1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 126 วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ (1) โซเดียมลอริลอีเทอร์ สว่ นทช่ี อบน้ำา ส่วนทไี่ ม่ชอบน้าำ ซลั เฟต (Sodium Lauryl Ether Sulfate: SLES) และ ไม่มปี ระจุ แอมโมเนยี มลอรลิ อีเทอรซ์ ลั เฟต (Ammonium Lau- ประจุลบ ryl Ether Sulfate: ALES) เกดิ จากการนาำ นา้ำ มนั มะพรา้ ว หรอื นาำ้ มนั ปาล์ม หรอื แอลกอฮอลม์ าแยกส่วนแล้วผา่ น ประจุบวก มีทง้ั ประจลุ บ กระบวนการอที อกซเี ลชนั (Ethoxylation) และซลั เฟชนั และประจบุ วก (Sulfation) จากนน้ั ทาำ ใหเ้ ปน็ กลางดว้ ยเบส เชน่ โซดาไฟ ภาพท ี่ 4.29 ลักษณะของสารลดแรงตึงผิว หรือแอมโมเนียม ตัวอย่างสารในกลุ่มนี้คือ Texapon N70 (SLES-2EO) สารกล่มุ นี้นิยมนาำ ไปใช้เป็นสารทำาความสะอาดในแชมพ ู ครมี อาบน้ำาเน่อื งจากละลาย ในนำ้าไดด้ ี ทนตอ่ น้ำากระดา้ งได้ด ี และมกั ไม่ระคายเคอื งต่อผิวหนงั (2) โซเดยี มลอรลิ ซลั เฟต (Sodium Lauryl Sulfate: SLS) และแอมโมเนียม- ลอริลซัลเฟต (Ammomiun Lauryl Sulfate: ALS) กระบวนการผลิตคล้ายคลงึ กับโซเดยี มลอริลอีเทอร์ ซลั เฟตและแอมโมเนยี มลอรลิ อเี ทอรซ์ ลั เฟต แตไ่ มผ่ า่ นกระบวนการอที อกซเี ลชนั ตวั อยา่ งสารในกลมุ่ นค้ี อื Texapon ALS หรอื AD-25 หรอื CO-103 L (SLS) ซงึ่ เป็นของเหลว นอกจากนย้ี งั มผี ้ผู ลิต SLS ทมี่ ี ความเข้มขน้ สงู ออกจำาหน่าย โดยมีลกั ษณะเป็นผงหรอื เปน็ เส้น ซ่งึ เรยี กกนั ท่ัวไปวา่ ผงฟองหรือฟองเสน้ สารกลุ่มน้ีนิยมนำาไปใช้เป็นสารทำาความสะอาดในแชมพู ครีมอาบน้ำา หรือผลิตภัณฑ์ทำาความสะอาด เนื่องจากมีสมบัติในการทาำ ความสะอาดและมีฟองมากกว่าโซเดียมลอริลอีเทอร์ซัลเฟต เมื่อใช้ในปริมาณ เท่ากัน แต่มีข้อเสียคือละลายในน้ำาได้น้อยกว่า ทนต่อนำ้ากระด้างได้น้อยกว่า และระคายเคืองต่อผิวหนัง มากกว่า (3) แอลคลิ เบนซีนซัลโฟเนตแบบโซ่ตรง (Linear Alkyl Benzene Sulfonate: LAS) เกดิ จากการนาำ เบนซีนไปทาำ ปฏิกริ ิยากับนอรม์ ลั พาราฟนิ (n-parafin) ซง่ึ ไดจ้ ากกระบวนการกล่นั นำ้า มันปิโตรเลยี ม แล้วผา่ นการเติมกำามะถนั (Sulfonation) สารกลุ่มนีน้ ิยมนำาไปใช้เปน็ สารทาำ ความสะอาด ในผงซักฟอก นำ้ายาล้างจาน เพราะมีประสิทธิภาพในการทำาความสะอาดสูงกว่ากลุ่มอ่ืนๆ และมีราคาถูก แตม่ ขี อ้ เสยี คอื ไมท่ นตอ่ นา้ำ กระดา้ ง ระคายเคอื งตอ่ ผวิ หนงั มาก และปรบั ใหข้ น้ ยากกวา่ โซเดยี มลอรลิ อเี ทอร์ ซัลเฟตและโซเดียมลอรลิ ซัลเฟต (4) แอลฟาโอเลฟนิ ซัลโฟเนต (Alpha Olefin Sulfonate: AOS) กระบวนการ ผลิตคล้ายกับแอลคิลเบนซีนซัลโฟเนตแบบโซ่ตรง ทนต่อน้ำากระด้างได้ดีกว่ามากและอ่อนละมุนต่อผิว มากกว่า นิยมใช้แพร่หลายในประเทศอเมริกาและญี่ปุ่น แต่ไม่มีผลิตในประเทศไทย จึงต้องนำาเข้าจาก ต่างประเทศทำาใหต้ ้นทนุ สงู มากเม่ือเทยี บกับแอลคิลเบนซีนซัลโฟเนตแบบโซต่ รง สารเคมีในชีวติ ประจำาวันและในงานอาชีพ 127 3) สารลดแรงตึงผิวที่ไม่มีประจุ (Nonionic surfactant) เม่ือละลายในนำ้าแล้ว จะไม่แตกตัวจงึ ไม่มีประจ ุ สมบัติของสารกลุม่ นจ้ี ะแตกตา่ งกนั ไป ตัง้ แตล่ ะลายในนำ้าไดจ้ นไมล่ ะลายในนำา้ สารที่ ไมล่ ะลายในนา้ำ มกั ใชเ้ ปน็ ตวั ลดฟองและอมี ลั ซไิ ฟเออร ์ สว่ นสารทลี่ ะลายในนาำ้ มกั ใชเ้ ปน็ สารทาำ ความสะอาด แต่เนื่องจากมีฟองน้อยจึงมักใช้คู่กับแอลคิลเบนซีนซัลโฟเนตแบบโซ่ตรง หรือสารลดแรงตึงผิวที่มี ประจุลบอื่นๆ ตัวอย่างสารในกลุ่มน้ี เช่น โนนิลฟีนอล-9 (NP-9) ซึ่งใช้ในผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกและสาร ขจดั คราบฝงั แนน่ และพอลิออกซีเอทลิ นี แอลกอฮอลม์ ักผสมในสบูเ่ หลวลา้ งหนา้ 4) สารลดแรงตงึ ผวิ ทม่ี ที ้ังประจบุ วกและประจลุ บ (Zwitterionic surfactant or Amphoteric Surfactant) สารกลุ่มน้ีมีทั้งประจุบวกและลบอยู่ในโมเลกุลเดียวกัน เมื่อละลายในน้ำา จะแสดงประจใุ ดขนึ้ อยกู่ บั สภาพแวดลอ้ ม โดยหากสภาพแวดลอ้ มเปน็ กรดกจ็ ะแสดงประจบุ วก หากสภาพ แวดล้อมเป็นเบสก็จะแสดงประจุลบ สมบัติหลักของสารกลุ่มน้ีคือสามารถทนนำ้ากระด้างได้ อ่อนละมุน ต่อผิว สามารถเข้ากับโซเดียมลอริลอีเทอร์ซัลเฟตและโซเดียมลอริลซัลเฟตได้ดี เมื่อใช้ร่วมกันจะทำาให้ ข้นไดง้ ่ายขึ้น มสี มบตั ปิ ้องกันการเกิดไฟฟา้ สถติ และให้ความนุม่ ตัวอยา่ งสารในกลมุ่ น้ ี เชน่ สารกลุ่มบเี ทน เชน่ Mirataine BET C30, Dehyton K นิยมใชร้ ว่ มกบั SLES-2EO ในผลิตภณั ฑแ์ ชมพู นอกจากนีย้ ังมี กลุ่มแอมโฟแอซีเตต เช่น Miranol LC32 สารกลุ่มน้ีใช้ได้ดีกับผลิตภัณฑ์ประเภทสบู่ ครีมอาบน้ำา โดยช่วยให้ฟองสบู่ท่ีได้นุ่มและละเอียดข้ึน นอกจากน้ียังให้ความอ่อนนุ่มแก่ผิว โดยช่วยให้ผิวไม่แห้งตึง หลงั อาบนำา้ หรอื ลา้ งหน้า 2.2.2 กรด (Acid) ทำาหน้าที่ละลายแคลเซียมและขจัดคราบท่ีเกิดจากตะกอนของอนุภาค โลหะ นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ทำาความสะอาดเบส กระเบื้อง และโถส้วม ตัวอย่างเช่น กรดฟอสฟอริก กรดไฮโดรคลอริก กรดไฮดรอกซีแอซีเตต โดยเฉพาะกรดไฮโดรคลอริกเป็นกรดแก่ สามารถกัดกร่อน โลหะไดด้ ี 2.2.3 เบส (Alkali) ทำาหน้าท่ีปรับ pH ให้สูงข้ึนขณะทำาความสะอาด เกิดปฏิกิริยาได้ดีกับ ไขมนั จงึ ใชผ้ สมในผลติ ภณั ฑท์ าำ ความสะอาดหอ้ งครวั ซงึ่ คราบสกปรกเกดิ จากไขมนั เปน็ สว่ นใหญ ่ ตวั อยา่ ง เช่น โซเดยี มไฮดรอกไซด์ โซเดียมเมตาซลิ ิเกต โซเดยี มคาร์บอเนต 2.2.4 สารลดความกระด้างของน้ำา (Builder) มีหน้าที่จับอนุภาคโลหะในน้ำากระด้าง ซงึ่ ขัดขวางความสามารถในการทาำ ความสะอาดของสารลดแรงตึงผิว สารลดความกระดา้ งของนา้ำ บางชนดิ ช่วยทำาให้สิ่งสกปรกแขวนลอยอยู่ในน้ำา ไม่กลับไปตกค้างบนพ้ืนผิวของสิ่งท่ีถูกทำาความสะอาด ตัวอย่าง เช่น เกลอื ฟอสเฟต กรดเอทิลีนไดเอมีนเตตระแอซีตกิ (EDTA) 2.2.5 ตัวทำาละลาย (Solvent) ทำาหน้าท่ีละลายไขมันและเพิ่มความสามารถในการละลาย ของสว่ นประกอบในผลติ ภัณฑ ์ ตัวอยา่ งเชน่ เอทานอล โพรพิลนี ไกลคอล กลเี ซอรอล นอกจากนยี้ ังมสี ว่ นประกอบอื่นๆ ทีม่ ีในผลติ ภณั ฑท์ าำ ความสะอาด เช่น สารขัดถ ู สารฟอกส ี สารตา้ นจุลนิ ทรยี ์ ส ี นา้ำ หอม สารกนั เสยี สารพอลิเมอร์ 100 สุดยอดคูม่ ือครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5 . ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 128 วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบริการ 2.3 สารเคมใี นเคร่อื งสาำ อาง ความหมายของเคร่ืองสำาอางในหนังสือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 152-2518) มาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรมเครือ่ งสำาอาง ไดใ้ หค้ ำาจาำ กัดความเคร่อื งสำาอางว่า เคร่ืองสำาอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงเพ่ือใช้บนผิวหนังหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ โดยถู ทา พ่น หรือโรย เช่น ในการทำาความสะอาด ป้องกัน แต่งเสริมเพ่ือความงาม หรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ สิ่งใดๆ ที่ใช้เป็น ส่วนผสมในผลติ ภัณฑส์ ่ิงปรงุ ท่ีกลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ เป็นผลิตภัณฑ์ท�ำความสะอาดภายในช่องปากส�ำหรับ 2.3.1 ประเภทของเคร่ืองสำาอาง เครื่องสำาอางมีบทบาทสำาคัญในการดำาเนินชีวิตของ ตา้ นเชอ้ื จลุ นิ ทรยี ์ กำ� จดั คราบอาหาร ทำ� ใหช้ อ่ งปากสะอาด คนยคุ ใหม ่ เพราะเครอ่ื งสาำ อางจะทาำ ใหผ้ ใู้ ชเ้ กดิ ความมนั่ ใจ สบายใจในการดาำ เนนิ กจิ กรรมตา่ งๆ ทาำ ใหร้ สู้ กึ ลมหายใจมีกลนิ่ หอม และรู้สกึ สดช่นื สบายตวั และบางชนดิ ยงั ชว่ ยทาำ ใหส้ ขุ อนามยั ของผใู้ ชด้ อี กี ดว้ ย หากแบง่ ประเภทของเครอื่ งสาำ อางทพี่ บเหน็ สารเคมีในชีวิตประจำาวันและในงานอาชีพ 129 2) โพรพลิ นี ไกลคอล (Propylene Glycol: PG) เปน็ สารประกอบอนิ ทรยี ม์ สี ตู รเคมี ทั่วไปในทอ้ งตลาด สามารถแบ่งออกเปน็ 6 ประเภท ได้แก่ เปน็ CH3CHOHCH2OH เปน็ ของเหลวขน้ หนดื ไมม่ ีสี ไมม่ ีกล่ิน มรี สหวาน ไมอ่ ่ิมตวั ดดู ความชืน้ และงา่ ย 1) เครื่องสำาอางสำาหรับผิวหนัง เช่น ครีมบำารุงผิว ครีมกันแดด ผลิตภัณฑ์ระงับ ต่อการผสมกับน้ำา แอซิโตน คลอโรฟอรม์ จงึ เปน็ สารเคมีทใี่ ช้เป็นตวั ทำาละลายสารต่างๆ เชน่ ส ี น้ำามนั และ กลน่ิ เหง่อื แป้งทาตัว ครีมอาบน้ำา ครมี ลบรอยด่างดาำ ทำาหน้าที่เก็บรักษาความชุ่มชื้นในเคร่ืองสำาอาง ป้องกันการจับตัวเป็นก้อนแข็ง พบในเคร่ืองสำาอาง เช่น 2) เคร่ืองสำาอางสำาหรับผมและขน เช่น แชมพู ครีมนวดผม ผลิตภัณฑ์แต่งผม ครมี บาำ รุงผวิ ครีมอาบนา้ำ ครมี นวดผม ยาสีฟัน นาำ้ หอม ผลติ ภณั ฑ์กาำ จดั ขน ผลติ ภัณฑป์ ลูกผมและขน ดนิ สอเขียนค้วิ นำา้ ยาย้อมสีผม น้ำายาดัดผม 3) เคร่อื งสำาอางสำาหรบั ผวิ หน้า เชน่ ครมี ทาหนา้ แป้งทาหนา้ อายแชโดว์ บลัชออน 3) ไตรเอทาโนลามีน (Triethanolamine: TEA) เป็นของเหลว ใส หรืออาจมี 4) เคร่ืองสำาอางสำาหรับผิวปากและฟัน เช่น ลิปสติก ดินสอเขียนขอบปาก สเี หลอื งออ่ นๆ กลน่ิ คล้ายแอมโมเนยี เพราะเป็นสว่ นผสมระหว่างเอมนี และแอลกอฮอล์ ใชเ้ พื่อรกั ษาสภาพ น้ำายาบ้วนปาก ความเป็นเบสในสารซักล้างซึ่งถือเป็นส่ิงสำาคัญในการทำาความสะอาดผ้า และยังสามารถช่วยให้คราบ 5) เครอื่ งสาำ อางสำาหรับเล็บ เช่น นาำ้ ยาเคลือบเลบ็ สที าเลบ็ นา้ำ ยาลา้ งเลบ็ หรือสิ่งสกปรกหลุดออกแล้วไม่กลับมาจับตัวผ้าได้อีก จึงนิยมใช้ในเครื่องสำาอางกลุ่มชำาระล้าง โดย 6) ผลติ ภัณฑน์ ้าำ หอม ไตรเอทาโนลามีนสามารถทำาปฏิกิริยากับลอริลซัลเฟตเพื่อทำาให้เกิดโฟมและใช้ในน้ำายาสระผม และ 2.3.2 สารเคมใี นเครอื่ งสาำ อาง ในเครอื่ งสาำ อางประเภทตา่ งๆ นน้ั จะมสี ารเคมเี ปน็ สว่ นประกอบ ไตรเอทาโนลามีนเป็นอิมัลซิไฟเออร์อย่างดีสำาหรับการทำาสารประเภทเจล เช่น เจลทำาความสะอาด ครีมโกนหนวด โลช่ันทามือและผวิ และยงั ใช้เปน็ สว่ นผสมพนื้ ฐานในสบู่กอ้ นอีกดว้ ย ที่สำาคัญแตกต่างกันไปตามประเภทของเคร่ืองสำาอาง 4) ไอโซโพรพลิ ไมรสิ เตท (Isopropyl Myristate: IPM) เปน็ ของเหลว มคี วามหนดื ที่ใช้ แต่มีสารเคมหี ลกั ๆ ท่ีควรรจู้ ักดงั น้ี ต่ำา ไม่มัน มีสมบัติในการเคลือบผิวเพื่อเก็บรักษาความชุมช้ืน ทำาหน้าท่ีทำาให้โลชั่นซึมเข้าผิวเร็ว 1) น้ำามันแร่ (Mineral Oil) เป็นส่วนผสมในโลชั่น ครีมบาล์ม เป็นสารไขมันที่ดูดซึมได้ดี (Emollient) ใช้เป็นสารหล่อล่ืนและช่วย เป็นของเหลว ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีอายุการเก็บนาน ในการบดอัดของแป้งแข็ง ให้สัมผัสท่ีเบาและไม่เหนียว ให้ความมันวาวในผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ทนต่อปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชันทาำ ใหไ้ ม่เหมน็ หนื ใช้ในการละลายกบั นา้ำ หอมได ้ ด้วยสมบตั ดิ งั กลา่ วไอโซโพรพลิ ย่อยสลายยาก เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ไมรสิ เตทจึงเปน็ สารเคมีท่ีใชก้ ันมากในวงการเคร่อื งสาำ อาง ชนดิ หนง่ึ ทไ่ี ดจ้ ากกระบวนการสกดั ปโิ ตรเลยี ม นา้ำ มนั แร่ 5) พอลิเอทิลีน (Polyethylene: PE) เป็นสารที่ข้นขาวโปร่งแสงซึ่งได้จากเอทิลีน (CH2=CH2) สารเคมชี นดิ นพี้ บมากในเครอ่ื งสำาอางประเภทสครบั (Scrub) เนอื่ งจากเปน็ พลาสตกิ ทลี่ น่ื มนั ถูกนำามาใช้ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหนัง โดยมี ยืดหยุ่นได้ดีจึงใช้เป็นเม็ดสครับผิวได้ ถึงแม้จะไม่สามารถซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้แต่ก็อาจก่อให้เกิด การระคายเคอื งผิว และอาจเปน็ อันตรายกบั รา่ งกาย วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื เพม่ิ ความชมุ่ ชน้ื ใหแ้ กผ่ วิ หนงั ปอ้ งกนั ภาพท ี่ 4.29 เคร่ืองสำาอาง ผิวหนังแห้ง ตกสะเก็ด คัน และลดการระคายเคือง 6) อมิ ดิ าโซลดิ นิ ลิ ยเู รยี (Imidazolidinyl Urea) และไดโซลดิ นิ ลิ ยเู รยี (Diazolidinyl Urea) หรือ DMDM hydantoin เป็นสารกันเสียที่เป็นสารประกอบของสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formal ผิวหนัง ซ่ึงสาเหตุของผิวแห้งส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสียน้ำาผ่านทางผิวหนัง น้ำามันแร่จะทำาหน้าท่ีเป็น dehyde) ใช้ท่วั ไปในเคร่ืองสาำ อางเพ่ือกำาจัดแบคทีเรยี หรอื จุลชพี ต่างๆ ชั้นฟิล์มน้ำามันเคลือบบริเวณผิวหนังช้ันบนป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียน้ำาผ่านทางผิวหนังและเก็บรักษา 7) พาราเบน (Paraben) มีชือ่ ทางเคมีคือพาราไฮดรอกซีเบนโซเอต เปน็ สารกันเสีย ที่นิยมใช้อย่างมากในเคร่ืองสำาอางประเภทแชมพู ครีมนวดผม ครีมบำารุงผิวหน้า ครีมทำาความสะอาด ความชมุ่ ช้นื ไว้กับผิวหนัง พบในเคร่อื งสำาอาง เช่น ครมี บาำ รุงผิว ลิปสตกิ ครีมสำาหรับเล็บ น้ำายาดัดผมถาวร และยาสีฟันพาราเบน ชนิดท่ีนิยมใช้ ได้แก่ เมทิลพาราเบนและ เอทิลพาราเบน 8) โซเดียมลอเรทซัลเฟต (Sodium Laureth Sulfate: SLES) ใช้เป็นสารทาำ ให้ เกิดฟองและลดแรงตึงผิว จึงใช้ในสารทำาความสะอาดซักล้างเป็นหลัก พบในผลิตภัณฑ์ครีมล้างหน้า ครีมอาบนำ้า แชมพูสระผม สารโซเดียมลอเรทซัลเฟตเป็นสารทำาความสะอาดท่ีอ่อนโยนกว่าสารโซเดียม ลอรลิ ซัลเฟตจึงมกั ใช้ในผลิตภณั ฑ์สาำ หรับเดก็ สดุ ยอดค่มู อื ครู 101
1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 130 วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร 9) ส ี (Colorant) ใชใ้ นการเตมิ แตง่ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความงาม นา่ ใช ้ สที ใี่ ชใ้ นเครอื่ งสาำ อางแบง่ ตาม การนาำ ไปใชอ้ อกเปน็ 6 ประเภท ไดแ้ ก่ (1) ผงกลิตเตอร์ (Glitter Powder) เป็นของแข็ง อาจจะเป็นพอลิเมอร์ หรือเศษ ทไ่ี ด้จากการขัดสอี ัญมณี เชน่ กากเพชร ผงมกุ นยิ มใช้ กับเครอ่ื งสาำ อางหลายชนิด เชน่ โลชัน่ สที าเลบ็ สีชนดิ น้ี ไม่ควรผสมในเครื่องสำาอางท่ีต้องสมั ผสั กบั ใบหน้า (2) สีที่ให้ประกาย (Pearl ภาพที่ 4.30 สสี ันในเครอื่ งสำาอาง Pigment) เป็นของแข็งที่ได้จากแร่ไมกา (Mica) มลี กั ษณะเป็นประกายระยิบระยับ มักใช้ในผลิตภัณฑ์ประเภทบรชั ออน อายแชโดว ์ ลปิ สตกิ แป้งทาหน้า สีประเภทนสี้ ามารถนำามาใสใ่ นเครอ่ื งสาำ อางไดท้ กุ ประเภท เช่น สบ ู่ โลชน่ั ครมี อาบนา้ำ (3) สสี ะทอ้ นแสง (สนี อี อน) เป็นของแขง็ ได้จากสารประกอบกลุ่มแร่ มีสารให้ส ี (Pigment) ทใี่ หส้ แี บบสะทอ้ นแสงหรอื สนี อี อน ไดจ้ ากการผสมผงสตี า่ งๆ เขา้ ดว้ ยกนั เพอื่ สรา้ งเฉดสใี หมๆ่ (4) ไอร์ออนออกไซด์ (Iron Oxide) และอัลตรามารนี (Ultramarine) สว่ นใหญ่ เป็นของแข็ง เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของโลหะแทรนซิชันที่มีอยู่ในธรรมชาติ เมื่อนำามาใช้ให้สี ในเคร่ืองสำาอางต้องผ่านกระบวนการเพื่อทำาให้บริสุทธ์ิก่อน โทนสีท่ีได้จะมีความแปลกและไม่ฉูดฉาด แต่สอี าจมีการเปลย่ี นแปลงได้จากองคป์ ระกอบของสารประกอบ (5) เลก (Lake Pigment) สารใหส้ ชี นดิ หนงึ่ เมอื่ อยใู่ นตวั กลางหรอื ตวั ทาำ ละลาย จะเกิดการกระจายตัว (Disperse) ผงสีชนิดนี้ส่วนใหญ่จะไม่ละลายในนำ้า นอกจากนี้ยังให้สีแบบใส มองทะลไุ ด้ เม่อื ใชก้ บั สบู่ใส เลกบางสีอาจเปล่ยี นไปในสภาพเบส (6) สีละลายน้ำา (Water Soluble Color) เป็นสีนำ้าพร้อมใช้งาน ประยุกต์จาก สีผสมอาหารและเติมสารปรุงแต่งเพิ่มเล็กน้อย สามารถใช้เติมแต่งเคร่ืองสำาอางที่มีน้ำาเป็นองค์ประกอบ เช่น โลช่ัน แชมพ ู สบเู่ หลว 10) ซลิ โิ คน (Silicone) มลี กั ษณะคลา้ ยยาง มคี วามยดื หยนุ่ สงู และมอี ยหู่ ลายรปู แบบ ขึ้นอยู่กับประเภทใช้งาน มักถูกนำามาใช้กับครีมนวดผมเพื่อให้รู้สึกนุ่มลื่น ช่วยเคลือบบำารุงเส้นผมให้ดู เงางาม นุ่มสลวย 11) พอลเิ อทลิ นี ไกลคอล (Polyethylene Glycol: PEG) เป็นสารประกอบอนิ ทรีย์ ทีม่ สี ตู รเคมคี ือ C2H6O2 เปน็ ของเหลวไม่มีสี ไมม่ ีกลิน่ รสหวาน เปน็ สารที่ใช้เพอื่ เพ่มิ ความชมุ่ ชน้ื มักถกู ใช้ ในผลิตภณั ฑ์ทำาความสะอาดและบำารงุ ผวิ สารเคมใี นชวี ติ ประจาำ วันและในงานอาชพี 131 2.4 สารเคมีในการเกษตร ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำาเข้าสารเคมีเพ่ือใช้ใน การเกษตรเป็นจำานวนมาก ทั้งปุ๋ยเคมีและสารกำาจัดแมลงศัตรูพืช และวชั พชื ซง่ึ สงั คมไทยเปน็ สงั คมเกษตรกรรมมพี น้ื ทที่ างการเกษตร กว่าร้อยละ 43 ของพื้นท่ีในประเทศ ดังน้ันการใช้สารเคมีในทาง การเกษตรเปน็ จาำ นวนมากจงึ สง่ ผลกระทบตอ่ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ ม อย่างมากมาย จึงมีการเรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมดูแลการใช้ สารเคมีประเภทสารกำาจัดแมลงศัตรูพืชและวัชพืช ดังนั้นผู้เรียน จึงควรเรียนรู้เก่ียวกับสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในทางการเกษตร เพื่อนำา ภาพที ่ 4.31 สารเคมีทางการเกษตร ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจำาวนั ตอ่ ไป สารเคมีที่ใช้ในการเกษตรแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานออกเป็น 3 ประเภท คือปุ๋ย สารกำาจัดแมลงศตั รูพชื และสารกาำ จดั วัชพืช 2.4.1 ปยุ๋ หมายถงึ สารทใี่ สล่ งในดนิ เพอ่ื ใหธ้ าตอุ าหารแกพ่ ชื ซง่ึ พชื ตอ้ งการธาตอุ าหาร 16 ชนดิ ไดแ้ ก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คารบ์ อน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซยี ม กาำ มะถัน แคลเซียม แมกนีเซยี ม เหลก็ สังกะส ี แมงกานสี ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน โดยธาตอุ าหารเหล่านีพ้ ชื จะได้รบั จากนำ้า และอากาศอยแู่ ลว้ ยกเว้นไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซยี มที่พืชต้องการในปริมาณมากเม่ือเทยี บ กับธาตุอ่ืนๆ จงึ จัดเป็นธาตุอาหารหลักของพืชและในดินมักมีไมเ่ พยี งพอต่อการเพาะปลูก จึงจาำ เปน็ ต้อง เพิ่มธาตุเหล่าน้ีโดยการใหป้ ุ๋ย ซึง่ ปุ๋ยทใ่ี ชใ้ นการเกษตรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ 1) ปุ๋ยอินทรีย์ คือปุ๋ยท่ีได้จากการเน่าเป่ือยของซากส่ิงมีชีวิต ธาตุอาหารที่ได้ สว่ นใหญเ่ กดิ จากการยอ่ ยสลายจากจลุ นิ ทรยี ก์ อ่ น เปน็ กระบวนการผลติ สารอาหารจากธรรมชาต ิปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชนใ์ นการปรบั ปรุงคุณภาพดิน ทำาให้ดินร่วนซุย แตม่ ขี ้อเสียคือมีธาตอุ าหารนอ้ ย และสัดส่วนไมแ่ นน่ อนตอ้ งใช้ปริมาณมากจึงจะเพียงพอกบั ความต้องการของพืช ป๋ยุ ประเภทน ้ี ไดแ้ ก ่ ปุ๋ย หมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ปุ๋ยเหล่านี้เป็นปุ๋ยท่ีเหมาะแก่การทำาเกษตร อินทรีย์ 2) ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ คือปุ๋ยที่เป็นอนินทรียสาร อาจเป็นปุ๋ยเชิงเดี่ยว ป๋ยุ เชงิ ผสม และปุย๋ เชิงประกอบ ตัวอย่างปุย๋ เคม ี เชน่ ยเู รยี ปุ๋ยเม็ด 16-20-0 แต่ไม่รวมถงึ สารท่ีใช้สาำ หรบั ปรับปรุงดิน เช่น ซีโอไลต์ ภูไมท์ และสารต่างๆ ท่ีมีสมบัติปรับโครงสร้างทางฟิสิกส์ของดินให้ดีขึ้น ปยุ๋ เคมีแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ (1) ปุ๋ยเด่ียวหรือแม่ปุ๋ย คือปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักของพืชคือไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซยี ม (K) เปน็ สว่ นประกอบ โดยปรมิ าณธาตอุ าหารจะคงท่ ี เช่น แอมโมเนยี ม ซลั เฟต โพแทสเซียมคลอไรด์ ซง่ึ มธี าตุไนโตรเจน ฟอสฟอรสั และโพแทสเซยี มเป็นองค์ประกอบอยูด่ ้วย 1 หรอื 2 ธาต ุ แล้วแตช่ นิดของสารประกอบทีเ่ ป็นแมป่ ุย๋ น้นั ๆ และมีปรมิ าณของธาตุอาหารปยุ๋ ที่คงท ่ี เช่น 102 สดุ ยอดคูม่ อื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 132 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร สารเคมีในชีวติ ประจำาวันและในงานอาชพี 133 ป๋ยุ แอมโมเนียมซลั เฟต มสี ตู รทางเคมีคอื (NH4)2SO4 และมีสตู รปุ๋ยคือ 21-0-0 ประกอบด้วยไนโตรเจน ประมาณรอ้ ยละ 21 และกาำ มะถนั (S) ประมาณรอ้ ยละ 24 สว่ นโพแทสเซยี มไนเตรต (KNO3) ประกอบดว้ ย ไนโตรเจนร้อยละ 13 และโพแทสเซียมร้อยละ 46 อยู่รว่ มกนั 2 ธาตุ ซึ่งป๋ยุ เดย่ี วหรือแมป่ ยุ๋ ที่เกษตรกรรจู้ ัก กันดี คือปุ๋ยหวาน หรือปุ๋ยน้ำาตาลทราย หรือบางแห่งเรียกปุ๋ยหมาก ปุ๋ยระเบิดหัว ซึ่งเกษตรกรจะใส่ใน สวนผลไมเ้ พอ่ื ทาำ ใหผ้ ลไมม้ รี สหวานและใชก้ บั พชื หวั โดยปยุ๋ หวานนมี้ ี 2 กลมุ่ คอื ปยุ๋ ยเู รยี ใหธ้ าตไุ นโตรเจน ไดแ้ ก่ สตู ร 21-0-0, 46-0-0 และปุย๋ โพแทสเซยี มคลอไรด ์ ใหธ้ าตุโพแทสเซยี ม ได้แก ่ สตู ร 0-0-60 (2) ปุ๋ยผสม คือปุ๋ยที่มีการนำาแม่ปุ๋ยหลายๆ ชนิดมาผสมรวมกัน เพื่อให้ปุ๋ย ทีผ่ สมไดม้ ีปรมิ าณและสัดส่วนของธาตอุ าหารตามทตี่ อ้ งการ ท้งั น้เี พอ่ื ให้ได้ปุ๋ยท่มี ีสตู รหรือเกรดปุย๋ เหมาะ ที่จะใชก้ บั พืชและดินทีแ่ ตกต่างกัน ปยุ๋ ผสมนี้จะมขี ายอยใู่ นท้องตลาดทว่ั ไปเพราะนยิ มใช้กนั มาก ปัจจบุ ัน เทคโนโลยีในการทำาปุ๋ยผสมได้พัฒนาไปไกลมาก สามารถผลิตปุ๋ยผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน อยา่ งสมาำ่ เสมอ มกี ารปน้ั เปน็ เมด็ ขนาดสมา่ำ เสมอสะดวกในการใสล่ งไปในไรน่ า ปยุ๋ ผสมเกบ็ ไวน้ านๆ จะไม่ จบั เปน็ กอ้ นแขง็ สะดวกแกก่ ารใชง้ าน ตวั อยา่ งปยุ๋ ผสมทนี่ ยิ มใช ้ ไดแ้ ก ่ 16-16-16 ปยุ๋ เมด็ สตู รเสมอใชบ้ าำ รงุ ทุกอย่างท้ังต้น ใบ ดอก ผล 12-24-12 ปุ๋ยเม็ดฟอสฟอรัสสูงใช้เร่งดอก 8-24-24 ปุ๋ยเม็ดฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมสูงใชเ้ รง่ ดอกและผล และให้รสชาติด ี 15-5-5 ปุ๋ยนำา้ ไนโตรเจนสูงใช้เรง่ ต้นและใบ ใชฉ้ ดี พน่ ทางใบ 10-10-10 ปยุ๋ นำ้าสตู รเสมอใชบ้ าำ รุงทัง้ ตน้ ดอก ใบ ผล ใช้ฉีดพน่ ทางใบ 9-18-9 ปุ๋ยน้าำ ฟอสฟอรสั สูง ใชเ้ ร่งดอก ฉดี พ่นทางใบ 2.4.2 สารกาำ จดั แมลงศตั รพู ชื เปน็ สารทใี่ ชฆ้ า่ กาำ จดั หรอื ลดการแพรพ่ นั ธขุ์ องแมลง สารกาำ จดั แมลงใช้ในการเกษตร การแพทย์ อุตสาหกรรม และในครัวเรือน การใช้สารกำาจัดแมลงเชื่อว่าเป็นปัจจัย หนงึ่ ทช่ี ว่ ยเพม่ิ ผลผลติ ทางการเกษตร สารกาำ จดั แมลงเกอื บทกุ ชนดิ มผี ลขา้ งเคยี งกบั ระบบนเิ วศ หลายชนดิ เป็นอนั ตรายกับมนษุ ย ์ ซง่ึ สารกาำ จัดแมลงแบ่งตามองค์ประกอบทางเคมอี อกเปน็ 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ 1) สารประกอบอินทรีย์ธรรมชาติ เป็นสารประกอบของคาร์บอนท่ีสามารถสกัดได้ จากพชื เช่น ไพรที รนิ (Pyrethrin) โรตินอยด์ (Rotenoids) นโิ คตนิ (Nocotine) 2) สารประกอบอนิ ทรยี ส์ งั เคราะห ์ สารเคมใี นกลมุ่ นไี้ ดร้ บั ความนยิ มอยา่ งมากในภาค การเกษตร เนื่องจากสามารถควบคุมและกำาจัดแมลง ศัตรูพชื ไดด้ ี ไดแ้ ก่ (1) กลมุ่ ออรก์ าโนคลอรนี หรอื ฮาโลจิเนตไฮโดรคาร์บอน (Organochlorine or Halogenated Hydrocarbon) มีธาตุไฮโดรเจน คาร์บอน และคลอรีน สารกลุ่มน้ีมีความคงทน ไมส่ ลายตวั ไมล่ ะลายในนาำ้ แตล่ ะลายในนา้ำ มนั ลกั ษณะ เป็นผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ที่ผลิตใช้ในครัวเรือน มักจะ ละลายในนาำ้ มนั กา๊ ดและนา้ำ มนั เบนซนิ หากเขา้ สรู่ า่ งกาย ภาพท่ี 4.32 สารกาำ จดั แมลงกลมุ่ ออรแ์ กโนคลอรนี จะไปสะสมอยู่ในไขมันตามที่ต่างๆ มีความเป็นพิษ ต่อร่างกาย ตัวอย่างสารในกลุ่มน้ี เช่น ดีดีที (DDT) อัลดริน (Aldrin) ดีลดริน (Dieldrin) และเอ็นดริน (Endrin) ในประเทศที่พัฒนาแล้วได้ห้ามมีการใช้ อย่างเด็ดขาด ในประเทศไทยยงั มีการใชอ้ ยู่บ้าง (2) กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate) มีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบ สำาคัญ เป็นกลุ่มท่ีใช้กันมาก มีหลายชนิด เช่น พารา- ไธออน (Parathion) หรอื ในชอ่ื โฟลดิ อล (F olidol) E605 ภาพที่ 4.33 การฉดี พน่ สารเคมใี นนาขา้ ว หรอื ยาเขยี วฆา่ แมลง สารชนดิ นม้ี ชี อื่ ทางเคมวี า่ Diethyl- สp-นี nำา้ iตtrาoลpแhกe่ ลryะlลthายioใpนhนo้ำาsไpดhเ้ ลaก็ teน ้อมยีส แูตตรเ่ลคะมลี าคยือได C้ด1ใี 0นHอ14เี HทอOร5แ์PลSะ คมลีลอักโษรณฟอะรเปม์ ็น มขกีอลงเน่ิ หเลหวมข็น้นมสาีเกห ลสืลองายหตรือัว ได้ง่ายเมื่อถกู กรด หรือเบส หรอื สมั ผัสกับแสงแดด ช่ือทางการคา้ ของสารกล่มุ นี้ เชน่ อคี าทอ็ กซ์ (Ekatox) เพอร์เฟคไธออน (Perfekthion) เมตาซีสต๊อกซ์ (Metasystox) โอโซ Ozo ออร์โธฟอส (Orthophos) พาราเฟต (Paraphate) (3) กลมุ่ คารบ์ าเมต (Carbamate) มไี นโตรเจนเปน็ ส่วนประกอบ ใช้ประโยชน์ ในการกำาจดั แมลงได้ด ี มีลักษณะคือ เป็นผลึก ไม่มสี ี ละลายน้าำ ได ้ และละลายไดด้ ีในแอลกอฮอล ์ สารใน กลมุ่ นที้ น่ี าำ มาใชค้ ือ คาร์บารลิ (Carbaryl : 1-Naphthyl N-methyl Carbamate) โพรพ็อกเซอร์ (Pro- poxur : 2-Isopropoxyphenyl methyl Carbamate) (4) กลมุ่ ไพรที รอยดส์ งั เคราะห ์ (Synthetic pyrethroid) เปน็ สารเคมสี งั เคราะห์ ที่เลียนแบบไพรีทริน แต่พัฒนาให้สามารถทนต่อการสลายตัวด้วยแสงแดด มีลักษณะท้ังเป็นผงและนำ้า มีกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกับกลุ่มออร์กาโนคลอรีน แต่มีฤทธ์ิน้อยกว่า ออกฤทธิ์ให้เกิดอัมพาต อยา่ งรวดเรว็ ในแมลง มกั ใชใ้ นบา้ นเรอื น มหี ลายชนดิ ไดแ้ ก ่ ออลเลตทรนิ (Allethrin) โพรทรนิ (Prothrin) โพรพารท์ รนิ (Proparthrin) และไซฟลูทรนิ (Cyfluthrin) ในทางการค้าอาจนำามาผสมกัน 2 หรือ 3 ชนิด เช่น นำากลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ผสมกับกลุ่มคารบ์ าเมตและกลมุ่ ไพรีทรอยด ์ เพื่อทาำ ให้มีประสิทธภิ าพดีขึ้นและมพี ิษนอ้ ยลง 3) สารประกอบอนินทรีย์ (Inorganic insecticide) เป็นสารเคมีที่นิยมใช้ ในชว่ งแรกๆ มโี ครงสร้างไมซ่ บั ซอ้ น แตไ่ มเ่ ปน็ ทนี่ ิยมในปัจจุบนั เช่น อาร์เซนกิ หรอื สารหน ู (Arsenical) เปน็ สารทีเ่ ปน็ พษิ ตอ่ สัตวเ์ ลอื ดอุน่ สลายตัวชา้ และโซเดียมฟลอู อไรด์ (Sodium fluoride) นยิ มใชก้ าำ จดั แมลงสาบ หนู 2.4.3 สารกำาจัดวัชพืช หรือที่เรียกโดยท่ัวไปว่า ยาฆ่าหญ้า ในประเทศไทยมีใช้กันอย่าง แพร่หลายมานานแล้วและมีแนวโน้มเพ่ิมมากข้ึนเรื่อยๆ ซ่ึงสารกำาจัดวัชพืชท่ีมีกลไกการออกฤทธิ์ในพืช แบบตา่ งๆ ท่ีจำาหนา่ ยในทอ้ งตลาด มดี งั ตารางที ่ 4.2 สดุ ยอดคู่มือครู 103
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 134 วทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร ตารางท่ี 4.2 สารกำาจัดวัชพชื ทมี่ ีกลไกการออกฤทธิแ์ บบตา่ งๆ กลไกการออกฤทธ์ ิ สารเคมี/ ช่ือสามัญ ตัวอยา่ งช่ือทางการค้า Growth regulators: ออกฤทธ์ิ Phenoxy carboxylic acids เชน่ เอ็กซตร้า ทูโฟดี 2-4 ดี, นาโก้, ต่อความสมดลุ ของฮอรโ์ มน 2, 4-Dinitrophenylhydrazine, ไวเลอรน์ อ๊ ค, เอรานลั , เอชโซนดั 2, 4-D-Sodium salt 95 Benzoic acids เช่น Dicamba Banvel, Oracle, Vanquish (3, 6-dichloro-2-methoxy benzoic acid) Pyridine carboxylic acids เชน่ Cut’N’Paste Picloram, Picloram, Triclopyr ไกลซอล เอก็ ซตรา้ , ทอรด์ อน 101, Impactum, ไตรคลอลกิ Quinoline carboxylic acids ฟาเซท็ เอสซ,ี ควนิ คลอแรก เช่น Quinclorac Amino acid synthesis Imidazolinones เชน่ Imazapyr, POACHER 750, inhibitors: ออกฤทธย์ิ บั ย้งั Imazapyr, Imazethapyr Atack Imazapyr การทำางานของเอนไซม์ที่เฉพาะ Sulfonylureas เช่น เรทีน่า, อัลมิกซ์, เกาด้ี, เบนซัลฟู- เจาะจง ในการป้องกันการสร้าง Bensulfuron-methyl, รอน-เมทลิ , เพอมทิ กรดอะมิโน ซึง่ เปน็ สารประกอบที่ Metsulfuron-methyl, สำาคัญในการเจริญเติบโตของพืช Pyrazosulfuron-ethyl Glycine เช่น Glyphosate, ราวด์อัพ, ทัชดาวน์, สปาร์ค, Sulfosate ไกลโฟเซต, มาร์เก็ต, ดามาร์ค, เรดดอ็ กพลสั Phosphinic acid เช่น Glufosi- เรดสวีป, บาสต้า, เอราบาส nate-ammonium Lipid synthesis inhibitors: Aryloxyphenoxypropionates คลนี เซอร์, เรดโรดอฟ, บอร์นอจิ ิ ออกฤทธย์ิ บั ยงั้ การสร้างกรดไขมัน เช่น Quizalofop, Fenoxaprop, 69, เอราซาโลฟอท, เอรากราสวดี , ซงึ่ เปน็ องคป์ ระกอบสาำ คญั ของเยอื่ Propaquizafop, Haloxyfop- เอราโพสทไ์ รซ์, เอราน็อกซ ์ ห้มุ เซลล์ R-methyl, Cyhalofop-butyl Thiocarbamates เชน่ Thioben- แซทเทอน-นิล, นาการ์ด, ไฮแลน- carb, olinate เดอร์ สารเคมีในชวี ติ ประจำาวันและในงานอาชพี 135 ตารางท่ี 4.2 สารกำาจดั วัชพชื ทมี่ กี ลไกการออกฤทธ์ิแบบตา่ งๆ (ตอ่ ) กลไกการออกฤทธ ิ์ สารเคม/ี ช่อื สามัญ ตัวอย่างชอ่ื ทางการคา้ Seedling growth inhibitors: Dinitroanilines เช่น Butralin, เอราธาลิน, เรดดอ็ กคมุ ออกฤทธ์ิโดยรบกวนการงอก Pendimethalin ของพชื ยบั ยงั้ การเจรญิ เตบิ โตของ Carbamates เช่น Carbosulfan, พอสซ,์ คาบาลอน, ไดฟาลิน, รากหรือลำาต้น Phenosulfan, Benfusulfan ฟโี นบุ, ออนคอล Chloroacetamides เชน่ เอราคลอร,์ เอราการด์ , ออสตนิ 60, Alachlor, Butachlor, ดาราโซคลอร์, ดาราเน็กซ์, โซฟิต Aceto-chlor, Pretilachlor, Pro- 300 EC, โซลิโต้ pisochlor Photosynthesis inhibitors: Triazines เช่น เอราทริน 80WP, เมทริบูซิน, ยับย้ังกระบวนการสังเคราะห์ Ametryn, Atrazine, อามิทรีน 80WG, ซันทรีน 80, ด้วยแสง โดยการจบั กบั specific Dimethametryn, Hexazinone, ซปุ เปอรซ์ ีน, นโิ กะพลสั site ในคลอโรฟิลล์ Matribuzin Uracils เชน่ Bromacil เอราซนิ , โบมา่ Ureas เช่น Diuron, Linuron เอรายรู อน 80, เอราซโิ นน 600WG, ฟาสท์เอก็ ซ์, เรดพาวเวอร,์ พาโคแล็ก Amides เช่น Propanil ปอพา, ดาราม๊อกซ์ Benzothiadiazinones เช่น Basagran Sedge Control Bentazon AMPLO63 SL, เบนโทโซเน Cell membrane disrupters: Idyliums เช่น Paraquat พาราควอต, กรมั มอ็ กโซน, ออกฤทธิ์ทำาลายเนื้อเยื่อของพืช dichloride น็อกโซน, ไวโซน (Vixone), โดยการทำาให้มีการแตกสลายของ เอราโซน, ดาราโซน เยือ่ หุ้มเซลล์ 104 สุดยอดคมู่ อื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นส่ือสารและน�ำเสนอ 5 . ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 136 วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบริการ ตารางท่ี 4.2 สารกำาจัดวัชพืชทีม่ กี ลไกการออกฤทธแิ์ บบตา่ งๆ (ต่อ) กลไกการออกฤทธิ์ สารเคม/ี ชอื่ สามัญ ตวั อย่างช่ือทางการคา้ Diphenylethers เช่น CNP โตร่า 2 อ,ี โกล 2 อี, ไฮเฟน 2 อี Fomesafen, Oxyfluorfen Oxidizoles เชน่ เอราไดอะซอน, รอนสตาร,์ สตานา่ , Oxadiazon ออลส์ ตาร,์ โซสตาร์, แพ็คสตาร์ Pigment inhibitors: ออกฤทธ์ิ Nicotinanilides เชน่ Diflufenican TC โดยการยับย้ังการสร้างรงควัตถุ Diflufenican ที่ จำ า เ ป็ น ใ น ก า ร สั ง เ ค ร า ะ ห์ ด้วยแสง สารจำากัดวัชพืชที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำาวันของมนุษย์มีจำานวนมากมายหลายชนิด อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มสารเคมีท่ีคนไทยรู้จักกันดีและใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น กัมม็อกโซน (Gramoxone) หรือ พาราควอต (Paraquat) ซงึ่ ปจั จุบันประชาชนไดเ้ รียกรอ้ งใหร้ ัฐบาลยกเลิกการใชส้ ารเคมชี นิดน้ี เน่ืองจาก เป็นสารท่ีอันตรายมาก พาราควอตนอกจากทำาให้เกิดอาการระคายเคืองในทางเดินอาหารส่วนต้น และ อาการบวมแดงในปากจากฤทธ์กิ ดั กร่อน ประมาณ 1-4 วนั หลงั ได้รับพาราควอตจะมอี าการไตวาย ต่อมา จะมพี ษิ ตอ่ ตบั และสดุ ทา้ ยมพี ษิ ตอ่ ปอดทาำ ใหก้ ารแลกเปลย่ี นออกซเิ จนไมไ่ ดต้ ามปกต ิ ในรายทไี่ ดร้ บั เขา้ ไป ปรมิ าณมากจะเสยี ชวี ติ ในเวลาอนั สน้ั จากความเปน็ พษิ รนุ แรงดงั กลา่ ว จงึ มกี ารผสมสนี า้ำ เงนิ -ฟา้ เพอื่ ปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ ขา้ ใจผิดว่าเป็นเครอ่ื งดืม่ และยากระต้นุ ใหอ้ าเจียนลงในผลิตภัณฑ์ ผ้ทู ก่ี นิ พาราควอตเขา้ ไป จงึ มกั จะอาเจียนหลังกินและอาจจะตรวจพบมีสีนำ้าเงินปนเป้ือนรอบๆ ปากให้เห็นได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสาร 2, 4-D และไกลโฟเซตท่ีมกี ารใชก้ ันมาก ซ่ึงมชี ือ่ การคา้ มากมาย เชน่ ราวด์อัพ ทชั ดาวน ์ สปาร์ค ไกลโฟเสต โดยเป็นสารที่จัดว่ามีความเป็นพิษในมนุษย์ค่อนข้างต่ำา แต่มีการศึกษาในผู้ป่วยท่ีได้รับไกลโฟเสตพบว่า มีอาการผิดปกติต้ังแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงถึงข้ันเสียชีวิต ซ่ึงอันตรายจากสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ใน ชวี ิตประจำาวนั เหลา่ น้จี ะไดก้ ล่าวถงึ รายละเอยี ดต่อไป 2.5 สารเคมใี นยาสามัญประจาำ บ้าน ยาสามญั ประจาำ บา้ น คอื ยาทก่ี ระทรวงสาธารณสขุ ไดพ้ จิ ารณาวา่ เปน็ ยาทเี่ หมาะสมทปี่ ระชาชน ควรซือ้ มาไวป้ ระจาำ บ้านของตนเอง เพอ่ื ใช้ในการดแู ลตนเองจากอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ท่อี าจจะเกิดขึ้น ได้ทั่วไปในชีวิตประจาำ วัน ยาสามญั ประจำาบา้ นเปน็ ยาทม่ี ีความปลอดภยั สงู หากได้รับการใช้งานทีถ่ กู ต้อง ก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆ นอกจากน้ียาสามัญประจำาบ้านยังเป็นยาที่มีราคาถูก ประชาชนทั่วไปสามารถ สารเคมใี นชีวติ ประจาำ วนั และในงานอาชพี 137 หาซ้ือได้เองตามร้านขายยา ร้านสะดวกซ้ือ และร้านขายของชำาท่ัวไป โดยยาสามัญประจำาบ้านมีทั้งหมด 53 ชนดิ จัดแบ่งตามการรกั ษาโรคสามญั ออกเปน็ 16 กลุ่ม โดยแตล่ ะกลุ่มมตี วั ยาและสารเคมีที่สำาคญั ๆ ดังตารางท่ ี 4.3 ตารางที่ 4.3 ตวั อยา่ งยาสามัญประจาำ บ้านและตัวยาทสี่ ำาคญั ประเภทยา / กลุ่มยา ชื่อสารเคม ีที่สำาคัญ ตวั อย่างชือ่ ทางการคา้ 1. กลุม่ ยาบรรเทาปวดลดไข้ ทจี่ ำาหน่ายในท้องตลาด 1.1 ยาแก้ปวดลดไข้ แอสไพริน (Aspirin: C9H8O4) แอสไพริน, อาซ่าแทป, แอสไพริน ยาทมั ใจ, ยาบวดบูรา 1.2 ยาแก้ปวดลดไข้ พาราเซตามอลหรืออะเซตา พาราเซตามอล,ไทลนิ อล, ซมี อล, พาราเซตามอล มิโนเฟน (Acetaminophen) พาราแคพ, เทมปรา้ (ยานาำ้ สาำ หรับ ชื่อเคมี para-acetylaminophenol เดก็ ), ทิฟฟี,่ ดคี อลเจน (มสี ว่ นผสม ของสารอ่นื ๆ เช่น กลุ่มยาแกแ้ พ้ สูตรเคมีคอื C8H9NO2 ลดนาำ้ มูก แกไ้ อ 1.3 ยาต้านอกั เสบชนดิ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ไอบูโปรเฟน,ไอโปรเฟน, โกเฟน ไม่ใชส่ เตยี รอยด์ 400, นูโรเฟน, โปรเฟน 400 นาพรอกเซน, แอนโนเซน-เอส, (NSAIDs) หรือ นาพรอ็ กเซน (Naproxen) นาโปรฟาสต์ เรยี กว่ายาเอ็นเสด ไดโคลฟีแนค, บูฟแี นค, โดซาแนค, ไดฟีลีน, โวลทาเรน-25, โดยตวั ยาจะออกฤทธิ์ ไดโคลฟีแนค็ (Diclofenac) ไดฟีลีน,โคลเฟคเจล ยบั ย้งั เอนไซม ์ พอนสแตน 500, มีฟา 500, มีฟาเมด 500 ไซโคลออกซีจีเนส เมลอ็ กซแิ คม (Cyclooxygenase: กรดเมทฟีนามิค (Mefenamic ไพรอ็ กซแิ คม, เฟลดีน COX): กลุ่มลด acid) ความเจบ็ ปวด ลดการอกั เสบ และลดไขไ้ ดด้ กี ว่า พาราเซตามอล 1.4 ยาเอ็นเสด (NSAIDs): เมล็อกซแิ คม (Meloxicam) กลุ่มแก้ปวด ไพร็อกซิแคม (Piroxicam) รมู าตอยด์ ปวดข้อ กำาเรบิ เฉียบพลัน สุดยอดคู่มอื ครู 105
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 138 วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร ตารางที่ 4.3 ตวั อย่างยาสามญั ประจำาบ้านและตวั ยาท่ีสาำ คัญ (ต่อ) ประเภทยา / กลุ่มยา ชื่อสารเคม ีท่สี ำาคญั ตัวอย่างช่ือทางการคา้ 2. กลมุ่ ยาแก้แพล้ ดน้ำามูก ทจี่ าำ หน่ายในทอ้ งตลาด ยาเม็ดแก้แพล้ ดนาำ้ มูก คลอร์เฟนริ ามีน บางครง้ั อาจเรยี ก คลอเฟน, เซทไิ รซิน, แอคตเิ ฟต, ย่อๆ วา่ ซพี เี อม็ (CPM) หรอื ลอราทาดีน, เคนทดิ นี , คลอรเ์ ฟน บรอมเฟนริ ามีน Hydroxyzine HCl พรูแรนซิท Cyproheptadine HCl เคนทิดีน 3. กล่มุ ยาแกไ้ อขับเสมหะ 3.1 กลุ่มยาแก้ไอ ไกวเฟนซิ นิ (Guaifenesin: บรอนโคนิล, ไกลโคเลต, ควอลิตนั , ขบั เสมหะ Glyceryl guaiacolate) โรบิทสั ซิน, 3.2 กลมุ่ ยาละลาย บรอมเฮกซิน (Bromhexine) ไบโซลวอน, บรอมโคเลก็ ซ์, เสมหะ โบรโมซนั , บรอมโซ, บรอมซนิ , ไดซอล แอมบรอกซอล (Ambroxol) แอมทชั ช์, มวิ โคลิด, มิวโคโซลวาน, ซมิ ซู อล, สเตรปซิล, เชสต้คี ็อกซ์ อะเซทิลซสิ เทอีน (Acetylcysteine) อะซติ นิ , เฟลมเมก็ ซ์ ฟลอู ิมซู ิล มูโคลดิ เอสเอฟ, มยั โซเวน 4. กลุ่มยาดมหรอื ยาทาแก้วิงเวยี น หน้ามืด คดั จมกู 4.1 ยาดมแก้วิงเวยี น A(แrอoมmโมatเนicีย Aหmอมm) onia Spirit: NH3 แอมโมเนียหอม แอมโมเนียหอม 4.2 ยาดมแกว้ ิงเวยี น เมนทอล การบรู พมิ เสน นา้ำ มันหอม ยาดมโปย๊ เซียน, ยาหมอ่ งนา้ำ และแกค้ ัดจมูก ระเหย และอน่ื ๆ เชน่ นา้ำ มนั สะระแหน ่ เซียงเพียวอวิ้ , ยาดมเฌอเอม, น้าำ มนั เขียว นำ้ามนั กานพลู หรือนา้ำ มนั ยาดมวาเปก๊ ซ,์ ยาดมสมนุ ไพร 108 ยูคาลิปตัส และมีนำ้ามันระเหยยาก สารเคมีในชวี ิตประจาำ วนั และในงานอาชีพ 139 ช่วยในการละลาย เช่น น้ำามันงา นาำ้ มนั แร ่ หรอื มสี ารสกดั จากสมนุ ไพร ผสมด้วย ตารางท่ี 4.3 ตัวอยา่ งยาสามญั ประจาำ บา้ นและตัวยาท่สี าำ คญั (ตอ่ ) ประเภทยา / กลมุ่ ยา ชอื่ สารเคม ที ส่ี ำาคัญ ตัวอย่างชอื่ ทางการค้า ท่ีจำาหน่ายในทอ้ งตลาด 4.3 ยาทาระเหยบรรเทา การบรู เกลด็ เมนทอล พมิ เสน วาสลนี วคิ สว์ าโปรบั , ทฟิ ฟี่รับ อาการคดั จมูกชนดิ สมนุ ไพรตา่ งๆ เชน่ นาำ้ มนั ระกาำ นา้ำ มนั ข้ีผงึ้ ยูคาลิปตัส นำ้ามันอบเชย น้ำามัน กานพล ู 5. กลุ่มยาแก้เมารถ เมาเรือ ไดโมเนท, นาวาเมต, โดมินอกซ,์ ยาแก้เมารถ เมาเรือ ไดเมนไฮดริเนท เบนาดรลิ , โคไดเฟน 6. กลุ่มยาสำาหรับโรคปากและลาำ คอ 6.1 ยากวาดคอ สมุนไพรพื้นบ้าน เช่น หมึกหอม ยากวาดแสงหมกึ , จนั ทน์ชะมด ลกู กระวาน จันทนเ์ ทศ ยากวาดตาใบโพธ,์ิ ใบพิมเสน ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ยากวาดมหาจักรตราตะขาบ 5 ตัว กานพล ู ใบสันพร้าหอม หัวหอม ใบกะเพรา 6.2 ยารกั ษาลิ้นเป็นฝา้ เจนเชียนไวโอเลตหรอื เมทิลไวโอเลต เจนเชยี นไวโอเลต มีสตู รเคมีคือ C25H30ClN3 ปกติใชเ้ ป็นอินดเิ คเตอรย์ าระงับเชอื้ 6.3 ยาแกป้ วดฟัน ลิโดเคน (Lidocain) เปน็ สารกลมุ่ เอ็ม 16 (M.16) (ยาชาเฉพาะที)่ อะมิโนเอไมด์ ออกฤทธ์ิเป็นยาชา ทำาให้ลดความเจ็บ ปวดได้ เป็นยาใช้ เ ฉ พ า ะ ที่ บ ริ เ ว ณ ท่ี มี อ า ก า ร ป ว ด 106 สดุ ยอดคมู่ ือครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 140 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร ตารางท่ี 4.3 ตวั อย่างยาสามัญประจำาบา้ นและตวั ยาทีส่ ำาคญั (ต่อ) ประเภทยา / กลุม่ ยา ชือ่ สารเคม ีที่สำาคญั ตัวอยา่ งชื่อทางการคา้ ทจี่ าำ หน่ายในทอ้ งตลาด 7. กลุม่ ยาแก้ปวดทอ้ ง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาลดกรด ยาแก้ท้องอืด ยาธาตุน้ำาแดงประกอบดว้ ยโซเดียม ยาธาตุนำ้าแดงวิทยาศรม, ยาธาตุ ท้องเฟ้อ ขับลม ลดอาการ ไบคาร์บอเนตและ/ หรอื สาร น้ำาแดง, ยาธาต ุ 4 ตรากเิ ลน, ยาธาตุ แสบรอ้ นทรวงอก ลดอาการ ออกฤทธิ์อื่นๆ ท่ีส่วนใหญ่จะเป็น นาำ้ แดงสหการ, ยาธาตนุ าำ้ แดงองคก์ าร กรดไหลย้อน สมุนไพร เช่น โกฐน้าำ เตา้ (Rhubarb) เภสัชกรรม, ยาธาตุนำ้าแดงเอชเอ็ม การบูร (Camphor) สะระแหน่ ตราเสือดาว, ยาธาตุนำ้าแดงตำารับ (Peppermint) เมนทอล (Menthol) ศิรริ าช ยาลดกรดมีตัวยาลดกรดหลายชนิด แอนตาซลิ เจล มาล็อกซอ์ ะลม่ั มลิ ค์, รวมทั้งโซเดียมไบคาร์บอเนต แก๊ซซิด, เบลซิด, อะโมจิน เจล, อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ และแมก- โบวา เจล, อีโน, แอลแม็กซ์มิลค์ นีเซียมไฮดรอกไซด ์ เครมลิ -เอส 8. กลุม่ ยาแกท้ ้องเสยี ยาแก้ท้องเสีย และ มีสารหลายชนิด เช่น กลุ่มยา ไดเซนโต, โลโมตว้ิ ไดอาริน, ออรดี า้ ผงน้ำาเกลอื แร่ หยุดถ่าย ได้แก่ โลเปอร์ราไมด์ ผงเกลอื แรห่ รอื ผงโออาร์เอส ก ลุ่ ม โ พ ร ไ บ โ อ ติ ก ส์ แ ล ะ ซิ ง ค์ กลมุ่ สารอาหารทางนา้ำ กลมุ่ ยาปอ้ งกนั อาการท้องเสีย เช่น บิสมัทซับซา- ลิไซเลต ไฮดราเซค กลุ่มยาปฏชิ ีวนะ 9. กลุม่ ยาระบาย กลมุ่ ยาระบาย มที งั้ ทเ่ี ปน็ มะขามแขก ยาระบายแมกนเี ซียม เสโนคอต, ยาระบายดที อ็ กซ ์ เอส เอม็ สมุนไพร เช่น มะขามแขก (sand–D), ยาระบายมิลค์ ออฟ และเป็นสารเคมี แมกนเี ซยี (MM Milk of Magnesia Suspension) สารเคมใี นชีวิตประจาำ วนั และในงานอาชพี 141 ตารางที่ 4.3 ตัวอย่างยาสามัญประจาำ บา้ นและตวั ยาทส่ี ำาคัญ (ต่อ) ประเภทยา / กลุ่มยา ชอื่ สารเคม ีทสี่ าำ คญั ตัวอยา่ งชื่อทางการคา้ 10. กลุ่มยาถา่ ยพยาธิลำาไส้ ท่ีจำาหน่ายในท้องตลาด ยาถ่ายพยาธิตัวกลม มเี บนดาโซล (Mebendazole) เบนด้า 500, ฟกู า้ คาร,์ เบนดาโซล, โคดาโซล 500, เคลยี ราซติ 11. กลุ่มยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเน้ือ แมลงกดั ตอ่ ย ยาหม่อง ข้ีผง้ึ บาลม์ การบูรเกล็ด เมนทอล พิมเสน ยาหม่องตราเสือ, ยาหม่องตรา พาราฟนิ วาสลีน สมุนไพรต่างๆ เช่น ถ้วยทอง, ยาหม่องตราลิงถือลูกท้อ, น้ำามันระกำา นำ้ามันยูคาลิปตัส นำ้ามัน แซมบคั , ยาหม่องบาลม์ ตา่ งๆ อบเชย น้ำามันกานพล ู 12. กล่มุ ยาสำาหรบั โรคตา ยาหยอดตา ซัลฟาเซตาไมด์ อะคิวลาร์ (Acular), คลอร์ออฟ ยาลา้ งตา (ChlorOph), นำ้ายาล้างตาออฟซาร์ (Opsar) 13. กลุ่มยาสาำ หรับโรคผิวหนงั ยารักษากลากเกลื้อน คาลาไมน์ โลช่ัน (Calamine) คาลาไมด,์ คาดราไมน ์ วี เชอ้ื ราบนผิวหนัง และ ประกอบด้วยซิงค์ออกไซด์ (Zinc ผืน่ คนั บนผวิ หนงั Oxide) ผสมกับยาชนดิ อ่นื ย า ท า ก ล า ก เ ก ล้ื อ น ฆ่ า เ ชื้ อ ร า คาเนสเทน, ซาเลน, ฮอฟรา-บ,ี ไมดา้ - บนผิวหนงั ประกอบดว้ ยโซเดยี ม บ,ี เดอรม์ าเวต ครีม, ฟังกาซิน ครมี ไทโอซลั เฟต 14. กลุ่มยารักษาแผลติดเช้อื ไฟไหม ้ นาำ้ ร้อนลวก 14.1 ยารักษาแผล ยารกั ษาแผลนำ้ารอ้ นลวกฟนี อล เฟลมมาซิน, เบอร์นอล พลัส, นำ้าร้อนลวก เบอรน์ ่ีเจล 14.2 ยารกั ษาแผล ยารักษาแผลติดเชอ้ื ซลิ เวอร ์ ซลั ฟา- คาวลิ อน, บแี พนเธน เฟิร์สเอด ติดเชอื้ ไดอาซนี ครีม สดุ ยอดคูม่ ือครู 107
1. ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 142 วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ ตารางที่ 4.3 ตวั อย่างยาสามัญประจาำ บา้ นและตวั ยาทส่ี าำ คัญ (ต่อ) ประเภทยา / กลุ่มยา ชอื่ สารเคม ที ่ีสาำ คญั ตัวอย่างช่อื ทางการคา้ 15. กลุ่มยาใส่แผล ยาลา้ งแผล ทีจ่ าำ หนา่ ยในทอ้ งตลาด กลุ่มยาสำาหรับล้างแผล กลุ่มทิงเจอร์ไอโอดีนประกอบด้วย แอลกอฮอล์ล้างแผล, ทิงเจอร์ ทาำ ความสะอาดแผล โพแทสเซียมไอโอไดด์ และกลุ่ม ไอโอดนี วทิ ยาศรม, ทงิ เจอรไ์ อโอดนี แอลกอออล์ล้างแผลประกอบด้วย สหการ ทิงเจอร์ไอโอดีนองค์การ ไอโซโพรพลิ และแอลกอฮอล์ เภสัชกรรม, เบตาดีน 16. กลุ่มยาบำารงุ รา่ งกาย ยาบำารุงร่างกายเพ่ือให้เกิด กลุ่มวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินซี แบลค็ มอรไ์ บดอซ ี 1000, แบลค็ มอร์ ความแขง็ แรง หรอื ช่วยเติม วิตามินบีรวม วิตามินอี วิตามินดี ไบโอซิงค์, แบรนเนอร์, เซนทรัม, สารทไ่ี มเ่ พยี งพอจากการรบั กลุ่มนำ้ามันตับปลา นำ้ามันปลา ท่ีให้ เนเจอร์, เมก้าฟชิ ออยล์ ประทานอาหารปกติ เช่น สารประเภทกรดไขมนั โอเมกา้ และ กลุ่มวติ ามนิ กลมุ่ ทใ่ี หก้ รดอะมโิ น เชน่ ซปุ ไก ่ รงั นก กลุ่มน้าำ มนั ปลา จากที่กล่าวมานน้ั ผูเ้ รียนจะเห็นวา่ สารเคมีในชวี ิตประจำาวนั ของมนษุ ย์มมี ากมาย ซง่ึ มีทงั้ ประโยชน์ และโทษตอ่ มนุษย์ 3. อนั ตรายจากการใช้สารเคมีในชวี ติ ประจำาวนั 3.1 อนั ตรายจากสารเคมีในอาหาร สารเคมใี นชีวิตประจาำ วันและในงานอาชพี 143 อนั ตรายทางเคม ี (Chemical hazard) หมายถงึ อนั ตรายทเ่ี กดิ จากสารเคมที ม่ี อี ยใู่ นธรรมชาติ ก่อนรับประทาน และหน่อไม้ไม่ควรบริโภคในผู้ป่วยโรคเก๊าท์และผู้ท่ีมีภาวะไตเส่ือม เนื่องจากหน่อไม้ ซ่ึงอาจพบในวัตถุดิบที่ใช้ในการแปรรูปอาหาร หรือเกิดจากการปนเปื้อนในระหว่างการผลิตวัตถุดิบ มีสารพิวรีนซึ่งเมื่อเผาผลาญแล้วจะให้กรดยูริก โดยกรดยูริกจะตกผลึกตามข้อ ผนังหลอดเลือด ไต การแปรรปู อาหาร การบรรจ ุ และการเกบ็ รกั ษากอ่ นถงึ มอื ผบู้ รโิ ภค อนั ตรายทางเคมที มี่ โี อกาสพบในอาหาร และอวัยวะต่างๆ ทำาให้เกิดอาการปวดข้อและโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น ข้อพิการ นิ่วในไต หรอื ผลิตภณั ฑอ์ าหารแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ไดแ้ ก่ กระดกู พรนุ และยังพบกรดยรู ิกมากในเนอ้ื สัตว ์ เครือ่ งในสัตว์ ถว่ั ตา่ งๆ และพืชผักออ่ นอีกด้วย นอกจากน้ี 3.1.1 อันตรายจากสารเคมีท่ีเกิดข้นึ เองในธรรมชาต ิ วัตถดุ บิ ท่นี ำามาใช้เปน็ อาหารบางชนิด ยงั มีสารพิษอืน่ ๆ อีก เชน่ เหด็ พษิ สารพิษในหอยและปลาทะเล ฯลฯ มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย เช่น มันสำาปะหลังและหน่อไม้ 3.1.2 อนั ตรายจากสารปรงุ แตง่ อาหารหรอื สารเจอื ปนในอาหาร คอื สารทเี่ ตมิ ลงไปโดยเจตนา จะมีสารประกอบไซยาไนด์ซึ่งเป็นอันตราย แต่สารนี้ถูกทำาลายได้ด้วยความร้อน ดังนั้นควรนำามาปรุงสุก ไดแ้ ก่ โรคกระดกู ชนดิ หนง่ึ ทกี่ ระดกู เรม่ิ เสอ่ื มและบางลงเนอื่ งจาก 1) อนั ตรายจากสผี สมอาหารสงั เคราะห์ ถงึ แมจ้ ะถกู อนญุ าตใหใ้ ชใ้ นอาหาร แตส่ ว่ นใหญ่ การสูญเสียแคลเซียมท่ีสะสมในกระดูก โรคนี้จะไม่ก่อให้ จะพบว่าใส่ในปริมาณมากเกินกว่าที่กฎหมายกำาหนด และหากบริโภคเข้าไปมากสีเหล่าน้ีจะไปเคลือบ เกิดความเจ็บปวดนอกจากกระดูกแตกหรือหัก พบได้ เย่ือบุกระเพาะอาหารและลำาไส้ทำาให้ย่อยอาหารไม่สะดวก เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และขัดขวาง บ่อยบริเวณกระดูกสันหลัง สะโพก หรือข้อมือ รวมทั้ง การดดู ซมึ อาหารทาำ ใหอ้ อ่ นเพลยี ตบั และไตอกั เสบ นอกจากนยี้ งั มอี นั ตรายจากสารทป่ี ะปนมากบั สปี ระเภท ยังสามารถเกิดไดก้ ับกระดูกสว่ นอนื่ ๆ ของรา่ งกายอกี ดว้ ย โลหะหนกั ตา่ งๆ เช่น สารหนู แคดเมยี ม ตะกัว่ ปรอท พลวง โครเมียม ทาำ ให้เกดิ อนั ตรายตอ่ รา่ งกายมาก เช่น สารหนูเมอ่ื บรโิ ภคเข้าไปจะสะสมตามกลา้ มเนือ้ กระดูก ผวิ หนงั ตบั และไต ทาำ ให้ออ่ นเพลีย กล้ามเนื้อ อ่อนแรง เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โลหิตจาง หากได้รับมากจะคล่ืนไส้ อาเจียน และมี ผลต่อระบบประสาท 2) อนั ตรายจากกลิน่ สังเคราะห ์ กลน่ิ ท่ีใชใ้ นการปรุงแตง่ อาหารมที ง้ั ทไี่ ดจ้ ากธรรมชาต ิ ไดจ้ ากการสกดั จากสารธรรมชาต ิ และไดจ้ ากการสงั เคราะหข์ นึ้ ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ซงึ่ สว่ นใหญแ่ ลว้ อนั ตราย ทเี่ กดิ จากกลนิ่ ทใ่ี ชป้ รงุ แตง่ อาหารมกั จะไดร้ บั จากสารเคมที ใี่ ชใ้ นการสกดั กลน่ิ จากวตั ถดุ บิ ในธรรมชาต ิ เชน่ โทลูอีน (Toluene) อาจก่อให้เกิดโรคทางระบบประสาท สารสังเคราะห์ท่ีสร้างกล่ินหอมระเหยมีผลต่อ ระบบทางเดนิ หายใจ โรคหอบหดื ตัวอย่างเชน่ ผลการวจิ ยั พบวา่ อะซติ ลิ โพรพิโอนลิ (Acetyl propionyl) หรือ 2, 3-pentanedione ซึ่งเป็นสารระเหยท่ใี ห้กล่นิ เนยในอตุ สาหกรรมการผลิตปอ๊ ปคอร์นก่งึ สาำ เร็จรูป มีผลต่อการเปล่ียนแปลงอาร์เอ็นเอในสมองและการทำางานของปอด และระบบทางเดินหายใจ ทำาให้เกิด โรคปอดท่ีเรียกว่า Bronchitis obliterans อย่างไรก็ตามอันตรายจากกล่ินในอาหารน้ันไม่ได้มีเฉพาะ ในกลน่ิ สงั เคราะหเ์ ทา่ นน้ั หากแตก่ ลน่ิ บางอยา่ งในธรรมชาตกิ อ็ าจเปน็ อนั ตรายยง่ิ กวา่ กลน่ิ สงั เคราะหไ์ ด ้ เชน่ ส่วนผสมของไซยาไนด์ที่พบในสารสกัดอัลมอนด์จากธรรมชาติ หรือถ่ัวเหลืองดิบซ่ึงเป็นวัตถุดิบ ในซอสถั่วเหลืองก็พบว่ามีพิษต่อร่างกาย ดังนั้นในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารจากวัตถุดิบเหล่าน้ีผู้ผลิต บางรายจะเลือกใช้กลิน่ สังเคราะหแ์ ทน 3) อันตรายจากน้ำาตาลเทียม น้ำาตาลเทียมเป็นนำ้าตาลสังเคราะห์ท่ีได้จากสารเคมี ดงั นนั้ อาจมสี ารตกคา้ งทที่ าำ ใหเ้ กดิ ผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพของผบู้ รโิ ภคหากบรโิ ภคในปรมิ าณมากเกนิ มาตรฐาน ท่กี ำาหนดไว้ เช่น ทำาให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน เพราะการกินนำา้ ตาลเทียม เช่น แอสปารแ์ ทม จะทาำ ให้ รา่ งกายมีการผลิตฮอรโ์ มนทผี่ ิดปกต ิ และส่งผลใหร้ ่างกายยงิ่ โหยหาความหวานจากนำ้าตาลมากขึ้น จึงเป็น สาเหตทุ ท่ี าำ ใหก้ ลบั ไปหานา้ำ ตาลแทเ้ หมอื นเดมิ อกี ทงั้ ยงั ตอ้ งการอาหารมากขนึ้ กวา่ เดมิ อกี ดว้ ย และแอสปารแ์ ทม 108 สุดยอดคมู่ ือครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 144 วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชีพธุรกิจและบริการ สารเคมใี นชีวติ ประจาำ วนั และในงานอาชีพ 145 ไม่ถูกย่อยและดูดซึมในลำาไส้ จะทำาให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ นอกจากน้ีแล้วในกระบวนการผลิต นำ้าตาลเทียมยังมีการใช้สารเคมีในการผลิต เช่น การผลิตซูคราโลสมีการเพ่ิมคลอรีนเข้าไปในโมเลกุล น้าำ ตาล ซงึ่ เป็นสาเหตทุ ่ที ำาให้กระเพาะอาหารไวต่อส่ิงกระตุ้นมากขน้ึ และอาจทาำ ให้เกดิ อาการปวดศรี ษะได้ ดังนั้นการบริโภคน้ำาตาลเทียมจึงควรบริโภคในปริมาณที่กำาหนด อย่างไรก็ตามการบริโภคนำ้าตาลแท้ หากบริโภคมากเกินไปก็ทำาให้เกดิ อันตรายตอ่ รา่ งกายไดเ้ ช่นกัน 4) อันตรายจากผงชูรส ผงชรู สหากรับประทานมากเกนิ ไปอาจก่อให้เกดิ อนั ตรายตอ่ สุขภาพ เชน่ อาการแพ้ผงชูรสท่เี รียกว่า ไชนสี เรสเตอรองซินโดรมหรอื รู้จักกนั ในชื่อของโรคภัตตาคารจนี ทำาให้รสู้ กึ ชาท่ปี าก ลนิ้ ปวดกลา้ มเน้อื บริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หนา้ อก หวั ใจเตน้ ชา้ ลง หายใจไม่สะดวก ปวดทอ้ ง คลื่นไส้ อาเจียน กระหายนำ้า สว่ นผูท้ ี่แพผ้ งชรู สมากๆ จะเกดิ อาการชาบริเวณใบหน้า ห ู วิงเวยี น หวั ใจเตน้ เรว็ จนอาจเปน็ อมั พาตตามแขนขาชนดิ ชว่ั คราวได ้ แตอ่ าการเหลา่ นจี้ ะหายเองภายในเวลา 2 ชว่ั โมง รวมถงึ ไม่มอี าการแทรกซ้อนอ่นื ๆ อีก โดยเฉพาะหญงิ มคี รรภไ์ มค่ วรกินผงชรู สเดด็ ขาด เพราะอาจส่งผล ต่อทารกในครรภ์ได้ สำาหรับทารกแรกเกิดถึง 3 เดือน หากกินผงชูรสเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อการเจริญ เตบิ โตของสมองในเดก็ วยั นอี้ กี ดว้ ย นอกจากนแ้ี ลว้ ยงั มงี านวจิ ยั ของแพทยส์ หรฐั และแพทยจ์ นี พบวา่ กลมุ่ ที่ กนิ ผงชูรสมากมีแนวโนม้ อว้ นกว่ากล่มุ ทกี่ ินผงชูรสนอ้ ย และกลมุ่ ทก่ี นิ ผงชูรสมากจะอ้วนกวา่ กลุม่ ทีไ่ มก่ ิน ผงชูรสถึง 3 เท่า อนั ตรายจากผงชรู สนอกจากจะเกดิ จากสารโมโนโซเดยี มกลตู าเมต โดยตรงแลว้ ยงั พบว่า ผผู้ ลติ บางรายใชส้ ารปลอมปนในผงชรู สเพอื่ ลดตน้ ทนุ การผลติ และสารทใ่ี ชม้ ที ง้ั ทเ่ี ปน็ วตั ถไุ มเ่ ปน็ อนั ตราย แกผ่ บู้ ริโภค ไดแ้ ก่ เกลือ นำ้าตาล แปง้ ส่วนวตั ถทุ ่เี ปน็ อนั ตราย เช่น บอแรกซ ์ ซึ่งเปน็ สารหา้ มใช้ในอาหาร เพราะหากรา่ งกายไดร้ บั ในปรมิ าณสงู อาจทาำ ใหเ้ สยี ชวี ติ ได ้ หรอื หากไดร้ บั ในปรมิ าณนอ้ ยแตบ่ อ่ ยครง้ั จะสะสม ในรา่ งกาย ก่อให้เกดิ อาการพิษแบบเร้ือรังทาำ ให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลยี สบั สน ระบบยอ่ ยอาหารถกู รบกวน ผิวหนังอักเสบ นอกจากนี้ยังมีสารอีกชนิดท่ีนิยมใส่ปะปนในผงชูรสคือ โซเดียมเมตาฟอสเฟต ซึ่งปกติ จะใช้เปน็ น้ำายาล้างหมอ้ น้ำารถยนต ์ เมื่อกนิ เข้าไปจะออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายอยา่ งแรง 5) อนั ตรายจากสารกนั เสยี และสารกนั หนื เชน่ ซลั ไฟตแ์ ละซลั เฟอรไ์ ดออกไซดซ์ งึ่ ใช้ เป็นสารกนั เสียและปอ้ งกนั การเกดิ สีนา้ำ ตาลในอาหาร จะเป็นสารทก่ี อ่ ภมู ิแพ ้ (Food allergen) เกลือไนไตรต์ และไนเตรตท่ีใช้เป็นสารกันหืน ยับย้ังการเกิดเชื้อราและเป็นสารให้สีชมพูในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เป็นสาร ก่อมะเรง็ หากใชใ้ นปริมาณสงู สารกนั หืนบวิ ทเิ รตไฮดรอกซโี ทลอู นี (BHT) ทำาใหต้ ่อมไทรอยด์โตผดิ ปกติ และสารกันหืนเทอร์เชียรีบิวทิลไฮโดรควิโนน (TBHQ) เป็นสารก่อมะเร็งในลำาไส้และในกระเพาะอาหาร ส่วนต้น 3.1.3 อันตรายจากสารปนเปื้อนในอาหาร เป็นสารเคมีทีป่ นเปอ้ื นและตกคา้ งอยู่ในอาหาร ทเ่ี กดิ ขน้ึ ไดต้ ง้ั แตก่ ารเพาะปลกู เกบ็ เกย่ี ว ขนสง่ สามารถตดิ มากบั ดนิ นาำ้ สง่ิ แวดลอ้ ม ทงั้ จากสารฆา่ แมลง สารฆ่าเช้ือรา รวมถึงสารท่ีไม่ใช่สารปรุงแต่งอาหารอาจปนเป้ือนมากับอาหารหรือผู้ผลิตแอบใส่ลงไป ในอาหาร เชน่ สารเรง่ เนอื้ แดงในเนอ้ื หม ู สารกนั ราหรอื กรดซาลซิ ลิ กิ สารบอแรกซ ์ ซงึ่ สารเหลา่ นม้ี อี นั ตราย ตอ่ สขุ ภาพ เชน่ สารกาำ จดั แมลงศตั รพู ชื และวชั พชื หากไดร้ บั ปรมิ าณมากเกนิ ไปจะมอี าการคลนื่ ไส ้ อาเจยี น ท้องเสยี กระสบั กระสา่ ย หมดสต ิ หายใจขัด หากสะสมมากอาจเปน็ มะเรง็ และร้ายแรงถึงขั้นหยดุ หายใจ สารกันราหรือกรดซาลิซลิ ิก (Salicylic acid) มักอย่ใู นอาหารดอง หากได้รับปรมิ าณมากจะสง่ ผลทำาลาย เซลล์ในร่างกาย ทาำ ลายเย่ือบุกระเพาะอาหาร ลำาไสจ้ นเป็นแผล ความดนั โลหิตตำ่าจนอาจช็อกได้ หากแพ้ จะมีผ่นื ขึ้น อาเจียน มีไข ้ หอู ้อื สารบอแรกซ์มกั พบในผลติ ภัณฑ์จากเนื้อสด เชน่ หมสู ด ลูกช้ิน ไสก้ รอก หากได้รบั บ่อยและนานจะมอี าการออ่ นเพลยี หนงั ตาบวม ผวิ แห้งอกั เสบ เบื่ออาหาร นาำ้ หนกั ลด ทอ้ งรว่ ง รา้ ยแรงถงึ ขน้ั เสยี ชวี ติ ได ้ สารฟอรม์ าลนี (Formalin) มกั พบวา่ มกี ารปนเปอ้ื นในอาหารสด หากกนิ โดยตรง จะมีอาการปวดทอ้ ง อาเจียน ทอ้ งร่วง ตบั ไต หัวใจเสื่อมลง หมดสติ และร้ายแรงถงึ ขั้นเสียชีวิต สารเรง่ เนอื้ แดงมกั พบในเนอ้ื หม ู หากไดร้ บั ในปรมิ าณมากเกนิ ไปจะมอี าการมอื สน่ั ปวดเวยี นศรี ษะ กระวนกระวาย คลน่ื ไส้ อาเจยี น ผู้ทมี่ ีโรคหวั ใจ ความดันโลหติ สงู เบาหวาน ไฮเปอร์ไทรอยด์ ทารก หญงิ มีครรภจ์ ะไว ต่อสารน้ีมาก และสารฟอกขาวหรือโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ช่วยให้อาหารขาวน่ากิน หากได้รับปริมาณมาก จะมีอาการปาก ลำาคอ กระเพาะอาหารอักเสบ แน่นหน้าอก หายใจติดขัด ความดันเลือดตำ่า ปวดท้อง ปวดหวั อาเจยี น ท้องร่วง หากแพ้สารนี้จะถ่ายเปน็ เลอื ด ชอ็ ก หมดสต ิ ไตวาย เสียชวี ิตได้ 3.1.4 อนั ตรายจากสารเคมที ใี่ ชใ้ นโรงงาน ในอตุ สาหกรรมการผลติ อาหารมกี ารใชเ้ ครอ่ื งมอื เครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ ในการผลิตซึ่งอาจมีสารเคมีจากวัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือเหล่าน้ันปนเป้ือน ลงสู่อาหารได้ เช่น สารหล่อลื่น สารเคมีท่ีใช้ทำาความสะอาดและฆ่าเช้ือโรค สีบนอุปกรณ์หรือเครื่องจักร ท่ใี ชใ้ นการแปรรปู อาหาร สารเคมีในบรรจภุ ัณฑ ์ เช่น สารเคลอื บกระปอ๋ ง สารฆา่ แมลง ยาเบื่อหน ู ซึ่งสาร เหล่าน้ีอาจไม่เป็นอันตรายเฉียบพลันต่อผู้บริโภค แต่สะสมในร่างกายก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อร่างกาย ตามมาได้ 3.1.5 อนั ตรายจากสารเคมที มี่ าจากวสั ดหุ รอื ภาชนะทสี่ มั ผสั อาหาร สารเคมที อ่ี าจแพรจ่ ากวสั ดุ หรือภาชนะท่ีใช้สัมผัสอาหาร ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค หรือสารที่ทำาให้ผลิตภัณฑ์อาหารมีรสชาติ หรือกล่ินท่ีเปลี่ยนไป เช่น สารท่ีอาจหลุดลอกออกมาจากบรรจุภัณฑ์พวกพลาสติก กระป๋อง กล่องโฟม กลอ่ งกระดาษทเี่ คลอื บดว้ ยโลหะภายใน ตวั อยา่ งเชน่ สารกลมุ่ พทาเลท (Phthalates) ไดแ้ ก ่ Di-2ethyhexyl phthalate (DEHP), Diisonoyl phthalate (DINP), Diisodecyl phthalate (DIDP), Bis-2-ethyexyl- adipate (DEHA), Diisononyl cyclocheaedicarboxylate (DINCH) 3.2 อนั ตรายจากสารเคมใี นผลิตภณั ฑท์ าำ ความสะอาด 3.2.1 อันตรายจากสารลดแรงตึงผวิ สารลด ภาพท ี่ 4.34 อันตรายจากนา้ำ ยาซกั ผา้ ขาว แรงตึงผวิ ที่ใช้กนั มากและพบวา่ มีอนั ตรายตอ่ สุขภาพ คอื แอลคลิ เบนซนี ซลั โฟเนตแบบโซต่ รง (LAS) โดยทวั่ ไปอาจ ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง กรณีเข้าตาทำาให้ รสู้ กึ ระคายเคอื ง ปวดแสบทตี่ าไดเ้ ลก็ นอ้ ย หากรบั ประทาน ในปรมิ าณไมม่ ากจะไมพ่ บอาการผดิ ปกต ิ แตเ่ มอื่ ไดร้ บั ใน ปรมิ าณมากอาจมอี าการเจบ็ ปากและล้นิ คลืน่ ไส้ อาเจยี น สุดยอดคมู่ ือครู 109
1 . ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 146 วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบริการ สารเคมีในชวี ติ ประจาำ วนั และในงานอาชีพ 147 ทอ้ งเสยี และสารลดแรงตงึ ผิวทีน่ ิยมใช้ในนำ้ายาทาำ ความสะอาดพื้น คอื สารแอลคิลฟีนอลเอทอกซเี ลต เช่น โนนิลฟีนอลอที อกซีเลต-15 EO (Nonyl phenol ethoxylates-15 EO) หรอื อาจเรยี กวา่ เอทอกซีเลตเตท 3.2.4 อนั ตรายจากนา้ำ ยาลา้ งทอ่ อดุ ตนั มสี ว่ นผสมของเกลอื โซเดยี มไฮดรอกไซด ์ หรอื โซดาไฟ โนนิลฟีนอล (Ethoxylated nonyl phenol: NPE) น้ำายาทำาความสะอาดพื้นที่มี NPE เป็นส่วนผสม (NaOH) ในผลติ ภณั ฑซ์ ง่ึ มฤี ทธกิ์ ดั กรอ่ นอยา่ งรนุ แรง หากสมั ผสั ผวิ หนงั จะระคายเคอื ง จนถงึ ผวิ หนงั ไหม้ หากใช้ในปริมาณและความเข้มข้นที่เหมาะสมตามฉลากแนะนำา จัดเป็นสารที่มีความเป็นพิษค่อนข้างตำ่า อยา่ งไรกต็ ามโดยท่ัวไปแลว้ ความรนุ แรงของการเกดิ พษิ ขน้ึ กบั ความเข้มข้น ปริมาณทไ่ี ดร้ ับ และทางท่ไี ด้ พุพอง ผิวหนังและเน้ือเยื่อข้างใต้ผิวหนังตาย นอกจากนี้ผิวหนังที่ถูกสารกัดอย่างรุนแรงก็อาจเป็น รับเข้าสู่ร่างกาย มีรายงานความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสาร NPE เช่น หากรับประทาน สูดดม หรือ สัมผัสกับผวิ หนงั ที่ความเข้มขน้ สูงๆ จะทาำ ใหเ้ กดิ การระคายเคอื งเย่ือบทุ างเดนิ หายใจ ทางเดนิ อาหาร ตา มะเรง็ ได ้ การหายใจสดู ไอระเหยทข่ี นึ้ จากทอ่ หลงั การเทสารลงไปจะทาำ ใหห้ ายใจตดิ ขดั ลาำ บาก ทาำ ลายเนอื้ เยอ่ื และผิวหนงั อยา่ งรุนแรง มอี าการไอ วงิ เวียน หายใจหอบถ ี่ อาเจยี น 3.2.2 อันตรายจากน้ำายาซักผ้าขาว สารเคมีชนิดหนึ่งท่ีเป็นองค์ประกอบสำาคัญในนำ้ายา ปอด คอบวม ทำาใหเ้ จบ็ ปวดอยา่ งรุนแรงและเป็นแผลพพุ องในลาำ คอ จมูก ตา หู รมิ ฝปี าก และลน้ิ รุนแรง ซกั ผา้ ขาวท่ผี ู้ผลติ นิยมใช ้ คือโซเดยี มไฮโปคลอไรต์ ซึง่ ความเปน็ พษิ ของโซเดยี มไฮโปคลอไรตใ์ นนา้ำ ยาซักผ้าขาว คือมีฤทธ์ิกัดกร่อนสูง กรณีที่หกรดผิวหนังโดยตรงอาจเกิดการระคายเคืองได้ปานกลางและมีผ่ืนแดงได้ ถึงขั้นตาบอดได้ หากรับประทานเข้าไปจะระคายเคืองหลอดอาหารอย่างรุนแรง เป็นแผลไหม้ ปวดท้อง แต่หากกระเด็นเข้าตาจะเกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรง และหากสูดดมโดยตรงจะทำาให้เกิดการระคาย เคืองต่อเย่ือบุทางเดินหายใจ และหากรับประทานเข้าไปจะเกิดการระคายเคืองต่อเย่ือบุที่ปากและลำาคอ อย่างรุนแรง อาเจยี น อาเจียนเป็นเลือด มีเลือดออกในอุจจาระ ความดนั ตาำ่ อย่างรวดเร็ว หลอดเลอื ดตีบ ปวดท้อง และเกิดแผลเป่ือยตามบริเวณทางเดินอาหาร ในการใช้สารเหล่าน้ีต้องระวังอย่าเทสารเหล่าน้ี ปนกับผลิตภัณฑ์ที่มีกรดเป็นองค์ประกอบ เช่น น้ำายาล้างห้องนำ้าบางชนิด เพราะกรดจะทำาปฏิกิริยา การทาำ ลายหลอดลมและกระเพาะอาหารจะยงั คงอยอู่ กี หลายสปั ดาหซ์ งึ่ ทาำ ใหเ้ สยี ชวี ติ ไดถ้ งึ แมเ้ วลาผา่ นไป กบั โซเดยี มไฮโปคลอไรต ์ เกดิ แกส๊ คลอรนี ในระหวา่ งการผสมและหากเกดิ การสดู ดมเขา้ ไปจะทาำ ใหเ้ กดิ พษิ รุนแรงขึ้น ซ่ึงจะระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ และต้องระวังอย่าผสมกับผลิตภัณฑ์ทำาความสะอาดท่ีมี แล้วเป็นเดือนหลังการรับประทานเข้าไปผู้ที่เคยได้รับสารเข้าทางปากหากไม่เสียชีวิตก่อนอาจมีการพัฒนา แอมโมเนยี เปน็ องคป์ ระกอบ เชน่ ในนา้ำ ยาเชด็ กระจก เพราะจะทาำ ใหเ้ กดิ แกส๊ คลอรามนี ซงึ่ มคี วามเปน็ พษิ ตอ่ ระบบหายใจและดวงตา และรวมถงึ เกดิ สารไฮดราซีนซ่ึงเป็นสารกอ่ มะเรง็ ไดอ้ กี ด้วย กลายเป็นมะเรง็ ทางเดินอาหารไดใ้ นภายหลงั 3.2.3 อันตรายจากแอมโมเนีย ในผลิตภัณฑ์ทำาความสะอาดอเนกประสงค์และนำ้ายา 3.3 อันตรายจากสารเคมีในเครือ่ งสาำ อาง เช็ดกระจกหลายยี่ห้อมีแอมโมเนียเป็นส่วนผสม แอมโมเนียมีฤทธ์ิเป็นเบสและสามารถกัดกร่อนได้ ผลจากการสัมผัสทางผิวหนังทำาให้เกิดการระคายเคือง ผิวหนังอักเสบและไหม้ ซ่ึงความรุนแรงขึ้นอยู่กับ อนั ตรายจากเครอ่ื งสาำ อางนน้ั มกั ขน้ึ อยกู่ บั ปจั จยั ตา่ งๆ ไดแ้ ก ่ ระยะเวลาทสี่ มั ผสั เชน่ ครมี บาำ รงุ ความเขม้ ข้นของแอมโมเนยี ระยะเวลาทส่ี ัมผสั หากสดู ดมจะทำาให้เกิดอาการระคายเคอื ง แสบจมูกและ ลาำ คอ ไอ หรอื จาม แต่หากได้รับในปริมาณที่สงู ขนึ้ อาจถึงขัน้ หายใจผิดปกต ิ น้ำาคง่ั ในปอด และอาจนาำ ไปสู่ ผิวมักก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากกว่าเครื่องสำาอางประเภทท่ีทาแล้วล้างออก เช่น แชมพู น้ำายาปรับ การอดุ ตันของทางเดนิ หายใจได ้ และหากกระเด็นเข้าตาจะเปน็ อนั ตรายไดม้ ากกว่าเบสชนดิ อนื่ ๆ ดังนน้ั เม่ือผลิตภัณฑ์ท่ีมีแอมโมเนียเข้าตาโดยตรง หรืออาจเป็นไอของแอมโมเนียแม้ในปริมาณตำ่าจะทำาให้เกิด สภาพผม บริเวณทีท่ าผิว ผวิ หนังบางแห่งของรา่ งกายไวตอ่ ส่ิงรบกวนมากกว่าบรเิ วณอน่ื เชน่ ผวิ หนังรอบ การระคายเคือง เปลือกตาปิด และเป็นอันตรายต่อกระจกตาได้ หากได้รับแอมโมเนียในปริมาณมากๆ อาจถึงขั้นตาบอดชั่วคราวหรอื ถาวร หากรับประทานเขา้ ไปทำาใหค้ ลนื่ ไส้ อาเจียน ปวดท้อง และในบางราย ดวงตา ความเปน็ กรด-เบสของเครือ่ งสาำ อาง บางชนดิ มีความเปน็ เบสสงู เช่น ครีมกาำ จัดขนและครีมยืดผม มีอาการไหม้ของปาก คอหอย หลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร จะทำาให้เกิดอาการระคายเคืองค่อนข้างมาก และความเข้มข้นของสารที่ระเหยได้ บางชนิดมีปริมาณสาร 110 สดุ ยอดคู่มอื ครู ที่ระเหยได้สูง เช่น นำ้ายาระงับกล่ินตัวชนิดฉีดพ่นหรือของเหลว เมื่อทาแล้วสารท่ีระเหยได้ระเหยออกไป ความเข้มข้นของสารระงับเชื้อจุลินทรีย์อาจเพิ่มขึ้น 2-5 เท่า ทำาให้เกิดอาการข้างเคียงสูงข้ึน ซ่ึงการรับ อันตรายจากเครื่องสำาอางมาได้จาก 2 ทาง คือทางผิวหนัง ซ่ึงจะทำาให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออักเสบ และทางระบบอื่นๆ เช่น ระบบหายใจ หรือรับประทานเข้าไป ซ่ึงเคร่ืองสำาอางที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อ สุขภาพ ไดแ้ ก่ 3.3.1 ยายอ้ มผมและสารฟอกสผี ม ยาย้อมผมทที่ าำ ให้เกิดอาการแพม้ กั เป็นยายอ้ มชนดิ ถาวร ยายอ้ มผมชนดิ นตี้ ดิ ทนบนเสน้ ผมและทนตอ่ การสระดว้ ยแชมพ ู ซงึ่ ยายอ้ มผมชนดิ ถาวรนมี้ ี 2 ชนดิ ไดแ้ ก ่ ยาเคลอื บสีผม ซ่ึงสจี ะสะสมทชี่ นั้ นอกของเสน้ ผมเทา่ นัน้ (โดยสที ่ีใช้มี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ สมุนไพรย้อมผม เกลือโลหะย้อมผม และสีผสม) และอีกชนดิ หนงึ่ คือยาย้อมผมชนิดท่ีซึมเข้าเส้นผม ซ่งึ เป็นทน่ี ิยม ใช้ในการเปลี่ยนสีผม ยาย้อมผมชนิดน้ีประกอบ ดว้ ยนา้ำ ยา 2 ขวด คอื ขวดท ี่ 1 ครมี ส ี เปน็ ของเหลว หรือครีม ซ่ึงประกอบด้วยสีท่ีใช้ในการเปลี่ยน สีผมท่ีเรียกว่า สีออกซิเดชัน หรือสีพารา ได้แก่ พาราฟีนิลีนไดอะมีน (p-Phenylenediamine: PPD) และพาราโทลูอีนไดอะมีน (p-Toluene ภาพท่ี 4.35 อาการแพ้จากการทาำ สผี ม
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5 . ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 148 วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาอาชีพธุรกจิ และบรกิ าร diamine: PTD) ซ่ึงอยูใ่ นสภาวะเบสจากการเติมแอมโมเนยี เบสทำาใหช้ นั้ นอกของเส้นผมบวม พอง และ แยกออกทำาใหส้ ีซึมเข้าส่ชู ัน้ กลางของเสน้ ผม แตห่ ากนำา้ ยาเปน็ เบสมากจะละลายชัน้ นอกของเส้นผม ทำาให้ ผมหยาบกระด้าง นอกจากน้ียังมีส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิวที่ช่วยให้สีซึมเข้าเส้นผมได้ดี และสารที่ ทำาใหข้ ้นเพือ่ ให้สีไม่ไหลออกจากเส้นผม ขวดที ่ 2 นาำ้ ยาโกรก ประกอบด้วยรอ้ ยละ 6 ของไฮโดรเจนเปอร์ ออกไซด ์ ซง่ึ ทาำ หนา้ ทอี่ อกซไิ ดสส์ พี าราใหเ้ กดิ สยี อ้ มผม หากไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซดม์ คี วามเขม้ ขน้ มากกวา่ ร้อยละ 6 จะทำาลายเส้นผมและระคายเคืองหนังศีรษะ แต่หากความเข้มข้นต่ำากว่านี้จะไม่สามารถ ออกซไิ ดสส์ ีพาราได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ในการใช้ยายอ้ มผมชนิดนีต้ อ้ งผสมน้ำายาทัง้ 2 ขวดทนั ทีก่อนใช้ ยอ้ มผม เพอ่ื ใหไ้ ฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซดป์ ลอ่ ยออกซเิ จนอสิ ระไปออกซไิ ดสส์ พี าราใหเ้ กดิ สสี าำ หรบั การเปลย่ี น สผี ม อาการแพใ้ นผใู้ ชท้ พี่ บ ไดแ้ ก ่ หนา้ และคอบวม ผน่ื แพจ้ ากการสมั ผสั ผนื่ แดง ผวิ หนงั อกั เสบ แสบรอ้ น หากโดนตาทาำ ใหเ้ ย่อื บุตาอกั เสบ ตาบวม หากสูดดมทาำ ให้ไอ จาม วิงเวยี น และหายใจไม่ออก หากแพ้มาก ทำาให้หายใจลำาบากและเกดิ จาำ้ เขยี วเป็นผื่น และเปน็ พษิ ต่อระบบภายในร่างกายเม่ือใช้เปน็ เวลานาน 3.3.2 นำ้ายายืดผม เม่ือทำาการยืดผม น้ำายายืดผมจะแทรกซึมเข้าไปในชั้นกลาง (Cortex) ของเส้นผมและเกิดการทำาปฏิกิริยากับพันธะไดซัลไฟด์ หรือพันธะซิสเทอีน ซ่ึงเป็นพันธะท่ีเช่ือมสายโซ่ โปรตนี เข้าด้วยกัน ทาำ หน้าทใี่ ห้ความแขง็ แรงและความคงตวั ของโครงสร้างเส้นผม ปฏิกิริยาท่ีเกิดขน้ึ เน่ือง จากนา้ำ ยายดื ผมจะทาำ ใหส้ ายโซโ่ ปรตนี นแี้ ตกออก เสน้ ผมออ่ นตวั ลงสามารถจดั รปู แบบใหมไ่ ดต้ ามตอ้ งการ และเมื่อทำาการล้างน้ำายาออก กระบวนการต่อไป คือการทำาให้เป็นกลางเพ่ือปรับสภาวะเส้นผมให้มี pH เปน็ ปกตเิ กดิ การซอ่ มแซมสายโซโ่ ปรตนี ทแี่ ตกอกใหก้ ลบั มาเชอื่ มกนั มคี วามยนื หยนุ่ และคงตวั ในรปู แบบ ทเี่ สน้ ผมตรง ปฏกิ ริ ยิ าเคมที เี่ กดิ ภายหลงั นจ้ี ะเกดิ ขน้ึ ตอ่ เนอื่ งไปนานประมาณ 48 ชวั่ โมงหลงั จากรบั บรกิ าร ดังนั้นจึงไม่ควรท่ีจะสระผมในช่วงเวลาน้ี นำ้ายายืดผมมีสารท่ีใช้อยู่ 3 ชนิด ได้แก่ โซเดียมไฮดรอกด์ กวานิดีนไฮดรอกไซด์ และแอมโมเนียมไทโอไกลโคเลต ซึ่งโซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นอันตรายเนื่องจาก มคี วามเป็นเบสแรงท่ีสดุ ม ี pH 10-14 มฤี ทธิก์ ดั กรอ่ น ควรใชก้ ับเส้นผมทห่ี ยิกมากๆ หากใช้ไมร่ ะมดั ระวัง อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บแสบหนังศีรษะ เส้นผมแห้งและแตก ส่วนสารกวานิดีนไฮดรอกไซด์ (ซ่ึงมี องค์ประกอบเป็นสารผสมระหว่างแคลเซียมไฮดรอกไซด์และกวานิดีนคาร์บอเนต และแอมโมเนียม ไทโอไกลโคเลต (C2H7NO2S) มคี วามแรงน้อยกวา่ โซเดียมไฮดรอกไซด ์ แตส่ ารแอมโมเนียมไทโอไกลโค- เลตนี้ทำาให้เกิดระคายเคืองเป็นผื่นแพ้เมื่อสัมผัสผิวหนัง อาการแพ้ท่ีพบ ได้แก่ ผ่ืน แดง ผิวหนังอักเสบ แสบรอ้ น หากโดนตาทำาใหเ้ ย่อื บุตาอกั เสบ ตาบวม หากสูดดมทำาใหไ้ อ จาม วิงเวียน และหายใจไมอ่ อก 3.3.3 ครมี บาำ รุงผิวและครมี ล้างหนา้ ครีมบำารุงผิวใช้ทาบนผวิ หนังเพ่ือบำารุงผวิ ครมี กลมุ่ นี้ เป็นอมิ ัลชัน่ (Emulsion) จงึ ต้องใสว่ ัตถุกันหืน วตั ถุกนั เสยี น้ำาหอม ส ี อาการแพส้ ว่ นใหญ่จงึ เกิดจากสาร เคมีเหล่าน ี้ เชน่ ลาโนลิน พาราเบน น้ำาหอม สว่ นครมี ล้างหน้าจะชว่ ยในการทาำ ความสะอาดหน้า เพื่อขจัด สารเคมใี นชวี ติ ประจำาวนั และในงานอาชพี 149 คราบไขมนั และสง่ิ สกปรกตา่ งๆ ออกจากผวิ ซงึ่ สารที่ ใช้ทำาความสะอาด คือน้ำามันและสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) คอ่ นขา้ งสงู เครอื่ งสาำ อางกลมุ่ นจ้ี งึ ทาำ ให้ เกิดอาการแพ้ คือระคายเคืองผิวและเกิดผ่ืนแดง อกั เสบในรายที่แพม้ าก 3.3.4 ยาระงับกลิ่นตัวและกล่ินเหงื่อ ผลิตภัณฑ์นี้มักเป็นชนิดฉีดพ่น เป็นของเหลวซึ่งข้น บรรจุขวด หรือลูกกลิ้ง หรือเป็นแท่ง มักทำาให้เกิด อาการแพ้ได้บ่อย เนื่องจากสารระงับการเจริญของ เช้ือแบคทีเรีย เช่น คลอเฮกซิดีน เบนซาลโคเนียม คลอไรด์ ไทรโคลซานไกลคอล นำา้ หอม ภาพท ่ี 4.36 อาการแพ้เครื่องสำาอางบนผิวหนา้ 3.3.5 ครีมกำาจัดขน ผลิตภัณฑ์มักมี ลักษณะเป็นครีมเหนียวข้น ใช้ทาบริเวณที่ต้องการกำาจัดขนท้ิงไว้ 10-15 นาที ขนจะถูกกำาจัดออก จากน้ันใช้นำ้าล้างออกให้หมด มักทำาให้เกิดอาการระคายเคือง เน่ืองจากฤทธิ์เป็นเบสของสารท่ี ออกฤทธิส์ าำ คญั คอื แคลเซยี มหรอื สทรอนเชยี มไทโอไกลโคเลต 3.3.6 เคร่ืองสำาอางแต่งดวงตา เครื่องสำาอางแต่ง ดวงตามหี ลายรปู แบบดว้ ยกนั เชน่ อายแชโดว ์ อายไลเนอร ์ มาสคารา ดินสอเขียนค้ิว ไม่ค่อยพบอาการแพ้ แต่ส่วนมากพบอาการ ระคายเคือง เนื่องจากตัวทำาละลายและสารที่ทำาให้เกิดอิมัลชั่น (Emulsifier) 3.3.7 สบ ู่ มีส่วนประกอบทสี่ าำ คัญ ไดแ้ ก่ เกลือโซเดยี ม ภาพท ี่ 4.37 อาการแพ้จากการแว๊กซข์ น ของกรดไขมนั เชน่ โซเดยี มโคโคเอท โซเดยี มแทลโลวเ์ อท อาจทาำ ให้ เกิดอาการระคายเคือง หากสัมผัสบ่อยๆ หรือเป็นเวลานานพอ และมักทำาให้เกิดอาการแพ้ เน่ืองจาก สารอน่ื ท่ีเตมิ ลงไปในสบ ู่ เช่น นา้ำ หอม สารระงับเชื้อ ลาโนลิน 3.3.8 เครอ่ื งสาำ อางปอ้ งกนั แสงแดด ประกอบดว้ ย สารออกฤทธ์ิสำาคัญที่มีสมบัติในการดูดซับรังสีอัลตรา- ไวโอเลตจากแสงแดดไม่ให้ผ่านลงไปทำาอันตรายต่อเซลล์ และเนอื้ เยอ่ื ของผิวหนังท่ีอยลู่ ึกลงไป ไดแ้ ก ่ กรดพาราอะมิโน เบนโซอิก (พาบา), เบนโซฟิโนน-3 (ออกซีเบนโซน) โฮโม เบนทิลซาลิไซเลต ซ่ึงสารเหล่าน้ีจะทำาให้เกิดอาการข้างเคียง ตอ่ ผวิ หนงั และการแพท้ างปฏกิ ริ ยิ าภมู คิ มุ้ กนั รว่ มกบั แสงแดด ภาพท่ี 4.38 ผวิ ทีท่ าครีมกนั แดด สุดยอดคมู่ อื ครู 111
1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 150 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบรกิ าร 3.3.9 ลิปสติก การใช้ลิปสติกทาริมฝีปากซึ่งเป็นเน้ือเยื่ออ่อนวันละหลายคร้ัง และสัมผัส รมิ ฝปี ากเปน็ เวลานานตลอดวนั มโี อกาสกลนื กนิ เขา้ สรู่ า่ งกาย อาการแพล้ ปิ สตกิ เนอื่ งจากสารปรงุ แตง่ อนื่ ๆ ในลปิ สตกิ และสี มีอาการแพ ้ เชน่ ริมฝีปากแหง้ บวม คนั อักเสบ หายใจไม่ออก เมือ่ มีอาการควรหยุดใช้ ทันท ี และเปล่ยี นเป็นลิปสตกิ ชนดิ ไมม่ ีนำา้ หอมและสปี ระเภทโบรโมแอซิด 3.3.10 ครมี ฟอกจางสีผิว (Bleaching cream) สารออกฤทธสิ์ าำ คญั ท่ีใช ้ ไดแ้ ก ่ ไฮโดรควิโนน ปรอท แอมโมเนีย ซึ่งสารไฮโดรควิโนนจะทำาให้เกิดการระคายเคือง มักใช้ร่วมกับวิตามินเอซ่ึงเป็นสารท่ี ทาำ ใหเ้ กดิ การระคายเคอื งในผทู้ ผ่ี วิ หนงั แพส้ ารตา่ งๆ งา่ ย การออกฤทธขิ์ องกรดวติ ามนิ เอทาำ ใหเ้ ซลลผ์ วิ หนงั แบ่งตัวเร็ว ผลัดออกเร็ว ทำาให้ผิวหนังแดง บางครั้งอักเสบ ส่วนสารปรอทและแอมโมเนียเมื่อใช้นานๆ จะสะสมบนผิวหนงั และถกู ดูดซมึ เขา้ สู่กระแสเลือด สะสมทำาใหเ้ ปน็ อนั ตรายต่อไต ทำาให้ไตอกั เสบได้ สรปุ ไดว้ า่ อาการขา้ งเคยี งทเ่ี กดิ จากเครอ่ื งสาำ อางมกั เกดิ จากการแพม้ ากกวา่ การระคายเคอื ง ซงึ่ การแพเ้ กดิ เฉพาะในบางคน และโอกาสทจ่ี ะเกดิ การระคายเคอื งหรอื เกดิ การแพม้ นี อ้ ยเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั จาำ นวนเครอ่ื งสำาอางทีม่ จี าำ หนา่ ยในทอ้ งตลาด อาจกลา่ วไดว้ ่าเครอ่ื งสำาอางท่วั ไปมีความปลอดภัยในการใช ้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เม่ือใช้อย่างถูกวิธี ปฏิบัตติ ามวิธใี ชแ้ ละคำาเตอื นอย่างเคร่งครดั 3.4 อนั ตรายจากสารเคมที ี่ใชใ้ นการเกษตร 3.4.1 อนั ตรายจากปุ๋ยเคม ี ส่วนใหญ่มกั จะทำาให้เกิดอาการแพ้จากการสมั ผสั ถกู ผวิ หนงั ของ ผูใ้ ชป้ ุ๋ยเคมี เชน่ เกดิ อาการคนั ผ่ืนแดง หรือปวดแสบปวดรอ้ น หากไดร้ บั ต่อเน่อื งและสะสมไปทำาให้กลาย เปน็ โรคผวิ หนัง และหากหายใจเขา้ ไปจะเกดิ อาการระคายเคอื งตอ่ ระบบทางเดินหายใจ สว่ นใหญ่ไม่มพี ิษ เฉยี บพลนั แตจ่ ะสะสมและเรอื้ รงั นอกจากนยี้ งั พบการใชป้ ยุ๋ เดยี่ วหรอื แมป่ ยุ๋ ในปรมิ าณทม่ี าก ปยุ๋ จะตกคา้ ง ในผักและผลไม้ ทำาให้เกิดการสะสมในร่างกายผู้บริโภค ก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว ซ่ึงจากการ ศึกษาพบว่าพืชมีการสะสมไนเตรตมาก พบมากในผักคะน้า ผักกาดหอม และผักบุ้ง สารไนเตรตน้ี เปน็ สารเหนี่ยวนาำ ทท่ี าำ ใหเ้ กดิ โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเรง็ ลาำ ไส้ในผู้บรโิ ภคผักทม่ี ไี นเตรตสูงนี้ 3.4.2 อันตรายจากสารกำาจดั แมลงศตั รูพชื 1) อันตรายต่อเกษตรกรผู้ใช้ ภาพท ี่ 4.39 ผลการสาำ รวจสารพษิ ตกค้าง สารเคมีกำาจัดแมลงศัตรูพืช ซึ่งมีทั้งผลท่ีเกิดขึ้น ในผักและผลไม ้ พ.ศ. 2562 แบบเฉียบพลัน เกิดขึ้นทันทีหลังจากสัมผัสสารเคมี เช่น คล่ืนไส้ อาเจียน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ท้องร่วง หายใจติดขัด ตาพร่า หรืออาจเสียชีวิตได้กรณีที่ กินเข้าไป และผลท่ีเกิดจากการสะสมของสารพิษ ในร่างกาย ก่อให้เกิดโรคหรือปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น มะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคผิวหนังต่างๆ การเปน็ หมัน การพกิ ารของทารกแรกเกิด สารเคมใี นชวี ติ ประจำาวนั และในงานอาชพี 151 2) อนั ตรายตอ่ ผบู้ รโิ ภคผลผลติ ทางการเกษตร จากการศกึ ษาผลสาำ รวจสารพษิ ตกคา้ ง ในผักและผลไม ้ ใน พ.ศ. 2562 ท่ผี า่ นมา พบสารตกคา้ งในผักและผลไมเ้ ปน็ จำานวนมาก ดงั ภาพท่ี 4.39 ซง่ึ สารพษิ ตกคา้ งเหลา่ นมี้ าจากสารกาำ จดั แมลงศตั รพู ชื และทสี่ าำ คญั ยงั มกี ารตรวจพบสารทรี่ ฐั บาลไมอ่ นญุ าต ใหใ้ ชใ้ นการเกษตรและสารทไี่ มไ่ ดข้ นึ้ ทะเบยี น เชน่ เมทามโิ ดฟอส (Methamidophos) คารโ์ บฟรู าน (Car- bofuran) และเมโทมลิ (Methomyl) ซง่ึ เปน็ สารพษิ ทางการเกษตรทอ่ี นั ตราย แสดงใหเ้ หน็ วา่ คนไทยไมไ่ ด้ ใส่ใจต่อการใช้สารเคมีท่ีอันตรายต่อแหล่งอาหารของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากๆ ก็คือเรื่องของ สารดูดซึม (Systemic) จากการสำารวจมกี ารตรวจพบสารเคมถี ึง 90 ชนิด และเป็นสารดูดซึมถึง 50 ชนิด คดิ เป็นร้อยละ 56 และสารดูดซึมทว่ี า่ นพ้ี ืชดดู ซึมเข้าระบบท่อลาำ เลยี ง อยู่ในเนอ้ื เยอื่ พืช ดังน้นั จึงเป็นไมไ่ ด้ ทจ่ี ะลา้ งออกไดห้ มด สารเคมที ใี่ ชใ้ นการเกษตรเหลา่ นหี้ ากไดร้ บั ปรมิ าณนอ้ ยจะไมแ่ สดงอาการ แตจ่ ะสะสม ในเนอ้ื เยอื่ ในรา่ งกาย มผี ลตอ่ ระบบอวยั วะตา่ งๆ ในรา่ งกาย เชน่ ตบั ปอด หวั ใจ ไต สมอง และระบบประสาท และสะสมจนอาจเป็นโรคมะเรง็ ซ่งึ ผักและผลไม้ทพ่ี บปรมิ าณสารพิษตกค้างสงู สุด 7 อนั ดบั แรก คอื พริก ถั่วฝักยาว คะน้า มะเขือยาว มะเขือเปาะ มะเขือเทศ และส้ม โดยการศึกษาพบว่า จำานวนตัวอย่างที่มี สารเคมีตกค้างเกนิ กว่ามาตรฐานรอ้ ยละ 40 พบสารเคมตี กคา้ งแต่ไมเ่ กนิ มาตรฐานร้อยละ 16 และไม่พบ สารเคมีตกค้างร้อยละ 44 โดยผักทีพ่ บสารเคมตี กคา้ งเกินมาตรฐานมากท่ีสุด คอื กวางตุ้ง รองลงมา คอื คะนา้ กะเพรา ผกั ช ี พรกิ กะหลาำ่ ดอก ตามลาำ ดบั สว่ นผลไมท้ ม่ี สี ารเคมตี กคา้ งสงู กวา่ คา่ มาตรฐานมากทส่ี ดุ คือ สม้ รองลงมา คือชมพ ู่ ฝรัง่ องนุ่ ผลการสุ่มตรวจสรปุ ไดว้ ่า รอ้ ยละทีไ่ มผ่ ่านมาตรฐานยงั จัดวา่ สงู ท้ังนี้ การกาำ หนดคา่ ปรมิ าณสารพิษตกคา้ งสูงสดุ (Maximum Residue Limit: MRL) ในประเทศไทย เปน็ การ รว่ มกนั กาำ หนดระหวา่ งหนว่ ยงานราชการและสมาคมผคู้ า้ สารเคมใี นทางเกษตรอกี 2 แหง่ ดงั นนั้ คนไทยจงึ ยงั คงเสยี่ งตอ่ การบรโิ ภคผลผลติ ทางการเกษตรทมี่ สี ารพษิ ตกคา้ งอย ู่ ซงึ่ เปน็ สาเหตหุ นงึ่ ทที่ าำ ใหค้ นไทยปว่ ย เปน็ มะเรง็ มากทส่ี ดุ แหง่ หนง่ึ ของโลก ผเู้ รยี นจงึ ควรทจ่ี ะหลกี เลยี่ งและปกปอ้ งตนเองจากการไดร้ บั สารเคมี เหล่านี้ 3.5 อนั ตรายจากสารเคมีในยาสามัญประจาำ บ้าน ยาสามัญประจำาบ้านโดยปกติจัดว่าเป็นยาท่ีปลอดภัย หากใช้ตามวิธีการใช้อย่างเคร่งครัด และไม่ใชพ้ ร่าำ เพรอ่ื แต่หากใช้เปน็ ประจาำ และใชอ้ ย่างไมร่ ะมดั ระวังอาจนำามาซง่ึ ปัญหาสขุ ภาพตา่ งๆ ได้ 3.5.1 การใช้ยาแก้ปวดลดไข้ เช่น การใช้แอสไพรินในผู้ท่ีเป็นไข้เลือดออกจะมีผลทำาให้ เลือดไม่แข็งตัวซ่ึงเป็นอันตรายอย่างมาก อาจทำาให้เสียเลือดในร่างกายโดยไม่รู้ตัว เกิดอาการช็อกและ เสยี ชวี ติ ได ้ ไขเ้ ลอื ดออกเปน็ โรคทพี่ บไดม้ ากในประเทศไทยเพราะมยี งุ ลายเปน็ พาหะ เนอื่ งจากประเทศไทย มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยเฉพาะในภาคใต้จึงเป็นแหล่งชุกชุมของโรคน้ี แต่คนไทยส่วนใหญ่ ไมน่ ยิ มใช้แอสไพรนิ ปจั จบุ นั นยิ มใช้ยาพาราเซตามอลและใชก้ นั อยา่ งพรา่ำ เพรอื่ ข้อเสียของพาราเซตามอล คือร่างกายจะไม่ขับออกแต่จะสะสมไว้ที่ตับ ดังน้ันผู้ท่ีบริโภคยาพาราเซตามอลอย่างไม่ระวังจึงเสี่ยงต่อ การเปน็ โรคตบั และหากกนิ ยาพาราเซตามอลเกนิ ขนาดจะมอี าการ คอื ระยะแรกจะมอี าการคลนื่ ไส ้ อาเจยี น เบื่ออาหาร เหง่ือออกเป็นระยะส้ันๆ โดยจะเกิดข้ึนภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากน้ันเม่ือเจาะเลือดจะพบว่า 112 สุดยอดคมู่ อื ครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5. ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 152 วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบริการ เอนไซม์ทรานซามิเนส (Transaminase) เร่ิมสูงขึ้น ซ่ึงเป็นเอนไซม์ที่แสดงถึงการบาดเจ็บของตับ และหลัง 48 ช่ัวโมง มีอาการตับอักเสบ คล่ืนไส้ อาเจียน เบ่ืออาหารอีกครั้ง มีภาวะแทรกซ้อนเหมือน ตับอักเสบท่ัวไป หากรุนแรงอาจมีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ และเสียชีวิตได้หากได้รับการรักษา ไม่ทันท่วงที 3.5.2 การใชย้ าแก้ไอ ยาแก้ไอทม่ี ชี ่อื สามัญว่า เดกซโ์ ทรเมทอรแ์ ฟน (Dextromethorphan) เปน็ ยาทใ่ี ชท้ วั่ ไปในการรกั ษาอาการไอแบบไมม่ เี สมหะซง่ึ มาจากอาการหวดั สาำ นกั งานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ได้จัดใหย้ าดงั กลา่ วเปน็ ยาอันตราย การใช้ตอ้ งอยภู่ ายใต้การควบคุมของแพทยแ์ ละเภสชั กร ปกตยิ าแกไ้ อจะมที งั้ แบบเมด็ และแบบนา้ำ ทผี่ า่ นมามกั พบวา่ มกี ารนาำ ยาแกไ้ อไปใชแ้ บบผดิ ประเภทจนตอ้ ง ยกเลิกตำารับยาบางอย่างไป เช่น ยาโคเดอีน ท่ีจัดอยู่ในกลุ่มสารเสพติด เพราะมีโครงสร้างของเคมี คล้าย กับยาเสพติด ยิ่งมีการนำาไปผสมสารเสพติดอ่ืนยิ่งเสริมฤทธ์ิกลายเป็นสารเสพติดทำาให้เกิดอาการ คลา้ ยดม่ื เหลา้ จงึ ตอ้ งยกเลกิ การจาำ หนา่ ย และการลกั ลอบขายเปน็ เรอ่ื งผดิ กฎหมาย สว่ นยากลมุ่ เดกซโ์ ทร- เมทอร์แฟนมีโครงสร้างบางส่วนคล้ายกับสารโคเดอีน แต่ไม่ถึงข้ันทำาให้ออกฤทธิ์กดประสาทให้เกิด ความเคลบิ เคลมิ้ ไดเ้ ทา่ โคเดอนี แตจ่ ะออกฤทธทิ์ รี่ ะบบประสาทเพอื่ ระงบั อาการไอเทา่ นน้ั ไมส่ ามารถทาำ ให้ เคลิบเคล้ิม สนุกสนาน แต่อาจทำาให้มึนงงเหมือนยาแก้หวัดทั่วไปจึงสามารถใช้ได้ แต่ก็ยังถือว่าเป็น ยาอันตรายที่ต้องมีการควบคุม เพราะยาชนิดนี้จะมีผลข้างเคียง คือทำาให้เกิดการคล่ืนไส้ อาเจียน หากรับประทานเกินขนาด 3.5.3 การใช้ยาแก้เมารถเมาเรือ อาจทำาให้เกิดอาการง่วงนอน มึนงง การมองเห็นผิดปกติ หรือสายตาพรา่ มัว ตาแหง้ ปากแหง้ จมกู แหง้ คอแหง้ เสมหะเหนียว ความดนั โลหิตตา่ำ ส่วนอาการอืน่ ๆ ท่ีอาจพบได้ คือมีอาการวิงเวียนเกิดข้ึนซำ้าหรืออาการแย่ลงกว่าเดิม ง่วงซึม (ง่วงนอนมากเกินผิดปกติ) อ่อนแรงหรอื เหน่ือย ปวดศีรษะ เวียนศรี ษะ คลน่ื ไส ้ อาเจยี น เบอ่ื อาหาร ไมส่ บายทอ้ ง ท้องเสียหรือท้องผูก ปัสสาวะค่ัง ผิวหนังแดง ไวต่อแสง นำ้าหนักตัวเพ่ิม และหากรุนแรงจะมีอาการ คือหัวใจเต้นเร็วข้ึน หรือช้าลง เต้นแรง เต้นผิดปกติ หรือเจ็บหน้าอก มองเห็นภาพไม่ชัด สับสน กระสับกระส่าย วิตกกังวล นอนไมห่ ลบั เคลอื่ นไหวลำาบาก หน้ามดื คล้ายจะเป็นลม ปสั สาวะลำาบากหรอื เจบ็ ขณะถา่ ยปสั สาวะ ลมชกั มีผน่ื คันหรอื ผน่ื ลมพษิ ขน้ึ นอกจากนี้ยังมีอันตรายที่เกิดจากยาสามัญประจำาบ้านชนิดอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่จะมีคำาเตือน ไว้บนฉลากของบรรจุภณั ฑ์ หรือมีคาำ แนะนำาเกยี่ วกบั ข้อระวงั ในการใช้ สารเคมใี นชีวติ ประจำาวันและในงานอาชพี 153 4. ความปลอดภยั ในการใช้สารเคมใี นชีวิตประจำาวัน จากหัวข้อต่างๆ ทผ่ี า่ นมาผูเ้ รยี นจะเหน็ ว่าสารเคมใี นชวี ติ ประจำาวันของมนุษยม์ มี ากมายหลายชนดิ แล้วผู้เรียนจะทำาอย่างไรจึงจะใช้สารเหล่าน้ันได้อย่างปลอดภัย ซ่ึงการดำาเนินชีวิตให้ปลอดภัยในการใช้ สารเคมใี นชีวิตประจำาวนั ควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี 4.1 การจัดเก็บดูแลสารเคมีท่ีใช้ในบ้าน ควรจัดเก็บผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไว้ในที่บริเวณแห้งและ เยน็ หา่ งจากความรอ้ น จดั วางบนพน้ื หรอื ชนั้ วางของทมี่ น่ั คง และเกบ็ ใหเ้ ปน็ ระบบ ควรแยกเกบ็ ผลติ ภณั ฑ์ ที่มีฤทธ์ิกัดกร่อน ติดไฟได้ ทำาปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ หรือเป็นพิษไว้แยกต่างหาก และทำาความคุ้นเคยกับ ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ควรจดจำาให้ได้ว่าเก็บไว้ที่ใด และแต่ละผลิตภัณฑ์มีวัตถุประสงค์ในการใช้อย่างไร เมอ่ื ใชเ้ สรจ็ แลว้ ควรนาำ มาเกบ็ ไวท้ เี่ ดมิ ทนั ท ี และตรวจใหแ้ นใ่ จวา่ ภาชนะทกุ ใบมฝี าปดิ ทแ่ี นน่ หนา ผลติ ภณั ฑ์ บางชนิดอาจเป็นอันตรายมาก ควรจดั เก็บเปน็ หมวดหมดู่ ังน้ี 1) ผลติ ภัณฑ์ทใี่ ชใ้ นการประกอบอาหาร เช่น น้ำาปลา ซอส นำา้ ส้มสายชู นำา้ ตาล ต้องเกบ็ ให้ เปน็ ที่และตอ้ งคอยดูแลความสะอาด ตรวจสอบวนั หมดอายุ การเส่อื มเสยี ของอาหาร เม่อื ใช้เสรจ็ แลว้ ต้อง ทาำ ความสะอาดภาชนะบรรจ ุ ปิดใหส้ นทิ เพอื่ ปอ้ งกันหนู แมลงสาบกดั แทะ 2) ผลิตภัณฑ์ทำาความสะอาดภายในบ้าน เชน่ นาำ้ ยาเชด็ กระจก แอมโมเนยี นำ้ายาฆา่ เช้อื โรค นำา้ ยาขดั ห้องน้ำา นา้ำ ยาขัดเฟอรน์ ิเจอร ์ รวมท้ังสเปรยป์ รบั อากาศ 3) ผลติ ภณั ฑ์ซกั ผ้า เชน่ ผงซักฟอก นา้ำ ยาปรบั ผ้าน่มุ น้าำ ยาซักผ้าขาว 4) ผลิตภัณฑ์เพ่ือสุขภาพและความงาม เช่น แชมพูสระผม สบู่ ยาสีฟัน ครีมบำารุงผิว สเปรยใ์ สผ่ ม นา้ำ ยาทาเล็บ นำ้ายาล้างเล็บ นำ้ายากำาจัดขน น้าำ ยายอ้ มผม เครอ่ื งสาำ อางอนื่ ๆ 5) ผลิตภัณฑ์ที่ใชใ้ นสวน เชน่ ปยุ๋ สารกาำ จัดวชั พืช สารฆ่าแมลง 6) ผลิตภณั ฑ์เพื่อการบำารุงรักษาบา้ น เชน่ สีทาบา้ น กาว น้ำายากนั ซมึ น้าำ มนั ลา้ งสี 7) ผลิตภัณฑ์สำาหรับรถยนต์ เช่น นำ้ามันเชื้อเพลิง นำ้ามันเบรก นำ้ามันเครื่อง นำ้ายาล้างรถ นำา้ ยาขดั เงา 8) ยาสามญั ประจาำ บา้ น ตอ้ งมตี ยู้ าหรอื กลอ่ งยาสาำ หรบั เกบ็ ยาสามญั ประจาำ บา้ นไวเ้ ปน็ สดั สว่ น สะดวกในการใช้ สดุ ยอดคมู่ อื ครู 113
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 154 วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบริการ 4.2 ผลติ ภณั ฑ์สารเคมีทกุ ชนดิ ตอ้ งมฉี ลาก ผใู้ ช้ตอ้ งอา่ นฉลากกอ่ นใช้งานทกุ ครั้ง ผลติ ภณั ฑ์ ทเี่ ปน็ อนั ตรายควรตอ้ งใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั อา่ นฉลากและทาำ ตามวธิ ใี ชอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งรอบคอบ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งหากฉลากมีคำาว่าอันตราย (Danger) สารพิษ (Poison) คำาเตือน (Warning) หรือข้อควรระวัง (Caution) ดังสญั ลกั ษณใ์ นภาพท่ ี 4.40 โดยมีรายละเอยี ดอธบิ ายได้ดังน้ี 1) อันตราย (Danger) แสดงให้เห็นว่าควรใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวังเพ่ิมมากข้ึน เปน็ พเิ ศษ สารเคมที ไ่ี มไ่ ดถ้ กู ทาำ ใหเ้ จอื จางเมอ่ื สมั ผสั ตาหรอื ผวิ หนงั โดยไมไ่ ดต้ งั้ ใจ อาจทาำ ใหเ้ นอื้ เยอ่ื บรเิ วณ นั้นถูกทาำ ลาย หรือสารบางอยา่ งอาจตดิ ไฟได้หากสมั ผัสเปลวไฟ 2) สารพษิ (Poison) คอื สารทที่ าำ ใหเ้ ปน็ อนั ตราย หรอื ทาำ ใหเ้ สยี ชวี ติ หากถกู ดดู ซมึ เขา้ สรู่ า่ งกาย ทางผวิ หนงั กิน หรอื สดู ดม สารพิษเป็นคาำ เตือนถงึ อนั ตรายท่ีรุนแรงท่ีสดุ 3) เป็นพษิ (Toxic) หมายถงึ เปน็ อนั ตราย ทำาให้อวยั วะตา่ งๆ ทาำ หนา้ ทผี่ ดิ ปกติไป หรือทำาให้ เสียชวี ติ ได้หากถกู ดูดซึมเข้าสูร่ ่างกายทางผิวหนงั กิน หรือสูดดม 4) สารกอ่ ความระคายเคอื ง (Irritant) หมายถึงสารทที่ าำ ให้เกดิ ความระคายเคอื ง หรืออาการ บวมตอ่ ผิวหนงั ดวงตา เยอื่ บุ และระบบทางเดินหายใจ 5) ตดิ ไฟได ้ (Flammable หรอื Combustible) หมายถงึ สามารถตดิ ไฟไดง้ า่ ยและมแี นวโนม้ ท่ีจะเผาไหมไ้ ด้อยา่ งรวดเร็ว 6) สารกัดกรอ่ น (Corrosive) หมายถึงสารเคม ี หรอื ไอระเหยของสารเคมีนนั้ สามารถทำาให้ วสั ดถุ ูกกัดกร่อน ผ ุ หรือสิง่ มีชวี ติ ถกู ทาำ ลายได้ สารออกซไิ ดส 5.1 แกส ความดัน แกสไวไฟ 2 ภาพท่ี 4.40 สัญลกั ษณ์เตือนอนั ตรายของสารเคมี 4.3 ควรเลือกซ้ือผลิตภัณฑ์เท่าท่ีจำาเป็นต้องใช้ เพราะการสะสมสารต่างๆ ไว้ก็เหมือนกับ การเกบ็ สารพิษไวใ้ นบา้ น พยายามใช้ผลติ ภณั ฑ์ท่ีมอี ยู่เดมิ ให้หมดก่อนแลว้ คอ่ ยซ้อื มาเพิม่ ใหม่ หากมขี อง ทไ่ี มจ่ าำ เปน็ ตอ้ งใชแ้ ลว้ เหลอื อย ู่ ควรบรจิ าคใหก้ บั ผทู้ ตี่ อ้ งการใชต้ อ่ ไป หรอื เกบ็ และทาำ ฉลากใหด้ ี โดยเฉพาะ อย่างย่ิงเม่อื ฉลากใกล้หลุดหรือฉกี ขาด และควรทิ้งผลติ ภัณฑ์ทเี่ ก่ามากๆ ไม่ควรนำามาใช้อีกต่อไป สารเคมีในชวี ติ ประจาำ วันและในงานอาชพี 155 4.4 เก็บสารเคมีต่างๆ ให้ไกลจากเด็ก เช่น สารทำาความสะอาด สารซักฟอก น้ำายาฆ่าเช้ือโรค ควรเกบ็ ในตทู้ เ่ี ดก็ หยบิ ไมถ่ งึ สอนใหเ้ ดก็ ทราบถงึ อนั ตรายจากสารเคม ี นอกจากนคี้ วรบนั ทกึ เบอรโ์ ทรศพั ท์ ฉุกเฉินไว้ในโทรศัพท์ เช่น เบอร์รถพยาบาลหรือโรงพยาบาลท่ีใกล้บ้าน สถานีดับเพลิง สถานีตำารวจ หนว่ ยงานท่ที าำ หน้าที่เกีย่ วกบั การควบคุมสารพิษ 4.5 ไม่ควรเก็บสารเคมีปะปนกับอาหาร ทั้งนี้เนื่องจากสารเคมีอาจหกรดหรือมีไอระเหย ทาำ ให้ปนเป้ือนกบั อาหารได้ และเมอื่ ใชผ้ ลิตภัณฑ์สารเคมเี สรจ็ แล้วควรล้างมอื ให้สะอาดทุกครัง้ 4.6 ไม่ควรเก็บของเหลวหรือแกส๊ ท่ีตดิ ไฟไดไ้ วใ้ นบา้ น เชน่ นา้ำ มันเช้ือเพลงิ สาำ หรบั รถยนต์ หรือถังบรรจุแก๊ส ควรเก็บไว้นอกบ้านในบริเวณใต้ร่มเงาท่ีมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่เก็บของเหลว หรอื แกส๊ ทต่ี ดิ ไฟไดไ้ วใ้ กลก้ บั แหลง่ ของความรอ้ นหรอื เปลวไฟ และเกบ็ ไวใ้ นภาชนะบรรจดุ ง้ั เดมิ หรอื ภาชนะ ทไี่ ด้รับการรบั รองแลว้ เทา่ น้นั 4.7 เก็บสารเคมีไว้ในภาชนะบรรจุดั้งเดิม ไม่ควรเปล่ียนถ่ายสารเคมีที่ใช้ภายในบ้านลงใน ภาชนะชนิดอื่นๆ เช่น ขวดน้ำายาทำาความสะอาดที่ใช้แล้ว ยกเว้นภาชนะท่ีติดฉลากไว้อย่างเหมาะสมและ เข้ากันได้กับสารเคมีนั้นๆ โดยไม่ทำาให้เกิดการรั่วซึม นอกจากนี้ไม่ควรเปลี่ยนถ่ายสารเคมีลงในภาชนะ ท่ีใชส้ าำ หรับบรรจอุ าหาร เชน่ ขวดนา้ำ ดืม่ ขวดน้ำาอดั ลม กระป๋องนม ขวดนม เพื่อปอ้ งกนั บุคคลอ่ืนในบา้ น นาำ ไปรับประทาน 4.8 นาำ ไปแปรรปู เพอื่ นาำ กลบั มาใชใ้ หม ่ ผลติ ภณั ฑห์ ลายชนดิ สามารถนาำ ไปแปรรปู เพอื่ นาำ กลบั มาใช้ใหมไ่ ด้ เพ่ือลดปรมิ าณสารเคมที ่ีเปน็ พิษในสิ่งแวดล้อม 4.9 ใชผ้ ลติ ภณั ฑอ์ นื่ ทมี่ อี นั ตรายนอ้ ยกวา่ ทดแทน สาำ หรบั งานบา้ นทว่ั ๆ ไปสามารถนาำ สารอน่ื ในบ้านที่ปลอดภัยกว่ามาใช้ทดแทนได้ ตัวอย่างเช่น สามารถใช้ผงฟูและน้ำาส้มสายชูเทลงในท่อระบายนำ้า เพ่ือปอ้ งกนั การอดุ ตนั ได ้ ใชน้ ำา้ หมักชีวภาพในการย่อยสลายในส้วมทอ่ี ดุ ตันแทนโซดาไฟ 4.10 ท้ิงผลิตภัณฑ์และภาชนะบรรจุให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่เทผลิตภัณฑ์ลงในดิน หรือในท่อระบายนำ้าทิ้ง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดไม่ควรทิ้งลงในถังขยะหรือเทลงในโถส้วม ควรอ่านฉลาก เพ่อื ทราบวิธีการทง้ิ ท่ีเหมาะสมตามคำาแนะนำาของผผู้ ลติ นอกจากน้ีแล้วหากต้องใช้สารเคมีท่ีเป็นอันตรายต้องป้องกันตนเองจากสารพิษเหล่านั้น เช่น การใชส้ ารเคมอี ันตรายในสวนควรสวมใส่เส้อื ผ้าแขนยาวทป่ี ดิ มดิ ชิด ต้องสวมรองเทา้ บูท หมวก หนา้ กาก หรือผ้าปิดจมูก แว่นตา ถุงมือ เพ่ือความปลอดภัยทุกคร้ัง หรือแม้แต่การใช้สารเคมีท่ีมีฤทธิ์กัดกร่อน ในบา้ น เชน่ นาำ้ ยาขดั หอ้ งนา้ำ ควรสวมรองเทา้ ถงุ มอื และใสห่ นา้ กากใหเ้ รยี บรอ้ ยกอ่ นใชส้ ารเคม ี เพอื่ ปอ้ งกนั ไม่ให้สารเหล่านั้นซึมเข้าสู่ผิวหนังหรือผ่านการสูดดมเข้าสู่ปอด ซ่ึงสารเคมีเหล่านี้แม้ได้รับวันละน้อย แต่หากไดร้ ับบอ่ ยๆ ก็จะสะสมในร่างกายทำาใหเ้ กิดการเจ็บป่วยตามมาได้ในภายหลัง 114 สุดยอดคู่มือครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5 . ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 156 วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร เฉลยอย่ใู นภาคผนวก หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 สรุป สารเคมีในชวี ติ ประจำาวันและในงานอาชพี 157 สารเคมีมีบทบาทสำาคัญต่อการดำาเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ได้นำาสารเคมีต่างๆ มาใช้ประโยชน์ ในดา้ นตา่ งๆ เช่น ใช้เปน็ วัตถดุ บิ ในการปรงุ แต่งอาหาร ใชท้ ำาความสะอาด เป็นเครื่องสำาอาง การเพาะปลูกพืช เป็นยารักษาโรค ซึ่งการใช้สารเคมีเหล่านี้ต้องใช้ให้ถูกต้องตามลักษณะหรือสมบัติของสารเป็นสำาคัญ หากใชอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมกเ็ ปน็ ประโยชน ์ แตห่ ากใชไ้ มถ่ กู ตอ้ งหรอื ใชป้ รมิ าณมากเกนิ ความจาำ เปน็ กเ็ ปน็ อนั ตรายตอ่ มนษุ ย์ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเรยี นรเู้ กี่ยวกบั สารเคมเี พ่ือให้เกิดความปลอดภยั ในชีวิต สารเคมีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจาำ วันหากแบ่งประเภทตามจุดประสงค์การใช้งาน สามารถแบ่งออกเป็น สารเคมีในอาหาร สารเคมีในผลติ ภณั ฑท์ ำาความสะอาด สารเคมีในเครอ่ื งสำาอาง สารเคมที ใี่ ชใ้ นการเกษตร และสารเคมใี นยาสามญั ประจาำ บา้ น ซง่ึ แตล่ ะประเภทมกี ารใชส้ ารเคมแี ตล่ ะชนดิ แตกตา่ งกนั ไปตามสมบตั ิ ของสารเคมีน้ันๆ ท้ังนี้สารเคมีมีประโยชน์แต่ในขณะเดียวกันก็มีโทษหรืออันตรายเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน หากมนษุ ย์ใชอ้ ย่างไม่ระมดั ระวงั และใชไ้ มถ่ กู วิธี อันตรายจากสารเคมีทใ่ี ช้ในชีวิตประจาำ วันมาจากหลายแหล่ง เชน่ สารเคมีในอาหารทัง้ สารปรงุ แตง่ อาหารและสารที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร เคร่ืองสำาอาง สารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ยาสามัญประจำาบ้าน ซ่ึงอันตรายท่ีเกิดข้ึนอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาที่รับสารเคมี บริเวณท่ีได้รับ ความเข้มข้นของสาร ที่ไดร้ ับ ชนิดของสารทไี่ ด้รับ ซง่ึ สามารถป้องกนั อันตรายไดโ้ ดยการจัดเกบ็ สารเคมีทใี่ ช้ออกเป็นหมวดหมู่ ตามประเภทการใชง้ านและศกึ ษาวธิ กี ารใชใ้ หเ้ ขา้ ใจกอ่ นใช ้ รวมถงึ การแตง่ กายใหม้ ดิ ชดิ เพอื่ ปอ้ งกนั อนั ตราย เขา้ ส่รู ่างกาย กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ คำาชแ้ี จง กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจเปน็ กิจกรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะด้านความรู้-ความจาำ เพอ่ื ใช้ ในการตรวจสอบความเขา้ ใจตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ คำาส่งั จงตอบคาำ ถามต่อไปน้ี 1. จงบอกความสาำ คญั ของสารเคมที ี่ใช้ในชวี ติ ประจำาวนั 2. ประเภทของสารเคมีที่ใช้ในชวี ิตประจำาวนั มอี ะไรบ้าง 3. สารปรงุ แต่งอาหารในชีวติ ประจำาวนั มกี ่ีประเภท อะไรบ้าง 4. เครื่องสาำ อางมีก่ีประเภท อะไรบา้ ง 5. สารเคมสี ำาคัญทีพ่ บในผลติ ภณั ฑท์ าำ ความสะอาดไดแ้ ก่อะไรบา้ ง 6. เครอ่ื งสาำ อางในชีวิตประจำาวนั มีกีป่ ระเภท อะไรบ้าง 7. จงบอกชอื่ สารเคมที ่ใี ช้ในการกำาจดั วชั พชื มาอย่างน้อย 5 ชนดิ 8. จงบอกชื่อยาสามญั ประจำาบา้ น มาอย่างนอ้ ย 10 ชนิด 9. จงบอกอันตรายท่ีเกดิ จากสารเคมที ี่ใช้ในชวี ิตประจาำ วัน 10. จงบอกวิธกี ารปฏบิ ัติเพือ่ ให้เกดิ ความปลอดภยั ในการใชส้ ารเคมีในชวี ติ ประจาำ วนั มาอย่างนอ้ ย 5 ข้อ กจิ กรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ คาำ ชีแ้ จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายท่ีฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพ่ือให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ท้ังในและนอกสถานที่ตามความเหมาะสมของผเู้ รียนและสงิ่ แวดล้อมของสถานศึกษา กจิ กรรมที ่ 1 การสังเคราะหก์ ลนิ่ นำา้ หอม คาำ สัง่ ผสู้ อนกาำ หนดสถานการณใ์ หด้ งั น ้ี สมมตวิ า่ ผเู้ รยี นเปน็ นกั วจิ ยั อาหารและผลติ ภณั ฑ ์ ทาำ งานใหบ้ รษิ ทั แห่งหน่ึง ผลิตภัณฑ์อาหารท่ีมีอยู่ก่อนน้ันเร่ิมได้รับความนิยมลดลง ในขณะที่บริษัทคู่แข่งได้มี ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่มีกล่ินใหม่มาปรุงแต่งอาหาร และบริษัทต้องการให้ผู้เรียนสังเคราะห์กล่ินใหม่ ทมี่ คี นชน่ื ชอบมากทส่ี ดุ โดยใหเ้ งอ่ื นไข คอื ใหเ้ วลา 2 ชว่ั โมง และใหท้ ดลองกบั สารทม่ี ใี นหอ้ งทดลอง เทา่ นน้ั ผเู้ รยี นจงึ แบง่ ทมี วจิ ยั ของผเู้ รยี นออกเปน็ 6 กลมุ่ ใหด้ าำ เนนิ การทดลองโดยจบั คแู่ อลกอฮอล์ กับกรดกลุม่ ละ 1 คู ่ ไมใ่ ห้ซำา้ กนั วัสดอุ ปุ กรณ์และสารเคมที ม่ี ีในห้องทดลอง มดี งั น้ี วัสดุอุปกรณ ์ สารเคมี 1. กรดซลั ฟิวริก (H2SO4) (ตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ า) 1. หลอดทดลองขนาดกลาง 2. กรดแอซีตกิ (CH3COOH) 2. กระดาษกรอง 3. กรดบวิ ทิริก (CH3(CH2)2COOH) 3. บีกเกอร์ขนาด 500 ml 4. กรดซาลซิ ลิ กิ (C7H6O3) 4. เตาไฟฟ้า 65.. เเอมททาานนออลล ((CC2HH35OOHH)) 5. เคร่ืองชั่งสารเคมี 6. ชอ้ นตกั สารเคมี 7. แท่งแก้วคนสาร 8. เทอร์มอมเิ ตอร์ วธิ ีดำาเนินการ 1. ตรวจเช็กวัสดุอุปกรณ์และสารเคมีท่ีมี จากน้ันแบ่งให้แต่ละกลุ่มจับคู่กรดกับแอลกอฮอล์ กลุ่มละ 1 คู่ ไม่ให้ซ้ำากัน (มีกรด 3 ชนดิ และแอลกอฮอล ์ 2 ชนดิ ) และจัดเตรียมวสั ดุอปุ กรณ์และสารเคมี ทก่ี ลมุ่ ตนเองต้องใช้ 2. ศึกษาเอกสารทเี่ กี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เอสเทอร์จากปฏิกิริยาเอสเทอรฟิ ิเคชัน (Esterifica- tion) ระหวา่ งกรดคาร์บอกซลิ กิ กบั แอลกอฮอล์จากสมการดงั น้ี O H+ เข้มข้น O R-C-OH + HO-R′ R-C-OR′ + H2O กรดคารบ์ อกซิลิก แอลกอฮอล์ เอสเทอร์ นำา้ สุดยอดคู่มือครู 115
บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 1 . ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ ทักษะชีวิต สารเคมใี นชีวติ ประจำาวนั และในงานอาชพี 159 158 วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร เทอรม์ อมิเตอร์ กรดซาลิซิลิก + เมทานอล + กรดซัลฟิวริก 3. วางแผนการทดลอง โดยการคำานวณปริมาณกรดและแอลกอฮอล์ที่ต้องใช้ โดยให้ใช้ ความร้อน เศษส่วนโมล คือหากเป็นกรดแอซีติกกับแอลกอฮอล์ใช้สัดส่วนโมล 1 : 1 และหากเป็นกรดบิวทิริกกับ กรดซาลซิ ลิ ิก ใช้สัดส่วนโมลของกรดกับแอลกอฮอลเ์ ปน็ 1 : 10 ตัวอยา่ งการคาำ นวณ เช่น กาำ หนดใหเ้ ศษส่วนโมลของกรดซาลซิ ิลกิ : เมทานอลเปน็ 1 : 10 1) คาำ นวณหามวลโมเลกุลของกรดซาลซิ ลิ กิ มวลโมเลกุลของสาร = ผลรวม (จำานวนอะตอมของธาต ุ × มวลอะตอมเฉลีย่ ของธาต)ุ มวลโมเลกุลของกรดซาลิซิลกิ (C7H6O3) = (7×12.011)+(6×1.008)+(3×15.999) = 84.077+6.048+47.997 = 138.122 g/mol WM (สม1มgตวิ ่าใช้กรดซาลิซิลิก 1 กรัม) 2) คำานวณจาำ นวนโมลของสาร จากสูตร n = 138.122 g/mol กรดซาลิซลิ ิก 1 กรัม = = 0.00724 mol หรอื 7.24×10-3 mol 3) คำานวณหาปริมาณเมทานอล (CH3OH) ท่ีตอ้ งใช ้ : ใชโ้ มล 10 เทา่ ของกรดซาลซิ ลิ กิ ดังน้ัน จาำ นวนโมลของเมทานอล = 0.0724 mol หรือ 7.24×10-2 mol ซ ึ่ง ม ว ล โ ม เ ลดกงั นุล้นัขอใชงเ้ ม CทHาน3OอHล == 73.22.40×4 1 g0-/2m mol oแl ล×ะ ม30คี2..7ว09า42ม gหg/น/mmาoแllน่น 0.792 g/ml = 2.93 ml (หรอื 2.95 ml โดยประมาณ) 4. ดาำ เนนิ การทดลอง ตามข้ันตอนดังนี้ 1) นำาบีกเกอร์ขนาด 500 ml ใส่นำ้าเปล่าประมาณครึ่งบีกเกอร์นำาไปตั้งบนเตาไฟฟ้า จนนำ้าร้อนมอี ณุ หภมู ิ 60–80 Cำ 2) ชงั่ กรดคารบ์ อกซลิ กิ ชนดิ ทกี่ ลมุ่ ตนเองไดร้ บั มอบหมายใหท้ ดลองในปรมิ าณทก่ี าำ หนดไว้ ว่าจะใช้ในการทดลองเท่าใด (ในตัวอย่างเช่น กรดซาลิซิลิกใช้ 1 กรัม) เทลงใน หลอดทดลองขนาดกลาง แลว้ เตมิ กรดชนดิ ทก่ี ลมุ่ ตนเองไดร้ บั มอบหมายใหท้ าำ การทดลอง เช่นกัน โดยตวงกรดใส่ในปริมาตรที่คำานวณได้ (ในตัวอย่างคือ เมทานอล ปริมาตร ทค่ี าำ นวณได้คือ 2.95 ml) 3) เติมกรดซัลฟิวริกลงไปในหลอดทดลองปริมาณ 5 หยด แล้วใช้จุกยางหรือสำาลีปิด หลอดทดลอง 4) นาำ หลอดทดลองไปต้มในนา้ำ ร้อนจากบกี เกอร์ ดงั ภาพที่ 4.41 ใชเ้ วลา 15 นาท ี 5) ทดสอบกล่ินที่เกิดขึ้น โดยใช้แท่งแก้วจุ่มสารในหลอดทดลอง จากน้ันนำาไปแตะบน กระดาษกรองท่ีตดั เปน็ รูปสเี่ หลี่ยมผืนผ้า ขนาด 2×5 cm แลว้ ทดสอบกลิน่ สาำ ลี นา้ำ ภาพที ่ 4.41 การตม้ สารละลายในนา้ำ ร้อน 5. ทดสอบประเมนิ ผล โดยดำาเนินการดังนี้ 1) นำาแผ่นกระดาษกรองท่ีตัดไว้และได้แตะกลิ่นท่ีสังเคราะห์ไว้แล้วไปให้เพื่อนในกลุ่มดม จากนน้ั ใหเ้ พอื่ นใหค้ ะแนนความชอบ โดย 5 คะแนน หมายถงึ ชอบมากท่ีสดุ 4 คะแนน หมายถึงชอบมาก 3 คะแนน หมายถึงชอบปานกลาง 2 คะแนน หมายถึงชอบน้อย และ 1 คะแนน หมายถงึ ชอบน้อยทส่ี ดุ โดยเขยี นลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆ สง่ ให้นกั เรียน 2) ทาำ เชน่ เดยี วกบั ขอ้ 1 แต่ให้เพ่อื นตา่ งกล่มุ และผ้สู อนชว่ ยประเมินความชอบของกลิ่น 3) นาำ กระดาษทเี่ พื่อนๆ และผู้สอนให้คะแนนทุกคนมาหาค่าเฉลีย่ 6. นำาเสนอผลลพั ธ์ โดยดำาเนนิ การดงั น้ี 1) ให้แต่ละกลุ่มนำาเสนอผลการทดลองของตนเอง และสรุปว่ากล่ินท่ีได้คือกล่ินอะไร ไดค้ ะแนนเฉลีย่ เท่าใด ใหเ้ วลากลมุ่ ละ 5 นาทีในการนำาเสนอ 2) เมอื่ ทกุ กลมุ่ นาำ เสนอเสรจ็ แลว้ ใหท้ กุ กลมุ่ รว่ มกนั สรปุ วา่ กลนิ่ ทท่ี กุ คนในหอ้ งใหค้ วามนยิ ม ชน่ื ชอบมากทีส่ ุดคือกลน่ิ ใด ทำามาจากสารใด 116 สุดยอดค่มู ือครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 160 วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบริการ กจิ กรรมที่ 2 หาสารพิษ คำาส่ัง ผสู้ อนกาำ หนดสถานการณใ์ หด้ งั น ้ี สมมตวิ า่ นางสาวซอ่ นกลนิ่ เรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตรใ์ นชว่ งกอ่ นเทย่ี ง แลว้ มีอาการปวดทอ้ ง คล่นื ไส ้ อาเจยี น ท้องรว่ ง ผสู้ อนจึงซกั ถามนางสาวซ่อนกลิน่ ว่าเมอ่ื เช้าได้กนิ อะไรมาบ้าง นางสาวซ่อนกล่ินให้ข้อมูลว่า กินข้าวราดแกง อาหารไม่ได้บูดยังร้อนๆ อยู่ กับข้าวที่ ราดขา้ วคอื ผดั เผด็ ทะเลรวมมติ รกบั หนอ่ ไมด้ อง ซง่ึ มหี มกึ กงุ้ หอยแมลงภผู่ ดั กบั หนอ่ ไมด้ องใสพ่ รกิ แกงเผด็ ผูส้ อนจึงสงสยั ว่าอาหารเหลา่ นีม้ สี าร ปนเปอ้ื นในอาหารทเ่ี ปน็ พษิ หรอื ไม ่จงึ ไปขอเครอื่ งแกง เผ็ด หมึก กุ้ง หอยแมลงภู่ และหน่อไม้ดองมาให้ผู้เรียนทดสอบ โดยให้เวลาในการดำาเนินการ 1 ชว่ั โมง และแตล่ ะกล่มุ ต้องทดสอบหาสารปนเป้อื นตา่ งชนิดกนั โดยใช้ชดุ ทดสอบหาสารปนเป้อื น ในอาหารทมี่ ใี นหอ้ งวทิ ยาศาสตรเ์ ทา่ นน้ั กาำ หนดใหว้ สั ดอุ ปุ กรณแ์ ละสารเคมที มี่ ใี นหอ้ งทดลองมดี งั น้ี วัสดุอปุ กรณ์ 1. มีดและเขยี งพลาสตกิ 2. หลอดทดลองขนาดกลาง 3. ชุดทดสอบบอแรกซ์ 4. ชุดทดสอบสารฟอกขาว (โซเดยี มไฮโดรเจนซัลไฟต)์ 5. ชดุ ทดสอบฟอรม์ าลีน 6. ชดุ ทดสอบกรดซาลิซิลกิ 7. ช้อนตักสาร วธิ ดี าำ เนนิ การ 1. ตรวจเช็กวัสดุอุปกรณ์และสารเคมีที่มี จากนั้นแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็นกลุ่มๆ ตามจำานวน ของชุดทดสอบทีม่ ี 2. ศกึ ษาเอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั วธิ กี ารทดสอบสารปนเปอ้ื นในอาหารและการใชช้ ดุ ทดสอบจากคมู่ อื การใชท้ มี่ ีในชดุ อปุ กรณ์ทดสอบ 3. วางแผนการทดลองรว่ มกนั ในกลมุ่ โดยแบง่ หนา้ ทกี่ นั เพอ่ื ใหก้ ารดาำ เนนิ การเสรจ็ รวดเรว็ ทนั เวลา 4. ดำาเนินการทดลองโดยการเตรียมอาหารตัวอย่างในปริมาณท่ีคู่มือกำาหนดไว้ และปฏิบัติการ ทดสอบตามคมู่ ือ 5. ขั้นทดสอบประเมินผล สังเกตผลการทดลองท่ีได้ว่าอาหารพบหรือไม่พบสารปนเป้ือนชนิด ทก่ี ลมุ่ ตนเองทาำ การทดสอบ หากไมแ่ นใ่ จหรอื ผลการทดลองไมช่ ดั เจน ทาำ การทดสอบซาำ้ อกี ครง้ั และบนั ทึกผลการทดลองลงในแบบบันทึกผลการทดลอง สารเคมีในชวี ติ ประจำาวันและในงานอาชีพ 161 6. นำาเสนอผลลพั ธ ์ โดยดำาเนนิ การดังนี้ 1) ให้แต่ละกลุ่มนำาเสนอผลการทดลองของตนเอง และสรุปว่ามีอาหารชนิดใดบ้างท่ีพบ สารปนเปอ้ื นชนิดทก่ี ลุ่มตนเองทำาการทดสอบ ให้เวลากลมุ่ ละ 5 นาทใี นการนาำ เสนอ 2) เมอื่ ทกุ กลมุ่ นาำ เสนอเสรจ็ แลว้ ใหท้ กุ กลมุ่ รว่ มกนั สรปุ วา่ อาหารแตล่ ะชนดิ ทที่ าำ การทดสอบ สารปนเป้ือนน้ันพบสารใดบา้ ง 3) ผเู้ รยี นและผสู้ อนรว่ มกนั อภปิ รายถงึ ผลการทดลองทเี่ กดิ ขนึ้ และผลกระทบหรอื อนั ตราย จากอาหารท่มี ีสารปนเป้ือนท่เี ปน็ พษิ ตารางบันทกึ ผลการทดลอง ให้บันทึกสญั ลกั ษณ์ลงในตาราง ✓ หมายถึงพบสารปนเป้อื นและ ✕ หมายถึงไม่พบสารปนเป้อื น สารท่ที ดสอบ เคร่ืองแกงเผ็ด หมกึ อาหาร กงุ้ หอยแมลงภ่ ู หน่อไมด้ อง บอแรกซ์ สารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรเจน ซัลไฟต)์ ฟอรม์ าลีน สารกันรา (กรดซาลิซิลิก) สรปุ และอภิปรายผลการทดลอง สดุ ยอดคู่มือครู 117
1 . ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 162 วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาอาชีพธรุ กิจและบริการ กิจกรรมท่ี 3 เจลลา้ งหน้าสมนุ ไพร คำาสงั่ ผู้สอนกำาหนดสถานการณใ์ ห้ดังน้ ี สมมตวิ า่ ทบี่ า้ นของผู้เรียนมีพืชท้องถ่ินหลายชนิดท่ีเป็นสมนุ ไพร แต่ละชนิดมีสรรพคุณแตกต่างกัน และผู้เรียนอยากทำาเจลล้างหน้าสูตรสมุนไพรที่มีในบ้านของ ผู้เรียนเองโดยอยากทราบว่า สมนุ ไพรชนดิ ใดเหมาะทจี่ ะทาำ เจลลา้ งหนา้ ไดด้ กี วา่ กนั ผเู้ รยี นจะดาำ เนนิ การอย่างไรในการทดลองในเวลา 1 ชั่วโมง โดยแต่ละกลุ่มให้ทดลองใช้สมุนไพรกลุ่มละไม่เกิน 3 ชนิด โดยหาสมุนไพรมาจากบา้ นของตนเอง ซง่ึ มสี ารเคมแี ละอุปกรณ์ที่กาำ หนดให้ดังนี้ สารเคมี วัฏภาค ชอื่ สาร ปรมิ าณ (ร้อยละ) หน้าท่ีของสาร 1.80 ชว่ ยสร้างเนอื้ เจล นำ้า ไฮดรอกซีเอทิลเซลลโู ลส 55.00 เปน็ ตัวทาำ ละลาย นำา้ สะอาด + นำ้าสมุนไพร (สมนุ ไพร รอ้ ยละ20 ของ 2.00 สารปรับให้ฟองนุ่มละเอยี ด ปรมิ าณสารทง้ั หมดในสูตร) 1.00 สารให้ความชมุ่ ชื้น 39.00 สารชาำ ระลา้ ง ทาำ ความสะอาด นำ้ามนั โคคามิโดโพรพลิ บีเทน 0.50 สารกนั เสยี โพรพลิ ีนไกลคอล 0.50 สารปรับเบสให้ข้ึนเนือ้ เจล แอมโมเนยี มลอริลซลั เฟต 0.20 ทำาใหม้ กี ลิน่ หอม ไกลแคน ไดเอทาโนลาไมด์ นาำ้ มนั หอม นำา้ หอม ระเหย วสั ดุอปุ กรณ ์ 1. บีกเกอรข์ นาด 250 ml จาำ นวน 1 ใบ 2. แทง่ แกว้ คนสาร 3. เครอื่ งช่ังสารเคมี 4. เตาไฟฟา้ 5. ภาชนะบรรจเุ จลลา้ งหน้า วิธดี ำาเนนิ การ 1. ตรวจเชก็ วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละสารเคมที ม่ี ี และจดั หาสมนุ ไพรทต่ี อ้ งการใชท้ ดลองมากลมุ่ ละไมเ่ กนิ 3 ชนิด 2. ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับวิธีการทำาเจลล้างหน้า ส่วนประกอบและหน้าที่ของสารเคมีที่ใช้ เป็นส่วนผสม สารเคมใี นชีวติ ประจำาวนั และในงานอาชีพ 163 3. วางแผนการทดลองร่วมกันในกลุ่ม โดยการคำานวณปริมาณของสารที่ต้องใช้ตามร้อยละของ ส่วนประกอบของสารในสูตรท่ีกำาหนดให้ตามตาราง จากปริมาณท่ีกลุ่มต้องการผลผลิต เช่น ตอ้ งการผลติ 150 ml คาำ นวณวา่ ตอ้ งใชส้ ารแตล่ ะชนดิ อยา่ งละกกี่ รมั และในสว่ นของนาำ้ สะอาด กับนำ้าสมุนไพร ให้ใช้สมุนไพรไม่เกินร้อยละ 20 ของน้ำาหนักรวมทั้งหมดของส่วนผสม หากผู้เรียนต้องการทำาเจลล้างหน้าสมุนไพร 3 ชนิด ให้ใช้สัดส่วนเดิมทั้ง 3 สูตร แต่เปล่ียน ชนิดของสมุนไพร 4. ดาำ เนนิ การทดลองดังนี้ 1) เตรียมนำ้าสมุนไพรจากพืชสมุนไพรท่ีเตรียมมา โดยการนำาสมุนไพรมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก แล้วปน่ั ผสมกับนาำ้ สะอาดในอตั ราส่วน สมุนไพร 1 ส่วน : นำา้ 3 ส่วน จากนั้นกรองกากออก ด้วยผ้าขาวบาง นำานำ้าสมุนไพรไปต้มเพ่ือฆ่าเชื้อโรค หรือสมุนไพรบางชนิดก็สามารถต้ม สกัดกับนา้ำ ไดเ้ ลย 2) ตวงนำา้ สมุนไพรและน้าำ สะอาดตามปริมาณที่คาำ นวณไว้ ใส่ในบีกเกอรข์ นาด 250 ml 3) ตวงไฮดรอกซเี อทลิ เซลลูโลสตามปรมิ าณท่ีคาำ นวณได้ จากนน้ั นำาไปละลายนาำ้ สะอาดกบั น้ำาสมุนไพรท่ีเตรียมไว้ในบีกเกอร์ในข้อ 2) แล้วนำาไปอุ่นให้ร้อน คนส่วนผสมให้เข้ากัน จนมลี ักษณะขน้ึ เจล 4) ตวงส่วนผสมทุกอย่างในวัฏภาคนำ้ามันในปริมาณท่ีคำานวณได้ แล้วใส่ในส่วนผสมใน ข้อ 3) คนใหส้ ่วนผสมเปน็ เนือ้ เดยี วกัน 5) เติมน้ำาหอมเล็กนอ้ ยคนให้เขา้ กนั บรรจุใสภ่ าชนะสำาหรับบรรจเุ จลล้างหน้า 5. ข้ันทดสอบประเมินผล สังเกตผลการทดลองที่ได้ว่าเจลล้างหน้าท่ีได้จากสมุนไพรแต่ละชนิด มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร ในด้านลักษณะเนื้อสัมผัสของเจลล้างหน้า การเกิดฟอง การชำาระล้างออกง่าย โดยเทียบกับเกณฑ์ประเมินผลช้ินงานที่กำาหนดให้ จากน้ันให้ทุกกลุ่ม ประเมินลักษณะของเจลล้างหน้าสมุนไพรท้ัง 3 ชนิดเปรียบเทียบกันว่าเจลล้างหน้าสมุนไพร ท่กี ลมุ่ ตนเองทดลองมา 2 หรอื 3 สูตรนั้นสตู รใดดกี วา่ กัน เพราะเหตใุ ด 6. นาำ เสนอผลลพั ธ์ โดยดำาเนินการดงั นี้ 1) ให้แต่ละกลุ่มนำาเสนอผลการทดลองของตนเอง และสรุปว่าเจลล้างหน้าสมุนไพรท่ีกลุ่ม ตนเองทดลองมา 2 หรอื 3 สูตรน้ันสูตรใดดกี ว่ากนั เพราะเหตใุ ด ใหเ้ วลากลุม่ ละ 5 นาที ในการนาำ เสนอ 2) เม่ือทุกกลุ่มนำาเสนอเสร็จแล้ว ให้ทุกกลุ่มร่วมกันสรุปว่าสมุนไพรที่แต่ละกลุ่มนำามาใช้ มีผลดี ผลเสียต่อการเกิดเจลล้างหน้าอย่างไร สมุนไพรชนิดใดเหมาะสมที่จะนำามาผลิต เจลล้างหนา้ 3) ผสู้ อนประเมนิ ผลการผลติ เจลลา้ งหนา้ ใหผ้ เู้ รยี น โดยใชแ้ บบประเมนิ ผลชน้ิ งานทก่ี าำ หนด ให้และใชเ้ กณฑท์ ี่กำาหนดไว้เป็นเกณฑก์ ารประเมิน 118 สดุ ยอดคู่มือครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันสื่อสารและน�ำเสนอ 5 . ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 164 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ แบบประเมินกจิ กรรมที ่ 3 เจลลา้ งหนา้ สมนุ ไพร รายวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบริการ ระดบั ช้นั ชื่อสมาชิกในกลมุ่ 1. 2. 3. 4. 5. 6. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ปฏิบตั ิการทดลองการผลิตเจลลา้ งหน้าสมุนไพรได้ แบบประเมนิ คณุ ภาพชน้ิ งาน รายการประเมิน ดมี าก (4) ระดับคุณภาพ ด ี (3) พอใช้ (2) ควรปรับปรงุ (1) 1. ใชส้ มนุ ไพรทพ่ี บในทอ้ งถน่ิ มาผลติ เจลลา้ งหน้าสมุนไพร 2. ลกั ษณะของเจลล้างหน้าสมุนไพร 3. กล่นิ และสสี นั ของเจลลา้ งหน้า 4. ความประณีตในการผลิตเจล ล้างหนา้ 5. ความสะอาดของช้นิ งาน คะแนนรวม คะแนนรวมสทุ ธิ ผูป้ ระเมนิ เดือน ตนเอง / เพ่ือน / ผู้สอน ( ) วันที่ พ.ศ เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน ดีมาก ให้ 3 คะแนน ดี ให ้ 2 คะแนน พอใช ้ ให้ 1 คะแนน ควรปรับปรุง สารเคมใี นชีวติ ประจาำ วนั และในงานอาชีพ 165 รายการประเมิน รายละเอยี ดของเกณฑ์การประเมินคณุ ภาพชิ้นงาน 1 ควรปรับปรงุ ช่อื ช้ินงาน : เจลล้างหน้าสมนุ ไพร ระดับคุณภาพ 4 ดมี าก 3 ดี 2 พอใช ้ 1. ใช้สมนุ ไพรทีพ่ บ พืชสมุนไพรท่ีนำามาใช้ พืชสมุนไพรท่ีนำามาใช้ พืชสมุนไพรที่ใช้ โดย ไม่ค่อยมีในท้องถ่ิน ในท้องถ่ินมาผลติ เ ป็ น พื ช ใ น ท้ อ ง ถ่ิ น เปน็ พชื ทพี่ บในทอ้ งถนิ่ ทั่วไปมีสรรพคุณต่อ และไม่ได้มีสรรพคุณ เจลลา้ งหน้า มี ส ร ร พ คุ ณ ที่ ดี ต่ อ มี ส ร ร พ คุ ณ ที่ ดี ต่ อ ผวิ พรรณนอ้ ย เปน็ พชื ที่ดีต่อผิวพรรณ หรือ สมุนไพร ผิ ว พ ร ร ณ แ ล ะ ผิวพรรณ ท่ีหายาก ผู้เรียนจัดซื้อมาจาก สรรพคุณในด้านอ่ืนๆ ร้ า น ข า ย ย า แ ผ น - ด้วย มีการนำาไปใช้ โบราณ ประโยชน์ในด้านอ่ืน ค่อนขา้ งมาก 2. ลักษณะของเจล ลักษณะเนื้อเจลใส ลักษณะเนื้อเจลใส เน้ือเจลไม่ใส หนืด เนอื้ เจลไมใ่ ส มตี ะกอน ลา้ งหน้าสมุนไพร ไม่มีตะกอน ไม่แยก ไม่มีตะกอน ไม่แยก ข้ น ห รื อ เ ห ล ว ม า ก หนดื ขน้ หรอื เหลวมาก ช้ัน ไม่ข้นหรือเหลว ช้ัน ค่อนข้างเหลว มี เนื้อเจลไม่รวมเป็น เนื้อเจล ไม่รวมเป็น เกินไป มีลักษณะเป็น ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น เ จ ล เน้ือเดยี วกัน เนอ้ื เดยี วกนั เจล มฟี องปานกลาง เ ล็ ก น้ อ ย มี ฟ อ ง ลา้ งออกง่าย ปานกลางล้างออกง่าย 3. กล่ินและสีสันของ มีสีไม่ฉูดฉาด กลิ่น สีไม่ฉูดฉาด กลิ่น กล่ินนำ้าหอมฉุน สี สี เ ข้ ม ม า ก ก ลิ่ น เ จ ล ล้ า ง ห น้ า หอมอ่อนๆ สีกระจาย นำ้าหอมฉุนมาก สี กระจายตวั ไมส่ มา่ำ เสมอ นำ้ า ห อ ม ฉุ น ม า ก สมนุ ไพร ตัวสมำ่าเสมอ ล้างออก กระจายตวั ไมส่ มาำ่ เสมอ ลา้ งออกยาก สีกระจายตัวไม่สม่ำา- ง่ายมาก ลา้ งออกงา่ ยสเี ข้มมาก เสมอ ล้างออกยาก 4. ค ว า ม ป ร ะ ณี ต มีความประณีตมาก มี ค ว า ม ป ร ะ ณี ต มีความประณีตน้อย ไม่มคี วามประณีต ในการผลติ ทส่ี ุด ปานกลาง มาก 5. ความสะอาด ผลงานมีความสะอาด ผลงานมีความสะอาด ผลงานมีความสะอาด ผ ล ง า น ไ ม่ มี ค ว า ม มากทสี่ ดุ ปานกลาง นอ้ ยมาก สะอาด เกณฑ์การแปลความหมายคะแนน แปลความหมาย คะแนน คณุ ภาพช้ินงาน ดมี าก คะแนนรวม 16 – 20 คะแนนรวม 11 – 15 คณุ ภาพชิน้ งาน ดี คะแนนรวม 6 – 10 คุณภาพชิ้นงาน พอใช้ คะแนนรวม 1 – 5 คุณภาพช้นิ งาน ควรปรับปรงุ สดุ ยอดคมู่ ือครู 119
1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต ผูส้ อนใหผ้ ู้เรียนท�ำแบบทดสอบ 166 วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบรกิ าร จากนนั้ ใหผ้ ้เู รียนแลกกนั ตรวจค�ำตอบ แบบทดสอบ โดยผูส้ อนเปน็ ผเู้ ฉลย คำาสั่ง จงเลอื กคำาตอบทถ่ี ูกตอ้ งทสี่ ุดเพียงคาำ ตอบเดยี ว เฉลยแบบทดสอบ 1. ตอบ 5. เปลอื กมงั คดุ ขา้ วเหนยี วดำ� ลกู หวา้ 1. ขอ้ ใดใหส้ ีธรรมชาตสิ ีม่วงทัง้ หมด ลูกผักปลังสกุ ใหส้ ธี รรมชาติสีม่วงท้งั หมด 1. ลกู หวา้ ใบยอ ดอกอญั ชนั มนั เลอื ดนก 2. ตอบ 3. สารปรุงแต่งกล่ินสังเคราะห์ 2. เมลด็ คาำ แสด คร่ัง ลกู ผักปลงั สกุ เปลือกมังคุด ที่ให้กลิ่นเนยใช้ในอุตสาหกรรม การผลิต ป๊อปคอร์นกึ่งส�ำเร็จรูปคือ อะซิติลพรอพิ 3. องั คกั อญั ชนั ผสมมะนาว ดอกดนิ ข้าวเหนียวดาำ โอนลิ 3. ตอบ 1. น้�ำตาลเทียมชนิดแอสปาร์แทม 4. ผลพดุ จนี ดอกกรรณกิ าร์ ครงั่ เปลอื กแกว้ มังกร ใช้ในผ้ปู ่วยภาวะฟีนิลคีโตน ยูเรียไมไ่ ด้ 4. ตอบ 5. ซอสครีมมีคลอเรสเตอรอลสูง 5. เปลือกมังคดุ ข้าวเหนยี วดำา ลกู หวา้ ลกู ผักปลงั สกุ ไม่เหมาะกับผู้สงู วัย กล่าวถูกตอ้ งเกย่ี วกับ สารปรุงรสเค็มในอาหาร 2. สารปรุงแต่งกล่ินสังเคราะห์ที่ใหก้ ลนิ่ เนยใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตปอ๊ ปคอร์นกึง่ สาำ เร็จรปู คือข้อใด 5. ตอบ 2. รสอูมามิเป็นกรดอะมิโนที่ได้ จากการย่อยสลายของโปรตีน กล่าวถูก 1. เมทลิ ซาลไิ ซเลต 2. เอทลิ โพรพโิ อนลิ ตอ้ งเกย่ี วกับรสอูมามิ (Umami) 3. อะซิติลโพรพโิ อนลิ 4. ออกทิลเอทาโอนิล 5. โพรพิลบวิ ทาโอนลิ 3. นาำ้ ตาลเทียมชนดิ ใดหา้ มใชใ้ นผปู้ ว่ ยภาวะฟีนิลคีโตนยเู รีย 1. แอสปาร์แทม 2. แซกคารนี 3. อะซิซลั เฟมโพแทสเซียม 4. ซูคราโลส 5. นโี อแทม 4. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้องเกยี่ วกบั สารปรงุ รสเค็มในอาหาร 1. นำา้ ปลาต้องได้จากการหมกั ปลาเทา่ นนั้ 2. เกลือบรโิ ภคที่ดีทีส่ ุดคือเกลือสินเธาว์ 3. ซีอิ๊วเคมีทาำ จากสารสงั เคราะหท์ างเคมี 4. ถ่ัวทุกชนดิ สามารถนาำ มาหมักเป็นซอสถ่ัวได้ 5. ซอสครีมมีคอเรสเตอรอลสงู ไมเ่ หมาะกับผสู้ ูงวยั 5. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกยี่ วกบั รสอมู ามิ (Umami) 1. ในอาหารทกุ ชนิดเมอ่ื ปรงุ สุกสามารถทาำ ให้เกิดรสอมู ามิได้ 2. รสอูมามเิ ปน็ กรดอะมโิ นทีไ่ ด้จากการยอ่ ยสลายของโปรตนี 3. รสอูมามิเป็นสารเคมีทีส่ งั เคราะหข์ ึ้นจากหอ้ งปฏบิ ัติการ 4. ผงปรุงรสท่ใี ชป้ รงุ แตง่ รสอาหารผลิตจากการต้มเคี่ยวกระดูกสตั ว์ 5. ผงชรู สสามารถบรโิ ภคไดท้ ุกคนอย่างปลอดภัย เพราะเปน็ โปรตนี ชนิดหน่ึง 120 สดุ ยอดคู่มอื ครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean สารเคมีในชวี ติ ประจำาวนั และในงานอาชีพ 167 เฉลยแบบทดสอบ 6. ตอบ 2. สารลดแรงตงึ ผวิ ชนดิ โซเดยี มลอรลิ 6. สารลดแรงตงึ ผิวชนิดใดทม่ี ีฤทธ์ิในการทำาความสะอาดได้ดที สี่ ุดและอนั ตรายมากกว่าชนดิ อ่ืนๆ ซลั เฟต (SLS) ทม่ี ฤี ทธใิ์ นการทำ� ความสะอาด 1. โซเดยี มลอรลิ อีเทอร์ซัลเฟต (SLES) ไดด้ ที ี่สดุ และอันตรายมากกว่าชนิดอนื่ ๆ 7. ตอบ 3. สารไอโซพรอพิลไมริสเตทใน 2. โซเดียมลอรลิ ซลั เฟต (SLS) เคร่ืองส�ำอางที่ท�ำหน้าท่ีเคลือบผิวเพื่อ เก็บรักษาความชุ่มช้ืนและท�ำให้โลช่ันซึม 3. แอมโมเนยี มลอริลซลั เฟต (ALS) เข้าผิวเร็วข้นึ 8. ตอบ 2. สารพาราควอต เป็นสารก�ำจัด 4. อลั คิลเบนซีนซัลโฟเนตแบบโซต่ รง (LAS) วัชพืชท่ีมีการออกฤทธิ์ท�ำลายเนื้อเย่ือ ของพชื ทำ� ให้เซลลเ์ มมเบรนแตกสลาย 5. โนนลิ ฟีนอลอที อกซีเลต (NPE) 9. ตอบ 3. ไอบโู ปรเฟนมฤี ทธต์ิ า้ นการอกั เสบ ด้วย จึงสามารถลดความเจ็บปวดได้ดีกว่า 7. สารใดในเครอื่ งสำาอางท่ีทำาหน้าที่เคลือบผิวเพ่ือเกบ็ รักษาความชุ่มช้ืนและทาำ ใหโ้ ลชัน่ ซึมเข้าผิวเรว็ ขน้ึ ยาพาราเซตามอล กล่าวถูกต้องเก่ียวกับ ยาแกป้ วดลดไข้ 1. โพรพลิ ีนไกลคอล 2. ไตรเอทานอลเอไมด ์ (TEA) 10. ตอบ 4. สารเคมีที่ซ้ือมาเป็นขวดใหญๆ่ ไม่สะดวกในการใช้ควรแบ่งใส่ขวดน้�ำที่ใช้ 3. ไอโซโพรพิลไมรสิ เตท 4. พอลเิ อทิลนี ไกลคอล แล้วเพื่อสะดวกในการใช้งาน ไม่ใช่ความ ปลอดภยั ในการใชส้ ารเคมใี นชวี ติ ประจำ� วนั 5. อมิ ดิ าโซลดิ นิ ิล 8. พาราควอตเปน็ สารกาำ จดั วชั พชื ท่มี กี ารออกฤทธิ์อยา่ งไร 1. ยับยงั้ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช 2. ทาำ ลายเน้อื เย่ือของพชื ทำาให้เยื่อหุม้ เซลล์แตกสลาย 3. ยับย้งั การเจรญิ เตบิ โตของรากและลำาตน้ 4. ยับยั้งการทาำ งานของเอนไซม์ทเี่ ฉพาะเจาะจงในการป้องกนั การสร้างกรดอะมโิ น 5. ยบั ยง้ั การสรา้ งกรดไขมันท่เี ปน็ องคป์ ระกอบสาำ คัญของเยื่อหุ้มเซลล์ 9. ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ งเก่ยี วกับยาแกป้ วดลดไข้ 1. ยาแอสไพรินเป็นยาทร่ี ่างกายขบั ออกได้ไม่มกี ารสะสมจึงไม่เป็นอันตราย 2. ยาพาราเซตามอลจะมีผลต่อไตทำาให้เส่ยี งต่อการเป็นโรคไตวาย 3. ไอบูโพรเฟนมีฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วย จงึ สามารถลดความเจ็บปวดได้ดกี วา่ ยาพาราเซตามอล 4. ไพร็อกซิแคมเป็นยาแก้ปวดสำาหรับลดอาการปวดจากโรครูมาตอยด์และโรคปวดข้ออักเสบ กำาเรบิ เฉียบพลัน จึงเป็นยาแก้ปวดทแ่ี รงที่สุด 5. ครีมทาแก้ปวดโวลทาเรนเจลท่ีนักกีฬานิยมใช้เพื่อทาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อจากการเล่นกีฬา มีกรดเมเฟนามคิ เปน็ สารออกฤทธแ์ิ ก้ปวด 1 0. ข้อใดไม่ใชค่ วามปลอดภัยในการใช้สารเคมีในชีวติ ประจาำ วัน 1. จัดเก็บสารเคมตี ามประเภทของการใชง้ าน 2. เก็บไวใ้ นตทู้ ่ีปิดมิดชิด หรือในต้ทู เ่ี ดก็ หยิบไมถ่ งึ กรณีที่เป็นสารอันตรายมากๆ 3. ทำาฉลากปดิ ไว้ข้างขวดบรรจุภณั ฑ ์ เพอ่ื จำาแนกวา่ เป็นสารอนั ตรายมากน้อยระดบั ใด 4. สารเคมีที่ซ้ือมาเป็นขวดใหญ่ๆ ไม่สะดวกในการใช้ควรแบ่งใส่ขวดนำ้าที่ใช้แล้วเพ่ือสะดวก ในการใช้งาน 5. ควรแยกเกบ็ สารที่ใช้ในการเกษตรไว้นอกบา้ น เชน่ สารฆ่าแมลง ปุย๋ เคมี สุดยอดคูม่ ือครู 121
ตารางสรปุ คะแนนการประเมินจดุ ประสงค์การเรียนรู้ และสมรรถนะประจำ� หนว่ ย หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 สารเคมีในชีวิตประจ�ำวนั และในงานอาชีพ คะแนนตาม จปส. รายหนว่ ยการเรียนรู้ ช้ินงาน/การแสดงออก 1. บอกความหมายและความส�ำ ัคญของสารเค ีม ่ทีใช้ใน รวม ที่ก�ำหนดในหน่วยการเรยี นรู้หรอื หนว่ ยย่อย ชี ิวตประจ�ำ ัวนใน ้ดานต่างๆ ไ ้ด 2. �จำแนกประเภทของสารเคมี ีท่ใช้ในชี ิวตประ �จำ ัวนในด้าน ต่างๆ ได้ 3. อธิบายการใ ้ชสารเค ีมประเภท ่ตางๆ ่ีทอยู่ใน ีช ิวตประ �จำ ัวนไ ้ด 4. ระบุชนิดของสาร ่ทีเป็นส่วนผสมส�ำ ัคญในสารเค ีม ช ินด ่ตางๆ ่ทีใช้ในชีวิตประ �จำ ัวนไ ้ด 5. เปรียบเ ีทยบ ุคณสมบัติของสารแต่ละช ินด ่ีทเป็นส่วนผสม ในสารเค ีมชนิด ่ตางๆ ที่ใ ้ชในชี ิวตประ �จำ ัวนไ ้ด 6. อ ิธบาย ัอนตรายท่ีเ ิกด ึข้นจากการใช้สารเคมีช ินดต่างๆ ในชีวิตประ �จำวันไ ้ด 7. บอกห ัลกการป ิฏ ับติเ ื่พอความปลอดภัยในการใช้สารเค ีม ประเภทต่างๆ ในชี ิวตประ �จำ ัวนไ ้ด ภาระงาน/ชิ้นงานระหวา่ งเรียน 1. ผงั กราฟกิ แสดงการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั สารเคมี ในชีวติ ประจำ�วนั และในงานอาชีพ 2. ผังกราฟิกสรุปความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสารเคมี ใชีวิตประจำ�วนั และในงานอาชพี 3. การนำ�เสนอผลการสรุปความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ สารเคมใี นชีวติ ประจำ�วนั และในงานอาชีพ การประเมินรวบยอด 1. ผลการปฏิบัตกิ ิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 2. ผลการปฏบิ ัติกิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้ 3. ผลการประเมนิ ตนเอง 4. คะแนนผลการทดสอบ รวม หมายเหตุ: คะแนนการประเมนิ จดุ ประสงค์การเรยี นร้ขู ึน้ อยูก่ บั การออกแบบแผนการจดั การเรยี นรขู้ องผ้สู อน 122 สดุ ยอดคู่มือครู
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5 5 ปโิ ตรเลียมและผลิตภัณฑ์ ปโิ ตรเลยี มและผลิตภณั ฑ์ สาระสาำ คัญ สาระการเรยี นรู้ 1. ปโิ ตรเลยี มและการเกดิ ปโิ ตรเลียม (หนังสอื เรียน ปิโตรเลียมเป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีความสำาคัญต่อการดำาเนินชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก หน้า 170) เปน็ วตั ถดุ บิ ทสี่ าำ คญั ในการเปน็ แหลง่ เชอ้ื เพลงิ ทใี่ หพ้ ลงั งานตา่ งๆ ในกจิ กรรมของมนษุ ย ์ เชน่ พลงั งานไฟฟา้ 2. การสำ� รวจปโิ ตรเลยี ม (หนงั สอื เรยี น หนา้ 172) พลงั งานเชอ้ื เพลงิ ในรถยนตแ์ ละโรงงานอตุ สาหกรรมตา่ งๆ ฯลฯ นอกจากนย้ี งั เปน็ วตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรม 3. ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม (หนังสือเรียน ปโิ ตรเคม ี เชน่ พลาสตกิ ป๋ยุ ยาฆา่ แมลง เส้นใยและสารสังเคราะห์ และผลติ ภัณฑ์สาำ เรจ็ รปู อน่ื ๆ อกี เป็น หนา้ 177) จาำ นวนมากท่ีมนษุ ยน์ าำ มาใช้ในการดำารงชวี ิต ประเทศไทยเร่ิมมีการสำารวจปโิ ตรเลยี มมาตง้ั แต ่ พ.ศ. 2464 4. อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมี (หนงั สอื เรยี น หนา้ 188) และพบแหล่งน้าำ มนั ดบิ ท่อี าำ เภอฝาง ในภาคเหนือเปน็ แห่งแรก จากนั้นไดม้ กี ารสำารวจหาแหลง่ ปโิ ตรเลยี ม 5. ผลกระทบจากการใชป้ โิ ตรเลยี มและผลติ ภณั ฑ์ เพม่ิ ขนึ้ อกี อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จนปจั จบุ นั มกี ารคน้ พบและดาำ เนนิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากปโิ ตรเลยี มเปน็ จาำ นวนมาก (หนังสอื เรยี น หน้า 189) สมรรถนะประจ�ำหนว่ ย สาระการเรยี นรู้ 1. แสดงความรู้และปฏิบัติเกี่ยวกับปิโตรเลียม และผลติ ภณั ฑ์ 1. ปโิ ตรเลียมและการเกิดปิโตรเลยี ม 2. ประยกุ ตค์ วามรเู้ รอื่ งปโิ ตรเลยี มและผลติ ภณั ฑ์ 2. การสำารวจปโิ ตรเลยี ม ในชวี ิตประจำ� วันและการประกอบอาชพี 3. ผลติ ภัณฑจ์ ากปิโตรเลยี ม จุดประสงค์การเรียนรู้ 4. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี 1. บอกความหมายของปโิ ตรเลียมได้ 5. ผลกระทบจากการใชป้ ิโตรเลียมและผลติ ภณั ฑ์ 2. บอกองคป์ ระกอบของปิโตรเลียมได้ 3. อธิบายกระบวนการเกิดปโิ ตรเลยี มได้ 4. อธบิ ายวธิ กี ารสำ� รวจแหลง่ ปิโตรเลยี มได้ 5. อธิบายกระบวนการกลั่นน�้ำมันดิบและแก๊ส ธรรมชาติได้ 6. ระบชุ อ่ื ผลติ ภณั ฑแ์ ละประโยชนข์ องผลติ ภณั ฑ์ จากปโิ ตรเลียมได้ 7. อธบิ ายการกำ� หนดคณุ ภาพของนำ้� มันได้ 8. อธิบายกระบวนการผลิตปโิ ตรเคมไี ด้ 9. อธิบายผลกระทบจากการใช้ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑไ์ ด้ การประเมินผล ภาระงาน/ชิน้ งานรวบยอดในหน่วยการเรียนรู้ 1. ผลการปฏิบัติกจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ภาระงาน/ชนิ้ งาน/การแสดงออกของผ้เู รียน 2. ผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้ ภาระงาน/ช้ินงานระหวา่ งเรยี น 3. ผลการประเมนิ ตนเอง 1. ผังกราฟิกแสดงการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกับปิโตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ 4. คะแนนผลการทดสอบ 2. ผังกราฟิกสรปุ ความร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกับปิโตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ 3. การนำ� เสนอผลการสรปุ ความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั ปโิ ตรเลยี มและผลติ ภณั ฑ์ สุดยอดคมู่ อื ครู 123
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต Step 1 ข้นั รวบรวมข้อมลู ปิโตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ 169 Gathering สมรรถนะประจำาหนว่ ย 1. ผสู้ อนแบง่ กลมุ่ ผเู้ รยี นรว่ มกนั ศกึ ษาเอกสาร 1. แสดงความรแู้ ละปฏิบตั เิ ก่ยี วกบั ปโิ ตรเลียมและผลิตภัณฑ์ หนังสือเรียนวิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนา 2. ประยุกตค์ วามรเู้ รอ่ื งปโิ ตรเลยี มและผลติ ภณั ฑไ์ ปใชใ้ นชีวิตประจำาวันและการประกอบอาชีพ ธุรกิจและบริการ เรื่อง ปิโตรเลียมและ การเกดิ ปโิ ตรเลยี ม (หนงั สอื เรยี น หนา้ 170) จุดประสงค์การเรียนรู้ การส�ำรวจปิโตรเลียม (หนังสือเรียน หน้า 172) ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม 1. บอกความหมายของปโิ ตรเลียมได้ (หนังสือเรียน หน้า 177) อุตสาหกรรม 2. บอกองคป์ ระกอบของปโิ ตรเลียมได้ ปโิ ตรเคมี (หนงั สือเรียน หน้า 188) ผลกระทบ 3. อธิบายกระบวนการเกิดปิโตรเลยี มได้ จากการใช้ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ 4. อธบิ ายวิธกี ารสำารวจแหล่งปโิ ตรเลียมได้ (หนงั สือเรยี น หนา้ 189) 5. อธบิ ายกระบวนการกล่ันน้ำามันดิบและแก๊สธรรมชาตไิ ด้ 2. ผู้สอนต้ังค�ำถามให้ผู้เรียนเสนอข้อมูลจาก 6. ระบชุ ือ่ ผลิตภัณฑแ์ ละประโยชน์ของผลติ ภัณฑจ์ ากปิโตรเลียมได้ ประสบการณเ์ ดมิ ทร่ี บั รใู้ นเรอื่ งกระบวนการ 7. อธิบายการกาำ หนดคุณภาพของนา้ำ มันได้ สอื่ สาร เชน่ ปโิ ตรเลยี มและการเกดิ ปโิ ตรเลยี ม 8. อธบิ ายการผลติ ปิโตรเคมีได้ การส�ำรวจปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์จาก 9. อธิบายผลกระทบจากการใช้ปโิ ตรเลียมและผลติ ภณั ฑ์ได้ ปโิ ตรเลยี ม อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมี ผลกระทบ จากการใช้ ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ ผังสาระการเรียนรู้ ปิโตรเลียมและการเกดิ ปิโตรเลียม 3. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มบันทึกผลจากการศึกษา ตามหัวข้อที่ก�ำหนดลงผังกราฟิก (เลือก ปิโตรเลยี ม การสาำ รวจปิโตรเลียม ออกแบบและใช้ผังกราฟิกให้เหมาะสมกับ และผลติ ภณั ฑ์ ผลติ ภณั ฑจ์ ากปโิ ตรเลียม ลักษณะของข้อมูล) ดงั ตัวอยา่ ง อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมี ผลกระทบจากการใชป้ โิ ตรเลียม และผลติ ภณั ฑ์ (ระหว่างผ้เู รยี นศึกษาเอกสาร ค้นคว้าและบันทึกผล บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ผสู้ อน คอยให้ค�ำแนะน�ำตอ่ เน่อื งรายกลุ่ม) • การท�ำงานเป็นทมี ทมี ละ 5-6 คน ฝกึ การคิดวเิ คราะห์ การแก้ปัญหา • การใช้สอ่ื /เทคโนโลยี/สิ่งท่นี า่ สนใจอืน่ ๆ 124 สดุ ยอดคู่มอื ครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 170 วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ ep 2 ขนั้ คิดวิเคราะห์และสรปุ ความรู้St 1. ปโิ ตรเลียมและการเกิดปโิ ตรเลยี ม Processing 1.1 ความหมายของปโิ ตรเลยี ม 1. ผู้เรียนร่วมกันจ�ำแนก จัดกลุ่ม และโยงสัมพันธ์ข้อมูล ปโิ ตรเลยี ม (Petroleum) มาจากคำาในภาษาละตนิ 2 คำา คอื เพทรา (Petra) แปลวา่ หนิ และ เร่ือง ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ โดยจัดเป็นหมวดหมู่ตาม ทร่ี วบรวมได้ จากเอกสารทศี่ กึ ษาคน้ ควา้ และจากความคดิ เหน็ โอเลยี ม (Oleum) แปลว่า น้ำามัน ปโิ ตรเลยี มจึงหมายถึงน้าำ มนั ทไ่ี ดจ้ ากหนิ ของสมาชิกในกลมุ่ หรือจาก ประสบการณข์ องตน 2. ผู้เรียนเชื่อมโยงความสอดคล้องของข้อมูลท่ีน�ำมาจ�ำแนก ปิโตรเลียม หมายถึงสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีธาตุที่เป็น จัดกลุ่ม และโยงสัมพันธ์ โดยน�ำมาเขียนสรุปความรู้ตาม โครงสร้างเน้ือหาที่เชื่อมโยงได้เป็นผังความคิดรวบยอด องคป์ ระกอบหลกั 2 ชนดิ คือคาร์บอน (C) และไฮโดรเจน (H) โดยอาจมีธาตุอโลหะชนดิ อ่นื เชน่ กำามะถัน ของเร่ืองท่ีศกึ ษา ดังตวั อย่าง ออกซิเจน ไนโตรเจนปนอยู่ด้วย ปิโตรเลียมมีสถานะเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบของปิโตรเลียม นอกจากนี้ความร้อนและความดันของสภาพแวดล้อมที่ปิโตรเลียมน้ัน ถูกกักเก็บก็มีสว่ นในการกำาหนดสถานะของปิโตรเลยี ม ปิโตรเลียมแบ่งตามสถานะที่สำาคัญออกเป็น 2 ชนิด คือน้ำามันดิบ (Oil) และแก๊สธรรมชาติ (Natural Gas) น้ำามันดิบเป็นของเหลว ประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดระเหยง่ายเป็น ส่วนใหญ่ ที่เหลอื เปน็ กำามะถนั ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซดอ์ ่นื นาำ้ มันดิบแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามสมบตั แิ ละชนดิ ของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบ คอื นา้ำ มนั ดบิ ฐานพาราฟนิ นา้ำ มนั ดบิ ฐานแอสฟัลท์ และน้ำามันดิบฐานผสม นำ้ามันดิบท้ัง 3 ประเภท เม่ือนำาไปกล่ันจะให้ผลิตภัณฑ์นำ้ามัน ในสัดส่วนทแ่ี ตกตา่ งกนั สว่ นแกส๊ ธรรมชาตเิ ป็นปโิ ตรเลียมท่ีอย่ใู นรปู ของแกส๊ ณ อณุ หภมู แิ ละความดนั ที่ ผิวโลก แก๊สธรรมชาติประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นหลัก อาจมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 95 สว่ นทเ่ี หลือ ไดแ้ ก ่ ไนโตรเจนและคารบ์ อนไดออกไซด ์ บางครง้ั จะพบไฮโดรเจนซัลไฟดป์ ะปนอยู่ดว้ ย 1.2 การเกดิ ปิโตรเลียม ปิโตรเลียมเกิดจากการทับถมและแปรสภาพของซากสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ยุคก่อน ประวัติศาสตร์นับหลายล้านปี ท่ีตกตะกอนหรือถูก หินปดิ ก้นั ปิโตรเลยี ม กระแสน้ำาพัดพามาจมลง ณ บริเวณที่เป็นทะเลหรือ ปิโตรเลียม ทะเลสาบในขณะนน้ั ถูกทับถมดว้ ยชัน้ กรวด ทราย และ โคลนสลับกันเป็นช้ันๆ เกิดน้ำาหนักกดทับกลายเป็น ชนั้ หนิ ตา่ งๆ ผนวกกบั ความรอ้ นใตพ้ ภิ พและการสลายตวั 3. ผู้เรียนร่วมกันอธิบายบันทึกผลผังข้อสรุปความคิดรวบยอด ให้เขา้ ใจตรงกนั ทงั้ กลมุ่ และรายบุคคล ของอินทรียสารตามธรรมชาติในสภาพท่ีมีออกซิเจนตำ่า ทำาให้ซากพืชและซากสัตว์กลายเป็นน้ำามันดิบและแก๊ส ธรรมชาติ หรือท่ีเรียกว่า ปิโตรเลียม ดังน้ันปิโตรเลียม จะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยหิน หินอุม้ ปิโตรเลยี ม ปโิ ตรเลียม ต้นกำาเนิด (Source Rock) ซึ่งเป็นหินดินดาน (Shale) เมอ่ื ถกู กดทบั มากๆ จนเนอ้ื หนิ แนน่ ขนึ้ จะบบี ใหป้ โิ ตรเลยี ม หนิ ต้นกำาเนิด ปิโตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ 171 ไหลข้ึนสู่ด้านบนไปสะสมอยู่ในหินอุ้มปิโตรเลียม ภาพท ่ี 5.1 การเกิดปโิ ตรเลยี ม (Reservoir Rock) จากปิโตรเลียมในหินอุ้มน้ีหากไม่มีส่ิงใดกีดขวางก็จะซึมข้ึนสู่พ้ืนผิวและระเหยไป ในที่สุด ดงั นนั้ การเกิดปโิ ตรเลยี มต้องมหี นิ ปดิ ก้นั ปโิ ตรเลยี ม (Cap Rock) มาปิดก้ันไว ้ จนเกดิ เปน็ แหลง่ กกั เกบ็ ปโิ ตรเลียม (Petroluem Trap) ขน้ึ ในทสี่ ุด แหล่งกกั เก็บปิโตรเลียมสามารถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทใหญๆ่ ดังนี้ 1.2.1 แหล่งกักเก็บปิโตรเลียมท่ีเกิดจากโครงสร้างทางธรณีวิทยา (Structural Trap) เปน็ ลกั ษณะโครงสรา้ งทเี่ กดิ จากการเปลยี่ นรปู ของชน้ั หนิ เชน่ การพบั (Folding) หรอื การแตก (Faulting) หรือทง้ั สองอย่างท่เี กดิ ข้นึ กับหนิ อมุ้ ปิโตรเลียมและหินปิดก้ันปโิ ตรเลยี มท่ีมกั จะสะสมนำ้ามันไว้ ไดแ้ ก่ 1) ชน้ั หนิ กกั เกบ็ ปโิ ตรเลยี มโครงสรา้ งรปู โคง้ ประทนุ ควา่ํ (Anticline Trap) เกดิ จาก การหักงอของช้ันหิน ทำาให้ชั้นหินมีรูปร่างโค้งคล้ายกระทะควำ่าหรือหลังเต่า นำ้ามันและแก๊สธรรมชาติ จะไหลขึ้นไปสะสมตัวอยู่บริเวณจุดสูงสุดของโครงสร้างและมีหินปิดก้ันวางตัวทับอยู่ด้านบน โครงสร้าง รปู โคง้ ประทนุ ควาำ่ จดั วา่ มปี ระสทิ ธภิ าพในการกกั เกบ็ นา้ำ มนั ไดด้ ที สี่ ดุ จากสถติ ทิ วั่ โลกพบวา่ มากกวา่ รอ้ ยละ 80 ของนำา้ มนั ดิบทว่ั โลกถูกกกั เก็บอยู่ภายใต้โครงสร้างกักเก็บปโิ ตรเลยี มน้ี 2) ชน้ั หนิ กกั เกบ็ ปโิ ตรเลยี มโครงสรา้ งรปู รอยเลอื่ นของชน้ั หนิ (Fault Trap) เกดิ จาก การหักงอของชั้นหิน ทำาให้ช้ันหินเคล่ือนไปคนละแนว ซ่ึงทำาหน้าที่ปิดกั้นการเคล่ือนตัวของปิโตรเลียม ไปสู่บริเวณทีส่ งู กว่า แหล่งน้าำ มนั และแกส๊ ธรรมชาติในประเทศไทยมักพบในโครงสร้างกกั เก็บปโิ ตรเลยี มน้ี 3) ช้ันหนิ กักเก็บปโิ ตรเลยี มโครงสร้างรปู โดม (Salt Dome Trap) เกดิ จากช้นั หิน ถูกดันให้โก่งตัวด้วยแร่เกลือจนเกิดลักษณะคล้ายกับโครงสร้างกระทะควำ่าอันใหญ่ และปิโตรเลียมจะมา สะสมตัวในช้ันหินกักเก็บบริเวณรอบๆ โครงสร้างรูปโดม ตัวอย่างเช่น แหล่งนำ้ามันในอ่าวเปอร์เซียและ ตอนกลางของประเทศโอมาน หินปดิ กนั้ แก๊ส แก๊ส หินปิดกน้ั ปิโตรเลยี ม ปโิ ตรเลยี ม นำ้ามัน น้ำามนั หินอ้มุ นา้ำ หินอมุ้ ปิโตรเลียม ปิโตรเลียม (ก) โครงสร้างรูปโคง้ ประทนุ ควา่ำ (ข) โครงสรา้ งรปู รอยเล่อื นของชน้ั หิน หินปดิ กน้ั ปโิ ตรเลียม ช้นั หนิ เกลือ แกส๊ น้ำามนั (ค) โครงสรา้ งรูปโดม น้าำ หนิ อุ้มปโิ ตรเลียม ภาพท่ ี 5.2 ลกั ษณะต่างๆ ของชนั้ หินท่ีเป็นแหล่งกกั เกบ็ ปโิ ตรเลยี ม สดุ ยอดคู่มอื ครู 125
1 . ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 172 วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร Step 3 ขนั้ ปฏิบตั แิ ละสรุปความรหู้ ลังการปฏิบตั ิ 1.2.2 แหล่งกักเก็บปิโตรเลียมแบบเน้ือหินเปล่ียนแปลง (Stratigraphic Trap) เกิดจาก tAhpeplKyninogwlaenddgeConstructing การเปลี่ยนแปลงของหินอุ้มปิโตรเลียม โดยเกิดข้ึนในลักษณะท่ีแนวหินอุ้มปิโตรเลียมดันออกไปเป็น แนวขนานเข้าไปแนวหนิ ทบึ ทาำ ใหเ้ กดิ เปน็ แหล่งกกั เกบ็ หรืออาจเกิดข้นึ จากหนิ อ้มุ ปโิ ตรเลยี มเปล่ียนสภาพ ผู้เรียนน�ำข้อสรุปความรู้ความเข้าใจท่ีได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ และองค์ประกอบกลายเปน็ หนิ ทบึ ข้ึนมาก และหุ้มส่วนที่เหลอื เปน็ แหลง่ กกั เกบ็ ปิโตรเลยี มไว้ รว่ มกนั ในชนั้ เรยี นมากำ� หนดแนวปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสมกบั ตนเองหรอื สมาชกิ ในกลมุ่ โดยการทำ� กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ (หนงั สอื เรยี น 2. การสาำ รวจปโิ ตรเลียม หน้า 193) 2.1 ขนั้ ตอนการสำารวจปโิ ตรเลยี ม การสาำ รวจหาแหลง่ ปโิ ตรเลยี มเปน็ การสาำ รวจหาขอ้ มลู ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ขนาด รปู ทรงทางเรขาคณติ ของแหลง่ ปโิ ตรเลยี ม และระดับความลกึ จากพืน้ ผวิ ของแหล่งกักเก็บ เพอื่ ประเมินคุณภาพของปโิ ตรเลยี ม และความคมุ้ ทุนในการขดุ เจาะเพ่อื นาำ มาใชป้ ระโยชน์ ขน้ั ตอนในการสาำ รวจปิโตรเลียมเปน็ ดงั นี้ ข้ันตอนการสาํ รวจปโิ ตรเลียม สาำ รวจทางธรณวี ิทยา สำารวจทางธรณีฟิสิกส์ บางคร้ังอาจไมต่ อ้ ง วิธวี ดั ความเข้มสนามแมเ่ หล็กโลก วธิ วี ดั ค่าแรงดึงดูดของโลก ทำาการสำารวจ หากมขี ้อมูลเดิม วธิ วี ดั คลื่นไหวสะเทอื น เพยี งพอแลว้ เจาะสาำ รวจ ประเมนิ ผลข้อมลู สาำ รวจเดิม พบปิโตรเลียม ไมพ่ บปิโตรเลยี ม เจาะสาำ รวจหาขอบเขตของแหล่งปโิ ตรเลียม ศกึ ษาทบทวนขอ้ มูลการสาำ รวจหรือ พฒั นาเพือ่ ผลิตปิโตรเลยี ม หยุดการสำารวจ ภาพท่ี 5.3 ขั้นตอนการสาำ รวจปิโตรเลยี ม ปิโตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ 173 2.1.1 การสาํ รวจทางธรณวี ทิ ยา เรม่ิ ดว้ ยการทาำ แผนทข่ี องบรเิ วณทสี่ าำ รวจโดยอาศยั ภาพถา่ ย ทางอากาศ (Aerial Photograph) เพ่ือให้ทราบว่าบริเวณใดมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาน่าสนใจควรที่ จะทำาการสำารวจต่อไปหรือไม่ จากนั้นนักธรณีวิทยาจะเข้าไปทำาการสำารวจโดยการตรวจดู เก็บตัวอย่าง ชนิดของหินและซากพืชซากสัตว์ (Fossil) ซ่ึงอยู่ในหิน เพื่อจะได้ทราบอายุ ประวัติความเป็นมาของ บริเวณนนั้ และวดั แนวทิศทางความเอยี งเทของช้ันหนิ เพอ่ื คะเนหาแหลง่ กกั เกบ็ ของปิโตรเลยี ม 2.1.2 การสํารวจทางธรณีฟิสิกส์ เป็นขั้นตอนการสำารวจหาโครงสร้างของหินและลักษณะ ของโครงสรา้ งท่อี ย่ใู นพืน้ ผิวโลก โดยอาศยั วิธกี ารดังนี้ 1) วิธีวัดค่าสนามแม่เหล็ก (Magnetic Survey) เป็นการวัดค่าความแตกต่างของ สนามแมเ่ หลก็ โลกซงึ่ เกยี่ วขอ้ งกบั การเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ ง หรอื ความสามารถในการดดู ซมึ แมเ่ หลก็ ของ หินที่อยู่ใต้ผิวโลก ทำาให้ทราบถึงลักษณะโครงสร้างของหินรากฐาน (Basement) โดยใช้เครื่องมือวัดค่า สนามแม่เหลก็ (Magnetometer) ทำาใหเ้ หน็ โครงสรา้ งและขนาดของแหลง่ กำาเนดิ ปิโตรเลยี มในขน้ั ตน้ 2) วธิ ีวดั คล่ืนความส่นั สะเทือน (Seismic Survey) เป็นการส่งคล่นื สน่ั สะเทือนลงไป ใต้ผิวดิน เม่ือคลื่นสั่นสะเทือนกระทบชั้นหินใต้ดินจะสะท้อนกลับมาบนผิวโลกเข้าท่ีตัวรับคลื่นเสียง (Geophone หรอื Hydrophone) ซงึ่ หนิ แตล่ ะชนดิ ทนุ่ ปลายสายเคเบิลมไี ฟกะพรดบิ าวเทียมกาำ หนดตำาแหน่งเรือสาำ รวจ มสี มบตั ใิ นการใหค้ ลน่ื สน่ั สะเทอื นผา่ นไดต้ า่ งกนั ขอ้ มลู ระดบั 3,000 เมตร ท่ีได้จะสามารถนำามาคำานวณหาความหนาของช้ันหิน นา้ำ ทะเล และนำามาเขียนเป็นแผนท่ีแสดงถึงตำาแหน่ง และ สายเคเบิลพรอ้ มอปุ กรณ์รบั สัญญาณคล่นื อปุ กรณ์ รูปร่างลักษณะโครงสร้างของชั้นหินเบื้องล่างออกมา กาำ เนดิ เป็นภาพในรปู แบบตดั ขวาง 2 มติ ิ และ 3 มิตไิ ด้ สญั ญาณคลน่ื สญั ญาณคลืน่ สะทอ้ นกลบั 3) วิธีวัดค่าแรงดึงดูดของโลก จากชัน้ หินเขา้ สู่ตวั รบั สญั ญาณคล่นื สญั ญาณคลน่ื ผ่าน ลงไปในชน้ั หินใตท้ ะเล (Gravity Survey) เป็นการวัดค่าความแตกต่าง แรงโนม้ ถว่ งของโลกอนั เนอ่ื งมาจากลกั ษณะและชนดิ ของหนิ ใตพ้ นื้ โลก หนิ ตา่ งชนดิ กนั จะ มคี วามหนาแนน่ ภาพท่ี 5.4 การวัดคล่ืนความสัน่ สะเทือนในทะเล ต่างกัน หินท่ีมีความหนาแน่นมากกว่าจะมีลักษณะโค้งข้ึนเป็นรูปประทุนคว่ำา ค่าของแรงดึงดูดของโลก ตรงจดุ ท่ีอยเู่ หนือแกนของประทุนจะมากกว่าบริเวณรมิ โครงสรา้ ง 2.1.3 การเจาะสํารวจ เพ่ือให้ได้ข้อมูลว่าบริเวณท่ีทำาการสำารวจปิโตรเลียมมีปิโตรเลียม อยหู่ รอื ไม ่ โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื เจาะทมี่ ลี กั ษณะเปน็ สว่ นหมนุ (Rotary Drilling) ตดิ ตงั้ อยบู่ นฐานเจาะ ใชห้ วั เจาะ ชนดิ ฟนั เฟอื งตอ่ กบั กา้ นเจาะ ซงึ่ จะสอดผา่ นลงไปในแทน่ หมนุ ขณะเจาะเครอื่ งยนตจ์ ะขบั เคลอื่ นแทน่ หมนุ พากา้ นเจาะและหวั เจาะหมนุ กดบนชน้ั หนิ ลงไป นาำ้ โคลนซง่ึ เปน็ สารผสมพเิ ศษของโคลนผง สารเพมิ่ นา้ำ หนกั ผงเคม ี และนำ้า จะถกู สูบอดั ลงไปในก้านเจาะเพอ่ื ทาำ หน้าทเี่ ปน็ วสั ดหุ ล่อลนื่ และลำาเลยี งเศษดนิ ทรายจาก หลมุ เจาะขน้ึ มาปากหลมุ และยงั เปน็ ตวั ปอ้ งกนั ไมใ่ หน้ า้ำ มนั ดบิ และแกส๊ ธรรมชาตดิ นั ขน้ึ มาปากหลมุ ในขณะ ทำาการเจาะด้วย เมื่อเจาะลึกมากๆ จะต้องใส่ท่อกรุกันหลุมพังโดยจะสวมกันเป็นช่วงๆ การเจาะสำารวจ ปิโตรเลียมมขี ้นั ตอนโดยสงั เขปดงั นี้ 126 สดุ ยอดคมู่ อื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันสื่อสารและน�ำเสนอ 5. ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 174 วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ รอบรู้อาเซียนและโลก 1) ข้ันตอนการเจาะสํารวจ (Exploratory Welt) เป็นการเจาะสํารวจหลุมแรก asean บนโครงสร้างทีค่ าดว่าอาจเปน็ แหล่งปิโตรเลยี มแต่ละแหง่ ศกึ ษาเกย่ี วกบั การคน้ พบความรใู้ หมๆ่ เกย่ี วกบั ปโิ ตรเลยี มและ 2) ขั้นตอนการเจาะหาขอบเขต (Appraisal Welt) เป็นการเจาะสํารวจเพิ่มเติม ผลิตภณั ฑข์ องประเทศต่างๆ ในกล่มุ สมาชกิ ประชาคมอาเซียน ในโครงสร้างที่เจาะพบร่องรอยของปิโตรเลียมจากหลุมสาำ รวจ เพื่อหาขอบเขตพื้นที่ของโครงสร้างแหล่ง กักเกบ็ ปิโตรเลยี มแต่ละแหง่ วา่ จะมปี ิโตรเลียมครอบคลมุ เนอ้ื ทเ่ี ทา่ ใด แกส๊ นาำ้ มัน นำ้า ภาพที่ 5.5 การวัดคา่ แรงดึงดดู ของโลก ภาพท่ ี 5.6 การขดุ เจาะปิโตรเลียม 2.1.4 การพฒั นาแหลง่ ผลติ ปโิ ตรเลียม เม่ือพบโครงสร้างแหลง่ ปิโตรเลยี มแล้ว กจ็ ะทาำ การ ปโิ ตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ 175 ทดสอบการผลติ (Welt Testing) เพอ่ื ศกึ ษาสภาพการผลติ คาำ นวณหาปรมิ าณสาำ รองและปรมิ าณทจ่ี ะผลติ ในแต่ละวัน รวมทั้งนำาปิโตรเลียมท่ีค้นพบมาตรวจสอบคุณภาพ และศึกษาหาข้อมูลลักษณะโครงสร้าง ปิโตรเลียมในประเทศ จึงได้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาสัมปทานหลายบริษัท พ.ศ. 2514 รัฐบาลได้ออก ของแหลง่ ปโิ ตรเลยี มและชน้ั หนิ เพม่ิ เตมิ ใหแ้ นช่ ดั เพอ่ื นาำ ขอ้ มลู มาใชใ้ นการออกแบบแทน่ ผลติ และวางแผน พระราชบัญญตั ิปิโตรเลียมเปน็ คร้งั แรก และใน พ.ศ. 2516 ได้พบแกส๊ ธรรมชาตเิ ปน็ จาำ นวนมากครั้งแรก เพอ่ื การผลิตต่อไป ในอ่าวไทยในหลุมผลิตของบริษัท ยูโนแคลไทยแลนด์ จำากัด ชื่อว่า แหล่งเอราวัณ และเริ่มมีการผลิต แก๊สธรรมชาติได้สำาเร็จใน พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับการค้นพบนำ้ามันดิบโดยบริษัท ไทยเชลล์ฯ 2.2 การสาำ รวจปิโตรเลียมในประเทศไทย ที่จังหวดั กาำ แพงเพชร และแก๊สธรรมชาติโดยบริษทั เอสโซโคราชฯ ท่ีจงั หวัดขอนแก่น จากน้ันประเทศไทย ได้มีการสาำ รวจและพัฒนาแหล่งผลิตปิโตรเลียมมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันประเทศไทยมีแหล่งปิโตรเลียม การสำารวจพบปิโตรเลียมครั้งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้นโดยบังเอิญใน พ.ศ. 2461 เม่ือ ท่สี ำารวจพบแลว้ จาำ นวน 79 แหล่ง และดาำ เนินการผลติ จาำ นวน 54 แหลง่ แบ่งเปน็ แหลง่ ปโิ ตรเลยี มบนบก ชาวบ้านฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบนำ้ามันไหลซึมข้ึนมาบนพ้ืนดิน ต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระ- จาำ นวน 25 แหล่ง และในทะเล 29 แหล่ง ประเทศไทยมปี รมิ าณการผลิตนาำ้ มนั ดิบ 135,000 บาร์เรลตอ่ วนั กำาแพงเพชรอัครโยธิน อธิบดีกรมรถไฟหลวง ได้ทรงว่าจ้างนักสำารวจธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ให้ค้นหา แก๊สธรรมชาติ 2,500 ลูกบาศกฟ์ ตุ ต่อวัน และแก๊สธรรมชาติเหลว 90,000 บาร์เรลตอ่ วนั นาำ้ มนั และถา่ นหนิ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ แทนไมฟ้ นื สาำ หรบั รถจกั รไอนาำ้ ในกจิ การรถไฟ โดยไดส้ าำ รวจทกุ ภาค ของประเทศตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2462 จนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2466 ซ่ึงครอบคลุมไปถึงพื้นท่ี อำาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ท่ีสำารวจพบนำ้ามันดิบในช้ันทรายนำ้ามันดิน (Tar Sand) ใน พ.ศ. 2491 กรมโลหกิจ (กรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน) จึงเข้าไปสำารวจโดยใช้วิธีการวัดคลื่นความสั่นสะเทือน เพอ่ื กาำ หนดตาำ แหนง่ ของหลมุ เจาะ ทาำ ใหส้ ามารถผลติ นา้ำ มนั ไดว้ นั ละประมาณ 20 บารเ์ รล และใน พ.ศ. 2499 ได้ถูกโอนให้ไปอยู่ใต้การดำาเนินงานของกระทรวงกลาโหมและสามารถทำาให้การผลิตเพ่ิมข้ึนเป็นวันละ ประมาณ 1,000 บาร์เรล ต่อมาใน พ.ศ. 2503 รัฐบาลเปล่ียนนโยบายให้เอกชนเข้ามาสำารวจและผลิต (ข) แทน่ ขุดเจาะนำ้ามันบนบก (ก) แผนทแี่ สดงแหลง่ นำา้ มนั ดิบและ (ค) แท่นขุดเจาะแกส๊ ธรรมชาตใิ นทะเล แหลง่ แกส๊ ธรรมชาติในประเทศไทย ภาพท่ี 5.7 แหล่งปโิ ตรเลยี มในประเทศไทย แหล่งขุดเจาะน้ำามันของไทย ประเทศไทยมีแหล่งขุดเจาะนำ้ามันทั้งบนบกและในทะเล หลายแหลง่ ดงั นี้ 1) แหล่งขุดเจาะนํ้ามันบนบก มีทั้งในบริเวณภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง สว่ นใหญจ่ ะเปน็ แหลง่ นำ้ามันดิบทมี่ ขี นาดเลก็ ประกอบไปดว้ ย สุดยอดคูม่ อื ครู 127
1. ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 176 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร ทักษะชีวิต การศึกษษาาขข้อ้อมมูลูลเพเพิ่ม่ิมเตเติมิมจจากาแกหแลห่งลเ่งรีเยรนียรนู้ รู้ต่างๆ เช่น (1) แหล่งฝาง อำาเภอฝาง เชียงใหม่ มีอัตราการผลิตน้ำามันดิบ 1,000 บาร์เรล อต่าินงเๆทอเชรเ์น่ นต็อนิ หเนทงัอสรือเ์ นว็ตารหสนาังรสอื วารสาร ต่อวัน (2) แหลง่ สริ กิ ติ ิ์ อยทู่ ท่ี บั แรด หนองตมู หนองมะขาม วดั แตน ประดเู ฒา่ เสาเถยี ร ปโิ ตรเลียมและผลิตภัณฑ์ 177 ปรอื กระเทยี ม หนองแสง บงึ หญา้ ทุ่งยางเมือง บึงมว่ ง บึงตะวันตก บงึ ม่วงใต ้ หนองสระอรุโณทยั และ Stบรู พา ตั้งอยใู่ นพ้นื ที่อำาเภอลานกระบอื กาำ แพงเพชร อาำ เภอคีรีมาศ อาำ เภอกรงไกรลาศ สโุ ขทัย และอำาเภอ เกร็ดความ รู้ บางระกาำ พษิ ณโุ ลก มอี ตั ราการผลติ นา้ำ มนั ดบิ 30,000 บารเ์ รลตอ่ วนั และมแี กส๊ ธรรมชาตทิ ขี่ นึ้ มาพรอ้ มกบั น้าำ มนั ดิบ 25 ล้านลูกบาศกฟ์ ตุ ต่อวนั ปรมิ าตร 1 บาร์เรล ภาพท่ี 5.8 นา้ำ มันดิบและ (3) แหลง่ วเิ ชยี รบรุ ี อยทู่ ศ่ี รเี ทพ นาสนนุ่ นาสนนุ่ ตะวนั ออก บอ่ รงั เหนอื วเิ ชยี รบรุ ี ระบบอเมรกิ นั ระบบองั กฤษ นำา้ มนั ท่กี ลั่นได้ สว่ นขยาย และ L33 อยทู่ อี่ าำ เภอวเิ ชยี รบรุ ี อาำ เภอศรเี ทพ เพชรบรู ณ ์ มอี ตั ราการผลติ นาำ้ มนั ดบิ 2,200 บารเ์ รล 1 บาร์เรล = 42 แกลลอน 1 บารเ์ รล = 35 แกลลอน ต่อวนั 1 แกลลอน = 3.785 ลิตร 1 แกลลอน = 4.546 ลิตร (4) แหล่งอทู่ อง อยทู่ ส่ี ังฆจาย บงึ กระเทยี ม และหนองผักชี อาำ เภอเมอื ง อำาเภอ 1 บารเ์ รล = 158.97 ลิตร 1 บาร์เรล = 159.11 ลิตร อทู่ อง สุพรรณบรุ ี อัตราการผลติ นำา้ มนั ดบิ 350 บารเ์ รลตอ่ วนั (5) แหล่งกำาแพงแสน อำาเภอกำาแพงแสน นครปฐม มีอัตราการผลิตน้ำามันดิบ 3. ผลติ ภัณฑ์จากปโิ ตรเลียม 500 บารเ์ รลต่อวัน (6) แหล่งแก๊สนำ้าพอง อำาเภอนำ้าพอง ขอนแก่น มีอัตราการผลิตแก๊สธรรมชาติ 3.1 ผลิตภัณฑ์จากนำ้ามันดบิ 15 ลา้ นลกู บาศก์ฟุตตอ่ วัน (7) แหลง่ แกส๊ ภฮู อ่ ม อาำ เภอหนองแสง อุดรธานี มอี ตั ราการผลติ แก๊สธรรมชาติ นา้ำ มนั ดบิ เปน็ สารผสมของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนหลายชนดิ ไดแ้ ก ่ แกส๊ ปโิ ตรเลยี มเหลว 100 ลา้ นลูกบาศก์ฟตุ ต่อวัน แก๊สธรรมชาตเิ หลว 450 บาร์เรลต่อวนั รอ้ ยละ 1.4 แนฟทารอ้ ยละ 25.6 น้ำามนั ก๊าดร้อยละ 10.6 น้าำ มันแก๊สรอ้ ยละ 21.2 นำ้ามนั เชือ้ เพลงิ รอ้ ยละ 41.2 นำ้ามันดิบท่ีค้นพบตามแหล่งต่างๆ จะมีสมบัติแตกต่างกัน บางชนิดมีไขมาก บางชนิดมียางมะตอย 2) แหลง่ ขุดเจาะน้ํามนั ในอ่าวไทย ไดแ้ ก่ มาก แต่ส่วนมากมีสีดำาหรือสีน้ำาตาล มีกล่ินคล้ายน้ำามันสำาเร็จรูปท่ัวไปหรืออาจฉุนกว่า ความหนืด (1) แหล่งจัสมินและบานเย็น มอี ตั ราการผลิตนำา้ มนั ดิบ 12,000 บารเ์ รลตอ่ วนั ของนำ้ามันแตกต่างกันไป บางแหล่งหนืดน้อย บางแหล่งหนืดข้นมากคล้ายยางมะตอย นำ้ามันดิบมี (2) แหล่งบัวหลวง มีอตั ราการผลติ นา้ำ มนั ดิบ 7,400 บาร์เรลต่อวนั ความถ่วงจำาเพาะประมาณ 0.80–0.97 ที่อุณหภูมิ 15.6 องศาเซลเซียส ดังนั้นนำ้ามันดิบจึงเบากว่านำ้า (3) แหล่งสงขลา มีอัตราการผลิตนา้ำ มันดิบ 17,500 บาร์เรลตอ่ วัน เมอื่ ผสมกบั นาำ้ จะลอยอยดู่ า้ นบนเสมอ องคป์ ระกอบของนาำ้ มนั ดบิ นอกจากจะประกอบดว้ ยไฮโดรเจนและ (4) แหลง่ เอราวณั บรรพต ปลาทอง สตูล และไพลิน มีอัตราการผลิตน้าำ มนั ดิบ คารบ์ อนเป็นหลกั แล้ว ยงั มสี ารประกอบอื่นๆ ดงั ตารางที ่ 5.1 30,000 บาร์เรลต่อวัน แก๊สรวมกัน 1,640 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แก๊สธรรมชาติเหลว 53,800 บาร์เรล ต่อวนั ตารางที่ 5.1 สว่ นประกอบของสารในนาำ้ มนั ดบิ (5) แหล่งทานตะวัน มีอัตราการผลิตน้ำามันดิบ 25,000 บาร์เรลต่อวัน แก๊สธรรมชาต ิ 130 ลา้ นลกู บาศก์ฟุตตอ่ วนั ส่วนประกอบของสาร ปรมิ าณรอ้ ยละ (6) แหล่งบงกช มีอัตราการผลิตแก๊สธรรมชาติ 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คารบ์ อน 85-90 แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว 21,000 บาร์เรลตอ่ วนั ไฮโดรเจน 10-15 (7) แหล่งอาทิตย์ มีอัตราการผลิตแก๊สธรรมชาติ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ออกซิเจน 0.001-5 แกส๊ ธรรมชาติเหลว 11,500 บาร์เรลต่อวนั กำามะถัน 0.001-7 ไนโตรเจน ep 4 ขัน้ ส่อื สารและนำ� เสนอ โลหะอน่ื ๆ 0.001–0.002 0.001–0.002 Applying the Communication Skill 1. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มออกแบบหรือหาวิธีน�ำเสนอให้ผู้อื่น รับรู้และส่ือสารได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคนิควิธี ทเี่ หมาะสม บรู ณาการการใชส้ อ่ื /เทคโนโลย/ี คำ� ศพั ทเ์ พมิ่ เตมิ / สิง่ ทีน่ ่าสนใจแทรกในการรายงาน 2. ผสู้ อนสมุ่ กลมุ่ ผเู้ รยี นนำ� เสนอผลการสรปุ ความรคู้ วามเขา้ ใจ โดยผสู้ อน และผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการน�ำเสนอ ตามเกณฑ์ท่กี �ำหนด ภาพที่ 5.9 บอ่ นา้ำ มันดบิ จากการทนี่ า้ำ มนั ดบิ เปน็ สารผสมทปี่ ระกอบดว้ ยสารหลายชนดิ ดงั นน้ั การจะนาำ มาใชป้ ระโยชน์ ได้น้ันจึงต้องผ่านกระบวนการในการแยกสารต่างๆ เหล่าน้ันออกจากกัน ซ่ึงกระบวนการในการแยกสาร ในนำา้ มันดบิ ที่ใชก้ ันทว่ั ไปคอื การกลน่ั 128 สดุ ยอดคูม่ อื ครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันสื่อสารและน�ำเสนอ 5. ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 178 วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาอาชพี ธุรกิจและบริการ การกล่ันน้ำามันดิบ คือการย่อยสลายสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นส่วนประกอบของ สารบรสิ ทุ ธทิ์ เ่ี ตรยี มไดโ้ ดยกรรมวธิ เี คมหี รอื ทใี่ ชใ้ นกรรมวธิ ี ปิโตรเลียมออกเป็นกลุ่ม (Group) หรือออกเป็นสว่ น (Fraction) ตา่ งๆ โดยกระบวนการกลั่น (Distilla- เคมี tion) ที่ยุ่งยากและซับซ้อน นำ้ามันดิบในโรงกลั่นน้ำามันไม่เพียงแต่จะถูกแยกออกเป็นส่วนต่างๆ เท่าน้ัน แต่มลทิน (Impurities) ชนิดต่างๆ เชน่ กำามะถนั กจ็ ะถูกกาำ จดั ออกไป โรงกลนั่ นำา้ มนั อาจผลติ น้าำ มัน แกส๊ และเคมภี ัณฑ์ท่ีแตกต่างกันออกมาได้มากถงึ 80 ชนดิ 3.1.1 วิธกี ารกลน่ั นา้ํ มันดิบ การกล่ันนาำ้ มนั ดิบมีวธิ ีการกลน่ั ที่สาำ คัญๆ ในโรงกล่ัน ดังน้ี 1) การกลน่ั ลาํ ดบั สว่ น (Fractional distillation) คอื การกลน่ั นาำ้ มนั แบบพน้ื ฐาน ซง่ึ สามารถแยกน้ำามันดิบออกเป็นส่วนต่างๆ กระบวนการน้ีใช้หลักการจากลักษณะของส่วนต่างๆ ของ นาำ้ มนั ดบิ ที่มีจดุ เดือด (Boiling point) แตกต่างกัน และเป็นผลให้สว่ นตา่ งๆ ของนำ้ามันดบิ มจี ุดควบแน่น (Condensation point) ท่ีแตกต่างกันออกไปด้วย น้ำามันดิบจากถังจะได้รับการสูบผ่านเข้าไปในเตาเผา (Furnace) ที่มีอุณหภูมิสูงมากพอที่จะทำาให้ทุกๆ ส่วนของน้ำามันดิบแปรสภาพไปเป็นไอ แล้วไอนำ้ามัน ดังกล่าวจะถูกส่งผ่านเข้าไปในหอกลั่นลำาดับส่วน (Fractionating tower) ท่ีมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก มีขนาดความสูงประมาณ 30 เมตร และมขี นาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางประมาณ 2.5-8 เมตร ภายในหอกล่นั ดงั กลา่ วมกี ารแบง่ เปน็ หอ้ งตา่ งๆ หลายหอ้ งตามแนวราบ โดยมแี ผน่ กนั้ หอ้ งทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยถาดกลม และ แผ่นก้ันห้องทุกแผ่นจะมีการเจาะรูไว้ เพื่อให้ไอนำ้ามันท่ีร้อนสามารถผ่านทะลุผ่านขึ้นไปสู่ส่วนบนของ หอกลั่นได้ และมที อ่ ต่อเพอื่ นาำ น้ำามนั ทีก่ ลั่นตัวแลว้ ออกไปจากหอกลั่น เมอื่ ไอนำา้ มันดิบที่ร้อนถกู สง่ ให้เข้าไปสู่ หอกล่ันทางท่อ ไอจะเคล่ือนตัวขึ้นไปสู่ส่วนบนสุดของหอกล่ัน และขณะท่ีเคล่ือนตัวขึ้นไปน้ันไอนำ้ามัน จะเยน็ ตวั ลงและควบแนน่ ไปเรอื่ ยๆ แตล่ ะสว่ นของไอนา้ำ มนั จะกลน่ั ตวั เปน็ ของเหลวทรี่ ะดบั ตา่ งๆ ในหอกลนั่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของการควบแน่นที่แตกต่างกันออกไป น้ำามันส่วนที่เบากว่า (Lighter fraction) หอกลั่น หอกลั่น แก๊สปิโตรเลียม เตาเผา 0-65 ำC นำ้ามันเบนซิน นำ้ามันดิบ 65-170 ำC แนฟทา 170-250 ำC นำ้ามันก๊าด ความร้อน 250-340 ำC นำ้ามันดีเซล 340-500 ำC นำ้ามันหล่อลื่น ไข (จาระบี พาราฟิน) สูงกว่า 500 ำC นำ้ามันเตา บิทูเมน (ยางมะตอย) ภาพท่ี 5.10 กระบวนการกลั่นลาำ ดบั สว่ น ค่านิยมหลัก 12 ประการ ปิโตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ 179 • ใฝห่ าความรู้ หมัน่ ศึกษาเลา่ เรยี นท้ังทางตรงและทางอ้อม • ซอื่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณใ์ นสง่ิ ทด่ี งี ามเพอื่ สว่ นรวม เช่น นำ้ามันเบนซิน (Petrol) และพาราฟิน (Paraffin) ซึ่งมีค่าอุณหภูมิของการควบแน่นตำ่าจะกลายเป็น • มรี ะเบียบวินยั เคารพกฎหมาย ผู้นอ้ ยรจู้ กั การเคารพผใู้ หญ่ ของเหลวที่หอ้ งชน้ั บนสดุ ของหอกลัน่ และค้างตวั อย่บู นแผน่ กั้นหอ้ งชน้ั บนสุด นาำ้ มนั ส่วนกลาง (Medium • รู้จักด�ำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง fraction) เช่น ดเี ซล (Diesel) นำ้ามันกา๊ ด (Gas oil) และนำ้ามันเตา (Fuel oil) บางส่วนจะควบแน่นและกล่ัน ตามพระราช ด�ำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว* รู้จัก ตัวท่ีระดบั ต่างๆ ตอนกลางของหอกลัน่ ส่วนน้าำ มันหนกั (Heavy fraction) เช่น นำา้ มนั เตาและสารตกค้าง อดออมไวใ้ ชเ้ ม่ือยาม จำ� เปน็ มีไว้พอกนิ พอใช้ ถ้าเหลือก็แจก พวกแอสฟัลต ์ จะกลนั่ ตัว ที่ส่วนล่างสดุ ของหอกลนั่ ซง่ึ มอี ณุ หภูมิสงู และจะถกู ระบายออกไปจากส่วนฐาน จ่ายจ�ำหน่าย และพร้อมท่ีจะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม ของหอกลั่น ดังภาพที ่ 5.10 เมื่อมภี ูมคิ ุ้มกันท่ดี ี • ค�ำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่า ขอ้ เสยี ของกระบวนการกลนั่ ลาำ ดบั สว่ น คอื จะไดน้ า้ำ มนั เบาประเภทตา่ งๆ ในสดั สว่ นทนี่ อ้ ย ผลประโยชน ์ของตนเอง มากท้งั ทน่ี ้ำามันเบาเหล่านี้ล้วนมคี ุณคา่ ทางเศรษฐกจิ สูง 2) การกลนั่ แบบเทอรม์ อลแครกกงิ (Thermal cracking) กระบวนการนจี้ ะไดน้ า้ำ มนั ท่ีกลั่นแล้ว คือน้ำามันเบนซิน (Petrol) เพิ่มสูงข้ึนเป็นร้อยละ 50 กระบวนการกลั่นแบบนี้เกิดขึ้นโดยการ นาำ นา้ำ มนั ดบิ มาทาำ ใหเ้ กดิ การแตกตวั ในถงั ทอ่ี ณุ หภมู สิ งู กวา่ 1,000 องศาฟาเรนไฮต ์ ทค่ี วามดนั มากกวา่ 1,000 ปอนด์ต่อตารางน้ิว สภาวะอุณหภูมิสูงและความดันสูงทำาให้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้าง โมเลกุลขนาดใหญ่เกิดการแยกตัวหรือแตกตัวเป็นนำ้ามันส่วนเบาหรือเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน มีโมเลกุลขนาดเล็กลง รวมท้ังมีจำานวนอะตอมของคาร์บอนน้อยลง และน้ำามันส่วนเบาซึ่งมีสภาพ เป็นไอร้อนน้ีก็จะถกู ปลอ่ ยใหเ้ ข้าไปในหอกลนั่ เพ่ือควบแนน่ และกล่ันตัวเปน็ ของเหลวตอ่ ไป 3) การกลัน่ แบบคาตาลิตกิ แครกกิง (Catalytic cracking) กระบวนการกลัน่ น้ีได้ รับการพัฒนาต่อเนื่องจากแบบด้ังเดิมที่กล่าวมาแล้วท้ังสองแบบ เพื่อเพ่ิมปริมาณน้ำามันที่กล่ันแล้วตลอด จนคณุ ภาพของนา้ำ มนั ที่กลัน่ ก็ได้รบั การปรบั ปรงุ ให้ดีขึ้น โดยการเตมิ ตัวเร่งปฏกิ ิริยา (Catalyst) เขา้ ไปใน นำ้ามันส่วนกลาง (Medium fraction) ซ่ึงช่วยทำาให้โมเลกุลนำ้ามันแตกตัวหรือแยกตัวดีข้ึน โดยไม่มีผล ตอ่ การเปลยี่ นแปลงสว่ นประกอบทางเคมขี องนา้ำ มนั ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าอยใู่ นรปู ของผงแพลทนิ มั (Platinum) หรือดินเหนียว (Clay) ที่มีขนาดอนุภาคละเอียดมาก ผงตัวเร่งปฏิกิริยาจะสัมผัสกับไอน้ำามันร้อน ในเตาปฏกิ รณ ์ (Reactor) ทาำ ใหไ้ อนาำ้ มนั เกดิ การแตกตวั หรอื แยกตวั เปน็ นา้ำ มนั สว่ นทเี่ บา เชน่ นา้ำ มนั เบนซนิ แล้วควบแน่นกลั่นตัวในท่ีสุด โดยทิ้งอะตอมของคาร์บอนและมลทินไว้กับอนุภาคของดินเหนียว ตัวเร่งปฏิกิริยาท่ีมีคาร์บอนเคลือบอยู่จะถูกปล่อยให้ไหลออกจากเตาปฏิกรณ์เข้าสู่รีเจนเนอเรเตอร์ (Regenerator) ซงึ่ คารบ์ อนจะถกู เผาไหมไ้ ปในกระแสอากาศ กระบวนการกลนั่ แบบนจี้ งึ เปน็ การใช ้ ปฏกิ ริ ยิ า ทางเคมีกระทำาต่อนำ้ามันดิบซ่ึงช่วยแยกโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่างๆ ออกจากกัน รวมไปถึงการกำาจดั มลทินต่างๆ เชน่ สารประกอบของกำามะถนั สารเมอร์แคปแทน (Mercaptan) ทม่ี ีกลน่ิ ฉุนของอะโรมาตกิ (Aromatic) และไฮโดรเจนซัลไฟด์ออกไปอีกดว้ ย 4) การกลนั่ แบบการเกดิ พอลเิ มอร์ (Polymerization) กระบวนการกลนั่ แบบแครกกงิ ชว่ ยปรับปรงุ นาำ้ มันเบนซนิ ใหม้ ีปรมิ าณมากขน้ึ โดยการแยกนำ้ามันสว่ นทห่ี นักกวา่ ออกไป แตก่ ารกลน่ั แบบ การเกดิ พอลเิ มอรเ์ ปน็ การเพมิ่ ปรมิ าณนาำ้ มนั เบนซนิ จากนาำ้ มนั สว่ นทเ่ี บาทสี่ ดุ ซง่ึ กค็ อื แกส๊ โดยทว่ั ๆ ไปจะถกู เผาทิ้งไป แก๊สเหล่าน้ีได้รับการนำามารวมกันเป็นสารประกอบท่ีมีโมเลกุลใหญ่ข้ึนและทำาให้สามารถเพ่ิม ปริมาณนำ้ามันเบนซินทีก่ ลนั่ ไดร้ วมไปถงึ การเพ่มิ ปริมาณออกเทน (Octane content) อีกดว้ ย *พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร สดุ ยอดคู่มอื ครู 129
1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 180 วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบริการ ปิโตรเลียมและผลิตภณั ฑ์ 181 3.1.2 ผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ด้จากกระบวนการกล่ันนํา้ มนั ดบิ 1) แกส๊ ปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas: LPG) หรอื แกส๊ หุงตม้ หรอื 3.1.3 การปรบั ปรุงโครงสร้างโมเลกุลของเช้ือเพลงิ ใหม้ คี ณุ ภาพทด่ี ขี ึน้ 1) กระบวนการแตกสลาย (Cracking process) คอื การนาำ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน แอลพจี ีเปน็ ผลิตภัณฑท์ ่ีไดจ้ ากสว่ นบนสุดของหอกล่นั ในกระบวนการกล่ันน้าำ มัน หรอื ผลติ ภณั ฑท์ ่ีไดจ้ าก การแยกแกส๊ ธรรมชาต ิ แกส๊ ปโิ ตรเลยี มเหลวมจี ดุ เดอื ดตา่ำ มาก จะมสี ภาพเปน็ แกส๊ ในอณุ หภมู แิ ละความดนั โมเลกลุ ใหญม่ าเผาทอี่ ณุ หภมู ิ 450-550 องศาเซลเซยี ส ภายใตค้ วามดนั ตาำ่ และมซี ลิ กิ า-อะลมู นิ าเปน็ ตวั เรง่ บรรยากาศ ดังน้ันในการเก็บรักษาแก๊สปิโตรเลียมเหลวจะต้องเพิ่มความดันหรือลดอุณหภูมิ เพื่อให้ ปฏิกริ ิยา ตัวอย่างเช่น แก๊สปิโตรเลียมเหลวเปลี่ยนสภาพจากแก๊สเป็นของเหลว เพ่ือความสะดวกและประหยัดในการเก็บรักษา แกส๊ ปโิ ตรเลยี มเหลวใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลงิ ไดด้ ี และเวลาลกุ ไหมใ้ หค้ วามรอ้ นสงู และมเี ปลวไฟสะอาดซงึ่ โดยปกติ C10H22 ตวั เร่งปฏกิ ริ ยิ า C8H16 + C2H6 จะไมม่ สี แี ละกลนิ่ แตผ่ ผู้ ลติ ไดใ้ สก่ ลนิ่ เพอื่ ใหส้ งั เกตไดง้ า่ ยในกรณที เี่ กดิ มแี กส๊ รว่ั ซง่ึ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตราย 500 Cำ ได้ การใช้ประโยชน์ก็คือการใช้เป็นเช้ือเพลิงสำาหรับหุงต้ม เป็นเช้ือเพลิงสำาหรับเครื่องยนต์และรถยนต์ รวมท้งั เตาเผาและเตาอบต่างๆ 2) วิธีรีฟอร์มมิง (Reforming) เป็นการเปล่ียนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มี โครงสร้างแบบโซ่ตรงเป็นโครงสร้างแบบโซ่ก่ิง หรือเป็นการเปล่ียนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบบวง 2) นา้ํ มันเบนซิน (Gasolin) เปน็ นาำ้ มนั เช้อื เพลิงสำาหรับเคร่อื งยนตเ์ บนซิน หรอื เรียกว่า ใหเ้ ป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนประเภทอะโรมาตกิ โดยใชค้ วามรอ้ นและตวั เร่งปฏิกริ ยิ า ตวั อยา่ งเชน่ นา้ำ มนั เบนซนิ ไดจ้ ากการปรบั แตง่ คณุ ภาพของผลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ดจ้ ากการกลน่ั นา้ำ มนั โดยตรง และจากการแยก แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว นา้ำ มนั เบนซนิ จะผสมสารเคมเี พม่ิ คณุ ภาพเพอ่ื ใหเ้ หมาะกบั การใชง้ าน เชน่ เพมิ่ คา่ ออกเทน ตัวเรง่ ปฏกิ ิริยา สารเคมสี าำ หรบั ปอ้ งกนั สนมิ และการกดั กรอ่ นในถังน้ำามนั และท่อนา้ำ มนั ฯลฯ ความร้อน 3) นา้ํ มนั เชอ้ื เพลงิ เครอื่ งบนิ ใบพดั (Aviation Gasoline) ใชส้ าำ หรบั เครอื่ งบนิ ใบพดั ตวั เร่งปฏิกริ ิยา + 3H2 มีสมบัติคล้ายกับน้ำามันเบนซินในรถยนต์ แต่ปรุงแต่งคุณภาพให้มีค่าออกเทนสูงขึ้น ให้เหมาะสม ความรอ้ น กับเครอ่ื งยนตข์ องเครอื่ งบินใบพัดซ่ึงต้องใชก้ ำาลังขับดนั มาก 3) วธิ แี อลคิเลชัน (Alkylation) เป็นการรวมโมเลกุลของแอลเคนกับแอลคนี โดยมี 4) นา้ํ มนั เชอื้ เพลงิ เครอื่ งบนิ ไอพน่ (Jet Fuel) ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ ไอพน่ ของสายการบนิ กรดซัลฟวิ รกิ เป็นตัวเรง่ ปฏกิ ิรยิ า เกดิ เป็นโมเลกลุ แอลเคนท่ีมโี ครงสร้างแบบโซ่กิง่ ตัวอยา่ งเช่น พาณิชยเ์ ป็นส่วนใหญ ่ มีชว่ งจุดเดอื ดเช่นเดียวกับนำ้ามันก๊าด CH3 - CCHH3 - CH3 + CH3 - CCH =3 CH2 H2SO4 CH3 - CCHH3 - CH2 - CCCHH -33 CH3 5) น้ํามันก๊าด (Kerosene) ประเทศไทยรู้จักใช้นำ้ามันก๊าดตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี 5 แต่เดิมใช้เพื่อจุดตะเกียง แต่ปัจจุบันใช้ประโยชน์หลายประการ เช่น เป็นส่วนผสมสำาหรับสารฆ่าแมลง 4) วิธีโอลิโกเมอไรเซซัน (Oligomerization) เป็นวิธีการรวมสารประกอบ สที านำา้ มนั ชกั เงา ไฮโดรคาร์บอนไมอ่ ่ิมตวั (แอลคีน) โมเลกุลเล็กๆ เข้าด้วยกัน โดยใชค้ วามร้อนและตวั เร่งปฏกิ ิริยา จะได้ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีจำานวนคาร์บอนอะตอมเพิ่มขึ้น 1, 2, 3 หรือ 4 เท่าของสารประกอบ 6) นา้ํ มนั ดเี ซล (Diesel Fuel) ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ ในเครอื่ งยนตด์ เี ซล ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งยนต์ ไฮโดรคารบ์ อนไมอ่ ่มิ ตวั ทีใ่ ช้เปน็ สารต้งั ตน้ ตวั อยา่ งเชน่ ที่มีพ้ืนฐานการทำางานแตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซิน คือการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ดีเซลใช้ความร้อน ซ่ึงเกิดขึ้นจากการอัดอากาศอย่างสูงในลูกสูบ ไม่ใช่เป็นการจุดระเบิดของหัวเทียนเช่นในเครื่องยนต์ท่ีใช้ CH3 - CCH -3 CH2 + CH3 - CCH =3 CH2 ตัวเรง่ ปฏิกริ ิยา CCCHHH332 - C - CCHH32 - C = CH1 นำ้ามันเบนซิน ปัจจุบันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากน้ำามันดีเซลโดยใช้เป็นเช้ือเพลิงในเคร่ืองมือและอุปกรณ์ที่มี ความสาำ คญั ทางเศรษฐกจิ เชน่ รถบรรทุก รถโดยสาร รถแทรกเตอร์ วิธีรีฟอร์มมิง แอลคิเลชัน และโอลิโกเมอไรเซซันใช้ในการปรับปรุงคุณภาพของ นาำ้ มนั เชอื้ เพลงิ โดยเฉพาะนา้ำ มนั เบนซนิ เพราะเปน็ การผลติ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทม่ี โี ครงสรา้ งแบบ 7) นา้ํ มนั เตา (Fuel Oil) เปน็ เชอ้ื เพลงิ สาำ หรบั เตาตม้ หมอ้ นา้ำ และเตาเผาหรอื เตาหลอม โซก่ งิ่ เนอื่ งจากนา้ำ มนั เบนซินทป่ี ระกอบดว้ ยสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทมี่ โี ครงสรา้ งแบบโซก่ งิ่ มคี ณุ ภาพ ท่ใี ชใ้ นโรงงานอตุ สาหกรรม เคร่อื งกาำ เนิดไฟฟา้ ขนาดใหญ ่ เครือ่ งยนตเ์ รือเดนิ สมุทรและอ่ืนๆ ดกี วา่ ที่มีโครงสร้างแบบโซต่ รง 8) ยางมะตอย (Asphalt) เป็นผลติ ภัณฑส์ ่วนท่หี นกั ทส่ี ุดทเ่ี หลือจากการกลน่ั น้ำามัน เชอ้ื เพลงิ และนาำ ยางมะตอยทผ่ี า่ นกรรมวธิ ปี รบั ปรงุ คณุ ภาพจะไดย้ างมะตอยทม่ี สี มบตั ดิ ขี น้ึ คอื มคี วามเฉอ่ื ย ตอ่ สารเคมแี ละไอควนั แทบทกุ ชนดิ มคี วามตา้ นทานสภาพอากาศและแรงกระแทกกระเทอื น มคี วามเหนยี ว และมีความยดื หยุน่ ในอุณหภมู ริ ะดบั ตา่ งๆ ไดด้ ี กิจกรรมท้าทาย กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เก่ียวกับปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ และการประยกุ ตใ์ ชค้ วามรใู้ นชวี ติ ประจำ� วนั และการประกอบอาชพี 130 สุดยอดค่มู ือครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5. ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 182 วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบริการ ep 5 ขบนั้รปกิ ราระเสมงั ินคเพมแือ่ ลเพะจ่มิ ติคสณุ าคธา่ารณะSt 3.1.4 การกําหนดคณุ ภาพของน้าํ มัน 1) นํ้ามันเบนซิน เป็นนำ้ามันเชื้อเพลิงท่ีส่วนใหญ่ประกอบด้วยแอลเคนที่มีคาร์บอน Self-Regulating 5–10 อะตอม นำ้ามันเบนซินจึงมีสมบัติแตกต่างกันตามชนิดและปริมาณของแอลเคนท่ีเป็นองค์ประกอบ 1. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มและรายบุคคลตรวจสอบความรู้ จากการศึกษาพบว่า ไอโซเมอร์ที่คาร์บอนต่อกันแบบโซ่ก่ิงเป็นเช้ือเพลิงที่มีคุณภาพดีกว่าไอโซเมอร์ที่ ความเข้าใจของตนเองหลังจากรับฟังการน�ำเสนอ คท่ีาเหรบ์มอานะกตับอ่ เกคนั รแื่อบงบยโนซตต่ ์แรงก ๊สเชโน่ ซ ลไอีนโมซาเมกอ เรพ์หรนางึ่ ะขชอ่วงยอทอำากใเหท้นเค (รC่ือ8งHย18น) ตท์เี่มดีชินื่อเวรา่ีย ไบอไโมซ่กออระกตเทุกน สเปาร็นปเชรื้อะเกพอลบงิ ของสมาชกิ กลมุ่ อนื่ ปรบั ปรงุ ชนิ้ งานของกลมุ่ ตนใหส้ มบรู ณ์ ทไฮำาโใดหร้เคคราร่ือบ์งยอนนตท์เไ่ี กมิดเ่ หกมาราะชสิงจมุดกรบั ะเคเบริดอ่ื เงปย็นนผตลแ์ ใกหส๊ ้เคโซรลื่อนี งยคนอื นตอ์กรรม์ะตอุกล เฮดปังนเทั้นนจ (ึงCได7H้ม1ีก6)า เรมกอ่ื ำาใหชนเ้ ปดน็ คเุณชอื้ ภเพาพลขงิ จอะง และบนั ทกึ เพม่ิ เติม นำ้ามนั เบนซนิ เปน็ เลขออกเทน (Octane number) โดยเปรียบเทียบสมบัติการเผาไหม้ของนาำ้ มนั ดงั นี้ 2. ผู้เรียนน�ำผลงานแสดงในป้ายนิเทศหรือเผยแพร่สู่ (1) เลขออกเทนเท่ากับ 100 หมายถึงนำ้ามันเบนซินท่ีมีสมบัติในการเผาไหม้ หอ้ งเรยี นอน่ื หรอื สาธารณะ เช่นเดยี วกบั ไอโซออกเทนบริสทุ ธ์ิ 3. ผ้เู รยี นแตล่ ะคนท�ำกิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ จากนัน้ (2) เลขออกเทนเท่ากับ 0 หมายถึงน้ำามันเบนซินที่มีสมบัติในการเผาไหม้ ท�ำแบบทดสอบแลกเปล่ียนกันตรวจให้คะแนน พร้อม เชน่ เดยี วกบั นอร์มอลเฮปเทนบรสิ ทุ ธ์ิ ทั้งประเมินสรุปผลการท�ำกิจกรรมแบบประเมินตนเอง (3) ค่าเลขออกเทนอื่นๆ ให้เปรียบเทียบกับส่วนผสมระหว่างไฮโซออกเทนกับ และก�ำหนดแนวทางการพฒั นาตนเอง นอรม์ อลเฮปเทน โดยคดิ จากร้อยละของไอโซออกเทน ตัวอย่างเชน่ • นำ้ามันเบนซินท่ีมีสมบัติในการเผาไหม้เช่นเดียวกับเชื้อเพลิงที่ได้จาก ปโิ ตรเลียมและผลติ ภัณฑ์ 183 การผสมของไอโซออกเทนรอ้ ยละ 95 และนอรม์ อลเฮปเทนร้อยละ 5 แสดงวา่ มีเลขออกเทนเทา่ กบั 95 • น้ำามันเบนซินที่มีสมบัติในการเผาไหม้เช่นเดียวกับเชื้อเพลิงที่ได้จาก การผสมของไอโซออกเทนร้อยละ 86 และนอร์มอลเฮปเทนร้อยละ 14 แสดงว่ามเี ลขออกเทนเท่ากบั 86 • น้ำามันเบนซินท่ีมีเลขออกเทนเท่ากับ 92 หมายความว่า น้ำามันเบนซินนั้น มีสมบัติในการเผาไหม้เหมือนกับเช้ือเพลิงที่ประกอบด้วยไอโซออกเทนร้อยละ 92 และนอร์มอลเฮปเทน ร้อยละ 8 จากตัวอย่างท่ีกล่าวมาจะเห็นว่าสัดส่วนการผสมของไอโซออกเทนและนอร์มอล เฮปเทนมผี ลตอ่ คา่ ออกเทนของนาำ้ มนั เบนซนิ ดงั นนั้ สามารถปรบั ปรงุ คณุ ภาพของนาำ้ มนั เบนซนิ ไดโ้ ดยการ เพ่มิ เลขออกเทนให้แกน่ ้าำ มัน เพราะนำา้ มนั เบนซินทกี่ ลนั่ ได้ส่วนใหญ่จะมเี ลขออกเทนคอ่ นข้างตำ่า การเพมิ่ เTทลีอ่EขณุLอ อหหกรภเอื ูมทสปินากทรปตาำ ไริ ดไะมโ้กด่มอยสี บเ ี ตเไตมมิ ตล่ สระาะลรเเามคยทมใลินบี เนาลง้ำาดช แ น(Cตดิ ล่Hละ3ง)ลไ4Pปายb เไช ใดน่ชด้ ต้ สีใวัานยรนปอ่ าำ้ รวมะา่ นั กTเอMบบนLเตซ สนิตาร รชะทว่เองั้ยสททอลิำางใเลชหนด้เค ดิ (ร(มCอื่ สี 2งHถยา5น)น4ตPะไ์bเมป) ่กน็ใชรขต้ะอตวังกุยเหอ่ แลวตวา่ ่ เมอ่ื นาำ้ มนั ถกู เผาไหมใ้ นเครอ่ื งยนต ์ เตตระเอทลิ เลดหรอื เตตระเมทลิ เลดจะเปลยี่ นออกไซดห์ รอื คารบ์ อเนต ของตะก่ัวเป็นละอองอยู่ในอากาศ ซ่ึงเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงจะเก็บสะสมไว้ที่ตับ ทาำ ใหป้ ระสทิ ธภิ าพการทาำ งานของตับตำา่ ลง เพือ่ ลดภาวะมลพิษในอากาศ บางประเทศได้ประชาสมั พนั ธใ์ ห้ ประชาชนเลกิ ใชน้ า้ำ มนั ทมี่ สี ารประกอบของตะกว่ั มาใชน้ าำ้ มนั ไรส้ ารตะกว่ั แทน นาำ้ มนั เบนซนิ ไรส้ ารตะกวั่ หรอื ยแู อลจ ี (ULG ) คือนาำ้ มนั เบนซนิ ทีใ่ ชส้ ารอื่นเพม่ิ เลขออกเทนแทนสารประกอบของตะกว่ั ตัวอยา่ งสารเคมี ทใ่ี ชเ้ พม่ิ เลขออกเทน เช่น เมทลิ เทอร์เชยี รบี วิ ทิลอเี ทอร์ (Methyl tertiary butyl ether: MTBE) CH3 - CCCHH -33 CH2 - CCHH3 - CH3 CH3-CH2-CH2-CH2-CH2-CH2-CH3 CH3 - CCCHH -33 O - CH2 ไอโซออกเทน เฮปเทน MTBE ปจั จบุ นั สงั คมมนษุ ยม์ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ในดา้ นตา่ งๆ ไปอยา่ งรวดเรว็ โดยเฉพาะดา้ น การขนส่งและการส่ือสาร ซึ่งการขนส่งน้ันมีการใช้ยานพาหนะต่างๆ ท้ังที่เป็นส่วนบุคคลและสาธารณะ เปน็ จำานวนมาก ทำาใหค้ วามตอ้ งการใช้เชื้อเพลงิ เพ่มิ ทวคี ูณขน้ึ อย่างรวดเรว็ และราคานำา้ มันก็แพงมากขึน้ ตามความต้องการของตลาด ในขณะทีป่ ริมาณนำา้ มันเบนซนิ ท่ผี ลติ ไดม้ จี ำานวนจำากดั จงึ มีการรณรงคใ์ ห้มี การประหยัดนำ้ามันเชื้อเพลิงและมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นำ้ามันเบนซินผสมแอลกอฮอล์ข้ึนที่เรียกว่า แกส๊ โซฮอล์ (Gasohol) เพอื่ ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ ทดแทนนาำ้ มนั เบนซนิ บรสิ ทุ ธ ์ิ ซงึ่ แกส๊ โซฮอลท์ จี่ าำ หนา่ ยในปจั จบุ นั มชี อ่ื เรียกและมคี า่ ออกเทนต่างกันตามกระบวนการในการผลิตดังน้ี กระบวนการผลิตแก๊สโซฮอลท์ ค่ี ลังนา้ํ มัน เบนซินพนื้ ฐาน เอทานอล แก๊สโซฮอล์ 125 87 10% 91 แกส๊ โซฮอล์ 91 (E10) 20% 95 แกส๊ โซฮอล์ 95 (E20) (ข) ลกั ษณะของแก๊สโซฮอล์ 85% 120 แก๊สโซฮอล์ (E85) 91 10% 95 แก๊สโซฮอล์ 95 (E10) 125 (ก) กระบวนการผลติ แกส๊ โซฮอล์ ภาพที่ 5.11 แก๊สโซฮอล์ 2) นํ้ามันดีเซล (Diesel Oil) เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ได้จากการกล่ันนำ้ามันดิบ มีสีเขียวปนเหลืองโดยธรรมชาติ สีเหลืองที่ปนอยู่เนื่องจากมีกำามะถันปนอยู่ นา้ำ มนั ดีเซลมจี ำานวนคาร์บอนอะตอมในโมเลกุล 14–19 อะตอม ใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลิง Cซเี Hทน3- ((HCeHxa2 )d1e4-cCanHe2) ในตะเกียงและเป็นเช้ือเพลิงสำาหรับเครื่องยนต์ชนิดอัดระเบิดด้วยตัวเองหรือ CH3 เคร่ืองยนต์ดีเซล มีความใสกว่านำ้ามันเบนซิน ปัจจุบันกำาหนดระดับคุณภาพ น้ำามันดเี ซลเป็นเลขซีเทน (Cetane number) ซ่ึงต้องไม่ตำา่ กว่า 45 โดยใช้วิธกี าร เปรียบเทียบกับซีเทน (C16H34) และแอลฟาเมทิลแนพทาลนี (C11H10) ซึ่งกำาหนด แอลฟาเมทลิ แนฟทาลนี สดุ ยอดค่มู อื ครู 131
1 . ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 184 วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบริการ ให้นำา้ มนั ดีเซลท่ีมสี มบตั กิ ารเผาไหม้เหมือนซีเทนบริสุทธิ์มีคา่ ซเี ทนเท่ากบั 100 และนา้ำ มันดเี ซลท่ีมีสมบตั ิ การเผาไหม้เหมือนแอลฟาเมทลิ แนฟทาลีนบริสทุ ธ์ิมคี า่ ซีเทนเท่ากบั 0 การเพ่มิ ค่าซีเทนให้กบั นา้ำ มันดเี ซล สามารถทำาได้โดยการเติมสารแอลคิลไนเตรต บางชนดิ เชน่ ออกทลิ ไนเตรต และด้วยความตอ้ งการนา้ำ มันดีเซลมเี พ่ิมสูงข้ึน แตน่ า้ำ มนั มจี ำานวนจำากัดและ นบั วนั จะหมดไปจึงทาำ ให้มีการคิดค้นน้าำ มันดโี ซฮอลแ์ ละไบโอดีเซลข้ึน เพอื่ ทดแทนนำา้ มนั ดีเซล • ดีโซฮอล์ (Diesohol) คือน้ำามันเช้ือเพลิงที่เกิดจากการผสมน้ำามันดีเซล กับเอทานอล 10-15% เข้าด้วยกัน ในประเทศสหรัฐอเมรกิ าจะเรยี กวา่ นำ้ามัน E-diesel โดยเอทานอลท่ีใช้ มีความบริสุทธิ์ 99.5% ข้ึนไป หากใช้เอทานอลบริสุทธิ์ 95% จะมีการผสมสารประเภทอิมัลซิไฟเออร์ ลงไปเพอ่ื ให้เอทานอลรวมเปน็ เนื้อเดียวกันกบั นำา้ มันดเี ซล • ไบโอดเี ซล (Biodiesel) เปน็ สารประกอบเอสเทอรท์ ผี่ ลติ จากนา้ำ มนั พชื นา้ำ มนั สตั ว์ โดยผา่ นการเกิดปฏกิ ริ ยิ าทางเคมที ่เี รยี กวา่ ทรานสเ์ อสเทอรฟิ ิเคชัน (Transesterification) โดยการนาำ นาำ้ มนั พชื หรอื นา้ำ มนั สตั วไ์ ปทาำ ปฏกิ ริ ยิ ากบั แอลกอฮอลแ์ ละใชก้ รดหรอื เบสเปน็ ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า ใหผ้ ลติ ภณั ฑ์ เป็นเอสเทอร์กับกลีเซอรอล ช่ือของไบโอดีเซลเรียกตามชนิดของแอลกอฮอล์ท่ีใช้ในการทำาปฏิกิริยา หาก เป็นเมทิลแอลกอฮอลจ์ ะเรยี กว่า เมทิลเอสเทอร ์ เขยี นสมการแสดงปฏกิ ิริยาไดด้ งั น้ี CH2-O - C - R1 CH2-OH CH- O - C - R2 + 3CH3-OH 3R - C - O - CH3 + CH-OH ตัวเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า CH2-O - C - R3 CH2-OH ไตรกลเี ซอไรด ์ เมทานอล เมทิลเอสเทอร ์ กลีเซอรอล ภาพท ่ี 5.12 โครงการแก๊สโซฮอล์–ไบโอดีเซลในพระราชดาำ ริ ไบโอดเี ซลจากปาลม์ น้าำ มัน ปโิ ตรเลียมและผลิตภัณฑ์ 185 132 สุดยอดคู่มือครู 3.2 ผลิตภัณฑจ์ ากแก๊สธรรมชาติ 3.2.1 สว่ นประกอบของแกส๊ ธรรมชาติ แกส๊ ธรรมชาตเิ ปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอมิ่ ตวั ท่ีมีมวลโมเลกุลต่ำา ส่วนใหญ่เป็นแอลเคนรวมตัวกัน โดยมีอัตราส่วนมวลร้อยละของสารท่ีแตกต่างกัน ดังตารางท ่ี 5.2 ตารางท่ี 5.2 องค์ประกอบของแกส๊ ธรรมชาติ สารประกอบ สูตรโมเลกุล รอ้ ยละโดยประมาณ มเี ทน CH4 60 - 80 อีเทน C2H6 4-10 โพรเพน C3H8 3 - 5 บิวเทน C4H10 1 - 3 เพนเทน C5H12 1 คารบ์ อนไดออกไซด์ CO2 15 - 25 ไนโตรเจน N2 ไมเ่ กิน 3 อ่นื ๆ เชน่ เฮกเซน ไอนา้ำ ฮเี ลยี ม น้อยมาก ไฮโดรเจนซัลไฟด์ จากการท่ีแก๊สธรรมชาติมีองค์ประกอบของสารหลายชนิด และอัตราส่วนของสาร มีปริมาณแตกต่างกัน ทำาให้สามารถจำาแนกประเภทของแก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลวออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1) แก๊สแห้ง (Dry gas) ไดแ้ ก่ แกส๊ ทมี่ อี งคป์ ระกอบของแกส๊ มเี ทนและอเี ทน ซึ่งมี สถานะเป็นแก๊สท่ีอุณหภูมิและความดันปกต ิ ใช้เป็นวัตถุดิบผลิตแก๊สเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) เพอ่ื บรรจถุ งั และขนสง่ ไปจาำ หนา่ ยตา่ งประเทศได ้ ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในการผลติ เมทานอล ปยุ๋ ไนโตรเจน แอมโมเนีย และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่างๆ ใช้แทนนำ้ามันเตาในการผลิตกระแสไฟฟ้าและใช้ในโรงงาน อตุ สาหกรรมต่างๆ 2) แก๊สชื้น (Wet gas) ได้แก่ แก๊สที่มีองค์ประกอบของแก๊สโพรเพนและ บวิ เทน มสี ถานะเปน็ แกส๊ ทอี่ ณุ หภมู แิ ละความดนั ปกต ิ ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ผลติ แกส๊ ปโิ ตรเลยี มเหลว (Liquefie Petroleum Gas: LPG) หรอื แก๊สหงุ ตม้ ซ่ึงเปน็ เช้ือเพลิงหุงต้มในครัวเรอื น ขับเคลื่อนรถยนต ์ ใช้กบั ระบบ ตเู้ ยน็ และเครอื่ งทาำ ความเยน็ ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ปอ้ นโรงงานกลน่ั นา้ำ มนั ดบิ บางสว่ น และใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ สาำ หรบั ผลิตภัณฑป์ โิ ตรเลยี มชนิดตา่ งๆ
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5 . ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 186 วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร 3) แก๊สธรรมชาติเหลวหรือแก๊สโซลีนธรรมชาติ (Condensate) คือแก๊สท่ีมี องค์ประกอบของแก๊สเพนเทน เฮกเซน เฮปเทน และออกเทน ซ่งึ มีสภาพเป็นแกส๊ เม่อื อยู่ในแหลง่ กกั เก็บ และจะมีสภาพเป็นของเหลวเมื่อนำาข้ึนมาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต สามารถแยกออกจากแก๊สธรรมชาติได้ จากบนแทน่ ผลติ ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ปอ้ นโรงงานกลน่ั นาำ้ มนั ใชน้ าำ ไปเพมิ่ คา่ ออกเทนใหม้ คี า่ เทา่ กบั นาำ้ มนั เบนซนิ สำาหรบั ใชก้ บั รถยนตแ์ ละใชเ้ ปน็ วตั ถดุ ิบสาำ หรบั ผลติ ภัณฑป์ ิโตรเลยี มต่างๆ 3.2.2 การแยกแกส๊ ธรรมชาตแิ ละการนาํ ไปใชป้ ระโยชน ์ จากองคป์ ระกอบของแกส๊ ธรรมชาติ ท่ีมีสารหลายชนิดผสมกันดังท่ีกล่าวมาแล้ว หากจะนำาแก๊สที่ขุดเจาะขึ้นมาไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้น้ัน จะตอ้ งทาำ การแยกแกส๊ ชนดิ ตา่ งๆ ออกจากกนั ตกอ่ น ซงึ่ กระบวนการแยกแกส๊ ธรรมชาตเิ ปน็ ดงั ภาพท ี่ 5.13 จัดหาแกส๊ ธรรมชาติ ใช้เป็นเช้อื เพลิง ทดแทนการนาำ เขา้ แกส๊ ธรรมชาติ ไฟฟ้า และเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลงั งาน LNG อุตสาหกรรม สหภาพพมา่ C1 (มีเทน) อ่าวไทย NGV LภPาคGครัวเรือน/ ขนสง่ C3 + C4 (LPG) สร้างมลู ค่าเพิ่ม ใชเ้ ปน็ วัตถุดิบปิโตรเคมี ธรแรมกชส๊ าติ C2 (อีเทน) C3 (โพรเพน) C3 + C4 (LPG) C5 + (NGL) ภาพท่ ี 5.13 กระบวนการแยกแกส๊ ธรรมชาติ ปโิ ตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ 187 กระบวนการแยกแก๊สดังกล่าวนี้ บริษัท ปตท. จำากัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจ โรงแยกแก๊สธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย มีโรงแยกแก๊สธรรมชาติท้ังสิ้น 6 หน่วย เพื่อแยก สารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่างๆ ออกจาก แกส๊ ธรรมชาต ิซงึ่ เปน็ การเพม่ิ มลู คา่ ใหก้ บั แกส๊ ธรรมชาติ ที่ได้จากอ่าวไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโรง แยกแก๊สธรรมชาติหน่วยท่ี 1-3, 5 และ 6 ตั้งอยู่ท่ี ตำาบลมาบตาพุด อำาเภอเมือง จังหวัดระยอง และ ภาพท ่ี 5.14 โรงแยกแกส๊ ธรรมชาตขิ นอม จงั หวดั นครศรธี รรมราช โรงแยกแก๊สธรรมชาตหิ น่วยท่ี 4 ตง้ั อยู่ทอี่ ำาเภอขนอม จังหวดั นครศรธี รรมราช จากกระบวนการแยกแกส๊ ธรรมชาตดิ งั กลา่ ว ทาำ ใหไ้ ดผ้ ลติ ภณั ฑห์ ลายชนดิ และนาำ ไปใช้ ประโยชน์ในด้านตา่ งๆ ดงั น้ี อุตสาหกรรม และห1า) กนแำากไ๊สปมอีเัดทในส่ถ(ังCเรHีย4)ก วใช่า ้เปแก็น๊สเชธื้อรเรพมลชิงาผตลิอิตัดก สระาแมสารไฟถใฟช้า้เแปล็นะเชใหื้อ้คเพวลามิงใรน้อรนถใยนนโรตง์ทงา่ีในช้ แกส๊ ธรรมชาติเปน็ เช้อื เพลงิ (NGV) ได้ นอกจากน้ียงั เปน็ วัตถุดบิ ในการผลติ ป๋ยุ เคมไี ดด้ ว้ ย ซ่ึงเป็นสารตั้งต้นใน2ก)ารแผกล๊สิตอเมีเท็ดนพล(าCส2Hติก6) เเสป้น็นใวยัต ถพุดลิบาสในตอิกุตพสอาลหิเกอรทริลมีนป ิโ(ตPรEเ)ค แมลีขะั้นผตล้นิตเพภื่อัณผฑล์พิตลเอาทสติลีนิก ชนิดต่างๆ เพื่อใช้ในการผลิตเ3ม)็ดพแลกาส๊ สโพติกรเพพอนลิโ(พCร3Hพ8ิล) ีนใช ผ้(PลPติ ) โพเชร่นพ ิลยีนางซใ่งึ นเปห็น้อสงาเรคตรัง้่ือตงน้ยในนตอ์ ุตหสมา้อหแกบรรตมเตปอโิ ตรร่ี กเคามว ี สารเพ่มิ คุณภาพน้ำามันเครื่อง รวมท้งั ใช้เปน็ เชอ้ื เพลงิ ในโรงงานอุตสาหกรรมได้อกี ดว้ ย ผสมกับโพรเพนอัด4ใ)ส่ถแังกเป๊ส็นบแิวเกท๊สนปิโ(ตCร4เHล8ีย) มใเชห้เปลว็น ว(ัตแถกุด๊สิบหใุงนตอ้มุต) สเพาห่ือกนรำารมมาปใชิโต้เปร็นเคเชมื้อี แเพลละิสงใานมคารรถัวนเรำาือมนา เปน็ เชอ้ื เพลงิ สาำ หรบั ยานยนต ์ ใชใ้ นการเชอ่ื มโลหะ และยงั นาำ ไปใชใ้ นโรงงานอตุ สาหกรรมบางประเภทไดด้ ว้ ย 5) แก๊สปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas: LPG) เป็นส่วนผสมของ แก๊สโพรเพนและบวิ เทน ใช้เป็นเชื้อเพลงิ ในครัวเรอื น ยานพาหนะ และโรงงานอตุ สาหกรรม 6) แก๊สโซลีนธรรมชาติ (Natural Gas Liquid: NGL) แม้ว่าจะมีการแยก คอนเดนเสทออกเมอ่ื ผลติ ขนึ้ มาถงึ ปากบอ่ บนแทน่ ผลติ แลว้ แตก่ ย็ งั มสี ารประกอบไฮโดรคารบ์ อนบางสว่ น ปนไปกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นแก๊ส เม่ือผ่านกระบวนการแยกจากโรงแยก แก๊สธรรมชาติแล้วสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเหลวนี้จะถูกแยกออกเรียกว่า แก๊สโซลีนธรรมชาติ แล้ว ส่งเข้าไปยังโรงกลั่นน้ำามันเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำามันสำาเร็จรูปได้เช่นเดียวกับคอนเดนเสท สดุ ยอดคูม่ ือครู 133
1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต 188 วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร เปน็ วตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมรี ะยะท ่ี 2 (ขนั้ ปลาย) และยงั เปน็ ตวั ทาำ ละลาย ซงึ่ นาำ ไปใชใ้ อตุ สาหกรรม บางประเภทไดเ้ ช่นกนั ซงึ่ สามารถนาำ ไปใชป้ 7ร)ะโยแชกน๊สไ์ คดาห้ รล์บาอกนหไลดายอ อเชกน่ ไ เซปดน็ ์ น(าำ้ CแOขง็ 2แ) หเปง้ ส็นาำ ผหลรบัพใลชอใ้ นยอไดตุ ้จสาากหกกรรระมบถวนนอกมารอแาหยากรแ เปกน็๊ส วัตถดุ บิ ในการทำาฝนเทยี ม น้าำ ยาดบั เพลิง สร้างควันหรอื หมอกจาำ ลอง ผลิตภณั ฑ์เคร่ืองด่มื อดั แก๊ส 8) คอนเดนเสท คอื แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว เปน็ แกส๊ ธรรมชาตทิ อ่ี ยใู่ นสถานะแกส๊ เมอื่ อย ู่ ใตด้ นิ แต่เปลยี่ นสถานะเปน็ ของเหลวเมอื่ อยูบ่ นผวิ ดนิ วิธกี ารผลติ จะเหมอื นการแยกแก๊สธรรมชาตทิ วั่ ไป 4. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปโิ ตรเคม ี (Petrochemical) คอื สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนจากปโิ ตรเลยี มหรอื แกส๊ ธรรมชาต ิ เชน่ เอทลิ นี โพรพีลีน เบนซีน อกี ท้ังยงั รวมไปถงึ สารประกอบอนิ ทรีย์และสารประกอบอนินทรีย์อีกหลายชนดิ และมีท่ีมาจากแหล่งอื่นนอกเหนือจากปิโตรเลียม เช่น เบนซีนและถ่านหิน ดังน้ันเคมีภัณฑ์ปิโตรเลียม หรอื ปิโตรเคมจี งึ มจี ำานวนมากมายนบั หมื่นชนิด อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคม ี คอื อตุ สาหกรรมทน่ี าำ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทไี่ ดจ้ ากการกลนั่ นา้ำ มนั ดบิ และจากการแยกแก๊สธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบเพ่ือผลิตเคมีภัณฑ์ต่างๆ โรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ มักลงทุนต่อยอดจากอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นการนำาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น (Feedstock) ในกระบวนการผลิต โดยผลผลิตปิโตรเคมีขั้นสุดท้ายจะเป็นวัตถุดิบและสารประกอบ พ้ืนฐานที่สำาคัญในอตุ สาหกรรมอนื่ ๆ มากมาย ทัง้ นี้การผลติ ปโิ ตรเคมีแบง่ ออกเปน็ 4 ขัน้ ตอน ดังนี้ 4.1 การผลิตวตั ถดุ ิบต้ังต้น (Feedstock for Petrochemical Industry) ซง่ึ ส่วนใหญ่ได้ จากอตุ สาหกรรมปิโตรเลยี ม ได้แก่ แก๊สธรรมชาต ิ คอนเดนเสท แนฟทา นอกจากนีป้ ัจจบุ ันมกี ารพฒั นา เทคโนโลยใี หส้ ามารถนาำ สารชวี ภาพมาเปน็ วตั ถดุ บิ รว่ มดว้ ย เชน่ ออ้ ย มนั สาำ ปะหลงั ปาลม์ ซงึ่ เปน็ การพฒั นา สูอ่ ตุ สาหกรรม พลาสตกิ ชีวภาพ (Bio-plastic) 4.2 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีข้ันต้น (Upstream Petrochemical Industry) เป็นการนำา สารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีได้จากแก๊สธรรมชาติหรือนำ้ามันดิบ เช่น เมทานอล เอทิลีน และเบนซิน มาผลิตเป็นสารโมเลกุลขนาดเล็กเรียกว่า มอนอเมอร์ (Monomer) เป็นวัตถุดิบต้ังต้นในอุตสาหกรรม ปิโตรเคมขี ัน้ ต่อไป สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 กลุ่มผลิตภัณฑต์ ามโครงสรา้ งโมเลกุล ได้แก่ 4.2.1 กลุ่มโอเลฟินส์ (Olefin group) ประกอบด้วยมเี ทน (Methane) เอทิลนี (Ethylene) โพรพิลีน (Propylene) และสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทมี่ คี าร์บอน 4 อะตอม (Mixed-C4) 4.2.2 กลุ่มอะโรมาติก (Aromatic group) ประกอบด้วยเบนซีน (Benzene) โทลูอีน (Toluene) และไซลีน (Xylene) ซ่ึงใชเ้ ปน็ วตั ถุดบิ และสารประกอบในการผลติ ผลิตปโิ ตรเคมีอื่นๆ ปโิ ตรเลยี มและผลิตภณั ฑ์ 189 4.3 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง (Intermediate Petrochemical Industry) เป็น อุตสาหกรรมที่นาำ ผลติ ภัณฑ์ปิโตรเคมขี น้ั ต้นตัง้ แต ่ 1 ชนิดขึน้ ไปมาผลติ ต่อ อาจเปน็ การนำาผลติ ภัณฑจ์ าก ท้ังกลุ่มโอเลฟินส์และอะโรมาติกมาใช้เป็นวัตถุดิบร่วมกันก็ได้ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางท่ีสำาคัญ เช่น ไวนลิ คลอไรด์ (Vinyl Chloride) สไตรนี (Styrene) ซึ่งใชเ้ ปน็ วัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมขี ั้นปลาย ต่อไป 4.4 อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมีขน้ั ปลาย (Downstream Petrochemical Industry) เป็นการ นำาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากปิโตรเคมีขั้นต้นหรือข้ันกลางไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ ขน้ั ปลาย ผลติ ภณั ฑท์ ไี่ ดใ้ นขน้ั นอี้ าจอยใู่ นรปู ของพลาสตกิ วตั ถดุ บิ ทใ่ี ชผ้ ลติ เสน้ ใยสงั เคราะห ์ ยางสงั เคราะห ์ สารซกั ลา้ ง สารเคลอื บผวิ และตวั ทาำ ละลาย ผลติ ภณั ฑจ์ ากอตุ สาหกรรมขนั้ ปลายนอี้ าจนาำ ไปใชเ้ ปน็ สารตง้ั ตน้ ในอุตสาหกรรมต่างๆ ตอ่ ไป ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมขี ั้นปลายแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ดงั นี้ 4.4.1 เมด็ พลาสตกิ (Plastic resin) เปน็ ผลติ ภณั ฑท์ ่ีมกี ารนาำ ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนือ่ ง มากท่ีสุด เช่น บรรจุภัณฑ์ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง เคร่ืองอุปโภคบริโภค โดยมีผลิตภัณฑ์ที่สำาคัญ เช่น พอลิเอทลิ นี (PE) พอลโิ พรพลิ นี (PP) พอลไิ วนลิ คลอไรด์ (PVC) พอลเิ อทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) พอลสิ - ไตรนี (PS) ใชเ้ ป็นวัตถดุ ิบในอตุ สาหกรรมตา่ งๆ 4.4.2 เส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic fibre) เช่น เสน้ ใยพอลิเอสเทอร ์ (Polyester) เส้นใย พอลเิ อไมด ์ (Polyamide) หรอื ไนลอน (Nylon) ใชเ้ ปน็ วตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมตา่ งๆ เชน่ สง่ิ ทอ บรรจภุ ณั ฑ์ 4.4.3 ยางสงั เคราะห์ (Synthetic rubber หรือ Elastomer) เชน่ SBR, BR ใช้เปน็ วัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรมตา่ งๆ เช่น ชิ้นสว่ นยานยนต ์ ยางรถยนต์ เครอ่ื งอุปโภคบรโิ ภค 4.4.4 สารเคลือบผิวและกาว (Synthetic coating and Adhesive material) เช่น พอลิคอรบ์ อเนต (Polycarbonate) พอลิไวนลิ แอซิเตต (Polyvinyl Acetate) ซึง่ มักใชเ้ ปน็ วัตถดุ บิ และ สารประกอบในอุตสาหกรรมอื่นๆ และการกอ่ สร้าง สำาหรับทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในระยะต่อไป อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยกาำ ลัง เข้าสู่การพัฒนาในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่มีความหลากหลายมากข้ึนรวมถึงความเป็นมิตรต่อสิ่ง แวดล้อม เพ่ือตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคท้ังจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรองรับ ความต้องการใช้ของโลก ซ่ึงจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาในอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศ ก่อให้เกิด การสรา้ งมูลคา่ เพ่มิ และความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ปโิ ตรเคมสี ูต่ ลาดโลก 5. ผลกระทบจากการใชป้ โิ ตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากปิโตรเลียม เช่น แก๊สธรรมชาติ แก๊สหุงต้ม น้ำามัน เช้ือเพลิง พลาสติก โฟมในการดำาเนินชีวิต นับวันความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่าน้ียิ่งเพ่ิมสูงขึ้นเร่ือยๆ จนทรัพยากรปิโตรเลียมท่ีเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหลือน้อยลงทุกที อย่างไรก็ตามการใช้ผลิตภัณฑ์จาก ปโิ ตรเลยี มเหลา่ นไ้ี ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ สงิ่ มชี วี ติ และสงิ่ แวดลอ้ มในดา้ นตา่ งๆ โดยผลกระทบสว่ นใหญ่ ที่เกิดข้นึ มีดังนี้ 134 สุดยอดคูม่ อื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันสื่อสารและน�ำเสนอ 5 . ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 190 วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบรกิ าร 5.1 มลพษิ ทางอากาศ สว่ นใหญเ่ กดิ จากการเผาไหมข้ องนาำ้ มนั เชอื้ เพลงิ ตา่ งๆ การเผาไหมน้ าำ้ มนั เชอ้ื เพลงิ จะทาำ ใหส้ ารตา่ งๆ ทป่ี นอยใู่ นนา้ำ มนั ระเหยออกมาได ้ และหากเครอื่ งยนตม์ กี ารเผาไหมไ้ มส่ มบรู ณ์ จะกอ่ ให้เกดิ เขมา่ ควนั และแก๊สที่เป็นอนั ตรายดังนี้ เปน็ แกส๊ น้ำาห5น.1กั .เ1บาแกกว๊ส่าอคาากรา์บศอ ทนำาไใดหอส้ อากมไาซรถดล์ อ(CยOขน้ึ 2)ส เู่ชก้นั ิดบขร้ึนรจยาากกกาศาร แเผลาะไกหอ่ มใ้อหย้เก่าิดงสภมาวบะูรโณลก์ขรอ้องนเชไื้อดเ้พลิง 5.1.2 แกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์ (CO) เกดิ จากการเผาไหมท้ ไ่ี มส่ มบรู ณ ์ เปน็ แกส๊ ทมี่ อี นั ตราย ต่อมนุษย์และสัตว์ โดยสามารถจับตัวกับเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดได้ดี ทำาให้เม็ดเลือดไม่สามารถรับ ออกซเิ จนได ้ จงึ ทำาใหร้ ่างกายไดร้ ับออกซเิ จนไม่เพยี งพอ 5.1.3 สารตะกั่ว เกิดจากสารบางชนิดท่ีเติมลงในนำ้ามันเบนซินเพื่อเพิ่มคุณภาพให้กับน้ำามัน เมื่อถูกเผาไหม้จึงระเหยปนออกมากับสารอื่นทางท่อไอเสีย สารตะกั่วเป็นสารท่ีมีผลเสียต่อสมอง ไต ระบบประสาท โลหิต และระบบสืบพันธุ์ ในปัจจุบันจึงได้มีการห้ามไม่ให้ผสมสารที่มีตะก่ัวเจือปนลงใน น้าำ มนั อีก มผี ลกระทบต5อ.่ 1ร.4ะบบแหกา๊สยซใัลจเ นฟออกรจ์ไาดกอนอเ้ี กมไอื่ ซรวดม์ ต(Sวั Oก2บั ) ลเะกอิดอขง้ึนนจา้ำ ใานกอกาากราเผศาจไะหเกมดิ ้ขเอปงน็ สฝานรทกี่มรดีซซัลง่ึเฟเปอน็ รอ์ผนั สตมรอายยู่ ตอ่ สิง่ มชี วี ติ และทาำ ใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่สง่ิ ก่อสรา้ งต่างๆ ได้ 5.1.5 แก๊สไฮโดรคาร์บอน เกิดจากการเผาไหม้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่างๆ ที่อยู่ใน นา้ำ มนั เป็นแก๊สมีเทน อีเทน ออกเทน ไอของเฮปเทน และน้ำามันเบนซิน มีผลต่อเยอื่ ดวงตาและก่อให้เกดิ การระคายเคอื งในระบบหายใจได้ 5.2 มลพษิ ทางนาำ้ สว่ นใหญเ่ กดิ จากการใชป้ โิ ตรเคมภี ณั ฑ ์ สารเคมตี า่ งๆ เชน่ ปยุ๋ เคม ี สารฆา่ แมลง ยาปราบศัตรูพืช สารทำาความสะอาด ฯลฯ ซ่ึงสารเคมีเหล่าน้ีถูกปล่อยลงสู่แหล่งนำ้าต่างๆ ทำาให้พืชใน แหล่งนำา้ เจรญิ เตบิ โตอย่างรวดเร็ว เชน่ ผักตบชวา เพราะในน้ำามีปรมิ าณของสารฟอสเฟตเพม่ิ ขึ้น และยงั เป็นสาเหตทุ ำาใหน้ ำ้ามปี ริมาณออกซิเจนละลายอย่นู อ้ ย ทาำ ใหเ้ กิดนา้ำ เน่าเสีย 5.3 มลพิษทางดนิ เกดิ จากการใชส้ ารเคมลี งไปในดนิ เช่น สารเคมีต่างๆ ทใ่ี ชใ้ นการเกษตร หรอื การฝังกลบสารเคมีในดนิ นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑต์ ่างๆ จากปโิ ตรเลียม เชน่ กลอ่ งโฟมและพลาสติก ยังกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาจากปรมิ าณขยะ เนอ่ื งจากผลติ ภณั ฑเ์ หล่านเ้ี นา่ เปอื่ ยยอ่ ยสลายได้ยาก และไม่สามารถ ทำาลายด้วยวิธีการเผาได้ เพราะการเผาจะทำาให้เกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงและเกิดแก๊สท่ีเป็นพิษ จึงยาก ตอ่ การกาำ จดั ทาำ ลาย ดงั นนั้ ในการใชผ้ ลติ ภณั ฑป์ โิ ตรเลยี มตา่ งๆ จงึ ควรใชด้ ว้ ยความรอบคอบและใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนค์ ้มุ คา่ มากที่สุด ปโิ ตรเลียมและผลติ ภณั ฑ์ 191 สรุป ปโิ ตรเลยี ม หมายถงึ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทเี่ กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาต ิมธี าตทุ เ่ี ปน็ องคป์ ระกอบ หลกั 2 ชนดิ คอื คารบ์ อน (C) และไฮโดรเจน (H) โดยอาจมธี าตอุ โลหะชนดิ อน่ื ๆ เชน่ กาำ มะถนั (S) ออกซเิ จน (O) ไนโตรเจน (N) ปนอยดู่ ว้ ย ปโิ ตรเลยี มแบง่ ตามสถานะทส่ี าำ คญั ม ี 2 ชนดิ คอื นา้ำ มนั ดบิ และแกส๊ ธรรมชาติ การเกิดปิโตรเลียมเกิดจากการทับถมและแปรสภาพของซากพืชซากสัตว์ ภายใต้อุณหภูมิและ ความดนั สงู โดยมชี นั้ หนิ ตา่ งๆ ไดแ้ ก ่ หนิ ตน้ กาำ เนดิ หนิ อมุ้ ปโิ ตรเลยี ม และหนิ ปดิ กนั้ ปโิ ตรเลยี มจงึ จะทาำ ให้ เกิดเป็นแหล่งปิโตรเลียมได้ ซึ่งแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมท่ีเกิดจากการเปลี่ยนรูปของช้ันหินมี 3 แบบ คือ รูปโคง้ ประทุนคว่ำา รูปรอยเล่ือนของชนั้ หิน และรูปโดม การสาำ รวจแหลง่ ปโิ ตรเลยี มจะมขี น้ั ตอนการสาำ รวจ คอื การสาำ รวจทางธรณวี ทิ ยา การสาำ รวจทางธรณี ฟสิ กิ ส ์ การเจาะสาำ รวจ และการพฒั นาแหลง่ ผลติ ปโิ ตรเลยี ม โดยการสาำ รวจทางธรณฟี สิ กิ สม์ วี ธิ กี ารสาำ รวจ ได้ 3 วิธี คือวิธีวัดค่าสนามแม่เหล็ก วิธีวัดคล่ืนความสั่นสะเทือน และวิธีวัดค่าแรงดึงดูดของโลก ซึ่งจากการสำารวจในประเทศไทยพบว่ามีแหล่งปิโตรเลียมท้ังบนบกและในทะเล โดยมีการสำารวจพบแล้ว กวา่ 79 แหลง่ และดาำ เนนิ การผลติ จาำ นวน 54 แหลง่ แบง่ เปน็ แหลง่ ปโิ ตรเลยี มบนบก 25 แหลง่ และในทะเล 29 แหล่ง ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมท่ีได้จากการกลั่นนำ้ามันดิบมีทั้งส่วนท่ีเป็นแก๊สซ่ึงจะนำาไปใช้เป็น เช้ือเพลิง NGVและ LPG และยังใช้เปน็ วัตถุดิบในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคม ี สว่ นทเ่ี ปน็ ของเหลวนำาไปใช้เปน็ เชอ้ื เพลงิ เชน่ นาำ้ มนั เบนซนิ นา้ำ มนั ดเี ซล นา้ำ มนั กา๊ ด และนา้ำ มนั เตา สว่ นทเ่ี ปน็ ของหนดื ใชเ้ ปน็ นา้ำ มนั หลอ่ ลน่ื สว่ นทเ่ี ป็นไข เชน่ พาราฟิน ใชใ้ นอตุ สาหกรรมเทียนไข เคร่ืองสาำ อาง และส่วนที่แขง็ เช่น ยางมะตอย ใช้ สำาหรับราดถนน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากการแยกแก๊สธรรมชาติส่วนใหญ่ใช้เป็นเชื้อเพลิง และวตั ถดุ ิบในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมี อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมเี ปน็ อตุ สาหกรรมทนี่ าำ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทไี่ ดจ้ ากการกลนั่ นา้ำ มนั ดบิ และการแยกแก๊สธรรมชาติไปใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตเคมีภัณฑ์ต่างๆ ซ่ึงการผลิตปิโตรเคมีมี 4 ข้ันตอน คอื การผลติ วตั ถดุ บิ ตงั้ ตน้ อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมขี น้ั ตน้ อตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมขี น้ั กลาง และอตุ สาหกรรม ปิโตรเคมีขนั้ ปลาย ผลิตภัณฑ์จากปโิ ตรเคมีมบี ทบาทตอ่ การดำาเนนิ ชวี ติ ของมนษุ ย์มาก ในปัจจุบันการใช้ ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและปัญหาสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ คือมลพิษ ทางอากาศ มลพิษทางน้ำา และมลพิษทางดิน ดังน้ันมนุษย์จึงควรใช้อย่างระมัดระวังและต้องคำานึงถึง ผลกระทบที่จะตามมาอกี ดว้ ย สุดยอดคูม่ ือครู 135
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 192 วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชีพธุรกิจและบรกิ าร เฉลยอยู่ในภาคผนวก หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5 กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ คําชแ้ี จง กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเป็นกจิ กรรมฝึกทกั ษะเฉพาะด้านความรู้-ความจํา เพอื่ ใช้ ในการตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ คาํ ส่งั จงตอบคําถามตอ่ ไปนี้ 1. จงบอกความหมายของปโิ ตรเลยี ม 2. ปโิ ตรเลียมมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง 3. ปิโตรเลียมเกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร 4. จงอธิบายวธิ ีการสำารวจปิโตรเลียม 5. จงยกตัวอยา่ งผลติ ภณั ฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมพร้อมบอกประโยชนข์ องผลิตภณั ฑน์ ั้น 6. เก่ยี วกบั การกาำ หนดคณุ ภาพนา้ำ มนั จงตอบคำาถามต่อไปน้ี 6.1 ค่าท่ีใช้บอกคุณภาพน้ำามันเบนซินคืออะไร น้ำามันเบนซินท่ีเผาไหม้ได้ดีที่สุดคืออะไร และนำ้ามนั เบนซนิ ท่เี ผาไหมไ้ ดไ้ มด่ ที ี่สดุ คืออะไร 6.2 ค่าที่ใช้บอกคุณภาพนำ้ามันดีเซลคืออะไร น้ำามันดีเซลท่ีเผาไหม้ได้ดีท่ีสุดคืออะไร และนาำ้ มันดีเซลเผาไหม้ไดไ้ ม่ดีที่สดุ คอื อะไร 6.3 สารเคมที ีใ่ ช้ปรับคุณภาพนาำ้ มนั เบนซินไร้สารตะก่วั (ULG) คอื อะไร 6.4 พลงั งานทดแทนทใี่ ชแ้ ทนนา้ำ มนั เบนซนิ คอื อะไร และพลงั งานทดแทนทใ่ี ชแ้ ทนนาำ้ มนั ดเี ซล คอื อะไร 6.5 สารท่ีใช้เตมิ ในแก๊สหุงต้ม เพือ่ ให้มกี ลิน่ สำาหรบั เตือนอนั ตรายจากแก๊สรั่วคือ 7. อุตสาหกรรมปิโตรเคมมี ีขั้นตอนการผลิตแบ่งเป็นกข่ี ัน้ ตอน ได้แก่อะไรบา้ ง 8. การใช้ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มีผลกระทบตอ่ มนุษยแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ มอย่างไร ปิโตรเลียมและผลิตภณั ฑ์ 193 กิจกรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ คําชี้แจง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายที่ฝึกทักษะทุกด้าน ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพ่ือให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรม ทัง้ ในและนอกสถานทต่ี ามความเหมาะสมของผู้เรยี นและส่ิงแวดลอ้ มของสถานศึกษา กิจกรรมที่ 1 การสาํ รวจเชือ้ เพลงิ ชนิดตา่ งๆ ในชีวติ ประจําวนั คาํ สง่ั ให้ผ้เู รียนแบง่ เปน็ กลุม่ กลุม่ ละ 3-5 คน ใชเ้ วลาวา่ งหลงั เลิกเรียนสาำ รวจชนิดของเช้ือเพลงิ ท่จี าำ หน่าย ในพื้นท่ีรอบๆ สถานศึกษา หรือในชุมชนของผู้เรียน โดยแต่ละกลุ่มให้สำารวจอย่างน้อย 3 สถาน ประกอบการ และจดบันทึกขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการสาำ รวจในประเดน็ ตา่ งๆ ดังน้ี 1) สถานประกอบการทไ่ี ปสาำ รวจมสี ถานท่ีใดบ้าง 2) สถานประกอบการนน้ั จำาหนา่ ยเชือ้ เพลิงชนิดใดบ้าง 3) เชอื้ เพลงิ ทส่ี าำ รวจมาไดท้ งั้ หมดจาก 3 สถานประกอบการ แบง่ ออกเปน็ กปี่ ระเภท ผเู้ รยี นใชอ้ ะไร เป็นเกณฑ์ในการจำาแนกประเภท 4) เชื้อเพลิงชนิดใดราคาแพงที่สดุ และชนดิ ใดราคาถูกทีส่ ุด เพราะเหตุใด 5) เช้ือเพลงิ ท่ีใช้เป็นพลังงานทดแทนเช้ือเพลงิ จากปโิ ตรเลียมมอี ะไรบ้าง จากนั้นนำามาสรุปลงในตารางบันทึกกิจกรรม และนำาเสนอหน้าชั้นเรียนพร้อมตอบข้อซักถาม จากเพื่อนๆ และผ้สู อนเพอ่ื แลกเปล่ียนเรียนรรู้ ว่ มกนั 136 สุดยอดคู่มอื ครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5 . ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 194 วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาอาชีพธุรกจิ และบริการ แบบประเมนิ กิจกรรมท่ี 1 การสาํ รวจเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ในชีวติ ประจาํ วัน ชื่อกลุ่ม ระดับชั้น สมาชิกในกลมุ่ 1. 2. 4. 3. 5. 6. สถานที่ไปสำารวจคือ วันทส่ี าำ รวจ เวลา ชอ่ื ของเชื้อเพลงิ ประเภทของเชอ้ื เพลงิ ชนดิ ของยานพาหนะที่ใช้ หรอื ราคาจาํ หนา่ ย เคร่อื งมอื -อุปกรณ์ท่ใี ช้เช้ือเพลงิ เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการจาำ แนกประเภทของเชื้อเพลิงคอื เชอื้ เพลิงที่มีราคาแพงท่สี ุดคือ เพราะ เชอ้ื เพลิงทม่ี ีราคาถกู ทส่ี ดุ คือ เพราะ เชอ้ื เพลิงทเ่ี ป็นพลังงานทดแทนคือ ปิโตรเลียมและผลติ ภัณฑ์ 195 กิจกรรมที่ 2 การศกึ ษาความเข้มขน้ ของโซเดียมไฮดรอกไซด์ท่มี ผี ลตอ่ ปรมิ าณน้ํามันไบโอดเี ซลที่ได้ จากนํ้ามันพชื ใช้แลว้ คําส่งั ให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3–5 คน เตรียมวัสดุอุปกรณ์ สารเคมี และดำาเนินการทดลอง ตามข้นั ตอนต่างๆ ดังน้ี วัสดอุ ปุ กรณ์ สารเคมี 1. หลอดทดลองขนาดกลาง 5 หลอด 1. น้ำามนั พชื ใชแ้ ลว้ 80 cm3 2. หลอดทดลองขนาดใหญ ่ 5 หลอด 2. โซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) 3. บกี เกอรข์ นาด 500 cm3 2 อนั 3. เมทานอล (CH3OH) 4. เตาไฟฟา้ 5. เคร่อื งช่ังสารเคมี 6. ชอ้ นตักสารเคม ี 7. แท่งแกว้ คนสาร วธิ ีการทดลอง 1. ตวงนาำ้ มันพชื ท่ใี ชแ้ ลว้ ปรมิ าตร 15 cm3 ใสล่ งในหลอดทดลองขนาดใหญแ่ ตล่ ะหลอด จำานวน 5 หลอด 2. เตรยี มสารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซดใ์ นเมทานอล โดยการชง่ั สารโซเดยี มไฮดรอกไซดป์ รมิ าณ ที ่ 1%, 2%, 3%, 4% และ 5% ตามลำาดับ ใส่ในหลอดทดลองขนาดกลางอยา่ งละ 1 หลอด จากนนั้ เตมิ เมทานอลปรมิ าตร 4.0 cm3 ลงไปในแต่ละหลอด เขย่าเบาๆ จนกระทงั่ โซเดียมไฮดรอกไซด์ละลายหมด 3. เทสารละลายทเี่ ตรียมไดใ้ นข้อ 3 ลงไปในหลอดทดลองท่ตี วงนำา้ มนั พชื ใช้แลว้ ที่ใส่ไว้ตามขอ้ 1 โดยแตล่ ะหลอดมคี วามเขม้ ขน้ ของสารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซดต์ า่ งกนั จนครบทงั้ 5 หลอด เขยี นฉลาก บอกความเข้มข้นติดไวใ้ นแต่ละหลอด 4. นาำ บีกเกอร์ขนาด 500 cm3 ใสน่ ำ้าประมาณครงึ่ บกี เกอรท์ ้ัง 2 ใบ ใบทห่ี น่ึงให้นาำ ไปตง้ั บนเตาไฟฟา้ จากน้นั นำาหลอดทดลองทเี่ ตรียมไวใ้ นข้อ 3 ท้ัง 5 หลอดลงไปต้มในบีกเกอร์ โดยวดั อุณหภูมขิ องสารใหไ้ ด้ 60 องศาเซลเซยี ส จากนน้ั จับเวลา 10 นาที 5. เมือ่ ครบ 10 นาที นาำ หลอดทดลองท้ัง 5 หลอดออกจากบกี เกอร์ทีต่ ้ม ลงไปแช่ในบกี เกอรอ์ ีกใบ ที่ใส่นำ้าตั้งรอไว้ เป็นเวลา 10 นาที สังเกตการแยกชั้นของไบโอดีเซลกับกลีเซอรีน วัดความสูงของ ช้ันกลีเซอรนี และชนั้ นำา้ มนั ไบโอดเี ซล บนั ทึกผลการทดลองลงในตารางในแบบบนั ทึกกจิ กรรม 6. ผเู้ รยี นเขยี นผลการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง และอภปิ รายผลการทดลองในใบบนั ทกึ กจิ กรรม 7. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำาเสนอหน้าช้ันเรียน โดยนำาหลอดทดลองท่ีทดลองได้มาเปรียบเทียบกับ ทกุ กลุม่ พร้อมร่วมกนั อภปิ รายผลการทดลองทีเ่ กดิ ขึน้ และเขยี นขอ้ เสนอแนะในการทดลอง สดุ ยอดคมู่ ือครู 137
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต 196 วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกจิ และบรกิ าร คําถามหลังการทดลอง 1. ผ้เู รยี นทราบไดอ้ ย่างไรวา่ มีไบโอดเี ซลเกดิ ข้ึน 2. ปริมาณโซเดียมไฮดรอกไซดม์ ีผลตอ่ การเกิดไบโอดเี ซลหรือไม ่ อย่างไร 3. มีปัจจัยอะไรบา้ งท่มี ีผลตอ่ ปรมิ าณการเกดิ ไบโอดเี ซล 4. ผูเ้ รียนจะนาำ ความรูเ้ ร่ืองไบโอดีเซลไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจำาวนั ได้อย่างไร แบบบันทึกกจิ กรรมที่ 2 เรอื่ ง ผลการศึกษาความเข้มข้นของโซเดียมไฮดรอกไซดท์ ่ีมผี ลต่อปริมาณ นํา้ มนั ไบโอดเี ซลท่ีได้จากนํา้ มนั พืชใช้แลว้ ชอื่ กลุ่ม ระดับช้ัน สมาชกิ ในกลุ่ม 1. 2. 4. 3. 5. 6. ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง ปรมิ าณสารโซเดยี มไฮดรอกไซด์ ความสูงของชั้นกลเี ซอรนี ความสูงของช้ันไบโอดีเซล 1% 2% ผสู้ อนให้ผูเ้ รียนทำ� แบบทดสอบ จากนนั้ ให้ผเู้ รียน 3% แลกกันตรวจคำ� ตอบ โดยผสู้ อนเปน็ ผูเ้ ฉลย 4% 5% สรุปและอภปิ รายผลการทดลอง . . . ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ 197 แบบทดสอบ คาํ ส่งั จงเลอื กคาำ ตอบที่ถกู ตอ้ งที่สุดเพียงคาำ ตอบเดยี ว เฉลยแบบทดสอบ 1. การทบั ถมของซากสิ่งมชี วี ติ เป็นเวลานานใต้พืน้ ดนิ ภายใตอ้ ณุ หภูมแิ ละความดนั สูงจะใหส้ ารใด 1. ตอบ 3. การทบั ถมของซากสงิ่ มชี วี ติ เปน็ เวลานานใตพ้ น้ื ดนิ 1. สารประกอบอินทรยี ์ ภายใตอ้ ณุ หภูมแิ ละความดันสงู จะใหส้ ารปิโตรเลียม 2. ตอบ 3. จากการส�ำรวจแหลง่ ปิโตรเลียมในประเทศไทย 2. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน พบแบบรอยเลอื่ นของชน้ั หินมากทส่ี ุด 3. ปโิ ตรเลียม 3. ตอบ 3. การส�ำรวจการวัดคล่ืนความสั่นสะเทือนท่ีท�ำ 4. แกส๊ ธรรมชาติ ให้ทราบความหนาของชั้นหิน และทราบต�ำแหน่ง และรปู ร่างลักษณะโครงสรา้ งของชั้นหนิ เบื้องล่าง 5. น้าำ มันดิบ 4. ตอบ 1. แหลง่ นำ�้ มนั ดบิ ทใ่ี หญ่ทีส่ ดุ ในประเทศไทยแหลง่ น้ำ� มันดบิ เพชรจากแหลง่ สริ ิกติ ิ์ 2. จากการสำารวจแหลง่ ปโิ ตรเลยี มในประเทศไทยพบโครงสรา้ งแบบใดมากทีส่ ดุ 5. ตอบ 5. ในการกลั่นล�ำดับส่วนของน�้ำมันดิบ แยกของ เหลวที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ได้ก่อนของเหลวที่มีโมเลกุล 1. แบบโดม 2. แบบประทนุ คว่ำา ขนาดเล็กเปน็ คำ� กล่าวท่ไี ม่ถูกตอ้ ง 3. แบบรอยเลอ่ื นของชนั้ หิน 4. แบบหินอ้มุ ปโิ ตรเลยี มดันแทรกเข้าไปในหินทบึ 5. แบบหินอมุ้ ปโิ ตรเลยี มเปลย่ี นเปน็ หนิ ทึบและหมุ้ สว่ นกักเกบ็ 3. การสำารวจข้อใดท่ีทำาให้ทราบความหนาของช้ันหิน และทราบตำาแหน่งและรูปร่างลักษณะโครงสร้าง ของช้ันหินเบ้ืองล่าง 1. การวัดคา่ ความเข้มของสนามแม่เหลก็ โลก 2. การตรวจวดั คา่ ความโนม้ ถ่วงของโลก 3. การวัดคลืน่ ความสนั่ สะเทอื น 4. การสำารวจทางธรณีวิทยา 5. การขดุ เจาะ 4. แหลง่ นำ้ามันดิบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยทู่ ่ีใด 1. แหล่งนา้ำ มันดิบเพชรจากแหลง่ สริ ิกติ ิ์ 2. แหล่งนา้ำ มันดบิ ท่อี ำาเภอฝาง 3. แหล่งนำา้ มันดิบที่อำาเภอนาำ้ พอง 4. แหลง่ บัวหลวงในอา่ วไทย 5. แหล่งจัสมินและบานเย็นในอ่าวไทย 5. ในการกล่นั ลาำ ดับส่วนของนำ้ามันดิบ คำาอธิบายในข้อใดไมถ่ ูกตอ้ ง 1. แยกแกส๊ ไดก้ ่อนของเหลว 2. แยกสารท่มี จี ดุ เดือดตาำ่ ออกมาได้กอ่ น 3. ของแข็งจะแยกออกมาไดเ้ ป็นลำาดบั สดุ ทา้ ย 4. แยกสารออกเป็นกลุ่มๆ ตามคา่ จดุ เดือดของสารน้นั 5. แยกของเหลวทมี่ โี มเลกลุ ขนาดใหญไ่ ดก้ อ่ นของเหลวท่มี โี มเลกลุ ขนาดเลก็ 138 สุดยอดคมู่ ือครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean 198 วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร เฉลยแบบทดสอบ 6. เชื้อเพลงิ ชนิดใดเผาไหมใ้ นเครอ่ื งยนต์แก๊สโซลนี แลว้ ไมท่ ำาให้เกิดมลพิษในอากาศมากทีส่ ุด 6. ตอบ 1. ไอโซออกเทน 100% เป็นเชื้อ เพลิงเผาไหม้ในเครื่องยนต์แก๊สโซลีนแล้ว 1. ไอโซออกเทน 100% ไม่ท�ำใหเ้ กดิ มลพษิ ในอากาศมากทส่ี ุด 2. นาำ้ มันไรส้ ารตะกว่ั 7. ตอบ 2. เผาไหม้ไดด้ ีกว่านำ้� มนั เบนซนิ เป็น คำ� กลา่ วทีไ่ ม่ถกู ตอ้ ง เกีย่ วกบั ไบโอดีเซล 3. แก๊สโซฮอล ์ 95 8. ตอบ 2. เมทานอล โพรพลิ นี เบนซนิ เปน็ 4. นาำ้ มันเบนซนิ ออกเทน 91 สารในอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคมขี นั้ ตน้ ทงั้ หมด 5. นำา้ มนั เบนซนิ ออกเทน 95 9. ตอบ 4. พาราฟนิ นำ้� มนั หลอ่ ลนื่ นำ้� มนั กา๊ ด น�้ำมันเบนซินเรียงล�ำดับจุดเดือดจากสูง 7. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถูกตอ้ งเกยี่ วกับไบโอดเี ซล ไปต�่ำของไฮโดรคาร์บอนท่ีได้จากการกล่ัน นำ้� มันดบิ ได้ ถกู ตอ้ ง 1. ผลิตจากน้ำามนั พืชหรือนำา้ มนั สัตว ์ 10. ตอบ 2. ท�ำใหน้ ำ้� เสยี เนื่องจากคราบนำ้� มัน 2. เผาไหมไ้ ด้ดกี ว่าน้ำามนั เบนซิน ทบำ�นใผหิวค้ นรำ้�าทบำ�นใำ้� หม้ นัOป2 โิ ลตะรเลลายี ยมในทพน่ี ำ้�บไใดนน้ บอ้ รเยิ วลณง รมิ ฝง่ั ทะเล จงึ จดั วา่ เปน็ ปญั หาส่งิ แวดล้อม 3. ใชส้ ารตง้ั ตน้ เป็นแอลกอฮอล์ 4. เปน็ เอสเทอร์ของน้ำามัน 5. ใชก้ ับเครอ่ื งยนตด์ ีเซลเทา่ น้ัน 8. สารในข้อใดเป็นสารในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมีข้ันต้นท้ังหมด 1. กาว โทลอู ีน ไซลีน 2. เมทานอล โพรพิลนี เบนซนิ 3. สไตรีน เอทิลนี ไวนิลคลอไรด ์ 4. พอลเิ อทิลนี พอลิเอสเทอร ์ ไวนิลคลอไรด์ 5. พอลไิ วนลิ คลอไรด์ สไตรีน พอลเิ อไมด์ 9. ข้อใดเรียงลำาดับจุดเดือดจากสูงไปตำ่าของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากการกล่ันนำ้ามันดิบได้ ถกู ต้อง 1. นำ้ามันหลอ่ ล่นื น้าำ มันดีเซล น้ำามนั เบนซนิ น้ำามนั ก๊าด 2. พาราฟนิ นำ้ามันกา๊ ด นำ้ามนั ดเี ซล แก๊สปิโตรเลยี ม 3. นำ้ามันหลอ่ ลนื่ น้าำ มันเบนซนิ นา้ำ มันดีเซล แกส๊ ปโิ ตรเลียม 4. พาราฟิน นำา้ มนั หล่อลน่ื น้ำามนั ก๊าด นาำ้ มันเบนซนิ 5. นา้ำ มันเบนซนิ นา้ำ มันก๊าด แก๊ส NGV แกส๊ LPG 10. เหตใุ ดคราบนาำ้ มนั ปิโตรเลียมท่ีพบในบรเิ วณรมิ ฝั่งทะเลจงึ จัดวา่ เปน็ ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ ม 1. ทำาให้พ้ืนดนิ รมิ ฝัง่ ทะเลมคี ราบสดี ำาตดิ สกปรก เสยี ทศั นียภาพ 2. เทกำาิดใหอ้นันาำ้ตเรสาียย เแนกอ่ื ผ่ งู้อจาาศกัยคบรารบเิ วนณ้ำามใกันลบ้เนคผยี วิง นเพาำ้ ทรำาาใะหน้ ้ำาOม2นั ลมะีสลาารยกใ่อนมนะา้ำ เไรดง็ น้ป้อนยอลยงดู่ ้วย 3. 4. ทาำ ให้เปน็ อันตรายแก่เรือที่สัญจรไปมา 5. ทาำ ใหพ้ ชื ริมฝ่ังทะเลเจรญิ เติบโตไมไ่ ด้ สดุ ยอดคู่มอื ครู 139
ตารางสรุปคะแนนการประเมินจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ และสมรรถนะประจำ� หน่วย หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 5 ปิโตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ คะแนนตาม จปส. รายหน่วยการเรียนรู้ ช้ินงาน/การแสดงออก 1. บอกความหมายของ ิปโตรเลียมได้ รวม ที่ก�ำหนดในหนว่ ยการเรียนรูห้ รอื หน่วยยอ่ ย 2. บอกองค์ประกอบของปิโตรเลียมได้ 3. อธิบายกระบวนการเ ิกด ิปโตรเลียมได้ 4. อธิบาย ิว ีธการ �สำรวจแหล่งปิโตรเลียมได้ 5. อธิบายกระบวนการกล่ัน ้�นำมัน ิดบและแ ๊กสธรรมชาติได้ 6. ระ ุบ ่ืชอผลิต ัภณฑ์และประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ จากปิโตรเลียมได้ 7. อธิบายการก�ำหนด ุคณภาพของน�้ำมันได้ 8. อธิบายกระบวนการผลิต ิปโตรเคมีได้ 9. อ ิธบายผลกระทบจากการใ ้ช ิปโตรเลียมและผลิตภัณ ์ฑไ ้ด ภาระงาน/ชิ้นงานระหวา่ งเรียน 1. ผังกราฟิกแสดงการเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับ ปิโตรเลยี มและผลติ ภัณฑ์ 2. ผังกราฟิกสรุปความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์ 3. การนำ�เสนอผลการสรุปความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ ปิโตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ การประเมินรวบยอด 1. ผลการปฏิบัติกจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 2. ผลการปฏิบัติกจิ กรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ 3. ผลการประเมนิ ตนเอง 4. คะแนนผลการทดสอบ รวม หมายเหต:ุ คะแนนการประเมินจดุ ประสงค์การเรยี นรขู้ น้ึ อยู่กบั การออกแบบแผนการจดั การเรยี นรู้ของผสู้ อน 140 สุดยอดคมู่ อื ครู
1. ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5. ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ พอหลนเิ มว่ ยอกรา์แรลเระยี ผนลรทู้ติ ่ี ภ6ัณฑ์ 6 พอลิเมอรแ์ ละผลิตภณั ฑ์ สาระการเรียนรู้ 1. พอลิเมอร์และประเภทของพอลิเมอร์ สาระสำาคญั (หนงั สือเรยี น หนา้ 201) 2. การสงั เคราะหพ์ อลเิ มอร์ (หนงั สอื เรยี น หนา้ 205) พอลเิ มอรไ์ ดเ้ ขา้ มาเป็นสว่ นหน่ึงในการดาำ รงชีวติ ของมนุษย์เราในยุคปจั จบุ ัน มนษุ ย์มีการใช้ประโยชน์ 3. ผลติ ภณั ฑจ์ ากพอลเิ มอร์ (หนงั สอื เรยี น หนา้ 206) จากพอลิเมอร์อย่างมากมาย โดยพอลิเมอร์ท่ีเป็นท่ีรู้จักกันดีคือพลาสติก เช่น เพท (PET) พีวีซี (PVC) 4. ผลกระทบจากการใชพ้ อลเิ มอรแ์ ละผลติ ภณั ฑ์ พอลเิ อทลิ ีน (PE) พอลโิ พรพลิ นี (PP) ฯลฯ นอกจากนย้ี งั มพี อลิเมอร์ชนดิ อ่นื ๆ ท่ีมปี ระโยชนแ์ ละจาำ เปน็ (หนังสือเรยี น หนา้ 225) ต่อชีวิตประจำาวันของมนุษย์ท่ีควรศึกษา เช่น ยาง เส้นใย และซิลิโคน ฯลฯ ความหมายของพอลิเมอร์ 5. พลาสติกชีวภาพ (หนังสือเรียน หน้า 228) คอื สารทม่ี นี า้ำ หนกั โมเลกลุ สงู โดยมโี ครงสรา้ งทางเคมที ป่ี ระกอบดว้ ยหนว่ ยยอ่ ยซาำ้ ๆ ทเี่ รยี กวา่ มอนอเมอร ์ สมรรถนะประจ�ำหนว่ ย ซึง่ เป็นสารต้ังตน้ ของพอลเิ มอร ์ สามารถพบสารท่เี ป็นพอลิเมอรไ์ ดใ้ นธรรมชาตแิ ละจากการสังเคราะห์ข้ึน 1. แสดงความรู้และปฏิบัติเก่ียวกับพอลิเมอร์ การใชพ้ อลเิ มอรแ์ ละผลติ ภณั ฑไ์ ดส้ ง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพและสง่ิ แวดลอ้ มเปน็ อยา่ งมากจากภาวะทไี่ ม่ และผลิตภณั ฑ์ ย่อยสลาย และกระบวนการกาำ จัดขยะจากพอลิเมอร์เหล่าน้ีกเ็ กิดมลพิษตอ่ สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำาให้ 2. ประยกุ ตค์ วามรเู้ รอ่ื งปโิ ตรเลยี มและผลติ ภณั ฑ์ ปัจจุบันเร่ิมรณรงค์ให้มีการลดการใช้พลาสติก โดยมีการหาวัสดุอื่นที่ย่อยสลายได้มาใช้ทดแทน จึงเกิด ไปใชใ้ นชีวติ ประจำ� วนั และการประกอบอาชีพ อตุ สาหกรรมพลาสติกชวี ภาพขนึ้ เพอื่ เป็นหนทางในการแก้ปัญหาจากการใช้พลาสตกิ สังเคราะห์ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของพอลิเมอร์ได้ 2. จำ� แนกประเภทของพอลิเมอร์ได้ 3. อธบิ ายวธิ กี ารสงั เคราะหพ์ อลเิ มอรช์ นดิ ตา่ งๆ ได้ 4. ระบุประเภทของผลติ ภณั ฑจ์ ากพอลเิ มอรไ์ ด้ 5. อธิบายสมบัติของผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ แตล่ ะชนิดได้ 6. อธิบายวิธกี ารทดสอบสมบัติของพอลเิ มอรไ์ ด้ 7. อธิบายผลกระทบจากการใช้พอลิเมอร์และ ผลิตภณั ฑไ์ ด้ 8. อธบิ ายความหมายของพลาสตกิ ชีวภาพได้ 9. ปฏบิ ัตกิ ารทดลองเกย่ี วกับพลาสตกิ ชีวภาพได้ การประเมนิ ผล ภาระงาน/ชิ้นงานรวบยอดในหน่วยการเรียนรู้ 1. ผลการปฏบิ ัติกิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ภาระงาน/ชิ้นงาน/การแสดงออกของผูเ้ รียน 2. ผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมส่งเสรมิ การเรียนรู้ ภาระงาน/ชน้ิ งานระหวา่ งเรียน 3. ผลการประเมนิ ตนเอง 1. ผังกราฟกิ แสดงการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกบั พอลเิ มอรแ์ ละผลติ ภัณฑ์ 4. คะแนนผลการทดสอบ 2. ผงั กราฟกิ สรปุ ความร้คู วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั พอลเิ มอรแ์ ละผลิตภัณฑ์ 3. การนำ� เสนอผลการสรปุ ความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั พอลเิ มอรแ์ ละผลติ ภณั ฑ์ สุดยอดคู่มือครู 141
1 . ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต ep 1 ขั้นรวบรวมข้อมลูSt 200 วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร Gathering สาระการเรียนรู้ 2. การสังเคราะห์พอลเิ มอร์ 4. ผลกระทบจากการใช้พอลเิ มอร์และผลิตภัณฑ์ 1. ผสู้ อนแบง่ กลมุ่ ผเู้ รยี นรว่ มกนั ศกึ ษาเอกสาร 1. พอลิเมอรแ์ ละประเภทของพอลิเมอร ์ หนังสือเรียนวิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนา 3. ผลิตภณั ฑจ์ ากพอลเิ มอร์ ธรุ กจิ และบรกิ าร เรอื่ ง พอลเิ มอรแ์ ละประเภท 5. พลาสติกชวี ภาพ ของพอลิเมอร์ (หนังสือเรียน หน้า 201) การสังเคราะห์พอลิเมอร์ (หนังสือเรียน สมรรถนะประจำาหน่วย หน้า 205) ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ (หนังสือเรียน หน้า 206) ผลกระทบจาก 1. แสดงความร้แู ละปฏบิ ัตเิ กย่ี วกับพอลิเมอรแ์ ละผลติ ภณั ฑ์ การใชพ้ อลเิ มอรแ์ ละผลติ ภณั ฑ์ (หนงั สอื เรยี น 2. ประยุกต์ความรเู้ รือ่ งพอลเิ มอรแ์ ละผลติ ภัณฑ์ไปใช้ในชีวติ ประจำาวนั และการประกอบอาชีพ หน้า 225) พลาสตกิ ชีวภาพ (หนงั สอื เรยี น หน้า 228) จุดประสงค์การเรยี นรู้ 2. ผู้สอนต้ังค�ำถามให้ผู้เรียนเสนอข้อมูล จากประสบการณ์เดิมท่ีรับรู้ในเร่ือง 1. บอกความหมายของพอลิเมอรไ์ ด้ กระบวนการสอ่ื สาร เชน่ พอลเิ มอรแ์ ละประเภท 2. จาำ แนกประเภทของพอลิเมอร์ได้ ของพอลิเมอร์ การสังเคราะห์พอลิเมอร์ 3. อธบิ ายวธิ กี ารสงั เคราะหพ์ อลเิ มอรช์ นิดต่างๆ ได้ ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ ผลกระทบจาก 4. ระบปุ ระเภทของผลิตภณั ฑ์จากพอลเิ มอรไ์ ด้ การใช้พอลิเมอร์และผลิตภัณฑ์พลาสติก 5. อธิบายสมบัตขิ องผลติ ภัณฑจ์ ากพอลิเมอรแ์ ต่ละชนดิ ได้ ชวี ภาพ 6. ทดสอบสมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ได้ 3. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มบันทึกผลจากการศึกษา 7. อธิบายผลกระทบจากการใชพ้ อลเิ มอร์และผลติ ภณั ฑ์ได้ ตามหัวข้อท่ีก�ำหนดลงผังกราฟิก (เลือก 8. อธบิ ายความหมายของพลาสตกิ ชีวภาพได้ ออกแบบและใชผ้ ังกราฟิกให ้ เ ห ม า ะ ส ม 9. ปฏบิ ัติการทดลองเกยี่ วกบั พลาสตกิ ชีวภาพได้ กบั ลกั ษณะของข้อมลู ) ดงั ตวั อย่าง ผงั สาระการเรียนรู้ พอลิเมอร์และประเภทของพอลิเมอร์ พอลเิ มอร์ การสงั เคราะห์พอลิเมอร์ และผลิตภณั ฑ์ ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ ผลกระทบจากการใช้พอลเิ มอร์ และผลิตภัณฑ์ พลาสติกชวี ภาพ (ระหว่างผ้เู รยี นศึกษาเอกสาร ค้นคว้าและบนั ทกึ ผล บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ผู้สอน คอยใหค้ �ำแนะน�ำต่อเนอ่ื งรายกลมุ่ ) • การท�ำงานเปน็ ทีม ทมี ละ 5-6 คน ฝกึ การคดิ วิเคราะห์ การแกป้ ัญหา • การใชส้ อ่ื /เทคโนโลยี/ส่ิงทนี่ า่ สนใจอ่นื ๆ 142 สุดยอดค่มู อื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันสื่อสารและน�ำเสนอ 5 . ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean พอลเิ มอร์และผลิตภณั ฑ์ 201 Step 2 ขัน้ คดิ วเิ คราะห์และสรุปความรู้ 1. พอลเิ มอร์และประเภทของพอลเิ มอร์ Processing 1.1 ประวตั ิการค้นพบพอลิเมอร์ 1. ผู้เรียนร่วมกันจ�ำแนก จัดกลุ่ม และโยงสัมพันธ์ข้อมูลเรื่อง พอลิเมอร์และผลติ ภัณฑ์ โดยจัดเปน็ หมวดหม่ตู ามท่ีรวบรวม มนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากพอลิเมอร์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ เช่น ได้ จากเอกสารทศ่ี กึ ษาคน้ ควา้ และจากความคดิ เหน็ ของสมาชกิ ในกลมุ่ หรือจากประสบการณข์ องตน การนาำ ใบไม ้ ขนสตั วม์ าปกปดิ รา่ งกาย ตอ่ มาไดม้ กี ารพฒั นาโดยรจู้ กั นาำ เสน้ ใยจากขนสตั ว ์ เสน้ ใยไหม เสน้ ใยพชื 2. ผู้เรียนเช่ือมโยงความสอดคล้องของข้อมูลท่ีน�ำมาจ�ำแนก จัดกลุ่ม และโยงสัมพันธ์ โดยน�ำมาเขียนสรุปความรู้ตาม เชน่ ฝา้ ย ปอ ปา่ น มาทาำ เปน็ เสอ้ื ผา้ เครอ่ื งนงุ่ หม่ ซงึ่ นาำ มาใชป้ ระโยชนไ์ มน่ อ้ ยกวา่ 5-6 พนั ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช โครงสร้างเนื้อหาที่เช่ือมโยงได้เป็นผังความคิดรวบยอด ของเรอื่ งที่ศึกษา ดังตัวอย่าง เช่น ชาวจีนทำาผ้าจากเส้นไหม ชาวอียิปต์ทำาผ้าลินินจากเส้นใยปอในการห่อมัมม่ี ชาวโรมันใช้น้ำายางจาก 3. ผู้เรียนร่วมกันอธิบายบันทึกผลผังข้อสรุปความคิดรวบยอด ต้นมาสติก (Mastic) และเชลแลก็ (Shellac) ในการเคลอื บผวิ ภาชนะสง่ิ ของเคร่ืองใชต้ ่างๆ ประโยชน์จาก ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั ทั้งกลมุ่ และรายบุคคล การใชพ้ อลเิ มอรธ์ รรมชาตไิ ดม้ วี วิ ฒั นาการมาเรอื่ ยๆ จนใน พ.ศ. 2035 ครสิ โตเฟอร ์ โคลมั บสั (Christopher 202 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร 1.2 ความหมายของพอลิเมอร์ Columbus) นักสำารวจชาวอิตาลีและนักสำารวจคนอื่นๆ ท่ีค้นพบทวีปอเมริกา พบว่าคนพื้นเมืองนำายาง พอลิเมอร์มาจากคำาว่า พอลิ (Poly) แปลว่ามาก กับคำาว่า เมรอส (Meros) แปลว่าส่วนหรือ ธรรมชาตจิ ากต้นยาง (Hevea Brasiliensis) มาทาำ เปน็ วสั ดเุ ครือ่ งใช้ เชน่ รองเทา้ ยาง ขนั น้าำ และภาชนะ หน่วยย่อย ดังนัน้ จึงแปลรวมกันว่า สารทม่ี ีหน่วยยอ่ ยมาต่อกันเป็นจำานวนมาก ในทางวิชาการ พอลิเมอร์ (Polymer) คือสารประกอบท่ีมีโมเลกุลขนาดใหญ่และมีมวลโมเลกุลมาก ประกอบด้วยหน่วยเล็กๆ บรรจุสิ่งของอ่ืนๆ ใน พ.ศ. 2303 ตามประวัติศาสตร์จีนได้มีโรงงานผลิตหวีจากเชลแล็กที่เป็นโรงงาน ของสารที่อาจจะเหมือนกันหรือต่างกันมาเช่ือมต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนต ์ ซึ่งหน่วยเล็กๆ ของสารใน พอลเิ มอร์นัน้ เรยี กว่า มอนอเมอร ์ (Monomer) อุตสาหกรรมรายแรกซ่ึงใช้ประโยชน์จากพอลิเมอร์ธรรมชาติ ในตอนเริ่มต้นการใช้ประโยชน์จากยางยังมี 1.3 ประเภทของพอลิเมอร์ น้อยเน่ืองจากสมบัติของยางเปล่ียนไปตามความร้อนของอากาศ จนกระท่ังใน พ.ศ. 2382 ชาร์ลส์ พอลเิ มอร์แบง่ ออกเปน็ หลายประเภทตามวิธีการจำาแนกดังนี้ 1.3.1 จำ�แนกต�มแหลง่ ทีม่ � แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กูดเยียร์ (Charles Goodyear) นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้พัฒนายางวัลคาไนซ์ขึ้น และต่อมาเนลสัน 1) พอลเิ มอรธ์ รรมช�ต ิ (Natural Polymer) เปน็ พอลเิ มอรท์ เี่ กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาต ิ (Nelson) น้องชายของชาร์ลส์ กูดเยียร์ ได้พัฒนายางให้มีความแข็งมากข้ึนจนมีสมบัติคล้ายพลาสติก เชน่ โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ยางธรรมชาติ เส้นใยธรรมชาต ิ สารพนั ธุกรรม DNA และ RNA เรยี กวา่ อโี บไนต ์ (Ebonite) พ.ศ. 2390 ครสิ เตยี น เอฟ ชอนเบยี น (Christain F. Schonbein) ไดส้ งั เคราะห์ เซลลูโลสไนเตรตขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเทอร์มอพลาสติกชนิดแรกที่มนุษย์ประดิษฐ์ข้ึน ต่อมาใน พ.ศ. 2409 จอหน์ ไฮแอท (John W. Hyatt) ชาวอเมรกิ นั ไดป้ ระดษิ ฐเ์ ซลลลู อยด ์ (Celluloid) ขน้ึ โดยนาำ ไปใชท้ ดแทน ผลิตภัณฑ์ที่ทำาจากงาช้าง เขาสัตว์ หรือกระดองสัตว์ และเคร่ืองประดับได้ดี พ.ศ. 2409 เลโอ เฮนดริค แบเคลแลนด์ (Leo Hendrik Baekeland) นกั วจิ ยั เคมชี าวเบลเยยี มไดผ้ ลิตเบคไิ ลต์ (Bakelite) เพอื่ ใช้ เป็นวัสดุทดแทนเชลแล็ก ต่อมาได้มีการพัฒนาฟีนอลิก (Phenolic) สำาหรับใช้ทำาลูกบิลเลียดแทนงาช้าง ใช้เป็นฉนวนในระบบไฟฟ้าในยานยนต์ และเรยอน (Rayon) สำาหรับใช้เป็นเส้นใยแทนเส้นใยไหม การค้นพบเบคิไลต์และเรยอนถือเป็นก้าวสำาคัญในการพัฒนาพอลิเมอร์สังเคราะห์สู่อุตสาหกรรม ต่อมา ใน พ.ศ. 2473 บริษัท ดูปองต์ (Du Pont) ในสหรฐั อเมรกิ า ไดผ้ ลติ ไนลอน HH HHHH (Nylon) และเทฟลอน (Teflon) ออก จาำ หนา่ ย ในปจั จบุ นั ไดม้ กี ารสงั เคราะห์ CC CCCC พอลิเมอร์ในระดับอุตสาหกรรมและ ใช้ในเชิงการค้าออกจำาหน่ายมากมาย HH HH HH เช่น พีวีซี (PVC) พอลิเอทิลีน (PE) มอนอเมอร์ 1 มอนอเมอร ์ 2 มอนอเมอร์ 3 พอลสิ ไตรนี (PS) และอื่นๆ ภาพที่ 6.1 มอนอเมอร์ คือ โมเลกลุ หน่วยยอ่ ยพน้ื ฐานของพอลิเมอร์ ซง่ึ สามารถ รวมกนั เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ พบไดจ้ ากสงิ่ มชี ีวิตทกุ ชนิด (ก) ฝ้ายและเส้นใย (ข) ป่านศรนารายณแ์ ละเส้นใย (ค) ปอกระเจาและเสน้ ใย (ง) มันสำาปะหลังและแปง้ มนั (จ) รงั ไหมและเส้นใย (ฉ) ครง่ั และเชลแลก็ (ช) แกะและขนแกะ (ซ) ชา้ งและงาช้าง ภาพท ่ี 6.2 พอลเิ มอร์ธรรมชาติ สุดยอดค่มู อื ครู 143
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต พอลเิ มอรแ์ ละผลิตภัณฑ์ 203 Step 3 ขัน้ ปฏิบตั ิและสรปุ ความรู้หลังการปฏิบัติ 2) พอลเิ มอรส์ งั เคร�ะห ์ (Synthetic Polymer) เปน็ พอลเิ มอรท์ เ่ี กดิ จากการสรา้ งขนึ้ ของมนษุ ยเ์ พ่ือใช้ประโยชน์ตา่ งๆ เช่น พลาสตกิ ไนลอน ดาครอน และลูไซต์ AthpeplKyninogwlaenddgeConstructing (ก) พลาสติก (ข) ฝ้ายและเสน้ ใย (ค) ไมลารฟ์ ิลม์ เรียนน�ำข้อสรุปความรู้ความเข้าใจท่ีได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภาพที่ 6.3 พอลเิ มอรส์ งั เคราะห์ รว่ มกนั ในชน้ั เรยี นมากำ� หนดแนวปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั ตนเองหรอื สมาชกิ ในกลมุ่ โดยการทำ� กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ (หนงั สอื เรยี น หนา้ 233) 1.3.2 จ�ำ แนกต�มโครงสร�้ งโมเลกุล แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) พอลิเมอร์แบบเส้น (Linear Polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ เชือ่ มต่อกันเป็นสายยาว โซ่ของพอลิเมอรเ์ รยี งชิดกันมากกวา่ โครงสรา้ งแบบอื่นๆ จึงมคี วามหนาแน่นและ จดุ หลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขนุ่ เหนยี วกว่าโครงสร้างอน่ื ๆ ตวั อย่างเชน่ พวี ซี ี พอลสิ ไตรนี พอลเิ อทลิ ีน 2) พอลิเมอร์แบบกิ่ง (Branched Polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ เชอ่ื มตอ่ กนั โดยแยกกง่ิ กา้ นสาขา มที ง้ั โซส่ นั้ และโซย่ าว กง่ิ ทแี่ ยกจากพอลเิ มอรข์ องโซห่ ลกั ทาำ ใหไ้ มส่ ามารถ จดั เรยี งโซข่ องพอลเิ มอรใ์ หช้ ดิ กนั ไดม้ าก จงึ มคี วามหนาแนน่ และจดุ หลอมเหลวตาำ่ ยดื หยนุ่ ได ้ ความเหนยี วตา่ำ โครงสรา้ งเปลี่ยนรปู ได้งา่ ยเม่ืออุณหภูมิเพม่ิ ขน้ึ ตัวอยา่ งเช่น พอลิเอทิลนี ชนดิ ความหนาแน่นตาำ่ (LDPE) 3) พอลิเมอรแ์ บบร�่ งแหหรือเชือ่ มขว�ง (Network or Crosslinked Polymer) เป็นพอลิเมอร์ท่ีเกิดจากมอนอเมอร์เชื่อมต่อกันเป็นร่างแห พอลิเมอร์ชนิดน้ีมีความแข็งมากแต่เปราะ ไมล่ ะลายในตวั ทาำ ละลายใดๆ ไมห่ ลอมเหลว และไมย่ ดื หยนุ่ ตวั อยา่ งเชน่ เบคไิ ลต ์ เมลามนี ทใี่ ชท้ าำ ถว้ ยชาม (ก) โครงสรา้ งแบบเส้น (ข) โครงสรา้ งแบบกิง่ (ค) โครงสรา้ งแบบร่างแห ภาพท ี่ 6.4 โครงสร้างโมเลกลุ ของพอลเิ มอร์ชนิดต่างๆ 204 วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบริการ 1.3.3 จ�ำ แนกต�มชนดิ ของหนว่ ยที่ซ้�ำ กันในโมเลกลุ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) ฮอมอพอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ ชนดิ เดยี วกนั เชน่ แปง้ พอลิเอทิลนี พีวีซ ี ดังภาพท่ ี 6.5 OH2OH O OH2OHO CH2OHO OH OH OH O OH OH O OH OH 300-600 OH ภาพที่ 6.5 โครงสร้างโมเลกลุ ของอะไมโลสในแปง้ 2) โคพอลิเมอร์ (Copolymer) หรือเฮเทอโรพอลิเมอร์ (Heteropolymer) เปน็ พอลิเมอรท์ ีป่ ระกอบดว้ ยมอนอเมอร์ต่างชนดิ กัน เชน่ โปรตีน พอลิเอสเทอร ์ พอลิเอไมด์ ดังภาพท่ ี 6.6 คาร์บอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน ออกซิเจน หมู่แอลคิล (R) พนั ธะเคมี ภาพท่ี 6.6 โครงสรา้ งของโปรตีนชนดิ หนงึ่ ประเภทของโคพอลิเมอร์หากแบ่งตามลักษณะการจัดเรียงตัวของหน่วยย่อย ในโครงสรา้ งของโคพอลิเมอร์แล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ (1) โคพอลิเมอร์แบบสุ่ม (Random Copolymer) คือสายโซ่ของพอลิเมอร์ ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิด A และมอนอเมอร์ชนิด B โดยมอนอเมอร์ทั้งสองชนิดจัดเรียงโมเลกุล อย่างไมเ่ ป็นระเบยี บในสายโซข่ องพอลิเมอร์ ABAABAAABBBBABBAAAAAAABAAAAABAABABBAB 144 สุดยอดคู่มอื ครู
A3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5 . ขS้ันeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพti่ิมnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean พอลเิ มอรแ์ ละผลติ ภณั ฑ์ 205 รอบรู้อาเซียนและโลก (2) โคพอลเิ มอรแ์ บบสลบั (Alternating Copolymer) คอื สายโซข่ องพอลเิ มอร์ asean ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิด A และมอนอเมอร์ชนิด B โดยมอนอเมอร์ท้ังสองชนิดจัดเรียงโมเลกุล สลับกันไปอย่างเป็นระเบยี บ ศกึ ษาเกยี่ วกบั การคน้ พบความรใู้ หมๆ่ เกยี่ วกบั พอลเิ มอรแ์ ละ ผลติ ภัณฑ์ของประเทศตา่ งๆ ในกลมุ่ สมาชกิ ประชาคมอาเซียน ABABABABABABABABABABABABABABABABABAB 206 วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร (3) โคพอลิเมอร์แบบบล็อก (Block Copolymer) คือสายโซ่ของพอลิเมอร์ ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิด A และมอนอเมอร์ชนิด B โดยมอนอเมอร์แต่ละชนิดอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ในสายโซ่ของพอลเิ มอร์ AAAAABBBBBAAAAABBBBBAAAAABBBBBAAAAABBBBB (4) โคพอลิเมอร์แบบกราฟต์ (Graft Copolymer) คือสายโซ่ของพอลิเมอร์ ทป่ี ระกอบดว้ ยมอนอเมอรช์ นดิ A และมอนอเมอรช์ นดิ B โดยมอนอเมอรช์ นดิ ใดชนดิ หนง่ึ เปน็ สายโซห่ ลกั อีกมอนอเมอร์เป็นโซ่ก่ิง BBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBBB A A AA A A AA A A AA 2. การสงั เคราะหพ์ อลิเมอร์ พอลิเมอร์เกิดข้ึนจากการเกิดปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ (Polymerization) ของมอนอเมอร์ โดยการเกิดพอลิเมอร์ คือกระบวนการเกิดสารโมเลกุลขนาดใหญ่จากการนำาสารโมเลกุลขนาดเล็กหรือ มอนอเมอร์หลายๆ หน่วยมารวมเข้าด้วยกันด้วยพันธะเคมี มอนอเมอร์ที่ใช้ในการสังเคราะห์พอลิเมอร์ ส่วนใหญ่ได้มาจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซ่ึงได้จากกระบวนการกลั่นแยกปิโตรเลียม โดยผลิตภัณฑ์ ทน่ี าำ มาใชเ้ ปน็ สารตง้ั ตน้ หรอื มอนอเมอรใ์ นการสงั เคราะหพ์ อลเิ มอรน์ นั้ มหี ลายชนดิ เชน่ มเี ทน เอทลิ นี เบนซนี โทลูอีน การสงั เคราะหพ์ อลเิ มอรโ์ ดยการเกิดปฏกิ ริ ยิ าการเกิดพอลิเมอร์ สามารถสังเคราะห์ได ้ 2 วธิ ี ดงั นี้ 2.1 การเกดิ พอลเิ มอรแ์ บบเตมิ หรอื แบบลกู โซ่ (Addition or Chain Polymerization) ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ท่ีเกิดจากมอนอเมอร์ของสารชนิดเดียวกันท่ีมี C กับ C เช่ือม ต่อกันด้วยพันธะคู่ มารวมตัวกันเกิดเป็นพอลิเมอร์เพียงชนิดเดียวเท่าน้ัน ตัวอย่างของพอลิเมอร์ท่ีได้ จากปฏกิ ริ ิยาการเกิดพอลิเมอรแ์ บบเตมิ เช่น พอลิเอทลิ นี พอลโิ พรพลิ นี พอลิไวนลิ คลอไรด์ พอลิเตตระ- ฟลอู อโรเอทิลีน พอลิสไตรีน พอลอิ ะคริโลไนไตรล์ ภาวะที่เหมาะสม พอลิเอทิลนิ มอนอเมอรท์ กุ หนว่ ยมาต่อกันโดยไมม่ ีสารใดหลุดออกมา H = H + H = H + ... ตวั เรง่ ปฏกิ ริ ิยา - H - H - H - H - H - H - C C C C C C C C C C H H H H อณุ หภมู แิ ละความดนั ทเ่ี หมาะสม H H H H H H เอทลิ ิน พอลิเอทิลนิ 2.2 การเกิดพอลิเมอร์แบบควบแน่น (Condensation Polymerization Reaction) ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ 2 ชนิด ท่ีมีหมู่ฟังก์ชัน 2 หมู่ในโมเลกุล ซ่ึงพอลเิ มอร์ท่สี ำาคญั ในทางการคา้ ที่เกดิ จากปฏิกิรยิ าการเกิดพอลเิ มอร์แบบควบแนน่ เช่น พอลเิ อสเทอร์ จากการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งเอทลิ นี ไกลคอลกบั ไดเมทลิ ทาเรฟทาเลต เสน้ ใยไนลอน 6, 6 เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ า ระหว่างกรดอะดิปิกกับเฮกซะเมทิลีนไดเอมีนซ่ึงเป็นพอลิเอไมด์ แต่หากเป็นมอนอเมอร์ท่ีมีหมู่ฟังก์ชัน มากกวา่ 2 หม ู่ โครงสรา้ งของพอลเิ มอรท์ ไี่ ดจ้ ะเกดิ เปน็ กงิ่ กา้ นสาขา และกงิ่ กา้ นสาขานนั้ อาจเกดิ การเชอ่ื มโยง ภายในโมเลกุล หรือกับโมเลกุลอ่ืนเกิดเป็นพอลิเมอร์เช่ือมโยง (Crosslinked Polymer) หรือพอลิเมอร์ แบบรา่ งแห (Network Polymer) ตัวอยา่ งพอลเิ มอรส์ งั เคราะหท์ ีเ่ ตรยี มไดจ้ ากปฏิกริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร์ แบบควบแน่น เช่น พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต พอลิเอไมด์ พอลิคาร์บอเนต พอลิยูรีเทน พอลิฟีนอล- ฟอร์มาลดไี ฮด์ พอลยิ เู รยี ฟอรม์ าลดไี ฮด ์ พอลิเมลามนี ฟอร์มาลดีไฮด์ OO OO nH2N-(CH2)6-NH2 + nHO-C-(CH2)4-C-OH -NH-(CH2)6NH-C-(CH2)4C-n + 2nH2O เฮกซะเมทลิ ินไดเอมนี กรดอะดิบีก ไนลอน 6, 6 นำ้า 3. ผลติ ภัณฑจ์ ากพอลิเมอร์ ในชีวิตประจำาวันของมนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากพอลิเมอร์อย่างมากมาย โดยพอลิเมอร์ที่เป็น ที่ร้จู กั กันดี คอื พลาสตกิ แต่ยงั มีพอลิเมอรช์ นดิ อนื่ ๆ ทม่ี ปี ระโยชนแ์ ละจาำ เปน็ ต่อการดำาเนนิ ชีวติ ประจำาวัน ของมนุษย ์ เช่น ยาง เสน้ ใย และซลิ ิโคน 3.1 พลาสติก พลาสติก (Plastic) คือวัสดุที่ประกอบด้วยสารหลายชนิด มีนำ้าหนักโมเลกุลสูง มีลักษณะ อ่อนตัวขณะทำาการผลิตซึ่งโดยมากใช้กรรมวิธีการผลิตด้วยความร้อน หรือแรงอัด หรือทั้งสองอย่าง สดุ ยอดคมู่ ือครู 145
1. ขG้ันaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2 . ขPั้นrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิต พอลเิ มอรแ์ ละผลิตภณั ฑ์ 207 ทักษะชีวิต การศึกษษาาขข้อ้อมมูลูลเพเพ่ิม่ิมเตเติมิมจจากาแกหแลห่งลเ่งรีเยรนียรนู้ รู้ต่างๆ เช่น พลาสติกเป็นวัสดุที่มนุษย์ประดิษฐ์ข้ึน โดยการนำาวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ปิโตรเลียม น้ำามันดิบ อต่านิ งเๆทอเชรเ์น่ น็ตอนิ หเนทังอสรอื์เนว็ตารหสนางั รสอื วารสาร และแกส๊ ธรรมชาตมิ าแยกเปน็ สารประกอบบรสิ ทุ ธห์ิ ลายชนดิ ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ทม่ี นี า้ำ หนกั โมเลกลุ สงู ประกอบดว้ ยโมเลกลุ ซาำ้ ๆ กนั ตอ่ กนั เปน็ โมเลกลุ สายยาว สารประกอบทแี่ ตกตา่ งกนั จะทำาให้พลาสติกมสี มบตั ทิ ีแ่ ตกต่างกนั ไปด้วย พลาสติก (Plastic) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึงสารประกอบอินทรีย์ ท่สี ังเคราะหข์ นึ้ ใช้แทนวสั ดธุ รรมชาต ิ บางชนิดเมอื่ เย็นก็แขง็ ตัว เม่ือถกู ความรอ้ นก็ออ่ นตวั บางชนดิ แข็งตัว ถาวร มีหลายชนิด เช่น ไนลอน ยางเทียม ใช้ทำาสิ่งต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ฟิล์ม ภาชนะ ส่วนประกอบเรือ หรือรถยนต์ ในชีวิตประจำาวันจะพบว่า พลาสติกเป็นท่ีนิยมใช้ในการผลิตอุปกรณ์ต่างๆ เป็นจำานวนมาก เพราะพลาสติกมีสมบัติพิเศษ คือมีความเหนียว แข็งแรง เบา สามารถนำาไปข้ึนรูปได้ง่าย ทนทานต่อ สารเคมี ไม่เปน็ สนมิ และเป็นฉนวนไฟฟา้ และความรอ้ นท่ดี ี กิจกรรม : สมบตั บิ างประการของพลาาสสตติกกิ 1. นำาตัวอย่างพลาสติกท่ีพบในชีวิตประจำาวันต่อไปนี้ เช่น สายไฟฟ้าเก่า ขวดนำ้าดื่มชนิดใสและ ชนดิ ขุ่น ถงุ ดาำ ใสข่ ยะ ถุงใส่แกง จานพลาสติก ถ้วยโฟม แผ่นพลาสตกิ ใสปิดปกรายงาน มาทดสอบ ความเหนยี ว ความแขง็ การทนตอ่ รอยขีดข่วน และการตดิ ไฟ สงั เกตผลการทดสอบ 2. ตดั ชนิ้ พลาสติกแตล่ ะชนิดขนาด 1×1 cm ชนดิ ละ 5 ชนิ้ ใส่ในบีกเกอร์ขนาด 100 cm3 แลว้ เติมน้าำ เอทานอล น้ำาส้มสายชู สารละลายโซดาไฟ นำ้ามันเบนซิน ปริมาตร 2 cm3 ลงในแต่ละบีกเกอร์ ใชแ้ ท่งแกว้ คนเปน็ เวลา 5 นาท ี สังเกตผลการทดลอง 3.1.1 ประเภทของพล�สติก จากการทดลองจะพบว่าพลาสติกบางชนิดละลายได้ดีใน น้ำามันเบนซิน เช่น ถ้วยโฟม บางชนิดทนต่อสารละลายกรด เบส ความร้อน ซ่ึงพลาสติกแต่ละชนิด จะมีสมบตั ทิ ่ีแตกต่างกนั ไปตามโครงสร้างการเชอ่ื มตอ่ ของมอนอเมอร ์ และลักษณะของมอนอเมอรท์ ่เี ปน็ องคป์ ระกอบ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามสมบตั ใิ นดา้ นความออ่ นตวั ของพลาสตกิ เมอื่ ไดร้ บั ความรอ้ นเปน็ วธิ กี ารหลกั ในการแยกชนดิ ของพลาสตกิ ซงึ่ สามารถแบ่งพลาสตกิ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) เทอรม์ อพล�สตกิ (Thermoplastic) มสี มบตั อิ อ่ นตวั และหลอมเหลวไดเ้ มอื่ ไดร้ บั ความร้อน และจะแข็งตัวใหม่อีกคร้ังเมื่อลดอุณหภูมิลง จึงสามารถนำาไปหลอมเพื่อนำากลับมาใช้ใหม่ อกี ครงั้ ได ้ ตวั อยา่ งของเทอรม์ อพลาสตกิ เชน่ พอลเิ อทลิ นี พอลโิ พรพลิ นี พอลสิ ไตรนี และพลาสตกิ ประเภท นจี้ ะมีโครงสร้างแบบเส้นหรอื แบบก่งิ ep 4 ขัน้ สื่อสารและนำ� เสนอSt 208 วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชีพธุรกจิ และบรกิ าร 2) พล�สติกเทอร์มอเซต (Thermosetting Plastic) เป็นพลาสติกท่ีเมื่อขึ้นรูป Applying the Communication Skill แล้วจะคงรูปแข็งตัวและแข็งแรงมาก ทนความร้อนและความดัน แต่หากได้รับความร้อนท่ีสูงมากเกินไป 1. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มออกแบบหรือหาวิธีน�ำเสนอให้ผู้อ่ืน ก็จะแตกหกั และไหมก้ ลายเปน็ ขเ้ี ถ้า ไมส่ ามารถนำามาคนื รูปไดอ้ กี ตวั อย่างของพลาสติกเทอรม์ อเซต เช่น รับรู้และส่ือสารได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคนิควิธี พอลฟิ นี อลฟอรม์ าลดไี ฮด ์ พอลยิ เู รยี ฟอร์มาลดีไฮด ์ พอลยิ รู ีเทน และพลาสติกประเภทนีจ้ ะมีโครงสร้าง ทเี่ หมาะสม บรู ณาการการใชส้ อ่ื /เทคโนโลย/ี คำ� ศพั ทเ์ พมิ่ เตมิ / แบบรา่ งแห สง่ิ ท่ีน่าสนใจแทรกในการรายงาน 2. ผสู้ อนสมุ่ กลมุ่ ผเู้ รยี นนำ� เสนอผลการสรปุ ความรคู้ วามเขา้ ใจ 3.1.2 กรรมวิธีก�รขน้ึ รปู พล�สติก การผลติ พลาสติกของไทยเป็นอตุ สาหกรรมทีส่ รา้ งมลู คา่ โดยผู้สอน และผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการน�ำเสนอ เพ่ิมให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี เนื่องจากเม็ดพลาสติกผลิตจากทรัพยากรปิโตรเลียม ตามเกณฑท์ ี่ก�ำหนด ที่ได้จากกระบวนการกลั่นนำ้ามันปิโตรเลียมและการแยกแก๊สธรรมชาติ โดยอุตสาหกรรมพลาสติกจะรับ วตั ถดุ บิ คอื เมด็ พลาสตกิ ซงึ่ เปน็ ผลติ ภณั ฑข์ น้ั ปลายหรอื ผลติ ภณั ฑส์ าำ เรจ็ จากอตุ สาหกรรมปโิ ตรเคม ี นาำ มา แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำาหรับอุตสาหกรรมต่างๆ และผลิตภัณฑ์พลาสติกสำาเร็จรูป เช่น กันชนรถยนต์ กระป๋อง ท่อพลาสติก ขวด โดยกระบวนการข้ึนรูปพลาสติกนั้นมีหลายวิธี แต่ท่ีนิยมทำากันในวงการ อตุ สาหกรรมพลาสตกิ มีดังน้ี 1) ก�รข้ึนรปู ดว้ ยเครอื่ งฉดี พล�สติกเข้�แม่พมิ พ์ (Injection Molding Machine) เป็นวิธีการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์โดยการฉีดพลาสติกท่ีกำาลังหลอมเหลวเข้าสู่แบบพิมพ์ด้วยความดันสูง มีสว่ นประกอบท่สี ำาคัญ ดงั ภาพที่ 6.7 (ก) เคร่อื งฉดี เป่าแบบอตั โนมัติ (ข) แม่พิมพฉ์ ดี ขวดพลาสติกแบบ PET (ค) ขวดนำ้า PET ภาพที่ 6.7 การขึน้ รปู พลาสตกิ โดยการฉดี เข้าแมพ่ มิ พ์ 146 สุดยอดคมู่ อื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ข้ันส่ือสารและน�ำเสนอ 5 . ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพuื่อlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean พอลิเมอร์และผลติ ภัณฑ์ 209 2) ก�รขนึ้ รปู ดว้ ยเครอ่ื งอดั รดี หรอื เอกซท์ รเู ดอร ์ (Extruder) เปน็ กระบวนการขนึ้ รปู สำาหรับเทอร์มอพลาสติก โดยเม็ดพลาสติกจะเข้าสู่เครื่องทางกรวยเติม (Hopper) จากน้ันจะถูกหลอม ภายในเครื่องอัดรีด โดยอาศัยทั้งความร้อน แรงเฉือน และความดัน พลาสติกหลอมจะถูกดันออกสู่ แม่พิมพ์ (Mold) ท่ีบริเวณปลายเปิด (Die) เพื่อขึ้นรูปตามต้องการ พลาสติกหลอมท่ีออกจากบริเวณ ปลายเปดิ เรยี กวา่ เอกซท์ รเู ดอร ์ ในบางกระบวนการจะมกี ารใหค้ วามเยน็ หลงั จากพลาสตกิ ออกจากบรเิ วณ ปลายเปิดแล้วเพอื่ ให้คงรูปตามทตี่ อ้ งการ ดังภาพที่ 6.8 กรวยเติม ช่องรีดพลาสตกิ ชนิ้ งาน สารสังเคราะห์ท่ีถูกน�ำมาท�ำให้มีลักษณะคล้ายหนังแท้ ซงึ่ แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คอื หนงั เทยี มประเภทเลยี นแบบ เกลยี วหนอน หนังแท้ หนังเทียมประเภททดแทนหนังแท้ กระบอก 210 วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชีพธุรกิจและบริการ ใหค้ วามรอ้ น ภาพท่ี 6.8 การข้นึ รูปพลาสตกิ โดยการอดั รดี ดว้ ยเครื่องเอกซท์ รเู ดอร์ แผ่นพลาสติก 3) ก� รข้ึนรูปด้วย แม่ พิมพ์ แคลมป์ กลุ่มกระบวนการอัดรีดข้ึนรูป (Extrusion) ประกอบด้วยกระบวนการต่างๆ คว�มร้อน (Thermoforming) เคร่ืองจักรท่ีใช้ใน ซ่งึ แตล่ ะกระบวนการแตกตา่ งกันที่รูปรา่ งของวสั ดสุ ดุ ท้ายที่ต้องการในการนำาไปใชป้ ระโยชนด์ งั น้ี การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกในลักษณะนี้มักมี แบบพมิ พ์ ปมุ่ สญุ ญากาศ (1) Blown Film Extrusion ประเภทผลิตภณั ฑ์ ถงุ พลาสติก ลักษณะไม่ซับซ้อนนัก และมักเรียกช่ือตามลักษณะ (2) Film Extrusion ประเภทผลิตภัณฑ ์ แผ่นฟิลม์ บาง วธิ ีการดงั นี้ ภาพท่ ี 6.9 การหลอ่ แบบพิมพ์แบบลดความดนั (3) Sheet Extrusion ประเภทผลิตภณั ฑ ์ เส่อื น้าำ มนั หนงั เทยี ม (4) Pipe/ Tube Extrusion ประเภทผลิตภณั ฑ ์ ทอ่ พวี ซี ี ทอ่ นา้ำ (1) การหล่อแบบพิมพ์แบบ (5) Profile Extrusion ประเภทผลิตภัณฑ์ รางสายไฟฟา้ ขอบหน้าต่าง ลดความดนั (Vacuum Molding) คือการข้ึนรปู ช้นิ งาน (6) Tape Yarn/ Filament Extrusion ประเภทผลิตภณั ฑ ์ กระสอบพลาสตกิ โดยการใหค้ วามรอ้ นจนถงึ อณุ หภมู ทิ พ่ี ลาสตกิ ออ่ นตวั ซึ่งเป็นการผลิตแบบผสม คอื การทำาเสน้ เทปน้ันเปน็ การอัดรีดขึ้นรปู แตห่ ลงั จากไดเ้ ส้นเทปแลว้ ตอ้ งนาำ ไป แ ล ะ ส า ม า ร ถ ยื ด ตั ว โ ด ย ใ ช้ แ ร ง ล ม ดู ด ห รื อ เ ป่ า ผา่ นการทอ การตดั และการเย็บ จึงจะออกมาเปน็ กระสอบพลาสตกิ ได้ (Blow Forming) พรอ้ มกบั อปุ กรณท์ างกลชว่ ยเพอื่ ให้ ได้รูปรา่ งตามแบบเบา้ แม่พิมพท์ ตี่ อ้ งการ ตวั อย่างเชน่ ค่านิยมหลัก 12 ประการ ถาดบรรจุไข่ กล่องและภาชนะใส่อาหารสำาเร็จรูป ถาดอาหาร หลงั คารถกระบะ ถว้ ยนาำ้ ดืม่ • ใฝ่หาความรู้ หมนั่ ศึกษาเลา่ เรยี นท้ังทางตรงและทางออ้ ม • ซอ่ื สตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณใ์ นสง่ิ ทดี่ งี ามเพอ่ื สว่ นรวม ภาพท ี่ 6.10 ผลิตภณั ฑจ์ ากการข้นึ รูปด้วยแม่พิมพ์ความรอ้ น • มรี ะเบยี บวนิ ยั เคารพกฎหมาย ผ้นู อ้ ยรจู้ ักการเคารพผูใ้ หญ่ • รู้จักด�ำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สว่ นการลามเิ นต (Laminating) เปน็ การเคลอื บหรอื อัดชั้นผลติ ภัณฑ์ใหม้ ี ตามพระราช ด�ำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว* รู้จัก ความหนา สามารถทำาไดห้ ลายวิธี เช่น การเคลอื บแบบผง แบบใชไ้ ฟฟ้าสถิต แบบใช้ความร้อน หลกั การ อดออมไว้ใชเ้ มอื่ ยาม จำ� เป็น มไี ว้พอกนิ พอใช้ ถ้าเหลือกแ็ จก คอื การใชพ้ ลาสตกิ เหลวเคลอื บไปบนวสั ดตุ ามความหนาทตี่ อ้ งการ อาจเปน็ การเคลอื บบนกระดาษ พลาสตกิ จ่ายจ�ำหน่าย และพร้อมท่ีจะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม หรอื ผา้ ประโยชนท์ ่ีนำาไปใชเ้ พ่อื ใหว้ ัสดุมคี วามแขง็ แรงมากข้ึน กนั นำ้าหรือความชน้ื ได ้ ปอ้ งกนั รอยขีดขว่ น เม่ือมีภูมคิ ุ้มกนั ทด่ี ี (2) การหล่อแบบพิมพ์แบบอัด (Compression Molding) เป็นกระบวนการ • ค�ำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่า ขึ้นรูปโดยการอดั ขนึ้ รูปซ่งึ นยิ มใช้กบั พลาสตกิ เทอร์มอเซต เชน่ เมลามนี (Melamine) และใช้ในการผลิต ผลประโยชน ์ของตนเอง ช้ินงานท่ีไม่มีความซับซ้อนมากนัก โดยจะนำาวัตถุดิบใส่ลงในแม่พิมพ์แล้วทำาการปิดแม่พิมพ์โดยใช้ ความดันสูงพร้อมกับให้ความร้อนเพ่ือให้พลาสติกเกิดการหลอมเหลวและแพร่ตัวไปตามช่องว่างของ แมพ่ มิ พ ์ เมอื่ พลาสตกิ แขง็ ตวั จงึ ปลดชนิ้ งานออกจากแมพ่ มิ พ ์ ซงึ่ ขอ้ เสยี ของกระบวนการน ี้ คอื ผลติ ชนิ้ งาน ไดเ้ ป็นจาำ นวนน้อยและใช้เวลาในการผลิตนาน แม่พมิ พค์ รงึ่ บน เคลอ่ื นทไ่ี ด้ พลาสตกิ ที่ใชท้ าำ ชิน้ งาน ภาพท่ ี 6.11 การหลอ่ แบบพิมพ์แบบอัด แมพ่ ิมพ์คร่งึ ลา่ ง ยึดอยู่กับที่ หมดุ ตอกวัตถุใหห้ ลดุ จากแมพ่ ิมพ์ *พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร สดุ ยอดค่มู อื ครู 147
1 . ขGั้นaรtวhบeรrวiมnขg้อมูล 2. ขP้ันrคoิดcวeิเsคsรiาnะหg์และสรุปความรู้ บูรณาการทักษะศตวรรษท่ี 21 ทักษะชีวิต พอลเิ มอร์และผลิตภัณฑ์ 211 (3) การหล่อแบบ แมพ่ ิมพ์ แอง่ (Pot) ด้ามจบั สว่ นบน พมิ พแ์ บบอัดส่ง (Transfer Molding) ชิน้ งาน ท่ีได้จะมีความแม่นยำามากกว่าแบบอัด และ สปรู ชอ่ งเปดิ สามารถควบคุมรอบเวลาการผลิตได้ดีกว่า หลกั การทสี่ ำาคญั ของการขึ้นรูปแบบอัดส่ง คือ หมุดและ จะมีช่องสำาหรับใสพ่ ลาสติก 1 ชอ่ ง (Pot) โดย แปรง ช่องดังกล่าวน้ีจะเช่ือมต่อกับเบ้าด้วยทางวิ่ง ซ่ึงมีทั้งเบ้าเดียวหรือหลายเบ้าก็ได้ ส่วนอัด แมพ่ ิมพ์ เบา้ พมิ พ์ ชอ่ งตดั แต่งชิน้ งาน สว่ นล่าง ภาพท ี่ 6.12 การหล่อแบบพิมพแ์ บบอดั ส่ง (Plunger) ก็จะอัดพลาสติกผ่านทางวิ่งเข้าไปสู่เบ้า หลังจากน้ันก็จะให้ความร้อนจนหลอมอยู่ในเบ้าและ ทำาให้เยน็ ตวั ลงจงึ นาำ ชิน้ งานออกจากเบา้ 4) ก�รขึ้นแผ่นด้วยก�รรีด (Carlendering) เป็นการขึ้นรูปเป็นแผ่นด้วยลูกกลิ้ง ชุดละไม่น้อยกว่า 3 ลูกข้ึนไป โดยลูกกลิ้ง 2 ลูกแรกจะมีอุปกรณ์ให้ความร้อนทำาให้พลาสติกอ่อนนิ่ม แลว้ ถูกอัดรีดออกมาเปน็ แผ่น (ก) เครือ่ งรดี พลาสตกิ (ข) พลาสตกิ ท่ขี น้ึ รูปโดยการรีด ภาพที ่ 6.13 กระบวนการขน้ึ รูปพลาสติก 5) ก�รหล่อแบบ (Casting) เป็นการนำาวัสดุท่ีเป็นของเหลวเทลงไปในแม่พิมพ์ 212 วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชพี ธรุ กิจและบริการ ให้วสั ดุเหลวนน้ั เกาะยดึ ผวิ ดา้ นในของแมพ่ ิมพใ์ หท้ ว่ั เมือ่ วสั ดนุ น้ั จบั ตัวกนั เปน็ ของแขง็ แกะแม่พิมพอ์ อก รปู ทปี่ รากฏใหเ้ หน็ จะมคี วามเหมอื นกบั รปู ตน้ แบบเรยี กวา่ รปู หลอ่ ซง่ึ เปน็ กรรมวธิ กี ารผลติ ทงี่ า่ ย ลงทนุ ตาำ่ (2) การหลอ่ รอ้ น (Plastisol Casting) เปน็ กรรมวิธกี ารผลติ ท่ใี ชก้ ับผลติ ภัณฑ์ การหลอ่ แบบม ี 2 ชนิด ได้แก่ หรือชิ้นงานทม่ี ลี กั ษณะภายในกลวง เช่น ลกู ฟุตบอลยางและถงุ มอื พลาสติก หลักการคือนำาพลาสติกเหลว (1) การหล่อเย็น (Simple Casting) เป็นกรรมวิธีการผลิตท่ีไม่ต้องใช้แรงอัด เทลงในแม่แบบที่ร้อนหรือจุ่มแม่แบบท่ีร้อนลงในพลาสติกเหลว พลาสติกเหลวจะเกาะผิวของแม่แบบ และความรอ้ น การลงทนุ ตำ่า โดยปกตใิ ช้พลาสตกิ เหลวหล่อลงในแมแ่ บบ สำาหรับพลาสติกเมด็ ก็สามารถ โดยหากปลอ่ ยทงิ้ ไวน้ านพลาสตกิ จะเกาะหนาขน้ึ แลว้ นาำ แบบทม่ี พี ลาสตกิ เกาะอยไู่ ปเขา้ เตาอบทม่ี อี ณุ หภมู ิ นำามาหล่อได ้ แต่ตอ้ งทาำ ใหห้ ลอมละลายก่อน แลว้ เตมิ วสั ดตุ กผลกึ (Catalyst) เพอื่ ชว่ ยใหพ้ ลาสตกิ เหลว 350-400 องศาฟาเรนไฮต์ กรรมวธิ แี บบหลอ่ รอ้ นแบ่งตามลกั ษณะการผลิตออกเปน็ 3 ชนิด ได้แก่ แข็งตัวเร็วขึ้น สามารถใช้ได้ท้ังเทอร์มอพลาสติกและพลาสติกเทอร์มอเซต ท่ีนิยมใช้ เช่น พอลิเอสเทอร์ • ชนดิ จมุ่ (Plastisol Dip Casting) นำาแม่แบบตัวผ้ทู ท่ี ำาใหร้ ้อน มรี ูปรา่ ง เรซิน อีพอกซี และพอลิยูรีเทน สามารถผลิตช้ินงานให้มีรูปร่างเป็นก้อน แผ่น ท่อได้ ผลิตภัณฑ์ท่ีใช้ ภายในเหมือนชิ้นงานท่ีต้องการหล่อจุ่มลงในอ่างพลาสติกเหลว ท้ิงไว้ตามเวลาที่กำาหนด ยกแม่แบบขึ้น การหลอ่ เยน็ เช่น แผ่นพลาสติกใสอะครลิ คิ หรอื เพลกซีก่ ลาส หรอื ลูไซท ์ เปลอื กหมุ้ หม้อแปลงไฟฟ้า แล้วนำาเข้าเตาอบท่ีมีอุณหภูมิ 350-400 องศาฟาเรนไฮต์ นานตามท่ีต้องการ นำาชิ้นงานออกจากแม่แบบ แมแ่ บบควรเปน็ วัสดทุ อี่ บความร้อน เช่น ดนิ เผาเคลอื บและโลหะบางชนดิ ตวั อย่างผลิตภณั ฑ์ เช่น ถุงมอื กิจกรรมท้าทาย รองเท้ายาง ยางหมุ้ ปลกั๊ ไฟฟา้ วสั ดทุ ี่ใชก้ ับกรรมวธิ ีชนดิ นีต้ อ้ งนิม่ ยืดหยนุ่ ดเี พ่ือจะถอดออกจากแมแ่ บบ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เก่ียวกับพอลิเมอร์และผลิตภัณฑ์ ไดโ้ ดยงา่ ย และการประยกุ ตใ์ ชค้ วามรใู้ นชวี ติ ประจำ� วนั และการประกอบอาชพี • ชนิดเท (Plastisol Slush Casting) เทพลาสติกเหลวลงในแม่แบบ ปิดกรวยท่ีทำาให้ร้อนจนเต็มรูปร่างของแม่แบบเหมือนกับลักษณะภายนอกของช้ินงาน ท้ิงไว้ตามเวลา ทกี่ ำาหนด พลาสติกเหลวจะเกาะตดิ ผวิ แมแ่ บบ ทิ้งไวน้ านจนเกาะหนาข้ึน เมื่อไดเ้ วลาท่กี ำาหนดเทพลาสติก เหลวออก นำาแม่แบบไปเข้าเตาอบท่ีมีอุณหภูมิ 350-400 องศาฟาเรนไฮต์ นานตามเวลาที่กำาหนด นำาช้ินงานออกจากแม่แบบ ตวั อย่างผลติ ภณั ฑ ์ เช่น ต๊กุ ตาเดก็ เลน่ ลกู ฟุตบอลยาง • ชนดิ เหวยี่ ง (Plastisol Rotational Casting) เทพลาสตกิ เหลวในปรมิ าณ ที่กำาหนดลงไปในแม่แบบ ปิดแม่แบบ แล้วเหวี่ยงแม่แบบไปรอบๆ ทั้งในแนวดิ่งและแนวนอน เพื่อให้ พลาสติกเหลวติดผิวแม่แบบ นำาชิ้นงานออกจากแม่แบบ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ลูกฟุตบอล ของเล่น พลาสติก การหลอ่ ร้อนนี้ส่วนมากมกั ใช้กับพลาสติกกลุ่มไวนลิ และพอลิเอทิลีน (ก) ดัมเบลยาง (ข) ลกู บอลยาง (ค) ต๊กุ ตายาง ภาพท ่ี 6.14 ผลิตภัณฑพ์ ลาสติกท่ไี ดจ้ ากการหลอ่ แบบ 148 สดุ ยอดคู่มอื ครู
A3. ข้ันปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ A4. ขั้นสื่อสารและน�ำเสนอ 5 . ขSั้นeปlรf-ะRเมeินgเพu่ือlaเพtiิ่มnคgุณค่า pplying and Constructing the Knowledge pplying the Communication Skill ค่านิยมหลัก 12 ประการ กิจกรรมท้าทาย รอบรู้อาเซียนและโลก asean พอลิเมอรแ์ ละผลติ ภัณฑ์ 213 Step 5 บขน้ัรปิกราระเสมังนิ คเพมแอ่ื ลเพะจ่มิ ิตคสุณาคธา่ารณะ 3.1.3 ผลติ ภณั ฑพ์ ล�สตกิ จากการทพ่ี ลาสตกิ มสี มบตั ทิ เ่ี หมาะสมในการใชง้ านประเภทตา่ งๆ Self-Regulating ได้อยา่ งหลากหลาย ทาำ ให้มนษุ ยไ์ ดป้ ระดษิ ฐ์พลาสติกชนดิ ตา่ งๆ ข้ึนมาใช้ประโยชน์มากมายดงั น้ี 1. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มและรายบุคคลตรวจสอบความรู้ 1) พอลเิ อทลิ นี (Polyethylene: PE) โดยทวั่ ไปแลว้ พอลเิ อทลิ นี มสี ขี าวขนุ่ โปรง่ แสง ความเข้าใจของตนเองหลังจากรับฟังการน�ำเสนอ มีความลื่นมนั ยดื หยนุ่ ตวั ไดด้ ี ไม่มีกล่นิ ไม่มีรส ไม่ตดิ แม่พมิ พ ์ มคี วามเหนยี ว ทนความรอ้ นได้ไม่มากนัก ของสมาชิกกลุ่มอื่น ปรับปรุงชิ้นงานของกลุ่มตน ทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมไี ด้ เปน็ ฉนวนไฟฟา้ ใสส่ ีผสมได้ง่าย มีความหนาแนน่ ตาำ่ กว่านำา้ จงึ ลอยนาำ้ ใหส้ มบรู ณแ์ ละบันทึกเพิม่ เตมิ ได้ เม่ือความหนาแน่นสูงข้ึนจะทำาให้มีความแข็งและความเหนียวเพิ่มข้ึน แต่หากความหนาแน่นลดลง 2. ผู้เรียนน�ำผลงานแสดงในป้ายนิเทศหรือเผยแพร่สู่ จะทำาใหผ้ วิ แตกรา้ วไดง้ ่ายขนึ้ พอลเิ อทิลีนแบ่งออกเป็น 3 กลมุ่ ได้แก่ ห้องเรียนอน่ื หรือสาธารณะ (1) พอลเิ อทลิ นี ความหนาแนน่ ตา่ำ (LDPE) มคี วามหนาแนน่ อยใู่ นชว่ ง 0.91-0.93 3. ผ้เู รยี นแต่ละคนท�ำกิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ จากน้นั กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ซ่ึงในอุตสาหกรรมจะผลิตในสภาวะความดันตำ่า นิยมนำาไปใช้ทำาฟิล์มยืด ท�ำแบบทดสอบแลกเปลี่ยนกันตรวจให้คะแนน พร้อมทั้ง ขวดนำ้า ฝาขวด เน่ืองจากยืดตัวได้ดี ทนต่อการทะลุและการฉีกขาด มีการใช้งานอย่างกว้างขวางใน ประเมินสรุปผลการท�ำกิจกรรมแบบประเมินตนเอง อตุ สาหกรรมพลาสติก เนอ่ื งจากราคาไมแ่ พงมคี วามทนทาน และทนตอ่ สารเคมไี ด้ดี และก�ำหนดแนวทางการพฒั นาตนเอง (2) พอลิเอทิลีนความหนาแน่นปานกลาง (MDPE) มีความหนาแน่นอยู่ในช่วง 0.93–0.95 กรัมตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ซ่งึ สามารถผลติ ไดโ้ ดยใชโ้ ครเมยี มเป็นตวั เร่งปฏกิ ิรยิ า ผลติ ภัณฑ์ สว่ นใหญ่จะถกู ใชใ้ นการทาำ ทอ่ แก๊สและฟิล์มบรรจภุ ณั ฑ์ (3) พอลเิ อทลิ นี ความหนาแนน่ สงู (HDPE) มคี วามหนาแนน่ อยใู่ นชว่ ง 0.95-0.97 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร โมเลกุลของ HDPE จะเชื่อมกันอย่างแน่นหนามากจึงมีความเหนียวและ แข็งแรง ทนต่อการซึมผ่านได้ดีกว่าพอลิเอทิลีนชนิดอื่น อีกทั้งยังทนทานต่อสารละลายต่างๆ ได้ดี และ โปร่งแสงน้อยกว่าพอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำา ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะใช้ในการผลิตงานจากพลาสติก ทีต่ ้องการความแขง็ แรงสงู เชน่ ถงุ ร้อน ทอ่ ทนสารเคม ี ท่อน้าำ ประปา นอกจากนี้ยงั สามารถใชเ้ ป่าเปน็ ฟลิ ์ม หรือทำาเป็นถาดท่ไี ม่ต้องการความใสได้ (ก) ผลิตภณั ฑ์จาก LDPE (ข) ผลิตภณั ฑจ์ าก MDPE (ค) ผลติ ภัณฑจ์ าก HDPE ภาพท่ ี 6.15 ผลติ ภณั ฑจ์ ากพอลิเอทิลนี 214 วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ 2) พอลิเอทลิ ีนเทเรฟท�เลต (Polyethylene terephthalate: PET) เป็นพลาสติก ท่ีมีน้ำาหนักโมเลกุลสูง มีความเหนียว ทนทาน และมีความยืดหยุ่นต่อแรงกระแทก จึงไม่แตกเมื่อถูก แรงกดดัน พลาสตกิ แบง่ ออกเป็น 2 กลมุ่ คอื กลุ่มทีม่ ีเนือ้ ใส (A-PET) และกลมุ่ ทีเ่ ป็นผลึกสขี าว (C-PET) มีสมบัติที่สามารถทำาเป็นพลาสติกที่มีลักษณะก่ึงแข็งไปจนถึงเป็นของแข็งได้โดยการปรับความหนา มนี า้ำ หนกั เบา สามารถปอ้ งกนั การซมึ ผา่ นของออกซเิ จน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด ์ นาำ้ ไขมนั และแอลกอฮอล์ ได้ดี มกี ารนาำ มาใชง้ าน เชน่ ทาำ แผน่ ฟิลม์ ทาำ บรรจุภณั ฑห์ รือถาด ทาำ ขวดพลาสตกิ บรรจุนำ้าดมื่ นำา้ อัดลม นา้ำ มันพชื นำา้ ยาบ้วนปาก นาำ้ หอม เบียร ์ ไวน์ (ก) ขวดนำ้าดม่ื PET (ข) ภาชนะบรรจอุ าหาร (ค) แผน่ ฟลิ ์มห่อวสั ดุ ภาพท่ี 6.16 ผลิตภัณฑ์จากพอลิเอทลิ นี เทเรฟทาเลต 3) พอลิโพรพิลีน (Polypropylene: PP) มลี ักษณะขาวขนุ่ ทบึ แสงกวา่ พอลิเอทลิ นี มีความหนาแน่นในช่วง 0.890–0.905 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร จึงสามารถลอยน้ำาได้เช่นเดียวกับ พอลเิ อทลิ นี ลกั ษณะอนื่ ๆ คลา้ ยกบั พอลเิ อทลิ นี มผี วิ แขง็ ทนทานตอ่ การขดี ขว่ น คงตวั ไมเ่ สยี รปู งา่ ย สามารถ ทาำ เปน็ บานพับในตัว มีความทนทานและเป็นฉนวนไฟฟา้ ที่ดมี ากแมท้ อ่ี ณุ หภมู สิ งู ทนตอ่ สารเคมีส่วนมาก แต่สารเคมีบางชนิดอาจทำาให้พองตัวหรืออ่อนนิ่มได้ มีความเหนียวท่ีอุณหภูมิต้ังแต่ 40 ถึง -10 องศาเซลเซยี ส มคี วามตา้ นทานการซมึ ผ่านของไอน้าำ และแกส๊ ไดด้ ี ทนอณุ หภูมสิ ูงถงึ 100 องศาเซลเซียส ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคได้ ผสมสีได้ง่ายทั้งลักษณะโปร่งแสงและทึบแสง ผลิตภัณฑ์ท่ีทำาจากพอลิโพรพิลีน เช่น กล่องเคร่ืองมือ กระเป๋า ปกแฟ้มเอกสาร กล่องและตลับเคร่ืองสำาอาง กล่องบรรจุอาหาร อุปกรณ์ ของรถยนต์ เคร่ืองใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ วัสดุบรรจุภัณฑ์ ในอุตสาหกรรม ขวดใส่สารเคม ี กระป๋องน้าำ มันเครอื่ ง กระสอบข้าว ถุงบรรจุปุ๋ย และสายรดั พลาสติก (ก) กล่องพลาสติก (ข) ตะกรา้ หวาย PP (ค) สายรดั พลาสตกิ PP ภาพท ่ี 6.17 ผลติ ภัณฑ์จากพอลโิ พรพิลีน สดุ ยอดคมู่ อื ครู 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222