ดอยสุเทพ-ปุย โมเดล การจัดการไฟป่า หมอกควัน บนความรว่ มมอื
ดอยสุเทพ-ปุย โมเดล การจดั การไฟปา่ หมอกควนั บนความรว่ มมอื
บทนำ� แต่ละปีทรัพยากรป่าไม้ของไทยได้รับความเสียหายจากไฟป่าปีละหลายหม่ืนไร่ ซ่ึงในช่วงท่ีผ่านมา ไ ฟ ป่ า ท า ง ภ า ค เ ห นื อ ไ ด้ ส่ ง ผ ล ใ ห้ ป ริ ม า ณ ฝุ่ น ล ะ อ อ ง ใ น อ า ก า ศ เ กิ น ค่ า ม า ต ร ฐ า น จ น ก ล่ า ว ไ ด้ ว่ า ภาคเหนือ คือ พ้นื ท่วี ิกฤตท่ตี ้องเผชิญกับปัญหาไฟป่าหมอกควันมากท่สี ุดในประเทศไทย ส่งผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน จากวิกฤตท่ีเกิดข้ึน ทำ�ให้ปัญหา ไฟป่าหมอกควันกลายเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการการทำ�งาน เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมเปิดโอกาสและช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และสร้างสรรค์ส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม ในรูปแบบของ “อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมหมู่บ้าน” ซ่ึงเป็นกลไกท่ี มีประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง อนุรักษ์ และฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในท้องถ่ิน ต้ังแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้เครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนเข้ามา มีบทบาทสำ�คัญในการขับเคล่ือนกลไกประชารัฐในการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และได้ บูรณาการความร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช และกรมป่าไม้ โดยกำ�หนด ให้อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ - ปุยและพ้ืนท่ีโดยรอบ เป็นพ้ืนท่ีนำ�ร่องแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน ในรูปแบบของพ้ืนท่ีบูรณาการความร่วมมือ โดยประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้อง ภายใต้ช่ือ “โครงการเสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน ในพ้ืนท่ี อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และพ้ืนท่ีโดยรอบ” เพ่ือคล่ีคลายสถานการณ์ไฟป่าหมอกควัน และลดปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งคนเมอื ง และคนบนดอยซง่ึ มกั ถกู กลา่ วหาวา่ เปน็ ตน้ เหตขุ องปญั หา การทำ�งานอย่างเข้มข้นในการเสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน ได้ทำ�ให้เกิด ผลสำ�เร็จท่ีมิใช่เพียงแค่ การลดปัญหาหมอกควันไฟป่า และคืนฟ้าใสให้คนเชียงใหม่เท่าน้ัน แต่ยังได้ เช่ือมร้อยความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือของภาคีเครือข่ายให้สามารถทำ�งานร่วมกันได้ โดยปราศจากม่านหมอกแห่งมายาคติระหว่างคนกลุ่มต่างๆ และยังต่อยอดไปสู่การทำ�งานด้าน ส่งิ แวดล้อมในประเด็นท่กี ว้างขวางข้นึ จนได้รับการพิจารณายกย่องจากสำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการ (ก.พ.ร.) ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี ใหเ้ ขา้ รบั รางวลั โครงการทม่ี ี “ความเปน็ เลศิ ดา้ นการบรหิ าร ราชการแบบมีส่วนร่วม” ประจำ�ปี พ.ศ. 2560 ประเภทรางวัลพัฒนาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดบั ดเี ดน่ ในหนงั สอื ดอยสเุ ทพ-ปยุ โมเดล การจดั การไฟปา่ หมอกควนั บนความรว่ มมอื เปน็ การถา่ ยทอดเรอ่ื งราว การทำ�งานของภาคีเครือข่ายอาสาสมัครกล่มุ ต่างๆ ท่เี ข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน รวมถงึ ไดถ้ อดบทเรยี นและประสบการณจ์ ากการท�ำ งานอยา่ งเปน็ ขน้ั เปน็ ตอน ดว้ ยหวงั วา่ รหสั ลบั สคู่ วามส�ำ เรจ็ ของการจดั การกบั ปญั หาไฟปา่ หมอกควนั และการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม บนหลกั การ บรู ณาการความรว่ มมอื จะเปน็ แนวทางใหก้ บั พน้ื ทอ่ี น่ื ๆ ไดน้ �ำ ไปใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป
สารบัญ 01 | พน้ื ทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธใ์ิ นปา่ วเิ ศษ 7 02 | ในวนั ทพ่ี ญานาคโอบลอ้ มบา้ นพอ่ 17 03 | ประชารฐั รว่ มใจอนรุ กั ษ์ พทิ กั ษผ์ นื ปา่ ลดปญั หาหมอกควนั 24 04 | จากไฟปา่ สกู่ ารอนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มรอบดอยสเุ ทพ-ปยุ 71 05 | ความส�ำ เรจ็ จากเครอื ขา่ ยรว่ มมอื 83 06 | ถอดรหสั ความส�ำ เรจ็ 92
6
01 พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ใ น ป่ า ว ิ เ ศ ษ หา่ งจากตวั เมอื งเชยี งใหมเ่ พยี งแคส่ บิ กวา่ กโิ ลเมตร เปน็ ทต่ี ง้ั ของดอยสเุ ทพ-ปยุ ภเู ขาศกั ดส์ิ ทิ ธส์ิ ญั ลักษณ์ คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาแต่คร้ังอดีต ด้วยบริเวณเชิงดอยเป็นแหล่งโบราณสถานและสถานท่ีสำ�คัญ ทางประวัติศาสตร์สมัยล้านนา และเม่ือเลยขึ้นไปบนดอยอีกนิดยังเป็นท่ีต้ังขององค์พระธาตุดอยสุเทพ ศาสนสถานสำ�คัญซ่ึงเป็นท่ีเคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นท่ีตั้งของ พระตำ�หนักภูพิงคราชนิเวศน์ท่ีประทับของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะท่ี เสด็จพระราชดำ�เนินแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ บำ�บดั ทกุ ขบ์ ำ�รุงสขุ ให้แก่ราษฎรในเขตภาคเหนือ ด้วยเหตุนี้ ความผกู พนั ลกึ ซ้งึ ของดอยสเุ ทพ-ปยุ กบั คนเชยี งใหม่ จงึ มิใช่เพียงแคส่ ญั ลักษณท์ างประวตั ิศาสตร์ หรอื ศนู ย์รวมจติ ใจของพทุ ธศาสนกิ ชนเทา่ นัน้ หากแต่ยังเปน็ บ้านของพอ่ สญั ลักษณ์ของความรักและความผูกพนั ระหว่างพระมหากษัตริยก์ บั ประชาชน 7
8
ดอยสเุ ทพ-ปยุ ปจั จบุ นั มฐี านะเปน็ อทุ ยานแหง่ ชาติ พ่อหลวงจอดรถตรงลานกว้าง ก่อนที่จะพา ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 40 ปี สมัยที่ดอยสูง ครอบคลุมพ้ืนท่ี อ.เมอื ง อ.แม่รมิ อ.หางดง และ ทุกคนเดนิ ไปตามเส้นทางเล็กๆ กลางป่า เพยี งไม่ ทางภาคเหนือของไทยยังเป็นแหล่งปลูกฝิ่น อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มีพ้ืนที่ 163,162.5 ไร่ กี่เมตรจากท่ีจอดรถก็มาถึงจุดชมวิวที่เบ้ืองหน้า ขนาดใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พี่น้อง ลักษณะเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เต็มไปด้วย คือ แนวสันเขาปกคลุมไปด้วยผืนป่าเขียวคร้ึม ชาวไทยภูเขาบนพื้นท่ีสูงมีชีวิตความเป็นอยู่ ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งต้นน้�ำของ ซ่ึงเป็นจุดแบ่งเขตอ�ำเภอแม่ริมและอ�ำเภอเมือง ท่ียากจนข้นแค้น ห่างไกลความเจริญและ ล�ำห้วยหลายสายท่ีไหลลงสู่แม่น้�ำปิง มีดอยปุย ในอดีตบริเวณน้ีเคยเป็นที่ปลูกฝิ่น และ การพัฒนา อาศัยเลี้ยงชีพด้วยการลักลอบ เป็นยอดเขาที่สูงท่ีสุด (1,685 เมตรจากระดับ ไร่เล่ือนลอยของชาวไทยภูเขา และตรงจุดน้ีเอง ป ลู ก ฝ ิ ่ น แ ล ะ ท�ำ ไ ร ่ เ ลื่ อ น ล อ ย ม า โ ด ย ต ล อ ด น�้ำทะเล) นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านชาวไทยภูเขา ที่พ่อหลวงไตรภพ จะพาเราย้อนอดีตกลับไป แล้วเมอ่ื วันหนง่ึ ทเี่ ฮลิคอปเตอร์พระทน่ี ัง่ น�ำเสดจ็ เผาม้งอาศัยอยู่ในจุดต่างๆ ของอุทยานฯ ด้วย ค้นหารากเหง้าความสัมพันธ์ระหว่าง คน ป่า พระราชด�ำเนินในหลวงรัชกาลที่ 9 มาถึง และวันน้ีบ้านดอยปุย คือ จุดหมายท่ีเราจะไป และพระราชา ที่มาของพ้ืนที่ศักดิ์สิทธ์ิใน ถ่ินทุรกันดารห่างไกลบนดอยสูง พระองค์ เยี่ยมเยือน เรามีนัดกับพ่อหลวงไตรภพ แซ่ย่าง ป่าวิเศษของชาวม้ง ท ร ง เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ชี วิ ต พ ว ก เ ข า เ ห ล ่ า น้ั น ใ ห ้ ผปู้ ระสานงานเครอื ขา่ ยสงิ่ แวดลอ้ มมง้ ดอยสเุ ทพ-ปยุ อยู่ดีกินดีด้วยการเปล่ียนไร่ฝิ่นให้เป็นไม้ดอก เพ่ือมาตามหาความหมายท่ีแท้จริงของค�ำว่า ไมผ้ ลเมืองหนาวมากมาย พื้นที่ศักด์ิสิทธ์ิในป่าวิเศษบนดอยลูกน้ี เส้นทาง ขึ้ น ด อ ย ที่ ใ ช ้ กั น อ ยู ่ ต อ น นี้ เ พิ่ ง ส ร ้ า ง ขึ้ น เ มื่ อ ประมาณ 80 ปี ที่ผ่านมาเพ่ืออ�ำนวยความสะดวก ให้กับประชาชนที่ต้องการข้ึนไปกราบนมัสการ พระธาตุดอยสุเทพ ถัดจากพระธาตุข้ึนมา ตามเส้นทางหลักเพียงไม่กี่กิโลเมตร ก็จะถึง พระต�ำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ซึ่งสร้างข้ึนเม่ือ ปี 2504 เลยจากพระต�ำหนักไปเพียงเล็กน้อย ถนนลาดยางขนาดมาตรฐานลดขนาดลงเหลือ เพยี งทางแคบๆ และคดเค้ียว ตะวันบ่ายคล้อย ลับเหลี่ยมเขา แสงแดดที่เคยอุ่น กลับค่อยๆ อ่อนแรง แทนที่ด้วยสายลมเย็นของฤดูเหมันต์ รถของพอ่ หลวงน�ำทางเราลดั เลาะไตร่ ะดบั ความสงู ไปตามสันภูสู่ยอดดอยปุย อากาศท่ีลดต่�ำลง บวกกับลมหนาวท่ีพัดแรงผ่านมาตามช่องเขา ยิ่งท�ำใหอ้ ุณหภูมลิ ดต�่ำลงอย่างรวดเร็ว 9
พ่อหลวงไตรภพชใี้ ห้ดูสันเขาท่ีอย่ตู รงหน้าซึ่งเป็น ยงิ่ ยศ หวงั วนวฒั น์ อดตี พอ่ หลวงแหง่ บา้ นดอยปยุ เขตรอยตอ่ ของ อ.แมร่ มิ เล่าว่า ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านท่ีมีโอกาสเข้าเฝ้า รับเสด็จได้เล่าให้ลูกหลานฟังถึงเหตุการณ์ “เมอื่ กอ่ นหมู่บา้ นของเราไม่ได้ตงั้ อยู่ทบ่ี ริเวณบา้ นดอยปุยเช่นทกุ วนั น้ีหรอกนะ ครั้งนนั้ ว่า ตอนน้นั เราตงั้ รกรากอยูท่ ่บี า้ นปางป่าคา (ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชยี งใหม่) เพ่งิ อพยพมาอยทู่ ีน่ ี้ก็เม่ือซัก 60 ปี กอ่ น เป็นเพราะวา่ ประมาณปี 2496 – 2497 “เมอ่ื พระองคเ์ สดจ็ มาทหี่ มบู่ า้ น ทรงสอบถามชีวิต มีกลมุ่ จนี ฮ่อ ที่ลกั ลอบค้าฝิ่นเขา้ มาอาศยั ปะปนอยู่กบั ชาวบา้ น ท�ำ ให้ทางราชการ ต้องสง่ ทหารเข้ามาปราบปรามยาเสพตดิ ทหี่ มบู่ า้ นของเรา ท�ำ ให้พวกเราชาวม้ง ความเป็นอย่ขู องชาวบ้านด้วยความสนพระทัย ตอ้ งอพยพมาต้งั บ้านเรือนอยู่ตรงที่เรียกว่า “ปางขม”ุ จากน้ันก็กระจายกันไป ทา่ นทรงถามว่า เรามคี วามเดอื ดรอ้ นอะไรบ้าง ตั้งเป็นหมู่บ้านตามมอ่ นตา่ งๆ บนดอยลกู นี้ อย่างเช่น บา้ นแมส่ าใหม่ พอพระองค์ทรงไดข้ อ้ มลู ตรงน้ัน ทรงเสนอวา่ บ้านแม่สาน้อย บ้านผานกกก (อ.แม่รมิ ) บ้านขุนชา่ งเคี่ยน และบ้านดอยปยุ ถา้ พระองค์จะนำ�อาชีพอย่างอนื่ มาสง่ เสรมิ ตรงท่เี ราอยูก่ ันตอนนี้แหละ ทดแทนการปลกู ฝ่นิ ชาวบ้านจะยอมรับหรอื ไม่ เมื่อก่อนชาวม้งดอยปุยมีชีวิตความเป็นอยู่ พวกเรากเ็ ห็นด้วย เพราะเราเองกร็ วู้ ่า การทำ�ไรเ่ ลื่อนลอยและการปลกู ฝิน่ มนั ทำ�ลาย ”ท่ียากจนข้นแค้น ไม่ต่างจากชนเผ่าชาติพันธุ์ สภาพแวดลอ้ มและก็ผิดกฎหมาย พระองคท์ รง เข้ามาชว่ ยพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของพวกเรา บนพ้ืนท่ีสูงทั่วไป ที่ต้องเลี้ยงชีพด้วยการแผ้ว ถางป่า เพ่ือปลูกฝิ่นและท�ำไร่เล่ือนลอย ในปี ให้ดีขนึ้ พระองค์พระราชทานพนั ธ์ลุ ้นิ จี่ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จประพาสต้นบน ใหช้ าวบ้านปลกู แนะน�ำ เรื่องของการปลูก ดอยปุยเป็นคร้ังแรก โครงการหลวงซ่ึงเป็น พืชเศรษฐกิจ เชน่ พืชผัก ทส่ี ามารถสง่ ขาย โครงการส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในตลาดได้ แลว้ ยงั บอกด้วยว่า พืชพวกนี้ ก็ถือก�ำเนิดขึ้น เพ่ือสร้างทางเลือกใหม่ใน การประกอบอาชีพให้กับชาวไทยภูเขาในแถบ จะส่งไปขายทว่ั ประเทศ และนำ�ไปขาย ภาคเหนือทดแทนการปลูกฝิ่น ข้อมูลจาก ยังตา่ งประเทศได้ดว้ ย หนังสือ The Peach and the Poppy เล่าถึงเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 ” กับชาวม้งบ้านดอยปุยไว้ว่า เม่ือคราวท่ี พระตําหนักภูพิงคราชนิเวศน์สร้างเสร็จใหม่ๆ พระองค์เสรจ็ มาประทับและทรงงานท่พี ระต�ำหนัก เม่ือพระองค์ทรงทราบข่าวว่ามีหมู่บ้านชาวม้ง ท่ีปลูกฝิ่นตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระต�ำหนักที่ประทับ พระองค์จึงเสด็จพระราชด�ำเนินด้วยพระบาท ไปยังหม่บู ้านแห่งน้นั 10
11
มีอยู่ช่วงหนึ่งท่ีทางราชการมีแนวคิดท่ีจะย้าย หลังจากนั้นเป็นต้นมาโครงการพัฒนาคุณภาพ นอกจากน้ีพระองค์ทรงมีรับสั่งให้ฝ่ายปกครอง ชาวบ้านดอยปุยลงจากดอย พ่อหลวงเมธาพันธ์ ชีวิตในด้านต่างๆ ก็เข้ามาที่บ้านดอยปุยอย่าง ท�ำการส�ำรวจส�ำมะโนประชากรและให้สัญชาติ เฟื่องฟูกิจการ ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันของบ้าน ไม่ขาดสาย พระองค์ทรงพระราชทานการศึกษา ไทยแก่ชาวบ้าน และในปี 2510 พระองค์ได้ ดอยปุย บอกต่อถึงส่ิงที่พ่อของเขาได้เคยเล่าให้ ให้กับเด็กๆ ในชุมชน โดยจัดตั้ง “โรงเรียน พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจัดตั้ง ฟังวา่ เจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1” เปิดท�ำการสอนมา เป็นกองทุนหมู่บ้านส�ำหรับใช้ในการพัฒนาและ ตั้งแต่ปี 2507 จนถึงปัจจุบัน นอกจากน้ี ส่งเสริมอาชีพค้าขายให้กับชาวบ้าน ในปี 2512 “ในหลวงรชั กาลที่ 9 มีพระราชด�ำ รสั ออกมาวา่ พ ร ะ อ ง ค ์ ยั ง ท ร ง แ น ะ น�ำ ใ ห ้ ช า ว บ ้ า น หั น ม า พระองค์ยังได้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ถ้าย้ายชาวบ้านดอยปยุ แลว้ เนี่ย ปลูกผลไม้ โดยพระราชทานพันธุ์ล้ินจี่ให้กับ อีกจ�ำนวนสองแสนบาทส�ำหรับซ้ือท่ีดิน เพ่ือใช้ ท่านจะอยูก่ บั ใคร ใหเ้ ขาอยเู่ ปน็ เพอื่ นบ้านเรานะดีแลว้ ชาวบ้านครัวเรือนละ 16 ต้น จากน้ันชาวบ้าน เป็นพ้ืนที่ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาบนพ้ืนท่ีสูง จึ ง หั น ม า ป ลู ก ไ ม ้ ผ ล แ ท น ก า ร ป ลู ก ฝ ิ ่ น กั น แต่เดิมพื้นท่ีบริเวณนั้น สมเด็จพระเจ้า ตั้งแตน่ น้ั มาเรากอ็ ยู่ตรงนี้ มากข้ึน จนเมื่อประมาณปี 2515 ฝิ่นก็หมดไป พ่ีนางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง อยู่กับในหลวงมาตลอด จากบ้านดอยปยุ พ่อหลวงไตรภพ เลา่ ว่า นราธิวาสราชนครินทร์ทรงโปรดที่จะให้สร้าง เป็นสวนกุหลาบ แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรง หลงั จากที่ในหลวงมาสร้างโรงเรยี น เล็งเห็นว่าการปลูกกุหลาบต้องใช้สารเคมีมาก ในหมบู่ ้านแลว้ พระองค์ก็เสดจ็ ซ่ึงไม่เหมาะที่จะน�ำมาปลูกบริเวณแหล่งต้นน้�ำ เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนของสารเคมีลงสู่ มาเยี่ยมเยยี นราษฎรทน่ี ีเ้ กอื บทุกปี แหล่งน้�ำธรรมชาติได้ พระองค์ทรงใช้พื้นที่ บางครัง้ สมเดจ็ พระราชินี และ บ ริ เ ว ณ ดั ง ก ล ่ า ว เ ป ็ น แ ป ล ง ท ด ล อ ง ส�ำ ห รั บ พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อน่ื ๆ ปลูกพลับ ท้อ บ๊วย ลิ้นจ่ีและสาสี จนในที่สุด พื ช เ มื อ ง ห น า ว ที่ พ ร ะ อ ง ค ์ ท ร ง ท ด ล อ ง ป ลู ก ก็เสด็จมาดว้ ย บางทีกน็ �ำ วัว นำ�หมู ก็ได้น�ำมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับ น�ำ แพะ มาพระราชทาน มาส่งเสริมให้ ชาวไทยภูเขาบนพื้นท่ีสูง นอกจากบ้านดอยปุย ชาวบา้ นปลกู นั่น ปลกู น่ี เพอื่ สร้างรายได้ จะเป็นจุดเร่ิมต้นของโครงการหลวง ที่นี่ยัง เ ป ็ น ท่ี ตั้ ง ข อ ง โ ร ง เ รี ย น แ ห ่ ง แ ร ก ท่ี ใ น ห ล ว ง ” รชั กาลท่ี 9 ทรงพระราชทานใหก้ บั ชาวเขา และเปน็ จุ ด ก�ำ เ นิ ด ข อ ง ส ห ก ร ณ ์ บ น ด อ ย แ ห ่ ง แ ร ก ของประเทศไทย ท่ีทุกวันน้ีได้กลายมาเป็น รา้ นรวงตา่ งๆ ในชมุ ชน 12
พระราชด�ำริสามประการของพระบาทสมเด็จ ทุกวันนี้บ้านดอยปุยกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ การท�ำ ท่ีมีช่ือเสียงของ จ.เชียงใหม่ และยังถูกคัดเลือก เกษตรท่ีสูง การศึกษา และการท�ำอาชีพค้าขาย ให้เป็นหนึ่งใน 80 สถานที่ทางประวัติศาสตร์ ท่ีพระองค์ทรงวางรากฐานให้กับชาวม้งบ้าน “สัญลักษณ์แห่งการเสด็จพระราชด�ำเนินทรง ดอยปุย ท�ำให้คนในชุมชนแห่งนี้สามารถลืมตา ปฏบิ ตั ิพระราชกรณยี กจิ เพอ่ื บ�ำบัดทกุ ข์บ�ำรุงสขุ อ้าปาก และมีชีวิตความเป็นอยูท่ีดีขึ้น กลายเป็น แก่ประชาชน” เน่ืองจากเป็นสถานท่ีที่ในหลวง ชุมชนที่สามารถพ่ึงพาตนเองได้อย่างม่ันคง รัชกาลที่ 9 เคยเสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ถึง 14 ครง้ั ไร่ฝิ่นและภูเขาหัวโล้นจากการท�ำไร่เล่ือนลอย (ตั้งแต่ปี 2506 – 2517) กลายมาเปน็ สวนผลไม้ และแปลงเกษตรทฤษฎใี หม่ ชาวบ้านทุกคนช่วยกันดูแลป่าตามค�ำสอนของ 13 ในหลวงรัชกาลที่ 9
14
ส�ำหรับชาวมง้ ดอยปยุ นอกจากบา้ นของพวกเขา จะเป็นพ้ืนท่ีที่มีความหมายในเชิงความผูกพัน ระหว่างพวกเขากับในหลวงรัชกาลท่ี 9 แล้ว ภายใต้ความคิดและความเชื่อด้ังเดิมของชาวม้ง ป่าเขา ล�ำธาร และธรรมชาตริ อบหมู่บา้ น ยงั เปน็ ที่สิงสถิตของส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท้ังหลายท่ีจะคอย ดลบันดาลให้เกิดความผาสุกร่มเย็นในหมู่บ้าน เมื่อสรรพส่ิงรอบตัวล้วนแต่มีเจ้าของและเป็น ท่ีอยู่ของวิญญาณและสิ่งศักด์ิสิทธิ์ ดังนั้นเมื่อ ใช้น�้ำ ใช้ป่า ก็ต้องให้ความเคารพ ซึ่งในทุกๆ ปี ประมาณเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม ชาวม้งจะจัดพิธีดงเซ้ง เพื่อเซ่นไหว้และขอขมา ลาโทษเทพยดาฟ้าดิน รวมถึงขอบคุณเจ้าป่าเจ้า เขาทที่ �ำใหช้ าวบา้ นไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากผนื ปา่ ในการ ด�ำรงชวี ติ และใหค้ �ำมนั่ สญั ญารว่ มกนั ในการดแู ล พื้นท่ีศักด์ิสิทธ์ิของหมู่บ้านไม่ให้ถูกบุกรุกท�ำลาย และน่ีคือพื้นท่ีเชิงสัญลักษณ์ศูนย์รวมความเชื่อ ความศรัทธาของคนเชียงใหม่ และถือเป็น จุดก�ำเนิดความสัมพันธ์ระหว่าง คน ป่า และ พระราชา ที่ได้แผ่รากลึกลงสู่แผ่นดินบนดอย ปุยจนกลายเป็นท่ีมาของพื้นที่ศักด์ิสิทธิ์ในป่า วเิ ศษของชาวม้ง และแนน่ อนว่าเม่อื มสี ิ่งใดเกิดขน้ึ กบั ดอยสเุ ทพ-ปุย จงึ มใิ ช่แค่เรอ่ื งของคนบนดอย แตม่ นั คือ วาระรว่ มกนั ของคนทั้งเชียงใหม่ 15
16
02 ในวนั ทพ่ี ญานาค โอมลอ้ มบ้านของพอ่ มีคนเคยบอกว่าถ้าอยากเห็นพญานาค หรือ และไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนเช่นในปัจจุบัน มังกรไฟ ให้ไปเย่ือนเชียงใหม่ในช่วงฤดูแล้ง ในปี 2559 ภาพของเปลวเพลิงท่ีลุกไหม้ผืนป่า แล้วหันหน้าไปทางดอยสุเทพ-ปุย ก็จะเห็น ดอยสุเทพ-ปุย เป็นแนวยาวหลายสิบกิโลเมตร พ ญ า น า ค สี แ ด ง เ พ ลิ ง กำ � ลั ง ต วั ด ก วั ด แ ก ว่ ง ตลอดท้ังคืน ได้สร้างความเสียหายรุนแรงให้ หางโอบล้อมขุนเขาเป็นแนวยาว น้ีเป็นคำ�พูด กับพ้ืนท่ีป่าหลายร้อยไร่ ผู้คนในเมืองพากัน เปรียบเปรยภาพแนวไฟป่าท่ีมักเกิดขึ้นเป็น ตระหนกตกใจกับสิ่งท่ีเกิดขึ้น เพราะจุดท่ีเกิด ประจำ�ทุกปีที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ไฟไหม้หันหน้าเข้าหาเมือง จึงทำ�ให้สามารถมอง จนกลายเป็นเรื่องชินตาของคนในเมือง แม้จะ เห็นได้อย่างชัดเจนจากตัวเมืองเชียงใหม่ นับเป็น เกิดไฟป่าข้ึนทุกปี แต่คนเชียงใหม่ยืนยันเป็น เหตุการณ์ไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดอีกคร้ังในรอบ เสียงเดียวกันว่า เมื่อก่อนไม่หนักหนาสาหัส หลายปีท่ีผ่านมาท่ีเกิดข้ึนบริเวณดอยสุเทพ-ปุย ผืนป่าใกล้บา้ นของพอ่ 17
นายกริชสยาม คงสตรี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ปัญหาหมอกควันไฟป่าท่ีเกิดขึ้นในจังหวัด ดอยสเุ ทพ – ปุย เล่าถงึ เหตุการณ์ไฟปา่ ท่เี กิดขึน้ เชียงใหม่ ทวีความรุนแรงเพิ่มข้ึนในช่วงหลายปี ในพนื้ ทีใ่ ห้เราฟงั ว่า ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2550 คนเชียงใหม่ทุกคน รับรู้ได้ถึงผลกระทบที่รุนแรงจากสถานการณ์ “พ้ืนที่อุทยานแห่งชาติดอยสเุ ทพ-ปุย มนั เหมอื นกับเป็นตวั แทน ผมหมายถึง ดังกล่าว ถึงขั้นลงความเห็นกันว่า คนเชียงใหม่ ไม่เคยประสบพบเจอกับปัญหาหมอกควัน เปน็ ตัวแทนในเรอื่ งของการดแู ลปอ้ งกนั ไฟปา่ คือ พอเกิดเหตุไฟป่าที่ดอยสุเทพ เข้าขั้นวิกฤตเช่นน้ีมาก่อน เมื่อถึงฤดูไฟป่า ทุกคนกจ็ ะร้สู กึ ว่า มนั คือ สาเหตทุ ่ีท�ำ ให้เกดิ หมอกควนั ในเมอื งเชียงใหม่ คนเชียงใหม่ต้องพากันสวมใส่หน้ากากอนามัย ท้งั ๆ ท่หี มอกควนั ทเี่ กดิ จากดอยสเุ ทพจริงๆ แลว้ มนั อาจจะถูกพัดไปทอ่ี ื่น กันทุกคน เด็กๆ และผู้ใหญ่หลายคนป่วยเป็น และในทางตรงกนั ขา้ มหมอกควันทเี่ กิดขึ้นในเมอื งเชยี งใหมอ่ าจเกดิ จาก โรคตาแดง และหอบหืด เพราะฝุ่นละออง เหตปุ จั จัยอน่ื เขา้ มาประกอบดว้ ยนอกเหนอื จากหมอกควนั ท่ีเกิดจากไฟปา่ ข น า ด เ ล็ ก ใ น อ า ก า ศ ที่ มี ป ริ ม า ณ ม า ก เ กิ น แต่กอ็ ยา่ งวา่ ละครับ ดอยสเุ ทพเหมือนเปน็ สญั ลักษณข์ องเชยี งใหม่ ค่ามาตรฐานชาวบ้านต้องแก้ปัญหาด้วย เพราะฉะนน้ั ก็เลยกลายเปน็ วา่ เม่ือเกิดไฟไหมท้ ี่ดอยสเุ ทพ จงึ สง่ ผล การฉีดพ้นละอองน้�ำลงบนหลังคาบ้าน เพ่ือลด ทั้งในเชงิ จติ วทิ ยากระทบกระเทอื นตอ่ ภาพลักษณข์ องเมือง และทำ�ให้เกิด ปัญหาฝุ่นละออง นอกจากหมอกควันท่ีปกคลุม ความเสยี หายในด้านการท่องเท่ยี ว และสง่ ผลตอ่ สขุ ภาพของประชาชน ไ ป ท่ั ว เ มื อ ง จ ะ ส ่ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ต ่ อ สุ ข ภ า พ ข อ ง และส�ำ คญั ที่สุดคือ ดอยสุเทพ เปน็ ท่ตี ้งั ของพระต�ำ หนกั ภูพงิ คราชนเิ วศน์ คนเชยี งใหม่ ยงั สง่ ผลตอ่ เศรษฐกิจการทอ่ งเทีย่ ว ซ่งึ จะได้รับผลกระทบจากไฟป่าไม่ได้ เพราะว่าท่นี ้ันเป็นทีป่ ระทับของพอ่ ของเมอื งอย่างหลีกเล่ยี งไมไ่ ด้ดว้ ยเชน่ กนั ดังนั้น ทุกคนจงึ จ�ำ เป็นตอ้ งช่วยกนั เฝ้าระวังไม่ใหเ้ กิดเหตกุ ารณ์รุนแรงข้ึน จากการเก็บตัวอย่างคุณภาพอากาศในเมือง ” เชียงใหม่ช่วงเดือนมีนาคม 2550 ในวันท่ี มีหมอกควันปกคลุมมากที่สุด พบปริมาณ ฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอนหรือ PM10 ถึง 382.7 ไมโครกรัมต่อปริมาตรอากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าระดับมาตรฐาน คุณภาพอากาศของประเทศไทยท่ีก�ำหนดไว้ที่ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรถึง 3 เท่าตัว นับเป็นสถิติสูงสุดของประเทศไทยเท่าท่ีเคยมี การตรวจวดั คณุ ภาพอากาศอย่างเปน็ ทางการ 18
ตารางแสดงการตรวจวดั คณุ ภาพ อากาศปริมาณฝุน ละออง ขนาดเล็ก 10 ไมครอน ในจงั หวัดเชยี งใหม ๅ มกราคม-เมษายน 2550-2560 จำนวนวนั ที่เกินคา มาตรฐาน (วัน) คาสูงสดุ 35 8 21 22 0 17 26 35 30 33 5 (ไมโครกรมั /ลกู บาศกเมตร) 2550 2551 2552 2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 ในรอบ 10 ป หมายเหตุ * : ไมโครกรัม/ลูกบาศกเ มตร 382.7 1 รายงานสถานการณ์คณุ ภาพอากาศและเสยี งประเทศไทย, กรมควบคุมมลพษิ 19
ปัญหาหมอกควันไฟป่าท่ีเกิดขึ้นส่งผลกระทบ อย่างกว้างขวางในหลายๆ ด้าน ท้ังสุขภาพ สงิ่ แวดลอ้ ม เศรษฐกจิ การทอ่ งเทย่ี ว การคมนาคม ขนส่ง รวมถึงปัญหาทางสังคมที่เกิดจากความ ขัดแย้งของกลุ่มคนต่างๆ ที่กล่าวโทษกันไปมา ถึงการเปน็ ต้นเหตุของไฟปา่ ที่เกดิ ขน้ึ ผลกระทบดา้ นสุขภาพ : นั ก วิ จั ย ด้ า น สุ ข ภ า พ จ า ก ห ล า ย ส ถ า บั น ต่ า ง ออกมายืนยันว่า หมอกควันไฟป่าส่งผลให้ เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจและ หลอดเลือด โรคผิวหนังอักเสบ และกลุ่มโรค ตาอักเสบ จากการเก็บข้อมูลของสํานักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ผู้ป่วยด้วย โรคดงั กลา่ วในพน้ื ท่ี 8 จงั หวดั ภาคเหนอื ชว่ งเดอื น มกราคม – เมษายน ปี 2559 มีจำ�นวนมาก เกอื บ 1 ลา้ นคน จากประชากรประมาณ 6 ลา้ นคน หรือคดิ เปน็ ร้อยละ 16 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว : ในปี 2550 ช่วงเดือนมีนาคม จำ�นวนผู้โดยสาร ที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานในภาคเหนือลดลง 9.6% นักท่องเท่ียวจำ�นวนมากยกเลิกการจอง ห้องพัก ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ต้องสูญเสียเม็ดเงินจากการท่องเท่ียวประมาณ 2,000 ล้านบาท เฉพาะท่ีจังหวัดเชียงใหม่ วิกฤตการณห์ มอกควนั ปี 2550 สง่ ผลให้จ�ำ นวน นกั ท่องเท่ยี วลดลงอย่างน้อย 57,000 ราย ท�ำ ให้ สูญเสียรายได้ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างน้อย 477 ล้านบาท โดยธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบ มากทีส่ ดุ 2 2เรวดี จรงุ รัตนาพงศ์ และอารี ยามนสั บุญเพิ่มพูน, 2552 อ้างใน มงคล รายะนาคร, 2553 20
ผลกระทบด้านส่งิ แวดล้อมและระบบนิเวศ : ผลกระทบด้านสงั คม : ตามธรรมชาติของไฟป่าในระบบนิเวศน้ันมีทั้ง สาเหตุของการเกิดปัญหาไฟป่าหมอกควันทาง คุณูปการและผลเสียต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ ภาคเหนือ ทำ�ให้เกิดการถกเถียงและกล่าวโทษ ขนึ้ อยกู่ บั ระดบั ความรนุ แรงและบรเิ วณทเ่ี กดิ ไฟปา่ กันไปมา ว่าใครคือ ต้นเหตุของสิ่งที่เกิดข้ึน เชน่ ถา้ เกดิ ไฟในปา่ เตง็ รงั จะสง่ ผลกระทบนอ้ ยกวา่ คนเมืองมักกล่าวอ้างว่ามีสาเหตุมาจากคนบน การเกดิ ไฟในปา่ ดบิ เขา เพราะธรรมชาตขิ องตน้ ไม้ ดอยทีม่ ักจะจดุ ไฟเพอื่ เก็บหาของป่า หรอื การเผา ในป่าเต็งรังทนไฟในดีกว่าและพันธ์ุไม้หลายชนิด เศษวัสดุทางการเกษตรภายหลังฤดูเก็บเก่ียว ต้องอาศัยไฟในการขยายพันธ์ุ แต่อย่างไรก็ตาม จนเกิดการลุกลามไปยังพื้นท่ีข้างเคียง ในขณะท่ี ไฟป่าที่เกิดขึ้นจะทำ�ลายแหล่งอาหารและที่อยู่ ชาวบ้านก็กล่าวโทษว่าเป็นเพราะ ปัญหามลพิษ อาศัยของสัตว์ป่า ทำ�ให้พ้ืนที่ท่ีเคยอุดมสมบูรณ์ ของเมืองท่ีเติบโตอย่างไร้ทิศทางจนเกิดมลพิษ เสอ่ื มสภาพ หนา้ ดนิ เกดิ การชะลา้ งพงั ทลายไดง้ า่ ย ไปทั่วเมือง ท้ังควันพิษจากรถยนต์ การจราจร โดยเฉพาะพน้ื ทล่ี าดชนั ท่ีคับคั่งและโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการเผา ขยะในท่โี ลง่ บ้างกก็ ลา่ วโทษเจ้าหน้าที่รฐั ว่าปฏิบตั ิ หนา้ ทอ่ี ย่างไร้ประสทิ ธิภาพ 21
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามายาคติท่ีเกิดขึ้นจากความ ส�ำหรับพ้ืนที่ดอยสุเทพ-ปุย ในช่วงฤดูแล้ง ไม่เข้าใจกันของทุกฝ่ายได้สร้างกำ�แพงขวาง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน มักเกิด ก้ันความสำ�เร็จในการจัดการกับปัญหาไฟป่า ไฟป่าบริเวณโดยรอบอุทยานแห่งชาติ ท่ีระดับ หมอกควนั ความสูงไม่เกิน 800 เมตร ซ่ึงครอบคลุม ร้อยละ 70 ของพ้ืนท่ี ในจ�ำนวนนี้เป็นพื้นท่ีที่มี สาเหตสุ �ำ คญั ของการเกดิ ปญั หาไฟปา่ หมอกควนั ความเส่ียงสูงถึงร้อยละ 31.03 ส่วนใหญ่จะเป็น มาจากกิจกรรมในด้านต่างๆ ของประชาชน เช่น พื้นท่ีที่ปกคลุมไปด้วยพันธุ์ไม้ป่าเต็งรัง และ การเผาขยะ มลพิษจากการจราจรและโรงงาน ป่าเต็งรังผสมป่าเบญจพรรณ ซึ่งจะมีการสะสม อุตสาหกรรม ซึ่งกิจกรรมเหล่าน้ีทำ�ให้เกิดการ ของเช้ือเพลิงเป็นจ�ำนวนมาก ในขณะท่ีป่าดิบเขา สะสมของฝุ่นละอองและทำ�ให้เกิดมลพิษทาง และป่าสนเขาที่ระดับความสูงต้ังแต่ 800 เมตร อากาศปกคลุมไปทั่วเมืองเชียงใหม่ ประกอบกับ ข้ึนไปไม่ค่อยพบการเกิดไฟป่า เพราะเป็นป่า สภาพความแออัดของเมืองและลักษณะทาง ไม่พลัดใบ การสะสมเชื้อเพลิงจึงมีน้อยกว่า กายภาพของเชียงใหม่ที่เป็นแอ่งกระทะทำ�ให้ ประกอบกับเป็นแหล่งต้นน�้ำล�ำธารที่ส�ำคัญ การระบายอากาศทำ�ได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงท่ี ชาวบ้านจึงช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่า มีความกดอากาศสูงแผ่ลงมาปกคลุม ย่ิงทำ�ให้ ท่ีน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ บริเวณท่ีมักเกิด เกิดการสะสมตัวของฝุ่นละออง นอกจากนี้ยังมี ไฟปา่ ซำ�้ ซากเปน็ ประจ�ำทกุ ปี สว่ นใหญจ่ ะเปน็ พน้ื ที่ สาเหตุมาจากการเผาเศษใบไม้ก่งิ ไม้ หรอื การเผา ท่ีขาดเจ้าภาพในการดูแลรับผิดชอบท่ีชัดเจน เศษหญา้ แหง้ ตามแนวถนน ซงึ่ การเผาในลกั ษณะ เชน่ บริเวณรอยต่อของหมบู่ า้ น น้ีเส่ียงที่จะเกิดการลุกลามเข้าไปในพ้ืนท่ีป่าและ พื้นท่ีการเกษตรหากไม่มีการควบคุม รวมถึง การเผาเพื่อเก็บหาของป่า และการเผาเศษวัสดุ ทางการเกษตร เชน่ ตอซงั ข้าว และข้าวโพด 22
จากความรุนแรงของปัญหาไฟป่าหมอกควัน และผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในทุกมิติ ประกอบกับผืนป่าดอยสุเทพ-ปุย เป็นพ้ืนที่ เชิงสัญลักษณ์ที่มีความสำ�คัญและต้องเฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด ได้ช่วยผลักดันให้หลายภาคส่วน ต่ืนตัวและหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่าง จริงจงั เกิดเป็นการจัดการแบบมสี ่วนรว่ มระหว่าง ภาคส่วนต่างๆ ท้ัง ภาครัฐ ภาคอกชน องค์กร ชมุ ชนและสถาบนั การศกึ ษา ซง่ึ เปน็ ปรากฎการณ์ ที่หาได้ยาก ส่งผลให้พ้ืนที่อุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ-ปุย กลายเป็นพ้ืนที่บูรณาการ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟ ปา่ ทปี่ ระสบความส�ำ เร็จ จนสามารถเปน็ ตน้ แบบ ให้กับหลายๆ พ้ืนที่นำ�ไปปรับใช้เพื่อขยายผล ในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมพ้ืนท่ีเสี่ยง ทวั่ ประเทศ 23
03 ประชารฐั รว่ มใจอนรุ กั ษ์ พทิ ักษผ์ นื ป่า ลดปญั หาหมอกควนั จะว่าไปความพยายามในการเข้ามาแก้ปัญหาไฟ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ป่าหมอกควันของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ได้ดำ�เนินการบูรณาการเครือข่ายอาสาสมัคร และภาคประชาชนเกดิ ขึ้นมานานแล้ว แต่ท่ีผ่านมา ภาคประชาชนที่สังกัดอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ด้วยลักษณะการทำ�งานแบบต่างคนต่างทำ� ภายใต้กระทรวง ให้กลายมาเป็น อาสาสมัคร ไม่เกิดการจัดการปัญหาแบบมีส่วนร่วมใน พิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ลักษณะของหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างรัฐ หมบู่ า้ น หรอื ทสม. โดยมอบหมายใหก้ รมสง่ เสรมิ และประชาชน ทำ�ให้ผลสัมฤทธิ์ของการจัดการ คุณภาพส่ิงแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักใน กับปัญหาที่เกิดข้ึนจึงมีลักษณะเป็นการแก้ไข การเชอื่ มโยงเครอื ขา่ ยอาสาสมคั รดา้ นทรพั ยากร ปญั หามากกวา่ การปอ้ งกนั ตงั้ แตป่ ี 2557 เปน็ ตน้ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทุกหน่วยงาน มา รฐั บาลจงึ มแี นวคดิ ทจี่ ะบรู ณาการความรว่ มมอื ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในแก้ไขปัญหาหมอกควัน สิ่งแวดล้อม ให้เข้ามามีบทบาทสนับสนุนภารกิจ ไฟปา่ ประกอบกบั ในชว่ งน้ัน ของกระทรวง และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคล่ือน กลไกประชารัฐแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน 24 ในพื้นท่ี 9 จังหวัดภาคเหนือ ในลักษณะของ การเฝ้าระวัง และประสานความร่วมมือกับคน ในท้องถิ่น เพ่ือหาทางออกในการแก้ไขปัญหาไฟ ปา่ หมอกควนั รว่ มกนั
จากแนวทางการท�ำ งานทจี่ ะใชเ้ ครอื ขา่ ยอาสาสมคั ร ภาคประชาชนเป็นจักรกลในการขับเคล่ือน กลไกประชารฐั ในการแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ หมอกควนั กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มจงึ ไดบ้ รู ณาการ ความร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช และกรมป่าไม้ กำ�หนดให้อุทยาน แห่งชาติดอยสุเทพ - ปุย เป็นพื้นท่ีนำ�ร่อง เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันในรูปแบบ ของพื้นที่บูรณาการความร่วมมือ โดยประสาน ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้องมาเป็น กำ�ลังสำ�คัญในการแก้ไขปัญหา ภายใตช้ ่ือ “โครงการเสรมิ สรา้ งเครือขา่ ยอาสาสมัคร เฝา้ ระวังไฟป่า ลดหมอกควนั ในพ้ืนที่อทุ ยาน แหง่ ชาติดอยสุเทพ-ปยุ และพ้นื ทโี่ ดยรอบ ” 25
คุณมานพ คีรีภูวดล เจ้าหน้าที่ภาคสนามมูลนิธิ เพอ่ื การพฒั นาทีย่ ง่ั ยนื (ภาคเหนือ) หน่ึงในเครือ ข่ายที่ร่วมทำ�งานในโครงการดังกล่าวชี้ประเด็นท่ี น่าสนใจของปัญหาหมอกควนั ไฟปา่ ให้ฟงั วา่ “ ปัญหาหมอกควนั ไฟปา่ มนั ส่งผลกระทบตั้งแต่ คนจน ไปจนถงึ คนรวย คุณเศกรัฐ ไชยศิริ หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่า ผมมองว่าตรงนเี้ ป็นโอกาสทเ่ี ราจะเชื่อมระหว่างคนเมอื ง คนบนดอย ภูพงิ ค์ บอกเลา่ ถึงการทำ�งานในอดีตใหฟ้ ังวา่ และคนกลมุ่ ตา่ งๆ ให้มาชว่ ยกันแก้ไขปญั หาที่เกิดข้นึ ผมรู้วา่ ช่วงแรก ของการจัดการกบั ปญั หาหมอกควันไฟปา่ มนั มีความขัดแยง้ คอ่ นขา้ งจะสูง ทกุ คนต่างช้นี ว้ิ ใส่กัน คนเมอื งกช็ ขี้ น้ึ ไปบนดอย และบอกว่าคนดอยเป็นต้นเหตุ ของปญั หา คนบนดอยกช็ ี้ไปทข่ี ้าราชการ ซึ่งเป็นส่ิงที่เกดิ ข้นึ กอ่ นทเ่ี ราจะหันหนา้ เข้าหากนั สำ�หรบั ผมแลว้ ผมคดิ ว่า วิกฤตของปญั หาหมอกควันไฟปา่ นำ�ไปสู่ การเกิดความรว่ มไม้รว่ มมอื ทำ�ให้คนกลมุ่ ตา่ งๆ ที่ใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากร ทั้งทางตรง และทางออ้ มได้มาเจอกัน ทำ�ใหแ้ ต่ละคนได้ทบทวนตัวเอง ว่าจะช่วยกนั แก้ไขปัญหาตา่ งๆ เหล่าน้ีได้อยา่ งไร ในอดตี การจดั การไฟป่านัน้ หนว่ ยงานภาครฐั จะท�ำ งานเพียงลำ�พัง แต่ในช่วง 10 ปีทผี่ า่ นมา มหี ลายฝ่ายเขา้ มาช่วยกันมากข้นึ ทง้ั หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน รวมถงึ เครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนกลมุ่ ต่างๆ ผมว่า ทเ่ี ป็นแบบนกี้ เ็ พราะ ทกุ ภาคส่วนตา่ งกต็ ระหนกั ถงึ ผลกระทบของไฟปา่ ที่เกิดข้ึน ทกุ ฝ่ายจึงไมเ่ พกิ เฉยกับปญั หาทเ่ี กิดข้ึน มาร่วมไมร้ ว่ มมอื กันบริหารจดั การ ในเร่อื งของไฟปา่ โดยมกี รมอทุ ยานฯ และกรมปา่ ไม้ เปน็ หนว่ ยงานหลักในพนื้ ที่ ซึ่งในความเป็นจริงพน้ื ทกี่ วา่ 160,000 ไร่ ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปยุ ถ้าใหส้ องหน่วยงานน้ดี ูแลเพยี งลำ�พงั คงเปน็ เรอ่ื งยากทจี่ ะประสบความส�ำ เรจ็ กต็ อ้ งอาศยั ทุกภาคสว่ นทอ่ี ย่ใู นพ้นื ท่ที ้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเขา้ มาชว่ ยกนั ”26
คุณกริชสยาม คงสตรี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ-ปุย ฉายภาพความต่ืนตัวต่อปัญหา หมอกควันไฟป่าท่ีเกิดข้ึนในพ้ืนท่ีดอยสุเทพ เมื่อปี 2559 ให้ฟังว่า เหตุการณ์ในคร้ังนั้น ได้ท�ำให้คนในสังคมตระหนักและอยากจะเข้ามา ช่วยกันแก้ปัญหา คนเชียงใหม่ ทั้งพ่อค้า ประชาชน นกั ศกึ ษา ตา่ งอยากทจี่ ะเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ในวันท่ีเกิดเหตุ ข้าวปลา อาหารและน�้ำด่ืมจ�ำนวนมากถูกขนข้ึนมาบนดอย เพื่อสนับสนุนการท�ำงานของเจ้าหน้าท่ี เร่ือยมา จนถึงทุกวันน้ี ทุกคร้ังที่อุทยานฯ ขอรับการ สนับสนุนไม่ว่าจะเป็นเสบียงอาหาร หรืออุปกรณ์ ท่จี �ำเป็นในการปฏิบัติงานป้องกันไฟป่า กจ็ ะได้รับ ความมอื ดว้ ยดเี สมอมา “พอประชาชนรับทราบขา่ วเร่ืองที่เราขอรบั การสนบั สนุน นำ้� ดืม่ หรืออาหารแหง้ กจ็ ะมคี นมา บรจิ าคเยอะมาก อุทยานแหง่ ชาติดอยสเุ ทพ-ปุย ก็ท�ำหน้าทเี่ ปน็ สือ่ กลางน�ำสง่ิ ของที่เขาสนบั สนนุ มา ไปมอบให้กบั ชมุ ชนและเจ้าหนา้ ที่ เพื่อใหเ้ ขาน�ำไปใช้ เวลาออกไปปฏบิ ตั งิ าน เจา้ หน้าที่ไมไ่ ด้ มรี ายได้มากมาย เม่อื เขาไดร้ บั มาม่า หรือปลากระปอ๋ งท่ที ุกคนน�ำมามอบให้ ก็ท�ำใหเ้ ขามกี �ำลังใจในการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ี ผมวา่ ตรงน้สี �ำคัญมาก ” 27
ภ า พ ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ใ น พื้ น ท่ี ด อ ย สุ เ ท พ - ปุ ย เกิดข้ึนจากวิธีคิดและกระบวนการทำ�งานท่ีได้ มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ซ่ึงหลักคิดใน การทำ�งานท่ีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม นำ�มาใช้ในการเสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร เฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน คือ การสนับสนุน ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในเชิงบูรณาการ การทำ�งานร่วมกัน โดยมีการนำ�แนวคิด แ ล ะ ท ฤ ษ ฎี ท่ี เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ง า น พั ฒ น า แ ล ะ การบริหารจัดการทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ได้แก่ แนวพระราชดำ�รัสพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเก่ียวกับ งานอาสาสมัคร แนวคิดเรื่องการมีส่วนร่วม การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (Area Based Approach) การจัดการความรู้ (Knowledge Management) และเป้าหมายการพัฒนา ท่ีย่ังยืน (Sustainable Development Goals) มาใช้ผ่านการดำ�เนินงานใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 28
1 สร้างรั้วให้ป่า : เสริมสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร 2 ลดหมอกควันเชิงรุก : สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ แนวร่วมภาคประชาชนในพื้นที่ป่าและพื้นที่ ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ และความตระหนัก รอบป่า ให้เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกลไกสำ�คัญ ถึงผลกระทบจากการบกุ ลุกท�ำ ลายป่า และเขา้ มา ในการเฝ้าระวังการบุกรุกทำ�ลายป่า เฝ้าระวัง มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาร่วมกัน การเกิดไฟป่าและหมอกควัน และบูรณาการ ตง้ั แตก่ อ่ นเกดิ ขณะเกดิ และหลงั เกดิ สถานการณ์ ความร่วมมือเครือข่ายอาสาสมัคร หน่วยงาน รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการปรับตัว ท่ีเกี่ยวข้องและภาคีร่วมพัฒนา เพื่อผนึกกำ�ลัง เพ่ือรองรับความเส่ียงจากการเปล่ียนแปลง คนื ความอดุ มสมบรู ณ์ใหท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ผ่ า น รู ป แ บ บ ก า ร จั ด ทำ � ฐ า น ข้ อ มู ล เ ชิ ง พื้ น ท่ี ส่ิงแวดลอ้ ม สารสนเทศเพื่อเฝ้าระวังและฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การรายงาน สถานการณ์ งานวิจัย การพัฒนาศักยภาพ 29 สร้างผู้นำ�การเปล่ียนแปลงและส่ือเพ่ือการเรียนรู้ ในรปู แบบตา่ งๆ
กรอบแนวคิด เปาหมายการพัฒนาที่ยงั� ยนื ในการแก้ไข ปัญหาไฟป่า ประชารัฐรว มใจ ลดไฟปา ลดหมอกควนั หมอกควัน การบรห� ารจดั การเชง� พน� ท่ี รายงาน/ติดตามผล (Area Based Approach) ระบบสารสนเทศ GIS Hotspot /ลงพ�นที่ “การใชพน� ทเี่ ปนตวั ตงั� ” website Apps. @Line การจดั การรวม บรู ณาการ (รกกะาบอรบงสทนุนับ,สนอุนุปกรณ) ส่ือสารสาธารณะ ความรว มมือ (Co-Management) สอ่ื สารแนวคิดแทนคณุ นิเวศ บทบาท / หนาที่ของแตละภาคสว น จดั ความสมั พันธข อง ผูมสี ว นเกยี่ วขอ ง กลไกประชารฐั แทนคณุ นเิ วศ พัฒนาส่อื และชองทาง เผยแพร /ประชาสัมพนั ธ ทีห่ ลากหลาย การจัดการความรู เสรม� สรา งและบรู ณาการ ทสม.โซขอกลางเครเภช�อ่�อขาคมายแีโยตลงะา งๆ เคร�อขายอาสาสมัคร (Knowledge Management) เฝาระวังไฟปา ลดหมอกควนั อแกงลาคกรค เดปวำลาเมนีย่ รนินแู งปลารนะะวรสาว บงมแกกผาันรนณ การมีสวนรวม กระบวนการมสี วนรวม หนุนชมุ ชน (รวมคิด รว มตดั สินใจ วางแผน เปน ผูปฏบิ ัติ ดำเนินการตดิ ตามประเมนิ ) ประชาชนทกุ ภาคสว น ภสารคา ปงแรนะชวารชว นม ภาครฐั เอกชน ทอ งถ�นิ ทอ งท่ี ภาคธุรกจิ เอกชน 30
คุณวัฒน์ ทาบึงกาฬ กรมส่งเสริมคุณภาพ ส่ิ ง แ ว ด ล้ อ ม อ ธิ บ า ย ถึ ง บ ท บ า ท ห น้ า ท่ี ข อ ง กรมฯ วา่ เราจะท�ำหนา้ ทหี่ นุนเสรมิ ให้ชมุ ชนเป็นผปู้ ฏิบตั ิ รวมถงึ สรา้ งกลไกและยกระดับให้ภาคประชาชนเข้ามามสี ว่ นรว่ ม ในการจัดการทรัพยากรให้มากขนึ้ โดยอาศัยรูปแบบของเครอื ข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนเป็นกลไกในการขบั เคลอ่ื น “นอกจากนีเ้ ราจะท�ำหนา้ ทเ่ี ป็นคนกลางประสานให้เกิดความรว่ มมอื และสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ กระบวนการแลกเปลีย่ นเรยี นร้รู ะหว่าง ”ภาคเี ครือข่าย หนา้ ท่ขี องเราคอื การเข้าไปเติมเต็ม และหนนุ เสรมิ การท�ำงานในพ้ืนที่ ในช่วง 4 ปี ของการหนุนเสริมภาคีเครือข่าย ในการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน ทำ�ให้เกิด การบูรณาการการทำ�งานร่วมกันของเครือข่าย ต่างๆ ในพ้ืนท่ีป่าและพ้ืนท่ีโดยรอบอุทยาน แห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย นอกจากจะช่วย คลี่คลายม่านหมอกที่ปกคลุมเมืองเชียงใหม่ ให้มีสถานการณ์ที่ดีขึ้นแล้ว ม่านหมอกแห่ง ความขัดแย้งก็จางหายไปเช่นกัน และต่อไปนี้ คือ โมเดลความร่วมมือ ท่ีเกิดขึ้นบนพ้ืนท่ี ป่าศักด์ิสิทธแิ์ ละบ้านของพ่อ 31
เปล่ียนมายาคติ เปน็ ความร่วมมอื มคี �ำ พดู ถงึ หนง่ึ ทพ่ี อ่ หลวงไตรภพ มกั พดู อยเู่ สมอ Cooperation นน่ั กค็ อื เมื่อเกิดไฟปา่ ถา้ พีน่ ้องในเมืองเชยี งใหม่ มองข้ึนไปท่ีดอยสุเทพ ก็จะไม่เห็นยอดดอย คณุ เศกรัฐ ไชยศิริ หวั หน้าสถานคี วบคุมไฟปา่ ใ น ข ณ ะ ท่ี พี่ น้ อ ง ม้ ง บ น ด อ ย ก็ ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น ภูพิงค์ ฉายภาพการท�ำ งานในอดีต และหลักคดิ เมืองเชียงใหม่เช่นกัน แม้จะฟังดูแล้วเป็น ของการท�ำ งานในปัจจุบันใหฟ้ ังว่า ป ร า ก ฎ ก า ร ณ์ ทั่ ว ไ ป ที่ พ บ เ ห็ น ไ ด้ ใ น ช่ ว ง ฤ ดู ไฟป่า แต่คำ�พูดนี่้มิได้ส่ือความหมายเพียงแค่ “ตอ้ งยอมรบั ว่า สมยั ก่อน เมือ่ เกิดไฟปา่ แต่ละที หน่วยงานภาครฐั ความรุนแรงของปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เข้า ขั้นวิกฤตเท่าน้ัน แต่ยังแฝงไว้ด้วยนัยยะท่ีว่า จะไล่จับชาวบ้านทจ่ี ดุ ไฟ เป็นเพราะเราใชห้ ลักนติ ิศาสตร์ในการท�ำงานมากเกนิ ไป ถ้าทุกคนไม่ได้หันหน้ามาพูดคุยกัน ต่างคน ในความเป็นจรงิ แล้ว การท�ำงานใหไ้ ดผ้ ลสัมฤทธิ์และมปี ระสิทธภิ าพ ต่างมองแต่ปัญหา ก็จะเจอแต่หมอกแต่ควัน บางครง้ั กต็ ้องน�ำหลักรฐั ศาสตรเ์ ข้ามาใชด้ ว้ ย แต่กอ่ นเวลาเราท�ำงาน ไม่มีวันที่มองเห็นรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง แต่วันน้ีหมอกควันค่อยๆ จางหายไปจากพ้ืนท่ี เรอ่ื งไฟปา่ หน่วยงานรัฐกท็ �ำไป ชาวบา้ นก็ท�ำไป ไม่ได้มาร่วมมือกันเหมือนเด๋ยี วน้ี ดอยสุเทพ-ปุย แล้ว เพราะทุกคนหันหน้าเข้ามา การท�ำงานให้ประสบความส�ำเรจ็ จะเนน้ การบังคับใชก้ ฎหมายเพียงอยา่ งเดยี ว คยุ กัน ก็คงไมไ่ ด้ ต้องอาศัยการท�ำงานแนวใหม่ เน้นการมสี ่วนรว่ มให้มากขน้ึ ในอดีตที่ผ่านมา ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งมักตกเป็น จำ�เลยของสังคมในข้อหาทำ�ลายทรัพยากร ” ธรรมชาติ และเป็นสาเหตุท่ีทำ�ให้เกิดปัญหา ไฟป่าหมอกควัน เพียงเพราะพวกเขาเหล่าน้ัน มีวิถีชีวิตท่ีต้องพ่ึงพิงทรัพยากรธรรมชาติ เช่นเดียวกันกับพี่น้องม้งท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ท่ีครั้งหนึ่ง ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา หมอกควนั ไฟปา่ ท่ปี กคลุมไปทว่ั ท้ังเมืองเชียงใหม่ 32
พ้ืนท่ีในและรอบอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย พชื เศรษฐกจิ ผูน้ �ำชมุ ชนจงึ หารอื กนั ถงึ มาตรการ มีชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่หลายกลุ่มทั้ง เย้า อาข่า ในการก�ำหนดพ้ืนที่ป่าธรรมชาติที่เหลืออยู่ ปกาเกอะญอ และม้ง ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ให้เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นหนึ่งปี ที่มีจ�ำนวนประชากรมากท่ีสุด อาศัยอยู่ใน คณะกรรมการเครือข่ายฯ จึงหารือร่วมกัน 12 หมู่บ้าน ในเขตอ�ำเภอเมือง อ�ำเภอหางดง เ พ่ื อ ห า แ น ว ท า ง ป ้ อ ง กั น แ ล ะ ค ว บ คุ ม ไ ฟ ป ่ า และอ�ำเภอแม่ริม จากการที่หมู่บ้านในเขตป่า เ กิ ด เ ป ็ น ข ้ อ ต ก ล ง ท่ี จ ะ ท�ำ แ น ว กั น ไ ฟ ร อ บ มักถูกเพ่งเล็งว่าเป็นสาเหตุของการเกิดไฟ พื้นที่ประมาณหนึ่งหมื่นไร่ ซ่ึงอยู่ในขอบเขต ชาวม้งบ้านดอยปุย จึงลุกข้ึนมาช่วยกันอนุรักษ์ ที่ชาวบ้านสามารถจะดูแลร่วมกันได้ และได้ ทรัพยากรป่าไม้และเร่ิมท�ำแนวกันไฟครั้งแรก ด�ำเนินกิจกรรมอนุรักษ์เร่ือยมาเป็นประจ�ำ เมื่อปี 2529 จากนั้นประมาณปี 2530 ทุกปี เช่น การปลูกป่า การท�ำแนวกันไฟ ยังได้รวมกลุ่มกับชุมชนม้งบางหมู่บ้านก่อตั้ง และการจัดเวรยามออกลาดตระเวนป้องกัน เป็นเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งดอยสุเทพ – ปุย ไฟป่า แต่ในช่วงแรกยังเป็นการด�ำเนินงาน ประกอบไปด้วย บ้านดอยปุย บ้านขุนช่างเคี่ยน โดยชาวบ้าน บริหารจัดการกันเอง เพ่ือลด ซ่ึงตั้งอยู่ในเขตอ�ำเภอเมือง บ้านผานกกก และ ค�ำกล่าวหาท่ีว่า ม้งเป็นตัวการท�ำลายป่าต้นน�้ำ บ้านสาใหม่ ท่ีตั้งอยู่ในอ�ำเภอแม่ริม ในเวลาน้ัน และสร้างการมีตัวตนในสังคมให้กับชุมชน เ กิ ด ป ั ญ ห า ก า ร บุ ก รุ ก ท�ำ ล า ย ป ่ า เ พ่ื อ ป ลู ก ชาวม้ง โดยใช้พิธีกรรม ความเช่ือที่มีอยู่เดิม ของชมุ ชนมาใช้ในการจัดการทรัพยากร 33
Fire Control Volunteer ต่อมาเม่ือกรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อม ได้เข้ามาดำ�เนินโครงการเสริมสร้างเครือข่าย อาสาสมัครเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควัน ในพน้ื ทอี่ ทุ ยานแหง่ ชาติดอยสุเทพ-ปุย และพ้นื ที่ โดยรอบ จึงได้ชักชวนเครือข่ายสิ่งแวดล้อม ม้งดอยสุเทพ – ปุย เข้ามาร่วมเป็นคณะทำ�งาน ในระดับพ้ืนท่ีและระดับจังหวัด ร่วมกันดำ�เนิน กิจกรรมต่างๆ มาอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะ เป็นแกนนำ�ในการเฝ้าระวังป้องกันปัญหาไฟป่า หมอกควันร่วมกับอุทยานฯ และสถานีควบคุม ไฟป่าภูพิงค์ ตั้งแต่การร่วมคิด ร่วมวางแผน ไปจนถึงการลงมือปฏิบัติ เช่น การจัดทำ� แนวกันไฟ การออกตรวจลาดตระเวน การเข้า ระงับเหตุดับไฟ รวมถึงต้ังด่านสกัดกองกำ�ลัง ระ ห ว่างเจ้าห น้าที่และ ชาวบ้านเครือข่าย ส่ิงแวดล้อมม้งฯ จนกลายเป็นกำ�ลังเสริม ที่สำ�คัญในการดูแลจัดการไฟป่า เพราะด้วย ความชำ�นาญในพื้นท่ี เม่ือเกิดเหตุไฟ ไหม้ พี่น้องม้งสามารถเข้าไประงับเหตุในพื้นท่ีได้ อย่างรวดเร็ว และในบางชุมชนมีการจัดตั้ง กลุ่มมอเตอร์ไซด์วิบากเคลื่อนท่ีเร็ว เพื่อเข้าไป ปฏิบัติการในพ้ืนท่ีด้วย เช่น ใช้ในการส่งเสบียง ใช้ในการส่ือสาร รวมถีงเข้าไปช่วยดับไฟใน พนื้ ท่ีเส่ยี ง 34
ทีบ่ า้ นดอยปุย มกี ารท�ำแนวกนั ไฟตลอดระยะทาง 20 กิโลเมตร แม้จะเป็นหมู่บ้านเลก็ ๆ แตข่ อบเขต ของหมู่บ้านครอบคลุมพ้ืนที่ 7 พันกว่าไร่ พ่อหลวงย่ิงยศ หวังวนวัฒน์ อดีตพ่อหลวง แห่งบ้านดอยปุย เล่าว่า ในช่วงเร่ิมแรกน้ันบ้าน ดอยปุยท�ำแนวกันไฟเฉพาะบริเวณป่าต้นน�้ำ ประมาณ 1,000 ไร่ เมื่อชาวบ้านเริ่มเข้าใจถึง เหตุผลความจ�ำเป็นที่ต้องอนุรักษ์ทรัพยากร ป่าไม้ จึงเร่ิมขยายพ้ืนที่ในการท�ำแนวกันไฟให้ กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่ 8 ตารางกิโลเมตร จากพื้นที่ท้ังหมด 10.85 ตารางกิโลเมตร ช่วงแรกจะเน้นการสร้างจิตส�ำนึกให้คนใน ชุมชน จนพัฒนาไปสู่การออกกฎกติการ่วมกัน เช่น ข้อก�ำหนดท่ีว่า แต่ละครอบครัวต้องส่ง สมาชิกครอบครัวละ 1 คน ไปร่วมท�ำแนวกันไฟ หากครอบครัวไหนไม่มาร่วมจะถูกปรับเป็นเงิน 250 บาท แต่ในกรณีที่ครอบครัวน้ันมีสมาชิก เป็นกรรมการหมู่บ้านจะถูกปรบั 500 บาท “จากประสบการณ์ในการท�ำงานแกไ้ ขปญั หาหมอกควนั ไฟปา่ มากว่า 30 ปี ถา้ เราท�ำงานโดยอาศยั แคก่ �ำลงั ของเราเอง เรากท็ �ำได้แคเ่ ข้าไปจัดการ กับปญั หาในพ้ืนที่ของตนเอง แต่ในความเปน็ จริงปญั หามนั เกิดขน้ึ ในหลายพ้นื ท่ี ถ้าจะท�ำให้ส�ำเร็จตอ้ งท�ำให้เกิดความร่วมมือกนั ของทุกภาคสว่ น เพอ่ื ทจ่ี ะเขา้ มาชว่ ยกนั แกป้ ญั หา ”พ่อหลวงย่งิ ยศ 35
การขยายเครอื ขา่ ยสิ่งแวดลอ้ ม ป 2559-2560 มง้ ดอยสุเทพ - ปุย 1. บา นมง ดอยปุย ป 2558-2559 2. บา นขุนชางเคี่ยน 3. บา นผานกกก ป 2557-2558 1. บานหนองหอยเกา 4. บานแมสานอย 2. บานหนองหอยใหม 5. บา นแมสาใหม 1. บานมงดอยปยุ 3. บานแมข ิ 6. บา นหนองหอยเกา 2. บา นขุนชา งเคย่ี น 4. บา นน้ำซุม 7. บา นหนองหอยใหม 3. บา นผานกกก 5. บา นบวกเตย 8. บานแมข� 4. บานแมส านอย 6. บา นบวกจนั่ 9. บานน้ำซุม 5. บา นแมส าใหม 7. บา นหวยเสยี้ ว (หยอ มบา น) 10. บานบวกเตย 11. บา นบวกจัน� 12. บา นหว ยเสยี้ ว (หยอมบาน) จากการทำ�งานในลักษณะของการเชื่อมประสาน เครอื ขา่ ยสง่ิ แวดลอ้ มมง้ ดอยสเุ ทพ – ปยุ ทแ่ี ตเ่ ดมิ และหนุนเสริมการทำ�งานของทุกภาคส่วน โดย มีเพียง 5 หมูบ่ า้ น ขยายเครือขา่ ยจนครอบคลุม ผ่านเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ในโอกาสต่างๆ ที่กรม ทุกหมู่บ้านของชาวม้งที่อยู่บริเวณอุทยานฯ ส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมพยายามทำ�มา จำ�นวน 12 หมู่บ้าน และกลายเป็นกำ�ลังสำ�คัญ โดยตลอด ทำ�ให้ขอบเขตความร่วมมือของ ในดูแลจัดการปญั หาไฟป่าหมอกควันรอบดอย 36
นอกจากนี้ในภาพรวมของการท�ำงานในระดับ เครือข่ายฯ มีการจัดเวทีเพ่ือระดมสมองใน การแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน ทั้งในระดับ ชุมชนและระดับเครือขา่ ยฯ อย่างต่อเนอื่ ง โดยจะ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ และจะ ใช้พ้ืนที่ปฏิบัติการจริงเป็นสถานท่ีจัดประชุม เพ่ือให้ทุกฝ่ายได้เห็นสภาพความเป็นจริงของ พื้นที่ ซึ่งจะน�ำไปสู่การแก้ไขปัญหาท่ีสอดคล้อง กับบริบทของพ้ืนท่ีอย่างแท้จริง ท้ังนี้ภายหลัง การประชมุ จะมกี ารน�ำขอ้ สรปุ ทไี่ ดไ้ ปหารอื รว่ มกบั คนชมุ ชนตอ่ ไป การท�ำงานของเครอื ขา่ ยฯ เนน้ ไปที่ การท�ำแนวกันไฟ ก�ำหนดปฏิทินในการเฝ้าระวัง ไฟป่า มีการลาดตระเวน และต้ังด่านสกัด และเข้าดับไฟ ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีฯ โดยแบ่งพ้ืนที่ ความรบั ผดิ ชอบในแตล่ ะชมุ ชนออกเปน็ โซนๆ และ แต่ละโซนต้องเชื่อมต่อกัน เพ่ือลดปัญหาไฟไหม้ ในพื้นท่ีท่ีไม่มีผู้รับผิดชอบ มีการประสานข้อมูล และสถานการณ์ภาพรวมของแต่ละชุมชน เพ่ือส่งต่อไปยังผู้ประสานหลักของเครือข่ายฯ ที่จะท�ำหน้าที่เป็นผู้แทนในการก�ำหนดทิศทาง การท�ำงาน ก�ำหนดมาตรการในการปอ้ งกนั และ ร่วมตัดสนิ ใจกบั หนว่ ยงานภาครัฐ โดยหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึงประกอบไปด้วย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย สถานีควบคุม ไฟป่าภูพิงค์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เครือข่ายส่ิงแวดล้อมม้งดอยสุเทพ – ปุย และ มูลนธิ ิเพอื่ การพฒั นาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ได้น�ำ ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตรม์ าชว่ ยเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพ ในการวางแผนเฝา้ ระวงั ไฟ มกี ารก�ำหนดพนื้ ทเี่ สยี่ ง ท่ีต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวมถึงมีการแบ่งพื้นท่ี รับผิดชอบในการบริหารจัดการไฟป่าบนพ้ืนที่ ดอยสเุ ทพร่วมกนั 37
“ จ า ก ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ใ น ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า ผื น ป่ า ศักด์ิสิทธิ์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาได้เคี่ยวกรำ� อกี ประเดน็ หนึ่งทน่ี า่ สนใจคอื ให้เครือข่ายส่ิงแวดล้อมม้งดอยสุเทพ – ปุย ทีผ่ ่านมาดว้ ยการท�ำงานแบบตา่ งคนตา่ งท�ำ กลายเป็นกำ�ลังหลักในการผลักดันประเด็น ท�ำใหข้ าดโอกาสทจี่ ะบรู ณาการแผนการท�ำงานร่วมกนั ด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ให้ แต่ในชว่ งหลงั ๆ พอเราเปดิ พื้นทีใ่ หค้ นกลุ่มต่างๆ เป็นวาระสำ�คัญของการประชุมสามัญประจำ�ปี ไดม้ าพบปะพดู คยุ และแลกเปลย่ี นเรียนร้กู นั มากข้นึ สมชั ชามง้ แหง่ ประเทศไทย ตงั้ แตป่ ี 2557 เปน็ ตน้ มา ท�ำให้มีการน�ำแผนของแต่ละหน่วยงานมาพูดคยุ และผแู้ ทนเครอื ขา่ ยสง่ิ แวดลอ้ มมง้ ดอยสเุ ทพ–ปยุ ในเวทที ีป่ ระชุม ส่งผลใหแ้ ตล่ ะองคก์ รและภาคีเครือขา่ ยทราบว่า ยงั ไดด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ เปน็ เลขานกุ าร ดา้ นทรพั ยากร แต่ละหน่วยงานมีแผนในการด�ำเนินงานเร่อื งไฟปา่ อย่างไรบ้าง ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของคณะกรรมการ จึงเรม่ิ มีการบรู ณาการการท�ำงานรว่ มกนั มากขน้ึ เครือข่ายม้งแห่งประเทศไทยด้วย นับว่าเป็น ถา้ กิจกรรมเหมือนกนั กท็ �ำด้วยกนั ช่วยลดความซ�้ำซ้อนของงาน อีกกา้ วในการเปิดประเด็นการท�ำ งานแกไ้ ขปญั หา ท�ำใหเ้ กดิ ลักษณะการท�ำงานทเี่ กอ้ื หนุนกันมากขึ้น ไฟป่าหมอกควนั ไปยังเครือขา่ ยชาวมง้ ทอ่ี าศยั อยู่ ในพ้ืนที่อ่ืนของประเทศไทย และทำ�ให้เรามองเห็น ”นางสาวอมุ า ศรสี ขุ ความหวังวา่ ประเทศไทยจะไรห้ มอกควันในไมช่ า้ ผ้อู �ำนวยการกองอาสาสมัครพทิ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม ให้รายละเอยี ดของการท�ำงานร่วมกันของเครอื ข่ายฯ 38
“การท�ำงานในอดตี กบั ปัจจุบัน มันตา่ งกนั นะ เม่อื ก่อนเจอป่าไมท้ ่ีไหนตอ้ งหลบ ตอนนเ้ี รามคี วามสมั พนั ธ์ และทศั นคตทิ ีด่ ีตอ่ กัน เราไวใ้ จกนั มีอะไรกช็ ว่ ยเหลือกัน เดยี๋ วนี้ถา้ รถปา่ ไม้หรือรถของ ชาวบา้ นตกหลม่ เราก็จะไปชว่ ยกนั ทเ่ี ป็นแบบน้ี เพราะเราไดม้ โี อกาสในการสื่อสารกันมากขึ้น ”พอ่ หลวงไตรภพ อี ก บ ท บ า ท ห นึ่ ง ข อ ง ก ร ม ส่ ง เ ส ริ ม คุ ณ ภ า พ นจี้ งึ เปน็ บทบาททสี่ �ำ คญั ของกรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพ ส่ิงแวดล้อมในโครงการนี้ คือ การสร้างกลไก ส่ิงแวดล้อมในการทำ�หน้าท่ีเป็นส่ือกลางเช่ือม ให้เครือข่ายส่ิงแวดล้อมม้งดอยสุเทพ – ปุย ให้เกิดการเรียนรู้ และสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี สามารถเข้าร่วมเป็นเครือข่ายอาสาสมัครของ ระหว่างชาวบ้าน คนเมือง และหน่วยงานภาค หน่วยงานภาครัฐ ซ่ึงเป็นการสร้างบทบาททาง รัฐในพื้นท่ี เปลี่ยนคู่ขัดแย้งด้วยความเข้าใจ สังคมอย่างเป็นทางการให้กับคนบนดอย และ เปล่ียนมายาคติเป็นความร่วมมือ ช่วยคล่ีคลาย เ ป็ น ก า ร เ ปิ ด พ้ื น ที่ ส า ธ า ร ณ ะ ใ ห้ ค น ด อ ย หมอกควันท่ีบดบังความจริงให้จางหายไปจาก สามารถส่ือสารระดับนโยบายในเวทีสำ�คัญๆ พ้ืนท่ี ดอยสุเทพ-ปุย เฉกเช่นที่พ่อหลวง เช่น ผู้แทนจากเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้ง ไตรภพ มกั พดู เสมอว่า ถ้าทกุ คนไมไ่ ด้หันหนา้ มา 12 หมู่บ้าน ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ พดู คยุ กนั แลว้ มองไปทางไหนเรากจ็ ะเจอแตห่ มอก เ ค รื อ ข่ า ย อ า ส า ส มั ค ร พิ ทั ก ษ์ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ควัน หมู่บ้าน (ทสม.) ในระดับจังหวัดเชียงใหม่ ทำ�ให้เกิดการยอมรับและเกิดการสนับสนุน ก า ร ทำ � ง า น ซ่ึ ง กั น แ ล ะ กั น แ บ บ กั ล ย า ณ มิ ต ร ระหว่างชาวบา้ น คนเมือง และหน่วยงานราชการ 39
แนวทางการขับเคลื่อนของเครอื ขา่ ยม้ง (14จงั หวัด) ในประเทศไทย และบทบาท ของกรมสง่ เสริมคุณภาพสิง่ แวดลอ้ ม กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมด�ำเนินโครงการเสริมสรา้ งเครือขา่ ย อาสาสมัครเฝา้ ระวงั ไฟป่า ลดหมอกควัน พ้ืนท่ดี อยสเุ ทพ-ปุย และ พ้ืนที่โดยรอบร่วมกับหนว่ ยงานและเครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ ในพ้นื ที่ โดยมเี ครือข่ายสง่ิ แวดลอ้ มมง้ 5 หม่บู ้านเป็นกลไกส�ำคญั ในการขับเคลอ่ื น ผนู้ �ำเครือขา่ ยสง่ิ แวดลอ้ มมง้ ดอยสุเทพ-ปยุ 5 หมู่บา้ น เขา้ รว่ มเป็น เครอื ข่าย ทสม. ตามนโยบายบรู ณาการอาสาสมคั ร ทส. เครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้ง 5 หมู่บา้ น ขยายเครอื ข่ายสง่ิ แวดลอ้ มมง้ ดอยสุเทพ-ปุยเปน็ 12 หมบู่ ้าน และสนบั สนนุ กจิ กรรมเครือข่าย เยาวชนมง้ 8 จงั หวัดจัดกิจกรรมเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้านไฟป่า ลดหมอกควัน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมรว่ มกบั ผ้นู �ำเครือข่ายส่งิ แวดล้อมม้ง 12 หมบู่ า้ น และผนู้ �ำเครือข่ายมง้ จังหวดั เชยี งใหม่ ยกระดับการท�ำงาน ด้านสง่ิ แวดลอ้ มจากจงั หวดั เชยี งใหม่ไปสู่เวทสี มชั ชาม้งระดบั ประเทศ ป 2557 40
ป 2558 กรมสง่ เสรมิ คณุ ภาพสงิ่ แวดล้อมร่วมกับ ป 2560 -2561 เครือข่ายม้งจงั หวัดเชยี งใหม่เปน็ เจา้ ภาพ กรมส่งเสรมิ คณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ มรว่ มกบั จัดเวทีการประชมุ สมชั ชาประจ�ำปี เครือข่ายส่ิงแวดล้อมดอยสุเทพ-ปุย เครือข่ายมง้ แห่งประเทศไทยปี 2558 สมาคมม้งและคณะกรรมการเครอื ข่ายม้ง แหง่ ประเทศไทย เครอื ขา่ ยมง้ จงั หวดั เชยี งใหม่ เกิดปฏญิ ญาความร่วมมือดอยอนิ ทนนท์ จัดประชุมสมชั ชาประจ�ำปเี ครอื ข่ายม้งแห่ง จากการประชมุ สมชั ชาม้งฯ ปี 2560 ประเทศไทยปี 2560-2561 โดยยกใหว้ าระ ทป่ี ระชุมมีมติให้บรรจุวาระเร่อื งทรพั ยากร ด้านทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มเป็นวาระส�ำคัญ เป็นประเดน็ ส�ำคัญ และดึงความรว่ มมือ ในการขบั เคลือ่ นเครอื ขา่ ยมง้ ทวั่ ประเทศ จากเครอื ขา่ ยนักธุรกจิ ม้ง และเครอื ขา่ ย 18 ตระกลู แซ่ เขา้ มามบี ทบาทในการสนบั สนนุ กรมส่งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล้อมร่วมกับ การท�ำงานดา้ นสงิ่ แวดล้อม สมาคมม้งและคณะกรรมการเครือข่ายม้ง แห่งประเทศไทย เครือขา่ ยม้งจังหวดั ตาก จดั ประชุมสามญั ประจ�ำปเี ครือข่ายมง้ แห่งประเทศไทยปี 2559 เพ่ือหาแนวทาง การขับเคล่ือนทรพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในระดับประเทศท่ีสอดคล้อง กับมติ ิดา้ นสังคม วฒั นธรรม จารีตประเพณี และเศรษฐกจิ ป 2559 41
42
กองทนุ หนุนพลังดบั ไฟ อีกฝากหน่ึงของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อวดความสวยงามอยู่บนดอยหลายแห่งทาง 1 ช่ัวโมง พ้ืนที่ส่วนใหญ่ต้ังอยู่ในเขตอุทยาน ในเขต ต. แม่แรม อ. แม่ริม ซ่ึงอยู่ไม่ไกลจาก ภาคเหนือ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างมุ่งหน้ามา แ ห ่ ง ช า ติ ด อ ย สุ เ ท พ - ปุ ย อ า ศั ย ตั้ ง บ ้ า น ตัวเมอื ง เป็นทต่ี ั้งของศนู ย์พฒั นาโครงการหลวง ยลโฉมความงดงามของซากุระเมืองไทยที่หน่ึงปี เ รื อ น อ ยู ่ ต า ม ท่ี ร า บ แ ล ะ แ น ว ล�ำ ห ้ ว ย ก ล า ง หนองหอยและชุมชนชาวม้ง เมื่อไม่กี่ปีท่ีผ่าน จะบานสะพร่ังท่ัวท้ังดอยในช่วงเวลาสั้นๆ แม้วันนี้ หุบเขาที่ระดับความสูงประมาณ 1,300 พ้ืนที่ดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียงถูกพัฒนา นักท่องเท่ียวจะบางตา เพราะไม่ใช่วันหยุดเสาร์ เมตร พ้ื น ท่ี ต อ บ บ น ส ่ ว น ใ ห ญ ่ เ ป ็ น พื้ น ที่ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวส�ำคัญอีกแห่งหน่ึง อาทิตย์ แต่เต้นท์ท่ีเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว ลมุ่ นำ�้ แมแ่ รม และอกี สว่ นหนง่ึ ทางตอนใตเ้ ปน็ พนื้ ที่ ของเมืองเชียงใหม่ เพราะด้วยเหตุว่าพ้ืนท่ีนี้ ก็พอบอกได้ว่านักท่องเที่ยวแวะเวียนมาท่ีนี้กัน ของลุ่มน�้ำแม่สา แหล่งต้นน�้ำส�ำคัญที่ไหลลงสู่ มีธรรมชาติที่สวยงาม อากาศเย็นสบาย และ จ�ำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ท่ีม่อนวิวงาม 1 ใน แม่น�้ำปิง มีพ้ืนท่ีหมู่บ้านประมาณ 12,000 ไร่ ประกอบกับในบริเวณใกล้เคียงยังมีแหล่ง 11 ม่อน ซ่ึงต้ังอยู่ในเขตหมู่บ้านหนองหอยเก่า เป็นพื้นที่ป่าที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลประมาณ ท่องเท่ียวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น ก็เป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งท่ีอยู่ในโซนเดียว 2,000 ไร่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ท�ำการเกษตร น้�ำตกแม่สา และสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จ กับศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย และ ปลูกผักผลไม้ส่งขายให้โครงการหลวง พอถึง พระนางเจ้าสิริกิตติ์ จึงท�ำให้นักท่องเที่ยวจาก เป็นหน่ึงในหมู่บ้านชาวม้งท่ีโครงการหลวงเข้ามา ฤดูหนาวก็หันมาท�ำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ ท่ั ว ส า ร ทิ ศ ห ลั่ ง ไ ห ล เ ข ้ า ม า ยั ง พื้ น ท่ี แ ห ่ ง นี้ สง่ เสรมิ และพฒั นาอาชพี ใหก้ บั ชาวบา้ น โดยแนะน�ำ บริการนกั ท่องเทีย่ ว เปน็ จ�ำนวนมากโดยเฉพาะในชว่ งฤดหู นาว การปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนการปลูกฝิ่น จะว่าไปชาวม้งบ้านหนองหอยเก่านอกจากจะมี และการท�ำไร่เลื่อนลอย รวมถึงพัฒนาให้เป็น คุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนจากพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของ ยามเช้าบนยอดดอยแม้แสงแดดจะแรง แต่ก็ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วเช่นเดียวกับดอยอ่างขาง ตัง้ แต่ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ยังไม่ท�ำให้รู้สึกอุ่นขึ้นเท่าใดนัก เพราะด้วยความ ปี 2548 ที่ทรงริเร่ิมส่งเสริมการพัฒนาอาชีพสร้างรายได้ กดอากาศสูงท่ีแผ่ปกคลุมไปท่ัวภาคเหนือ และ ทดแทนการปลูกฝิ่นแล้ว การท่องเท่ียวชุมชน ระดับความสูงบริเวณม่อนวิวงาม ยิ่งเป็นไป หมู่บ้านหนองหอยเก่า ต้ังอยู่ที่ ต.แม่แรม กไ็ ดก้ ลายมาเปน็ แหลง่ รายไดท้ ส่ี �ำคญั ของชาวบา้ น ไม่ได้เลยที่จะรู้สึกอุ่นสบาย เดือนมกราคม อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ ห่างจากเมืองเชียงใหม่ และเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวยังคืนกลับไปใช้ ดอกนางพญาเสือโคร่งก�ำลังชูช่อแบ่งบาน เพียงแค่ 36 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ ใ น ก า ร พั ฒ น า ห มู ่ บ ้ า น แ ล ะ ดู แ ล ท รั พ ย า ก ร ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมรอบๆ หมบู่ า้ นด้วย 43
“นับตัง้ แต่โครงการหลวงเข้ามาส่งเสรมิ อาชีพปลกู ผกั เมืองหนาวแทนการปลูกฝิน่ ต้ังแตป่ ี 2524 ชวี ิตชาวบ้าน เร่ิมดขี ้ึน ภูเขาที่เคยเปน็ ไร่ฝ่ินทีป่ ลกู กนั ไปตามแนวลาดชนั ของภูเขา ก็กลายเป็นแปลงผกั เมืองหนาวทีม่ ีระบบการปลกู แบบข้ันบันไดเพ่อื อนุรักษด์ นิ และนำ้� เจา้ หน้าท่ีสง่ เสรมิ จาก โครงการหลวงเขา้ ไปให้ความรู้ในการปลกู ผกั ชาวบา้ นได้รบั อนญุ าตให้ใช้พ้นื ทเี่ ดิมทเ่ี คยปลูกฝิน่ มาท�ำการเกษตร มอี าชีพถูกกฎหมาย เม่ือการเดินทางสะดวกขน้ึ ประกอบกับ ทน่ี ี่มีววิ ทิวทศั น์และแปลงผกั ทีส่ วยงาม และโครงการหลวง เรม่ิ สง่ เสริมการท่องเที่ยวที่มอ่ นแจม่ ข้ึน ย่งิ ท�ำให้นกั ท่องเท่ยี ว เพิ่มมากข้ึน เกดิ แหล่งทอ่ งเที่ยวใหม่อกี หลายจุดตาม มอ่ นต่าง ๆ ทีก่ ระจายอยู่ในชมุ ชน ตอนนี้มี 11 มอ่ นแล้ว กลายเป็นทางเลือกใหมข่ องชาวบ้านทีจ่ ะมรี ายได้จาก การท่องเทยี่ วนอกเหนือจากการท�ำการเกษตรเพียง อยา่ งเดียว แตพ่ วกเรากไ็ ม่ลมื วา่ จุดเด่นเรือ่ งทอ่ งเท่ยี ว ที่บ้านของเรา คอื ความสวยงามและความเป็นธรรมชาติ ของพ้ืนที่ ดังน้นั ต้นไม้จึงเปน็ สว่ นส�ำคัญที่จะท�ำให้ บรรยากาศของหมบู่ ้านนา่ ท่องเที่ยว ชาวบ้านหลายคน ไดส้ ละทีด่ นิ ของตนเอง เพอื่ ปลูกปา่ เราหากินกบั ทรัพยากร เราก็ตอ้ งชว่ ยกันดแู ล ”พอ่ หลวงสรุ ินทร์ นทีไพรวลั ย์ ผใู้ หญ่บา้ นหนองหอยเกา่ และประธานเครือขา่ ยส่งิ แวดลอ้ มม้งดอยสุเทพ – ปุย เล่าถึงที่มาของการท่องเทยี่ วท่เี กิดข้นึ ในชมุ ชน 44
Mon Jam (Mae Rim) แนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ป่าต้นน้�ำและการจัดการ ส่วนใหญ่เมอื่ ถงึ ชว่ งฤดูแลง้ แม้ชาวบ้านจะออกไป ไฟป่าของหมู่บ้านเกิดขึ้นมากว่า 20 ปีแล้ว ท�ำสวนไกลแค่ไหน ก็จะกลับมาท่ีหมู่บ้านเพื่อ ท่ีน่ีมีการแบ่งโซนท่ีดินท�ำกินกับเขตป่าอนุรักษ์ ชว่ ยกนั ท�ำแนวกนั ไฟและออกลาดตระเวนปอ้ งกนั ออกจากกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการต้ัง ไฟป่า เพราะถือว่าส่ิงน้ีเป็นหน้าที่ของทุกคน กลมุ่ เพอ่ื ดแู ลแนวปา่ เดมิ ในชมุ ชน และในชว่ งเดอื น ในชมุ ชน กุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคมของทุกปี ชาวบ้านจะ ชว่ ยกนั ท�ำแนวกนั ไฟระยะทางยาวถงึ 23 กโิ ลเมตร จุดเด่นของชุมชนบ้านหนองหอยเก่าไม่ใช่แค่ รวมถึงมีการจัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่าวันละ ประมาณ 10 คน ต้ังแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ถึง เร่ืองการท่องเที่ยวและการช่วยกันดูแลผืนป่า 15 พฤษภาคม นอกจากนี้ชาวบ้านยังช่วยกัน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าบริเวณยอดดอย และ ดอยสุเทพ-ปุย เท่าน้ัน แต่เป็นสิ่งที่ชาวบ้าน ตลอดแนวเขตของหมู่บ้านด้วย เช่น การจัด กิจกรรมปลูกป่าร่วมกับโครงการหลวงเป็น ช่วยกันคิดเพื่อน�ำโอกาสจากการท่องเท่ียวมา ประจ�ำทกุ ปี ต่อยอดสู่การพัฒนาชุมชนและการบริหาร ธรรมเนียมอย่างหนึ่งท่ีผู้ชายทุกคนของบ้าน หนองหอยเก่าถือปฏิบัติกันมาโดยตลอด คือ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ชายท่ีแต่งงานแล้วทุกคนมีหน้าที่ต้องดูแล รกั ษาปา่ และชว่ ยกนั ปอ้ งกนั ไฟปา่ ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม บนความย่ังยืนต่างหากท่ีท�ำให้หมู่บ้านเล็กๆ ก็จะต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 200 บาท แต่โดย กลางป่าแห่งนี้โดดเด่น และกลายเป็นหมู่บ้าน ทสี่ ามารถพึ่งพาตนเองได้ เม่อื ไม่กปี่ มี าน้ชี าวบ้าน ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยว เชิงเกษตรม่อนแจ่มข้ึน เพ่ือบริหารจัดการ การท่องเท่ียวในหมู่บ้านให้เป็นระบบระเบียบ และน�ำผลก�ำไรจากกิจกรรมการท่องเที่ยวมาใช้ ใหเ้ กิดประโยชนก์ บั ชุมชน 45
Community ระบบการบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชน Enterprises เกิดขึ้นจากการเห็นพ้องต้องกันของคนในชุมชน โดยชุมชนตกลงกันว่า ให้มีการก�ำหนดอัตรา 46 การจัดเก็บรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ากองทุน ดังน้ี คือ ม่อนต่างๆ ในหมู่บ้านจะสมทบเข้ากลุ่ม มอ่ นละ 15,000 - 50,000 บาทตอ่ ปี (ขึน้ อย่กู ับ ความหนาแนน่ ของธรุ กจิ ทอ่ งเทย่ี ว) วนิ มอเตอร์ไซค์ และกลุ่มล้อเล่ือนจะสมทบร้อยละ 2 บาทของ รายได้ และถ้าเป็นร้านค้าท่ัวไปในชุมชนจะจัดเก็บ วันละ 15 บาท ซ่ึงเงินตรงนี้จะน�ำไปใช้ในงาน สาธารณะประโยชน์ของหมู่บ้าน เช่น จัดสรร เป็นเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ คนละ 800 บาท ต่อเดือน รวมถึงแยกไว้เป็นกองทุนสิ่งแวดล้อม เพ่ือใช้ในกิจกรรมปลูกป่า ท�ำแนวกันไฟ และ การจัดการขยะ ภายหลังจากท่ีชุมชนน�ำเงิน รายได้จากการท่องเท่ียวมาจัดสรรในรูปของ กองทุน ท�ำให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการ ชุมชนของตนเองได้อย่างคล่องตัว และสามารถ พ่ึงพาตนเองได้มากขนึ้ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณี ของการบริหารจดั การขยะ ปกติแล้วเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถน่ิ ทจ่ี ะเขา้ มาดแู ลเรอื่ งการเกบ็ ขน และการน�ำ ขยะไปก�ำจัด แต่ส�ำหรับที่บ้านหนองหอยเก่า เทศบาลต�ำบลแม่แรมไม่ต้องมาเก็บขนขยะ ใหช้ าวบา้ น แตช่ าวบา้ นจะใชเ้ งนิ กองทนุ สงิ่ แวดลอ้ ม จ้างรถมาเก็บขนขยะเป็นประจ�ำทุกวันศุกร์ เพ่ือน�ำไปทิ้งท่ีบ่อขยะของเทศบาล หรือการน�ำ
เงินกองทุนสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการจัดหาเสบียง “เนือ่ งจากในชว่ งท่ีผา่ นมามอ่ นแจ่มมีคนมาเท่ยี วเยอะ ผปู้ ระกอบการร้านคา้ ให้กับชาวบ้านที่ออกไปท�ำแนวกันไฟ ส่ิงเหล่าน้ี และทพ่ี กั กผ็ ุดขึน้ เป็นจ�ำนวนมาก ไม่มีการจัดระเบียบ ท�ำให้เกิดปญั หาขยะ ท�ำให้ชาวบ้านไม่จ�ำเป็นต้องรองบประมาณจาก และความไม่เปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ผมคิดวา่ ถ้าจะให้เกิดการบริหารจดั การทดี่ ี ทางราชการ และท่ีส�ำคัญเงินกองทุนที่ชาวบ้าน เราตอ้ งรวมกลมุ่ กันในลกั ษณะของกลมุ่ วิสาหกจิ ชมุ ชน ผมจงึ น�ำเร่อื งน้ี ช่วยกับบริหารยังใช้อุดหนุนกิจการสาธารณะ ไปปรึกษากับโครงการหลวงหนองหอย ก็เลยเกดิ การรวมกลุ่มกันขน้ึ มา กศุ ลตา่ งๆ ในทอ้ งถน่ิ ดว้ ย ปจั จบุ นั มเี งนิ หมนุ เวยี น สมาชิกของเราก็มีตั้งแต่ผู้ใหบ้ ริการบ้านพกั วนิ มอเตอร์ไซค์ กลมุ่ ล้อเลื่อนไม้ ในกองทุนหลายลา้ นบาท ร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร เมือ่ เปน็ กลมุ่ วสิ าหกิจชุมชนแลว้ เรากต็ กลงกันว่าในแต่ละม่อนจะต้องปันส่วนผลก�ำไร ทีเ่ กดิ จากกจิ กรรม จุดแข็งในการบริหารจัดการกองทุนของบ้าน การทอ่ งเทย่ี วน�ำมาจดั ต้งั เปน็ กองทุนพฒั นาชมุ ชน และกองทุนส่ิงแวดล้อม หนองหอยเก่า คือ การแยกส่วนระบบการ ของหมู่บ้าน เช่น น�ำเงนิ ตรงน้ีไปสง่ เสรมิ เรอื่ งการศึกษา โดยน�ำไปบริจาค จัดเก็บ ออกจากระบบการส่ังจ่าย พูดให้ง่ายขึ้น ใหโ้ รงเรียน ในเรื่องของการจดั การขยะ กน็ �ำเงินไปมอบให้กลุ่มที่เขารบั ผิดชอบ ก็คือ คนที่จัดเก็บเงินจะไม่มีอ�ำนาจในการส่ังจ่าย เรือ่ งความสะอาด หรอื ในเรือ่ งของการดูแลรักษาปา่ และการป้องกันไฟปา่ เงิน และคนท่ีมีอ�ำนาจในการส่ังจ่ายเงิน ก็ไม่มี กน็ �ำเงินส่วนน้ีไปใช้เปน็ คา่ อาหารและนำ้� ด่ืมใหก้ ับชาวบา้ นที่ไปชว่ ยกนั ท�ำแนวกนั ไฟ อ�ำนาจในการถือเงิน และการน�ำเงินไปใช้ใน และเฝา้ ระวังไฟป่า การบรหิ ารจดั การในลักษณะน้ที �ำใหเ้ กดิ เปน็ กองทนุ หมนุ เวียน กิจการใดก็แล้วแต่ ต้องขึ้นอยู่กับมติของ ท่จี ะน�ำเงินไปท�ำประโยชน์ใหก้ ับชุมชน ซึง่ เม่อื กอ่ นเราไมเ่ คยมแี บบนี้ คณะกรรมการกองทุนเท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการ ในชว่ งแรกเราก็ต้องท�ำความเขา้ ใจกบั ชาวบ้าน ท�ำให้เขาเข้าใจวา่ กองทุนก็มาจากผู้แทนของม่อนต่างๆ ซ่ึงระบบ การที่เราท�ำแบบน้ี เป็นการรกั ษาผลประโยชน์รว่ มกนั ของทุกคนในชุมชน การบริหารจัดการที่แยกส่วนอ�ำนวยการและ เพราะการน�ำเงนิ ไปใชใ้ นการดูแลทรัพยากรธรรมชาตซิ ่งึ เปน็ แหล่งท�ำมาหากิน ฝ่ายบัญชีและการเงินออกจากกัน จึงท�ำให้ และแหล่งรายได้ เป็นสงิ่ จ�ำเป็น ถา้ เราไมช่ ่วยกนั หาวธิ จี ัดการที่ดวี ันหน่ึง การบรหิ ารกองทนุ เกดิ ความโปรง่ ใสและนา่ เชอ่ื ถอื ”ผลกระทบมันก็จะสะทอ้ นกลับมาทช่ี าวบา้ น ผมมองว่า ถ้าจะท�ำให้มันย่งั ยืน ท�ำให้กองทุนของบ้านหนองหอยเก่าเติบโต สร้าง ทุกคนก็ตอ้ งยอมเสียบ้าง แตท่ กุ คนจะได้ประโยชน์ในระยะยาว ประโยชน์ใหก้ บั ชมุ ชนและสง่ิ แวดลอ้ มอยา่ งแทจ้ รงิ พอ่ หลวงสุรินทร์ เลา่ ถึงท่มี าของแนวคิดในเรอื่ งน้ี 47
48
สาระส�ำคัญในการจะดูแลทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนยี้ งั มกี ารการระดมทนุ และขอรบั บรจิ าค และสิ่งแวดลอ้ ม โดยใช้การบริหารจัดการกองทนุ เสบยี งอาหาร ในการแกไ้ ขปญั หาไฟปา่ หมอกควนั ชุมชนเข้ามาช่วยหนนุ เสริม พอ่ หลวงสุรนิ ทรบ์ อก ในรูปแบบกองทุนไฟป่าระดับชุมชน และระดับ ว่า เครือข่าย เช่น การจัดตั้งกองทุนเครือข่าย สง่ิ แวดลอ้ มมง้ ในการเฝา้ ระวงั ไฟปา่ ลดหมอกควนั “ก่อนอืน่ ชาวบา้ นต้องมรี ายได้ อย่างกรณขี องบา้ นหนองหอยเกา่ ชาวบา้ นมรี ายไดจ้ าก ดอยสุเทพ-ปุยและพ้ืนที่โดยรอบในชุมชนชาวม้ง ทงั้ 12 หมู่บา้ น โดยพอ่ หลวงยงิ่ ยศ หวังวนวฒั น์ ทรัพยากรธรรมทมี่ ีอย่ใู นชมุ ชน เมือ่ เขามีรายได้จากสิ่งเหล่านี้ เราก็ตอ้ งชี้ให้เขาเห็นถงึ อดีตผู้ใหญ่บ้านม้งดอยปุย ได้บริจาคเงินต้ังต้น คณุ ค่าความส�ำคัญดว้ ย เมื่อเขาใช้ทรพั ยากร เขาก็ต้องดแู ล และจ่ายคืนให้กับธรรมชาติ เข้ากองทุนจ�ำนวน 10,000 บาท ซ่ึงชาวบ้านได้ แตส่ ิ่งส�ำคญั ของการบรหิ ารจัดการกองทุนให้ส�ำเร็จกค็ อื ต้องไมม่ ีนายทนุ เขา้ มาเก่ยี วข้อง ช่วยกันวางระบบการบริหารจัดการกองทุน เพราะถา้ เปน็ อยา่ งนนั้ แลว้ บางคร้ังจะเกดิ ข้ออ้างไดว้ า่ ฉันเสยี ภาษีแล้ว ท�ำไมฉันต้องจา่ ย ใหม้ คี วามโปร่งใสและมีประสทิ ธภิ าพ ถา้ เป็นแบบน้ี ทกุ คนก็จะไมจ่ า่ ยเหมือนกัน ส�ำหรบั ที่หมู่บา้ นของเรา ธรุ กิจการทอ่ งเทีย่ ว การบรหิ ารจดั การกองทนุ สง่ิ แวดลอ้ มอยา่ งยงั่ ยนื อยู่ในมือชาวบา้ นร้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ ปญั หาแบบนจี้ งึ ไมเ่ กิดข้นึ ที่เปน็ แบบน้ไี ด้เพราะวา่ (กองทนุ ไฟปา่ ชมุ ชน) ของบา้ นหนองหอยเกา่ โดย ที่ดนิ ทุกตารางนว้ิ บนดอยลกู นไ้ี มม่ โี ฉนด เพราะฉะนน้ั คนที่จะมาซ้ือต้องมาถามผู้ใหญบ่ ้านวา่ น�ำเงินจากวิสาหกิจชุมชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และการจดั ต้ังกองทุนเครือข่ายส่งิ แวดล้อมมง้ ใน ซอื้ ได้ไหม ซอ้ื แลว้ ปลอดภัยไหม ถา้ ผนู้ �ำดี กจ็ ะบอกว่าอย่าซอ้ื เลย ถา้ คณุ ซอ้ื การเฝ้าระวังไฟป่า ลดหมอกควันดอยสุเทพ-ปุย เพือ่ ปลูกบ้านเลก็ ๆ อย่กู ไ็ ม่เปน็ ไร แต่ถา้ ท�ำเปน็ สถานท่ีทอ่ งเท่ียวใหญ่โต และพ้ืนท่ีโดยรอบ เป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้าง จะผิดกฎหมาย อีกอยา่ งเรามกี ฎของชุมชนวา่ ท่ดี ินเป็นของชาวบ้าน การมีส่วนรวมของคนในชุมชน เพื่อสนับสนุน กจิ กรรมดา้ นการเฝา้ ระวงั ไฟปา่ ลดหมอกควนั และ แต่ทรพั ยากรธรรมชาติ เช่น ป่าและนำ�้ จะบริหารจัดการโดยผ่านคณะกรรมการหม่บู า้ น ส่ิงแวดล้อม และแสดงให้เห็นถึงความพยามยาม การจะจัดสรรทรัพยากรเหล่านใ้ี ห้กับคนในชมุ ชนจงึ ขึน้ อยกู่ บั คณะกรรมการหมบู่ ้าน ของชุมชนที่ต้องการลุกข้ึนมาสร้างความย่ังยืน ดงั นน้ั ถ้าคณุ จะซือ้ ทด่ี ินก็ได้ แต่เราจะไม่ยอมจดั สรรนำ�้ ให้คณุ เพราะน�ำ้ บนดอยหายาก ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและจัดการ เราจงึ จ�ำเป็นตอ้ งบริหารจดั การใหพ้ อเพยี ง เราใช้วธิ นี ี้จึงท�ำให้นายทนุ เขา้ มาไมไ่ ด้ กับปัญหาด้วยศักยภาพที่ชุมชนมี กองทุน หนุน อีกสิ่งหนงึ่ ท่สี �ำคญั ส�ำหรับการจดั การกองทนุ ชมุ ชน ก็คอื ผนู้ �ำเองจะต้องซอ่ื สัตย์ พลงั ดบั ไฟ จงึ เปน็ อกี หนง่ึ ปจั จยั ทห่ี นนุ เสรมิ ใหก้ าร ต้องท�ำให้ชาวบา้ นรู้สึกว่าเงินทีเ่ ขาจา่ ยมานนั้ มันถูกน�ำไปใชอ้ ยา่ งคุ้มค่า แก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันมีประสิทธิภาพมาก ผมว่าถา้ ทกุ หมู่บ้านท�ำแบบนีก้ ารขบั เคล่อื นกองทุนมนั ท�ำได้แนน่ อน ยิ่งข้นึ ” 49
50
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110