Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติความสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ประวัติความสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

Published by jariya5828.jp, 2022-07-06 03:59:11

Description: ประวัติความสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

ประวตั คิ วามสำคญั ของ การเผยแผพระพุทธศาสนา (จากชมพทู วปี - สสู วุ รรณภมู )ิ รวบรวมเรยี บเรยี ง โดย แกว ชดิ ตะขบ ป.ธ. ๙, พ.ม., ศษ.บ. นักวิชาการศาสนาชำนาญการ จดั พมิ พเ ผยแพร โดย ฝา ยเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา กองพทุ ธศาสนศกึ ษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแหงชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓

ประวัติความสำคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ISBN 978 - 974 - 310 - 267 - 7 จัดพิมพเผยแพรตามโครงการวัสดุหนังสือ วารสาร ตำรา (หนังสือหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา) กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแหงชาติ ประจำปง บประมาณ ๒๕๕๓ พมิ พค รงั้ ที่ ๑ จำนวน ๗,๐๐๐ เลม นางจฬุ ารตั น บณุ ยากร ผอู ำนวยการสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ นางบุญศรี พานะจติ ต รองผอู ำนวยการสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ นายนพรตั น เบญจวฒั นานนั ท รองผอู ำนวยการสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ นายอำนาจ บัวศิริ ผอู ำนวยการสำนกั เลขาธกิ ารมหาเถรสมาคม นายพนม ศรศิลป ผอู ำนวยการกองพทุ ธศาสนศกึ ษา ขอ มลู /รวบรวมเรยี บเรยี ง/จดั ทำตน ฉบบั : นายแกว ชิดตะขบ หวั หนา ฝา ยเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ตรวจตน ฉบบั : คณะกรรมการตรวจตน ฉบบั หนงั สอื หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ พมิ พท ่ี : โรงพมิ พส ำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ ๓๑๔ – ๓๑๖ ปากซอยบา นบาตร ถนนบำรงุ เมอื ง เขตปอ มปราบศตั รพู า ย กรงุ เทพมหานคร ๑๐๑๐๐ โทร. ๐-๒๒๒๓-๓๓๕๑, ๐-๒๒๒๓-๕๕๔๘ โทรสาร ๐-๒๖๒๑-๒๙๑๐ E-mail : [email protected] นายพรี พล กนกวลยั ผพู มิ พผ โู ฆษณา

คำนำ ศาสนาเปน ทพี่ งึ่ ทางจติ ใจ เปน ประทปี สอ งวถิ ชี วี ติ ของมวลมนษุ ย ดว ยมนษุ ยท กุ ชาติ ทกุ ภาษาสว นใหญเ ปน คนมศี าสนา การทคี่ นในชาตมิ คี วามสามคั คี สามารถรวมกลมุ กนั ตง้ั เปน ชาติ เปน ประเทศ มคี วามเจรญิ มน่ั คงอยใู นโลก กด็ ว ยคนในชาตนิ นั้ ๆ มสี งิ่ ยดึ เหนย่ี ว ทางจติ ใจรว มกนั นน่ั คอื มศี าสนาเปน เครอื่ งยดึ เหนย่ี วจติ ใจ คนในชาตจิ ะเปน คนดมี ศี ลี ธรรม คณุ ธรรมจรยิ ธรรม รกั ความสงบ มรี ะเบยี บวนิ ยั ดี รจู กั เคารพกตกิ าของสงั คม กด็ ว ยอาศยั คำสอนในทางศาสนาเปน เครอื่ งอบรมจติ ใจ ขนบธรรมเนยี มและจารตี ประเพณอี นั ดงี ามของชาติ สวนใหญลวนมีรากฐานมาจากศาสนาทั้งสิ้น ดังนั้น ศาสนาจึงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของ มวลมนษุ ยชาติ โดยเปน เครอ่ื งเสรมิ สรา งและเปน หลกั คำ้ ประกนั ความมนั่ คงของชาติ กลา ว โดยเฉพาะ พระพทุ ธศาสนา เปน ศาสนาประจำชวี ติ ของประชาชนคนไทยสว นใหญท ไี่ ดใ ห ควาามเคารพนบั ถอื และยกยอ งเทดิ ทนู บชู าเปน สรณะแหง ชวี ติ สบื ทอดตอ เนอื่ งกนั มาเปน เวลา ชา นาน ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และศลิ ปวฒั นธรรมอนั ดงี ามของชาตไิ ทยสว นใหญม พี นื้ ฐาน มาจากคตธิ รรมในพระพทุ ธศาสนา องคพ ระมหากษตั รยิ ไ ทยทกุ พระองคท รงเปน พทุ ธมามกะ ทรงดำรงอยใู นฐานะเปน องคเ อกอคั รศาสนปู ถมั ภก ทรงยกยอ งเชดิ ชพู ระพทุ ธศาสนาตลอดมา ตั้งแตอดีตอันยาวนานจวบจนกาลปจจุบัน ซึ่งแสดงใหเห็นเปนประจักษวาพระพุทธศาสนา ไดส ถติ สถาพรเปน สรณะทพ่ี งึ่ ทยี่ ดึ เหนย่ี วจติ ใจของชนชาตไิ ทยตลอดมาทกุ ยคุ ทกุ สมยั โดยท่ีสถาบันท้ังสามคือ สถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระ มหากษัตริย นับไดวาเปนสถาบันหลักอันสำคัญยิ่งของชาติไทย เปนฐานหรือเสาหลักคำ้ ประกนั ความมน่ั คงของประเทศชาติ ไมส ามารถแบง แยกออกจากกนั ได เพราะมคี วามเกยี่ วเนอ่ื ง ผกู พนั เปน อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั สงิ่ ทช่ี าวไทยถอื เปน สญั ลกั ษณแ หง สถาบนั ทงั้ สามนน้ั ไดแ ก ธงไตรรงค คอื ธงชาตไิ ทย ซึ่งประกอบดว ยสสี ามสี คอื สแี ดง หมายถงึ สถาบนั ชาติ สขี าว หมายถงึ สถาบนั พระพทุ ธศาสนา และสนี ้ำเงนิ หมายถงึ สถาบนั พระมหากษตั รยิ  ดงั นน้ั เมอ่ื ธงชาตไิ ทยประกอบดว ยสสี ามสี และประชาชนคนไทยยงั เคารพเทดิ ทนู สถาบนั ทง้ั สามนอี้ ยู ตราบใด ความมน่ั คงของประเทศชาตกิ ย็ งั คงมอี ยตู ราบนน้ั ใครกต็ ามทพี่ ยายามแยกสถาบนั ทงั้ สามนอี้ อกจากกนั พงึ ทราบวา เขาผนู น้ั คอื ผพู ยายามบอ นทำลายความมน่ั คงของชาติ ชาวไทย ทกุ คนตอ งผนกึ กำลงั กนั ตอ สเู พอื่ ปกปอ งคมุ ครองชาตไิ ทยไวใ หม นั่ คงและเจรญิ กา วหนา สบื ไป

(๔) การใหก ารศกึ ษาดา นพระพทุ ธศาสนาแกป ระชาชน โดยการผลติ ตำรบั ตำราวชิ าการทาง พระพทุ ธศาสนาเผยแพร นบั เปน ปจ จยั สำคญั ยง่ิ สว นหนงึ่ ซง่ึ จะทำใหพ ระพทุ ธศาสนามคี วาม มนั่ คงและเจรญิ แพรห ลาย เพราะวา ประชาชนทไี่ ดศ กึ ษามคี วามรคู วามเขา ใจถกู ตอ งตามหลกั ธรรมทน่ี ำเสนอแลว ยอ มเกดิ ศรทั ธาเชอื่ มนั่ และปญ ญารรู อบในการปฏบิ ตั ติ นใหถ กู ตอ งตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ซง่ึ จะสง ผลใหไ ดร บั ผลเปน ความสขุ ความเจรญิ รม เยน็ ในชวี ติ ทง้ั มคี วามเคารพ อทุ ศิ ตนเสยี สละเพอื่ ทำนบุ ำรงุ สง เสรมิ พระพทุ ธศาสนาใหเ จรญิ ยงั่ ยนื ยง่ิ ขนึ้ ไป โดยทก่ี ารจดั สง พระภกิ ษพุ ทุ ธสาวกเปน คณะสมณทตู เดนิ ทางไปเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ในแถบถนิ่ ดนิ แดนตา งๆ นอกชมพทู วปี ในความอปุ ถมั ภข องพระเจา อโศกมหาราช กษตั รยิ  ผูย่ิงใหญแหงอินเดีย เม่ือคร้ังพุทธศตวรรษท่ี ๓ น้ันไดมีอิทธิพลกอใหเกิดผลสัมฤทธิ์ในเชิง พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ จติ วญิ ญาณของมวลมนษุ ยชาตใิ นแถบถนิ่ ทไี่ ดร บั พระพทุ ธศาสนาในครงั้ นนั้ เปน อยา งยงิ่ กลา วเฉพาะ ประเทศชาตไิ ทย พระพทุ ธศาสนาไดม บี ทบาทสำคญั ยง่ิ ตอ วถิ ชี วี ติ ของชาวไทยดังกลาวแลว จนเรียกไดวาวิถีพุทธคือวิถีไทย โดยมีสวนเสริมสรางอุปนิสัยของ คนในชาตใิ หร จู กั รกั ความสงบ มจี ติ ใจเมตตาปรารถนาดี มนี ำ้ ใจเสยี สละ มคี วามกตญั รู คู ณุ รจู กั ใหอ ภยั และเออ้ื เฟอ เผอื่ แผแ บง ปน ตอ กนั รจู กั สงิ่ ทคี่ วรและไมค วร เปน ตน ดงั นนั้ เพอ่ื ให พทุ ธศาสนกิ ชนไดท ราบถงึ คณุ คา ความสำคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาและประวตั กิ าร นับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทยต้ังแตสมัยตั้งอาณาจักรโบราณจวบจนถึงสมัยอยุธยา และสมยั ธนบรุ โี ดยลำดบั และเพอ่ื เปน การทำนบุ ำรงุ สง เสรมิ พระพทุ ธศาสนาในดา นการศกึ ษา และเผยแผ สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ จงึ จดั พมิ พห นงั สอื “ประวตั คิ วามสำคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา” สำหรบั เผยแพรแ กป ระชาชนทว่ั ไปตามโครงการจดั พมิ พ หนงั สอื หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ประจำปง บประมาณ ๒๕๕๓ โดยมอบให นายแกว ชดิ ตะขบ ป.ธ. ๙, พ.ม., ศษ.บ. หวั หนา ฝา ยเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา เปน ผรู วบรวมขอ มลู เรียบเรียงจัดทำตนฉบับ และมอบใหคณะกรรมการตรวจตนฉบับหนังสือหลักธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาทส่ี ำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาตแิ ตง ตงั้ เปน ผตู รวจตน ฉบบั ทงั้ นโี้ ดยอยู ในการควบคมุ อำนวยการผลติ ของกองพทุ ธศาสนศกึ ษา หวงั วา หนงั สอื นจ้ี ะอำนวยประโยชน ดา นการศกึ ษาคน ควา องคค วามรเู กย่ี วกบั ประวตั ศิ าสตรข องพระพทุ ธศาสนาบา งตามสมควร จงึ ขอขอบคณุ ผรู วบรวมเรยี บเรยี งไว ณ ทน่ี ้ี (นางจฬุ ารตั น บณุ ยากร) ผอู ำนวยการสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๕๓

คำสง่ั สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ ที่ ๑๐๓ /๒๕๕๓ เรอ่ื ง แตง ตง้ั คณะกรรมการตรวจตน ฉบบั หนงั สอื หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ——————————— ดวยสำนักงานพระพุทธศาสนาแหงชาติ โดยกองพุทธศาสนศึกษา จะดำเนินการจัดพิมพหนังสือเผยแพรแก ประชาชนตามโครงการวสั ดหุ นงั สอื วารสาร และตำรา (จดั พมิ พห นงั สอื หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา) ประจำป ๒๕๕๓ ในการน้ี เพื่อใหตนฉบับหนังสือที่จะจัดพิมพน้ันมีความสมบูรณถูกตองดานเนื้อหาสาระโดยสามารถเปนแหลงความรู ท่ีเปนระบบและอางอิงในการศึกษาคนควาหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนาของประชาชนพุทธศาสนิกชนท่ัวไป จึง แตง ตงั้ คณะกรรมการตรวจตน ฉบบั หนงั สอื หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ประกอบดว ย ๑. ผูอำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแหงชาติ ที่ปรึกษา ๒. รองผูอำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแหงชาติ ที่ปรึกษา (ทกี่ ำกบั ดแู ลกองพทุ ธศาสนศกึ ษา) ๓. ผูอำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ที่ปรึกษา ๔. ผูอำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา ท่ีปรึกษา ๕. นายวิชัย ธรรมเจริญ ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ ประธานกรรมการ ๖. นายพิศาล แชมโสภา ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ กรรมการ ๗. นายบญุ เลศิ โสภา ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ กรรมการ ๘. นายบญุ เชดิ กติ ตธิ รางกรู ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ กรรมการ ๙. นายบุญสืบ อินสาร ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ กรรมการ ๑๐. นายเดชา มหาเดชากลุ ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ กรรมการ ๑๑. นายแกว ชดิ ตะขบ ป.ธ. ๙ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ กรรมการและเลขานุการ ๑๒. นายพัฒนา สอุ ำมาตยม นตรี ป.ธ. ๗ นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ กรรมการและผูชวยเลขานุการ โดยใหคณะกรรมการ ฯ มีหนาที่ดำเนินการประชุมพิจารณาตรวจสอบรับรองความถูกตองเหมาะสมแหงเนื้อหา สาระของตน ฉบบั หนงั สอื หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนากอ นขออนมุ ตั จิ ดั พมิ พเ ผยแพร ทง้ั นี้ ตง้ั แตบ ดั นเี้ ปน ตน ไป สงั่ ณ วนั ท่ี ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ (นางจฬุ ารตั น บณุ ยากร) ผูอำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแหงชาติ



สารบญั คำนำ (๓) คณะกรรมการตรวจรตน ฉบบั ฯ (๕) สารบญั (๗) ประวตั คิ วามสำคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑ ๔ อารัมภบท ๕ ความรูเกี่ยวกับการเผยแผพระพุทธศาสนา ๗ ๑๘ จดุ ปฐมอบุ ตั ขิ องการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๒๑ อดุ มคตใิ นการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๒๕ อดุ มการณ หลกั การ และวธิ กี ารเผยแผข องพระพทุ ธศาสนา พทุ ธวธิ ใี นการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๓๑ รปู แบบและประเภทของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๓๘ คณุ คา ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๔๐ วเิ คราะหค วามหมายคำวา “เผยแผ” และคำวา “เผยแพร” ๔๓ ๔๓ ปฐมบท ๔๔ การเผยแผพระพุทธศาสนาสูนานาประเทศ ๔๖ พระเจา อโศกมหาราช : พทุ ธศาสนปู ถมั ภกทโี่ ลกจารกึ พระราชประวตั ขิ องพระเจา อโศกมหาราช พระชาตภิ มู ิ : ทรงเปน กษตั รยิ แ หง ราชวงศโ มรยิ ะ ดำรงตำแหนง อปุ ราช ครองเมอื งอชุ เชนี อภเิ ษกสมรส ทำสงครามแยง ชงิ ราชสมบตั ิ ทรงสลดพระทยั ในการพชิ ติ สงคราม

(๘) ๔๘ ๔๙ ทรงเลิกนับถือลทั ธพิ ราหมณ ๕๒ ทรงพบนโิ ครธสามเณรผนู ำไปสกู ารนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ๕๙ ทรงอปุ ถมั ภท ำนบุ ำรงุ สง เสรมิ พระพทุ ธศาสนา ๗๐ ทรงชำระมลทนิ พระพทุ ธศาสนา และทรงอปุ ถมั ภต ตยิ สงั คายนา ๗๒ การจดั สง สมณทตู ไปเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในนานาประเทศ ๗๔ องคค วามรจู ากศลิ าจารกึ ของพระเจา อโศกมหาราช ๗๖ องคค วามรจู าก “อโศกธรรม” ๗๗ พระสถปู เจดยี  : พระพทุ ธศลิ ปะยคุ พระเจา อโศก บน้ั ปลายพระชนมช พี ๗๙ ๘๘ ทุติยบท ประวัติการนับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทย ๙๐ ๙๐ ประมวลขอ สนั นษิ ฐานเกยี่ วกบั อาณาบรเิ วณ “สวุ รรณภมู ”ิ ๙๒ การแบง ยคุ สมยั ทพ่ี ระพทุ ธศาสนาไดเ ผยแผเ ขา สปู ระเทศไทย ๙๔ ๙๘ ชนชาติไทยกับพระพุทธศาสนาในอาณาจักรโบราณ ๙๙ ๑๐๒ รกรากบรรพบรุ ษุ ของชนชาตไิ ทย ๑๐๓ เรม่ิ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาสมยั อาณาจกั รอา ยลาว ๑๐๔ พระพทุ ธศาสนาสมยั ฟนู นั ๑๐๕ พระพทุ ธศาสนาสมยั ทวาราวดี พระพทุ ธศาสนาสมยั อาณาจกั รศรวี ชิ ยั พระพทุ ธศาสนาสมยั ลพบรุ ี พระพทุ ธศาสนาสมยั อาณาจกั รนา นเจา พระพทุ ธศาสนา : มรดกอารยธรรมในดนิ แดนสวุ รรณภมู ิ พระพทุ ธศาสนาในลมุ แมน ำ้ ปง พระพทุ ธศาสนาในสมยั ราชวงศเ มง็ ราย

ตติยบท (๙) พระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๑๑๕ ภมู ปิ ระวตั โิ ดยยอ ๑๑๗ ภมู ปิ ระวตั แิ ละสภาพการนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาโดยพสิ ดาร ๑๒๕ พระมหาธรรมราชาลไิ ทกบั การอปุ ถมั ภพ ระพทุ ธศาสนา ๑๒๙ จตุตถบท ๑๒๙ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยา – ธนบรุ ี ๑๓๑ ๑๓๒ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยา ๑๓๗ บทสรปุ นำ ๑๔๕ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยายคุ แรก ๑๔๘ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยายคุ ที่ ๒ ๑๔๙ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยายคุ ที่ ๓ พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยายคุ ปลาย พระพทุ ธศาสนาสมยั ธนบรุ ี บรรณานกุ รม



ประวัตคิ วามสาํ คัญของ การเผยแผพระพุทธศาสนา อารัมภบท ความรเู ก่ยี วกับการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา จุดปฐมอบุ ตั ขิ องการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ณ ชมพูทวีป ดินแดนที่เรียกขานในปัจจุบันน้ีว่า ประเทศอินเดีย แดนพุทธภูมิ ซ่ึง ต้ังอยู่ทางทิศพายัพหรือตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทยเรา มีชนชาติอริยกะได้มาต้ังถ่ินฐาน อยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ ชนจําพวกนี้ได้ทําการขับไล่เจ้าของถิ่นเดิมให้ถอยเล่ือนลงมาทางใต้ทุกที แล้วเขา้ ตัง้ ถน่ิ ฐาน ณ ชมพูทวปี นั้น เม่ือก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ตรงกับวันวิสาขปุรณมี หรือวันเพ็ญเดือน ๖ ณ ภายใต้ ร่มไมส้ าละ สวนลมุ พนิ ีวนั พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรมศาสดาของเราท้ังหลาย ได้ เสด็จอุบัติกําเนิดในพวกอริยกชาติ ณ แคว้นสักกะ ชมพูทวีป ในราชสกุลศากยะ โคตมโคตร เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ กับพระนางเจ้าสิริมหามายา ทรงไดร้ บั การเฉลมิ พระนามว่า สิทธตั ถราชกมุ าร หรือเรยี กสามญั ว่า เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ เมื่อมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา สิทธัตถราชกุมารได้อภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา หรือพระนางพิมพา ผู้เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุทธะ กษัตริย์โกลิยวงศ์ ผู้ครองกรุง เทวทหะ กับพระนางอมิตา ทรงเสวยสุขสมบัติมาจนมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา และทรงมี พระราชโอรสทปี่ ระสูติจากพระนางยโสธราหนง่ึ พระองค์ ทรงพระนามวา่ ราหลุ ราชกุมาร

มหาบุรษสิทธัตถราชกุมารเม่ือมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ก็เสด็จออกบรรพชา ประพฤติพระองค์เป็นบรรพชิตแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นเคร่ืองทําให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง กล่าวคือ แสวงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ทรงแสวงหาโมกขธรรม บําเพ็ญทุกกรกิริยา ลองผิดลองถูก และในท่ีสุดได้บําเพ็ญเพ๊ยรทางจิตคือบําเพ็ญสมาธิ-วิปัสสนา นับเป็นเวลา ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้อริยสัจธรรมโดยชอบด้วยพระองค์เอง สําเร็จพระเนมิตกนามว่า พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในราตรีแห่งดิถีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงวิสาขนักขัตฤกษ์ (ข้ึน ๑๕ ค่ํา เดือน ๖) ภายใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์ คือต้นโพใบ เพราะเป็นต้นไม้ท่ีพระองค์ประทับนั่งตรัสรู้จึง เรยี กวา่ ต้นโพธ์ิ หรอื ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ กอ่ นพทุ ธศักราช ๔๕ ปี หลังจากตรัสรู้แล้ว พระองค๋ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ปริมณฑลต้นพระศรีมหาโพธ์ิ นั้นเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน ทรงพิจารณาหาบุคคลที่สมควรแสดงธรรมโปรด ก็พบว่า ปัญจวัคคีย์ คือกลุ่มนักบวช ๕ รูป ที่มีท่านโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า ผู้เคยติดตามปรนนิบัติ พระองค์เพ่ือหวังความสําเร็จตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์แล้วจะได้ตรัสพระธรรมสั่งสอน พวกตนบ้าง เป็นผู้สมควรท่ีจะได้รับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก เพราะมีอุปนิสัยวาสนาบารมี พร้อมท่ีจะตรัสรู้ธรรมได้ โดยขณะนั้นปัญจวัคคีย์ได้พากันพํานักอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตเมอื งพาราณสี แคว้นกาสี และแล้วเม่ือถึงวันอาสาฬหปุรณมี ตรงกับวันเพ็ญ ๑๕ คํ่า เดือน ๘ พระพุทธองค์จึง เสด็จไปทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ด้วยพระธรรมเทศนา กัณฑ์แรกที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นบทพระธรรมเทศนาท่ีแสดงถึงการหมุน กงล้อธรรมจักรที่ไม่เคยมีผู้ใดในไตรโลกเคยหมุนได้มาก่อนโดยเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่าพระพุทธองค์ ทรงประกาศพระธรรมท่ีตรัสรู้เป็นจุดเบ้ืองต้นแห่งการเผยแผ่ก่อต้ังประดิษฐานพระพุทธศาสนา แล้ว ซง่ึ ปฐมเทศนากัณฑน์ ้ีมใี จความโดยสรปุ วา่ ๒ ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.

“บรรพชิตคือนักบวชที่พึงประสงค์ในพระศาสนาน้ีไม่ควรประพฤติข้องแวะกับข้อวัตร ปฏิบัติอันเป็นทางสุดโต่ง ๒ ทาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค การประพฤติปฏิบัติตนให้สุขสบาย หมกมุ่นอยู่กับเร่ืองกามเกินไปหรือการประพฤติย่อหย่อนสุขสบายแบบชาวบ้านผู้ครองเรือน และอัตตกิลมถานุโยค การประพฤติตนทรมานตนให้ลําบากเดือดร้อนมีประการต่างๆ โดยคิดว่า เป็นการย่างกิเลสและเป็นทางพ้นทุกข์ แต่ควรประพฤติปฏิบัติตนให้ดําเนินอยู่ในทางสายกลางที่ เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นแนวทางปฏิบัติท่ีทําให้ผู้ดําเนินสําเร็จเป็นอริยบุคคลได้ ประกอบดว้ ยอริยมรรค ๘ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ ความคิดเห็นชอบประกอบด้วยกุศลที่ส่งผล ใหป้ ระพฤติดปี ฏิบตั ิชอบ สัมมาสงั กปั ปะ ความดํารคิ ดิ ปลกี ตนใหห้ า่ งจากกามสุข ไม่คิดพยาบาท เบียดเบียนตนและผู้อ่ืนให้เดือดร้อน สัมมาวาจา การพูดดีมีวจีสุจริต ไม่ทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน ด้วยการใช้คาํ พูดเท็จ ส่อเสยี ด หยาบคาย และเพ้อเจอ้ สมั มากัมมันตะ การประพฤตติ นให้อยู่ใน กรอบแห่งหลกั มนษุ ยธรรม ไม่นิยมความรุนแรงผลาญพร่าฆ่าชีวิตและล่วงละเมิดกรรมสิทธ์ิส่ิงรัก หวงแหนของผู้อื่น สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีวิตท่ีสุจริต พอเพียงเหมาะสม เป็นอยู่ง่าย ไม่ เบียดเบียนตนและผู้อ่ืนให้เดือดร้อน แต่เอ้ืออํานวยต่อสภาพแวดล้อม สัมมาวายามะ ความ เพียรพยายามลดละความชว่ั ปอ้ งกันไมใ่ หค้ วามช่วั เกดิ ขนึ้ ในจติ สนั ดาน พร้อมกับการสร้างสรรค์ กุศลธรรมคณุ งามความดใี หเ้ กดิ ข้ึนในกมลสันดานและเพียรหม่ันรักษาไว้ให้ม่ันคง สัมมาสติ การ ฝึกสติให้พร้อมในการกํากับควบคุมจิตเพื่อรู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่ง และ สัมมาสมาธิ การฝึกอบรมจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ม่ันคงมุ่งตรงต่อการเป็นบาทฐานให้เกิด พัฒนาการทางปัญญาที่นําไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์ได้ในท่ีสุด ต่อจากน้ัน พระพุทธองค์ได้ตรัสถึง สัจธรรมคือความจริงแห่งธรรมชาติท่ีเป็นเหตุเป็นผลกัน ๔ ประการ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ซึ่ง เรียกว่า อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สภาพความบีบค้ันทุกข์ยากลําบากกายใจอันเนื่องมาจาก การท่ีตอ้ งเกดิ แก่ เจบ็ ตาย ไดป้ ระสบพบเจอกบั สง่ิ ทไี่ ม่รักไม่ชอบ จําต้องพลัดพรากจากส่ิงที่รัก ที่ชอบ และไม่สมหวังในส่ิงท่ีปรารถนา ท่ีมนุษย์หรือสัตว์โลกต้องเผชิญอย่างหลีกเล่ียงไม่พ้น สมทุ ัย สาเหตแุ หง่ ทกุ ข์ อนั เน่ืองมาจากสภาพจิตที่มีตัณหาซึ่งทําให้เกิดความทะยานอยากดิ้นรน อยากได้ อยากมี อยากเป็นต่างๆ นิโรธ สภาพความดับทุกข์ มีภาวะจิตท่ีเข้าถึงบรมสุข ซึ่ง เป็นผลท่ีเน่ืองมาจากการตัดสาเหตุแห่งทุกข์น้ันได้โดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และ มรรค คือวิธีปฏิบัติ เพือ่ เข้าถึงสภาพความดับทุกข์ โดยดําเนินตามหลักมัชฌิมาปฏิทาท่ีประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าว และพระองค์ได้ตรัสยืนยันว่า ทรงมีญาณทัสนะ (พระปรีชาญาณรู้เห็น) ใน อริยสัจท้ัง ๔ ประการนี้อย่างถ่องแท้แจ่มแจ้งด้วยพระญาณท้ัง ๓ คือ สัจจญาณ ความรู้เห็น อรยิ สัจ ๔ ตามเปน็ จริงว่า นีท้ ุกข์ นส้ี มุทยั นน้ี ิโรธ น้มี รรค กิจจญาณ ความรู้เหน็ กิจอนั ควรทํา ในอริยสัจ ๔ ว่า ทุกข์เป็นสภาพควรกําหนดรู้ สมุทัยเป็นส่ิงควรละ นิโรธเป็นภาวะที่ควรบรรลุ มรรคเป็นวิธที ่ีควรฝึกปฏบิ ตั ิพฒั นาใหเ้ จริญในตน และกตญาณ ความร้เู หน็ กจิ อันทําในอรยิ สัจ ๔ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๓

แล้วว่า ทุกข์ได้รับการกําหนดรู้แล้ว สมุทัยได้ถูกละตัดขาดแล้ว นิโรธได้รับการบรรลุถึงแล้ว และมรรคได้รับการฝึกปฏิบัติพัฒนาบริบูรณ์แล้ว เพราะทรงมีญาณทัสนะในอริยสัจด้วยพระ ญาณทั้งสามดังกล่าวนี้ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสําเร็จ เป็นพระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจ้าโดยสมบรู ณ์ในโลก ตลอดทัง้ เทวโลกและพรหมโลก” เมอื่ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงปฐมเทศนาจบลง ทา่ นโกณฑัญญะ ผู้เปน็ หวั หนา้ ปญั จวัคคีย์ ได้เกิดธรรมจักษุมีดวงตาเห็นธรรมสําเร็จเป็นพระอรยิบุคคลชั้นโสดาบัน พระพุทธองค์ทรงทราบ วา่ ท่านโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเหน็ ธรรม อันเปน็ สญั ญาณวา่ พระองค์ทรงเผยแผ่พุทธรรมได้สําเร็จมี อนุพุทธสาวกผู้ตรัสรู้ตามแล้ว จึงทรงเปล่งพระวาจาแสดงความสําเร็จว่า “อฺญาสิ วต โภ โกณฑฺโญ = โกณฑญั ญะได้ร้แู ลว้ หนอ” และนบั แตน่ ้ัน ท่านโกณฑัญญะจึงมีคํานําหน้าช่ือว่า อัญญาโกณฑัญญะ และท่านได้ทูลขอบวชประพฤติพรหมจรรย์เป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย พระพุทธองค์จึงทรงประทานอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทให้ด้วยพระวาจาว่า “ท่านจงเป็น ภกิ ษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทําท่ีสุดทุกข์โดยชอบเถิด” ด้วยพระวาจาประทานอนุญาตเอหิภิกขุอุปสัมปทานี้ ก็เป็นอันสําเร็จการบรรพชาอุปสมบทของ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ซ่ึงนับว่าเป็นพระภิกษุพุทธสาวกรูปแรกในพระพุทธศาสนา เป็น เหตุใหม้ ีพระรตั นตรัย คือ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบบริบรู ณใ์ นโลก ดังนั้น จึงถือว่า การที่พระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตเมืองพาราณสี เมื่อวันเพ็ญอาสาฬหมาส (ข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๘) จนหัวหน้าปัญจวัคคีย์คือท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมสําเร็จ เปน็ พระอรยิ บุคคลชั้นตน้ เปน็ ปฐมเหตุจุดเรมิ่ ต้นแห่งการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา อุดมคติในการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ภายหลังจากท่ีพระพุทธองค์ทรงบําเพ็ญพุทธกิจเป็นพระบรมศาสดาประกาศเผยแผ่ ศาสนธรรมท่ีตรัสรู้ เร่ิมตั้งแต่ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ ทรงโปรดยสกุลบุตร พร้อมสหาย จนมีพระอรหันตพุทธสาวกเกิดขึ้นในโลกจํานวน ๖๐ องค์ (คือ พระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะพร้อมพระที่เป็นสหายอีก ๕๕) จึงทรงมีพระพุทธประสงค์ที่จะส่งพระอรหันตสาวก เหล่านั้นไปประกาศพระศาสนายังหมู่บ้าน ตําบล หรือนิคมชนบทต่างๆ ของชมพูทวีป โดย ก่อนจะทรงส่งไปน้ัน พระพุทธองค์ได้ทรงรับส่ังให้ประชุมพระอรหันตสาวกจํานวน ๖๐ องค์แล้ว ทรงประทานพระโอวาทซง่ี ถือเป็นอดุ มคติในการประกาศเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ความวา่ ๔ ประวตั ิความสําคญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

“ภิกษุท้ังหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงท้ังปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้ พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงท้ังปวงทั้งท่ีเป็นของทิพย์ท้ังที่เป็นของมนุษย์ พวกเธอจงเท่ียวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพ่ือความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อ ประโยชนเ์ กื้อกูลและความสขุ แก่เทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย พวกเธออย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในท่ีสุด จงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ พร้อมท้ังอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริบูรณ์ครบถ้วน สัตว์ทั้งหลายพวกท่ีมีกิเลสธุลีในจักษุน้อย กม็ ีอยู่ เพราะไมไ่ ด้ฟังธรรม สัตวเ์ หล่าน้ันย่อมเสือ่ ม ผู้ร้ทู ัว่ ถงึ ธรรมไดจ้ ักมีอย.ู่ ..”* จากพระพุทธพจน์น้ีเป็นเครื่องชี้ชัดถึง อุดมคติในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันเป็น บทบาทสําคัญของการทําหน้าท่ีประกาศศาสนธรรมส่งเสริมสัมมาปฏิบัติของพระภิกษุพุทธสาวก ทั้งมวลนับจากอดีตสู่ปัจจุบัน ซ่ึงมุ่งให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลและประโยชน์สุขแก่ประชาชน ชาวโลกอย่างแท้จริง หาได้มุ่งเพ่ือประโยชน์ให้คนมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจํานวนมากหรือ มุ่งเพ่ือประโยชน์ของผู้เผยแผ่เองแต่อย่างใดไม่ นอกจากนี้ การส่งพระอรหันตสาวกรุ่นแรกไป ประกาศพระศาสนาท่วั ชมพูทวปี นีย้ ังถอื ว่าเป็นจดุ กาํ เนิดการดาํ เนินงานพระธรรมทูตอกี ด้วย อดุ มการณ หลกั การ และวิธีการเผยแผข องพระพุทธศาสนา ในคราวประชุมพระอรหันตสาวกคร้ังใหญ่ (มหาสันนิบาตแห่งพระสาวก) ซึ่งเรียกการ ประชุมในคราวน้ันว่า จาตุรงคสันนิบาต หรือการประชุมที่ประกอบด้วยเหตุอัศจรรย์ ๔ ประการ คือ (๑) วันน้ันเป็นวันอโุ บสถข้ึน ๑๕ คํา่ เดือนมาฆะ (วนั เพญ็ เดือน ๓) (๒) พระสาวกจํานวน ๑,๒๕๐ องค์ มาประชมุ พรอ้ มกันโดยมไิ ด้นัดหมาย (๓) พระสาวกเหลา่ นั้นล้วนแตเ่ ปน็ พระอรหนั ตขีณาสพผู้ไดอ้ ภญิ ญา ๖ และ (๔) พระสาวกเหล่านนั้ ล้วนแตเ่ ปน็ เอหิภิกขทุ ีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงประทานการอุปสมบทให้ เหตุอัศจรรย์ท้ัง ๔ ประการน้ีเกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียวในพระพุทธศาสนา ณ เวลา บ่ายของวันเพ็ญเดือน ๓ (วันมาฆบูชา) ขณะท่ีพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ภายหลังจากท่ีตรัสรู้แล้วได้ ๙ เดือน โดยเม่ือพระพุทธองค์เสด็จ กลับจากถ้ําสุกรขาตา (ภายหลังจากท่ีทรงทราบว่าพระสารีบุตรสําเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะฟัง พระธรรมเทศนาเวทนาปริคคหสตู รท่ีทรงแสดงแก่ทีฆนขปริพาชก) เสด็จถึงพระวิหารเวฬุวันแล้ว ได้ทอดพระเนตเห็นพระอรหันตพุทธสาวกจํานวนมากต่างมาประชุมพร้อมกันรอเฝ้ารับเสด็จโดย * พระไตรปิฎกภาษาไทย วินัยปฎิ ก มหาวรรค เล่ม ๔ ข้อ ๓๒ หน้า ๔๙-๕๐ (ฉบบั ฉลองสิริราชสมบัติ พุทธศกั ราช ๒๕๔๙) ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๕

มิได้นัดหมายแต่ประการใด ทรงทราบถึงเหตุอัศจรรย์แห่งจาตุรงคสันนิบาต จึงทรงประทาน พระโอวาทสาํ คัญเพอื่ ใหเ้ ป็นแนวปฏิบตั ใิ นการจาริกไปทาํ หน้าทเ่ี ผยแผ่พระพุทธศาสนา พระโอวาทสําคัญท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงในวันน้ัน เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ (หรือ เขียนว่า โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ประมวลคําสอนหลักที่แสดงถึงอุดมการณ์ หลักการ และ วิธีการในการเผยแผ่ศาสนธรรมของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นพระคาถา (คือ คํารอ้ ยกรองในภาษามคธหรอื ภาษาบาลี) จํานวน ๓ พระคาถาครึ่ง ดังนี้ พระคาถาที่ ๑ : อดุ มการณข องพระพุทธศาสนา ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนตฺ ิ พุทฺธา น หิ ปพพฺ ชิโต ปรปู ฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วเิ หฐยนโฺ ต. ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นธรรมสําหรับ เผาบาป (ตบะ) ที่ยอดยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญพระนิพพานว่า เปน็ ธรรมอนั ยอดเยีย่ ม ผู้ท่ยี ังฆา่ ผอู้ ่ืนไมช่ อ่ื วา่ เป็นบรรพชติ ผูท้ ี่ยังเบยี ดเบยี นผอู้ ่นื ไม่ชื่อวา่ เป็นสมณะเลย พระคาถาที่ ๒ : หลกั การของพระพทุ ธศาสนา สพฺพปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจติ ฺตปริโยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ าน สาสน.ํ การไมท่ าํ ความช่ัวทกุ อย่าง ๑ การทําความดีให้ถึงพร้อม ๑ การชําระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ๑ (หลักการท้ังสาม)นี้เป็น คําสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย พระคาถาที่ ๓ : วิธีการเผยแผของพระพุทธศาสนา อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกเฺ ข จ สวํ โร มตฺตฺุตา จ ภตฺตสมฺ ึ ปนฺตจฺ สยนาสนํ อธิจิตเฺ ต จ อาโยโค เอตํ พุทธฺ าน สาสน.ํ ๖ ประวตั คิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

การไม่ว่าร้ายใคร ๑ การไม่ทําร้ายใคร ๑ การสํารวมใน พระปาตโิ มกข์ ๑ การรู้จักประมาณในอาหาร ๑ การนอนการน่ัง ในที่สงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต (สมาธิชั้นสูง) ๑ (วธิ กี ารทั้งหก)น้ีเปน็ คาํ สอนของพระพุทธเจา้ ทัง้ หลาย* พทุ ธวธิ ใี นการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา การเผยแผ่ศาสนพรหมจรรย์ (หลักการดําเนินชีวิตที่ประเสริฐ หรือหลักพระธรรมวินัย) ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในระยะแรกตรัสรู้นั้น มีลักษณะเป็นการประกาศท้าทาย เหล่ามหาบัณฑิตปัญญาชนในสมัยนั้นให้มาช่วยกันพิสูจน์อริยสัจธรรมท่ีพระองค์ทรงค้นพบด้วย พระองค์เอง ซ่ึงเป็นความจริงอันเที่ยงแท้แน่นอน เป็นความจริงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตาม กาลเวลา สอดคล้องกับหลักพระธรรมคุณที่ว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ดี แล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ควรแก่การเชิญชวนชักชวนให้มา พิสูจนท์ ดสอบ ควรนอ้ มเขา้ ใสต่ น เปน็ ผลปฏิบตั ิทวี่ ิญญูชนจะพึงร้ไู ด้เฉพาะตน” พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนา ทรงประสบผลสําเร็จอย่างสูงยิ่งในการประกาศเผยแผ่ศาสนธรรมท่ีพระองค์ได้ตรัสรู้ ซ่ึงทรงใช้ เวลาเพียง ๙ เดือน ก็สามารถประกาศศาสนธรรมก่อตั้งและประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ได้ อย่างมั่นคงดํารงประโยชน์สุขแก่ประชาชนในดินแดนชมพูทวีป คือ ครบองค์ประกอบ ๕ ประการของการก่อตง้ั ศาสนา ซึ่งไดแ้ ก่ (๑) มีองค์พระศาสดาผ้กู อ่ ต้งั คอื พระองคเ์ อง (๒) มีศาสนธรรม คือหลกั พทุ ธธรรมคาํ สอนท่พี ระองคต์ รสั รูช้ อบด้วยพระองคเ์ อง (๓) มีศาสนบุคคล คือพระพุทธสาวกเป็นประจักษ์พยานในการปฏิบัติตามศาสนธรรม และเป็นกําลังสําคัญช่วยประกาศเผยแผ่ โดยมีพระภิกษุปัญจวัคคีย์ กลุ่มพระยสะ พร้อมท้ังมี อุบาสก อุบาสกิ า คือบิดาของพระยสะและอดีตภรรยาของพระยสะ เป็นตน้ (๔) มีศาสนสถาน คือพุทธศาสนสถานหรือวัด ในสมัยน้ันได้แก่ พระวิหารเวฬุวัน หรือวดั เวฬวุ ัน ท่ีพระเจา้ พมิ พสิ าร จอมเสนามาคธราช บรมกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ทรงศรัทธา สรา้ งถวาย ณ พระราชอทุ ยานเวฬวุ นั กรงุ ราชคฤห์ แคว้นมคธ และ (๕) มีศาสนพิธี คือธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่พระพุทธองค์รงกําหนดเป็นแบบแผน ให้ประพฤติปฏิบัติ โดยขณะนั้น มีพิธีการบวชประพฤติพรหมจรรย์เกิดข้ึน ๒ แบบ คือ แบบ * ดูพระไตรปิฎกภาษาไทย ทีฆนิกาย มหาวรรค เลม่ ๑๐ ขอ้ ๙๐ หน้า ๖๔-๖๕ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๗

เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่ีพระพุทธองค์ทรงประทานบวชให้เอง และแบบติสรณคมนูปสัมปทา ที่ ทรงอนุญาตพระสาวกบวชให้กุลบุตรได้ด้วยการรับไตรสรณคมน์ นอกจากน้ี ยังมีพิธีการอุทิศ ส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับวายชนม์ โดยพระเจ้าพิมพิสารทรงจับพระเต้าทองเต็มด้วยนํ้าหล่ังลงดิน เนือ่ งดว้ ยการถวายพระราชอทุ ยานเวฬุวนั พระพุทธองค์ได้ทรงบริหารกิจการคณะสงฆ์มีลักษณะเป็นธรรมเสนา คือ กองทัพธรรม โดยพระองคเ์ ปน็ องคพ์ ระประมขุ ผ้เู ปน็ พระธรรมราชา และมี พระสารบี ุตรเถระ พระอัครสาวก เบ้ืองขวา ผู้เลิศด้านปัญญา เป็นพระธรรมเสนาบดี พร้อมทั้งมี พระมหาโมคคัลลานเถระ พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เลิศด้านอิทธิฤทธิ์ เป็นแม่ทัพธรรม และมีพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกา เปน็ ดจุ ทหารในกองทพั ธรรม ในการขับเคลื่อนกองทัพธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ประสบความสําเร็จมีผู้นับถือ จํานวนมากน้ัน ลําดับแรก พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนให้พระภิกษุพุทธสาวกต้องพยายามฝึกฝน พัฒนาตนให้ก้าวถึงจุดสูงสุดคือสําเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้มีความบริสุทธิ์เป็นยอดภิกษุใน พระพุทธศาสนา เพ่ือจะได้เป็นผู้สมควรต่อการรับทักษิณาของทําบุญ เหมาะสมต่อการเคารพ นบไหว้สักการบูชาของชาวบ้าน และเป็นเนื้อนาบุญที่ยอดเยี่ยมของชาวโลก โดยพระภิกษุท่ี สําเร็จเป็นพระอรหันต์น้ันนับว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมท่ีจะทําหน้าที่เผยแผ่พุทธธรรมได้ อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เพราะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมเฉกเช่น คุณสมบัติของทหารหรอื นักรบอาชีพท่ีคู่ควรเป็นองครักษ์พิทักษ์พระเจ้าแผ่นดิน ๔ ประการ คือ ฉลาดในฐานะ (มีหลักมั่นคง) ยิงได้ไกล ยิงได้เร็ว และทําลายข้าศึกหมู่ใหญ่ได้ ดังท่ี พระพุทธองค์ได้ตรสั อุปมาเปรยี บเทยี บไวใ้ นโยธาชวี สูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ความว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย นักรบอาชีพผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ เป็นผู้ควรแก่ พระราชา เหมาะท่ีจะรับใช้พระราชา นับว่าเป็นพระวรกายของพระราชาได้ทีเดียว องค์ ๔ ประการ คือ นักรบอาชีพในโลกน้ี เป็นผู้ฉลาดในฐานะ (อยู่ในชัยภูมิท่ีดี) ๑ เป็นผู้ยิงได้ไกล ๑ เป็นผู้ยิงได้เร็ว ๑ เป็นผู้ทําลายข้าศึกหมู่ใหญได้ ๑ ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ก็เป็นผู้ควรแก่ของคํานับ เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควร แก่ทักษิณา เป็นผู้ควรทําอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลกท่ีไม่มีนาบุญอื่นย่ิงกว่า ธรรม ๔ ประการ คือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ฉลาดในฐานะ ๑ เป็นผู้ยิงได้ไกล ๑ เป็นผู้ยิงได้เร็ว ๑ เปน็ ผู้ทําลายข้าศกึ หมใู่ หญได้ ๑”* พร้อมท้งั ตรัสอธบิ ายขยายความ โดยสรุปดังน้ี * พระไตรปิฎกภาษาไทย อังคตุ ตรนิกาย จตกุ กนบิ าต เลม่ ๒๑ ขอ้ ๑๘๑ หน้า ๒๘๑-๒๘๓ [กช.ผพ. ๘ ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา

๑. เป็นผู้ฉลาดในฐานะ (ฐานกุสโล) คือมีหลักม่ันคง หมายถึงเป็นผู้บริสุทธ์ิด้วยศีล สมาทานเคร่งครัดอย่ใู นสิกขาบทท้ังหลาย เปรียบเหมอื นทหารผู้อยใู่ นชัยภูมิท่ีดี ๒. เป็นผู้ยิงได้ไกล (ทูเรปาตี) หมายถึงเป็นผู้สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เทีย่ ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตาไม่ใชต่ ัวตนทีแ่ ทจ้ ริงในเบญจขันธ์ (รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือร่างกายและจิตใจของคนเรา) และสามารถมองเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ดว้ ยภาวนาปญั ญา (ปญั ญาที่เกิดจาการฝึกปฏิบตั )ิ ๓. เป็นผู้ยิงได้เร็ว (อักขณเวธี) หมายถึงเป็นผู้บรรลุรู้แจ้งอริยสัจ ๔ คือ เป็นผู้รู้ ประจักษต์ ามความเป็นจริงวา่ นท้ี ุกข์ นี้เหตใุ หเ้ กิดทุกข์ นีค้ วามดับทุกข์ น้ีข้อปฏิบัติให้บรรลุถึง ความดับทุกข์ ๔. เป็นผู้ทําลายข้าศึกหมู่ใหญ่ได้ (มหากายปทาเลตา) หมายถึงเป็นผู้ทําลายกอง อวชิ ชา (ความไมร่ ู้สภาพจรงิ ) กองใหญไ่ ด้ คือ ละกิเลสต่างๆ อันมอี วชิ ชาเป็นมลู ไดห้ มดสนิ้ เพราะพระพุทธองค์ทรงได้พระภิกษุท่ีล้วนแต่สําเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์ เป็นกําลังสําคัญช่วยพระองค์ประกาศเผยแผ่พุทธธรรมในระยะแรกแห่งการก่อตั้งประดิษฐาน พระพุทธศาสนา จึงทําให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามพุทธวิธีดังกล่าวประสบผลสําเร็จมีผู้หัน มานบั ถอื พระพุทธศาสนาเป็นจาํ นวนมาก ความสําเร็จสูงสุดอย่างรวดเร็วในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น ส่วน หน่ึงมาจากความโดดเด่นเป็นเอกอัครบุคคลของพระองค์ที่อุบัติมาเพื่อทําหน้าท่ีเป็นพระศาสดา โดยเฉพาะ ดงั ท่ีทรงแสดงไว้ในเอกปุคคลวรรค อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ วา่ “บุคคลผเ้ ป็นเอก เม่ือเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพ่ือประโยชน์เก้ือกูล เพ่ือความสุขแก่ ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพ่ือประโยชน์เกื้อกูล เพ่ือความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ท้ังหลาย บคุ คลผู้เอกนน้ั คอื ใคร คือ พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา้ ”* นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงอาศัยพระญาณอันเป็นกําลังของพระพุทธเจ้าท่ีทําให้ พระองค์สามารถบันลือสีหนาท ประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างองอาจม่ันคง ดจุ ราชสหี ์คาํ ราม ซงึ่ พระญาณดงั กลา่ วนัน้ เรียกวา่ ทสพลญาณ ๑๐ ประการ คอื ๑. ฐานาฐานญาณ ปรีชากําหนดรู้ฐานะและอฐานะ โดยคําว่า ฐานะ ในที่น้ีหมายถึง ความเป็นไปไดข้ องสรรพสงิ่ เชน่ สงิ่ ใดมีความเกิดขนึ้ เป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา หรือกุศลกรรมย่อมให้ผลดี อกุศลกรรมย่อมให้ผลช่ัว (ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว) เป็นต้น ส่วนคํา * พระไตรปฎิ กภาษาไทย อังคุตตรนิกาย เอกกนบิ าต เล่ม ๒๐ ข้อ ๑๗๐ หนา้ ๓๔ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๙

ว่า อฐานะ หมายถึงความเป็นไปไม่ได้ของสรรพสิ่ง เช่น สิ่งท่ีมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่ิง นั้นจักไม่ดับเลย หรือกุศลกรรมให้ผลชั่ว อกุศลกรรมให้ผลดี (ทําดีได้ชั่ว ทําช่ัวได้ดี) เป็นต้น ซง่ึ เป็นไปไม่ได้ ดว้ ยพระญาณน้ี จึงทําให้พระองค์ทรงสามารถรู้จักกฎธรรมชาติเก่ียวกับขอบเขต และขีดข้ันของส่ิงทั้งหลายว่า อะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้แค่ไหนเพียงไร โดยเฉพาะในแง่ ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมเกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคล ซึ่ง จะได้รับผลกรรมท่ีดีและช่ัวต่างๆ กัน พระพุทธองค์ทรงใช้พระญาณน้ีประกาศพุทธธรรมเผยแผ่ พระพุทธศาสนาอย่างองอาจมั่นคง ทําให้พระสงฆ์สาวกมีความเข้าใจในเน้ือหาและขอบเขตของ กฎเกณฑ์ และหลักการต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องและท่ีจะนํามาใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่าง ชดั เจนตลอดจนร้ขู ีดขน้ั ความสามารถของบุคคลทม่ี ีพัฒนาการอยูใ่ นระดับตา่ งๆ ๒. วปิ ากญาณ (หรอื กมั มวิปากญาณ) ปรชี ากําหนดรผู้ ลแหง่ กรรม หมายถึงพระองค์ ทรงมีพระญาณที่หย่ังรู้ผลกรรมของสัตว์ท้ังหลายผู้ทํากรรม ทั้งท่ีเป็นกุศลหรือเป็นบุญ ท้ังที่เป็น อกุศลหรือเป็นบาป ซึ่งต่างให้ผลสลับกันไปตามฐานะคือเหตุท่ีเป็นไปได้ ไม่หลงสันนิษฐานไป ในอฐานะ ดงั น้ัน ในการประกาศพทุ ธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์จึงทรงใช้พระญาณ นี้ตรัสพระธรรมเทศนาแบบจําแนกแยกแยะ แสดงความเช่ือมโยงกัน ระหว่างเหตุและผลว่าส่ิง น้ันๆ มีอะไรเป็นเหตุ ซึ่งตามปกติแล้วเหตุมักจะเป็นอดีต ยามท่ีผลปรากฏในปัจจุบัน และผล จะเป็นอนาคตในกรณีที่เหตุเป็นปัจจุบัน ซ่ึงจะมีความสลับซับซ้อนจนยากจะหย่ังรู้ แต่พระองค์ ทรงมพี ระปรีชาญาณหยงั่ รู้กระบวนการของพฤติกรรมตา่ งๆ ของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ท้ังหลายได้อย่าง ถูกต้องแมน่ ยําและชัดเจนทส่ี ดุ ๓. สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ ปรีชาหย่ังรู้ทางไปสู่ภูมิท้ังปวง หมายถึงพระองค์ทรง มีพระญาณที่หยั่งรู้กรรมหรือข้อปฏิบัติที่จะนําไปสู่คติท้ังปวง คือ ทรงรู้ทั้งกรมที่จะนําไปเกิดใน สุคติ ภพภมู ทิ ดี่ ี อันได้แก่ โลกมนุษย์ โลกสวรรค์หรอื เทวโลกและพรหมโลก ท้ังกรรมทจ่ี ะนาํ ไป เกิดในทุคติ ภพภูมิที่ชั่ว อันได้แก่อบายภูมิ ๔ คือ ขุมนรก แดนเปรต พวกอสุรกาย และกําเนิด สัตว์เดรัจฉาน รวมท้ังข้อปฏิบัติที่จะนําให้พ้นจากสุคติและทุคติ (อมตธาตุนิพพาน) ดังน้ัน ใน การประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงใช้พระญาณน้ีตรัสพระธรรม เทศนาแสดงข้อปฏิบัติทีจ่ ะนาํ ไปสอู่ รรถประโยชน์ท้งั ปวง คอื ประโยชนใ์ นปัจจุบัน ประโยชน์ใน ภายภาคหน้า และประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน โดยทรงช้ีชัดว่า ใครทําอะไรอย่างไรแล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร จะบังเกิดที่ไหนหลังจากตายไปแล้ว ที่เป็นเช่นน้ันเพราะเหตุอะไร พร้อม ท้ังรู้เหตุที่ให้ทําให้บุคคลผู้ปฏิบัติไปบังเกิดในกําเนิดนั้นๆ ทรงรู้วิธีการและกลวิธีปฏิบัติต่างๆ ที่ จะนาํ เข้าส่เู ป้าหมายท่ีต้องการไดอ้ ยา่ งแจม่ แจ้ง ๑๐ ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

๔. นานาธาตุญาณ ปรีชากําหนดรู้ธาตุต่างๆ หมายถึงพระองค์ทรงมีพระญาณที่หยั่งรู้ สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุตา่ งๆ ท้ังที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมเป็นอเนกอนันต์ ดังนั้น ในการประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงใช้พระญาณนี้ตรัส พระธรรมเทศนาแสดงให้รู้จักแยกสมมติออกเป็นขนั ธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ของชีวิต เน้นให้ รู้จักส่วนประกอบของสิ่งนั้นจากจุดใหญ่ไปหาจุดย่อยสุด จากจุดย่อยสุดไปหาจุดใหญ่ได้ตาม ความเป็นจริง เช่น การปฏิบัติหน้าที่ของขันธ์ อายตนะ และธาตุต่างๆ ในกระบวนการรับรู้ เป็นต้น และเหตุแห่งความแตกต่างกันของสิ่งท้ังหลายเหล่าน้ัน รวมถึงอะไรคือสภาวะของ ส่วนประกอบเหล่านั้น พร้อมทั้งลักษณะและหน้าที่ของมันแต่ละอย่าง เป็นเหตุให้บุคคลผู้รับฟัง ได้ฟังสิ่งทีย่ ังไม่เคยฟงั จากใครๆ มาก่อน ๕. นานาธิมุตติกญาณ ปรีชากําหนดรู้อธิมุตติคืออัธยาศัยของสัตว์ท้ังหลายอันเป็น ต่างๆ กัน หมายถึงพระองค์ทรงมีพระญาณที่หย่ังรู้อธิมุตติ คือ อัธยาศัย ความโน้มเอียง ความเช่ือถือ แนวความคิด แนวความสนใจ เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายท่ีมีความเป็นไปต่างๆ กัน ดงั นนั้ ในการประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงใช้พระญาณนี้ ตรัสพระธรรมเทศนาได้สอดคล้องต้องกันกับอัธยาศัย ความเชื่อถือ แนวความคิดความสนใจ ความโน้มเอียง ความถนัด ความสนใจของคนและสัตว์ทั้งหลายท่ีมีความแตกต่างกัน เป็นเหตุ ใหบ้ ุคคลผรู้ ับฟงั พระธรรมเทศนาเกดิ ความประทับใจพลันเลือ่ มใสและสามารถบรรลุธรรมไดเ้ ร็ว ๖. อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชากําหนดรู้ความย่ิงหรือหย่อนแห่งอินทรียธรรมของ สรรพสัตว์ หมายถึงพระองค์ทรงมีพระญาณที่หยั่งรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรียธรรมของสัตว์ บุคคลทั้งหลาย โดยทรงรู้ว่าบุคคลน้ันๆ มีอินทรียธรรม คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญาแค่ไหน เพียงใด มีกิเลสมากหรือน้อย มีอินทรียธรรมอ่อนหรือแก่กล้า สอนง่ายหรือ สอนยาก มีความพร้อมที่จะปฏิบัติเพ่ือบรรลุธรรมหลุดพ้นจากทุกข์หรือไม่ เป็นต้น ดังนั้น ใน การประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงใช้พระญาณนี้ตรัสพระธรรม เทศนาท่ียากหรือง่ายแก่บุคคลต่างๆ ตามท่ีทรงพิจารณาเห็นว่าบุคคลผู้รับฟังพระธรรมเทศนามี อินทรียธรรมแก่กล้าหรืออ่อนแค่ไหนเพียงใด สอนง่ายหรือสอนยาก มีความพร้อมท่ีจะเข้าสู่ กระบวนการศึกษาปฏิบัติธรรมตามหลักไตรสิกขาหรือพร้อมที่จะตรัสรู้หรือไม่ เป็นเหตุให้มี ศรัทธาประชาชนได้รจู้ ัก เขา้ ใจ และเขา้ ถงึ หลักพระพุทธศาสนาจาํ นวนมาก ๗. ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ปรีชากําหนดรู้เหตุท่ีจะทําให้ฌาน วิโมกข์ สมาธิและ สมาบัติเสือ่ มหรอื เจรญิ หมายถงึ พระองคท์ รงมพี ระญาณท่ีหย่ังรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว การออกจากฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติทั้งหลายว่าเกิดมีข้ึนได้เพราะเหตุนั้นๆ ดังนั้น ใน การประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงใช้พระญาณน้ีตรัสพระธรรม ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๑๑

เทศนาด้วยทรงรู้ความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วของคุณธรรมทั้งหลาย มีฌาน สมาธิ วิโมกข์เป็นต้นของผู้ฟังในแต่ละกรณีแตกต่างกันไป ทําให้บุคคลผู้รับฟังพระธรรมเทศนามีความ ม่นั ใจใคร่จะปฏิบัตติ ามเปน็ อย่างมาก ๘. ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณ ปรีชากาํ หนดระลกึ ชาตหิ นหลงั ได้ หมายถึงพระองค์ทรง มพี ระญาณท่ีหยั่งรู้อันทําให้ระลึกภพท่ีเคยอยู่ในหนหลังได้ โดยระลึกชาติถอยหลังเข้าไปได้ตั้งแต่ หนึ่งชาติ ไปจนถึงร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป้นอันมากว่า “ในภพ ชาติโน้น ได้มีช่ือ มีโคตร มีผิวพรรณ มีอาหารอย่างนั้นๆ ได้เสวยสุขทุกข์อย่างน้ันๆ มีกําหนด อายุเพียงเท่าน้ัน จุติจากภพน้ันแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น ได้เป็นอย่างนั้นๆ ครั้นจุติจากภพโน้น แล้วจึงไดม้ าเกิดในภพน้”ี ดงั นนั้ ในการประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพทุ ธองค์ จึงทรงใช้พระญาณน้ีตรัสพระธรรมเทศนาสาธกยกเรื่องราวในอดีตชาติมาเล่าให้ผู้ฟังได้ทราบถึง ภูมิประวัติความเป็นมาต่างๆ ท้ังส่วนของพระองค์หรือของผู้อื่นได้อย่างแจ่มแจ้งจูงใจ เช่น ตรัส เล่าเร่ืองราวชาดกทีเ่ สวยพระชาตเิ ป็นพระโพธิสัตวบ์ าํ เพญ็ พุทธบารมีเพ่ือตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซ่ึง ปรากฏหลักฐานอยูใ่ นคัมภีร์พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๒๗-๒๘ (ขทุ ทกนิกาย ชาดก) เป็นต้น ๙. จุตูปปาตญาณ ปรีชากําหนดรู้จุติและอุบัติของสัตว์ท้ังหลายผู้เป็นต่างๆ กันโดย กรรม หมายถึงพระองค์ทรงมีพระญาณท่ีหย่ังรู้จุติและอุบัติของสัตว์ท้ังหลายท่ีเป็นไปตามกรรม โดยทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ท้ังหลาย ทรงสามารถรู้ชัดหมู่ สตั วผ์ ูเ้ ป็นไปตามกรรมได้วา่ “หมู่สัตว์เหล่านี้ประกอบทุจริต ว่าร้ายพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ หลังจากตายไปจึงเข้าถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก” หรือว่า “หมู่สตั ว์เหล่นปี้ ระกอบสุจริต ไม่ ว่าร้ายพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ หลังจากตายไปจึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์” พระญาณน้ีเรียก อีกอย่างว่า ทิพพจักขุญาณ คือความสามารถรู้แจ้งด้วยทิพยจักษุ หรือความมีตาทิพย์ ดังนั้น ในการประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงใช้พระญาณน้ีตรัสพระ ธรรมเทศนาจําแนกแยกแยะให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจนถึงการให้ผลของกรรมว่าทํากรรมใดแล้วย่อม ไดร้ บั ผลของกรรมนน้ั หากใครทํากรรมดคี ือประพฤตปิ ฏิบัตดิ ี ก็ย่อมได้รับผลดี หากใครทํากรรม ชั่ว ประพฤติปฏิบัติตนไปตามอํานาจกิเลสหรือความคิดเห็นท่ีผิดๆ ก็ย่อมได้รับผลชั่วตอบสนอง อย่างแน่นอน เป็นเหตุให้ผู้ฟังในสมัยนั้นเกรงกลัวต่อผลของกรรมช่ัวเพราะประพฤติตามคําสอน ของเจ้าลัทธิท่ีเป็นมิจฉาทิฏฐิท่ีเห็นว่าผลแห่งบาปกรรมไม่มีเป็นต้น หันมานับถือพระพุทธศาสนา ปฏิบัตติ ามหลักพระธรรมคําสอนของพระองคเ์ ปน็ จาํ นวนมาก ๑๐. อาสวักขยญาณ ปรีชาหย่ังรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย หมายถึงพระองค์ ทรงมีพระญาณท่ีทรงรวู้ ิธที ี่ทําให้พระทัยของพระองคห์ ลดุ พน้ จากอาสวกิเลสอย่างสิ้นเชิง อันเป็น พระญาณหลักสําคัญท่ีทําให้พระองค์สมบูรณ์พร้อมด้วยปัญญา ความบริสุทธ์ิ และความกรุณา ๑๒ ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้น ในการประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ จึงทรงอาศัยพระญาณนี้เป็นหลักประกันความ่ันใจของพุทธสาวกหรือผู้ฟังพระธรรมเทศนาว่า พระองคน์ ้นั ไดต้ รัสรอู้ ริยสัจ ๔ ประการโดยรปู้ ระจักษ์ตามความเปน็ จรงิ วา่ “น้ีทุกข์ นี้เหตุให้เกิด ทุกข์ นี้ความดับทุกข์ น้ีข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้อาสวะ น้ีเหตุเกิดแห่งอาสวะ น้ี ความดับอาสวะ น้ีข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสะ” เพราะรู้เห็นโดยประจักษ์อย่างนี้ จิตหรือ พระทัยของพระองค์ก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย มีพระญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว คือ สําเร็จ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์แล้ว ซ่ึงหากใครก็ตามปฏิบัติตามหลักพระธรรมที่ พระองคต์ รัสเทศนาสัง่ สอนดว้ ยความเพยี รพยายาก็จะสามารถบรรลุมรรคผลนพิ พานได้เชน่ กัน นอกจากน้ี ในการบําเพ็ญพุทธกิจด้านการประกาศพุทธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดย การเสด็จโปรดเวไนยสัตว์น้ัน พระองค์ทรงกําหนดหลักการและวิธีการในการทําหน้าที่ดังกล่าว เพื่อให้มีวิธีการในการประเมินผลที่ลงตัวไว้แต่ต้น พร้อมด้วยการสรุปผลไว้ก่อนที่จะเสด็จไปสอน ธรรมทกุ ครงั้ ดังทน่ี ักปราชญ์ทางพระพทุ ธศาสนาได้กาํ หนดเป็นพุทธกิจที่สําคัญที่ทรงกระทําเป็น ประจําวนั ในแต่ละชว่ งเวลา ซ่งึ เรยี กวา่ ทรงบําเพ็ญพุทธกจิ ๕ ประการ* คอื ๑. เวลาเช้า เสด็จบิณฑบาต (ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ) จัดเป็น ปุเรภัตตกิจ คือ พุทธกิจภาคเช้าหรือภาคก่อนฉันภัตตาหาร โดยเม่ือเสด็จลุกขึ้นจากการสําเร็จสีหไสยาสน์ในช่วง เช้าตรู่ หลังจากทรงพิจารณาดูสัตว์โลกท่ีควรจะโปรดแล้ว พระพุทธองค์จะเสด็จออกบิณฑบาต เป็นการโปรดสัตว์ให้คนเหล่าน้ันได้บําเพ็ญบุญกุศล และเมื่อเสวยพระกระยาหารแล้ว จะทรง แสดงธรรมโปรดประชาชนในท่ีนั้นๆ ก่อนเสด็จกลับพระวิหารที่ประทับ โดยทรงรอให้พระสงฆ์ ฉันเสรจ็ แล้ว ๒. เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม (สายณฺเห ธมฺมเทสนํ) จัดเป็น ปัจฉาภัตตกิจ คือ พุทธกิจภาคบ่ายหรือหลังอาหารไปจนถึงเวลาเย็น มี ๓ ช่วงระยะ คือ ช่วงระยะที่ ๑ จะเสด็จ ออกจากพระคันธกุฏีที่ประทับ ทรงประทานพระโอวาทตรัสสอนภิกษุสงฆ์พุทธบริษัท เม่ือ พระภิกษุสงฆแ์ ยกย้ายกนั ไปปฏบิ ตั ิธรรมในทต่ี า่ งๆ แลว้ พระองค์จะเสด็จเข้าพระคันธุฏีท่ีประทับ อาจทรงบรรทมพักพระวรกายเล็กน้อยพอสมควร ช่วงระยะท่ี ๒ พระองค์จะทรงตรวจดูความ เป็นไปของชาวโลก และช่วงระยะที่ ๓ เมื่อประชาชนในถ่ินต่างๆ มาประชุมพร้อมกันใน ธรรมสภา (สถานท่ีฟงั ธรรม) พระองค์จะเสดจ็ ไปทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด * พทุ ธกิจ ๕ ประการน้ี พระโบราณาจารย์ได้รวบรวมไวใ้ นหนังสอื “สวดมนต์ฉบับหลวง บอกวัตร หน้า ๓๑” ในรูปคาถาบาลี ปัฐยาวัตรฉันท์ ดังท่ีวงเล็บคําบาลีไว้ และในบาทสุดท้าย ปรากฏข้อความว่า “เอเต ปญฺจวิเธ กิจฺเจ วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว” แปลวา่ พระจอมมนุ ีพุทธเจ้าทรงชาํ ระพระพทุ ธกิจ ๕ ประการเหลา่ น้ใี หห้ มดจดอยู่เสมอ. ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา ๑๓

๓. เวลาค่ํา ประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ (ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ) จัดเป็น ปุริมยามกิจ คือ พุทธกจิ ในยามแรกแห่งราตรี โดยภายหลังจากทรงบําเพ็ญพุทธกิจภาคกลางวันแล้วอาจทรง สนาน (สรงนํ้า) และปลีกพระองค์อยู่ลําพังด้วยวิหารธรรมพักหนึ่ง จากนั้น เมื่อมีพระภิกษุสงฆ์ พากันมาเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาบ้าง ทูลขอหลักกัมมัฏฐานบ้าง ทูลขอให้ทรงแสดงธรรมบ้าง พระองคจ์ ะทรงใชเ้ วลาตลอดยามแรกน้ีสนองความประสงค์ของพระภกิ ษุสงฆเ์ หลา่ นัน้ ๔. เที่ยงคืน ทรงตอบปัญหาเทวดา (อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ) จัดเป็น มัชฌิมยามกิจ คือ พุทธกิจในมัชฌิมยาม โดยตอนกลางดึกแต่ละคืน ในขณะที่คนทั้งหลายหลับอยู่น้ัน พระองคจ์ ะทรงใช้เวลาช่วงน้ตี อบปญั หาของเทวดาทัง้ หลายท่ีมาเฝ้าเพ่ือกราบทูลถามปัญหา ดังท่ี ปรากฏหลักฐานในเทวตาสังยตุ สังยตุ ตนิกาย พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๑๕ เปน็ ต้น ๕. จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสัตว์บุคคลที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุ ธรรมซึ่งควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่ (ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ) จัดเป็น ปัจฉิมยามกิจ คือ พุทธกิจในปัจฉิมยาม โดยตอนใกล้รุ่งของแต่ละคืน พระองค์จะทรงตรวจดู สัตวโ์ ลกทคี่ วรเสด็จไปโปรดในแต่ละวนั ซ่งึ หากว่ามีใครๆ บางคนมบี ารมีธรรมท่ีพร้อมจะได้รับผล ด้วยการฟังธรรมจากพระองค์ คนเหล่าน้ันจะมาปรากฏในข่ายพระญาณของพระองค์ จากจุดนี้ เองท่ีทําให้พระองค์ทรงใช้ทศพลญาณดังกล่าวเสด็จไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดคนเหล่าน้ัน ในรูปของการสืบสาวไปท่ีวาสนา บารมี อินทรีย์ของคนเหล่านั้นว่ามีความยิ่งหย่อนอย่างไร พนื้ ฐานจติ ในขณะปัจจุบนั ของคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร สามารถร้ธู รรมด้วยการฟังเร่ืองอะไร โดย การแสดงธรรมเหล่าน้ันด้วยวิธีใด ด้วยเหตุนี้ เม่ือทรงแสดงแก่ใครก็ตาม ผลสัมฤทธ์ิจะออกมา ตามทที่ รงรู้ลว่ งหนา้ ไว้ก่อนแล้ว มิใช่แต่เพียงเท่านี้ การแสดงพระธรรมเทศนาประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจา้ แตล่ ะคร้ัง แม้ที่เป็นเพียงธรรมกถาหรือการสนทนาทั่วไป ซึ่งมิใช่คราวท่ีมีความ มุ่งหมายเฉพาะพิเศษ ก็จะดําเนินไปอย่างสําเร็จผลดี โดยมีองค์ประกอบท่ีเป็นคุณลักษณะการ สอนที่ดีตามแนวพุทธจริยาหรือตามหลัก เทศนาวิธี ๔ ประการ ซ่ึงเรียกว่า พุทธลีลาในการ สอน ๔ ส ดงั น้ี ๑. สนั ทัสสนา การช้ีแจงให้เห็นชัด คือ เม่ือพระองค์จะทรงสอนอะไร ก็จะทรงชี้แจง จําแนกแยกแยะอธิบายและแสดงเหตุผลให้ชัดเจน จนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง รู้เร่ืองราวที่พระองค์ ทรงแสดงเหมือนจูงมือไปดูให้เห็นประจักษ์กับตา ทําให้ผู้รับการเผยแผ่เกิดความประทับใจ เพราะตามปกติแล้วจะเป็นใครก็ตาม เมื่อสามารถพูดให้คนอื่นรู้เร่ืองในบางกรณีได้ ก็จะสร้าง ความม่ันใจให้กับผู้ฟังว่า ผู้พูดผู้สอนมีความรู้ในเรื่องท่ีพูดท่ีสอนจริง เป็นเหตุให้เกิดความเคารพ ความเชื่อถอื ไดโ้ ดยงา่ ย ๑๔ ประวตั ิความสําคัญของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.

๒. สมาทปนา การชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ คือ เมื่อทรงช้ีแจงให้เห็นชัดแล้ว ก็จะตรสั พระวาจาจูงใจให้เห็นจริง เป็นความจริง ดีจริง ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและ พร้อมท่ีจะนําไปปฏิบัติ โดยส่ิงใดควรปฏิบัติหรือหัดทํา ก็ทรงแนะนําหรือบรรยายให้เขาซาบซ้ึง เห็นคุณค่า มองเห็นความสําคัญท่ีจะต้องฝึกฝนบําเพ็ญจนใจยอมรับ อยากลงมือทําหรือนําไป ปฏบิ ตั ิโดยเรว็ พลนั ๓. สมุตเตชนา การเร้าใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กล้า คอื พรอ้ มกบั ท่ีตรัสพระวาจาจูงใจให้ เหน็ จรงิ นั้น พระองค์ก็จะตรัสเสริมเร้าใจใหแ้ กล้วกล้า ปลกุ เรา้ ใจผฟู้ ังใหก้ ระตือรือร้น เกิดความ อุตสาหะ มีกําลังใจเข้มแข็ง ม่ันใจที่จะทําให้สําเร็จจงได้ สู้งาน ไม่หว่ันระย่อ ไม่กลัวต่อความ เหนอ่ื ยยากลําบากใดๆ ๔. สัมปหังสนา การปลอบชโลมใจให้สดช่ืนร่าเริง คือ พร้อมกับท่ีตรัสอธิบายให้ เห็นชัดแจ้ง ตรัสจูงใจให้อยากปฏิบัติ ตรัสปลุกเร้าใจให้กล้าหาญท่ีจะปฏิบัติ พระองค์ก็ยังตรัส พระธรรมเทศนาในลักษณะทําบรรยากาศให้สนุก สดช่ืน แจ่มใส เบิกบานใจ เป็นการบํารุง จิตใจของผู้ฟังให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบ่ือ และเปี่ยมด้วยความหวัง มองเห็นผลดี และทางสาํ เรจ็ อันเป็นคณุ ประโยชนท์ ีจ่ ะได้จากการปฏบิ ตั ิอกี ด้วย จากพระพุทธลีลาการสอนท้ัง ๔ ประการท่ีปรากฏในพระสุตตันตปิฎกหลายพระสูตร ดังกล่าวนี้ เป็นอันช้ีชัดว่า พระพุทธองค์ทรงพิถีพิถันในการเทศน์ในการสอนประกาศเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก โดยพระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายเพ่ิมเติมว่า พระพุทธลีลาการ สอนข้อ ๑ นั้นมีลักษณะปลดเปล้ืองความเขลาหรือความมืดมัว ข้อ ๒ มีลักษณะปลดเปลื้อง ความไม่ประมาท ข้อ ๓ มีลักษณะปลดเปล้ืองความอืดคร้าน และข้อ ๔ มีลักษณะให้เกิดผล สัมฤทธ์ใิ นเชิงปฏบิ ตั ิ จึงทาํ ให้บคุ คลผรู้ บั การเผยแผห่ รอื ผูท้ ีพ่ ระองค์ทรงมุ่งหมายแสดงธรรมโปรด สามารถบรรลุรู้แจ้งธรรมหรือได้รับผลตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ สําหรับบุคคลที่ได้ฟัง พระธรรมเทศนาเป็นคร้ังแรกและไม่ถึงกับบรรลุมรรคผลสําเร็จเป็นพระอริยบุคคลในคราวนั้น ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว มีความเลื่อมใสขอนับถือ พระพุทธศาสนา ก่อนจะปฏิญาณตนเป็นอุบาสก-อุบาสิกาหรือเป็นพุทธมามกะ ก็จะเปล่งวาจา แสดงความยกย่องชื่นชมโสมนัสในพระภาษิตของพระพุทธองค์ ซ่ึงสรุปเป็นลักษณะการ ประเมินผลพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ได้ ๔ ลกั ษณะ คือ (๑) เหมือนการหงายของที่เขาคว่ําเอาไว้ (๒) เหมือนการเปิดของที่เขาปิดเอาไว้ (๓) เหมือนการบอกทางแก่คนทเ่ี ขากาํ ลงั หลงทาง และ (๔) เหมือนการสอ่ งประทีปในที่มืดเพื่อใหค้ นทมี่ ีตาดจี ะได้เหน็ แสงสว่าง ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๕

โดยมีหลักฐานปรากฏท่ัวไปในพระไตรปิฎก ทั้งในพระวินัยปิฎและพระสุตตันตปิฎก ดังจะสรุป ขอ้ ความในเวรัญชกัณฑ์* ตอนเรม่ิ แรกแห่งพระวนิ ัยปิฎกเล่ม ๑ มาแสดงเปน็ นทิ ัสสนะ ดงั นี้ ครั้งหน่ึง ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชา มีพราหมณ์ผู้เฒ่าคงแก่เรียน ท่านหน่ึงชื่อว่า เวรัญชะ ได้ยินพระกิตติศัพท์ของพระองค์ว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสนใจใคร่จะไปพิสูจน์ดูว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ แล้วดั้นด้นเข้าไปเฝ้าถึงท่ีประทับ เม่ือ ผ่านการทักทายตามธรรมเนียมแล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้เห็นว่าพระพุทธองค์ไม่หว้ไม่ลุกต้อนรับ เช้ือเชิญตนซ่ึงเป็นผู้แก่กว่าให้น่ัง จึงตัดพ้อว่า “พระสมณโคดมน้ีไม่รู้จักไหว้ลุกต้อนรับพราหมณ์ ผูใ้ หญ่ ซ่งึ เปน็ การไม่สมควรเลยที่ทาํ เชน่ น้ี” พระพุทธองคต์ รัสช้ีแจงว่า “ท่านพราหมณ์ ในโลก ตลอดทั้งเทวโลก พรหมโลก เรายังไม่เห็นบุคคลท่ีเราครวไหว้ ลุกขึ้นต้อนรับ หรือเช้ือเชิญให้ นั่งเลย เพราะถ้าเราทําเช่นนั้นกับบุคคลใด ศรีษะของผู้น้ันจะพึงขาดตกไป” เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ดว้ ยความทย่ี งั ไม่เข้าใจและดว้ ยทิฏฐมิ านะของพราหมณ์ เวรัญชพราหมณ์ก็ยกคํานําเรื่องต่างๆ ท่ี ไดย้ นิ ได้ฟังมากลา่ วตู่พระพุทธองคว์ ่า “พระสมณโคดมเปน็ คนไมม่ รี สนยิ ม เป็นคนไร้สมบัติ เป็นอกิรยิ วาท มีหลักคําสอนการ ไมก่ ระทาํ เปน็ อุจเฉทวาท มีหลกั คําสอนว่าขาดสญู เป็นเชคุจฉี ผู้ช่างรังเกียจ เป็นเวนยิกะ ผู้ ชา่ งกําจดั เป็นตปสั สี ผู้ชา่ งเผาผลาญ เปน็ อปคัพภะ ผไู้ มผ่ ดุ ไมเ่ กดิ ” พระพุทธองค์จึงตรัสแก้คํากล่าวตู่ของเวรัญชพราหมณ์ในเชิงยอมรับคําที่ยกมากล่าวตู่ แต่ทรงอธิบายในความหมายทางโลกุตตรธรรมว่า “เป็นความจริง พรามหณ์ ที่ว่าเราเป็นคนไม่ มีรส เป็นคนไม่มีสมบัติ เพราะรสแห่งกามคุณ ๕ สมบัติแห่งกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กล่ิน รส กายสมั ผสั เราละไดเ้ บด็ เสรจ็ เด็ดขาดแล้ว ทีว่ ่าเราเป็นอกิริยวาท มหี ลักคาํ สอนการไมก่ ระทาํ นั้น ก็เป็นความจริง เพราะเราสอนการไม่กระทํากายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เราสอนการ ไม่กระทําอกุศลธรรมอันเป็นบาปต่างๆ ที่ว่าเราเป็นอุจเฉทวาท มีหลักคําสอนว่าขาดสูญน้ัน ก็ เป็นความจริง เพราะเราสอนเร่ืองความขาดสูญแห่งกิเลสคือราคะ โทสะ โมหะ เราสอนเรื่อง ความขาดสูญแห่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปต่างๆ ที่ว่าเราเป็นเชคุจฉี ผู้ช่างรังเกียจนั้น ก็เป็น ความจริง เพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจที ุจริต มโนทจุ รติ เรารังเกียจอกุศลธรรมอันเป็นบาป ต่างๆ ที่ว่าเราเป็นเวนยิกะ ผู้ช่างกําจัดน้ัน ก็เป็นความจริง เพราะเราแสดงธรรมเพ่ือกําจัด ราคะ โทสะ โมหะ เราแสดงธรรมเพื่อกําจัดอกุศลธรรมอันเป็นบาปต่างๆ ที่ว่าเราเป็นตปัสสี ผู้ช่างเผาผลาญนั้น ก็เป็นความจริง เพราะเรากล่าวถึงอกุศลธรรมอันเป็นบาปท้ังหลาย คือ กายทจุ ริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็นกิเลสท่ีควรเผาผลาญ ใครก็ตามที่ละอกุศลธรรมอันเป็น * พระไตรปิฎกภาษาไทย วินยั ปฎิ ก มหาวภิ ังค์ เลม่ ๑ ขอ้ ๑-๑๕ หนา้ ๑-๑๕ [กช.ผพ. ๑๖ ประวัติความสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา

บาปต่างๆ ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นผู้ช่างเผาผลาญ และที่ว่าเราเป็น อปคพั ภะ ผไู้ ม่ผุดไมเ่ กิดนนั้ กเ็ ปน็ ความจรงิ เพราะใครก็ตามที่ละการนอนในครรภ์ การบังเกิด ในภพใหมไ่ ด้เบด็ เสรจ็ เดด็ ขาดแล้ว เราเรยี กผ้นู น้ั วา่ เปน็ ผ้ไู มผ่ ดุ ไมเ่ กดิ ” ต่อจากน้ัน เพื่อจะให้เวรัญชพราหมณ์ได้ทราบว่าพระองค์ทรงทําลายกองอวิชชาได้ หมดแล้วซ่ึงนับว่าเป็นผู้เจริญประเสริฐสุดในโลก พระองค์จึงตรัสถามนําเวรัญชพราหมณ์โดยยก อุปมาด้วยลูกไก่มาเปรียบเทียบว่า “พราหณ์ มีไข่ไก่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่ไก่ เหล่านัน้ ถกู แม่ไกน่ อนฟักแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปาก ทําลายเปลือกไข่ชําแรกออกมาได้โดยสวัสดิภาพก่อนกว่าเขา ลูกไก่ตัวน้ันควรเรียกว่ากระไร จะ เรียกวา่ พ่หี รือน้องเล่า? พราหมณ์” เมื่อเวรัญชพราหมณ์ทูลตอบว่า “ควรเรียกว่าพ่ีสิ ท่านพระโคดม เพราะมันแก่กว่า เขา” พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันน้ัน พราหมณ์ ในหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา เกิดใน ฟองไข่ ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้ เราผู้เดียวเท่าน้ันได้ทําลายเปลือกไข่คืออวิชชาแล้วได้ตรัสรู้พระ สัมมาสมั โพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก เราน้ันจงึ เปน็ ผู้เจรญิ ท่สี ดุ ประเสริฐที่สุดในโลก” และได้ ตรัสถึงคุณธรรมวิเศษท่ีพระพุทธองค์ได้ทรงบําเพ็ญเพียรฝึกสมาธิ-วิปัสสนาอย่างหนักจนตรัสรู้ เร่ิมตั้งแต่การบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน โดยลําดับ และได้บรรลุวิชชา ๓ คอื ปุพเพนวิ าสานสุ สติญาณ จตุ ูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เพราะได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ประกาศเผยแผ่พุทธธรรมด้วยพระพุทธลีลาโวหารของ พระบรมศาสดาเช่นน้ี ทําให้เวรัญชพราหมณ์มีความเข้าใจแจ่มแจ้งพร้อมท้ังปลดเปล้ืองความ สงสัยหายคลางแคลงใจในพระพุทธองค์ เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์โดยฉับพลัน และขอแสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิตพร้อมกับกราบทูลแสดงความชื่นชมใน พระภาษิตของพระองค์ดงั นี้ “ทา่ นพระโคดมเป็นผูเ้ จริญท่ีสุด ท่านพระโคดมเปน็ ผู้ประเสริฐที่สุด ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระองค์ ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างน้ี เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่ควํ่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในท่ีมืดด้วยตั้งใจว่าคนมีตาดีจักเห็นรูปได้ ดังน้ี ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม พร้อมด้วยพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอ ท่านพระโคดมจงทรงจําข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจําเดิมแต่วันน้ีเป็นต้นไป และขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาข้าพระองค์อยู่จําพรรษาท่ีเมือง เวรญั ชาด้วยเถดิ ” ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๑๗

รปู แบบและประเภทของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ในการประกาศพุทธธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรง สามารถสรา้ งความสนใจ ความศรัทธาให้เกิดแก่ผู้ฟังหรือกลุ่มเป้าหมายด้วยรูปแบบและวิธีการท่ี หลากหลายในทุกสถานการณ์ ไม่จํากัดตายตัวเป็นรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง ซึ่งแม้แต่การสํารวม พระอิริยาบถให้สงบเรียบร้อยงดงาม ก็ถือว่าเป็นรูปแบบหน่ึงของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังเช่น เม่ือพระพุทธองค์เสด็จมุ่งไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เพ่ือทรงแสดงธรรมโปรด พระปัญจวัคคีย์ มีนักบวชอาชีวกผู้หน่ึงชื่อว่าอุปกะ เดินสวนทางมา เพียงพบเห็นพระพุทธองค์ เสด็จดําเนินด้วยพระพุทธลีลามีพระอาการสงบเรียบร้อยไปตามปกติเท่าน้ัน เขากลับเกิดความ ประทับใจตรงเขา้ ไปสนทนาด้วย ภายหลังจากน้นั เขาไปใช้ชวี ิตฆราวาสแตง่ งานมีครอบครัวแล้ว เกิดความเบ่ือหน่าย ได้กลับมาขอบวชประพฤติธรรมกับพระพุทธองค์และบรรลุธรรมได้ในที่สุด หรือแม้แต่อุปติสสปริพาชกท่ีเข้ามาบวชเป็นกําลังสําคัญของพระพุทธศาสนาในนามอุโฆษเป็นท่ี รู้จกั กนั วา่ พระธรรมเสนาบดีสารบี ุตรเถระ กเ็ พราะเลือ่ มใสในอิริยาบถทส่ี ํารวมเย่ียงสมณะของ พระอสั สชเิ ถระเปน็ จดุ เบื้องตน้ อย่างไรก็ตาม รูปแบบหรือวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นแม้จะมีหลายรูปแบบ แต่ เม่อื รวบรวมตามที่ปรากฏโดยส่วนมากแล้ว นบั จํานวนได้ ๗ วธิ ี ดว้ ยกนั ดงั น้ี ๑. อุปนิสินนกถา แปลว่า “ถ้อยคําของผู้เข้าไปน่ังไกล้” หมายถึงการน่ังคุยสนทนา อย่างกันเองโดยสอดแทรกหลักธรรมเข้าไปในการสนทนากันน้ัน เป็นรูปแบบการเผยแผ่ที่ใช้ สาํ หรบั การสนทนาปราศรัยกับบุคคลผู้ไปมาหาสู่ หรือการต้อนรับแขกผู้มาเยือน เป็นการพูดคุย กันตามสมควรแก่เหตุการณ์ กาละเทศะและบุคคลผู้ฟัง เพื่อตอบคําซักถาม แนะนําช้ีแจง ให้ คําปรึกษา เป็นต้น ไม่เป็นแบบแผนพิธี ตรงกับท่ีท่านโบราณาณาจารย์กล่าวว่า นั่งจับเข่าคุย กัน บรรยากาศเป็นกันเอง โดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน ซึ่งนิยมพูดกันว่า เป็นการเทศน์ ธรรมาสน์เต้ีย ๒. ธัมมีกถา (หรือ ธรรมกถา) แปลว่า “ถ้อยคําท่ีกล่าวถึงธรรม” หมายถึงการ บรรยายหรืออธิบายธรรม เป็นรูปแบบการเผยแผ่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักพระธรรมวินัย อย่างเป็นกิจจะลักษณะ เป็นงานเป็นการ เป็นเร่ืองเป็นราว ในปัจจุบัน ได้แก่ การแสดงธรรม การปาฐกถาธรรม การบรรยายธรรม เปน็ ต้น ๓. โอวาทกถา แปลว่า “ถ้อยคําท่ีกล่าวสอน” หมายถึงการให้คําแนะนําตักเตือนให้ ละเว้นช่ัวประพฤติดี เป็นรูปแบบการเผยแผ่ท่ีพระพุทธองค์ทรงประทานเป็นพระพุทธพจน์หรือ พระโอวาทส้ันๆ เป็นพระดํารัสตรัสเตือน ทรงส่ังสอนโดยเฉพาะเจาะจงเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง เพื่อให้ ๑๘ ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.

ผู้ฟังเกิดความสังวรระวัง ไม่ทําช่ัว ให้ละความชั่ว ให้ทําแต่ความดี และให้รักษาความดีเอาไว้ ซึ่งตามปกติจะทรงประทานแก่พุทธบริษัทในโอกาสสําคัญ เช่น พระโอวาทปาติโมกข์ ๓ ท่ีทรง แสดงถึงอุดมการณ์ หลักการ วิธีการของพระพุทธศาสนา หรือพระปัจฉิมวาจาอันเป็นโอวาท สุดท้ายเม่ือจวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ว่า “ภิกษุท้ังหลาย เอาละ บัดน้ีเราขอเตือนพวก เธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เถดิ ”* เปน็ ต้น ๔. อนุสาสนีกถา แปลว่า “ถ้อยคําท่ีกล่าวสอนให้เห็นจริง” หมายถึงคํากล่าวสอนใน ลักษณะซํ้าๆ คร้ังแล้วคร้ังเล่า ยํ้าเตือนอย่างต่อเน่ือง เพื่อให้เกิดความจําได้ เกิดความชินหู เป็นรูปแบบการเผยแผ่อีกวิธีหน่ึงซึ่งพระพุทธองค์ทรงนํามาใช้ตรัสพร่ําสอนโดยเฉพาะแก่บรรดา พุทธบริษัทฝ่ายบรรพชิตหรือสหธรรมิก ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี รวมท้ังนักบวชท่ีอยู่ใกล้ชิด ดังเช่น ที่ทรงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ ความว่า “อานนท์ เราจัก กระหนาบแล้วกระหนาบอกี ใครมสี าระกต็ ง้ั อยไู่ ด้ ใครไม่มสี าระกต็ อ้ งออกไป” เป็นตน้ เนื้อหา สารธรรมโดยส่วนมาก จะเป็นคําสอนประเภทความไม่ประมาท ความสามัคคี ความเพียร พยายาม สตสิ มั ปชญั ญะ ความอดทน ซง่ึ พระพุทธองคท์ รงยา้ํ เตือนพุทธบรษิ ัทอย่เู นืองๆ ๕. ธัมมสากัจฉากถา (หรือเขียนว่า ธรรมสากัจฉากถา) แปลว่า “ถ้อยคําท่ีสนทนา กันในทางธรรม” หมายถึงการสนทนาธรรม เป็นทํานองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน บางครั้ง มาในรปู แบบคาํ ถาม เพ่อื แสวงหาความถูกต้อง หรือปรับความเข้าใจซ่ึงกันและกัน เป็นรูปแบบ การเผยแผ่ที่พระพุทธองค์ทรงใช้บางโอกาสเพ่ือทรงรับรองความคิดเห็นของผู้ฟังบ้าง เพิ่มเติม บา้ ง ปรบั ปรุงบ้าง ปฏิเสธบ้าง ตามควรแก่กรณี ปจั จบุ ันนอกจากจะเรยี กว่า การสนทนาธรรม แลว้ อาจเรยี กวา่ การอภปิ รายธรรม การเสวนาธรรม โดยผลัดกนั พดู ผลดั กนั ฟงั อกี ด้วย ๖. ปุจฉาวิสัชนากถา แปลว่า “ถ้อยคําที่ถาม-ตอบ” หมายถึงรูปแบบการเผยแผ่ที่ ข้ึนต้นด้วยการถาม-ตอบ โดยอาจถามนําเพื่อกระตุ้นผู้ฟังให้ตอบเป็นการทดสอบความรู้ความ เข้าใจภายหลังจากท่ีได้อธิบายธรรมนั้นๆ ให้ฟัง หรือระหว่างที่สนทนาธรรมกันเพื่อกระตุ้นเร้าใจ ให้ผู้สนทนาเกิดความตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นรูปแบบการเผยแผ่ที่พระพุทธองค์ทรงใช้ประกอบกับ การแสดงพระธรรมเทศนาอื่นๆ ภายหลังจากที่ตรัสอธิบายความหมายของธรรมน้ันๆ แล้ว เพ่ือ ทดสอบความเข้าใจของผู้ฟัง เช่น เมื่อทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร** โปรดพระปัญจวัคคีย์ พระองค์ทรงเร่ิมอธิบายว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นอนัตตาโดยลําดับแล้ว ตรัสย้อนถามว่า “พวกเธอเข้าใจข้อความตามที่กล่าวมาอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?” เมื่อ * พระไตรปิฎกภาษาไทย ทฆี นกิ าย มหาวรรค เลม่ ๑๐ ข้อ ๒๑๘ หนา้ ๒๐๒ ** พระไตรปิฎกภาษาไทย วนิ ยั ปฎิ ก มหาวรรค เล่ม ๔ ขอ้ ๒๑ หน้า ๓๓ ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๑๙

พระปัญจวัคคีย์ทูลตอบว่า “ไมเท่ียง พระพุทธเจ้าข้า” ก็ตรัสถามต่อไปว่า “ก็สิ่งใดไม่เท่ียง สิ่ง นั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า” พระปัญจวัคคีย์ทูลตอบว่า “เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า” จึงตรัสนํา ให้สรูปถึงความเป็นอนัตตาว่า “ส่ิงใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา ควร หรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งน้ันว่า น่ันของเรา เราเป็นนั่น น่ันเป็นอัตตาของเรา” “ไม่ควรเห็น อยา่ งน้นั พระพุทธเจา้ ข้า” ดงั นเ้ี ปน็ ต้น ๗. ธัมมเทสนากถา (หรือเขียนว่า ธรรมเทศนากถา) แปลว่า “ถ้อยคําท่ีแสดงธรรม” คือ การเทศน์ หรือการแสดงพระธรรมเทศนาน่ันเอง เป็นการแสดงธรรมสั่งสอน ช้ีแจงเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เพ่ือให้ละช่ัว ประพฤติดี ทําจิตให้บริสุทธ์ิ เปน็ รูปแบบการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาท่ีปรากฏอยู่ดาษดน่ื ในพระสตุ ตนั ปฎิ ก นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ยังมีการจัดแบ่งประเภทของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีก หลายประเภท เพื่อให้เห็นภาพชดั ขอนําข้อความที่ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้ กล่าวไวใ้ นเอกสาร “เค้าโครงการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา” มานาํ เสนอดังต่อไปน้ี “โดยท่ัวไป คําว่า การเผยแผ่ นั้น มักจะเข้าใจกันเสียแต่ว่าเป็นการทําให้ได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะ คือการเทศนาส่งั สอน นนี้ บั วา่ ยงั ไมส่ มบูรณ์ งานเผยแผ่ทํานองนั้นนับรวมเข้าในองค์ ปริยัติล้วนๆ ยังไม่สามารถจับใจคนผู้จะรับได้เต็มเป่ียม จักต้องขยายออกไปถึง การเผยแผ่ด้วย การปฏบิ ัตธิ รรมและปฏิเวธธรรมด้วย จงึ จะครบถว้ น ในที่สุดจะได้หลักแห่งการเผยแผ่ท่ีสมบูรณ์ ดงั น้ี (๑) เผยแผ่ดว้ ยการใหไ้ ด้ยนิ ไดฟ้ งั ทกุ วถิ ที าง (หลักปริยัตธิ รรม) (๒) เผยแผด่ ้วยการทําทําสงิ่ ทีด่ ีและทาํ ยากใหเ้ ขาดู (หลักปฎิบตั ธิ รรม) (๓) เผยแผ่ดว้ ยการเปน็ ผมู้ คี วามสุขใหเ้ ขาดู (หลักปฎเิ วธธรรม) ซ่ึงท้ังสามประเภทน้ี อาจจะจําแนกเป็นรายละเอียดได้ในแต่ละประเภทๆ อย่าง มากมายทีเดียว ดงั จะไดจ้ ําแนกออกไป คอื (๑) ใหไ้ ดย้ ินไดฟ้ งั โดยทกุ วิถที าง ดว้ ยการกระทาํ ดังตอ่ ไปนี้ - พิมพ์โฆษณาสมุดเอกสารและหนังสือพิมพ์ข้ึนให้แพร่หลาย กระทั่งมีหนังสือ ธรรมะฉบับวางบนรถไฟหรอื โฮเตล็ (โรงแรม) ชนั้ สูง ดังทช่ี าวครสิ เตยี นเขาทาํ กนั - ทัศนศกึ ษา ดว้ ยการแสดงให้เข้าใจในเรื่องราวดว้ ยภาพ ด้วยสิ่งของและอื่นๆ - การจาริกสง่ั สอน ดว้ ยคําสอนและบุคคลทีเ่ หมาะสมแกก่ าลเทศะ - เปดิ ห้องสมดุ หรือห้องอ่านหนังสอื ประชาชน ทั้งที่ประจําและเคล่ือนที่ - ใช้บริการทางวทิ ยกุ ระจายเสยี ง กระทั่งมสี ถานวี ทิ ยขุ องตนเองโดยเฉพาะ ๒๐ ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.

- เปิดงานแสดงตา่ งๆ ซงึ่ เปน็ การโปรประกาศพระศาสนาโดยเฉพาะ - ใช้ศิลปะบริสทุ ธิ์ เชน่ ดนตรี นาฏกรรม นวนยิ าย ฯลฯ เป็นส่ือ - ใชข้ องเลน่ หรอื รปู ภาพและอ่ืนๆ ทาํ นองเดยี วกนั สาํ หรบั เด็ก - ปาฐกถาและการแสดงธรรม - สมาคมสนทนาธรรม ค้นคว้าอรรถธรรม - การถา่ ยทอดพระพทุ ธวจนะออกสูภ่ าษาต่างๆ - การจดั ตง้ั โรงเรยี นสามญั และวิสามญั ศกึ ษาของทางฝา่ ยศาสนา - บริการสงเคราะห์สาธารณกศุ ลต่างๆ เชน่ โรงพยาบาล เป็นตน้ (๒) ทําส่งิ ทด่ี ีและทาํ ได้ยากให้ดู มกี ารกระทําดงั ต่อไปนี้ - มกี ารเรยี นจริงๆ และทันสมยั ใหเ้ ขาเหน็ จนเกิดความเล่ือมใส - ปฏิบัตธิ รรมและวินัยอยา่ งเคร่งครัดใหเ้ ขาดูจนเกิดความเล่อื มใส - ปฏบิ ตั ธิ รรมเป็นพเิ ศษ เพอ่ื มรรค ผล นิพพานโดยตรงใหป้ รากฏ - ทําศาสนกจิ ให้บรสิ ทุ ธิ์ เคร่งครัด และสมบรู ณ์ทั้ง ๔ องค์การให้ปรากฏ - นาํ หนา้ ฆราวาสในการทาํ อะไรดว้ ยความเสียสละและเมตตาจริงๆ - สงฆ์ไม่แตกสามคั คี มรี ะเบยี บ และทนั สมัย - พระสามารถเป็นที่พง่ึ ไดท้ กุ กรณี ท้ังทางกายและทางจติ (๓) ทาํ ตนเปน็ ผมู้ คี วามสขุ ให้ดู มกี ารกระทาํ ดังตอ่ ไปนี้ - สงฆ์แตล่ ะองค์ๆ มอี นิ ทรยี ผ์ ่องใสและอิ่มเอบิ (แม้ผบู้ วชใหม่) - สงฆแ์ ต่ละคณะมคี วามสงบสุขเรยี บรอ้ ยน่าบูชาเลื่อมใสจริง - พิสจู นถ์ งึ ความที่ตนไม่ถูกไฟคอื ราคะ โทสะ โมหะเผาในกรณที คี่ นทว่ั ไปถกู เผา - แสดงกําลงั ใจว่า อย่เู หนอื อนั ตรายท้งั หลายทกุ กรณแี ละทุกสถานการณ์ - มีอํานาจอย่เู หนอื กรรมให้เขาดู - มีจิตใจอยู่เหนอื พิษสงของการเกิดแก่เจ็บตายให้เขาดู - สะอาด สวา่ ง สงบ ถึงขีดสุดใหด้ ”ู คุณคาความสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา เป็นที่ทราบกันว่า พระพุทธศาสนาได้อุบัติขึ้นเพ่ือประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์โลกมากว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว นับว่าเป็นศาสนาหน่ึงท่ีมีอายุกาลยั่งยืนยาวนาน ปัจจัยสําคัญอย่างหน่ึงซึ่งทําให้ พระพุทธศาสนาดํารงอย่นู าน คือ มีการประกาศเผยแผ่สืบทอดศาสนธรมในหมู่พุทธสาวกกันมา ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๒๑

โดยลําดับ จากคนกลุ่มหน่ึงไปสู่คนอีกกลุ่มหน่ึง จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยพุทธสาวก เหล่าน้ันต่างยึดถือเอาอุดมคติในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ตรัสประทานเป็นพระ โอวาทในคราวส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในท้องถ่ินคามนิคมต่างๆ เป็นคร้ังแรก ที่มีใจความว่า “...ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เก้ือกูล แก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เก้ือกูลและ ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย...”* ดังนี้เป็นต้น เป็นหลักวิสัยทัศน์ในการทําหน้าท่ี ประกาศพทุ ธธรรมแก่ประชาชนอย่างต่อเน่ือง พร้อมทั้งนําเอาอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาท่ีพระพุทธองค์ทรงประทานเป็นพระโอวาทปาติโมกข์เม่ือคราวประชุมพระ อรหนั ตสาวกครั้งใหญท่ ีเ่ รยี กวา่ จาตุรงคสันนิบาต ณ พระวหิ ารเวฬุวนั มาเปน็ พันธกิจและกลยุทธ์ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งจากการท่ีบรรดาพุทธสาวกได้ช่วยกันประกาศผยแผ่หลักพระธรรมคําสั่งสอนอัน ประเสริฐที่เกิดจากพระปัญญาตรัสรขู้ องพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ีเอง ทําให้ พระพุทธศาสนาเจริญรุง่ เรืองดาํ รงคงอยู่อย่างย่ังยืนตราบมาจนถึงทกุ วนั นี้ การประกาศเผยแผ่หลักการดาํ รงชวี ติ อันประเสริฐหรือหลกั พระพทุ ธศาสนาภายหลังการ ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระมหาบุรษุสิทธัตถะนั้น นับว่ามีความสําคัญอย่าง ย่ิงต่อมวลมนุษยชาติ เพราะเป็นจุดปฐมอุบัติแห่งพระพุทธศาสนา กล่าวคือ พระพุทธศาสนา อุบัติข้ึนในไตรโลก (โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก) และประดิษฐานได้อย่างมั่นคงดํารง ประโยชน์เกื้อกูลก่อให้เกิดสันติสุขแก่จิตวิญญาณของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์อย่างนับประมาณ มไิ ด้ ก็ด้วยพระกรุณาเสด็จจาริกโปรดประทานพุทธธรรมประกาศเผยแผ่หลักอริยสัจและบําเพ็ญ พุทธจริยาอันยิ่งใหญ่ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาของพระบรมศาสดสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง โดยจุดปฐมอุบัติของพระพุทธศาสนา เริ่มเมื่อพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยแสดงพระปฐม บรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดนักบวชปัญจวัคคีย์ ซึ่งเกิดผลสัมฤทธ์ิเชิงประจักษ์ โดย หัวหน้าปัญจวคั คียค์ อื ท่านโกณฑญั ญะ ไดธ้ รรมจักษุเกิดดวงตาเห็นธรรมมีความเข้าใจแจ่มแจ้งใน หลกั สจั ธรรมประกาศตนเปน็ พทุ ธสาวกขอบวชเป็นปฐมบรมภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา การทรงแสดงพระปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรของพระพุทธองค์ เม่ือกล่าวอีกนัย หน่ึง ก็คือการประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ซึ่งส่งผลให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองเป็นหลักนําสัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติของปวงชนคร้ังบรรพกาล ทั้งยังเป็นบ่อเกิด แห่งอารยธรรมอันสูงส่งของโลก เป็นรากฐานแห่งคุณธรรมและจริยธรรมท่ีดีเยี่ยมของสังคมโลก * พระไตรปฎิ กภาษาไทย วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ข้อ ๓๒ หนา้ ๔๙-๕๐ [กช.ผพ. ๒๒ ประวัตคิ วามสําคัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา

ในกาลต่อมา วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมโลก ทกุ ภาคสว่ นลว้ นมีรากฐานแนวคดิ คติธรรมมาจากหลกั พระพุทธศาสนา จึงกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองม่ันคงอยู่ได้ด้วยการเผยแผ่คือการประกาศ เปิดเผยอริยสัจธรรมความจริงอันประเสริฐท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการศึกษา ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา อันส่งผลเป็นความหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ได้ในที่สุด ตราบใด ที่พุทธบริษัทมีพระภิกษุพุทธสาวกเป็นต้นยังขวนขวายรังสรรค์งานเผยแผ่โดยมุ่งม่ันประกาศหลัก พทุ ธธรรมให้ขจรขจายไปทว่ั ทุกอณูภูมิภาคของโลก ก็เป็นท่ีม่ันใจได้ว่า พระพุทธศาสนาจะดํารง สันติภาพก่อให้เกดิ สันติสุขแก่มวลมนษุ ยชาติอยูต่ ราบนัน้ การดําเนินงานประกาศเผยแผ่หลักพุทธธรรม จึงมีความสําคัญยิ่งต่อสถานการณ์ พระพุทธศาสนาทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะเป็นจุดช้ีขาดถึงภาวะดํารงความเจริญรุ่งเรืองหรือ ภาวะความเสื่อมถอยซบเซาเศร้าหมองแห่งพระพุทธศาสนาอย่างมิอาจปฏิเสธได้ กล่าวเฉพาะ ประเทศไทย เป็นท่ีประจักษ์ชัดว่า สังคมไทยในอดีตส่วนใหญ่ได้รู้จัก เข้าใจ เข้าถึงหลักธรรม คําทรงสอนอันประเสริฐของพระพุทธองค์จนสามารถเลือกสรรนําไปบูรณาการเชิงปฏิบัติให้เกิด ประโยชน์ในชีวิตประจําวัน ก่อให้เกิดเป็นวิถีพุทธคือวิถีไทย ดํารงชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข พ้นจากการอยู่ร้อนนอนทุกข์มาช้านานได้ ก็เพราะอาศัยการเสียสละทุ่มเทชีวิตอุทิศเวลาช่วยกัน ประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาของบรรพชนไทยท้ังฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้มีวิสัยทัศน์อัน กวา้ งไกลมองเห็นคณุ ค่าและความสาํ คญั ของพระพุทธศาสนาทม่ี ตี ่อชาตบิ า้ นเมืองไทยนน่ั เอง วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในคร้ังอดีตกาลนั้น พระสงฆ์จะเลือกสรรหลักพุทธธรรม นํามาเทศน์เน้นอบรมสงั่ สอนปลูกฝงั ศีลธรรมใหป้ ระชาชนมีมาตรฐานชวี ิตชาวพุทธ สามารถดํารง ตนอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข แม้จะเป็นวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมท่ีได้รักษา รูปแบบสืบทอดเป็นประเพณีต่อเน่ืองกันมา แต่ก็ได้ทําให้ประชาชนชาวไทยครั้งอดีตรู้จัก เข้าใจ เขา้ ถึงพระพทุ ธศาสนาอยา่ งกวา้ งขวาง เปน็ เหตุให้มีศรัทธาที่ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิคือความคิด ดีคิดชอบกอปรด้วยเหตุผลมองเห็นคุณประโยชน์ท่ีได้จาการเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ช่วยกันทํานุบํารุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองมาตราบเท่าทุกวันนี้ ทั้งน้ีเพราะ สงั คมไทยในอดีตนั้นศรัทธายกย่องพระสงฆ์เปน็ ปูชนียบุคคลและเปน็ ผ้นู าํ ทางจิตวิญญาณ ผลจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก่อให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศชาติ : การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่พระสงฆ์ดําเนินการอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันน้ี มุ่ง ให้บุคคลพึงละเว้นกรรมชั่ว ประกอบสัมมาอาชีวะ คือ อาชีพสุจริต แม้จะเป็นอาชีพที่มีเกียรติ น้อย แต่ก็เป็นอาชีพที่มีความสุขปราศจากโทษ พระสงฆ์มักพูดสอนเกี่ยวกับเงินร้อน อันเป็น คําส่ังสอนที่ว่าได้เงินมาด้วยอาชีพทุจริต ย่อมอยู่ไม่นาน คือ ได้มาแล้วหมดเร็ว ไม่สามารถทํา ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๒๓

ให้ต้ังตัวได้ บางคนมักใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยหรือจ่ายไปในทางการพนัน พระสงฆ์จึงได้สั่งสอนให้ ประชาชนประกอบอาชีพในกรอบแห่งศีลธรรม ไม่เบียดเบียนซ่ึงกันและกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ กัน ไม่ให้ประกอบอาชีพท่ีเป็นภัยหรืออันตรายต่อผู้อ่ืนหรือแม้กระทั่งตนเองและครอบครัว มิจฉาชีพเช่นว่าน้ัน ได้แก่ การค้าขายของเถื่อน การค้าขายอาวุธสงคราม การค้ายาเสพติด การปล้นจ้ีลักขโมย การล่อลวงหรือหลอกลวง หรือแม้กระทั่งการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมต่างๆ แต่สอนให้มีความหมั่นขยันในการประกอบกิจปฏิบัติหน้าท่ีการงาน ใหม้ คี วามสมัครสมานสามัคคีกนั ให้ละเวน้ ส่งิ ทเ่ี ป็นโทษทงั้ แกต่ นและผอู้ ื่น ตัวอย่างหลักพุทธธรรมท่ีพระสงฆ์มักนํามาเผยแผ่อบรมส่ังสอนประชาชนเพ่ือส่งเสริม ทําให้เกดิ ความเจรญิ ทางเศรษฐกิจของบคุ คลและของสงั คม เชน่ การสอนให้ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการประกอบอาชีพการงาน คือ ฉันทะ ให้มีความรักความชอบในการงานที่ทําและพร้อมท่ีจะ ลงมือทําการงานน้ันด้วยความเต็มใจ วิริยะ ให้มีความขยันหม่ันเพียรประกอบอาชีพการงาน จิตตะ ใหม้ ีความต้ังใจและสนใจในหน้าที่การงาน และวิมังสา ให้มีการหม่ันพิจารณาตรวจสอบ แก้ไขขอ้ บกพร่องและประเมนิ ตนเองเพ่ือความก้าวหน้าในอาชีพการงานอยู่เสมอ รวมถึงการสอน ให้นาํ หลกั ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ๔ มาใช้ในการดํารงชีวติ ประจาํ วัน คือ อุฏฐานสัมปทา ให้มี ความขยันประกอบกิจการงานเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติในทางสุจริต อารักขสัมปทา ให้มี ความคิดสติปัญญารู้จักเก็บรักษาทรัพย์ที่หามาได้จากการประกอบกิจการงาน โดยรู้จักแบ่งใช้ และรู้จักแบ่งเก็บเพ่ือยามจําเป็น กัลยาณมิตตตา ให้รู้จักเลือกคบคนดีเป็นมิตร เพ่ือจะได้โน้ม นําชักจูงให้กระทําแต่กรรมดี และสมชีวิตา ให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เหมาะสมกับสภาพ ฐานะหน้าที่การงานของตน นอกจากนี้ยังสอนให้ประพฤติตามหลักศีล ๕ หลักคุณธรรม จริยธรรมอ่ืนๆ และหลักการละเว้นหลีกเล่ียงห่างไกลจากอบายมุขนานาชนิดอีกด้วย ซึ่งถ้า ประชาชนมีศรัทธาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ให้มากและจริงจังทั่วถึงกว่าที่เป็นอยู่ ในปัจจุบันน้ี พระพุทธศาสนาก็จะมีคุณค่าแก่สังคมไทยจนสามารถเป็นหลักประกันความม่ันคง แหง่ สถาบนั ชาติและพระมหากษตั ริยไ์ ดอ้ ย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงมีความสําคัญยิ่งต่อความดํารงมั่นคงแห่ง พระพุทธศาสนา และนับเป็นภารกิจโดยตรงของพระภิกษุพุทธสาวกในพระพุทธศาสนาท่ีเม่ือทํา หน้าท่ีของตนให้บริบูรณ์ด้วยการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนแตกฉานและประพฤติปฏิบัติ ตามหลักพระธรรมวินัยที่ศึกษามาแล้วน้ันจนมีภูมิรู้ภูมิธรรมเข้มแข็งแล้ว ต้องอุทิศตนทําหน้าที่ เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ เช่น การแสดงธรรม การบรรยายธรรม การ สนทนาธรรม ตลอดถึงการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นแบบอย่าง โดย จัดเป็นงานที่มีความสําคัญย่ิงต่อความดํารงยั่งยืนม่ันคงอยู่แห่งพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่สมัย ๒๔ ประวัติความสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา [กช.ผพ.

พุทธกาลจวบจนปัจจุบัน กล่าวสําหรับประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่ได้รู้จัก เข้าใจ เข้าถึง หลกั ธรรมคําสอนอนั ประเสริฐของพระพุทธเจ้าจนสามารถเลือกสรรนํามาบูรณาการปฏิบัติให้เกิด ประโยชน์ในชีวิตประจําวัน ก่อให้เกิดเป็นวิถีพุทธคือวิถีไทย ดํารงอยู่อย่างสงบสุขมาช้านานได้ ก็เพราะอาศัยบรรพชนไทยท้ังฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้มีวิสัยทัศน์อักว้างไกล มองเห็นคุณค่า และความสําคัญของพระพุทธศาสนาได้ทุ่มเทเสียสละช่วยกันประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยรูปแบบและวิธีการที่สืบทอดต่อกันมา เพื่อให้หลักพุทธธรรมฝังแน่นเป็นรากฐานแห่งวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณอี นั ดงี ามของสงั คมไทยตลอดไป วิเคราะหความหมายคําวา “เผยแผ” และคาํ วา “เผยแพร” มีผู้สงสัยกันว่า คําในภาษาไทยท่ีเกี่ยวกับการประกาศบอกเล่ากล่าวสอนหลักธรรมใน พระพุทธศาสนา มีทั้งคําว่า เผยแผ่ และคําว่า เผยแพร่ ซ่ึงทั้งสองคําน้ีต่างก็มีความหมาย ใกล้เคียงกัน สามารถใช้แทนกันได้หรือไม่ และคําท้ังสองน้ีมีข้อกําหนดนิยมใช้อย่างไร จะใช้ว่า เผยแผ่พระพทุ ธศาสนา หรือ เผยแพรพ่ ระพุทธศาสนา กันแน่ ดังน้ัน เพื่อความกระจ่างชัดและใช้ถูกต้องตรงตามความมุ่งหมาย ในท่ีน้ี จึงขอเสนอ นยิ ามคาํ จํากัดความของคาํ สองคาํ ไว้ดังน้ี ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายดังน้ี คําว่า เผยแผ่ เป็นคํากริยา หมายถึง ทําให้ขยายออกไป, หรือ ขยายออกไป ส่วนคําว่า เผยแพร่ เป็นคํากริยา หมายถงึ โฆษณาให้แพร่หลาย ในพจานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด...คําวัด ของ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช ป.ธ. ๙, ราชบณั ฑติ ) ได้ใหค้ วามหมายวา่ “เผยแผ่ ในคําวัดใช้เป็นคําหลักในความหมายว่า ทําให้แพร่หลายในลักษณะติดแน่น ซึมซาบ กระจายไป เช่น เผยแผ่ศาสนา เผยแผ่ธรรม องค์การเผยแผ่ ส่วน เผยแพร่ ใช้ใน ความหมายว่า ประกาศ โฆษณา ทําให้แพร่หลายในลักษณะกระจายให้เป็นรูปธรรมหรือให้ สัมผัสทางตา หู เป็นต้น เช่นใช้ว่า การเผยแผ่ศาสนาสามารถทําได้หลายวิธี เช่น เผยแพร่ไป ตามสอ่ื ตา่ งๆ หรือเผยแพร่ทางวิทยทุ วี ี เป็นต้น” โดยนัยนี้ จึงสรุปได้ว่า คําว่า “เผยแผ่” และคําว่า “เผยแพร่” มีความหมายต่างกัน กล่าวคือ คําว่า เผยแผ่ หมายถึงการเปิดเผยสิ่งท่ีปกปิดอยู่ให้คนได้รู้ได้เห็น แต่เป็นการเปิดเผย สิ่งที่ดี ที่ประเสริฐ ส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตจิตใจของคนเรา เช่น เปิดเผย ประกาศหลักพระธรรมคําสอนอันประเสริฐบริสุทธ์ิของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีบุคคล ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๒๕

ทัว่ ไปยงั ไมร่ ูจ้ ักใหไ้ ด้รจู้ ัก ยงั ไมเ่ ขา้ ใจให้ไดเ้ ข้าใจ และยงั ไม่เข้าถงึ ใหไ้ ดเ้ ข้าถึง เป็นตน้ ซ่ึงตรงกนั ข้ามกับคําว่า ตีแผ่ ซ่ึงใช้ในทํานองประจาน คือเปิดเผยสิ่งที่ไม่ดี ส่ิงท่ีอ้ือฉาวที่ถูกปกปิด หรือ เปดิ โปงส่งิ ทีล่ กึ ลบั ซบั ซอ้ นซ่อนงาํ อาํ พรางความชัว่ ร้ายให้คนได้รู้ได้เห็น ส่วนคําว่า แผ่ มักใช้กับ สงิ่ ทเ่ี ป็นนามธรรม เช่นคําว่า แผเ่ มตตา แผค่ วามสขุ ชว่ ยเหลือเผอ่ื แผ่ เป็นต้น ส่วนคาํ วา่ เผยแพร่ หมายถึงการทําให้ขยายหรือการทําให้กระจายออกไปในวงกว้าง คือ สง่ิ น้นั ไมไ่ ดป้ กปิด แตม่ อี ยู่ในขอบเขตจํากดั เม่อื ต้องการจะขยายออกไปในวงกว้าง ก็จะใช้คําว่า เผยแพร่ และคํานม้ี กั ใชก้ ับส่งิ ที่เป็นรปู ธรรม เช่น แพร่ภาพ แพรข่ า่ ว แพร่เชือ้ เป็นตน้ ดังนั้น เมื่อจะประกาศเปิดเผยหลักพระธรรมวินัย หรือพระธรรมคําส่ังสอนของ พระพุทธเจ้า ในฐานะเป็นหลักปฏิบัติดีหลักปฏิบัติชอบท่ีทําให้คนเราได้รับประโยชน์สุขท้ังใน อตั ภาพชาตินี้ และอัตภาพชาติหนา้ และประโยชน์อย่างย่ิงคือพระนิพพาน จึงสมควรอย่างยิ่งที่ ใช้คาํ ว่า ”เผยแผ่พระพทุ ธศาสนา” ซึง่ เหมาะกว่าใชค้ าํ ว่า “เผยแพร่พระพทุ ธศาสนา” การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในท่ีน้ี หมายถึงการนําเอาหลักธรรมคําสอนอันประเสริฐ อนั เป็นธรรมชาติบริสุทธิท์ ่เี กดิ จากพระปัญญาตรัสร้ขู ององคพ์ ระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปถ่ายทอดให้ ประชาชนได้รับการเรียนรู้และน้อมนําเอาหลักธรรมคําสั่งสอนเหล่านั้นไปประพฤติปฏิบัติตาม เพอื่ ให้เปน็ คนดีมศี ีลธรรมประกอบด้วยคณุ ธรรมมเี มตตาเปน็ ต้น เกิดความสงบสุขทั้งชาติปัจจุบัน และภพหน้า จากคนกลุ่มหนึ่งไปสู่คนอีกกลุ่มหนึ่ง จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยยึดเอา อุดมคติ อดุ มการณ์ หลกั การ และวธิ กี ารในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาทพี่ ระพทุ ธองคต์ รสั ไว้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน การที่จะหาทางให้คนเรานับถือศาสนาหน่ึงศาสนาใดเป็นเร่ืองที่ ต้องใช้วิธีการเผยแพร่ชักจูงหรือมีผลประโยชน์เข้าล่อ จึงจะมีคนนิยมหันมานับถือกันมากขึ้นๆ แต่พระพุทธศาสนาก็ยังคงใช้วิธีการเผยแผ่คือการประกาศแต่ส่ิงท่ีดีท่ีชอบให้ทราบ โดยไม่ คํานึงว่าจะมีใครหันมานับถือ ให้เป็นเร่ืองเสรีภาพส่วนบุคคล จึงมีพุทธศาสนิกชนบางท่านเป็น หว่ งในเรอ่ื งนี้ ตอ้ งการและพยายามใช้วิธีการเผยแพรแ่ ทนการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ศาสนาต่างๆ ส่วนใหญ่เผยแพร่โดยวิธีการชักจูง บังคับ ขู่ หรือเอาผลประโยชน์เข้าล่อ เช่น จัดการศึกษาให้ ให้การสงเคราะห์ต่างๆ เพ่ือให้คนนิยมเห็นดีเห็นงามหันมานับถือ หรือมี ความเกรงกลัวหันมานับถือ แม้ในปัจจุบันจะมีลัทธิใหม่ๆ ที่ไม่ใช้วิธีการขู่บังคับให้คนเรานับถือ แต่ก็ไม้พ้นที่จะใช้วิธีการโฆษณาชวนเช่ือ วิธีการตลาด ให้ความสนุกสนานบันเทิงต่างๆ โดยผู้ เผยแพร่เข้าไปหาถึงตัวถึงบ้าน พูดเซ้าซ้ีให้ยอมรับนับถือบ้าง ซ่ึงทําให้มีคนหันไปยอมรับนับถือ เป็นจํานวนมากข้ึนๆ เช่นกัน แต่พระพุทธศาสนายังคงรักษารูปแบบการประกาศหลักธรรมอัน เปน็ สัจจะแห่งชีวิตให้ทราบ สุดแล้วแต่อุปนิสัยของแต่ละคนว่าจะรับนับถือทําตามหรือไม่ทําตาม ๒๖ ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

ซึ่งตรงกับความหมายของคําว่าการเผยแผ่ จึงเป็นเหตุให้ผู้ท่ีมีอุปนิสัยตื้นชอบตื่นตามการโฆษณา ชวนเช่ือ และผลประโยชน์ที่เข้าล่อ ละทิ้งพระพุทธศาสนา หันไปนับถือศาสนาที่เผยแพร่ด้วย รปู แบบนน้ั ๆ ไปเปน็ จํานวนมาก แต่ถา้ พจิ ารณาให้ลกึ ซงึ้ จะเห็นว่า การใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ก็ดี การเอาผลประโยชน์มาล่อก็ดี เป็นวิธีการแยบยลแอบแฝงหวังผลตอบแทน เพราะในโลกน้ี เป็นไปไม่ได้เลยท่ีคนเราซ่ึงยังเป็นปุถุชนท่ีหนาแน่นด้วยกิเลสจะให้อะไรแก่ใครๆ เปล่าๆ โดยไม่ หวังผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งไม่ใช่วิสัยปุถุชน ถึงแม้ว่าองค์การศาสนาหรือลัทธินั้นๆ จะร่ํารวย มีทุนทรัพย์มากมหาศาล ถ้าเอาสิ่งของมาแจกมาให้คนจํานวนมากและตลอดไป โดยไม่หวัง ผลตอบแทน ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อาจจะมีบ้างที่บางคนยอมรับนับถือศาสนาหรือลัทธิต่างๆ ไป ด้วยความหลง พอรู้สึกตัว พอรู้ความจริง ก็ถอยหนี บางคร้ังก็เกิดการทะเลาะก่อการวิวาท ทําร้ายกันในระหว่างผู้นับถือศาสนาหรือลัทธิเดียวกัน ก็เพราะในตอนที่เผยแพร่ไม่ได้ใช้เหตุผล ท้ังผเู้ ผยแพรแ่ ละผ้รู ับนบั ถอื น่นั เอง กลา่ วสาํ หรับพระพทุ ธศาสนาซ่งึ อบุ ัติขน้ึ ในโลกมีอายุยืนยาวมาได้ถึง ๒,๕๕๓ ปี นับแต่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้และประกาศพระศาสนาเผยแผ่พุทธธรรม แม้ในบางคราวจะถูกยํ่ายีจากการ เผยแพรข่ องศาสนาอน่ื หรืออยใู่ นยคุ ท่ีพวกคนต่างหลงใหลกระแสวัตถุนิยมจนลดจํานวนผู้นับถือ ลงไป แต่ด้วยอํานาจแห่งเหตุผลและสัจธรรมความจริงท่ีจริงแท้แน่นอนในพระพุทธศาสนา จึง ทําให้พระพุทธศาสนามีอายุยนื ยาวมาได้นานกว่าหลายๆ ศาสนาในโลก อย่างไรก็ตาม การจะทําให้คนท่ียังไม่นับถือให้หันมานับถือพระพุทธศาสนา หรือทํา คนที่นับถืออยู่แล้วให้มีความศรัทธาเล่ือมใสม่ันคงยิ่งขึ้น จะต้องคงหลักการเผยแผ่ไว้ให้เป็น เอกลักษณ์เฉพาะของพระพุทธศาสนา แต่อาจเปล่ียนวิธีการปลีกย่อยๆ บางอย่างให้เหมาะสม กับบุคคล ภูมิประเทศ สภาพสังคม และสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น ในการเทศน์การสอน ศีลธรรมแก่เด็กนักเรียนช้ันประถม ควรมีอุปกรณ์ มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาก แต่หากเทศน์ กับนักเรียนมัธยม ควรเพ่ิมด้านเหตุผลและเนื้อแท้ของหลักธรรมมากข้ึน กับนักเรียนนักศึกษา ระดับสูงกว่ามัธยม ควรเน้นหลักเหตุผลและปรัชญาท่ีลึกซึ้งมากขึ้นตามลําดับอายุและวุฒิภาวะ ของผู้เรียนผู้รับการเผยแผ่หลักธรรม เป็นต้น ในการนี้ จึงต้องมีการส่งเสริมงานเผยแผ่ พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์ให้ม่ันคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น โดยควรถวายความอุปถัมภ์แด่ พระสงฆใ์ ห้มีความสะดวกในการทาํ หน้าทเี่ ผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอยา่ งกวา้ งขวาง งานในหนา้ ที่ของพระสงฆ์ เมอื่ กลา่ วโดยสรปุ จะแบง่ ออกได้ ๔ ประการ คอื (๑) ศึกษาเล่าเรียนหลักพระธรรมวินัยอันเป็นพระพุทธพจน์คําส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ให้เกิดความรคู้ วามเข้าใจดีจนเชีย่ วชาญแตกฉาน เพอ่ื ใหม้ ภี ูมิรู้ภูมิธรรมมน่ั คงส่วนตน ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๒๗

(๒) ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมิวินัยตามที่พระพุทธองค์ทรงกําหนดแสดง และบัญญัติไว้โดยเคร่งครัด เพ่ือเปน็ พทุ ธศาสนทายาททีด่ ีมคี ุณภาพ (๓) เผยแผ่แนะนําส่งั สอนประชาชนให้ร้จู กั เขา้ ใจ และเขา้ ถงึ หลกั พระพุทธศาสนา มี ความศรัทธาเลอ่ื มใสพรอ้ มที่จะถวายการอุปถัมภ์ทํานุงบํารุงส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา เพ่ือ สร้างฐานความเจริญมัน่ คงอยา่ งยงั่ ยนื ใหเ้ กิดแก่พระพทุ ธศาสนา (๔) ปกป้องหลักพระธรรมวินัยไม่ให้วิปริตผิดจากพระพุทธพจน์ท่ีแท้จริงในพระไตรปิฎก เพ่ือไม่ให้เกิดสัทธรรมปฏิรูป คือคําส่ังสอนอันเป็นเท็จเทียม มีหลักการความเช่ือความเห็นของ ลัทธอิ ื่นเข้ามาผสมปะปน ซ่ึงจะนําไปสคู่ วามเสอ่ื มอนั ตรธานแห่งพระสทั ธธรรมอนั บรสิ ุทธ์ิ ด้วยงานและหน้าที่ท้ัง ๔ ประการ ซ่ึงสรุปส้ันๆ คือ ศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่ และ ปกป้องพุทธธรรม ดังกล่าวน้ี พระสงฆ์จึงเป็นศาสนบุคคลแกนหลักในการสร้างเสริมศรัทธา ความเช่ือความเล่ือมใสของประชาชนท่ีมีต่อพระพุทธศาสนา ท้ังยังเป็นผู้นําในการสรรค์สร้าง ความเจริญม่ันคงแพร่หลายแห่งการพระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ กล่าวโดยเฉพาะในประเทศ ไทย ถ้าหากพระพุทธศาสนาจะไม่ม่ันคงไม่ดํารงคงอยู่เป็นท่ีพ่ึงยึดเหน่ียวจิตใจของประชาชนคน ไทยอย่างต่อไป กน็ ่าจะมสี าเหตอุ นั เน่ืองมาจากการกระทําของพุทธบริษัทเองเป็นลําดับแรก คือ พุทธบริษัทมีพระภิกษุสามเณรเป็นต้นไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติ ไม่เผยแผ่ ไม่ปกป้องพระสัทธธรรม หรือพระพุทธศาสนา แล้วจึงเป็นเหตุให้ศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ หรือลัทธิอื่นๆ ถือโอกาสเข้า มาบ่อนเบียนทําลายได้ ดังท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุแห่งความเสื่อมพระสัทธรรมหรือ พระพทุ ธศาสนาไวซ้ ึง่ ปรากฏหลกั ฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ * (ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระสตุ ตนั ตปฎิ ก) โดยแสดงไว้ ๔ นยั นัยละ ๕ ประการ ดงั นี้ เหตใุ ห้พระสทั ธรรมเส่อื มนยั ท่ี ๑ คอื ภกิ ษพุ ุทธบริษทั ไม่สนใจฟังธรรม ไม่สนใจเล่าเรียน ธรรม ไมค่ ิดจะทรงจําธรรม ไม่คิดจะนําอรรถแห่งธรรมมาพิจารณา ไม่ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง สมควรแกธ่ รรม เหตุให้พระสัทธรรมเสื่อมนัยท่ี ๒ คือ ภิกษุพุทธบริษัทไม่เล่าเรียนนวังคสัตถุศาสน์ (หลัก พุทธธรรมคําสอนท่ีจําแนกเป็น ๙ ประการ) ไม่เผยแผ่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมาเรียนมาแก่ผู้อื่น ไม่บอกเล่ากล่าวสอนธรรมตามที่ฟังมาเรียนมาแก่ผู้อื่น ไม่ทําการสาธยายธรรมตามท่ีฟังมาเรียน มาแก่ผอู้ ่นื และไมไ่ ตรต่ รองดว้ ยความคดิ พิจารณาธรรมตามท่ฟี งั มาเรยี นมาโดยเคารพ เหตใุ หพ้ ระสัทธรรมเสื่อมนัยท่ี ๓ คือ * พระไตรปฎิ กภาษาไทย องั คุตตรนกิ าย ปัญจกนกิ บาต เล่ม ๒๒ ขอ้ ๑๕๔-๑๕๖ หนา้ ๒๕๒-๒๕๘ และข้อ ๒๐๑ หน้า ๓๔๔ ๒๘ ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

(๑) ภิกษุพุทธบริษัทศึกษาเล่าเรียนธรรม จํากันมาผิดๆ จากพระพุทธพจน์ ท้ังในด้าน ลําดับบท พยญั ชนะ และความหมาย (๒) ภิกษพุ ทุ ธบริษทั ประพฤตติ นเป็นคนว่ายาก ขาดความอดทน (๓) ภิกษุผู้เป็นพหูสูตมีความรอบรู้ไม่ถ่ายทอดบอกพระสูตรแก่ผู้อ่ืน เม่ือมรณะล่วงลับ ไป ทําใหข้ าดการสืบทอด ไร้หลกั พ่ึง (๔) พวกภกิ ษุเถระมักใหญ่ มีความประพฤติย่อหย่อน ทอดทิ้งวิปัสสนาธุระ ขาดความ เพียรท่จี ะบาํ เพ็ญสมณธรรม ไม่เป็นแบบอยา่ งทดี่ ีของอนุพุทธบริษัท (๕) ภิกษุสงฆ์มีความแตกแยกขาดความสามัคคี ด่าบริภาษสาปแช่งกัน พลอยทําให้คน ทยี่ งั ไมเ่ ลอื่ มใสก็จะไมเ่ ลือ่ มใสและพวกทเ่ี ลื่อมใสอย่แู ลว้ กพ็ ลนั เหินหา่ งหมดความเลือ่ มใส เหตุให้พระสัทธรรมเส่ือมนัยท่ี ๔ คือ พุทธบริษัทไม่เคารพยําเกรงในพระศาสดา ไม่ เคารพยาํ เกรงในพระธรรม ไมเ่ คารพยําเกรงในพระสงฆ์ ไม่เคารพยาํ เกรงในหลกั ไตรสิกขา และ ไม่เคารพยําเกรงซ่ึงกนั และกัน ดังกล่าวมานี้ถือว่าเป็นเหตุปัจจัยที่ทําให้พระสัทธรรมคือพระพุทธศาสนาเส่ือมอันเกิด จากภัยภายใน คอื การกระทําของพทุ ธบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม การเผยแผ่พระพุทธศาสนาท่ีดําเนินการโดยพระภิกษุสงฆ์พุทธสาวก สืบต่อเนื่องกันมาต้ังแต่คร้ังสมัยพุทธกาล หลังพุทธปรินิพพาน เร่ิมต้ังแต่สมัยพระเจ้าอโศก มหาราช จนถงึ ยุคปัจจุบันนี้นนั้ นบั ว่าไดม้ ีความสําคญั อยา่ งย่งิ ตอ่ การสร้างความเจริญม่ันคงแห่ง พระพุทธศาสนาใหข้ จรขจายไปยังดนิ แดนต่างๆ ของโลก ซ่ึงสมควรที่อนุพุทธศาสนิกชนท้ังหลาย จะได้รับทราบประวัติการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ดังจะรวบรวมนํามาเสนอในบทต่อไป ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา ๒๙

๓๐ ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

ปฐมบท การเผยแผพระพุทธศาสนาสนู านาประเทศ พระเจาอโศกมหาราช : พุทธศาสนูปถัมภกที่โลกจารึก เมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ต่อมา ประมาณ พทุ ธศตวรรษท่ี ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช เอกอัครกษัตริย์ผู้ปกครองประเทศอินเดียในสมัยนั้น ทรงมีพระราชศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระองค์ได้ทรงถวายความ อุปถัมภ์พระพุทธศาสนท่ียิ่งใหญ่ โดยทรงจัดให้มีการสังคายนาชําระสอบทานหลักพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๓ (ตติยสังคายนา) ข้ึนในปี พ.ศ. ๒๓๖ ณ วัดอโศการาม นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ เมืองหลวงของรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย) ซึ่งมีพระโมคคลีบุตรติสสเถระ เป็นประธานสงฆ์ในการทําสังคายนา หลังจากท่ีได้ทําสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยเสร็จส้ิน แลว้ พระโมคคลบี ุตรติสสเถระโดยพระราชอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้จัดคณะสมณทูต หรือพระธรรมทูตออกเป็น ๙ คณะแล้วส่งไปประกาศพระพทุ ธศาสนาในดนิ แดนตา่ งๆ พระพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชได้รับการเผยแผ่แพร่ขยายไปยังประเทศ ต่างๆ ทั่วโลก ซึง่ เร่ิมมาจากการทาํ สงั คายนาครง้ั ที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ นนั่ เอง พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์โมริยะ ทรงครอง ราชสมบัติ ณ พระนครปาฎลีบุตร แค้วนมคธ สืบต่อพระเจ้าพินทุสาร พระราชบิดา และทรง เป็นพระราชนัดดา (หลานปู่) ของพระเจ้าจันทรคุปต์ ปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์โมริยะ ผู้สืบเชื้อ สายมาจากราชวงศ์ศากยะหรือพวกเจ้าศากยะ ราชสกุลของพระพุทธเจ้า ซึ่งหนีชีวิตรอดมาจาก สงครามฆา่ ลา้ งเผ่าพนั ธ์ศุ ากยะโดยเจา้ ชายวิฑฑู ภะในครง้ั ปลายพทุ ธกาล ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๓๑

พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเปน็ กษัตริย์มหาจกั รพรรดริ าชท่ยี ่ิงใหญท่ ส่ี ุดในประวตั ิศาสตร์ ของชมพูทวีปหรือประเทศอินเดียสมัยโบราณ และทรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถมั ภกที่ สําคัญทีส่ ุดในประวัตศิ าสตรแ์ ห่งพระพทุ ธศาสนา กล่าวกันว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เดิมทีน้ัน พะองค์ทรงมีชื่อเสียงปรากฏเป็นที่ลือ ขานกันวา่ เปน็ พระเจ้าแผน่ ดนิ ท่โี หดรา้ ย ทรงนิยมชมชอบการทําสงครามกับแว่นแคว้นต่างๆ จน ได้รับพระสมญานามว่า จัณฑาโศกราช แปลว่า “พระเจ้าอโศกผู้ดุร้าย” โดยเม่ือทรงข้ึน ครองราชย์แล้วไม่นาน พระองค์ทรงทําสงครามขยายดินแดนแห่งแว่นแคว้นของพระองค์ออกไป ย่ิงใหญ่ไพศาล จนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ท่ีสุดในประวัติศาสตร์ชาติอินเดีย ซึ่งเทียบได้กับ ประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศปัจจุบันรวมกัน ต่อมาครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรง กรีฑาทัพไปปราบแคว้นกลิงคะ ซ่ึงเป็นชนเผ่าท่ีเข้มแข็ง ในการศึกสงครามครั้งแม้ว่าพระองค์จะ ทรงได้รับชัยชนะ แต่พระองค์ก็ทรงสลดพระทัยในความโหดร้ายทารุณของสงครามที่ทําให้ทหาร บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจํานวนมาก แล้วต่อมาพระองค์ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาเพราะได้ ทอดพระเนตรเห็นสามเณรนิโครธ (ผู้เป็นหลานที่พระองค์ยังไม่รู้จัก) ที่มีกิริยามารยาทสงบ เรยี บร้อย น่าเล่ือมใส จึงทรงมีพระราชศรัทธา รับสั่งให้ราชบุรุษไปนิมนต์สามเณรนิโครธเข้าไป ในพระราชวัง ได้ตรัสถามพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้ และเม่ือทรงสดับหลักธรรมใน พระพุทธศาสนาจากสามเณรนิโครธท่ีได้อนุโมทนาคาถาธรรมแสดงหลักความไม่ประมาทถวาย พระองค์ก็ทรงรู้ซ้ึงถึงสัจธรรมแห่งชีวิต จนเกิดความเลื่อมใสและหันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็ ทรงมีพระสติระลึกพิจารณาถึงพฤติกรรมในอดีตที่เต็มไปด้วยความช่ัวความผิดก่อทุกข์ให้เกิดโทษ แก่ผู้อ่ืนนานัปการ จึงทรงละเลกิ พระอุปนสิ ัยอันดุรา้ ยในอดีตเสยี ส้นิ ต้งั แต่บัดนนั้ ภายหลังจากท่ีทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พระเจ้าอโศกทรงดําเนินนโยบาย ทะนุบํารุงพระราชอาณาจักรและเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศโดยทางสันติตามนโยบาย ธรรมวิชัย นับตั้งแต่พระองค์ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็ได้ทรงเปลี่ยนพระทัยกลายเป็น พระเจ้าแผ่นดินองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก ผู้ทรงถวายการอุปถัมภ์และทรงทํานุบํารุง พระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายมากท่ีสุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา พร้อมทั้งทรงดําเนินนโยบายธรรมวิชัย ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ เพื่อการกีฬาและรับประทานเป็นอาหาร ส่งผลให้พวกคนอินเดียเกือบท้ังประเทศไม่รับประทาน เน้ือสัตว์เป็นอาหาร แต่หันมานิยมรับประทานพืชผักและผลไม้เป็นอาหาร มิใช่แต่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังได้ทรงมีพระราชจริยาวัตรท่ีสาธุชนในปัจจุบันยกย่องอีกมากมายหลายประการ เช่น ทรงโปรดแต่งต้ังอํามาตย์หรือข้าหลวงเป็นผู้แนะนําประชาชนให้ตั้งอยู่ในหลักศีลธรรม ทรง ประกาศให้ข้าราชการท่ัวราชอาณาจักรรักษาอุโบสถศีลในวันธรรมสวนะ (วันพระ) ทรงโปรดให้ ๓๒ ประวัตคิ วามสาํ คญั ของการเผยแผพ ระพุทธศาสนา [กช.ผพ.

ขุดบ่อน้ําสระน้ําเพ่ือสาธารณประโยชน์ ทรงโปรดให้ปลูกต้นไม้เพ่ือเป็นท่ีพักผ่อนในการเดินทาง และทรวงโปรดให้จดั ตง้ั โรงพยาบาลรักษาทั้งมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น ด้วยพระราชกรณียกิจและ พระราชจริยาวัตรอันงดงามดังกล่าว ทําให้ต่อมาพระองค์ทรงได้รับการขนานพระนามใหม่ว่า พระเจา้ ธรรมาโศกราช แปลว่า “พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม” พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุดในพระพุทธศาสนา ทรง เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงเป็นพระอัครศาสนูปถัมภกท้ังฝ่ายมหายานและ ฝ่ายเถรวาท ตามพระราชประวัติในคัมภีร์ภาษาสันสกฤตของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คอื คัมภรอ์ โศกวทาน และในคัมภีรภ์ าษาบาลขี องพระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาท หลายคัมภีร์ เช่น คัมภีร์สมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัยปิฎฏ คัมภีร์ทีปวงศ์ และคัมภีร์มหาวงศ์ เป็นต้น พระองค์ได้ทรงอุปถมั ภผ์ ้ทู ี่นบั ถือศาสนาเชน โดยการถวายถํ้าหลายแห่งให้แก่เชนศาสนิกชน เพื่อ ไปประกอบพธิ ที างศาสนา เอช. จี. เวลส์ (H.G.Wells) นักประวัติศาสตร์คนสําคัญในตะวันตก ก็ยกย่องพระเจ้า อโศกมหาราชว่าทรงเป็นอัครมหาบุรุษท่านหนึ่ง ใน ๖ อัครมหาบุรุษแห่งประวัติศาสตร์โลก คือ พระพทุ ธเจ้า โสเครติส อริสโตเตลิ โรเจอร์ เบคอน และอับราฮมั ลิงคอล์น นอกจากนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชยังได้ทรงบําเพ็ญพระราชจริยาวัตรที่เป็นแบบอย่างให้ พระมหากษัตริย์ทีเ่ ปน็ พุทธมามกะทกุ พระองคด์ าํ เนินตาม ดว้ ยการทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุใน พระพทุ ธศาสนา ดังปรากฏในศิลาจารกึ ฉบับนอ้ ย จารึกฉบบั ใต้ ตอนท่ี ๑ ความวา่ “…นับเป็นเวลาเกินกว่า ๒ ปีครึ่งแล้วที่ข้าฯ ได้เป็นอุบาสก แต่ตลอดเวลา ๑ ปี ข้าฯ มิได้กะำทําความพากเพียรใดๆ อย่างจริงจังเลย และนับแต่เป็นเวลาปีเศษแล้วท่ีข้าฯ ได้เข้า หาสงฆ์ ข้าฯ จึงได้ลงมอื ทาํ ความเพียรอยา่ งจริงจังนบั แตน่ ้นั มา” พระราชจริยาวัตรตามศิลาจารึกน้ีได้เป็นแบบอย่างให้พระมหากษัตริย์ไทยต้ังแต่สมัย สุโขทัยจนถึงปัจจบุ ันทรงถอื เป็นราชประเพณีปฏิบัตมิ าโดยไมข่ าดสาย แต่ที่เป็นหลักฐานสําหรับนักประวัติศาสตร์รุ่นหลัง คือ ศิลาจารึกของพระองค์ที่ทําให้ อนุชนพุทธบริษัทหรือชาวโลกทั่วไปได้รับทราบรับรู้กันว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา แห่งความจริง ที่มีบุคคลและสถานท่ีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลาจารึก ท่ีลุมพินี ท่ีเป็นหลักฐานเคร่ืองพิสูจน์ว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่ลุมพินี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศ เนปาล) เปน็ บุคคลในประวตั ศิ าสตร์ท่ีมอี ย่จู รงิ ไมใ่ ชเ่ รือ่ งเล่าหรอื นยิ ายปรัมปราแต่อยา่ งใด ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั คิ วามสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๓๓

ปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียได้ประกาศให้รูปสลักบนเสาศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช คือสิงห์สี่ตัวนั่งหันหลังชนกัน (สลักจากหินก้อนเดียว อยู่บนเสาศิลาจารึก ที่ป่าอิสิปตนมฤค ทายวนั เขตเมืองพาราณส)ี เปน็ ตราประจําประเทศอินเดยี มาจนถึงปัจจุบัน สําหรับจารึกของพระเจ้าอโศกนั้นมีเป็นจํานวนมากมาย พบเกือบท่ัวทวีปเอเชียตอนใต้ และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สําคัญของพระพุทธศาสนาและของโลก ปัจจุบันถึงแม้ว่า นครปาฏลีบุตรจะไม่รุ่งเรืองเฉกเช่นดังเดิม วัดอโศการาม สถานท่ีทําสังคายนาคร้ังที่ ๓ เหลือเพียงซากปรักหักพังและถูกนํ้าท่วมในฤดูฝน แต่พระเกียรติคุณของพระเจ้าอโศกมหาราช ยังคงอยู่ในความทรงจําของชาวพุทธและประชาชนทั่วโลก ในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิท่ีปกครอง บ้านเมืองด้วยธรรม พระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองในประเทศไทยก็สืบเน่ืองมาจากการ สังคายนาคร้ังที่ ๓ เกียรติประวัติของพระองค์ได้ถูกยกย่องไว้เป็นอย่างมาก ดังที่นายเอ็ช จี เวลส์ ( H G Wels) เขยี นไว้ในหนงั สอื เร่อื ง เปดิ เผยประวัตศิ าสตร์ (OUTLINE OF HISTORY) ว่า “ในท่ามกลางพระนามของราชามหากษัตริย์นับได้จํานวนหมื่นๆ พระองค์ ซึ่งปรากฏ อย่างมากมายในหน้ากระดาษประวัติศาสตร์ ในท่ามกลางพระนามของพระเจ้าแผ่นดินและ เจ้าฟ้าราชันผู้ยิ่งใหญ่ท้ังหลาย พระนามของพระเจ้าอโศกพระองค์เดียวเท่านั้นก็แทบจะว่า ได้ส่องแสงจรัสจ้าดังดวงดารา ต้ังแต่ดินแดนในลุ่มนํ้าวอลก้าจนถึงประเทศญ่ีปุ่น พระนามของ พระเจ้าอโศกยังคงได้รับการคารวะอยู่แม้กระท่ังในยุคปัจจุบัน จีน ทิเบต และแม้แต่อินเดีย ซ่งึ ได้ละทิ้งหลักธรรมของพระเจ้าอโศกเสียแล้ว ก็ยังคงรักษาประเพณีนิยมแห่งความยิ่งใหญ่ ของพระองค์ไว้ ทุกวันน้ีมวลมนุษย์เทิดทูนกิตติคุณของพระเจ้าอโศกมากย่ิงกว่าท่ีเราได้ฟัง พระนามของคอนสตนั ไตน์ (Constantine) หรอื ชารล์ มาญ (Charlemagne) เสียอกี ” ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่า สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เปน็ สมัยหน่ึงท่ีพระพุทธศาสนาเจริญสูงสุดในทุกๆ ด้าน เพราะพระองค์นอกจากจะทรงอุปถัมภ์ การทําสังคายนาคร้ังท่ี ๓ และทรงส่งสมณทูตไปประกาศพระศาสนาในที่ต่างๆ แล้ว ยังได้ทรง มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างย่ิงใหญ่ โดยทรงโปรดให้สร้างปูชนียสถานและ ๓๔ ประวตั คิ วามสาํ คัญของการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

ถาวรวัตถุอนสุ รณใ์ นพระพทุ ธศาสนาเปน็ จํานวนมาก เช่น ทรงสรา้ งวิหารหรอื วัด ๘๔,๐๐๐ แห่ง เจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ในนครต่างๆ รวมกันทั้งส้ิน ๘๔,๐๐๐ นคร มิใช่แต่เท่านั้น พระองค์ยังได้ ทรงนําเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปใช้ในการปกครองประเทศ ทรงสร้างศิลาจารึกแสดง คําสอนตามหลักพระพุทธศาสนาไว้ในท่ีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหลักฐานในการศึกษา ค้นควา้ ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนาในรัชสมัยของพระองคไ์ ดเ้ ป็นอยา่ งดี ความดงั กลา่ วมาน้ี สมดังที่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต) พระมหาเถระผเู้ ปน็ นกั ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา เมื่อคร้ังดํารงสมณศักดิ์เป็นที่ พระราชวรมนี ได้รจนาข้อเขียน เกย่ี วกับพระราชกรณียกิจคุณูปการที่มีต่อพระพุทธศาสนาของพระเจ้าอโศกมหาราชไว้ในหนังสือ “จารกึ อโศก” มีความตอนหน่งึ วา่ “...พระราชกรณียกิจของพระเจ้าอโศกมหาราช ในการทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา กล่าวเฉพาะท่ีสําคัญ ได้แก่ การทรงสร้างมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง เป็นแหล่งที่พระภิกษุสงฆ์ ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย บําเพ็ญสมณธรรม และส่ังสอนประชาชน ทรงอุปถัมภ์การ สังคายนาคร้งั ที่ ๓ และทรงสง่ พระเถรานุเถระไปประกาศพระศาสนาในแว่นแคว้นต่างๆ เป็นเหตุ ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแพร่หลายไปในประเทศต่างๆ และทําให้ประเทศทั้งหลายใน เอเชียตะวันออกมีอารยธรรมสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน ในด้านรัฐประศาสโนบาย(การปกครอง ประเทศ) ทรงถือหลักธรรมวิชัยมุ่งชนะจิตใจของประชาชนด้วยการปกครองแผ่นดินโดยธรรม ยึดเอาประโยชน์สุขของประชาชนเป็นท่ีต้ัง ส่งเสริมกิจการสาธารณูปการ ประชาสงเคราะห์ สวัสดิการสังคม และทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง ทําให้ชมพูทวีปในรัชสมัยของ พระองค์ เปน็ บอ่ เกดิ สําคญั แหง่ อารยธรรมทแี่ ผไ่ พศาลม่ันคง พระนามของพระองค์ดํารงอยู่ยั่งยืน นานและอนุชนเรียกขานด้วยความเคารพเทิดทูนเหนือกว่าปวงมหาราชผู้ทรงเดชานุภาพพิชิต แวน่ แคว้นท้ังหลายไดด้ ว้ ยชัยชนะในสงคราม พระราชจริยาวัตรของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นกัลยาณจารีตอันมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ สมัยต่อๆ มาท่ีนิยมทางสันติและได้รับสมัญญาว่าเป็นมหาราช ทรงนับถือเป็นแบบอย่างดําเนิน ตามโดยทั่วไป ซึ่งพระราชจริยาวัตรและพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอโศกมหาราชปรากฏเป็น หลักฐานอยู่ในศิลาจารึก ซ่ึงพระองค์ได้โปรดให้เขียนสลักไว้ ณ สถานท่ีต่างๆ ท่ัวจักรวรรดิอัน ไพศาลของพระองค์ ความท่ีจารึกไว้เรียกว่า ธรรมลิปิ แปลว่า ลายสือธรรม หรือความท่ีเขียน ไว้เพื่อสอนธรรม ถือเอาความหมายเข้ากับเรื่องว่า ธรรมโองการ ธรรมลิปิท่ีโปรดให้จารึกไว้ เท่าท่พี บมีจํานวน ๒๘ ฉบบั แต่ละฉบบั มักจารึกไวใ้ นที่หลายแหง่ บางฉบบั ขุดค้นพบแล้วถึง ๑๒ แห่งก็มี ความในธรรมลปิ ิน้ันแสดงพระราชประสงค์ของพระองค์ท่มี ีต่อประชาชนบ้าง หลักธรรม ทีท่ รงแนะนําสัง่ สอนประชาชนและข้าราชการบา้ ง พระราชกรณียกจิ ทีไ่ ด้ทรงบําเพญ็ แล้วบ้าง ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๓๕

กลา่ วโดยสรปุ อาจวางเปน็ หัวข้อไดด้ งั น้ี คอื ก. การปกครอง ๑. การปกครองแบบบดิ ากับบุตร โดยมขี ้าราชการเป็นพีเ่ ล้ียงของประชาชน ๒. การถือประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหน้าท่ีสําคัญที่สุด เน้นความยุติธรรม และ ความฉบั ไวในการปฏบิ ัติหน้าทรี่ าชการ ๓. การจัดให้มีเจ้าหน้าที่เก่ียวกับการส่ังสอนธรรม คอยดูแลแนะนําประชาชนในทาง ความประพฤตแิ ละการดํารงชีวติ อยา่ งท่ัวถงึ และวางระบบข้าราชการควบคุมกันเปน็ ช้นั ๆ ๔. การจัดบริการสาธารณประโยชน์และสังคมสงเคราะห์ เช่น บ่อน้ํา ที่พักคนเดินทาง ปลกู สวน สงวนป่า โอสถศาลา สถานพยาบาลสําหรบั คนและสัตว์ ข. การปฏิบตั ธิ รรม ๑. เน้นทาน คือการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันด้วยทรัพย์และส่ิงของ แต่ย้ําธรรมทาน คือ การช่วยเหลือด้วยการแนะนําในทางความประพฤติ และการดําเนินชีวิตที่ถูกต้อง ว่าเป็นกิจ สาํ คัญทีส่ ุด ๒. การคุ้มครองสัตว์ งดเว้นการเบียดเบียนสัตว์ โดยเฉพาะให้เลิกการฆ่าสัตว์บูชา ยัญอย่างเดด็ ขาด ๓. ให้ระงับการสนุกสนานบันเทิงแบบมัวเมามั่วสุมร่ืนเริง หันมาใฝ่ในกิจกรรมทางการ ปฏิบัติธรรมและเจริญปัญญา เริ่มแต่องค์พระมหากษัตริย์เอง เลิกเสด็จเที่ยวหาความสําราญ โดยการล่าสัตว์ เป็นต้น เปล่ียนมาเป็นธรรมยาตรา เสด็จไปนมัสการปูชนียสถาน เยี่ยมเยียน ชาวชนบทและแนะนําประชาชนใหป้ ฏิบัตธิ รรมแทนการประกอบพธิ มี งคลตา่ งๆ ๔. ย้ําการปฏิบัติธรรมที่เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคม เช่น การเชื่อฟัง บิดามารดา การเคารพนับถือครูอาจารย์ การปฏิบัติชอบตอ่ ทาสกรรมกร เปน็ ตน้ ๕. เสรีภาพในการนับถือศาสนา และความสามัคคีปรองดอง เอ้ือเฟื้อนับถือกันระหว่าง ชนตา่ งลทั ธิศาสนา…”* และดงั ที่ทา่ นศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้เขยี นสรุปความเป็นพระเจ้า แผ่นดินผู้ทรงเป็นพุทธมามกะที่ทรงนําหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาเป็นนโยบายปกครอง ประเทศของพระเจ้าอโศกมหาราชไว้ในบทความ “จากพระพุทธเจ้าถึงพระเจ้าอโศกมหาราช” ความตอนหน่งึ วา่ * พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต) : จารึกอโศก พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ [กช.ผพ. ๓๖ ประวตั ิความสาํ คัญของการเผยแผพระพุทธศาสนา

“...พระเจ้าอโศกน้ีเอง ที่ทรงเป็นต้นแบบนําเอาคําสอนของพระพุทธศาสนามาปรับ ประยุกต์กับการบริหารบ้านเมือง อันเรียกว่า “อโศกธรรม” และเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ แรกท่ีประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติ สิ่งหน่ึงท่ีกษัตริย์แต่โบราณไม่ทํา แต่ พระเจ้าอโศกทําคือ การจารึกข้อความลงในแผ่นศิลาบ้าง หลักศิลาบ้าง อันเรียกว่า “ศิลาจารึก พระเจ้าอโศก” จารึกเหลา่ นี้ ไดเ้ ล่าเรื่องราวท่ีสําคัญๆ พระราชกรณยี กิจที่ทรงบําเพ็ญ การนําเอา หลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนามาปรบั ประยุกต์ใช้ ประกาศใหช้ าวเมืองถอื ปฏิบตั ิ เสด็จ “ธรรมยาตรา” คือเสด็จจาริกแสวงบุญไปยังสถานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ คือสถานท่ีประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทรงค้นจนแน่พระทัย ว่าใช่สถานที่เหล่านั้นแน่ จึงทรงให้จารึกหลักศิลาบอกไว้ให้เป็นหลักฐาน เผื่อพุทธบริษัทใน ภายหลังจะได้ไปนมัสการถูก เช่นลุมพินี สถานที่ประสูติ ก็ทรงประดิษฐานเสาศิลามีข้อความ จารึกว่า \"สมเด็จพระปิยทรรศี ผู้เป็นท่ีรักของเทวดา เมื่ออภิเษกได้ ๒๐ พรรษา ได้เสด็จมา ดว้ ยพระองคเ์ อง แลว้ ทรงกระทาํ การบูชา ณ สถานที่นเี้ พราะว่าพระศากยมุนพี ุทธเจ้าได้ประสูติ แลว้ ณ ท่ีนี้ พระองค์(พระปิยทรรศี) ได้โปรดให้สร้างร้ัวศิลา และโปรดให้ประดิษฐานเสาศิลา ข้ึนไว้...”* พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจา้ อโศกมหาราช ในประเทศไทย *เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บทความคอลัมน์ “ธรรมะใต้ธรรมาสน์” หนังสือพิมพ์ข่าววสดรายวัน ฉบับวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ สืบค้นจาก www.khaosod.co.th/view. ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัติความสําคัญของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา ๓๗

พระราชประวัตขิ องพระเจา อโศกมหาราช เพื่อให้อนุชนพุทธบริษัทได้รําลึกนึกถึงคุณูปการอันย่ิงใหญ่ต่อพระพุทธศาสนาที่พระเจ้า อโศกมหาราชทรงกระทําไว้ ขอรวบรวมประมวลข้อเขียนเก่ียวกับเกร็ดพระราชประวัติของ พระองค์มานําเสนอไวใ้ นหนังสือ ก่อนอื่น พึงทราบว่าพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นปรากฏเป็นหลักฐาน ให้อนุชนชาวพุทธได้ศึกษาค้นคว้าทั้งในคัมภีร์ภาษาบาลีของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ท้ังใน คัมภีร์ภาษาสันสกกฤตของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และจากหลักศิลาจารึกท่ีพระองค์ทรง โปรดใหจ้ ารจารึกบนั ทกึ เกร็ดพระประวัติการบาํ เพญ็ พระจริยาวัตรของพระองค์ไว้ที่กระจายอยู่ทั่ว แผ่นดินชมพูทวีป ดังท่ีท่านอาจารย์ิเสถียร โพธินันทะ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่มี ช่อื เสยี งของไทย ไดก้ ล่าวไวใ้ นหนงั สือ “ประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา” ความตอนหนึ่งว่า “....พระเจ้าอโศกเป็นจักรพรรดิราชพระองค์เดียวซ่ึงประกอบด้วยพระเดชและพระคุณ ตรึงตราอยู่ในความทรงจําของประชากรนับจํานวนหลายร้อยล้านคน นับต้ังแต่เบื้องปุริมกาล ตราบเท่าปจั จบุ ัน และจะต้องเป็นดังน้ีต่อไปอีกในอนาคต บรรดาพุทธศาสนิกชนเป็นหนี้บุญคุณ ต่อจักรพรรดิราชพระองค์นี้อย่างไม่รู้จะชดเชยได้หมด พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายออกไปใน นานาประเทศ ก็ด้วยอานุภาพอุปการะของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ริเริ่มงานธรรมทูตในดินแดน นอกประเทศอินเดีย ตํานานว่าด้วยประวัติของพระเจ้าอโศก ได้ปรากฏในคัมภีร์สันสกฤตชื่อ “อโศกอวทาน” ตํานานเล่มนี้ได้เรียบเรียงข้ึนราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๕ และได้แปลออกสู่พากย์ จนี ๓ ครัง้ ครั้งแรกแปลโดยอังหวบคิม ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๗ ในรัชสมัยพระเจ้าจิ้นฮุ่ยเต้ ครั้งที่สอง แปลโดยคุณภัทร ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๙ คร้ังท่ีสาม แปลโดยสังฆปาละ ราว พุทธศตวรรษที่ ๑๐ ส่วนในพากย์บาลี เราหารายละเอียดเก่ียวกับพระเจ้าอโศกได้ในคัมภีร์ มหาวังสะ และสมันตปาสาทิกา นอกจากนี้ จริยาวัตรของพระองค์ เรายังอาจทราบได้จาก ศิลาจารึกซึ่งถูกค้นพบเร่ือยๆ ศิลาจารึกเหล่านี้มีกระจัดกระจายทั่วไปในอินเดีย จมดินจมทราย อยู่ เมื่อศิลาจารึกเหล่าน้ีได้ถูกขุดค้นข้ึนมา เร่ืองราวของพระเจ้าอโศกก็ย่ิงปรากฏเด่นชัดย่ิงขึ้น และบรรดานักปราชญ์ทั้งฝรั่งและแขกต่างค้นคว้าอ่านศิลาจารึกเหล่าน้ันเป็นการใหญ่ ต่างผลิต ตําราว่าด้วยเรื่องพระเจ้าอโศกออกมาแข่งขันกัน นักเขียนคนหน่ึงชื่อ เอช. จี. เวลส์ เขียน สรรเสริญพระเจ้าอโศกว่า ในบรรดามหาราชาธิราชนับจํานวนพันๆ องค์ ที่ปรากฏพระนามใน ประวัตศิ าสตร์ มแี ต่พระนามของพระเจ้าอโศกเท่านัน้ ท่เี ปน็ ดารารุ่ง ณ เบอ้ื งนภากาศ ซ่ึงส่อง ๓๘ ประวตั ิความสาํ คญั ของการเผยแผพระพทุ ธศาสนา [กช.ผพ.

สาดรัศมีนับแต่ลุ่มแม่นํ้าโวลก้าจนจดประเทศญี่ปุ่น ฉะนั้น การศึกษาเร่ืองราวของพระเจ้าอโศก จึงเป็นเร่อื งสาํ คญั เรอื่ งหน่ึงซึ่งเราจะข้ามพน้ ไปเสยี มิไดเ้ ลย...”* และดังท่ีท่านศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก กล่าวไว้ในบทความ “จาก พระพุทธเจา้ ถึงพระเจา้ อโศกมหาราช” ความตอนหนง่ึ วา่ “...เรือ่ งราวของพระเจา้ อโศกมหาราชกบั พระพุทธศาสนา แม้ทรงจารึกไว้มากมาย นําไป ประดิษฐานยังส่วนต่างๆ แห่งพระราชอาณาจักร พอสิ้นสุดยุคพระเจ้าอโศก ส้ินสุดราชวงศ์ โมริยะไม่นาน เรื่องราวเหล่านี้ก็ถูกลืม หลักฐานต่างๆ ก็ถูกท้ิงให้จมหายไปในดินเป็นศตวรรษๆ แทบไม่มีใครรู้เรื่อง นักประวัติศาสตร์อินเดียก็ดูเหมือนจงใจลืมมหาราชผู้ย่ิงใหญ่พระองค์นี้ รวมถงึ พระพุทธศาสนาด้วย มาในยุคหลังน้ีเท่านั้น ที่ความจริงอันจมลึกอยู่ใต้แผ่นดินถูกขุดข้ึนมาศึกษาแล้วเผยแพร่ ให้รับทราบกันโดยท่ัวไป ประวัติพระพุทธศาสนา ประวัติพระเจ้าอโศก ในช่วงเวลานี้ จึงทอ แสงเจิดจ้าแจ่มแจง้ ยากที่จะมีอะไรมาปดิ บงั ไวไ้ ดต้ ่อไป เรื่องราวพระเจ้าอโศก และกิจกรรมท่ีพระเจ้าอโศกกระทําเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไม่ ค่อยมีบันทึกไว้ในหลักฐานฝ่ายอ่ืนนอกจากคัมภีร์ฝ่ายเถรวาท ข้อมูลอีกส่วนหน่ึงหาได้จากศิลา จารึกของพระองคเ์ อง และศลิ าจารึกน้กี ถ็ ูกละเลยให้จมดินไปเป็นศตวรรษๆ ถ้าไม่ได้นักวิชาการ ฝร่ังมาขุดขึ้นมาศึกษา ก็ไม่แน่นักว่า ชื่ออโศกมหาราชจะเด่นดังในประวัติศาสตร์อินเดียเหมือน ปจั จบุ นั ...”** ในการนําเสนอพระราชประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราชในท่ีนี้ ผู้รวบรวมเรียบเรียง นอกจากจะยดึ หลกั ฐานขอ้ มูลสาํ นวนภาษาบาลตี ามท่ี พระพุทธโฆสาจารย์ พระอรรถกถาจารย์ ผูม้ ชี ่อื เสียงทสี่ ดุ ในประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา รจนาไว้ในพาหิรนิทาน ตอนว่าด้วยประวัติการ ทําตติยสังคายนา แห่งคัมภีร์สมันตปสาทาทิกา ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถา คือคัมภีร์อธิบาย ความพระวินัยปิฎก เป็นหลักในการนําเสนอแล้ว ยังได้เสริมสอดแทรกข้อความเกร็ดประวัติ พระจริยาวัตรต่างๆ ของพระองค์ตามที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาท้ังหลายได้คัดลอกถอด ความมาจากคัมภีร์สันสกฤตบ้าง หลักศิลาจารึกบ้าง ซ่ึงสามารถสืบค้นข้อมูลได้ทางเว็บไซท์ อินเตอร์เนต็ ในสังคมโลกออนไลนป์ ัจจุบนั ดังต่อไปนี้ * เสถียร โพธนิ นั ทะ : ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา หน้า ๒๓๐-๒๓๒ (ครั้งที่ ๓ สาํ นกั พมิ พ์บรรณาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒) ** เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บทความคอลัมน์ “ธรรมะใต้ธรรมาสน์” หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน สืบค้นจาก http:// board.palungit.com ศศ. พศ. ๒๕๕๓] ประวัตคิ วามสําคญั ของการเผยแผพระพุทธศาสนา ๓๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook