คานา เอกสารสรุปสาระสาคัญรายวิชาแรงบันดาลใจแห่งชีวิต รหัสวิชา GEN0113 เป็นเอกสารสรุปสาระสาคญั ท่ีเรียบเรียงขึน้ ตามหลกั สตู รระดบั ปริญญา ตรี หมวดวิชาศึกษาท่ัวไป หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 ซึ่งเนือ้ หาได้ ครอบคลุม ความสาคญั ของกระบวนการคิด พืน้ อารมณ์และลกั ษณะการคิด กระบวนทศั น์ใน การผสมผสานความหลากหลายของแนวคิดและกระบวนการคิด กรณีศึกษาจาก ศาสตร์ตา่ งๆ เพือ่ สร้างแรงบนั ดาลใจในการดาเนินชีวิต เนือ้ หาในเอกสารจะประกอบด้วยเนือ้ หา 8 บท โดยเริ่มตัง้ แต่ความรู้ เบือ้ งต้นเก่ียวกับแรงบันดาลใจ กระบวนการคิดของมนุษย์ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อ แรงบนั ดาลใจ แนวคดิ และทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกบั แรงบนั ดาลใจ การสร้างแรงบนั ดาลใจ แรงบนั ดาลใจ จากในหลวงรัชกาลท่ี 9 แรงบนั ดาลใจจากหนงั สือสกู่ ารให้และแบง่ บนั และแรงบนั ดาลใจ สพู่ ฤตกิ รรมสขุ ภาวะ ดังนัน้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารสรุปสาระสาคัญรายวิชาแรง บนั ดาลใจแหง่ ชีวติ เลม่ นี ้จะเป็นประโยชน์ตอ่ นกั ศกึ ษาท่ีใช้ประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชาดงั กล่าวและยงั เป็นประโยชนต่อบุคคลท่ีสนใจในการพฒั นาตนเอง และ ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา นอกจากนี ้ยงั ได้รับความอนเุ คราะห์จากผ้ทู รงคณุ วฒุ ทิ ่ีคอย ให้คาปรึกษาในการเรียบเรียงและปรับปรุงเนือ้ หา จึงขอขอบพระคุณทุกท่านเป็น อยา่ งยง่ิ มา ณ โอกาสนี ้ สานกั วชิ าการศกึ ษาทว่ั ไปและนวตั กรรมการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ มิถนุ ายน พ.ศ. 2562 ก
สารบัญ หน้า ก คานา ข สารบญั ค สารบัญภาพ 1 1 บทที่ 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ียวกบั แรงบนั ดาลใจ 3 1.1 แรงบนั ดาลใจ 6 1.2 กระบวนการเกิดแรงบนั ดาลใจ 7 1.3 รูปแบบของแรงบนั ดาลใจ 9 1.4 แรงบนั ดาลใน จดุ กาเนิดในการสร้างสรรค์ผลงาน 11 สรุป 11 14 บทที่ 2 กระบวนการคิดของมนษุ ย์ 17 2.1 ความสาคญั ของกระบวนการคดิ 19 2.2 ปัจจยั ท่ีสง่ เสริมกระบวนการคิด 22 2.3 ลกั ษณะของการคดิ 25 2.4 การคดิ เชิงบวก 27 2.5 การจดั ระเบียบความคดิ 28 สรุป 32 35 บทที่ 3 ปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ แรงบนั ดาลใจ 38 3.1 แหลง่ ท่ีมาของแรงบนั ดาลใจ 41 3.2 แรงบนั ดาลใจสคู่ วามคดิ สร้างสรรค์ 41 3.3 แรงบนั ดาลใจกบั ตวั ตน 42 สรุป ข บทที่ 4 แนวคดิ และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกบั แรงบนั ดาลใจ 4.1 แนวคดิ และทฤษฎีรู้คิด 4.2 แนวคดิ และทฤษฎีการเรียนรู้
สารบัญ (ต่อ) หน้า 44 4.3 แนวคดิ และทฤษฎีความคดิ สร้างสรรค์ 48 4.4 กระบวนการของการคดิ สร้างสรรค์ สรุป 53 บทท่ี 5 การสร้างแรงบนั ดาลใจ 55 5.1 กระบวนการสร้างสรรค์ 56 5.2 บคุ ลิกภาพของผ้สู ร้างแรงบนั ดาลใจ 58 5.3 การถ่ายทอดแรงบนั ดาลใจ 61 สรุป 63 บทที่ 6 แรงบนั ดาลใจจากในหลวงรัชกาลท่ี 9 65 6.1 ยา่ งตามรอยเท้าพอ่ 66 6.2 ทรงเป็นผ้รู ิเริ่มอยา่ งสร้างสรรค์ 67 6.3 กรณีศกึ ษา 75 สรุป 76 บทท่ี 7 แรงบนั ดาลใจจากหนงั สือ สกู่ ารให้และแบง่ ปัน 77 7.1 หนงั สอื คอื แสงสวา่ งในใจเธอ 78 7.2 หนงั สอื เปลี่ยนชีวิต 81 7.3 แรงบนั ดาลในโลกของการอ่าน 82 สรุป 85 บทที่ 8 แรงบนั ดาลใจ สพู่ ฤตกิ รรมสขุ ภาวะ 87 8.1 องค์ประกอบของสขุ ภาวะ 88 8.2 พฤตกิ รรมสขุ ภาวะ 89 8.3 แรงบนั ดาลใจ สพู่ ฤตกิ รรมสขุ ภาวะ 93 สรุป 98 บรรณานุกรม ค
สารบญั ภาพ หน้า ภาพที่ 1.1 กระบวนการเกิดแรงบนั ดาลใจ 4 ภาพที่ 1.2 รูปแบบท่ีเกิดแรงบนั ดาลใจจากภายใน 6 ภาพที่ 1.3 จดุ กาเนิดในการสร้างสรรค์ผลงาน 7 ภาพที่ 2.1 หน้าที่สมองซกี ซ้ายและซกี ขวา 15 ภาพที่ 2.2 มายแมพ (Mind Map) 22 ภาพที่ 3.1 จงลงทนุ เพื่อเพ่มิ มลู คา่ ”ให้กบั ตวั เอง“อยเู่ สมอ 27 ภาพท่ี 3.2 ชดุ เกราะโบราณ ที่ พพิ ิธภณั ฑ์ศิลปะเมโทรโปลติ นั 29 ภาพที่ 3.3 สงิ โตทะเลในสวนสตั ว์อะซาฮิยามา่ (Asahiyama Zoo) 30 ฮอกไกโด (Hokkaido) ประเทศญ่ีป่นุ ภาพที่ 3.4 บรรยากาศเมอื ง เลห์ ลาดกั (Leh Ladakh) ประเทศอนิ เดยี 31 ภาพที่ 3.5 ยง่ิ ตงั้ เปา้ หมายไว้สงู ยิ่งผลกั ดนั คณุ สคู่ วามสาเร็จ 35 ภาพที่ 3.6 ลาดบั ของความคดิ สร้างสรรค์ 37 ภาพที่ 4.1 : การปฏิสมั พนั ธ์ในทฤษฎีสงั คมเชิงการรู้คิด 43 ของอตั เบริ ์ต แบนดรู า ภาพที่ 4.2 ภาพแสดงสมรรถภาพด้านความคดิ สร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด 48 ภาพท่ี 5.1 กระบวนทศั น์ของการสร้างแรงบนั ดาลใจ 58 ง
บทท่ี 1 ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับแรงบันดาลใจ เตชติ เฉยพว่ ง แรงบนั ดาลใจเป็ นสิ่งสาคญั ในการดาเนินชีวิต เราจึงต้องสามารถเข้าใจ ความหมายความสาคญั กระบวนการเกิดแรงบนั ดาลใจ และรูปแบบของแรงบนั ดาลใจ เพ่ือท่ีจะสามารถนาแรงบนั ดาลใจเหล่านัน้ มาใช้ประโยชน์ในการดาเนินชีวิตของ ตวั เอง และสามารถสง่ ตอ่ แรงบนั ดาลใจให้กบั ผ้อู ่ืนได้อีกด้วย 1.1 แรงบนั ดาลใจ หลายครัง้ เรามกั มีคาถามวา่ จะหาแรงบนั ดาลใจหรือ Inspiration ได้จากท่ีไหน มนั เป็นเรื่องไม่ยากแตก่ ็ไมง่ า่ ยเสียทีเดียว ในการค้นหาแรงบนั ดาลใจนนั้ สิ่งสาคญั คือ การที่เรารู้จกั และเข้าใจตวั เองว่าเราชอบและไม่ชอบส่ิงใด ถ้าเราเริ่มสังเกตตวั เอง บอ่ ยๆ จนสามารถสร้างโปรแกรมในการคดั กรองส่ิงท่ีชอบและไม่ชอบในชีวิตได้ก็จะ เป็ นเรื่องง่ายในการเลือกสิ่งที่เราสนใจเพื่อนามาใช้ในชีวิตของเรา แรงบนั ดาลใจนนั้ ลอ่ งลอยอย่ใู นอากาศเป็ นสิ่งท่ีไมม่ ีตวั ตนชดั เจน จนเมื่อมนั ได้เข้ามาอย่ภู ายในใจของ เรา ความชดั เจนก็จะคอ่ ยๆ ปรากฏขนึ ้ ทีละนิดจากตวั ของเราเอง ความชดั เจนของแรง บันดาลใจนัน้ จะมากน้อยแค่ไหนก็ขึน้ อยู่กับว่าผู้ที่ถ่ายทอดเร่ืองราวนัน้ มีข้ อมูลที่ นามาแสดงให้ ผู้อ่ืนพบเห็นได้มากน้ อยแค่ไหน ส่ิงสาคัญอยู่ท่ีการสะสมข้อมูล ในเร่ืองนนั้ ๆ เพ่ือนามาสื่อสาร ซึ่งจะทาให้เขาเหลา่ นนั้ เกิดความเข้าใจ ความประทบั ใจ และสามารถส่งตอ่ แรงบนั ดาลใจไปเพ่ือก่อให้เกิดแรงบนั ดาลใจให้กับผ้อู ่ืนได้อีกด้วย (เตชิต เฉยพว่ ง. 2560)
1.1.1 ความหมายและความสาคญั แรงบันดาลใจเป็ นส่ิงที่เกิดขึน้ มาจากภายในเฉพาะของแต่ละ บคุ คลท่ีมีความปรารถนาบางสิ่งบางอย่างและต้องการจะให้ได้ส่ิงนนั้ มา หรือต้องการ ท่ีจะไปให้ถงึ ยงั จดุ หมายท่ีตวั เองต้องการ แรงบนั ดาลใจ หมายถึง พลังท่ีเราทุกคนใช้ในการผลกั ดนั ตนเอง ไม่ว่าจะเป็ นจากความคิดหรือการกระทา เพื่อให้เราเดินไปถึงเป้ าหมายท่ีตัง้ ไว้ ได้สาเร็จ (Patcharee Bonkham. 2560) แรงบนั ดาลใจจงึ เป็ นปรากฏการณ์ที่เกิดจากจิตใจภายในส่งตรงไปยงั สมองและแสดงออกมาเป็ นการกระทา ดงั นนั้ แรงบนั ดาลใจจะมีความหมาย ก็ตอ่ เม่ือ สง่ิ นนั้ ได้ถกู กระต้นุ และกระทาจนประสบผลสาเร็จเป็นท่ีเรียบร้อย ธิวา ธีรนพรัตน์ Fashion Designer CPS กล่าวว่า “แรงบนั ดาลใจ เป็ นเหมือนแรงขบั เคลื่อนให้เราสามารถสร้างสรรค์งานออกมา แรงบนั ดาลใจเหลา่ นนั้ คือ สิ่งที่สะสมจากส่ิงท่ีอยรู่ อบตวั จากการพบเห็น ได้ยิน พูดคยุ แรงบนั ดาลใจนนั้ มีอย่ทู กุ ที่ ทกุ เวลา ขนึ ้ อย่วู า่ เราจะจบั มนั เก็บมาไว้อย่างไรและหยบิ มนั ออกมาใช้ในชว่ งเวลาไหน เพ่ือสามารถสร้ างผลงานท่ีบ่งบอกถึงความเป็ นตัวตนของเราได้อย่างชัดเจน ” (เตชติ เฉยพว่ ง. 2560) “แรงบนั ดาลใจ” เป็ นส่ิงสาคญั เพราะแรงบนั ดาลใจทาให้เรานัน้ มีแรงขบั เคลื่อน แรงบนั ดาลใจเป็ นขมุ พลงั ทงั้ ในการจดุ ระเบดิ แรกเร่ิม และยงั คงเป็ น เคร่ืองหลอ่ เลีย้ งประคบั ประคองให้เราทาสิ่งนนั้ จนสาเร็จลลุ ว่ งไปได้ แรงบันดาลใจ คือการกระต้นุ พลงั แห่งจิตใจด้วยตนเองให้มีพลัง ความมงุ่ มน่ั มีความทะเยอทะยาน เพื่อเอาชนะปัญหาอปุ สรรคขวางกนั้ ความสาเร็จ สรุป “แรงบนั ดาลใจ” จึงหมายถึง พลังของการสร้างสรรค์ที่อย่ใู น ตัวของเรา ที่มีแรงขับเคล่ือนให้ เกิดความคิดและส่งผลถึงการกระทา เพ่ือให้สิ่งท่ี ต้องการนัน้ เป็ นไปอย่างท่ีเราต้องการ ดังนัน้ ในชีวิตของคนเราจึงไม่สามารถขาด แรงบนั ดาลใจได้เลย เพราะแรงบนั ดาลใจนนั้ เป็ นเหมือนกบั ไฟที่คอยสอ่ งนาทางชีวิต ให้แก่เรา 2 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
1.2 กระบวนการเกดิ แรงบันดาลใจ แรงบนั ดาลใจนนั้ มีอยู่ทุกท่ีรอบๆ ตวั เรา การมองหาแรงบนั ดาลใจที่ดีนนั้ จริงๆ แล้วต้องเร่ิมต้นมาจากตวั ของเราเองเสียก่อน เริ่มจากการสงั เกตตวั เองถึงความ ช่ืนชอบและเป้ าหมายที่เราต้องการ จากนนั้ จึงมองหาองค์ประกอบภายนอกเพ่ือเป็ น สว่ นชว่ ยในการสง่ เสริมให้แรงบนั ดาลใจไปสเู่ ป้ าหมายได้สาเร็จ ส่ิงแวดล้ อมกับแรงบันดาลใจ เป็ นส่ิงท่ีสาคัญ เพราะคนเราจะซึมซับ และดึงดดู ส่ิงท่ีได้พบเห็นเข้ามาภายในตวั ของเราและจะนาส่ิงนนั้ มาเป็ นตวั กระต้นุ ความคิดเพ่ือนามาใช้ ในการออกแบบ การอยู่ในสิ่งแวดล้ อมที่เอือ้ กับการสร้ าง แรงบันดาลใจ การคิด การทางานจึงเป็ นอีกประเด็นท่ีมีความสาคญั จึงเป็ นเรื่องท่ีไม่ งา่ ยและไม่ยากสาหรับตวั เราเอง เหมือนเวลาเราต้องการรู้เรื่องอะไรสกั อย่าง เราก็จะ ไปท่ีห้องสมดุ หรือร้านหนงั สือเพ่ือค้นหาในส่ิงที่เราต้องการจะรู้ คณุ เคยรู้สกึ ไหม ทกุ ครัง้ ท่ีเดินเข้าไปในร้านหนงั สือนนั้ เหมือนมีบางสิ่งมากระต้นุ ให้เกิดความสนใจไปเสียทกุ อย่าง หนังสือเร่ืองนีก้ ็น่าอ่าน เร่ืองนัน้ ก็น่าอ่าน แต่พอซือ้ กลับมาบ้านทีไรกลบั กองรวมกัน อย่แู บบที่ยงั ไม่เคยเปิ ดอ่านเสียที ใช่เลย สว่ นหนึ่งนนั้ อาจเป็ นเพราะบ้านของเราไม่มี สภาพแวดล้อมที่เอือ้ กับการจะเปิ ดหนังสือเหล่านนั้ ขึน้ มาอ่านเพียงพอ อาจเพราะ มีส่ิงรบกวนมากมายท่ีคอยดึงความสนใจของเราให้ หันเหไป ดังนัน้ การสร้ าง สภาพแวดล้อมให้เอือ้ กบั การทางานจึงมีความสาคญั เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อม ของเราได้จากสิ่งเลก็ ๆ น้อยๆ อยา่ งเชน่ ปากกาและสมดุ บนั ทกึ ในแบบที่คุณอยากจะใช้ มนั จดบนั ทึกส่ิงท่ีได้พบเห็น รวมไปถึงการจดั ห้องหรือบ้านของคณุ ให้เปลี่ยนไปตาม แรงจูงใจหรือรูปแบบของลกั ษณะงานท่ีคณุ กาลงั ทาอยู่ ส่ิงแวดล้อมจงึ เป็ นจดุ เริ่มต้น แรกท่ีชว่ ยกระต้นุ แรงบนั ดาลใจให้กบั เรา (เตชิต เฉยพว่ ง. 2560) GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 3
กระบวนการเกิดแรงบันดาลใจ ตงั้ เป้ าหมาย ตวั ตน ตดั สนิ ใจ คิด เชื่อ จินตนาการภาพแหง่ ความสาเร็จ ลงมอื ทา อดทน ภาพท่ี 1.1 กระบวนการเกิดแรงบนั ดาลใจ 4 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
1.2.1 ตงั้ เป้ าหมาย มีการตงั้ เป้ าหมายของชีวิตและสง่ิ ที่ตวั เองต้องการ 1.2.2 ตวั ตน ถามถึงตวั ตนท่ีชดั เจน เพ่ือท่ีเราจะก้าวไปได้อยา่ งถกู ต้องไม่หลงทาง 1.2.3 ตดั สินใจ ตดั สนิ ใจในสิ่งท่ีในเป้ าหมายของตวั เองให้ชดั เจน 1.2.4 คดิ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ถึงท่ีมาและเหตุผลของเป้ าหมายเพ่ือ การนาไปสคู่ วามสาเร็จในเป้ าหมายนนั้ 1.2.5 เช่ือ เช่ือในสงิ่ ที่คดิ เช่ือในความสาเร็จที่กาลงั จะเกิดขนึ ้ 1.2.6 จนิ ตนาการภาพแหง่ ความสาเร็จ มองให้เห็นถึงความสาเร็จในอนาคตท่ีเราได้ตงั้ เป้ าหมายไว้ด้วย ความสวยงามอยา่ งที่เราฝันอยากให้เป็น 1.2.7 ลงมือทา ลงมือทาอยา่ งจริงจงั ตามแผนท่ีวางไว้ด้วยความตงั้ ใจ 1.2.8 อดทน อดทนในการลงมือทา อดทนในการรอคอยผลของความสาเร็จนนั้ ดงั นนั้ กระบวนการเกิดแรงบนั ดาลใจจึงมีองค์ประกอบท่ีหลากหลาย และ เป็ นส่วนในการช่วยเหลือและสนับสนุนกันให้เกิดแรงบันดาลใจ เพื่อให้แรงบนั ดาลใจ ของเรานนั้ นาเราไปสู่ความสาเร็จ ซึ่งเป้ าหมายของความสาเร็จนนั้ ก็ขึน้ อย่กู ับแต่ละคน ว่ามีความต้องการในสิ่งไหนในชีวิตของตวั เอง เหมือนกับการที่เราจุดไฟเราก็ต้อง พยายามประคบั ประคองให้แสงสว่างนนั้ คงท่ีและไม่ดบั ลง แม้ในบางครัง้ ที่อาจมีเหตุ ท่ีทาให้ไฟดบั ลงเราก็ต้องพยายามหาทางจดุ ไฟขึน้ มาใหม่ให้ได้ เพื่อให้เราสามารถ เดนิ ไปจนกวา่ เราจะเดนิ ไปถึงจดุ หมายท่ีเราตงั้ ใจไว้ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 5
1.3 รูปแบบของแรงบนั ดาลใจ รูปแบบของแรงบนั ดาลใจนนั้ อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันในแต่ละคน แตโ่ ดยรวมแล้วรูปแบบของแรงบนั ดาลใจ จาแนกได้เป็น จินตนาการ ความฝัน จติ ใต้สานกึ แรง บนั ดาลใจ ภาพท่ี 1.2 รูปแบบที่เกิดแรงบนั ดาลใจจากภายใน 1.3.1 รูปแบบที่เกิดจากภายใน คาว่าภายในก็บอกไว้ในตวั ของมนั อย่แู ล้วว่า หมายถงึ ภายในร่างกายเรา ก็คือ ความฝัน จนิ ตนาการ ความคดิ เป็นต้น แต่เม่ือใดก็ตามท่ีเราสามารถเข้าใจจิตใจตวั เราเอง รู้จกั ตวั เราเอง ได้ดี เราก็จะสามารถควบคมุ และใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยใู่ นตวั ได้ 1.3.2 รูปแบบที่เกิดจากภายนอก แน่นอนว่าย่อมเกิดจากที่ท่ีอย่ภู ายนอก ร่างกายของเรา เกิดโดยสิ่งที่อย่รู อบตวั ของเรา สภาพแวดล้อม สงั คมรอบตวั ของเรา เชน่ สถานท่ี หนงั สือ เพลง เป็นต้น ปั จจัยภายนอกถือว่ามีบทบาทสาคัญเป็ นอย่างมาก เพราะ สภาพแวดล้อมสิ่งท่ีอย่ตู ่างๆ รอบตวั เรามกั เป็ นตวั กาหนดความเคยชินที่แปรสภาพ เป็ นความช่ืนชอบไปอย่างไม่รู้ตวั หรืออาจเป็ นส่วนใดส่วนหนึ่งท่ีส่งผลกับจิตใจเรา ทาให้สิง่ เหลา่ นนั้ สง่ ผลกบั ทกุ ความคดิ และความต้องการ 6 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
1.4 แรงบันดาลใจ จุดกาเนิดในการสร้างสรรค์ผลงาน คาว่า สร้ างสรรค์ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ ความหมายว่า เป็ นการสร้างให้มีให้เป็ นขึน้ (มักใช้ทางนามธรรม) เช่น สร้ างสรรค์ ความสุขความเจริญให้แก่สังคม มีลักษณะริเร่ิมในทางดี เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะสร้างสรรค์ นกั จิตวิทยา และนกั การศกึ ษาได้ให้ความหมายเก่ียวกับความคิด สร้างสรรค์ไว้วา่ เป็ นความสามารถทางสมองของบคุ คลที่จะคดิ ได้หลายทิศหลายทาง หรือคดิ ได้หลายคาตอบ และความสามารถในการมองเห็นความสมั พนั ธ์ของสิ่งตา่ งๆ โดยมีส่ิงเร้ าเป็ นตัวกระตุ้นทาให้ เกิดความคิดใหม่ต่อเน่ืองกันไป และความคิด สร้างสรรค์นีอ้ าจเป็ นความคิดใหม่ผสมผสานกับประสบการณ์ก็ได้ จากความหมาย สรุปได้ว่า “สร้างสรรค์” คือความคิดความสามารถของบุคคลในการคิดสร้างสรรค์ ศลิ ปะ จดั ทาหรือสร้างสงิ่ ประดษิ ฐ์ขนึ ้ มาเพ่ือสนองความต้องการของตนเองและสงั คม (IM2. 2561) แรงบนั ดาลใจ สร้ างสรรค์...ผลงาน มองหา...มองหาสิ่ง สร้ างสรรค์ ทส่ี นใจ ตีความ...แปรสภาพข้อมลู บนั ทกึ ...บนั ทกึ เรื่อง เหลา่ นนั้ ให้ออกมาเป็ น เหลา่ นนั้ เอาไว้กนั ลมื รูปแบบในการทางาน ประมวลผล...สรุป จดจา...จาในส่งิ ท่ีใช่ ความสาคญั ของ ข้อมลู ในสว่ นตา่ งๆ ค้นคว้า...ค้นคว้าหาข้อมลู เพ่มิ เตมิ ในสิ่งท่ตี ้องการ เรียบเรียง...เรียบเรียงจดั หมวดหมขู่ องเรื่องราว ภาพท่ี 1.3 จดุ กาเนดิ ในการสร้างสรรคผ์ ลงาน GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 7
1.4.1 แรงบนั ดาลใจ เป็นจดุ กาเนิดของผลงานสร้างสรรค์ หลายผลงานสร้ างสรรค์บนโลกใบนีล้ ้วนเกิดจากการท่ีบุคคลนัน้ เกิดแรงบนั ดาลใจขนึ ้ ทงั้ ต้องการแก้ปัญหาท่ีตนเองพบเจอ ความอยากรู้อยากเหน็ 1.4.2 มองหา...มองหาส่ิงที่สนใจ การมองเป็ นปัจจัยหนึ่งในการรับข้อมูลข่าวสาร เม่ือภาพที่เห็น ปรากฏขนึ ้ ก็จะถกู นามาประมวลความหมายด้วยสมอง ความหมายที่เกิดขนึ ้ นนั้ จะถกู แปลงออกมาอยา่ งไรก็ขนึ ้ อยกู่ บั ข้อมลู ในสมองของแตล่ ะคนท่ีได้สะสมไว้ 1.4.3 บนั ทกึ ...บนั ทกึ เรื่องเหลา่ นนั้ เอาไว้กนั ลืม การบันทึกจึงช่วยให้เราสามารถไม่ลืมส่ิงท่ีผ่านพ้นมา สามารถ จดจาส่ิงที่สาคญั และประทบั ใจ และนาส่ิงเหล่านนั้ มาเรียนรู้เพื่อใช้ในการสร้างสรรค์ สงิ่ ตา่ งๆ ให้ดีขนึ ้ กบั ชีวิตของเราได้ 1.4.4 จดจา...จาในสง่ิ ท่ีใช่ นอกจากการจะบนั ทกึ แล้วตวั ของผ้บู นั ทึกเองยงั ต้องจดจาอีกด้วย สังเกตในส่ิงท่ีเราจดเพื่อท่ีจะจาในส่ิงท่ีเรามีความชื่นชอบ ในสิ่งที่ใช่และตรงกับ ความต้องการของตวั เราเอง 1.4.5 ค้นคว้า...ค้นคว้าหาข้อมลู เพ่ิมเตมิ ในสิง่ ท่ีต้องการ การค้นคว้าหาข้อมูลเพ่ิมเติมเป็ นการสร้างความรู้ สร้ างรากฐาน ของความคิดของเราให้มากย่ิงขนึ ้ เพราะย่ิงมีข้อมลู มาก มีความรู้มาก ก็สามารถคิด ได้เยอะและแตกความรู้สึกเหล่านนั้ ออกเป็ นเรื่องราวต่างๆ เพ่ือสร้างสรรค์ให้เกิดแรง บนั ดาลใจได้เยอะย่ิงขนึ ้ 1.4.6 เรียบเรียง...เรียบเรียงจดั หมวดหมขู่ องเร่ืองราว การจดั หมวดหมเู่ รื่องราวของชีวิตก็เหมือนกบั การจดั เรียงหมวดหมู่ ของหนังสือในห้องสมุด หรือแฟ้ มข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้เราสามารถดึง สิ่งที่ต้องการออกมาใช้งานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและรวดเร็ว 8 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
1.4.7 ประมวลผล...สรุปความสาคญั ของข้อมลู ในสว่ นตา่ งๆ การสรุปความสาคัญคือการกรองเนือ้ หาทัง้ หมดเอาแค่ส่วนท่ี สาคญั จริงๆ มาใช้งาน 1.4.8 ตีความ...แปรสภาพข้อมูลเหล่านัน้ ให้ออกมาเป็ นรูปแบบในการ ทางาน การตีความคือการใช้จินตนาการกับเหตผุ ลด้วยการนาข้อมูลที่ได้ ศกึ ษามานนั้ นามาขยายความ แตกความหมายออกไปเพื่อให้ได้ข้อมลู ท่ีหลากหลาย เป็นตวั เลือกในการนามาสร้างสรรค์ผลงาน 1.4.9 สร้างสรรค์...ผลงานสร้างสรรค์ เม่ือผ่านขบวนการคิดการค้นคว้าทัง้ หมดแล้วก็ถึงขัน้ ตอนการ สร้างสรรค์ผลงานหรือการลงมือทาเพ่ือให้เกิดสิ่งที่เราสร้างแรงบนั ดาลนนั้ ขนึ ้ มาให้เป็ น จริง เป็นรูปร่างตามท่ีเราตงั้ ใจไว้ สรุป แรงบนั ดาลใจ หมายถึง พลงั ของการสร้างสรรคท์ ่ีอย่ใู นตวั ของเรา ที่มีแรง ขบั เคล่ือนให้เกิดความคดิ และสง่ ผลถึงการกระทา เพ่ือให้สิ่งท่ีต้องการนนั้ เป็นไปอยา่ งท่ี ปรารถนา แรงบนั ดาลใจจึงเป็ นสิ่งสาคญั ในการขบั เคลื่อนและกระต้นุ การดาเนินชีวิต โดยที่แรงบนั ดาลใจนนั้ จะประสบผลสาเร็จได้ต้องมีขนั้ ตอนและระบบในการทางาน ของความคดิ และการกระทา เพ่ือเป็ นตวั ชว่ ยให้สามารถไปสเู่ ป้ าหมายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสทิ ธิภาพ ซง่ึ มีองคป์ ระกอบท่ีมาจากทงั้ ภายในและภายนอกของแตล่ ะบคุ คลนนั้ มาเป็นตวั ชว่ ยในการทางานในการสร้างแรงบนั ดาลใจ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแห่งชีวิต I 9
บทท่ี 2 กระบวนการคดิ ของมนุษย์ เตชิต เฉยพว่ ง Hilgard (1977) ได้ ให้ นิยามว่า การคิดเป็ น เป็ นพฤติกรรมในสมอง อนั เน่ืองมาจากการใช้สญั ลกั ษณ์แทนสงิ่ ของ เหตกุ ารณ์หรือสถานการณ์ตา่ งๆ Meyers (1986) กลา่ ววา่ การคดิ เป็นขบวนการทางสมองที่ใช้สญั ลกั ษณ์ จนิ ต ภาพ ความคิดเห็น และความคิดรวบยอดแทนประสบการณ์ในอดีต ความเป็ นไปได้ใน อนาคต และความเป็ นจริงที่ปรากฏ การคิดจึงทาให้คนเรามีขบวนการทางสมองใน ระดบั ท่ีสูง กระบวนการเหล่านีไ้ ด้แก่ ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา จิตนาการ ความใสใ่ จ เชาว์ปัญญา ความคดิ สร้างสรรค์ เป็นต้น Paul and Elder (1994) ได้บอกไว้ว่า การคิดเป็ นกิจกรรมทางสมอง เป็ น ขบวนการทางปัญญา ซงึ่ ประกอบด้วยการสมั ผสั การรับรู้ การรวบรวม การจา การรือ้ ฟื ้นข้อมูลเก่าหรือประสบการณ์โดยท่ีบุคคลได้นาเอาข้อมูลเก่า และผลจากการ จดั ระบบนนั้ ๆ สามารถแสดงออกมาภายนอกให้ผ้อู ่ืนรับรู้ได้ 2.1 ความสาคัญของกระบวนการคิด การคิดนนั้ เป็ นธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ที่มีความสาคญั ท่ีสดุ ท่ีจะมีผลกบั คนเรา ในการดาเนินชีวิตในสังคมได้ อย่างเหมาะสมและก่อให้ เกิดระบบของสังคมที่ดี การคิดจึงเป็ นเรื่องที่สาคัญท่ีมีความจาเป็ นสาหรับการดารงชีวิตในสังคมท่ีมี ความซับซ้อน สังคมจะก้าวหน้าก็ต้องเหมือนคนในสังคมมีความคิด มีการรู้คิด ในการป้ องกนั และการแก้ปัญหา การพฒั นาปรับปรุงสภาวะตา่ งๆ ให้ดียิ่งขนึ ้ คนต้อง คิดเป็ นคนที่ไม่ชอบคิดหรือคิดไม่เป็ นย่อมตกเป็ นเหยื่อของคนช่างคิด คนต้องอาศยั ความคิดนนั้ นาไปสกู่ ารดาเนินชีวิตด้วยการปฏิบตั ิหน้าที่ของตนเองอยา่ งมีประสิทธิภาพ และสมั ฤทธิผล สาหรับความคดิ นนั้ ถือได้วา่ เป็ นขบวนการทางจิตที่มีความสาคญั ต่อ
การเรียนรู้ ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีความคิดแต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรงยงั ต้อง อาศยั ซึ่งการสงั เกตพฤติกรรม การแสดงออก และการกระทา ดงั นนั้ สามารถสรุป ความสาคญั ของการคดิ ได้ดงั นี ้(ลกั ขณา สริวฒั น์. 2549; อรพรรณ พรสีมา. 2543) 2.1.1 การคดิ เป็นธรรมชาตขิ องความคิดมนษุ ย์ การคิดเป็ นธรรมชาติของมนุษย์ท่ีสาคัญที่สุด เพราะความคิดที่ ออกมาจากเรานนั้ เป็ นส่วนหน่ึงของการดาเนินชีวิตของตัวเราเองและยังส่งผลต่อ สงั คมสว่ นรวม 2.1.2 การคดิ กบั ภาษา ภาษาเป็ นองค์ประกอบท่ีอยู่ควบค่กู ับความคิดเสมอ เพราะเป็ น สื่อกลางในการถ่ายทอดความคิดของเราออกมาให้กับคนอ่ืนได้รับรู้ และเป็ นการ แสดงทกั ษะของความคดิ ท่ีส่ือสารออกมา 2.1.3 การคดิ กบั พฤตกิ รรม การคิดแสดงออกมาด้วยการกระทาเสมอ เมื่อเราคิดเราก็จะทามัน ดังนัน้ ในขบวนการของความคิดย่อมมีการวิเคราะห์ แยกแยะก่อนที่จะกระทา เพ่ือให้ผลท่ีเราได้กระทานนั้ เกิดประโยชน์สงู สุดในทางที่ดีและสร้างสรรค์กบั ตวั ของ เราเองและสงั คม 2.1.4 การคดิ กาหนดความเป็นตวั ตนของแตล่ ะบคุ คล เนื่องจากความคดิ เป็นตวั กาหนดสงิ่ ท่ีแตล่ ะคนมีความรู้ ความ เข้าใจ และความรู้ท่ีได้จากความคิดนนั้ เป็ นตวั กาหนดความเป็ นตวั ตนของ แตล่ ะ คน ซ่ึงจะแสดงออกมาในรูปของการกระทา การแสดงออก การพดู และกิริยาอาการ ต่างๆ กระบวนการดังกล่าวนี ้ คือ “กระบวนการกาหนดการแสดงออกของมนุษย์” (Humam Manifesting Process) ดังนัน้ ความคิดของบุคคลจึงเป็ นตัวกาหนด ความสาเร็จและความล้มเหลวของการแสดงออกของบุคคลนนั้ (ลกั ขณา สริ วฒั น์. 2558) 12 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
2.1.5 การคดิ เป็นพืน้ ฐานของสตปิ ัญญาความรู้ความเข้าใจ ผ้นู าทางด้านความรู้ในโลกใบนีล้ ้วนเร่ิมต้นมาจากการใช้ความคิด ของตวั เองมาแสวงหาความรู้เพื่อนามาวิเคราะห์ ทดลอง จนได้องค์ความรู้ออกมาเป็ น ทฤษฎีตา่ งๆ มากมายให้เราได้ศกึ ษาค้นคว้า ความคิดจึงเป็ นพืน้ ฐานทางสติปัญญา ของคนเรา 2.1.6 การคดิ เป็นพืน้ ฐานในการตดั สนิ ใจ แน่นอนว่าเมื่อเราเจอปัญหา คาถาม หรือสถานการณ์บางอย่าง ที่ทาให้เราต้องตัดสินใจเลือกส่ิงใดสิ่งหน่ึง ตอบสิ่งใดสิ่งหน่ึง หรือกระทาส่ิงใด สิ่งหนึง่ นนั้ เราคงต้องใช้ความคดิ ในการพิจารณาไตร่ตรองเพ่ือท่ีจะเลือกหาคาตอบท่ี ถกู ต้องท่ีสดุ ดที ่ีสดุ และส่ิงที่จะมาชว่ ยในการใช้ความคิดของเราในการตดั สินนนั้ ก็คือ ความรู้ที่เราสะสมไว้ในแตล่ ะบคุ คล เพ่ือให้ได้ผลในทางบวกกบั ตวั เรา 2.1.7 การคดิ นามาซง่ึ การเปล่ียนแปลงสาคญั การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขนึ ้ บนโลกใบนีล้ ้วนแล้วแทบเกิดจากการคดิ ของมนษุ ย์แทบทงั้ สิน้ เพราะความต้องการของเรานนั้ ไมม่ ีขีดจากดั เราจึงต้องพยายาม แสวงหาส่ิงตา่ งๆ ที่มาช่วยให้การดาเนินชีวิตสะดวกสบายย่ิงขึน้ จากปัจจยั พืน้ ฐาน 4 อย่าง อนั ได้แก่ อาหาร เสือ้ ผ้าเคร่ืองน่งุ ห่ม ท่ีอย่อู าศยั และยารักษาโรค สิ่งเหล่านี ้ ถูกพฒั นาด้วยความคิดของมนุษย์อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่หยุดยงั้ ยกตวั อย่าง เช่น ยารักษาโรค จากที่เราเก็บพืชสมนุ ไพรมากิน ก็มีการคิดนามาสกดั เป็ นตวั ยา นาไป เพาะเชือ้ เพ่ือให้มีการขยายพนั ธ์ุ เพื่อรักษาโรคตา่ งๆ ได้มากย่ิงขนึ ้ หรือแม้แตก่ ารส่ือสาร ที่ครัง้ หนง่ึ เราเคยใช้เวลาร่วมเดือนหรือปี ในการจะทราบถึงเรื่องราวของใครอีกคนที่ อยคู่ นละจงั หวดั คนละประเทศกบั เรา แตใ่ นปัจจบุ นั ด้วยการคิดเพื่อสร้างเทคโนโลยี ขึน้ มาช่วยในการย่อโลก แคไ่ ม่กี่วินาทีเราก็สามารถรับรู้ถึงความเคล่ือนไหวของอีกคน ได้อยา่ งงา่ ยดาย GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 13
2.1.8 การคดิ สร้างความสามารถในการแขง่ ขนั ในสงั คม แน่นอนว่าเม่ือมีคนหนึ่งที่คิดและสามารถพฒั นาสิ่งหน่ึงได้ก็จะมี หลายคนท่ีพยายามคิดท่ีจะพฒั นาส่ิงนนั้ ให้มีความก้าวหน้ามากขึน้ เสมอ เม่ือเป็ น เชน่ นนั้ จงึ เกิดการแขง่ ขนั ในสงั คม และชว่ ยให้สงั คมมีการพฒั นามากยงิ่ ขนึ ้ ซงึ่ ก็จะยิ่ง ส่งผลกับคณุ ภาพของประชากรที่จะต้องพยายามพฒั นาศกั ยภาพของความคิดของ ตวั เองให้สามารถส้กู บั คนอื่นๆ รอบตวั ได้ด้วยเชน่ กนั สรุปได้วา่ บคุ คลเราเมื่อมีความคดิ ที่จะกระทาการใดๆ ต้องมีการวางแผน มี ความพร้อม มีความตงั้ ใจ มีความเอาใจใส่ มีความรับผดิ ชอบ มีความอดทน เมื่อ ได้พบเจอกบั อปุ สรรค เพื่อทาให้เกิดผลงานอนั เกิดจากความคดิ นนั้ อยา่ งสมบรู ณ์ คือ มีคุณค่าและมีประโยชน์ เพราะความคิดเป็ นสิ่งท่ีสาคัญมากที่สุดในการสร้ าง ความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคปัจจุบนั ซ่ึงเป็ นยุคแห่งความรู้และปัญญา (ลกั ขณา สริวฒั น์. 2558) 2.2 ปัจจยั ท่สี ่งเสริมกระบวนการคดิ ความคดิ ที่ทาให้เป็นจริงไมไ่ ด้ ก็เหมือนขยะ ความคดิ ที่ลงมือทาจริงไมไ่ ด้ ก็คือของท่ีไมม่ ีประโยชน์ ถ้าเราไมอ่ ยากให้ความคิดเป็นสิ่งท่ีไร้ประโยชน์ก็ต้องลงมือทา แตก่ อ่ นจะลงมือ ทานนั้ ก็ต้องมีการวางแผน มีกระบวนการของความคิดมาช่วยให้การลงมือทาในส่ิงๆ นนั้ บรรลไุ ปสเู่ ป้ าหมายได้อยา่ งสาเร็จ ความเจริญในด้านต่างๆ ของโลกใบนีล้ ้วนเกิดจากความคิดของมนุษย์ ท่ีมีความต้องการท่ีจะแก้ปัญหาหรืออปุ สรรคตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ ้ มาในชีวิตประจาวนั หรือ เพื่อความต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึน้ มีความสะดวกสุขสบายมากยิ่งขึน้ การพฒั นา ทางด้านความคิดจึงเกิดขึน้ และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตัง้ แต่อดีตถึง ปัจจบุ นั เราอาจบอกได้วา่ ปัจจยั ท่ีส่งเสริมกระบวนการคิด ได้แก่ (ลกั ขณา สริวฒั น์. 2549) 14 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
ภาพท่ี 2.1 หน้าท่ีสมองซีกซ้ายและซีกขวา ที่มา: https://twitter.com/ParentsOne/status/972067689676943360 สมองซีกซ้าย (Left Hemisphere) หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “สมอง แหง่ เหตผุ ล” (Rational Brain) จะทาหน้าท่ีควบคมุ การคดิ การหาเหตผุ ล การแสดงออก เชิงนามธรรมท่ีเน้นรายละเอียด เชน่ การนบั จานวนเลข การบอกเวลา และความสามารถ ในการเรียบเรียงถ้อยคาที่เหมาะสม เป็ นต้น เพื่อวิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล จัดระบบแต่ละขนั้ ตอนอย่างมีเหตผุ ลและสร้ างข้อสรุปจากข้อมูลท่ีเป็ นสญั ลักษณ์ ทางภาษา คณิตศาสตร์ รวมถึงการเก็บความจาในรูปของภาษา ด้วยเหตนุ ีผ้ ้ทู ่ีถนดั สมองซีกซ้ายจะเป็นผ้ชู อบใช้เหตผุ ล ชอบเรียนรู้จากสว่ นย่อยไปหาส่วนใหญ่ เป็ น นกั วางแผนงาน เป็ นคนชอบวิเคราะห์ และมกั ทาอะไรทีละอย่างเป็ นขนั้ ตอน อย่าง ละเอียด สามารถที่จะแสดงความรู้สึกของตนเองได้อย่างชัดเจน แต่เก่ียวกับความคิด และอารมณ์ความรู้สึกจะค่อนข้างมีความคิดด้านลบเพราะมีความระมดั ระวงั มากไป จงึ สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดประกอบการงานจนประสบความสาเร็จได้ ดงั นนั้ จงึ กล่าวได้ว่าสมองซีกซ้ายจะมีหน้าท่ีในการใช้ภาษา (Language) การคิด GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 15
เชิงตรรกะ (Logic) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) ตัวเลข (Numbers) และความมีเหตผุ ล (Reasoning) สมองซีกขวา (Right Hemisphere) หรือที่นกั วิทยาศาสตร์เรียกว่า “สมอง แห่งสหัชญาณ” (Intuitive Brain) จะทาหน้ าท่ีเก่ียวกับความคิดสร้ างสรรค์ การจินตนาการ การสังเคราะห์ ความซาบซึง้ ในดนตรีและศิลปะ ความสามารถ ในการหยง่ั หามิติตา่ งๆ และการใช้ประโยชน์จากรูปแบบและรูปทรงเรขาคณิต ดงั นนั้ การท่ีคนเราสามารถคิดสร้ างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้นัน้ เกิดจากการทางานของสมอง ซีกขวานนั้ เอง โดยการจดั ทาข้อมลู จากประสาทสมั ผสั หลายอย่างที่รับเข้ามาเพ่ือจัด ภาพรวมส่ิงของการควบคมุ การมองเห็น การบนั ทึกความจาจากการฟัง การเห็นและ มองส่ิงต่างๆ ด้วยเหตนุ ีผ้ ู้ที่ถนดั สมองซีกขวาจะเป็ นคนท่ีใช้สหชั ญาณเพ่ือเป็ นการ หยง่ั รู้ การเข้าใจ และการมองเห็นความสมั พนั ธ์อันเป็ นความรู้ใหม่และสามารถใช้ ความรู้เดิมมาให้เหตผุ ลสิ่งท่ีเป็ นความรู้ใหม่ ด้วยเหตนุ ีก้ ารประมวลผลของสมองซีก ขวาจึงอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและเหตุผล โดยจะแสดงผลมาในรูปของ สัญชาตญาณ การหย่ังรู้หรือความรู้สึกสังหรณ์ซึ่งไม่มีเหตุผล แต่ถ้าตดั สินใจไป ตามนนั้ แล้ว มกั จะถูกต้องเพราะมองเห็นทุกอย่างเป็ นภาพรวมจึงสามารถทาอะไร หลายๆ อยา่ งในเวลาเดียวกนั เพราะผ้ทู ี่ถนดั การใช้สมองซีกขวาจะมองแบบองค์รวมก่อน และจึงพิจารณาแยกย่อยทาให้งานประสบความสาเร็จ เนื่องจากเห็นความสมั พนั ธ์ท่ี คนอ่ืนมองไม่เห็น ดงั นนั้ จงึ กลา่ วได้ว่าสมองซีกขวาจะมีหน้าท่ีเก่ียวข้องกบั จิตใจและ ความรู้สึกของมนุษย์ เช่น ความตระหนกั รู้ในตนเอง (Self – Awareness) ความเห็นใจ ผ้อู ่ืน (Empathy) ความนา่ เชื่อถือ (Trust) อารมณ์ (Emotion) การส่ือสารไม่ใช่จิตสานึก (Nonconscious Communication) ความน่าดงึ ดดู (Attachment) และการแสดงอารมณ์ ออกทางสีหน้า (Recongnition of Emational Faces) เป็ นต้น (ปัญจนาฎ วรวัฒนชัย. 2559) 16 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
2.2.1 ปัจจยั ที่เป็นปัญหา คือ สิ่งที่มาสร้างความกงั วล รบกวนจิตใจ เป็ นคาถาม ก่อให้เกิด ความกระวนกระวายต้องการ จะต้องทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้เกิดความสบายใจขึน้ สิง่ ท่ีมารบกวนจติ ใจนนั้ คอื ปัญหา 2.2.2 ปัจจยั ที่เป็นความต้องการ คือ สิ่งที่มีความอยากได้ในส่ิงที่ยงั ไม่ได้ครอบครอง จึงต้องคิดค้น หาวิธีการที่จะทาเพ่ือให้ได้สงิ่ นนั้ มาครอบครอง 2.2.3 ปัจจยั ท่ีชวนสงสยั คือ ส่ิงที่ทาให้เกิดความครุ่นคิด อยากรู้อยากเห็น และต้องพยายาม คดิ หาหนทางในการคลายความอยากรู้ในสิ่งนนั้ สรุป กระบวนการทางความคิดนนั้ เร่ิมต้นด้วยปัญหาซง่ึ เป็ นปัจจยั ท่ีถูกส่งไป ยังสมองท่ีมีคุณสมบัติ อันได้ แก่ ความสามารถที่เกิดขึน้ ตามการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ที่ได้สะสมไว้และเกิดการตอบสนองด้วยการกระทา หรือพฤติกรรม อนั จะนาไปสคู่ วามสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ได้ตงั้ ไว้ 2.3 ลักษณะของการคิด การคดิ แบง่ ออกได้หลายรูปแบบ ขนึ ้ อยกู่ บั คณุ ลกั ษณะตา่ งๆ ดงั นี ้ (ลกั ขณา สริวฒั น์. 2549) 2.3.1 แบง่ ตามลกั ษณะทวั่ ไป ได้แก่ 2.3.1.1 การคิดที่ไม่มีจุดมุ่งหมายหรือการคิดแบบเชื่อมโยง เป็ นการปล่อยจิตโดยไม่มีจุดมุ่งหมายท่ีแน่ชัด เกิดจากสิ่งเร้ ามากระตุ้นให้เกิด สญั ลกั ษณ์ในสมองแทนเหตกุ ารณ์หรือวตั ถตุ า่ งๆ ได้แก่ 1) การฝันกลางวัน หรือการนึกฝัน เป็ นการคิดนึกฝัน ในขณะที่กาลงั ตื่นอยู่ 2) การฝันกลางคืน จะเกิดขนึ ้ ตอนกลางคืนในขณะท่ีเราไม่ รู้ตวั มีความสมจริงเม่ือต่ืนขนึ ้ มาก็อาจจะจาได้หรือจาไมไ่ ด้ก็เป็ นได้ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 17
3) การคิดท่ีเป็ นอิสระ หรือการเชื่อมโยงเสรี เป็ นการคิด ที่ไม่มีจุดม่งุ หมาย คิดไปเรื่อยๆ จากส่ิงเร้ ารอบตวั ที่เข้ามากระต้นุ รวมถึงความคิดท่ีติด ทบั ซ้อนอยใู่ นหวั ของเรา 2.3.1.2 การคิดโดยตรงท่ีใช้ การแก้ ปั ญหา เป็ นการคิดท่ีมี จดุ มงุ่ หมาย คดิ ด้วยเหตผุ ลมีการทบทวนเพื่อหาคาตอบที่ดีที่สดุ 1) การคดิ เชิงวิพากษ์ คือ การคดิ ท่ีเกี่ยวข้องกบั ข้อเท็จจริง หรือสถานการณ์ตา่ งๆ วา่ ถกู ต้องหรือผิดโดยใช้เหตผุ ลทงั้ สองมาประกอบในการคดิ 2) การคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดที่นาไปสู่การ สร้างการกระทาให้เกิดผลงานใหม่ ส่ิงประดษิ ฐ์ใหม่ 2.3.2 แบง่ ตามขอบเขตของการคดิ ได้แก่ 2.3.2.1 การคิดในระบบปิ ด คือ การคิดที่อยู่ในขอบเขตจากัด แนวคดิ จะไมม่ ีการเปล่ียนแปลง เชน่ การคดิ ทางคณิตศาสตร์ 2.3.2.2 การคิดในระบบเปิ ด คือ การคิดท่ีเกิดจากความรู้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ท่ีได้พบเจอ 2.3.3 แบง่ ตามความแตกตา่ งของเพศ ได้แก่ 2.3.3.1 การคดิ แบบวิเคราะห์ คือ การคิดท่ีมีการคิดแยกแยะจาก เกณฑ์ของความจริง เป็นการคดิ ท่ีถือวา่ เป็นพืน้ ฐานแบบวทิ ยาศาสตร์ 2.3.3.2 การคดิ แบบโยงความสมั พนั ธ์ คือ การคดิ ที่ใช้อารมณ์ท่ียึด ตนเองเป็ นใหญ่ เป็ นลักษณะท่ีเอาตนเองไปเช่ือมโยงความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ เชน่ คน สถานที่ ความสมั พนั ธ์ เวลา เป็นต้น 2.3.4 แบง่ ตามความสนใจของนกั จติ วิทยา ได้แก่ 2.3.4.1 การคิดรวบยอด คือ การคิดท่ีได้จากการรับรู้โดยมีการ เปรียบเทียบในลกั ษณะที่มีความเหมือนและแตกตา่ ง โดยอาศยั ประสบการณ์เดมิ 2.3.4.2 การคิดหาเหตผุ ล คือ การคิดโดยการตงั้ สมมติฐานและ ดาเนนิ การทดลองหรือทดสอบสมมตฐิ านนนั้ 2.3.4.3 การคดิ สร้างสรรค์ คือ การคดิ เพื่อสร้างสงิ่ ใหมๆ่ ขนึ ้ 18 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
สรุป ลักษณะของการคิดมีการแบ่งตามลักษณะต่างๆ ได้แก่ แบ่งตาม ลกั ษณะทว่ั ๆ ไป แบง่ ตามขอบเขตของการคิด แบง่ ตามความแตกต่างของเพศ และ แบง่ ตามความสนใจของนกั จิตวทิ ยา 2.4 การคดิ เชิงบวก เป็นกระบวนการทางความคดิ ของบคุ คลอนั เกิดจากการท่ีคนเรานนั้ มีรูปแบบ การรับรู้และการรู้คิด (Perception and Cognitive Style) ไปในทิศทางที่ดีและรับรู้ สิ่งต่างๆ ตามสภาพความเป็ นจริง เป็ นเหตเุ ป็ นผล ด้วยอารมณ์ท่ีผ่องใส จึงทาให้มี พฤตกิ รรมการแสดงออกท่ีเหมาะสมดงี ามและสร้างสรรคซ์ งึ่ เป็นพืน้ ฐานท่ีทาให้คนเรา เกิดการตดั สนิ ใจและแก้ไขปัญหาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ รวมทงั้ ยงั เป็นจดุ เริ่มต้นของ ความฉลาดทางอารมณ์และความคดิ สร้างสรรค์ด้วย ซึง่ ความคดิ ในเชิงบวกนนั้ ทาให้ ผ้คู ดิ เกิดความรู้สึกไปในทิศทางบวกและจะแสดงออกมาเป็ นพฤติกรรมที่ดี ส่งผลทา ให้ทงั้ ตนเองและสงั คมคนรอบข้างมีความสขุ (นภิ า แก้วศรีงาม. 2547) 2.4.1 คณุ ลกั ษณะเฉพาะ 10 ประการของการคดิ เชิงบวก ได้แก่ (พทิ กั ษ์ สพุ รรโณภาพ. 2561) 2.4.1.1 การมองโลกในแง่ดี (Optimism) หมายถึง ความเช่ือและ ความคาดหวงั วา่ จะเกิดส่ิงท่ีดีแม้วา่ จะตกอยใู่ นสถานการณ์ท่ียากลาบาก คบั ขนั หรือ ท้าทายก็ตาม 2.4.1.2 ความกระตือรือร้น (Enthusiasm) หมายถงึ การมีความสนใจ พลงั ในแงบ่ วก แรงปรารถนาหรือแรงกระต้นุ สว่ นตวั สงู ในการกระทาสิ่งตา่ งๆ 2.4.1.3 ความเช่ือ (Belief) หมายถึง ความเชื่อมน่ั และศรัทธาต่อ ตนเอง ต่อผู้อื่น และ/หรือต่อพลงั อานาจทางจิตวิญญาณท่ีสูงกว่า ซ่ึงคอยให้การ สนบั สนนุ การชีแ้ นะแนวทาง 2.4.1.4 ความยึดมนั่ ในคณุ ธรรม (Integrity) หมายถึง การกระทา ภายใต้คาม่ันสัญญาท่ีมีต่อความซื่อสัตย์ความเปิ ดเผย และความยุติธรรม ตาม มาตรฐานของบคุ คลนนั้ ๆ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 19
2.4.1.5 ความกล้าหาญ (Courage) หมายถึง ความเต็มใจในการ ลองเส่ียงและเอาชนะความกลวั แม้ผลลพั ธ์ท่ีได้อาจจะไมแ่ นน่ อน 2.4.1.6 ความมน่ั ใจ (Confidence) หมายถึง การมีความเชื่อมน่ั ในตนเองถึงสมรรถภาพและศกั ยภาพของตนเอง 2.4.1.7 ความม่งุ มนั่ (Determination) หมายถึง การม่งุ ดาเนินให้ สาเร็จตามเป้ าหมาย วตั ถปุ ระสงคห์ รือสง่ิ ที่จาเป็นในชีวิตอยา่ งไมร่ ู้จกั เหน็ดเหน่ือย 2.4.1.8 ความอดทน (Patience) หมายถึง ความเตม็ ใจในการรอ คอยโอกาส ความพร้อมหรือผลลพั ธ์จากการกระทาของตนเองหรือของผ้อู ่ืน 2.4.1.9 ความสุขุม (Calmness) หมายถึง การดารงไว้ซ่ึงความ เยือกเย็นและใฝ่ หาความพอเหมาะ พอควรในการโต้ตอบกับความยากลาบาก ความท้าทายหรือวกิ ฤตการณ์ตา่ งๆ 2.4.1.10 การสารวมความตงั้ ใจ (Focus) หมายถึง การเอาใจจดจ่อ อยกู่ บั การกระทาให้บรรลเุ ป้ าหมายตามลาดบั ความสาคญั กอ่ นหลงั 2.4.2 ผลของการคิดเชิงบวก (อรภา พิชยั กลุ ฬ. 2560) 10 ประโยชน์ของ การคดิ บวก 2.4.2.1 คนท่ีมีจิตใจหรือความคิดเชิงบวกจะดงึ ดดู กิจกรรมเชิงบวก เราสามารถทาสิ่งที่เรียกวา่ \"กฎแหง่ การดงึ ดดู \" เพ่ือประโยชน์ของเรา หลกั การสาคญั ของกฎดงึ ดดู คอื \"ดงึ ดดู สิง่ ท่ีเหมือนกนั \" ลองจนิ ตนาการดวู า่ หากคณุ คดิ บวกในการใช้ชีวิต แล้วก็จะมีสิ่งดๆี วิง่ เข้ามาหาเรา 2.4.2.2 ความสัมพันธ์ท่ีเข้ากันได้ดี เม่ือเราเลือกท่ีจะคิดบวก เราจะเร่ิมสงั เกตเห็นคนมากมายที่มีคุณภาพ และคิดบวกเช่นเรา และเริ่มเพิกเฉย ตอ่ สิ่งไม่ดี และจากนนั้ เราก็จะเร่ิมสร้างอะไรดีๆ มิตรภาพดีๆ การคิดแบบนีจ้ ะสามารถ สร้างอะไรดๆี และบรรยากาศท่ีเป็นบวกรอบตวั เรา 20 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
2.4.2.3 ความประทับใจครัง้ แรกที่ดี ถ้าเราคิดบวกเป็ นสาคัญ เราก็จะสร้ างความประทบั ใจครัง้ แรกท่ีดี คนมกั จะประทบั ใจบุคลิกท่ีเป็ นมิตรและ ความประทบั ใจครัง้ แรกท่ีดีอาจมีผลกระทบอย่างมากตอ่ การพฒั นาความสมั พนั ธ์ใน อนาคตของเรา 2.4.2.4 สขุ ภาพที่สดใส ความคิดเชิงบวกเป็ นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อสขุ ภาพของเรา แม้แต่การศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์หลายๆ แห่งได้แสดงให้เห็นวา่ คนที่มีสิ่งแวดล้อมดีๆ มีแนวโน้มท่ีจะทนทกุ ข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าคนที่ คิดลบในหลายๆ กรณี ความคดิ ที่ไม่ดีเป็ นสาเหตหุ ลกั ของการเสียชีวิตและแม้กระทงั่ คาว่า \"การตาย\" หมายความว่าบุคคลนนั้ ไม่สบายใจ เพียงเปลี่ยนความคิดของคณุ และคณุ จะเปลี่ยนชีวิตของคณุ นน่ั คือเหตผุ ลที่การดแู ลความคิดของเราคือการดแู ล สขุ ภาพของเรา 2.4.2.5 กุญแจสู่ความสาเร็จ คนที่คิดบวกมีแนวโน้ มที่จะ ประสบความสาเร็จมากกวา่ คนท่ีมกั คิดลบ เม่ือเราจะใช้ความคดิ เชิงบวกในชีวิตของเรา ก็จะสงั เกตเหน็ วา่ ความสาเร็จกลายเป็นเรื่องงา่ ยและไมย่ ากเท่าที่หลายคนคิด 2.4.2.6 ไม่เครียดอีกแล้ว สาเหตหุ ลกั ของความเครียดคือความ กงั วลและความคดิ เชงิ ลบ ถ้าเราคดิ ถึงเร่ืองนีต้ อ่ ไป เราจะรู้วา่ ความเครียด ไม่สามารถ แก้ปัญหาได้ แต่ตรงกันข้ามมนั จะทาให้เราหมดหนทางได้ คนที่คิดบวกจะเอาชนะ ความเครียดได้ง่ายขึน้ เมื่อเราเริ่มที่จะเพิ่มปริมาณของความคิดท่ีดีๆ ความเครียด จะคอ่ ยๆ ออกจากชีวิตของคณุ และหายไปเลย 2.4.2.7 ความคิดเชิงบวกและมีทศั นคติในแง่ดีจะทาให้ทกุ ปัญหา ของเรากลายเป็ นโอกาส การคิดลบสามารถทาให้คนตาบอดได้ ถ้าเราเปล่ียน ความคิดของเราจากคนทศั นะคติลบๆ ไปเป็ นคนคิดบวก เราก็จะมองเห็นอะไรมากขึน้ เช่น ขวดนา้ คร่ึงขวด เราจะเห็นว่าอีกคร่ึงหน่ึงก็เต็มแล้ว มากกว่าเห็นอีกครึ่งหนึ่ง หมดแล้ว เราจะเริ่มเห็นการแก้ปัญหาและจะเข้าใจวา่ ทกุ ปัญหาเป็นโอกาสท่ีจะเติบโต ปัญหาทงั้ หมดสามารถแก้ไขได้และในที่สดุ เราก็จะสามารถเข้าใจและเห็นทกุ ส่ิงเป็ น โอกาส GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 21
2.4.2.8 จะสงั เกตเห็นความปลืม้ ปิ ตขิ องสิ่งดีๆ ท่ีเกิดในชีวิตของเรา บางครัง้ คนบางคนลืมท่ีจะนกึ ถึงวา่ เขาโชคดแี คไ่ หนที่ได้มีชีวิตในแบบของเขา พวก เขาคอยตาหนิติเตียนและลืมขอบคณุ สิ่งตา่ งๆ ในชีวิตของเขา อย่างท่ีบอกว่าคนเรา จะดงึ ดดู สิง่ ท่ีเหมือนกนั หรือสง่ิ ท่ีคดิ เหมือนกนั เขาหาตวั ดงั กฎของแรงดงึ ดดู ที่วา่ หาก เราเปล่ียนจากมองว่า ชีวิตท่ีผ่านมาให้อะไรกับเราบ้าง มากกว่าคอยหาเรื่องตาหนิ หรือสิ่งไมด่ ีท่ีผา่ นมา มนั ก็จะทาให้ชีวิตเรามีคณุ คา่ และสามารถใช้ชีวิตได้ อย่างมี ความสขุ และรู้คณุ คา่ ในชีวิตเราได้เป็นอยา่ งดี 2.4.2.9 การเพิม่ แรงจงู ใจ ทศั นคตทิ ี่ดีจะชว่ ยกระต้นุ แรงจงู ใจของเรา และเราจะเร่ิมบรรลเุ ป้ าหมายอย่างรวดเร็วและง่ายขนึ ้ การมีแรงจงู ใจท่ีเป็ นแรงบนั ดาลใจ แขง็ แกร่ง 2.4.2.10 ความงามจะสอ่ งแสงออกมาจากภายใน ความคดิ เชิง บวกจะทาให้เราดสู วยขึน้ มนั เกิดขนึ ้ ตามธรรมชาติ คนที่ยิม้ เป็ นมิตรและมีความสุขเป็ น แรงดงึ ดดู ให้คนเข้าหาความงาม ภายในของตวั เราจะสอ่ งแสงและจะปรากฏออกมาสู่ ข้างนอกอีกด้วย 2.5 การจัดระเบยี บความคิด การจดั ระเบียบทางความคิดของเราจะชว่ ยให้การดาเนินชีวิตของเราเป็ นไปได้ อย่างดี แตถ่ ้าเราไม่สามารถจดั ระเบียบของความคิดของเราได้ อุปสรรคและความ ยุ่งยากย่อมเกิดขึน้ ในการดาเนินชีวิตของเราเป็ นอย่างแน่นอน การจัดระเบียบ ความคดิ เป็นพืน้ ฐานในชีวิตของทกุ เพศทกุ วยั ถ้าอยากเป็ นคนท่ีจดั ระเบียบความคิดเก่ง ต้องนึกถึงเหตผุ ลที่ทาให้จดั ระเบียบความคิดไม่ได้เสียก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไข (ภทั ทิรา จิตตเ์ กษม. 2562) เหตผุ ลจริงๆ ท่ีทาให้คณุ จดั ระเบียบความคิด มี 3 ข้อดงั นี ้ 22 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
2.5.1 มองไมเ่ หน็ ความคดิ อยา่ งเป็นรูปธรรม มองไม่เห็นความคิดอย่างเป็ นรูปธรรม สิ่งท่ีมองเห็นได้ด้วยตวั เอง เช่น โต๊ะหนังสือ ตู้เสือ้ ผ้า หรือเอกสาร จะจัดระเบียบได้ง่ายกว่า แต่ความคิดเป็ น กระบวนการทางานของสมองท่ีมองไมเ่ ห็น คณุ จงึ ต้องทาความเข้าใจกบั สิ่งนีก้ ่อนท่ีจะ เข้าใจความคดิ ของตวั เอง สมองส่วนหน้าของคนเรา มีหน้าท่ีวินิจฉยั ความคิด เราใช้ สมองส่วนหน้ามากท่ีสุดเวลาทางานหรือเรียนหนงั สือ จึงมีอีกช่ือว่า “สมองทางาน” หรือ “สมองเรียนหนงั สือ” หน้าท่ีสาคญั ท่ีสุดของสมองส่วนหน้าก็คือการจดั ระเบียบ ความคดิ เวลาอา่ นหนงั สือ ตวั หนงั สือที่เป็นสญั ลกั ษณ์ในการส่ือสารจะสง่ ไปยงั สมอง สว่ นหน้าผา่ นการรับรู้ทางสายตา แล้วสมองสว่ นหน้าจะถกู กระต้นุ เพ่ือทาความเข้าใจ เนือ้ หานนั้ ๆ กระบวนการนีจ้ ะทาให้พลงั ของการคดิ แข็งแกร่งขนึ ้ เวลาอา่ นหนงั สือ 2.5.2 ไมใ่ ช้เครื่องมือจดั ระเบียบความคดิ เรียนรู้การใช้เคร่ืองมือจดั ระเบียบความคิด ถ้าเข้าใจการทางานของ สมองส่วนหน้าแล้ว ลองมาดูเคร่ืองมือจดั ระเบียบความคิดกัน การเข้าใจความคิด หมายถึงการใช้เครื่องมือมาจัดระเบียบจนเข้าใจความคิด เคร่ืองมือจัดระเบียบ ความคดิ ที่คนสว่ นใหญ่รู้จกั เชน่ จดบนั ทกึ , มายแมพ (Mind Map) เป็นต้น GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 23
ภาพท่ี 2.2 มายแมพ (Mind Map) ท่ีมา: https://sirinthipwongthip.wordpress.com/2015/11/04/mind-map/ มายแมพ (Mind Map) คือ การถ่ายทอดความคดิ หรือข้อมลู ตา่ งๆ ที่มีอยใู่ นสมองลงกระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เส้น และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดิม ท่ีเป็ นบรรทัดๆ เรียงจากบนลงล่าง ขณะเดียวกันมันก็ช่วยเป็ นส่ือนาข้อมูลจาก ภายนอก เชน่ หนงั สือ คาบรรยาย การประชมุ สง่ เข้าสมองให้เก็บรักษาไว้ได้ดีกว่าเดิม ซา้ ยงั ชว่ ยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายขนึ ้ เน่ืองจากจะเห็นเป็ นภาพรวม และเปิ ด โอกาสให้สมองให้เชื่อมโยงตอ่ ข้อมลู หรือความคดิ ตา่ งๆ เข้าหากนั ได้ง่ายกวา่ 24 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
2.5.3 ไมใ่ ช้หลกั การจดั ระเบยี บความคดิ เลือกใช้เคร่ืองมือจดั ระเบียบความคิดให้ถกู ต้อง เม่ือเข้าสยู่ คุ ดิจิทลั เครื่องมือจัดระเบียบความคิดที่เคยใช้ในยุคแอนะล็อกก็เปลี่ยนไป ซึ่งทงั้ สองอย่าง มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป เราจึงควรนามาใช้ให้เหมาะสมกับเป้ าหมายและ สถานการณ์ ข้อดีของเคร่ืองมือในยุคแอนะล็อกคือ ใช้ง่าย บนั ทึกได้ทกุ ที่ ทงั้ ยงั ช่วย จดั ระเบียบได้อยา่ งสร้างสรรค์ สรุป การจดั ระเบียบความคิดเป็ นสิ่งท่ีสาคญั และมีความจาเป็ น เพราะจะ สามารถชว่ ยให้เรามีความคดิ และการกระทาท่ีเป็นระบบระเบียบและสามารถนาไปสู่ ความสาเร็จได้อยา่ งรวดเร็ว สรุป การคิดเป็ นเป็ นพฤติกรรมในสมองอนั เน่ืองมาจากการใช้สัญลักษณ์แทน ส่ิงของ เหตกุ ารณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ เป็ นขบวนการทางสมองที่ใช้สญั ลกั ษณ์ จนิ ตภาพ ความคดิ เห็น และความคดิ รวบยอดแทนประสบการณ์ในอดีต ความเป็นไป ได้ในอนาคตและความเป็ นจริงที่ปรากฏ เป็ นขบวนการทางปัญญา ซ่ึงประกอบด้วย การสัมผัส การรับรู้ การรวบรวม การจา การรือ้ ฟื ้นข้อมูลเก่าหรือประสบการณ์ โดยท่ีบคุ คลได้นาเอาข้อมลู เก่า และผลจากการจดั ระบบนนั้ ๆ สามารถแสดงออกมา ภายนอกให้ผ้อู ่ืนรับรู้ได้ ปัจจัยท่ีส่งเสริมกระบวนการคิดโดยมีปัจจัยที่เป็ นปัญหา, ปัจจัยที่เป็ น ความต้องการ, ปัจจยั ที่ชวนสงสยั กระบวนการทางความคดิ นนั้ จึงเร่ิมต้นด้วยปัญหา ซึ่งเป็ นปัจจัยท่ีถูกส่งไปยังสมองที่มีคุณสมบัติ อันได้แก่ ความสามารถท่ีเกิดขึน้ ตามการเรียนรู้จากประสบการณ์ท่ีได้สะสมไว้และเกิดการตอบสนองด้วยการกระทา หรือพฤติกรรมอันจะนาไปสู่ความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ท่ีได้ตัง้ ไว้ ซึ่งการคิด แบง่ ออกเป็นได้หลายรูปแบบ ขนึ ้ อยกู่ บั คณุ ลกั ษณะตา่ งๆ อนั ได้แก่ แบง่ ตามลกั ษณะ ทวั่ ไป, แบง่ ตามขอบเขตของการคดิ , แบง่ ตามความแตกตา่ งของเพศ, แบง่ ตามความสนใจ ของนกั จิตวิทยา, การคดิ รวบยอด, การคิดหาเหตผุ ล, การคิดสร้างสรรค์ กระบวนการ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 25
ทางความคิดนนั้ จึงเร่ิมต้นด้วยปัญหาซึ่งเป็ นปัจจยั ที่ถกู ส่งไปยงั สมองที่มีคณุ สมบตั ิ อนั ได้แก่ ความสามารถท่ีเกิดขึน้ ตามการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้สะสมไว้และ เกิดการตอบสนองด้วยการกระทา หรือพฤติกรรมอันจะนาไปสู่ความสาเร็จตาม วตั ถปุ ระสงคท์ ี่ได้ตงั้ ไว้ ลักษณะของการคิด การคิดแบ่งออกเป็ นได้ หลายรูปแบบ ขึน้ อยู่กับ คณุ ลกั ษณะ ดงั นี ้แบง่ ตามลกั ษณะทัว่ ไป ได้แก่ การคิดที่ไม่มีจุดมุ่งหมายหรือการคิด แบบเช่ือมโยง, แบง่ ตามขอบเขตของการคดิ , แบง่ ตามความแตกตา่ งของเพศ, แบง่ ตาม ความสนใจของนกั จิตวิทยา 26 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
บทท่ี 3 ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อแรงบนั ดาลใจ เตชติ เฉยพว่ ง ปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ แรงบนั ดาลใจ มีความสาคญั เป็ นอย่างมากเพราะเป็ นสิ่งที่ จะช่วยส่งเสริมให้แรงบนั ดาลใจนนั้ เป็ นจริงและประสบความสาเร็จขึน้ มาได้ ดงั นนั้ การนาพาตวั เข้าไปอยใู่ นปัจจยั เหลา่ นนั้ จงึ เป็นส่งิ สาคญั เราจงึ ต้องรู้วา่ มีปัจจยั ใดบ้าง ภาพท่ี 3.1 จงลงทนุ เพื่อเพ่ิมมลู คา่ “ให้กบั ตวั เอง” อยเู่ สมอ มีนกั ออกแบบ นกั คิดที่ประสบความสาเร็จจานวนมากท่ีให้ความสาคญั กบั สิ่งเหล่านี ้พวกเขามกั จะพาตวั เองไปยงั ที่ท่ีทาให้เกิดแรงบนั ดาลใจในการทางานและก็ ขลกุ อย่กู บั มนั เพ่ือจะได้ซึมซบั สิ่งเหล่านนั้ เข้ามาภายในตวั เอง เม่ือกลบั มายงั ท่ีที่เขา จะต้องทางานเขาก็จะจดั ที่ทางานให้มีเร่ืองราวเหล่านนั้ ไม่วา่ จะเป็ น รูปภาพ สิ่งของ บางอย่างท่ีสื่อถึงแรงบันดาลใจ หนังสือ รวมถึงส่ิงที่มาช่วยส่งเสริมเพ่ือสร้ าง บรรยากาศในทางาน เชน่ ดอกไม้ ต้นไม้ เทียนหอม เป็นต้น (เตชิต เฉยพว่ ง. 2560)
3.1 แหล่งท่มี าของแรงบันดาลใจ ความชอบและไม่ชอบ ในชีวิตของเราถึงแม้ว่าเราจะมีความต้องการ ปรารถนาท่ีจะมองและรับรู้แต่เร่ืองราวท่ีเราชอบแต่บางครัง้ ก็ไม่สามารถหลีกเล่ียง เรื่องราวที่เราไม่ชอบหรือแม้แตค่ วามทกุ ข์ได้ ดงั นนั้ ถึงแม้วา่ เราจะมองหาในส่ิงที่ชอบ มากกวา่ แตก่ ารที่จะเรียนรู้ในเร่ืองท่ีไมช่ อบหรือไมไ่ ด้สนใจไว้บ้างก็อาจเป็ นประโยชน์ ในการค้นหาแรงบนั ดาลใจได้เชน่ กัน บางครัง้ สิ่งของที่ไมเ่ ข้ากนั ก็สามารถอย่รู วมกัน ได้อย่างลงตวั มีหลายสถานท่ีซึ่งเป็ นแหล่งเรียนรู้ที่มีสภาพแวดล้อมและบรรยากาศ ที่เราสามารถเข้าไปค้นหาแรงบนั ดาลใจในการทางานได้ เชน่ (เตชติ เฉยพว่ ง. 2560) 3.1.1 แรงบนั ดาลใจที่มาจากภายใน เป็ นสิ่งมาผลกั ดนั จากภายในตวั ของ ตวั เราซึ่งอาจจะเป็ นเจตคติ ความตงั้ ใจ ความคิด ความสนใจ การมองเห็นคุณค่า ความพงึ พอใจ และความต้องการ เป็นต้น 3.1.1.1 แรงขบั เป็ นแรงผลกั ดนั ที่เกิดจากความต้องการทางกาย และส่ิงเร้าที่มาจากภายในตวั ของเราเอง ความต้องการและแรงขบั ก็มกั เกิดควบคกู่ นั เม่ือเกิดความต้องการแล้ว ความต้องการนนั้ ไปผลกั ดนั ให้เกิดพฤตกิ รรมที่เรียกว่าเป็ น แรงขบั 3.1.2 แรงบนั ดาลใจท่ีมาจากภายนอก เป็ นส่ิงผลกั ดนั ภายนอกของตัว บุคคลท่ีเข้ามากระต้นุ ให้เกิดพฤติกรรม เช่น ส่ิงแวดล้อมที่อาจมีสถานที่ บรรยากาศ หรือแม้แตบ่ คุ คล รวมอยดู่ ้วย เป็นต้น 3.1.2.1 สิ่งแวดล้อม เป็ นปัจจัยที่สาคัญที่เป็ นตัวหล่อหลอม พฤตกิ รรมและความคดิ ของเรา เพื่อกระต้นุ ตวั เราให้เกิดแรงบนั ดาลใจขนึ ้ สงิ่ แวดล้อม หรือสถานที่ที่มีความหน้าสนใจที่จะนาตวั เราเข้าไปค้นหาแรงบนั ดาลใจนนั้ ได้แก่ 1) พิพิธภัณฑ์ (Museums) เป็ นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลท่ีดี เป็ นที่เก็บรวบรวมข้อมูลแทบจะทุกเรื่องราวของโลกใบนี ้ ไม่ว่าจะเป็ น โบราณคดี ประวตั ศิ าสตร์ ธรรมชาติ ศลิ ปะ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น 28 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ
ภาพท่ี 3.2 ชดุ เกราะโบราณ ท่ี พพิ ิธภณั ฑ์ศลิ ปะเมโทรโปลติ นั (The Metropolitan Museum of art, New York, USA) 2) ห้องสมดุ (Library) ห้องสมดุ ได้ทาการคดั เลือก จดั หา รวบรวม และวิเคราะห์ เพ่ือจดั เก็บสารนิเทศในรูปแบบต่างๆ ทงั้ ในรูปแบบของวัสดุ สิ่งพิมพ์ วสั ดโุ สตทศั น์และวสั ดอุ ิเล็กทรอนิกส์ มีการจดั องค์กรในการบริหารในระบบ สากล อีกทงั้ ยงั เป็ นสถาบนั สาคญั ท่ีสร้างสมสืบทอดและเผยแพร่มรดกทางความคิด ภมู ปิ ัญญา ประสบการณ์ กิจกรรม การคดิ ค้นตลอดจนวชิ าการใหมๆ่ 3) หอศิลป์ (Art Galleries) คือสถานที่จัดแสดงผลงาน ทางศลิ ปะ ทงั้ ภาพวาด งานประติมากรรม งานภาพถ่าย งานแฟชนั่ เสือ้ ผ้าเครื่องแตง่ กาย เป็ นต้น 4) สวนสตั ว์ (Zoo, Zoological Park) เป็นท่ีพกั ผอ่ นและ เป็ นแหล่งเรียนรู้ชีวิตในธรรมชาติ เป็ นสถานที่เพาะเลีย้ งสตั ว์สายพนั ธ์ุต่างๆ ที่ช่วยให้ เราได้ศกึ ษาและเห็นถงึ พฤตกิ กรรม ความสวยงามของธรรมชาติ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 29
ภาพท่ี 3.3 สิงโตทะเลในสวนสตั ว์อะซาฮยิ ามา่ (Asahiyama Zoo) ฮอกไกโด (Hokkaido) ประเทศญี่ป่ นุ 5) ห้างสรรพสินค้า (Department store) ห้างสรรพสินค้า นนั้ เปรียบเสมือนกับห้องสมุดห้องใหญ่สาหรับผู้คน เพราะเป็ นแหล่งรวบรวมสินค้า ข้าวของเครื่องใช้แทบทกุ ส่ิงที่จาเป็ นของคนเรา เป็นแหลง่ รวมเทคโนโลยีท่ีสร้างสรรค์ขึน้ เพ่ือให้ชีวิตของคนเราดขี นึ ้ เราสามารถหาความรู้ได้ไมจ่ ากดั ในสถานท่ีแหง่ นี ้ 6) ร้านหนงั สือ (Bookstore) เป็ นแหลง่ เรียนรู้และใช้หา แรงบันดาลใจอีกที่หน่ึงท่ีรวบรวมข้อมูลแทบทุกแขนงที่เราอยากรู้เอาไว้ รวบรวม เร่ืองราวต่างๆ เอาไว้มากมายตงั้ แต่อดีตจนถึงปัจจบุ นั เราสามารถใช้เวลาในร้าน หนงั สือเพื่อเลือกหาหนงั สือที่เราต้องการ ซึ่งเป็ นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ ท่ีดเี สมอ 7) โรงภาพยนตร์ และภาพยนตร์ (Theatre and Cinema) ภาพยนตร์เป็ นสิ่งท่ีชว่ ยย่อโลก และเร่ืองราวบางเร่ืองให้สนั้ และกระชบั ลง ทงั้ เนือ้ หา ภาพ ดนตรี ภาษา คือสิ่งที่เราจะได้จากการดภู าพยนตร์สักเร่ือง ภาพยนตร์ยงั เป็ น แหล่งข้อมูลประวตั ิศาสตร์ที่ได้ถูกบนั ทึกไว้ให้เราได้ศึกษาถึงความเป็ นมาท่ีผ่านมา อีกด้วย 30 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
8) การท่องเท่ียว (Travel) การก้าวออกไปข้างนอกบ้าน ออกไปจากสภาพแวดล้อมเดมิ หรือการได้ออกไปทอ่ งเที่ยวก็ชว่ ยเปิ ดโลกทศั น์ของเรา ให้กว้างมากขนึ ้ ได้เหน็ วฒั นธรรมประเพณี การดาเนนิ ชีวิต อาคารบ้านเรือน การแตง่ กาย และอื่นๆ อีกมากมายจากคนท่ีคณุ ไม่เคยพบเห็น สิ่งเหล่านีล้ ้วนสร้างความตื่นเต้น และสร้างสีสนั เป็นประสบการณ์ให้กบั ชีวติ ของเรา ภาพท่ี 3.4 บรรยากาศเมือง เลห์ ลาดกั (Leh Ladakh) ประเทศอนิ เดีย สรุปได้ว่า นอกจากสถานที่ท่ีได้กล่าวมาแล้วนนั้ ยงั มีสถานที่อีกมากมาย ท่ีเราสามารถเข้าไปศึกษาและเรียนรู้ไปพร้ อมกับจินตนาการของเราได้ เรียกได้ว่า แทบจะทกุ ท่ีท่ีเราไป ไม่ว่าจะเป็ น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือแม้แตค่ อมพิวเตอร์ และโทรศพั ท์มือถือของเราเอง ถ้าเราเป็นคนที่เปิ ดรับการเรียนรู้ตลอดเวลาก็เช่ือว่าเรา จะได้เรียนรู้ในทกุ ๆ ท่ีท่ีเราได้ไปอยา่ งแนน่ อน GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 31
3.2 แรงบันดาลใจสู่ความคดิ สร้างสรรค์ องค์ประกอบของความคดิ สร้างสรรคไ์ ว้โดยสรุปดงั นี ้(อารี รังสนิ นั ท์. 2527) 1. ความคิดริเริ่ม หมายถึง ลกั ษณะความคิดแปลกใหม่แตกต่างความคิด ธรรมดาหรือความคิดง่ายๆ ความคิดริเร่ิมที่เรียกว่า Wild Idea เป็ นความคิดท่ีเป็ น ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสงั คม ความคิดริเร่ิมเป็ นลกั ษณะความคิดที่เกิดขนึ ้ เป็ นครัง้ แรก เป็ นความคิดท่ีจาเป็ นต้องอาศยั จินตนาการผสมกบั เหตผุ ลแล้วหาทางทาให้เกิดผลงาน ผู้ที่มีความคิดริเร่ิมเป็ นคนกล้าคิด กล้าแสดงออก พร้ อมทัง้ กับทดลอง ทดสอบ ความคดิ นนั้ อยเู่ สมอ 2. ความคล่องตวั หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซา้ กันเมื่อตอบปัญหา เรื่องเดียวกัน ความคล่องในการคิดนีม้ ีความสาคญั ต่อการแก้ปัญหาหลายๆ วิธี และต้องการนาวิธีการเหลา่ นนั้ มาทดลองจนกวา่ จะพบวธิ ีการที่ถกู ต้อง 3. ความคดิ ยืดหยนุ่ หมายถึง ประเภท หรือแบบของความคดิ แบง่ ออกเป็น 3.1 ความคดิ ยืดหย่นุ ที่เกิดขนึ ้ ทนั ที เป็ นความสามารถในการคิดอย่าง อสิ ระให้ได้คาตอบหลายแนวทางในขณะที่คนทวั่ ไปจะคิดได้แนวทางเดียว 3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางการดัดแปลง เป็ นความสามารถในการ ดดั แปลงของสงิ่ เดยี วให้เกิดประโยชน์ได้หลายด้าน 4. ความคดิ ละเอียดลออ เป็นลกั ษณะของความพยายามในการใช้ความคิด และประสานความคดิ ตา่ งๆ เข้าด้วยกนั เพื่อให้เกิดความสาเร็จ นักวิชาการหลายท่านได้ ให้ แนวคิดในเรื่ อง องค์ประ กอบของ คว าม คิด สร้ างสรรค์ เช่น Guilford (1950) และสุวิทย์ มูลคา(2547) มีแนวคิดว่า ความคิด สร้างสรรค์เป็ นความสามารถทางสมองท่ีคิดได้กว้างไกล หลายทิศทาง หรือที่เรียกวา่ ลกั ษณะของความคดิ อเนกมยั หรือการคดิ แบบกระจาย ซงึ่ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ (ลกั ขณา สริวฒั น์. 2558) 32 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
3.2.1 ความคดิ ริเริ่ม หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ที่แตกต่างไปจากความคิดเดิม ความคิดริเริ่มนัน้ เป็ นความคิดที่มีประโยชน์ทงั้ ต่อตนเองและสงั คม ประกอบด้วย ลกั ษณะสาคญั 3 ประการ ได้แก่ 3.2.1.1 ลักษณะทางกระบวนการ คือ กระบวนการคิดและ ความสามารถท่ีมีความแตกต่างออกไปจากความคิดเดิม เป็ นความคิดใหม่ที่ไม่ เหมือนเดมิ 3.2.1.2 ลักษณะของบุคคล คือ อัตลักษณ์อันเป็ นเอกลักษณ์ ของบคุ คลเฉพาะตวั ที่แสดงออกมาเป็นพฤตกิ รรมที่มีความโดดเดน่ 3.2.1.3 ลักษณะของผลิตผล คือ บทสรุปท่ีแสดงออกมาเป็ นผล ของความคดิ ริเร่ิม มีความแปลกใหมแ่ ละเป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองและสว่ นรวม 3.2.2 ความคดิ คลอ่ งแคลว่ หมายถึง ปริมาณความคิดท่ีไม่ซา้ กันในเร่ืองเดียวกัน เป็ น ความสามารถในการผลติ ความคิดที่มีความแตกตา่ งหลากหลายใต้ข้อกากดั ของเวลา นาไปสกู่ ารคดิ อยา่ งมีคณุ ภาพเพ่ือแก้ไขปัญหาได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ แบง่ ออกได้ 4 ด้าน คอื 3.2.2.1 ด้านถ้อยคา คือ มีความสามารถในการใช้ภาษาและ ถ้อยคาที่คลอ่ งแคลว่ และได้ใจความ 3.2.2.2 ด้านการโยงสมั พนั ธ์ คือ เป็ นความสามารถในการคิดหา ถ้อยคาที่เหมือนหรือคล้ายกนั ได้มากท่ีสดุ 3.2.2.3 ด้านการแสดงออก คือ ความสามารถในการใช้วลีประโยค และสามารถนาคามาเรียงกนั อยา่ งรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคตามท่ีต้องการ 3.2.2.4 ด้านการคิด คือ เป็ นความสามารถในการคิดถึงสิ่งท่ี ต้องการภายในเวลาที่กาหนด 3.2.3 ความยืดหยนุ่ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 33
หมายถึง ความสามารถในการคิดนอกกรอบของความคิดที่อยู่ ภายใต้กฎเกณฑ์ของความค้นุ เคยเดิมๆ ความยืดหย่นุ ทาให้ช่วยเห็นส่ิงตา่ งๆ ในแง่มุม ใหมๆ่ เป็นความคดิ พืน้ ฐานของการคดิ สร้างสรรค์ 3.2.3.1 ความยืดหย่นุ ที่เกิดขึน้ ทนั ที คือ ความสามารถท่ีสามารถ คดิ ได้หลากหลาย อยา่ งอิสระ 3.2.3.2 ความยืดหยุ่นด้านการดัดแปลง คือ สิ่งที่มีประโยชน์ กบั การแก้ปัญหา คนท่ีมีความยืดหยนุ่ จะสามารถคิดแก้ปัญหาได้แบบไมซ่ า้ กนั 3.2.4 ความคดิ ละเอียดลออ หมายถึง การคิดตกแต่งในรายละเอียดเพื่อขยายความคิดหลัก ให้มีความครบถ้ วนสมบูรณ์ ซ่ึงความคิดในรูปแบบนีน้ ัน้ จะมีความสัมพันธ์กับ ความสามารถในการสงั เกต สรุป ความคิดสร้ างสรรค์จึงเป็ นความสามารถท่ีอยู่ในตัวของเราทุกคน เมื่อมีแรงบันดาลใจก็จะนาพาไปสู่ความคิดสร้ างสรรค์ เพื่อคิดค้ นให้ ค้ นพบ ประสบการณ์ความสมั พนั ธ์ของส่ิงตา่ งๆ ท่ีมีประโยชน์คณุ คา่ มีลกั ษณะของความคิด ที่แปลกใหม่ ซึ่งอาจเกิดจากการคิดเพ่ือปรับปรุงจากความคิดเดิมท่ีเคยมีมาให้เกิด การพฒั นามากย่ิงขึน้ แปลกใหม่มากขึน้ สวยงามมากขึน้ และแตกตา่ งไปจากเดิม ประกอบด้วย ความคิดริเร่ิม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิด ละเอียดลออ แนวคดิ ที่นาไปสกู่ ารพฒั นาความคดิ (สคุ นธ์ สนิ ธพานนท์ และคณะ.2562) 1. ต้องเช่ือว่าการเรียนรู้ของคนเราเร่ิมตงั้ แตเ่ กิดและมีความตอ่ เน่ืองตลอด ชีวิต มีสมองที่รับรู้ประสบการณ์ที่หลากหลายทงั้ ความร่ืนรมย์ และความเศร้าโศก 2. สมองท่ีได้มีโอการสมั ผสั กบั ประสบการณ์ความรู้ใหม่ๆ มีโอกาสพฒั นา ประสาทสมั ผสั ให้สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหมไ่ ด้ 3. บคุ คลสามารถฝึ กฝนทกั ษะอย่างอตั โนมตั ิตงั้ แตเ่ ยาว์วยั ดงั นนั้ จึงควร จะต้องพฒั นาฝึกฝนทกั ษะในทกุ ด้านทงั้ ทางทฤษฎีและปฏิบตั ิ 34 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
ภาพท่ี 3.5 ยิง่ ตงั้ เป้ าหมายไว้สงู ย่งิ ผลกั ดนั คณุ ส่คู วามสาเร็จ 3.3 แรงบันดาลใจกบั ตัวตน “การได้รับแรงบนั ดาลใจไม่ได้ทาให้คณุ เสียอะไรไปเลย แต่มันกลับช่วย บนั ดาลทกุ ส่งิ มาให้กบั คณุ ” — เมอร์เรย์ นิวแลนด์ส (Murray Newlands) หลายครัง้ ที่เราขาดหายแรงบนั ดาลใจ หรือไม่สามารถท่ีจะมองหามนั ได้ นนั่ อาจเป็ นเพราะเราไม่สามารถท่ีจะทาความรู้จกั และเข้าใจตวั เองได้ดีพอ การเฝ้ า ค้นหาและสงั เกตตวั ตนของเราจึงเป็ นสิ่งสาคญั เพราะจะทาให้รู้ได้ว่า สิ่งที่เราชอบ หรือไม่ชอบนนั้ คืออะไร นอกจากท่ีจะต้องสงั เกตตวั เองแล้วการฟังความคิดเห็นจาก บคุ คลรอบข้างแล้วนามาคิดวิเคราะห์กับตวั เองนนั้ ก็ยงั เป็ นสิ่งที่ช่วยให้เรามองเห็น ตวั เองได้ชดั เจนยิ่งขนึ ้ แตก่ ารทางานนนั้ จะมีประสิทธิภาพและได้ผลมากน้อยแคไ่ หน ก็ขนึ ้ อยกู่ บั กฎข้อหนง่ึ คือ การมองสิ่งนนั้ ด้วยความเป็ นจริง การมองสิ่งนนั้ ด้วยความ เป็นจริงในแบบที่มนั เป็นด้วยความรู้สึกของเรา ถ้าเรามองอะไรแล้วลองตอบตวั เองว่า รู้สึกอยา่ งไรโดยไม่ต้องคิดวิเคราะห์ ก็จะทาให้รู้วา่ ตวั เรานนั้ เป็ นอย่างไร เช่น เม่ือเรา มองก้อนหินสกั ก้อน สาหรับคนแรกอาจจะรู้สกึ ถงึ ความเข้มแขง็ เพราะมนั มีความมนั่ คง แข็งแกร่ง แตก่ บั อีกคนนนั้ ความรู้สึกที่เกิดขึน้ อาจจะเป็ นความทรมาน เพราะมีความ อึดอัด อัดแน่น มุมมองของคนทัง้ สองคนท่ีมองก้อนหินก้อนเดียวกันก็บอกได้ถึง สภาวะของจิตใจของตวั เขาเอง เมื่อเราคอ่ ยๆ เรียนรู้ความรู้สึกของเราไปเรื่อยๆ เราก็จะ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 35
มองเห็นตวั เองชัดขึน้ ว่า เราเป็ นคนอย่างไร มีแนวทางและมุมมองวิธีคิดอย่างไร และสิ่งสาคญั คือ เรามีกระบวนการหรือวิธีการในการนาสิ่งนนั้ มาใช้ให้เกิดความคิด สร้างสรรค์ขนึ ้ อยา่ งไร (เตชิต เฉยพว่ ง. 2560) 3.3.1 เข้าใจตวั เอง การจะเข้าใจตวั เองและวา่ เราชอบหรือไมช่ อบอะไรนนั้ ต้องเกิดจาก องค์ประกอบการเรียนรู้ของประสาทสมั ผสั ส่วนตา่ งๆ ที่จะมาใช้เป็ นแรงบนั ดาลใจใน การคดิ สร้างสรรค์ ได้แก่ 3.3.1.1 ดู 3.3.1.2 ฟัง 3.3.1.3 อา่ น 3.3.1.4 สมั ผสั 3.3.1.5 รับรส 3.3.1.6 คดิ 3.3.1.7 เขียน 3.3.2 ลาดบั ของความคดิ สร้างสรรค์ แบง่ ขนั้ ตอนในการคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ไว้ 4 ขนั้ ตอน ดงั นี ้ (ลกั ขณา สริวฒั น์. 2558) 3.3.2.1 ขนั้ เตรียม คือ ขนั้ ตอนท่ีสามารถเกิดขึน้ ได้ตลอดเวลาใน กิจวัตรประจาวัน เป็ นระยะที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น บุคคลท่ีมีความคิด สร้างสรรค์สูงจะกระหายใฝ่ รู้สงู จะพยายามเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ อย่ตู ลอดเวลา สามารถ สร้างทกั ษะท่ีจะก่อให้เกิดผลทางจินตนาการที่มีความหลากหลายวิธี 3.3.2.2 ขนั้ ฟักตวั หรือบม่ ตวั คือ ขนั้ ตอนในการสะสมความรู้และ ทกั ษะตา่ งๆ ไว้ในสมองซงึ่ จะมีลกั ษณะของความสบั สน ไมแ่ นใ่ จหรือยงั ไมพ่ ร้อมที่จะ แสดงออก มีการแสวงหาความรู้ตา่ งๆ เพิ่มเตมิ ให้เกิดการคดิ ในขนั้ ตอนตอ่ ไป 36 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
3.3.2.3 จรรโลงใจหรื อขัน้ ความคิดกระจ่าง คือ ขัน้ ตอนที่ จินตนาการหรือผลที่ได้จากความคดิ ที่เกิดขนึ ้ ในสมองนนั้ ผดุ ขนึ ้ อย่างทนั ทีทนั ใด หรือ อาจจะเรียกวา่ เป็นขนั้ ตอนที่เกิดแรงบนั ดาลใจ 3.3.2.4 ขัน้ การปรับปรุงหรือขัน้ พิสูจน์ คือ ระยะท่ีความคิดท่ี คิดออกนนั้ ได้รับการประเมิน กลน่ั กรอง ตรวจสอบ พิสจู น์ ปรับปรุง ตกแตง่ ความคิด ให้มีความสมบรู ณ์มากยิง่ ขนึ ้ ภาพท่ี 3.6 ลาดบั ของความคดิ สร้างสรรค์ สรุป การจะมีแรงบนั ดาลใจท่ีประสบผลสาเร็จที่ดีได้นนั้ ต้องเริ่มจากการ เข้าใจตนเองซึ่งมาจากการเรียนรู้และการสงั เกตจากการดู ฟัง อ่าน สมั ผสั รับรส คิด และเขียน ซงึ่ นาไปส่ลู าดบั ของความคิดสร้างสรรค์ 4 ขนั้ ตอน ได้แก่ ขนั้ เตรียม ขนั้ ฟักตวั หรือบม่ ตวั ขนั้ จรรโลงใจหรือขนั้ ความคดิ กระจา่ ง และการปรับปรุงหรือขนั้ พสิ จู น์ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 37
สรุป ปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ แรงบนั ดาลใจ มีความสาคญั เป็ นอยา่ งมากเพราะเป็ นส่ิงท่ีจะ ช่วยส่งเสริมให้แรงบันดาลใจนัน้ เป็ นจริงและประสบความสาเร็จขึน้ มาได้ ดังนัน้ การนาพาตวั เข้าไปอยใู่ นปัจจยั เหลา่ นนั้ จงึ เป็นสง่ิ สาคญั โดยแหลง่ ท่ีมาของ แรง บันดาลใจนัน้ มีสถานท่ีมากมายท่ีเราสามารถเข้าไปศึกษาและเรียนรู้ไปพร้ อมกับ จินตนาการของเราได้ เรียกได้ว่าแทบจะทุกท่ีที่เราไป ไม่ว่าจะเป็ น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอศิลป์ ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์และ โทรศพั ท์มือถือของเราเอง แรงบนั ดาลใจสู่ความคิดสร้ างสรรค์มีแนวคิดว่า ความคิดสร้ างสรรค์เป็ น ความสามารถท่ีอย่ใู นตวั ของเราทุกคน เม่ือมีแรงบนั ดาลใจก็จะนาพาไปส่คู วามคิด สร้างสรรค์ เพ่ือคดิ ค้นให้ค้นพบประสบการณ์ความสมั พนั ธ์ของสิ่งตา่ งๆ ท่ีมีประโยชน์ คุณค่ามีลักษณะของความคิดท่ีแปลกใหม่ ซ่ึงอาจเกิดจากการคิดเพื่อปรับปรุง จากความคดิ เดมิ ที่เคยมีมาให้เกิดการพฒั นามากย่ิงขนึ ้ แปลกใหม่มากขึน้ สวยงาม มากขึน้ และแตกต่างไปจากเดิม ประกอบด้วย ความคิดริเร่ิม ความคิดคล่องแคล่ว ความคดิ ยืดหยนุ่ และความคดิ ละเอียดลออ แรงบนั ดาลใจกบั ตวั ตนนนั้ การท่ีจะมีแรงบนั ดาลใจท่ีประสบผลสาเร็จท่ีดีได้ นนั้ ต้องเริ่มจากการเข้าใจตนเองซึ่งมาจากการเรียนรู้และการสังเกตจากการดู ฟัง อ่าน สมั ผสั รับรส คิดและเขียน ซึ่งนาไปส่ลู าดบั ของความคิดสร้างสรรค์ 4 ขนั้ ตอน ได้แก่ ขัน้ เตรียม ขัน้ ฟักตัว หรือบ่มตัว ขัน้ จรรโลงใจหรือขัน้ ความคิดกระจ่าง และ การปรับปรุงหรือขนั้ พสิ จู น์ 38 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
บทท่ี 4 แนวคดิ และทฤษฎีท่เี ก่ียวข้องกับแรงบันดาลใจ เตชติ เฉยพว่ ง ทฤษฎีเป็ นเหมือนแนวคิด แนวทางในการปฏิบตั ิ ดงั นนั้ การเรียนรู้ทฤษฎี ต่างๆ เพ่ือนามาประยุกต์ใช้เพื่อสร้ างแรงบนั ดาลใจจึงเป็ นสิ่งสาคญั ท่ีจะทาให้เรา สามารถลาดบั ขนั้ ตอนในการเรียนรู้ การปฏิบตั ไิ ด้ 4.1 แนวคดิ และทฤษฎีรู้คดิ การรู้คิด การเรียนรู้การรู้คิด (cognitive learning) หมายถึง กระบวนการ เรียนรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับกลไกทางสมอง อันประกอบด้วย การรับรู้ การคิด การเข้าใจ การใช้เหตุผล การตดั สินใจ การวางแผน การจา จินตนาการ เป็ นต้น การเรียนรู้ การรู้คิดเป็ นการเรียนรู้ท่ีครอบคลุมการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการรู้คิด (learning about cognition or thinking) การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิด (learning through thinking) และการคิดเก่ียวกบั การคิดของตน (thinking about thinking) หรืออภิปัญญา (metacognition) การเรียนรู้เก่ียวกับกระบวนการรู้คิดเป็ นการศึกษาเกี่ยวกับ กระบวนการทางสมองของบคุ คลในการคิดและเรียนรู้เรื่องต่างๆ เช่น การใช้เหตผุ ล การตดั สินใจ การแก้ปัญหา ซ่งึ มกั ได้รับอิทธิพลจากส่ิงแวดล้อมทงั้ จากภายนอกและ ภายในตัวบุคคล การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิดเป็ นการเรี ยนรู้ท่ีเน้นการใช้ กระบวนการรู้คิดของผ้เู รียน โดยนาความรู้เกี่ยวกบั กระบวนการรู้คดิ มาใช้ในการสง่ เสริม การเรียนรู้ของผ้เู รียน และยงั มีความรู้เก่ียวกบั ทกั ษะการคิดอีกจานวนมากท่ีผู้สอน สามารถนามาสอนและฝึ กฝนผ้เู รียน เช่น ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคิดเชิงมโนทัศน์ การคิดเชิงระบบ การคิดไตร่ตรอง ทงั้ นีท้ ักษะกระบวนการคิด ตา่ งๆ ดงั กลา่ วล้วนเป็นทกั ษะที่จาเป็ นตอ่ การเรียนรู้ทงั้ สนิ ้ สว่ นการคดิ เกี่ยวกบั การคิด ของตนเป็ นความรู้ของแต่ละบุคคลที่เก่ียวกับกิจกรรมทางปัญญาของตนและ
ความสามารถท่ีจะควบคุมและประเมินการคิดของตนเอง การคิดเกี่ยวกับการคิด นบั เป็ นองค์ประกอบสาคญั ของการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในเรื่องนีส้ ามารถช่วยให้ผู้เรียนควบคุมกากับกระบวนการทาง ปัญญาของตนได้ การพัฒนาความสามารถในการคิดเกี่ยวกับการคิดของตนหรือ อภิปัญญา จงึ เป็นเร่ืองสาคญั ท่ีผ้สู อนควรพฒั นาให้เกิดขนึ ้ แก่ผ้เู รียน ซง่ึ ทาได้หลายวิธี เช่น การให้ผ้เู รียนวางแผนงาน และควบคมุ กากบั ตนเองในการทางาน การให้เขียน อนุทินสะท้อนความคิดและประสบการณ์ต่างๆ การให้ประเมินผลงานและประเมิน ตนเอง (จนิ ดารัตน์ โพธ์ินอก. 2556) ทฤษฎีรู้คิด สามารถจาแนกแนวคิดของ Cognition และ Meta Cognition ดงั นี ้(ลกั ขณา สริวฒั น์. 2558) 4.1.1 ทฤษฎีการรู้คดิ ตามแนวคดิ ของ Cognition ได้แก่ 4.1.1.1 ทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญานิยม (Cognitivism) พุทธิปัญญา ให้ความสาคัญในการศึกษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ าภายนอก คือสิ่งต่างๆ รอบตวั กบั ส่ิงเร้าภายใน คือความรู้ความเข้าใจหรือกระบวนการรู้คิด ท่ีช่วยส่งเสริม การเรียนรู้ ขอบเขตที่มีความเก่ียวข้องกับขบวนการคิด ได้แก่ ความใส่ใจ การรับรู้ การจาได้ การคิดอย่างมีเหตุผล จินตนาการ หรือการวาดภาพในใจ การคาดการณ์ ลว่ งหน้าหรือมีแผนการรองรับ การตดั สินใจ 4.1.1.2 ทฤษฎีพฒั นาปัญญาของ Piaget เช่ือวา่ คนเราตงั้ แตเ่ กิด ทกุ คนนนั้ มีความพร้อมท่ีจะปฏิสมั พนั ธ์กับส่ิงแวดล้อม และโดยธรรมชาตขิ องคนเรา นัน้ มีความพร้ อมในการเริ่มกระทาก่อน และถือว่ามีพืน้ ฐานติดตัวมาตัง้ แต่เกิด 2 ชนิด คือ 1) การจดั และรวบรวม คือการจดั และรวบรวมขบวนการ ตา่ งๆ ภายในอยา่ งเป็ นระบบ ตอ่ เนื่อง เป็ นระเบียบ และมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อยตู่ ลอดเวลาตราบท่ียงั มีปฏิสมั พนั ธ์กบั สง่ิ แวดล้อม 40 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
2) การปรับตัว คือการปรับตัวให้เข้ากับส่ิงแวดล้ อม เพ่ือให้อยู่ในสภาพที่มีความสมดุล การปรับตัวนัน้ ประกอบด้วย 2 ลักษณะ คือ การซมึ ซบั หรือดดู ซมึ และการปรับโครงสร้างทางปัญญา 4.1.1.3 ทฤษฎีการเรี ยนรู้ โดยการพบของ Bruner ได้ เน้ น การพฒั นาเก่ียวกบั ความสามารถในการรับรู้และความเข้าใจ บคุ คลแตล่ ะคนมีการ พฒั นาความรู้ความเข้าใจหรือการรู้คดิ โดยผา่ นขบวนการที่เกิดขนึ ้ ตลอดชว่ งชีวิตของ คนเรา 4.1.1.4 ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ Ausubel เป็ นทฤษฎีพุทธิปัญญานิยมที่เน้นความสาคัญในการจัดเรียบเรียงความรู้อย่างมี ระบบ และการเกิดความคดิ รวบยอดใหม่ 4.1.1.5 ทฤษฎีการประมวลสารสนเทศ เป็ นทฤษฎีการเรียนรู้ ที่ใหม่และกาลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เน่ืองจากเป็ นทฤษฎีท่ีมุ่งเน้น ลกั ษณะเฉพาะตวั ของบคุ คลกบั ข้อมลู และสิ่งที่อยใู่ นกระบวนการการเรียนรู้ โดยเน้นที่ กระบวนการการคิด ความจาระยะยาว และการเรียกข้อมูล ที่ได้เรียนรู้แล้วและเก็บ อย่ใู นความทรงจาระยะยาวและสามารถนากลบั มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทงั้ นี ้ มีงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องกบั การศกึ ษาในทฤษฎีนี ้ได้แก่ การรับรู้ การใส่ใจ ความจา และ ความเข้าใจ 4.1.2 ทฤษฎีการรู้คดิ ตามแนวคดิ ของตนเอง หรือทฤษฎีรู้คิดของ Meta Cognition เป็ นทฤษฎีท่ีสืบเนื่องมาจาก นักจิตวิทยากลุ่มพุทธปัญญานิยม และบุคคลสาคญั ท่านหน่ึง คือ Flavell ที่เชื่อว่า ผู้เรียนมีความสาคัญต่อการเรียนรู้ คือเป็ นผู้ควบคมุ กิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง ดงั นี ้ 4.1.2.1 อภิปัญญา คือ การควบคมุ และประเมินความคิดตนเอง ความสามารถของบุคคลที่ได้รับการพฒั นาเพื่อควบคมุ กากับกระบวนการทางปัญญา และกระบวนการคิด มีความตระหนักในงานและสามารถใช้ยุทธวิธีวิธีการทางาน จนสาเร็จได้อยา่ งสมบรู ณ์ GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวติ I 41
4.1.2.2 องค์ประกอบของอภิปัญญา แบง่ เป็ น 2 องค์ประกอบ คือ การตระหนกั รู้ และความสามารถในการควบคมุ ตนเอง 4.1.2.3 ความรู้ในเชิงอภิปัญญา ประกอบด้วยความรู้เก่ียวกบั บคุ คล ความรู้เก่ียวกบั งาน และความรู้เกี่ยวกบั กลวิธี 4.1.2.4 กระบวนการในอภิปัญญา ประกอบด้วยการวางแผน การตรวจสอบ และการประเมิน 4.2 แนวคิดและทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้มีความเช่ือพืน้ ฐานท่ีสาคญั คือ พฤติกรรมมนษุ ย์เกิดจาก การเรียนรู้ และแตล่ ะคนได้รับการเรียนรู้ท่ีแตกตา่ งกนั จึงนาไปส่กู ารพฒั นาแบบแผน พฤติกรรมของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ในท่ีนีจ้ ะกล่าวถึง ทฤษฎีสงั คมเชิงการรู้คิด ของอตั เบริ ์ต แบนดรู า (จิราภรณ์ ตงั้ กิตตภิ าภรณ์. 2559) 4.2.1 ทฤษฎีสงั คมเชงิ การรู้คดิ ของอตั เบริ ์ต แบนดรู า บนั ดรู ามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนษุ ย์ส่วนมากเป็ นการเรียนรู้ โดยการสงั เกตหรือการเลียนแบบ เน่ืองจากมนุษย์มีปฏิสัมพนั ธ์กับส่ิงแวดล้อมที่อยู่ รอบๆ ตวั อยเู่ สมอ (Unknown. 2558) บนั ดรู าเชื่อวา่ การเรียนรู้ของมนษุ ย์สว่ นมาก เป็นการเรียนรู้โดยการ สังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สาหรับตัวแบบไม่จาเป็ นต้องเป็ น ตัวแบบที่มีชีวิตเท่านัน้ แต่อาจจะ เป็ นตวั แบบ สญั ลกั ษณ์ เชน่ ตวั แบบที่เห็นในโทรทศั น์ ภาพยนตร์ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะ เป็น รูปภาพ การ์ตนู หนงั สือ นอกจากนี ้ คาบอกเลา่ ด้วยคาพดู หรือข้อมลู ท่ีเขียนเป็ น ลายลกั ษณ์อกั ษรก็เป็นตวั แบบได้ 42 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
บันดูราได้ ให้ ความสาคัญของการปฏิสัมพันธ์ของอินทรี ย์ และส่ิงแวดล้อม และถือว่าการเรียนรู้ก็เป็ นผลของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียน และสิ่งแวดล้อม โดยผ้เู รียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลตอ่ กนั และกนั บนั ดรู าได้ถือว่า ทงั้ บคุ คลที่ต้องการจะเรียนรู้และส่ิงแวดล้อมเป็ นสาเหตขุ องพฤตกิ รรมและได้อธิบาย การปฏิสมั พนั ธ์ ดงั นี ้ B (Behavior) = พฤตกิ รรมอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ของบคุ คล P (Person) = บคุ คล (ตวั แปรท่ีเกิดจากผ้เู รียน เชน่ ความคาดหวงั ของผ้เู รียน ฯลฯ) E (Environment) = สิง่ แวดล้อม ภาพท่ี 4.1 : การปฏิสมั พนั ธ์ในทฤษฎีสงั คมเชิงการรู้คดิ ของอตั เบริ ์ต แบนดรู า 4.2.2 ปัจจยั ที่มีอทิ ธิพลตอ่ การหลอ่ หลอมบคุ ลิกภาพ 4.2.2.1 การเรียนรู้ 4.2.2.2 กระบวนการการรู้การคดิ 4.2.3 สง่ิ แวดล้อม GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 43
สรุป ทฤษฎีสงั คมเชิงการรู้คิดของอตั เบิร์ต แบนดรู า อธิบายว่าบคุ ลิกภาพ เป็ นผลของปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างตวั บุคคล ส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรม เขาเน้นว่าตวั แบบเป็ นตัวที่ส่งเสริมแรงที่มีอิทธิพลมากต่อการทาให้บุคคลเกิดความตัง้ ใจใน การรับรู้ จากนัน้ จึงบันทึกสัญลักษณ์หรือการจัดระบบการรู้ การคิด การทบทวน ตวั แบบแล้วจงึ ตามด้วยพฤตกิ รรมการตอบสนองหรือการแสดงออก ซงึ่ ส่งิ ที่เรียนรู้แล้ว อาจจะแสดงออกหรือไม่แสดงออกก็ได้ อาจจะมีแนวโน้มในการแสดงออกซา้ เมื่อผล ของการกระทานนั้ เป็ นด้านบวก และไม่มีการแสดงออกอีกเม่ือผลของการกระทานนั้ เป็ นด้านลบ 4.3 แนวคดิ และทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ 4.3.1 ทฤษฎีความคดิ สร้างสรรค์ (รีวฒั น์ เมืองสรุ ิยา) Davis (1983) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกบั ความคิดสร้างสรรค์ของ นกั จิตวิทยาท่ีได้กล่าวถึงทฤษฎีของความคิดสร้างสรรค์ โดยแบ่งเป็ นกล่มุ ใหญ่ๆ ได้ 4 กลมุ่ คือ 4.3.1.1 ทฤษฎีความคิดสร้ างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์ นกั จิตวิทยา ทางจิตวิเคราะห์หลายคนเช่น Freud และ Kris ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับการเกิด ความคิดสร้ างสรรค์ว่า ความคิดสร้ างสรรค์เป็ นผลมาจากความขัดแย้งภายใน จิตใต้สานกึ ระหว่างแรงขบั ทางเพศ (Libido) กบั ความรู้สกึ ผิดชอบทางสงั คม (Social Conscience) ส่วน Kubie และ Rugg ซ่ึงเป็ นนักจิตวิเคราะห์แนวใหม่กล่าวว่า ความคดิ สร้างสรรคน์ นั้ เกิดขนึ ้ ระหวา่ งการรู้สตกิ บั จิตใต้สานกึ ซงึ่ อยใู่ นขอบเขตของจิต สว่ นท่ีเรียกวา่ จติ กอ่ นสานกึ 4.3.1.2 ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม นกั จิตวิทยา กลุ่มนีม้ ีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องความคิดสร้ างสรรค์ว่าเป็ นพฤติกรรมท่ีเกิด การเรียนรู้ โดยเน้นที่ความสาคญั ของการเสริมแรงการตอบสนองที่ถกู ต้องกับสิ่งเร้ า เฉพาะหรือสถานการณ์ นอกจากนีย้ งั ได้เน้นความสมั พันธ์ทางปัญญา คือการโยง ความสมั พนั ธ์จากสิง่ เร้าหนงึ่ ไปยงั ส่ิงตา่ งๆ ทาให้เกิดความคดิ ใหมห่ รือสง่ิ ใหมเ่ กิดขนึ ้ 44 I GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต
4.3.1.3 ทฤษฎีความคดิ สร้างสรรคเ์ ชิงมานษุ ยนิยม นกั จิตวทิ ยาใน กลุ่มนีม้ ีแนวคิดว่าความคิดสร้ างสรรค์เป็ นสิ่งที่มนุษย์มีติดตัวมาแต่กาเนิด ผ้ทู ี่สามารถนาความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผ้ทู ่ีมีสจั การแห่งตน คือ รู้จกั ตนเอง พอใจตนเองและใช้ตนเองเต็มตามศกั ยภาพของตน มนษุ ย์จะสามารถแสดงความคิด สร้างสรรคข์ องตนออกมาได้อย่างเตม็ ที่นนั้ ขนึ ้ อยกู่ บั การสร้างสภาวะหรือบรรยากาศที่ เอือ้ อานวย ได้กล่าวถึงบรรยากาศท่ีสาคัญในการสร้ างสรรค์ ว่าประกอบด้วย ความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยา ความม่นั คงของจิตใจ ความปรารถนาท่ีจะเล่นกับ ความคดิ และการเปิดกว้างท่ีจะรับประสบการณ์ใหม่ 4.3.1.4 ทฤษฎี AUTA ทฤษฎีนีเ้ป็ นรูปแบบของการพฒั นาความคิด สร้ างสรรค์ให้เกิดขึน้ ในตวั บุคคล โดยมีแนวคิดว่าความคิดสร้ างสรรค์นัน้ มีอยู่ใน มนษุ ย์ทกุ คนและสามารถพฒั นาให้สงู ขนึ ้ ได้การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ตามรูปแบบ AUTA ประกอบด้วย 1) การตระหนกั (Awareness) คือ ตระหนกั ถึงความสาคญั ของความคดิ สร้างสรรคท์ ี่มีตอ่ ตนเอง สงั คม ทงั้ ในปัจจบุ นั และอนาคตและตระหนกั ถึง ความคดิ สร้างสรรคท์ ่ีมีอยใู่ นตนเองด้วย 2) ความเข้าใจ (Understanding) คือ มีความรู้ความ เข้าใจอยา่ งลกึ ซงึ ้ ในเรื่องราวตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้องกบั ความคดิ สร้างสรรค์ 3) เทคนิควิธี (Techniques) คือ การรู้เทคนิควิธีในการ พฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ทงั้ ที่เป็นเทคนคิ สว่ นบคุ คลและเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน 4) การตระหนักในความจริงของส่ิงต่างๆ (Actualization) คือ การรู้จกั หรือตระหนกั ในตนเอง พอใจในตนเองและพยายามใช้ตนเองอย่างเตม็ ศักยภาพรวมทัง้ การเปิ ดกว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่าง เหมาะสม การตระหนกั ถึงเพ่ือนมนษุ ย์ด้วยกนั การผลิตผลงานด้วยตนเองและการมี ความคดิ ท่ียืดหยนุ่ เข้ากบั ทกุ รูปแบบของชีวิต GEN0113 แรงบนั ดาลใจแหง่ ชีวิต I 45
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107