43 นวัตกรรมทางการศึกษา สอ่ื การสอน เทคนคิ วิธกี ารสอน สอื่ ส่งิ พิมพ์ สอ่ื โสตทัศน์ - การสอนโดยใช้การทดลอง - การสอนแบบ 4 MAT -เอกสารประกอบ - สไลดแ์ ผ่นใส - การสอนแบบบรู ณาการ การสอน - เทปเพลง แผน่ เสยี ง ชีดี - การสอนแบบโครงงาน - ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ - การสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ -เอกสารประกอบ การเรียน - บัตรคา แผ่นปา้ ย - การสอนโดยใช้วจิ ยั เปน็ สว่ นหน่งึ - คมู่ ือครู - ชุดเกม ของกระบวนการเรียนรู้ - ชุดการสอน - อปุ กรณโ์ สตทัศนวสั ดุ - การเรียนแบบรวมพลัง - ชดุ การเรยี น - การเรียนแบบร่วมมือรว่ มใจ - บทเรยี นสาเร็จรปู ฯลฯ - การเรยี นแบบ Jigsaw - หนงั สอื เสรมิ ประสบการณ์ - การเรยี นแบบ CIPPA - หนังสืออา้ งองิ ส่ืออเิ ล็คทรอนิกส์ - การเรยี นแบบ e-learning - แบบการแสดงบทบาทสมมติ - e-book - แบบปัญหาเป็นฐาน -CAI - แบบกรณีศกึ ษา - WBI - แบบโต้วาที - Virtual Classroom - แบบผังความคิด - Web Quest - การสอนซ่อมเสรมิ - Blog - การใชผ้ งั กราฟิก ฯลฯ ฯลฯ ภำพประกอบ 7 ประเภทนวตั กรรมทางการศึกษา
44 ตำรำง 2 การเลอื กใช้นวัตกรรมการเรยี นรู้กบั ลักษณะปัญหาการเรียนรู้ 1. นกั เรยี นมีปญั หาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่า 1. ชุดการสอน 2. ชุดการเรยี น 2. นักเรียนมปี ัญหาด้านพฤติกรรมและขาด 3. บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ เช่น 4. การเรยี นแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน - ไม่มีนสิ ัยรักการอา่ น 15.. ชกดุารกสิจอกนรรแมบเบสเรนิมน้ สผรู้เ้ารงยี ลนักเษปณน็ สะนาคิสญััย - ไม่สนใจเรียน 2. ชดุ กิจกรรมพัฒนา ........................ - ไมร่ บั ผิดชอบ 3. เทคนิคการปรับพฤตกิ รรม - พฤติกรรมก้าวร้าว 4. รปู แบบการสอนเพ่ือพัฒนา ................. -3. นักเชรอยี บนทมะปี เญัลาหะาวดิวา้ านทลักษณะนิสยั และขาด 5. การสอนโดยใช้ส่อื ผสม ทกั ษะต่าง ๆ เช่น - การอา่ น 1. ชดุ ฝึก/แบบฝึก - การเขยี นและการคิดคานวณ 2. ชุดกิจกรรมฝึก 3. ชุดกจิ กรรมพฒั นาทักษะ 4. นกั เรียนขาดทักษะกระบวนการคดิ 4. รปู แบบการสอนเพ่ือพัฒนาทักษะ 1. รูปแบบการสอนท่พี ฒั นาการคิด และ กระบวนการคิด 2. การสอนแบบโครงการ 3. การสอนแบบบรู ณาการ 4. การใชผ้ ังกราฟฟิก 1.3 ประเภทของนวตั กรรมทำงกำรศกึ ษำ นวัตกรรมทางการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ส่ือการสอนและเทคนิค วิธีการสอน โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้ 1. สื่อการสอน ประกอบด้วยส่ือสิ่งพิมพ์ ส่ือโสตทัศน์ และส่ืออิเล็คทรอนิกส์ เช่น แบบฝึก บทเรยี นสาเร็จรูป ชดุ การสอน ซ่ึงจะยกตัวอย่างส่วนประกอบของสือ่ การสอน บางลักษณะ ดังน้ี 1.1 แบบฝึก เป็นสื่อท่ีใช้ฝึกทักษะให้กับผู้เรียน หลังจากเรียนจบในช่วงหน่ึง ๆ เพ่ือฝึกฝน ใหเ้ กดิ ความรู้ ความเข้าใจ รวมทง้ั เกดิ ความชานาญในเร่ืองน้ัน ๆ อย่างกว้างขวางมากข้นึ ควรมสี ว่ นประกอบ ดังน้ี 1.1.1 ค่มู ือการใช้แบบฝึก เปน็ เอกสารสาคัญประกอบการใช้แบบฝึกวา่ ใช้เพือ่ อะไร และมีวธิ กี ารใชอ้ ย่างไร เชน่ ใชเ้ ป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใชเ้ ป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสรมิ ควรประกอบดว้ ย 1) สว่ นประกอบของแบบฝกึ ให้ระบวุ ่ามแี บบฝึกทั้งหมดกี่ชดุ อะไรบา้ ง
45 และมีสว่ นประกอบอนื่ ๆ หรอื ไม่ เชน่ แบบทดสอบ หรือแบบบนั ทึกผลการประเมนิ 2) สงิ่ ท่คี รูหรอื นักเรยี นต้องเตรยี ม (ถ้ามี) จะเป็นการแจง้ ให้ครู หรอื นักเรียนเตรียมตวั ให้พร้อมลว่ งหนา้ ก่อนเรยี น 3) จดุ ประสงค์ในการใช้แบบฝึก 4) ขนั้ ตอนในการใช้ ให้ระบุข้นั ตอนตามลาดับการใช้ 5) เฉลยแบบฝกึ ในแต่ละชุด 1.1.2 แบบฝึก เป็นสง่ิ ที่สร้างขน้ึ เพ่ือให้ผูเ้ รียนฝึกทกั ษะ เพื่อให้เกิด การเรียนรู้ ควรมสี ่วนประกอบดังน้ี 1) ปกนอก 2) ปกใน 3) คานา 4) สารบญั 5) คาแนะนาในการใช้ 6) จุดประสงค์ 7) แบบทดสอบก่อนเรียน 8) แบบฝกึ (อาจจะมีตัวอย่างหรือภาพประกอบ) 9) แบบทดสอบหลงั เรียน 10) เฉลย 11) บรรณานุกรม 1.2 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน เปน็ เอกสารท่ีจดั ทาขน้ึ เพ่ือใช้ ประกอบการสอน ของครู หรือประกอบการเรียนการสอนของนักเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ใดกลุ่ม สาระหนึ่ง ซึ่งมีส่วนประกอบ ดงั นี้ 1.2.1 สว่ นนา ควรมสี ว่ นประกอบ ดังนี้ 1) ปกนอก 2) ปกใน 3) คานา 4) สารบัญ 5) คาชี้แจง หรอื คาแนะนาในการใช้ 6) จดุ ประสงค์หลัก 1.2.2 ส่วนเน้อื หา ควรมีสว่ นประกอบ ดังน้ี 1) ช่อื บท หรือชื่อหน่วยการเรียนรู้ หรอื ชอื่ เรื่อง 2) หวั ขอ้ เรือ่ งย่อย 3) จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4) กจิ กรรมหลกั
46 5) แบบทดสอบก่อนเรียน 6) เนื้อหาโดยละเอยี ด หรือใบความรู้ 7) กิจกรรมฝึกปฏิบตั ิ หรือแบบฝึก หรอื ใบงาน 8) บทสรปุ (ถา้ มี) 9) แบบทดสอบหลังเรยี น 1.3 บทเรยี นสาเรจ็ รูป หรือบทเรยี นโปรแกรม เป็นบทเรยี นท่สี ร้างข้ึน โดยกาหนดเนื้อ หา วัตถุประสงค์ วิธีการและวัสดุอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า ผู้เรียนสามารถศึกษา ค้นคว้า และประเมินผลการเรียนด้วย ตนเองตามขั้นตอนท่ีกาหนดไว้ และมีการเสริมแรงแก่ผู้เรียนเป็น ระยะ ๆ จึงถือว่าเป็นบทเรียนที่ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ด้วยตนเอง และเป็นไปตามความสามารถของแต่ละ บุคคล ซึ่งประกอบด้วย คู่มือการใช้สาหรับครู และ คาแนะนาสาหรับผู้เรียน และบทเรยี น โดยตอ้ งแยกเนอ้ื หาออกเป็นหนว่ ยย่อย ๆ โดยเรียงลาดบั ความยากง่ายและ จะต้องทาแบบทดสอบ ก่อนเรยี นและหลังเรยี น 1.4 หนังสอื สาหรับเด็ก เป็นหนงั สอื ที่จัดทาขึน้ เพื่อใหผ้ เู้ รยี นได้อ่านและ เรียนรจู้ ากเนือ้ หาสาระทม่ี ุ่งให้ความรู้ หรอื ความเพลิดเพลิน เพือ่ เพิ่มพูนความสามารถในการอ่านและเกิดนิสัยรักการอ่าน หนงั สือ สาหรบั เดก็ แบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.4.1 หนังสือเรียนหรือแบบเรียน เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการ กาหนดให้ใช้ สาหรับการเรียน มีสาระตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง และอาจมีแบบฝึกหัด ประกอบด้วย มีชื่อเรียก ต่าง ๆ เช่น แบบเรยี น หนงั สอื เรียน แบบสอบอ่าน หนงั สืออ่าน และหนังสอื ประกอบการเรยี น 1.4.2 หนงั สือเสรมิ ประสบการณ์เปน็ หนงั สือทีก่ ระทรวงศึกษาธกิ าร อนญุ าตให้ใช้ใน โรงเรียนได้ ผู้เรียนและผู้สอนใช้ประกอบการเรียนการสอน แต่มิใช่กาหนดเป็นหนังสือ เรียน หรือแบบเรียน เป็น หนังสอื เพอ่ื ศึกษาหาความร้ดู ้วยตนเอง เพ่ือความเพลิดเพลินซาบซ้ึงใน คุณค่าภาษา หรือเพื่อเสริมสร้างทักษะและ นสิ ัยรักการอ่าน หรอื เพม่ิ พูนความรคู้ วามเข้าใจในสงิ่ ที่ เรยี นตามหลกั สูตรให้กว้างขวางขน้ึ จาแนกเป็น 1) หนงั สอื อ่านนอกเวลา หมายถึง หนงั สอื ที่กระทรวงศึกษาธิการ กาหนดให้ใช้ในการเรียนกล่มุ สาระใดสาระหนง่ึ ตามหลักสตู ร นอกเหนือจากหนังสอื เรียนสาหรับให้ ผอู้ ่านอ่านนอก เวลาเรียน โดยถือว่าเปน็ ส่วนหนง่ึ ของการเรยี นตามหลกั สตู ร 2) หนังสอื อา่ นประกอบ หมายถึง หนงั สอื ท่ใี ช้เสรมิ หรอื เพ่ิมเตมิ ประกอบ ในสาขาวิชาที่เรียน เพ่ือมุ่งให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกับงานเขียนต่าง ๆ ได้แนวคิด ท่ีหลากหลายและ ทันสมัยกา้ วหนา้ 3) หนงั สอื อ่านเพิม่ เดมิ หมายถึง หนงั สอื ทีม่ ีเน้ือหาสาระองิ หลักสูตร เพือ่ ช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร นอกจากนั้น ยังช่วยให้ผู้เรียน สามารถศึกษาหา ความรู้เพม่ิ เติมดว้ ยตนเองตามความเหมาะสมกบั วัย และความสามารถในการอา่ น เพื่อการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล 4) หนังสือส่งเสริมการอ่าน หมายถงึ หนังสือท่ีจดั ทาขนึ้ โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่านและมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือประเภท สารคดี นวนิยาย นทิ าน เป็นตน้ ทไ่ี มข่ ดั ต่อศีลธรรมอันดงี าม ใหค้ วามรู้ มีคติและสารประโยชน์
47 สาหรับส่วนประกอบของหนงั สือสาหรับเด็ก ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบ ดังนี้ 1. ปกนอก 2. ปกใน 3. คานา 4. สารบญั 5. คาแนะนาในการใช้ 6. จดุ ประสงค์ 7. เนอื้ เรอ่ื งและภาพประกอบ 8. กิจกรรมท้ายเล่ม (ถ้ามี) 9. บรรณานกุ รม 1.5 ชดุ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียนเป็นสื่อที่ใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนได้มีโอกาส คิด ปฏิบัติจริง และสามารถสรุปเป็นองค์ความรู้ได้ดว้ ยตนเอง เป็นการให้ผู้เรียน ศึกษาด้วยวธิ ีการทางานกลุ่ม โดย การจดั กิจกรรมและใชส้ ือ่ ประกอบหลายประเภทตามความสนใจของผู้เรยี น มีสว่ นประกอบดงั นี้ 1.5.1 กลอ่ ง/กระเปา๋ สาหรบั บรรจุชุดการสอน 1.5.2 คมู่ อื ครู ประกอบดว้ ย 1) คาชแ้ี จงการใช้ชุดการสอน 2) ส่ิงท่ีครตู ้องเตรียม 3) แผนผังการจัดชนั้ เรยี น 4) แผนการจดั การสอนกจิ กรรมการเรยี นของแต่ละศนู ย์สื่อ และการประเมนิ ผล 5) แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรยี น 1.5.3 ซองกจิ กรรมของแต่ละศูนย์ย่อย ประกอบด้วย 1) บตั รคาส่ังเพ่ือใหผ้ เู้ รยี นปฏบิ ัติกิจกรรม 2) เน้ือหา/ประสบการณซ์ ึง่ จัดไว้ในส่ือแบบต่าง ๆ 3) แบบประเมนิ ผลเปน็ รายบคุ คลหรือกลุ่มหลังจากปฏบิ ัติกจิ กรรมในศนู ย์แลว้ 4) เฉลยแบบประเมนิ ผลของแตล่ ะศูนย์ 1.5.4 แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรียนตามท่รี ะบุในคู่มอื 1.5.5 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรยี น ขัน้ ตอนการผลติ ชุดการสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น ข้ันท่ี 1 การกาหนดหมวดหมู่เนื้อหาและกิจกรรม โดยอาจกาหนดเป็นกลุ่มสาระการ เรียนร้หู รือบูรณาการแบบสหวทิ ยาการตามความเหมาะสม ขน้ั ท่ี 2 กาหนดหน่วยการสอนโดยแบง่ เน้ือหาวิชาออกเปน็ หน่วยการสอน
48 ขน้ั ท่ี 3 กาหนดหัวเร่ืองตามเน้ือหาและกิจกรรมท่ีจะพัฒนาผู้เรียน แล้วกาหนดหวั เรอ่ื ง ออกมาเป็นหนว่ ยการสอน ข้ันท่ี 4 กาหนดมโนทัศน์ หลักการท่ีสอดคล้องกับหน่วยและหัวเรื่อง โดยสรุปรวม แนวคดิ สาระ หลักเกณฑส์ าคัญไวเ้ พ่ือเป็นแนวทางการจัดเนอื้ หาใหส้ อดคล้องกับหนว่ ย และหัวเรื่อง ขั้นท่ี 5 กาหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับหัวเร่ืองโดยกาหนด จุดประสงค์ทั่วไป กอ่ นท่จี ะเขียนเป็นจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมทตี่ อ้ งกาหนดเกณฑ์การพฒั นาพฤตกิ รรมไว้ทุกคร้ัง ขนั้ ที่ 6 กาหนดกจิ กรรมการเรียนรู้ใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ เชงิ พฤติกรรม ซ่งึ จะเปน็ แนวทางการเลือกและผลิตสือ่ ประกอบการจดั การเรยี นรู้ ขั้นท่ี 7 กาหนดแบบประเมินผลให้ตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้ แบบสอบถาม อิงเกณฑ์ เพือ่ ทราบว่าผู้เรยี นเปลี่ยนพฤติกรรมการเรยี นรตู้ ามจุดประสงคท์ ี่กาหนด หรอื ไม่ ขัน้ ท่ี 8 เลือกและผลิตสื่อ วัสดอุ ปุ กรณ์ และวธิ กี ารทคี่ รูใช้ประกอบการ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันที่ 9 ศึกษาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น 3 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 9.1 แบบเด่ยี ว โดยนาชุดการสอนแบบศนู ย์การเรียนไปทดลองใชก้ ับ ผ้เู รยี น 1-3 คน โดยเป็นผเู้ รียนเกง่ ปานกลาง และออ่ น และนาผลมาปรบั ปรงุ แกไ่ ข 9.2 แบบกลุ่ม โดยนาชุดการสอนแบบศูนยก์ ารเรียนท่ปี รบั ปรงุ แล้ว ไปทดลองกบั ผู้เรยี น 6-10 คน ท่มี คี วามสามารถคละกนั และปรับปรงุ แก้ไขให้ดขี ้นึ 9.3 แบบสนาม โดยนาชุดการสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี นไปใชใ้ นชั้นเรยี นทม่ี ี ผู้เรียนต้งั แต่ 30-100 คน ข้นั ที่ 10 การใชช้ ดุ การสอนแบบศูนย์การเรยี น 10.1 ทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน 10.2 ข้นั นาเข้าสู่บทเรยี น 10.3 ขนั้ ประกอบกจิ กรรมการเรยี นรู้ 10.4 ข้ันสรุปผลการเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี นเพ่ือศกึ ษาพฤตกิ รรมทีเ่ ปลยี่ นแปลง ภำพประกอบ 8 แผนภมู ิการสอนโดยใช้ชดุ การสอนแบบศูนยก์ ารเรียน
49 หมำยเหตุ เมื่อปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนการสอนเรียบร้อยแลว้ การเปลี่ยนกลมุ่ อาจทาใหท้ ุกกลมุ่ ทางานสาเรจ็ พร้อมกนั ทุกคร้งั แต่ในทางปฏบิ ัติจริงการเปลี่ยนกล่มุ อาจเปลี่ยนเปน็ กล่มุ ใดก่อนก็ได้ แตล่ ะกลมุ่ จะใชเ้ วลาในการทากจิ กรรมไม่เท่ากัน 1.6 บทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) 1.6.1 ลกั ษณะของบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) CAI เป็นบทเรียนที่ประยุกต์มา จากบทเรียนโปรแกรมของ B.F., Skinner โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์นาเสนอบทเรียน ซ่ึงมี ลักษณะเป็นโมเดล (Model) 2 แบบ คือ แบบเชิงเส้น (Linear Programming) เป็นบทเรียนทลี ะหนว่ ย ตามลาดับ จะข้ามหนว่ ยไมไ่ ด้ ภำพประกอบ 9 แผนผังโครงสรา้ งแบบเชงิ เส้น
50 1) แบบไม่เชิงเสน้ (Branching Programming) เปน็ บทเรียนที่ เช่ือมโยงถงึ กนั ไดต้ ามความต้องการ ผ้เู รยี นสามารถเลือกเรียนหน่วยต่าง ๆ ที่จัดไวต้ ามระดับ ความสามารถของตนเองได้ บทที่ 1 บทที่ 2 บทที่ 3 บทที่ 4 จบบทเรียน ภำพประกอบ 10 แผนผังโครงสรา้ งแบบไม่เชงิ เสน้ 1.6.2 ประเภทของบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) จาแนกได้ 7 ประเภท (บรู ณะ สมชยั . 2538 : 28-32) ได้แก่ 1) แบบฝึกทกั ษะและแบบฝกึ หดั (Drill and practice) เปน็ ลกั ษณะบทเรียน โปรแกรมที่สามารถเลือกบทเรียนที่จะเรียนได้ตามระดับความสามารถของผู้เรียน มี แบบฝึกหัดให้ทาเพื่อทดสอบ ระดบั ความรู้ และสามารถทบทวนบทเรียนได้ เมอ่ื ยงั ไม่เข้าใจหรือมี ความรไู้ ม่เพียงพอ 2) แบบเจรจา (Dialogue) เปน็ ลกั ษณะพดู คยุ ได้ โตต้ อบไดใ้ ช้ใน การเรยี นดา้ น ภาษาหรือกบั นกั เรยี นระดับอนุบาลหรือประถมศึกษาตอนต้น เป็นต้น 3) แบบจาลองสถานการณ์ ( S i m u l a t i o n ) ใชก้ ับการเรยี นที่เรียน กับของจรงิ ไดย้ ากหรือเส่ยี งอันตรายเชน่ จาลองการเรียนการบนิ การเดนิ ทางในอวกาศ เป็นตน้ 4) เกม (Game) เปน็ การเรยี นรูจ้ ากเกมทจี่ ัดทาด้วยคอมพวิ เตอร์ เชน่ เกม
51 ตอ่ ภาพ เกมต่อคาศพั ท์ เกมทางคณติ ศาสตร์ เปน็ ตน้ 5) การแกป้ ญั หาตา่ ง ๆ (Problem Solving) เปน็ การเรยี นทใ่ี ห้ คอมพิวเตอร์ สุ่มข้อมูลมาแล้วให้นกั เรียนวิเคราะห์หรอื แก้ปัญหา เชน่ วิชาสถติ ิ วชิ าคณติ ศาสตร์ เปน็ ตน้ 6) การคน้ พบสง่ิ ใหม่ ๆ (Investigation) เปน็ การจัดสถานการณข์ ้ึน แลว้ ให้ นักเรียนค้นหาข้อเท็จจริง เช่น ผสมพยัญชนะ หรือคาศัพท์ โดยคอมพิวเตอร์จะบอก ความหมายคาตรงข้าม คา ใกลเ้ คียง เป็นต้น 7) การทดสอบ (Testing) เปน็ การทดสอบความรแู้ ละความสามารถ ของผเู้ รียน โดยคอมพิวเตอร์จะจัดข้อสอบให้และทาการประมวลผลให้ทราบในทันที เช่น การทดสอบ พ้ืนฐานความรู้ การ ทดสอบ I.Q. เป็นตน้ 1.7 เทคนิควิธสี อน เทคนคิ วธิ ีการสอน มีหลายรูปแบบ ซง่ึ จะยกตวั อย่างเทคนิคการสอนบาง ลักษณะ ดังน้ี 1.7.1 วธิ ีสอนโดยใชก้ ำรทดลอง (Experiment) วิธสี อนโดยใชก้ ารทดลอง คอื กระบวนการท่ีผู้สอนใชใ้ นการช่วยให้ผู้เรียน เกดิ การเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดปัญหาและสมมติฐานในการ ทดลองและลงมือทดลอง ปฏิบตั ิตามข้ันตอนที่กาหนด โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ ท่ีจาเป็น เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปอภปิ รายผลการ ทดลอง และสรุปการเรยี นรทู้ ี่ไดร้ ับจากการทดลอง 1.7.2 วิธสี อนแบบ 4 MAT วฏั จักรแหง่ การเรียนรู้ (4 MAT) สรา้ งขน้ึ โดยใช้วงกลมเปน็ สัญลักษณ์ แทนการเคลื่อนไหวของกิจกรรมการเรียนรู้ พ้ืนท่ีของวงกลมถูกแบ่งออกโดยเส้นแห่งการเรียนรู้ และเส้นแห่ง กระบวนการจัดข้อมลู รบั รู้เป็น 4 ส่วน กาหนดให้แต่ละสว่ นใช้แทนกิจกรรมการจดั การเรยี นรู้ 4 ลักษณะ โดยนิยาม วา่ (กรมวิชาการ. 2544) ส่วนท่ี 1 คือ บูรณาการประสบการณ์ให้เป็นส่วนหน่ึงของตน ใช้คาถาม ท่ีเป็นคาถาม นากจิ กรรม คอื ทาไม (Why?) ส่วนท่ี 2 คือ สร้างความคดิ รวบยอด คาถามที่เป็นคาถามนากจิ กรรม ประจาส่วนน้ีคือ อะไร (What?) สว่ นที่ 3 คือ ปฏิบัติและเรียนรตู้ ามลักษณะเฉพาะตัว คาถามท่ีเป็นคาถาม นากจิ กรรม ประจาสว่ นนี้ คอื ทาอยา่ งไร (How does it work?) ส่วนที่ 4 คือ บูรณาการการประยุกต์กับประสบการณ์ของตน คาถามที่ เป็นคาถามนา กิจกรรมประจาส่วนนี้ คือ ถา้ (If)
52 1.7.3 วธิ ีสอนแบบรว่ มมอื ร่วมใจ (Cooperative Learning) แนวคิดทฤษฎที ่ใี ช้ เคแกน (Kagan. 1994) นักการศกึ ษาชาวสหรัฐ ได้ทาการวิจัยและ พฒั นารปู แบบการ เรียนรแู้ บบร่วมมอื รว่ มใจอยา่ งจริงจงั มาตง้ั แต่ปี ค.ศ. 1985 และไดเ้ ผยแพรผ่ ลงานอย่างกวา้ งขวางในสหรัฐอเมริกา รวมถงึ หลายประเทศในเอเชยี แนวคดิ หลักท่ีจะนาไปสู่การเรียนรู้ แบบรว่ มมอื ร่วมใจอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ประกอบด้วย 6 ประการ ดังแผนภาพ ภำพประกอบ 11 “Teams Will Manage Social Skills and PIES through structure” จากแผนภูมแิ สดงแนวคิดหลกั ของการเรยี นรู้แบบร่วมมือรว่ มใจ ( Cooperative Learning) (Kagan: Cooperative Learning. 1994 ) 1.Teams หมายถึง การจัดกลุม่ ของผเู้ รียนทจ่ี ะทางานรว่ มกัน กลมุ่ ทีจ่ ะ เรียนรู้ ดว้ ยกนั อยา่ งมปี ระสทิ ธิผล ควรเปน็ ดังน้ี 1.1กลุม่ ละ 4 คน ประกอบด้วยเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูง ปานกลาง ค่อนข้างต่า และหญิงชายเท่า ๆ กัน ในบางกรณีการจัดกลุ่มโดยวิธีอ่ืน เช่น ในการศึกษา เร่ืองลึกเฉพาะ เช่น ทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรจัดกลมุ่ เดก็ ทมี่ คี วามสนใจเหมอื นกัน หรือจัดกลมุ่ โดยวิธีสุ่ม เมื่อต้องการทบทวนความรู้ 1.2จดั ใหเ้ ด็กอย่ใู นกลุ่มเดยี วกันประมาณ 6 สัปดาห์แล้วเปลีย่ นจดั กลมุ่ ใหม่ 2.Will หมายถงึ ความมงุ่ มัน่ และอุดมการณ์ของเด็กท่จี ะรว่ มงานกนั เด็กจะตอ้ งมี ความมุ่งมั่นทีจ่ ะเรียนรู้และมีความกระตือรือรน้ ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ร่วมกัน สิ่งเหล่านี้ต้องสรา้ งให้เกิดข้ึนและ ใหค้ งไว้โดยใหท้ ากิจกรรมหลากหลาย โดยวิธกี ารต่อไปน้ี 2.1 Team building การสรา้ งความมุ่งม่ันของทีมทจี่ ะทางานรว่ มกัน 2.2 Class building การสร้างความมงุ่ มนั่ ของชนั้ เรยี นทจ่ี ะช่วยกัน 3.Management หมายถึง การจดั การเพื่อให้กลุ่มทางานอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รวมท้ังการจดั การของผู้สอนและการจดั การของผูเ้ รียนภายในกลุม่ ผสู้ อนจะต้องมีการ จัดการทด่ี ี เพื่อให้การ ทางานกล่มุ ประสบผลสาเร็จ เช่น การควบคมุ เวลา การกาหนดสญั ญาณให้ ผู้เรยี นหยุดกจิ กรรม เป็นต้น 4.Social Skills เปน็ ทกั ษะในการทางานรว่ มกัน มีความสมั พันธ์ท่ดี ี ตอ่ กัน ให้ ความช่วยเหลอื กนั ใหก้ าลงั ใจซึ่งกันและกัน รับฟ้งความคดิ เหน็ ของกันและกนั 5.Four Basic Principles (PIES) เป็นหลักการพนื้ ฐานของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมใจ (Cooperative Learning) ซึง่ จะขาดอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ไมไ่ ด้ ไดแ้ ก่
53 p = Positive Interdependence ผู้เรียนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมี แนวคิดท่ีว่าเม่ือเราได้รับประโยชน์จากเพื่อน เพ่ือนก็จะได้รับประโยชน์จากเรา ความสาเร็จ ของกลุ่มคือ ความสาเร็จของแต่ละคน I = Individual Accountability ยอมรับวา่ แต่ละคนในกล่มุ ต่าง ๆ มคี วามสามารถ และมีความสาคัญต่อกลมุ่ แต่ละคนมีสว่ นใหก้ ารทางานในกลุ่มสาเร็จ E = Equal Participation ทกุ คนในกลุ่มตอ้ งใหค้ วามร่วมมอื และมี สว่ นร่วม ในงานของกลุ่มอย่างเท่าเทยี มกัน S = Simultaneous Interaction ทุกคนในกลุ่มต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน ตลอดเวลา ท่ที างานในกลุม่ 6.Structures หมายถึง รูปแบบของกิจกรรมในการทางานกลุ่ม ซึ่งมี หลากหลาย ทั้งนขี้ ึ้นอยู่กับปัญหาหรอื สถานการณ์ที่จะศึกษา Kagan ไดว้ ิจยั และเสนอไวห้ ลายรูปแบบ ตัวอยา่ งเชน่ Time - Pair - Share เป็นกิจกรรมจับคู่สลับกันพูดในหัวข้อและในเวลาที่กาหนด เช่น คนละ 1 นาที เมอื่ คนหน่ึงพูด อีกคนหน่ึงฟัง แล้วสลับกัน Round Robin ผู้เรียนในกลุ่มทั้ง 4 คน ผลัดกันพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ เรอื่ งใดเรือ่ งหนง่ึ จนครบทุกคน Round Table ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มเขียนแสดงความคิดเห็นใน เร่ืองใดเร่ือง หน่ึงในกระดาษแผ่นเดยี วกนั แลว้ วนไปเรอ่ื ย ๆ จนผ้เู รยี นทกุ คนเขยี นทั้งหมด แลว้ นามา สรุป Team - Pair - Solo เป็นกิจกรรมท่ีให้แต่ละคนในกลุ่มคิดแก้ปัญหาใด ปัญหา หน่ึงก่อน จากน้ันเปลี่ยนเป็นรวมกนั คิดเป็นคู่ ซ่งึ จะทาให้ผเู้ รยี นแต่ละคนเรียนร้แู บบการแกป้ ัญหา ในทสี่ ุดแตล่ ะคน สามารถแก้ปัญหาทานองเดยี วกันได้ กำรสรำ้ งและพฒั นำเคร่อื งมือเกบ็ รวบรวมข้อมูล เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลมีหลายประเภทในท่ีน้ีเสนอเพียงบางประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสังเกตและแบบสมั ภาษณ์ ดงั น้ี 1.6 กำรสรำ้ งแบบทดสอบ การสร้างแบบทดสอบโดยสรปุ มขี ัน้ ตอนดังน้ี (บุญเรยี ง ขจรศิลป็. 2539 : 75-78) 1) ศึกษาหลักวชิ าวา่ ดว้ ยการสรา้ งแบบทดสอบให้เขา้ ใจ 2) วเิ คราะหห์ ลกั สตู ร จุดประสงค์และเนื้อหาวิชาท่ีจะสรา้ งแบบทดสอบ เพอ่ื กาหนด พฤติกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการวัด กาหนดประเภทของข้อสอบว่าจะให้เป็นข้อสอบ แบบปรนัย หรืออัตนัย และ กาหนดจานวนขอ้ สอบในแตล่ ะจดุ ประสงค์ 3) เขียนขอ้ สอบแต่ละข้อ 4) จัดลาดบั ข้อสอบจากง่ายไปหายาก 5) กาหนดรูปแบบแบบทดสอบให้เหมาะสม
54 6) จดั พมิ พ์แบบทดสอบฉบบั ทดลอง 7) นาไปให้ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ 3 - 5 คน พิจารณาความเทยี่ งตรงตามเนอ้ื หา ความเหมาะสม ของภาษาและความเหมาะสมด้านอนื่ ๆ 8) นาแบบทดสอบไปทดลองใช้ (ในกรณีท่ีสามารถทาได้) 9) วเิ คราะหข์ อ้ สอบรายขอ้ และคุณภาพของแบบทดสอบทง้ั ฉบับ (ถา้ เป็นข้อสอบ แบบปรนัย) 10) คดั เลือกเฉพาะขอ้ สอบที่ได้มาตรฐาน คือ มคี วามยากงา่ ย ปานกลางและ มอี านาจในการ จาแนกสูง (ถา้ เป็นขอ้ สอบแบบปรนัย) 11) จัดพมิ พ์แบบทดสอบฉบบั จรงิ 1.7 กำรสรำ้ งแบบสอบถำม แนวทางในการสรา้ งแบบสอบถาม โดยสรปุ ควรจะเป็นดงั น้ี (อทุ มุ พร จามรมาน. 2530 : 8-26) 1) กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของแบบสอบถามให้ชัดเจน 2) กาหนดหมวดหรอื ประเดน็ หลักใหช้ ัดเจน 3) แจกแจงประเด็นอาจทาเปน็ ประเดน็ ยอ่ ย 4) กาหนดจานวนขอ้ คาถาม 5) กาหนดประเภทของคาถามวา่ เปน็ ประเภทใดบ้าง เช่น ถามความรู้ ถามความคิดเห็น หรือ ถามพฤติกรรม 6) กาหนดรูปแบบของคาถาม เชน่ แบบคาถามสัน้ ๆ แบบเลือกตอบ แบบเตมิ คา แบบผดิ ถกู แบบจับคู่ให้ถูกต้อง แบบประมาณค่า (Rating) แบบประมาณค่าและใหค้ ่า แบบให้ทา เครื่องหมาย แบบจัดลาดับ แบบเลือกตามที่เห็นสมควร หรอื แบบใหเ้ ลือกตอบหลายตัวเลือก 7) ตรวจสอบความสอดคลอ้ งของขอ้ คาถามกับประเดน็ ย่อย ประเด็นหลกั และวัตถปุ ระสงค์ ของแบบสอบถาม 8) จดั ทาส่วนตา่ ง ๆ ใหแ้ บบสอบถาม 9) จัดพมิ พ์และนาไปใหผ้ ทู้ รงคณุ วฒุ ิพิจารณา 10) นาไปทดลองใช้ 11) ปรับปรุงและจดั พิมพ์แบบทดสอบฉบบั จรงิ 1.8 กำรสรำ้ งแบบสงั เกต การสังเกตเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการเฝ้าดูพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ที่ผู้เก็บข้อมูล อาจจะมสี ่วนรว่ ม หรอื ไมม่ สี ว่ นร่วมกับเหตกุ ารณ์กไ็ ด้ แต่การสังเกตท่ดี คี วรมี การวางแผนไวล้ ว่ งหน้า ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบสังเกต มดี งั น้ี 1) ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหาเรือ่ งทีจ่ ะสังเกต 2) เลือกรปู แบบของแบบสังเกต ซ่งึ อาจจะเลอื กให้อยู่ในแบบสารวจรายการ (Checklist) การ บันทึก (Anecdotal record) การประมาณค่า (Rating) หรือการจดั อนั ดบั (Ranking) เป็นต้น 3) ออกแบบแบบสังเกต 4) เขียนแบบสงั เกต
55 5) จดั พิมพแ์ บบสงั เกต แลว้ นาไปให้ผู้ทรงคุณวฒุ ิพิจารณาความเหมาะสม และความเทีย่ งตรง ตามเน้อื หา 6) ปรับปรุงและจัดพิมพ์ฉบับจรงิ 1.9 กำรสร้ำงแบบสมั ภำษณ์ การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาอย่างมีจุดมุ่งหมายระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ถูก สัมภาษณ์ตาม วตั ถุประสงคท์ ่ผี ู้สมั ภาษณ์กาหนดไว้ลว่ งหน้า ประเภทของแบบสัมภาษณ์โดยทั่วไป แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การสัมภาษณ์ แบบไม่มี โครงสรา้ ง โดยให้ผู้ตอบตอบได้อยา่ งอิสระ และการสมั ภาษณแ์ บบทมี่ โี ครงสรา้ ง คือมคี าตอบไว้ใหเ้ ลอื กแลว้ ขน้ั ตอนในการสร้างแบบสัมภาษณ์ ควรจะเปน็ ดังนี้ 1) ศึกษาและวเิ คราะห์เนื้อหาเรื่องที่จะสัมภาษณใ์ ห้ชดั เจน 2) กาหนดรปู แบบการสมั ภาษณว์ ่าจะใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทไ่ี ม่มีโครงสรา้ งท่ใี ห้ผ้ตู อบ ตอบอยา่ งไม่ มีขอ้ จากดั หรือในรูปแบบท่จี ากัดคาตอบในลกั ษณะของแบบสอบถาม 3) เขียนคาถามแบบสัมภาษณ์ 4) จัดพมิ พแ์ บบสัมภาษณ์ฉบบั ร่าง แลว้ นาไปให้ผู้ทรงคณุ วุฒพิ ิจารณา ความเหมาะสมและความเทีย่ งตรงตามเน้อื หา 5) ปรบั ปรงุ และจัดพมิ พ์แบบสัมภาษณฉ์ บบั จริง (บุญเรียง ขจรศลิ ป์. 2539 : 80) 1.10 กำรตรวจสอบคณุ ภำพของเครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมลู การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านเนื้อหา (Subject matter specialists) อย่างน้อย 3 คน ควรเป็นจานวนค่ี แล้วหา ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ คาถามกบั คุณลกั ษณะตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยท่ดี ้องการวัด ดังนี้ IOC = ∑ ������ ������ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) R แทน คะแนนความเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญต่อคาถามแต่ละข้อ N แทน จานวนผู้เชย่ี วชาญ
56 โดยมีการกาหนดคะแนนท่ีผ้เู ช่ยี วชาญ ดังน้ี +1 หมายถงึ คาถามนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจยั หรอื นิยามศัพท์เฉพาะ -1 หมายถึง คาถามนน้ั ไมส่ อดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวจิ ัยหรือ นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จว่าคาถามนั้นสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ของ การวจิ ัยหรือนิยามศัพท์เฉพาะ เกณฑ์การแปลความหมาย มีดงั น้ี คา่ IOC > 0.50 หมายความว่า คาถามนน้ั วัดตรงวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย คา่ IOC < 0.50 หมายความว่า คาถามนน้ั วัดไมต่ รงวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั ตวั อยา่ งแบบประเมิน ความสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกับคุณลักษณะตามวตั ถปุ ระสงค์การวิจัย ของผู้เชย่ี วชาญ
57 แบบประเมนิ ควำมสอดคล้องระหวำ่ งข้อคำถำมกบั คณุ ลักษณะ ตำมวัตถุประสงค์กำรวิจัยของผู้เช่ียวชำญ คำช้แี จง โปรดพิจารณาชดุ ฝึกทกั ษะเร่ือง การแก้โจทยป์ ัญหาของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 แลว้ ลงความเหน็ วา่ มคี วามเหมาะสมและสอคล้องในด้านต่าง ๆ ตามทก่ี าหนดไวห้ รือไม่ โดยทาเครื่องหมาย √ ลงใน ชอ่ งว่างระดบั ความคิดเหน็ ซึ่งกาหนดคะแนนความคิดเหน็ ดงั น้ี +1เห็นดว้ ย 0 ไม่แนใ่ จ และ-1 ไมเ่ หน็ ดว้ ย รำยกำรประเมิน ควำมคดิ เห็น ข้อเสนอแนะ 1 ค่มู ือชดุ ฝึกทักษะ +1 0 -1 1.1 ความเหมาะสมและความสอดคล้องคา ช้ีแจงกบั การนาไปปฏบิ ตั จิ ริง 11..22 สว่ นประกอบของคูม่ ือชดุ ฝึกทกั ษะครบถ้วน 11..33 ภาษาทใ่ี ชใ้ นคู่มือชุดเสรมิ ทักษะมีความ ชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย 2 ชุดฟกิ ทักษะ 2.1 แบบฝกึ ทักษะมีรปู แบบเหมาะสม น่าสนใจ 2.2 แบบฝกึ ทกั ษะมกี ารเรียงตามลาดับ ความยากงา่ ย 2.3 แบบฝึกทักษะมลี าดับข้ันตอนทีเ่ หมาะสม 2.4 แบบฝกึ ทักษะสอดคล้องกับจุดประสงค์ 2.5 แบบฝกึ ทกั ษะสอดคล้องกบั เนอ้ื หา 2.6 แบบฝกึ ทกั ษะเนน้ ให้ผเู้ รียนส่งเสรมิ การคดิ 2.7 เฉลยแบบฝกึ ทักษะมีความชัดเจนและ สอดคล้องกับคาถาม 2.8 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนวัดได้ ครอบคลุมจุดประสงค์ ลงช่ือ....................................... ผู้ประเมนิ (………..……………………) ตาแหนง่ ................................................. วัน เดอื น ปี .........../............... /.............
58 1.6 กำรหำประสทิ ธิภำพของนวตั กรรม 1.10.5 เกณฑ์ประสทิ ธภิ าพ (E1 /E2) สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน (ม.ป.ท. :ม.ป.ป.) ไดน้ าเสนอเก่ียวกับการตรวจสอบคณุ ภาพสื่อ/นวตั กรรมบางอยา่ ง เมือ่ ผา่ น การตรวจสอบจากผู้เชยี่ วชาญแล้วจะต้องนาไปทดลองใช้ (Try-out) หรือนาไปใหน้ กั เรียนท่ีเป็น คนละกลุม่ กับกลุ่ม ที่ศึกษาทาการตรวจสอบ เช่น ชุดการสอน บทเรียนสาเร็จรูป บทเรียนโปรแกรม ศูนย์การเรียน หนังสืออ่าน ประกอบ เป็นต้น ท่ีเรยี กว่า เกณฑป์ ระสิทธิภาพ (E1 /E2) E1 หมายถึง ประสิทธภิ าพของกระบวนการ (ขณะทางาน) E2 หมายถงึ ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์ เกณฑ์ประสิทธิภาพเป็นการกาหนดอัตราส่วนร้อยละระหว่าง E1 /E2 โดยกาหนด 75/75 หรอื 80/80 หรอื 90/90 การกาหนดเกณฑ์เท่าไรจะขน้ึ อยู่กบั ลักษณะหรือ ธรรมชาตขิ องเนอ้ื หาวิชา เชน่ ถา้ เน้อื หาประเภทความรู้ ความจา กาหนดเกณฑป์ ระสทิ ธภิ าพ 80/80 หรอื 90/90ถ้าเน้อื หาประเภททกั ษะ หรือเจตคตกิ าหนดเกณฑป์ ระสทิ ธิภาพ 75/75 โดยทเ่ี กณฑ์ ประสทิ ธิภาพมีความหมาย 2 นัยด้วยกัน คอื นัยที่ 1 E1 หมายถึง ร้อยละของจานวนนักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์ความพึงพอใจ ที่กาหนด ขณะ (ระหว่าง) จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนรวมทกุ กจิ กรรม (กระบวนการเรยี น/ทางาน) E2 หมายถงึ รอ้ ยละของจานวนนกั เรียนที่ผ่านเกณฑ์ความพิงพอใจท่ีกาหนด เมอ่ื สน้ิ สุด การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน (ผลสาเรจ็ /ผลลัพธท์ ่ีได)้ นยั ท่ี 2 E1 หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนทุกคนขณะ (ระหว่าง) จัด กิจกรรมการเรียน การสอนรวมทุกกจิ กรรม (กระบวนการเรยี น/กระบวนการทางาน) E2 หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนเมื่อสนิ้ สุดการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน (ผลสาเรจ็ /ผลลพั ธ์ทีไ่ ด)้ ขัน้ ตอนการตรวจสอบเกณฑป์ ระสิทธภิ าพ 1. ทดลองกับกลุ่มตวั อย่างทเี่ รียกวา่ แบบเดยี่ ว (หน่ึงคน) หรือ 1 : 1 หมายถึง ทดลอง ใช้นวัตกรรมกับนักเรียน 3 คน ท่ีประกอบด้วย เก่ง ปานกลางและอ่อน อย่างละ 1 คน แล้วคานวณหา E1 /E2 (ตามนยั ท่ี 1 หรอื 2) แล้วนามาปรับปรงุ 2. ทดลองกบั กลุม่ ตัวอย่างทเ่ี รยี กวา่ แบบกลมุ่ หรือ 1 : 10 หมายถึง ทดลอง ใช้ นวัตกรรมกับนักเรียนประมาณ 5-10 คน ท่ีประกอบด้วย เก่ง ปานกลางและอ่อนคละกันไปใน จานวนเท่า ๆ กัน แลว้ คานวณหา E1 /E2 (ตามนัยท่ี 1 หรอื 2) แลว้ นามาปรบั ปรงุ 3. ทดลองกบั กลมุ่ ใหญ่ทเ่ี รยี กวา่ ภาคสนาม หรือ 1 หอ้ งเรยี น หมายถงึ ทดลองใช้ นวัตกรรมกับนักเรียน 1 ห้องเรียน แล้วคานวณหา E1/E2 (ตามนัยท่ี 1 หรือ 2) แล้วนาผลการวิเคราะห์เทียบกับ เกณฑ์ ถ้าต่ากวา่ เกณฑ์ไม่เกินร้อยละ 2.5 กย็ อมรบั ได้
59 ตวั อยำ่ ง การหาประสิทธภิ าพหนังสืออ่านประกอบ เรือ่ ง ทอ้ งถน่ิ ของเรา มีหนังสืออา่ นประกอบ จานวน 5 เล่ม ดังน้ี เลม่ ท่ี 1 เรอ่ื ง สภาพท่ตี ง้ั คะแนนจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม 10 เลม่ ที่ 2 เรอื่ ง การคมนาคม คะแนนจากการปฏิบตั ิกิจกรรม คะ1แ0นน เล่มท่ี 3 เรอ่ื ง วัฒนธรรมประเพณี คะแนนจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม คะ1แ5นน เลม่ ที่ 4 เร่ือง การประกอบอาชพี คะแนนจากการปฏิบัติกจิ กรรม คะ1แ5นน เล่มท่ี 5 เรอ่ื ง การจัดการศึกษา คะแนนจากการปฏิบัติกจิ กรรม คะ1แ0นน แบบทดสอบหลงั ใช้หนงั สืออ่านประกอบ เร่ือง ท้องถ่นิ ของเรา จานวน 30 คะแนน ไปทดลคอะงแในช้กนับ นักเรียน จานวน 7 คน ผลการทดสอบตามตารางบนั ทึก ดงั นี้ คะแนนทดสอบ เล่มที่/คะแนนเต็ม คะแนน ทดสอบหลัง เลขที่ 1 2 3 4 5 รวม (E1) 10 10 15 15 10 60 (E2) 30 1 7 8 10 11 8 44 21 2 8 8 12 12 9 49 28 3 6 7 10 10 7 40 20 4 6 9 13 13 6 47 25 5 7 8 14 14 7 50 28 6 8 8 11 13 9 49 23 7 8 7 10 10 6 41 20 รวมคะแนน 320 165 ผา่ น (คน) 5 7455 5 5 วธิ ีการวิเคราะห์ตามนยั ที่ 1 (จานวนรอ้ ยละคนทีผ่ า่ นเกณฑ์ความไม่พอใจ รอ้ ยละ 70) การคานวณหา E1 /E2 E1 = (5×100) =71.43 E2 = (5×100) =71.43 7 7 ดงั นั้น สื่อมีประสิทธิภาพเท่ากับ 71.43/71.43 วิธีการวิเคราะหต์ ามนยั ท่ี 2 (คะแนนเฉลีย่ ร้อยละ) การคานวณหา E1 /E2 E1 = (320×100)=76.19 E2 = (165×100) =78.43 210 420 ดังนั้นส่อื มปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กับ 76.19/78.43
60 1.10.6 ค่าความยากรายขอ้ ความยากหรอื ความยากง่ายเปน็ ลกั ษณะสาคัญของ เครอ่ื งมอื วัดผลการเรียนรู้ ซ่ึงหาได้จากจานวนรอ้ ยละหรอื เปอรเ์ ซ็นต์ (P) หรอื สดั ส่วน (p) ของผู้ตอบ ขอ้ คาถามนั้น ถูก เคร่ืองมือวัดรายข้อควรมีค่าความยากง่ายพอเหมาะ คือมีผู้ตอบถูกคร่ึงหน่ึง ตอบผิด คร่ึงหนึ่ง นั้นคือ P = .50 แต่ในทางปฏิบัติจะยืดหยุ่นให้มีค่าความยากง่ายมากกว่าน้ี หรือน้อยกว่าน้ี เพื่อเปิดโอกาสให้มีข้อคาถามท่ียากท้า ทายคนเก่งและมีข้อคาถามท่ีง่ายเพื่อเปิดโอกาส ให้คนไม่เก่งได้แสดงความรู้ ความสามารถ ดังน้ัน จึงพิจารณาข้อ คาถามที่มีความยากง่าย หรือค่า P อยู่ในช่วง .20 - .80 ทั้งนี้ ระดับความยากของข้อคาถามจึงมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ หรอื จาก 0.00 - 1.00 สาหรบั เกณฑ์การแปลความหมายความยากรายข้อ ข้อคาถามทีม่ คี ่า P มาก แสดงว่าข้อคาถามน้นั มคี นเลือกตอบถูกเปน็ จานวนมาก ขอ้ คาถามทม่ี ีค่า P น้อย แสดงวา่ ข้อคาถามข้อน้นั มีคนเลือกตอบถูกเปน็ จานวนน้อย แปลวา่ ขอ้ น้ันยาก การแปลความหมายของค่าความยากของขอ้ คาถามใช้เกณฑ์ดังนี้ คำ่ ควำมยำก (P) กำรแปลควำมหมำย 0.81 - 1.00 งา่ ยมาก 0.61 - 0.80 ง่าย 0.51 - 0.60 ค่อนข้างงา่ ย 0.50 ยากง่ายพอเหมาะ 0.40 - 0.49 คอ่ นข้างยาก 0.20 - 0.39 ยาก 0.00 - 0.19 ยากมาก ดังนั้น ข้อคาถามที่มีค่าความยาก P = 0.10 จึงเป็นข้อท่ียากมากเพราะมี คนเลือกตอบข้อ นั้นถูกเพียง 10 คน ใน 100 คน ข้อสังเกต การจัดเรียงข้อคาถามในเครื่องมือวัดควรจัดเรียงตามลาดับจาก ข้อง่ายไปหาข้อ ยาก เพราะผู้สอบจะสามารถตอบข้อคาถามง่าย ๆ ได้ก่อนทาให้เกิดกาลังใจ เป็นการกระตุ้นผู้สอบพยายามทาข้อ คาถามให้ครบทุกข้อ อย่างไรก็ตาม การจัดเรียงข้อคาถามแบบน้ีก็ มีข้อเสีย ทาให้ข้อคาถามที่ถามเนื้อหากลุ่ม เดยี วกันจะกระจัดกระจายไม่เป็นหมวดหมู่ การวิเคราะห์ความยากรายข้อ สามารถทาได้หลายวิธี ในที่นี้ข้อเสนอ การวิเคราะห์อย่าง ง่าย โดยแบ่งกลุ่มผ้ตู อบเป็นกลุ่มผ้ไู ด้คะแนนสูงรอ้ ยละ 27 และกล่มุ ผู้ไดค้ ะแนนตา่ ร้อยละ 27 แลว้ ใช้สูตรคานวณ คา่ ความยากดงั น้ี P=������+������ ������ เม่อื P แทน คา่ ความยากของข้อคาถาม H แทน จานวนคนในกลุ่มสูงตอบถูก L แทน จานวนคนในกลุ่มต่าตอบถูก N แทน จานวนคนทงั้ หมดในกลมุ่ สูงและกลมุ่ ต่า
61 ตวั อย่างการคานวณค่าความยาก ในการสอบข้อสอบแบบเลือกตอบข้อหนึ่งสอบกับนักเรียน 100 คน แบ่งเป็น กลุ่มผู้ตอบที่ ได้คะแนนสูงหรือกลุ่มสูง จานวน 27 คน กลุ่มผู้ตอบที่ได้คะแนนต่าหรือกลุ่มต่า 27 คน ปรากฏว่ากลุ่มสูงตอบถูก 25 คน กล่มุ ต่าตอบถูก 10 คน คานวณค่าความยากไดด้ งั นี้ แทนค่า H = 25 L = 10 N = 54 (ได้จากคนในกลมุ่ สูงและกลุม่ ต่ารวมกนั ) ค่า P = ? แทน คา่ ในสตู รไดด้ งั นี้ P= 25+10 54 P= 35 54 P = 0.65 2.6.3 ค่าอานาจจาแนก เครอ่ื งมอื วดั ทกุ ชนิดทั้งแบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรู้ หรือวัดทาง สติปัญญา ตลอดจนเครื่องมือวัดอ่ืน ๆ ที่ไม่ได้วัดทางสติปัญญา จาเป็นต้องคัดเลือก ข้อคาถามท่ีดีมีค่าอานาจ จาแนกผู้ท่ีมีคุณลักษณะท่ีต้องการวัดกับผู้ที่ไม่มีคุณลักษณะที่ต้องการวัดออกจากกันได้และเน่ืองจากค่าอานาจ จาแนกเป็นสัมประสิทธ์ิระหว่างคะแนนคุณสมบัติที่ต้องการวัดกับ คะแนนการตอบข้อคาถามรายข้อ ดังน้ัน เคร่อื งมอื วัดจงึ มคี า่ อานาจจาแนก หรอื สัมประสิทธ์ิ สหสัมพนั ธ์ ดงั น้ัน จึงใช้สัญลักษณ์ r แทนคา่ อานาจจาแนกและ ค่าอานาจจาแนกจะอยรู่ ะหวา่ ง 0.00 ถงึ + 1.00 และ 0.00 ถงึ -1.00 เกณฑ์การแปลความหมายค่าอานาจจาแนก ค่าอานาจจาแนกที่เป็นบวกมี เกณฑ์การแปล ความหมาย ดังนี้ ค่ำอำนำจจำแนก ควำมหมำย 1.00 จาแนกดีเลศิ 0.80 - 0.99 จาแนกดีมาก 0.60 - 0.79 จาแนกดี 0.40 - 0.59 0.20 - 0.39 จาแนกได้ปานกลาง 0.00 - 0.19 จาแนกได้บ้าง จาแนกไมค่ ่อยได้
62 ส่วนค่าอานาจจาแนกท่ีเป็นลบจะมีลักษณะที่ตรงข้ามกับค่าอานาจจาแนก ท่ีเป็นบวก เน่ืองจากค่าอานาจจาแนกเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการตอบถูกกับคุณลักษณะของบุคคล เช่น ความสามารถของ บุคคล ดงั นน้ั การแปลความหมายจะเป็นดังนี้ ข้อสอบที่มีค่า r เป็นบวก หมายความวา่ ข้อสอบสามารถแยกคนท่ีมีความรู้มากจากคนที่มี ความรู้นอ้ ย หรือจากคนท่ีมีความรอบรู้จากคนที่ไม่มีความรอบรู้ได้ เพราะคนที่มีความรู้มากมีแนวโน้มตอบถูกมาก ส่วนที่มีความรู้น้อยมีแนวโน้มตอบผิดมาก ข้อสอบยิ่งมีค่า r เป็นบวกสูงมากเท่าใด แสดงว่าข้อสอบข้อน้ันคนที่มี ความร้มู ากจะมแี นวโน้มตอบถูกมากขน้ึ เท่านนั้ และคนท่ีมีความรนู้ ้อยจะมแี นวโน้มตอบผดิ มากเทา่ น้นั ข้อสอบที่มีค่า r ใกล้ศูนย์ หมายความว่า ข้อสอบข้อน้ันแยกคนท่ีมีความรู้มากกับคนท่ีมี ความรนู้ อ้ ยไม่ค่อยได้ หรอื แยกคนทีม่ คี วามรอบรู้กับคนทไี่ ม่รอบรู้ไม่ค่อยได้ เพราะคนทีม่ าก อาจตอบข้อสอบขอ้ นัน้ ถกู หรือผดิ กไ็ ด้ ดงั น้ัน ในการคัดเลือกข้อสอบไว้ใชค้ วรคัดเลอื กทม่ี คี ่า r สงู ๆ มีเกณฑ์ การพจิ ารณาแกไ้ ข ปรับปรงุ ดังน้ี คำ่ อำนำจจำแนก ขอ้ เสนอแนะ 0.40 ข้นึ ไป เป็นข้อสอบทแี่ ยกคนได้ สามารถนาไปใชค้ รั้งตอ่ ไปได้ 0.30 - 0.39 เปน็ ข้อสอบทีแ่ ยกคนได้ปานกลาง ควรแกไ้ ขปรบั ปรงุ ถา้ มโี อกาส 0.20 - 0.29 เป็นขอ้ สอบทแี่ ยกคนไดบ้ า้ ง ควรแก้ไขปรบั ปรุงก่อนนาไปใช้ ตา่ กว่า 0.19 เป็นข้อสอบทีแ่ ยกคนไม่ค่อยได้ ควรคัดออกไป แต่ถ้าคดิ ว่าเปน็ ข้อสอบท่ี น่าจะ นาไปใช้ ก็อาจพิจารณาแก้ไข ปรบั ปรุงตัวเลอื กให้เหมาะสมย่ิงขน้ึ การวเิ คราะห์อานาจจาแนกแบบองิ เกณฑ์ ������ = P������−������������ ������ เมอื่ r แทน คา่ อานาจจาแนก PH แทน จานวนคนตอบถูกในกลุ่มสงู PL แทน จานวนคนตอบถูกในกลุ่มต่า n แทน จานวนคนในกลมุ่ สงู (หรอื กลุ่มตา่ ) เพียงกลุม่ เดียว ตวั อยา่ งการคานวณ สมมติว่าข้อสอบอิงกลุ่มแบบเลือกตอบข้อหน่ึงสอบกับนักเรียน จานวน 100 คน แบ่งเป็น กลุ่มผู้ตอบที่ได้คะแนนสูง (หรือกลุ่มสูง) จานวน 27 คน กลุ่มผู้ตอบท่ีได้คะแนนต่า (หรือกลุ่มต่า) จานวน 27 คน ปรากฏวา่ กลุ่มสงู ตอบถูก 25 คน กลมุ่ ตา่ ตอบถกู 10 คน คานวณค่า ความยากได้ดังนี้ r=25−10 27
63 r= 15 27 r = 0.56 2.6.4 ความเท่ยี ง ความเทยี่ งของการวัด หมายถึง การวัดมคี วามอิสระ หรอื ไมม่ ี ความคลาดเคลอ่ื น ได้ผลการวัดท่ีสอดคลอ้ งกัน หรือหมายถึงระดับความสอดคลอ้ งของผลการวัด หรือ คาตอบของนกั เรียนทไี่ ดจ้ าก 1) การ ตอบคาถามเดียวกันสองครั้ง 2) การตอบคาถาม ท่ีคล้ายคลึงกันสองคาถามในเวลาเดียวกัน หรือในช่วงเวลาท่ีต่างกัน หรือ 3) การตรวจให้คะแนน คาตอบเดยี วกันของผู้ตรวจสองคน หรอื มากกว่า 2 คน ความเที่ยง หมายถึง ผลของการวัด หรือคะแนนซึ่งไม่ได้หมายถึงตัวเครื่องมือโดยตรง ประเด็นสาคัญของความเที่ยงคือ ผลการสอบวัด ต้องมีค่าคงเดิม เม่ือ ทาการวัดซ้าคณุ ลกั ษณะเดมิ ในเงือ่ นไขเดิมแตต่ ่างเวลา วธิ ีที่ใชใ้ นการหาค่าความเท่ียง มีหลาย ๆ วธิ ี แต่ในที่นี้จะนาเสนอการหา ค่าความเท่ยี งดว้ ย วธิ แี บ่งหลายส่วน (Multiparts) ซึ่งแยกพิจารณาเป็น 2 กรณคี อื ถา้ เครอ่ื งมือวดั ให้คะแนนแบบสองค่า เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถูกผดิ หรือ แบบทดสอบเดิมคา เมื่อตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน หรือแบบสอบถามบางเรื่องทใี่ ห้เลือกตอบวา่ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ ถา้ ใช่ให้ 1 ถ้าไมใ่ ช่ให้ 0 การหา คา่ ความเที่ยงคานวณไดจ้ ากสตู รคูเดอร์-ริชาร์ดสนั สตู ร 20 และ 21 ถ้าเครื่องมือวัดนั้นใหค้ ะแนนหลายค่า เช่น มาตรประเมิน (Rating Scale) บุคลิกภาพฉบับ หนึ่งให้คะแนนเป็นหลายค่า เมือ่ ขอ้ ความน้ันตรงตามลกั ษณะของผู้ตอบ จากน้อยสดุ ไปหามากสดุ จะได้คะแนนเป็น 1, 2, 3, 4 และ 5 หรือแบบทดสอบอัตนัยฉบับหนึ่ง มีคาถาม 5 ข้อ แต่ละข้อคะแนนเต็ม 10 คะแนน ดังน้ันแต่ละ ขอ้ สามารถให้คะแนนหลายค่าต้ังแต่ 0 ถึง 10 คะแนน การหาค่าความเที่ยงคานวณไดจ้ ากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (มหาวิทยาลยั สุโขทัย ธรรมาธริ าช. 2545 : 129-132) 1) กรณีท่ี 1 สูตร KR-20 ใช้สาหรับหาความเท่ียงของเครื่องมือท่ีให้คะแนน แบบสองค่า เป็น 0 หรอื 1 2) กรณที ่ี 2 สตู ร KR-21 เป็นสูตรทป่ี รับมาจากสตู ร KR-20 โดยสมมติวา่ ขอ้ สอบแตล่ ะข้อ มคี วามยากเท่ากัน
64 องค์ควำมรสู้ ู่กำรปฏิบัติ จากการศึกษาองค์ความร้ทู ี่กล่าวมาแล้ว ให้ท่านพิจารณานาความรมู้ าปรับเป็นแนวปฏิบตั ิ ในการจัดทา งานวิจัยของท่าน ดังน้ี 1. จากปัญหาต่าง ๆ ที่ทา่ นวิเคราะห์ ท่านคดิ วา่ จะเลอื กปัญหาใดมาดาเนนิ การแกไขก่อนเป็นอนั ดับแรก และมีแนวทางแกป้ ัญหาอยา่ งไร 2. นวัตกรรมท่ีทา่ นคิดว่าจะนามาแกป้ ัญหาได้ มีอะไรบา้ ง 3. เมือ่ ท่านไดน้ วตั กรรมที่คิดวา่ จะใชแ้ กป้ ญั หาแลว้ ทา่ นจะมีขนั้ ตอนการสรา้ งอยา่ งไร 4. ทา่ นมีวิซกี ารทจ่ี ะพัฒนานวัตกรรมให้มปี ระสิทธภิ าพ อยา่ งไร 5. นวัตกรรมท่ที า่ นนามาแกป้ ัญหา ท่านจะเลอื กเครอื่ งมือใดมาใช้ในการเกบ็ รวบรวม ข้อมูล
65 ตอนที่ 3 กำรใช้สถติ ิเพ่อื กำรวิเครำะห์ข้อมูล ควำมนำ หลังจากทไี่ ด้เกบ็ หรือรวบรวมขอ้ มูลและดาเนินการจดั ระเบียบข้อมลู ให้อยูใ่ นสภาพ ท่ีเรียบร้อยพร้อมที่จะ นาไปวิเคราะหไ์ ด้แลว้ งานในขนั้ ต่อไปของผู้วิจยั คือการตดั สินใจว่าจะนาสถิติ อะไรมาใช้ ซึ่งในการนีผ้ ้วู ิจัยจะต้อง ทราบตั้งแต่แรกวา่ ข้อมูลท่ีมอี ยใู่ นลักษณะใดและต้องการเสนอผล การวเิ คราะห์อะไร ข้อมลู ท่ีเก็บรวบรวมมาได้บางครง้ั ยังมรี ปู แบบทีก่ ระจัดกระจายเปน็ รายบุคคลไม่เป็นระบบ จาเปน็ ตอ้ งมี กระบวนการจดั กระทาข้อมูลเหล่าน้นั ให้เป็นระบบหรอื เปน็ หมวดหมู่เกิดเป็นสารสนเทศท่ี สามารถนาไปใช้ ประโยชน์ เพื่อสรปุ อ้างอิงไปยังประชากรต่อไป ศาสตร์ทถ่ี ูกนาเขา้ มาช่วยในข้ันตอน ของการตรวจสอบคุณภาพ ของเครื่องมือไปจนถึงการอ้างองิ เหล่านี้ เรียกวา่ สถติ ิ หัวข้อเรอ่ื งยอ่ ย 1. ความรูเ้ กีย่ วกบั สถิติ 2. สถิติสาหรบั การวิเคราะหเ์ พอื่ รายงานผลการวจิ ยั จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1. เพือ่ ใหผ้ ้ศู กึ ษามคี วามรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกับสถติ ิเพื่อใชว้ เิ คราะห์ข้อมูล 2. เพ่ือให้ผศู้ กึ ษาสามารถเลอื กใชส้ ถิตใิ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้ องค์ควำมรู้ 1. ควำมร้เู กยี่ วกบั สถติ ิ 1.1 ควำมหมำยของสถติ ิ คาวา่ สถิติ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมนั ว่า Statistics มีรากศัพทม์ าจาก stat หมายถึง ขอ้ มูล หรือสารสนเทศ ซ่งึ จะอานวยประโยชน์ต่อการบรหิ ารประเทศในด้านตา่ ง ๆ เช่น การ ทาสามะโนครัวเพ่ือจะทราบ จานวนพลเมอื งในประเทศทงั้ หมด ในสมัยตอ่ มาคาวา่ สถิติ ได้หมายถึง ตัวเลขหรอื ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวม เช่น จานวนผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน อัตราการเกิดของเด็กทารก ปริมาณน้าฝนในแต่ละปี เป็นต้น สถิติใน ความหมายที่กล่าวมาน้เี รยี กอีก อย่างหนงึ่ ว่า ข้อมลู ทางสถติ ิ (Statistical data) อีกความหมายหน่ึง สถิติ หมายถึง วิธีการท่ีว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การนาเสนอข้อมูล การ วิเคราะห์ข้อมูล และการดีความหมายข้อมูล สถิติในความหมายน้ีเป็นท้ัง วิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ เรียกว่า สถิติศาสตร์
66 1.1 สญั ลักษณ์ทำงสถติ ิ การใช้สัญลักษณใ์ นการนาเสนอข้อมูล แบ่งเปน็ สญั ลักษณ์ทเ่ี ป็นกลุม่ ตัวอย่าง ท่ีเรียกว่าคา่ สถติ ิ (statistics) และสัญลกั ษณ์ท่เี ป็นของประชากรท่ีเรียกวา่ ค่าพารามิเตอร์ (Parameter) มีการใชส้ ัญลักษณท์ ี่ แตกตา่ งกัน ดงั น้ี 1.2.1. พารามิเตอร์ (Parameter) คือ คา่ ต่าง ๆ ทรี่ วบรวมมาจากประชากรหรือ คานวณไดจ้ าก ประชากร ใช้อักษรกรกี เปน็ สญั ลักษณ์ ได้แก่ μ แทนคา่ คา่ เฉลี่ยเลขคณติ σ แทนค่า ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน σ2 แทนค่า ความแปรปรวน ������ แทนค่า สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ 1.2.2. คา่ สถติ ิ (Statistic) คือ ค่าต่าง ๆ ที่รวบรวมมาจากกลมุ่ ตวั อยา่ งหรือ คานวณไดจ้ ากกลุ่ม ตวั อย่าง ใช้ตัวภาษาอังกฤษเปน็ สัญลกั ษณ์ ได้แก่ Χ แทนคา่ คา่ เฉลีย่ เลขคณติ S หรอื S.D. แทนค่า ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน S2 แทนคา่ ความแปรปรวน r แทนค่า สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ การกลุ่มตัวอยา่ ง ภำพประกอบ 12 ความสัมพันธร์ ะหว่างค่าสถติ ิและคา่ พารามเิ ตอร์ ท่ีมา : บุญเรียง ขจรศลิ ป์ (2527 อา้ งถึงในยุทธ ไกรวรรณ์, 2545 : 180)
67 1.2 ระดับของกำรวดั ข้อมูล ในการใช้สถิติเพ่ือการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยน้ัน ผู้วิจัยจะต้องทราบระดับของ การวัด ซ่ึง ระดับของการวัดจะบอกลักษณะของข้อมูลในการวิจัย ระดับของการวัดจะแบ่งมาตราวัด (Scale) ออกเป็น 4 ระดับ คือ มาตราวัดแบบนามบัญญัติ (Nominal Scale) มาตราวัดแบบอันดับ (Ordinal Scale) มาตราวัดแบบ ชว่ ง (Interval Scale) และมาตรวัดแบบอตั ราส่วน (Ratio Scale) ดงั น้ี 1.2.1 มาตรานามบัญญตั ิ (Nominal scale) เป็นการบรรยายคุณสมบัติของขอ้ มลู เช่น เพศ แบ่งเป็น ชายกับหญิง หรืออาชีพ แบ่งเป็น รับราชการ รับจ้าง รัฐวิสาหกิจ อ่ืน ๆ เป็น ต้น จะ ใช้สถิติ วิเคราะห์ ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถี่ รอ้ ยละ ฐานนยิ ม ไมส่ ามารถหาค่าเฉลย่ี และค่าสว่ น เบย่ี งเบนมาตรฐานได้ 1.2.2 มาตราจดั อันดบั (Ordinal scale) เปน็ การนาเสนอข้อมูลที่สามารถจัด อันดบั จากมากไปหาน้อย หรือจากสูงไปหาต่า แต่ช่วงความห่าง ความต่าง หรือการจัดอันดับไม่เทา่ กัน เป็นตน้ เชน่ การ จัดอนั ดับเหรียญกีฬาในการแชง่ ขันจากลาดับที่ 1 ไปลาดับที่ 2 และไปลาดบั ท่ี 3 มจี านวนเหรยี ญไมเ่ ท่ากัน การจัดลาดับปญั หาความยากจน เป็นตน้ จะใชส้ ถติ ิวิเคราะห์ ไดแ้ ก่ การแจกแจง ความถี่ ร้อยละ ฐานนยิ ม มัธยฐาน ไมส่ ามารถหาค่าเฉล่ีย และค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานได้ 1.2.3 มาตรอนั ตรภาค (Interval scale) เปน็ การนาเสนอข้อมลู ท่สี ามารถจดั อันดับ จากมากไปหาน้อย หรือจากสูงไปหาต่า และช่วงความห่างแต่ละอันดับมีความต่างหรือความห่างเท่ากัน และ สามารถหาค่าความหา่ งหรือความตา่ งได้ เช่น คะแนนท่ีนักเรียนสอบได้จาก 1 คะแนนไป 2 คะแนน ไป 3 คะแนน มคี วามต่างเทา่ กัน เป็นตน้ แตไ่ ม่มศี นู ยแ์ ท้ เช่น นกั เรียนสอบได้ คะแนน 0 คะแนน ไมไ่ ด้หมายความวา่ นักเรียนไม่มีความร้เู ลย สถติ ิวิเคราะหส์ ามารถใชไ้ ด้ทกุ ค่า ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉลี่ยฐานนยิ ม มธั ยฐาน และคา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน เปน็ ต้น 1.2.4 มาตราอตั ราสว่ น (Ratio scale) เปน็ การนาเสนอขอ้ มลู ท่สี ามารถจดั อันดบั จากมากไปหาน้อย หรือจากสูงไปหาต่า และช่วงความห่างแต่ละอันดับมีความต่างหรือความห่าง เท่ากันและ สามารถหาค่าความห่างหรือความต่างได้ มีศูนย์แท้ เช่น รายได้ 0 บาท หมายถึง ไม่มี รายได้ ความยาว 0 เซนติเมตร คือไม่มีความยาว เป็นต้น ลักษณะข้อมูลเช่นเดียวกับมาตราอันตร ภาคต่างกันท่ีมีศูนย์แท้กับไม่มีศูนย์ แท้ สถิติวิเคราะห์สามารถใช้ได้ทุกค่า ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ฐานนิยม มัธยฐาน และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นตน้ 2. สถิตสิ ำหรับกำรวเิ ครำะหเ์ พ่อื รำยงำนผลกำรวิจยั สถิติสาหรบั การวิเคราะหข์ อ้ มลู เพื่อรายงานผล นามาใชส้ าหรับการวเิ คราะห์ผลหรือ วิเคราะหข์ ้อมูล ทีม่ ีลักษณะเป็นแบบตัวเลข เพื่อนาไปจัดทารายงานผลการวิจัย ตามปกติใชส้ ถิติ มวี ัตถปุ ระสงคท์ ีส่ าคัญเพอื่ 1. เพอื่ การบรรยาย พรรณนาหรือลงข้อสรุป 2. เพอ่ื เปรียบเทียบความคล้ายคลงึ กนั และความแตกต่างกนั 3. เพอ่ื บอกความสมั พันธ์หรืออธิบายความสัมพันธ์ 4. เพื่อทานายผลทจ่ี ะเกิดขน้ึ
68 สถิติท่ีใช้กันทางการวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สถิติเชิงบรรยาย (Descriptive Statistics) และสถิติเชงิ อ้างอิง ดงั น้ี 1. สถิติเชิงบรรยำย/พรรณนำ (Descriptive Statistics) หรือสถติ ิพื้นฐาน (Basic Statistics) สถิติ บรรยายใช้สาหรับการบรรยายลักษณะข้อมูลในการรายงานเฉพาะกลุ่มท่ีทารายงาน เท่านั้น ไม่สามารถไปอ้างอิง ถึงกลุ่มอ่ืน ๆ ได้ คือ ไม่มีการทดสอบเพื่ออ้างอิงไปยังประชากร กลุ่มอื่นได้ สถิติกลุ่มนี้ผู้วิจัยส่วนใหญ่จะใช้ในการ รายงานผล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ การวัดแนวโน้ม เข้าสู่ส่วนกลาง (ค่าตัวกลางเลขคณิต (Arithmetic Mean :������̅) ค่ามัธยฐาน (Median : Mdn) ค่าฐานนิยม (Mode : Mo) การวดั การกระจาย (พสิ ัย Range) ค่าส่วน เบ่ียงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation : S.D.) ค่าส่วนเบ่ียงเบนควอไทล์ (Quartile Deviation) ค่าส่วน เบี่ยงเบนเดไซด์ (Decide Deviation) ค่าสัมประสิทธ์ิการกระจาย และค่าสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) แบบตา่ ง ๆ สถิติบรรยายท่คี รูใชบ้ ่อย อาทิ ร้อยละ ค่าตัวกลางเลขคณิต (Arithmetic Mean) ค่า ส่วนเบีย่ งเบน มาตรฐาน (Standard Deviation ) สัมประสิทธ์ิการกระจาย คะแนนมาตรฐาน (standard score) และคะแนน มาตรฐานทีเฉล่ีย (Average T score) และค่าสหสัมพันธ์ จึงขอ นาเสนอการวเิ คราะหส์ ถติ ดิ งั กลา่ ว ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.1 กำรใช้สถิติท่ีเป็นค่ำเฉลี่ย (Mean) หรือค่าตัวกลางเลขคณิต (Arithmetic Mean : ������̅) จะมอี ยู่ 2 ลักษณะในการใช้ คอื 1.1.1 ในกรณีท่ีใช้คา่ เฉลีย่ กับกลุ่มตัวอย่าง (ไม่ใช่ประชากร) ก็จะใช้สตู ร ดังนี้ ������̅ = ∑ ������ ������ ������̅ แทน คะแนนเฉลย่ี ของกลมุ่ ตวั อย่าง X แทน คะแนน/ข้อมลู ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด n แทน จานวนของข้อมูล (นักเรยี น) ทั้งหมด ตวั อย่ำง ทาการทดสอบนักเรียน จานวน 5 คน ผลคะแนนแต่ละคนเปน็ ดังน้ี เลขท่ี คะแนน (X) 1 8 2 3 7 4 7 5 8 9 รวม (∑ ������) 39 แทนคา่ ������̅ = 39 5 จะได้ค่า ������̅ = 7.80
69 1.1.2 ในกรณที ีใ่ ชค้ ่าเฉลยี่ กบั กลมุ่ ประชากร ก็จะใช้สูตรดงั นี้ μ = ∑ ������ หรือ μ = ∑ ������������ ������ ������ μ แทน คะแนนเฉลี่ยของ X แทน คะแนน/ข้อมูล f แทน จานวนความถขี่ องคะแนน/ข้อมูล ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ∑ ������������ แทน ผลรวมท้งั หมดของผลคณู ระหวา่ งความถกี่ ับคะแนน/ข้อมูล N แทน จานวนของข้อมลู (นักเรียน) ทง้ั หมด สาหรบั การใช้คา่ เฉลี่ยท่เี กบ็ รวบรวมด้วยแบบสอบถามที่มลี ักษณะแบบประมาตรค่า มีนักวิชาการหลาย ท่านได้กาหนดเกณฑ์การตดั สินหรือแปลความหมายของคา่ เฉล่ยี ไวให้เลือกใชใ้ ห้ เหมาะสมกบั เปา้ หมายทผี่ ู้วิจยั ต้องการวัด ในทน่ี ขี้ อยกตวั อย่างเกณฑก์ ารตัดสนิ หรอื แปลความหมาย ของค่าเฉลย่ี ที่เก็บรวบรวมด้วยแบบมาตร ประมาณคา่ 5 ระดบั ท่ี ประคอง กรรณสตู (2535 : 72) กาหนดเกณฑ์การแปลผลหรอื แปลความหมาย ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถงึ มีเจตคต/ิ ความเห็นด้วยอยู่ในระดับมากท่ีสดุ 3.50 – 4.48 หมายถงึ มเี จตคติ/ความเห็นดว้ ยอย่ใู นระดับมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง มีเจตคต/ิ ความเหน็ ด้วยอย่ใู นระดบั ปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถงึ มเี จตคติ/ความเหน็ ดว้ ยอย่ใู นระดับน้อย 1.00 – 1.49 หมายถงึ มเี จตคต/ิ ความเห็นด้วยอยู่ในระดับนอ้ ยทส่ี ุด 1.2 กำรใชส้ ถติ ิทีเ่ ปน็ คำ่ สว่ นเบยี่ งเบนมำตรฐำน (Standard Deviation : S.D.) จะใช้คูก่ บั ค่าเฉล่ีย (Mean) จะใช้ 2 ลักษณะ คือ 1.2.1 ในกรณที ีใ่ ช้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : S.D.) กบั กลมุ่ ตัวอย่าง (ไม่ใชป่ ระชากร) โดยใชส้ ตู รดังน้ี
70 สตู รที่ 1 S.D. = √∑ ������2−(∑ ������)2 ������(������−1) S.D. แทน ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อยา่ ง X แทน คะแนนของนักเรียนแตล่ ะคนทไ่ี ด้ ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑ ������2 แทน ผลรวมของคะแนนท่ยี กกาลังสองท้งั หมด n แทน จานวนข้อมูล (นักเรยี น) ของกลุ่มตัวอย่าง ตวั อยำ่ ง นาคะแนนจากการทดสอบนักเรยี น 5 คน ขา้ งตน้ มาจัดเป็นตารางดังน้ี เลขที่ คะแนน (X) X2 1 8 64 2 7 49 3 7 49 4 8 64 5 9 81 รวม (Ex) = 39 EX2 = 307 แทนค่าในสูตร S.D. = √5(3075)(−5−(319))(39) = √15355(−41)521 จะได้ค่า S.D. = = √14 20 = √0.7 0.84
71 สตู รที่ 2 S.D. = √������ ∑ ������������2−(∑ ������������)2 สูตรท่ี 3 S.D. = ������(������−1) √������ ∑ ������2−(∑ ������)2 ������(������−1) S.D. แทน ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง X แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคนทไ่ี ด้ f แทน จานวนความถ่ี ∑ ������������ แทน ผลรวมทัง้ หมดของผลคณู ระหว่างความถ่กี บั คะแนน ∑ ������������2แทน ผลรวมทัง้ หมดของผลคณู ระหว่างความถี่กบั คะแนนท่ี ยกกาลงั สอง ∑ ������2 แทน ผลรวมท้ังหมดของผลคณู ระหวา่ งความถก่ี ับคะแนนที่ ยกกาลงั สอง n แทน จานวนข้อมูล (นักเรียน) ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ตัวอย่ำง ใช้คะแนนจากนักเรียน 5 คน ขา้ งตน้ มาจัดความถข่ี องคะแนน เปน็ ดงั น้ี คะแนน X2 ความถี่ (f) fx fx2 (X) 7 49 2 14 98 8 64 9 81 2 16 128 รวม 19 81 5 ∑ ������������ =39 ∑ ������������2 = 307 แทนค่าในสตู ร S.D. = √5(307)−(39)2 5(4−1) สูตรที่ 4 จะได้คา่ S.D. = 0.84 S.D. = √∑ (������−̅������̅̅)2 ������−1 S.D. แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของกล่มุ ตวั อย่าง X แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคนท่ไี ด้ ������̅ แทน จานวนความถี่
72 1.2.2 ในกรณีที่ใช้ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : S.D.) กับประชากร โดย ใชส้ ูตรดงั น้ี σ = √������ ∑ ������2−(∑ ������)2 สูตรท่ี 5 ������2 σ แทน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานของประชากร N แทน จานวนขอ้ มลู (นกั เรยี น) ของประชากร X แทน คะแนนของนักเรยี นแตล่ ะคนทีไ่ ด้ ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ∑ ������2 แทน ผลรวมของคะแนนทีย่ กกาลงั สองท้งั หมด สูตรท่ี 6 σ = √������ ∑(������−������)2 ������ σ แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของประชากร ������ แทน คะแนนเฉลย่ี ของประชากร N แทน จานวนขอ้ มูล (นักเรยี น) ของประชากร X แทน คะแนนของนักเรยี นแต่ละคนทไี่ ด้ ∑(������ − ������)2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด การแปลความหมายของคา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานน้ัน การกาหนดเกณฑ์การ แปลผลหรือแปล ความหมายนัน้ ไมแ่ นน่ อนขน้ึ อยู่กับคะแนนเต็ม แต่สามารถเปรียบเทียบให้เห็นว่า คะแนนชดุ นัน้ หรอื ข้อมูลชดุ น้นั แตกตา่ งกันมากแค่ไหน ถา้ ค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานมาก แสดงว่า ข้อมูลชุดนน้ั ประกอบด้วยคะแนนทม่ี คี ่าน้อย และคา่ มากปะปนกันอยู่ หรือขอ้ มลู มีความแตกต่างกนั มาก ถ้า ค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานนอ้ ย แสดงวา่ ขอ้ มลู ชดุ น้นั ประกอบดว้ ยคะแนนที่มคี า่ ใกล้เคยี งกัน ถา้ ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานเปน็ ศูนย์ แสดงวา่ ข้อมลู ชดุ นั้น ประกอบดว้ ยคะแนนที่มีค่าเท่ากันหมด 1.3 กำรใช้สถิตทิ ีเ่ ปน็ ค่ำสัมประสิทธ์ิกำรกระจำย (Coefficient of variation : C.V.) ใช้วเิ คราะห์หาคา่ กระจายของข้อมลู หรือคะแนนเชน่ เดียวกับคา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน แต่สามารถเปรียบเทยี บ กับเกณฑ์ที่เปน็ มาตรฐานได้ โดยใชส้ ูตร
73 C.V. = S.D. × 100 x̅ C.V. แทน ค่าสมั ประสทิ ธ์ิการกระจาย S.D. แทน ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของกลุม่ ตวั อย่าง X แทน คา่ เฉลย่ี เกณฑ์การตัดสินหรือแปลความหมายของคา่ สัมประสิทธ์ิการกระจายจะ กาหนดเกณฑ์การ แปลผลหรือแปลความหมาย ดงั น้ี ค่าสมั ประสทิ ธ์ิการกระจายน้อยกวา่ 10 หมายถงึ ดมี าก คา่ สัมประสทิ ธิ์การกระจายระหว่าง 10-15 หมายถึงดี ค่าสัมประสิทธิ์การกระจายมากกวา่ 15 หมายถงึ ตอ้ งปรบั ปรุง ตัวอย่ำง ผลการทดสอบก่อนและหลงั สอน ได้คะแนนเปน็ ดังนี้ เลขท่ี กอ่ นสอน หลงั สอน 14 8 26 9 35 10 ∑ ������ 15 27 ������̅ 5.0 9.0 S.D. 1.0 1.0 C.V. 20.00 11.11 แปลผล ต้องปรับปรงุ ดี 1.4 คะแนนมำตรฐำน (standard score) คะแนนที่ได้จากการสอบแต่ละคร้ังของผู้เรียนนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนแล้ว ยังข้ึนอยู่กับความยากง่ายของข้อสอบอีกด้วย ถ้า ข้อสอบยากมาก ผู้เรียนก็จะทาคะแนนไดไม่สูงนัก ในทางตรงข้ามถ้าข้อสอบ ง่ายมากๆ ผู้เรียนจะทาคะแนนได้สูง จากลักษณะดังกล่าว มีผลทาให้คะแนนที่ได้ในแต่ละวิชาซ่ึง ถึงแม้ว่าจะเป็นคะแนนของผู้เรียนกลุ่มเดียวกันก็ตาม ไม่สามารถนามาเปรยี บเทยี บกันได้ ดังน้ันในการที่จะนาคะแนนมาเปรียบเทียบกันให้ได้ความหมายนั้นทาได้โดยการ เปลี่ยน คะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐานซ่งึ คะแนนแตล่ ะชนิด จะมคี ่าเฉลี่ย และค่าเบีย่ งเบน มาตรฐานคงท่ีไม่วา่ จะเป็น ข้อมูลชุดใด (บุญเรียง ขจรศิลป็. 2549:57) โดยท่ัวไปการแปลงคะแนนดิบ ให้เป็นคะแนนมาตรฐานโดยอาศัย วธิ ีการทางสถิติและรักษาโค้งการแจกแจงเดิมไว้ไม่เปล่ียนแปลง คือ การแปลงคะแนนดิบเป็น คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) และคะแนนมาตรฐานที (T - score)
74 คะแนนมำตรฐำนซี (Z- score) มสี ูตรในการคานวณ ดังนี้ สูตร Z = (������−���̅̅���̅) ������.������. เมื่อ Z คือ คะแนนมาตรฐานซี (Z- score) X คอื คะแนนดบิ ������̅ คือ คะแนนเฉลีย่ S.D. คือ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ลกั ษณะของคะแนนมำตรฐำน Z 1. เป็นคะแนนมาตรฐานที่มีค่าเฉล่ียเปน็ ศูนย์และค่าเบยี่ งเบนมาตรฐานเป็นหนึง่ 2. คะแนนมาตรฐาน ที่เปน็ ลบ แสดงว่าคะแนนค่า น้ันต่ากว่าคะแนนเฉลี่ยและถา้ เป็นบวก แสดงว่าสงู กว่าค่าเฉลยี่ 3. การเปล่ียนคะแนนดิบใหเ้ ป็นคะแนนมาตรไม่จากดั คะแนนเต็มของวิชาตา่ งๆ โดยปกติ คะแนนมาตรฐาน Z จะอยู่ระหวา่ ง ± 3 คะแนนทีม่ ากกวา่ 3 หรือน้อยกว่า -3 มนี ้อยมาก แทบจะหาไม่ได้เลย 4. ลักษณะการกระจายเหมอื นกับการกระจายของคะแนนดิบ คะแนนมำตรฐำนที (T - score) เนื่องจากคะแนนมาตรฐาน Z จะมีคา่ ไดท้ ั้งบวกและลบ โดยมคี ่าเฉลี่ยเท่ากบั 0 ทา ใหเ้ กิด ความยุ่งยากในการดีความหมาย และมักจะเข้าใจผดิ โดยเฉพาะเมอื่ ได้คะแนนมาตรฐาน Z เป็น ลบ หรือ 0 ดงั น้ัน เพือ่ แก้ปัญหาข้อนี้ จึงนิยมแปลงคะแนนซี เป็นคะแนนมาตรฐาน T (T-score) โดย ให้มีคา่ เฉลย่ี เป็น 50 และความเบ่ียงเบนมาตรฐานเปน็ 10 เขียนเปน็ สูตรได้ดงั นีโ้ ดยใชส้ ูตร สตู ร T = 10Z + 50 เม่อื T คือ คะแนนมาตรฐานที (T-score) Z คอื คะแนนมาตรฐานซี (Z- score) ลกั ษณะของคะแนนมำตรฐำน T 1. มีลกั ษณะการกระจายเหมือนกับการกระจายของคะแนนดิบ 2. เป็นคะแนนมาตรฐานท่ีมีค่าเฉล่ยี 50 และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน 10
75 ตัวอย่ำง เด็กชายสมชาติสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 50 คะแนน ซ่ึงในกลุ่มนี้มี ค่าเฉล่ีย 45 คะแนนและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 5 อยากทราบว่าเด็กชายสมชาติได้คะแนน เม่ือแปลงเป็น Z-score แลว้ เท่าไร Z – score = (������−̅������̅̅) ������.������. = จะไดค้ ่า Z - score = 50−45 5 1 สมชาตไิ ด้คะแนนมาตรฐาน Z เทา่ กับ 1 ตัวอย่ำง สมชาติ สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ Z-score = 1 อยากทราบว่า สมชาติได้คะแนน เม่อื แปลงเป็น T-Score เทา่ ใด T - score = 10(1) + 50 = 60 สมศักดิ์ได้คะแนนมาตรฐาน T = 60 1.5 คะแนนทเี ฉลีย่ (Average T score) สถิติอกี ตวั ท่เี ก่ียวข้องกบั หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารให้ ขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษามวี ทิ ยฐานะและเล่ือนวทิ ยฐานะ คือ คะแนนที เฉลย่ี (Average T score) ซงึ่ มวี ิธกี ารแปลงคะแนนให้เป็นคะแนนทีเฉลี่ย (Average T score) ดังนี้ (สวสั ดกิ ารสานักงาน ก.ค.ศ. 2553 : 45) วิธกี ำรแปลงคะแนนให้เปน็ คะแนนทีเฉลย่ี (Average T score) 1. ให้นาคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลงั เรียนของนักเรียนทุกคนมาเรียงต่อ กัน ใหเ้ ป็น คะแนนชุดเดียวกัน (คะแนนเตม็ กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน อาจไม่เทา่ กนั ก็ได้) แล้วนาคะแนน มาบวกกันหาผลรวม 2. ให้นาคะแนนผลรวมจากข้อ 1 มาคานวณหาค่าเฉลี่ย (Mean) โดยหารด้วย จานวน นกั เรียนทัง้ หมด(จานวนนักเรยี นก่อนเรยี นและจานวนนกั เรยี นหลังเรียนรวมกัน) โดยใชส้ ูตร ������̅ = คะแนนผลรวมทงั้ หมด จานวนนักเรียนท้ังหมด (กรณที นี่ ักเรียนไมม่ ีคะแนนก่อนเรยี นหรือหลงั เรยี นอย่างใดอยา่ งหน่งึ หรอื ทัง้ 2 อยา่ งไมต่ ้องนามาคานวณ) 3. ให้นาคะแนนจากข้อ 1 มาคานวณหาค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใชส้ ูตร (S.D.) = √∑ ������2−(∑ ������)2 S.D. แทน ������(������−1) X แทน ∑ ������ แทน สว่ นเบีย่ งแบนมาตรฐานของกลุม่ ตวั อยา่ ง ∑ ������2 แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคนทไี่ ด้ n แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ผลรวมของคะแนนทีย่ กกาลังสองทั้งหมด จานวนขอ้ มูล (นักเรยี น) ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง
76 4. ใหน้ าคา่ เฉลี่ย (X) และค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) จากข้อ 2 และข้อ 3 มา คานวณหาค่ามาตรฐานซี (Z- score) โดยใช้สูตร Z = (������−̅������̅̅) ������.������. 5. ใหน้ าคะแนนคา่ มาตรฐานซี (Z- score) มาหาคะแนนที (T- score) โดยใชส้ ูตร T - score = 10Z +50 6. ใหน้ าคะแนนคะแนนที (T score) มาแยกเป็นคะแนน 2 ชุด ได้แก่ ชดุ คะแนน ก่อนเรียนและชุดคะแนนหลงั เรยี น 7. ให้คานวณหาคา่ ความแตกตา่ งของคะแนนที ชุดคะแนนก่อนเรียนและชุด คะแนนหลงั เรียน (ข้อ 6) เพ่อื หาค่าร้อยละของคะแนนทีหลังเรียนสงู กวา่ คะแนนทีก่อนเรียน หรือ ระหวา่ ง การทดสอบ 2 ครง้ั โดยใชส้ ูตร 7.1 หาความแตกตา่ งของคะแนนทีหลังเรียนและคะแนนทีก่อนเรียน XT-post - X T-pre 7.2 หาความแตกต่างของคะแนนทีปกี ารศึกษาปัจจุบนั และปีการศึกษาท่ีแล้ว X T ปีปจั จุบนั - X T ปีทีแ่ ล้ว กรณคี ะแนนปลายภาคเรียน ใชว้ ิธีการเดียวกบั ข้อ 7.2 8. ให้นาคะแนนทเี ฉล่ยี ท่ีเพม่ิ ขนึ้ มาคานวณหาคา่ ร้อยละ เช่น คะแนนทีเฉลยี่ ก่อนเรยี นเท่ากับ 60 คะแนนทีเฉล่ียหลงั เรยี น เทา่ กับ 80 คะแนนทเี ฉลย่ี เพิ่มข้ึน เท่ากบั 20 คดิ เป็น รอ้ ยละ 33.33 แล้วเปรยี บเทยี บค่าร้อยละของคะแนนทีเฉลีย่ ที่สงู ขนึ้ ตามเกณฑ์ ท่ี ก.ค.ศ. กาหนด ดังน้ี 8.1 นาผลคะแนนค่าทีเฉล่ยี ก่อนเรยี นเทยี บกบั คะแนนคา่ ทีเฉลย่ี หลงั เรียน วา่ ต่างกันร้อยละเท่าไร แล้วนาผลต่างทไ่ี ด้มาเทียบกับระดบั ตามเกณฑ์การใหค้ ะแนนที่ ก.ค.ศ. กาหนด (สวัสดิการ สานักงาน ก.ค.ศ., 2553 : 164) ดังนี้ ระดบั 4 คา่ ทเี ฉลี่ยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น รอ้ ยละ 20 ของคะแนนก่อนเรยี น
77 ระดับ 3 ค่าทีเฉล่ียผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น ไม่น้อยกวา่ ร้อย ละ 15 แตไ่ มถ่ ึงร้อยละ 20 ของคะแนนกอ่ นเรียน ระดับ 2 ค่าทีเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น ไม่น้อยกวา่ ร้อย ละ 10 แต่ไมถ่ งึ รอ้ ยละ 15 ของคะแนนกอ่ นเรียน ระดับ 1 ค่าทีเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ต่ากว่าร้อยละ 10 ของคะแนนกอ่ นเรยี น 8.2 นาผลคะแนนค่าทเี ฉลี่ยปลายภาคเรยี น/ปลายปกี ารศึกษาท่ีแลว้ เทยี บกับ คะแนนค่าทีเฉลย่ี ปลายภาคเรียน/ปลายปกี ารศึกษาปัจจุบัน ว่าตา่ งกันร้อยละเทา่ ไร แลว้ นา ผลตา่ งท่ไี ด้มาเทยี บ กับระดบั ตามเกณฑ์การให้คะแนนที่ ก.ค.ศ. กาหนด ดังนี้ ระดับ 4 ค่าทีเฉลยี่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของผ้เู รียนปลายภาคเรียน/ ปลายปี การศกึ ษาปัจจบุ ันสงู กวา่ ปลายภาคเรยี น/ปลายปีการศึกษาท่แี ลว้ ไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 10 ระดบั 3 ค่าทีเฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของผู้เรียนปลายภาคเรียน/ ปลายปี การศกึ ษาปจั จุบนั สูงกวา่ ปลายภาคเรยี น/ปลายปีการศึกษาท่ีแลว้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 แตไ่ ม่ ถงึ ร้อยละ 10 ระดบั 2 คา่ ทเี ฉลย่ี ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรยี นปลายภาคเรียน/ ปลายปี การศึกษาปัจจบุ ันสูงกวา่ ปลายภาคเรยี น/ปลายปีการศึกษาทแ่ี ลว้ ไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 4 แต่ไม่ ถงึ ร้อยละ 7 ระดับ 1 คา่ ทเี ฉลยี่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของผเู้ รยี นปลายภาคเรียน/ ปลายปี การศกึ ษาปัจจบุ ันสูงกวา่ ปลายภาคเรียน/ปลายปีการศึกษาท่ีแล้วตา่ กวา่ ร้อยละ 4 กรณที ่ีคะแนนทเี ฉล่ียไมเ่ พิ่มข้ึนหรอื ลดลง จะไมไ่ ด้คะแนนข้อนี้ ตัวอย่ำง วธิ กี ารคานวณค่าคะแนนทเี ฉลี่ยวชิ าคณิตศาสตร์ ของนักเรียน จานวน 10 คน ตามวิธีของก.ค.ศ. 8 ขอ้ ดงั นี้ เลขที่/คนท่ี คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน 1 3 7 2 2 8 3 4 9 4 3 7 5 2 9 6 5 6 7 4 7 8 2 6 9 3 7 10 1 8
78 ข้อ 1. นาคะแนนกอ่ นเรยี นและคะแนนหลัง เรียนของนักเรยี นทุกคนมาเรยี งต่อกัน ให้เปน็ คะแนนชดุ เดยี วกนั แลว้ นาคะแนนมาบวกกนั หาผลรวม เลขที่/คนที่ เรียงคะแนนก่อนเรียนและ คะแนนหลังเรยี นเปน็ ชุดเดยี วกัน 13 22 34 43 52 65 74 82 93 10 1 17 28 39 47 59 66 77 86 97 10 8 ผลรวม 103 ข้อ 2. นาคะแนนผลรวมจากข้อ 1 มาหาค่าเฉลย่ี จะได้ ค่าเฉลีย่ (������̅) = 103/20 = 5.15 ขอ้ 3. ให้นาคะแนนจากข้อ 1 มาคานวณหาค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จะได้ ค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) = 2.560325
79 ขอ้ 4 - ข้อ 7 ใหน้ าคา่ เฉลีย่ (X) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จากข้อ 2 และข้อ 3 มาคานวณหาค่า มาตรฐานซี (Z- score) คะแนนมาตรฐานที (T - score) และคานวณหาค่าความ แตกต่างของคะแนนที ชุดคะแนนก่อนเรยี นและชุดคะแนนหลัง เลขที่/คนท่ี เรยี งคะแนนก่อนเรียนและคะแนน หลงั Z- score T - score เรยี นเป็นชดุ เดยี วกนั 1 3 -0.8397372 41.60262797 2 2 -1.23031265 37.69687353 3 4 -0.44916176 45.5083824 4 3 -0.8397372 41.60262797 5 2 -1.23031265 37.69687353 6 5 -0.05858632 49.41413683 7 4 -0.44916176 45.5083824 8 2 -1.23031265 37.69687353 9 3 -0.8397372 41.60262797 10 1 -1.62088809 33.7911191 คะแนน T- score เฉล่ยี ก่อนเรยี น 41.21 1 7 0.72256457 57.2256457 2 8 1.113140014 61.13140014 3 9 1.503715457 65.03715457 4 7 0.72256457 57.2256457 5 9 1.503715457 65.03715457 6 6 0.331989127 53.31989127 7 7 0.72256457 57.2256457 8 6 0.331989127 53.31989127 9 7 0.72256457 57.2256457 10 8 1.113140014 61.13140014 คะแนน T - score เฉล่ยี หลังเรียน 58.79 ควำมแตกตำ่ งของคะแนนที 17.58 ขอ้ 8. ให้นาคะแนนทีเฉลี่ยท่เี พ่มิ ขึ้นมาคานวณหาคา่ ร้อยละ แล้วเปรียบเทยี บคา่ ร้อยละของ คะแนนที เฉลย่ี ที่สงู ขึ้น ตามเกณฑ์ ท่ี ก.ค.ศ. กาหนด ดังนี้ คะแนน T- score เฉล่ยี กอ่ นเรียน = 41.21 คะแนนทีเฉลี่ยท่เี พม่ิ ขน้ึ = 17.58 คะแนนทเี พิ่มขนึ้ ร้อยละ = (17.58*100)/41.21 = 42.65
80 นาคะแนนทีที่เพิม่ ขึ้นร้อยละ 42.65 ไปเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ ท่ี ก.ค.ศ. กาหนด ได้คะแนน ระดับ 4 (คา่ ทีเฉลย่ี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น ร้อยละ 20 ของคะแนนกอ่ น เรยี น) 1.6 สหสัมพันธ์ ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation ) เป็นสถิติที่ใช้หาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร หรือระหว่างข้อมูล โดยท่ีข้อมูลดังกล่าวได้จากส่ิงเดียวกันเป็นคู่ๆ เช่น หาค่า สหสัมพันธ์ระหว่างเจตคติวิชา คณิตศาสตร์ กับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หาความสัมพันธ์ระหว่างขวญั และกาลงั ใจในการทางานกับประสิทธ์ิภาพ ในการทางาน เป็นต้น ตัวเลขที่ใช้บอกปริมาณ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว เรียกสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation coefficient) ค่า สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ โดยท่ัวไปนิยมใช้สัญลักษณ์ r แทนสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ของกลุ่มตัวอย่าง และ ρ แทนสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของประชากร สหสัมพันธ์มีหลายชนิด การจะเลือกใช้ สหสัมพันธ์แต่ละชนิดข้ึนอยู่กับองค์ประกอบและเง่ือนไขของแต่ละตัว และในการวัดความสัมพันธ์แต่ ละแบบ จะตอ้ งมีการทดสอบนยั สาคัญกอ่ น จึงจะสรปุ ไดว้ ่า ตวั แปรใดมคี วามสมั พนั ธ์กนั จรงิ หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ลกั ษณะที่สำคญั ของสหสมั พันธ์ 1. ข้อมูลท้ัง 2 ชดุ จะต้องมาจากกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน หรอื มาจากกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2 กลมุ่ ทมี่ ี ลกั ษณะจับคู่กนั โดยใชห้ ลกั การทีเ่ ฉพาะเจาะจง อาทิ สามี-ภรรยา หรอื พ่อ-ลกู เปน็ ตน้ 2. ค่าท่ีไดจ้ ากการคานวณเรียกวา่ สัมประสทิ ธิ์สหสมั พันธ์ ทีม่ ีค่าอยรู่ ะหวา่ ง -1 ถงึ 1 3. ขอ้ มลู มีความสัมพนั ธก์ นั ทางบวก หมายถึง ถา้ ขอ้ มลู ชดุ หน่งึ มคี า่ สูงขน้ึ ขอ้ มูลอีก ชุดหนึ่ง ก็มี คา่ สงู ข้นึ ดว้ ย หรอื ถ้าข้อมลู ชดุ หน่ึงมีคา่ ตา่ ลงแล้วข้อมลู อีกชุดหนง่ึ กจ็ ะมีคา่ ต่าลงดว้ ย(ตามกนั ) 4. ข้อมลู มีความสมั พันธ์กนั ทางลบ หมายถงึ ถา้ ขอ้ มลู ชุดหน่งึ มีค่าสูงขึ้นแลว้ ข้อมลู อีกชดุ หนง่ึ จะมีค่าตา่ ลง(ขัดแยง้ กัน) 5. ข้อมูลมีความสัมพนั ธเ์ ปน็ ศนู ย์ หมายถึง ข้อมลู ชุดหนึง่ จะสูงข้ึนหรอื ต่าลงจะไม่ เกย่ี วข้อง กับการสงู ขน้ึ หรือต่าลงของขอ้ มูลอกี ชุดหนึ่ง เกณฑพ์ ิจำรณำคำสมั ประสิทธิ์สหสมั พันธ์ การพจิ ารณาว่า ตวั แปร 2 ตวั แปร มีความสัมพนั ธ์กันหรือไม่ และมีความสัมพนั ธ์ กนั ในระดบั ใด พิจารณาไดจ้ ากค่าสัมประสทิ ธ์ิสหสมั พันธ์ซึง่ มีเกณฑก์ ว้างๆ ดังนี้ (Runyon and Other. 1996 : 238) -0.29 ถึง -0.10 หรือ 0.10 ถงึ 0.29 มีความสมั พันธก์ นั ในระดบั นอ้ ย -0.49 ถึง -0.30 หรอื 0.30 ถงึ 0.49 มคี วามสัมพันธก์ นั ในระดับปานกลาง -1.00 ถงึ -0.50 หรือ 0.50 ถงึ 1.00 มีความสัมพันธก์ นั ในระดับสูง
81 ประเภทสถิตใิ นกำรหำค่ำสหสมั พนั ธ์ ในการศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรในการวิจัยใด ๆ จาแนกได้ดงั นี้ (Runyon and Harber,1980 : 119) 1. การศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปร 2 ตวั ทม่ี ีวตั ถุประสงคข์ องการวิจัยวา่ ตวั แปร ทั้ง สองมคี วามสัมพันธก์ นั หรือไม่ จาแนกตามระดบั ของขอ้ มลู ดังน้ี 1.1 ถ้าเป็นข้อมูลในระดับอันตรภาคหรอื อัตราสว่ น ให้ใช้การหาสมั ประสทิ ธ์ิ สหสมั พนั ธ์ ของเพยี ร์สนั (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) 1.2 ถา้ เป็นข้อมูลในระดบั เรยี งลาดับ ใหใ้ ช้การหาสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของ สเปียร์แมน (The Spearman Rank Order Correlation Coefficient) 1.3 ถ้าเป็นข้อมูลในระดบั นามบัญญตั ิ ใหใ้ ช้การหาคา่ ไครส์ แควร์(22-test) 1.4 ถา้ ข้อมลู ชุดหนงึ่ เป็นอนั ตรภาค ส่วนข้อมลู อีกชดุ หนึ่งเปน็ นามบญั ญัตทิ ี่ กาหนด เพยี ง 2 ค่า ใหใ้ ช้การหาสัมประสทิ ธิ์แบบพอยทไบซีเรยี ล 1.5 ถา้ ศึกษาความสัมพนั ธ์ของตวั แปร 2 ตัว แตม่ ีการควบคุมตัวแปรทจี่ ะมา เกย่ี วข้อง ควรใช้การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบส่วนย่อย(Partial Correlation Coefficient) 2. การศึกษาความสัมพนั ธ์ของตัวแปรตง้ั แต่ 2 ตัวขึน้ ไป ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ควรเลือกใช้ การหาคา่ สัมประสิทธิ์พหุคูณ(Multiple Correlation Coefficient) ในทนี่ ้ีจะนาเสนอวิธหี าความสัมพันธร์ ะหวา่ งตวั แปร 2 ตวั ทมี่ กี ารนาไปใช้ อยา่ งกวา้ งขวาง ทีส่ ุด คอื สหสมั พันธ์แบบเพียรส์ นั (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) (ชศู รี วงศร์ ัตนะ, 2553 : 317) ค่ำสัมประสทิ ธ์ิสหสัมพันธเ์ พยี ร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) การคานวณหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์เพียรสัน หรือบางครั้งเรียกว่า สหสัมพันธ์ อย่างง่าย (Simple Correlation) โดยใช้สัญลักษณ์ r เป็นการหาความสัมพันธ์ของ ข้อมูลที่ระดับการวัดของตัวแปรต้ังแต่ มาตราอันตรภาค ถึง มาตราอัตราส่วน โดยการหา ความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรน้ันมักจะใช้สัญลักษณ์ของตัวแปร เป็นตวั แปร X และ Y มสี ูตรในการ คานวณ ดงั น้ี 1. สตู รทคี่ านวณหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสมั พันธ์โดยใช้คะแนนมาตรฐาน โดยเรา ดดั แปลง คะแนน X และ Y จากคะแนนดบิ ใหเ้ ป็นคะแนนมาตรฐาน (Zx,Zy) เสียก่อน rxy = ∑ ������������ ������������ ������ เมือ่ rxy คือ สัมประสิทธิ์สหสมั พันธ์ ระหว่างตวั แปร X และตวั แปร Y Zx, Z y.คอื คะแนนมาตรฐาน X และคะแนนมาตรฐาน Y ตามลาดับ n คือ จานวนกล่มุ ตัวอย่าง
82 2. สูตรในรูปคะแนนดบิ ������ ∑ ������������− ∑ ������ ∑ ������ rxy = √⌊������ ∑ ������2−(∑ ������)2⌋−⌊������ ∑ ������2−(∑ ������)2⌋ เมือ่ rxy แทน สมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพนั ธ์ แทน ผลรวมของผลคณู ระหวา่ ง X กับ Y ∑ ������������ ∑ ������ แทน ผลรวมของคะแนน X ∑ ������ ∑ ������2 แทน ผลรวมของคะแนน Y ∑ ������2 แทน ผลรวมของคะแนน X แตล่ ะตัวยกกาลงั สอง แทน ผลรวมของคะแนน Y แตล่ ะตัวยกกาลังสอง ตวั อยำ่ ง จงหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างคะแนนวิชาคณติ ศาสตร์และวิชาวทิ ยาศาสตร์ จากผลการสอบของนักเรียน 10 คน ดังนี้ เลขท่ี คณิตศำสตร์ (X) วิทยำศำสตร์ (Y) X2 y2 XY 1 24 21 576 441 504 2 21 18 441 324 378 3 18 20 324 400 360 4 29 25 841 625 725 5 15 18 225 324 270 6 20 19 400 361 380 7 26 24 676 576 624 8 28 23 784 529 644 9 17 12 289 144 204 10 25 20 625 400 500 ∑ ������ = 223 ∑ ������= 200 ∑ ������2 = 5181 ∑ ������2 = 4124 ∑ ������������=4589
83 แทนค่า rxy = ������ ∑ ������������− ∑ ������ ∑ ������ rxy = ⌊������ ∑ ������2−(∑ ������) 2⌋⌊������ ∑ ������2−(∑ ������)2⌋ = 10(4589)−(223)(200) √⌊10(5181)−(223)2⌋⌊10(4124)−(200)2⌋ 0.80 แสดงว่าคะแนนวิชาคณิตศาสตร์และวชิ าวิทยาศาสตร์มีความสมั พนั ธก์ นั ทางบวกใน ระดับสงู กำรทดสอบนยั สำคัญของคำสัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์แบบเพยี ร์สัน ในการทดสอบน้นั เป็นการทดสอบว่าตวั แปรสองตวั มีความสมั พนั ธก์ นั เชิงเสน้ กันหรือไม่ ซ่ึง เราจะใช้ ตวั อกั ษรภาษากรกี คือ ������ ( rho ) แทน r ซงึ่ เขียนเปน็ สมมติฐานทางสถิติ ได้ดังนี้ สมมติฐำนแบบสองทำง H0 : ������ = 0 (ตัวแปรสองตัวไมม่ ีความสัมพันธ์กนั ) H1: ������ ≠ 0 (ตัวแปรสองตัวมคี วามสัมพนั ธ์กนั ) สมมติฐำนกำรแบบทำงเดียว H0: ������ = 0 (ตวั แปรสองตัวไม่มีความสัมพนั ธก์ นั ) H1: ������ > 0 (ตวั แปรสองตัวมีความสัมพันธก์ นั ทางบวก) หรอื H0: ������ = 0 (ตัวแปรสองตัวไม่มีความสมั พันธก์ ัน) H1: ������ < 0 (ตัวแปรสองตวั มีความสัมพนั ธ์กนั ทางบวก) ตัวอยำ่ ง - ความวิตกกงั วลมีความสัมพันธ์กบั ความเครียดในการทางาน H0 : ������ =0 H1 : ������ * 0 - ขวญั และกาลังใจในการทางานมคี วามสัมพันธท์ างบวกกบั ผลการปฏิบัตงิ าน H0 : ������ = 0 H1: ������ >0 - ความเครยี ดในการทางานมีความสัมพันธ์ทางลบกับความพึงพอใจในการทางาน H0 : ������ = 0 H1: ������ <0 สาหรบั การทดสอบนยั สาคญั ของสัมประสทิ ธิ์แบบเพียรส์ นั สามารถทาการทดสอบได้ 2 วิธี
84 1. ใชก้ ารทดสอบคา่ ที ซ่ึงมีสูตร ดงั นี้ ������������������−������ , df = n-2 จากสูตร t = √|−������������������2 ������−2 หรือ t = ������������������ √|−���������−���������2������2 , df = n-2 เมื่อ r คือ คา่ สมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พันธแ์ บบเพยี รส์ ัน ρ (Pho) คือ ค่าสัมประสทิ ธ์ิสหสัมพนั ธ์ของประชากร n คอื จานวนกลุม่ ตัวอยา่ ง df คือ ชน้ั ความเปน็ อสิ ระ จากตัวอย่างข้างตน้ สามารถทดสอบความมนี ยั สาคญั ไดด้ ังนี้ - สมมติฐานการวจิ ัย H0: ������ = 0 (คะแนนวชิ าคณติ ศาสตรแ์ ละวิชาวิทยาศาสตร์ไมม่ ีความสมั พนั ธก์ ัน) H1: ������ ≠0 (คะแนนวิชาคณิตศาสตร์และวิชาวิทยาศาสตรม์ ีความสมั พันธก์ ัน) จากสตู ร t = ������������������ √|−���������−���������2������2 = 0.80√|−1(00.−802)2 จากการเปดิ ตารางการแจกแจงทสี าหรับการทดสอบสองทาง ถ้าระดบั ความมนี ัยสาคัญ 0.05 และชั้น ความเป็นอิสระ 10-2 = 8 จะได้คา่ t เท่ากับ 2.306 ซงึ่ คา่ t ทคี่ านวณได้ 3.77 มากกว่าค่า วกิ ฤต (คา่ ท่ีไปเทียบน้ี ไมต่ ้องคดิ เครือ่ งหมาย) ดังนั้นผลการทดสอบมีนยั สาคัญจึงปฏเิ สธสมมตฐิ าน H0 ยอมรบั H1แสดงว่าคะแนนวิชา คณิตศาสตร์กบั วิชาวทิ ยาศาสตรม์ คี วามสัมพันธก์ ันจริง 2. ใช้ตารางสาเรจ็ รปู ค่าวกิ ฤตของสัมประสิทธ์ิสหสมั พนั ธ์แบบเพียรส์ นั ในการทดสอบ นยั สาคญั ผวู้ ิจัย ตอ้ งหาค่าวกิ ฤตของ r จากตาราง ซึง่ ลกั ษณะของตารางในส่วนของตวั ตารางด้านบน เป็นระดับความมีนยั สาคัญ สาหรับทางเดยี ว ดา้ นลา่ งเปน็ ระดับความมนี ัยสาคญั สาหรบั การทดสอบ
85 แบบสองทาง และแนวตัง้ ดา้ นซ้ายสุดของตารางเปน็ ชนั้ ความเปน็ อสิ ระเมื่อหาค่าวกิ ฤตของ r ไดแ้ ล้ว ใหน้ ามา เปรียบเทยี บกับ r ท่คี านวณได้(คา่ ที่ไปเทยี บน้ีไม่ต้องคดิ เคร่ืองหมาย) ผลการทดสอบมี 2 กรณี ดงั นี้ 2.1 มีนัยสาคัญถ้า r ท่ีคานวณได้มากกว่าค่าวิกฤต r ที่เปิดตาราง แสดงว่าตัวแปรท้ัง สองน้ันมี ความสมั พันธก์ ันจรงิ 2.2 ไม่มีนัยสาคัญถ้า r ท่ีคานวณได้น้อยกว่าค่าวิกฤต r ท่ีเปิดจากตาราง แสดงว่าตัว แปรทั้งสอง นัน้ ไมม่ คี วามสมั พันธ์กนั จริง ในกรณีตัวอย่างข้างต้น สามารถทดสอบนัยสาคัญโดยใช้ตารางสาเร็จรูปค่าวิกฤตของ สัมประสิทธ์ิ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันได้โดยการพิจารณาช้ันความเป็นอิสระเท่ากับ 8 ที่ระดับความมี นัยสาคัญ 0.05 สาหรับ การทดสอบแบบสองทาง ได้ค่า r = 0.632 ซ่ึงน้อยกว่าค่า r ที่คานวณได้ ดังน้ันค่า r ท่ีคานวณได้ 0.80 จึงมี นัยสาคัญ แสดงวา่ คะแนนวชิ าคณิตศาสตรก์ ับวิชาวิทยาศาสตร์มี ความสมั พนั ธก์ ันจริง 2. สถติ เิ ซงิ อนมุ ำน หรือสรปุ อ้ำงอิง (Inferential Statistics) หรือสถติ ทิ ดสอบ สถิติสรุปอ้างอิงหรือสถิติทดสอบจะใช้สาหรับการทดสอบสมมติฐานและ การประมาณ คา่ พารามิเตอร์ (Parameter) สามารถอา้ งองิ ไปยังคา่ พารามเิ ตอร์ของประชากรได้ ประกอบด้วย 2.1 สถิติทดสอบที (t-test) จะใช้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของข้อมูล 2 กลุ่ม/ห้อง/ชุด อาจเป็นกลุ่ม เดียวกัน ทดสอบ 2 ครั้ง (ทดสอบก่อนและทดสอบหลัง) หรือข้อมูล 2 กลุ่ม/ห้อง/ชุด เป็นค่าสถิติท่ีครูใช้มากที่สุด และมีสตู รในการวเิ คราะห์ 3 สูตร ข้นึ อยู่กับขอ้ ตกลงหรอื เง่ือนไขของแต่ ละคา่ สถติ ินั้น ๆ ดังนี้ 2.1.1 สถิติทดสอบที (t-test) หรือ dependent t-test หรือ Match pair t-test จะใช้ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของข้อมูล 2 กลุ่ม/ห้อง/ชุด ที่ไม่เป็นอิสระกัน หรือประชากรกลุ่มเดียวกัน ทดสอบหรือวัด 2 ครง้ั คอื มกี ารทดสอบกอ่ นและทดสอบหลัง โดยใช้สตู รดังนี้ t= ∑ ������ √������ ∑ ������2−(∑ ������)2 ������−| D แทน ผลต่างของคะแนนก่อนการทดลองกบั หลัง การทดลองแตล่ ะคน ∑ ������ แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนนก่อนการทดลองกับ หลงั การทดสอบของทงั้ กลมุ่ ∑ ������2 แทน ผลรวมกาลังสองของผลต่างของคะแนนก่อน การทดลองกับหลงั การทดลองของทั้งกลุ่ม n แทน จานวนกลมุ่ ตวั อยา่ งหรือจานวนคู่
86 ตัวอยำ่ ง ผลการทดสอบก่อนและหลงั การสอน ไดค้ ะแนนเปน็ ดงั นี้ เลขที่ ก่อนสอน หลังสอน D (หลัง-ก่อน) D2 4 16 148 3 9 5 25 269 ∑ ������= 12 ∑ ������2=50 3 5 10 ∑ ������ 15 27 ������̅ 5.0 9.0 S.D. 1.0 1.0 แทนคา่ ในสตู ร t= ∑ ������ √������ ∑ ������2−(∑ ������ )2 ������−1 = 12 √3(50)−(12)2 3−1 = 12 √150−2 144 = 12 √62 = 12 √3 = 12 1.732 = 6.9284 จากนั้นนาค่า t ที่คานวณไดไปเปรียบเทียบค่าในตาราง t เพ่ือกาหนดระดับความมั่นใจ ซ่ึง ภาษาสถิติเรียกว่า ระดับนัยสาคัญ และโดยท่ัวไปจะกาหนดไว้ 2 ระดับ คือ ท่ี .05 (เปิดโอกาสให้ผิดพลาดได้ 5 ครั้ง และมีความมั่นใจได้ 95 คร้ัง) หรือ .01 (เปิดโอกาสให้ ผิดพลาดได้ 1 คร้ัง และมีความมั่นใจได้ 99 คร้ัง) และ เป็นการทดสอบแบบมีทิศทาง (one tailed test) หรือแบบไม่กาหนดทิศทาง (two tailed test) ณ ช้ันของความ เป็นอิสระ (degree of freedom) ที่ n-1 ม่ันคือ ท่ี 2 ถ้าหากค่า t ท่ีคานวณได้มากกว่า t ในตาราง สรุปได้ว่าผล หลงั สอนแตกต่างจากกอ่ นสอน
87 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หรือ .05 หรือสูงกว่าก่อนสอนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ ระดับ .01 หรือ .05 ซึง่ หมายความว่า ส่อื ทาให้นกั เรียนมคี ะแนนสงู ขึ้น สาหรับในครั้งน้ีเป็นการทดสอบแบบมีทิศทางท่ีระดับนัยสาคัญ .05 ได้ค่า t เท่ากับ 2.920 ดังนั้น สรปุ ได้ว่าหลังการสอนนักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสงู กวา่ กอ่ นสอนอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2.1.2. สถิติทดสอบที (t-test) หรือ t-independent ประเภท pooled variance t-test จะใช้ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของข้อมูล 2 กลุ่ม/ห้อง/ชุด ที่เป็นอิสระจากกัน และมีค่า ความแปรปรวนของประชากรของ ทั้ง 2 กลมุ่ เท่ากนั หรือ 2 กลมุ่ มีขนาด/จานวนเทา่ กัน โดยใช้สูตร ดงั น้ี t= ������̅1−������̅2 √���������2���(������11+������12)) ������̅1 แทน คา่ เฉลี่ยของกล่มุ ทดลอง/กลมุ่ ท่ี 1 ������̅2 แทน คา่ เฉลยี่ ของกลมุ่ ควบคุม/กล่มุ ท่ี 2 ���������2��� แทน ค่าความแปรปรวนรว่ มของท้งั สองกลุม่ ������������ แทน จานวนนักเรียนของกลุ่มทดลอง/กลุม่ ที่ 1 ������������ แทน จานวนนกั เรยี นของกลมุ่ ควบคมุ /กลุ่มท่ี 2 เมื่อ ���������2��� = (������������+������)������������������+(������������−������)������������������ ������������+������������−������ ตัวอย่ำง ผลการทดสอบหลังการสอนของนักเรยี น 2 ห้อง ท่ีเรยี นด้วยวิธีท่ีแตกต่างกนั จานวน นักเรียนแต่ละห้อง เทา่ กนั ในท่ีน้ขี อยกตวั อย่างนกั เรียนเพียงห้องละ 5 คน เพอื่ สะดวกในการคดิ คานวณ ไดค้ ะแนนเป็นดังนี้
88 ห้อง 1 (ห้องทดลอง) หอ้ ง 2 (ห้องควบคุม) เลขที่ คะแนน เลขท่ี คะแนน 1917 2 10 2 8 3837 4847 5959 ∑ ������1 44 ∑ ������2 38 ������̅1 8.80 ������̅2 7.60 ������. ������.1 0.70 ������. ������.2 0.80 ������12 0.84 s2 0.89 คานวณหาค่าความแปรปรวนรว่ มของทั้งสองกลุ่ม ���������2��� ���������2��� = (5−1)0.84+(5−1)0.89 5+5−2 = (4)0.84+(4)0.89 8 = 3.36+3.56 8 = 6.92 8 = 0.865 คานวณหาค่า t = 8.80−7.60 √0.865(51+15) = 1.20 √0.865(52) = 1.20 √0.346 = 1.20 0.588 = 2.041
89 จากนั้นนาค่า t ท่ีคานวณได้ไปเปรียบเทียบค่าในตาราง t และกาหนดระดับนัยสาคัญ โดยท่ัวไปจะ กาหนดไว้ 2 ระดับ คือ ท่ี .05 หรือ .01 และเป็นการทดสอบแบบมีทิศทาง (one tailed) หรือแบบไม่กาหนด ทิศทาง (two tailed) ณ ช้ันของความเป็นอิสระ (degree of freedom) ที่ n1+n2-2 นั่นคือ 8 ถ้าหากค่า t ท่ี คานวณได้มากกว่า t ในตาราง สรุปได้ว่าผลการสอนห้อง 1 (ห้องทดลอง) แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 หรือ .05 หรอื สูงกว่าอยา่ งมนี ยั สาคัญทาง สถิติที่ระดบั .01 หรือ .05 ห้อง 2 (หอ้ งควบคุม) สาหรบั ในครงั้ น้เี ป็นการทดสอบแบบมีทศิ ทางทร่ี ะดบั นัยสาคัญ .05 ไดค้ ่า t เทา่ กบั 1.860 ซง่ึ t ที่คานวณไดส้ งู กวา่ ดงั นนั้ สรุปได้วา่ นกั เรยี นกลมุ่ ทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสงู กว่ากลุ่ม ควบคมุ อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 2.1.3 สถติ ิทดสอบที (t-test) หรอื t-independent ประเภท separated t-test จะใชเ้ ปรียบเทยี บคา่ เฉลี่ยของข้อมลู 2 กลมุ่ /ห้อง/ชดุ ท่เี ปน็ อสิ ระจากกัน และมีค่าความแปรปรวน ของประชากรของทง้ั 2 กลมุ่ ไม่เท่ากนั โดยใชส้ ตู รดังนี้ t = ������̅1−������̅2 √������������211+������������222 ������1̅ แทน ค่าเฉลย่ี ของกลุ่มทดลอง/กลมุ่ ท่ี 1 ������̅2 แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มควบคมุ /กลุม่ ที่ 2 ������12 แทน ค่าความแปรปรวนรว่ มของกลมุ่ ทดลอง ������22 แทน ค่าความแปรปรวนรว่ มของกลุ่มควบคุม ������1 แทน จานวนนกั เรยี นของกลุ่มทดลอง/กล่มุ ที่ 1 ������2 แทน จานวนนกั เรยี นของกล่มุ ควบคมุ /กลมุ่ ท่ี 2
90 ตวั อย่ำง ผลการทดสอบหลังการสอนของนักเรยี น 2 ห้อง ท่เี รียนดว้ ยวธิ ีทแ่ี ตกตา่ งกัน จานวน นักเรยี นแตล่ ะห้อง ไมเ่ ทา่ กนั ได้คะแนนเปน็ ดังน้ี ห้อง 1 (ห้องทดลอง) หอ้ ง 2 (หอ้ งควบคุม) เลขที่ คะแนน เลขท่ี คะแนน 19 2 10 17 38 48 28 59 37 47 59 67 78 ∑ ������1 44 ∑ ������2 53 ������1̅ 8.80 ������̅2 7.57 ������. ������.1 0.70 ������. ������.2 0.79 ������12 0.84 ������22 0.62 หลักการเลือกใช้ t-independent ทถี่ กู ต้อง จะตอ้ งตรวจสอบความแปรปรวนของ ทั้ง 2 กลมุ่ ก่อนว่า มคี วามแตกต่างกนั หรือไม่ ถ้าไม่มีความแตกตา่ งกันให้ใช้สถิตทิ ดสอบประเภท pooled variance t-test แตถ่ า้ มีความแตกต่างกนั ใหใ้ ช้สถิติทดสอบประเภท separated t-test การวิเคราะห์โดยใช้ separated t-test = ������̅1−������̅2 √(������������211+������������222) = 8.80−7.57 √0.584+0.762 = 1.23 √5.883+53.10 = 1.23 √83.958 = 1.23 √0.257 = 1.23 0.507 = 2.426
91 สาหรบั การทดสอบคร้ังน้ีเปน็ การทดสอบแบบมที ิศทางทรี่ ะดบั นยั สาคัญ .05 ชัน้ ของความเป็น อิสระ (degree of freedom) ที่ n1+n2-2 น่ันคือ ที่ 10 ได้ค่า t เท่ากับ 1.812 ซึ่ง t ท่ีคานวณได้สูงกว่า ดังน้ัน สรปุ ได้ว่า นกั เรยี นกลมุ่ ทดลองมคี ะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสงู กวา่ กลมุ่ ควบคุม อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 2.2 สถติ ิทดสอบซี (Z-test) จะใชเ้ ปรียบเทยี บค่าเฉล่ยี ของข้อมลู 2 กล่มุ /ห้อง/ชดุ อาจเปน็ กลุม่ เดียวกนั ทดสอบ 2 ครัง้ (ทดสอบก่อนและทดสอบหลัง) หรือขอ้ มลู 2 กลมุ่ /หอ้ ง/ชุด แต่เชน่ เดียวกบั การทดสอบด้วยที (t-test) แต่ใช้กับจานวนกลมุ่ ตวั อย่างทมี่ ีขนาดใหญ่ หรอื ต้องทราบ ค่าความแปรปรวนของประชากร 2.3 สถิติทดสอบเอฟ (F-test) จะใช้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของข้อมูลต้ังแต่ 3 ชุด/กลุ่ม/ ห้องข้ึนไป การทดสอบเอฟนัน้ จะวเิ คราะหด์ ว้ ยความแปรปรวนแบบทางเดยี ว (One Way ANOVA) หรือสองทาง (Two Way ANOVA) 2.4 สถิติทดสอบไคสแควร์ (Chi-Square) ใช้ในการอธิบายถึงความสมั พันธ์ระหว่าง ข้อมูลเป็นชุด ๆ เป็นกลุ่ม ๆ ท่มี คี วามเปน็ อิสระจากกนั ลกั ษณะมาตรวัดข้อมูลเป็นประเภทมาตรา นามบัญญัติและมาตรอนั ดบั จากการนาเสนอสถติ สิ าหรบั วิเคราะห์ข้อมลู ข้างต้น จึงขอเสนอตัวอย่างการวดั และตวั อย่างสถิตทิ ีเ่ หมาะสมสาหรับวเิ คราะหข์ ้อมูลตามระดับการวัดของข้อมูล ดังน้ี ตำรำง 3 ระดบั ข้อมลู ตัวอย่างการวัด และตวั อย่างสถติ ทิ ่ีเหมาะสม ระดับขอ้ มลู ตัวอยำ่ งกำรวดั ตวั อยำ่ งสถิตทิ ่ีเหมำะสม นำมบัญญตั ิ เพศ ศาสนา เช้ือชาติ ระดับการศึกษา จานวนนบั Nominal สถานภาพสมรส หมายเลขเสื้อของ นกั ฟตุ บอลอาชีพ ภาคภมู ิศาสตร์ ห้องเรียน การแจกแจงความล่ี Scales โรงเรยี นหมูบ่ ้าน ตาบล ฐานนยิ ม เรยี งลำดับ ผลการประกวดนางงาม ยศทางทหาร Ordinal Scales ลาดับความสงู คา่ รอ้ ยละ ลาดับความน่าสนใจ จานวนนับ ลาดับความสาคัญ การแจกแจงความถ่ี ลาดับความชอบ ฐานนยิ ม มธั ยฐาน คา่ ร้อยละ
อันตรภำค ระดับอุณหภูมิ 92 Interval Scales คะแนนจากแบบทดสอบ คะแนนจาก แบบสอบถามทีเ่ ป็นมาตราสว่ นประมาณ จานวนนบั การแจกแจงความถ่ี ค่า ( Rating Scales) ฐานนยิ ม มัธยฐาน ค่าเฉล่ยี เลขคณิต สว่ นเบยี่ งเบน มาตรฐาน อตั รำสว่ น ส่วนสูง น้าหนัก เวลา อายุ ความเรว็ ค่ารอ้ ยละ การเปรยี บเทยี บ Ratio Scales (มีศนู ย์แท้) ดว้ ยสถิตทิ ดสอบ ใช้สถิตดิ งั ที่กล่าวมาขา้ งต้นได้ ทุกชนิด 3. วิธกี ำรเก็บรวบรวมข้อมูล การเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น ครูนกั วจิ ยั อาจใช้วิธีการเก็บรวบรวมและ เคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ใหส้ อดคล้องเหมาะสมกับชนดิ ของข้อมูลได้ดังตาราง 4 ตำรำง 4 แสดงตัวอยา่ ง เครือ่ งมอื เก็บรวบรวมข้อมลู ทีส่ อดคลอ้ งกับวิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมลู และชนิดของขอ้ มูล ชนดิ ของขอ้ มูล วิธีเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เครือ่ งมอื เก็บรวบรวมขอ้ มลู แบบทดสอบ 1. ขอ้ มูลดา้ นความรู้ความเข้าใจ การทดสอบ แบบทดสอบ 2. ขอ้ มูลดา้ นความสามารถ ทักษะ การทดสอบ แบบประเมินทักษะ การปฏิบตั ิงานและผลงาน การประเมนิ ทักษะ 3. ขอ้ มูลดา้ นพฤติกรรม การประเมินพฤติกรรม แบบประเมนิ พฤติกรรม - พฤติกรรมการเรียน กกาารรสปงัรเะกเตมนิ ผลงาน แแบบบบปสงัรเะกเตมนิ ผลงาน การตรวจสอบประวัติ แบบบันทึก/ตรวจสอบรายการ - ลกั ษณะนิสัยในการเรยี น การสอบถาม แบบสอบ - พฤติกรรมการทางาน การสัมภาษณ์ แบบสัมภาษณ์ การประเมนิ พฤติกรรม แบบประเมินพฤติกรรม 4. ข้อ- มลลูกั ดษา้ณนะคนวิสามัยใคนดิ กเหารน็ ทางาน ความรู้สกึ การสอบถาม การวัดเจตคติ การแบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ - ความคดิ เห็น วดั คา่ นิยม การสมั ภาษณ์ แบบวัดคา่ นิยม แบบสมั ภาษณ์ - ความรสู้ กึ - เจตคติ - ค่านยิ ม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177