ความปลอดภัยในงานวิศวกรรม ประธานคณะทาํ งาน นายพิพฒั น นพทปี กงั วาล คณะทํางาน นายอคั รพงษ นวลออน นายดาํ รงค เปรมสวัสดิ์ นายพัทธพงษ อางทอง 1-1
หมวดท่ี 1การบรหิ ารความปลอดภัย ในงานวิศวกรรม 1-2
บทท่ี 1 วศิ วกรรมความปลอดภัย ความรูพ้ืนฐาน โดยทางทฤษฎีแลวความปลอดภัยในการทํางานจะถูกจัดใหมีขึ้นโดยอาศัยหลักพ้ืนฐาน 3 ประการ หรือที่เรียกวา 3 E คือ Engineering หลักการทางดานวิศวกรรมEducation หลักการศึกษาอบรม และ Enforcement หลักการบังคับใหเปนไปตามระเบียบขอ บังคบั ขององคก รและบานเมือง ทุกประเทศที่มีการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมที่กาวหนาแลว จะมีสมาคมวิชาชีพในสาขาวิศวกรรมความปลอดภัยโดยเฉพาะเชน American Society of Safety Engineersในสหรัฐอเมริกา และ Institute of Safety Engineers ในสหราชอาณาจักร เปนตน สําหรับการผลิตบุคลากรดานความปลอดภัยในสหรัฐอเมริกา มีการเรียนการสอนเรื่องวิศวกรรมความปลอดภัยในมหาวิทยาลัยประมาณ 30 แหง ซ่ึงก็ไดมีการสอนจนถึงระดับปริญญาเอกอยูหลายแหงและผูประกอบอาชีพในสหรัฐอเมริกาก็ควรจะไดรับประกาศนียบัตร CSE(Certified Safety Engineer) จาก American Society of Safety Engineers กอน สวนในทวีปยุโรป เชน สหราชอาณาจักร ผูท่ีเปนวิศวกรความปลอดภัยจะตองเปนผูที่ผานการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม ดานใดดานหน่ึงกอนเปนระยะเวลาประมาณ 5 ป แลวมาขอรับการอบรมดา นวิศวกรรมความปลอดภยั เพิ่มเติม จึงจะเปนวศิ วกรรมความปลอดภัยโดยสมบูรณไ ดวิศวกรคอื ใคร สมัชชาเพ่ือการพัฒนาวิชาชีพวิศวกรรมแหงสหรัฐอเมริกา (Engineering Council forProfessional Development) ไดสรุปความเห็นรวมกันของผูประกอบอาชีพวิศวกรรมจากนานาชาติ เมอ่ื ป ค.ศ. 1949 วา “An engineer is characterized by his ability to apply creatively scientific principlesto design and develop Structures, machines apparatus for manufacturing processes, orworks utilizing them singly or in combination; or to forecast their behaviors underseparation and safety to life and proper” (อา งจาก โกวทิ ศตวุฒิ , 2529) จากขอความดังกลาวขางตนจะเห็นไดชัดเจนวาการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมนั้นนอกจากจะตองมีความรูพื้นฐานทางดานวิศวกรรมแลว ยังตองคํานึงถึงองคประกอบดานการประหยัดและความปลอดภยั เปนสาระสําคญั อกี ดว ย หนวยงานราชการที่มีบทบาทเกี่ยวของกับความปลอดภัยไดแก กองตรวจความปลอดภัย (Safety Inspection Division) และสถาบันความปลอดภัยในการทํางานแหงชาติ(National Institute for Improvement of working Conditions and Environment, NICE) 1-3
กรมสวัสดิการและคุมครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดต้ังขึ้นเม่ือ ป พ.ศ. 2525 มีหนาท่ีในการสง เสริมพัฒนา ตรวจสอบและกํากบั ดูแลความปลอดภัยในการทาํ งานใหเปนไปตามกฎหมายความปลอดภัยและมาตรฐานสากล กําหนดคณะกรรมการการปองกันอุบัติภัยแหงชาติ(National Safety Council of Thailand , NSCT) ท่ีไดจัดต้ังข้ึนเม่ือป พ.ศ. 2526 โดยมีบทบาทหนาที่กําหนดนโยบายและแผนหลักการปองกันอุบัติภัยแหงชาติ ประสานงานกับหนวยงานตางๆ และติดตามประเมินผลและแกไข นอกจากนี้ยังมีหนวยงานของกระทรวงอุตสาหกรรมควบคุมดูแลดวยเชนกัน ผูเขียนหวังไววาวงการ ท่ีรับผิดชอบดานการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมเชน สภาวิศวกร จะมีความเห็นเชนเดียวกับสมัชชาเพ่ือการพัฒนาวิชาชีพวิศวกรรมของสหรัฐเอมริกา และมีการกําหนดความรูพ้ืนฐานดานวิศวกรรมความปลอดภัยใหเปนคณุ สมบัตหิ น่ึงของวศิ วกรทกุ แขนงดว ย งานในหนาที่ของวิศวกรความปลอดภัย ดังเปนท่ีทราบกันดีอยูแลววา “วศิ วกร” โดยรากศัพท แปลวา “ผูสราง” ในปจจุบันวิศวกร นอกจากจะทําหนาท่ีผูสรางแลวยังตองทําหนาที่บํารุงรักษาซอมแซม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แกไขใหส่ิงหรือระบบท่ีตนไดสรางข้ึนมาสามารถทํางานใหแกมนุษยไดใชจนบรรลุวัตถุประสงคได เพราะฉะน้ัน วิศวกรความปลอดภัยนอกจากจะมีหนาท่ีสรางและปรับปรุงระบบปองกันอุบัติภัย และระบบความปลอดภัยในการทํางานแลวยังจะตองมีหนาที่ทําใหระบบน้ันๆ ทํางานไดดีตามวัตถุประสงค นั่นคืองานตรวจสอบความปลอดภัย งานฝกอบรมความปลอดภัย งานประสานกับคณะกรรมการความปลอดภัยงานสืบสวนหาเหตุปจจยั ของอบุ ัติเหตแุ ละงานรว มมอื กับฝายจัดการระดับกลาง เปน ตน 1. งานสรางและปรับปรุงระบบปองกันอุบัติภัย ในฐานะที่เปนวิศวกรท่ีไดรับการศึกษามาทางดานวิศวกรรม ยอมจะมีความรูความเขาใจการทํางานของเคร่ืองยนตกลไกเครื่องไฟฟา การทรงตัวและความแข็งแรงของอาคารไดดี และรวดเร็วกวาผูมีวิชาชีพสายอื่นจึงนาจะเปนผูที่มีความสามารถสูงในการออกแบบและสรางระบบปองกันภัยท่ีเปนฮารดแวรไดดีเชนการออกแบบและสรางอุปกรณปองกันชิ้นสวนท่ีเคลื่อนไหวของเครื่องมืออุปกรณ เปนตนวิศวกรความปลอดภัยตองทํางานรวมกับฝายวิจัยและพัฒนา ( research and developmentdepartment ) ขององคกรนั้นอยางใกลชิด และมักจะทํางานรวมกันไดดีเพราะสวนใหญก็จะมีวิชาชพี เปน วิศวกรเชนเดยี วกนั 2. งานตรวจสอบความปลอดภัย งานตรวจสอบความปลอดภัยเปนงานหลักอีก งานหน่ึงของวิศวกรความปลอดภัย (Safety Engineer) ท่ีจะตองกระทําเปนประจํานอกเหนือจากการท่ีจะตองกําหนดแผนใหผูเกี่ยวของทําการตรวจสอบความปลอดภัยตามแบบฟอรมสํารวจท่ีกําหนดวิธีการไวแลวลวงหนา วิศวกรความปลอดภัยจะตองทําหนาที่เปนท่ีปรึกษาแกพนักงานที่รับผิดชอบในเรื่องการปองกันอุบัติภัยเฉพาะจุด เพ่ือใหระบบภายในองคกรเปนมาตรฐานอยางเดียวกันวิศวกรความปลอดภัยทําหนาที่แนะนํา ชี้แจงระบบปองกันอุบตั ิภัยแกบุคคลภายนอก แกเ จาพนักงานผมู ีหนา ท่ีตามกฎหมายวาดว ยความปลอดภยั วิศวกร 1-4
ความปลอดภัยตองเปนศูนยกลางรวบรวมขอมูลการตรวจความปลอดภัยท้ังหมดในหนวยงานโดยไมคํานึงวาแผนกใด ฝายใดเปนผูตรวจ และรายงานสรุปตอฝายจัดการพรอมขอเสนอแนะเพอ่ื ปรับปรงุ ระบบตอไป 3. งานฝกอบรมความปลอดภัย ในฐานะที่วิศวกรความปลอดภัยไดเปนศูนยกลางของขอมลู ระบบปองกนั อุบัตภิ ยั ท้งั หมดในหนวยงานยอมทราบดวี า หนวยใด ฝา ยใด ขององคกรมีจุดออน จุดแข็ง ในเรื่องที่เก่ียวกับความรูความเขาใจและทัศนคติตอระบบปองกันอุบัติภัยอยางไรก็จะมีความสามารถในการจัดโครงการฝกอบรมพนักงานในหนวยนั้น ฝายน้ันใหมีความเขาใจในระบบเปนอยางเดียวกัน โครงการฝกอบรมในระหวางการทดลองงาน( on-the-job training) เปนโครงการท่ีมีความสําคัญที่สุดของโครงการปองกันอุบัติภัยเพราะเปนการปูพ้ืนฐานใหพนักงานทุกคน ไดมีแนวคิดและวิธีการปฏิบัติอยางเดียวกัน กอนที่จะเปนพนักงานขององคกรอยางเต็มตัววิศวกรความปลอดภัยจะตองรับผิดชอบโครงการน้ีดวยความรวมมือจากทุกฝายทุกหนวย การบรรยายที่เปนการใหความรูในเรื่องวัตถุอันตราย(hazardous materials) เสี่ยงภัย (hazards) ในการทํางาน การปฏิบัติงานใหปลอดภัย การใชอุปกรณปองกันภัยสวนบุคคล การฝกหัดใหเปนคนชางสังเกตความผิดปกติ เปนสิ่งที่วิศวกรความปลอดภัยจะมีความสามารถกระทาํ ไดด ี 3. งานประสานงานกับคณะกรรมการความปลอดภัย วิศวกรรมความปลอดภัยตองเปนผูที่มีมนุษยสัมพันธดี และมีความสามารถทํางานรวมกับคณะกรรมการความปลอดภัยขององคกรนั้นไดเปนอยางดี เนื่องจากคณะกรรมการความปลอดภัยถูกจัดต้ังขึ้นเพื่อใหเปนแหลงความคิดท่ีจะจัดการกับปญหาตางๆ ของความไมปลอดภัยในหนวยงาน ดังนั้นวิศวกรความปลอดภัยจะตองมีความรูในวัตถุประสงคของโครงการที่คณะกรรมการชวยกันคิดเพ่ือแกปญหานั้น เปนการปองกันมิใหมีการทํางานซํ้าซอนเปนการปองกันมิใหมีขอมูลขาวสารที่จะแจงแกพนักงานมีความขัดแยงกันและเปนการประกันความเชื่อม่ันวาวิธีการปญหาความไมปลอดภัยท่ีจะถือปฏิบัติตอไปนั้นจะไมขัดตอแนวนโยบายหลักดานความปลอดภัยในการทํางานของหนวยงาน 4. งานสืบสวนหาเหตุปจจัยของอุบัติเหตุ ทุกคร้ังท่ีอุบัติเหตุเกิดขึ้นตองมีการสอบสวนทันทีเพื่อวัตถุประสงค 2 ประการ คือ เพื่อหาเหตุปจจัยของการเกิดอุบัติเหตุน้ันสําหรับการคิดคนหาวิธีปองกันมิใหเหตุรายในทํานองเดียวกันเกิดข้ึนอีกซํ้าสองเปนประการท่ีหนึ่ง และเพ่ือเปนการหาขอมูลขาวสารที่เปนความจริงแกคลินิก โรงพยาบาลแพทยผูรักษาผูบาดเจ็บ กองทุนเงินทดแทนและแกบริษัทประกันอุบัติเหตุ (ถามี) เปนประการท่ีสอง ผูเปนหัวหนาชุดสืบสวนในกรณีนี้มักจะเปนวิศวกรความปลอดภัยเปนสวนใหญ เน่ืองจากเปนผูที่มีความคุนเคยกับเจาหนาที่ฝายชาง ฝายเทคนิคที่สวนใหญมักจะมีสวนเก่ียวของกับอุบัติเหตุไมมากก็นอย 1-5
5. งานรวมมือกับฝายจัดการระดับกลาง การท่ีหนวยงานหรือองคกรจะกําหนดใหวิศวกรความปลอดภัยทํางานอยูภายใตการกํากับดูแลของฝายบริหารระดับสูงน้ัน เกรงวาจะไมไดผลดีเทาท่ีควร ที่ถูกตองเหมาะสมแลววิศวกรความปลอดภัยควรจะทํางานรวมกับฝายบริหารระดับกลาง สวนจะอยูภายใตการกํากับดูแลดวยหรือไมนั้นคงจะตองพิจารณาเปนกรณีไป เชน โรงงานท่ีมีฝายผลิตเปนฝายท่ีมีบทบาทมากในโรงงาน การจัดใหวิศวกรความปลอดภัยทํางานอยูภายใตการกํากับดูแลของฝายผลิตน้ันก็นับวาเหมาะสม ถาเปนบริษัทท่ีมีขนาดใหญมาก มีทั้งฝายผลิต ฝายบริการ ฝายอาคาร ฝายยานพาหนะ การท่ีจะใหวิศวกรความปลอดภัยสังกัดฝายผลิตก็จะดูกระไรอยู ถาเปนเชนนี้มักจะใหไปสังกัดฝายวิศวกรรม หรือจัดต้ังฝายความปลอดภัยข้ึนมาทําหนาที่เปนฝายสนับสนุน เสนอแนะ ประสานงาน กําหนดวิธีปฏิบัติการทํางานมาตรฐาน แตกวาที่จะไปใชไดก็จะตองผานคณะกรรมการชุดใหญขององคกรนั้น ซ่ึงการทํางานในลักษณะน้ีคอนขางจะขาดประสิทธิผลแตก็เปนลักษณะเดนขององคการขนาดใหญ และเปนที่เขาใจของทุกคน ดังนั้นการทํางานของวิศวกรความปลอดภัยที่มีประสิทธิผลในองคการขนาดใหญตองเบียดแทรกเขาไปในทุกฝายเพื่อมีใหมีการปฏิบัติเกิดข้ึนจริงๆ การรายงานผลการปฏบิ ัติงานตามแผนอยา งเดียวไมพอตองลงมือทําตามแผนนนั้ ดวยเพื่อที่จะไดรูวาแผนและวิธีการน้ันมีปญหาและขอขัดของอยางไร ดังน้ันในกรณีนี้วิศวกรความปลอดภัยจะทํางานภายใตการกํากับดูแลของแตละฝายเมื่อครบกําหนดประชุมเพ่ือแลกเปล่ียนความเห็นระหวางวิศวกรความปลอดภัยดวยกันก็จะแยกกลุมออกมาเปนครั้งคราวผลการประชุมเปนอยางไรวิศวกรความปลอดภัยจะตองนําไปหารือกับฝายที่ตนสังกัดอยูทุกคร้ังเพ่ือหาแนวทางปฏบิ ตั ทิ ่ีถกู ตอ ง เปนอันหน่ึงอนั เดียวกันคําจํากัดความ เพ่ือความเขาใจในแงผลของเหตุการณ ซึ่งจะนําไปสูการเกิดความเสียหาย จําเปนตองทําความเขาใจเก่ียวกับสิ่งท่ีเราพยายามจะปองกัน หรือควบคุมเสียกอน โดยอาจจะกําหนดนิยามวา “อุบัติเหตุ” ก็คือ “เหตุการณอันไมพึงปรารถนา ซ่ึงผลของมันเปนอันตรายตอผูคนทําลายทรัพยสิน หรือ สรางความเสียหายใหกับกระบวนการผลิต” สวนใหญผลท่ีเกิดข้ึนจะเกย่ี วของกับวตั ถุหรือแหลงพลังงาน (ทางเคมี อุณหภูมิ เสียง เครื่องจักร ไฟฟา ฯลฯ) ซ่ึงมีคา สูงกวาคาขีดจํากัดพื้นฐาน (THRESHOLD LIMIT) ของทางกายภาพหรือโครงสราง ในสวนที่เกี่ยวกับมนุษย ผลอาจจะเกิดข้ึนในรูปของการฉีกขาด การไหม ถลอก แตก ฯลฯ หรือขัดขวางการทํางานตามปกติของรางกาย (เชน เกิดมะเร็ง ปอดอักเสบ ฯลฯ ) สําหรับความเสียหายที่เกิดแกทรัพยสินอาจจะเปนเหตุใหเกิดเพลิงไหม การแตกหัก การผิดรูปผิดรางไปจากเดิม ฯลฯมสี าระสาํ คญั อยู 3 ประการดว ยกนั ในการใหค ําจํากัดความ “อุบัติเหตุ คือ เหตุอันไมพึงปรารถนา ซึ่งผลของมันกอใหเกิดอันตรายแกมนุษย ทําลายทรัพยส ิน หรอื สรางความเสยี หายใหกับกระบวนการผลิต” 1-6
ประการแรก ไมไ ดจํากัดวาผลท่ีเกิดกับมนุษยจะตองเปน “การบาดเจบ็ ” แตใชถ อยคําวา“เปนอันตรายแกมนุษย” ซ่ึงรวมความถึง การบาดเจ็บและการเจ็บปวย ท้ังจากสภาวะจิตเบี่ยงเบน ผลกระทบทางประสาทและระบบอื่นๆ อันเนื่องมาจากการทํางานหรือสภาพแวดลอมในการทํางานที่ตองเผชิญ (ANSI Z 16.2 - 1962, Rev. 1969) กลาวอยางส้ันๆ คําวา“บาดเจ็บ” และ “เจ็บปวย” จะถูกนํามาใชภายหลัง ข้ึนอยูกับคําจํากัดความที่ดีท่ีสุดของอันตรายท่เี กิดกับพนกั งาน ประการสอง คําจํากัดความขางตนจะไมทําใหเกิดความสับสนระหวางคําวา “บาดเจ็บ”กับคําวา “อุบัติเหตุ” ทั้งสองคําน้ีไมเหมือนกันเลย อาการบาดเจ็บและเจ็บปวยเปนผลมาจากอุบัติเหตุแตก็มิใชวาอุบัติเหตุทุกครั้งจะทําใหเกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บปวยเสมอไป ความแตกตางตรงจุดน้ีมีความสําคัญย่ิงตอความกาวหนาของการควบคุมความปลอดภัย และสุขภาพการเกิดอุบัติเหตุเปนสิ่งซ่ึงสามารถควบคุมได แตความรายแรงของอาการบาดเจ็บอันเปนผล มาจากอุบัติเหตุเปนเร่ืองของโชคโดยแท เน่ืองจากมีปจจัยหลายประการที่เขามาเก่ียวของเชน ความชํานิชํานาญ ปฏิกิริยาตอบสนองตอเหตุการณสภาพรางกาย อวัยวะสวนท่ีไดรับบาดเจ็บ ปริมาณของพลังงานที่มีการแลกเปล่ียน ส่ิงกีดขวางในบริเวณที่เกิดเหตุ และการสวมอุปกรณปองกันภัย เปนตน ขอแตกตา งระหวางอุบัตเิ หตแุ ละการบาดเจบ็ ทําใหเรามุงความสนใจไปที่ การเกดิ อบุ ตั ิเหตมุ ากกวาจะพิจารณาถงึ การบาดเจบ็ ซง่ึ อาจเกดิ ขนึ้ ได ประการสุดทาย หากเหตุการณท่ีเกิดข้ึนมีผลตอการสรางความเสียหาย ใหแกทรัพยสินหรือ กระบวนการผลิตเพียงอยางเดียว โดยไมมีการบาดเจ็บแตอยางใด ใหถือวาเปนอุบัติเหตุดวยเชนกัน มี บอยครั้งท่ีอุบัติเหตุสรางความเสียหายท้ังตอมนุษย ทรัพยสินและกระบวนการผลิตพรอมๆ กัน แตอ ยางไรก็ตาม อุบัตเิ หตทุ ่ีมีผลตอทรพั ยสนิ จะเกิดมากกวาอบุ ัตเิ หตุทที่ ําใหเกิดการบาดเจ็บ ความเสียหายของทรัพยสินไมเพียงแตจะมีมูลคาสูงเทาน้ัน แตเครื่องมือเค รื่ อ ง จั ก ร ต ล อ ด จ น อุ ป ก ร ณ ท่ี เกิ ด จ า ก ก า ร เสี ย ห า ย ยั ง ทํ า ให เกิ ด อุ บั ติ เห ตุ ต อ เน่ื อ ง ไ ด อี กการวิเคราะหอุบัติเหตุที่สรางความเสียหายใหกับทรัพยสิน หากดําเนินการบอยครั้งเทาใดก็จะชวยใหไดขอมูลมาใชเปนแนวทางในการปองกันและการทําความเขาใจเก่ียวกับสาเหตุของปญหาที่ทําใหเกิดอุบัติเหตุไดมากข้ึนเทาน้ัน โครงการความปลอดภัยซ่ึงละเลยความเสียหายของทรัพยสินที่เกิดจากอุบัติเหตุจะทําใหมองขามขอมูลเก่ียวกับอุบัติเหตุ ซึ่งมีมากกวาที่วิเคราะหออกมา อันนับเปนอุปสรรคขัดขวางประสิทธิภาพในการลดการบาดเจ็บ หรือคาใชจายในการควบคมุ บริษัทหลายแหงที่มีโครงการละเอียดซับซอน จะจัดเหตุการณท่ีไมพึงปรารถนาทุกชนิดเปน “เหตุการณผิดปกติ” เพื่อขยายขอบเขตการควบคุมความเสียหายในโครงการของตนใหกวางขวางมากข้ึนเหตุการณท่ีไมสรางความเสียหายจะถูกจัดใหมีศักยภาพสูง เพ่ือจะไดรับความใสใจมากเทาๆ กับเหตุการณท่ีมีความเสียหายรุนแรง คําจํากัดความเชนนี้จะรวมเอา 1-7
อุบัติการณ เหตุที่เกือบกลายเปนอุบัติเหตุท่ีเกิดกับการผลิตหรือคุณภาพ หรือเหตุท่ีเกือบเกิดความเสียหาย คาํ จาํ กดั ความทัง้ 2 ประการตอ ไปน้ี เปนส่ิงจาํ เปน และสมควรนํามาใช อบุ ตั ิการณ (Incident) คอื เหตุการณท ไี่ มพ งึ ปรารถนา ซง่ึ เมอื่ มีการเปลย่ี นแปลงสภาพไปจาก เดมิ เพยี งเลก็ นอ ยจะเปนอนั ตรายตอมนุษย ทําลายทรพั ยสนิ และสรา งความเสยี หายใหก ับกระบวนการได จากการกําหนดนิยามคําวา “อุบัติเหตุ” ของเราไดระบุไววา อุบัติเหตุ คือ ผลของการสมั ผสั ใกลชดิ กบั วตั ถุหรือแหลง พลังงานทม่ี ีคามากเกินกวาขดี จาํ กดั พ้นื ฐานของรา งกาย หรือโครงสรางรางกายมนุษยมีระดับความอดทน หรือขีดจํากัดของการบาดเจ็บสําหรับวัตถุแตละชนดิ หรือพลงั งานแตล ะรปู แบบ โดยท่ัวไป ผลกระทบที่ทําใหเกิดอนั ตรายจากการสัมผสั กับส่งิ เหลานี้เพียงคร้งั เดียว เชน การถกู บาด หัก เคลด็ การตัดแขน (ขา) การไหมจากสารเคมี ฯลฯลวนถือเปนอาการบาดเจ็บ สวนอันตรายที่เกิดจากการสัมผัสซํ้าๆ เชน เอ็นอักเสบ มะเร็งตับถูกทาํ ลาย สูญเสยี การไดย นิ ฯลฯ ถอื เปนการเจ็บปว ย (พงึ ตระหนักดว ยวา การเจ็บปวยอาจเกิดจากการสมั ผัสเพียงอยา งเดยี วไดเ ชนกัน) อุบัตเิ หตุ (Accident) เปน ผลมาจากการสมั ผสั กบั วัตถุ หรอื แหลง พลงั งานที่มีปริมาณมากเกิน กวาขดี จํากัดพนื้ ฐานของรา งกายหรือโครงสรา งทจ่ี ะทนทานได จุดวิกฤตของทั้งสองประเด็น ก็คือ การมีองคประกอบรวมกัน ไดแก การสัมผัสกับวัตถุหรือแหลงพลังงานที่มีปริมาณมากกวาขดี จาํ กัดของรางกาย หรือโครงสรางท่ีจะทนทานได ไมวาจะเปนเพียงบางสวนหรือท่ัวรางกายก็ตามและทายที่สุด ทั้งสองประเด็นก็มีการควบคุมเหมือนกันอีกดวย น่ันคือ การปองกันการสัมผัสหรือลดระดับใหอยูในขั้นท่ีปราศจากอันตราย ท้ังคูจะเกี่ยวของกับข้ันตอนการดําเนินการเดียวกันคือ การจําแนกการสัมผัสการประเมินผลความรุนแรง และความเปนไปไดในการเกิดเหตุการณ รวมถึงการพัฒนาวิธีการควบคุมท่ีเหมาะสม การดําเนินการกับปญหาท่ีเกิดจากงานอาชีพจะตองมีความรูท่ีกวางไกล โครงการความปลอดภัยและสุขภาพที่มีประสิทธิผลจะตองลึกซ้ึงเพียงพอที่จะรับมือกับอุบัติเหตุท้ังหมดไมวาผลลพั ธจ ะกอใหเกิดการบาดเจบ็ การเจบ็ ปว ย ทรพั ยสินเสยี หายหรือเกือบเสียหายกต็ าม 1-8
ความปลอดภยั (Safety) คือ การควบคุมความเสียหายที่เกดิ จากอุบัตเิ หตุ นิยามของศัพทคําที่สาม ไดแก คําวา “ความปลอดภัย” ซ่ึงมักจะกําหนดวาเปนภาวะปลอดจากอุบตั ิเหตหุ รอื จากการเจบ็ ปวย การบาดเจบ็ หรือความเสยี หาย อยา งไรก็ดี ความหมายท่ีเปนรูปธรรมมากกวาก็คือ “การควบคุมความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุ” คําจํากัดความเชนนี้เกี่ยวของกับการบาดเจ็บ การเจ็บปวย ทรัพยสินเสียหาย และความเสียหายท่ีมีตอกระบวนการ ซ่ึงรวมไวท้ังการปองกันอุบัติเหตุ และการลดความเสียหายใหนอยลงเม่ือเกิดอบุ ัติเหตุ นอกจากน้ยี งั เกยี่ วขอ งกบั งานการควบคมุ ในระบบการจดั การอกี ดวยการศึกษาเกยี่ วกับความปลอดภยั ผลการศึกษาท่ีจะอธิบายตอไปนี้ จะชวยใหผูอานเขาใจไดมากข้ึนวาเหตุใดเราจึงควรใหความใสใ จกับอุบตั ิเหตทุ ี่ทาํ ใหทรัพยสินเสยี หาย 1-9
ในการอา งถึงอตั ราสว น 1-10-30-600 ผลการศกึ ษาอัตราสว นการเกิดอบุ ัตเิ หตุ 1 = การบาดเจบ็ สาหัส หรืออาการรนุ แรงถงึ ขนั้ พิการ 10 = การบาดเจบ็ ไมรนุ แรง 30 = อบุ ตั ิเหตทุ ่ีทําใหท รัพยสนิ เสยี หายทุกประเภท 600 = เหตกุ ารณทไ่ี มเกดิ การบาดเจ็บหรอื ความเสยี หายใดๆ (เหตุการณท่ี เกอื บกลายเปนอุบัตเิ หตุ) พึงระลึกไววา ตัวเลขเหลานี้เปนเพียงเหตุการณและอุบัติเหตุที่มีรายงานไวเทาน้ันไมใชจ ํานวนเหตุการณท ีเ่ กดิ ข้นึ ทั้งหมด เม่ือพิ จารณ าตัวเลขอัตราสวนจะสังเกตเห็นวามีการรายงานอุบัติเหตุท่ีทําใหทรัพยสินเสียหายไว 30 คร้ังตออาการบาดเจ็บสาหัสหรือทุพพลภาพ 1 ครั้ง อุบัติเหตุที่ทําใหทรัพยเสียหาย มีมูลคาหลายพันลานดอลลาร ในแตละปมกั จะถูกเรียกผดิ ๆ วาเปน “เหตกุ ารณทเี่ กือบกลายเปน อบุ ัตเิ หตุ” คํานี้ไดมาจากการฝก อบรมในระยะแรกๆ และกลายเปน แนวคิดผดิ ๆ ท่ีทําใหหัวหนางานพิจารณาคาํ วา “อุบัติเหตุ” เฉพาะเหตุท่ที ําใหเกดิ การบาดเจ็บเทา นัน้ ความสัมผัสของอัตราสวน 1-10-30-600 แสดงใหเห็นอยางชัดเจนวาเปนการเขลาอยางย่ิงที่จะมุงความพยายามท้ังมวลไปท่ีเหตุการณเพียงไมก่ีคร้ังที่ทําใหเกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือพิการ ใน เม่ือมีโอกาสสําคัญๆ อีกมากมายท่ีเปดใหควบคุมความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดจากอุบัติเหตุไดอยางมีประสิทธิผลมากกวาเดิมสมควรเนนย้ําไวตรงนี้ดวยวา การศึกษาในเรื่องอัตราสวนดังกลาวเปนการดําเนินการของกลุมองคกรขนาดใหญในชวงเวลาท่ีกําหนด จึงไมจําเปนวาอัตราสวนนี้จะตองเหมือนกันกับของกลุมอาชีพหรือองคกรอ่ืน ๆ เพราะนั่นไมใชเจตนารมณของการศึกษาครั้งน้ี จุดสําคัญอยูที่วาการบาดเจ็บรายแรงเปนเหตุการณท่ีเกิดข้ึนนอยครั้ง ในขณะที่เหตุการณที่ไมรุนแรงมากนักจะมีโอกาสเกิดขึ้นไดบอยครั้งกวาจําเปนตองดําเนินการเพ่ือปองกันไมใหความสูญเสียรายแรงเกิดข้ึนได ผูนําในเรื่องความปลอดภัยตองยํ้าดวยวาการดําเนินการเหลาน้ันจะมีประสิทธิผลมากท่ีสุด เมื่อใชกับเหตุการณและอุบัติเหตุเล็กๆนอยๆ แตม ศี กั ยภาพในการสรา งความเสียหายโดยตรงแบบจําลองสาเหตุทีท่ ําใหเ กิดความเสียหาย เมื่อไมก่ีปมานี้ มีการแนะนําแบบจําลองสาเหตุท่ีทําใหเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายมากมายหลายรูปแบบ มีเปอรเซ็นตสูงกวาที่วาแบบจําลองเหลานั้นซับซอน และยุงยากเกินกวาจะเขาใจ และจดจําได แบบของสาเหตุความเสียหายท่ีจะนําเสนอตอไปนี้ เปนแบบที่งายใหขอมูลประเด็นสําคัญเทาท่ีจําเปนซึ่งชวยใหผูใชเขาใจและคงความรูเก่ียวกับขอเท็จจริงสําคัญๆ ซ่ึงใชในการควบคุมอุบัติเหตุไดอยางกวางขวาง ตลอดจนชวยแกไขปญหาการจัดการเกีย่ วกับความเสยี หายที่เกดิ ขนึ้ ได 1 - 10
แบบจาํ ลองสาเหตุทท่ี าํ ใหเกดิ ความเสียหายขาดการควบคุม สาเหตพุ นื้ ฐาน สาเหตุในขณะน้ัน เหตุการณผ ิด ความเสีย ปจจยั จากคน1. โครงการไม ปจ จัยจากงาน การกระทํา สมั ผัส คนเพยี งพอ และ กบั พลังงาน ทรัพยสิน2. มาตรฐานของ กระบวนการโครงการไม สภาพแวดลอม หรือเพียงพอ ทไ่ี มได วตั ถุ3. การปฏิบตั ิ มาตรฐานตามมาตรฐานไมเพียงพอ โปรดระลกึ วา สาระสาํ คญั บางประเด็นตามท่แี สดงไวในแบบจําลอง จะชว ยใหผูใ ชจ ดจํารายละเอยี ดท่ีเสนอไวใ นหนังสอื เลมนไ้ี ดมากข้ึน 1 - 11
บทที่ 2 อุบัตเิ หตุ ความสูญเสยี และการควบคมุความสญู เสีย (LOSS) ตามที่สะทอนออกมาในนิยามเก่ียวกับอุบัติเหตุจะเห็นไดชัดเจนในแงท่ีสรางอันตรายใหกับผคู น ทรพั ยส ินหรือกระบวนการ ความหมายโดยนยั สําคญั ของความเสียหาย คอื “การกระทําที่ขัดขวางความเปนปกติ” และ “การทําใหผลกําไรลดลง” ดังน้ัน ความเสียหายยอมเกี่ยวของกบั คน ทรพั ยสิน กระบวนการและทายท่ีสุดคือ ผลกาํ ไร เม่ือเหตุการณผิดปกติเกิดขึ้นในแตละคร้ัง ลักษณะและระดับความรุนแรงของความเสียหายจะเปน เรื่องของโชคชะตา ผลท่ีเกดิ ข้ึนอาจจะเปน เรือ่ งเล็กนอย ไมม ีความสําคญั ไปจนถึงข้ันหายนะก็ไดหรือเปนรอยถลอกขีดขวนไปจนถึงข้ันเสียชีวิต หรือเสียหายทั้งโรงงานก็ไดลักษณะและระดับความรุนแรงของความเสียหายสวนหน่ึงจะข้ึนอยูกับความบังเอิญของสภาพเหตุการณ และอีกสวนหนึ่งจะขึ้นอยูกับการดําเนินการ ซ่ึงทําใหความเสียหายลดนอยลงการกระทาํ เพ่ือลดความเสยี หายในข้ันนี้ รวมถึงการใหก ารปฐมพยาบาลทท่ี ันทว งทีและเหมาะสมการผจญเพลิงท่ีรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การซอมแซมเคร่ืองมือ และอุปกรณท่ีชํารุดอยางรวดเร็ว การดําเนินการตามแผนฉุกเฉินไดอยางมีประสิทธิภาพ และการฟนฟูบุคลากรอยางไดผลเพอ่ื ใหการทาํ งานไดดังเดมิ 1 - 12
1 - 13
ความสูญเสียที่เกดิ จากอบุ ตั เิ หตุเวลาของพนักงานทไ่ี ดรบั บาดเจ็บ - เวลาในการผลิตยอมเสียไป เมื่อพนักงานบาดเจ็บและไมอาจทดแทนไดดวยการจาย เงินชดเชยใหเวลาของเพอื่ นรว มงาน - เวลาท่ีเสียไปเนื่องจากอยูรวมในเหตุการณ รวมท้ังชวยนําคนเจ็บสงหองพยาบาล หรือ รถพยาบาล - เสียเวลาเน่ืองจากความเห็นอกเห็นใจ หรือความอยากรูอยากเห็น การทํางานถูกขัด จังหวะ ขณะเกิดการบาดเจ็บและหลังจากนั้น เม่ือมีการวิพากษวิจารณเหตุการณที่ เกิดขน้ึ - การเสียเวลาตามปกติ ซึ่งเปนผลมาจากการทําความสะอาดหลังเกิดเหตุ รวบรวมเงิน บริจาคไปชวยเหลือพนักงานและครอบครัวของเขา การพิจารณาคําใหการของผูเห็น เหตุการณ คาลวงเวลาในการจางบุคคลอ่ืนมาทํางานแทน และเวลาท่ีเจาหนาท่ีจาก หนวยงานความปลอดภยั ใชใ นการสอบสวนอบุ ตั ิเหตุเวลาของหัวหนางาน เวลาท่หี วั หนา งานใชในการจัดการอุบัติเหตุควรรวมถึง - การชวยเหลอื พนักงานทไ่ี ดรบั บาดเจบ็ - สอบหาสาเหตุของอุบัติเหตุ เชน การสอบสวนเบื้องตน การติดตามผล ทําวิจัยเพ่ือหา ทางปองกัน ฯลฯ - จดั การใหมกี ารทาํ งานตอไป จดั หาวัสดใุ หม จัดตารางการทํางานเสียใหม - คดั เลือกและจดั อบรมพนกั งานใหม รวมถึงเปดรับใบสมัคร ประเมินผลผูสมัคร ฝกอบรม พนักงานใหม และสับเปลย่ี นกาํ ลังคน - จัดทํารายงานอุบัติเหตุ เชน รายงานการบาดเจ็บ รายงานความเสียหายของทรัพยสิน รายงานอุบตั ิเหตุทเี่ กิดข้นึ กับเคร่อื งมอื ตา งๆ ฯลฯ - เขารวมฟงคําใหก ารเกี่ยวกบั อบุ ตั ิเหตุ 1 - 14
ความเสยี หายท่วั ๆ ไป - เวลาของการผลติ เน่ืองจากความเสยี ใจ ความตกใจ การหนั เหความสนใจของพนักงาน การพดู คยุ กับพนักงานอืน่ ๆ ท่ไี มไดอ ยูในเหตุการณ - เกิดความเสียหายของงานเนื่องจากตองหยุดเครื่องจักร เครื่องมือ โรงงาน อุปกรณ ตางๆ ฯลฯ ซ่ึงอาจจะเปนเพียงช่ัวคราวหรือระยะยาวก็ได และกอใหเกิดผลกระทบตอ เคร่ืองมือและแผนปฏบิ ตั ิการอ่นื ๆ ดวย - ประสิทธิภาพของพนักงานที่ไดรับบาดเจ็บจะลดลง เมื่อกลับมาทํางานอีกครั้ง เปน เพราะขอ จํากัดของงาน ความพกิ ารของรางกาย ขาหักตองเขา เฝอกเปนตน - ธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทตองเสียหาย ทําใหสาธารณชนไมพอใจ ฯลฯ ลวนเปน ความเสยี หายท่ีพบไดท่ัวไป - คาใชจายเพ่ิมข้ึนจากการจายเงินชดเชย จายคาประกัน ฯลฯ ซึ่งเปนคาใชจายทาง กฎหมาย - คาใชจายเพิ่มจากการสํารองจายคาประกันและภาษี ซ่ึงเปนเพียงจํานวนเล็กนอยในแต ละป เม่ือเทียบกบั ตนทุนของความเสียหายทีเ่ กิดขนึ้ - สิ่งเบ็ดเตล็ดอ่ืนๆ ท่ีเพิ่มเขามา ซึ่งอาจจะเปนลักษณะเฉพาะของกระบวนการใด กระบวนการหนึ่งและเหมาะสมกบั กรณีอบุ ัติเหตุความเสียหายของทรัพยส นิ - คาใชจ า ยของอะไหลและเคร่ืองมือฉกุ เฉินตา งๆ - คาใชจายของเคร่ืองมือและวัสดุนอกเหนือจากที่ใชงานตามปกติ ซ่ึงอาจไดมาจาก ความชวยเหลอื กไ็ ด - คา ซอ มแซมและหาชิ้นสวนมาแทนของเกา - มูลคาของเวลาที่ใชในการซอมแซมและหาเครื่องมือมาทดแทนของเกา จะเปนในแง ของความเสียหายของกาํ ลังการผลติ และทําใหตารางการซอมบํารุงเครอ่ื งมืออนื่ ๆ ตอง ลา ชาไปดวย - คาใชจายในการปรบั แกก ารดาํ เนนิ การใหถ กู ตองมากกวา การซอ มแซม - ความเสยี หายจากความเกาลาสมัยของชิ้นสว นอะไหลทเ่ี กบ็ ไว - คาเสื่อมสภาพของอปุ กรณก ภู ยั และอปุ กรณฉุกเฉนิ - คาเส่ือมสภาพของผลผลิตระหวางที่คนงานดําเนินการกับอุบัติเหตุท่ีเกิดขึ้น การสอบ สวน การเกบ็ กวาดทําความสะอาด การซอ มแซมและการหาขอ พสิ ูจน 1 - 15
ความสญู เสยี อ่ืนๆ - การลงโทษ การปรบัการกระทําและสภาพการณท่ีต่ํากวามาตรฐาน มักจะพบเห็นในรูปแบบใดรูปแบบหนึง่ ดังตอ ไปน้ีการกระทาํ ทตี่ าํ่ กวามาตรฐาน - ใชเครอ่ื งมอื โดยท่ไี มมีหนาทีเ่ กี่ยวของ - ลม เหลวในการเตอื นภัย - ลม เหลวในการรกั ษาความปลอดภัย - ใชเครื่องมอื ทํางานดว ยอัตราความเรว็ ทไี่ มเ หมาะสม - ใชเ ครอื่ งมอื ความปลอดภัยที่ไมม ีประสิทธิภาพ - การถอดระบบปองกันภัยออก - ใชเ คร่อื งมอื ท่ชี าํ รุด - ใชอุปกรณปองกันอันตรายสว นบุคคลทไ่ี มเหมาะสม - ใชเ คร่อื งมือไมเหมาะสม - การตดิ ต้งั ไมเ หมาะสม - การยกไมเหมาะสม - ตาํ แหนง ท่ีรับผิดชอบไมเ หมาะสมกบั งานที่ทาํ - ซอ มอุปกรณใ นขณะทกี่ ําลังใชง านอยู - การลอเลนกันขณะทาํ งาน ซ่งึ อาจกอ ใหเกดิ อนั ตราย - ดืม่ แอลกอฮอล และ/หรอื ใชยาสภาพการณท ตี่ ่ํากวามาตรฐาน - เคร่อื งกําบัง (Guard) ไมเหมาะสม - อุปกรณป อ งกันภัยไมเพียงพอหรือไมเ หมาะสม - เครือ่ งมือ อปุ กรณ หรอื วัสดชุ าํ รดุ เสียหาย - การทํางานในท่แี ออัดหรือคบั แคบ - ระบบการเตอื นภัยไมเพียงพอ - อยูในสภาวะทล่ี อแหลมตอการเกิดเพลิงไหมหรอื เกดิ ระเบิด - การดูแลสถานทไี่ มเหมาะสม ทีท่ าํ งานไมเ ปน ระเบยี บ - สภาพแวดลอมเสีย่ งอนั ตราย มีกา ซ ฝนุ ละออง ควัน ไอกาซ ไอน้ํา - เสียงดงั มาก - สมั ผัสกับสารกัมมนั ตรังสี - อุณหภูมทิ ี่สงู หรือตํา่ มากเกนิ ไป 1 - 16
- แสงสวา งไมเพยี งพอหรอื แสงจา มากเกินไป - การถา ยเทอากาศไมเพียงพอสาเหตุพืน้ ฐาน ( BASIC CAUSES ) สาเหตุพื้นฐาน ก็คือ โรคหรอื สาเหตุทแ่ี ทจ ริงของโรคที่อยูเบอื้ งหลงั อาการทีแ่ สดงออกมาเปนเหตุผลที่วา ทําไมการกระทําหรือสภาพการณที่ต่ํากวามาตรฐานจึงเกิดข้ึน และเปนปจ จัยท่ีเมื่อวิเคราะหแลวพบวา เพ่ือใหเกิดการควบคุมการจัดการที่ไดผล บอยครั้งท่ีสิ่งเหลาน้ีจะถูกเรียกขานวาเปน “สาเหตุรากฐาน” “สาเหตุที่แทจริง” “สาเหตุโดยออม” “สาเหตุส่ังสมหรือสาเหตุสงเสริม” เนื่องจากสาเหตุในขณะน้ัน (อาการ การกระทําและสภาพเหตุการณที่ไมไดมาตรฐาน) เปนสิ่งที่เห็นไดชัดเจนทันที แตสาเหตุพื้นฐานจะตองใชการตรวจสอบ ซึ่งกินเวลากวาจะเขา ถงึ และสามารถควบคมุ ได เน่ืองจากเหตุการณของการจัดกลุมสาเหตุในขณะน้ัน (IMMEDIATE CAUSES) เปน2 กลุมใหญๆ (การกระทําที่ตํ่ากวามาตรฐานและสภาพการณท่ีไมไดมาตรฐาน) จึงจัดกลุมสาเหตุพ้ืนฐาน (BASIC CAUSES) ออกเปน 2 กลุมดวยเชนกัน ไดแก ปจจัยจากบุคคลและปจ จัยจากงานสาเหตพุ ื้นฐานของความเสียหาย ปจ จยั จากบุคคลการขาดความสามารถทางกาย / การทาํ หนา ทข่ี อง ความเครียดทางจิต / การทํางานของจติ ใจรา งกาย - ความเครยี ดทางอารมณ- ความสูง นํ้าหนกั ขนาด ความแข็งแรง การ - ความเหนือ่ ยลา อันเน่ืองจากการเหยียด ฯลฯ ไมเ หมาะสม ทาํ งานหนกั ของจติ ใจ- ความจาํ กดั ในการเคลอื่ นไหวรางกาย - การตัดสินใจ / การพิจารณาตดั สิน- ขดี จาํ กดั ความสามารถในการทรงกาย ในปญหาทีห่ นกั หนว งในทาตา งๆ - การทํางานประจํา ทําหนาทเี่ ดยี วซํ้าๆ- ไวตอ การรบั สาร / ภูมิแพ ซงึ่ ตองการความเอาใจใสอ ยา งมาก- ไวตอความรสู กึ (อุณหภมู ิ เสียง ฯลฯ ) - ทาํ กจิ กรรมทไ่ี มมคี ุณคา สาระ “หรอื ”- บกพรอ งในการมองเห็น ไมมี “คณุ คา”- บกพรอ งในการไดยนิ- บกพรองตอประสาทสัมผัสอ่ืนๆ - สบั สนเก่ยี วกบั ทศิ ทาง - มีความตองการขดั แยง ในตวั เอง (การแตะตอง รส การไดกล่นิ การทรงตวั ) - หมกมนุ กับปญหา - มีความคบั ขอ งใจ 1 - 17
ปจจยั จากบคุ คลการขาดความสามารถทางกาย / การทําหนาทขี่ อง ความเครียดทางจิต / การทาํ งานของจติ ใจรางกาย (ตอ) (ตอ )- การขัดของของระบบทางเดนิ หายใจ - เจ็บปว ยทางจิต- การขาดสมรรถภาพทางกายโดยถาวรอ่ืนๆ การขาดความรู- การทพุ พลภาพชว่ั คราว - ขาดประสบการณการขาดความสามารถทางจติ / การทําหนา ที่ของ - การแนะนาํ งานไมเ พียงพอจติ ใจ - การฝก หัดเบอ้ื งตนไมเ พยี งพอ- กลัวและเจ็บปวยดว ยโรคหวาดกลัว - การฝก อบรมเพม่ิ เตมิ ไมเ พียงพอ- อารมณถ ูกรบกวน - เขาใจผิดเกย่ี วกับทศิ ทาง- ความเจบ็ ปว ยทางจติ การขาดความชํานาญ- ระดบั สตปิ ญญา - การสอนงานเบอื้ งตน ไมเพยี งพอ- ดอ ยความสามารถในการเขา ใจส่งิ ตางๆ - การฝกงานไมเ พยี งพอ- ตัดสินพจิ ารณาสงิ่ ตา งๆ ไดไมดี - ขาดการฝกฝน- รว มมอื กบั ผูอื่นไดไ มดี - ขาดการชแี้ นะ- มปี ฏกิ ิริยาตอบโตช า แรงจงู ใจไมเหมาะสม- ความสามารถของกลไกทางจติ ตํ่า - เรยี กรองความสนใจ- ความสามารถในการเรียนรตู ่ํา - แรงกดดนั จากเพื่อน- ลมเหลวในการจดจํา - หวั หนางานเปน ตวั อยา งไมเหมาะสมความเครียดทางกายหรือการทาํ หนา ทขี่ อง - การ FEED BACK ผลการปฏิบตั งิ านรางกาย ไมเพียงพอ- บาดเจ็บหรือเจบ็ ปว ย - การผลกั ดนั ใหเ กิดพฤติกรรมท่เี หมาะสม- ออนลาเนือ่ งจากทํางานหนกั เปนเวลานาน ไมเ พยี งพอ- ออนเพลยี เนื่องจากขาดการพกั ผอน - แรงจงู ใจในการผลติ ไมเ หมาะสม- ออนเพลยี จากประสาทสัมผัสทํางานหนัก - ใหรางวัลกบั การกระทําท่ีไมเ หมาะสม- เผชิญกบั อันตรายทม่ี ผี ลตอสุขภาพ - การกระทาํ ท่ีเหมาะสมกลับถูกลงโทษ- เผชญิ กับอณุ หภูมิท่ีรนุ แรง - ขาดแรงกระตุน- การขาดออกซิเจน - มคี วามคับของมากเกินไป- ความแปรปรวนของความกดอากาศ - แสดงความกา วราวอยา งไมเหมาะสม- การฝนรา งกายใหเคลอื่ นไหว - พยายามจะประหยัดเวลาหรอื แรงงาน ขัดกบั สภาพธรรมชาติ อยา งไมสมควร- ระดับนา้ํ ตาลในเลือดตํ่า - พยายามหลีกเลยี่ งความลาํ บากอยา ง- การใชยา ไมส มควร 1 - 18
ปจจัยจากงานภาวะผนู าํ และ / หรือ การแนะนาํ ไมเพียงพอ เครอ่ื งมือและอปุ กรณไมเ พียงพอ- ขาดความชัดเจน หรือมีความขัดแยง กัน - การประเมนิ ความตองการและความเสี่ยงในสายบงั คบั บัญชา ไมเพยี งพอ- ขาดความชดั เจน หรอื ขัดแยงกันในการ - การพิจารณาวาดว ยการจดั สภาพงานและมอบหมายหนาท่ี ทา ทางการทํางานไมเพียงพอ- การมอบหมายอํานาจใหท าํ การแทนไม - มาตรฐานหรอื แบบกําหนดไมเ พียงพอเหมาะสม หรือไมเพยี งพอ - เคร่อื งมอื ที่มไี มเ พียงพอ- มอบนโยบาย วธิ ีการ การดําเนินการ - การดดั แปลง /ซอมแซม/บาํ รุงรักษาไมเพยี งพอหรอื แนวทางไมเ พยี งพอกบั ความ - การประหยดั และการนาํ มาใชป ระโยชนตอ งการ อกี ยงั ไมเ พยี งพอ- มีความขัดแยง กันในวตั ถุประสงค - การถอดออกหรือแทนทอ่ี ปุ กรณไ มเ หมาะสม เปาหมาย หรือมาตรฐานทม่ี อบให มาตรฐานของการทํางานไมเพียงพอ- การวางแผนหรอื วางโครงการเกี่ยวกบั - การพฒั นามาตรฐานยงั ไมเ พียงพอ งานไมเพยี งพอ - รายการและการประเมินผลความตองการ - สอดคลอ งกบั การออกแบบขบวนการผลิต- การสอนงาน การชีแ้ นะแนวทาง และ / - การมสี ว นรวมของพนักงาน หรือ การฝก อบรมไมเพียงพอ- จดั หาวัสดอุ างอิง คูม อื และแนวทาง - มาตรฐาน / วิธีการ / กฎระเบยี บ ไมเปนการปฏิบัติงานไมเ พียงพอ อนั หน่งึ อันเดยี วกัน- การระบแุ ละประเมนิ ความเสียหาย - การส่อื สารเก่ียวกบั มาตรฐานไมเพยี งพอท่เี กดิ ข้นึ ไมเ พยี งพอ - สงิ่ พมิ พ- ขาดความรูในเรือ่ งการแนะนาํ งาน / - การแจกจา ยการจดั การ - การแปลเปน ภาษาทีเ่ หมาะสม- การจดั คนใหมคี ณุ สมบตั ติ รงกับความ - การฝก อบรมตองการยังไมเพียงพอ - การเสรมิ สรางโดยใชเ คร่อื งหมาย รหสั สี- การดาํ เนนิ การเพ่ือการวดั และประเมนิ และเครอื่ งทนุ แรงผลไมเ พยี งพอ- การให FEED BACK เกี่ยวกับการกระทาํ ท่ไี มถ กู ตอ งยังไมเ พียงพอ 1 - 19
ปจจัยจากงานการควบคุมทางวศิ วกรรมไมเพยี งพอ มาตรฐานของการทาํ งานไมเ พียงพอ (ตอ)- การประเมนิ ความเสยี หายทเี่ กิดขนึ้ - การขนสงวสั ดไุ มเหมาะสมยงั ไมเพียงพอ - การเก็บวัสดุไมเหมาะสม- การคาํ นงึ ถึงทา ทางการทาํ งาน - การดแู ลมาตรฐานไมเ พียงพอการจัดสภาพงานยงั ไมเ พยี งพอ - การติดตามสายการปฏิบตั งิ าน- มาตรฐาน แบบกาํ หนด และ / หรือ - การปรบั ปรงุ ใหกาวหนาเกณฑใ นการออกแบบยงั ไมเ พยี งพอ - ติดตามการใชม าตรฐาน/วธิ ีการ/กฎระเบียบ- การตรวจสอบการกอสรา งยงั ไมเพยี งพอ - การแยกแยะรายการทเี่ ปน อนั ตรายไมเพียง- การประเมินความพรอ มในการดําเนนิ พอการยงั ไมเ พียงพอ - การกําจดั ของเสียและขยะไมเหมาะสม- การติดตามการดาํ เนนิ การเบื้องตน การชํารดุ เสยี หายยังไมเ พียงพอ - การวางแผนการใชงานไมเพียงพอ- การประเมินผลความเปลีย่ นแปลง - ยดื อายุการใชงานไมเหมาะสมยังไมเ พียงพอ - การตรวจสอบ และ/หรอื การติดตามผล ควบคุมจัดซอื้ ไมเพยี งพอ ไมเพียงพอ- แบบกําหนดหรือขอกําหนดความ - การรับน้าํ หนกั หรอื อตั ราการใชง านตอ งการไมเพียงพอ ไมเหมาะสม- การวิจัยวา ดวยวัสดุ/เคร่ืองมือ - การบาํ รุงรักษาไมเพียงพอยงั ไมเ พียงพอ - ใชงานโดยผทู ไ่ี มม คี ณุ สมบตั หิ รือไมไ ดรบั- ใหขอ มูลหรอื ขอกาํ หนดความตอ งการ การฝก อบรมมากบั ผูผลติ ไมเพยี งพอ - ใชง านผิดวตั ถปุ ระสงค- เสนทางการขนสง สินคา ไมเพียงพอ การใชงานในทางท่ีผดิ- ขนั้ ตอนการตรวจรับ, ตรวจสอบและ - ยอมใหใชโ ดยหวั หนางาน รบั สนิ คาไมเพยี งพอ - เจตนา- การสื่อสารดา นความปลอดภัยและ - ไมเจตนาอาชีวอนามยั ไมเ พยี งพอ - ไมย อมใหใ ชโดยหวั หนางาน - เจตนา - ไมเจตนา 1 - 20
ปจจยั จากงาน การซอมบาํ รงุ ไมเ พียงพอ - การปอ งกันไมเ พียงพอ - ประเมินความตองการ - การหลอล่ืนและการใชงาน - การปรบั แตง / การประกอบ - การทําความสะอาด / ขดั สนมิ - การซอมแซมไมเพยี งพอ - การบอกกลา วความตอ งการ - ตารางเวลาทํางาน - ตรวจสอบแตละระบบ - การเปล่ยี นอะไหลการขาดการควบคมุ (LACK OF CONTROL) การควบคุม เปนหนึ่งในส่ีของงานการจัดการท่ีมีความสําคัญย่ิง ประกอบดวยการวางแผน การจัดระเบียบองคกร การนําและการควบคุม หนาที่เหลานี้เปนงานของผูจัดการทุกระดับทุกตําแหนงงานใดๆ ไมวาจะเปนการบริหาร การตลาด การผลิต คุณภาพวิศวกรรม การจัดซ้ือหรือความปลอดภัย ผูแนะนํางาน/หัวหนางาน/ผูจัดการตองเปนผูวางแผนวางระเบียบ เปนผูนําและควบคุมใหเกิดประสิทธิผลมีเหตุผล 3 ประการ สําหรับการขาดการควบคมุ ไดแ ก1. โครงการไมเพียงพอกบั ความตอ งการ โครงการควบคุมความปลอดภัย / ความสูญเสีย อาจไมเพียงพอ เน่ืองจากกิจกรรมในโครงการนอยเกินไป ในขณะท่ีกิจกรรมที่จําเปนตองมีในโครงการจะผันแปรไปตามขอบเขตลกั ษณะและประเภทขององคก ร งานวจิ ัยและประสบการณจ ากโครงการที่ประสบความสําเร็จในหลายๆ บริษัทและในหลายๆ ประเทศไดชี้แนะถึงกิจกรรมที่จะเปนรากฐานของความสําเร็จซ่ึงองคกรตางๆ ท่ัวโลก ไดนําไปใชเปนตนแบบในการจัดต้ังโครงการการจัดการเพ่ือควบคุมความปลอดภยั และความสูญเสีย2. มาตรฐานของโครงการไมเ พียงพอ สาเหตุพื้นฐานท่ีทําใหเกิดความสับสนและความลมเหลวได ไดแก มาตรฐานที่มีไมกําหนดความตองการเฉพาะ ไมชัดเจน และ/หรือ มาตรฐานไมเพียงพอ ตัวอยางขางลางนี้ คือมาตรฐานสิบประการ ซ่ึงบริษัทยักษใหญแหงหน่ึงใชงานอยู มาตรฐานเชนน้ีจะชวยใหพนักงานรูไดวา บริษัทคาดหวังอะไรจากพวกตน และใหเกณฑวัดท่ีชัดเจนวาส่ิงที่กระทําสัมพันธกับมาตรฐานมากนอยเพียงไร มาตรฐานท่พี อเพยี งมีบทบาทสาํ คญั ย่ิงตอ การควบคมุ 1 - 21
3. การปฏิบัตติ ามมาตรฐานไมเพียงพอ การไมปฏิบัติตามมาตรฐานที่มีอยู เปนเหตุผลหลักของการขาดการควบคุม อันท่ีจริงผูจัดการสวนใหญตางเห็นดวยวา น่ีเปนเหตุผลใหญที่สุดเพียงประการเดียวของความลมเหลวในการควบคุมความเสียหายจากอุบัติเหตุ ความเห็นพองที่เกือบเปนเอกฉันทนี้ อธิบายใหเขาใจวาเหตใุ ดจงึ เนนเรอื่ งการวัดปรมิ าณและคณุ ภาพของความพยายามท่มี ตี อโครงการ เพ่ือใหเขาใจเกี่ยวกับสภาพการณท่ีนําไปสูสาเหตุการเกิดเหตุการณท่ีไมพึงปรารถนาไดดีย่ิงข้ึน จะตองพิจารณาถึงองคประกอบหลักหรือสวนหน่ึงของระบบในการดําเนินธุรกิจซ่งึ จะเปนแหลง กาํ เนดิ ขององคป ระกอบดงั กลาว องคป ระกอบ 4 ประการทีว่ า ประกอบดวย 1. คน (PEOPLE) 2. เครอื่ งมอื (EQUIPMENT) 3. วสั ดุ (MATERIALS) 4. สภาพแวดลอม (ENVIRONMENT) องคประกอบทั้ง 4 ประการนี้ จะตองเก่ียวของ หรือมีปฏิสัมพันธอยางเหมาะสมซง่ึ กันและกนั หรือปญหาซงึ่ อาจนําไปสูความเสียหายได คน (PEOPLE) องคประกอบตัวนี้รวมถึง ผูจัดการ พนักงาน ผูรับเหมา ลูกคา แขกผูมาเยือน ผูคารายยอย สาธารณชน รวมเขาเปนมนุษย จากประสบการณแสดงใหเห็นวาองคป ระกอบทเี่ ปนคนมีสว นเกีย่ วขอ งกบั สาเหตุของอบุ ัติเหตุ/เหตทุ ่ีเกดิ ขึน้ เปนสัดสว นคอนขางมาก อยางไรก็ดี “คน” มิไดหมายถึง “พนักงานผูมีสวนเกี่ยวของกับเหตุการณ” แนวความคิดเดิมๆ ที่เช่ือวา กวา 85% ของอุบัติเหตทุ ีเ่ กิดขึน้ มีสาเหตุมาจากความผดิ พลาดของคนงาน ไดร บัการวิเคราะหเจาะลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ดวย ความรูและประสบการณยุคใหม องคประกอบที่เปน“คน” จะเกี่ยวขอ งกับ - ผูบริหารผูซึ่งกําหนดนโยบาย วิธีการปฏิบัติ การดําเนินงาน มาตรฐานและเร่ืองอื่นๆ ที่ เกีย่ วของกบั “บรรยากาศของบริษทั ” - วิศวกรและผูออกแบบซ่ึงเปนผูที่สรางสรรคสภาพแวดลอมในการทํางาน ท่ีพนักงานจะ ตองทาํ งานดวย - ผูซ่ึงจัดการเกี่ยวกับระบบการบํารุงรักษาเชิงปองกัน ดูแลเครื่องมือ เครื่องจักรและ อปุ กรณใ หอยูใ นสภาพท่ีดี และใชงานไดโ ดยปลอดภยั - ผจู ดั การซง่ึ จะคดั เลือก จา ง และจดั จําหนายในการทํางานใหก ับพนกั งาน - หัวหนางานผูซ่งึ แนะนํา ใหข อมลู สอน จงู ใจ ชีแ้ นะ และเปนพีเ่ ล้ยี งหนา งาน ดังที่กลาวมาแลววา มีหลักฐานพยานเพิ่มข้ึนเรื่อยๆ วา อยางนอย 80 % ของความ ผิดที่เกิดจากมนุษย สามารถใช “การจัดการ” เพียงอยางเดียวเทานั้นที่จะชวยไดบาง 1 - 22
การจัดการกับองคประกอบที่เกี่ยวกับคนและการมีปฏิสัมพันธกับองคประกอบอื่นๆ ใน ระบบ นบั เปน วธิ กี ารที่สาํ คญั ในการควบคุมใหเ กดิ ประสิทธิผล เคร่ืองมือ (EQUIPMENT) องคประกอบนี้จะเก่ียวของกับเครื่องมือและเครื่องจักรท้ังหมดท่ีพนักงานตองทํางานดวยหรืออยูใกลชิด เคร่ืองจักรที่ติดตั้งอยูกับที่ ยานพาหนะอุปกรณที่ใชงานกับวัสดุตางๆ เคร่ืองมือที่ตองใชมือทํางาน เครื่องปองกันภัยสวนบุคคล และอื่นๆ ส่ิงของซ่ึงคนเราตองทํางานดวยน้ีเปนแหลงใหญของการเกิดการบาดเจ็บ และการเสียชีวิต มันเปนเปาหมายมานานแสนนานในการออกกฎหมายควบคุมความปลอดภัยของเครื่องจักรกล และการฝกอบรมผูปฏิบัติงาน มาเมื่อเร็วๆ น้ีเอง ท่ีขอบังคับไดขยายออกไปโดยเนนหนักในเร่ืองของการจัดสภาพแวดลอมในการทํางาน หรือ “ปจจัยทางวิศวกรรมที่เกี่ยวของกับมนุษย” ปจจัยดังกลาวเปนเร่ืองของการออกแบบงานและสถานที่ทํางานใหเหมาะกับสมรรถนะของมนุษย ใหเหมาะกับขนาดรางกาย การเหยียดกาย พิสัยของการเคล่ือนไหวความสามารถในการมองเห็น รูปแบบของปฏิกิริยาตอบสนอง ขีดจํากัดความเครียดและอื่นๆความลมเหลวของการรับรู สภาพทางกายภาพที่ไมไดมาตรฐาน ดังท่ีเคยเปนมาในอดีตนําไปสูการจําแนกสาเหตุของอุบัติเหตุวาเปน “การกระทําท่ีไมปลอดภัย” เปาหมายหลัก คือการออกแบบเคร่ืองมืออุปกรณตางๆ ตลอดจนสภาพแวดลอมเพ่ือทําให “การทําหนาท่ีของพนักงาน” เปนธรรมชาติและมีความสะดวกสบายมากข้ึน และชวยปองกันความสับสนความออนลา ความคับของใจ การทํางานหนักเกินไป ความบกพรอ งและอุบตั เิ หตุดวย วสั ดุ (MATERIALS) รวมถึงวัตถุดิบ สารเคมีและสารอ่ืนๆ ซ่ึงพนักงานใชทํางานดวยและเปนสวนประกอบในกระบวนการ นับเปนแหลงสําคัญของความเสียหายจากอุบัติเหตุอีกประการหนึ่ง ในหลายๆ บริษัท การบาดเจ็บอันเก่ียวเนื่องจากวัสดุใชงานมีอัตราเฉล่ีย 20 %ถึง 30% ของการบาดเจ็บท้ังหมด เชนเดียวกันกับความเสียหายของทรัพยสิน ซึ่งมักจะเกย่ี วของกบั วัสดุท่ีลน หก การกดั กรอนโดยกรด การไหมหรือการระเบดิ สวนยอยของระบบในประเด็นน้ีไดรับความสนใจในงานการจัดการเพิ่มมากขึ้นเร่ือยๆเม่ือไมกี่ปมานี้ ซึ่งมีเหตุจูงใจมาจากการเนนความสําคัญของงานดานอาชีวะอนามัยมากข้ึนปจจุบันนี้เราแทบจะไมพบผูจัดการยุคใหมที่ไมรูจักคูมือความปลอดภัยในการใชวัสดุและการรักษาสุขภาพ ตลอดจนการดําเนินการเพ่ือรักษาความปลอดภัยจากวัสดุอันตรายตางๆไมมีผูจัดการคนใดจะทํางานควบคุมความเสียหายจากอุบัติเหตุไดเปนที่นาพอใจ หากไมสามารถดาํ เนินการใหการใชวสั ดุเปน ไปอยางเหมาะสมและปลอดภัย สภาพแวดลอม (ENVIRONMENT) รวมถึงทุกสวนที่อยูลอมรอบ ไมวาจะเปนอาคารรั้วที่ลอมรอบผูคน เคร่ืองมือและวัสดุ พ้ืนผิวที่สิ่งตางๆ ตั้งอยูและเคล่ือนท่ีไป ของเหลว และอากาศซ่ึงอยูรอบๆ สสารอื่นๆ อันตรายจากสารเคมี เชน หมอก ไอนํ้า กาซ ไอกาซ ฝุนละอองอากาศและปรากฏการณที่เกี่ยวกับบรรยากาศ อันตรายจากชีวภาพ เชน รา เห็ด แบคทีเรียไวรัส และสภาพทางกายภาพ เชน แสงสวาง เสียง ความรอน ความเย็น ความกดอากาศความชนื้ และการแผรังสี 1 - 23
องคประกอบหลักหรือระบบยอย 4 ประการของระบบการบริหารองคกรทั้งระบบ(คน เครื่องมือ วัสดุ สิ่งแวดลอม) ไมวาจะเปนแตละองคประกอบหรือจากความสัมพันธที่มีตอกัน ลวนเปนแหลงสําคัญของสาเหตุ ซึ่งมีสวนรวมทําใหเกิดอุบัติเหตุและเหตุการณ และอาจสรางความเส่ียงอ่ืนๆ ดังนั้นตองมีการพิจารณาองคประกอบทั้ง 4 อยางระมัดระวังทุกคร้ังที่ทําการตรวจสอบเหตุการณดังกลาวโดยเฉพาะอยางยิ่งเม่ือมีการพัฒนาและจัดทํามาตรการเพื่อการแกไขและปอ งกัน ผจู ัดการทีม่ ปี ระสิทธิภาพควรจะตอ งดแู ลระบบทัง้ หมดขน้ั ตอน 3 ประการ ในการควบคมุ ความสญู เสยี แบบจําลองไมเพียงแตจะสะทอนใหเห็นถึงสาเหตุนานัปการเทานั้น แตยังชี้ใหเห็นถึงโอกาสอันมากมายในการควบคุมอีกดวย ซึ่งโอกาสดังกลาวอาจแบงออกเปน 3 กลุม หรือ3 ข้ันตอนในการควบคมุ ไดแ กการควบคมุ กอนการสมั ผสั กับเหตกุ ารณ (PRE-CONTACT CONTROL) เปนข้ันตอนซึ่งรวมเอาทุกส่ิงที่ตองทําเพ่ือพัฒนา และจัดทําโครงการเพ่ือหลีกเลี่ยงความเส่ียงปองกันความเสียหายจากการเกิดเหตุการณ และวางแผนดําเนินการเพื่อลดความเสยี หายเม่อื เหตกุ ารณเกดิ ขน้ึ การควบคุมกอนการสัมผัสกับเหตุการณเปนข้ันตอนท่ีบังเกิดผลมากท่ีสุด ณ จุดน้ีเราจะพัฒนาโครงการท่ีไดผลดีท่ีสุด สรางมาตรฐานที่ใหผลมากท่ีสุด คงไวซ่ึงผลตอบกลับของการกระทาํ ทีม่ ีประสทิ ธิภาพและจัดการใหมกี ารปฏิบัตติ ามมาตรฐานในการดาํ เนินการ เปาหมายของข้นั ตอนน้ี คือ “การปองกนั ” อนั เปนสวนหน่งึ ของการควบคุมการควบคมุ เมือ่ สัมผสั กับเหตกุ ารณ ( CONTACT CONTROL ) อบุ ตั เิ หตมุ ักจะเกยี่ วโยงกับการสัมผัสกบั แหลงของพลงั งาน หรอื สสาร ซึ่งมคี าเหนือขีดจาํ กัดพน้ื ฐานความทนทานของรางกายหรือโครงสราง มาตรการในการควบคมุ หลายๆ ประการจะใหผลยังจุดและชวงเวลาท่ีมีการสัมผัส ดวยการลดการแลกเปลี่ยนปริมาณพลังงาน หรือการสมั ผัสท่จี ะกอ ใหเ กิดอนั ตราย ตัวอยา งเชน - การแทนทด่ี ว ยรูปแบบของพลงั งานหรือสารท่มี ีอันตรายนอ ยกวา - ใชม อเตอรไฟฟาแทนเพลาและสายพาน (SHAFT AND BELT) - ใชส ารท่ีมีจุดตดิ ไฟสงู หรอื วสั ดทุ ีไ่ มต ดิ ไฟ - ใชของแขง็ ของเหลว นํ้า และกาซ ที่มคี วามเปน พิษนอ ย - ใชเครอื่ งชวยยกของหนกั ๆ แทนทจี่ ะใชค นยก - ลดปริมาณของพลงั งานท่ใี ชห รอื ท่ีปลอยออกมา - หามวิ่งในสถานที่ทาํ งาน - ใชเครื่องมอื ทีม่ แี รงเคลอ่ื นไฟฟา หรอื แรงดนั ตํ่า 1 - 24
- ลดอุณหภมู ใิ นระบบนํ้ารอ นลง- ใชว สั ดุซ่งึ ไมจ ําเปนตองใชอ ุณหภมู ิสูงในการผา นกระบวนการ- ใชแผนรองกันกระแทกเพอ่ื ลดความเร็วในการเดนิ เคร่อื ง- ควบคุมความเร็วของยานพาหนะ- ควบคุมความสัน่ สะเทือนและสิ่งซึ่งจะทําใหเ กิดเสยี ง- ก้ัน ปด บัง และยอ มสเี พอ่ื ลดความรอน แสงสวา ง และแสงจาเกนิ ไป- สรา งเครือ่ งกดี ขวางระหวา งแหลง พลังงานกบั ผูคนหรอื ทรัพยสนิ- ใชอุปกรณห รอื เครอ่ื งมอื ปองกันอนั ตรายสว นบุคคล- ทาครีมหรือโลช่ันท่ีผิวหนัง- สรางแนวปองกันไฟ- หลมุ หลบระเบดิ- กองหรือกําจัดสารพิษออกจากอากาศ- สรางเครื่องกําบังหรือฉนวนปองกันเสียงดังจากเครื่องจักร ความรอน ความเย็นไฟฟา และกัมมนั ตภาพรังสีการแกไ ขพน้ื ผิวท่ีมกี ารสมั ผสั- มีการรองรับจุดทม่ี กี ารสัมผัส- เสรมิ เคร่ืองกันกระแทกดวยการสรา งเสาคาํ้ ยันในบริเวณทีม่ ีการขนยาย- ใชวสั ดุหุมเหล่ียม มุมของเกาอี้ทาํ งาน เคานเตอร เฟอรนเิ จอร และเคร่อื งมอื ตา งๆ- ขัดพืน้ ผิวท่ีขรขุ ระหรือมมุ ทีแ่ หลมคมของเครือ่ งมอื และวสั ดุตางๆ ใหเ รียบ- เก็บเศษวัสดุ กลบหลมุ และส่ิงชาํ รดุ ตางๆ ใหพ น จากพ้ืนทยี่ านพาหนะใชสัญจรเพมิ่ ความแขง็ แรงใหกับรา งกายหรอื โครงสราง- ควบคมุ นํ้าหนักและสภาพรา งกาย- ฉีดวคั ซีนสรางภมู คิ มุ กัน- ใชยารกั ษาเพ่อื ชวยใหเ ลอื ดแขง็ ตวั ในรายทเ่ี ปน โรคโลหิตไหลไมหยดุ ฯลฯ- เสริมความแข็งแรงบริเวณหลังคา พ้ืน เสา ชานชาลา อุปกรณยกของ บริเวณขนถาย สินคา ฯลฯ- เสริมความแขง็ แรงใหโ ครงสรา งของยานพาหนะ เพื่อใหมแี รงตา นความสั่นสะเทือน- ชุบเครือ่ งมอื เชน ใบมีดท่ีใชต ัดใหแข็งขน้ึ 1 - 25
ข้นั ตอนการสมั ผัสกบั เหตุการณที่เกดิ ขึ้น อาจจะเกิดหรอื ไมเ กดิ ความเสียหายกไ็ ด ขึ้นอยู กับปริมาณของพลังงานหรือสารที่เก่ียวของ การควบคุมท่ีไดผลจะมีการแลกเปล่ียนใหมี ปริมาณนอยลง ซ่ึงมีผลใหเกิดความเสียหายเพียงเล็กนอยแทนที่จะรุนแรง มาตรการ ดั ง ก ล า ว ไ ม ไ ด ป อ ง กั น ก า ร สั ม ผั ส กั บ เห ตุ ก า รณ แ ต มี ส ว น สํ า คั ญ ยิ่ ง ใน ก า ร ค ว บ คุ ม ความเสยี หาย การควบคุมหลังจากการสัมผสั กบั เกตกุ ารณ (POST – CONTACT CONTROL) หลังเกิดอุบัติเหตุ หรือ หลัง “การสัมผัสกับเกตุการณ” ปริมาณความเสียหายยอมควบคุมไดใ นหลายวิธดี ว ยกนั เชน - ดําเนินการตามแผนปฏิบตั ิเมือ่ เกิดเหตุฉุกเฉิน - ใหก ารปฐมพยาบาลและรกั ษาพยาบาลอยา งเหมาะสม - ดาํ เนินการกูภัย - ควบคุมเพลงิ ไหมแ ละการระเบิด - เคล่ือนยายเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณท่ีเสียหายออกไป และไมใชงานจนกวาจะ ซอ มเสรจ็ - ซอ มแซมเคร่อื งมอื วัสดุ อุปกรณ ทช่ี าํ รุดโดยเรว็ - รบี เรงระบายมลภาวะในอากาศในบรเิ วณทที่ ํางานออกไปโดยเรว็ - ชําระลางส่ิงที่หกลน ออกมาอยางมีประสทิ ธภิ าพ - ควบคุมการเรยี กรอ งเงนิ ชดเชย - ใชมาตรการขนยายและควบคุมความเสียหาย เพ่ือรวบรวมของที่ชํารุดแลวกลับมาใช ประโยชนใหม - ฟนฟสู ุขภาพพนักงานทีไ่ ดร ับบาดเจ็บอยา งมีประสิทธภิ าพและโดยรวดเร็ว การควบคุมภายหลังการสัมผัสกับเหตุการณไมอาจปองกันอุบัติเหตุได แตชวยลดความเสียหายใหนอยลง ทั้งยังใหเห็นความแตกตางระหวางการบาดเจ็บและการเสียชีวิตความเสียหายแบบท่ียังนํากลับมาซอมแซมไดกับการสูญเสียโดยส้ินเชิง การรองทุกขกับการฟอ งรอ ง และระหวางธุรกจิ หยดุ ชะงักกับการตอ งปด กิจการ 1 - 26
บทท่ี 3 การปองกันและระงับอคั คภี ัยในสถานประกอบการ การปองกันอัคคีภัยเปนวิทยาศาสตรแขนงหน่ึง ซ่ึงตองอาศัยเวลาและความรูพื้นฐานในดานตา งๆ เชน เคมี ฟส กิ ส วิศวกรรม เพื่อความรคู วามเขาใจอยา งลึกซึ้ง ดงั นน้ั การออกแบบระบบการปองกันอัคคีภัยควรเปนความรับผิดชอบของผูเชี่ยวชาญเทาน้ัน เพราะถามีระบบการปองกันอัคคีภัยอยางมีประสิทธิภาพแลวยังชวยประหยัดคาใชจายในการปองกันอัคคีภัยอกี ดวย เมื่อโรงงานจัดต้ังระบบการปองกันอัคคีภัยข้ึนแลว ก็เปนหนาท่ีของเจาหนาที่และผูควบคุมงานท่ีจะดูแลใหระบบการปองกันอัคคีภัยเปนไปอยางมีประสิทธิภาพ และใชงานไดอยา งถูกตองเหมาะสมสาเหตุของการเกิดและแหลงกาํ เนิดอคั คภี ยั เพื่ อ ช ว ย ใ ห เจ า ห น า ที่ แ ล ะ ผู ค ว บ คุ ม ง า น ไ ด มี ร ะ บ บ ก า ร ป อ ง กั น อั ค คี ภั ย อ ย า ง มีประสิทธิภาพ ดังน้ันการเขาใจสาเหตุของอัคคีภัยจะชวยใหสามารถพบแหลงเกิดอัคคีภัยไดงายและรายงานใหผ รู ับผดิ ชอบหาทางปองกนั ภาพองคป ระกอบของการเกดิ เพลิงไหม การเกิดและการลุกลามของเพลิงไหมโดยทั่วๆไป เกิดข้ึนจากองคประกอบ 4 อยาง คือเชื้อไฟ,อากาศ (ออกซิเจน), ความรอน (อุณหภูมิที่ทําใหเชื้อไฟลุกไหม) และปฏิกิริยาลูกโซทางเคมี สําหรับองคประกอบท่ี 4 น้ัน เกิดขึ้นหลังจากท่ีเกิดเพลิงไหมแลว แตองคประกอบ 1 - 27
3 อยางแรกนั้น ถาอยูรวมกันเมื่อใดก็จะทําใหเกิดเพลิงไหมได ดังนั้น การปองกันการเกิดเพลิงไหมก็คือ การควบคุมองคประกอบ 3 อยางแรก แตการจะระงับอัคคีภัยนั้นตองควบคุมองคประกอบท่ี 4 ดวย เพราะฉะนั้น การออกแบบระบบการปองกันอัคคีภัยนั้น จะตองมีการตรวจตราเสียกอนวา สาเหตุของการเกิดเพลิงไหมจะเกิดไดในบริเวณใดบาง และจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซทางเคมีในลักษณะใดไดบาง เพื่อจะไดเลือกใชอุปกรณดับเพลิงอยางถูกตองเหมาะสม โดยทางปฏิบัติ การควบคุมเพลิงไหม กระทําโดยควบคุมเช้ือไฟหรือความรอน วิธีที่ดีทส่ี ุดในการปองกันการเกิดความรอ นสูงจนถึงจุดตดิ ไฟน้ัน กระทําไดโดยการตรวจตราและกาํ จัดไมใหมีแหลงกําเนิดความรอนสูง สําหรับการควบคุมเช้ือไฟนั้นทําไดโดยการดูแลโรงงานใหสะอาด เปนระเบียบเรียบรอยและปฏิบัติตามคําแนะนําของผูเช่ียวชาญในการเก็บรักษาสารทีไ่ วไฟอยางไรกต็ ามแหลง กาํ เนดิ เพลงิ ไหมท่พี บเหน็ อยเู สมอๆ ในโรงงานคอื (1) อุปกรณไฟฟา อาจเกิดประกายไฟซึ่งมีความรอนสูงเนื่องมาจากสายไฟท่ีเปนฉนวนหุมเปอยลอกออก นอกจากนี้อุปกรณไฟฟาบางชนิดซึ่งไดรับการดูแลรักษาที่ไมเหมาะสมอาจมีความรอนสูงในตัวของมันเอง เม่ือถูกตองกับฝุนละออง กาซ ไอของสารไวไฟ หรือเชื้อไฟอื่นๆ ก็อาจเกิดการลุกไหมได (2) ความเสียดทาน ของสว นประกอบของเครือ่ งจักรเคร่อื งยนต เชน ตลับลกู ปน เพลาซ่ึงทําใหเกิดความรอนสูงเม่ือถูกตองกับเช้ือไฟ เชน ฝุนผง ใยผา พลาสติก เปลือกแหงของเมลด็ พืช สารเคมบี างชนิด ขีเ้ ลอ่ื ย ฯลฯ อาจเกดิ การลุกไหม (3) วัสดุไวไฟชนิดพิเศษ เชน โซเดียม โปแตสเซียม ซึ่งสามารถลุกไหมไดเองในนํ้าฟอสฟอรัส ซึ่งลุกไหมไดเองเมื่อถูกกับอากาศ หรือวัสดุอื่นๆ ซ่ึงสามารถลุกไหมไดเอง เมื่อสมั ผัสกบั เชอ้ื ไฟกจ็ ะเกิดการลกุ ไหมข นึ้ (4) การเช่ือมและการตัดโลหะ ซ่ึงจะเกิดประกายไฟตลอดเวลาที่ทํางาน เมื่อสัมผัสกบั เช้ือไฟกเ็ กิดการลกุ ไหมข ้ึน (5) เตาเผาซึ่งไมมีฝาปดหรือเปลวไฟที่ไมมีส่ิงปดคลุม ถาในบริเวณใกลเคียงมีเชื้อไฟซึ่งไมไดรับการระมัดระวังดูแล เมื่อเกิดการสัมผัสระหวางเปลวไฟกับเชื้อไฟก็จะเกิดการลุกไหม (6) การสูบบุหร่ีหรือการจุดไฟ บริเวณที่มีไอของสารไวไฟ เชน นํ้ามันเบนซิน ถาไมระมัดระวัง อาจเกิดการจุดระเบิดและอันตรายถึงชีวิต นอกจากน้ี ความรอนจากกนบุหรี่ท่ีติดไฟและไมข ดี ท่ใี ชจ ุดไฟแลว อาจทําใหเชื้อไฟบางชนิดเกิดการลุกไหมไ ดโ ดยงาย (7) วัตถุที่ผิวรอนจัด เชน เหล็กที่ถูกเผา ทอไอน้ํา ฯลฯ เมื่อมีการกระทบระหวางผิวท่ีรอ นจดั กบั เชือ้ ไฟอาจเกิดการลกุ ไหม (8) ไฟฟาสถิต คือการสัมผัสของประกายไฟซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการถายเทประจุไฟฟาสถิตกบั เชือ้ ไฟอาจทําใหเ กดิ การลุกไหม 1 - 28
(9) เครื่องทําความรอน เน่ืองจากเคร่ืองทําความรอนจะมีทั้งเปลวไฟซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาไหมของเช้ือเพลิงที่ใชทําความรอนและความรอนสะสมไวที่ตัวเครื่อง ถาเกิดการสัมผัสเปลวไฟ หรอื ความรอ นกับเชื้อไฟกย็ อมเกิดการลุกไหมไ ด (10) การลุกไหมดวยตนเอง เชน พวกขยะ การสะสมของสารบางชนิด จะกอใหเกิดความรอ นข้ึนในตัวของมนั เองจนกระทั่งถึงจดุ ติดไฟ เม่ืออยรู วมกับเชอ้ื ไฟกย็ อมเกิดการลกุ ไหมอนั ตรายจากอคั คภี ยั เม่ือพิจารณาถึงความปลอดภัยจากอัคคีภัยนั้น สิ่งสําคัญท่ีสุดก็คือ การรักษาชีวิตของผูประสพอัคคีภัย สวนเรื่องการรักษาทรัพยสินนั้น เปนเร่ืองรองลงมา ดังน้ัน เราตองเขาใจกอนวา ไฟทําใหคนเสียชีวิตไดอยางไร เพอื่ จะไดหามาตรการในการปองกันท่ีตนเหตขุ องการบาดเจ็บและเสียชวี ิต ซึ่งโดยทว่ั ไปแลว ไฟจะทาํ อนั ตรายแกผปู ระสบเหตุไดในสามรปู แบบคือ ความรอน ไฟไหมทําใหเกิดความรอนไดอยางรุนแรง โดยที่อุณหภูมิในพ้ืนท่ีที่เกิดไฟไหมอาจสูงถึง 500-1300 องศาเซลเซียส (ลองเทียบกับอุณหภูมิของนํ้าเดือดเทากับ100 องศาเซลเซียส) ซ่ึงความรอนที่อุณหภูมิขนาดนี้ จะสามารถทําลายเน้ือเย่ือของรางกายไดอยางรุนแรง การสูดอากาศท่ีมีความรอนนี้เขาไปสามารถลวกและทําลายเน้ือเยื่อของปอดไดในทันทแี ละการสมั ผสั กับความรอนสงู ขนาดน้ี อาจทาํ ใหเกดิ การหมดสติไดอ ยา งรวดเรว็ อยางไรก็ตาม ความรอนก็เปนเพียงสวนอันตรายสวนหน่ึงของไฟไหม และ จากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกา การเสียชีวิตจากเพลิงไหมบานนั้น หนึ่งในสี่เทานั้นท่ีเกิดจากความรอน สวนอีกสามในสีน่ ้ัน การเสยี ชวี ิตเกิดจากควนั และกาซพิษ และ การขาดอากาศหายใจ การขาดอากาศหายใจ ในการเกิดไฟไหม ออกซิเจนในบริเวณน้ันจะถูกใชไปในปฏิกิริยาการเผาไหม ทําใหปริมาณออกซิเจนในอากาศลดลงอยางรวดเร็ว โดยท่ัวไปอากาศท่ีเราหายใจมีออกซเิ จนอยูประมาณ 21 % ถาระดับออกซเิ จนลดลงเหลือ 17 % สมองจะเริม่ ต้ือและการควบคุมกลามเน้ือจะทําไดลําบากขึ้น ซ่ึงทําใหการคิดและการหนีไฟทําไดยากลําบากมากขึ้น ถาระดับออกซิเจนลดลงเหลือ 6-10 % การหายใจจะหยุด หลังจากเราขาดออกซิเจนเพียง 4-6 นาที ก็อาจจะเกิดสมองตายได ดังนั้น จึงเห็นไดวาระยะเวลาที่เรามีการหนีไฟน้ันมจี ํากัด และเปนเวลาท่ีมีคา มาก จึงจําเปนอยางยิ่งท่ีเราตองมีการเตรียมตัวใหพรอมและใชเวลาทีม่ ีจาํ กดั นน้ั ใหค มุ คา ที่สดุ กาซพิษและควัน กาซพิษและควัน เปนสาเหตุหลักของการเสียชีวิตท่ีเกิดจากเพลิงไหม โดยเฉพาะในกรณีท่ีไฟไหมตอนกลางคืนขณะที่คนสวนใหญกําลังนอนหลับ คนท่ีนอนหลับอยูและสูดเอากาซเขาไป อาจไมต่ืนขึ้นมาอีกเลย หรือ อาจจะหมดสติทันทีที่ลุกข้ึนเพื่อจะพยายามหนไี ฟกาซพิษที่มกั จะเกิดขึ้นในเพลงิ ไหมอาคารทั่วไปมี 4 ประเภท ไดแ ก - กาซคารบอนมอนอกไซด เปนกาซที่มีพิษและจะเขาไปแทนท่ีออกซิเจนในเลือด พบไดใ นไฟไหมท กุ ประเภท 1 - 29
- กาซไฮโดรเจนไซยาไนด เปนกาซพิษที่เกิดจากการไหมของผาไหม ผาขนสัตว ผา ไนลอน และพลาสติกบางประเภท ท่ีมักจะพบในวัสดุทําผาหม เฟอรนิเจอร ผามาน และเสอ้ื ผา - กาซไฮโดรเจนคลอไรด เปนกาซท่ีเกิดจากพลาสติกที่มีคลอรีนเปนสวนผสม ทําให เกิดการระคายเคืองในตา และ ระบบทางเดินหายใจ ทําใหเปนอุปสรรคตอการ หนีไฟ - กาซคารบ อนไดออกไซด เปนกาซที่จะทาํ ใหผสู ูดตองหายใจเรว็ ขึน้ ทาํ ใหส ดู เอากาซ พิษชนิดอื่นเขาสูรางกายมากขึน้ นอกจากน้ี ยังมีควันซ่ึงประกอบดวยอนุภาคขนาดเล็กท่ีจะบดบังแสง และทําใหความสามารถในการมองเหน็ ลดลง ชนดิ และปรมิ าณของกาซพษิ และควัน ขน้ึ อยกู บั วสั ดทุ ่ีเปน เช้อื เพลงิ ดังน้ัน การเลือกใชวัสดุที่ไมกอใหเกิดควัน และ กาซพิษ นับวาเปนแนวทางที่สําคัญที่ชวยลดอันตรายที่เกิดจากควนั และกา ซพิษไดลักษณะการเกดิ อัคคภี ยั อัคคีภัย สวนใหญแลวจะเก่ียวของกับวัสดุที่เปนเชื้อเพลิงของแข็ง และจะเกิดขึ้นตามลําดับเปน 4 ระยะ ดวยกัน(1) ระยะเริ่มตน การสลายตัวเนื่องจากความรอนของวัสดุที่ไหมไฟได จะเกิดอนุภาคเล็กๆ จํานวนมากซึ่งอนุภาคเหลานี้มีท้ังอนุภาคของแข็งและอนุภาคของเหลว ซ่ึงประกอบดวย คารบอนซึ่งยังไมไหมไ ฟ ไอนา้ํ และกา ซตา งๆ ซงึ่ เกดิ ข้ึนดว ยการสลายตวั เนอ่ื งจากความรอ น อนุภาคที่ไหมไฟเหลานี้ ในระยะเรม่ิ ตนจะมีขนาดเล็กมาก นอยกวา 1 ไมครอน (หนึ่งในลานของเมตร) ซ่ึงตาของมนุษยโดยท่ัวไปแลวไมอาจมองเห็นอนุภาคที่เล็กกวา 5 ไมครอนไดดงั นัน้ การเกดิ การเผาไหมในระยะเร่ิมตนนจ้ี ึงยังมองไมเหน็(2) ระยะเกิดเปนควนั ถาเพลิงท่ีเกิดในเชื้อเพลิงท่ีเปนของแข็งยังคงดําเนินตอไป มันจะถึงระยะที่เกิดเปนควันขึ้น การเผาไหมจะเพ่ิมขึ้นจนถึงจุดซึ่งท้ังปริมาณและมวลสารของอนุภาครวมตัวกันเพ่ิมข้ึนจนเกิดเปนควันที่มองเห็นได ความรอนที่ออกมาจะเพิ่มข้ึนแตยังไมเพียงพอท่ีจะชวยใหการลกุ ไหมดําเนินตดิ ตอ ไปไดเอง 1 - 30
(3) ระยะเกิดเปลวไฟ ระยะน้ีเม่ือปริมาณความรอนมากพอที่จะจุดกาซ และอนุภาคท่ียังไมไหมไฟซึ่งเกิดจากความรอนใหลุกไหมข้ึน เม่ือไฟเขามาถึงระยะเกิดเปลวแลว มันจะเกิดพลังงานพอเพียงท่ีจะทําใหเกิดการลุกไหมตอไปไดดวยตัวของมันเอง และความรอนจะสูงขึ้น ตราบใดท่ียังมีเชื้อเพลิง,ออกซิเจน และอุณหภมู สิ ูงเกินกวา จุดติดไฟของเชอ้ื เพลิงน้ันอยู(4) ระยะเกดิ ความรอ นสูง ระยะนี้เปนระยะสุดทายของเพลิง เปนชวงท่ีเกิดความรอนสูงตามมาอยางรวดเร็วถา เพลงิ ลุกลามขน้ึ มาถึงข้ันน้ีจะกอใหเกิดความเสยี หายอยางมากมาย และยากท่จี ะดบั ลงได อัคคีภัยเปนปรากฏการณธรรมชาติ ซ่ึงเกิดข้ึนเม่ือสสารมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงอุณหภูมิวิกฤติจะเกิดปฏิกริยาทางเคมี เชน เมื่อถูกกับออกซิเจน จะเกิดความรอน เปลวเพลิง แสงสวางควัน ไอนํ้า คารบอนมอนอกไซด หรอื ผลตอเน่ืองอื่นๆประเภท (Classification) ของอปุ กรณต รวจจบั อคั คภี ัยโดยอัตโนมตั ิ อุปกรณต รวจจับ แบง เปน ประเภทตาง ๆ ดังนี้ 1. อปุ กรณต รวจจบั ความรอน (Heat Detector) คืออุปกรณต รวจจบั อณุ หภมู ิหรืออัตราการเพิ่มของอุณหภูมสิ ูงกวา ปกติ 2. อุปกรณตรวจจับควัน (Smoke Detector) คืออุปกรณตรวจจับ อนุภาคท่ีเกิดจาก การเผาไหมทงั้ สภาวะทม่ี องเหน็ ไดแ ละมองไมเ หน็ 3. อปุ กรณต รวจจบั กาซเพลิงไหม (Fire Gas Detector) คอื อุปกรณต รวจจับกา ซตางๆ ที่เกดิ จากเพลงิ ไหม 4. อปุ กรณตรวจจบั อนื่ ๆ คือ อุปกรณตรวจจับการเกดิ อคั คภี ัยในสภาพอื่นๆ นอกเหนือจากความรอ น ควัน เปลวเพลิง หรือกา ซทกี่ ลา วขางตนชนดิ ของอปุ กรณต รวจจบั 1. ชนิดเสน (Line Type) เปนอุปกรณตรวจจับอัคคีภัย ลักษณะเปนเสนยาวตอเนื่องกัน ยกตัวอยางเชน อุปกรณตรวจจับอัตราการเพ่ิมอุณหภูมิโดยทอลม อุปกรณตรวจจับควนั โดยลาํ แสง หรือ เคเบิลไวตอ ความรอน 2. ชนิดจุด (Spot Type) เปนอุปกรณตรวจจับอัคคีภัยที่ตําแหนงเฉพาะเปนจุดๆยกตัวอยางเชน อุปกรณตรวจจับชนิดใชโลหะคู (Bi-metal) ชนิดใชโลหะผสมหลอมละลาย(Fusible Alloy) ชนดิ ใชอตั ราการเพิ่มของลม (Pneumatic rate of rise) ชนดิ ตรวจจบั ควนั และชนิดไฟฟาพลังความรอ น (Thermoelectric) 1 - 31
3. ชนิดชักตัวอยางอากาศ (Air Sampling Type) ประกอบดวย ตัวอุปกรณตรวจจับซึ่งตอทอกระจายไปทั่วบริเวณที่จะปองกัน มีปมดูดอากาศตัวอยางจากบริเวณดังกลาวผานทอไปยังกลอ งชกั ตัวอยา ง ซ่ึงจะวิเคราะหอ นุภาคตา งๆ ทเ่ี กดิ จากเพลงิ ไหมสภาวะของการทํางาน 1. ชนิดไมคืนสภาพเดิม (Non-Restorable) เมื่ออุปกรณทํางานตรวจจับสภาวะเพลิงไหมแ ลวสารทเ่ี ปนองคป ระกอบจะถูกทําลาย 2. ชนิดคืนสภาพเดิม (Restorable Detector) เมื่ออุปกรณทํางานตรวจจับสภาวะเพลงิ ไหม สารเปน องคป ระกอบไมถูกทําลาย การคืนสภาพทาํ ไดโดยบุคคลหรืออัตโนมตั ิอปุ กรณต รวจจบั ความรอ น ความรอนเปนพลังงาน ทําใหสารมีอุณหภูมิสูงข้ึน และโดยนัยเดียวกันพลังงานความรอ นจะเกดิ ข้นึ จากการเผาไหมของสาร หลักการทํางาน อปุ กรณตรวจจับอุณหภูมติ ายตวั (Fixed Temperature Deteclor) 1. อปุ กรณต รวจจับชนดิ นจ้ี ะทาํ งานเมือ่ อณุ หภูมสิ งู ขนึ้ ถึงระดบั ท่ีตั้งไว 2. ความรอนหนวง (Thermal lag) ในขณะที่อุปกรณชนิดนี้ทํางาน โดยปกติแลวอุณหภูมิของบรรยากาศรอบๆ จะสูงกวาอุณหภูมิตายตัวของอุปกรณ คาความแตกตางระหวางอณุ หภูมิตายตัวกับอุณหภมู ขิ องบรรยากาศรอบๆ เรียกวา “ความรอ นหนว ง” และเปนสัดสว นกับอตั ราการเพิ่มของอุณหภมู ิ 3. ตวั อยา งของสารองคป ระกอบสาํ หรบั อปุ กรณชนดิ อุณหภูมิตายตวั ก) โลหะคู (Bi-metallic) ประกอบดวย โลหะ 2 ชนิด ซึ่งมี คาสัมประสิทธิ์ของการขยายตัวดวยความรอนท่ีตางกัน จัดประกบติดกันในลักษณะที่ทําใหงอไปดานหนึ่งเม่ือได รบั ความรอ นและงอไปทางดานตรงขา มเมื่อเยน็ ลง ข) ตัวนําไฟฟา (Electrical Conductivity) สารองคประกอบ เปนลวดความตานทาน ซ่ึงคาความตานทานจะเปลี่ยน แปลงไปตามอณุ หภูมิ ค) โลหะผสมหลอมละลาย (Fusible Alloy) สารองคประกอบ เปนโลหะผสมพิเศษ ซึ่งจะหลอมละลายเมื่อรอนถึง อณุ หภูมิพกิ ดั ง) เคเบิลไวตอความรอน (Heat Sensitive Cable) เปน อุปกรณชนิดเสนชนิดแรกท่ีประกอบดวยสายนํากระแส จํานวน 2 เสน กั้นดวยฉนวนไวตอความรอนซ่ึงจะออน 1 - 32
ตัวลงที่อุณหภูมิพิกัดและทําใหสายท้ัง 2 เสนนั้นเปนตัว สัมผัสทางไฟฟา ชนิดท่ีสองเปนสายเสนเดี่ยว สอดอยู กลางทอโลหะ โดยอัดสารพิเศษระหวางชองวางของสาย กับทอ เม่ือสารนั้นรอนถึงอุณหภูมิวิกฤติจะเปล่ียนสภาวะ จากฉนวนไฟฟาเปนตัวนําไฟฟา ทําใหเกิดตัวสัมผัสทาง ไฟฟาระหวา งทอ กบั สาย จ) การขยายตัวของของเหลว สารองคประกอบเปนของเหลว ซ่งึ ขยายตัวทางปริมาตรตามอณุ หภูมทิ ส่ี ูงข้ึนอุปกรณต รวจจับอัตราการชดเชย (Rate Compensation Detector) 1. เปนอุปกรณซ่ึงทํางานเม่ืออุณหภูมิของบรรยากาศโดยรอบสูงถึงจุดท่ีต้ังไว โดย ไมขน้ึ กับอตั ราการเพิม่ ของอุณหภมู ิ 2. ตัวอยางของอุปกรณชนิดนี้ไดแก อุปกรณตรวจจับเฉพาะจุด ประกอบดวย หลอดโลหะซึ่งจะขยายตัวตามยาวเมื่อรอน ถาการขยายตัวถึงจุดท่ีกําหนด จะทําให เกิดแรงดันบิดตัวสัมผัส และภายในหลอดจะมีโลหะอีกชิ้นหนึ่งคอยสงแรงดานไมให ตัวสัมผัสปด แรงทั้งสองจะอยูในภาวะสมดุลย เม่ืออัตราการเพ่ิมอุณหภูมิของ อากาศโดยรอบสูงขึ้นชาๆ ทําใหความรอนสามารถผานไปถึงชิ้นโลหะภายในและ เกิดแรงตานตัวสัมผัสใหเปดอยูจนกระทั่งอุณหภูมิสูงข้ึนถึงพิกัดที่กําหนด อยางไร ก็ตามหากอุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นอยางรวดเร็ว จนไมมีเวลาเพียงพอท่ีจะทําให ช้ินโลหะภายในรอน ตัวสัมผัสจะปดในขณะท่ีอุณหภูมิของอุปกรณยังต่ําอยู ผลไดร ับคือการชดเชยความรอ นหนว ง (Com-pensates for Thermal Lag)อุปกรณตรวจจับอัตราการเพมิ่ (Rate of Rise Detector) เปน อุปกรณซ ่งึ จะทาํ งานเมอื่ อัตราการเพม่ิ ของอณุ หภมู สิ งู ข้ึนเกินอตั ราพิกดั ทตี่ ้ังไวเชน ก) อุป กรณ ตรวจจับดวยอัตราการเพ่ิ มความดันในเสนท อ (Pneumatic Rate-of-Rise Tubing) อุปกรณตรวจจับชนิดนี้เปน เสนยาว ประกอบดวย ทอท่ีมีเสนผาศูนยกลางเล็กๆ โดยปกติ เปนทอทองแดง ติดต้ังอยูบนฝาเพดาน หรือขอบบนของพ้ืนที่ที่ ตองการปองกันอัคคีภัยปลายทอตอเขาเคร่ืองตรวจจับ ซึ่ง ประกอบดวย ไดอะเฟรมและชุดของตัวสัมผัส ซึ่งจะทํางานท่ี พิกัดความดันท่ีตั้งไว ระบบจะปดสนิท (Sealed) ยกเวนปรับแตง การระบายอากาศได เพื่อใหชดเชยตอการเปลี่ยนอุณหภูมิตาม สภาวะปกติ 1 - 33
ข) อุปกรณตรวจจับดวยอัตราการเพ่ิมของความดันของลมชนิดจุด (Spot-Type Pneumatic Rate of Rise Detector) อุปกรณชนิดนี้ ประกอบดวยกลองอากาศ (Air Chamber) ไดอะแฟรม ตัวสัมผัส และรูระบายอากาศบรรจุรวมอยูในกลองเดียวกัน หลักการ ทํางานเหมอื นกับชนิด ก. ค) อุ ป ก ร ณ ต ร ว จ จั บ ด ว ย ผ ล ข อ ง ไ ฟ ฟ า พ ลั ง ค ว า ม ร อ น (Thermoelectric Effect Detector) ประกอบดวยองคประกอบไว ตอความรอน ชนิดเทอรโมคัปเปล (Thermocouple) หรือเทอร โมไพล (Thermopile) ซ่ึงศักยไฟฟาสูงข้ึนตามอุณหภูมทิ ี่เพิ่มขึ้น ศักยไฟฟาจะตรวจทราบ (Monitor) โดยอุปกรณควบคุม และจะ เร่ิมสัญญาณเตือนภัย เม่ืออัตราการเพ่ิมของศักยไฟฟาเร็วกวา ปกติอุปกรณตรวจจับควนั ควัน คือ อนุภาคที่เกิดจากการเผาไหมของสสารรวมตัวกันในบรรยากาศทั้งท่ีมองเห็นไดและมองไมเห็นหลกั การทํางาน (1) อุปกรณตรวจจับควันโดยอาศัยหลักการเกิดไอออน (Ionization Smoke Detection Principle) สวนใหญเปนอุปกรณชนิดจุด ประกอบดวย สารกัมมันตภาพรังสี บรรจุอยูในกลองตรวจจับ (Sensing Chamber) เปน ผลใหอากาศภายในกลองเกิดไอออนมีสภาพเปนตัวนํา และทําใหกระแส ไฟฟาไหลผานไดระหวางข้ัวอีเลคโทรด เมื่ออนุภาคควันผานเขาในกลอง อนุภาคควันจะจับตัวรวมกับไอออนทําใหการเคล่ือนท่ีชาลงและคาความนํา ไฟฟาลดลง อุปกรณตรวจจับจะเร่ิมสัญญาณเมื่อคาความนําลดลงถึง จดุ พกิ ัดท่ีกําหนดไว (2) อุปกรณตรวจจับควันโดยอาศัยหลักการบดบังไฟฟาพลังแสง (Photoelectric Light Obscuration Smoke Detection Principle) ประกอบดวยแหลง กาํ เนิดแสงท่ีฉายลําแสงตรงไปยังอุปกรณไวแสง (Photo sensitive device) อุปกรณตรวจจับและเร่ิมสัญญาณ เม่ืออนุภาคควันท่ีอยู ระหวางแหลงกําเนิดแสงกับอุปกรณไวแสงบดบังและลดปริมาณแสงถึง จดุ พกิ ดั ท่ีกาํ หนด 1 - 34
อปุ กรณต รวจจับที่อาศัยหลักการขางตน โดยปกติเปนชนิดจุด (Spot Type) สําหรับอุปกรณตรวจจับชนิดเสน (Line Type) จะตรวจจับควันโดยการ ฉายลาํ แสงผา นบริเวณพื้นท่ีทีต่ องการปอ งกัน ไปยังอปุ กรณไวแสง (3) อุปกรณตรวจจับควันโดยอาศัยหลักการกระจายไฟฟาพลังแสง (Photoelectric Light Scattering Smoke Detection Principle) เ ป น อุปกรณชนิดจุดประกอบดวยแหลงกําเนิดแสง และอุปกรณไวแสง โดยแสง จากแหลงกําเนิดมิไดสองตรงยังอุปกรณไวแสง เม่ือมีอนภุ าคควนั เกิดข้ึนใน บริเวณน้ัน แสงจะกระทบอนุภาคควันแลวสะทอนไปยังอุปกรณไวแสง ทาํ ใหอุปกรณตรวจจบั ควันเร่ิมสญั ญาณ (4) อุป ก รณ ต รวจจับ ค วัน โด ยอาศั ยห ลัก บ ริด จค วาม ต าน ท าน (Resistance Bridge Smoke Detection Principle) เปนอุปกรณชนิดจุด เมื่อมีอนุภาคควันและความชื้นจากเพลิงไหมตกกระทบตาขายบริดจไฟฟา คาความนําไฟฟาของวงจรตาขายจะเพ่ิมขึ้นถึงจุดพิกัด ทําใหอุปกรณตรวจ จับเร่ิมสัญญาณ (5) อุปกรณ ตรวจจับควันโดยอาศัยหลักกลองหมอกควัน (Cloud Chamber Smoke Detection Principle) เปนอุปกรณตรวจจับโดยการดูด อากาศตัวอยางโดยใชปมเขาไปในกลองท่ีมีความช้ืนสูงภายใน เมื่ออากาศ เขาสูภายในความกดดันของอากาศจะลดลง ถาหากมีอนุภาคควันปนอยู ความช้ืนในอากาศจะกล่ันตัวเปนหมอกคลุมอนุภาคควัน ความหนาแนน ของหมอกควนั จะถกู ตรวจวัดโดยหลกั การของไฟฟาพลังแสงเมื่อความหนา แนนหมอกควนั สงู ถงึ จดุ พิกดั จะทาํ ใหอ ุปกรณตรวจจบั ควันเรมิ่ สงสญั ญาณอปุ กรณต รวจจับเปลวเพลิง เปลวเพลิงจะเปนแสงเปลงออกจากกลุมกาซรอนจัดเนื่องจากการเผาไหมของเชื้อเพลิงเปลวเพลิงทีเ่ กิดข้นึ จากการเผาไหมข องสารบางชนิด เชน กาซไฮโดรเจน จะไมสามารถมองเห็นดวยตาเปลาหลักการทาํ งาน อุปกรณตรวจจับเปลวเพลิง (Flame Detector) คือ อุปกรณท่ีทํางานเน่ืองจากพลังงานของการแผร ังสีในชว งทมี่ องเหน็ ได (ประมาณ 4,000 ถึง 7,700 อังสตรอม) และทม่ี องไมเ หน็ 1. อุปกรณตรวจจับการกระพริบของเปลวเพลิง (Flame Flicker Detector) คือ อุปกรณตรวจจับเปลวเพลิงแบบไฟฟาพลังแสงซ่ึงประกอบดวยกรรมวิธีท่ีปองกันมิ ใหมีปฏิกิริยาตอบสนองตอแสงที่มองเห็น จนกวาแสงน้ันจะถูกผสมคลื่น (Modulated) ใหเ กดิ ความถท่ี ่มี ีคณุ ลกั ษณะเหมอื นการกระพริบของเปลวเพลงิ 1 - 35
2. อุปกรณตรวจจับรังสีอินฟราเรด (Infrared Detector) คืออุปกรณที่ทํางานเน่ืองจาก พลังงานของการแผรงั สีในชวงที่มองไมเ ห็น (สงู กวา 7,700 อังสตรอม) 3. อุปกรณตรวจจับเปลวเพลิงโดยไฟฟาพลังแสง (Photoelectric Flame Detector) คืออุปกรณท่ีประกอบดวยเซลลพลังแสง (Photo cell) ซึ่งเม่ือไดรับพลังงานของ การแผรังสีจะแปรคาความนําไฟฟา หรอื เกิดศักยไ ฟฟา 4. อุปกรณตรวจจับรังสีอุลตราไวโอเล็ต (Ultraviolet Detector) คืออุปกรณ ท่ีทํางาน เนื่องจากพลงั งานของการแผร งั สใี นชว งที่มองไมเ หน็ (ตํ่ากวา 4,000 องั สตรอม)อปุ กรณตรวจจับกา ซทเ่ี กดิ จากเพลิงไหม กาซซึ่งเกิดจากการเผาไหมของสสาร คือ โมเลกุลที่ไมรวมตัวกันและอาจจะผสมกับออกซเิ จน หรอื ไฮโดรเจนไดหลกั การทาํ งาน (1) สารกง่ึ ตัวนํา (Semiconductor) อุปกรณช นดิ ใชส ารกึ่งตัวนําจะมีปฏกิ ริ ิยาตอบสนองโดยอาศัยหลักการท่ีวา คุณสมบัติทางไฟฟาของสารกึ่งตัวนําเม่ือกระทบกับกาซผสม ออกซิเจนหรือไฮโดรเจน (Oxidizing or Reducing Gases) จะเปล่ียนคาความนําไฟฟา (2) สารเรงปฏิกิริยา (Cataytic Element) อุปกรณชนิดนี้ประกอบดวยสารคงสภาพซ่ึงชวยเรงอัตราการผสมออกซิเจน (Oxidation) ของกาซเผาไหมเปนผลใหสารนั้นมีอุณหภูมิสูงขน้ึ ถงึ พกิ ดั ทํางานการดูแลควบคุมแหลง กาํ เนดิ อัคคภี ัย เกิดเพลิงไหมนั้นเกิดขึ้นเน่ืองจากปฏิกิริยาระหวางความรอน เช้ือไฟ และออกซิเจนในอากาศเมื่อทราบวาอะไรบางที่สามารถผลิตความรอนสูงพอท่ีจะติดไฟได ก็จําเปนตองควบคุมไมใหมีองคประกอบอีก 2 อยางเขาไปอยูรวมดวย แตถาควบคุมไมไดท้ังสองอยาง ซึ่งปกติเราควบคุมออกซิเจนไมไดเพราะมันมีอยูในอากาศ เราก็ตองคอยดูแลควบคุมไมใหมีเชื้อไฟเขาไปสัมผัสกับสิ่งที่ทําใหเกิดความรอนสูง ขอแนะนําสําหรับการดูแลควบคุมแหลงกําเนิดอัคคีภัยน้ันอาจทําไดโดยการลดความรอน และ/หรือ การกําจัดหรือปองกันไมใหมีเชื่อไฟท่ีจะไปสัมผัสความรอน ซง่ึ กลาวโดยสงั เขปไดด งั นี้ อุปกรณไฟฟา ควรใชสายไฟ มอเตอร สะพานไฟ ฯลฯ ท่ีเหมาะสมกับงาน ตองแนใจวาการตอสายไฟทําอยางถูกตอง ควรมีการตรวจสอบสายไฟ และรอยตอสายไฟอยูเสมอๆ เพ่ือความแนใจวาจะไมเกิดการชอต นอกจากนี้ การทําความสะอาดอุปกรณไฟฟาควรใชน้ํายาเฉพาะ และควรเปนชนิดท่ีไมไวไฟ การลดความเสียดทาน อาจทําไดโดยการใชสารสําหรับหลอล่ืนท่ีไมไวไฟและเปนชนิดที่ไดรับการแนะนําจากผูสรางอุปกรณหรือฝายวิศวกรรม ควรมีการทําความสะอาดอุปกรณเสมอๆ เพ่ือไมใ หเกดิ การสะสมของฝุนซ่ึงอาจเปน เชอ้ื ไฟ วัสดุไวไฟ 1 - 36
ชนิดพิเศษ ควรเก็บรักษาใหถูกตอง ซ่ึงควรเปนการเสนอแนะจากฝายวิศวกรรมหรือผูเช่ียวชาญ การเช่ือมและการตัดโลหะ ควรจัดเปนบริเวณแยกตางหากจากงานอ่ืนๆ ควรอยูในบริเวณที่มีการถายเทอากาศสะดวกและพื้นที่จะตองเปนชนิดทนไฟ แตถาหากจัดใหอยูแยกตา งหากไมได ก็ควรท่ีจะปฏิบตั ิตามกรรมวธิ ตี อ ไปนี้คือ ก. ตองเปน บริเวณท่ีฝา ยปอ งกนั อคั คีภัยรบั รองวา ใชได ข. ตองมีการจัดเตรียมบริเวณและหลักปฏิบัติสาํ หรับการปองกันอัคคีภัยอนั อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุตา งๆ การจัดเตรียมบริเวณสําหรับการตัดและการเชื่อมน้ัน ตองคํานึงถึงพ้ืนท่ีทนไฟการปองกันประกายไฟจากการเช่ือมหรือตัดไมใหกระเด็นไปบริเวณอื่นๆ โดยเฉพาะตองไมมีเช้อื ไฟอยูในบรเิ วณใกลเ คียง และควรจัดหาอปุ กรณสาํ หรับดับเพลงิ ไวในบรเิ วณน้ดี วย การใชเตาเผาแบบเปดหรือเปลวไฟท่ีไมมีส่ิงปดคลุม ตองมีการปองกันการกระเด็นของลูกไฟตองไมเก็บสารท่ีเปนเช้ือไฟไวในบริเวณท่ีใกลเคียง รวมท้ังตองมีการถายเทอากาศที่เหมาะสม หัวแรงสําหรับเช่ือมหรือส่ิงที่ใหเปลวไฟโดยไมมีสิ่งปดคลุมไมควรท้ิงไวโดยไมมีการดแู ล การสูบบุหร่ีและการประจุไฟ ฝายจัดการควรจัดใหมีบริเวณสําหรับใหพนักงานสูบบุหร่ีถา บริเวณใดท่ีสูบบุหรี่ไมไดควรจัดปายแสดงบอกไวและตองเขมงวดใหพนักงานทํา ตามบริเวณท่ีอนุญาตใหสูบบุหรี่ควรจัดภาชนะสําหรับใสข้ีบุหร่ี และจัดเตรียมบริเวณสําหรับปองกันการเกิดอัคคีภัยที่อาจเกิดจากความเลินเลอ รวมท้ังประกาศหลักปฏิบัติในการใชบริเวณนี้เพื่อใหพนักงานเขาใจและใหค วามรวมมือปอ งกนั อคั คีภัย ในบริเวณใดท่หี ามการสบู บหุ รคี่ วรหามจุดไฟดวย สําหรับบริเวณท่ีตองการจุดไฟ เชน การจุดไฟหัวแรงสําหรับเช่ือม ควรมีภาชนะสําหรับใสไมขีดหรือส่ิงที่ใชจุดไฟอื่นๆ ท่ีใชแลว วัตถุท่ีผิวรอนจัดในกรณีของไฟ ทอไอน้ํา ทอนํ้ารอนฯลฯ ไมควรเดินทอเหลานี้ผานสวนที่เปนพ้ืนหรือเพดาน ควรจัดใหผานผนังทนไฟ หรือมีการหุมหอดวยสารทนไฟและถายเทความรอนได สําหรับพวกโลหะท่ีถูกทําใหรอนจัดควรบรรจุในภาชนะและผา นไปตามอปุ กรณท จี่ ัดไวโดยเฉพาะเทาน้ัน ไฟฟาสถิต ประจุไฟฟาสถิตสวนใหญเกิดขึ้นเน่ืองจากการเสียดสีกันของสารที่ไมเปนตัวนําซึ่งเมื่อเกิดการถายเทประจุไฟฟา ก็จะทําใหเกิดประกายไฟ และถาประกายไฟสัมผัสกับเช้ือไฟก็อาจเกิดการลุกไหม การปองกันไมใหเกิดไฟฟาสถิตเปนไปไมได วิธีแกไขที่นิยมใชโดยทั่วไปก็คอื ก. การตอ สายลงดิน (Grounding) ข. การตอ กบั วัตถุทีท่ ําหนา ที่เปนตัวรบั ประจุได (Bonding) ค. รกั ษาระดบั ความช้ืนสัมพทั ธในระดับท่ีเหมาะสม ง. การทําใหบรรยากาศรอบๆ เปนประจุไฟฟา ซ่ึงจะทําหนาท่ีเปนตัวนําประจุไฟฟาออกจากวัตถุท่ีเก็บประจุไฟฟาสถิตไวในตัวมัน แตวิธีน้ีควรใชภายใตคําแนะนําของผูเช่ียวชาญ 1 - 37
ทางดานน้ีเทานั้นเพราะมิฉะนั้นกรรมวิธีในการทําใหเกิดประจุไฟฟา อาจเปนตัวกอใหเกิดการลกุ ไหมเสียเอง เครื่องทาํ ความรอ น เช้ือเพลิงทใี่ ชสาํ หรับเครื่องทาํ ความรอ นควรมีจุดติดไฟท่ีอุณหภูมสิ ูงบริเวณที่ติดต้ังเคร่ืองควรมีการระบายอากาศที่ดี เพราะเช้ือเพลิงถาเผาไหมไมสมบูรณจะเกิดกาซคารบอนมอนนอกไซดซึ่งเปนอันตรายตอคน ควรอยูหางจากสารไวไฟในกรณีที่มีเปลวไฟควรมีฝาปดก้ันที่ทนไฟและไมติดไฟ มีปลองสําหรับปลอยอากาศรอนหรือกาซท่ีเกิดจากการ เผาไหม พวกขี้เถาที่เกิดขึน้ จากการเผาไหมไมควรตักออกจนกวาไฟจะมอดหมดแลว พวกเครือ่ งทําความรอ นท่ีหวิ้ หรอื ยา ยเปลี่ยนทีไ่ ด ควรมีทสี่ ําหรบั หว้ิ หรือการขนยายท่ีเหมาะสม การลุกไหมดวยตนเอง เกิดจากปฏิกิริยาการสันดาปของออกซิเจนกับเชื้อไฟจนกระท่ังติดไฟและเกิดการลุกไหมขึ้น สวนมากมักจะเกิดข้ึนในบริเวณที่มีอากาศพอท่ีจะเกิดการสันดาปแตไมมากพอที่จะถายเทอากาศซ่ึงจะทําใหเกิดความรอนสูง ดังน้ันในท่ีท่ีเก็บสารที่อาจเกิดการสันดาปไดควรมีการถายเทอากาศท่ีเหมาะสม และปราศจากเช้ือไฟที่อาจเรงปฏิกิริยาการสันดาป การใชถังขยะชนิดที่มีฝาปดมิดชิดสําหรับขยะท่ีเปอนนํ้ามันหรือสีจะชวยปองกันการลกุ ไหมด วยตนเองไดการใชอุปกรณปองกันอคั คีภยั ระบบการปองกันอัคคีภัยท่ีสมบูรณแบบจําเปนอยางยิ่งที่จะตองรวมถึงการดับเพลิงเพราะไมวาจะมีระบบการปองกันอัคคีภัยท่ีดีอยางไร อุบัติเหตุอาจเกิดข้ึนไดเสมอ เมื่อเกิดเพลงิ ไหมส่งิ สําคัญสองส่งิ ทจ่ี ะตอ งระลกึ ถงึ เสมอก็คอื (1) กดปมุ เตอื นอัคคีภัยทนั ที่ ไมว าขนาดของเพลงิ นัน้ จะเลก็ หรือใหญ (2) พยายามดับเพลิงหรือควบคุมเพลิง ดวยเคร่ืองมือดับเพลิงท่ีเหมาะสมเพื่อลดภัยอันเกิดจากเพลงิ ไหมใหเ หลอื นอยทส่ี ุด การเตือนอคั คภี ัย ภายในโรงงานควรมีเครื่องเตือนภัยอันเกิดจากเพลิงไหมอยูในท่ีท่ีใชไดสะดวกและเห็นไดงาย ถาเปนไปไดควรมีเคร่ืองเตือนภัยท่ีสามารถสงสัญญาณถึงหนวยดับเพลิง (ท้ังของโรงงานเองและของหนว ยราชการ) นอกจากนี้พนักงานทกุ คนควรไดรับการแนะนาํ (ถาเปนไปไดควรฝกดวย) สําหรับการรายงานการเกิดเพลิงไหมวาควรจะรายงาน อยางไร เมื่อไร และที่ไหนเพราะเม่ืออยูในสภาวะที่ต่ืนตกใจ การไมคุนตอการรายงานเกิดเพลิงไหมจะทําใหเสียเวลาในการลดอคั คภี ัย เคร่อื งดับเพลงิ ผูควบคุมงานควรทราบถึงชนิดของเพลิง ซ่ึงอาจเกิดขึ้นในบริเวณที่เขารับผิดชอบอยูรวมท้ังชนิดของเคร่ืองดับเพลิงท่ีจะตองใชสําหรบั แตละชนิดของเพลิง โดยท่ัวไป ชนิดของเครือ่ งดับเพลิงซึ่งจาํ แนกตามชนิดของเพลิงอาจแบง ไดโดยสงั เขปดงั นี้ 1 - 38
(1) ชนิด A (Class A) เปนเพลิงที่เกิดขึ้นจากการลุกไหมของสารที่เปนเช้ือไฟธรรมดา เชน ไมกระดาษ หรือเส้ือผา เคร่ืองดับเพลิงสําหรับเพลิงชนิดน้ีคือ นํ้า หรือสารผสมซงึ่ มีน้าํ เปน สว นประกอบสาํ คัญ (2) ชนิด B (Class B) เปนเพลิงท่ีเกิดขึ้นจากการลุกไหมของเชื้อไฟประเภทท่ีเปนของเหลว ยางเหนียว นํ้ามัน สําหรับการดับเพลิงประเภทน้ี ทําใหโดยการปองกันไมใหมีอากาศเขาไปชวยในการลุกไหม ดังนั้นเคร่ืองดับเพลิงจึงเปนประเภทสารเคมีท่ีหนักกวาอากาศเมื่อ ฉีดเขาไปในเพลิงจะเปนตัวขัดขวางไมใหอากาศเขาไปสัมผัสกับตนเพลิงอีก เชนกา ซคารบอนไดออกไซดเหลว (3) ชนิด C (Class C) เปนเพลิงท่ีเร่ิมตนจากอุปกรณไฟฟา สารที่จะนํามาใชดับเพลิงตองเปน สารที่ไมเปนตัวนําไฟฟา และเนื่องจากเมื่อเกิดเพลิงแลว ตัวทท่ี ําหนา ที่เปนเช้ือไฟมักจะเปนเช้ือไฟประเภท A หรือ B ดังน้ันสารที่จะใชดับเพลิงจะตองสามารถดับเพลิงสารประเภทอ่นื ไดด ว ย (4) ชนิด D (Class D) เปนเพลิงท่ีเกิดขึ้นจากเชื้อไฟท่ีเปนโลหะ เชน แมกนีเซียม,ลเิ ทียม, และโซเดยี ม เครื่องดบั เพลิงและวธิ ีใชจ ะตอ งเปนชนิดพเิ ศษ สําหรับการตัดสินใจซ้ือหรือติดต้ังเครื่องดับเพลิงชนิดใดยี่หอใดเปนการตัดสินใจของฝายจัดการอยางไรก็ดี เม่ือมีการติดต้ังเคร่ืองดับเพลิง ก็ควรจะใหผูขายอธิบายถึงประโยชนและการใชเคร่ืองดับเพลิงน้ันแกผูควบคุมงานและพนักงานดวย เพราะในปจจุบันวิวัฒนาการของเคร่ืองมือดับเพลิงเจริญขึ้นเร่ือยๆ เคร่ืองดับเพลิงบางชนิดอาจใชไดเฉพาะชนิดของเพลิงบางชนิดอาจใชไดกับเพลิงทุกชนิด เครื่องดับเพลิงบางชนิดอาจจะทําลายผลิตภัณฑบางอยางเชน สิ่งทอ แตบ างชนิดไมม ปี ฏิกริ ิยากับสง่ิ ทอ ฯลฯ ดงั น้นั การตดิ ตง้ั เครื่องดบั เพลิงควรอยใู นทท่ี ี่เหน็ ไดง ายใชไดสะดวกและติดตั้งในลักษณะที่ใชไดสะดวก เชน ควรติดอยูตามผนัง หรือเสา และอยูสูงจากพื้นไมเกิน 5 ฟุต สําหรับเครื่องดับเพลิงขนาดไมเกิน 40 ปอนด และไมเกิน 3.5 ฟุต จากพ้ืนสําหรับเคร่ืองดับเพลิงขนาดมากกวา 40 ปอนด ผูควบคุมงานตองถือเปนหนาที่ที่จะตองดูแลไมใหมีสิ่งใดไปขัดขวางการเขาไปใชเคร่ืองดับเพลิง บริเวณที่ติดต้ังเคร่ืองดับเพลิงควรทาสีแดงเพื่อสังเกตเห็นไดงาย ควรมีการตรวจสอบการบํารุงรักษาเคร่ืองดับเพลิงอยางสมํ่าเสมอ เพราะเคร่ืองดับเพลิงบางชนิดจะตองมีการบรรจุนํ้ายาใหมทุกๆ ระยะ และการละเลยอาจหมายถึงความสญู เสียจากอัคคภี ัยอยางมหาศาลการปอ งกนั อัคคภี ัยในอาคารสูง สิ่งแรกท่ีเราควรจะศึกษาและสํารวจ เม่ือเราตองเขาไปใชอาคารสูง ไมวาจะเปนท่ีพักอาศัยถาวร โรงแรม หรือท่ีทํางาน ก็คือทางหนีไฟ ซ่ึงทางหนีไฟก็คือเสนทางท่ีเราใชหรือออกจากอาคารเม่ือเกิดไฟไหมข้ึน โดยทางหนีไฟของอาคารสูงจะประกอบดวยสวนหลักสามสวน ไดแก 1 - 39
1. เสน ทางสบู นั ไดหนีไฟ 2. บันไดหนีไฟ 3. ชอ งทางเปดสภู ายนอก1. เสนทางสบู นั ไดหนไี ฟ คือ เสนทางจากจุดใดๆ ในแตละช้ันถึงบันไดหนีไฟของชั้นนั้น ซึ่งนับวาเสนทางน้ีเปนสวนที่มีอันตรายมากที่สุดของการหนีไฟ เพราะตามหลักการในการปองกันอัคคีภัยน้ัน เมื่อทานไดเขาไปสูบันไดหนีไฟแลว ถือวาทานไดเขาสูพื้นที่ปลอดภัยและจะสามารถหนีออกสูภายนอกอาคารไดโ ดยมีหลักเกณฑใ นการพิจารณาเสนทางสูบนั ไดหนีไฟดังนี้ ทกุ จดุ ในแตล ะช้ัน ตองมีเสนทางสูบันใดหนีไฟอยางนอยสองทาง เพราะในกรณีท่ีเสนทางใดเสนทางหนึ่งเกิดถูกปกคลุมดวยไฟหรือควัน ผูใชอาคารยังมีเสนทางเหลืออีกอยางนอย 1 เสนทางเพื่อท่ีจะหนีไปสูบันไดหนีไฟ ดังนั้น ทานควรจะพิจารณาวา ตําแหนงท่ีทานอยูในอาคารนั้นมีเสนทางสูบันไดหนีไฟมากกวา 1 เสนทางหรือไม เชน ในกรณีที่ทานไปพักในโรงแรม และพบวาหองพักของทานนั้นอยูปลายทางเดินซึ่งเปนทางตัน และ มีทางเดียวเทานั้นที่ทานจะหนีไปสูทางหนีไฟไดคือยอนกลับไปตามทางเดิม ทานอาจจะพิจารณาขอเปลี่ยนหองใหอยูในตําแหนงท่ีปลอดภัยข้ึน หรืออาจจะพิจารณาไดวาโรงแรมท่ีทานพักน้ัน อาจมีความบกพรอ งเรอื่ งการปอ งกันอคั คีภยั และ เลอื กทีจ่ ะไปพักโรมแรมอนื่ แทน เสนทางสูบันไดหนีไฟ ตองมีระยะใกลที่สุด และไมมีสิ่งกีดขวาง ในการออกแบบอาคารเพ่ือความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่ถูกตองนั้น ตองพยายามใหแตละจุดในพื้นที่มีเสนทางสูบันไดหนีไฟที่ส้ันท่ีสุดเพื่อลดอันตรายท่ีอาจจะเกิดขึ้นขณะหนีไฟ ดังน้ันบันไดหนีไฟตองกระจายอยูในตําแหนงท่ีเหมาะสมและไมอยูใกลกันเกินไป โดยหลักในการพิจารณาอยางงายน้ัน คือ ระยะจากจุดใดๆ ในอาคารถึงบันไดหนีไฟที่ใกลท่ีสุดไมควรเกิน 60 เมตร สําหรับอาคารที่มีการติดต้ังระบบหัวฉีดนํ้าดับเพลิงอัตโนมัติ และไมควรเกิน 30 เมตร สําหรับอาคารท่ีไมมีการติดตั้งหัวฉีดนํ้าดับเพลิงอัตโนมัติ สําหรับบุคคลที่มีขอจํากัดดานการหนีไฟ เชน เด็กและ คนชรานั้น ตองพิจารณาเร่ืองเสนทางสูบันไดหนีไฟนี้เปนพิเศษ เชน ในการพักในโรงแรมอาจจะเลอื กหองทีอ่ ยใู กลกับทางหนไี ฟมากที่สดุ เสนทางสูบันไดหนีไฟ ตองมีปายบอกทางชัดเจน ในอาคารสูงตองมีปายบอกเสนทางในการหนีไฟท่ีชัดเจน และตองแยกออกจากปายบอกเสนทางสัญจรในเวลาปกติ โดยปายบอกทางนี้ตองมแี สงสวางแมแตใ นกรณีท่ไี ฟฟาดับ2. บันไดหนีไฟ บันไดหนีไฟเปนหัวใจหลักของเสนทางหนีไฟในอาคารสูง โดยมีหลักการที่สําคัญ คือเม่ือผูใชเขามาสูบันไดหนีไฟถือวาปลอดภัย ดังน้ันบันไดหนีไฟจึงตองมีระบบองคประกอบทสี่ ําคญั หลายประการดังตอไปนี้ 1 - 40
ระบบปองกันไฟ บันไดหนีไฟตองอยูในพ้ืนท่ีท่ีสามารถปองกันไฟท่ีไหมอยูในบริเวณอื่นของอาคารได ดังน้ันผนังของปลองบันไดหนีไฟตองทําดวยวัสดุท่ีสามารถทนไฟไดเชน คอนกรีตผนังอฐิ ผนังคอนกรีตบล็อค และตองแยกจากสว นอน่ื ของอาคารอยา งเด็ดขาด ระบบปองกันควัน ควันและกาซพิษถือวาเปนสาเหตุหลักของการตายจากอัคคีภัยดังนัน้ ตอ งมกี ารปองกันไมใ หควนั และกา ซพษิ เขา มาทาํ อันตรายผูทกี่ ําลังหนีไฟอยูได โดยทว่ั ไปแลวบนั ไดหนไี ฟในอาคารแบงออกเปนสองประเภท ไดแ ก บันไดหนีไฟนอกตัวอาคาร มีลักษณะเปนบันไดเปดโลงที่อยูหางจากตัวอาคารพอสมควร บันไดหนีไฟดังกลาวเปนบันไดท่ีมีความปลอดภัยสูงและเหมาะสมกับการใชงานในประเทศไทย เนื่องจากมีการระบายอากาศตามธรรมชาติและไมม ีปญหาในการปอ งกนั ควนั บันไดหนไี ฟภายในตัวอาคาร มีลกั ษณะเหมือนเปนปลอ งบันได ซึ่งบนั ไดประเภทนี้ถาไมมีระบบปองกันควันท่ีดีแลวและควันสามารถเขาสูปลองบันไดไดแลว ก็จะมีพฤติกรรมเหมือนเปนปลองควันและปลองไฟที่จะนําความรอนและควันไฟไปสูสวนตางๆ ของอาคารดา นบน และกอใหเ กิดอนั ตรายแกผ ูใชเปน อยางมาก เหมือนในกรณขี องโรงแรมรอยัลจอมเทยี นที่พทั ยา สาํ หรบั การปอ งกันควนั เขา สปู ลอ งบันไดน้ัน มีแนวทางในการทาํ ไดดังตอไปนี้ 1. ตองมีการแยกปลองบันไดจากพื้นท่ีสวนอ่ืนของอาคารดวยผนัง หรือ ประตู ที่สามารถปองกันควัน และปดไดโดยอัตโนมัติเพ่ือปองกันไมใหมีการเปดท้ิงไว และ เปน ชอ งทางใหควันเขาสปู ลองบันไดได 2. มรี ะบบอัดอากาศในปลองบันได เพ่ือเพ่ิมความดันอากาศในปลองบันไดและปองกัน ไมใหควันไฟเขา ไปสปู ลอ งบนั ได 3. มีการทําโถงกันควัน (Smoke Lobby) ซึ่งมีลักษณะเหมือนเปนหองโถงเล็กๆ ก้ัน กอนที่จะเขาสูบันไดหนีไฟ โดยในหองโถงนี้จัดใหมีระบบระบายอากาศซ่ึงอาจเปน แบบธรรมชาติ หรือ แบบใชเ ครื่องยนตเ พอื่ ปองกนั ไมใ หควนั เขา ไปสปู ลอ งบนั ได ถา ทางหนีไฟที่อยูภายในอาคารของทา น มีลักษณะเปนปลองบันไดโลง ๆ และไมมีประตูหรอื ผนังกั้นจากพนื้ ท่ีอ่นื ของอาคาร ตอ งระวังทางหนไี ฟน้ันอาจไดร บั อันตรายจากควันไฟได ประตูหนีไฟ เสนทางเขาสูบันไดหนีไฟน้ัน ตองปดก้ันดวยประตูหนีไฟท่ีมีอัตราการทนไฟทีเ่ หมาะสม โดยสว นประกอบท่ีสําคญั ของประตูหนไี ฟไดแ ก 1. บานประตู สวนใหญทําจากเหล็ก อาจมีกระจกไดแตไมควรมีขนาดใหญมากนักถา ประตหู นไี ฟทําดวยไม หรือ วัสดตุ ดิ ไฟอน่ื ควรจะสงสยั ไวกอ นวา ไมไดม าตรฐาน 2. Door Closer หรือ ตัวปดประตูอัตโนมัติ เพื่อทําหนาท่ีผลักประตูใหปดสนิทอยูตลอดเวลาเพ่ือปองกันไมใหควันไฟสามารถเขาไปสูปลองบันไดหนีไฟได และชวยในการรักษาความดันในกรณีท่ีปลองบันไดมีการอัดอากาศขณะเกิดไฟไหม ประตูหนีไฟที่ไมมี 1 - 41
Door Closer อาจถูกเปดทิ้งไวและเปนทางเขาของควันสูปลองบันได หรืออาจทําใหระบบอัดอากาศไมส ามารถรกั ษาความดนั ทเี่ หมาะสมในปลอ งบันไดไวไ ด 4. Panic Bar หรอื Push Bar เปนอุปกรณท ่ีใชผ ลักประตูใหเปดออก โดยสามารถใชทอนแขนหรือลําตัวในการผลักใหประตูเปดออก โดยประตูหนีไฟไมควรเปนระบบลูกบิดธรรมดา เพราะอาจจะไมสะดวกในการหนีไฟเนื่องจากผูท่ีหนีไฟอาจไดรับบาดเจ็บท่ีมือจนไมสามารถเปดประตูได อาจมีการถือของ หรืออุมเด็กไว ทําใหการบิดลูกบิดทําไดยาก หรืออาจมคี นทีห่ นีไฟอีกเปนจาํ นวนมากดนั ตอ เนอ่ื งมาจากดานหลัง ทาํ ใหไ มส ามารถบิดลกู บิดประตูได ทิศทางในการเปดประตูหนีไฟนั้น ตองเปนไปตามทิศทางการหนีไฟเพื่อทําใหสามารถเปดไดสะดวกในกรณีท่ีมีคนหนีไฟจํานวนมาก โดยในชั้นบนตองมีการเปดเขาสูปลองบันไดและขณะที่ในชน้ั ลางสดุ ตองมที ิศทางการเปดออกจากปลองบนั ไดออกสพู ืน้ ทป่ี ลอดภยั ภายนอก บันไดหนีไฟตองไมมีสิ่งกีดขวางและมีขนาดเพียงพอตอจํานวนผูใช การหนีไฟในบันไดหนไี ฟตอ งสามารถทําไดโดยสะดวก โดยมหี ลกั เกณฑในการพจิ ารณาดงั นี้ 1. ตองไมมีการเกบ็ ของในปลองบันไดหนีไฟ หรือ ใชปลอ งบนั ไดหนไี ฟเพอ่ื จดุ ประสงคอื่น 2. การหนีไฟในปลองบันไดหนีไฟตองสามารถทําไดโดยสะดวก และไมมีส่ิงกีดขวางเชน บานประตูหนีไฟ เม่อื เปด ออกตองไมก ีดขวางเสนทางการหนีไฟในปลอ งบนั ได 3. บันไดหนีไฟของอาคารสูงไมควรเปนบันไดเวียน เพราะการหนีไฟทําไดลําบากและอาจเกิดอันตราย 4. ขนาดความกวางและจํานวนบันได ตองเพียงพอตอการอพยพหนีไฟของคนท่ีอยูในอาคารทั้งหมดเม่ือทานตองใชอาคารสูงไมวาจะเปนโรงแรม คอนโดมิเนียม ท่ีทํางาน ส่ิงแรกท่ีทานควรจะทําเปนอยางยิ่ง ก็คือใชเวลาสัก 15 นาทีในการสํารวจเสนทางของการหนีไฟในปลองบันไดหนีไฟ โดยลองเดินลงมาจากช้ันท่ีทานอยูจนถึงช้ันลางสุด เพ่ือใหทานเกิดความคุนเคย และทราบวาเสนทางบันไดหนีไฟนี้มีอุปสรรคหรือความปลอดภัยมากนอยเพียงไร หรือวามีเสนทางอ่ืนท่ีปลอดภัยกวาหรือไมในการหนีไฟ ซ่ึงการสํารวจดังกลาวอาจสามารถชวยชีวิตของทาน ครอบครัว หรือเพื่อนรวมงานไดในกรณีที่เกิดเพลิงไหม เนื่องจากในขณะท่ีเกิดเพลิงไหมเวลาทุกวินาทีมีความหมาย ถาทานตัดสินใจมุงหนาไปในเสนทางท่ีผิดทา นอาจจะพบกบั อันตรายที่ไมค าดคิดและไมมโี อกาสทจ่ี ะกลับไปสเู สน ทางท่ีปลอดภยั ได ระบบไฟฉุกเฉิน ในปลองบันไดหนีไฟตองมีการติดตั้งระบบไฟฉุกเฉินเพ่ือใหแสงสวางในกรณีท่ีเกิดไฟดับ โดยระบบไฟฉุกเฉินดังกลาวตองไดรับการดูแลใหอยูในสภาพดีและพรอ มท่ีจะทํางานตลอดเวลา3. ชองทางเปด สูภายนอก เมื่อทานหนีไฟลงมาตามปลองบันไดหนีไฟ เสนทางนั้นตองนําทานสูที่ปลอดภัยภายนอกอาคารโดยชอ งทางเปดสภู ายนอกอาคารนั้น ควรมลี ักษณะดังตอ ไปนี้ 1 - 42
1. ปลองบันไดหนีไฟควรเปดออกสูพื้นท่ีปลอดภัยภายนอกอาคาร โดยผูท่ีหนีไฟตองสามารถออกสูพื้นที่ปลอดภัยไดอยางตอเนื่อง อยางไรก็ตามมีอาคารสูงหลายแหงท่ีปลองบันไดหนีไฟเปดสูพื้นที่ภายในอาคารท่ีมีอันตราย เชน ตองมีการเดินผานหองเก็บของ หรือ หองครัวกอนท่ีจะถึงพ้ืนท่ีปลอดภัยดานนอกอาคาร ซ่ึงถือวาผิดหลักการของการปองกันอัคคีภัยเน่ืองจากวาความปลอดภัยของผูหนีไฟลดลงเม่ือออกจากปลองบันได ดังนั้น ในกรณีท่ีปลองบันไดหนีไฟเปดสูพ้ืนท่ีในอาคาร ตองมีการปองกันพ้ืนท่ีดังกลาวใหมีความปลอดภัยตอเนื่องจนถึงพืน้ ทภ่ี ายนอกอาคาร 2. พ้ืนที่บริเวณทางออกตองเพียงพอสําหรับคนท่ีอยูในอาคาร บริเวณที่ปลองบันไดหนีไฟเปดสูภายนอกอาคารน้ี ตองมีพ้ืนท่ีมากพอที่จะรับคนไดไมนอยกวาคร่ึงหนึ่งของผูที่อาศัยอยูในอาคาร 3. การหนีขึ้นทางหลังคาควรเปนทางเลือกสุดทาย สําหรับการหนีไฟขึ้นไปสูดาดฟานั้น ตามหลักการแลว ไมถือวาเปนเสนทางในการหนีไฟที่ปลอดภัย เพราะการนําคนลงจากดาดฟาโดยอาศัยเฮลิคอปเตอรหรือรอกโรยตัวนั้น ยังเปนวิธีการที่ไมมีความแนนอนและข้ึนอยูกับหลายปจจัย เชน สภาพภูมิอากาศ และสภาพของบุคคลที่ทําการหนีไฟดังนั้น วิธีดังกลาวจึงตองเปนทางเลือกสุดทายจริงๆ ในกรณีที่จะอพยพคนข้ึนดาดฟา ก็ตองม่ันใจดวยวาสภาพโครงสรา งของพื้นดาดฟา ยงั คงแขง็ แรงพอที่จะรบั นา้ํ หนักของผทู ีก่ าํ ลงั หนีไฟได 4. ประตูทางออกตองเปดไดจากภายในตลอดเวลา ประตูที่เปดออกสูภายนอกตองเปนประตูท่ีสามารถเปดจากภายในปลองบันไดไดตลอดเวลา และไมมีการติดต้ังกลอนดานนอกในอาคารสูงหลายอาคารมกี ารลอคประตทู ่ีเปด ออกจากปลองบนั ไดหนีไฟ เน่อื งจากกลวั เก่ยี วกับการรักษาความปลอดภัย ซ่ึงการกระทําดังกลาวเปนอันตราย ตอชีวิตของผูที่กําลังหนีไฟเปนอยา งมากอุปกรณเ สริมความปลอดภัยในอาคาร นอกจากทางหนีไฟซ่ึงเปนสวนสําคัญที่สุดในการปองกันอัคคีภัยของอาคารสูงแลวอาคารสูงตองมอี ปุ กรณเ สริมสาํ หรบั ความปลอดภัยจากอคั คภี ัยดังตอไปนี้ ระบบหวั ฉีดนาํ้ ดับเพลิงอตั โนมตั ิ เปนอุปกรณที่ชวยเพิ่มความปลอดภัยจากอัคคีภัยในอาคารสูงไดเปนอยางมาก โดยมีการเร่ิมการพัฒนาในประเทศสหรัฐเอมริกาต้ังแตป ค.ศ. 1878 และมีการพัฒนามาอยางต อ เนื่ อ ง โด ย มี ลั ก ษ ณ ะ เป น หั ว ฉี ด น้ํ า ดั บ เพ ลิ ง ที่ จ ะ ทํ า ง า น โ ด ย อั ต โน มั ติ ใน ก ร ณี ที่ อุ ณ ห ภู มิในบริเวณน้ัน สูงกวาคาที่กําหนดไว โดยหัวฉีดน้ําจะทําการพนน้ําออกมาเพ่ือทําการดับเพลิงท่ีอยูในพื้นท่ี จากการเก็บขอมูลในตางประเทศในชวง 100 ป ท่ีผานมาพบวา ระบบนี้นับวาเปนระบบท่ีมีประสิทธิภาพสูงมากในการปองกันอัคคีภัย อยางไรก็ดีการทํางานของระบบหัวฉีดนํ้าอัตโนมัตินี้ก็ข้ึนอยูกับปจจัยหลายประการ เชน มาตรฐานของอุปกรณท่ีใช ปริมาณ 1 - 43
และแรงดันของน้ําที่สงใหกับหัวฉีดนํ้า การดูแลบํารุงรักษาระบบใหอยูในสภาพที่พรอมตลอดเวลา ซ่ึงเปนจุดท่ีตองใหความสําคัญโดยเฉพาะในประเทศไทยท่ีอาจมีปญหาของระบบท่ีไมไดมาตรฐาน และขาดการบาํ รงุ รกั ษาในระยะยาว ระบบตรวจจบั และระบบแจง เหตไุ ฟไหม ในอาคารสูงจะตองมีระบบตรวจจับการเกิดไฟไหม ซ่ึงอาจเปนระบบตรวจจับความรอนระบบตรวจอัตราการเพ่ิมความรอน หรือระบบตรวจจับควัน ซึ่งเม่ือมีการตรวจจับวามีการเกิดอัคคีภัยข้ึน ก็จะมีการสงสัญญาณไปยังหองควบคุมของอาคารเพ่ือท่ีจะมีการดําเนินการตามวิธีปฏิบัติที่ไดกําหนดไว นอกจากระบบตรวจจับแลว ก็ตองมีระบบแจงเหตุซ่ึงมีลักษณะเปนอุปกรณสําหรับใหผูประสพเหตุทําการแจงถึงการเกิดอัคคีภัย โดยอุปกรณแจงเหตุดังกลาวตองติดต้ังอยูในท่ีท่ีเห็นไดชัด และอยูในเนนทางของการหนีไฟเพ่ือท่ีผูท่ีแจงเหตุจะไดสามารถหนไี ฟไดทันท่ีทแี่ จง เหตุแลว ระบบเคร่อื งดบั เพลิงมอื ถอื ในแตละชั้นของอาคารสูง ควรมีการติดตั้งเครื่องดับเพลิงมือถือขนาด 5.5 กิโลกรัมไวโดยเฉล่ียไมนอยกวา 1 เคร่ืองตอพื้นท่ี 1,000 ตารางเมตรและติดต้ังเพ่ิมเติมในจุดที่มีความเสยี่ งจากการเกดิ อคั คีภยั เชน หองเกบ็ ของ หอ งซักรีด เปน ตน ระบบทอ ยนื และสายฉดี นํา้ ดบั เพลิง เปนระบบท่ีใชจายน้ําสําหรับดับเพลิงในอาคารสูง โดยทั่วไปจะประกอบดวยสองสวนคือมีหัวตอสายฉีดน้ําดับเพลิงขนาด 2 น้ิวคร่ึง สําหรับพนักงานดับเพลิงหรือผูท่ีไดรับการฝกฝนมาแลวฉีดนํ้าดับเพลิงขนาดใหญและสายฉีดนํ้าดับเพลิงขนาด 1 ½ น้ิว หรือ 1 น้ิว สําหรับผูอยูอาศัยในอาคารใชจนกวาพนักงานดับเพลิงจะมาถึง โดยสายฉีดน้ําดับเพลิงนี้มีสองประเภทคือ สายสงน้ําแบบพับ (Hose Rack) มีลักษณะเปนทอพับแขวนไว โดยในการใชงานตองคลี่ทอท้ังหมดออกกอนจึงจะใชงานได ซึ่งอาจจะเปนอุปสรรคในการดับเพลิงที่อยูใกลกับตําแหนงของสายสงนํ้า และอีกประเภทเปน แบบสายยางฉีดนํา้ ชนิดแข็ง (Hose Reel) มีลกั ษณะเปนทอแข็งมวนอยูในลูกลอ และสามารถดึงออกมาใชตามความยาวที่ตองการ ซึ่งมีความสะดวกในการใชง านมากกวา สายสงนํ้าแบบพับ ประตทู นไฟ ในอาคารสูงที่เปนท่ีพักอาศัย เชน โรงแรม คอนโดนิเนียมน้ัน มีเปนจํานวนมากท่ีประตูหองพักทําดวยไม ท่ีสามารถทนไฟไดไมเกิน 5 นาที ซ่ึงนับวาเปนอันตรายเพราะประตูประเภทน้ีไมสามารถกันไฟไดทั้งในกรณีที่เกิดเพลิงไหมภายนอกหองและลามเขามาในหองหรือ เกิดเพลิงไหมภายในหองและลามออกไปนอกหอง ซึ่งจะมีผลใหการลามของไฟและควันในอาคารสูงเปนไปอยางรวดเร็ว โดยทั่วไปแลวประตูท่ีกั้นหองพักอาศัยในอาคารสูงควรมีอัตราการทนไฟไมน อยกวา 30 นาที ซึ่งสามารถสอบถามไดจ ากผผู ลติ อปุ กรณเสริมเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัยเหลานี้ เปนหนาท่ีของวิศวกรและสถาปนิกทีจ่ ะออกแบบใหมีประเภทและจํานวนท่ีเพียงพอกับการใชง านในแตละอาคาร สาํ หรบั ผูใ ชอาคาร 1 - 44
ทั่วไปนั้น หนาที่ของทานก็คือ ตรวจดูวาในอาคารสูงที่ทานอยูอาศัยหรือเขาไปใชงานน้ันมีอุปกรณเหลานี้อยูครบหรือไม ถามีไมครบตองตรวจสอบกับผูรับผิดชอบวาทําไมจึงไมมีการติดต้ังอุปกรณเหลาน้ี นอกจากน้ีอุปกรณเพ่ือความปลอดภัยเหลานี้จะสามารถทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพก็ตอเม่ือมีการดูแลบํารุงรักษาท่ีถูกตอง ดังนั้นทานในฐานะผูใชอาคารตองคอยตรวจสอบวาทางอาคารมีการดูแลบํารุงรักษาอุปกรณเหลานี้อยางไร ใครเปนผูรับผิดชอบในการตรวจสอบและมกี าํ หนดในการตรวจสอบอยางไรขอปฏิบตั ิตนเมื่อเกดิ ไฟไหม ในกรณที ท่ี า นตองอยูในเหตกุ ารณไฟไหม เวลาทกุ วินาทมี ีคาและการตัดสนิ ใจของทา นในเสยี้ ววนิ าทนี น้ั อาจมีผลตอชวี ิตของทา นและบุคคลอนื่ อยา งใหญห ลวง ดังนนั้ ทานควรมกี ารเตรียมตวั ใหพรอ มอยเู สมอ โดยมีแนวทางในการปฏบิ ตั ิตนดงั นี้ 1. เม่ือทราบวาเกิดไฟไหม ตองมีสติและประเมินสถานการณวาจะใชเสนทางใดใน การหนไี ฟ 2. ถาคิดวาเพลิงไหมมีขนาดเล็ก และทานม่ันใจวาสามารถดับเองได ตองทําการแจง เหตุเพลิงไหมหรือใหคนแจงเหตุเพลิงไหม และ เริ่มการอพยพผูคนกอนท่ีจะเร่ิม ดับไฟ ไฟที่จะทําการดับเองนั้นตองมีขนาดเล็กและอยูในพ้ืนท่ีจํากัด ทานตองอยู ในตําแหนงที่สามารถหนีไฟไดอยางทันทีในกรณีท่ีไมสามารถดับไฟได และตอง แนใจวาขณะที่ดับไฟตองไมมีควันเกิดขึ้นมาก เพราะขณะดับเพลิงน้ันทานจะไมมี อปุ กรณชวยในการปองกันควันเลย 3. การเปดประตูเขาไปในหองท่ีมีไฟไหมอยู อาจทําใหควันและความรอนอยางรุนแรง พุงเขามาในหองท่ีทานอยูและทําอันตรายแกทานและผูอื่นได ดังน้ันกอนท่ีจะเปด ประตูใดๆ ก็ตามตองตรวจกอนวาประตูนั้นรอนหรือไม โดยใชหลังมือสัมผัสลูกบิด บานประตูวาอุณหภูมิสูงกวาปกติหรือไม ถาอุณหภูมิไมสูงกวาปกติใหเปดประตู ดวยความระมัดระวัง เพราะไฟท่ีดับไปแลวอาจลุกติดข้ึนมาอีกจากการไดรับ ออกซิเจนจากการเปดประตู ถาอุณหภูมิของประตูสูงกวาปกติ ใหใชเสนทางหนีไฟ เสน ทางอ่ืน 4. หา มใชลฟิ ตในขณะเกดิ เพลงิ ไหมโดยเด็ดขาด 5. ปดประตูในเสนทางท่ีทานผานใหสนิท เพ่ือลดการลามของไฟและควันไปยังสวน อนื่ ของอาคาร 6. ในกรณีที่ทานอยูในอาคารเตี้ย ทานอาจใชหนาตางเปนทางหนีไฟ แตกอนท่ีเปด หนาตาง ทานตองปดประตูทั้งหมดในหองใหเรียบรอยกอน เพราะเมื่อเปด หนาตา งอาจเกดิ ลมดดู ทาํ ใหไฟและควันพงุ เขาสหู อ งทีท่ า นอยู 1 - 45
7. ในการหนีไฟ ถาทางท่ีทานหนีไฟปกคลุมดวยควันใหใชเสนทางอ่ืน ถาไมมี เสนทางอื่นใหคลานต่ําๆ โดยใหหายใจในระดับ 30-60 เซนติเมตร (12-24 นิ้ว) เหนอื ระดบั พ้นื8. ในกรณีที่ทานติดอยูในหองและไมสามารถหนีออกมาได ใหปดประตูทุกบาน ใหส นิท และใชผ าเช็ดตวั ผา หม หรือเทปกาว ปด รอยแยกตามประตแู ละผนังทุกจุด ในกรณี ท่ีทานอยูในอาคารสูงอยากระโดดออกทางหนาตางโดยเด็ดขาด ใหพยายามแจงใหเจาหนาท่ีดับเพลิงทราบวาทานติดอยูในหองโดยทางโทรศัพท หรือใหผ าโบกทางหนา ตา ง9. ถาเส้ือผาของทานติดไฟ อยาวิ่งเพราะจะทําใหไฟลุกมากขึ้นเนื่องจากเปน การเพ่ิมออกซิเจนใหกับไฟ ใหหยุดเคล่ือนท่ีลมตัวนอนลงกับพื้น เอามือคลุมหนา ไว และกล้งิ ตัวเพอ่ื ดับไฟ ในกรณที ่ีคนอื่นเสื้อผาติดไฟ จบั ใหเขา ลมลงและกล้งิ ตัว หรือใชผาหม ผนื ใหญคลุมตงั เพื่อดับไฟ10. ในกรณีท่ีมีบาดแผลไฟลวก ไมใหใชวัสดุที่มีลักษณะเปนน้ํามันทาแผล เพราะจะทํา ใหความรอนไมสามารถระบายออกและทําการบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น ควรทําใหบาด แผลเย็นลงดวยการปลอยใหน้ําเย็นไปผานแผลประมาณ 10-15 นาที และรีบไปพบ แพทยทันที11. ในกรณีท่ีทานอาศัยอยูในอาคารสูง แตละอาคารอาจจะมีขั้นตอนในการปฏิบัติเม่ือ สัญญาณเตือนอัคคีภัยดังขึ้นที่แตกตางกัน ใหปรึกษาเจาหนาท่ีผูรับผิดชอบของ อาคารใหเ ขาใจถึงขัน้ ตอนในการปฏิบตั ิที่ถกู ตอง ความปลอดภัยจากอคั คภี ัยน้นั เปน เรื่องสําคัญที่เราทุกคนตองมีความเขาใจ เพราะวาเปนภัยใหตัวที่อาจจะเกิดกับเรา ไดทกุ เวลา การเตรยี มตวั ใหพรอมจะมสี วนสําคัญเปน อยา งย่ิงในการรักษาชวี ิตของ ตัวทา น และครอบครัวของทาน 1 - 46
แผนผังแสดงการจดั ตําแหนงของบันไดหนไี ฟทไ่ี มเ หมาะสม แตละหองพักมีเนนทางหนีไฟเพียงเสนทางเดียว คือตองวิ่งมาที่สวนกลางของอาคารถาเกดิ ไฟไหมใ นเสน ทางหนไี ฟ จะทําใหผ ูอยูอาศยั ไมส ามารถหนไี ฟได ภาพแสดงการกาํ หนดเสนทางหนีไฟในอาคารสูง แผนผังแสดงการจัดตําแหนงของบันไดหนีไฟท่ีเหมาะสม แตละหองพักมีเสนทางหนีไฟสองเสนทางคือวิ่งออกทางซายหรือขวาของอาคาร ถาเกิดไฟไหมในเสนทางหนีไฟเสนทางหนงึ่ ผอู ยอู าศัยสามารถเลือกใชเ สนทางอกี เสน ได 1 - 47
บทที่ 4 กจิ กรรมสงเสริมความปลอดภยั ในการทาํ งาน การสงเสริมความปลอดภัยในโรงงาน เปนกิจกรรมท่ีมีความสําคัญยิ่งในการสรางเสริมทัศนคติจิตสาํ นึก ความรูและความเขา ใจของพนักงานทุกระดับคือ ตั้งแตฝายจัดการวิศวกร ผูควบคุม จนถึงพนักงาน น่ันคือเมื่อผูบริหารทุกระดับมีจิตสํานึกและรับผิดชอบในเร่ืองความปลอดภัย และถือปฏิบัติเชนเดียวกับการบริหารงานดานอื่นๆ แลว ก็ยอมจะหวังไดวา พนักงานจะไดรับการคุมครองดูแลทั้งในดานการปองกันอุบัติเหตและสุขภาพอนามัย และในอันดับถัดไปจะตองพยายามสงเสรมิ ใหพนกั งานทกุ คนไดม ีจิตสํานึกและทัศนคติ ตลอดจนความรูในการปฏิบัติงานอยางปลอดภัย และรวมมือในการดูแลใหสถานท่ีทํางานนี้ปลอดภัยตลอดเวลาทงั้ น้ีเพราะการปองกนั อนั ตรายจากงานเปนความ “ปรารถนา” ของบุคคล การแบงความรับผิดชอบและหนาท่ีในการทํางานของบริษัทน้ัน เร่ิมมาจากจุดสูงสุดคือ ฝายจัดการจายงานมาสูผูควบคุมงานใหมีความรับผิดชอบภายในขอบเขตหน่ึงๆ และหนาท่ีตองดูแลควบคุมลูกนองใหทํางานเปนไปตามเปาหมายของบริษัท จากนั้น ผูควบคุมงานควรแจกจายงานพรอมทั้งความรับผิดชอบของงานแกพนักงานในสวนท่ีตัวเองควบคุมอยูทํานองเดียวกันเม่ือคํานึงถึงระบบความปลอดภัยของพนักงานฝายจัดการระดับสูงสุดจะเปนกําหนดนโยบายใหเกิดความปลอดภัยของพนักงาน จากนั้นผูควบคุมจะเปนผูรับสนองนโยบายของฝายจัดการมาดําเนินการตอไป พรอมท้ังหาวิธีปฏิบัติใหแกลูกนองในสายงานใหเกิดความสนใจแกมบังคับใหตองชวยกันดูแลความปลอดภัยของตัวเอง และสวนรวม พนักงานจะเกิดความสนใจในเร่ืองความปลอดภัยไดนั้น จะเริ่มจากการสังเกตเห็นผูควบคุมงานมีความกระตือรือรนในดานการดูแลความปลอดภัย มีความพยายามในการดูแลทุกขสุขของพนักงาน การช้ีแนะถึงอันตรายตางๆ ที่จะเกิดขึ้นพรอมท้ังความเสียหายท่ีตามมา มีการหมั่นดูแลรักษาเคร่ืองจักรใหทํางานอยูในสภาพปกติ และเกิดความปลอดภัยอยูเสมอ ฯลฯ สําหรับผูควบคุมงานน้ัน จะเกิดความสนใจในการดูแลความปลอดภัยก็อยูที่ฝายจัดการมีนโยบายหลักท่ีแนนอน มีความกระตือรือรนถึงความปลอดภัย มีการสนับสนุนชวยเหลือตามขอเสนอแนะท่ีผคู วบคุมงานเสนอมา จัดใหมีหนวยพยาบาล พรอมทั้งใหมีการตรวจรา งกายพนักงานทกุ คนเปนประจํา ความสนใจ และรับแกไขปญหาตางๆ ที่เปนบอเกิดแหงอันตราย ฝายจัดการควรแสดงความจริงใจตอการดูแลความปลอดภัยใหปรากฎแกผูควบคุมงาน พรอมท้ังสรางทัศนคติท่ีดีแกพนกั งานดวย กิจกรรมสงเสริมความปลอดภัยน้ีอาจมีหลายกิจกรรมท้ังท่ีเปนกิจกรรมท่ีใหพนักงานปฏิบัติ และกิจกรรมจูงใจ เพ่ือสนับสนุนใหพนักงานไดปฏิบัติดวยความปลอดภัยอีกดวย ดงั นี้ 1 - 48
(1) ขาวสาร (2) สนทนาความปลอดภัย (3) การประกวดลดอุบตั ิเหตุ (4) การประกวดความสะอาด เปนระเบียบเรียบรอย (5) การประกวดคาํ ขวญั (6) การประกวดพนกั งานสวมเครอ่ื งปองกัน (7) การประกวดหวั หนางานตัวอยาง (8) การประกวดความคดิ (9) แถลงนโยบาย (10) ฝก อบรม (11) การพบปะรายบคุ คล (12) ชมเชยพนกั งานที่ไมเคยปวยในงาน (13) ตอบปญหาชิงรางวัล (14) ใหรางวัลและสิง่ ตอบแทน (15) ตูร บั ความคดิ เห็น (16) ทัศนาจรนอกโรงงาน (17) ประกวดพนกั งานดเี ดน ดว นความปลอดภยั ประจาํ ป (18) รายงานสภาพงานทไี่ มป ลอดภัย (19) ปา ยประกาศและแผนปายความปลอดภัย (20) แผน ปา ยสถิติอบุ ตั ิเหตุ (21) การแสดงผลงาน (22) การจัดนิทรรศการ (23) เลยี้ งสังสรรคฉ ลองความสําเรจ็ ดา นความปลอดภัย (24) การตดิ โปสเตอร (25) การตดิ สญั ลักษณความปลอดภัย (26) ตง้ั คณะกรรมการระดบั พนักงาน เปนตน ในการดําเนินการนั้น ก็คงจะขึ้นอยูกับความเหมาะสมของแตละโรงงาน และแตละหนวยงานท่ีจะเลือกดําเนินการกิจกรรมสงเสริมความปลอดภัย ซึ่งอาจจะกลาวถึงรายละเอยี ดในบางกิจกรรมดังน้ี 1. การจดั ตง้ั คณะกรรมการความปลอดภยั วิธีท่ีดีที่สุดวิธีหน่ึงที่จะจูงใจใหพนักงานเกิดความสนใจในการดูแลความปลอดภัยเพราะพนักงานมีสวนรับรู แสดงความคิดเห็นและชวยกันควบคุมไมใหเกิดอุบัติเหตุขึ้น เพราะพวกเขา 1 - 49
เปนผูใกลชิดกับงานโดยตรงยอมทราบสาเหตุอยางแทจริง นอกจากนั้นยังเปนการเสริมสรางความรูแ กพนักงานและถายทอดไปยงั ผูร วมงานอน่ื ๆ ที่ไมไดเปน กรรมการอยา งใกลชิด หลักการทจ่ี ะชวยใหคณะกรรมการระดับพนักงานชว ยกันดแู ลความปลอดภัยใหประสบผลสําเรจ็ ก็คอื (1) สรางความตอ งการรว มกันในการชว ยเหลือซ่งึ กนั และกันในหมคู ณะกรรมการ (2) แมวาผูควบคุมงานจะแจกจายหนาที่ดูแลความปลอดภัยใหแกคณะกรรมการกต็ ามแตเขาก็ยงั คงมีสว นรบั ผดิ ชอบในการดูแลความปลอดภัยอยนู นั่ เอง (3) เพ่ือใหสอดคลองกับหนาที่ท่ีไดรับ (ตรวจสอบสภาพการทํางาน สังเกตจุดอันตราย สอบสวนอุบัติเหตุ และรายงานเสนอแนะ) คณะกรรมการตองมีการกําหนดการที่แนนอนและต้งั เปา หมายไวดว ย (4) ผูควบคุมงานควรทําการติดตอสั่งงานกับสมาชิกในแผนกของตนเอง ไมควรยกเอาคณะกรรมการข้นึ มาอา ง (5) ควรรบั ฟง ขอเสนอแนะของคณะกรรมการ และหากขอเสนอแนะทีด่ ีมีคุณคากค็ วรนํามาปฏิบัติ แตถาอยูเหนืออํานาจของผูควบคุมงานตัดสินใจไดก็ควรเสนอใหระดับบริหารที่สงู กวาตัดสินใจ และหากขอเสนอแนะนั้นไมสามารถปฏิบัติไดก็ควรมีการช้ีแจงแกคณะกรรมการใหกระจาง (6) ระเบียบวาระการประชุมของคณะกรรมการควรจํากัดอยูแตเฉพาะเร่ืองการดูแลความปลอดภัย คณะกรรมการไมควรเขาไปเกี่ยวของกับงานดานแรงงานสัมพันธ หรือเร่ืองอ่ืนใดท่ไี มเก่ยี วกบั การปองกันอบุ ตั เิ หตุ (7) ควรมกี ารกําหนดเวลาในการหมนุ เวยี นเปลี่ยนคณะกรรมการ เพ่อื ใหพนักงานอื่นมโี อกาสบาง (8) มีการเก็บบันทกึ การประชมุ ทุกคร้งั (9) การประชุมควรเปน ไปตามกาํ หนดและยอมใหผูสนใจเขา ฟง ไดดวย 2. โปสเตอรเ กี่ยวกับความปลอดภัย โปสเตอรเก่ียวกับความปลอดภัย เปนเครื่องเตือนพนักงานใหหมั่นระมัดระวังในการปฏบิ ัติงานอยา งปลอดภัย ปกติผูควบคุมงานจะเปนผูกําหนดโปสเตอรแ ละลักษณะภาพท่จี ะติดประกาศในแผนกใหสอดคลองกับนโยบายหลักในการดูแลความปลอดภัย สถานท่ีในการเลือกติดโปสเตอรควรอยูในที่เดนสะดุดตา มองเห็นไดงาย และไมควรกีดขวางการสัญจรระดับท่ีจะติดโปสเตอรท่ีดีควรอยูระดับสายตาประมาณ 63 น้ิวจากพ้ืน ควรอยูในบริเวณท่ีมีแสงสวางดี หรือในบางกรณี อาจตองมีไฟสองเฉพาะขนาดที่ใชติดโปสเตอรท่ีดีควรมีความกวาง22 น้ิว ยาว 30 นิ้ว หรืออาจจะใหญพอท่ีจะติดโปสเตอรได 1 แผน ขนาดโปสเตอรมาตรฐานมีอยู 2 ขนาดคือ 1 - 50
Search