พระราชวังบวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) กรมศลิ ปากร กระทรวงวฒั นธรรม พมิ พ์เผยแพร่ พทุ ธศักราช ๒๕๕๘
ค�ำนำ� พระราชวงั บวรสถานมงคล หรอื ทเ่ี รยี กกนั ทวั่ ไปวา่ วงั หนา้ เปน็ คำ� ทม่ี มี าแต่ สมยั อยธุ ยา หมายถงึ ทป่ี ระทบั ของบคุ คลทม่ี สี ถานะสำ� คญั รองลงมาจากพระมหากษตั รยิ ์ เรยี กผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ นวี้ า่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล หรอื เรยี กกนั ทว่ั ไปวา่ วงั หนา้ เชน่ กนั ค�ำวา่ วงั หน้า จึงมีความหมายถงึ สถานท่ีและบคุ คลดงั กล่าว พระราชวงั บวรสถานมงคลเปน็ สถานทส่ี �ำคญั มคี วามงดงามและมพี ฒั นาการ ของการใชส้ อยตามยคุ สมยั อนั แสดงใหเ้ หน็ พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตรข์ องสถานท่ี และกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแต่ละพระองค์ทรงประกอบกิจอันเป็นคุณูปการ แกป่ ระเทศอย่างมากมาย กรมศลิ ปากร ไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื เลม่ น้ี เพอ่ื เผยแพรค่ วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั พระราชวงั บวรสถานมงคล ตลอดจนพระราชประวตั ิ พระประวตั ขิ องผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ วงั หนา้ ทง้ั น้ี เพื่อสะทอ้ นใหเ้ ห็นรากฐานทางวัฒนธรรมของชาติ กรมศิลปากรหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้สนใจได้รู้จักและเพ่ิมพูนความรู้ความเข้าใจใน มรดกทาง ศลิ ปวัฒนธรรมของชาตแิ ละประวัติบุคคลส�ำคัญของชาตติ ามสมควร (นายบวรเวท รุง่ รจุ ี) อธบิ ดกี รมศลิ ปากร
สารบัญ ๏๏คำ� น�ำ ๕ ๏๏พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหนา้ ) ๙ ๏๏The Front Palace (Wang Na) ๑๐ ๏๏วงั หนา้ ในอดตี ๑๓ ๏๏การสถาปนาตำ� แหน่งกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หน้า) ๑๙ ในประวัติศาสตร์ไทย ๏๏ภมู ิสถานทีต่ ้ังของพระราชวังบวรสถานมงคล (วงั หน้า) ๓๘ และการใชพ้ นื้ ที่ ๏๏ความเปล่ยี นแปลงในพนื้ ทพี่ ระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ๗๕ พ.ศ. ๒๔๓๐ - ปจั จบุ นั ๏๏การศึกษาทางโบราณคดีบริเวณพระราชวงั บวรสถานมงคล ๘๔ (วังหนา้ ) ๏๏บทสรปุ ๑๒๓ ๏๏บรรณานกุ รม ๑๒๔
พระราชวงั บวรสถานมงคล (วังหน้า) พระราชวงั บวรสถานมงคล หรอื ทเ่ี รยี กกันท่วั ไปว่า “วังหน้า” คอื สถานที่ สำ� คญั เป็นทป่ี ระทบั ของกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล บคุ คลซงึ่ มสี ถานะส�ำคญั รอง จากพระมหากษตั รยิ ์ ซงึ่ เรยี กเชน่ นี้มาตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยา ในครงั้ นัน้ วงั หนา้ องคส์ ำ� คัญ คือ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ก่อนเสด็จขึน้ ครองราชย์ ทรงด�ำรงต�ำแหนง่ นใี้ นสมยั สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา และประทบั ณ พระราชวงั จันทรเกษม ซึง่ ถอื เป็นวังหน้า ในสมยั อยธุ ยา ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีวังหน้า ๕ พระองค์ ประทับอยู่ในพระราชวังบวร สถานมงคล ตง้ั อยทู่ างทศิ เหนอื ของพระบรมมหาราชวงั ประกอบดว้ ยสถานทสี่ รา้ งขน้ึ หลายสมยั ทส่ี ำ� คญั เชน่ พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพมิ าน พระทนี่ ง่ั พทุ ไธสวรรย์ พระทนี่ ง่ั อศิ รา วนิ ิจฉัย หมู่พระวิมาน พระที่นัง่ อศิ เรศราชานสุ รณ์ เป็นต้น ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ยกเลิกต�ำแหน่ง “วังหน้า” วังหน้าจึงไม่ได้เป็น ที่ประทบั ของบคุ คลผ้ดู ำ� รงต�ำแหน่งวงั หน้าอกี ตอ่ ไป จงึ ได้เปลย่ี นแปลงการใช้สถานที่ เพอ่ื ความเหมาะสมตามยคุ สมยั เช่น ใช้พืน้ ทสี่ ่วนใหญเ่ ปน็ พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร และบางสว่ นเปน็ พน้ื ทขี่ องมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมศิลปากรได้จัดท�ำโครงการ อนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ในพนื้ ทที่ ดี่ แู ลโดยกรมศลิ ปากร เพอ่ื เฉลมิ พระเกยี รตใิ นวาระ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา จึงได้มีการศึกษาทางโบราณคดีบริเวณ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เนื่องใน โอกาสอันเป็นมงคลนีด้ ว้ ย
The Front Palace (Wang Na) The Front Palace, generally known as Wang Na, was originally the residence of Krom Phra Ratchawang Bowon Sathan Mongkol (the second state dignitary after the King and heir to the throne), who was also known as Wang Na. The title Wang Na originated when King Naresuan the Great was Wang Na (heir to the throne) in the reign of King Maha Thammaracha and took up his residence in the Chankasem Palace, located in front of the Royal Palace. This gave birth to the term Wang Na which means the Front Palace. During the Rattanakosin Period, the Front palace was located to the north of the Grand Palace. It consisted of several buildings such as Siwamokphiman Throne Hall, Phutthaisawan Chapel, Issarawinitchai Audience Hall, Phra Wiman Residential Group and Issaretrachanuson Hall, most of them were constructed in different periods. During this period,
5 Wang Na resided in this Palace. In the reign of King Chulalongkorn (Rama V) , the position “Wang Na” was abolished, thus the Front Palace was no longer used as Wang Na’s residence. The functions of the compound have changed over time through several periods. Some parts were turned into the National Museum Bangkok, the National Theatre and Thammasat University. On the Auspicious Occasions of His Majesty the King’s 7th Cycle Birthday Anniversary on 5 December 2011 and His Royal Highness Crown Prince’s 5th Cycle Birthday Anniversary on 28 July 2013, the Fine Arts Department initiated a project for the conservation and development of the Front Palace in areas under the responsibility of the Fine Arts Department. This has led to the archaeological studies of this compound.
วงั หน้า ในอดตี * ความหมายของวงั หน้า คำ� วา่ “วงั หนา้ ” เปน็ คำ� ทใ่ี ชก้ นั มาตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยามคี วามหมาย ๒ นยั ไดแ้ ก่ นยั แรก วงั หนา้ หมายถงึ ผดู้ ำ� รงพระอสิ รยิ ยศกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ซง่ึ มคี วามส�ำคญั รองลงมาจากพระมหากษัตรยิ ์ เรยี กโดยสามญั วา่ “วงั หนา้ ” นัยที่ ๒ วงั หน้า หมายถงึ ทปี่ ระทับของผดู้ ำ� รงพระอิสริยยศกรมพระราชวัง บวรสถานมงคล * บณั ฑิต ลวิ่ ชยั ชาญ นักอกั ษรศาสตร์ชำ� นาญการ ส�ำนกั วรรณกรรมและประวัตศิ าสตร์ พระราชวงั บวรสถานมงคล 13
ภาพถ่ายทางอากาศ บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล โดยนายปเี ตอร์ วลิ เลีย่ ม ฮนั ท์ (Peter Williams Hunt) พ.ศ. ๒๔๘๙
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำ� รงราชานภุ าพทรงสนั นษิ ฐานถงึ สาเหตกุ ารเรยี ก พระราชวงั ทปี่ ระทบั ของกรมพระราชวงั บวรสถาน มงคลวา่ “วังหนา้ ” ว่าเปน็ เพราะพระราชวงั ท่ี ประทบั นี้ ตง้ั อยดู่ า้ นหนา้ พระราชวงั หลวงจงึ เรยี ก ตามต�ำแหน่งทต่ี ง้ั ของพระราชวงั ความวา่ “...ถ้าจะค้นหาว่าเหตุใดจึงเรียกว่า วังหน้า ดูเหมือนจะอธิบายได้ไม่ยาก เพราะตามศัพท์ความก็หมายว่า วงั ทอ่ี ยขู่ า้ งหนา้ คอื หนา้ ของพระราชวงั หลวง ตามแผนทกี่ รงุ ศรอี ยธุ ยา วงั จนั ทรเกษม ซง่ึ เปนทปี่ ระทบั ของพระมหาอปุ ราชกอ็ ยทู่ ศิ ตวนั ออก อนั เปนดา้ นหนา้ ของพระราชวงั หลวง อยู่ในท่ีซึ่งสมควรเรยี กไดว้ า่ วงั หนา้ ดว้ ยประการท้ังปวง...”1 สาเหตทุ พ่ี ระราชวงั สถานมงคล หรอื วงั หนา้ ตงั้ อยดู่ า้ นหนา้ พระราชวงั หลวงนน้ั สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า มีท่ีมา 1 พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระด�ำรงราชานภุ าพ, ตำ� นานวงั หนา้ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๖๘, หนา้ ๑ 16 วงั หนา้ ในอดีต
จากลักษณะการจัดขบวนทัพออกรบ ทพั ของพระมหาอุปราชจะยกออกเป็นทัพหน้า เรียกว่า “ฝ่ายหนา้ ” และเรียกวังท่ีประทบั ของแม่ทัพว่า “วงั ฝ่ายหนา้ ” และยอ่ เปน็ “วังหนา้ ” ในทสี่ ดุ ดังความว่า “...เม่ือมาพิเคราะห์ดูตามหลักฐานในทางโบราณคดี เห็นว่าน่าจะเกิดข้ึนแต่ ลักษณพยุหโยธาแต่ดกึ ด�ำบรรพ์ที่จัดเปนทพั หนา้ และทัพหลวง พระมหากษตั ริย์ย่อม เสด็จเปนทัพหลวง ผู้ท่ีรองพระมหากษัตริย์ถัดลงมา คือพระมหาอุปราชย่อมเสด็จ เปนทัพหนา้ ไปกอ่ นทพั หลวงเปนประเพณี จงึ เกิดเรียกพระมหาอุปราชวา่ ฝา่ ยหน้า แลว้ เลยเรียกท่ปี ระทบั ของพระมหาอปุ ราชวา่ วงั ฝ่ายหน้า และยอ่ ลงเปนวังหนา้ โดย สะดวกปาก...”2 การเรยี กวงั หรอื ทปี่ ระทบั ของพระมหาอปุ ราชวา่ “วงั หนา้ ” มไิ ดม้ แี ตใ่ นไทย เทา่ นนั้ แตย่ งั พบวา่ ในพมา่ และเมอื งประเทศฝา่ ยกเ็ รยี กทปี่ ระทบั ของพระมหาอปุ ราช มคี วามหมายวา่ “วังหนา้ ” เช่นเดียวกนั ซง่ึ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำ� รงราชานภุ าพทรงประหลาดพระทยั ในเร่ืองดงั กล่าว ดงั ความวา่ “...แตม่ ขี อ้ ประหลาดอยทู่ ่ี ๆ ประทบั ของพระมหาอปุ ราช ไมไ่ ดเ้ รยี กวา่ วงั หนา้ แต่ในเมอื งเรา พม่าเรยี กพระมหาอปุ ราชของเขาวา่ “อนิ แซะมนิ ” ภาษาพม่า อิน แปลว่า “วัง” แซะ แปลว่า “หน้า” มิน แปลว่า “ผู้เปนเจ้า” รวมความว่าผู้เปนเจ้าของวังหน้า ก็ตรงกับวังหน้าของเรา ยังเหล่าเมืองประเทศราชข้าง ฝา่ ยเหนอื เชน่ เมอื งเชยี งใหมเ่ ปนตน้ เจา้ อปุ ราช เขากเ็ รยี กกนั ในพื้นเมืองว่า “เจ้าหอหน้า” มาแต่ โบราณ เหตุใดจึงเรียกพ้องกันดังนี้ ดนู า่ ประหลาดอยู่จะวา่ เพราะวงั อปุ ราช พเอญิ อยขู่ า้ งหนา้ วงั หลวงเหมอื นกนั ท้ังน้นั กใ็ ช่ท่ี...”3 2 เรอื่ งเดียวกัน, หนา้ ๑ - ๒ 3 เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑
นอกจากวงั หนา้ แลว้ ในสมยั อยธุ ยายงั ปรากฏธรรมเนยี มการตง้ั “วงั หลงั ” อกี ดว้ ย โดยต้ังอยดู่ า้ นหลังพระราชวังหลวง และไม่ปรากฏมีในประเทศอื่น4 ซง่ึ “วังหลงั ” น้ี เป็นที่ประทับของผู้ด�ำรงพระอิสริยยศกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข จึงเรียกทั้งเจ้า ผคู้ รองวังและวงั ที่ประทบั วา่ “วงั หลงั ” เชน่ เดียวกบั “วังหน้า” ธรรมเนียมการต้งั วงั หน้าและวงั หลังน้ีสืบต่อเนือ่ งมาในสมยั กรุงรตั นโกสินทร์ อยา่ งไรกต็ าม ตำ� แหนง่ ทตี่ งั้ ของ “วงั หลงั ” ในสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ ไิ ดอ้ ยดู่ า้ นหลงั พระราชวงั หลวงอยา่ งในสมยั อยธุ ยา แตต่ ง้ั อยฝู่ ง่ั ตะวนั ตกของแมน่ ำ้� เจา้ พระยา ตรงขา้ ม พระราชวังหลวง บริเวณนิเวศน์สถานเดิมของสมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ กรมพระยา เทพสดุ าวดี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งขน้ึ พระราชทานสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอนรุ กั ษเ์ ทเวศรพ์ ระโอรสในสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยาเทพสดุ าวดที ท่ี รงสถาปนาเปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานพมิ ขุ ฝา่ ยหลงั หรือ “วังหลัง” อย่างธรรมเนียมอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชวังหลังพระองค์แรกและ พระองค์เดยี วในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์เพราะหลงั จากเมือ่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมหลวง อนุรักษ์เทเวศร์สิ้นพระชนม์ก็มิได้ทรงต้ังเจ้านายพระองค์ใดให้ด�ำรงพระอิสริยยศ กรมพระราชวงั บวรสถานพิมุขอีก 4 เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๓ 18 วังหน้า ในอดีต
กรมกพารระรสาถชวางั ปบนวราสตถำ�านแมหงนค่งล (วังหน้า) ในประวัตศิ าสตร์ไทย* กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ ออกพระนามสามัญว่า “วังหน้า” ต�ำแหน่งพระมหาอุปราชรัชทายาท มีความส�ำคัญรองจากพระมหากษัตริย์ และ มพี ระราชอำ� นาจรักษาพระนครไดก้ ง่ึ หนึ่ง การสถาปนาตำ� แหนง่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลสมยั อยุธยา ในสมยั อยธุ ยา ปรากฏหลกั ฐานประวตั ศิ าสตรจ์ ากกฎมณเฑยี รบาลระบถุ งึ การ กำ� หนดฐานะของเจา้ นายชนั้ สงู โดยลำ� ดบั ยงั ผลตอ่ ธรรมเนยี มโบราณราชประเพณขี อง การสืบราชสนั ตตวิ งศ์ ความตอนหนง่ึ ว่า “... กำ� หนดพระราชกฤษฎกี าไอยการพระราชกมุ าร พระราชนดั า พระราช กุมารเกิดด้วยพระอัคมเหษี คือ สมเดจ์หน่อพระพุทธเจ้า อันเกิดด้วยแม่หยัวเมือง เปนพระมหาอุปราช เกิดดว้ ยลกู หลวง กินเมอื งเอก เกิดด้วยหลานหลวง กนิ เมอื งโท เกิดดว้ ยพระสนม เปนพระเยาวราช...”5 จากหลกั ฐานดงั กลา่ ว สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ พระอสิ รยิ ยศของเจา้ นายทจ่ี ะเสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั ใิ นฐานะรชั ทายาท คอื พระราชกมุ ารทม่ี พี ระมารดาเปน็ พระอคั รมเหสี ทรงด�ำรงพระอิสรยิ ยศเรยี กวา่ “สมเด็จหน่อพระพุทธเจา้ ” ซงึ่ ปรากฏหลักฐานจาก พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเพียงครั้งเดียว ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๒ ไดท้ รงสถาปนา “สมเดจ็ หนอ่ พทุ ธางกรู เจา้ ในทอ่ี ปุ ราช” เมอื่ พ.ศ. ๒๐๖๙ และ โปรดใหเ้ สดจ็ ขนึ้ ไปครองเมอื งพษิ ณโุ ลก อยา่ งไรกต็ าม มขี อ้ นา่ สงั เกตวา่ ตอ่ มาภายหลงั * อรวรรณ ทรพั ย์พลอย นักอักษรศาสตรช์ ำ� นาญการพเิ ศษ ส�ำนักวรรณกรรมและประวัตศิ าสตร์ ๕ กฎหมายตราสามดวง เล่ม ๑. พระนคร : องค์การคา้ ของคุรสุ ภา, ๒๕๐๕, หน้า ๗๐ - ๗๑. ในสมัยอยธุ ยาปรากฏ ตำ� แหนง่ ลูกหลวง หลานหลวง ไปครองเมืองต่างๆ ตามท่ีมพี ระบรมราชโองการ เมอื งลกู หลวง ไดแ้ ก่ เมอื งพษิ ณุโลก สพุ รรณบุรี ลพบุรี สวรรคโลก สงิ หบ์ รุ ี ก�ำแพงเพชร และชยั นาท สว่ นเมืองหลานหลวง ได้แก่ เมืองอินทรบ์ รุ ี และ พรหมบรุ ี พระราชวงั บวรสถานมงคล 19
พระราชกุมารที่จะทรงสถาปนาเป็นรัชทายาทนั้น ปรากฏหลักฐานเรียกว่า “พระมหาอุปราช” ท้งั สน้ิ ต�ำแหนง่ พระมหาอปุ ราชในสมยั อยุธยามศี ักดินา ๑๐๐,๐๐๐ สูงสุดในบรรดา เจา้ นายและขนุ นาง เมอ่ื บา้ นเมอื งอยใู่ นสภาพปกติ พระมหาอปุ ราชทรงมอี �ำนาจหนา้ ที่ ในการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ รองจากพระมหากษตั รยิ ์ หรอื ทรงปฏบิ ตั พิ ระราชภารกจิ แทนพระองคต์ ามพระบรมราชโองการ เชน่ ในยามศกึ สงครามทรงไดร้ บั มอบหมายให้ เปน็ จอมทพั บญั ชาการรบแทนพระองค์ หรอื โปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระมหาอปุ ราชเสดจ็ เปน็ ทพั หน้า ขณะทีพ่ ระมหากษตั รยิ เ์ สดจ็ เปน็ ทัพหลวง เปน็ ต้น หลักฐานจากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สะท้อนให้เห็นว่าต�ำแหน่ง พระมหาอุปราชมักจะได้แก่พระราชโอรส ในกรณีท่ีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงมี พระราชโอรส หรอื พระราชโอรสยังทรงพระเยาว์ ต�ำแหนง่ พระมหาอุปราชจะได้แก่ ผทู้ ่ีใกลช้ ดิ รองลงมา คอื สมเด็จพระอนุชา นอกจากนี้ตำ� แหน่งพระมหาอปุ ราชยงั เปน็ ต�ำแหน่งส�ำหรับปูนบ�ำเหน็จความชอบแก่ผู้ท่ีเป็นก�ำลังส�ำคัญในการสนับสนุนเพื่อ ข้ึนครองราชย์ ซึ่งอาจจะเป็นพระญาติวงศ์ เช่น พระราชนัดดา6 ข้าราชการ7 หรือ คนธรรมดาสามัญกไ็ ด8้ ธรรมเนยี มราชประเพณกี ารตงั้ พระมหาอปุ ราช เรม่ิ ปรากฏชดั เจนขน้ึ ในรชั กาล สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๑ (พระมหาธรรมราชา) ด้วยปรากฏหลักฐานว่า สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช พระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ ทรงดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ พระมหาอปุ ราช ประทบั ณ พระราชวงั จนั ทรเกษม ซึ่งต้ังอยหู่ นา้ พระราชวังหลวง จงึ เกิดธรรมเนียม เรยี กพระมหาอปุ ราชวา่ “ฝา่ ยหนา้ ” และเรยี กทป่ี ระทบั วา่ “วงั หนา้ ” นบั แตน่ น้ั ต่อมาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงแต่งต้ังสมเด็จ พระเอกาทศรถให้รับพระราชโองการ มีพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดินอีก พระองค์หนึง่ 6 รชั กาลสมเด็จพระศรสี ุธรรมราชา ทรงสถาปนาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชนัดดาซึ่งร่วมกันก�ำจัดสมเด็จ เจา้ ฟา้ ไชย เป็นพระมหาอุปราช 7 รชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม ทรงสถาปนาจมน่ื ศรีสรรกั ษ์ เป็นพระมหาอุปราชเมือ่ แรกเสดจ็ ข้นึ ครองราชสมบัติ 8 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุว่า ขุนวรวงษาธิราช แต่งต้ังให้น้องชาย คือ นายจัน บ้านมหาโลกเป็น พระมหาอปุ ราช แต่อยูใ่ นต�ำแหน่งไมน่ านนกั กถ็ ูกก�ำจัดพรอ้ มกบั ขนุ วรวงษาธริ าช 20 ���������������������������������������������������������������������
พระบรมรูปสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
พระราชวังจนั ทร์ จงั หวดั พิษณโุ ลก
ถึงรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๓ (สมเด็จพระเอกาทศรถ) ทรงแต่งตั้ง เจ้าฟ้าสทุ ัศน์ พระราชโอรสพระองคใ์ หญเ่ ป็นพระมหาอุปราชรับพระบัณฑูร คร้ันต่อมาอกี ๖ รัชกาล คือ สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ท่ี ๔ (เจ้าฟา้ ศรเี สาวภาคย)์ สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๑ (พระเจ้าทรงธรรม) สมเดจ็ พระบรมราชาท่ี ๒ (พระเชษฐา ธิราช) สมเดจ็ พระอาทติ ยวงศ์ สมเดจ็ พระสรรเพชญ์ที่ ๕ (พระเจา้ ปราสาททอง) และ สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ่ี ๖ (เจา้ ฟา้ ไชย) ไมป่ รากฏหลกั ฐานการตงั้ พระมหาอปุ ราช ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๗ (สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา) ทรงต้ัง สมเด็จพระนารายณม์ หาราช พระราชนัดดา เปน็ พระมหาอปุ ราช ประทบั ที่วังหนา้ ตามตำ� แหนง่ ถงึ รัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๓ (สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช) ไมไ่ ดท้ รง ตั้งผใู้ ดเป็นพระมหาอุปราช พระราชวงั บวรสถานมงคล 23
ต่อมารัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงตั้งหลวงสรศักดิ์ บตุ รบญุ ธรรมเป็นพระมหาอุปราช ประทับท่ีวงั หน้าและทรงต้ัง นายจบประคชสิทธ์ิ ผู้มีความชอบช่วยให้ได้ราชสมบัติ พระราชทานวังหลังให้เป็น ที่ประทับ แล้วทรงบัญญัตินามเรียกสังกัดวังหน้าว่า “กรมพระราชวังบวรสถาน มงคล” เรียกสังกัดวังหลังว่า “กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข” นอกจากนี้ ยังได้ ทรงแต่งต้ังให้เจ้าพระยาสุรสงคราม มียศเสมอกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขด้วย นบั จากนจ้ี งึ ปรากฏตำ� แหนง่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ในฐานะพระมหาอปุ ราช รชั ทายาทเปน็ ตน้ มา ถึงรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๘ (ขุนหลวงสรศักดิ์) ทรงตั้งเจ้าฟ้าเพชร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่เป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และทรงต้ังเจา้ ฟ้าพร พระราชโอรสพระองค์นอ้ ยเป็นพระบัณฑรู น้อย ในเวลาต่อมาเจ้าฟ้าเพชรได้เสด็จข้ึนครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จ พระสรรเพชญ์ท่ี ๙ (พระเจ้าท้ายสระ) ทรงต้ังเจ้าฟ้าพร สมเด็จพระอนุชาเป็น พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ต่อมาในปลายรัชกาลสมเด็จ พระสรรเพชญท์ ่ี ๙ ทรงมอบราชสมบัติแก่เจา้ ฟ้าอภยั พระราชโอรสองคท์ ี่ ๒ แทนที่ จะมอบแก่พระมหาอุปราช จึงเกิดศึกกลางเมือง พระมหาอุปราชทรงมีชัยชนะ เสดจ็ ขน้ึ ปราบดาภเิ ษกเป็นพระมหากษัตรยิ ์ พระนามว่า สมเดจ็ พระบรมราชาธิราช ท่ี ๓ (สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ) แตย่ งั คงประทับ ณ วังหนา้ ตามเดมิ ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ทรงแต่งตั้งพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล รวม ๒ ครั้ง คร้ังแรก พ.ศ. ๒๒๘๔ ทรงอุปราชาภิเษก เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) เป็น พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ประทับที่พระราชวังหลวง เพราะสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๓ ยังประทับที่วังหน้า ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ วังหน้าใน พ.ศ. ๒๒๘๗ จึงทรงย้ายมาประทับทพ่ี ระราชวงั หลวง ครั้นเม่ือปลกู สร้าง พระราชมณเฑียรในวังหน้าแล้วเสร็จ จึงโปรดให้พระมหาอุปราชเสด็จไปประทับ ตามต�ำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์น้ี ต่อมาได้รับพระราชอาญา จนสิ้นพระชนม์ 24 ������������������������������������������������������������� ��������
อน่ึง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มีพระราชโอรสช้ันเจ้าฟ้าอีก ๒ พระองค์ คือ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี และ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๓ มีพระราชด�ำริว่า เจ้าฟ้า กรมขุนพรพินิตมีพระปรีชาสามารถเหมาะสมกับต�ำแหน่งพระมหาอุปราชมากกว่า เจา้ ฟา้ กรมขนุ อนรุ กั ษม์ นตรี จงึ ทรงแตง่ ตงั้ เจา้ ฟา้ กรมขนุ พรพนิ ติ เปน็ พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประทับที่พระราชวังหลวง มิได้ออกไปประทับ ณ วงั หนา้ ตามตำ� แหนง่ สว่ นเจา้ ฟา้ กรมขนุ อนรุ กั ษม์ นตรนี นั้ เสดจ็ ออกทรงผนวช เจา้ ฟา้ กรมขนุ พรพนิ ติ ทรงดำ� รงตำ� แหนง่ พระมหาอปุ ราชไดเ้ พยี งปเี ดยี ว สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๓ ก็เสด็จสวรรคต เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตได้ครองราชสมบัติ สบื ต่อมา ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๔ อยูใ่ นราชสมบัตไิ มน่ านก็ ถวายราชสมบตั แิ กเ่ จ้าฟา้ กรมขุนอนรุ กั ษ์มนตรี พระเชษฐา แลว้ เสด็จออกทรงผนวช เจา้ ฟา้ กรมขนุ อนรุ กั ษม์ นตรไี ดบ้ รมราชาภเิ ษกเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ พระนามวา่ สมเดจ็ พระบรมราชาที่ ๓ ในรชั กาลของพระองคไ์ มไ่ ดท้ รงตง้ั พระมหาอปุ ราช ตราบจนกระทงั่ เสียกรงุ ศรีอยุธยาแกพ่ มา่ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ หลงั จากเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาแลว้ บา้ นเมอื งเปน็ จลาจล เพราะตา่ งฝา่ ยตา่ งตง้ั ตน เปน็ ใหญ่ พระยาวชิรปราการ (สิน) เจา้ เมอื งกำ� แพงเพชรสามารถกอบกเู้ อกราชจาก พม่าเป็นผลสำ� เรจ็ ตลอดจนปราบปรามกก๊ เหลา่ ตา่ ง ๆ จนสามารถรวบรวมบา้ นเมอื ง เป็นปึกแผ่นอีกคร้ังหนึ่ง และทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ณ กรุงธนบุรี ราชธานีแห่งใหม่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำเจ้าพระยาใน พ.ศ. ๒๓๑๑ พระนามว่า สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๔ และตลอดรชั กาลของพระองคก์ ไ็ ม่ไดท้ รงตัง้ พระมหา อปุ ราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล พระราชวังบวรสถานมงคล 25
การสถาปนาตำ� แหนง่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลสมัยรัตนโกสนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ และสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ไดโ้ ปรดเกล้าฯ สถาปนากรมพระราชวังบวร มหาสรุ สงิ หนาท สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช ทรงดำ� รงตำ� แหนง่ พระมหาอุปราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลโปรดให้ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ ยา้ ยราชธานีมาอยู่ทางฝั่งตะวนั ออกของแม่นำ�้ เจ้าพระยา จุฬาโลกมหาราช ดว้ ยมีพระราชดำ� ริว่ามีลักษณะภูมิประเทศเป็นชยั ภมู ิดกี ว่าฝงั่ ตะวนั ตก ทง้ั ยังปอ้ งกัน ข้าศึกและขยายพระนครได้สะดวก โปรดให้ด�ำเนินการสร้างพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคลและก่อสร้างพระนคร จนแล้วเสร็จ และมีพระราชพิธี เฉลมิ ฉลองเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๒๘ พระราชทานนามวา่ “กรงุ เทพมหานคร บวรรตั นโกสนิ ทร9์ มหนิ ทรายทุ ธยา มหาดิลกภพนพรตั นราชธานี บรู รี มย์ อุดมราชนเิ วศมหาสถาน อมรพมิ านอวตารสถติ สกั กะทตั ตยิ วษิ ณกุ รรมประสทิ ธ”ิ์ ในสว่ นพระราชวงั บวรสถาน มงคลนนั้ ปจั จบุ นั ตง้ั อยใู่ นบรเิ วณพน้ื ทข่ี องมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ พพิ ธิ ภณั ฑสถาน แห่งชาติ พระนคร โรงละครแหง่ ชาตแิ ละสถาบนั บณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ คร้ันกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสดจ็ สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๔๕ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๓๔๙ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช จึงพระราชทานอุปราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าลูก ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรให้ทรงด�ำรง ตำ� แหนง่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล แตโ่ ปรด ใหป้ ระทบั ทพ่ี ระราชวงั เดมิ กรงุ ธนบรุ ตี ราบจนสน้ิ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสรุ สงิ หนาท 9 ต่อมาในสมัยรชั กาลที่ ๔ ทรงแปลงสร้อยคำ� วา่ “บวรรัตนโกสินทร”์ เปน็ “อมรรัตนโกสนิ ทร”์ 26 ����������� ����� ��������������������������������������������� ��������
รัชกาลที่ ๑ และในคราวเดียวกันน้ี ยังได้โปรดให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟา้ กรมหลวงเสนานุรกั ษ์เปน็ พระบณั ฑรู น้อยด้วย ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย รัชกาลท่ี ๒ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวง เสนานุรักษ์ สมเด็จพระอนุชาธิราช เป็นกรมพระราชวัง บวรสถานมงคล ประทบั ณ พระราชวงั บวรสถานมงคล พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั (สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจ้าอยูห่ ัว รชั กาลที่ ๓ โปรดเกลา้ ฯ ให้ สถาปนาพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ศักดิพลเสพ พระปติ ุลา เป็นกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ประทบั ณ พระราชวงั บวรสถานมงคล ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวเสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์สบื ราชสนั ตติวงศ์ เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ รชั กาลที่ ๔10 ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ สถาปนาสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมขนุ อศิ เรศ รงั สรรค์ สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช ใหม้ ีพระเกียรตยิ ศอย่างพระเจ้าแผน่ ดนิ อีกพระองค์ หนงึ่ ดงั เชน่ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงยกยอ่ งสมเดจ็ พระเอกาทศรถในสมยั อยธุ ยา ในการนี้ จงึ โปรดให้แกไ้ ขประเพณฝี ่ายพระราชวังบวรฯ ให้สมพระเกียรตยิ ศสมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช หลายประการ อาทิ เปลยี่ นคำ� เรยี กวงั หนา้ ทางราชการจาก “พระราชวงั บวรสถานมงคล” เปน็ “พระบวรราชวงั ” ใหเ้ รยี กพระราชพธิ ี “อปุ ราชาภเิ ษก” เปน็ 10 ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๔ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ฉลมิ พระนามพระอฐั ิ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลในรัชกาลท่ี ๑ ถึงรชั กาลที่ ๓ ตามล�ำดับ ออกพระนามว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสงิ หนาท กรม พระราชวงั บวรมหาเสนานรุ กั ษ์ และกรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ ถงึ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ใหแ้ กไ้ ขระเบียบเกย่ี วกับพระเกียรตยิ ศของเจา้ นายหลายประการ ในสว่ นกรม พระราชวงั บวรสถานมงคล ในรชั กาลท่ี ๑ ถงึ รชั กาลที่ ๓ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลย่ี นค�ำนำ� พระนามจาก “กรมพระราชวงั บวร” เปน็ “สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ ” ออกพระนามวา่ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาเสนานุรกั ษ์ สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ตามล�ำดบั พระราชวังบวรสถานมงคล 27
“พระราชพิธบี วรราชาภิเษก” เปลย่ี นพระนามทจ่ี ารกึ ในพระสพุ รรณบฏั จากแบบเดมิ วา่ “พระมหาอปุ ราช กรม พระราชวงั บวรสถานมงคล” เปน็ พระนามอยา่ งพระเจา้ แผน่ ดนิ วา่ “สมเดจ็ พระปวเรนทราเมศ มหศิ เรศรงั สรรค์ พระปน่ิ เกล้าเจ้าอยู่หวั ” และเปลีย่ นคำ� ขานรบั สง่ั กรม พระราชวังบวรสถานมงคล จาก “พระบัณฑูร” เป็น “พระบวรราชโองการ” ด้วยเหตุน้ี กรมพระราชวังบวร สถานมงคลในรัชกาลนี้จึงมีพระเกียรติยศสูงกว่าสมัยใด พระบาทสมเด็จพระปน่ิ เกลา้ เจ้าอยู่หัว เสดจ็ ประทับ ณ พระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้า พระบวรราชวังตามตำ� แหนง่ เจ้าอย่หู วั พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวเสดจ็ สวรรคต พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ึนครองราชสมบัติสืบต่อมา ขณะน้ันมี พระชนมพรรษาเพียง ๑๕ พรรษา บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีปรึกษา กันอัญเชิญกรมหม่ืนบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจา้ อยหู่ วั ขนึ้ ทรงดำ� รงตำ� แหนง่ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล นบั เปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลพระองค์แรกทีพ่ ระเจา้ แผ่นดินมไิ ดท้ รงแต่งต้งั คร้ันต่อมากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรชั กาลท่ี ๕ ทวิ งคต เมอื่ พ.ศ. ๒๔๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศยกเลิกต�ำแหน่งกรม พระราชวงั บวรสถานมงคล เมอื่ วนั ท่ี ๔ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๒๘ และโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเดจ็ พระเจ้า ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ข้ึนเป็นรัชทายาท ในตำ� แหนง่ “สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกุมาร” นับจากน้ันเป็นต้นมา คงมีแต่ประเพณี การสถาปนาสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกฎุ ราชกมุ าร สบื มาตราบจนถงึ ปจั จุบัน กรมพระราชวังบวรวไิ ชยชาญ 28 ������������������������������������������������������������� ��������
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสรุ สงิ หนาท พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๔๖ (สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ รสนุ ทร) (พ.ศ. ๒๓๔๙ - ๒๓๕๒) สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาเสนานุรักษ์ สมเดจ็ พระบวรราชเจ้ามหาศกั ดิพลเสพ (พ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๐) (พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๗๕) พระบาทสมเด็จพระปนิ่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๐๘) (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๒๘)
ประกาศ เรือ่ ง กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลทิวงคต11 มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้ประกาศแก่พระบรม วงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยในกรุงและหัวเมือง และสมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎรให้ทราบทั่วกันว่า ในคร้ังน้ี กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทวิ งคตลว่ งไป เปน็ ธรรมเนยี มมาแตเ่ ดมิ ขา้ ราชการในพระราชวงั บวรตอ้ งลงมาสมทบ รบั ราชการฉลองพระเดชพระคณุ ในพระบรมมหาราชวงั สบื ไปเปน็ ธรรมเนยี มมมี าดงั น้ี ตำ� แหน่งพระมหาอุปราชฝ่ายหน้า ซึง่ เปน็ ราชประเพณโี บราณมาน้ัน ในตอน เบอื้ งตน้ ของพระราชพงศาวดารกม็ ไิ ดป้ รากฏวา่ ไดต้ ง้ั พระบรมวงศานวุ งศพ์ ระองคใ์ ด เปน็ พระมหาอปุ ราช เปน็ หลายชว่ั แผน่ ดนิ ครนั้ มาถงึ ตอนกลางพระเจา้ แผน่ ดนิ ไดท้ รง ตงั้ ตำ� แหนง่ พระมหาอปุ ราชโดยมาก ทเี่ วน้ บา้ งไมไ่ ดท้ รงตงั้ หลายแผน่ ดนิ ครนั้ มาถงึ กรงุ รตั นโกสนิ ทรม์ หนิ ทรายธุ ยานี้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ไดท้ รงตง้ั พระมหาอปุ ราช ฝา่ ยหน้ามาทกุ แผน่ ดิน แตพ่ ระบรมวงศานวุ งศ์ซงึ่ ได้รับต�ำแหน่งเปน็ พระมหาอุปราช ฝ่ายหนา้ นัน้ มิไดด้ ำ� รงอย่จู นตลอดสิ้นรชั กาลโดยในเวลา เมือ่ สมเดจ็ พระเจ้าแผ่นดิน ไมโ่ ปรดจะตงั้ พระบรมวงศานวุ งศพ์ ระองคใ์ ดเปน็ พระมหาอปุ ราช หรอื เวลาทพ่ี ระมหา อปุ ราชสวรรคตทวิ งคตลว่ งไปแลว้ ไมไ่ ดท้ รงตง้ั แตง่ พระบรมวงศานวุ งศพ์ ระองคอ์ นื่ ขนึ้ ดำ� รงทพี่ ระมหาอปุ ราช ตำ� แหนง่ ทพี่ ระมหาอปุ ราชนนั้ กว็ า่ งอยถู่ งึ ยส่ี บิ ปสี ามสบิ ปี หรอื ท่ไี มม่ ีเลยช้านานย่งิ กว่านนั้ ก็มี เพราะฉะนนั้ ต�ำแหนง่ ทีพ่ ระมหาอปุ ราชน้ี ไมเ่ ปน็ การ จำ� เปน็ ทส่ี มเดจ็ พระเจ้าแผน่ ดนิ จะต้องทรงตั้งขน้ึ ไว้ไม่ให้ขาด เป็นธรรมเนียมเคยวา่ ง เวน้ มาแตโ่ บราณราชประเพณดี ังนี้ ในครั้งน้ีได้ทรงปรึกษาพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และท่านเสนาบดี ขา้ ราชการผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ยเหน็ พรอ้ มกนั วา่ ตำ� แหนง่ ทพี่ ระมหาอปุ ราชกรมพระราชวงั บวร 11 รักษาอักขรวิธีตามต้นฉบับเดิม ดูรายละเอียดใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์เร่ืองพระราชพงศาวดารกับเรื่องราชประเพณีการตั้ง พระมหาอปุ ราช สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๗ โปรดใหต้ ีพมิ พแ์ จกในงานพระราชทานเพลงิ พระศพ พระบรม วงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพินทุ์เพญภาคย์ ณ วันท่ี ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๙. พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๔๗๙, หนา้ ๕๗ - ๕๙ 30 ������������������������������������������������������������� ��������
สถานมงคลน้นั การเปล่ียนแปลงมาหลายชนั้ จนถงึ กรงุ สยามไดผ้ ูกพันธ์ทางพระราช ไมตรกี ับนานาประเทศ ซึง่ มธี รรมเนียมบ้านเมอื งผดิ กันกับกรงุ สยาม กก็ อ่ เกดิ ให้เป็น ที่เขา้ ใจผดิ ไปตา่ ง ๆ ดว้ ยตำ� แหน่งขา้ งในกรงุ สยามน้นั ก็เคล่อื นคลายมาทลี ะนอ้ ย ๆ ไมย่ นื อยเู่ หมอื นอยา่ งแบบเมอื่ แรกตงั้ ฝา่ ยผทู้ อี่ ยตู่ า่ งประเทศกไ็ มอ่ าจจะเขา้ ใจตำ� แหนง่ นน้ั ไดช้ ดั เจน จงึ่ ใหเ้ กดิ เปน็ ทฉี่ งนสงสยั ตา่ ง ๆ การบา้ นการเมอื งซง่ึ จะเปน็ การเรยี บรอ้ ย เปน็ คณุ แกแ่ ผน่ ดนิ อยา่ งใด กเ็ ปน็ ทขี่ ดั ขอ้ งไปหาสะดวกไม่ เปน็ ตำ� แหนง่ ลอยอยู่ มไิ ดม้ คี ณุ ต่อแผ่นดินอย่างหน่ึงอย่างใด เป็นแต่ต้องใช้เงินแผ่นดิน ซ่ึงจะต้องใช้รักษาต�ำแหน่ง ยศพระมหาอปุ ราชอยเู่ ปลา่ ๆ โดยมาก จงึ ไดเ้ หน็ ชอบพรอ้ มกนั วา่ ควรจะยกตำ� แหนง่ ทพ่ี ระมหาอปุ ราชนไ้ี ว้ ไมต่ ้ังพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดขน้ึ นน้ั ชอบแลว้ จงึ มพี ระบรมราชโองการมานพระบณั ฑรู สรุ สงิ หนาท ใหป้ ระกาศมาเสยี ใหท้ ราบ ทวั่ กนั อยา่ ใหผ้ ใู้ ดตนื่ เตน้ คดิ อา่ นวนุ่ วายมงุ่ หมายอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด บรรดาขา้ ราชการ ในพระราชวงั บวร กใ็ หส้ มทบเขา้ รบั ราชการในพระบรมมหาราชวงั ตอ่ ไป ควบคมุ ผคู้ น ซ่งึ ได้บงั คับบญั ชาอยู่ตามเดิมใหเ้ ป็นการเรยี บรอ้ ย อยา่ ให้แตกหมู่แตกพรรค เหมือน เมอ่ื กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลยงั ดำ� รงอยนู่ นั้ ทกุ ประการ อยา่ ใหผ้ ใู้ ดตน่ื เตน้ ตกใจ หรอื เชอื่ ฟงั ถอ้ ยคำ� เลา่ ลอื อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด นอกจากหมายประกาศนเ้ี ปน็ อนั ขาด ประกาศมา ณ วนั ศกุ ร์ เดอื นเกา้ แรมสบิ ค�่ำ ปรี ะกา สปั ตศก ศกั ราช ๑๒๔๗12 เปน็ วันที่ ๖๑๔๒ ในกาลปตั ยุบนั น้ี พระยาศรีสนุ ทรโวหาร เป็นผรู้ บั พระบรมราชโองการ 12 ตรงกบั วนั ท่ี ๔ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๒๘ พระราชวังบวรสถานมงคล 31
ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการสถาปนาต�ำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกมุ ารรวม ๓ พระองค์ ตามล�ำดับ คอื ๑. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา เม่ือวันท่ี ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๒. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา เมอื่ วันท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ๓. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราช กุมาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา เมื่อวนั ท่ี ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้า สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรณุ หศิ เจา้ อยู่หวั เมื่อครง้ั ทรงดำ� รง เจา้ ฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระอสิ ริยยศเป็นสมเด็จพระบรม สยามมกฎุ ราชกุมาร โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวธุ สยามมกุฎราชกมุ าร 32 ����������� ����������������������������������������������������������
พระราชวงั บวรสถานมงคล 33
34 ����������� ����������������������������������������������������������
พระราชวงั บวรสถานมงคล 35
ภมู ิสถานทตี่ ้งั ของพระราชวงั บวรสถานมงคล (วังหนา้ ) และการใช้พืน้ ท*ี่ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ตั้งอยู่ในพ้ืนที่เกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนเหนือ ภายในขอบเขตคูเมืองธนบุรีฝั่งตะวันออก โดยต้ังอยู่ทางด้านหน้าของ พระราชวังหลวง ระหว่างคลองคูเมืองเดิมกับวัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) มอี าณาเขตครอบคลมุ พน้ื ที่ ดา้ นทศิ เหนอื - ใต้ จากคลองคเู มอื งไปจรดถนนพระจนั ทร์ และดา้ นทศิ ตะวนั ออก - ตะวนั ตก จากรมิ ฝง่ั แมน่ ำ้� เจา้ พระยา ไปจนเกอื บถงึ แนวถนน ราชดำ� เนนิ ใน * เด่นดาว ศิลปานนท์ ภณั ฑรักษ์ชำ� นาญการพิเศษ สำ� นักพพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ 38 ภมู ิสถานทต่ี ัง้ ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) และการใชพ้ น้ื ท่ี
แผนผังท่ีต้ังวังหน้าได้รับอิทธิพลบางประการมาจากพระราชวังหลวง และพระราชวังจนั ทรเกษม หรือวงั หนา้ ในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา คอื ตงั้ หนั หน้าไปทาง ทิศตะวันออก พระราชมณเฑียรสถานที่ประทับออกแบบเป็นพระวิมาน ๓ หลัง เช่นเดียวกับที่ประทับของพระมหาอุปราชที่พระราชวังจันทรเกษม ส่วนพระท่ีน่ัง ทางตอนหน้าบางแห่ง วางผังตามแบบพระท่ีน่ังภายในพระราชวังหลวงพระนคร ศรอี ยธุ ยา พระราชวังบวรสถานมงคล 39
พื้นที่พระราชวังบวรสถานมงคลล้อมรอบด้วยปราการ ก�ำแพง ป้อม คู และถนนทั้ง ๔ ด้าน ก�ำแพงเปน็ กำ� แพงใบเสมา มีป้อมบนกำ� แพง ๑๐ ปอ้ ม ป้อมท่ี มุมพระราชวงั เป็นปอ้ มรูปแปดเหลย่ี ม หลังคาทรงกระโจม ส่วนป้อมตามแนวก�ำแพง เปน็ รปู หอรบ หลงั คาทรงจว่ั ประตพู ระราชวงั ชน้ั นอกมี ๑๔ ประตู ชน้ั กลางมี ๘ ประตู และชั้นในมี ๕ ประตู นอกก�ำแพงด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ล้อมด้วยคูน้�ำ ขนาดเลก็ มีถนนอยรู่ อบนอก ถนนดา้ นทศิ ใต้ คือ ถนนพระจนั ทร์ ดา้ นทศิ ตะวนั ตก มลี ำ� นำ�้ เจา้ พระยาแทนคเู มอื ง และใชก้ ำ� แพงพระนครเปน็ กำ� แพงวงั ชน้ั นอก สว่ นทศิ เหนอื ใช้ คูพระนครเดมิ เป็นควู ัง มถี นนอยภู่ ายใน ใกล้กบั แนวถนนราชนิ ีทกุ วันนี้ นอกจากน้ี ยังมีถนนตัดผ่านพระราชวังตามแนวทิศเหนือ - ใต้ ๓ สาย สายตะวันตก คือ ถนนริมพระนครด้านใน สายกลาง คือ ถนนหน้าพระธาตุ และ ถนนสายทศิ ตะวนั ออก คอื ถนนดา้ นหนา้ พระราชวงั ใกลก้ บั แนวถนนราชดำ� เนนิ พระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) แบง่ พนื้ ทอ่ี อกเปน็ ๓ สว่ น คอื พระราชวงั ชัน้ นอก พระราชวงั ช้ันกลาง และพระราชวังชนั้ ใน พระราชวังช้ันนอก พื้นท่ีส่วนใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกและทางทิศเหนือ เปน็ ทต่ี ง้ั กำ� แพง คู ประตู ปอ้ ม และอาคารสถานในราชการของสมเดจ็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล คือ ทิศตะวันออกเป็นท่ีตั้ง ศาลาลูกขุน โรงช้าง โรงม้า โรงรถ โรงปนื เลก็ โรงปนื ใหญ่ โรงทหาร สนามฝกึ หดั ทหาร ชา้ ง มา้ และพลบั พลาสงู ทป่ี ระทบั ทอดพระเนตรการฝกึ หัดทหาร ด้านทิศเหนือ เป็นที่ตั้งวัดบวรสถานสุทธาวาส และ โรงกล่นั ลมประทีป เปน็ ต้น 40 ภูมสิ ถานทต่ี ัง้ ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหนา้ ) และการใช้พื้นท่ี
พระราชวงั ชน้ั กลาง ตง้ั อยบู่ รเิ วณสว่ นกลางพระราชวงั เปน็ ทตี่ งั้ ของพระทน่ี งั่ ทอ้ งพระโรง พระที่นัง่ ส�ำคญั ตา่ ง ๆ และสว่ นราชการ เช่น ทมิ ดาบต�ำรวจ ทิมมหาวงศ์ โรงทหาร คลังราชการและคลังเครื่องสรรพยุทธ ตึกดิน โรงม้าระวางใน โรงหมอ โรงชาวที่ ศาลาโถงท่ีขุนนางเข้าเฝ้า เสาธงส�ำหรับพระบวรราชวัง โฮเตลส�ำหรับรับ แขกเมอื ง ศาลาสารบัญชีส�ำหรบั สัสดี โรงงิว้ โรงสูบนำ้� ดับเพลิง เปน็ ต้น พระราชวงั ชน้ั ใน มพี น้ื ทอ่ี ยทู่ างดา้ นทศิ ใตแ้ ละทศิ ตะวนั ตก เปน็ ทตี่ ง้ั พระราช มณเฑียรทป่ี ระทับ ต�ำหนักและเรือนของฝ่ายใน และพระราชอุทยานส�ำหรบั ประทบั ส�ำราญพระราชอิรยิ าบถ พระราชวงั บวรสถานมงคลสรา้ งตอ่ เนอ่ื งกนั มาตงั้ แตค่ รงั้ สรา้ งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในรชั กาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๒๕ จนกระทง่ั ยกเลกิ ตำ� แหนง่ พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวงั บวรสถานมงคลไปในรัชกาลท่ี ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ พระราชวังบวรสถานมงคล จึงว่างลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้ออาคาร สถานส่วนทไ่ี ม่ส�ำคญั ออก เพ่ือใช้ในราชการต่าง ๆ คงเหลือแต่พระที่นั่งสำ� คัญ และ พระราชมณเฑียรสถานท่ีประทับของพระอุปราช ภายในพระราชวังชั้นกลาง และ พระราชวังชัน้ ใน ดังนี้ พระราชวังบวรสถานมงคล 41
พระท่นี ่ังศิวโมกขพมิ าน พระท่ีน่ังศิวโมกขพิมาน สร้างข้ึนพร้อมกับ การสรา้ งพระราชวงั บวรสถานมงคล เปน็ พระนง่ั ทอ้ งพระโรงแหง่ แรก เรยี กอกี นามหนงึ่ วา่ “พระทนี่ ง่ั ทรงปนื ” เนอื่ งจากผงั ตำ� แหนง่ ทต่ี ง้ั อยดู่ า้ นหนา้ สระนำ้� ขนาดใหญ่ เชน่ เดยี ว กบั พระทน่ี ง่ั ทรงปืน พระที่น่งั ท้องพระโรงภายในพระราชวังหลวงพระนครศรีอยธุ ยา หรือเรยี กอีกวา่ “พระทีน่ ั่งทรงธรรม” เพราะเป็นทต่ี งั้ พระแทน่ ราชบลั ลงั ก์ สำ� หรบั พระสงฆน์ ง่ั เทศนาธรรมในการบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลตา่ ง ๆ ดว้ ย พระทนี่ ง่ั ศวิ โมกขพิมานท่สี รา้ งขึ้นในรชั กาลที่ ๑ เป็นพระทนี่ ่ังไม้ ทรงโถง ไม่มีฝา เมอื่ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาทสวรรคต ไดใ้ ชเ้ ปน็ ทตี่ ง้ั พระบรมศพ ถงึ สมยั รชั กาลท่ี ๓ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ โปรดเกลา้ ฯ ใหร้ ื้อ ขยายขนาด สรา้ งขึ้นใหม่ เปน็ อาคารก่ออิฐถอื ปูน ทรงโถง มีฝาเฉพาะด้านทิศใต้ เพราะเป็นเขตติดต่อกับฝ่ายใน ใช้ใน ราชการและการบ�ำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ จนกระท่ัง ใชเ้ ปน็ ที่ต้งั พิพธิ ภัณฑสถานในรัชกาลที่ ๕ 42 ภูมสิ ถานทตี่ งั้ ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และการใช้พนื้ ที่
หนา้ บันพระทนี่ งั่ ศิวโมกขพิมานดา้ นทศิ ตะวนั ออก จำ� หลักไมป้ ดิ ทองประดับกระจก รปู พระนารายณท์ รงสุบรรณ ลักษณะทางสถาปตั ยกรรม เป็นอาคารทรงไทย มีห้องระหว่างเสา ๑๒ ห้อง เสาในประธานเปน็ เสาทรงสเ่ี หลย่ี มลบมุม ขนาดใหญ่ ไมม่ บี วั หวั เสา เคร่ืองบนอาคาร ท�ำดว้ ยไม้ หลังคาทรงจั่ว ช้นั เดียว ไมม่ มี ขุ ลด มงุ กระเบ้ืองไม่เคลอื บสี มีหลงั คาปีกนก ลาดตำ�่ ซ้อนกัน ๓ ชั้น กรอบหน้าบนั ตกแตง่ ดว้ ยชอ่ ฟ้า รวยระกา และหางหงส์ แบบ สกุลช่างวังหน้า คือ ท�ำช่อฟ้าแบบปากปลา รวยระกาทอดลงมาจากริมหัวไม้อกไก่ มาสดุ ทแ่ี ปหวั เสา ไมม่ นี าคสะดงุ้ เรยี กวา่ “เครอื่ งรวย” หรอื “รวยระกามอญ” ปลาย สันตะเฆ่ตกแต่งด้วยนาคปัก หน้าบันท�ำด้วยไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ดา้ นหนา้ ทางทศิ ตะวนั ออกสลกั รปู พระนารายณ์ ๔ กร พระหตั ถบ์ นถอื สงั ขแ์ ละดอกบวั พระหตั ถล์ า่ งประคองอญั ชลี ทรงครฑุ ยดุ นาค พนื้ หลงั เปน็ ลายเครอื เถากระหนกเปลว ปลายเถารูปครฑุ ด้านทิศตะวันตกจ�ำหลักภาพพระพรหมทรงหงสม์ ี ๔ พกั ตร์ ๔ กร พระหัตถ์บนถือหนังสือและพวงประค�ำ พระหัตถ์ล่างประนมพระหัตถ์เคล้ากับลาย เครอื เถากระหนกเปลว ปลายเถาเปน็ รปู หงส์ พระราชวังบวรสถานมงคล 43
พระพทุ ธสหิ งิ คป์ ระดิษฐานภายในพระท่นี ั่งพทุ ไธสวรรย์
พระทนี่ ั่งพทุ ไธสวรรย์ พระท่ีน่งั พทุ ไธสวรรย์ เดิมช่อื พระท่ีนั่งสทุ ธาสวรรย์ หรอื บางแห่งออกนามวา่ พระท่ีนั่งพุทธาสวรรย์ สร้างข้ึนในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลท่ี ๑ ทรงอทุ ิศถวายเปน็ ทปี่ ระดิษฐานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ ทที่ รงอญั เชิญมาจาก เมอื งเชยี งใหม่ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๓๘ นอกจากนี้ ใชเ้ ปน็ ทปี่ ระกอบพธิ ตี รษุ สารท และโสกนั ต์ เม่ือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จทิวงคต พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานยังวัด พระศรรี ตั นศาสดาราม ภายในพระบรมมหาราชวงั ในรชั กาลที่ ๒ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาเสนานุรักษ์ จึงโปรดให้ตั้งพระแท่นราชบัลลังก์ ใช้เป็นพระท่ีน่ังท้องพระโรง ส�ำหรับว่าราชการ และเป็นท่ีพระสงฆ์เทศนาธรรม ต่อมาได้ใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระศพสมเด็จพระบวรราชเจา้ พระองคน์ ้นั สมยั รัชกาลท่ี ๓ สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาศกั ดิพลเสพ โปรดเกล้าฯ ให้ปฏสิ ังขรณ์ครั้งใหญ่ เปลยี่ นเครอ่ื งบนหลังคา พาไล และท�ำซุ้มประตูหน้าต่างใหม่ และโปรดให้ใช้เป็นสถานที่ประกอบการพระราชพิธี ในพระราชวงั บวรสถานมงคลตอ่ มา ถงึ สมยั รชั กาลท่ี ๔ โปรดใหอ้ ญั เชญิ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ กลบั มาประดษิ ฐานยงั พระบวรราชวงั ดงั เดมิ เนอื่ งในการบวรราชาภเิ ษกเฉลมิ พระราช มณเฑยี รพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๔ และโปรดใหเ้ ปลย่ี น ชอื่ พระท่นี ั่ง “พทุ ธาสวรรย”์ เป็น “พระท่นี ่งั พุทไธสวรรย์” ใน พ.ศ. ๒๓๙๖ ใชเ้ ปน็ ทป่ี ระดิษฐานพระพุทธสหิ งิ คส์ บื ตอ่ มาถึงปจั จบุ ัน พระราชวังบวรสถานมงคล 47
ภายในพระที่นงั่ พทุ ไธสวรรย์ ประดษิ ฐานพระพทุ ธสหิ งิ ค์เป็นพระประธาน ฝาผนงั เขียนภาพจิตรกรรมภาพเทพชุมนมุ กแลรอะบพยระ่อพมุมทุ สธปิบรสะอวงตั ิ คานตกแต่งไมแ้ กะสลักปดิ ทองประดับกระจกเปน็ ลายผา้ เพดานตกแตง่ ลายดาวเพดานภายใน
ลกั ษณะพระทน่ี งั่ พทุ ไธสวรรย์ เปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู ทรงโรง ขนาด ๑๑ หอ้ ง ยกพ้ืนสงู ดา้ นหนา้ และดา้ นหลังท�ำเป็นชานยน่ื จากพระทีน่ ่งั มีบนั ไดทางขน้ึ ดา้ นละ ๒ ทาง ฐานชาลาดา้ นหนา้ ตอ่ เตมิ ขน้ึ ในรชั กาลที่ ๔ เปน็ ทต่ี งั้ พระทนี่ ง่ั คชกรรมประเวศ พระทน่ี ง่ั ไมท้ รงปราสาทซง่ึ สรา้ งขน้ึ เปน็ พระเกยี รตยิ ศแกพ่ ระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตอ่ มาชำ� รดุ รอ้ื ไป คงเหลอื แตเ่ กยและฐานชาลา ชอ่ งประตแู ละหนา้ ตา่ งทำ� ขึ้นใหมค่ รง้ั รัชกาลท่ี ๓ ตกแตง่ ด้วยซุม้ บนั แถลง เครื่องบนหลังคาเป็นเครื่องไม้ ทรงจั่ว ลด ๒ ช้ัน มีคอสองปั้นปูนทาสีตกแต่งด้วยลายกระบวนจีน ผูก เป็นลายเฟื่องอุบะและเครือเถา มีพาไล และเสาทรงส่ีเหล่ียมขนาด ใหญ่ ไม่มีบัวหัวเสาและคันทวยรูปนาคพันเกี่ยวด้วยเถาพันธุ์พฤกษา รองรบั เชงิ ชายคา หนา้ บันจำ� หลกั ไมป้ ดิ ทองประดบั กระจกเป็นภาพ พระพรหมพิมาน เพดานไม้จ�ำหลักลายดาราปิดทอง ผนังภายใน เขียนภาพจิตรกรรมเทพชุมนุมและพุทธประวัติ บานประตูและ หน้าตา่ ง ดา้ นนอกเขยี นลายทองรดนำ้� ภาพต้นไม้ทอง ตน้ ไมเ้ งิน ดา้ นในเขียนสภี าพเทพทวารบาล ฝมี ือช่างรัชกาลท่ี ๑ 50 ภมู สิ ถานทตี่ ง้ั ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหนา้ ) และการใชพ้ ้นื ที่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130