Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี( ปรับปรุง63)

หลักสูตรวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี( ปรับปรุง63)

Published by เมตตา ชาญฉลาด, 2022-08-21 04:52:40

Description: หลักสูตรวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี( ปรับปรุง63)

Search

Read the Text Version

151 สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ช้นั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิ่น - -- - สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมสารพนั ธกุ รรม การ เปล่ยี นแปลงทางพนั ธกุ รรมที่มีผลต่อสงิ่ มชี ีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชวี ติ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้ ทอ้ งถิ่น ม.3 ว 1.3 ม3/1 อธิบาย - ลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิตสามารถ - ความสัมพันธ์ระหว่าง ยีน ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหน่ึงได้ โดยมียีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม เปน็ หน่วยควบคมุ ลักษณะทางพนั ธุกรรม โดยใช้แบบจำลอง - โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอน็ เอ และโปรตีน ขด อยู่ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมี ความสัมพันธ์กัน โดยบางส่วนของดีเอ็นเอทำ หนา้ ที่เป็นยนี ท่กี ำหนดลกั ษณะของส่ิงมชี วี ิต - สิ่งมีชีวิตท่ีมีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมท่ีเป็นคู่ กันมีการเรียงลำดับ ของยี น บน โครโมโซม เหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีน หน่ึงท่ีอยู่บนคู่ฮอมอโลกัสโครโมโซม อาจมี รูปแบบแตกต่างกัน เรียกแต่ละรูปแบบของยีนที่ ต่างกันน้ีว่าแอลลีล ซึ่งการเข้าคู่กันของแอลลี ลต่าง ๆ อาจส่งผลทำให้ส่ิงมีชีวิตมีลักษณะที่ แตกตา่ งกนั ได้

152 ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น - สิง่ มชี ีวิตแตล่ ะชนิดมจี ำนวนโครโมโซมคงท่ี มนษุ ย์มจี ำนวนโครโมโซม 23 คู่ เปน็ ออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญงิ มโี ครโมโซมเพศเป็น XX เพศชายมีโครโมโซมเพศ เป็น XY ว 1.3 ม3/2 อธิบายการ -เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง ถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมของต้นถ่ัวชนิดหนึ่ง และนำมาสู่ พันธุกรรมจากการผสม หลักการพ้ืนฐานของการถ่ายทอดลักษณะทาง โดยพจิ ารณาลักษณะเดียว พนั ธุกรรมของสิ่งมีชีวติ ทีแ่ อลลลี เด่นข่มแอลลี - สง่ิ มีชีวติ ทม่ี ีโครโมโซมเป็น 2 ชดุ ยนี แต่ละ ลดอ้ ยอย่างสมบูรณ์ ตำแหนง่ บนฮอมอโลกสั โครโมโซมมี 2 แอลลลี โดยแอลลีลหนึง่ มาจากพอ่ และอีกแอลลลี มาจาก แม่ ซึง่ อาจมรี ปู แบบเดยี วกัน หรอื แตกต่างกนั แอลลลี ทแ่ี ตกตา่ งกนั นี้ แอลลีลหนง่ึ อาจมกี าร ม.3 แสดงออกข่มอีกแอลลลี ว 1.3 ม3/3 อธบิ ายการ หน่ึงได้ เรียกแอลลีลนั้นว่า เป็นแอลลีลเด่น ส่วน - เกดิ จโี นไทปแ์ ละฟีโนไทป์ แอลลีลที่ถูกข่มอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าเป็ น ของลกู และคำนวณ แอลลีลดอ้ ย อัตราสว่ นการเกิดจีโนไทป์ - เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ แอลลีลที่เป็นคู่กัน และฟีโนไทปข์ องรุ่นลกู ในแต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสู่ เซลล์สืบพันธ์ุแต่ละเซลล์ โดยแต่ละเซลล์สืบพันธ์ุ จะได้รับเพียง 1 แอลลีล และจะมาเข้าคู่กับแอล ลีลที่ตำแหน่งเดียวกันของอีกเซลล์สืบพันธุ์หน่ึง เม่ือเกิดการปฏิสนธิ จนเกิดเป็นจีโนไทป์และ แสดงฟีโนไทป์ในรุ่นลกู

153 ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถิน่ - กระบวนการแบ่งเซลลข์ องสงิ่ มีชีวติ มี 2 แบบ คอื ไมโทซิส และไมโอซสิ - ไมโทซิส เปน็ การแบ่งเซลล์เพือ่ เพม่ิ จำนวนเซลล์ รา่ งกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มลี กั ษณะและจำนวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ต้ัง ว 1.3 ม3/4 อธิบายความ ตน้ แตกตา่ งของการแบ่งเซลล์ - ไมโอซิส เปน็ การแบ่งเซลล์เพ่ือสรา้ งเซลล์ แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ สืบพันธุ์ ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจำนวนโครโมโซมเป็นครง่ึ หนึง่ ของเซลล์ตั้งต้น เม่อื เกดิ การปฏสิ นธขิ องเซลล์สืบพันธุ์ ลกู จะได้รบั การถา่ ยทอดโครโมโซมชุดหน่ึงจากพ่อและอีกชุด หนึง่ จากแม่ จึงเป็นผลให้รุน่ ลูกมจี ำนวน โครโมโซมเทา่ กบั รุน่ พ่อแมแ่ ละจะคงท่ีในทุกๆ รุน่ ม.3 ว 1.3 ม3/5 บอกได้ว่าการ - การเปลีย่ นแปลงของยนี หรือโครโมโซม สง่ ผลให้ เปลย่ี น แปลงของยีนหรือ เกดิ การเปลีย่ นแปลงลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของ โครโมโซมอาจทำให้เกิดโรค สิง่ มชี ีวติ เชน่ โรคธาลัสซเี มยี เกดิ จากการ ทางพนั ธุกรรม พร้อมท้ัง เปลย่ี นแปลงของยีน กลุ่มอาการดาวนเ์ กดิ จาก ยกตวั อย่างโรคทาง การเปล่ียนแปลงจำนวนโครโมโซม พนั ธุกรรม - โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ ไปสูล่ กู ได้ ดงั นั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควร ว 1.3 ม3/6 ตระหนักถึง ป้องกันโดยการตรวจและวนิ จิ ฉัยภาวะเสีย่ งจาก ประโยชน์ของความรู้เรอื่ ง การถา่ ยทอดโรคทางพนั ธุกรรม โรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่า กอ่ นแต่งงานควรปรึกษา แพทย์ เพอ่ื ตรวจและ วนิ ิจฉัยภาวะเส่ียงของลูกท่ี อาจเกิดโรคทางพนั ธุกรรม

154 ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น ว 1.3 ม3/7 อธิบายการใช้ - มนษุ ยเ์ ปล่ียนแปลงพันธกุ รรมของ ประโยชน์จากสิง่ มีชวี ติ ดดั แปร สง่ิ มีชีวติ ตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้สงิ่ มีชวี ติ พนั ธกุ รรม และผลกระทบท่ีอาจมี ที่มลี กั ษณะตามต้องการ เรียกสิ่งมชี วี ิตน้ี ตอ่ มนษุ ย์และสิง่ แวดล้อม โดยใช้ ว่า สง่ิ มชี ีวิตดัดแปรพันธุกรรม ข้อมูลทีร่ วบรวมได้ - ในปัจจุบนั มนุษยม์ กี ารใชป้ ระโยชนจ์ าก สิ่งมชี วี ติ ดัดแปรพนั ธกุ รรมเป็นจำนวนมาก ว ว1.3 ม3/8 ตระหนกั ถึง เชน่ การผลติ อาหาร การผลิตยารกั ษาโรค ประโยชน์และผลกระทบของ การเกษตร อยา่ งไรก็ดี สงั คมยงั มีความ สิ่งมีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมี กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัด ต่อมนุษย์และสิง่ แวดล้อม โดย แปรพนั ธกุ รรมทีม่ ีต่อสงิ่ มีชวี ิตและ การเผยแพร่ความรู้ท่ีไดจ้ ากการ ส่งิ แวดล้อม ซง่ึ ยงั ทำการติดตามศกึ ษา โตแ้ ยง้ ทางวิทยาศาสตร์ ซึง่ มี ผลกระทบดงั กลา่ ว ข้อมลู สนบั สนนุ - ความหลากหลายทางชวี ภาพ มี 3 ระดบั ไดแ้ ก่ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ม.3 ว 1.3 ม3/9 เปรยี บเทียบความ ความหลากหลายของชนดิ ส่งิ มชี วี ิต และ หลากหลายทางชวี ภาพ ในระดับ ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม ความ ชนดิ ส่ิงมชี วี ิตในระบบนิเวศตา่ ง ๆ หลากหลายทางชีวภาพนีม้ คี วามสำคญั ต่อ ว 1.3 ม3/10 อธบิ าย การรกั ษาสมดุลของระบบนิเวศ ระบบ ความสำคญั ของความหลากหลาย นิเวศทมี่ คี วามหลากหลายทางชวี ภาพสงู ทางชีวภาพทมี่ ีต่อการรักษาสมดลุ จะรักษาสมดุลได้ดีกวา่ ระบบนิเวศทม่ี ี ของระบบนิเวศ และต่อมนษุ ย์ ความหลากหลายทางชีวภาพตำ่ กว่า ว 1.3 ม3/11 แสดงความ นอกจากนค้ี วามหลากหลายทางชีวภาพยัง ตระหนักในคุณคา่ และ มีความสำคัญต่อมนษุ ยใ์ นด้านต่าง ๆ เชน่ ความสำคญั ของความหลากหลาย ใชเ้ ป็นอาหาร ยารกั ษาโรค วัตถดุ ิบใน ทางชีวภาพ โดยมีสว่ นร่วมในการ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ดงั นัน้ จงึ เปน็ หน้าที่ ดูแลรกั ษาความหลากหลายทาง ของทกุ คนในการดูแลรักษา ความ ชีวภาพ หลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่

155 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบัตขิ องสสารกบั โครงสร้าง และแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ ทอ้ งถ่ิน ม.3 ว 2.1 ม3/1 ระบสุ มบัติทาง - พอลิเมอร์ เซรามิกส์ และวัสดุผสม เป็นวัสดุท่ีใช้มาก กายภาพและการใช้ ในชวี ติ ประจำวัน ประโยชน์วัสดปุ ระเภทพอลิ - พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ท่ีเกิดจาก เมอร์ เซรามิกส์ และวัสดุ โมเลกุลจำนวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น พลาสติก ผสม โดยใช้หลักฐานเชิง ยาง เส้นใย ซ่งึ เป็นพอลิเมอรท์ ีม่ ีสมบัติแตกตา่ งกัน โดย ประจกั ษ์ และสารสนเทศ พลาสติกเป็นพอลิเมอร์ที่ข้ึนรูปเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ ยางยืดหยุ่นได้ ส่วนเส้นใยเป็นพอลิเมอร์ที่สามารถดึง เปน็ เสน้ ยาวได้ พอลเิ มอร์จงึ ใช้ประโยชนไ์ ดแ้ ตกต่างกนั - เซรามกิ ส์เป็นวสั ดุท่ผี ลติ จาก ดนิ หนิ ทราย และแร่ ธาตุต่าง ๆ จากธรรมชาติ และส่วนมากจะผ่านการเผา ทีอ่ ุณหภูมสิ ูง เพ่ือให้เครื่องปั้นดินเผา ม.3 ว 2.1 ม3/2 ตระหนักถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้เนื้อสารที่แข็งแรงเซรามิกส์ วัสดทุ ี่ใช้ใน คณุ คา่ ของการใชว้ ัสดุ สามารถทำเป็นรปู ทรงตา่ ง ๆ ได้ สมบตั ิท่วั ไปของ ชวี ติ ประจำวนั ประเภทพอลิเมอร์ เซรา เซรามิกส์จะแข็ง ทนต่อการสึกกร่อน และเปราะ มิกส์ และวัสดผุ สม โดย สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช่น ภาชนะทเ่ี ป็น เสนอ แนะแนวทางการใช้ - วัสดุผสมเป็นวัสดทุ ีเ่ กิดจากวสั ดุตงั้ แต่ 2 ประเภท ทมี่ ี วสั ดุอยา่ งประหยดั และ สมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ คมุ้ คา่ ได้มากข้ึน เช่น เสื้อกันฝนบางชนิด เป็นวัสดุผสม ระหว่างผ้ากับยาง คอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นวัสดุผสม ระหว่างคอนกรีตกบั เหล็ก - วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้ วัสดุอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังอาจก่อปัญหาต่อ สงิ่ แวดล้อม

156 ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ทอ้ งถ่ิน ม.3 ว 2.1 ม3/3 อธบิ ายการ - การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีหรอื การเปลยี่ นแปลงทางเคมี เกิดปฏกิ ิริยาเคมี รวมถงึ การ ของสาร เป็นการเปลยี่ นแปลงทท่ี ำให้เกดิ สารใหม่ จดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอม โดยสารท่ีเขา้ ทำปฏิกิรยิ า เรียกว่า สารตง้ั ตน้ สารใหม่ เม่อื เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี โดยใช้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากปฏิกริ ยิ า เรยี กวา่ ผลติ ภัณฑ์ การ แบบจำลองและสมการ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีสามารถเขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ ขอ้ ความ ข้อความ - การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี อะตอมของสารตง้ั ตน้ จะมกี าร จดั เรียงตัวใหม่ ไดเ้ ปน็ ผลติ ภัณฑ์ ซึ่งมสี มบัติแตกต่าง จากสารต้ังตน้ โดยอะตอมแต่ละชนดิ ก่อนและหลงั เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมมี ีจำนวนเท่ากัน ว 2.1 ม3/4 อธบิ ายกฎทรง - เม่อื เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี มวลรวมของสารตั้งตน้ เท่ากบั มวล โดยใช้หลกั ฐานเชงิ มวลรวมของผลติ ภณั ฑ์ ซึ่งเป็นไปตามกฎทรงมวล ประจกั ษ์ ว 2.1 ม3/5 วเิ คราะห์ • เมือ่ เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี มกี ารถ่ายโอนความรอ้ นควบคู่ ปฏิกิริยาดูดความร้อน และ ไปกับการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมของสาร ปฏิกิริยา ปฏิกิรยิ าคายความร้อน จาก ทมี่ กี ารถ่ายโอนความร้อนจากส่ิงแวดลอ้ มเข้าส่รู ะบบ การเปลย่ี นแปลงพลงั งาน เปน็ ปฏกิ ริ ิยาดดู ความร้อน ปฏิกิริยาทมี่ ีการถ่ายโอน ความรอ้ นของปฏิกริ ิยา ความร้อนจากระบบออกสสู่ ่ิงแวดลอ้ มเป็นปฏิกิริยา คายความร้อน โดยใช้เครือ่ งมือทเ่ี หมาะสมในการวัด อณุ หภูมิ เชน่ เทอร์มอมิเตอร์ หวั วัดที่สามารถ ตรวจสอบการเปลยี่ นแปลงของอุณหภูมไิ ด้อย่าง ตอ่ เนือ่ ง ม.3 ว 2.1 ม3/6 อธิบาย - ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่ีพบในชวี ิตประจำวนั มีหลายชนดิ เชน่ ตัวอย่าง ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ สนิมของ ปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ การเกดิ สนิมของเหล็ก ปฏิกริ ยิ า ปฏกิ ริ ยิ าใน เหลก็ ปฏิกิริยาของกรดกบั ของกรดกับโลหะ ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับเบส ปฏิกิริยา ชีวิตประจำวนั โลหะ ปฏิกิริยาของกรดกบั ของเบสกบั โลหะ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วย เบส และปฏิกริ ิยาของเบส แสง ปฏกิ ิรยิ าเคมสี ามารถเขียนแทนไดด้ ้วยสมการ กับโลหะ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ขอ้ ความ ซ่ึงแสดงชอ่ื ของสารตัง้ ตน้ และผลติ ภัณฑ์ เช่น ประจกั ษ์ และอธิบาย เช้ือเพลิง + ออกซเิ จน → คารบ์ อนไดออกไซด์ + นำ้

157 ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิ่น ม.3 ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ การเกิด ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมเ้ ปน็ ปฏิกิรยิ าระหวา่ งสารกับ ฝนกรด การสังเคราะห์ดว้ ย ออกซิเจน สารท่เี กิดปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้ส่วนใหญ่เปน็ แสง โดยใชส้ ารสนเทศ สารประกอบที่มีคารบ์ อนและไฮโดรเจนเปน็ รวมทง้ั เขยี นสมการข้อความ องค์ประกอบ ซ่ึงถา้ เกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะ แสดงปฏกิ ริ ยิ าดงั กล่าว ไดผ้ ลติ ภัณฑเ์ ปน็ คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ - การเกิดสนมิ ของเหลก็ เกดิ จากปฏกิ ิรยิ าเคมีระหวา่ ง เหล็ก นำ้ และออกซิเจน ได้ผลิตภัณฑ์ เป็นสนิมของ เหลก็ - ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้และการเกิดสนมิ ของเหล็ก เป็น ปฏิกริ ิยาระหว่างสารต่าง ๆ กับออกซเิ จน - ปฏิกิรยิ าของกรดกบั โลหะ กรดทำปฏิกิริยากับโลหะ ไดห้ ลายชนิด ได้ผลิตภณั ฑ์เป็นเกลือของโลหะและแก๊ส ไฮโดรเจน - ปฏิกิรยิ าของกรดกับสารประกอบคารบ์ อเนต ได้ ผลิตภณั ฑ์เป็นแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และนำ้ - ปฏิกริ ิยาของกรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เปน็ เกลอื ของ โลหะและนำ้ หรืออาจได้เพยี งเกลือของโลหะ - ปฏกิ ิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ปน็ เกลือของเบสและแก๊สไฮโดรเจน - การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏกิ ิริยาระหวา่ งนำ้ ฝนกบั ออกไซด์ของไนโตรเจน หรอื ออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทำใหน้ ้ำฝนมสี มบตั ิเปน็ กรด - การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื เปน็ ปฏิกิรยิ าระหว่าง แก๊สคาร์บอนไดออกไซดก์ บั น้ำ โดยมีแสงช่วยในการ เกดิ ปฏิกิรยิ า ได้ผลติ ภณั ฑเ์ ป็นน้ำตาลกลโู คสและ ออกซิเจน

158 ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถิน่ ม.3 ว 2.1 ม3/7 ระบปุ ระโยชน์ - ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวันมีท้ังประโยชน์ และโทษของปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่ และโท ษ ต่อส่ิงมี ชีวิตและส่ิงแวดล้ อม จึงต้อ ง มีต่อส่ิงมชี วี ิตและ ระมัดระวังผลจากปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนรู้จักวิธี สง่ิ แวดลอ้ ม และยกตัวอยา่ ง ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีท่ีพบ ใน วธิ กี ารป้องกันและแกป้ ัญหา ชวี ิตประจำวัน ที่เกดิ จากปฏิกริ ิยาเคมที ่ีพบ - ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี สามารถนำไปใช้ ในชวี ิตประจำวนั จากการ ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั และ สบื ค้นข้อมูล ว 2.1 ม3/8 ออกแบบวธิ ี สามารถบูรณาการกับคณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และ แกป้ ัญหาในชีวิตประจำวนั วศิ วกรรมศาสตร์ เพื่อใชป้ รบั ปรงุ ผลิตภัณฑ์ให้มี โดยใช้ความรู้ เก่ียวกับ คณุ ภาพตามต้องการหรืออาจสร้างนวัตกรรมเพื่อ ปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการ ปอ้ งกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากปฏกิ ริ ิยาเคมี โดยใช้ วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ความรู้เก่ียวกบั ปฏิกิริยาเคมี เช่น การเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีและ พลังงานความร้อนอันเน่อื งมาจากปฏกิ ริ ยิ าเคมี การ วศิ วกรรมศาสตร์ เพ่ิมปรมิ าณผลผลิต สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะการเคลื่อนทีแ่ บบ ตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถ่ิน -- - -

159 สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลีย่ นแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่าง สสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวติ ประจำวนั ธรรมชาติของคลืน่ ปรากฏการณ์ท่เี กย่ี วข้องกับเสยี ง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ท้องถนิ่ ม.3 ว 2.3 ม 3/1 วเิ คราะห์ เมือ่ ต่อวงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมกี ระแสไฟฟา้ - ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง ออกจากขวั้ บวกผา่ นวงจรไฟฟ้าไปยงั ขั้วลบของ ความตา่ งศักย์ แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ซึ่งวัดคา่ ได้จากแอมมเิ ตอร์ กระแสไฟฟ้า และความ - คา่ ทบ่ี อกความแตกตา่ งของพลังงานไฟฟ้าต่อ ตา้ นทาน และคำนวณ หนว่ ยประจุระหวา่ งจดุ 2 จดุ เรยี กว่า ความต่าง ปริมาณท่ีเก่ียวข้องโดยใช้ ศกั ย์ ซึง่ วดั ค่าได้จากโวลตม์ เิ ตอร์ สมการ V = IR จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ว 2.3 ม 3/2 เขียนกราฟ - ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีคา่ แปรผันตรงกับความ ความ สมั พนั ธ์ระหวา่ ง ตา่ งศักยร์ ะหวา่ งปลายทัง้ สองของตวั นำ โดย กระแส ไฟฟา้ และความ อตั ราส่วนระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า ต่างศักย์ ไฟฟา้ มคี ่าคงท่ี เรียกค่าคงทน่ี ีว้ ่า ความตา้ นทาน ว 2.3 ม 3/3 ใชโ้ วลต์ มเิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการ วดั ปรมิ าณทางไฟฟ้า ว 2.3 ม 3/4 วเิ คราะห์ - ในวงจรไฟฟา้ ประกอบดว้ ยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ความต่างศักยไ์ ฟฟ้าและ สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟา้ โดยอปุ กรณ์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ แต่ละชิ้นมีความตา้ นทาน ในการตอ่ ตัวต้านทาน เมื่อต่อตัวต้านทานหลาย หลายตวั มีทงั้ ต่อแบบอนุกรมและแบบขนาน ตวั แบบอนุกรมและแบบ - การตอ่ ตวั ต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน ขนานจากหลกั ฐานเชิง วงจรไฟฟ้า ความตา่ งศักย์ทีค่ รอ่ มตวั ต้านทาน ประจกั ษ์ แตล่ ะตวั มคี า่ เทา่ กับผลรวมของความต่างศักย์ที่ คร่อมตัวต้านทานแต่ละตวั โดยกระแสไฟฟา้ ท่ีผ่าน ตัวต้านทานแตล่ ะตัวมคี า่ เท่ากนั

160 ชนั้ ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถิ่น ม.3 ว 2.3 ม 3/5 เขยี น - การต่อตัวตา้ นทานหลายตัวแบบขนานใน แผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดง วงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผ่านวงจรมีคา่ การต่อตวั ต้านทานแบบ อนกุ รมและขนาน ว 2.3 ม 3/6 บรรยาย เท่ากบั ผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ผา่ นตัวตา้ นทาน การทำงานของชิ้นสว่ น แต่ละตวั โดยความต่างศกั ย์ทคี่ รอ่ มตวั ตา้ นทานแต่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์อยา่ งงา่ ยใน ละตัวมีค่าเท่ากัน วงจรจากขอ้ มลู ท่รี วบรวม - ช้ินส่วนอเิ ล็กทรอนิกสม์ หี ลายชนดิ เชน่ ตวั ได้ ตา้ นทาน ไดโอด ทรานซสิ เตอร์ ตวั เก็บประจุ โดย ช้ินสว่ นแตล่ ะชนดิ ทำหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกันเพ่ือให้ ว 2.3 ม 3/7 เขยี น วงจรทำงานได้ตามต้องการ แผนภาพและต่อชน้ิ สว่ น - ตวั ต้านทานทำหนา้ ท่ีควบคุมปริมาณ อเิ ล็กทรอนิกส์อย่างง่ายใน กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทำหนา้ ทใ่ี ห้ วงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ ผ่านทางเดียว ทรานซสิ เตอรท์ ำ หนา้ ที่เปน็ สวิตชป์ ดิ หรือเปิดวงจรไฟฟา้ และ ควบคมุ ปริมาณกระแสไฟฟ้า ตวั เก็บประจุทำ หนา้ ที่เกบ็ และคายประจุไฟฟ้า - เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าอย่างงา่ ยประกอบดว้ ย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนดิ ทที่ ำงานร่วมกนั การต่อวงจรอเิ ล็กทรอนกิ สโ์ ดยเลือกใช้ช้นิ ส่วน อเิ ล็กทรอนกิ ส์ทเี่ หมาะสมตามหน้าที่ของช้นิ ส่วน น้นั ๆ จะสามารถทำให้วงจรไฟฟ้าทำงานได้ตาม ตอ้ งการ ว 2.3 ม 3/8 อธิบายและ - เครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีค่ากำลังไฟฟ้าและความต่าง การคำนวณการใช้ คำนวณพลงั งานไฟฟ้าโดย ศักย์กำกับไว้ กำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็นวัตต์ ความ พลังงานไฟฟ้า ใช้สมการ W = Pt รวมท้ัง ต่างศักย์ มีหน่วยเป็นโวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิด บ้านของตนเอง คำนวณค่าไฟฟ้าของ จากพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด ซึ่งหาได้จากผล เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ในบ้าน คูณของกำลังไฟฟ้า ในหน่วยกิโลวัตต์ กับเวลาใน หน่วยช่วั โมง

161 ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ทอ้ งถิ่น ม.3 ว 2.3 ม 3/9 ตระหนกั ใน - วงจรไฟฟ้าในบ้านมีการต่อเคร่ืองใช้ไฟฟา้ แบบ คุณค่าของการเลือกใช้ ขนานเพื่อให้ความต่างศักย์เท่ากัน การใช้ เครอื่ งใช้ไฟฟา้ โดยนำเสนอ เครือ่ งใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันตอ้ งเลอื กใช้ วธิ กี ารใช้เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ท่ีมีความต่างศักยแ์ ละกำลงั ไฟฟ้า อย่างประหยดั และ ให้เหมาะกบั การใชง้ าน และการใชเ้ ครื่องใช้ไฟฟ้า ปลอดภยั และอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อย่างถกู ต้อง ปลอดภยั และประหยดั ว 2.3 ม 3/10สรา้ ง - คล่ืนเกดิ จากการส่งผ่านพลงั งานโดยอาศัย แบบจำลองที่อธบิ ายการ ตวั กลางและไม่อาศยั ตัวกลาง ในคลน่ื กล เกิดคล่นื และบรรยาย พลงั งานจะถกู ถ่ายโอนผ่านตวั กลางโดยอนุภาค สว่ นประกอบของคล่นื ของตวั กลางไม่เคล่อื นท่ไี ปกับคล่ืน คล่นื ทีแ่ ผ่ ออกมาจากแหลง่ กำเนิดคลื่นอย่างต่อเน่ืองและมี รปู แบบทซ่ี ำ้ กนั บรรยายไดด้ ้วยความยาวคลืน่ ความถีแ่ อมพลจิ ดู ว 2.3 ม 3/11 อ ธิบ าย - คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเปน็ คลื่นทไ่ี ม่อาศยั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าและ ตัวกลาง ในการเคล่ือนที่ มีความถ่ตี ่อเน่อื งเปน็ สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็ก ช่วงกว้างมาก เคลื่อนท่ใี นสุญญากาศดว้ ย ไฟฟ้าจากข้อมูลที่รวบรวม อตั ราเรว็ เทา่ กัน แตจ่ ะเคลื่อนทดี่ ว้ ยอัตราเรว็ ได้ ว 2.3 ม 3/12 ตระหนัก ตา่ งกันในตวั กลางอนื่ คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าแบ่ง ถึงประโยชน์และอันตราย ออกเป็นช่วงความถี่ต่าง ๆ เรียกวา่ สเปกตรัมของ จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ แตล่ ะช่วงความถ่มี ีชื่อเรยี ก โ ด ย น ำ เส น อ ก า ร ใ ช้ ตา่ งกนั ได้แก่ คลืน่ วทิ ยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ แสงทม่ี องเหน็ อลั ตราไวโอเลต รงั สเี อกซแ์ ละรงั สี และอัน ตรายจากคล่ืน แกมมา ซ่งึ สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ แ ม่ เห ล็ ก ไฟ ฟ้ าใน ชี วิ ต - เลเซอร์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาว ประจำวัน คล่ืนเดียว เป็นลำแสงขนานและมีความเข้มสูง นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการ

162 ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถิ่น สื่อสารมีการใช้เลเซอรส์ ำหรับสง่ สารสนเทศผา่ น เส้นใยนำแสง โดยอาศัยหลักการการสะท้อนกลับ หมดของแสง ดา้ นการแพทย์ใช้ในการผ่าตัด - คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ นอกจากจะสามารถนำไปใช้ ประโยชนแ์ ล้ว ยังมีโทษตอ่ มนุษยด์ ว้ ย เชน่ ถา้ มนษุ ยไ์ ดร้ ับรงั สอี ลั ตราไวโอเลตมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดมะเรง็ ผวิ หนัง หรอื ถ้าได้รังสี แกมมาซึง่ เปน็ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าท่มี ีพลังงานสูง และสามารถทะลุผา่ นเซลล์และอวยั วะได้ อาจ ทำลายเนอ้ื เย่ือหรืออาจทำให้เสยี ชีวติ ไดเ้ มื่อได้รับ รังสีแกมมาในปรมิ าณสูง ม.3 ว 2.3 ม 3/13 ออกแบบ - เม่ือแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนซึ่ง การทดลองและดำเนินการ เป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง โดยรังสีตก ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสม กระทบ เส้นแนวฉาก รังสีสะท้อนอยู่ในระนาบ ใน ก ารอ ธิ บ าย ก ฎ ก าร เดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน สะทอ้ นของแสง ภาพจากกระจกเงาเกิดจากรังสีสะท้อนตัดกัน หรือต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสี สะท้อนตัดกันจริง จะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนว รงั สสี ะท้อนใหไ้ ปตดั กัน จะเกิดภาพเสมอื น ว 2.3 ม 3/ 14 เ ขี ย น - เม่อื แสงเดินทางผ่านตัวกลางโปรง่ ใสท่ี - แผนภาพการเคลื่อนท่ีของ แตกตา่ งกนั เชน่ อากาศและน้ำ อากาศและแกว้ แสง แสดงการเกิดภาพ จะเกดิ การหกั เห หรืออาจเกดิ การสะท้อนกลบั จากกระจกเงา หมดในตวั กลางที่แสงตกกระทบ การหกั เหของ แสงผ่านเลนส์ทำให้เกดิ ภาพที่มีชนิดและขนาด ตา่ ง ๆ

163 ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ทอ้ งถิน่ ม.3 ว 2.3 ม 3/16 .เขยี น - แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสีต่าง ๆ เมื่อแสงขาว แผนภาพการเคลื่อนท่ีของ ผ่านปริซึมจะเกิดการกระจายแสงเป็นแสงสตี า่ ง แสง แสดงการเกดิ ภาพ ๆ เรียกว่า สเปกตรมั ของแสงขาว เมือ่ เคลื่อนที่ใน จากเลนสบ์ าง ตวั กลางใด ๆ ท่ีไมใ่ ช่อากาศ จะมีอัตราเรว็ ตา่ งกัน จงึ มีการหกั เหต่างกัน ว 2.3 ม 3/17 อธบิ าย - การสะทอ้ นและการหักเหของแสงนำไปใช้ ปรากฏการณ์ทเ่ี กีย่ วกับ อธบิ ายปรากฏการณท์ ีเ่ กย่ี วกับแสง เชน่ แสง และการทำงานของ รุ้ง มริ าจ และอธิบายการทำงานของทศั นอปุ กรณ์ ทัศนอุปกรณจ์ ากข้อมูลท่ี เช่น แวน่ ขยาย กระจกโคง้ จราจร กลอ้ ง รวบรวมได้ โทรทรรศน์ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และแว่นสายตา ว 2.3 ม 3/15 อธบิ าย - เมอ่ื แสงเดนิ ทางผ่านตวั กลางโปรง่ ใสที่ การหักเหของแสงเม่ือผา่ น แตกตา่ งกนั เชน่ อากาศและน้ำ อากาศและแก้ว ตวั กลางโปรง่ ใสท่แี ตกตา่ ง จะเกิดการหกั เห หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับ กัน และอธบิ ายการ หมดในตวั กลางที่แสงตกกระทบ การหกั เหของ กระจายแสงของแสงขาว แสงผา่ นเลนส์ทำใหเ้ กดิ ภาพที่มีชนิดและขนาด เมือ่ ผา่ นปรซิ ึมจาก ตา่ ง ๆ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ว 2.3 ม 3/18 เขยี น - ในการมองวตั ถุ เลนส์ตาจะถกู ปรับโฟกสั แผนภาพการเคล่ือนท่ีของ เพือ่ ให้เกิดภาพชดั ทจี่ อตา ความบกพรอ่ งทาง แสง แสดงการเกดิ ภาพ สายตา เช่น สายตาสนั้ และสายตายาว เป็น ของทศั นอปุ กรณ์และ เพราะตำแหน่งที่เกดิ ภาพไม่ได้อยู่ทีจ่ อตาพอดี จงึ เลนสต์ า ตอ้ งใชเ้ ลนสใ์ นการแก้ไขเพ่ือช่วยให้มองเหน็ เหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสัน้ ใชเ้ ลนส์ เว้า สว่ นคนสายตายาวใชเ้ ลนสน์ นู ว 2.3 ม 3/19 อธบิ ายผล - ความสว่างของแสงมผี ลตอ่ ดวงตามนุษย์ การใช้ ของความสว่างทีม่ ตี ่อ สายตาในสภาพแวดล้อมที่มีความสว่างไม่ ดวงตาจากข้อมูลที่ไดจ้ าก เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น การดู การสบื ค้น วัตถุในที่มี ความสว่างมากหรือน้อยเกินไป การ 2 จอ้ งดหู นา้ จอภาพเป็นเวลานาน ความสวา่ งบนพ้ื

164 ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถน่ิ ม.3 ว 2.3 ม 3/20 วดั ความ พ้ืนท่ีรับแสงมีหน่วยเป็นลักซ์ ความรู้เก่ียวกับความ - สวา่ งของแสงโดยใช้ สว่างสามารถนำมาใชจ้ ดั ความ อุปกรณ์วัดความสวา่ งของ สว่างให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น แสง การจัดความสว่างท่ีเหมาะสมสำหรับการอ่าน ว 2.3 ม 3/21 ตระหนัก หนงั สือ ในคุณค่าของความรู้ เร่อื ง ความสวา่ งของแสงท่ีมีต่อ ดวงตางโดยวิเคราะห์ สถานการณป์ ญั หาและ เสนอแนะการจัดความ สว่างให้เหมาะสมในการทำ กจิ กรรมตา่ ง

165 สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั ปฏสิ ัมพนั ธภ์ ายในระบบสุริยะทีส่ ่งผลตอ่ สิง่ มชี ีวติ และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ทอ้ งถ่นิ ม.3 ว 3.1 ม 3/1 อธบิ ายการโคจร - ในระบบสุริยะมดี วงอาทิตย์เปน็ ศนู ยก์ ลาง - ของดาวเคราะหร์ อบดวง โดยมดี าวเคราะห์และบรวิ าร ดาวเคราะห์ อาทิตยด์ ว้ ยแรงโน้มถ่วงจาก แคระ ดาวเคราะหน์ ้อย ดาวหาง และอนื่ ๆ สมการ เชน่ วัตถคุ อยเปอร์ โคจรอยูโ่ ดยรอบ ซง่ึ ดาว F = (Gm1m2)/r2 เคราะห์ และวตั ถุเหลา่ น้โี คจรรอบดวง อาทิตยด์ ้วยแรงโนม้ ถ่วง แรงโน้มถ่วงเป็น แรงดงึ ดดู ระหวา่ งวัตถุสองวตั ถุ โดยเปน็ สัดส่วนกบั ผลคูณของมวลทั้งสอง และเป็น สดั สว่ นผกผันกบั กำลงั สองของระยะทาง ระหว่างวตั ถทุ ง้ั สอง แสดงได้โดยสมการ F = (Gm1m2)/r2 เมอื่ F แทนความโน้มถ่วง ระหวา่ งมวลทัง้ สอง G แทนค่านิจโน้มถว่ ง สากล m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุท่ีสอง และ r แทน ระยะหา่ งระหวา่ งวตั ถุทั้งสอง ว 3.1 ม 3/2 สร้างแบบจำลอง - การท่ีโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะ ที่อธิบายการเกิดฤดู และการ ที่แกนโลกเอียงกับแนวต้ังฉากของระนาบ เคล่อื นท่ีปรากฏของดวง ทางโคจร ทำให้ส่วนต่างๆบนโลกได้รับ อาทติ ย์ ปริมาณแสงจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันใน รอบปเี กดิ เป็นฤดู กลางวนั กลางคืนยาวไม่เท่ากัน และตำแหน่งการข้ึน แ ล ะ ต ก ข อ ง ด ว ง อ า ทิ ต ย์ ที่ ข อ บ ฟ้ า แ ล ะ เส้ น ท า ง ก า ร ขึ้ น แ ล ะ ต ก ข อ ง ด ว ง อ า ทิ ต ย์ เปลย่ี นไปในรอบปี ซง่ึ ส่งผลตอ่ การดำรงชวี ิต

166 ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถน่ิ - ว 3.1 ม 3/3 - ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลก โลกและดวงจนั ทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ สรา้ ง รับแสงจากดวงอาทติ ย์ครึ่งดวงตลอดเวลา เมื่อดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลกได้หัน แบบจำลองที่ ส่วนสว่างมายังโลกแตกต่างกัน จึงทำให้คนบนโลกสังเกตส่วนสว่างของดวง อธิบายการ จนั ทร์แตกต่างไปในแต่ละวันเกดิ เป็นขา้ งขึ้นข้างแรม เกิดขา้ งขนึ้ - ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดยี วกนั กับท่ีโลกหมุนรอบตัวเอง จงึ ทำ ขา้ งแรม การ ให้เห็นดวงจนั ทรข์ ้นึ ช้าไปประมาณวันละ 50 นาที เปลี่ยนแปลง - แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์กระทำต่อโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ เวลาการขนึ้ นำ้ ข้ึนน้ำลง ซึ่งส่งผลต่อส่ิงแวดล้อมและส่ิงมีชีวิตบนโลก วันที่น้ำมีระดับการ และตกของ ขึน้ สูงสุดและลงต่ำสุดเรียก วันน้ำเกดิ ส่วนวนั ทร่ี ะดับน้ำมกี ารขึน้ และลงน้อย ดวงจันทร์ เรยี ก วันนำ้ ตาย โดยวนั นำ้ เกิด นำ้ ตาย มคี วามสัมพันธก์ บั ขา้ งข้ึนข้างแรม และการเกิด นำ้ ขึ้นนำ้ ลง ว 3.1 ม 3/4 - เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน - อธิบายการใช้ มากมาย มนุษย์ได้ใช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีอวกาศ เชน่ ระบบนำทางด้วย ประโยชนข์ อง ดาวเทยี ม (GNSS) การตดิ ตามพายุ สถานการณไ์ ฟปา่ เทคโนโลยี -ดาวเทยี มชว่ ยภัยแลง้ การตรวจคราบนำ้ มันในทะเล อวกาศ และ - โครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนาเพิ่มพนู ความรคู้ วามเข้าใจต่อโลก ยกตัวอยา่ ง ระบบสุรยิ ะและเอกภพมากข้ึนเปน็ ลำดับ ตัวอยา่ งโครงการสำรวจอวกาศ ความก้าวหนา้ เช่น การสำรวจสิ่งมีชวี ติ นอกโลก การสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสรุ ิยะ ของโครงการ การสำรวจดาวอังคาร และบริวารอน่ื ของดวงอาทิตย์ สำรวจอวกาศ จากข้อมลู ที่ รวบรวมได้ -

167 สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายใน โลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบัติภยั กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและภมู ิอากาศ โลก รวมทง้ั ผลตอ่ ส่งิ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม ชัน้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ -- ท้องถิ่น - - สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพอื่ การดำรงชีวติ ในสงั คมทม่ี ีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ ความรู้และทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ่นื ๆ เพื่อแก้ปญั หาหรอื พัฒนา งานอย่างมคี วามคดิ สรา้ งสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ ง เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบตอ่ ชวี ิต สงั คม และสงิ่ แวดล้อม ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถ่ิน ม.3 ว 4.1 ม 3/1 - เทคโนโลยมี ีการเปล่ยี นแปลงตลอดเวลาตั้งแต่อดตี - วเิ คราะหส์ าเหตุ หรอื ปัจจัย จนถงึ ปจั จบุ ัน ซึ่งมสี าเหตหุ รือปัจจัยมาจากหลาย ท่ีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง ดา้ น เชน่ ปัญหาหรือความต้องการของมนุษย์ ของเทคโนโลยี และ ความก้าวหนา้ ของศาสตร์ต่าง ๆ การเปลย่ี นแปลง ความสมั พันธ์ของเทคโนโลยี ทางดา้ นเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม กบั ศาสตร์อืน่ โดยเฉพาะ - เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะ วทิ ยาศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตร์เป็นพ้ืนฐานความรู้ ท่ี คณิตศาสตร์ เพื่อเปน็ แนว นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี และเทคโนโลยีที่ได้ ทางการแก้ปัญหาหรือ สามารถเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ค้นคว้า พฒั นางาน เพือ่ ให้ได้มาซ่ึงองค์ความรใู้ หม่

168 ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ ทอ้ งถน่ิ ม.3 ว 4.1 ม 3/2 . ระบปุ ญั หา - ปัญหาหรือความต้องการอาจพบได้ในงานอาชีพ - หรอื ความต้องการของ ของชุมชนหรือท้องถ่ิน ซึ่งอาจมีหลายด้าน เช่น ด้าน ชมุ ชนหรือท้องถ่นิ เพื่อ การเกษตร อาหาร พลงั งาน การขนสง่ พฒั นางานอาชีพ สรปุ กรอบ - การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาช่วยให้เข้าใจ ของปญั หา รวบรวม เงื่อนไขและกรอบของปัญหาได้ชัดเจน จากน้ัน วิเคราะห์ข้อมูลและแนวคดิ ดำเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์ ทเ่ี ก่ียวข้องกบั ปัญหา โดย ต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือนำไปสู่การออกแบบแนว คำนงึ ถงึ ความถูกต้องด้าน ทางการแก้ปัญหา ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา

169 รหสั ตัวชี้วดั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรยี นร้ทู ้องถ่ิน ม.3 ว 4.1 ม 3/3 ออกแบ บ - การวิเคราะห์ เปรียบเทยี บ และตดั สินใจเลือก - วิ ธี ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า โด ย ข้อมลู ทจ่ี ำเป็น โดยคำนึงถึงทรัพย์สินทางปัญญา วิเคราะห์เปรียบเทียบ และ เงอ่ื นไขและทรัพยากร เช่น งบประมาณ เวลา ตั ด สิ น ใจ เลื อ ก ข้ อ มู ล ท่ี ข้อมูลและสารสนเทศ วสั ดุ เครื่องมือและ จำเป็นภายใต้เง่ือนไขและ อุปกรณ์ ชว่ ยใหไ้ ดแ้ นวทางการแกป้ ัญหาที่ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ นำเสนอ เหมาะสม แนวทางการแก้ปัญหาให้ - การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทำได้ ผู้อ่ืนเข้าใจด้วยเทคนิคหรือ หลากหลายวธิ ี เชน่ การร่างภาพ การเขยี น วิ ธี ก า ร ที่ ห ล า ก ห ล า ย แผนภาพ การเขยี นผงั งาน ว า ง แ ผ น ขั้ น ต อ น ก า ร - เทคนิคหรือวิธกี ารในการนำเสนอแนวทาง การ ท ำงาน แ ล ะด ำเนิ น ก าร แกป้ ัญหามีหลากหลาย เช่น การใชแ้ ผนภมู ิ แกป้ ัญหาอย่างเป็นขนั้ ตอน ตาราง ภาพเคลื่อนไหว - การกำหนดข้นั ตอนและระยะเวลาในการ ทำงานก่อนดำเนินการแก้ปญั หาจะช่วยให้การ ทำงานสำเร็จได้ตามเปา้ หมาย และลด ข้อผิดพลาดของการทำงานท่ีอาจเกดิ ขึน้ ว 4.1 ม 3/4 ทดสอบ - การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบ ประเมินผล วิเคราะห์ และ ช้ินงานหรือวิธีการวา่ สามารถแกป้ ญั หาได้ตาม ใหเ้ หตุผลของปญั หาหรอื วตั ถปุ ระสงคภ์ ายใต้กรอบของปญั หา เพ่ือหา ข้อบกพร่องทเ่ี กิดขน้ึ ภายใต้ ข้อบกพร่อง และดำเนนิ การปรบั ปรงุ โดยอาจ กรอบเงื่อนไข พร้อมท้งั หา ทดสอบซ้ำเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ แนวทางการปรับปรงุ แก้ไข - การนำเสนอผลงานเปน็ การถา่ ยทอดแนวคิด และนำเสนอผลการ เพอื่ ให้ผู้อ่นื เข้าใจเกีย่ วกับกระบวนการทำงาน แก้ปัญหา และชนิ้ งานหรอื วิธีการท่ีได้ ซ่ึงสามารถทำได้ หลายวธิ ี เชน่ การเขยี นรายงาน การทำแผ่น นำเสนอผลงาน การจัดนทิ รรศการ การนำเสนอ ผ่านสือ่ ออนไลน์

170 ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ ท้องถนิ่ ว 4.1 ม 3/5 ใช้ความรู้ - วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกต่างกนั เช่น และทกั ษะเกี่ยวกบั วัสดุ ไม้ โลหะ พลาสตกิ เซรามิก จึงต้องมีการ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื กลไก วเิ คราะห์สมบตั ิเพื่อเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกับ ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ลักษณะของงาน ใหถ้ กู ต้องกับลกั ษณะของ - การสร้างชิน้ งานอาจใชค้ วามรู้ เร่อื งกลไก งาน และปลอดภยั เพ่อื ไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนิกส์ เช่น LED LDR แกป้ ัญหาหรือพฒั นางาน มอเตอร์ เฟือง คาน รอก ล้อ เพลา - อุปกรณแ์ ละเครื่องมือในการสรา้ งช้ินงาน หรือพัฒนาวธิ ีการมีหลายประเภท ต้อง เลือกใชใ้ หถ้ ูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทง้ั รจู้ ักเก็บรักษา

171 สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปญั หาท่พี บในชีวติ จริงอยา่ งเปน็ ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแกป้ ัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รเู้ ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ทอ้ งถิน่ ม.3 ว 4.2 ม3/1 พฒั นาแอปพลิเค - ข้นั ตอนการพฒั นาแอปพลเิ คชนั - ชันท่มี กี ารบูรณาการกับวิชาอ่ืน - Internet of Things (IoT) อย่างสร้างสรรค์ - ซอฟต์แวรท์ ี่ใชใ้ นการพัฒนาแอปพลเิ คชนั เชน่ Scratch, python, java, c, AppInventor - ตัวอย่างแอปพลิเคชัน เช่น โปรแกรมแปลง สกุล เงิน โปรแกรมผนั เสียงวรรณยุกต์ โปรแกรม จำลองการแบง่ เซลล์ ระบบรดนำ้ อัตโนมตั ิ ว 4.2 ม3/2 รวบรวมขอ้ มลู - การรวบรวมข้อมลู จากแหล่งขอ้ มูลปฐมภูมิและ ประมวลผล ประเมินผล ทุติยภูมิ ประมวลผล สร้างทางเลอื ก ประเมนิ ผล นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ จะทำให้ได้สารสนเทศเพ่ือใช้ในการแกป้ ัญหาหรอื ตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ การตดั สินใจได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ซอฟต์แวร์หรือบรกิ ารบน - การประมวลผลเป็นการกระทำกบั ข้อมูล เพือ่ ให้ อนิ เทอรเ์ น็ตทีห่ ลากหลาย ได้ผลลพั ธ์ท่ีมีความหมายและมีประโยชนต์ อ่ การ นำไปใช้งาน - การใช้ซอฟตแ์ วรห์ รือบริการบนอนิ เทอรเ์ น็ต ที่ หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ ง ทางเลอื ก ประเมนิ ผล นำเสนอ จะชว่ ยให้ แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ถูกต้อง และแมน่ ยำ - ตวั อย่างปญั หา เช่น การเลือกโปรโมชันโทรศัพท์ ให้เหมาะกบั พฤติกรรมการใช้งาน สินคา้ เกษตร ท่ี ตอ้ งการและสามารถปลกู ได้ในสภาพดนิ ของ ท้องถ่ิน

172 ชนั้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ ทอ้ งถิ่น ม.3 ว 4.2 ม3/3 ประเมิน - การประเมินความน่าเชื่อถอื ของขอ้ มลู เช่น ความน่าเชื่อถือของขอ้ มูล ตรวจสอบและยนื ยนั ข้อมูล โดยเทยี บเคยี งจาก วิเคราะหส์ ่อื และ ขอ้ มลู หลายแหลง่ แยกแยะข้อมูลที่เปน็ ผลกระทบจากการให้ ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น หรอื ใช้ PROMPT ข่าวสารทีผ่ ิด เพ่อื การใช้ - การสืบคน้ หาแหลง่ ตน้ ตอของข้อมลู งานอย่างรเู้ ท่าทัน - เหตุผลวบิ ัติ (logical fallacy) - ผลกระทบจากขา่ วสารทผี่ ิดพลาด - การรู้เทา่ ทันสื่อ เชน่ การวเิ คราะห์ถึง จุดประสงคข์ องข้อมลู และผู้ใหข้ ้อมลู ตีความ แยกแยะเนื้อหาสาระของส่อื เลอื กแนวปฏิบัติได้ อยา่ งเหมาะสม เม่ือพบข้อมูลตา่ ง ๆ ว 4.2 ม3/4 ใชเ้ ทคโนโลยี - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เชน่ สารสนเทศอย่างปลอดภยั การทำธรุ กรรมออนไลน์ การซื้อสินคา้ ซื้อ และมคี วามรบั ผิดชอบต่อ ซอฟต์แวร์ คา่ บรกิ ารสมาชกิ ซอื้ ไอเท็ม สงั คม ปฏิบัติตามกฎหมาย - การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งมีความ เก่ยี วกบั คอมพิวเตอร์ ใช้ รบั ผิดชอบ เชน่ ไม่สรา้ งขา่ วลวง ไมแ่ ชรข์ อ้ มลู ลขิ สิทธิข์ องผู้อืน่ โดยชอบ โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ธรรม - กฎหมายเกยี่ วกบั คอมพวิ เตอร์ - การใชล้ ิขสิทธิข์ องผู้อืน่ โดยชอบธรรม (fair use)

173 โครงสร้างรายวชิ า ว 23101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชวั่ โมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั เน้ือหา เวลา นำ้ หนกั 1. ไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า (ช่วั โมง) คะแนน ว 2.3 ม.3/1-4 - ปรมิ าณทางไฟฟา้ ว 2.3 ม.3/-7 - วงจรไฟฟา้ 40 30 ว 2.3 ม.3/8-9 - พลังงานไฟฟา้ ว 2.3 ม.3/10-12 - แม่เหล็กไฟฟา้ ว 2.3 ม.3/13-21 - สมบตั ขิ องแสง 2. ปรากฏการณบ์ นท้องฟ้า ว 3.1ม.3/1-3 - ดวงอาทิตย์ โลก ดวงจนั ทร์ 20 10 และเทคโนโลยีอวกาศ ว 3.1ม.3/4 - เทคโนโลยีอวกาศ 3. การใช้เทคโนโลยี ว 4.1 ม.3/1 - เทคโนโลยกี ับศาสตรต์ า่ งๆ 18 10 ว 4.1 ม.3/2-4 - การแกป้ ญั หาผา่ นเทคโนโลยี - วัสดอุ ปุ กรณ์ เครื่องมือ ว 4.1 ม.3/5 คะแนนระหวา่ งเรียน หน่วยการเรยี นรู้ 78 50 สอบระหว่างภาค 1 20 คะแนนปลายภาค 1 30 รวมท้งั สนิ้ ตลอดภาคเรียน สอบปลายภาค 80 100 หมายเหตุ - อตั ราส่วนคะแนนระหว่างเรียนกบั การสอบปลายภาค 70/30

174 โครงสร้างรายวิชา ว 23101 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ชวั่ โมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตัวช้ีวดั เนื้อหา เวลา น้ำหนกั (ชัว่ โมง) คะแนน 1. ระบบนิเวศและส่งิ มีชีวิต ว1.1 ม.3/1 - ระบบนิเวศ 18 10 ว1.1 ม.3/2 - ความสัมพนั ธส์ ่ิงมชี วี ติ ว1.1 ม.3/3-6 - การถา่ ยทอดพลังงาน 2. วสั ดแุ ละปฏิกิรยิ าเคมี ว2.1 ม.3/1-2 - สมบตั ิทางกายภาพของวัสดุ 20 10 3. พนั ธกุ รรม - ปฏกิ ริ ิยาเคมี 20 ว2.1 ม.3/3-8 ว1.3 ม.3/1 - ยนี ดีเอ็นเอ โครโมโซม 25 ว1.3 ม.3/2-3 - การถ่ายทอดลักษณะทาง พนั ธุกรรม ว1.3 ม.3/4 - การแบง่ เซลล์ ว1.3 ม.3/5-6 - โรคทางพันธกุ รรม ว1.3 ม.3/7-8 - สงิ่ มีชีวติ ดดั แปรพันธกุ รรม - ความหลากหลายทาง ว1.3 ม.3/9-11 ชวี ภาพ 4. เทคโนโลยี ว4.2 ม.3/1 - แอปพลิเคชัน่ 15 10 ว4.2 ม.3/2 - ข้อมูลและสารสนเทศ ว4.2 ม.3/3-4 - การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ คะแนนระหวา่ งเรยี น หน่วยการเรยี นรู้ 78 50 1 20 สอบระหว่างภาค 1 30 80 100 คะแนนปลายภาค สอบปลายภาค รวมทัง้ สิ้นตลอดภาคเรียน หมายเหตุ - อัตราสว่ นคะแนนระหว่างเรียนกับการสอบปลายภาค 70/30

175 คำอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ ว 23201 เทคโนโลยี 5 (การสรา้ งเวปเพจ1) กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 40 ช่ัวโมง จำนวน 1.0 หน่วยกติ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ศึกษา วเิ คราะห์ อภปิ ราย สรุประดับของเทคโนโลยี การสร้างสิง่ ของเคร่ืองใช้หรอื วธิ กี ารตามกระบวนการ เทคโนโลยี หลักการทำโครงงาน การนำเสนองาน การใช้โปรแกรมกราฟิก การสร้างชน้ื งานตามหลักการทำ โครงงาน อธิบายความหมาย บอกประโยชนข์ องโปรแกรม Photo Impact เรียกใช้งาน Photo Impact และ สามารถสร้างชิน้ งานกราฟกิ และใสเ่ อฟเฟ็กต์ในโปรแกรม Photo Impact การสร้างเวปเพจ โดยใช้ Dream Weaver เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ มีทักษะ เจตคติ เหน็ ความสำคัญ และสามารถสร้างงานกราฟกิ พร้อมท้งั ใสเ่ อฟ เฟก็ งานของตนเอง การสรา้ งเวปเพจ โดยใชโ้ ปรแกรม Dream Weaver นำหลกั การทำโครงงานมาพัฒนาผลงาน ตามความสนใจ และความถนัด อยา่ งเป็นระบบ โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ให้เหมาะสมกับระดับของเทคโนโลยี มหี ลักการใชโ้ ปรแกรมในการนำเสนอผลงาน และโปรแกรมกราฟิก โปรแกรมสรา้ งเวปเพจ ดว้ ยกระบวนการคิด วิเคราะห์ กระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม จนสามารถสรา้ งช้ินงานจากจินตนาการ สรา้ งชน้ิ งานตามหลกั การทำโครงงานอย่างสรา้ งสรรค์ มีจิตสำนกึ ในการใชท้ รัพยากรอยา่ งคุ้มค่า ไม่คดั ลอก งานผู้อืน่ ใชค้ ำสุภาพ และไม่สร้างความเสยี หายแกผ่ ู้อ่นื ผลการเรยี นรู้ 1.นักเรียนสามารถศึกษา วิเคราะห์ อภิปราย สรปุ ระดับของเทคโนโลยี 2.นักเรียนสามารถสร้างสง่ิ ของเคร่ืองใช้ หรือวธิ กี ารตามกระบวนการเทคโนโลยีได้ 3.นักเรียนสามารถสร้างชิ้นงานตามหลักการทำโครงงานคอมพวิ เตอร์ได้ 4.สามารถสร้างภาพงานกราฟิกโดยใช้โปรแกรม Photo Impact ได้ 5.สามารถใช้โปรแกรม Dream Weaver สรา้ งเวปเพจ ได้ 6.สามารถนำหลกั การทำโครงงาน มาพฒั นาผลงานตามความสนใจและความถนัดไดอ้ ย่างเปน็ ระบบ

176 โครงสร้างรายวิชา ว 23201 วชิ า เทคโนโลยี 5 (การสร้างเวปเพจ1) กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรยี น 1 เวลา 40 ชวั่ โมง จำนวน 1.0 หน่วยกิต หน่วยที่ 1 ชอื่ หน่วยการเรียน เวลา (ช่ัวโมง) น้ำหนกั คะแนน 3 10 1 การสรา้ งชิน้ งานตามหลกั การทำโครงงานคอมพิวเตอร์ 5 20 2 งานกราฟฟคิ กบั โปรแกรม Photo Impact 2 10 3 การออกแบบและการทำเวปเพจ 5 20 4 การทำเวปเพจด้วยโปรแกรม Dream Weaver 5 10 5 การนำเสนองาน เวปเพจ ด้วยโปรแกรม Dream - 70 Weaver - 10 คะแนน คะแนนหน่วยการเรียนรู้ - 20 ระหว่างเรียน สอบระหวา่ งภาค คะแนน สอบปลายภาค 20 100 ปลายภาค รวมทั้งสิ้นตลอดภาคเรียน

177 คำอธบิ ายรายวชิ าเพ่ิมเติม ว 23202 เทคโนโลยี 6 (การสร้างภาพเคลอื่ นไหว) กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 40 ชัว่ โมง จำนวน 1.0 หนว่ ยกติ ............................................................................................................................. ......................................... ศึกษาหลกั การทางานของแอนิเมชนั ขัน้ ตอนการเตรียมงานสำหรบั ทำแอนเิ มชัน ขัน้ ตอนในการ ผลิตงานสาหรับทำแอนิเมชัน สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์งานแอนิเมช่ันโดยการปฏิบัติการ สร้างงานแอนิเมชันสองมิติหรือสามมิติอย่างสากล โดยการออกแบบสร้างสรรค์ตามจิตนาการได้อย่างเหมาะสมใน รูปแบบของมัลติมีเดีย ท่ีเกี่ยวกับภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวและการน าโปรแกรมมาประยุกต์ในการสร้างชิ้นงาน และการน าเสนอผลงาน ร้จู กั แกป้ ัญหา อธิบายวิเคราะห์ และทำงานอยา่ งมีประสิทธภิ าพ เพ่อื ให้พฒั นาผ้เู รยี นให้ใชค้ อมพิวเตอรส์ รา้ งสรรคผ์ ลงานได้อย่างถูกวิธีทำงานอย่างมีประสิทธภิ าพ และมีประสิทธิผล สามารถนำเสนอผลงานได้อย่างมืออาชีพ สามารถนำความรู้และทักษะการสร้างแอนิเมชันไป ประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวันได้อย่างมีจิตสำนึกที่ดีมีความรับผิดชอบ มีคุณธรรม รวมถึงใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด คมุ้ คา่ และมีคุณธรรม ผลการเรียนรู้ 1. ผ้เู รยี นอธิบายหลกั การสรา้ งงานแอนิเมชนั 2. ผู้เรียนอธบิ ายขัน้ ตอนการเตรียมงานสำหรับทำแอนิเมช่ัน 3. ผเู้ รียนปฏิบตั กิ ารสรา้ งสรรค์งานแอนิเมชันสองมติ ิ อย่างมีคณุ ธรรมโดยไม่ลอกเลียนผลงาน ของคนอ่ืน 4. ผเู้ รียนปฏบิ ตั ิการสรา้ งสรรค์งานแอนิเมชันสามมติ ิ อยา่ งมีคณุ ธรรมโดยไมล่ อกเลยี นผลงาน ของคนอนื่

178 โครงสรา้ งรายวชิ า ว 23202 เทคโนโลยี 6(การสร้างภาพเคลือ่ นไหว) กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 40 ชว่ั โมง จำนวน 1.0 หน่วยกิต ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตัวช้ีวดั เน้ือหา จำนวน น้ำหนัก (ช่วั โมง) คะแนน หลักการทำงาน มฐ ว4.1 วม.3/1-5 หลกั การทำงานของแอนนิเมช่ัน แอนิเมชนั มฐ ว4.2 ม.3/1-5 5 20 5 ปฏบิ ตั ิการสรา้ ง ขั้นตอนในการ 10 25 20 แอนิเมชัน 2D ผลติ งานสาหรบั ทำแอนเิ มชนั 25 80 ปฏิบตั ิการสรา้ ง ปฏบิ ัตกิ ารสร้างงานแอนิเมชันสองมติ ิหรือสา 70 แอนิเมชัน 3D มิตอิ ย่างสากล 10 20 คะแนนระหวา่ งเรียน หน่วยการเรียนรู้ 100 สอบระหว่างภาค คะแนนปลายภาค สอบปลายภาค รวมท้ังสิน้ ตลอดภาคเรียน หมายเหตุ - อัตราส่วนคะแนนระหวา่ งเรียนกบั การสอบปลายภาค 80/20

179 แนวการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็น เป้าหมายสำหรบั พฒั นาเดก็ และเยาวชน ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝัง เสริมสรา้ งคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ พฒั นาทกั ษะตา่ งๆ อนั เปน็ สมรรถนะสำคญั ใหผ้ ู้เรยี นบรรลุตามเป้าหมาย 1. หลักการจดั การเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญ และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานโดยยึดหลักว่าผู้เรียนมี ความสำคัญท่ีสุด เช่ือว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสรมิ ให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ คำนึงถึงความ แตกตา่ งระหวา่ งบุคคลและพฒั นาการทางสมอง เนน้ ใหค้ วามสำคัญท้งั ความรู้ และคณุ ธรรม 2. กระบวนการเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็น เครอ่ื งมือที่จะนำพาตนเองไปส่เู ป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรยี นรู้ทีจ่ ำเป็นสำหรบั ผูเ้ รียน อาทิ กระบวนการ เรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ สถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจดั การ กระบวนการวจิ ยั กระบวนการเรยี นรู้การเรียนร้ขู องตนเอง กระบวนการพฒั นาลักษณะนิสยั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทกั ษะทางสติปัญญา (Intellectual) ที่นกั วทิ ยาศาสตร์และผู้ท่ี นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น 13 ทกั ษะ ทกั ษะท่ี 1-8 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น พื้นฐาน และทักษะท่ี 9-13 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันสูงหรือขั้นผสมหรือข้ันบูรณาการ ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทั้ง 13 ทักษะ มดี ังน้ี 1. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่าง รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพื่อค้นห้าข้อมูลซึ่งเป็น รายละเอียดของสิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิง คุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลท่ีเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงที่สังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์นั้น

180 ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการช้ีบ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะ ประมาณและการบรรยายการเปล่ยี นแปลงของสงิ่ ทีส่ ังเกตได้ 2. การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลท่ีได้จาก การสังเกตอย่างมีเหตผุ ล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถทีแ่ สดงให้เห็นวา่ เกิดทักษะนี้ คือ การอธบิ ายหรอื สรปุ โดยเพม่ิ ความคดิ เห็นใหก้ บั ข้อมูลโดยใชค้ วามรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย 3. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งท่ีมีอยู่ใน ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่าง หนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะน้ีแล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ท่ีผู้อื่นกำหนดให้ได้ นอกจากนั้นสามารถเรียงลำดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของส่ิงของนั้นโดยใช้ อะไรเปน็ เกณฑ์ 4. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือนั้นทำการวัดหา ปริมาณของส่ิงต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับส่ิงท่ีวัด แสดงวิธีใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง พรอ้ มทง้ั บอกเหตุผลในการเลือกใชเ้ ครอ่ื งมือ รวมทัง้ ระบหุ น่วยของตวั เลขที่ได้จากการวัดได้ 5. การใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขที่แสดง จำนวนที่นับได้มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉล่ีย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิด ทกั ษะนี้ ได้แก่ การนบั จำนวนส่ิงของไดถ้ ูกตอ้ ง เช่น ใช้ตัวเลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสนิ ไดว้ ่าวัตถุ ในแตล่ ะกลุ่มมี จำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกัน เป็นต้น การคำนวณ เช่น บอกวิธีคำนวณ คิดคำนวณ และแสดงวิธีคำนวณได้อย่าง ถกู ตอ้ ง และประการสดุ ท้ายคอื การหาค่าเฉลีย่ เชน่ การบอกและแสดงวิธีการหาค่าเฉลีย่ ไดถ้ ูกตอ้ ง 6. การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา(Using Space/Time Relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างท่ีวัตถุนั้นครองที่อยู่ ซ่ึงมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุนั้นโดยทั่วไป แล้วสเปสของวัตถุจะมี 3 มติ ิ คอื ความกว้าง ความยาว และความสูง ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งท่ีของวัตถุหน่ึงกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะ การหา ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป 2 มิติ และ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มิติ จากวัตถุหรือ จากภาพ 3 มิติ ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปล่ียนตำแหน่งท่ีอยู่ของวัตถุกับ เวลา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุท่ีเปล่ียนไปกับเวลาความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา ความสมั พันธ์ระหวา่ งสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตำแหน่งและทิศทางของวตั ถโุ ดยใช้ตัวเองหรือวัตถอุ ่ืนเป็นเกณฑ์ บอกความสัมพันธร์ ะหว่างการเปลีย่ นตำแหน่ง เปลี่ยนขนาด หรอื ปรมิ าณของวัตถกุ บั เวลาได้

181 7. การส่ือความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอ่ืน ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือ คำนวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีข้ึน โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะน้ีแล้ว คือการ เปล่ียนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ท่ีเข้าใจดีข้ึน โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบท่ีใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่าง เหมาะสม บอกเหตุผลในการเสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอข้อมูลนั้น การเสนอข้อมูลอาจกระทำได้หลายแบบ ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลในรูปของตาราง การบรรจุข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางปกติจะใส่ค่า ของตัวแปรอิสระไว้ทางซ้ายมือของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของตัวแปร อสิ ระไว้ให้เรยี งลำดบั จากคา่ น้อยไปหาค่ามาก หรอื จากคา่ มากไปหาคา่ นอ้ ย 8. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัย ปรากฏการณ์ท่ีเกิดซ้ำ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฏที ี่มีอยู่แล้วในเรือ่ งนั้นมาช่วยสรุป เช่น การพยากรณ์ข้อมูลเกี่ยวกับ ตวั เลข ได้แก่ ข้อมลู ท่ีเป็นตารางหรอื กราฟ ซ่งึ ทำได้สองแบบ คือ การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมูลที่มีอยู่ กับ การพยากรณ์นอกขอบของขอ้ มูลทีม่ ีอยู่ เชน่ การพยากรณ์ผลของข้อมูลเชิงปรมิ าณ เป็นตน้ 9. การช้ีบ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้ บง่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรท่ตี อ้ งควบคมุ ใหค้ งที่ในสมมุติฐาน หนึ่ง ๆ ตวั แปรต้น หมายถึง ส่ิงท่ีเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลต่าง ๆ หรือส่ิงที่เราต้องการทดลองดูว่าเป็นสาเหตุ ที่กอ่ ใหเ้ กดิ ผลเช่นนนั้ จรงิ หรอื ไม่ ตวั แปรตาม หมายถงึ สิ่งท่ีเป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เมื่อตัวแปรตน้ หรือส่งิ ท่ีเป็นสาเหตุเปล่ียนไป ตัวแปรตามหรอื สง่ิ ทีเ่ ปน็ ผลจะแปรตามไปด้วย ตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นท่ีจะทำให้ผลการทดลอง คลาดเคลอ่ื น ถ้าหากวา่ ไม่มกี ารควบคมุ ให้เหมอื นกนั 10. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อน ทำการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คำตอบที่คิดล่วงหน้าน้ี ยังไม่ ทราบ หรือยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมุติฐาน คือคำตอบที่คิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็นข้อความท่ี บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุติฐานที่ตั้งข้ึนอาจถูกหรือผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ภายหลังการ ทดลองหาคำตอบเพ่ือสนับสนุนสมมุติฐานหรือคัดค้านสมมุติฐานที่ต้ังไว้ สิ่งท่ีควรคำนึงถึงในการต้ังสมมุติฐาน คือ การ บ อกชื่ อ ตั ว แ ป รต้ น ซ่ึ งอา จ มีผ ล ต่ อตั วแ ป รต า มแ ล ะใน กา ร ตั้ งส มมุ ติ ฐ าน ต้ อ งท ราบ ตั วแ ป ร จ าก ปั ญ ห าแ ล ะ สภาพแวดล้อมของตัวแปรนั้น สมมุตฐิ านทต่ี ้ังขึ้นสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการทดลอง ซึ่งต้องทราบว่า ตัวแปรไหนเปน็ ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตวั แปรทตี่ อ้ งควบคมุ ให้คงที่

182 11. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถึง การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและบอกวิธีวัดตัว แปรท่เี ก่ียวกบั การทดลองนน้ั 12. การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบจาก สมมุตฐิ านที่ตั้งไว้ ในการทดลองจะประกอบไปดว้ ยกจิ กรรม 3 ขน้ั คอื 12.1 ออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจริง 12.2 ปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม 12.3 การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ไดจ้ ากการทดลองซ่ึงอาจเป็น ผลจากการสงั เกต การวัด และอื่น ๆ ไดอ้ ย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบนั ทึกผลการทดลอง อาจอยู่ในรปู ตาราง หรือการเขียนกราฟ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัวแปรบน แกนตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมทง้ั แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของค่าของตัวแปรทั้งสอง บนกราฟด้วย ในการทดลองแต่ละคร้ังจำเป็นอาศัยการวิเคราะห์ตัวแปรต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง คือสามารถที่จะบอกชนิด ของตัวแปรในการทดลองว่า ตัวแปรน้นั เป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตัวแปรที่ตอ้ งควบคุม ในการทดลองหนึ่ง ๆต้องมีตัวแปรตัวหน่ึงเท่าน้ันที่มีผลต่อการทดลอง และเพ่ือให้แน่ใจว่าผลที่ได้เกิดจากตัวแปรน้ันจริง ๆ จำเป็นต้อง ควบคุมตวั แปรอืน่ ไม่ให้มีผลต่อการทดลอง ซ่งึ เรยี กตวั แปรนว้ี า่ ตวั แปรท่ีตอ้ งควบคมุ ให้คงท่ี 13. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conlusion) การตคี วามหมายข้อมลู หมายถึง การแปลความหมายหรอื บรรยายลักษณะข้อมลู ทม่ี ีอยู่ การตคี วามหมายข้อมูล ใน บางคร้ังอาจต้องใช้ทักษะอื่นๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคำนวณ เป็นต้น และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุป ความสัมพันธ์ของข้อมูลท้ังหมด ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ของ ข้อมูลได้ เช่น การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถ้ากราฟเป็นเส้นตรงก็สามารถอธิบายได้ว่าเกิด อะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะท่ีตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟเส้นโค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธบิ ายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลังจากท่ีกราฟเส้น โค้งเปล่ยี นทิศทางแล้ว. กระบวนการเหล่านเ้ี ป็นแนวทางในการจัดการเรียนร้ทู ่ีผเู้ รียนควรไดร้ ับการฝกึ ฝนพัฒนา เพราะจะสามารถ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจใน กระบวนการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้สามารถเลอื กใช้ในการจัดกระบวนการเรยี นร้ไู ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพ

183 3. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สมรรถนะสำคัญของ ผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการ เรียนรโู้ ดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็ม ตามศักยภาพและบรรลุตามเปา้ หมายท่ีกำหนด 4. บทบาทของผู้สอนและผู้เรยี น การจัดการเรียนรู้เพื่อใหผ้ ู้เรียนมีคุณภาพตามเปา้ หมายของหลักสูตร ท้ังผู้สอนและผู้เรียนควรมีบทบาท ดังน้ี 4.1 บทบาทของผู้สอน 1) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลแล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ท่ีท้าทายความสามารถของผ้เู รียน 2) กำหนดเปา้ หมายท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดข้ึนกับผเู้ รยี น ด้านความรูแ้ ละทกั ษะกระบวนการที่เป็น ความคิดรวบยอด หลกั การ และความสมั พันธ์ รวมท้ังคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและ พัฒนาการทางสมอง เพ่ือนำผ้เู รียนไปสูเ่ ป้าหมาย 4) จัดบรรยากาศทีเ่ อ้อื ตอ่ การเรียนรู้ และดแู ลช่วยเหลอื ผู้เรียนใหเ้ กดิ การเรียนรู้ 5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถ่ิน เทคโนโลยีท่ี เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของ วิชาและระดับพฒั นาการของผูเ้ รยี น 7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุงการ จดั การเรียนการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผ้เู รียน 1) กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรขู้ องตนเอง 2) เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถึงแหล่งการเรยี นรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ต้งั คำถามคิดหา คำตอบหรอื หาแนวทางแก้ปญั หาดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ 3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปส่ิงที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเองและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ 4) มีปฏสิ มั พนั ธ์ ทำงาน ทำกจิ กรรมร่วมกับกล่มุ และครู 5) ประเมนิ และพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ของตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

184 การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือ การประเมินเพ่ือ พัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสำเร็จนั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซ่ึงเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุก ระดับไม่ว่าจะเปน็ ระดับชั้นเรียน ระดบั สถานศกึ ษา ระดับเขตพื้นท่กี ารศึกษา และระดับชาติ การวดั และประเมินผล การเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดง พฒั นาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรยี นของผู้เรยี น ตลอดจนข้อมูลที่เปน็ ประโยชน์ต่อการส่งเสริม ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การพัฒนาและเรียนรอู้ ย่างเตม็ ตามศกั ยภาพ การวัดและประเมินผลของการจัดการเรียนรู้ต้องให้ครอบคลุมท้ัง 3 ด้าน คือ ความรู้ ทักษะความสามารถ และคณุ ลักษณะ การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดับช้ันเรยี น ระดับสถานศึกษาระดับเขต พน้ื ทก่ี ารศกึ ษา และระดบั ชาติ มรี ายละเอียด ดังน้ี 1. การประเมนิ ระดับชั้นเรยี น เป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและ สม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การ ตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพ่ือนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณที ไ่ี ม่ผ่านตวั ช้ีวัดให้มกี ารสอนซ่อมเสริม การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีส่ิงท่ีจะต้องได้รับการพัฒนา ปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากน้ียังเป็นข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย ทั้งนี้โดย สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ช้วี ดั 2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดำเนินการเพื่อตัดสินผล การเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ี เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้ เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมท้ังสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร

185 โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพ่ือการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน ผปู้ กครองและชุมชน 3. การประเมินระดับเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา เปน็ การประเมนิ คุณภาพผเู้ รยี นในระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพ้ืนที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานท่ี จดั ทำและดำเนินการโดยเขตพื้นท่ีการศึกษา หรือดว้ ยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสงั กดั ในการดำเนินการจัดสอบ นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมลู จากการประเมนิ ระดับสถานศกึ ษาในเขตพ้ืนที่การศึกษา 4 การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมู ลในการ เทียบเคยี งคณุ ภาพการศึกษาในระดับตา่ งๆ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจน เปน็ ขอ้ มูลสนบั สนุนการตัดสนิ ใจในระดบั นโยบายของประเทศ ข้อมูลการประเมินในระดับต่างๆข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวน พฒั นาคุณภาพผเู้ รียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาทจี่ ะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลอื ปรับปรุงแกไ้ ข ส่งเสริมสนับสนุนเพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลท่ีจำแนกตาม สภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนท่ัวไป กลุ่มผู้เรียนท่ีมีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนท่ีมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่ำ กลุ่มผ้เู รียนทมี่ ีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุม่ ผ้เู รียนที่ปฏเิ สธโรงเรยี น กลุม่ ผู้เรยี น ท่ีมีปญั หาทางเศรษฐกิจและสงั คม กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปญั ญา เป็นต้น ข้อมูลจากการประเมนิ จึงเปน็ หวั ใจ ของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบ ความสำเร็จในการเรียน สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบยี บว่าด้วยการวัดและประเมินผล การเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้ อกำหนดของหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน เพ่ือใหบ้ ุคลากรท่ีเกี่ยวขอ้ งทุกฝา่ ยถือปฏิบตั ิรว่ มกัน

186 5 การตดั สนิ ผลการเรียน ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนคุณลักษณะอัน พึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก และต้องเก็บ ข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจน เตม็ ตามศกั ยภาพ ระดบั ประถมศกึ ษา (1) ผเู้ รยี นต้องมีเวลาเรยี นไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นท้ังหมด (2) ผู้เรยี นตอ้ งได้รบั การประเมินทกุ ตวั ชว้ี ัด และผ่านตามเกณฑ์ท่สี ถานศกึ ษากำหนด (3) ผูเ้ รยี นต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวชิ า (4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากำหนด ใน การอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ระดบั มธั ยมศกึ ษา (1) ตดั สนิ ผลการเรียนเปน็ รายวิชา ผเู้ รียนตอ้ งมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อย กว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรยี นท้ังหมดในรายวิชานนั้ ๆ (2) ผู้เรียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตัวชว้ี ดั และผ่านตามเกณฑ์ทสี่ ถานศกึ ษากำหนด (3) ผเู้ รยี นต้องได้รบั การตัดสินผลการเรียนทกุ รายวชิ า (4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากำหนด ใน การอ่านคดิ วเิ คราะห์และเขียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน การพิจารณาเลื่อนชั้นท้ังระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และ สถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาท่ีจะผ่อนผันให้ เล่ือนชั้นได้ แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับช้ันที่ สูงขึ้น สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นได้ ท้ังนี้ให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ ความสามารถของผเู้ รียนเป็นสำคญั

187 6. การให้ระดับผลการเรยี น ระดับประถมศึกษา ในการตัดสินเพือ่ ให้ระดบั ผลการเรียนรายวชิ า สถานศึกษาสามารถใหร้ ะดับ ผลการเรยี นหรอื ระดับคุณภาพการปฏบิ ัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบรอ้ ยละ และระบบ ท่ใี ช้คำสำคญั สะทอ้ นมาตรฐาน การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน ให้ระดับผลการ ประเมนิ เป็น ดีเยีย่ ม ดี และผ่าน การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติ กจิ กรรมและผลงานของผเู้ รียน ตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้ารว่ มกจิ กรรมเป็นผ่าน และไม่ผ่าน ระดับมัธยมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผล การเรียนเปน็ 8 ระดบั การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน ให้ระดับผลการ ประเมินเป็น ดีเย่ียม ดี และผา่ น การป ระเมินกิจกรรมพั ฒ นาผู้เรียน จะต้องพิ จารณ าท้ั งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และไม่ผา่ น 7. การรายงานผลการเรียน การรายงานผลการเรียนเป็นการสื่อสารใหผ้ ้ปู กครองและผู้เรยี นทราบความก้าวหน้า ในการเรยี นรขู้ องผู้เรียน ซึง่ สถานศกึ ษาต้องสรุปผลการประเมนิ และจัดทำเอกสารรายงานใหผ้ ู้ปกครองทราบเป็น ระยะ ๆ หรอื อยา่ งน้อยภาคเรียนละ 1 คร้งั การรายงานผลการเรยี นสามารถรายงานเป็นระดบั คณุ ภาพการปฏิบัติของผูเ้ รยี นทีส่ ะท้อน มาตรฐานการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นรู้

188 สอื่ การเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสตู รได้อย่างมีประสิทธภิ าพ สอ่ื การเรียนรู้มีหลากหลาย ประเภท ทั้งส่ือธรรมชาติ ส่ือสิ่งพิมพ์ ส่ือเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ต่างๆ ท่ีมีในท้องถ่ิน การเลือกใช้ส่ือ ควรเลอื กให้มคี วามเหมาะสมกับระดับพัฒนาการและลีลาการเรียนร้ทู ีห่ ลากหลายของผู้เรยี น การจัดหาสอ่ื การเรียนรู้ ผู้เรยี นและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขนึ้ เอง หรือปรบั ปรุงเลือกใชอ้ ย่างมี คณุ ภาพจากสอ่ื ตา่ งๆ ที่มอี ย่รู อบตัวเพอ่ื นำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรทู้ ่ีสามารถส่งเสริมและสื่อสารใหผ้ ู้เรียน เกิดการเรียนรู้โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริ ง สถานศกึ ษา เขตพื้นทีก่ ารศึกษา หน่วยงานท่ีเก่ยี วขอ้ งและผู้มหี นา้ ท่ีจัดการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ควรดำเนนิ การดงั นี้ 1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการ เรยี นรู้ที่มปี ระสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลีย่ นประสบการณก์ าร เรียนรู้ ระหวา่ งสถานศึกษา ทอ้ งถิ่น ชมุ ชน สังคมโลก 2. จัดทำและจัดหาสอ่ื การเรียนรสู้ ำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียนเสรมิ ความรูใ้ หผ้ สู้ อน รวมท้ัง จัดหาสงิ่ ทม่ี ีอยูใ่ นท้องถิน่ มาประยุกตใ์ ช้เปน็ ส่ือการเรียนรู้ 3. เลือกและใช้ส่ือการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับ วธิ ีการเรยี นรู้ธรรมชาติของสาระการเรยี นรูแ้ ละความแตกต่างระหว่างบคุ คลของผู้เรียน 4. ประเมนิ คณุ ภาพของสื่อการเรยี นรทู้ ี่เลือกใช้อย่างเป็นระบบ 5. ศกึ ษาคน้ คว้า วจิ ัย เพ่ือพฒั นาส่อื การเรียนรใู้ หส้ อดคล้องกับกระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รียน 6. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับส่ือและการใช้สื่อการ เรียนรูเ้ ป็นระยะๆ และสมำ่ เสมอ ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพส่ือการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษา ควรคำนึงถึง หลักการสำคัญของส่ือการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกบั หลักสูตร วตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เน้ือหามีความถูกต้องและทันสมัยไม่กระทบความม่ันคงของชาติ ไม่ขัด ต่อศีลธรรม มีการใชภ้ าษาทถ่ี ูกต้อง รูปแบบการนำเสนอทเ่ี ข้าใจงา่ ย และนา่ สนใจ

189 ภาคผนวก

190 ภาคผนวก ก อภิธานศัพท์

191 อภธิ านศพั ท์ กำหนดปญั หา (Define problem) ระบุคำถาม ประเด็น หรือสถานการณ์ ที่เป็น ข้อสงสยั เพ่อื นำไปสกู่ ารแกป้ ัญหา หรอื อภปิ ราย ร่วมกัน แกป้ ัญหา (Solve problem) หาคำตอบของปญั หาทย่ี ังไมร่ ู้วิธกี ารมากอ่ น ทัง้ ปัญหาทเี่ กี่ยวข้องกบั วิทยาศาสตร์โดยตรง และ ปญั หาใน ชวี ติ ประจำวัน โดยใช้เทคนิคและวธิ ีการต่าง ๆ เขียนแผนผงั / วาดภาพ (Construct diagram/ illustrate) นำเสนอข้อมลู หรอื ผลการสำรวจตรวจสอบดว้ ย แผนผัง กราฟ หรอื ภาพวาด คาดคะเน (Predict) คาดการณผ์ ลที่จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต โดยอาศัย ข้อมลู ทสี่ ังเกตได้ และประสบการณท์ ี่มี คำนวณ (Calculate) หาผลลพั ธจ์ ากข้อมลู โดยใช้หลกั การ ทฤษฎี หรอื วิธีการทางคณติ ศาสตร์ จำแนก (Classify) จดั กล่มุ ของส่ิงตา่ ง ๆ โดยอาศัยลกั ษณะที่ เหมือนกนั เปน็ เกณฑ์ ตั้งคำถาม (Ask question) พดู หรอื เขยี นประโยค หรือวลเี พอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่ึง การคน้ หำคำตอบท่ีต้องการ ทดลอง (Conduct/ experiment) ปฏบิ ตั ิการเพ่ือหำคำตอบของคำถาม หรือปญั หา ในกำรทดลอง โดยตง้ั สมมติฐานเพอ่ื เป็นแนวทาง ในการ กำหนดตวั แปรและวางแผนดำเนนิ การ เพ่ือตรวจสอบสมมตฐิ าน นำเสนอ (Present) แสดงขอ้ มลู เรอ่ื งราว หรอื ความคดิ เพ่ือใหผ้ ้อู ืน่ รับร้หู รือพจิ ารณา

192 บรรยาย (Describe) ให้รายละเอยี ดของเหตกุ ารณ์หรอื ปรากฏการณ์ท่ี เกิดข้นึ ให้ผอู้ ่นื ไดร้ ับร้ดู ว้ ยการบอกหรอื เขยี น บอก (Tell) ใหข้ อ้ มูล ขอ้ เท็จจรงิ แกผ่ ู้อน่ื ด้วยการพูด หรือเขยี น บันทึก (Record) เขยี นข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสังเกต เพือ่ ชว่ ยจำ หรือ เพื่อเปน็ หลกั ฐาน เปรียบเทยี บ (Compare) บอกความเหมือน และ/หรือ ความแตกตา่ งของ สงิ่ ท่เี ทยี บเคียงกนั แปลความหมาย (Interpret) แสดงความหมายของข้อมลู จากหลักฐานท่ปี รากฎ เพ่อื ลงข้อสรุป ยกตวั อยา่ ง (Give examples) ใหข้ ้อมลู เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ เพื่อแสดง ความเขา้ ใจในสิ่งท่ีไดเ้ รียนรู้ ระบุ (Identify) ชบ้ี อกสิง่ ตา่ ง ๆ โดยใช้ขอ้ มูลประกอบอย่างเพียงพอ เลอื กใช้ (Select) พจิ ารณาและตดั สนิ ใจนำวสั ดุ สิง่ ของ อปุ กรณ์ หรือวิธกี ารมาใชไ้ ด้อย่างเหมาะสม วัด (Measure) หาขนดหรอื ปริมาณของสิง่ ต่าง ๆ โดยใชเ้ ครื่องมือ ท่เี หมาะสม วิเคราะห์ (Analyze) แยกแยะ จัดระบบ เปรยี บเทียบ จดั ลำดับ จัดจำแนก หรอื เชื่อมโยงขอ้ มูล

193 สรา้ งแบบจำลอง (Construct model) นำเสนอแนวคิดหรือเหตุการณ์ในรปู ของ แผนภาพ ช้ินงาน สมการ ข้อความ คำพูด และ/หรือใช้ แบบจำลองเพอ่ื อธิบายความคิด วัตถุ หรอื เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ สังเกต (Observe) หาข้อมูลด้วยการใชป้ ระสาทสัมผสั ทัง้ หำ้ ท่ีเหมาะสม ตามข้อเทจ็ จรงิ ท่ปี รากฏ โดยไมใ่ ช้ ประสบการณ์เดิม ของผสู้ ังเกต สำรวจ (Explore) หาขอ้ มลู เกีย่ วกับส่งิ ตา่ ง ๆ โดยใชว้ ีธีการและ เทคนิคท่ีเหมาะสมเพ่ือนำขอ้ มลู มาใช้ตาม วัตถปุ ระสงค์ที่ กำหนดไว้ สบื คน้ ขอ้ มูล (Search) หาข้อมูล หรอื ข้อสนเทศที่มีผู้รวบรวมไวแ้ ล้วจาก แหล่งตา่ ง ๆ มาใช้ประโยชน์ ส่อื สาร (Communicate) นำเสนอและแลกเปลีย่ นความคิด ข้อมูล หรอื ผล จากการสำรวจตรวจสอบดว้ ยวิธที ี่เหมาะสม อธบิ าย (Explain) กล่าวถึงเร่อื งราวตา่ ง ๆ อยา่ งมีเหตผุ ล และมี ข้อมลู หรอื ประจักษ์พยานอ้างอิง อภิปราย (Discuss) แสดงความคดิ เหน็ ต่อประเด็น หรอื คาถามอยา่ ง มเี หตผุ ลโดยอาศัยความรแู้ ละประสบการณข์ องผอู้ ภิปรายและข้อมลู ประกอบ ออกแบบกำรทดลอง (Design experiment) กำหนดและวางแผนวธิ กี ำรทดลองใหส้ อดคลอ้ งกบั สมมติฐานและตัวแปรต่าง ๆ รวมทงั้ การบันทกึ ข้อมูล

194 ศพั ท์ท่ีเกยี่ วข้องกบั ตัวช้ีวดั สาระเทคโนโลยี การใชล้ ขิ สิทธข์ิ องผู้อ่ืนโดยชอบธรรม (Fair use) การนำสอ่ื หรือขอ้ มลู ท่ีเป็นลขิ สิทธิ์ของผู้อนื่ ไปใชโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายภายใต้เง่ือนไขบางประการ เช่น 1) นำไปใช้ในการศึกษา หรือการคำ้ 2) งานนน้ั เป็นงานวชิ ำการ หรอื บันเทิง 3) คดั ลอกเพยี งสว่ นน้อย หรือคัดลอกจานวนมาก 4) ทำให้เจ้าของเสยี ผลประโยชน์ทางการเงนิ มากน้อยเพยี งใด การตรวจและแก้ไขขอ้ ผิดพลาด (Debugging) กระบวนการในการค้นหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรม เพื่อแก้ไขใหท้ ำงานไดถ้ กู ต้อง การประมวลผลข้อมูล (Data processing) การดำเนินการต่าง ๆ กบั ขอ้ มูลเพอ่ื ให้ไดผ้ ลลัพธท์ ่มี ีความหมาย และมปี ระโยชน์ตอ่ การนำไปใชง้ านมาก ยิ่งขึน้ การวบรวมข้อมลู (Data collection) กระบวนกรในการรวบรวมข้อมลู ท่เี กย่ี วข้องจากแหล่งข้อมลู ต่าง ๆ ขอ้ มูลปฐมภมู ิ (Primary data) ข้อมูลทีร่ วบรวมโดยตรงจากแหล่งข้อมลู ขั้นต้น โดยอาจใชว้ ิธีการสังเกต การทดลอง การสำรวจ การ สมั ภาษณ์ เทคโนโลยี (Technology) สง่ิ ที่มนษุ ยส์ ร้าง หรือพฒั นาข้ึน ซึ่งอาจเป็นไดท้ ั้งชนิ้ งาน หรือวธิ กี าร เพ่ือใชแ้ กป้ ัญหา สนองความต้องการ หรอื เพม่ิ ความสามารถในการทำงำนของมนุษย์ แนวคิดเชิงคำนวณ (Computational thinking) กระบวนการในการแก้ปัญหา การคดิ วเิ คราะห์อย่างมีเหตผุ ลเปน็ ขั้นตอน เพ่ือหำวธิ กี ารแกป้ ัญหาใน รปู แบบท่ีสามารถนำไปประมวลผลได้ แนวคดิ เชิงนามธรรม (Abstraction) การพิจารณารายละเอยี ดที่สำคัญของปัญหา แยกแยะสำระสำคญั ออกจากส่วนทีไ่ มส่ ำคัญ

195 ระบบทางเทคโนโลยี (Technological system) กลมุ่ ของสว่ นตา่ ง ๆ ตงั้ แตส่ องสว่ นขน้ึ ไปประกอบเข้าด้วยกันและทำงานร่วมกนั เพ่ือให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ โดยในการทำงานของระบบทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วย ตวั ป้อน (input) กระบวนการ (process) และ ผลผลติ (output) ท่ีสัมพันธ์กัน นอกจากน้ีระบบทางเทคโนโลยีอาจมีขอ้ มูลยอ้ นกลบั (feedback) เพ่ือใชป้ รบั ปรุง การทำงานไดต้ ามวัตถุประสงค์ เหตุผลเชงิ ตรรกะ (Logical reasoning) การใชเ้ หตุผล กฎ กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไข ทเ่ี กยี่ วข้อง เพ่ือแกป้ ัญหาได้ครอบคลุมทุกกรณี เหตุผลวบิ ัติ (Logical fallacy) การใชเ้ หตุผลทีผ่ ดิ พลาด ไมอ่ ยู่บนพ้ืนฐานของความจริง ไม่มีนำ้ หนักสมเหตสุ มผล มาสนับสนนุ หรือชี้นำ ขอ้ สรปุ ที่ผดิ ใหด้ นู ่าเชื่อถือ อตั ลักษณ์ (Identity) ลักษณะเฉพาะ หรือข้อมูลสำคญั ทบ่ี ่งบอกถงึ ความเป็นตัวตนของบุคคลหรอื สงิ่ ใดสิง่ หน่ึง เช่น ชือ่ บญั ชผี ใู้ ช้ ใบหนา้ ลายนวิ้ มอื อัลกอริทมึ (Algorithm) ขนั้ ตอนในการแกป้ ญั หา หรอื การทำงาน โดยมลี ำดบั ของคำส่ังหรอื วิธีการท่ีชดั เจน ท่ีคอมพวิ เตอรส์ ามารถ ปฏบิ ตั ติ ามได้ แอพพลเิ คชนั (Software application) ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ ท่ที ำงานบนคอมพวิ เตอร์ สมาร์ทโฟน แทบ็ เล็ต หรอื อุปกรณ์เทคโนโลยีอ่นื ๆ

196 ภาคผนวก ข คำสั่งแตง่ ตง้ั คณะอนกุ รรมการกลมุ่ สาระการเรยี นรู้และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น ปรับปรงุ หลกั สตู รโรงเรยี นบา้ น” แกง้ พุทธศักราช 2561 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2563)

197 คำสั่งโรงเรยี นบ้านแกง้ ท่ี 7/๒๕๖3 เรอื่ ง แต่งตง้ั คณะกรรมการบริหารหลักสตู รและงานวชิ าการสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ************************************** เพื่อให้การบริหารหลักสูตรและงานวิชาการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกบั พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ หมวด ๔ มาตรา ๒๗ ท่ีกำหนดให้สถานศึกษาข้ัน พืน้ ฐานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรเพ่ือความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองท่ีดีของชาติ การดำรงชีวิต และการ ประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ ในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพของปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์เพอื่ เปน็ สมาชิกทด่ี ีของครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ และสอดคล้อง กับระเบียบกระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วยคณะกรรมการบริหารหลกั สตู รและงานวิชาการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ อาศัยอำนาจตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม จึงแต่งต้ังคณะกรรมการบริหารหลักสูตร และงานวิชาการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โรงเรียนบา้ นแก้ง ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ดังนี้ ๑. นายวสกุ ฤต สุวรรณเทน ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นบ้านแกง้ ประธานกรรมการ ๒. นางสุมัจชา ศรีสำราญ กลมุ่ การเรยี นร้ปู ฐมวยั กรรมการ 3. นางชมภนู ุช นาชัยเวยี ง กลุม่ การเรียนรูป้ ฐมวัย กรรมการ 4. นางประภาภรณ์ โฮมวงค์ กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย กรรมการ ๒. นางสาวเมตตา ชาญฉลาด กลมุ่ การเรยี นวิทยาศาสตร์ กรรมการ 5. นางสาวจฑุ าธปิ บุตรชาติ กลุม่ สาระการเรียนรศู้ ิลปะ กรรมการ 6. นายชวลิต ศรสี ำราญ กล่มุ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพ กรรมการ 7. นางมัลลกิ า สขุ เกษม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา กรรมการ 8. นายนพิ นธ์ ขันธแ์ ก้ว กลุม่ สาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาพลศึกษา กรรมการ 9. นายชติ พล พ่วงทิม กลมุ่ สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาพลศึกษา กรรมการ 10. นางสาวกลุ ณดา บญุ เฮา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ กรรมการ 11. นางสาวจรยิ า แกว้ บัณฑติ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ กรรมการ 12 นายชาตชิ าย วารีย์ กลุ่มสาระการปอ้ งกันทุจรติ กรรมการ 13. นางเพชรา เฒา่ อุดม กล่มุ กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น กรรมการ ๑4. นางสาวชไมพร เหาะเหนิ กลุ่มสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ กรรมการและเลขานกุ าร

198 คณะกรรมการดำเนินการ มีหน้าที่และดำเนินการจดั การตามขน้ั ตอนท่ีกำหนด ดงั นี้ ๑. วางแผนการดำเนินงานวิชาการ กำหนดสาระรายละเอียดของหลักสูตรระดับสถานศึกษาและแนว ทางการจัดสัดส่วนสาระการเรียนรู้ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ และสภาพเศรษฐกจิ สังคม ศลิ ปวฒั นธรรม ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ / 2. จดั ทำ... ๒. จัดทำคู่มือการบริหารหลักสูตร และงานวิชาการของสถานศึกษา นิเทศ กำกับ ติดตาม ให้คำปรึกษา เก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตร การจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลและการแนะแนวให้สอดคล้องและ เป็นไปตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน ๓. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตร การจัดกระบวน การเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผลและการแนะแนวใหเ้ ป็นไปตามจุดหมายและแนวทางการดำเนินการของหลักสตู ร ๔. ประสานความร่วมมือจากบุคคล หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ และชุมชน เพ่ือให้การใช้หลักสูตรเป็นไป อยา่ งมีประสิทธภิ าพและมีคุณภาพ ๕. ประชาสัมพันธ์หลักสูตรและการใช้หลักสูตรแก่นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชนและผู้เกี่ยวข้องและนำข้อมูล ปอ้ นกลบั จากฝ่ายตา่ ง ๆ มาพจิ ารณาเพือ่ ปรับปรุงและพฒั นาหลักสตู รของสถานศึกษา ๖. สง่ เสรมิ สนับสนนุ การวจิ ัยเก่ียวกบั การพัฒนาหลกั สตู ร และกระบวนการเรยี นรู้ ๗. ติดตามผลการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคล ระดับชั้น และช่วงช้ัน ระดับวิชา กลุ่มวิชา ในแต่ละปี การศึกษา เพื่อปรับปรงุ แก้ไข และพัฒนาการดำเนนิ งานดา้ นตา่ ง ๆ ของสถานศึกษา ๘. ตรวจสอบทบทวน ประเมินมาตรฐาน การปฏบิ ัติงานของครู และการบริหารหลักสูตรระดบั สถานศกึ ษา ในรอบปีที่ผ่านมา แล้ว ใช้ผลการประเมิน เพ่ือวางแผนพัฒนาการปฏิบัติงานของครูและการบริหารหลักสูตรปี การศกึ ษาตอ่ ไป ๙. รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการบริหารหลักสูตรของสถานศึกษา โดยเน้นผลการพัฒนาคุณภาพ นักเรียนต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการบริหารหลักสูตรระดับเหนือสถานศึกษา สาธารณชน และผู้เกยี่ วข้อง ๑๐. ใหด้ ำเนนิ การประชมุ คณะกรรมการอย่างน้อยภาคเรยี นละ ๒ ครัง้ ท้ังนี้ให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งปฏิบัติหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุตาม วตั ถุประสงค์ท่ีตัง้ ไว้ ตง้ั แตบ่ ัดนเ้ี ปน็ ตน้ ไป สงั่ ณ วนั ที่ ๑๗ เดือน มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๓ (ลงชื่อ) (นายวสกุ ฤต สวุ รรณเทน) ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นบ้านแก้ง