ชีวิตที่สรางสรรค สดใสและ สุขสันต พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) เนอ่ื งในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และครบรอบ ๑๕ ป วันสถาปนาคณะบรหิ ารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การใหธรรมะ ยอมชนะการใหท้งั ปวง
ชวี ติ ท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสนั ต © พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ISBN 974-94876-8-0 พิมพค รงั้ ท่ี ๓ - มิถุนายน ๒๕๕๐ ๒,๙๙๙ เลม (รวมเน้ือหาจากหนงั สือท่มี ีอยูกอ น ๔ เลม และจัดปรบั ตามควร) จดั พิมพแ ละเผยแพรโ ดย โครงการหนังสอื ธรรมะ ธรรมทาน คณะบริหารธรุ กจิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม โทร. ๐๕๓-๙๔๒๑๓๐ ตอ ๑๔ E-mail : [email protected] แบบปก: พระชยั ยศ พุทฺธวิ โร พิมพท ่ี
อนโุ มทนา ผชู ว ยศาสตราจารยนําชยั เติมศริ เิ กยี รติ คณะบรหิ ารธรุ กิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม ในนามแหง “โครงการหนังสอื ธรรมะ ธรรมทาน” ปรารภมหามงคลวโรกาสทรงเจริญพระชนมายคุ รบ ๘๐ พรรษา ในวันท่ี ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๐ และครบรอบ ๑๕ ป วนั สถาปนา คณะบริหารธรุ กจิ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม ดาํ ริที่จะจดั พิมพหนงั สือ แจกมอบเปน ธรรมทาน ในโอกาสพเิ ศษนี้ และไดแจงความประสงค ขออนุญาตจัดพิมพหนงั สือ ชวี ิตที่สรา งสรรค สดใส และสุขสนั ต ของ พระเดชพระคณุ ทา นเจา คุณพระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) โดยมวี ัตถุประสงคท ่จี ะแจกมอบเปน ธรรมทานในโอกาสสําคญั ตางๆ การพมิ พหนังสือแจกเปนธรรมทานนั้น นับวา เปนการให อยางสงู สดุ ท่ีพระพทุ ธเจาทรงสรรเสริญวา เปนทานอนั เลศิ ชนะทาน ทั้งปวง เปนการแสดงน้ําใจปรารถนาดอี ยา งแทจ ริงแกประชาชน ดวยการมอบใหซ่ึงแสงสวางแหงปญญาและทรัพยอันล้ําคาคือ ธรรม ทจ่ี ะเปน หลกั นําประเทศชาติใหพ ัฒนาไปในวิถีทางทถี่ ูกตอง และเปนไปเพื่อประโยชนส ุขท่ีแทและย่งั ยืนแกช วี ิตและสังคม จึง เปน บุญกริ ิยาสูงคา อันเหมาะควรท่ผี ูศรัทธาจงรกั ภักดจี ะบําเพ็ญ ถวายเปนพระราชกุศล ขออนโุ มทนาโครงการหนังสือธรรมะ ธรรมทาน คณะบริหาร ธุรกจิ มหาวิทยาลยั เชียงใหม ท่ีไดบําเพญ็ ธรรมทานดว ยน้ําใจกุศล กอปรดวยความจงรกั ภักดี มีกตัญูกตเวทิตาครัง้ น้ี วดั ญาณเวศกวัน ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐
สารบญั อนโุ มทนา ๑ ชีวติ ท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ต ๑ วาสนาสรางเองได ๑ ๒ วนั เกดิ เปนวนั ดี เพราะเราทาํ ใหดี ๒ ทําบญุ วนั เกิดใหเ ปน การเรม่ิ ตนทีด่ ี ๓ วันเกดิ คือ วันทเ่ี ตือนใจใหเ กดิ กันใหด ีๆ ๕ เราสรางวาสนา แลววาสนากส็ รา งเรา ๖ ถาคดิ เปน กพ็ ลกิ วาสนาได ๗ มาสรา งวาสนาดๆี ท่จี ะใหม คี วามสุข ๘ จิตใจท่ดี ี ตอ งเกิดหาอยางนเี้ ปน ประจาํ เกดิ คอื เช่อื มตอท่ีกาํ เนดิ กบั ความงอกงามตอ ไป ๘ ๙ เชื่อมเรา กบั คุณพอ-คุณแม เชอื่ มฐานวฒั นธรรมไทย กับความเจริญทีจ่ ะกา วหนาตอไป ๑๐ นกึ ถึงวนั เกิด ชว ยใหไ มหลงเตลดิ ออกจากธรรมชาติ ๑๐ เชื่อมบคุ คลในสงั คม กบั ชวี ิตในธรรมชาติ ๑๑ ๑๓ วนั เกิด ทําใหไมล มื ที่จะหวนกลบั มาพัฒนาชวี ิต ที่เปน ตัวแทของเรา ๑๔ เกดิ มาแลว ถาเล้ยี งไมด ี จะเปนคนท่ีทุกขงาย-สุขไดยาก ถา เกดิ แลวพัฒนา ยง่ิ เกิดมานาน ย่งิ สุขทุกสถาน
ง ๑๖ ชวี ติ ที่สมบูรณ ๑๖ ๑๖ นําเรอื่ ง ๑๙ ทําบุญเพอื่ อะไร? ๒๐ อยา มองขามความสาํ คญั ของวัตถุ จดุ เรมิ่ ตน คือ ประโยชนสขุ ขั้นพืน้ ฐาน ๒๓ พ้นื ฐานจะมนั่ ตอ งลงรากใหลึก ถาลงลึกได จะถงึ ประโยชนสุขทแ่ี ท ๒๕ ถงึ จะเปนประโยชนแท แตก็ยังไมสมบูรณ ถา กระแสยงั เปน สอง ก็ตองมีการปะทะกระแทก ๒๘ พอประสานเปนกระแสเดยี วได คนก็สบายงานกส็ ําเรจ็ ปญญามานํา มองตามเหตปุ จ จัย ๓๐ ตัวเองก็สบาย แถมยังชว ยคนอืน่ ไดอ กี ๓๒ ประโยชนส ขุ ท่ีสมบูรณจ ะเกิดขนึ้ ได จิตใจตอ งมีอสิ รภาพ อสิ รชน คือคนทไี่ มย บุ ไมพ อง ๓๕ ถา โชคมา ฉันจะมอบมันใหเ ปน ของขวัญแกมวลประชา ถา เคราะหมา มันคือของขวญั ทส่ี ง มาชว ยตวั ฉนั ใหย่งิ พฒั นา ๓๗ ทําไม โลกยง่ิ พฒั นา ชาวประชาย่งิ เปน คนทส่ี ุขยาก ความสุขจะเพ่ิมทวี ถา พัฒนาอยา งมดี ุลยภาพ ๓๙ ถาไมม ีความสขุ แบบประสาน ก็ไมมกี ารพัฒนาแบบยั่งยนื ๔๐ การพฒั นาแบบยงั่ ยนื มาดวยกันกบั ความสุขแบบย่งั ยืน ๔๓ ชวี ติ สมบรู ณ ความสุขก็สมบูรณ สงั คมก็สุขสมบูรณ ๔๖ ๔๙ เพราะจิตเปน อิสระดว ยปญญา ท่ถี ึงการพฒั นาอยางสมบรู ณ ๕๐ ๕๒ ๕๖
เพิม่ พลงั แหงชีวิต จ เริ่มตน ดี ดว ยสามคั คใี นบญุ กุศล ๑ ถา รูเขาใจ จะอยากใหอ ายุมาก หาคาํ ตอบใหไ ด วา พลงั ชีวิตอยูทไ่ี หน ๕๙ พอจับแกนอายุได ก็พัฒนาตอ ไปใหค รบชดุ ๖๐ เมือ่ อายคุ ืบหนา เราก็เตมิ พลังอายไุ ปดวย ๖๒ สรา งสรรคข า งใน ใหสอดคลองกันกบั สรางสรรคข างนอก ๖๓ เกดิ กศุ ล เปน มงคลมหาศาล ๖๖ ๖๘ ๗๑ ชีวิตจะงาม สังคมจะดี ตอ งมกี ารศกึ ษาที่ไมผ ิด ๗๕ ภาค ๑ มองสงั คมใหถงึ คน ๗๗ งานทต่ี อ งเพง และเรง คอื ฟน ฟชู นบททเ่ี ปน สว นใหญข องประเทศไทย ๗๗ - ไมใหค วามเส่อื มแบบเมอื งไหลเขา ชนบท แตใ หช นบทเปนสติแกเมือง ๗๗ - ฟน ฟบู ทบาททแ่ี ทข องวดั ขนึ้ มา ใหป ระสานบา นกบั โรงเรยี น พาชมุ ชนกา วไปดว ยกนั ๗๙ - สมยั กอน เณรมาก หลวงตาไมค อยมี สมยั นี้ เณรหมด มแี ตห ลวงตา ๘๒ ถา บอกวาไทยเปนเมืองพุทธ กต็ อ งเลิกเปนทาสของความไมรู ๘๖ - หลกั งา ยๆ กไ็ มป ระสปี ระสา พฒั นาคนใหม ตี นทพี่ งึ่ ได ไมใ ชม วั รอผลดลบนั ดาล ๘๖ - อยูรว มกนั โดยมเี มตตา แตต อ งแกปญหาโดยใชป ญ ญา ๘๗ งานพระพทุ ธศาสนาทั้งหมด เปนองคร วมเพอื่ จดุ หมายหนง่ึ เดียว ๘๙ - จัดการปกครองขนึ้ มา เพื่อใหการศกึ ษาไดผล ๘๙ - ญาตโิ ยมทาํ บุญ ตอ งใหสมตามพทุ ธพจนว า “ศึกษาบุญ” ๙๑ - หนา ทข่ี องผทู ํางานทางสังคม ตอ งนําคนเขา มาหามรรค ๙๓
ฉ ๙๕ ภาค ๒ มองคนใหถงึ ธรรม(ชาต)ิ ๙๕ มนุษยเปนสตั วท ่ีประเสรฐิ ดวยการศึกษา ๙๗ ศักยภาพของมนษุ ย คือจุดเริ่มของพระพทุ ธศาสนา ชวี ิตท่ดี ี คือชวี ิตที่ศึกษา ๙๙ เมอื่ พฒั นาคนดว ยไตรสกิ ขา ชวี ติ กก็ า วไปในอรยิ มรรคา ๑๐๑ ชีวติ มี ๓ ดาน การฝกศึกษาก็ตอ งประสานกัน ๓ สวน ๑๐๕ ๑๐๗ พฒั นาคนแบบองคร วม จงึ เปน เรอื่ งธรรมดาของการศกึ ษา ๑๑๑ ไตรสกิ ขา: ระบบการศกึ ษา ซงึ่ พฒั นาชวี ติ ทดี่ าํ เนนิ ไปทง้ั ระบบ ๑๑๖ ระบบแหงสกิ ขา เริม่ ดว ยจดั ปรบั พื้นทใี่ หพรอมท่ีจะทาํ งานฝกศกึ ษา ๑๒๒ ชีวติ ทง้ั ๓ ดา น การศกึ ษาท้งั ๓ ข้ัน ประสานพรอ มไปดว ยกนั ๑๒๕ การศกึ ษาจะดําเนนิ ไป มีปจ จัยชวยเกื้อหนุน ๑๒๗ การศกึ ษา[ทส่ี งั คม]จัดต้ัง ตองไมบดบงั การศกึ ษาที่แทข องชีวติ ๑๓๐ ระบบไตรสิกขาเพ่อื การพฒั นาอยางองครวมในทกุ กิจกรรม ระบบการฝก ของไตรสิกขา ออกผลมาคอื วถิ ีชวี ติ แหง มรรค ปฏิบัตกิ ารฝกศึกษาดวยสิกขา แลว วัดผลดวยภาวนา
วาสนาสรางเองได∗ ขออนุโมทนาโยมญาตมิ ติ รทุกทา นทีม่ าทาํ บุญวันน้ี โดยปรารภ โอกาสมงคลในชวงวันเกิด ทีจ่ รงิ ระยะน้มี ีหลายทานท่เี ปน เจาของวนั เกิด กข็ ออนุโมทนารวมไปพรอมกัน โดยเฉพาะเวลานก้ี ็ใกลปใหมด วย สําหรับปใ หมน ้โี ยมญาตมิ ิตร ท้ังหลายไดห มดทุกทาน เพราะฉะน้ันในชวงนีท้ ี่ใกลจ ะขึ้นปใหม กเ็ ลย ขออวยชัยใหพรแกท ุกทา นพรอมกันไป สว นทานทเ่ี ปนเจาของวันเกิดก็ ไดท ั้งสองอยาง คอื ท้ังปใ หมแ ละวันเกดิ ดว ย วันเกดิ เปนวนั ดี เพราะเราทาํ ใหมันดี ท้งั วนั เกิด และวนั ขนึ้ ปใ หมน้ี เปนอนั วาดีทัง้ น้ัน ที่วา ดีก็เพราะเรา ทําใหด นี ั่นเอง ทวี่ าทาํ ใหดี ทําอยา งไร กเ็ ร่ิมตงั้ แตท ําใจใหด ี ทาํ ใจใหด ี ใหร า เรงิ เบกิ บานแจม ใส และตง้ั ใจดคี ดิ ดี ทา นเรยี กวา เปน มโนกรรมทเี่ ปน บญุ เปน บญุ กศุ ล ตอนนแี้ หละมงคลเกดิ ขน้ึ ทนั ที ทีนพ้ี อใจดี สบายใจผองใสเบกิ บาน คิดในทางทีด่ ี และตั้งใจดีวา จะทําอะไรๆ ทเ่ี ปนเรื่องดๆี แลว ตอ ไป กพ็ ูดดี ตอจากนัน้ ที่สาํ คญั ก็ทาํ ออกมาขางนอกดี น่ีแหละเปนมงคลทแ่ี ทจ รงิ ∗ พรวันเกดิ ของพระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ในการถวายสงั ฆทาน ในชว งระยะวนั เกดิ ของ พลโท นายแพทยดํารงค ธนะชานนั ท คุณนงเยาว ธนะชานันท คุณวาลสิ า สปิ ลา (Valisa Sipila) ที่วัดญาณเวศกวัน เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๔ (ปรารภวันเกิด ของ ดร.สุรีย ภมู ิภมร ดว ย แต ดร.สรุ ีย ตดิ ภารกิจอยตู า งจังหวดั ดร.อรพินท ภมู ิภมร รว มพธิ แี ทน)
๒ ชวี ติ ทส่ี รา งสรรค สดใสและสขุ สันต ทาํ บญุ วันเกิดใหเปนการเริม่ ตนทีด่ ี วนั เกิดนั้นเปน เรอื่ งธรรมดาของชวี ิต ทกุ คนที่มีชวี ิตยืนยาวมาจน บัดน้ีกเ็ รมิ่ จากการเกดิ ทง้ั นน้ั แตสาํ หรับชาวพทุ ธเราไมว าจะปรารภหรือ นกึ ถงึ อะไรก็ตาม ก็จะทําใหเ ปน บญุ เปน กุศล คือทาํ ใหเ ปน เร่ืองดีไปหมด ในการทาํ ใหดนี นั้ สําหรบั วันเกดิ เราก็มองหาความหมายกอ น โดย ทั่วไปก็จะมองวา การทาํ บุญวันเกิดน้นั เปนการเรม่ิ ตน ทดี่ ี เพราะวันเกิด ก็คือวันเริ่มตน ของชีวิตในแตละรอบป การทาํ บญุ วนั เกดิ กค็ อื การเรม่ิ ตน อายใุ นรอบปต อ ไปดว ยการทาํ ความดี โดยเรมิ่ ตน ดดี ว ยการทาํ บญุ ทาํ กศุ ล เรยี กวา เปน นมิ ติ ใหเ กดิ ความสขุ ความเจรญิ นกี้ อ็ ยา งหนงึ่ วนั เกดิ คอื วันท่ีเตือนใจใหเกิดกันใหด ๆี ความหมายอีกอยา งหน่ึงก็คือ เราพูดวาวันเกดิ ก็เกิดกันมาตง้ั นานแลวนี่ จะเกดิ อยางไรอีก แตท างพระทา นบอกวา เราเกดิ อยูเรอื่ ยๆ เวลานเี้ ราก็เกิดอยูต ลอดเวลา ถา เราไมเ กิดอยเู ร่ือยๆ เราก็อยไู มไ ด การเกดิ น้มี ีท้งั รูปธรรม และนามธรรม ในกรณีนี้ การเกิดทางนามธรรมกลบั เหน็ งา ย คือ การเกดิ ทางจติ ใจ ซงึ่ เรากพ็ ดู กนั อยเู สมอ เชน เกดิ ความสขุ เกดิ ความสดชน่ื เกดิ ปติ เกิดความเบิกบานใจ เกดิ เมตตา เกดิ ศรทั ธา เกิดท้งั น้ัน ที่เราเปน อยูน้ี เดยี๋ วก็เกิดอนั โนน เด๋ียวกเ็ กดิ อนั น้ี คอื เกิดกศุ ล หรอื อกุศลในใจ ในทางไมด ีก็เกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิด ความกลวั อยางนี้ไมดี เรียกวาเกิดอกศุ ล เมื่อถึงวันเกิดก็เลยเปนเครื่องเตือนใจสําหรับชาวพุทธวาใหเกิด ดีๆ นะ คอื เกิดกศุ ลในใจ เรากม็ าต้งั ใจทําใจใหเ กดิ ความสุข เกดิ ปต ิ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๓ เกิดศรัทธา เกิดเมตตา เกิดความสดชื่น เกิดความอ่ิมใจ เกิดความ แจมใส เกิดความเบกิ บานใจ ถา เกดิ อยา งนเ้ี รอ่ื ยๆ ตอ ไปกจ็ ะมคี วามสขุ และความเจรญิ อยา งแนน อน ฉะน้นั วธิ ีดําเนนิ ชีวติ อยา งหน่งึ ก็คือ เกดิ ใหดี โดยทําใจของเราให เกดิ กศุ ล และการเกิดท่ปี ระเสริฐสุดก็คือการเกิดของกุศลนีแ้ หละ เมอ่ื ใดใจเกดิ กศุ ล จะเปน ดา นความรสู กึ ทสี่ บาย ผอ งใส เอบิ อมิ่ เบกิ บานใจก็ตาม เปนคณุ ธรรม เชน เมตตา ไมตรีกต็ าม หรอื เปนความคิด ท่ีดีวา จะทาํ โนน ทาํ นี่ ทเี่ ปน การสรา งสรรค ชว ยเหลอื กนั รว มมอื กนั เออื้ เฟอ กันกต็ าม เกิดอยา งนี้แลวมีแตด ที ง้ั นั้น นี่แหละคือวันเกิดท่ีวามีความหมายเปนการเริ่มตนที่ดี เม่ือเกิด อยา งน้แี ลว ตอไปกอ็ อกสูการกระทาํ มกี ารปฏบิ ัตทิ ี่ดไี ปหมด เราสรา งวาสนา แลว วาสนากส็ รางเรา ถาใจของเราเกดิ อยา งน้บี อยๆ จิตก็จะคุนเปน นิสัย คอื คนเรานี้ อยดู ว ยความเคยชนิ เปนสวนใหญ เราไมค อยรูตวั หรอกวา ทเ่ี ราอยกู นั นเี้ ราทาํ อะไรๆ ไปตามความ เคยชนิ ไมว า จะพดู กบั ใคร จะเดนิ อยา งไร เวลามเี หตุการณอะไรเกิดขึน้ เราจะตอบสนองอยางไร ฯลฯ เรามกั จะทาํ ตามความเคยชนิ ทีนี้กอนจะมีความเคยชินก็ตองมีการสะสมขึ้นมา คือทําบอยๆ บอยจนทาํ ไดโดยไมร ตู วั แตทนี ้ที า นเตอื นวา ถา เราปลอ ยไปอยางนี้ มันจะเคยชนิ แบบไม แนน อนวา จะรา ยหรือจะดี และเราก็จะไมเปน ตัวของตัวเอง ทา นกเ็ ลย บอกวา ใหม ีเจตนาตัง้ ใจสรางความเคยชนิ ทด่ี ี
๔ ชีวติ ท่ีสรางสรรค สดใสและสขุ สันต ความเคยชนิ ทเ่ี กดิ ข้ึนนที้ า นเรยี กวา “วาสนา” ซ่งึ เปนความหมาย ทีแ่ ทและด้งั เดมิ ไมใชค วามหมายในภาษาไทยท่เี พี้ยนไป วาสนา กค็ ือความเคยชิน ตงั้ แตของจติ ใจ ตลอดจนการแสดง ออกที่กลายเปนลักษณะประจําตัว ใครมีความเคยชินอยา งไร กเ็ ปน วาสนาของคนนนั้ อยางนั้น และเขาก็จะทาํ อะไรๆ ไปตามวาสนาของเขา หรือวาสนากจ็ ะพาเขาไปใหท ําอยางนน้ั ๆ เวลาพบเหน็ อะไร ใครสง่ั สมจติ ใจชอบมาทางไหน กไ็ ปทางนนั้ เชน มีของเลือก ๒-๓ อยาง คนไหนชอบสงิ่ ไหนก็จะหันเขาหาแตสง่ิ น้ัน แมแตไปตลาด ไปรานคา ไปทนี่ ่นั มรี านคา หลายอยา ง อาจจะเปน หางสรรพสนิ คา เดนิ ไปดวยกนั คนหน่ึงชอบหนังสือก็ไปเขา รานหนังสือ อกี คนไปเขา รานขายของเครื่องใช เคร่ืองครวั เปนตน แตอกี คนหน่ึงไป เขา รานขายของฟุมเฟอย อยา งน้แี หละเรยี กวา วาสนาพาไป คอื ใครสะสมเคยชินมา อยา งไร กไ็ ปตามนน้ั และวาสนานแ้ี หละจะเปน ตวั การทที่ าํ ใหช ีวิตของเรา ผนั แปรไปตามมนั พระทา นมองวาสนาอยา งน้ี เพราะฉะนั้น วาสนาจึงเปนเหตุเปนปจจัยสําคัญท่ีทําใหเราเปน อยางนั้นอยางนี้ โดยไมรูต วั ทา นก็เลยบอกวาใหเ รามาต้ังใจสรา งวาสนา ใหดี เพราะวาสนานน้ั สรา งได คนไทยเราชอบพดู วา วาสนานแ้ี ขง กนั ไมไ ด แตพ ระบอกวา ใหแ กไ ข วาสนา ใหเ ราปรบั ปรงุ วาสนา เพราะมนั อยทู ตี่ วั เรา ทสี่ รา งมนั ขน้ึ มา แตก าร แกไขอาจจะยากสักหนอ ย เพราะความเคยชนิ นแี้ กยากมาก แตแ กไ ด ปรบั ปรงุ ได ถา เราทาํ กจ็ ะมผี ลดตี อ ชวี ติ อยา งมากมาย ขอใหจ าํ ไวเ ปน คตปิ ระจาํ ใจเลยวา “วาสนามีไวแกไข ไมใชมีไวแขงขัน”
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๕ ถา คิดเปน ก็พลิกวาสนาได บางคนเกดิ มาจน บอกวา ตนมีวาสนาไมดี หรอื บางทีบอกวา เรา ไมมวี าสนา พูดอยา งน้ียงั ไมถ กู คนจนวาสนาดกี ม็ ี วาสนาไมด ีกม็ ี คนมี ก็อบั วาสนาได ถา เกดิ มาจนแลว มวั แตห ดหู ระยอ ทอ แทใ จ ไดแ ตข นุ มวั เศรา หมอง คดิ อยา งนอ้ี ยเู รอื่ ย กแ็ นน อนละวา วาสนาไมด ี เพราะคดิ เคยชนิ ใน ทางไมดี จนความทอแทออนแอกลายเปนลกั ษณะประจาํ ตวั แตถ าเกดิ มาจนแลว คดิ ถกู ทางวา ก็ดีนี่ เราเกดิ มาจนนแี่ หละเจอ แบบฝก หดั มาก พระทานวาคนนเ้ี ปนสัตวพ ิเศษ จะประเสริฐไดด ว ยการ ฝก เพราะเราจน เราจึงมีเรื่องยากลําบากทีจ่ ะตองทาํ มีปญ หาใหต องคิด และเพียรพยายามแกไขมาก นี่แหละคือไดท ําแบบฝก หัดมาก เมือ่ เราทําแบบฝกหดั มาก เราก็จะยง่ิ พฒั นามาก ไดพัฒนาทักษะ ใหทาํ อะไรไดช ํานิชาํ นาญ พัฒนาจติ ใจใหเ ขม แขง็ อดทน มีความเพียร พยายาม ใจสู จะฝก สติฝกสมาธกิ ไ็ ดทง้ั นน้ั และท่สี าํ คัญยอดเยยี่ มคือ ไดฝ ก ปญญา ในการคิดหาทางแกไ ขปญหา คนทเ่ี กิดมารํา่ รวยมั่งมี ถา ไมรจู ักคิด ไมห าแบบฝก หัดมาทาํ มวั แตห ลงเพลดิ เพลนิ ในความสขุ สบาย นน่ั แหละจะเปน วาสนาไมดี ตอไป จะกลายเปนคนออ นแอ ทาํ อะไรไมเ ปน ปญญาก็ไมพ ัฒนา กลายเปน คนเสียเปรยี บ เพราะฉะนั้น ใครจะไดเปรียบหรือเสียเปรียบ จะดูท่ีฐานะขาง นอก วารวย วาจน เปน ตน ยงั ไมแ น คนทีร่ ูจ ักคิด คิดเปน คิดถูกตอง สามารถพลกิ ความเสยี เปรยี บเปน ความไดเ ปรยี บ แตค นทคี่ ดิ ผดิ กลบั พลกิ ความไดเ ปรยี บเปน ความเสยี เปรยี บ และทาํ วาสนาใหต กตา่ํ ไปเลย
๖ ชีวิตท่ีสรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต จึงตองจําไวใหแมนวา ไมมีใครเสียเปรียบหรือไดเปรียบอยาง สมั บูรณ ถา คิดเปน กพ็ ลิกความเสยี เปรียบใหเ ปนความไดเ ปรียบได แต อยา เอาเปรยี บกันเลย เรามาสรา งวาสนากนั ใหด ี จะดีกวา พระพุทธเจาและพระอรหันตน้ันเปนผูที่พนจากอํานาจของวาสนา พระพทุ ธเจา ทรงละกเิ ลสพรอ มทง้ั วาสนาไดห มด หมายความวา พระองค ไมอ ยูใ ตอํานาจความเคยชนิ แตอยูด ว ยสติปญญา มาสรา งวาสนาดีๆ ท่ีจะใหมคี วามสุข ทนี ้ีเรื่องของคนสามัญก็คอื พยายามแกไขวาสนาทไี่ มด ี และปรับ ปรุงสรางวาสนาใหเ ปนไปในทางทดี่ ี คือการท่เี ราตั้งใจทาํ จติ ใจใหเ กดิ เปน กศุ ลอยเู สมอ จิตใจของเราจะไปตามท่มี ันเคยชนิ อยา งคนท่ีเคยชินในการปรุง แตง ไมด ี ไปน่งั ไหนเด๋ียวกไ็ ปเกบ็ เอาอารมณที่ผานมา ทีก่ ระทบกระท่ัง ทางตา ทางหู ทางจมกู ทางลนิ้ แลวนํามาครนุ คิด กระทบกระทง่ั ตัวเอง ทําใหไ มส บาย ทีนถ้ี า เรารูต วั มีสติ กย็ ้งั ได ถา คิดอะไรไมดขี ึ้นมากห็ ยดุ แลว เอา สติไปจับ คือไปนึกระลึกเอาสิ่งท่ีดีข้ึนมา ระลึกข้ึนมาแลวทําจิตใจให สบาย ปรงุ แตง ในทางทดี่ ี ตอ ไปจติ กจ็ ะเคย พอไปนงั่ ไหนอยเู งยี บๆ จติ ก็ จะสบาย นึกถงึ เรือ่ งทด่ี ีๆ แลว ก็มีความสขุ คนเราน้ีสรางความสขุ ได สรา งวาสนาใหแ กต วั เองได สรางวิถชี ีวิต ได ดว ยการกระทําอยา งท่วี า มานี้ คือใหม กี ารเกิดบอยๆ ของส่ิงทีด่ งี าม เพราะฉะนนั้ การเกิดจงึ เปน นมิ ิต หมายความวาใหชาวพุทธไดคติหรือได ประโยชนจากวันเกดิ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗ ถา ญาตโิ ยมนาํ วธิ ปี ฏบิ ตั ทิ างพระไปใชจ รงิ ๆ วนั เกิดจะมปี ระโยชน แนนอน จะเปนบุญเปน กศุ ล ทําใหเ กิดความเจริญงอกงาม อยา งนอยก็ เตือนตนเองวาเราจะใหเ กิดแตกุศลนะ เราจะไมยอมใหเ กิดอกศุ ล เชน ใจที่ขุนมวั เศรา หมองเราไมเ อาทงั้ นัน้ จติ ใจที่ดี ตองเกิดหา อยา งนีเ้ ปน ประจาํ เพราะฉะนั้นจึงมีหลักที่แสดงพัฒนาการของจิตใจวา จิตใจของ ชาวพทุ ธ หรือจิตใจทด่ี ี ตอ งมีคุณสมบัติ ๕ อยาง คือ ๑. มีปราโมทย ความรา เริงเบกิ บานใจ ๒. มปี ติ ความอ่ิมใจ ๓. มีปส สัทธิ ความสงบเย็นผอ นคลาย สบายใจ ๔. มีสุข ความคลองใจ โปรง ใจ ฉาํ่ ชน่ื รืน่ ใจ ไมม อี ะไรมาบีบคั้น หรอื ระคายเคอื ง ๕. มีสมาธิ ความมีใจแนวแน สงบ มัน่ คง ไมห วั่นไหว ไมถูก อารมณต า งๆ มารบกวน ถา ทาํ ใจใหมคี ุณสมบัติ ๕ อยา งนไี้ ด ก็จะเปน จติ ใจท่เี จริญงอก งามในธรรม สภาวะจิต ๕ ประการน้ีโปรดจาํ ไวเ ลยวา ใหมีเปน ประจํา พระพทุ ธเจาตรัสบอยๆ วา เม่ือปฏบิ ัติธรรมถูกตองแลว พิสจู น ไดอยางหน่ึง คือเกิดสภาพจิต ๕ ประการนี้ ถาใครไมเกิด แสดงวา การปฏิบัติยังไมกาวหนา คือตองมี ๑. ปราโมทย ๒. ปติ ๓. ปสสัทธิ ๔. สุข ๕. สมาธิ พอหาตัวน้ีมาแลวปญญาก็จะผองใส แลวจะคิดจะทําอะไรก็จะ เดินหนาไป ตลอดจนการปฏบิ ัตธิ รรมก็จะกา วไปสูโ พธญิ าณไดด วยดี
๘ ชวี ิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสุขสันต เพราะฉะนัน้ ในวันเกิดกข็ อใหไ ดอ ยางนอ ย ๒ ประการนี้ คือ เรมิ่ ตน ดี และใหเ กดิ สงิ่ ทด่ี ีกค็ มุ เลยชวี ติ จะเจรญิ งอกงามมคี วามสขุ แนน อน เกดิ คอื เชอื่ มตอ กาํ เนดิ กบั ความงอกงามตอ ไป เร่อื งวันเกิดนีพ้ ูดไดหลายอยาง หลายแง เพราะมีความหมายมาก มาย ความหมายอกี อยางหนึ่งของการเกดิ กค็ อื เปนจดุ เชื่อมตอ มิใชวาเกิดมาน้ีคือการเริ่มตนใหมโดยไมมีอะไรมากอน แตการ เกดิ นี่เปน จดุ เชอ่ื มตอ และถา ใชเ ปน จดุ เชอ่ื มกท็ าํ ใหเ ราไดป ระโยชนม าก มาย เช่อื มตออะไร เช่อื มเรา กบั คณุ พอ-คุณแม ๑. การเกิดเปนตัวเช่ือมตอตัวเราผูเกิด กับทานผูใหกําเนิด เพราะฉะนนั้ ทนั ทที ใี่ ครคนใดคนหนง่ึ เกดิ นนั้ อกี คนหนง่ึ กเ็ กดิ ดว ย คอื พอลูกเกดิ พอ แมก็เกิดดว ย คนทยี่ งั ไมไ ดเ ปน พอ แม พอมลี กู เกดิ ตวั เองกเ็ กดิ เปน พอ เปน แม ทนั ที เพราะฉะนนั้ วนั เกดิ ของเรา จงึ เปน วนั เกดิ ของคณุ พอ คณุ แมด ว ย ดวยเหตนุ ้ัน วนั เกดิ น้ใี นแงห นง่ึ จงึ เปน วันท่ีระลึกถงึ บดิ ามารดา และจะเปนตัวเช่ือมใหเรามีความผูกพันกับทานผูใหกําเนิด แลวก็จะมี ความสขุ รวมกนั อยางเชน ลูก เม่ือถงึ วันเกิด ก็นกึ ถึงคณุ พอ-คณุ แม และทาํ อะไรๆ ทจ่ี ะทาํ ใหระลกึ ถึงกนั และมีความสุขรว มกัน จากคณุ พอ -คุณแม กโ็ ยงไปหาคนอนื่ อกี เชน พี่นอ ง ปยู า ตายาย คนทเี่ กี่ยวของ ซ่งึ สัมพันธก ันไปหมด นคี่ ือการเกดิ เปน ตวั ตอ และเชอ่ื ม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๙ เชอื่ มฐานวัฒนธรรมไทย กับความเจริญทจ่ี ะกาวหนาตอ ไป ๒. การเกิดน้ีเชื่อมไปถึงพ้ืนฐานของเรา เชน เมอ่ื เราเกิดเปนคน ไทย ชวี ิตของเราทเ่ี ปนพ้นื เดิม กม็ รี ากฐานคอื วัฒนธรรมไทย เราเกิดมา ทามกลางสงิ่ แวดลอ มน้ี วฒั นธรรมไทยก็หลอ หลอมชวี ติ ของเรา เราจะ ตองรจู กั เอาประโยชนจ ากวัฒนธรรมไทย ตอ จากพ้นื ฐานนี้เราก็กาวไปขา งหนา และพบวัฒนธรรมภายนอก ตลอดจนพบความเจรญิ อะไรตางๆ ถา เราใชเปน เรากจ็ ะไดประโยชนทั้ง สองดาน คอื ก) เราจะมพี ืน้ ฐานของเราทมี่ ่นั คง ใหการเกดิ เปนตวั ทย่ี ึดพ้ืน ฐานของเราไวไ ดด ว ย รากฐานทางวฒั นธรรมทเ่ี รามี เรากไ็ มละท้งิ แตเ รา เอาสวนที่ดีมาสรางตวั ใหเ ปน พนื้ ฐานทม่ี ัน่ คง ข) สิง่ ใหมๆ เราก็กา วไปรบั ไปทาํ กาวไปสรางสรรค ถา เราไดทัง้ สองดา นน้ี เราจะมีความเจริญงอกงาม คอื ท้ังมีพ้นื ฐานที่ดี และสามารถกาวไปขางหนา ไดอ ยา งม่นั คง หมายความวา ไมใหขาดทัง้ สองดา น ท้ังพื้นฐานเดมิ ทเี่ ปนราก ฐานเกา และทง้ั ดา นใหมท ีจ่ ะกาวไปขา งหนา คนที่จะเจริญงอกงามตอง ไดท ั้งสองดา นนี้ จงึ จะมกี ารพฒั นาที่สมบูรณ นึกถงึ วนั เกิด ชว ยใหไ มห ลงเตลิดออกจากธรรมชาติ เชอ่ื มบุคคลในสงั คม กบั ชีวติ ในธรรมชาติ ๓. การเกดิ เปน ตวั เช่ือมตอ คนและสงั คม กบั ธรรมชาติ คนเราท่ี เกดิ มาน้ี ตัวแทๆ ยังไมมอี ะไร ก็เปนชวี ิตเทาน้ัน ชวี ิตน้ีเปนธรรมชาติ ชวี ิตนอ้ี ยทู า มกลางธรรมชาติ เกดิ จากธรรมชาติ เปนไปตามธรรมชาติ
๑๐ ชวี ติ ท่สี รา งสรรค สดใสและสขุ สันต เนื้อตวั ชวี ติ ของเรานีเ้ ปนธรรมชาติ เม่อื เกิดมาแลว เราจึงเรม่ิ มฐี านะใหม คอื สถานะในทางสังคม คอื เปน บุคคล เรากจ็ ะเปน บคุ คลในสงั คม เปน ลูกของคณุ พอ คุณแม เปน พ่ี ของคนนน้ั เปน นอ งของคนน้ี แลว กก็ า วเขา ไปในสงั คมโดยมีฐานะตา งๆ บางทีเรากาวเขา ไปในฐานะทีส่ อง คอื เปน บคุ คลในสังคม จนลมื ฐานะทห่ี นงึ่ คอื ความเปน ชวี ติ ทอี่ ยใู นธรรมชาติ เรานกึ ถงึ แตค วามเปน บคุ คลทีไ่ ปเที่ยวมีบทบาทน้นั นี้ๆ จนลมื ตวั เอง ทางพระทา นเตอื นเสมอวา อยา ลมื สถานะเดมิ แทท เ่ี ปน พนื้ ฐานของ เราวาชีวิตเปนธรรมชาติ คนใดท่ีไดทั้งสองดาน คนนั้นจึงจะมีชีวิตท่ี เจรญิ งอกงามสมบูรณ แตคนเรานี้จาํ นวนมากมกั จะลมื ดานชวี ติ และไดแคดา นบคุ คล คอื นึกถึงแตด า นการอยูรวมสงั คม นึกถึงการท่ีจะมฐี านะอยา งนั้นอยา งนี้ จนลืมชีวิตทเ่ี ปน พื้นฐาน แมแตจ ะกนิ อาหาร ถา เราลืมพ้ืนฐานดา นชีวติ เสียแลว เรากพ็ ลาด ถาเรามวั นึกถึงในแงก ารเปน บคุ คลในสังคม เวลารบั ประทานอาหารเราก็ นึกไปในแงวา เรามฐี านะอะไร ควรจะกนิ อะไรใหส มฐานะ ดไี มด ีกไ็ ป ตามคา นยิ มใหโ กใ หเ ก เปน ตน แตถ า เรานึกถึงในแงข องชีวิต ก็คดิ เพยี งวา การกินอาหารนน้ั เพ่ือ ใหร างกายแข็งแรง ใหชวี ติ ดาํ เนินไปได ตอ งกนิ ใหส ุขภาพดนี ะ อยา กิน ใหเปนโทษตอรางกาย อาหารแคไ หนพอดแี กความตอ งการของรา งกาย อาหารประเภท ไหนมคี ณุ ภาพ เปนประโยชนต อ ชวี ติ เราก็กินอยางนัน้ แคน ั้น ถาเราไมลืมพ้ืนฐานของชีวิตในดานธรรมชาติ เราจะรักษาตัวแท
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑ ของชีวิตไวได สวนท่ีเหลือในดานความเปนบุคคล ก็เปนเพียงตัว ประกอบ แตป จ จุบนั น้ีเรามักจะเอาดา นบคุ คลเปนหลัก จนกระทัง่ ลืม ดา นชีวติ ไป ทาํ ใหด านธรรมชาติสูญเสีย เราจึงมชี ีวิตทีไ่ มสมบรู ณ วนั เกดิ น้จี งึ เปนเครื่องเตือนใจ โดยเปน ตวั เชอ่ื มวา โดยเนอ้ื แทนน้ั ฐานของเราเปนธรรมชาตนิ ะ อยาลืมสวนท่ีเปนดานธรรมชาตินี้ สวนดาน ที่เปนบคุ คลเราก็ทาํ ใหดี ใหไ ดผ ล ใหสองดา นมาประสานกลมกลืนกนั ทัง้ ดานชีวติ ทีเ่ ปนธรรมชาติ และดานเปนบุคคลทอ่ี ยใู นสงั คม ถาอยา งน้ี แลวชวี ิตก็จะสมบรู ณ มชี ีวติ อยไู ปนานเทาไรๆ กอ็ ยา ลืมหลักการขอนี้ วนั เกิด ทาํ ใหไมลืมทจี่ ะหวนกลบั มาพฒั นาชวี ติ ที่เปน ตัวแทข องเรา อีกอยา งหนึ่ง การมองตัวเองใหถงึ ธรรมชาติที่เปน ชีวิตน้ี เราจะได กาํ ไร คอื หลักการของพระศาสนา จะมาเสรมิ ใหเ ราพฒั นาตัวชีวติ ท่แี ท ไมใชพ ฒั นาแตส่งิ ภายนอกอยางเดียว บางทีเราลืมไป มวั แตแ สวงหาอะไรๆ ที่เปน ของภายนอก ทีพ่ ระ ทา นบอกวา เปน ของนอกกาย จนพะรงุ พะรงั เสรจ็ แลว สง่ิ เหลา น้ีก็กลับ มากอ ทกุ ขใหแกตนเอง ชีวิตในดานท่ีแทจริงน้ัน เม่ือเราไมลืมมันแลวพระพุทธศาสนาก็ เขามาได ทานก็จะสอนใหพ ฒั นาชีวติ ของเราวา ชีวติ ของเรานี้ นอกจาก ดา นการสอื่ สารแสดงออกสัมพันธก ับโลกภายนอกแลว ลึกเขา ไปยงั มี ดา นจิตใจ และอกี ดานหน่งึ คือ ปญญา เราจะตอ งมคี วามรเู ทา ทันชีวติ น้ี รูเทาทันโลก เปน ตน ถงึ ตอนนี้กเ็ ขา มาสศู ลี สมาธิ ปญญา
๑๒ ชวี ิตท่ีสรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต เราจะตอ งพัฒนาชวี ติ ของเรา ใหชวี ติ ที่เกดิ มาแลวน้ไี ดเขาถงึ ภาวะ ท่ีดีทีป่ ระเสรฐิ ของมัน ไมใ ชดแี ตข า งนอกอยา งเดยี ว ความเจรญิ งอกงามของชวี ิตทีแ่ ท แมก ระทั่งเปนพระอรหันต เปน มหาบุรษุ อะไรตางๆ ได ก็อยตู รงนี้แหละ คอื พฒั นาชีวติ ของเราทเี่ ปน ตัวของตวั เอง ทเ่ี กิดมาแลว ชาตหิ นึง่ นใี้ หไ ดส ่ิงทีด่ ีที่สุด ใหเ จรญิ ในศีล สมาธิ ปญญาข้ึนไป จนกระท่ังไดบรรลุ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน มีอิสรภาพทีแ่ ทจริง อนั นี้เปนเรอ่ื งยดื ยาว จะยงั ไมบ รรยาย แตเปนแง หน่ึงของการท่จี ะไดค ติจากวันเกิด รวมแลว วนั เกดิ นี้ ถา มองใหด กี ม็ คี ตเิ ตอื นใจใหไ ดค วามหมายมาก มายหลายอยา ง แตส าระสําคัญกค็ อื เปนจุดเชอ่ื มตอที่วา พอเชือ่ มตอ แลวเราจะตองใหไ ดท้ังสองดาน อยาใหข าดดานหนึ่งดานใดเลย ไมใ ชว า พอเชอ่ื มตอแลว ก็กาวไปหาของใหม จนเลยไป ลืมเตลิด หลงทาง ไมเ ห็นฐานเกา ถาไดครบท้ังสองดานอยางนี้ ก็เปนความสมบูรณของชีวิตที่ ครบถว นเตม็ บรบิ ูรณ โดยเฉพาะในสถานการณปจ จุบนั นี้ เรามเี ร่ืองภายนอกทีก่ ระทบ กระทัง่ มาก ถาใครต้งั หลัก ทําชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะภายในดา นจิต ใจ และปญญา ไมไดดแี ลว จะหวัน่ ไหวและกระทบกระเทอื นมาก เพราะฉะนน้ั ตอนนเี้ ราจะยง่ิ ตอ งมคี วามไมป ระมาท แลว กต็ องมา ตั้งหลกั ทําตวั ของเราเอง ทั้งทางจิตใจ และปญญาท่รี ูเ ทาทัน ใหพ รอ ม ใหเ ขมแขง็
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๓ เดก็ เกิดมา ถา เลี้ยงไมดี จะเปนคนท่ที ุกขง าย-สุขไดยาก ในโลกตอ ไปน้ที ่ีมีเร่ืองราวอะไรตางๆ เกดิ ขนึ้ มาก คนที่อยูไดจะ ตอ งมคี วามเขม แขง็ เด็กสมัยปจจบุ นั นี้ ในสังคมไทยเรา ชกั จะเลย้ี งดูไป ในทางทีท่ ําใหออ นแอ คนทอี่ อ นแอ กจ็ ะมีความสขุ ตามแบบของคนออ นแอ ความสขุ ของคนออ นแอน้นั เปราะบาง แตกสลายงา ย และความสขุ อยางนัน้ ก็ เปล่ียนเปน ทุกขไ ดงาย ไมย ั่งยนื ม่ันคง สว นคนทีเ่ ขม แข็ง ก็จะมคี วามสุขท่ีเขมแข็งดวย ความสุขที่เขม แขง็ ก็มน่ั คง และยากท่ีจะเปลี่ยนแปลง คอื ความสขุ นั้นยากทจี่ ะเปลย่ี น เปนความทุกข แถมยังเจอความทกุ ขน อยๆ ก็ไมห วนั่ ไมก ลัว จึงเปน “คนทที่ กุ ขไ ดยาก และสขุ ไดงาย” เพราะฉะนัน้ คนทีอ่ ยูในโลกตอไปนี้ ตองพัฒนาใหด ี ตอ งเปน คน ทส่ี ขุ ไดง าย ทกุ ขไดยาก ถาพฒั นาไมเ ปน หรอื ไมพัฒนา กจ็ ะเปน “คนท่ี สุขไดยาก และทุกขไดง า ย” เวลานเี้ ดก็ ยคุ ปจ จบุ ัน เราพยายามจะใหเขามคี วามสุข แตเ ราไม เลยี้ งดเู ขาใหด ี เขาไมพ ฒั นา กเ็ ลยกลายเปน คนทสี่ ขุ ไดย าก-ทกุ ขไ ดง า ย ปรากฏวาเปน อยางน้ีกนั มากแลว ทั้งๆ ทีม่ อี ุปกรณบ ํารุงบําเรอใหความ สุขมากมาย แตเ ด็กยิ่งเปนคนทกุ ขไ ดงาย-สุขไดยาก ถา อยา งนี้ ถงึ จะมอี ปุ กรณบ าํ รงุ บาํ เรอ หรอื เทคโนโลยเี จรญิ เทา ไร กไ็ มไ หว แกทุกขไ มไ ด ฉะนั้นจะตองพฒั นาขางใน ใหเปนคนท่มี คี วาม สุขของคนที่เขมแขง็ เปน คนทสี่ ขุ ไดง าย-ทุกขไ ดยาก แมแตทุกทานทุกคนก็เชนเดียวกัน บทพิสูจนตัวเองอยางหนึ่งก็
๑๔ ชีวติ ท่สี รางสรรค สดใสและสุขสันต คือ เราเกิดมานานแลวนี้ เราสขุ ไดง ายข้ึนหรอื ไม ถาเรากลายเปนคนทีส่ ุขไดย าก ทุกขง า ยข้นึ ก็แสดงวา เราน่ีเหน็ จะเดินไมคอยถูกทาง เพราะฉะน้ันตองตรวจตราดูตัวเอง อยูกันมา นานๆ ตอ งใหสขุ ไดง า ย ทุกขไดย ากขนึ้ ถาเกิดแลวพฒั นา ยิง่ เกิดมานาน ยงิ่ สุขทกุ สถาน ตอนเกิดใหมๆ ยังเปนเด็กน่ีสุขไดงาย เจออะไรนิดหนอยก็ หวั เราะแลว แตพ อโตขึ้นชกั สขุ ไดย ากข้นึ เพราะฉะน้นั ตอ งระวงั ทานจงึ ใหไ มป ระมาท ถานกึ ถงึ วันเกิดใหถูกตอ ง จะตองโยงมาสูความเจรญิ เตบิ โตหรอื การพัฒนาท่ถี กู ตอ ง คืออยูนานไป ชวี ิตยงิ่ สมบูรณมากขน้ึ โดยเฉพาะมี ความสุขไดง า ย จนมคี วามสุขประจําตัวประจาํ ชวี ิตไปเลย รวมความวา เมือ่ พฒั นาตัวเราเองน้ีไป ก็เขามาสหู ลกั ที่วา การ เกิดนีเ้ ปน เครื่องเตือนใจเราใหไดท ัง้ สองดาน กาวไปขางนอกแลว อยาลมื ขางในตัวเอง ตอ งพฒั นาใหทนั สรางความเขมแขง็ ท่ีจะอยใู นภาวะภาย นอกไดอยา งดที สี่ ดุ เมอ่ื พฒั นาภายใน ทงั้ พฒั นาจติ ใจ และพฒั นาปญ ญาใหเ ขม แขง็ ใน ท่ีสดุ ขางนอกมาเทา ไรก็มีแตได คอื ไดสว นดที เ่ี ปน ประโยชน และยง่ิ มี ความสขุ เปนอันวา วนั เกิดนม้ี ีความหมายท่ดี ีงาม นํามาเปน คติแกต วั เรา โดยเฉพาะทานเจา ของวนั เกดิ จะไดประโยชนม ากมายหลายประการ อาตมภาพขออนโุ มทนา ทา นเจา ของวันเกดิ และโยมญาตมิ ิตรทุก ทา น ท่ีจะเดินทางเขา ไปในปใ หมรว มกนั ขอใหทกุ ทานมีพลังกาย พลงั
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕ ใจ พลังปญ ญา พลงั สามคั คีทีเ่ ขมแขง็ พรอมทจี่ ะเดนิ หนา กา วไปให ประสบความสาํ เรจ็ และความสขุ ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป ใหปใ หมน ้เี ปนมงคลทแี่ ทจริง มงคลสมกบั ความหมายทวี่ า สิ่งท่ี นาํ มาซ่ึงความสุขความเจรญิ ขอใหป ใหมท ่เี ปน มงคลน้ัน นาํ ความสุข ความเจริญมาใหโ ยมญาตมิ ติ รทุกทาน รตนัตตะยานุภาเวนะ รตนตั ตะยะเตชะสา ดวยเดชานุภาพคณุ พระรัตนตรัย พรอมท้ังบุญกุศลท่ไี ดบําเพญ็ ตัง้ แตจิตใจทดี่ ี เกดิ มี ศรัทธา เกดิ เมตตาไมตรจี ิต เปนตนนี้ จงนํามาซึ่งความเกิดแหง กุศลยง่ิ ขึน้ ไป เชน เกิดความสขุ เกิดความเอบิ อ่มิ ใจ เกิดความรา เริงเบิกบานใจ เกดิ ความสดชื่นผอ งใส เปน ตน ขอทุกทานจงพรงั่ พรอมดวยจตรุ พธิ พรชัย ประสบความสาํ เร็จใน สิ่งทม่ี งุ มาดปรารถนา บังเกดิ ประโยชนสุข มีความงอกงาม รมเยน็ เปน สุขในพระธรรมของพระสมั มาสัมพุทธเจา โดยทั่วกันทุกทาน ตลอดกาล ทกุ เมื่อ ท้งั ตลอดปใ หมน ้ี และตลอดไป เทอญ
ชีวิตท่ีส มบูรณ นําเรื่อง∗ อาตมาคณะพระสงฆที่ไดจรมา เรียกวาเปนพระอาคันตุกะทั้ง ๓ รูป ขอ อนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกทานที่มาประชุมกันในที่นี้ เพ่ือรวมกันทําบุญถวาย ภตั ตาหาร ในโอกาสทคี่ ณุ หมอพอ บา น และแมบ า น พรอ มทงั้ ลกู ชายลกู สาว ไดเ ปน เจา ภาพผนู มิ นต ถอื วา เปน การทาํ บญุ บา นไปในตวั นอกจากถวายภตั ตาหาร ก็ได ถวายอปุ ถัมภเสนาสนะท่ีพักแรมคา งคนื ดวย เรยี กวาเปนการอปุ ถัมภด วยปจจยั ส่ี ทางฝา ยโยมญาตมิ ติ รทง้ั หลาย ก็มีนาํ้ ใจเก้ือกลู โดยเฉพาะก็มีศรัทธาใน พระพุทธศาสนา เมื่อทราบขาววามีพระสงฆเดินทางมาถึง ก็มีน้ําใจประกอบดวย ไมตรีธรรม พากนั มาอปุ ถัมภถวายกําลัง ทาํ บญุ เพอื่ อะไร? ในการถวายกาํ ลงั แกพ ระสงฆท เี่ รยี กวา ทาํ บญุ น้ี ใจของเรามงุ ไปทพ่ี ระศาสนา คอื จดุ รวมใจหรือเปาหมายของเราอยูทพี่ ระศาสนา หมายความวา เราถวายทาน แกพระสงฆกเ็ พ่อื ใหท านมีกําลงั แลว ทานจะไดไ ปทาํ งานพระศาสนาตอ ไป งานพระศาสนา เราเรยี กกนั วา ศาสนกจิ แปลงายๆ กค็ ือกจิ พระศาสนา งานพระศาสนาหรือศาสนกจิ น้นั โดยทั่วไปมี ๓ ประการ คอื ๑. การเลา เรยี นคําสั่งสอนของพระพทุ ธเจา ∗ ธรรมกถา ทีบ่ า นของ น.พ.สมชาย กุลวัฒนพร ณ Saddle River, New Jersey, USA. วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๗
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๗ ๒. การปฏบิ ตั ิตามคําส่ังสอนของพระพทุ ธเจา คอื เอาคาํ สอนนัน้ มาใช มา ลงมอื ทําใหเ กิดผลจริง ๓. การนาํ คาํ สงั่ สอนของพระพุทธเจา ไปเผยแผส งั่ สอน คอื เมอื่ ตนเอง เรียนรแู ละปฏบิ ัตไิ ดแ ลว ก็เอาไปแจกจา ยใหประชาชนไดร แู ละปฏบิ ัติตาม งานพระศาสนา หรือศาสนกจิ ทั้งหมดน้ี กเ็ พอ่ื ประโยชนส ุขแกป ระชาชน พูดตามสํานวนของพระวา เพื่อประโยชนเก้ือกูลและความสุขแกชนจํานวนมาก เพอ่ื อนุเคราะหช าวโลก อันนเ้ี ปนหลกั การและวตั ถุประสงคของพระพทุ ธศาสนา อยา งไรก็ตาม การท่พี ระสงฆจะทํากิจสามอยางเหลานี้ไดดนี น้ั ทา นควรจะ ไมตองหวงกังวลในเรอ่ื งของวัตถุ หรือเรื่องของปจ จัยส่ี และควรจะตอ งการสง่ิ เหลานัน้ ใหน อ ยดวย เพ่อื ทําตัวใหโ ยมเลีย้ งงาย เมือ่ ญาตโิ ยมดูแลอยู และเมอื่ พระสงฆก ไ็ มม วั วนุ วายกบั วตั ถแุ ตต ง้ั ใจทาํ หนา ทอี่ ยอู ยา งน้ี กจ็ ะทาํ ใหพ ระศาสนาดาํ รงอยเู พอ่ื ประโยชนส ขุ แกป ระชาชนตอ ไป มองในดานการอุปถัมภบ ํารุง เม่ือญาติโยมอปุ ถัมภบํารงุ พระสงฆพอดี ก็ ทําใหพ ระสงฆสามารถทํากิจทวี่ ามาเมื่อก้ี คือ เลาเรียน ปฏิบัติ และเผยแผสั่ง สอนไดเต็มที่ เมอื่ พระสงฆทําหนาทข่ี องตนดแี ลว พระศาสนาดํารงอยู กท็ ําให เกดิ ประโยชนสุขแกประชาชน ฉะนั้น ญาติโยมที่อุปถัมภบํารุงพระสงฆ ก็คือไดทํานุบํารุงพระพุทธ ศาสนา จงึ ถือวา มีสวนรวมในการสบื ตอ อายพุ ระพทุ ธศาสนาดว ย ทนี ี้กถ็ ามใหถ งึ วัตถุประสงคส ุดทา ยวา เราทาํ บุญอปุ ถมั ภพ ระสงฆ บํารงุ พระศาสนาเพอื่ อะไร กต็ อบอยา งท่ีพูดมาแลววา เพอื่ ใหพ ระศาสนาดํารงอยแู ละ เจรญิ มนั่ คง เพอื่ ประโยชนส ุขแกประชาชน มนุษยจ ะไดม ีชวี ิตท่ดี งี าม สงั คมจะได อยูรมเยน็ เปนสุข จดุ หมายขั้นสุดทา ยของเราอยูทนี่ ่ี ฉะนนั้ ในเวลาท่ีทาํ บุญนี่ ใจอยาตดิ อยูแคพระ ใจเราจะตอ งมองยาวตอ
๑๘ ชีวิตท่สี รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต ออกไปถึงพระศาสนา เมื่อทําบุญกม็ ุงหมายใจและอมิ่ ใจวา โอ! พระศาสนาของเราจะไดด ํารงอยู ยงั่ ยนื ม่ันคงตอ ไป ประโยชนสขุ จะไดเกิดแกม นษุ ยชาติ เวลาทําบุญเราตอ งทาํ ใจ นึกอยางนี้อยูเสมอ เมื่อทําอยา งนี้ กจิ กรรมทกุ ครั้งของญาตโิ ยมกจ็ ะพงุ ไปรวมท่ีศูนยเดียวกนั คือพระศาสนา และประโยชนส ขุ ของประชาชน ถา ทําอยา งน้ี ใจของแตล ะทานก็จะขยายกวางออกไป อันนแี้ หละเปน ส่ิงท่ี ทาํ ใหใจเราเกดิ ปตวิ า เออ! ครงั้ นี้ เรากไ็ ดม ีสวนรวมอกี แลว นะ ในการทาํ นุบํารงุ พระศาสนาและสรา งเสรมิ ประโยชนสขุ แกมวลมนุษย แลวเราก็เกิดความอิม่ ใจ สําหรับวันน้ี ญาติโยมทั้งหลายก็ไดอุปถัมภบํารุงตามหลักการท่ีกลาวมา แลว อยา งนอ ยก็ไดม ีน้ําใจเกอ้ื กลู ตอพระสงฆท ีจ่ รมา เวลาเห็นพระสงฆไ ปทไ่ี หน ญาตโิ ยมก็มีใจยินดี เรยี กวาเปน การเห็นสมณะ ในมงคลสูตรกก็ ลาววา การเหน็ สมณะนนั้ เปน มงคลอนั อดุ ม ท่ีวา เปนมงคล กเ็ พราะวา สมณะน้นั เปนผสู งบ สมณะที่ประพฤติปฏิบตั ิ ถูกตอง เปนผูท ี่สงบ ไมม เี วรไมม ภี ัยแกใคร และเปน ผทู ํางานหรือทําหนาท่ีอยางที่ กลาวมา ญาตโิ ยมชาวไทยเรานี้ ไดม ีประเพณีวัฒนธรรมอยา งนม้ี าตลอด เวลา เห็นพระเรากส็ บายใจ มจี ิตใจยินดี แลวก็แสดงนํ้าใจ เพราะฉะนั้น พระสงฆไปไหน กป็ รากฏวาไดเหน็ น้ําใจของโยมญาตมิ ติ ร เปน อยางนี้กันท่วั เชน อยา งทีน่ ่ี โยมญาตมิ ิตรกอ็ ยกู นั หลายแหง หลายท่ี คุณหมอ แจง ขา วไป พอรูขา วกม็ ากัน อนั นี้ก็เปนประจกั ษพ ยานของความมีนา้ํ ใจ มศี รัทธา และมเี มตตาธรรม อาตมากข็ ออนโุ มทนาดวย
ชีวิตท่สี มบูรณ อยา มองขา มความสาํ คัญของวตั ถุ การทําบุญวันนี้ เจา ภาพถือวาเปน การทาํ บญุ บานดวย บานเปน อยางหนงึ่ ในส่ิงจําเปน สาํ หรับชีวิต ท่ีเรียกวาปจ จัยสี่ กลา วคอื อาหาร เคร่ืองนงุ หม ท่ีอยอู าศยั ยารกั ษาโรค ปจจัยส่ีเปนเรื่องที่มีความสาํ คัญมาก ในพระพุทธศาสนาทา นไม มองขามความสําคัญขอน้ี แมแ ตใ นชีวิตของพระสงฆ วนิ ัยของพระนี่ต้ัง คร่งึ ตั้งคอ น วา ดวยเร่อื งปจ จัยส่ี ในคําสง่ั สอนของพระพทุ ธเจาน้นั เริ่มตนทเี ดียวทา นวา จะตอ งจัด สรรเร่ืองปจจัยสใ่ี หเ รียบรอ ย ไมอ ยา งน้นั แลว มนั จะยงุ แตถาจัดไดดี แลวมนั จะเปนฐาน ทาํ ใหเ ราสามารถกาวไปสชู ีวติ ทด่ี ีงาม มีการพัฒนา อยางอนื่ ตอไปได ขอใหมองดวู ินัยของพระเปนแบบอยา งในเรอ่ื งนี้ อยา งไรก็ตาม ปจ จยั สี่ก็มคี วามสําคัญอยูแ คใ นขอบเขตหนึ่ง แต พระพทุ ธศาสนาไมใ ชห ยดุ แคน น้ั คอื ทา นใหถ อื เปน ฐานทสี่ าํ คญั สาํ คญั แต ไมใ ชท งั้ หมด ความสาํ คญั นบ่ี างทบี างคนไปสบั สนกบั คาํ วา ทงั้ หมด บางคน กไ็ มเห็นความสําคญั ของวตั ถเุ อาเสียเลย อยางนน้ั ไมถกู ตอ ง ใหระลึกถึงวา คําสอนของพระพุทธศาสนานจี้ ะครบทั้งหมดตอง เปน พระธรรมวินัย คือ ตองประกอบดวยธรรมและวินัย ครบท้งั สองอยา งจึงจะเปนพระพทุ ธศาสนา
๒๐ ชีวิตทสี่ รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต วินยั นั้น กว็ า ดวยเร่อื งทีว่ ามานแี่ หละ คอื การจดั สรรในดา นวตั ถุ หรอื รูปธรรม เรอ่ื งระเบียบชวี ติ และระบบกิจการ ทง้ั ของบุคคล ชมุ ชน และสงั คมทงั้ หมด เกีย่ วกับเรื่องความเปนอยู และสภาพแวดลอม เริ่ม ต้ังแตเร่อื งปจ จยั สี่เปนตนไป ฉะน้ัน ในการดําเนินชีวิตของชาวพุทธจึงตองใหความสําคัญกับ เรอ่ื งปจจัยส่ี วา เราจะดําเนนิ การกับปจจัยส่ี จดั สรรมันอยางไร เพือ่ ทาํ ใหเปน ฐานท่มี นั่ คง เราจะไดกาวตอ ไปดว ยดี ดําเนนิ การพัฒนาไปสดู า น จติ และดานปญ ญา ในเรื่องปจจัยส่นี ้ี เมื่อเราจัดการไดถ ูกตองดีแลว เชน อยา งเร่อื งที่ อยอู าศยั เม่อื เรามีบานเรือนเปนหลักเปน แหลง และจัดสรรไดด ี มคี วาม เปน ระเบียบเรียบรอย นาอยูอาศัย กท็ าํ ใหเ ราดาํ เนนิ ชีวิตไดส ะดวก มี ความสบาย มีความมน่ั คงในชีวิต ตอจากนั้นจะทํากจิ การอะไรตา งๆ ก็ ทาํ ไดสะดวก ไมตองมัวกังวลหวงหนาพะวงหลัง จึงเก้อื กูลแกก ารทาํ อะไรตอ อะไรตอไปทีเ่ ปน สิง่ ดงี ามและเปน ประโยชนกวางขวางยง่ิ ขน้ึ เราจึงอาศัยความเรียบรอยในเรอ่ื งปจจัยสี่นแ่ี หละเปน ฐานทีด่ ี ท่ี จะกาวไปสชู ีวติ ดีงามมีความสขุ ทีเ่ รียกวา ชีวติ ท่ีสมบรู ณ จุดเร่มิ ตนคอื ประโยชนสุขขั้นพื้นฐาน ทุกคนอยากมีชวี ติ ทส่ี มบรู ณ ชวี ติ ที่สมบรู ณน ั้นเปน อยางไร เรา ลองมาดูคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา ทานสอนไวแลววา ชีวติ ท่ีสมบูรณน น้ั ตอ งประกอบดว ยประโยชน สขุ ในระดบั ตา งๆ ประโยชนส ขุ นแ่ี หละเปน จดุ มงุ หมายของชีวิต หมาย ความวา ชีวติ ของเราน้ีมจี ดุ มุงหมาย หรือมีส่งิ ทีค่ วรเปนจดุ มงุ หมาย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๑ ชวี ิตเกดิ มาทําไม? ตอบไมไดส กั คน เราเกิดมาเราตอบไมไ ดว า ชีวติ ของเรานเ่ี กิดมามจี ุดมุงหมายอยา งไร ไมม ีใครตอบได เพราะวาเวลา จะเกิดหรอื กอ นจะเกิด เราไมไดต ง้ั จุดมุงหมายไว เมอ่ื เราเกดิ มานนั้ เราไมร ตู วั ดว ยซา้ํ เพราะฉะนนั้ เราจงึ ไมส ามารถ ตอบไดวาจุดมงุ หมายของชีวิตคอื อะไร แตพระพุทธศาสนาสอนไวว า มี ส่ิงที่ควรเปนจุดมุงหมายแหงชีวิตของเรา จุดหมายน้ีเปนเรื่องของ ประโยชนแ ละความสุข ทา นแบง ไวเ ปน ๓ ระดับ ระดับท่ี ๑ คอื ประโยชนสขุ ทีต่ ามองเหน็ ซงึ่ เปน เรอื่ งวตั ถุหรอื ดาน รูปธรรม ถาจะสรุป ประโยชนส ขุ ในระดับตน ซงึ่ เปน สิ่งทต่ี ามองเหน็ ก็ จะไดแก ๑) ก) มีสขุ ภาพดี มรี างกายแขง็ แรง ไมเ จบ็ ไขไดป วย เปนอยสู บาย ใชการไดดี ๒) ข) มที รพั ยสนิ เงนิ ทอง มกี ารงานอาชีพเปน หลักฐาน หรอื พงึ่ ตนเองไดใ นทาง เศรษฐกิจ เร่อื งนก้ี ็สาํ คัญ พระพทุ ธเจา สอนไวมากมายในเรื่องทรัพยส ินเงิน ทองวาจะหามาอยา งไร จะจดั อยางไร และจะใชจ า ยอยา งไร ๓) ค) มีความสมั พนั ธทีด่ กี บั เพอื่ นมนษุ ย หรอื มสี ถานะในสังคม เชน ยศศกั ดิ์ ตาํ แหนง ฐานะ ความมีเกียรติ มชี ือ่ เสยี ง การไดร บั ยกยอง หรอื เปน ทีย่ อม รับในสังคม รวมทั้งความมมี ติ รสหายบริวาร ๔) ง) สดุ ทายท่ีสําคญั สําหรบั ชวี ติ คฤหสั ถก ็คอื มีครอบครัวทดี่ ีมีความสขุ ทง้ั หมดน้ี เปน ประโยชนสขุ ระดับตน ซึง่ ตามองเหน็ ทา นบัญญัติ ศพั ทไ วเฉพาะ เรยี กวา ทิฏฐธัมมกิ ัตถะ แปลวา ประโยชนป จ จบุ นั หรือ ประโยชนทตี่ ามองเหน็ เปน ประโยชนที่มองเห็นเฉพาะหนา และเปนฐาน ทม่ี ่ันคงระดบั แรก ทุกคนควรทําใหเ กิดข้ึน ถา ใครขาดประโยชนร ะดบั นแี้ ลว จะมชี วี ติ ทลี่ าํ บาก มชี วี ติ อยใู นโลก
๒๒ ชีวิตทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต ไดย าก และจะกา วไปสคู วามสขุ หรอื ประโยชนใ นระดบั สงู ขนึ้ ไปกต็ ดิ ขัดมาก ฉะนน้ั ถาเราอยใู นโลก ก็ตองพยายามสรา งประโยชนสขุ ในระดบั ตนนใี้ หไ ด พอมีแลว กส็ บาย และสิ่งเหลา น้กี เ็ นื่องกนั พอเรามสี ขุ ภาพดี เรากห็ าเงนิ หาทองไดส ะดวกขนึ้ ถา มามวั วนุ วาย กบั เรอื่ งเจบ็ ไขไ ดป ว ย เรากไ็ มม เี วลาทจี่ ะทาํ มาหาเลยี้ งชพี แลว กส็ นิ้ เปลือง ดว ย บางทที รพั ยท หี่ ามาไดก ห็ มดไปกบั เรอื่ งเจบ็ ปว ย ทนี พ้ี อเรามรี า งกาย แขง็ แรงสุขภาพดี เรากท็ าํ งานการหาเงินทองได แตไ มใ ชพ อแคน นั้ นะ เพยี งแคร า งกายดมี เี งนิ เทา นนั้ ไมพ อ แตอ ยา งนอ ยมนั กเ็ ปน ฐานไวก อ น ทนี ้ี เม่อื มีทรัพยส ินเงินทองแลว ฐานะในสังคมกม็ กั พวงมาดว ย เพราะตามคา นิยมในสังคมโดยทวั่ ไปน่ี พอใครมีทรพั ยส ินเงินทองกม็ กั เปนท่ียอมรับในสังคม กลายเปนคนมีสถานะ ไดรับการยกยอง มี เกียรติ ไปไหนกม็ หี นามตี า เรอื่ งนี้ก็ข้นึ ตอ คา นิยมของสงั คมดวย ทีน้ี เมือ่ มีการยอมรับ มฐี านะ มยี ศ มีตําแหนง ข้ึนแลว กอ็ าจจะมี อาํ นาจ หรือมโี อกาส ทําใหมที างไดท รัพยส นิ เงินทองมากขึน้ ดวย จงึ เน่ืองอาศัยซึ่งกนั และกัน ถา มีทรพั ยสนิ เงินทอง และมียศ มีตาํ แหนงแลว กม็ ักทําใหมมี ติ ร มีบริวารเขามาดว ย เพม่ิ เขา มาอีก เปน เคร่อื งประกอบ ชว ยใหท ําอะไรๆ ไดส ะดวกและกวา งไกลยง่ิ ข้ึน ตอ จากน้นั แกนขา งในกค็ ือครอบครวั ถามคี รอบครัวทด่ี ี เปน ครอบครวั ที่มั่นคง มคี วามสุข ก็ทาํ ใหการทําหนา ทกี่ ารงานของเราปลอด โปรงโลง ใจคลองตัวย่งิ ขึน้ ไปอีก เปน ส่ิงทเี่ ก้อื กูลแกกนั และกนั พอเรอื่ งครอบครวั เรยี บรอย ทาํ งานคลอง หาเงินหาทองไดด ี ก็ เล้ียงดูครอบครัวไดเ ตม็ ที่ ทําใหค รอบครวั มีความมัน่ คง สามารถเลี้ยงดู
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๓ และใหการศึกษาแกลูก ก็สามารถสรางสรรคความเจริญของชีวิต ครอบครวั และวงศต ระกูล ตลอดถงึ สงั คมประเทศชาติ พื้นฐานจะมนั่ ตอ งลงรากใหลกึ นคี่ อื ประโยชนส ขุ ระดับทห่ี น่งึ ซงึ่ ตอ งยอมรับวา สําคัญ แตเพียง เทา นัน้ ยงั ไมพอ ประโยชนสุขระดบั นี้ เปนส่งิ ท่ีคนมงุ หมายกนั มาก แตมนั ยงั มขี อ บกพรอง คือมนั ยงั ไมล ึกซ้งึ แลว ก็ไมปลอดโปรงโลง ใจเตม็ ที่ ยงั เปนไป กับดว ยความหวาดระแวง ความหวงแหนอะไรตางๆ หลายอยา ง เชน เมื่อมีทรัพยสินเงินทอง เราก็ยงั มคี วามรูส กึ ไมป ลอดภยั ในบางครัง้ บาง คราว ทาํ ใหมคี วามหว งกังวลและความกลวั ภยั แฝงอยูในชวี ติ ของเรา อีกอยา งหน่ึง ในการอยูในโลก ความสขุ ของเราก็ตอ งข้ึนตอ ส่ิง เหลา นี้ เวลาเราแสวงหาเงินทองมาไดมากๆ มวี ตั ถุมาบาํ รุงความสุขเพ่ิม ขึน้ เราดาํ เนนิ ชวี ติ ไป เรากน็ กึ วา ถา เรายิ่งมมี ากเราจะย่ิงมีความสขุ มาก เรากห็ าเงนิ หาทรพั ยย ิ่งขนึ้ ไป แตแลวบางทกี ลายเปนวา ไปๆ มาๆ เราก็ วิ่งไลต ามความสขุ ไมถ งึ สกั ที ย่ิงมีมากขนึ้ ความสขุ กย็ งิ่ วิง่ หนีเลยหนาไป แตก อนเคยมีเทา น้ีกส็ ขุ แตต อมาเทานนั้ ไมสขุ แลว ตองมมี ากกวา น้ัน เคยมรี อ ยเดยี วก็สุข ตอ มาเราคดิ วาตองไดพันหนึ่งจงึ สุข พอไดพนั แลว หนงึ่ รอ ยทีเ่ คยมแี ละทาํ ใหสขุ ไดก ลับกลายเปน ทกุ ข คราวนี้ถามแี ค รอยไมเปน สุขแลว ตองมพี ัน ทีน้ี พอมพี ันก็อยากไดห มื่น ตองไดห ม่นื จึงสุข มีพันตอนน้ีไมสุขแลว แตกอ นทาํ ไมมีรอ ยกส็ ุข มพี นั ก็สุข แตเดีย๋ วนมี้ นั สุขไมไ ด รอ ย และพันน้นั กลับเปน ทุกขไ ป มันไมน า จะเปน ไปได เมื่อกอนโนนยงั ไมมี
๒๔ ชวี ิตทีส่ รางสรรค สดใสและสขุ สันต อะไร พอไดร อ ยครง้ั แรกดีใจเหลือเกนิ สขุ ยิง่ กวา เดีย๋ วนี้ทีไ่ ดห มื่น พอ หาเครื่องบํารงุ ความสขุ ไดเ พิ่มขนึ้ สุขเกา ทเ่ี คยมีกลบั ลดหาย ความสขุ มนั หนีได น่ีก็เปนเรอ่ื งที่ทําใหร สู กึ ไมม ่ันคง ไมโปรง ใจ นอกจากน้ันยังเปนเรื่องของความไมจริงใจและการมีความอิจฉา รษิ ยากันอกี ทาํ ใหอ ยูดวยความหวาดระแวงไมสบายใจ อยา งเรามยี ศ มี ตาํ แหนงฐานะเปนที่ยอมรบั ในสังคม บางทีเราก็ไมแนใ จวา เขาเคารพนับ ถือเราจรงิ หรือเปลา หรอื เปน เพยี งอาการแสดงออกภายนอก เวลาเรา เปลีย่ นสถานะภายนอกแลว เขาอาจจะไมเคารพนับถือเราอกี ฉะนั้น ขณะท่ีอยูในสถานะน้ัน เราก็มีความรสู กึ ไมอ ม่ิ ใจเตม็ ท่ี มนั ไมล กึ ซึง้ พรอ มกับการที่ไดร บั เกยี รตยิ ศฐานะหรอื การยอมรับยกยอ ง น้ัน ในใจลึกๆ ลงไป บางทีก็ไมสบายใจ นี่แหละจึงกลายเปนวา บางทีส่ิงเหลานี้ก็เปนของเทียม เชน เกียรติยศ และความเคารพนับถือ ก็อาจจะเปนเกียรติยศและความ เคารพนับถือทเ่ี ปนของเทียม เมือ่ เปนของเทียม กเ็ ปนสิง่ คา งคา เปน ปญหาท้ังแกต นเองและแกผ ูอนื่ สาํ หรบั ตวั เราเอง มันก็เปนปมในใจ ทําใหเราไมไดความสขุ ทแ่ี ท จริง และเมอื่ ตอ งออกจากสถานะนนั้ หรือหมดสถานะน้ันไป แลวเหน็ คนอน่ื มที า ทีอาการตอ ตนเองเปลยี่ นแปลงไป กส็ ูญเสียความมั่นใจ และ เกดิ ความโทมนัส ถาเราแกปมในใจน้ไี มได บางทีกส็ งผลเปน ปญ หาตอ ไปอีก ทาํ ใหมีผลตอพฤตกิ รรม ตอความเปนอยู ตลอดจนสุขภาพทั้ง ทางจติ และทางกายของเรา ในดานท่ีเกี่ยวกับคนอื่น ก็มักมีเรื่องของการแขงขันชิงดีชิงเดน และการปนแตงทาทาง การกระทําและการแสดงออกที่หวงั ผลซอนเรน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕ แอบแฝง ตลอดจนความไมสนิทใจตอกัน ทําใหการเปนอยูในสังคม กลายเปนการสรางปญหาในการอยูรวมกันอีก ปญหามากมายของ มนษุ ยก็จงึ เกดิ ขนึ้ จากการปฏบิ ัติตอ เร่ืองประโยชนส ุขระดบั ตน นี้ ในท่ีสุด ก็กลายเปนวา ถาเราไมกาวสูประโยชนสุขข้ันตอไป ประโยชนส ุขระดับทห่ี นึง่ น้ี กจ็ ะเปน ปญ หาไดมาก เพราะมันไมเ ตม็ ไม อม่ิ ไมโ ปรงไมโลง และมปี ญ หาพวงมาดว ยนานาประการ รวมท้งั ความ หวาดระแวง ความอจิ ฉารษิ ยา ความรูสึกไมม ั่นคงปลอดภยั ภายนอก และความรูสึกไมม่ันใจภายในตนเอง เพราะฉะน้ัน ประโยชนส ุขระดับแรกนี้ แมว า มนั จะเปน สิ่งสาํ คัญท่ี เราจะตอ งไมม องขา ม แตเ รากจ็ ะตอ งกา วสปู ระโยชนสุขขั้นตอ ไป ดว ย เหตุนี้ พระพทุ ธเจา จงึ ทรงสอนประโยชนสขุ ระดับทีส่ องไวดวย ถาลงลกึ ได จะถงึ ประโยชนสุขทแี่ ท ระดบั ท่ี ๒ ไดแ ก ประโยชนส ุขที่เปน ดา นนามธรรม เปน เรือ่ งของ จติ ใจลึกซง้ึ ลงไป ทา นเรยี กวาประโยชนท่เี ลยจากตามองเหน็ หรอื เลยไป ขางหนา ไมเห็นเปนรูปธรรมตอหนาตอตา เรยี กดวยภาษาวชิ าการวา สัมปรายิกัตถะ เชน ความมีชวี ิตท่มี ีคุณคาเปนประโยชน การทีเ่ ราได ชว ยเหลือเกอื้ กูลแกผอู น่ื ดวยคุณธรรม ไดท ําประโยชนแกเพือ่ นมนษุ ย เม่ือระลกึ ขึ้นมาวา เราไดใชชีวติ นี้ใหม ปี ระโยชน เราไดทาํ ชีวิตใหม ี คุณคา ไดชวยเหลือเพื่อนมนุษย ไดเ ก้ือกลู สังคมแลว พอระลกึ ขึ้นมาเรา กอ็ ิม่ ใจสบายใจ ทาํ ใหม ีความสุขอกี แบบหน่ึง ดวยวธิ ีปฏบิ ตั ิในระดบั ที่สอง ซึ่งเปนเรื่องของจติ ใจ เก่ยี วกบั คุณ ธรรมนี้ ก็ทําใหเ รามีความสขุ เพม่ิ ข้ึนอกี และแมแตประโยชนส ขุ ระดับที่
๒๖ ชีวติ ท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสนั ต หนงึ่ น้ัน เมอื่ มีประโยชนส ขุ ระดบั ทีส่ องเปน คูอยูขา งในดวย กจ็ ะเกิดมี ข้ึนชนดิ ที่วา ลกึ ซึง้ เปน จริงเลยทเี ดียว จะไมเ ปน ของเทยี ม เชนถา เปน การ เคารพนบั ถอื ตอนนีจ้ ะเปนของแท การท่ีเรามีน้ําใจมีคุณธรรมและชวยเหลือเกื้อกูลเพ่ือนมนุษยดวย ใจจรงิ กจ็ ะทาํ ใหเขาเคารพเราจรงิ เปน การแสดงออกจากใจทีแ่ นน อน สนิท เปน ของลกึ ซึ้ง เราจะไดของแท ในทางกลบั กนั ประโยชนสขุ ระดบั ทส่ี องนี้ ก็อาศัยประโยชนส ุข ระดบั ที่หนงึ่ มาชวย พอเรามีจิตใจทีพ่ ฒั นา มคี ุณธรรมขึ้นมาแลว เรามี น้าํ ใจอยากจะชวยเหลือเก้ือกูลเพ่ือนมนุษย เราก็เอาสิ่งท่ีเปน ประโยชน ในระดับแรกนั่นเองมาใช เชนเอาทรัพยสินเงินทองที่เปนวัตถุเปนของ มองเห็นน่นั แหละมาใชชวยเหลือเพอ่ื นมนษุ ย ย่งิ มมี าก ก็ยิ่งชว ยไดม าก คนทมี่ แี ตประโยชนส ขุ ระดับท่ีสอง ถึงแมจ ะมีนาํ้ ใจเกือ้ กูล มคี ณุ ธรรม อยากจะชวยคนอ่ืน แตร ะดบั ท่หี นงึ่ ทําไวไมด ี ไมม เี งินทองจะไป ชว ยเขา กท็ ําประโยชนสุขไดนอย เพราะฉะนัน้ จึงตอ งมที ง้ั สองข้ัน นอกจากความสุขใจช่ืนใจในการท่ีไดชวยเหลือเกื้อกูลเพื่อน มนุษย ก็คอื ความมัน่ ใจ โดยเฉพาะความมน่ั ใจในชีวติ ของตนเอง เชน เรามีความมั่นใจในชีวิตของเราที่ไดเปนอยูมาดวยดี มีความประพฤติ ปฏิบตั ถิ ูกตอง ต้ังอยใู นความดงี ามสุจรติ ไมไดท าํ ผิดทําโทษอะไร เมอ่ื เราระลกึ นกึ ถึงชีวติ ของเราขึ้นมา เราก็มคี วามมั่นใจในตนเอง เปน ความสุขลกึ ซึง้ อยูภ ายใน และเมอ่ื เรามคี วามสมั พนั ธก ับเพ่อื นมนษุ ย ดวยความดงี าม เกดิ จากคณุ ธรรมภายใน กย็ ่ิงทําใหเรามคี วามมัน่ ใจใน ตัวเองมากขนึ้ พรอ มทง้ั มคี วามม่ันใจในการอยูรว มกบั ผูอ ่ืนดว ย นเี้ ปน ระดับของความสขุ ทีแ่ ทจรงิ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๗ ในตอนที่มีวตั ถุภายนอก เรายังไมม ีความม่ันใจจริง ความสขุ ก็ ผานๆ ไมลึกซึ้งและไมยืนยาว แตพอมีคุณธรรมภายใน ซ่ึงเปน ประโยชนสขุ ระดบั ท่ีสอง เรากม็ ีความมน่ั ใจในตวั เอง และมคี วามสขุ ที่ ลกึ ซ้งึ เตม็ ใจและชุมฉ่ําใจ นอกจากน้ันยังมีคุณธรรมอ่ืนที่มาชวยเสริมหนุนประโยชนสุขทาง จติ ใจอกี โดยเฉพาะศรทั ธา คอื มคี วามเชอ่ื ม่นั ในสงิ่ ทีด่ ีงาม ในคุณความ ดี ในการกระทําความดี ในจุดหมายท่ดี งี าม ตลอดจนในวิถชี วี ติ ทด่ี ีงาม ความเชอื่ ม่ันและมั่นใจเหลา น้เี ปน ศรทั ธา ทานผูศรัทธาในพระศาสนา เห็นวาพระศาสนาน้ีมีอยูเพื่อ ประโยชนส ุขแกม วลมนษุ ย เปน คาํ สอนทด่ี ีงาม เรามีศรทั ธา มีความมน่ั ใจในคุณคาแหงธรรม เราก็ทํานุบํารุงหรือชวยกิจการพระศาสนาดวย ศรัทธานั้น จติ ใจของเราก็มคี วามม่ันใจและมั่นคง มกี ําลงั เขมแขง็ และ ผองใส พรอ มท้งั มีความสุขทป่ี ระณตี เปนสวนท่ีแทและลกึ ซ้งึ อยภู ายใน อนั นีค้ อื ประโยชนส ุขระดับท่ีสอง ท่ที า นถอื วาเราจะตองกาวใหถ ึง ซงึ่ จะทาํ ใหป ระโยชนส ขุ ขนั้ ทห่ี นงึ่ ไมม พี ษิ ไมม ภี ยั แลว กก็ ลบั เปน ประโยชน เก้อื กูลกวางขวางออกไป และยังทาํ ใหค วามสุขท่มี ที ่ไี ด กลายเปนความ สขุ ทลี่ ึกซึ้งเตม็ ที่ ฉะนัน้ เราจึงตองกา วไปสูประโยชนสุขระดบั ท่สี อง ทา นผใู ดไดกา วขึ้นมาถงึ ประโยชนส ขุ ระดับทส่ี องแลว ก็จะมีความ มนั่ ใจในคณุ คา แหง ชวี ิตของตนเอง พอระลกึ นึกขนึ้ มาเมื่อใดกเ็ กดิ ปติสขุ วา เออ เรามที รพั ยส นิ เงนิ ทอง และเงนิ ทองนน้ั กไ็ มเ สยี เปลา เราไดใ ช ทรพั ยส นิ เงนิ ทองนที้ าํ ใหเ กดิ ประโยชนแ ลว แกช วี ติ ของเราและเพอื่ นมนษุ ย บางทา นกอ็ มิ่ ใจวา เรามศี รทั ธาในสงิ่ ทถี่ กู ตอ ง เรามคี วามมน่ั ใจใน การดําเนินชีวิตของเรา เราไดท าํ สิ่งทถี่ กู ตอ งเปน ประโยชน ไมไ ดท าํ สง่ิ ท่ี
๒๘ ชีวิตทส่ี รา งสรรค สดใสและสุขสันต เปนโทษเสยี หาย ถาพูดตามศัพทของทานก็วา มีความม่ันใจดวยศรัทธา ที่เชือ่ และช่ืนใจในสงิ่ ท่ีดงี าม แลว ก็มศี ลี มคี วามประพฤตดิ ีงาม เกื้อกูล ไม เบยี ดเบียนใคร ทาํ แตส ่งิ ที่เปนคณุ ประโยชน มีจาคะ มีความเสียสละ ไดใชท รัพยส นิ เงนิ ทองทห่ี ามาไดทาํ ใหเ กิดคุณคา ขยายประโยชนสุขให กวางขวางออกไป แลวกม็ ีปญญา มคี วามรคู วามเขา ใจในความจริงของสงิ่ ท้ังหลาย พอท่จี ะปฏิบัตติ อ สิ่งทช่ี วี ติ เกยี่ วขอ ง เรม่ิ แตบ รโิ ภคบรหิ ารใชจ ายจัดการ ทรัพยสินเงินทองนั้น ในทางที่จะเปนคุณประโยชนสมคุณคาของมัน และไมใ หเ กดิ เปนปญหา ไมใหเกิดทุกข ไมล มุ หลงมวั เมา อยอู ยางเปน นาย มิใชเปน ทาสของทรัพย ตอ จากนีเ้ ราก็จะกา วไปสปู ระโยชนสขุ ระดับทส่ี าม แตถ งึ จะมเี พยี ง แคส องขนั้ นกี่ น็ บั วา มชี วี ติ ทคี่ อ นขา งจะสมบรู ณแ ลว ถึงจะเปน ประโยชนแ ท แตก็ยังไมส มบูรณ แมจ ะไดจะถงึ ประโยชนส ุข ๒ ระดับแลว แตพ ระพุทธเจากท็ รง เตอื นวายงั ไมสมบรู ณ ไมสมบรู ณเ พราะอะไร แมเ ราจะมคี วามดี เรามคี วามภมู ใิ จ มน่ั ใจในความดขี องเรา แต เราก็มีจิตใจที่ยังอยดู วยความหวัง เรายงั หวงั อยากใหค นเขายกยอ งนับ ถือ ยงั หวงั ในผลตอบสนองความดีของเรา แมจ ะเปน นามธรรม เรามี ความสุขดวยอาศยั ความรสู กึ ม่ันใจภมู ิใจอะไรเหลา น้นั เรยี กงายๆ วา ยัง เปนความสุขทีอ่ งิ อาศัยอะไรอยางใดอยางหนง่ึ ในระดับที่หน่ึง ความสุขของเราอิงอาศัยวัตถุ หรือขึ้นตอ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๙ คนอื่นสิ่งอ่นื พอถึงระดับท่ีสอง ความสุขของเราเขามาอิงอาศัยความดีงาม และคณุ ธรรมของตวั เราเอง อยา งไรกต็ าม ตราบใดเรายงั มีความสุขทอี่ ิงอาศยั อยู มนั ก็เปน ความสุขท่ียังไมเ ปนอสิ ระ เพราะยงั ตอ งข้ึนตออะไรๆ อยา งใดอยา งหนึ่ง เชนถาเกิดมีกรณีขึ้นวาเราทําความดีไปแลวคนเขาไมยกยองเทาที่ควร เมอ่ื เราหวังไว ตอ ไปเรากร็ สู ึกผดิ หวงั ได บางทเี ราทําความดีแลว มาเกิดรูสกึ สะดดุ ขึ้นวา เอ! ทําไมคนเขา ไมเหน็ ความดีของเรา เรากผ็ ิดหวัง หรอื วาเราเคยไดรับความช่นื ชม ได รับความยกยองในความดี แตต อมาการยกยอ งสรรเสรญิ น้นั เสอ่ื มคลาย จดื จางลงไป หรือลดนอยลงไป ก็ทําใจเราใหหอ เหีย่ วลงไปได จติ ใจของ เรากฟ็ ยู ุบไปตามความเปลย่ี นแปลงภายนอก ในทางตรงขาม ถา เรามจี ติ ใจท่ีรเู ทา ทนั ความจรงิ ของสิง่ ท้ังหลาย รตู ระหนักในกฎธรรมชาตวิ า มนั เปน ธรรมดาอยา งนั้นๆ แลว เรากท็ ําจิต ใจของเราใหเปนอิสระได และมันจะเปนอิสระจนถึงขั้นที่วา ความ เปลีย่ นแปลงเปน ไปของสิ่งทง้ั หลายตามกฎธรรมชาตนิ น้ั มันกเ็ ปน เร่อื ง ของธรรมชาติไป มนั ไมม ามีผลกระทบตอจิตของเรา ใจของเรากโ็ ปรงก็ โลง ผอ งใสอยูอ ยา งนนั้ แมว าส่งิ ท้ังหลายจะเปล่ยี นแปลงไป เปน ทุกข และเปนไปตามเหตุ ปจจยั แตใจของเราก็เปน อิสระอยู เปนตัวของเราตามเดิม เมื่อกระทบกับความไมเท่ียงเปนอนจิ จัง สิ่งทง้ั หลายเปลย่ี นแปลง ไป เรากร็ ูเ ทาทันวา มนั จะตองเปนอยางนัน้ ตามเหตปุ จ จยั แลว ก็ดาํ รงใจ เปนอสิ ระอยูได
๓๐ ชวี ติ ทสี่ รา งสรรค สดใสและสุขสันต เมอ่ื เรารตู ระหนกั ตามทมี่ นั เปน วา สง่ิ ทงั้ หลายเปน ทกุ ข คอื คงอยใู น สภาพเดมิ ไมได เรารูเ ทา ทันแลว ความทกุ ขน น้ั ก็เปนความทกุ ขข องสง่ิ เหลาน้นั อยตู ามธรรมชาติของมัน ไมเขา มาเปนความทุกขใ นใจของเรา ปญ หาของมนุษยนน้ั เกดิ จากการท่ีไมร ูเทาทันความจริง แลว กว็ าง ใจตอสิ่งท้ังหลายไมถูกตอง จึงทําใหเราถูกกฎธรรมชาติเบยี ดเบยี นบบี คั้นและครอบงําอยตู ลอดเวลา ความทุกขข องมนษุ ยน ี้ รวมแลว ก็อยทู ่กี ารถูกกระทบกระท่งั บีบ ค้ันจากการเปลีย่ นแปลง ความไมเทีย่ งแทแนน อน ความต้งั อยใู นสภาพ เดมิ ไมไ ด ไมค งทนถาวร เปน ไปตามเหตุปจจัย ซง่ึ ฝน ขดั แยง ไมเปน ไปตามความปรารถนา สิ่งทงั้ หลายเปลยี่ นแปลงไป เราอยากใหเปลีย่ นไปอยางหนึง่ มัน กลบั เปลี่ยนไปเสียอีกอยางหนึ่ง เราอยากจะใหมันคงอยู แตม นั กลับเกดิ แตกดับไป อะไรทํานองนี้ มนั ก็ฝน ใจเรา บบี คน้ั ใจเรา เราก็มคี วามทกุ ข ถากระแสยงั เปนสอง ก็ตองมีการปะทะกระแทก ทัง้ นีท้ งั้ นน้ั ก็เพราะวา เราไปสรา งกระแสความอยากซอนขน้ึ มา บนกระแสความจรงิ ของธรรมชาติทมี่ อี ยูกอนแลว กระแสความอยากของเรานี้ เปนกระแสท่ีไมเปนของแทจริง กระแสที่แทจริงของสิ่งทั้งหลายก็คือกระแสของกฎธรรมชาติท่ีวาสิ่งท้ัง หลายเปนไปตามเหตุปจจัยของมัน ทนี ีม้ นุษยเ ราก็สรางกระแสความอยากของตวั ขน้ึ มาวา จะใหส ง่ิ ทั้ง หลายเปนอยา งนน้ั เปน อยา งนี้ตามใจทชี่ อบชังของเรา แตม นั ก็ไมเปนไป ตามทใ่ี จเราอยาก เราอยากจะใหม ันเปน อยา งน้ี มันกไ็ มเ ปน กลบั เปนไป
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๑ เสียอยางโนน เพราะวาสิ่งทั้งหลายมีกระแสท่ีแทจริงควบคุมมันอยู กระแสทีแ่ ทจ ริงของมันก็คอื กระแสแหง เหตปุ จจยั สําหรับคนปุถุชนทั่วไปก็จะมีกระแสของตัวท่ีสรางขึ้นเอง คือ กระแสความอยาก เรามีกระแสนใี้ นใจของเราตลอดเวลา เปนกระแส ความอยากท่ีมีตอสิ่งหลาย ไมวาเราจะเก่ียวของกับอะไร เราก็จะสง กระแสนี้เขาไปสัมพันธกับมัน คือเราจะมีความนึกคิดตามความ ปรารถนาของเราวา อยากใหม ันเปนอยา งนัน้ ไมอ ยากใหเ ปน อยา งนี้ ทีนี้ ส่งิ ทงั้ หลายนั้นมีกระแสจรงิ ๆ ทีค่ ุมมนั อยแู ลว คือกระแสกฎ ธรรมชาติ อันไดแกความเปน ไปตามเหตปุ จจยั พอถงึ ตอนน้ีกระแสของ ตัวเราเกิดขนึ้ มาซอนเขาไปอีก ก็เกิดเปน ๒ กระแส แตส ง่ิ ท่ีอยูในสองกระแสนัน้ ก็อนั เดียวกันนัน่ แหละ คอื สิ่งนัน้ เอง เมือ่ มาเกยี่ วของกบั ตัวเรา ก็ตกอยูใ นกระแสความอยากของเรา แลวตัว มันเองกม็ ีกระแสแหง เหตุปจ จยั ตามธรรมดาของธรรมชาตอิ ยูแ ลว พอมี ๒ กระแสขึ้นมาอยา งน้ี เมื่อมคี วามเปนไปอยางหน่ึงอยา ง ใดกต็ าม สองกระแสนีก้ ็จะเกดิ การขัดแยงกันขึ้น แลว กก็ ลายเปนปญ หา คือ กระแสความอยากของคน ขัดกับกระแสเหตุปจจัยของ ธรรมดา ทีนี้ พอเอาเขาจริง กระแสเหตุปจจัยของกฎธรรมชาติก็ชนะ กระแสความอยากของเรากแ็ พ ก็ตอ งเปนอยางน้ี เพราะเปนธรรมดาวา สง่ิ ทัง้ หลายไมไ ดเ ปน ไป ตามความอยากของคน แตม นั เปนไปตามเหตปุ จจยั ของมนั พอสองกระแสนี้สวนทางปะทะกัน และกระแสเหตุปจจัยชนะ กระแสความอยากของเราแพ ผลท่ตี ามมาก็คือ ตวั เราถกู บบี ค้นั เราถูก
๓๒ ชีวิตท่สี รางสรรค สดใสและสุขสนั ต กดดนั เรากม็ ีความทุกข น่คี อื ความทกุ ขเกิดขึน้ แลว เรากไ็ ดแตรอ งขน้ึ มาในใจหรอื โอดโอยคร่าํ ครวญวา ทาํ ไมมัน จงึ เปนอยางนนั้ หนอ ทาํ ไมมันจงึ ไมเปน อยา งน้หี นอ แลวก็ถกู ความทุกข บีบคนั้ ใจ ไดแ ตร ะทมขมข่นื ไป พอประสานเปน กระแสเดยี วได คนกส็ บาย งานกส็ าํ เรจ็ สว นคนทร่ี เู ทา ทนั ความจรงิ เขาศกึ ษาธรรมแลว กร็ เู ลยวา ความจรงิ กต็ อ งเปน ความจรงิ คอื สงิ่ ทง้ั หลายเปน ไปตามกฎธรรมชาติ โดยเปน ไป ตามเหตุปจ จยั ของมนั จะเอาความอยากของเราไปเปน ตวั กําหนดไมได เพราะฉะน้ัน เราเพยี งแตรูเขา ใจวามนั ควรจะเปนอยางไร หรอื กําหนดวา เราตอ งการอยางไร ตอจากน้นั กท็ ําดวยความรวู า มันจะเปน อยางนัน้ ได เราตอ งทาํ ใหเ ปนไปตามเหตปุ จจยั ฉะนั้น ถาเราตอ งการใหมันเปน อยา งใด หรือมนั ควรจะเปน อยาง ใด เรากต็ อ งไปศกึ ษาเหตปุ จจยั ของมนั เมื่อใชป ญ ญาศกึ ษาเหตปุ จจยั ของมัน และรูเหตปุ จจยั แลว จะใหมันเปน อยางไร เราก็ไปทาํ เหตุปจ จยั ทจ่ี ะใหมนั เปนอยา งนนั้ ถา จะไมใ หเปน อยางโนน เรากไ็ ปปองกนั กําจดั เหตุปจจัยท่จี ะใหเ ปน อยา งโนน ถาตองการจะใหเปนไปตามท่ีเรากําหนดหรือตามท่ีมันควรจะเปน แลวเราศึกษาเหตุปจจัย รูเหตุปจจัย และไปทาํ ที่เหตุปจ จัยใหเปนไป อยางทเี่ ราตองการ กจ็ ะเกดิ ผลสาํ เร็จขึน้ เมื่อเรารูและทําอยางน้ี กระแสของเราก็เปล่ียนจากกระแสความ อยากคือกระแสตณั หา มาเปน กระแสปญ ญา จะเห็นชัดเจนวา กระแสปญ ญานกี้ ลมกลืนเปน อันเดียวกบั กระแส
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๓ เหตุปจจัยของธรรมชาติ เพราะกระแสเหตุปจจยั เปน ไปอยา งไร กระแส ปญ ญากร็ ไู ปตามน้ัน เมือ่ เปนอยางน้ี กระแสของคนกับกระแสของธรรมชาติ กก็ ลาย เปนกระแสเดยี วกัน เทา กบั วาตอนนี้เหลือกระแสเดียว คอื กระแสเหตุ ปจ จัยท่ีเรารูเทารทู ันรตู ามไปดวยกระแสปญญา เมื่อกระแสของคน(กระแสปญญา-ของเรา) กับกระแสของธรรม (กระแสเหตุปจจัย-ของกฎธรรมชาติ) ประสานกลมกลืนเปนกระแส เดยี วกนั ความขัดแยงบีบคนั้ ปะทะกระแทกกนั ก็ไมม ี สรปุ วา มคี วามสัมพันธร ะหวา งกระแส ๒ แบบ คือสองกระแสที่ ปะทะขดั แยง กนั กับสองกระแสท่ปี ระสานกลมกลืนเปนกระแสเดียวกัน สองกระแสทปี่ ะทะขดั แยง กนั ก็คือ กระแสความอยากของ ตัวเรา ทเี่ ราสรา งขนึ้ ใหม ขัดกบั กระแสเหตุปจจยั ของกฎธรรมชาตทิ ่ีมีอยู เดิมตามธรรมดาของมนั กระแสความอยากของเรา ก็คือการที่คิดจะใหส่ิงท้ังหลายเปน อยางน้นั เปนอยา งน้ี ตามใจตวั เรา โดยไมม องไมรบั รวู าส่ิงทั้งหลายจะ ตอ งเปนไปอยางไรๆ ตามเหตปุ จจัยของกฎธรรมชาติ เม่ือเราจะใหส่ิงน้ันเปนไปอยางหนึ่งตามกระแสความอยากของเรา แตส่ิงน้ันมันเปนไปเสียอีกอยางหนึ่งตามกระแสเหตุปจจัยของกฎธรรม ชาติ กระแสของคน กบั กระแสของธรรม(ชาต)ิ กแ็ ยกตา งกนั เปน สอง กระแส แลว สองกระแสนก้ี ป็ ะทะกระแทกขดั แยง กนั และเมอ่ื กระแสของ เราแพ เรากถ็ ูกกดถูกอัดถูกบีบคนั้ เรยี กวาเกดิ ทกุ ขอ ยางทีว่ ามาแลว สองกระแสท่ีประสานกลมกลืนเปนกระแสเดียวกัน ก็คอื กระแสปญ ญาของเรา เขากนั กับกระแสเหตุปจจัยของกฎธรรมชาติ
๓๔ ชีวิตทีส่ รา งสรรค สดใสและสขุ สนั ต ถาเราใชปญญา ปญญานั้นก็รูเขาใจมองเห็นไปตามเหตุปจจัยท่ี เปน ไปอยตู ามกฎธรรมชาติ ปญญาคอยมองคอยดใู หรเู ขาถงึ และเทาทนั กระแสเหตปุ จจยั กระแสปญญาของเราจงึ ประสานกลมกลนื กบั กระแส เหตปุ จ จัยของกฎธรรมชาติ อันนเี้ รยี กวา กระแสของคน กับกระแสของธรรม(ชาติ) ประสาน กลมกลืน กลายเปนกระแสเดียวกัน ไมมีการปะทะหรือขัดแยงกัน เพราะไมม ตี ัวตนของเราทจี่ ะมาถกู กดถูกอัดถูกบีบ เปนอันวา ตอนแรกสองกระแส คอื กระแสความอยากของเรา หรอื กระแสตัณหา เรยี กงา ยๆ วา กระแสของคน กับกระแสเหตปุ จจยั ของกฎธรรมชาติ เรยี กงา ยๆ วา กระแสของธรรม ตอ งปะทะขดั แยง กนั เพราะแยกตา งหากไปกนั คนละทาง และไมร เู รอื่ งกนั แตพ อเราใชป ญ ญา เราก็เขาถงึ กระแสเหตุปจจยั เลย กระแสความ อยากไมเ กิดข้นึ กระแสของคนคือกระแสปญ ญา กับกระแสของธรรม คอื กระแสเหตปุ จ จยั ก็จึงประสานกลมกลนื กัน เหลอื กระแสเดยี ว เมือ่ กระแสของคนเปลยี่ นจากกระแสตัณหา มาเปนกระแสปญญา แลว การที่เราจะตองขัดแยงปะทะกระแทกกับกระแสของธรรมชาติ หรือกระแสธรรม และจะตองถกู กดถกู อดั ถดู บบี เพราะเราแพมัน ก็ไม มอี ีกตอ ไป กลายเปน วากระแสของคนกบั กระแสของธรรมประสานกลม กลืนไปดวยกัน กลายเปนกระแสเดียวกัน ไมมีความขัดแยงปะทะ กระแทกกันตอไปอีก เมื่อกระแสของคน กบั กระแสของธรรม ประสานกลมกลนื กัน เปนกระแสเดียวแลว ไมวาสิ่งท้ังหลายจะเปนไปตามเหตุปจ จัยอยางไร เราก็รูเหตปุ จจัยอยางนนั้ แลว กท็ ําท่เี หตปุ จ จัย ดงั นัน้ จงึ ทัง้ ทาํ ไดผลดว ย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๕ แลว ก็ไมทุกขด วย เมือ่ ทําไดแคไหน เราก็รูวา นน่ั คือตามเหตุปจจยั หรือเทาท่ีจะได จะเปน ตามเหตุปจจัย ถามนั ไมส าํ เรจ็ เรากร็ วู า เพราะเหตปุ จ จยั ไมเ พยี ง พอ หรอื เหตปุ จ จยั บางอยา งสุดวิสัยที่เราจะทาํ ได เรารเู ขาใจแลวกไ็ มคราํ่ ครวญโอดโอยวา ทาํ ไมหนอๆ เราก็ไมทกุ ข ฉะนนั้ ดวยความรเู ขาใจอยา งน้ี จะทําใหเ รา ทงั้ ทํางานกไ็ ดผ ล ทง้ั ใจคนกไ็ มเ ปน ทกุ ข มแี ตจ ะเปน สขุ อยา งเดยี ว ปญญามานาํ มองตามเหตุปจ จัย ตวั เองกส็ บาย แถมยงั ชว ยคนอน่ื ไดอ กี ฉะน้ัน ชาวพทุ ธจะตองต้ังหลกั ไวใ นใจแตตนวา เวลามองสิง่ ตางๆ จะไมมองดวยความชอบใจหรือไมชอบใจ แตมองดว ยปญญาท่ีวา มอง ตามเหตุปจจยั ตั้งหลักไวใ นใจอยางนต้ี ้ังแตต น คนทไ่ี มไ ดฝกไมไดพ ัฒนาไมไดเ รยี นรพู ุทธศาสนา กจ็ ะตัง้ ทาผดิ เร่ิมตั้งแตมองส่งิ ท้ังหลาย ก็มองดว ยทา ทขี องความรสู ึกท่วี า อยากอยาง นัน้ อยากอยา งนี้ ชอบใจไมชอบใจ พอรับรูป ระสบการณอะไร ก็เอา ความชอบใจไมช อบใจเขา ไปจับ หรอื มปี ฏิกิริยาชอบใจหรอื ไมช อบใจไป ตามความรูสกึ สําหรับชาวพุทธจะไมเอาความชอบใจไมชอบใจหรือความชอบชัง ของตัณหามาเปน ตัวตดั สิน เปนตวั นาํ วิถชี ีวติ หรือเปนตวั บงการพฤติ กรรม แตเอาปญญามานาํ การทจ่ี ะเอาปญ ญามานาํ นั้น ถาเรายังไมมีปญ ญาพอ หรือยงั ไม ชาํ นาญ กต็ ั้งหลกั ในใจกอน คือตงั้ หลักทีจ่ ะเปนจดุ เร่ิมตน ใหแกปญญา
๓๖ ชวี ติ ที่สรางสรรค สดใสและสขุ สนั ต วิธตี ง้ั หลักในเม่อื ยังไมม ีปญญาพอ ก็คือ ทาํ เปน คติไวในใจ เวลา เกิดอะไร เจออะไร บอกใจวา “มองตามเหตปุ จจยั นะ” พอทําอยางนี้ ปญหาหมดไปตง้ั ครงึ่ ต้ังคอนเลย เชน คนมที กุ ขหรอื คนจะโกรธ พอ บอกวามองตามเหตุปจจัยเทานั้นแหละ ความทุกขหรือความโกรธก็ สะดุดชะงักหรือลดลงไปเลย เพราะฉะน้นั เราประสบปญ หาอะไร เจอสถานการณอ ะไร แมแ ต ในความสัมพนั ธร ะหวา งบคุ คล ใหเราตงั้ ใจวางทา ทีไวว า “มองตามเหตุ ปจจัยนะ” พอมองตามเหตุปจจัย เราก็ตองใชปญญาคิดพิจารณา ปญญาก็เริม่ ตน ทํางาน กิเลสและความทุกขก ็ถกู กันออกไป เขา มาไมไ ด แตถา เราไมม องตามเหตุปจจัย เราก็จะมองดวยความชอบชัง พอ มองตามความชอบชัง ปญ หาก็เกิดขึ้นในจติ ใจของเรา เปนความกระทบ กระทั่งบีบค้ันปะทะกัน ขุนมวั หรือตืน่ เตนลิงโลดหลงใหลไปตาม แลว ปญ หานั้นกจ็ ะขยายออกมาขา งนอกดวย พอมองตามเหตุปจ จัยเราจะไมเกิดปญ หา เราจะคดิ เหตุผล เราจะ หาความจริง และไดค วามรทู ่ีจะปฏบิ ตั ติ อบุคคลน้ัน เรอื่ งนัน้ กรณีนั้น ไดโ ดยถกู ตอ ง แลว เรากจ็ ะมองผอู น่ื ดวยความเขา ใจ เชนถามผี อู นื่ เขา มา มีอาการกริ ยิ าหรือวาจากระทบกระทัง่ เรา เรามองตามเหตปุ จ จยั บางที เรากลายเปนสงสารเขา คนน้เี ขามาดวยทาทอี ยางน้ี แสดงออกอยางนี้ ถา เราไปรบั กระทบ ก็เกดิ ความโกรธ แตถาเราถือหลกั มองตามเหตุปจจัยนี้ เรากเ็ ร่มิ คิดวา เออ เขาอาจจะมปี ญหาอะไรของเขา ตอนน้ีเราจะเรม่ิ คิดถงึ ปญ หาของเขา แลว กจ็ ะคิดชวยแกไ ข ใจเราโลง ออกไปนอกตวั ไมอัน้ กดกระแทกอยูกับ ตวั กเ็ ลยไมเกดิ เปน ปญหาแกต ัวเรา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๗ ตวั เขาเองอาจจะมปี ญ หา เขาอาจจะไมส บายใจอะไรมา หรอื อาจจะ มีปมอะไร เรามองดว ยความเขา ใจ และสืบหาเหตปุ จจยั พอเราเขา ใจเขา เราเองกส็ บายใจ และเกิดความสงสารเขา กลายเปน คิดจะชวยเหลือไป ประโยชนส ุขท่ีสมบูรณจ ะเกิดขึ้นได จติ ใจตอ งมีอสิ รภาพ การต้งั หลกั ในใจ เพอ่ื เปน จุดเร่ิมใหปญญามานําจิต หรือเพอื่ ให จติ เขา สกู ระแสปญ ญา อกี วธิ หี นง่ึ คอื การมองตามคณุ คา หมายความวา เมอื่ พบเหน็ เจอะเจอหรอื เกย่ี วขอ งกบั บคุ คล สง่ิ หรอื สถานการณใ ดๆ กไ็ ม ใหมองตามชอบใจไมชอบใจของตวั เรา แตม องดคู ณุ โทษ ขอ ดีขอ เสีย และประโยชนท่ีจะเอามาใชใ หไดจ ากสิง่ หรอื บคุ คลน้ัน การมองตามคุณคาของสง่ิ น้ันๆ กต็ รงขา มกบั การมองตามชอบใจ ไมชอบใจ หรือตามชอบชังของตัวเรา เชนเดียวกับการมองตามเหตุ ปจ จัย แตมีวัตถปุ ระสงคเ พื่อใหไ ดป ระโยชนจากประสบการณห รอื สถาน การณท ่เี ราเกยี่ วของทุกอยาง โดยเฉพาะในการทจี่ ะเอามาพัฒนาชีวิตจิต ใจของเราใหก า วหนาดีงามสมบรู ณย งิ่ ขึ้น ไมว าพบเห็นประสบอะไร กห็ าประโยชนห รือมองใหเ หน็ ประโยชน จากมนั ใหได อยางที่วา แมแ ตไ ดฟงคาํ เขาดา หรือพบหนูตายอยูข างทาง กม็ องใหเกิดมีประโยชนข น้ึ มาใหได การมองตามเหตปุ จ จัย เปน วิธีมองใหเ หน็ ความจริง สว นการมอง ตามคณุ คา เปนวธิ ีมองใหไ ดประโยชน แตท้ังสองวิธีเปนการมองตามท่ี ส่ิงนน้ั เปน ไมใ ชมองตามความชอบชังของตัวเรา การมองตามที่มนั เปน เปน กระแสของปญญา เอาปญ ญาทีร่ คู วาม
๓๘ ชีวิตทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต จริงมานําชวี ติ สวนการมองตามชอบใจไมช อบใจหรือตามชอบชังของเรา เปนกระแสของตัณหา เอาตณั หาที่ชอบชังมานาํ ชวี ิต การมองตามเหตุปจจัย ซงึ่ เปน การมองหาความจริง เปนการมอง ตามท่สี ่ิงน้นั มันเปน ของมนั ตามสภาวะแทๆ เรียกวา เปนข้นั ปรมตั ถ เปน เรื่องของการที่จะเขาถึงประโยชนสุขระดับที่สามโดยตรง สวนการมอง ตามคุณคา ซึง่ เปน การมองใหไดประโยชน แมจ ะเปนการมองตามท่ีสิง่ น้ันเปน แตก็ไมถึงกับตามสภาวะแทๆ เรียกวา ยังอยใู นข้นั ท่ีเกย่ี วกบั สมมติ เปน วธิ ปี ฏบิ ัตสิ าํ หรับประโยชนส ุขในระดับทส่ี อง แตใ นตอนกอน น้ันไมไ ดพดู ไว จงึ พดู ไวในตอนนีด้ ว ย เพราะเปนเร่อื งประเภทเดยี วกนั เปน อันวา ใหใ ชหลกั ของปญญา นี้เปน วธิ เี บอื้ งตนทีจ่ ะใหปญ ญา มานาํ ชีวิต ตอไปเราก็จะมแี ตก ระแสปญญา กระแสความรเู หตุปจจยั เราก็จะดําเนนิ ชีวิตทป่ี ราศจากปญหาและมจี ติ ใจเปนอสิ ระ จนกระท่ังสงิ่ ท้งั หลายท่เี กิดขน้ึ เปนไปตามกฎธรรมชาติ มีความไมเ ท่ียง เปน อนิจจงั คงอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ด เปน ทุกขัง ไมม ตี วั ตนยงั่ ยืนตายตวั แตเปนไป ตามเหตปุ จจัย เม่ือเรารเู ขาใจอยา งนีแ้ ลว ส่ิงท้ังหลายท่เี ปนอยา งนั้น มัน ก็เปน ไปตามกฎธรรมชาติ โดยทีว่ ามนั ก็เปนของมนั อยา งนั้นเอง แตมนั ไมดึงหรือลากเอาจิตใจของเราเขาไปทับกดบดขยี้ภายใตความผันผวน ปรวนแปรของมนั ดวย เราก็ปลอยใหทกุ ขท่ีมีอยตู ามธรรมดาของธรรมชาติ เปนทุกขของ ธรรมชาติไปตามเร่ืองของมัน ไมก ลายมาเปน ทุกขหรอื กอใหเ กดิ ทกุ ขใ น ใจของเรา ถาใชปญ ญาทําจิตใจใหเปนอิสระถึงขั้นนี้ได ก็เรียกวามาถึง ประโยชนสุขระดับสงู สดุ ซ่งึ เปน ระดับที่ ๓
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๙ ระดบั ที่ ๓ ไดแ ก ประโยชนส ขุ ทเ่ี ปน นามธรรม ขน้ั ทเี่ ปน โลกตุ ตระ เปน เร่อื งของจติ ใจทเี่ ปน อิสระอยเู หนือกระแสโลก เนือ่ งจากมีปญญาทร่ี ู เทาทันความจริงของโลกและชีวิต อยา งทว่ี า อยใู นโลกแตไ มติดโลก หรือ ไมเปอนโลก เหมือนใบบัวไมติดน้ํา หรือไมเปยกนํ้า เรียกดวยภาษา วิชาการวา ปรมตั ถะ แปลวา ประโยชนสงู สุด ผูทพ่ี ัฒนาปญญาไปถงึ ประโยชนส ูงสดุ น้ี นอกจากอยใู นโลกโดยที่ วาไดรับประโยชนขั้นท่ีหนึ่งและขั้นท่ีสองสมบูรณแ ลว ยังไมถกู กระทบ กระทงั่ ไมถูกกฎธรรมชาติเขา มาครอบงาํ บีบคัน้ ดวย ฉะนั้น ความทุกขท่ีมีในธรรมชาติก็มีไป แตมันไมมาเกิดเปน ความทุกขใ นใจเรา อนจิ จังกเ็ ปนไปของมัน ใจเราไมผันผวนปรวนแปร ไปดวย จงึ มาถึงขนั้ ท่เี รียกวาถกู โลกธรรมกระทบกไ็ มห ว่นั ไหว อสิ รชน คอื คนทีไ่ มย ุบไมพ อง โลกธรรม ก็คือสิ่งที่มีอยูและเกิดข้นึ เปนประจําตามธรรมดาของ โลก โดยเฉพาะเหตกุ ารณผนั ผวนปรวนแปรไมแนน อนตางๆ ในทางดี บา ง รา ยบาง อยางทเี่ ราเรยี กกันวา โชคและเคราะห ซ่ึงมนุษยท ้ังหลายจะ ตองประสบตามกระแสแหงความเปลี่ยนแปลง มนุษยอยูในโลกก็จะ ตองถกู โลกธรรมกระทบกระท่งั โลกธรรมมีอะไรบา ง ๑. ไดล าภ ๒. เส่ือมลาภ ๓. ไดยศ ๔. เสือ่ มยศ ๕. สรรเสริญ ๖. นินทา ๗. สุข ๘. ทุกข มนุษยอ ยใู นโลกน้ี จะตอ งถูกสิ่งเหลา นี้กระทบกระทง่ั และถาไมรู
๔๐ ชวี ติ ทสี่ รา งสรรค สดใสและสุขสนั ต เทา ทนั กถ็ ูกมนั ครอบงํา เปนไปตามอทิ ธิพลของมนั เวลาพบฝายดที ี่ ชอบใจ กฟ็ ู เวลาเจอะฝายรา ยทไี่ มช อบใจ ก็แฟบ พอไดก ็พอง แตพอ เสยี ก็ยบุ ฟู กค็ ือ ต่นื เตน ดีใจ ปลาบปลื้ม ลิงโลด กระโดดโลดเตน หรอื แมแ ตเหอ เหิมไป แฟบ กค็ ือ หอเหี่ยว เศรา โศก เสียใจ ทอแท หรือแมแ ต ตรอมตรม ระทม คบั แคน ใจ พอง คือ ผยอง ลาํ พองตน ลืมตวั มวั เมา อาจจะถงึ กับดูถกู ดู หมนิ่ หรือใชทรัพยใชอํานาจขม เหงรังแกผูอืน่ ยุบ คือ หมดเรยี่ วแรง หมดกาํ ลงั อาจถึงกับดูถกู ตวั เอง หนั เห ออกจากวถิ ีแหงคณุ ธรรม ละทิ้งความดี ตลอดจนอุดมคติทเี่ คยยึดถือ ชวี ติ ในโลกก็เปน อยางน้ีแหละ เราตอ งยอมรบั ความจรงิ วา เราอยู ในโลก ยอ มไมพ นสิง่ เหลา น้ี เมื่อไมพ น จะตองพบตองเจอะเจอเก่ียว ของกับมนั ก็อยาไปเอาจริงเอาจังกบั มนั จนถงึ กบั ลมุ หลงยดึ เปน ของตัว เรา ควรจะมองในแงท ่วี า ทาํ อยา งไรจะปฏบิ ตั ติ อมันใหถูกตอง คอื อยู ดว ยความรเู ทาทนั ถา เรารูเทา ทันแลว เราจะปฏบิ ตั ติ อโลกธรรมเหลานี้ไดด ี เปน คนท่ี ไมฟ ไู มแฟบ และไมยบุ ไมพ อง และยงั เอามันมาใชประโยชนไดอกี ดว ย ถาโชคมา ฉนั จะมอบมันใหเ ปน ของขวญั แกมวลประชา ถาโลกธรรมฝายดีท่ีนาปรารถนาเกิดขึ้น แลวเรารูเทาทัน และ ปฏิบัติตอมันไดถูกตอง โลกธรรมเหลานั้นก็ไมกอใหเกิดพิษภัยแกเรา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๔๑ และแกใครๆ ยิ่งกวานั้น ยังกลายเปน เครือ่ งมือสําหรบั ทําความดงี าม สรา งสรรคประโยชนสขุ ใหเ พ่ิมพนู ยงิ่ ขึน้ อกี ดว ย วิธปี ฏบิ ตั ติ อโลกธรรมฝายดี ท่ีสําคัญ คือ ๑. รูทันธรรมดา คอื รคู วามจรงิ วา เออ ทีเ่ ปนอยางนี้ มันก็เปน ของมไี ดเปน ไดเ ปนธรรมดาตามเหตุปจ จัย เมื่อมันมาก็ดีแลว แตมนั ไม เทย่ี งแทแ นน อน ผนั แปรไดนะ มันเกดิ ขึ้นได มันกห็ มดไปเส่อื มไปได ยามไดฝ ายดีทีน่ าชอบใจ จะเปนไดล าภ ไดยศ ไดสรรเสรญิ ได สขุ ก็ตาม เราก็ดใี จ ปลาบปล้มื ใจ เรามสี ิทธ์ทิ ่ีจะดีใจ แตกอ็ ยา ไปมัวเมา หลงใหล ถา ไปมัวเมาหลงใหลแลว สิ่งเหลา น้ีก็จะกลับกลายเปน เหตแุ หง ความเสอื่ มของเรา แทนท่ีเราจะไดป ระโยชนก ก็ ลับจะไดโ ทษ ลาภก็ดี ยศกด็ ี สรรเสรญิ กด็ ี สุขก็ดี ทีไ่ มเ ทย่ี งแทแนน อน ผนั แปรไดน้ัน มันก็เปนไปตามเหตุปจจัย เพราะฉะนั้นเราจะตองไม ประมาท จะตองปอ งกันแกไขเหตุปจจยั แหง ความเสือ่ ม และคอยเสริม สรางเหตุปจ จัยที่จะใหมันม่ันคงอยแู ละเจริญเพมิ่ พนู โดยชอบธรรม เฉพาะอยางยงิ่ เหตปุ จจยั สําคญั ของความเสอ่ื ม ก็คอื ความลมุ หลงมัวเมา ถา เรามวั เมาหลงละเลิงแลว สง่ิ เหลานกี้ ก็ ลับเปน โทษแกช วี ติ เชน คนเมายศ พอไดย ศ ก็มวั เมาหลงละเลงิ ดูถูกดูหมิน่ คนอืน่ ใช อํานาจขมข่ีทําส่ิงที่ไมดีเบียดเบียนขมเหงคนอื่นไว แตส่ิงท้ังหลายไม เทย่ี ง พอเสอื่ มยศ กย็ ํ่าแย ทกุ ขภยั กโ็ หมกระหนาํ่ ทับถมตวั ๒. เอามาทาํ ประโยชน คนทร่ี จู ักปฏบิ ตั ติ อ ส่งิ เหลา นี้กม็ องวา เออ ตอนนโ้ี ลกธรรมฝา ยดมี า กด็ แี ลว เราจะใชม นั เปน โอกาสในการสรา งสรรค ทาํ ความดี เชน พอเราไดย ศ เรารทู นั วา เออ สงิ่ เหลา นไี้ มเ ทย่ี งหรอก มัน ไมใชอยูตลอดไป เมอ่ื มนั มาก็ดแี ลว เราจะใชมนั ใหเ ปนประโยชน
๔๒ ชีวติ ที่สรา งสรรค สดใสและสุขสันต เราดีใจที่ไดมันมาทีหนึง่ แลว คราวนเ้ี ราคิดวา เราจะทําใหมันเปน ประโยชน เรากด็ ีใจมีความสขุ ยง่ิ ขึ้นไปอกี พอเราดีใจแตเราไมหลง เราก็ ใชม นั ใหเ ปนประโยชน เราอาจจะใชยศน้ันเปนเครอ่ื งมอื หรือเปน ชอ งทาง ในการชวยเหลือเพื่อนมนุษย ในการสรางสรรคความดีงาม ทําการ สงเคราะห บาํ เพ็ญประโยชน กก็ ลายเปนดีไป ขอสําคญั กค็ ือ เมอื่ เรามีลาภหรือมที รพั ยมียศศักดิ์เกยี รติบริวาร ความดีและประโยชนห รอื การสรางสรรคตางๆ น้ันเรากท็ ําไดม าก กลาย เปน วา ลาภและยศเปนตน เปน เคร่ืองมือและเปน เครื่องเอื้อโอกาสในการ ท่ีจะทําใหชวี ิตของเรามคี ณุ คา ขยายประโยชนส ขุ ใหก วางขวางมากมาย แผอ อกไปในสังคม น่ีคือการที่เรามาชวยสรางสรรคใหโลกน้ีเปนอยางที่พระพุทธเจา ตรัสเรียกวา อัพยาปช ฌโลก คือโลกแหง ความรกั ความเมตตา เปนท่ี ปลอดภยั ไรก ารเบียดเบยี น และมีสนั ตสิ ุข แลว กท็ าํ ใหตวั เราเองไดค วาม สัมพันธท่ีดีกับเพ่ือนมนุษย ไดรับความเคารพนับถือที่แทจริงดวย ประโยชนส ขุ ระดบั ทห่ี นงึ่ กลายเปน บนั ไดกา วขน้ึ สปู ระโยชนส ขุ ระดบั ทส่ี อง ลาภยศเปนตน เกิดแกคนทเ่ี ปน บัณฑติ มีแตเปนประโยชน เพราะ เปนเครื่องมือในการสรางสรรคประโยชนสุขใหแผขยายกวางขวางออก ไปเกอื้ กลู แกสงั คม และทาํ ชีวติ ใหพัฒนาขน้ึ แตถาทรัพยและอํานาจเกิดแกผูที่ไมรูเทาทัน มีความลุมหลง ละเลิงมัวเมา กก็ ลบั กลายเปนโทษแกช ีวิตของตนเอง และเปนเคร่ืองมือ ทํารา ยผูอ่ืนไป ซึ่งกเ็ ปน ผลเสียแกต นเองในระยะยาวดว ย โลกธรรมอยางอ่ืนกเ็ ชนเดยี วกนั ทั้งนนั้ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ เปนสิง่ ทเี่ ราจะตองปฏิบตั ิใหถูก หลกั สําคัญก็คืออยา ไปหลงละเลงิ มัวเมา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๓ ถา เคราะหม า มนั คอื ของขวญั ทส่ี ง มาชว ยตวั ฉนั ใหย งิ่ พฒั นา ในทางตรงขาม ถาโลกธรรมฝา ยรายเกดิ ขึน้ จะทําอยางไร เม่อื กี้ ฝา ยดเี กดิ ขนึ้ เรากถ็ ือโอกาสใชใ หเปนประโยชน ทําการสรางสรรค ทําให เกดิ ประโยชนส ุขแผข ยายออกไปมากย่ิงขึน้ ทนี ้ี ถึงแมฝายรายเกดิ ข้นึ คอื เสอื่ มลาภ เสอื่ มยศ ถูกตฉิ ินนนิ ทา และประสบทุกข คนมีปญ ญารเู ทา ทนั ก็ไมก ลวั ไมเปนไร เขากร็ ักษาตวั อยไู ด และยงั หาประโยชนไ ดอกี ดว ย คือ ๑. รทู นั ธรรมดา คอื รคู วามจรงิ วา สง่ิ ทง้ั หลายกอ็ ยา งนเ้ี อง ลว นแต ไมเ ทยี่ งแทแ นน อน ยอ มผนั แปรไปไดท งั้ สนิ้ นแี่ หละทวี่ า อนจิ จงั เราก็ได เจอกบั มนั แลว เมอ่ื มีได กห็ มดได เมื่อขึ้นได กต็ กได แตเมอื่ หมดแลว ก็มไี ดอีก เม่อื ตกแลว กอ็ าจขึ้นไดอกี ไมแ นนอน มนั ขึน้ ตอเหตุปจจัย ขอสําคัญอยูท่ีวา มันเปนการมีการไดและเปนการขึ้น ท่ีดีงาม ชอบธรรม เปน ประโยชนหรอื ไม และเปนเรื่องทเ่ี ราจะตองศึกษาหาเหตุ ปจจยั และทําใหถ ูกตอ งตอ ไป เพราะฉะน้ัน อยามัวมาตรอมตรมทกุ ขร ะทมเหงาหงอย อยามวั เศรา โศกเสยี ใจละหอ ยละเหี่ยทอ แทใ จไปเลย จะกลายเปน การซาํ้ เตมิ ทบั ถมตัวเองหนักลงไปอีก และคนท่ีตอ งพ่งึ พาอาศยั เราก็จะย่งิ แยไ ปใหญ เรื่องธรรมดาของโลกธรรมเปนอยางน้ี เรากไ็ ดเห็นความจรงิ แลว เรารู เทา ทนั มนั แลว เอาเวลามาศกึ ษาหาเหตปุ จจัย จะไดเ รยี นรู จะไดแ กไข ปรบั ปรงุ ลกุ ขนึ้ มาทําใหฟ น ตวั ขึ้นใหมด กี วา เมอ่ื รเู ทาทนั อยูกับความจรงิ อยา งน้ี เราก็รักษาตัวรักษาใจใหเปน ปกติ ปลอดโปรงผองใสอยูได ไมละเมอคลุมคลั่งเตลิดหรือฟบุ แฟบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141