ั อธษิ ฐานจติ ตอ้ งการเป็นพระอคั รสาวกในพระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระองค์หน่ึงในอนาคตบ้าง) พระพุทธอปุ ฏั ฐากคอื พระวรณุ ะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง คร้งั ที่สอง ทรงกระทำยมกปาฏหิ าริย์ ณ โคนตน้ ประดู่ ใกล้ประตูโอสธนี คร ครง้ั ทีส่ าม ทรงแสดงมงคลปัญหา มสี าวกสันนิบาตเกดิ ขน้ึ ๓ ครง้ั เสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพาน ท่พี ระวหิ ารธมั มาราม พระสถูปของพระองค์ท่ีพระอาราม นนั้ สูง ๒๐ โยชน์ ทญาย้กฮเสนาบดี ในพทุ ธกาลของพระอโนมทัสสสี มั มาสัมพุทธเจา้ นี้ พระโพธสิ ัตว์ของเราถอื กำเนิด เปน็ พญายักขเสนาบดีมีศกั ดใิ หญ่ มฤี ทธานุภาพมาก เปน็ อธบิ ดีของยักษห์ ลายแสนโกฏิ เมือ่ ไดย้ นิ ขา่ วว่ามีพระพทุ ธเจา้ อุบตั ิขึ้น มีความยนิ ดีรีบมายังที่ประทบั ของพระบรมศาสดา เนรมติ มณฑป(เรือนยอด) ล้วนประกอบด้วยรัตนะ ๗ สวยงามยง่ิ นัก เป็นท่ถี วายมหาทาน ตลอด ๗ วัน แดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ มีพระพุทธเจา้ เปน็ ประธาน พระบรมศาสดาอโนมทัสสี ตรัสพยากรณว์ า่ อีก 9 อสงไขยแสนกปั พญายกั ษ์นจ้ี ะเป็นพระพทุ ธเจา้ พระนามว่า โคตมะ พญายกั ษด์ ใี จมาก ตั้งใจบำเพญ็ บารมตี า่ งๆ เป็นพทุ ธบารมีจนสนิ อายุขยั ตอ้ 011)นใหเั๋ ต้ (สง่ เช่นทระทฺทธเย้า) ๑๘๓ kalyanamitra.org

บทท่^ื บแปด ทระ:สมั มาสมั ทฺทธเอัาทระ90คท์ ี่ ๘ ที่ดรส่ ทุทรทยากรณ์ ทรงพระนามวา่ พระปทมุ ะสมั มาสัมพุทธเจา้ พระสรรี ะสูง ๕๘ ศอก อายุขัยของมนุษย์ยคุ นัน้ ซิ แสนปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอสมะ และพระนางอสมาพระอัครมเหสี แหง่ จัมปกะนคร ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ ร)ุ หมน่ื ปี ทรงเหน็ นมิ ติ ๔ ประการ สลดพระทยั ใน เวลาท่พี ระนางอุตตราพระอคั รชายาประสตู พิ ระโอรสรมั มราชกมุ าร เสดจ็ ประทบั ราชรถ ออกมหาภเิ นษกรมณ์ขา้ ราชบริพารออกบวชตามเสด็จ ซิโกฏิ ระยะเวลาทรงบำเพญ็ เพยี ร ๘ เดือน ผ้ถู วายขา้ วมธุปายาส ชอื่ นางธัญญวดี ธดิ าสุธญั ญเศรษฐี กรงุ ธญั ญวดี นสิ ีทนสันถัตกว้าง ๓๘ ศอก โดยดติ ถกะอาชวี กถวายหญา้ คา ๘ กำ ประทบั นั้งใต้ ตน้ มหาโสณะ(ไมอ้ ้อยข้างใหญ่) พระอคั รสาวกคอื พระสาละ และพระอปุ สาละ พระพุทธอุปฏั ฐากคือ พระวรณุ ะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ครั้งแรก ทรงแสดงท่ีธนญั ชัยราชอุทยาน โปรดภิกษุโกฏิหน่งึ ทีบ่ วชตามเสด็จ คร้ังน้ันมเี ทวดาและมนษุ ยเ์ ป็นต้น รุ)๐๐ โกฏิ บรรลุธรรม มสี าวกสันนิบาติเกิดขึ้น ๓ ครงั้ เสด็จดบั ชนั ธปรนิ ิพพานเม่อื พระชนมายไุ ด้ ร)ุ แสนพรรษา ท่พี ระวิหารธัมมาราม พระบรมธาตุแผก่ ระจายไปเปน็ ท่ีสักการบชู าในประเทศต่างๆ ทญาไกรสรสกั ราช ในพทุ ธกาลนี้ พระโพธสิ ตั ว์ของเราเกดิ เปน็ พญาไกรสรสหี ราช เป็นเจ้าแหง่ ปา่ วนั หนง่ึ ขณะออกหาอาหารในป่าใหญแ่ หง่ หน่ึง ได้เหน็ พระปทมุ ะสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงมี พระรัศมีเปล่งจากพระวรกายไปรอบพระองคท์ วั่ ทกุ ทศิ มีความเล่ือมใส เดนิ ทำประทักษิณ รอบพระพทุ ธองค์ และบนั ลือสีหนาท ๓ คร้ัง แล้วยนื เสาพระบรมศาสดาอยใู่ กลๆ้ ตลอด ๗ วนั ไมอ่ อกหาอาหาร ยอมสละชีวติ อยูไ่ ดเ้ พราะเกิดปีติ มีพระพุทธคณุ เป็นอารมณ์ เมื่อ ซ๘ิ ๔ ตอั ปเ็ ป็นใหเดั (ลงั เชน่ ทระเๅทธเย้า) kalyanamitra.org

ทรปฝื ลอ่ ทระวาจาปรารถนาททุ ธกูม และไดัรบทฺทรทยากรณ์ พระตถาคตเจ้าทรงออกจากนิโรธสมาบตั ิ ทอดพระเนตรเห็นการเลื่อมใสของพระโพธสิ ตั ว์ ทมี่ ตี อ่ พระองค์และภิกษุสงฆท์ ง้ั หลาย ทรงพิจารณาดว้ ยอนาคตงั สญาณแล้ว จึงตรสั พยากรณว์ า่ พญาไกรสรสีหราชน้จี ะสำเรจ็ เป็นพระพทุ ธเจ้าทรงพระนามวา่ โคตมะ พระโพธิสัตวพ์ ิงแล้วปตี ิยนิ ดเี ลือ่ มใสในพระพทุ ธองค์มากยงิ ขึ้น ตงั้ ใจอธิษฐานปฏิบัติ ข้อวัตรในการสงั สมพทุ ธบารมีใหบ้ รบิ รู ณ์ ทระสัมมาสบั ททุ ธ!จาั ทระ90คํท่ี ๙ ที่ดรส้ ทั ุทธทยากรโน ทรงพระนามว่า พระนารทะสัมมาสัมพุทธเจา้ พระสรรี ะสูง ๘๘ ศอก อายุขัยของมนษุ ยใ์ นยคุ นั้น ๙ หมื่นปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ สุเทวะ และพระนางอโนมาอคั รมเหสี แห่ง ธญั ญวดีนคร ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ ๙ พนั ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ สลดพระทยั เม่ือ พระนางวชิ ิตเสนาพระอคั รชายาประสตู ิพระโอรสนนั ทุตตระ จึงเสด็จด้วยพระบาทออก มหาภิเนษกรมณ' ทรงใชเ้ วลาบำเพ็ญเพียร ๗ วัน ผถู้ วายขา้ วมธุปายาส คอื พระนางวิชิตเสนา นสิ ีทนสนั ถตั กว้าง ๕๘ ศอก พนกั งานเฝืาสทุ สั สนะราชอทุ ยานถวายหญ้าปนู ่งั ๘ กำ ประทบั น่งั ใต้ต้นมหาโสณะ(ไม้อ้อยชา้ งใหญ)่ พระอัครสาวกคือ พระภ้ททสาละ และพระซิตมติ ตะ(ชินมติ ตะ) พระพทุ ธอปุ ฏั ฐากคอื พระวาเสฏฐะ ทรงแสดงธรรม ๓ คร้งั คร้งั แรก ทรงแสดงพระธัมมจักกปั ปวัตตนสตู ร โปรดพระภกิ ษุทบี่ วชตามเสดจ็ ซิ แสนรูป ที่ธนัญชัยราชอุทยาน การแสดงธรรมคร้ังทส่ี อง ทรงกระทำยมกปาฏหิ ารยิ ์ และ ทรงทรมานพญานครช่อื มหาโทณะใหเ้ ลือ่ มใสยอมรบั พระองคเ์ ปน็ สรณะ มีสาวกสนั นิบาตเกดิ ขึ้น ๓ คร้งั สำหรบั ครั้งท่ี ๒ ทรงแสดงพุทธประว้ตของพระองค์ต้งั แต่ทรงต้งั ปณิธานดว้ ย เสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หม่ืนพรรษา ที่กรงุ สทุ สั สนะ พระสถูป ต้อเวเป็นใหเต้ (ลงั เฒ่ทระททฺ ธเย้า) ซ๘ิ ๕ kalyanamitra.org

บททื่ร}็ บแ!เด ของพระองค์สงู ๔โยชน์ ชฏิลโทรสตั ,ว ในพระพทุ ธกาลนพ้ี ระโพธสิ ัตวข์ องเราเกดิ เปน็ ชฏลิ สร้างอาศรมอยู่ใกลป้ า่ ทิมพานต์ มีตบะสงู บรรลอุ ภญิ ญา ๕ สมาปต ๘ สามารถเหาะไปไดอ้ ย่างรวดเร็วในอากาศ วันหนึง่ พระบรมศาสดาพรอ้ มด้วยพระอรหนั ต์ ๘0โกฏิ และอุบาสกผ้เู ปน็ พระอนาคามีอีกหนง่ึ หมื่นคน ไปโปรดพระโพธสิ ตั ว์ ชฏลิ พระโพธสิ ัตว์เหน็ พระพทุ ธลักษณะสงา่ งามดงั รปู ปนั ทำดว้ ยทองคำประดบั รัตนะนานาชนดิ ยังมพี ระรัศมีออกจากพระวรกายแผ่ไปหน่งึ โยชน์ โดยรอบทกุ สารทิศ ตลอดเวลา ทัง้ กลางวันกลางคนื กท็ ราบทันทีวา่ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเสด็จมาโปรดถงึ ทีพ่ กั มี ความยนิ ดปี ลาบปล้ืมใจย่ิงนกั รบี จดั สรา้ งทีป่ ระทบั ของพระตถาคตและทอี่ ยขู่ องพระสาวก ผูต้ ดิ ตามมา กลา่ วสรรเสริญพระพุทธคุณอยูต่ ลอดคนื เม่อื ได้ฟงิ พระธรรมเทศนาแล้ว ย่งิ มปี ตี ิล้นพัน รุ่งเช้าจึงเหาะไปนำอาหารมาจากอุตตรกุรุทวีปมาถวายเป็นมหาทาน ทำ ดังนตี้ ลอด ๗ วนั นำจนั ทน์แดงทห่ี าคา่ ไม่ได้จากปา่ ทิมพานต์มาถวายพระบรมศาสดา พระองค์ตรัสพยากรณ์ว่า ชฏิลจะไดเ้ ปน็ พระโคตมะพทุ ธเจา้ ในอนาคต ทำใหพ้ ระโพธิสัตว์ ดีใจมาก บำเพ็ญพทุ ธบารมียิง่ ยวดข้นึ ไป X) > I ทระสมั มาสัมทฺทรเจัาทระออคทํ ่ี 0๐ ทด่ี รสทุทรทยากรณ์ ทรงพระนามวา่ พระปทุมตุ ตระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระสรีระสงู ๕๘ ศอก อายขุ ัยของมนษุ ยใ์ นยคุ นั้น ร) แสนปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ อานนั ทะ และพระนางสุชาดาพระอคั รมเหสี แห่ง นครหังสวดี ทรงครองฆราวาสวสิ ัยเสวยโลกยี สขุ ๑ หมน่ื ปี ทรงเห็นเทวทูตทั้ง ๔ สลดพระทัย เม่ือพระนางวสลุ ทตั ตาประสตู ิพระโอรสอดุ ตรกุมาร จงึ เสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณ์ ดว้ ย ปราสาทท่ปี ระทบั เล่ือนลอยไปในอากาศ เหมอื นพระโสภิตะสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ระยะเวลาทำความเพียร ๗ วนั ผู้ถวายขา้ วมธุปายาส คอื ธิดาของเศรษฐรี จุ านันทา แหง่ อชุ เชนนี คิ ม นิสที นสนั ถัตกว้าง ๓๘ ศอก โดยสุมติ ตอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทบั นั่งใต้ ๑๘๖ ดอั ปืเป็นใหเล้ (ตอ่ เชน่ ทระทฺทธเย้า) kalyanamitra.org

ทรอเปล(่ วกร~วาจาปรารกนาทฺทธกูม๊ และาดัรบททุ รกยากรณ์ ต้นสลหเะ(ต้นสน) พระอคั รสาวกคือ พระเทวลิ ะ และพระสุชาตะ พระพทุ ธอุปฏั ฐากคือ พระสุมนะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครัง้ คร้ังแรก ทรงแสดงปฐมเทศนา ณ ราชอุทยานกรุงมิถิลา ครัง้ ทส่ี อง ทรงแสดงทา่ มกลางสมาคมสรทดาบส คร้ังที่สาม ทรงแสดงเม่ือเสดจ็ ไปโปรดพระพทุ ธบิดา พระเจา้ อานันทะ ณ กรงุ หังสวดี โดยเสดจ็ จงกรมในอากาศ พร้อมตรสั เลา่ เร่ืองของพระองค์เอง มีสาวกสนั นบิ าต ๓ คร้งั เสดจ็ ดับขนั ธปรนิ พิ พานเมื่อพระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ณ พระวหิ ารนนั ทาราม พระสถูปอยทู่ นี่ ง่ั สูง ๑๒ โยชน์ ชโ]ลยู่[ครอง88 ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธสิ ตั วข์ องเราเกิดเป็นผคู้ รองรฐั ใหญ่ชื่อ ชฏลิ ได้เข้าเฝาึ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าผู้มพี ระรปู งดงามดงั รปู ปันทองคำ มีพระรศั มีแผอ่ อก ๑๒ โยชนโ์ ดย รอบ ฟงั พระธรรมเทศนา ไดถ้ วายมหาทานพร้อมผา้ จีวรแดพ่ ระภิกษุสงฆ์มพี ระพุทธเจา้ เป็นประธาน พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์วา่ ชฏลิ พระโพธิสัตว์จะไดเ้ ป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึง่ ทรงพระนามวา่ โคตมะ ในอนาคตนับจากน้ไี ปอีกแสนกปั พระโพธสิ ตั ว์ไดฟ้ ังแล้วปีติยนิ ดียิง่ นัก มีศรัทธาในพระตถาคตเจา้ ยง่ิ ขน้ึ อธษิ ฐาน บำเพ็ญข้อวตั รสงั สมพทุ ธบารมใี หบ้ ริบูรณ์ ในครงั้ น้ันแว่นแควน้ ของพระโพธิสัตว์ พระพทุ ธศาสนารงุ่ เรอื งมาก ประชาชนทกุ หม่เู หลา่ ไม่เว้นแมแ้ ตเ่ หล่าเดียรถยี ์นบั ถอื ลทั ธอิ ื่น ต่างพากันชว่ ยทำนบุ ำรุงพระพุทธศาสนา พระโพธสิ ัตว์มศี รทั ธามั่นคง ดำรงพระวริ ิยอุตสาหะบำเพญ็ พทุ ธบารมีไมเ่ ลอ่ื มคลาย จนกระท่งั ลื่นอายุขัยแลว้ ไปสส่ คุ ติ ทระสมั มาสบั ททุ 81จากระองคํที่ 0๐ ท่ดี รสททุ รทยากรณ ทรงพระนามวา่ พระสเุ มธสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ตอ้ (วเป็นใหั๋เดั (ด๖๋ั เฒท่ ระrเทธเย้า) ๑๘๗ kalyanamitra.org

บทท3่ี บแปด พระสรรี ะสูง ๘๘ ศอก อายขุ ยั ของมนษุ ย์ยุคนน้ั ๙ หมื่นปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสทุ ัตตะ และพระนางสทุ ตั ตาพระอคั รมเหสี แหง่ นครสุทสั สนะ ทรงครองฆราวาสวิลัย เสวยโลกยี สขุ อยู่ ๙ พนั ปี ทรงเห็นนมิ ิต ๔ ประการ และ เม่ือพระอัครชายาสมุ นาประสตู พิ ระโอรสปนุ ัพพะแลว้ เสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณ์โดยทรง ชา้ งตน้ ทรงใชเ้ วลาบำเพ็ญเพยี ร ๘ เดอื นเตม็ ผถู้ วายข้าวมธุปายาส คือธดิ าของนกลุ เศรษฐี แหง่ นกุลนคิ ม นสิ ที นสันกัตกว้าง ๕๗ ศอก สุวฑั ฒอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทบั นง้ั โคนตน้ นีปะ (ตน้ กระทุม่ ) พระอคั รสาวกคือ พระสรณะ และพระสัพพกามะ พระพทุ ธอุปฏั ฐากคอื พระสาคระ ทรงแสดงธรรม ๓ คร้ัง ในครง้ั ทีส่ องทรงทรมานยกั ษ์ชือ่ กุมภกรรณ ให้ละทิฏฐี และถือพระองคเ์ ปน็ สรณะดว้ ย มีสาวกสนั นิบาตเกิดขน้ึ ๓ คร้ัง เสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพานเม่อื พระชนมายุ ๙ หม่ืนพรรษา ณ พระวิหารเมธาราม พระบรมสารรี ิกธาตุเฉลยี่ กระจายไปในท่ตี ่างๆ อดุ ดรมานท ในพระพุทธกาลนีพ้ ระโพธสิ ัตวข์ องเราเกิดเป็นชายหนมุ่ คนหนง่ึ เพยี รประกอบอาชีพ มที รพั ยถ์ ืง ๘O โกฏิ เมอื่ พบพระบรมศาสดาผู้งดงาม มีพระรัศมี แผ่ออกไปโดยรอบถึง ๑ โยชน์ สอ่ งสวา่ งไปทัวทกุ ทศิ เกิดมคี วามศรัทธาแรงกล้า คร้นั เมื่อได้ฟิงพระธรรมเทศนาแล้ว ได้ สละทรพั ยท์ ง้ั หมดถวายเปน็ มหาทานแด่พระผู้มพี ระภาคเจา้ พร้อมด้วยเหล่าภิกษสุ งฆ์ พระสุเมธสมั มาสัมพุทธเจา้ ตรัสพยากรณว์ า่ ชายหน่มุ ชือ่ อุตตระผนู้ ี้ตอ่ ไปภายหน้า อีก ๓ หมน่ื กัป จะไดเ้ ป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึง่ ทรงพระนามวา่ โคตมะ อุตตระมานพไดฟ้ งิ พระพทุ ธพยากรณแ์ ลว้ ปลาบปล้มื ใจมาก ขอถงึ พระพทุ ธเจ้า เปน็ สรณะ ออกบวช แลว้ อธษิ ฐานข้อวัตรบำเพญ็ พทุ ธบารมใี ห้บรบิ ูรณ์ยงิ่ ยวด อุตสา่ ห์ ๑๘๘ ตัออเปน็ เท!ต่(ดอ่ แรนทระเๅทธเยา้ ) kalyanamitra.org

ทร(วเปล่(วทระวาจาปรารถนาททฺ ธกอู และไดร้ บทุทธทยากรโน เล่าเรียนปรยิ ตั ิธรรมและปฏิบตั ธิ รรมโดยเคร่งครดั ไมป่ ระมาท บำเพญ็ ตบะแรงกลา้ บรรลุ อภิญญา ๕ เมื่อสนิ อายขุ ยั ก็ไปสุคติพรหมโลก ทระสมั มาสมั ทุท81จาั ทระ90คํท่ี ๑๒ ทตรสั ทระทุทรทยากรณ์ ทรงพระนามว่า พระสุชาตะสมั มาลม้ พทุ ธเจา้ พระสรรี ะสงู ๕๐ ศอก อายุขัยของมนุษยใ์ นยคุ นัน้ ๙ หมนื่ ปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ อุคคตะ และพระนางประภาวดพี ระอคั รมเหสี แหง่ นครสุมงคล ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ ๙ พนั ปี ทรงเห็นนมิ ติ ๔ ประการ เม่อื พระนางสริ -ิ นนทาพระอคั รชายาประสตู ิ พระโอรสอปุ เสนะแล้ว เสดจ็ ทรงมา้ ราชพาหนะชือ่ ทงั สวหัง เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์มผี ู้ออกบวชตามเสด็จ ซิโกฏิ ทรงใหเ้ วลาบำเพญ็ เพียร ๙ เดือนเต็ม ผู้ถวายข้าวมธปุ ายาส คอื ธิดาของสริ นิ นั ทนะ เศรษฐีแหง่ สิรนิ นั ทนนคร นิสที นสตั ถดั กวา้ ง ๓๓ ศอก สุนนั ทอาชีวกเปน็ ผ้ถู วายหญา้ ๘ กำ ประทบั นั่งใต[้ คน ตน้ มหา เวฬุ(ต้นไผใ่ หญ่) พระอคั รสาวกคือ พระสุทสั สนะ และพระสุเทวะ พระพทุ ธอปุ ัฏฐากคือ พระนารทะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง สำหรับการแสดงธรรมครงั้ ทีส่ อง ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ทโ่ี คนตน้ มหาสาละ ใกลป้ ระตูสทุ ัสสนะราชอุทยาน มสี าวกสันนบิ าตเกดิ ขึน้ ๓ ครง้ั เสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพาน เมอื่ พระชนมายุ ๙ หมนื่ พรรษา ท่พี ระวิหารเสลาราม กรงุ จนั ทวดี พระสถูปบรรจพุ ระบรมสารรี ิกธาตสุ งู ๓ คารตุ (๓/๔ โยชน)์ อ้อ0เป็นใหเั๋ อ้ (ลังเฒท่ ระททฺ ธเย้า). ซ๘ิ ๙ kalyanamitra.org

บทท^บแปด ทระเจัาจักรทรรดิ ในพระพุทธกาลน้ี พระโพธิสตั ว์ของเราทรงบังเกดิ เปน็ พระเจ้าจกั รพรรดิผทู้ รงมี มหิทธานุภาพปกแผไ่ ปทัว่ ทวปี ทง้ั ๔ พรั่งพรอ้ มด้วยสมบตั ิและรตั นะ ๗ ประการ เมื่อทรง ทราบเรื่องพระพุทธเจ้าทรงอบุ ตั ิข้นึ จงึ เสด็จพรอ้ มดว้ ยบรวิ ารไปเขา้ เสา เม่ือได้สดับฟัง พระธรรมเทศนากท็ รงปีติยนิ ดีด้วยพระราชศรัทธา จึงถวายจักรพรรดสิ มบัติทง้ั หมด ไวใ์ น พระพุทธศาสนา ทรงผนวชในสำนกั ของพระบรมศาสดา ประชาชนในแวน่ แควนั ทง้ั หลายมศี รัทธารวบรวมทรพั ย์ในชนบทมาจัดถวาย ปจั จยั ๔ เปน็ ประจำแดพ่ ระสมั มาสัมพุทธเจา้ และพระภกิ ษทุ ้ังปวง พระตถาคตเจา้ ตรัส พยากรณแ์ กพ่ ระโพธสิ ัตว์ว่า จะไดต้ รัสรเู้ ป็นพระพุทธเจา้ พระองค์หนึง่ ในอนาคตอีก ๓ หมืน่ กัป มพี ระนามว่า โคตมะ พระเจา้ จกั รพรรดโิ พธิสตั วใ์ ตส้ ดบั พระพทุ ธพยากรณ์ดังน้ีแล้ว ย่ิงร่าเริงเบกิ บานใจ เร่งบำเพ็ญพุทธบารมใี หย้ ิ่งยวดข้ึนไป ทรงศกึ ษาพระสูตร พระวนี ยั และพระปรยิ ตั ิธรรม ทั้งสิน ปฏิบัติธรรมโดยเครง่ ครัด จนบรรลอุ ภญิ ญา ๕ เหาะไปในอากาศได้ สนิ ชีพตักษยั แลว้ ไปสุคตพิ รหมโลก ทระสมั มาสบั ทุท81จาั ทระ90คํที่ ที่ดรสทระทุทรทยากรณ์ ทรงพระนามว่า พระปิยทสั สีสมั มาสมั พุทธเจา้ พระสรีระสูง ๘๐ ศอก อายขุ ยั ของมนุษยใ์ นยุคนั้น ๙ หมน่ื ปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าสุท้ตตะ และพระนางสจุ นั ทาอคั รมเหสี แห่งนคร สธุ ญั ญะ ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ ๙ พนั ปี ทรงเหน็ นมิ ติ ๔ ประการ สลดพระทัย เมอ่ื พระนางวีมลาพระอัครชายาประสูติพระโอรสกัญจนเวฬะ ได้เสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ ด้วยราชรถเทยี มมา้ ขา้ ราชบรพิ ารที่เป็นบุรุษออกเสด็จตาม ๑โกฏิ ทรงใช้เวลาบำเพญ็ เพยี ร ๖ เดือน ผู้ถวายข้าวมธุปายาสดือ ธิดาของพราหมณว์ สภะ แหง่ บ้านวรุณพราหมณ์ นิสที นสันถดั กว้าง ๕๓ ศอก โดยสชุ าตะอาชีวกถวายหญา้ ๘ กำ ประทับน้ังโคน ต้นกกธุ ะ(ตน้ กุ'ม) พระอคั รสาวกดือ พระปาลิตะ และพระสพั พทสั สี ๑๙๐ ตัออเป็นใหเ๋ั ดั (ต01ฒท่ ระทกุ ธเยา้ ) kalyanamitra.org

ทรปเื ปลเ่ วทระวาจาปรารกนาททุ ธกธู และได้รบททุ ธทยากรณ์ พระพทุ ธอปุ ัฏฐากคือ พระโสภติ ะ ทรงแสดงธรรม ๓ คร้ัง มีสาวกสันนิบาต ๓ คร้งั คร้งั ท่ี ๒ และ ๓ เกิดพร้อมกับการแสดงธรรม เม่ือคราวทรงแสดงธรรมในสมาคม ของท้าวสทุ สั สนเทวราช เทวดาและมนุษย์ ๙ หมืน่ โกฏิ บรรลพุ ระอรหันต์ พระพุทธองค์ ทรงนำเรื่องปาฏโิ มกข์ข้นึ แสดงทา่ มกลางภกิ ษสุ าวก นับเปน็ สาวกสันนิบาตครงั้ ที่ ๓ ดว้ ย เสด็จดบั ขันธปรนิ พิ พานเมอ่ื พระชนมายุ ๙ หม่นื พรรษา ณ พระวิหารอัสสตั ถาราม พระสถูปบรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุสงู ๓ โยชน์ ทุราหมโนกสั สปะ ในพระพทุ ธกาลนี้ พระโพธสิ ตั วข์ องเราเกดิ เป็นพราหมณ์หนุ่มชอื่ กัสสปะ เป็นผูค้ ง แก่เรียน รอบรู้วิชาทางศาสนาพราหมณ์เปน็ อยา่ งย่งิ ครงั้ หนงึ่ มีโอกาสฟิงพระธรรมเทศนา ของพระบรมศาสดา เกดิ ศรัทธายง่ิ นัก ไดส้ ละทรพั ยจ์ ำนวนถงึ แสนโกฏสิ ร้างสงั ฆาราม ถวายพระพทุ ธองคต์ งั้ ตนอย่ใู นคลี ๕ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ พระบรมศาสดาตรสั พยากรณ์วา่ พระโพธิสัตว์พราหมณ์กสั สปะจะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ พระองค์หนง่ึ ทรงพระนามว่า โคตมะ ในกาลภายหนา้ อีก ๑,๘๐๐ กปั พระโพธสิ ัตวย์ ินดียิง่ นกั หมื่นสงั สมพุทธบารมีอยา่ งยิง่ ยวดมากขน้ึ จนสนิ ชวี ิตไปส่สุคติ ทระสมั มาสัมททฺ ธเจาั ทุระออคทํ ี่ ๐๔ ทต่ี รัสทระททุ ธทยากรโบ์ ทรงพระนามว่า พระอัดถทัสสสี มั มาสัมพทุ ธเจา้ พระสรรี ะสูง ๘๐ ศอก อายขุ ัยของมนุษย์ในยุคน้ัน ๑ แสนปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สาคระ และพระนางสุทสั สนาพระอคั รมเหสี แห่งนครโสภณะ ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ ๑ หมน่ื ปี ทรงเหน็ นมิ ิต ๔ เมือ่ พระนางวิสาขา พระอัครชายาประสตู พิ ระโอรสพระเสละกุมารแล้วทรงม้าราชพาหนะชือ่ สทุ สั สนะเสดจ็ ออก มหาภเิ นษกรมณ' ขา้ ราชบริพารท่เี ปน็ บรุ ุษออกตามเสดจ็ ๙โกฏิ ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดอื น ดอ้ งเป็นใหเ๋ั ด้ (ค่งฝนทระททุ ธเยา้ ) ๑๙๑ kalyanamitra.org

บทท3ี่ บแปด ผ้ถู วายข้าวมธุปายาส คือ นางนาคสุจินธรา เปน็ ขา้ วท่ีมหาชนนำมาสังเวยนางนาค นสิ ที นสันถัตกวา้ ง ๕๓ ศอก พญานาคชอ่ื มหารุจิเป็นผูถ้ วายหญ้า ๘ กำ ประทับ น่งั ใตต้ ้นจัมปกะ(ตน้ จำปาป่า) พระอัครสาวกคอื พระสนั ตะ และพระอปุ สนั ตะ พระพทุ ธอุปฏั ฐากคือ พระอภยะ ทรงแสดงพระสัทธรรม ๓ ครง้ั มีสาวกสันนบิ าตเกดิ ขึ้น ๓ คร้งั เสดจ็ ดับขันธปรนิ ิพพานเมือ่ พระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ทพ่ี ระวิหารอโนมาราม พระบรมสารรี กิ ธาตแุ ผ่กระจายไปทวั่ สุสมิ ะดาบส ในพุทธกาลน้พี ระโพธิสัตว์ของเราเกดิ เปน็ พราหมณ์ผยู้ ิง่ ใหญ่ชอื่ สสุ มิ ะในนครจมั ปกะ ต่อมาได้นำทรพั ยอ์ อกแจกจา่ ยทำทานแกม่ หาชน แล้วออกบวชเปน็ ดาบสอยู่ใกล้ป่าทมิ พานต์ เจรญิ ฌานไดส้ มาบ้ติ ๘ อภิญญา ๕ เป็นผูม้ ฤี ทธไื่ ปเทวโลกได้ เปน็ ผมู้ เี มตตาตอ่ สรรพสตั ว์มาก ส่ังสอนมหาชนใหส้ รา้ งกุศลกรรม เมื่อสสุ มิ ะดาบสไดเ้ ขา้ เสาฟิงพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดา มปี ีติยนิ ดี รีบ เหาะไปเอาดอกไมท้ พิ ยจ์ ากสวรรค์ มีดอกมณฑารพ ดอกปทุม และดอกปารฉิ ตั ตกะมา บชู าพระพทุ ธเจา้ ไดร้ บั พระพทุ ธพยากรณว์ ่าอีก ๑,๘๐0 กัป จะได้เป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระนามโคตมะ เมือ่ พระโพธสิ ตั ว!์ ดย้ นิ แล้วก็ร่าเริง ตั้งใจเร่งบำเพญ็ พทุ ธบารมียงิ่ ๆ ขึน้ ไป ทระสมั มาสมั ทุทธเจัาทระออคทํ ่ี- ๐๕ ท่ดี รสั ทระททุ รทยากรณ์ ทรงพระนามวา่ พระธมั มทสั สสี ัมมาสัมพทุ ธเจ้า พระสรรี ะสูง ๘๐ ศอก อายุขัยของมนุษย์ในยคุ นน้ั ๑ แสนปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของ พระเจา้ สรณะ และพระนางสุนนั ทาพระอัครมเหสี แห่งนครสรณะ ทรงครองฆราวาสวิสยั อยู่ ๘ พันปี ทรงเห็นเทวทูตทง้ั ๔ สลดพระทัย เม่ือ พระนางวิจโิ กฬีพระอคั รชายาประสูติพระโอรสปุญญวัฒนะ จึงทรงปลงพระทัยจะเสด็จ ๑๙๒ ดอั งเปน็ ให๋ัเดั (ลัดเช่นทระทุทธเย้า) kalyanamitra.org

ทรอเปลo่ nระวาจาปรารกนาทุทรทูม และไดรั บทุทธทยากรณ์ ออกมหาภิเนษกรมณ์ ทันใดนั้นปราสาทสุทสั สนะทีป่ ระทบั กเ็ ลื่อนลอยข้ึนไปในอากาศ แล้วลงต้งั อย่ใู กล้ต้นโพธ่ืพฤกษ์ มีผ้อู อกบวชตามเสดจ็ ซิ แสนโกฏิ ทรงใชเ้ วลาบำเพญ็ เพียรอยู่ ๗ วนั ผู้ถวายขา้ วมธุปายาส คือ พระนางวิจิโกฬี นสิ ีทนสนั ถัตกวา้ ง ๕๓ ศอก คนเสาไรข่ ้าวเหนียวชอื่ สริ ิวฒั นะถวายหญา้ ๘ กำ ประทบั น่ังโคนต้นพิมพิชาละ(มะกลำเครอื ) พระอัครสาวกคือ พระปทุมะ และพระปุสสเทวะ พระพทุ ธอปุ ัฏฐากคอื พระสทุ ัตตะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครงั้ มสี าวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครงั้ ในครง้ั ที่สาม ทรงประกาศธุดงคคณุ ณ พระสทุ สั สนาราม และทรงตงั้ พระมหาสาวก ช่ือ หารติ ะ ไวํในตำแหน่งเอตทคั คะ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานเม่อื พระชนมายุ ซิ แสนพรรษา ณ พระวหิ ารเกสาราม กรุงสาลวดี พระสถูปสงู ๓ โยชน์ ทัาวสักกปรุ ่นททะ ในพระพทุ ธกาลนี้ พระโพธสิ ตั วข์ องเราเป็นท้าวสกั กเทวราช มพี ระนามว่า ทา้ ว- สกั กปุรนิ ททะ เสดจ็ พรอ้ มด้วยทวยเทพทัง้ หลายมาบูชาพระตถาคตเจ้า ผทู้ รงมีพระรศั มีดุจ ดวงอาทติ ย์เทีย่ งวัน สว่างไปท้วั หม่ืนโลกธาตุ ทา้ วสกั กะบูชาพระตถาคตเจา้ ด้วยดอกไม้ ของหอม และดนตรีทพิ ย์ พระบรมศาสดาตรสั พยากรณ์ว่าอีก ซิ,๘๐๐ กปั ชา้ งหน้า จะได้ เปน็ พระพุทธเจ้าพระองคห์ นง่ึ ทรงพระนามวา่ โคตมะ ท้าวสกั กเทวราชฟ้งแล้ว มีความปตี ิ ยินดียิง่ นัก ตัง้ ใจบำเพ็ญข้อวตั รในพทุ ธบารมยี ิ่งยวดขึน้ ไป ทระสัมมาสับททุ ธเจาั ทระ90คทํ ี่ ๐๖ ทต่ี รส่ ทระทุทร่ทยากรโน ทรงพระนามว่า พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจา้ พระสรีระสูง ๖๐ ศอก อายขุ ัยของมนุษย์ในยุคนนั้ ซิ แสนปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าอุเทน และพระนางสุผัสสา พระอคั รมเหสี แห่ง ด้ออเป็นใหเ่ ด้ (ดงั !๘บทระททุ ธเจา้ ) ๑๙๓ kalyanamitra.org

บทที่^บแปด นครเวภาระ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๑ หมนื่ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ เมือ่ พระนางสุมนา ประสตู พิ ระโอรสอนปุ มะ จึงเสด็จด้วยวอทองออกมหาภเิ นษกรมณ์ ทว่ี รี ยิ ราชอทุ ยาน อันเปน็ ที่ประสตู ขิ องพระองค์ มผี อู้ อกบวชตามเสดจ็ รุ) แสนโกฏิ ทรงบำเพ็ญเพยี รอยู่ ๑๐ เดือน ผ้ถู วายขา้ วมธปุ ายาส เป็นธิดาของพราหมณ์ชอ่ื สเุ นตตา ท่ตี ำบลบา้ นอสทิสพราหมณ์ นสิ ทิ นสันถัตกว้าง ๔๐ ศอก คนเสาไร่ข้าวเหนียวช่อื วรณุ ะ นำหญ้า ๘ กำ ถวาย ประทบั น่งั โคนตน้ ไม้กรรณกิ าร์ พระอัครสาวกคือ พระสมั พละ และพระสุมิตตะ พระพุทธอปุ ฏั ฐากคือ พระเรวตะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ครง้ั แรก ทรงประกาศพระธรรมจกั รแกภ่ กิ ษแุ สนโกฏิ ณ คยามคิ ทายวนั คร้ังที่ ๓ ทรงแสดงพระพุทธวงคใํ นสมาคมพระญาติ ทก่ี รงุ เวภาระ มสี าวกสันนบิ าตเกดิ ข้ึน ๓ ครง้ั คร้ังแรกทรงแสดงธรรมแก่พระเจา้ สมั พละและพระเจ้าสุมติ ตะ ราชาสองพี่นอ้ ง แหง่ อมรนคร ณ อมรอทุ ยาน เมอ่ื จบลง พระราชาท้ังคมู่ ีพระราชศรทั ธา ทรงผนวชและ บรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ตแ์ ละเป็นคพู่ ระอัครสาวกโอกาสนน้ั ทรงแสดงปาฏิโมกขท์ ่ามกลาง พระสงฆ์ขีณาสพ ๑00 โกฏิ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานเมือ่ พระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ณ พระวิหารอโนมาราม กรุงกาญจนเวฬุ พระสถปู ทำด้วยรตั นะสูง ๔ โยชน์ทน่ี ่นั ทร'ไหมโบ้บงั คละ ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกดิ เป็นพราหมณ์ชอื่ มงั คละ อาศัยอยู่ใน กรงุ สรุ เสนะ ศึกษาจบตามลทั ธขิ องพราหมณ์ เหน็ ความไร้สาระของสมบต้ พิ ัสถาน จึงนำออก บริจาคแก่ผยู้ ากจนและผูต้ อ้ งการ แลว้ ออกบวชเปน็ ดาบส บำเพญ็ เพียรทำตบะ จนได้ ฌานและอภิญญา เหาะไปในอากาศได้ เมอ่ื ได้ทราบข่าวพระพทุ ธเจา้ อบุ ตั ิข้ึนในโลก มี ศรทั ธาเลื่อมใส จึงเขา้ ไปถวายบงั คมฟงิ พระธรรมเทศนา จบแลว้ ได้บ้าเพ็ญมหาทานใหญ่ เหาะไปยังชมพูทวปี เอาผลชมพูม่ าถวายพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ ทสี่ ุรเสนวิหาร ๑๙๔ ดัออเป็นใหเด้ (ฒ๋)ั เฒเ่ '’ระ.๓ธเยา้ ) kalyanamitra.org

ทรงเปลเ่ วทระวาจาปรารกนาทุทรภมู และาลัรบททุ รทยากรณ์ พระบรมศาสดาทรงตรัสพยากรณว์ า่ อกี ๙๔ กปั นับแตก่ ัปนนั้ มังคละดาบสโพธิสตั ว์ จะตรัสรูเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ พระนามว่า โคตมะ พระโพธสิ ัตวด์ ีใจมาก อธิษฐานขอ้ วัตรบำเพ็ญ พทุ ธบารมอี ย่างย่งิ ยวดขนึ้ ไปจนสินชีวิต ทระสัมมาสมั ททุ ธ1จัาทระ90คทํ ่ี ๐๗ ทดรสททุ รทยากรณ ทรงพระนามว่า พระดสิ สะสัมมาสมั พทุ ธเจ้า พระสรรี ะสูง ๖๐ ศอก อายุขยั ของมนุษย่ในยคุ น้นั ซิ แสนปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ ชนสนั ธะ และพระนางปทมุ าพระอัครมเหสี แห่ง พระนครเขมกะ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๑ หมน่ื ปี ทรงเหน็ นมิ ิต ๔ ประการ เม่ือพระนาง- สภุ ทั ทาอคั รชายาประสูติพระโอรสอานนั ทกุมารแลว้ ประทับบนหลงั มา้ ทรงชื่อโสนตุ ตระ เสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ซ๕ิ วัน (บางแห่งวา่ ๘ เดอื น) ผู้ถวายข้าวมธปุ ายาส เปน็ ธดิ าวรี เศรษฐี ทว่ี ีรนิคม นิสที นสนั สตั กวา้ ง ๔๐ ศอก คนเฝาื ไรข่ า้ วเหนียวช่ือวิชิตสังคามกะ ถวายหญ้า ๘ กำ ประทบั น้ังโคนต้นอัสนะ(ประดู่) พระอคั รสาวกคอื พระพรหมเทวะ และพระอุทยะ พระพุทธอปุ ัฏฐากคอื พระสมังคะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครง้ั มีสาวกสันนิบาตเกิดข้ึน ๓ ครั้ง ครงั้ ที่ ๓ ทรงแสดงพระธรรมกถาเรือ่ งพทุ ธวงศ์ ในสมาคมพระญาตทิ ี่กรุงเขมวดี เสด็จดบั ขันธปรนิ ิพพานเมอ่ื พระชนมายุ ซิ แสนพรรษา ณ พระวิหารนันทาราม ร* กรงุ สุบันทวดี พระสถูปสูง ๓ โยชน์ ดอั เวเปน็ ใหเดั (สิว!8นทระททฺ รเจา้ ) 9 ๙๕ kalyanamitra.org

บทท่^ี บแปด ทระเจาั สชุ าดะ ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตวข์ องเราเปน็ กษตั รยิ ท์ รงพระนามว่า พระเจา้ สชุ าตะ ครองกรุงยลวดี เกดิ สังเวชพระทยั ในความทกุ ขจ์ ากการเกิด แก่ เจบ็ ตาย จึงทรงสละ ราชสมบต้ ทง้ั หมดเสด็จออกไปบวชเปน็ ดาบส มีฤทธานภุ าพมาก ตอ่ มาเมื่อไดท้ รงทราบ ขา่ วพระสัมมาสัมพุทธเจา้ เสดจ็ อบุ ัติขนึ้ ในโลก จึงเสด็จมาเฝืา ทรงมีศรัทธาเป้ยมล้น จงึ ใช้ ฤทธ่ึนำดอกไมใ้ นสวรรค์ มีดอกปทุม ดอกมณฑารพ ดอกปารฉิ ัตตกะ ทีส่ วนจติ รลดาในสวรรค์ ช้นั ดาวดึงส์มาถวายบชู าพระสมั มาสมั พุทธเจ้า พระองค์ตรสั พยากรณ์ว่า พระโพธิสตั ว์ สุชาตะดาบส จะตรัสร้เู ป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะในอนาคตอกี ๙๒ กัป นบั แตก่ ปั นไี้ ป พระโพธสิ ัตว์พงี แล้วดใี จยิง่ นัก จึงเรง่ ปาเพ็ญพทุ ธบารมอี ย่างยิง่ ยวดข้ึนไป ทระสัมมาสัมทุทรเจาั ทระ90คํท่ี ๐๘ ท่ดี รสั ทระททุ รทยากรณ์ ทรงพระนามวา่ พระปุสสะสัมมาสัมพทุ ธเจา้ พระสรรี ะสูง ๕๘ ศอก อายุขยั ของมนุษย์ในยุคนนั้ ๙ หมื่นปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ ชัยเสน และพระนางสิรมิ าพระอัครมเหสี แหง่ พระนครกาสิกะ(กาส)ี ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙ พนั ปี ทรงเหน็ นิมิต ๔ ประการ เมอื่ พระนางกีสาโคตมี อัครชายาประสตู ิพระโอรสอนปู มะแล้ว ทรงช้างพระท่ีนง้ั เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ มีผู้ ตามเสดจ็ ออกบวช ซิ โกฏิ ทรงบำเพญ็ เพียรอยู่ ๗ วัน (บางแหง่ วา่ ๖ เดอื น) ผถู้ วายข้าวมธุปายาสคอื นางสริ วิ ัฑฒา ธดิ าเศรษฐีผู้หนง่ึ นิสที นสันถัตกวา้ ง ๓๘ ศอก ทรงรับหญา้ ๘ กำ ทีอ่ บุ าสกชอ่ื สิรวิ ฒั นะถวาย ประทบั นง้ั ณ โคนตน้ อามลกะ(ต้นมะขามป้อม) พระอัครสาวกคือ พระสรุ กั ขิตะ และพระธมั มเสนะ พระพุทธอุปฏั ฐากคือ พระสภยิ ะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง มีสาวกสนั นิบาตเกดิ ขึ้น ๓ ครงั้ ครงั้ แรก คู่พระอคั รสาวกขอบวช และสำเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ ซิ ๙๖ ต้อ(วเป็นใหเั๋ ต้ (ลงั เชน่ ทระททฺ รเย้า) kalyanamitra.org

ทร,วฝล0ํ ทระวาจๆปรารกนาททฺ รภมู และไดร้ บฑทฺ รทยากรณ์ ครงั้ ท่สี อง ทรงแสดงเรอ่ื งพระพุทธวงศ์ ในสมาคมพระญาติของพระเจา้ ชยั เสน แห่งกรุงกาสี เสดจ็ ดับขันธปรินพิ พานเม่ือพระชนมายุ ๙ หมน่ื พรรษา ณ พระวหิ ารเสนาราม กรงุ กสุ นิ ารา พระบรมสารีริกธาตแุ ผก่ ระจายเป็นสว่ นๆ ไป ทระเจัาวธดาว ในพุทธกาลน้ี พระโพธสิ ตั ว์ของเราเกิดเปน็ กษัตรยิ ์ ทรงพระนามว่า วชิ ติ าวิ แหง่ นครอรินทมะ ทรงเข้าเสาพระบรมศาสดาสดบั พระธรรมเทศนา ทรงเล่ือมใสเปน็ อนั มาก จงึ ถวายมหาทาน แล้วทรงสละราชสมบัติออกผนวชในสำนกั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงศกึ ษา แตกฉานในพระไตรปิฎกยง่ิ นัก สามารถตรัสพระธรรมกถาแกม่ หาชน พระบรมศาสดาตรสั พยากรณว์ า่ จะไดเ้ ป็นพระพทุ ธเจ้าพระองศ์หนงึ่ พระนามว่า โคตมะ ในอนาคตอกี ๙๒ กปั ทระสัมมาสัมทฺท81จัาทระออคํที่ ๐๙ ทีด่ รัสทระททฺ ธทยากรณ์ ทรงพระนามวา่ พระวปิ สั สสี มั มาสัมพุทธเจา้ พระสรีระสูง ๘๐ ศอก อายุขยั ของมนษุ ยใ์ นยคุ นนั้ ๘ หมน่ื ปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพันธมุ ะ และพระนางพนั ธุมดี พระอคั รมเหสี แห่ง พันธมุ ดีนคร ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ ๘ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ สลดพระทยั เมือ่ พระ- นางสทุ สั สนา(หรอื พระนางสตุ น)ู ประสตู พิ ระโอรสสมวฏั ฏขนั ธกุมาร เสดจ็ ออก มหาภเิ นษกรมณ์ดว้ ยรถเทียมม้า มีข้าราชบรพิ ารตามออกบวช ๘ หมน่ื ๔ พนั ทรงทำความเพียรอยู่ ๘ เดอื นเตม็ ผู้ถวายข้าวมธปุ ายาส คอื ธดิ าของสุทัสสนเศรษฐี นสิ ทิ นสันลตั กวา้ ง ๕๓ ศอก คนเสาไร่ข้าวเหนยี วช่อื สุชาตะ ถวายหญา้ คา ๘ กำมอื ประทบั น้งั ณ โคนตน้ ปาฏลี(แคฝอย) พระอคั รสาวกคือ พระขัณฑะ และพระดิสสะ พระพุทธอปุ ฏั ฐากคือ พระอโสกะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครงั้ ต้อ6เป็นใหั๋เด้ (ลังเช่นทระทฺทรเย้า) ๑๙๗ kalyanamitra.org

บทท่รี บแปด คร้ังแสดงปฐมเทศนา พระอคั รสาวกทง้ั สองบรรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ต์ มีสาวกสันนิบาตเกดิ ขน้ึ ๓ ครั้ง เสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพานเมอ่ื พระชนมายุ ๘ หม่ืนพรรษา ณ พระวิหารสุมิตตาราม พระสถูปสงู ๗ โยชนอ์ ยู่ทน่ี นั่ ทญานาคอดุละ ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสตั ว์ของเราเกิดเปน็ พญานาค มีนามวา่ อดุละ มีบญุ ญา ฤทธานภุ าพมาก เมอื่ ไดย้ นิ ขา่ วพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ทรงอุบตั ิข้นึ กม็ ีใจยนิ ดี รบี พาบรวิ าร จำนวนหลายโกฏิไปเขา้ เฝาิ ถวายมณฑปเรือนยอดประดบั รัตนะ ๗ พรอ้ มบรรเลง ดุริยางคท์ พิ ย์ ทำการสักการะพระพทุ ธเจ้าผู้มพี ระรศั มแี ผไ่ ปถึง ๗โยชนโ์ ดยรอบ พญานาค- อตุละถวายมหาทานตลอด ๗ วนั พร้อมดว้ ยตง่ั ทองประดบั ด้วยรัตนะ ๗ มแี กว้ มณี และ แก้วมกุ ดา เปน็ ตน้ แก่เหลา่ ภกิ ษุสงฆ์ มีพระพุทธเจา้ เปน็ ประธาน พระบรมศาสดาทรงตรัสพทุ ธพยากรณ์ว่า ต่อไปจากเวลานั้นอกี ๙ซิ กัป พญานาค- อตลุ ะจะไดต้ รัสรเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ทรงพระนามวา่ โคตมะ พระโพธสิ ัตว์ฟงิ แลว้ ย่ิงมใี จ เลือ่ มใสในพระผูม้ ีพระภาคเจ้ายิง่ ข้ึน ต้ังใจปฏบิ ัติขอ้ วัตรตา่ งๆ ในการสะสมพุทธบารมใี ห้ บรบิ รู ณ์ จนลื่นอายุขยั กระสมั มาสมั กฺทรเจัากระ:90คํท่ี ๒๐ ท่ดี รสกระกทุ รกยากรณ์ ทรงพระนามว่า พระสิขีสมั มาสมั พทุ ธเจ้า พระสรีระสงู ๗0 ศอก อายขุ ยั ของมนษุ ย์ในยคุ น้ัน ๗ หมน่ื ปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ อรุณ และพระนางปภาวดี พระอคั รมเหสี แหง่ นครอรณุ วดี ทรงครองฆราวาสวสิ ยั อยู่ ๗ พันปี ทรงเห็นนมิ ติ ๔ ประการ เมอื่ พระนางสัพพ- กามาเทวี ประสูติพระโอรสอดุละ จงึ ทรงชา้ งราชพาหนะออกมหาภเิ นษกรมณ์ มีบุรษุ ตาม เสด็จออกบวช ๑๓๗,0๐๐ คน ทรงทำความเพยี รอยู่ ๘ เดือน ผู้ถวายขา้ วมธปุ ายาส คือ ธิดาของปิยเศรษฐี แห่งสทุ ัสสนนิคม จ๙๘ ดัออเปน็ ใหเดั (ส๖์ เชน่ ทระททุ ธเจา) kalyanamitra.org

ทรอฝลอ่ ทุระวาจาปรารถนาทุทธภูม และไดัรบั ทุทธทยุ ากรณ์ นสิ ที นอันลัตกว้าง ๒๔ ศอก (บางแหง่ ว่า ๓๒ ศอก) ดาบสอโนมทสั สถี วายหญา้ ๘ กำ ประทับนั่ง ณ โคนต้นปณุ ฑรีกะ(ทุ่มบก บางแหง่ ว่ามะมว่ งป่า) พระอคั รสาวกคือ พระอภิภู และพระอัมภวะ พระพุทธอปุ ัฏฐากคอื พระเขมังกร ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ครงั้ ท่ี ๓ ทรงแสดงยมกปาฏหิ าริย์ ใกลป้ ระตูสุริยวดีนคร เพื่อตัดความเมาและ มานะของเหลา่ เดียรถยี ์ ให้ยอมรบั นับถือพระองค์ มีสาวกอนั นิบาตเกิดขึ้น ๓ ครัง้ ครัง้ ท่ี ๓ เน่อื งในโอกาสท่ีพระบรมศาสดาทรง'ผกื ชา้ งซอึ่ ธนบาลกะ ในธนัศชัยนคร เสด็จคบั ขันธปรนิ พิ พานเมอ่ื พระชนมายุ ๗ หม่นื พรรษา ท่ีพระวหิ ารอัสสาราม พระบรมสารรี กิ ธาตรุ วมเปน็ หนง่ึ เดียว ไมก่ ระจดั กระจาย พระสถปู บรรจสุ งู ๓ โยชน์ ประตบั ด้วยแก้ว ๗ ประการ งามเหมือนภูเขาหิมะ ทรุ ะ!จาั อรนทมะ ในพระพทุ ธกาลนี้ พระโพธิสตั วข์ องเราเกิดเปน็ กษตั รยิ ท์ รงพระนามว่า พระเจา้ - อรินทมะ ครองนครปริภูตตะ เมื่อพระอมั มาอัมพุทธเจา้ เสดจ็ มายงั นครของพระองค์ ทรง ดีพระทยั มาก ถวายบงั คมที่พระบาทดว้ ยพระเคียร ถวายภัตตาหารตลอด ๗ วนั ถวายผ้า อย่างดนี บั โกฏิผนื ถวายช้างพาหนะทีป่ ระตับตกแตง่ แลว้ แดพ่ ระพุทธองค์ ถวายสิงที่ควร รบั แก่เหล่าภิกษุ ซ่ึงมนี ํ้าหนกั เทา่ นาี้ หนักตัวช้าง พระสิขอี ัมมาอัมพุทธเจ้าตรสั พุทธพยากรณ์ว่า พระเจา้ อรนิ ทมะโพธสิ ตั ว์ จะได้ ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ พระองคห์ นึ่งในอนาคต นับจากน้ีไปอีก ๓ซิ กปั พระโพธิสตั ว์ปีตยิ ินดี ตงั้ ใจสรา้ งพทุ ธบารมยี งิ่ ยวดขน้ึ ไปจนตลอดขีวติ ทระสัมมาสัมทุทธ!จาั ทรุ ะ90คํท ๒๐ ทดรสรั ทรุ ะทุทธทยุ ากรณ ทรงพระนามวา่ พระเวสสภูสมั มาอัมพุทธเจา้ พระสรีระสงู ๖๐ ศอก อายขุ ัยของมนษุ ยใ์ นยคุ นัน้ ๖ หมน่ื ปี ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ สปุ ปดีตะ (บางแหง่ ว่าปุปผวตกิ ะ) และพระนาง- ตอ้ (วเใ]น!ห!61 (ส์ปเ๋ ช่นทระทฺทรเยา้ ) ซ๙ิ ๙ kalyanamitra.org

บทท่บี แปด ยสวดีพระอคั รมเหสี แห่งนครอโนมะ ทรงครองฆราวาสวสิ ัยอยู่ ๖ พันปี ทรงเหน็ นมิ ติ ๔ ประการ เมื่อพระนางสจุ ิตตา พระอคั รมเหสี ประสูดพิ ระโอรสสุปปพทุ ธะแลว้ เสดจ็ ประทบั พระวอทองออกมหาภเิ นษกรมณ์ มีขา้ ราชบริพารตามเสด็จออกบวช ๗ หมืน่ คน ทรงทำความเพียรอยู่ ๖ เดอื น ผู้ถวายขา้ วมธุปายาสคือ พระพี่เลยี้ งชื่อ สิริวฒั นา ณ สจุ ติ ตนิคม นิสีทนสันสตั กว้าง ๔๐ ศอก พญานาคนรินทะถวายหญา้ ๘ กำ ประทบั นั่ง ณ โคน ต้นสาละ พระอัครสาวกคือ พระโสณะ และพระอุตตระ พระพทุ ธอุปฏั ฐากคอื พระอปุ สนั ตะ ทรงแสดงธรรม ๓ คร้ัง ครัง้ แรก ทรงประกาศพระธรรมจกั รแกพ่ ระโสณกุมาร และพระอุตตรกมุ าร ณ อรณุ ราชอทุ ยาน ใกล้กรงุ อนปู มะ คร้ังที่ ส! ทรงทำยมกปาฏิหารยิ ์ ณ กรงุ อนปู มะ เพือ่ ทำลายทฏิ ฐขิ องเหล่าเดยี รถยี ์ มสี าวกสนั นิบาตเกดิ ขึ้น ๓ คร้งั ครัง้ ท่ี ๓ เกิดขึน้ ในขณะทีพ่ ระบรมศาสดาเสดจ็ ไปอนุเคราะห์พระราชบตุ รอปุ สันตะ แห่งกรงุ นารวิ าหนะ ซง่ึ ต่อมาเปน็ พระอรหันตแ์ ละเปน็ พระพุทธอุปฏั ฐาก เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานเมื่อพระชนมายุ 'ว หมื่นพรรษา ณ พระวหิ ารเขมาราม (เขมคิ ทายวัน) กรงุ อุสภวดี พระบรมสารรี ิกธาตแุ ผไ่ ปยงั ท่ีตา่ งๆ นานาประเทศได้สกั การ บูชา ทระ เจาั สุทสั สนะ ในพุทธกาลนี้พระโพธิสตั วข์ องเราบังเกดิ เป็นพระราชาแหง่ กรงุ สรภวดี มพี ระนาม ว่า พระเจา้ สุทัสสนะ ทรงเชา้ เฝ็าพระบรมศาสดา สดบั พระธรรมเทศนา แลว้ ทรงเกิดพระ- ราชศรทั ธาบชู าพระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษดุ ้วยข้าว นี้า และจีวร ทรงสร้างพระคนั ธกฎุ ี พร้อมทง้ั พระวหิ ารหน่งึ พันหลงั รายล้อมพระคนั ธกุฎี แล้วทรงบรจิ าคพระราชทรัพยท์ กุ อย่างไวใ้ นพระศาสนา ทรงผนวชในสำนักของพระบรมศาสดา ตง้ั นัน่ ในวัตรและคีล เพ่ือ แสวงหาพระโพธิญาณ ๒๐๐ ตอ□เป็นThเสั (สอ่ เชน่ ทระททุ รเจา) kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook