หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศึกษาวิชาฟิสกิ ส์ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ คำชแี้ จง : ใหผ้ ้สู อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ✓ลงในช่องที่ ตรงกบั ระดับคะแนน คณุ ลกั ษณะ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน อนั พงึ ประสงคด์ า้ น 321 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาตไิ ด้ 1.2 เข้ารว่ มกจิ กรรมท่ีสร้างความสามัคคีปรองดอง และเป็นประโยชน์ ตอ่ โรงเรยี น 1.3 เขา้ รว่ มกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบตั ิตามหลกั ศาสนา 1.4 เขา้ รว่ มกิจกรรมที่เก่ยี วกับสถาบนั พระมหากษัตรยิ ต์ ามทโี่ รงเรยี นจัดขึ้น 2. ซ่อื สตั ย์ สจุ รติ 2.1 ใหข้ ้อมูลที่ถกู ตอ้ งและเปน็ จริง 2.2 ปฏบิ ตั ใิ นสิ่งท่ีถูกต้อง 3. มีวินัย รบั ผดิ ชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบงั คับของครอบครัว มคี วามตรงต่อเวลาในการปฏบิ ัติกิจกรรมตา่ ง ๆ ในชีวิตประจำวัน 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 รจู้ ักใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ และนำไปปฏบิ ัติได้ 4.2 รู้จกั จดั สรรเวลาใหเ้ หมาะสม 4.3 เช่อื ฟังคำสั่งสอนของบดิ า-มารดา โดยไม่โต้แยง้ 4.4 ต้งั ใจเรยี น 5. อยอู่ ย่างพอเพียง 5.1 ใชท้ รพั ยส์ ินและสิ่งของของโรงเรยี นอย่างประหยดั 5.2 ใชอ้ ุปกรณ์การเรียนอย่างประหยดั และร้คู ณุ ค่า 5.3 ใชจ้ า่ ยอย่างประหยัดและมกี ารเกบ็ ออมเงิน 6. มงุ่ มั่นในการทำงาน 6.1 มคี วามต้ังใจและพยายามในการทำงานที่ไดร้ บั มอบหมาย 6.2 มีความอดทนและไม่ท้อแทต้ อ่ อปุ สรรคเพอื่ ใหง้ านสำเร็จ 7. รกั ความเปน็ ไทย 7.1 มีจติ สำนกึ ในการอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคณุ คา่ และปฏิบตั ติ นตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ กั ช่วยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครูทำงาน 8.2 รจู้ กั การดูแลรกั ษาทรัพยส์ มบัติและสิ่งแวดล้อมของหอ้ งเรียนและโรงเรยี น ลงช่อื .................................................. ผูป้ ระเมนิ ............/.................../................ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ พฤติกรรมท่ปี ฏิบัตชิ ดั เจนและสมำ่ เสมอ ให้ 2 คะแนน 51–60 ดมี าก พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ชิ ดั เจนและบอ่ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน 41–50 ดี พฤติกรรมที่ปฏิบตั บิ างครง้ั 30–40 พอใช้ ต่ำกว่า 30 ปรับปรงุ 14
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 1 ธรรมชาติของฟสิ กิ ส์ แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 1 ธรรมชาติของฟสิ ิกส์ เวลา 2 ชั่วโมง 1. ผลการเรยี นรู้ สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการของหลักการ และแนวคดิ ทางฟิสิกสท์ ม่ี ีผลตอ่ การแสวงหาความรู้ใหมแ่ ละการพัฒนาเทคโนโลยีได้ 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธิบายเก่ยี วกับธรรมชาติวชิ าฟิสิกส์ และสาขาความรู้ของวิชาฟสิ กิ สไ์ ด้ (K) 2. แสดงการบันทึกปริมาณทีม่ ีค่ามากหรือน้อย แสดงผลการทดลองในรปู ของกราฟไดถ้ ูกต้อง (P) 3. เห็นคุณประโยชนข์ องการเรียนวชิ าฟิสิกส์ ตระหนักในคณุ ค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยที ใี่ ช้ใน ชวี ิตประจำวนั (A) 3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม สาระการเรยี นร้ทู ้องถ่ิน - ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหน่ึงที่ศึกษาเกี่ยวกับ พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา สสาร พลังงาน อันตรกิรยิ าระหว่างสสารกับพลงั งาน และแรงพื้นฐานในธรรมชาติ - การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกต การทดลอง และเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือจากการสร้างแบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือกฎ ความรู้เหล่าน้ี สามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรอื ทำนายส่งิ ท่ีอาจจะเกิดขน้ึ ในอนาคต - ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการ แล ะแน วคิด ท างฟิสิกส์เป็น พื้น ฐาน ใน การ แสวงหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนา และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็มีส่วนในการ คน้ หาความรูใ้ หม่ทางวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ย 4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด ฟิสิกส์เป็นวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพสาขาหน่ึงท่ีเน้นการศึกษาเชิงปริมาณ ซ่ึงเป็นวิทยาศาสตร์เชิงปฏิบัติ ทฤษฎี หรือกฎ หรือหลักการฟิสิกส์ได้มาจากการทดลองและการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้วพยายามหา รูปแบบและหลักการที่เกย่ี วข้องกับปรากฏการณน์ ้นั ๆ จนเป็นทยี่ อมรับและใชก้ ันอย่างกว้างขวาง เพื่อนำไปสู่การ สร้างสงิ่ ใหม่ ๆ มาชว่ ยในการแกป้ ัญหา การสรา้ งเคร่อื งอำนวยความสะดวก ท่ีเรียกวา่ เทคโนโลยี 16
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 การศกึ ษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ที่ 1 ธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์ 5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี นและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 1. มวี นิ ยั 2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรียนรู้ 1) ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ 3. มงุ่ มั่นในการทำงาน 2) ทกั ษะการสังเกต 3) ทักษะการสอ่ื สาร 4) ทกั ษะการทำงานร่วมกนั 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model) ชวั่ โมงท่ี 1 ขัน้ นำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ครูเปิดประเด็นและชักชวนนักเรียนให้ร่วมกันอภิปราย โดยใช้คำถามเก่ียวกับการเกิดปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผา่ แผ่นดนิ ไหว และภูเขาไฟระเบิด ว่าส่งิ เหลา่ น้ีเกดิ จากสาเหตใุ ด 2. ในระหวา่ งอภปิ รายครูชี้ให้นักเรียนเห็นว่า มนุษย์ในสมัยโบราณเชื่อว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเป็นฝีมือ ของเทพเจ้าหรือภูตผีปีศาจ แต่ต่อมาเม่อื มกี ารสังเกตและบันทกึ ข้อมูลอย่างมีหลักเกณฑ์ จึงเกิดการพัฒนา ความรู้และสรา้ งเปน็ องค์ความรู้ข้ึนมา เพื่อพยายามหาคำตอบในส่ิงทเ่ี กดิ ขึน้ ท่ียังอธิบายไม่ได้ 3. ครใู หน้ กั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น 4. ครถู ามคำถามกระต้นุ นักเรียนว่า วทิ ยาศาสตรค์ อื อะไร และชป้ี ระเดน็ เพอื่ นำให้นกั เรียนร่วมกันอภิปรายว่า วชิ าฟิสิกส์ เคมี ชวี วทิ ยา เหมอื นหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร โดยทีค่ รใู ห้นักเรียนอภิปรายรว่ มกนั อย่างอสิ ระ 5. ครูถามคำถาม BIG QUESTION จากหนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.4 เล่ม 1 หน้า 2 ว่า ฟิสิกส์ คืออะไร และเก่ยี วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจำวันของนกั เรยี นได้อย่างไร (แนวตอบ : ฟิสิกส์ (Physics) เป็นศาสตร์วิชาท่ีว่าด้วยกฎเกณฑ์หรือปรากฏการทางธรรมชาติของ สิ่งท่ีไม่มีชีวิต ท่ีจะมุ่งเน้นศึกษาในเร่ืองอันตรกิริยา (interaction) ระหว่างอนุภาคของสสารและพลังงาน ซ่ึงฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอยู่มากมายหลายด้าน เช่น การนำ ความรู้ทางฟสิ ิกสไ์ ปประยุกต์ในด้านการแพทย์ เชน่ การใชร้ งั สเี อกซ์ เครื่องวัดความดันโลหติ การประยุกต์ ในด้านเคมี ฟิสิกส์ช่วยให้เข้าใจปฏิกิริยาในระดับโมเลกุลและอะตอม โดยอาศัยความรู้พื้นฐานด้านฟิสิกส์ อะตอมและฟสิ กิ ส์นวิ เคลียร์ รวมถงึ อธบิ ายการเกิดพันธะเคมี) 6. ครใู ห้นักเรียนร่วมแสดงความคิดเหน็ กับคำถามท่ีครูถาม 17
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 1 ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์ ขนั้ สอน สำรวจคน้ หา (Explore) 1. ครใู ห้นักเรียนจบั คกู่ ับเพ่ือนร่วมชั้นเรยี น แล้วให้นักเรยี นรว่ มกันศึกษาและสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกบั วิทยาศาสตร์ ธรรมชาตวิ า่ มคี วามหมายวา่ อยา่ งไรและแบง่ ไดเ้ ป็นกี่กลมุ่ 2. ครใู หน้ กั เรียนแต่ละค่รู ว่ มสรุปขอ้ มูลข้อมูลที่สบื คน้ ได้ลงในกระดาษ A4 แลว้ นำมาสง่ ครเู พ่ือให้ครูตรวจสอบ ความถูกตอ้ ง 3. ครูถามนักเรียนวา่ วิธกี ารค้นหาความรู้ทางฟิสกิ ส์ว่ามีกีแ่ นวทาง อะไรบ้าง โดยที่ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียน ในชัน้ เรียนรว่ มกนั หาคำตอบ (แนวตอบ : 2 แนวทาง คือ 1) การสังเกต บันทกึ ทดลอง วิเคราะหข์ อ้ มูล และสรปุ ต้ังเป็นกฎต่าง ๆ 2) การสรา้ งแบบจำลองทางความคิดอย่างมีเหตผุ ลเพ่ือตัง้ เปน็ ทฤษฎี) 4. ครูถามคำถาม Prior knowledge จากหนังสอื เรียน รายวชิ าพื้นฐาน ฟิสกิ ส์ ม.4 เล่ม 1 หน้า 3 ว่า ในการ เรียนวิชาฟิสิกส์ จำเปน็ ตอ้ งทำการทดลองหรือไม่ อยา่ งไร (แนวตอบ : ในวิชาฟิสิกส์ การทดลองเป็นส่วนสำคญั ในการฝึกทักษะและคิดหาเหตุผลโดยใชท้ ักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แล้วนำผลการทดลองนั้นมาวิเคราะห์และสรุปเป็นหลักการและทฤษฎีทาง ฟสิ ิกส์ เพ่ือนำไปสขู่ ้อสรปุ ทม่ี คี วามเชื่อถือได้) ชั่วโมงที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรู้เดิม โดยครนู ำนกั เรยี นอภปิ รายและได้ข้อสรุปเกย่ี วกบั วิชาฟิสกิ ส์ 2. ครถู ามนักเรียนว่า วชิ าฟิสกิ สต์ ้องอาศยั ศาสตรห์ รือสาขาใดเปน็ พืน้ ฐาน (แนวตอบ : วชิ าคณติ ศาสตร์) 3. ครูถามนักเรียนต่อไปวา่ ทำไมการเรยี นฟิสกิ สถ์ งึ ตอ้ งใช้คณติ ศาสตร์ 4. ครูถามนักเรียนต่อไปว่า ทำไมการเรียนฟิสิกส์ถึงต้องใช้คณิตศาสตร์ จากนั้นจัดกลุ่มให้นักเรียน โดยคละ ความสามารถ (เก่ง–ปานกลาง–อ่อน) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสืบค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนังสือเรียน อินเทอร์เน็ต หนังสืออ้างอิงต่าง ๆ จากห้องสมุด และร่วมกันวิเคราะห์และสรุปในประเด็น ต่อไปนี้ • วิชาฟิสกิ สเ์ ก่ยี วข้องกับคณิตศาสตร์อย่างไร • ฟิสิกสไ์ ดใ้ ช้หลกั คณติ ศาสตรเ์ รอื่ งใดบ้าง • ยกตัวอย่างทฤษฎีฟสิ ิกส์ท่ีอธิบายดว้ ยหลักคณติ ศาสตร์ 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่ม จากน้ันแต่ละกลุ่มส่งตัวแทน นำเสนอข้อมูลท่ีได้จากการ สบื คน้ 6. นักเรียนและครูรว่ มกันวิพากษ์เกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ เพ่ือความเข้าใจตรงกัน โดยนักเรยี นและครู ควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์ท่ีศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติในเชิงปริมาณ คำอธิบาย ปรากฏการณ์ต่าง ๆ จึงอยู่ในรูปของกฎซ่ึงเขียนอยู่ในรูปสมการคณิตศาสตร์ และกฎต่าง ๆ ก็ได้รับการ พิสูจน์จากสมการคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ผลการทดลองทางฟิสิกส์ เช่น กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน 18
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศึกษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ท่ี 1 ธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์ ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ การวัด การเก็บและบันทึกข้อมูลอย่างถูกต้องตามหลักการทำการ ทดลอง รวมท้ังการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลข้ันฐาน การเขียนรายงาน สรุปและวิจารณ์ผลการทดลอง จะต้องใช้วิธีทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วยในการคำนวณ เช่น การแสดงข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ( Mean) และค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 7. ครูถามนักเรียนว่า นอกจากการบันทึกข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของตารางบันทึกผลการทดลองและ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ียและค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานแล้ว นักเรียนสามารถนำเสนอข้อมูล ในรูปแบบใดอีก เพื่อให้เข้าใจความหมายของข้อมูลได้ง่ายย่ิงข้ึน โดยให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกันศึกษา หาคำตอบจากหนงั สือเรยี น รายวิชาพนื้ ฐาน ฟิสิกส์ ม.4 เลม่ 1 หน้า 5 8. ครูต้ังคำถามว่า สมการ y = mx + c มีความหมายว่าอย่างไร นักเรียนสามารถนำความรู้มาเชื่อมโยง ในวิชาฟิสิกส์อย่างไร (แนวคำตอบ : เช่น การเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางกับเวลาที่ได้จากการทดลอง การบนั ทึกข้อมลู เขยี นกราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างน้ำหนักกบั แรง เพื่อหาความชนั ของกราฟ) 9. ครูนำนักเรียนสรุปคำถามร่วมกันว่า การทดลองทางฟิสิกส์จะได้ข้อมูลเป็นตัวเลขที่เกิดจากความสัมพันธ์ ของปริมาณต่าง ๆ ที่ศึกษา จากนั้นจึงนำสมการทางคณิตศาสตร์มาช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของปริมาณ นั้นออกมาในรูปของสมการ ซ่ึงความสัมพันธ์เหล่าน้ีมักใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์เชิงทฤษฎี และการ นำเสนอข้อมูลยงั มอี ีกหลายรูปแบบ เช่น แผนภมู แิ ทง่ แผนภมู วิ งกลม เป็นตน้ อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูให้นักเรียนกลับเข้าสู่กลุ่มเดิมแล้วให้ร่วมกันศึกษาการนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเขียนกราฟความสัมพันธ์ในช่วงเวลาต่าง ๆ จากตัวอย่างท่ี 1.1 และ 1.2 ใน หนงั สือเรยี น รายวิชาพื้นฐาน ฟิสิกส์ ม.4 เล่ม 1 หน้า 6 – 7 เพ่ือให้ช่วยเข้าใจการนำเสนอข้อมูลได้มาก ยิ่งขึ้น ซึ่งครูให้นักเรียน ทำตามข้ันตอนการแกโ้ จทยป์ ญั หา ดงั นี้ • ขน้ั ท่ี 1 ทำความเข้าใจโจทย์ตัวอย่าง • ขั้นที่ 2 ส่ิงที่โจทยต์ อ้ งการถามหา และจะหาสง่ิ ทโี่ จทย์ต้องการ ต้องทำอยา่ งไร • ขน้ั ท่ี 3 ดำเนินการ • ขน้ั ที่ 4 ตรวจสอบคำตอบของโจทย์ตวั อยา่ ง 2. ครูสุ่มนักเรียนให้กออกมานำเสนอวิธีการแก้ปัญหาโจทย์ตัวอย่างตามขั้นตอนในแต่ละขั้น โดยท่ีครูคอย แนะนำและเสริมขอ้ มลู ทถี่ ูกตอ้ งให้นักเรียน ข้ันสรปุ ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 1. ครูนำนักเรยี นอภปิ รายและสรปุ เกี่ยวกับฟิสิกส์ ดังนี้ • ฟิสิกสค์ ืออะไร ยกตัวอย่างและอธิบายสถานการณ์ หรอื ปรากฏการณ์ ที่ต้องใช้ฟิสกิ ส์ไปประยุกต์ใช้ ในชีวติ ประจำวนั • ฟสิ ิกสต์ ้องอาศัยศาสตรห์ รือสาขาใดเป็นพื้นฐาน • ฟิสกิ สแ์ ละเทคโนโลยสี ัมพันธ์กนั อยา่ งไร 19
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 1 ธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์ 2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาเร่ือง ธรรมชาติของฟิสิกส์ ว่ามีส่วนไหนท่ียังไม่เข้าใจและให้ ความรเู้ พิม่ เติมในส่วนน้นั โดยทคี่ รูอาจจะใช้ PowerPoint เรือ่ ง ฟสิ ิกส์ ช่วยในการอธบิ าย 3. ครใู หน้ กั เรยี นทำใบงานท่ี 1.1 เร่อื ง ธรรมชาติของฟิสิกส์ 4. ครใู หน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบหลังเรยี น 5. ครูมอบหมายให้นักเรียนสรุปผังมโนทัศน์ (Mind Mapping) เร่ือง ธรรมชาติของฟิสิกส์ และให้นักเรียนทำ Unit Question 1 สง่ เปน็ การบ้านชวั่ โมงถดั ไป ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรียน 2. ครูประเมนิ ผล โดยการสังเกตการตอบคำถาม การร่วมกันทำผลงาน และจากการนำเสนอผลงาน 3. ครวู ัดและประเมนิ การปฏิบัติการ จากการทำใบงานท่ี 1.1 เรื่อง ธรรมชาติของฟิสิกส์ 4. ครตู รวจสอบผลการทำแบบทดสอบหลงั เรยี น 5. ครูวัดและประเมนิ ผลจากการทำ Unit Question 1 ในหนงั สือเรยี น ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 6. ครูวดั และประเมนิ ผลจากผังมโนทัศนท์ ี่นกั เรียนไดส้ ร้างขึน้ จากขั้นขยายความรูข้ องนักเรียนเปน็ รายบคุ คล 7. การวดั และประเมินผล รายการวดั วิธีวดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน แบบทดสอบก่อนเรียน ประเมินตามสภาพจริง 7.1 การประเมนิ ก่อนเรียน ตรวจแบบทดสอบ - ใบงานท่ี 1.1 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - แบบทดสอบก่อน กอ่ นเรียน - ผลงานทนี่ ำเสนอ ระดับคุณภาพ 2 เรยี น หนว่ ยการ - แบบสังเกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์ การทำงานรายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 เรียนรู้ที่ 1 เร่อื ง - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์ การทำงานกลุ่ม ระดบั คุณภาพ 2 การศึกษาวิชาฟสิ กิ ส์ - แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ คุณลกั ษณะ ระดบั คุณภาพ 2 7.2 การประเมนิ ระหว่าง อนั พึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์ การจัดกิจกรรม 1) ธรรมชาติและ - ตรวจใบงานท่ี 1.1 สาขาความรูข้ อง วชิ าฟิสกิ ส์ 2) การนำเสนอ - ประเมนิ การนำเสนอ ผลงาน ผลงาน 3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม ทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบุคคล 4) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤติกรรม ทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม 5) คณุ ลกั ษณะ - สังเกตความมวี ินยั อันพงึ ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และม่งุ ม่ัน ในการทำงาน 20
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 การศกึ ษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ที่ 1 ธรรมชาติของฟิสกิ ส์ 8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้ 8.1 ส่อื การเรียนรู้ 1) หนงั สือเรียน รายวชิ าพืน้ ฐาน ฟิสกิ ส์ ม.4 เล่ม 1 2) ใบงานที่ 1.1 เรื่อง ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์ 3) PowerPoint เรือ่ ง ฟิสิกส์ 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) ห้องเรียน 2) หอ้ งสมุด 3) แหล่งข้อมลู สารสนเทศ 21
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศกึ ษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ที่ 1 ธรรมชาติของฟิสกิ ส์ ใบงานที่ 1.1 เรอื่ ง ธรรมชาติของฟสิ ิกส์ คำช้แี จง : ใหเ้ ตมิ ข้อความหรอื ความหมายของคำต่อไปน้ใี ห้สมบรู ณ์ 1. ฟสิ ิกสม์ คี วามหมายว่าอย่างไร 2. วิทยาศาสตร์ธรรมชาติประกอบดว้ ยอะไรบ้าง 3. วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์เปน็ อย่างไร 4. เทคโนโลยมี ีความหมายว่าอย่างไร 22
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศกึ ษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ที่ 1 ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์ ใบงานท่ี 1.1 เฉลย เรอื่ ง ธรรมชาติของฟิสิกส์ คำชแ้ี จง : ใหเ้ ตมิ ข้อความหรอื ความหมายของคำต่อไปนี้ใหส้ มบูรณ์ 1. ฟสิ กิ ส์มีความหมายวา่ อย่างไร ฟิสิกสเ์ ปน็ ศาสตรว์ ิชาท่ีว่าด้วยกฎเกณฑ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของส่ิงท่ีไม่มีชีวิตในเรื่องอันตรกิริยา (interaction) ของอนุภาคของสสารและพลังงาน 2. วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาตปิ ระกอบดว้ ยอะไรบา้ ง วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science) คือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่บรรยายถึงความเป็นไปของ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ อันประกอบไปด้วย ข้อเท็จจริง หลักการ ทฤษฎี กฎ และสูตรต่าง ๆ เป็นความรู้ พ้ืนฐานของนักวิทยาศาสตร์ ซ่ึงได้มาเพ่ือสนองความต้องการอยากรู้อยากเห็น โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของการ ค้นหา สามารถแบง่ ออกเปน็ กลุ่มย่อยได้อีก 3 แขนง คอื 1. วิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) คือ วิทยาศาสตร์ท่ีว่าด้วยเร่ืองราวต่าง ๆ ของส่ิงไม่มีชีวิต เช่น เคมี ฟสิ กิ ส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ 2. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (biological science) คือ วิทยาศาสตร์ท่ีว่าด้วยเร่ืองราวต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เชน่ สตั ววทิ ยา จุลชีววทิ ยา 3. วิทยาศาสตร์สังคม (social science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ เพื่อจัดระบบให้มนุษย์มี การดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีแบบแผน เพ่ือความสงบสุขของสังคม ประกอบด้วย วิชาจิตวิทยา วิชารัฐศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น 3. วิธีการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ อยา่ งไร วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีกระบวนการที่เป็นแบบแผนมี ขั้นตอนท่ีสามารถปฏิบัติตามได้ โดยข้ันตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเครื่องมือสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การกำหนดปัญหา การต้ังสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผลการทดลอง 4. เทคโนโลยมี ีความหมายวา่ อย่างไร เทคโนโลยี คอื การนำความรูท้ างวิทยาศาสตร์และศาสตรอ์ ่ืน ๆ มาผสมผสาน ประยุกต์ เพื่อสนองเป้าหมาย เฉพาะตามความต้องการของมนุษย์ ด้วยการนำทรัพยากรตา่ ง ๆ มาใชใ้ นการผลิต 23
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศึกษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ที่ 1 ธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์ 9. ความเห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษาหรอื ผทู้ ไ่ี ด้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ................................. ( ดร.อนงค์นุช วิริยสุขหทยั ) ตำแหนง่ ผ้อู ำนวยการโรงเรียนนาวงั วิทยา 10. บันทกึ ผลหลงั การสอน ด้านความรู้ ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ดา้ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปัญหาของนักเรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี ) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแกไ้ ข 24
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 2 การวัดปรมิ าณและหนว่ ยทางฟสิ ิกส์ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2 การวดั ปริมาณและหนว่ ยทางฟสิ ิกส์ เวลา 3 ช่ัวโมง 1. ผลการเรียนรู้ วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคล่ือนในการวัด มาพิจารณาในการนำเสนอผล รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปลความหมาย จากกราฟเส้นตรงได้ 2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายปริมาณกายภาพ ระบบหนว่ ยระหว่างชาติได้ (K) 2. อธิบายการเปลย่ี นแปลงของปรมิ าณท่สี งั เกตไดจ้ ากการวัดได้ (K) 3. แสดงการเปล่ยี นหน่วยทักษะการทดลอง การใชเ้ ครื่องมือการวัด และการนำเสนอข้อมูลได้ถูกตอ้ ง (P) 4. ทำงานร่วมกับผู้อืน่ อย่างสร้างสรรค์ ยอมรบั ความคิดเห็นของผู้อน่ื ได้ (A) 3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น - ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหน่ึงได้จากการทดลอง ซึ่ง พิจารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา เก่ียวข้องกับกระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ ซึ่ง ประกอบด้วยตัวเลข และหน่วยวัด - ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรงหรือทางอ้อม หน่วยท่ีใช้ในการวัดปริมาณทาง วิทยาศาสตร์ คือระบบหน่วยระหว่างชาติ เรียกย่อว่า ระบบเอสไอ - ปริมาณทางฟิสิกส์ท่ีมีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มาก ๆ นิยมเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หรือเขียนโดยใช้คำนำหน้าหน่วยของระบบเอสไอ การเขียนโดยใช้สัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็นการเขียน เพ่ือแสดงจำนวนเลขนัยสำคญั ท่ถี ูกต้อง สาระการเรียนร้แู กนกลาง สาระการเรยี นรทู้ ้องถิ่น - การทดลองทางฟสิ ิกส์เกีย่ วกับการวัดปริมาณตา่ ง ๆ การ พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา บันทึกปริมาณที่ได้จากการวัดด้วยจำนวนเลขนัยสำคัญ ท่ีเหมาะสมและค่าความคลาดเคลื่อน การวิเคราะห์และ การแปลความหมายจากกราฟ เช่น การหาความชันจาก กราฟเส้นตรง จุดตัดแกน พื้นท่ีใต้กราฟ เปน็ ต้น 26
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 2 การวดั ปริมาณและหนว่ ยทางฟสิ กิ ส์ - การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคล่ือนเสมอขึ้นอยู่ กับเครื่องมือ วิธีการวัด และประสบการณ์ของผู้วัด ซึ่งค่า ความคลาดเคล่ือนสามารถแสดงในการรายงานผลทั้งใน รูปแบบตวั เลขและกราฟ - การวัดควรเลือกใช้เคร่ืองมือวัดให้เหมาะสมกับส่ิงที่ ต้องการวัด เช่น การวัดความยาวของวัตถุที่ต้องการความ ละเอยี ดสูง อาจใชเ้ วอรเ์ นียร์แคลลิเปริ ส์ หรือไมโครมิเตอร์ - ฟิสิกส์อาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครอ่ื งมือในการศึกษา ค้นคว้า และการสอ่ื สาร 4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด ปริมาณที่อธิบายปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ หรือการเปล่ียนแปลงของปริมาณท่ีสังเกตอาจจะความยาว มวล เวลา ความเร่งและความดัน เป็นต้น ปริมาณเหล่าน้ีจะถูกแยกเป็นปริมาณฐานและปริมาณอนุพันธ์ การกำหนด หน่วยต่างๆ จึงต้องกำหนดให้เข้าใจตรงกันโดยใช้ระบบหน่วยระหว่างชาติ (SI Unit) ตัวพหุคูณที่ใช้เขียนแทน หน่วยฐานหรอื หนว่ ยอนุพนั ธท์ ี่มีคา่ มากหรือน้อยเกนิ ไป เรียกวา่ คำอุปสรรค 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มวี นิ ยั 2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรียนรู้ 1) ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ 3. ม่งุ มัน่ ในการทำงาน 2) ทักษะการส่ือสาร 3) ทกั ษะการทำงานร่วมกนั 4) ทกั ษะการนำความรู้ไปใช้ 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : สบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model) ชว่ั โมงท่ี 1 ข้ันนำ กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1. ครูและนักเรียนรว่ มกันสนทนาเกีย่ วกบั ปริมาณทางฟิสิกส์ 2. ครูถามนักเรียนวา่ ปรมิ าณทางฟสิ ิกส์แบ่งออกเป็นปรมิ าณไดบ้ ้าง นกั เรยี นร่วมกนั ตอบคำถาม 27
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 2 การวัดปรมิ าณและหน่วยทางฟสิ ิกส์ 3. ครูถามคำถาม Prior Knowledge “การบอกปริมาณในทางฟิสกิ ส์จำเป็นตอ้ งมีการบอกหนว่ ยกำกับไว้ด้วย หรือไมอ่ ย่างไร” เพอ่ื เปน็ การกระตุน้ ให้นกั เรียนรว่ มกันคดิ (แนวตอบ : ฟิสิกส์เป็นวิชาท่ีเน้นศึกษาในเชิงปริมาณทางกายภาพ เช่น มวล แรง ความยาว เวลา อุณหภูมิ เป็นต้น และข้อมูลท่ีได้จะเป็นตัวเลข ดังนั้นเพื่อให้ส่ือสารในส่ิงท่ีต้องการศึกษาให้ผู้อ่ืนเข้าใจง่าย ต่อการนำไปใชป้ ระโยชน์ จึงจำเปน็ ต้องมีหนว่ ยกำกบั ในการวดั ปรมิ าณนนั้ ๆ ดว้ ย) 4. นกั เรียนรว่ มชว่ ยกันตอบคำถาม ครอู าจจะเลอื กคำตอบทีไ่ มช่ ดั เจน มาอภปิ รายรว่ มกัน 5. ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกับปริมาณท่ีเก่ียวข้องกับวิชาฟิสิกส์ อีก 2 ปริมาณ คือ เวกเตอร์และสเกลาร์ ซ่ึงปริมาณสเกลาร์ คือ ปริมาณท่ีกำหนดแต่เพียงขนาด ก็มีความหมายสเกลาร์ เช่น ระยะทาง เวลา พ้ืนท่ี ส่วนปริมาณเวกเตอร์ คือ ปริมาณที่ต้องกำหนดท้ังขนาดและทิศทาง จึงจะมีความหมาย เช่น แรง การ กระจดั เปน็ ตน้ ขัน้ สอน สำรวจค้นหา (Explore) 1. ครูใหน้ ักเรียนแบ่งกลุ่ม แต่ละกล่มุ สบื คน้ ข้อมลู เกย่ี วกบั ระบบหนว่ ยที่ใชส้ ำหรับการวัดปริมาณในทางฟสิ ิกส์ ว่ามหี น่วยอะไรบ้าง จากแหล่งการเรียนรตู้ า่ ง ๆ เช่น หนังสือเรยี น อินเตอร์เนต็ หนังสืออ้างองิ ต่างๆ ใน หอ้ งสมดุ 2. นกั เรียนแตก่ ลุ่มรว่ มกนั วเิ คราะห์ผลจากการสบื ค้นขอ้ มูล 3. ครสู ุม่ นกั เรียนจากกลมุ่ ตา่ งๆ เพอื่ นำเสนอผลจากการสืบคน้ ข้อมลู เกยี่ วกบั ระบบหน่วยท่ีใช้ในทางฟิสิกส์ 4. ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปท่วี ่า ระบบเอสไอหรือหน่วยเอสไอ เพื่อใช้เป็นหน่วยกลาง ท่ีทกุ ประเทศใชเ้ ป็นมาตรฐานในการระบุหน่วยการวัดทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมินนักเรยี น โดยใชแ้ บบสงั เกตการณ์ทำงานกลุ่ม) ช่วั โมงท่ี 1 ขั้นสอน สำรวจค้นหา (Explore) 5. ครูและนกั เรียนร่วมกันอภิปรายต่อว่า หน่วยเอสไอ มอี ยู่ 4 หนว่ ย 6. ครูอธิบายไปทีละหน่วย โดยเร่ิมจากหน่วยฐาน หน่วยเสริม หน่วยอนุพัทธ์ และคำอุปสรรค • หน่วยฐานประกอบด้วย 7 หน่วย ได้แก่ หน่วยที่ใช้วัดความยาว มวล เวลา กระแสไฟฟ้า อุณหภูมิ ความเข้มแหง่ การส่องสว่าง ปริมาณของสาร โดยแตล่ ะหน่วยตา่ งเป็นอิสระต่อกัน และใช้เป็นหนว่ ย พนื้ ฐานของหนว่ ยอน่ื แสดงดงั ตารางในหนังสือเรียนหนา้ 11 • หน่วยเสริม มี 2 หน่วย คือ เรเดียน เป็นหน่วยวัดมุมในระนาบ โดย 1 เรเดียน คือ มุมท่ีจุด ศูนย์กลางของวงกลมท่ีรองรับ ความยาวส่วนโค้งท่ีมีความยาวเท่ากับรัศมี และสเตอเรเดียน เป็น หน่วยวัดมุมตัน โดย 1 สเตอเรเดียน คือ มุมท่ีจุดศูนย์กลางของทรงกลมท่ีรองรับพื้นท่ีผิวโค้งท่ีมี พน้ื ท่เี ปน็ รปู สี่เหล่ียมจตั รุ ัสที่มีความยาวดา้ นเทา่ กบั รัศมี 28
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 2 การวดั ปรมิ าณและหน่วยทางฟสิ ิกส์ • หน่วยอนุพันธ์ เกิดจากการนำหน่วยพ้ืนฐานมาสร้างความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ แล้วได้เป็น ปริมาณที่มีความสัมพันธ์กันมากกว่า 1 ปริมาณ เช่น ความเร็วเป็นความสัมพันธ์ระหว่างระยะทาง ตอ่ เวลา 7. ครใู ห้ความรเู้ พ่ิมเติมเก่ียวกบั การใชค้ ำอปุ สรรคและตวั พหุคูน ตัวอย่างเช่น การเติมคำอปุ สรรค เรามักจะไว้ ข้างหน้าหน่วยพื้นฐาน เพ่ือใช้แทนตัวคูณเพิ่มหรือตัวคูณลด แล้วทำให้หน่วยพื้นฐานน้ันมีขนาดใหญ่ข้ึน หรือลดลงเหมาะแกก่ ารนำไปประยุกตใ์ ชค้ ำอุปสรรค หรืออาจบอกความหมายของตัวพหุคูน คือเลขสบิ ยก กำลังบวกหรือลบ 8. ครูอาจใหน้ กั เรยี นท่องจำคำอปุ สรรคในระบบเอสไอและเนน้ คำอุปสรรคทน่ี ยิ มใชใ้ นวชิ าฟสิ กิ ส์ 9. ครอู ธิบายเพิ่มเติมเก่ียวการเปลี่ยนหน่วยโดยใช้คำอุปสรรค เช่น คำอุปสรรคนิยมใชก้ ับหน่วยของเวลา เช่น นาที ชวั่ โมง ยกเว้นชว่ งเวลาท่ีสั้นกว่าวินาที เชน่ 10-6 s = μs และเปิดโอกาสให้นกั เรียนซกั ถามขอ้ สงสัย ที่ นักเรยี นยังไม่เข้าใจเกี่ยวกบั เรอ่ื งทเ่ี รียน 10.ครูยกตัวอย่างโจทย์จากตัวอย่างที่ 1.3 ในหนังสือเรียนหน้า 14 และให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดจาก Unit Question 1 ข้อ 5. และข้อ 6. จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ฟิสิกส์ ม.4 เล่ม 1 เพื่อเป็น การทบทวนความเข้าใจในเน้ือหาท่ีเรียนมา ชว่ั โมงที่ 2 ขัน้ สอน อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้าใจในเรื่องคำอุปสรรคและการเปลี่ยนหน่วยมากขึ้น โดยให้นักเรียน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ เพื่อศึกษาให้ได้มาซึ่งคำตอบจากตัวอย่างที่ 1.4 และ 1.5 ให้นักเรียนได้ วิเคราะห์โจทย์ตามข้ันตอนการแก้โจทย์ปัญหา ดังนี้ • ขน้ั ที่ 1 ทำความเขา้ ใจโจทยต์ วั อยา่ ง • ขั้นที่ 2 สง่ิ ท่ีโจทยต์ อ้ งการถามหา และจะหาส่ิงที่โจทย์ตอ้ งการ ตอ้ งทำอย่างไร • ขัน้ ท่ี 3 ดำเนินการ หาคำตอบ • ขน้ั ที่ 4 ตรวจสอบคำตอบของโจทยต์ วั อย่าง 2. ครตู รวจสอบการแทนค่า การเปลี่ยนหน่วย การคำนวณ ว่าตรงกับโจทย์กำหนดให้หรือไม่ และคำตอบถูก หรือไม่ ถา้ ตรงกัน สรปุ ได้วา่ คำตอบนั้นถกู ตอ้ ง 3. เม่ือนกั เรียนทัง้ 2 กลุ่ม ทำความเข้าใจของโจทยต์ วั อย่างแล้ว ส่งตวั แทนมาอธิบายวิธกี ารเปลีย่ นหน่วย การ คำนวณ การหาคำตอบของโจทย์ตัวอยา่ งทัง้ 2 ขอ้ 4. ครอู ธบิ ายสรปุ เก่ยี วกบั เน้อื หา หรือเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนได้สอบถามในส่วนท่ีมขี อ้ สงสัย 5. จากนั้น ครูอธิบายความรู้ให้กับนักเรียนว่า ความรู้ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ทาง ฟิสิกส์ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ มาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเคร่ืองมือในการวัดปริมาณต่างๆ การเลือก เคร่ืองมือวัด และการอ่านค่าท่ีได้จากการวัดจึงเป็นส่ิงสำคัญในการศึกษาวิชาฟิสิกส์ เพ่ือนำข้อมูลมา คำนวณ พิสูจน์ หรือหาผลสรุป ซ่ึงหากผทู้ ำการทดลองวัดและอ่านค่าจากเคร่ืองมือผิดพลาด อาจส่งผลต่อ ความถกู ตอ้ งและความแม่นยำของผลการทดลองได้ 29
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 2 การวัดปรมิ าณและหนว่ ยทางฟสิ กิ ส์ 6. ครูให้นักเรียนอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาจากหนังสือเรียนหน้า 17 จากน้ันนักเรียนทุกคนช่วยกันสรุป เชอื่ มโยงเก่ียวกับหนว่ ยตา่ ง ๆ ของการวดั คำอุปสรรค และการอ่านคา่ จากเครอ่ื งมือวัด ช่ัวโมงที่ 3 ข้นั สรุป ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 1. ครูนำนักเรยี นอภปิ รายและสรปุ เกี่ยวกับการวัดปรมิ าณทางกายภาพในเชิงฟสิ ิกส์ ดงั น้ี • ฟิสิกส์เป็นวิชาที่มุ่งเน้นการศึกษาในเชิงปริมาณ ประกอบด้วย 2 ส่ิงที่ต้องคำนึงถึง คือ ปริมาณ ตวั เลขทไี่ ด้จากการวดั และหน่วยของการวดั • คำอุปสรรค เป็นคำท่ีไว้ข้างหน้าหน่วยเอสไอ เพื่อใช้แทนตัวคูณเพ่ิมหรือตัวคูณลด แล้วทำให้หน่วย พื้นฐานนัน้ มขี นาดใหญ่ขึน้ หรือลดลงเหมาะแกก่ ารนำไปประยุกต์ใช้ • การอ่านผลจากเครื่องวัดท้ังแบบสเกล และแบบตัวเลข ค่าท่ีอ่านได้จะเป็นตัวเลขแล้ว ตามด้วย หนว่ ยของการวดั 2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเน้ือหาเรื่อง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟิสิกส์ ว่ามีส่วนไหนที่ยัง ไม่เข้าใจและให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนน้นั 3. ครูให้นักเรียนทำใบงานท่ี 1.2 เร่อื ง หน่วยของการวัด แล้วมอบหมายให้นกั เรียนทำแบบฝึกหัดท่ี 3.1 เรื่อง การวัดปรมิ าณและหนว่ ยทางฟสิ กิ ส์ สง่ เป็นการบ้านในช่วั โมงถดั ไป ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครตู รวจการนำเสนอขอ้ มูลระบบหน่วยท่ีใชใ้ นทางฟิสิกส์ท่ีไดจ้ ากการสืบคน้ 2. ครูประเมนิ ผลโดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม และพฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล 3. ครูตรวจสอบผลจากการทำใบงานท่ี 1.2 เรอ่ื ง หนว่ ยของการวดั 4. ครตู รวจสอบผลการทำแบบฝกึ หัดที่ 3.1 เรอื่ ง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชงิ ฟสิ ิกส์ 7. การวดั และประเมินผล รายการวดั วธิ ีวดั เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ - ใบงานที่ 1.2 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 7.1 การประเมินระหว่าง การจัดกจิ กรรม - ตรวจใบงานที่ 1.2 1) หนว่ ยของการวัด 2) การนำเสนอ - ประเมนิ การนำเสนอ - ผลงานท่นี ำเสนอ ระดับคุณภาพ 2 ผลงาน ผลงาน ผ่านเกณฑ์ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม 3) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์ 30
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 2 การวัดปริมาณและหนว่ ยทางฟสิ ิกส์ 4) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ 2 ทำงานกล่มุ การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ 5) คณุ ลกั ษณะ - สงั เกตความมีวนิ ัย - แบบประเมนิ ระดับคุณภาพ 2 อนั พึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ ม่นั คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์ ในการทำงาน อนั พึงประสงค์ 8. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 สือ่ การเรียนรู้ 1) หนงั สือเรยี น รายวิชาเพิม่ เตมิ ฟิสกิ ส์ ม.4 เล่ม 1 2) ใบงานท่ี 1.2 เรอ่ื ง หน่วยของการวดั 3) แบบฝกึ หัดท่ี 3.1 เรอ่ื ง การวัดปรมิ าณทางกายภาพในเชิงฟสิ ิกส์ 3) PowerPoint หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เรื่อง การศึกษาวชิ าฟิสิกส์ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) หอ้ งเรยี น 2) หอ้ งสมุด 3) แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ 31
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศกึ ษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ท่ี 2 การวัดปรมิ าณและหนว่ ยทางฟสิ ิกส์ ใบงานท่ี 1.2 เรอื่ ง หน่วยของการวัด คำชี้แจง : จงหาคำตอบและแสดงวิธีทำอยา่ งละเอยี ด 1. วัตถมุ วล 500 กรัม มีค่าก่ีกิโลกรมั กี่ไมโครกรัม กีม่ ลิ ลกิ รัม 2. ระยะทาง 90 กโิ ลเมตร มีคา่ ก่ีเมตร ก่นี าโนเมตร 3. เรือลำหนึง่ แลน่ ดว้ ยความเรว็ 72 กิโลเมตร/ช่วั โมง มีค่าก่เี มตร/วนิ าที 32
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 2 การวัดปรมิ าณและหนว่ ยทางฟสิ กิ ส์ ใบงานท่ี 1.2 เฉลย เรือ่ ง หน่วยของการวดั คำชแ้ี จง : จงหาคำตอบและแสดงวธิ ที ำอยา่ งละเอยี ด 1. วตั ถมุ วล 500 กรัม มีคา่ กี่กิโลกรมั ก่ีไมโครกรัม ก่มี ิลลกิ รัม วตั ถมุ วล 500 กรัม มีคา่ กี่กโิ ลกรัม จะได้ 500 = 500 × 10−3 kg 103 วตั ถุมวล 500 กรมั มีคา่ กี่ไมโครกรัม จะได้ 500 10−6 = 500 × 106 μg วตั ถมุ วล 500 กรมั มีคา่ กี่มิลลิกรมั จะได้ 500 = 500 × 103 mg 10−3 2. ระยะทาง 90 กโิ ลเมตร มีค่ากี่เมตร กนี่ าโนเมตร ระยะทาง 90 กโิ ลเมตร มีคา่ กี่เมตร ดงั น้นั ระยะทาง 90 กิโลเมตร เทา่ กบั 90 × 103 เมตร ระยะทาง 90 กโิ ลเมตร มีคา่ กี่นาโนเมตร ระยะทาง 90 กโิ ลเมตร เท่ากับ 90 × 103 = 90 × 103 × 109 10−9 ดงั นัน้ ระยะทาง 90 กโิ ลเมตร เท่ากับ 90 × 1012 นาโนเมตร 3. เรือลำหน่งึ แลน่ ดว้ ยความเรว็ 72 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีค่ากเี่ มตร/วินาที เรือลำหนง่ึ แล่นด้วยความเร็ว 72 กโิ ลเมตร/ช่ัวโมง ดงั นนั้ ความเรว็ 72 กิโลเมตร/ชว่ั โมง เท่ากบั 72 × 103 = 19.44 เมตร/วนิ าที 60 ×60 33
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 2 การวัดปริมาณและหนว่ ยทางฟสิ กิ ส์ 9. ความเหน็ ของผ้บู รหิ ารสถานศึกษาหรือผูท้ ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงช่อื ................................. ( ดร.อนงคน์ ชุ วริ ิยสุขหทยั ) ตำแหนง่ ผู้อำนวยการโรงเรียนนาวังวทิ ยา 10. บันทกึ ผลหลงั การสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ด้านอนื่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทม่ี ปี ญั หาของนกั เรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี ) ปัญหา/อปุ สรรค แนวทางการแก้ไข 34
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 3 เลขนยั สำคญั แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 3 เลขนยั สำคัญ เวลา 3 ชั่วโมง 1. ผลการเรยี นรู้ วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อนในการวัด มาพิจารณาในการนำเสนอผล รวมท้ังแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปลความหมาย จากกราฟเส้นตรงได้ 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายเก่ียวกับเลขนยั สำคัญและคา่ ความคลาดเคลอ่ื นได้ (K) 2. แสดงทกั ษะการคำนวณการบันทกึ ข้อมูลไดถ้ ูกตอ้ ง (P) 3. ทำงานรว่ มกับผอู้ นื่ อย่างสร้างสรรค์ ยอมรบั ความคิดเหน็ ของผู้อน่ื ได้ (A) 3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ สาระการเรียนรู้ทอ้ งถิน่ - ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลอง ซึ่ง พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศกึ ษา เกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ ซ่ึง ประกอบดว้ ยตัวเลข และหน่วยวดั - ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเคร่ืองมือต่าง ๆ โดยตรงหรือทางอ้อม หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณทาง วิทยาศาสตร์ คือระบบหน่วยระหว่างชาติ เรียกย่อว่า ระบบเอสไอ - ปริมาณทางฟิสิกส์ท่ีมีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มาก ๆ นิยมเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หรือเขียนโดยใช้คำนำหน้าหน่วยของระบบเอสไอ การเขียนโดยใช้สัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็นการเขียน เพื่อแสดงจำนวนเลขนยั สำคญั ท่ีถูกต้อง สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน - การทดลองทางฟสิ ิกสเ์ กีย่ วกับการวัดปริมาณตา่ ง ๆ การ พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา บันทึกปริมาณท่ีได้จากการวัดด้วยจำนวนเลขนัยสำคัญ ที่เหมาะสมและค่าความคลาดเคลื่อน การวิเคราะห์และ การแปลความหมายจากกราฟ เช่น การหาความชันจาก กราฟเส้นตรง จดุ ตัดแกน พื้นที่ใตก้ ราฟ เป็นต้น - การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคลื่อนเสมอขึ้นอยู่ กับเคร่ืองมือ วิธีการวัด และประสบการณ์ของผู้วัด ซึ่งค่า ความคลาดเคล่ือนสามารถแสดงในการรายงานผลทั้งใน รูปแบบตัวเลขและกราฟ 36
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 3 เลขนยั สำคญั - การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับส่ิงที่ ต้องการวัด เช่น การวัดความยาวของวัตถุท่ีต้องการความ ละเอียดสงู อาจใชเ้ วอร์เนียร์แคลลเิ ปริ ์ส หรือไมโครมเิ ตอร์ - ฟสิ ิกส์อาศัยคณิตศาสตร์เป็นเครอ่ื งมือในการศึกษา ค้นคว้า และการสอ่ื สาร 4. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด การทดลองทางฟสิ ิกส์เกี่ยวกับการวัดปรมิ าณต่าง ๆ และการแสดงความเที่ยงตรงของผลการวัดท่ีได้จากการ วัดโดยตรง หรือผลที่คำนวณมาจากผลการวัดจะใช้คำเรียกว่า เลขนัยสำคัญ ซ่ึงประกอบด้วยตัวเลขที่แสดงความ แนน่ อนรวมกบั ตัวเลขทแ่ี สดงความไม่แน่นอน การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคลื่อนเสมอขน้ึ อยู่กับเครื่องมอื วธิ กี ารวัด และประสบการณ์ของผ้วู ดั ซึง่ คา่ ความคลาดเคลื่อนสามารถแสดงในการรายงานผลท้ังในรปู แบบตัวเลขและกราฟ 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี นและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 1. มวี ินัย 2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รียนรู้ 1) ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ 3. มุง่ มนั่ ในการทำงาน 2) ทักษะการสอื่ สาร 3) ทักษะการทำงานรว่ มกนั 4) ทักษะการนำความรูไ้ ปใช้ 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model) ช่วั โมงที่ 1 ขน้ั นำ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับปริมาณตัวเลขที่ได้จากการวัด หน่วยของการวัด คำอุปสรรค และ การอ่านผลจากเครื่องมือวัด เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ของนักเรียนจากคาบเรียนท่ีผ่านมา และนำไปสู่ หัวข้อต่อไป 2. ครถู ามนกั เรยี นวา่ “การทดลองมคี วามสำคญั อยา่ งไร” นักเรยี นร่วมกนั ตอบคำถาม (แนวตอบ : เพื่อได้เรียนรู้เน้ือหาของวิชาน้ันมากข้ึน และเพ่ือให้นักเรียนได้สามารถพัฒนาทักษะใน เชิงปฏบิ ตั ิ) 37
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 3 เลขนยั สำคญั 3. ครูถามคำถาม Prior Knowledge “นกั เรียนควรใช้เคร่ืองมอื ใด ในการวดั ความหนาของเหรียญ 10 บาท” เพื่อเปน็ การกระตุน้ ให้นักเรียนร่วมกันคิด (แนวตอบ : เวอร์เนียหรือไมโครมเิ ตอรเ์ พราะเปน็ เคร่ืองมือท่ีเหมาะสำหรบั วดั ความหนาของวัตถุ) 4. นกั เรยี นรว่ มชว่ ยกนั ตอบคำถาม และร่วมกนั อภิปราย 5. ครูถามคำถามนักเรียนเพื่อเข้าสู่เนื้อหาว่า การบันทึกค่าที่ได้จากการทดลองทางฟิสิกส์น้ัน จะต้องคำนึงถึง สิ่งใด (แนวตอบ : เลขนัยสำคัญ) ขั้นสอน สำรวจคน้ หา (Explore) 1. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 4 – 5 คน แลว้ ให้ชว่ ยกันศึกษาหลกั การนับและการพจิ ารณาจำนวนเลข นยั สำคัญ จากหนังสือเรยี นหน้า 20 โดยครูคอยให้ข้อเสนอแนะคำปรึกษาแกน่ ักเรยี น ซ่ึงนักเรยี นร่วมกัน วิเคราะห์และสรุปในประเดน็ ต่อไปน้ี • เลขนัยสำคญั คอื อะไร • การนับจำนวนเลขนยั สำคัญ นับอย่างไร • ยกตัวอยา่ งหลกั การนับเลขนยั สำคัญ 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่ม ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล และทุกคนต้องทำความ เขา้ ใจใหต้ รงกนั 3. ครูสมุ่ ตัวแทนของนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ เพื่อนำเสนอขอ้ มูลท่ีแต่ละกลมุ่ ได้ไปสืบคน้ ข้อมูลมา 4. ครสู อบถามข้อสรปุ ของแตล่ ะกลุ่ม โดยครตู รวจสอบขอ้ มลู จากการนำเสนอเพื่อความถกู ต้อง (หมายเหตุ : ครูเรม่ิ ประเมนิ นกั เรียน โดยใช้แบบสงั เกตการณ์ทำงานกล่มุ ) ช่ัวโมงที่ 1 ขั้นสอน สำรวจค้นหา (Explore) 5. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกัน ศึกษาหาคำตอบจากตัวอย่างท่ี 1.7 ในหนังสือเรียนหน้า 21 เพื่อให้เกิด ความเขา้ ใจในเรือ่ งเลขนยั สำคัญทไี่ ด้จากการวดั ตามขัน้ ตอนการแก้โจทยป์ ัญหา ดงั นี้ • ขน้ั ที่ 1 ทำความเขา้ ใจโจทยต์ วั อย่าง • ข้ันที่ 2 สิ่งท่ีโจทย์ต้องการถามหา (ความยาว) และจะหาส่ิงที่โจทย์ต้องการ ต้องทำอย่างไร (อ่าน จากขดี สเกลของไม้บรรทัด) • ข้ันที่ 3 ดำเนนิ การ (ดูความละเอยี ดของไม้บรรทัด อ่านคา่ ความยาวของดินสอ) • ข้ันท่ี 4 ตรวจสอบคำตอบของโจทย์ตัวอย่าง (ความยาวของดินสอ จำนวนเลขนัยสำคัญ และค่า ความละเอยี ดของไมบ้ รรทดั ) 6. ให้นักเรียนได้วิเคราะห์โจทย์จากตัวอย่างที่ 1.8 โดยใช้ข้ันตอน เหมือนกับตัวอย่างท่ี 1.7 38
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ท่ี 3 เลขนยั สำคญั 7. นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรายเก่ียวกับการนับเลขนัยสำคัญ เพ่ือให้นกั เรียนสรุปสาระสำคัญลงในสมุดจด บันทกึ 8. ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดจาก Unit Question 1 ข้อ 3. และ 4. ในหนังสือเรียนหน้า 28 เพ่ือเป็นการ ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน 9. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันทบทวนหลกั การนับจำนวนเลขนัยสำคญั 10. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาหลักการคำนวณเลขนัยสำคัญ แล้วชักชวนให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน เพ่ือให้ได้ข้อสรุป ดังนี้ • การบวกลบเลขนัยสำคัญ โดยจะบวกลบเลขนัยสำคัญก่อน เมื่อได้ผลลัพธ์ ให้มีจำนวนทศนิยม เท่ากบั จำนวนทีท่ ศนยิ มน้อยทส่ี ุด • การคูณหารเลขนัยสำคัญ โดยจะคูณหารเลขนัยสำคัญก่อน เม่ือได้ผลลัพธ์ ให้พิจารณาจำนวนเลข นัยสำคัญเทา่ กบั ตวั เลขทน่ี ยั สำคญั น้อยท่ีสุดทค่ี ูณหารกนั 11. ครูให้นักเรียนร่วมกันตอบคำถามท้าทายการคิดขั้นสูง H.O.T.S. “เหตุใดผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ ข้อมูลทไ่ี ด้จากการวัดจะต้องพจิ ารณาตามหลกั นยั สำคัญ” (แนวตอบ : การคำนวณข้อมูลท่ีได้จากการวัดเคร่ืองวัด ผลลัพธ์ท่ีได้ จะต้องมีความถูกต้องไม่เกิน ความละเอียดของเครื่องวัดท่ีใช้ ซึ่งเลขนัยสำคัญจะบอกถึงความละเอียดของช่องสเกลของเครื่องวัด และ ยงั ชว่ ยให้ผวู้ ัดทราบว่า ผลการทดลองควรจะบันทึกผลดว้ ยตวั เลขก่ีหลกั จงึ จะเหมาะสม) 12. ครใู ห้นกั เรยี นรว่ มกันทำโจทยต์ วั อย่างของการคำนวณเลขนัยสำคัญจากตัวอย่างที่ 1.9 13. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาตัวอย่างท่ี 1.10 และ 1.11 ในหนังสือเรียนหน้า 23 ตามข้ันตอนการแก้ โจทยป์ ญั หา ดังนี้ • ขน้ั ที่ 1 ครใู ห้นกั เรียนทกุ คนทำความเขา้ ใจโจทยต์ ัวอย่าง • ขั้นท่ี 2 ครูถามนักเรียนว่า สิ่งที่โจทย์ต้องการถามหาคืออะไร และจะหาสิ่งท่ีโจทย์ต้องการ ต้องทำ อยา่ งไร • ข้ันท่ี 3 ครใู หน้ ักเรียนดวู ธิ ีทำในการคำนวณหาคำตอบ • ขน้ั ที่ 4 ตรวจสอบคำตอบของโจทย์ตวั อย่างวา่ ถูกตอ้ ง และตามหลักนัยสำคญั หรอื ไม่ 14. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการคำนวณเลขนัยสำคัญ เพ่ือให้นักเรียนสรุปสาระสำคัญลงใน สมุดจดบันทึก 15. ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดจาก Unit Question 1 ข้อ 8. และ 9. ในหนังสือเรียนหน้า 29 เพื่อเป็นการ ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรยี น ชัว่ โมงท่ี 2 ขัน้ สอน อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูให้นักเรยี นจับคกู่ บั เพื่อนรว่ มชั้นเรยี นเพือ่ ปฏิบัติการทดลอง การหาปริมาตรของหนงั สือเรยี น ในหนงั สือ เรียนหน้า 24 แล้วบันทึกผลการทดลอง พร้อมตอบคำถามท้ายการทดลองลงในแบบบันทึกกิจกรรมที่อยู่ ในแบบฝึกหัดฟสิ กิ ส์ ม.4 เล่ม 1 หนา้ 12 2. ครูอาจจะสุ่มถามนักเรียน ด้วยคำถามต่อไปนี้ 39
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 3 เลขนยั สำคญั • นกั เรยี นวดั ความกวา้ ง ความยาว และความหนา ของหนงั สอื เรยี นได้เทา่ ไร • คา่ เฉลยี่ ของความกว้าง ความยาว และความหนา ของหนังสือเรยี น เป็นเทา่ ไร • นกั เรียนหาปรมิ าตรของหนังสอื เรียนได้เทา่ ไร 3. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกัน อภิปราย สรุปผลการทดลองและเขียนรายงานการทดลองจากการ ปฏิบัติการทดลอง แล้วแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอหน้าช้ันเรียน โดยครูช่วยอธิบายความรู้เพิ่มเติมเพื่อให้ นักเรยี นเกดิ ความเข้าใจมากขึ้น 4. ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมหลังจากทำการทดลองว่า การวดั ทกุ รูปแบบจะมีความคลาดเคล่ือนหรือความไม่แน่นอน เกิดข้ึนเสมอ ค่าต่างๆ ที่วัดได้จากการทดลอง หากเราไม่มีค่าความคลาดเคลื่อนกำกับ ค่าน้ันจะไม่มี ความหมายแต่อย่างใด การบันทึกค่าความคลาดเคลื่อนถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งอย่างหน่ึง ท่ีจะทำให้วิเคราะห์ ส่ิงที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง ซึ่งขนาดของความคลาดเคลื่อนจะเป็นตัวสะท้อนถึงความละเอียดของ เคร่อื งมือหรือเทคนคิ ทใ่ี ช้ในการทดลองนัน้ ๆ 5. ครูถามคำถามนักเรียนต่อว่า แล้วความคลาดเคลื่อนเกิดข้ึนจากสาเหตุใดบ้าง โดยให้นักเรียนอภิปราย ร่วมกันเพอ่ื หาคำตอบ ชัว่ โมงที่ 3 ข้ันสรุป ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ครูให้นกั เรียนศึกษาการคำนวณความคลาดเคลื่อนท่ีได้จากการวัดในตัวอย่างที่ 1.12 1.13 และ 1.14 จาก หนงั สือเรียนหน้า 25 – 26 แลว้ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันทำใบงานท่ี 1.3 เรอื่ ง เลขนัยสำคัญ 2. จากนั้นครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปเป็นผังมโนทัศน์ เร่ือง เลขนัยสำคัญ โดยอาจยกคำถามมาถามตอบ หรือ นำผลการทดลองที่ได้จากการวัดมาสรุปผลการทดลอง เพ่ือเป็นการสรุปสาระสำคัญของเน้ือหา เช่น เลข นัยสำคัญคอื อะไร และมีความสำคัญอยา่ งไรตอ่ การทดลอง ความคลาดเคล่ือนเกดิ ข้นึ ได้อย่างไร เป็นต้น 3. ครูมอบหมายให้นักเรียนแต่ละคนทำแบบฝึกหัดจาก Unit Question 1 ขอ้ 10 – 15 ในหนังสือเรียนหน้า 29 เปน็ การบ้าน ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูตรวจการนำเสนอข้อมูลเก่ียวกบั เลขนัยสำคัญ 2. ครสู งั เกตการทำกจิ กรรม การหาปริมาตรของหนังสอื เรียน 3. ครตู รวจสอบผลจากใบงานที่ 1.3 เรือ่ ง เลขนยั สำคัญ 5. ครูตรวจการทำแบบฝกึ หัดจาก Unit Question 1 เร่ือง เลขนยั สำคญั 6. ตรวจแบบฝกึ หัดที่ 4.1 - 4.5 เร่ือง เลขนัยสำคญั และความคลาดเคล่ือน 7. ตรวจแบบบนั ทกึ กิจกรรม เรื่อง การหาปริมาตรของหนังสอื เรยี น 8. ครปู ระเมนิ ผลชิ้นงาน/ผลงานจากผังมโนทัศนท์ น่ี กั เรียนไดส้ ร้างข้นึ จากขั้นขยายความรู้ 40
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศึกษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ที่ 3 เลขนยั สำคญั 7. การวัดและประเมนิ ผล รายการวดั วธิ วี ัด เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ 7.1 การประเมนิ ระหว่าง - ใบงานท่ี 1.3 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การจดั กิจกรรม - ตรวจใบงานท่ี 1.3 - ผลงานทนี่ ำเสนอ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 1) เลขนยั สำคัญ - แบบสงั เกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ 2 การทำงานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์ 2) การนำเสนอ - ประเมินการนำเสนอ - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผลงาน ผลงาน การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ - แบบประเมนิ ระดับคุณภาพ 2 3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์ ทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบุคคล อนั พงึ ประสงค์ แบบทดสอบหลังเรยี น ประเมินตามสภาพจริง 4) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม ทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม 5) คณุ ลักษณะ - สงั เกตความมีวนิ ยั อนั พงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มน่ั ในการทำงาน 6) แบบทดสอบหลัง เรยี น หนว่ ยการ ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียนรูท้ ี่ 1 เรอ่ื ง เรยี น การศึกษาวชิ า ฟิสกิ ส์ 8. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สอ่ื การเรียนรู้ 1) หนงั สือเรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน ฟิสกิ ส์ ม.4 เล่ม 1 2) ใบงานท่ี 1.3 เร่ือง เลขนัยสำคญั 3) แบบฝกึ หัดที่ 4.1 - 4.5 เรอื่ ง เลขนัยสำคญั และความคลาดเคล่อื น 3) PowerPoint หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรื่อง การศกึ ษาวิชาฟสิ ิกส์ 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 1) ห้องเรยี น 2) แหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ 41
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การศึกษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 3 เลขนยั สำคญั ใบงานท่ี 1.3 เร่ือง เลขนยั สำคญั คำชแี้ จง : จงหาคำตอบและแสดงวธิ ที ำอยา่ งละเอยี ด 1. จงหาปรมิ าตรของเหลก็ ท่มี ีขนาด 36 เซนตเิ มตร × 20.2 เซนติเมตร × 9 มลิ ลิเมตร ในหน่วยลกู บาศก์มิลลิเมตร เมตร (mm3) ลกู บาศก์เซนติเมตร (cm3) และลูกบาศก์เมตร (m3) 2. แผน่ พลาสติกรปู สี่เหลีย่ มผนื ผ้า มดี ้านกว้าง 36.20 ± 0.05 เซนติเมตร และยาว 96.45 ± 0.05 เซนติเมตร แผ่น พลาสตกิ นจี้ ะมพี ้นื ทเ่ี ป็นเทา่ ไร 3. จงหาผลลัพธข์ อง 3.50 + 4.95 – 2.52 ตามหลกั เลขนัยสำคญั 7.0 42
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 การศกึ ษาทางฟสิ กิ ส์ แผนฯ ที่ 3 เลขนยั สำคญั ใบงานท่ี 1.3 เฉลย เรอื่ ง เลขนัยสำคัญ คำช้แี จง : จงหาคำตอบและแสดงวิธที ำอย่างละเอียด 1. จงหาปริมาตรของเหลก็ ทมี่ ีขนาด 36 เซนตเิ มตร × 20.2 เซนติเมตร × 9 มิลลเิ มตร ในหนว่ ยลกู บาศก์มิลลเิ มตร เมตร (mm3) ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร (cm3) และลูกบาศกเ์ มตร (m3) ปริมาตรของเหลก็ ในหนว่ ย mm3 = 36 cm × 20.2 cm × 9 mm = 36 × 10 mm × 20.2 × 10 mm × 9 mm = 65448 mm3 = 7×104 mm3 ปรมิ าตรของเหล็ก ในหนว่ ย cm3 = 36 cm × 20.2 cm × 9 mm = 36 cm × 20.2 cm × 9 ×10-1 cm = 65448 cm 3 ปริมาตรของเหลก็ ในหน่วย m3 = 7×102 cm3 = 36 cm × 20.2 cm × 9 mm = 36 × 10-2 m × 20.2 × 10-2 m × 9 × 10-3 m = 6544.8 m3 = 7×10-3 m3 2. แผน่ พลาสติกรปู ส่ีเหลยี่ มผนื ผา้ มดี า้ นกวา้ ง 36.20 ± 0.05 เซนตเิ มตร และยาว 96.45 ± 0.05 เซนติเมตร แผ่น พลาสติกนจ้ี ะมพี นื้ ที่เป็นเท่าไร แผน่ พลาสติกนีจ้ ะมีพืน้ ท่ีเปน็ (A A) • (B B) = (A • B) (∆A x 100 % + ∆B x 100 %) (36.20 0.05) • (96.45 0.05) A B ( 0.05 x 0.05 = (36.20 • 96.45) 100 % + 96.45 x 100 %) 36.20 = 3491.49 (0.19 %) = 3491 6.63 cm2 ดงั นั้น พ้นื ท่แี ผ่นพลาสติกจะมีพืน้ ท่ี 3491 6.63 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร 3. จงหาผลลพั ธข์ อง 3.50 + 4.95 – 2.52 ตามหลกั เลขนยั สำคญั 7.0 3.50 + 4.95 – 2.52 = (0.5) + 4.95 – 2.52 7.0 = 2.93 ดงั นัน้ ผลลพั ธต์ ามหลกั เลขนัยสำคญั เทา่ กับ 2.9 43
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1 การศึกษาทางฟิสกิ ส์ แผนฯ ท่ี 3 เลขนยั สำคญั 9. ความเห็นของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย ขอ้ เสนอแนะ ลงช่ือ ................................. ( ดร.อนงคน์ ชุ วริ ยิ สขุ หทยั ) ตำแหนง่ ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นนาวงั วิทยา 10. บันทกึ ผลหลงั การสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์ ด้านอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมทมี่ ปี ญั หาของนกั เรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปญั หา/อุปสรรค แนวทางการแกไ้ ข 44
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 การเคลอ่ื นทใี่ นแนวตรง หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 การเคล่อื นท่ีในแนวตรง เวลา 20 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่ีแนวตรง แรงและกฎการเคลื่อนที่ ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โม เมนตัมและกฎการอนรุ กั ษ์โมเมนตมั การเคล่ือนทแ่ี นวโค้ง รวมทั้งนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ได้ 3) ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของการ เคล่ือนท่ีของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมท้ังทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วง ของโลก และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งได้ 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ 1) ปริมาณที่เก่ียวกับการเคล่ือนท่ี ได้แก่ ตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง โดยความเร็วและ ความเร่งมีท้ังค่าเฉล่ียและค่าขณะหนึ่งซ่ึงคิดในช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการ เคล่ือนท่แี นวตรงดว้ ยความเรง่ คงตัวมีความสมั พันธ์ตามสมการ v = u + at u+v ∆x = ( 2 ) t ∆x = ut + 1 at2 2 v2 = u2 + 2a∆x 2) การอธิบายการเคล่ือนที่ของวัตถุสามารถเขียนอยู่ในรูปกราฟตำแหน่งกับเวลา กราฟความเร็วกับเวลา หรอื กราฟความเร่งกบั เวลา ความชันของเส้นกราฟตำแหนง่ กับเวลาเป็นความเรว็ ความชนั ของเส้นกราฟ ความเร็วกับเวลาเป็นความเรง่ และพ้ืนท่ใี ต้เส้นกราฟความเรว็ กับเวลาเป็นการกระจดั ในกรณีทีผ่ สู้ งั เกตมี ความเรว็ ความเร็วของวตั ถทุ ส่ี งั เกตไดเ้ ป็นความเรว็ ทเี่ ทยี บกับผู้สงั เกต 3) การตกแบบเสรีเปน็ ตัวอย่างหนึ่งของการเคลอื่ นทใ่ี นหนึ่งมติ ทิ ี่มคี วามเร่งเทา่ กับความเรง่ โนม้ ถว่ งของโล 2.2 สาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ (พจิ ารณาตามหลักสตู รสถานศึกษา) 3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด การเคลื่อนที่แนวตรงทั้งในแนวระดับและแนวดิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก แนวด่ิง การ เคล่ือนทีข่ องวัตถุจะมีความสัมพันธก์ ับระยะทาง การกระจดั เวลา อตั ราเร็ว ความเร็ว ความเร่ง และทิศทาง 46
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การเคลอื่ นที่ในแนวตรง การเคล่ือนที่ของวัตถุแนวตรงในกรณีความเร่งมีค่าคงตัว คือ การท่ีวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งโดยมีท้ังขนาดและ ทศิ ทางเหมอื นเดมิ ตลอดเวลาของการเคลื่อนที่ โดยสมการการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุท่ีเกยี่ วขอ้ งมีความสมั พันธ์ตามสมการ v = u + at u+v ∆x = ( 2 ) t ∆x = ut + 1 at2 2 v2 = u2 + 2a∆x 4. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มวี ินัย 2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รียนรู้ 1) ทักษะการคดิ วิเคราะห์ 3. มุ่งม่ันในการทำงาน 2) ทักษะการสังเกต 3) ทกั ษะการสอื่ สาร 4) ทกั ษะการทำงานร่วมกัน 5) ทักษะการนำความรู้ไปใช้ 3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ 5. ช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ใบงานท่ี 2.1 เรื่อง ระยะทางและการกระจัด - ใบงานท่ี 2.2 เรอ่ื ง อัตราเร็วและความเรว็ - ใบงานท่ี 2.3 เรอ่ื ง เครื่องเคาะสญั ญาณเวลา - ใบงานท่ี 2.4 เรอื่ ง ความเร่ง - ใบงานที่ 2.5 เรื่อง กราฟความสัมพันธ์ระหว่างระยะทาง ความเรว็ กับเวลา - ใบงานท่ี 2.6 เรอ่ื ง การเคล่ือนที่ด้วยความเร่งคงตัว - ใบงานท่ี 2.7 เรื่อง วัตถตุ กแบบอิสระดว้ ยความเร่งคงตวั - ใบงานท่ี 2.8 เร่ือง ความเรว็ สัมพัทธ์ - ผงั มโนทัศน์ เรอ่ื ง ระยะทางและการกระจดั - ผังมโนทัศน์ เรื่อง อตั ราเร็วและความเรว็ - ผังมโนทศั น์ เรอื่ ง การเคลื่อนท่ดี ว้ ยความเร่งคงตวั - ผงั มโนทศั น์ เรอื่ ง วตั ถตุ กแบบอสิ ระ 6. การวัดและการประเมินผล รายการวัด วิธวี ัด เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน แบบประเมนิ ชน้ิ งาน/ ระดบั คุณภาพ 2 6.1 การประเมินช้นิ งาน/ - ตรวจผงั มโนทศั น์ 47
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 การเคลอ่ื นทใ่ี นแนวตรง รายการวัด วิธวี ัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ผา่ นเกณฑ์ ภาระงาน (รวบยอด) เรอ่ื ง ระยะทางและ ภาระงาน ประเมนิ ตามสภาพจรงิ การกระจัด รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - ตรวจผังมโนทศั น์ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ เรอ่ื ง อตั ราเรว็ และ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ความเร็ว - ตรวจผังมโนทัศน์ เรอื่ ง การเคลอ่ื นที่ ดว้ ยความเร่งคงตวั - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง วัตถตุ กแบบ อิสระ 6.2 การประเมนิ ก่อนเรยี น ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรียน กอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรือ่ ง การเคลอ่ื นทใ่ี น แนวตรง 6.3 การประเมินระหว่างการ จัดกจิ กรรม 1) ปริมาณทเี่ กี่ยวกบั - ตรวจใบงานที่ 2.1-2.2 - ใบงานท่ี 2.1-2.2 การเคลอื่ นทข่ี องวตั ถุ - ตรวจแบบฝกึ หัดที่ - แบบฝึกหดั ที่ 1.1, 1.2 1.1, 1.2 2) เครือ่ งเคาะ - ตรวจใบงานที่ 2.3 - ใบงานที่ 2.3 สญั ญาณเวลา - ตรวจแบบฝึกหัดที่ 2.1 - แบบฝึกหัดท่ี 2.1 3) ความเรง่ - ตรวจใบงานที่ 2.4 - ใบงานที่ 2.4 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ตรวจแบบฝึกหดั ที่ - แบบฝึกหดั ที่ 3.1-3.3 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 4) กราฟความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งระยะทาง 3.1-3.3 - ใบงานที่ 2.5 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ความเร็ว กบั เวลา - แบบฝึกหดั ที่ 4.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ตรวจใบงานท่ี 2.5 5) การเคล่ือนทดี่ ้วย - ตรวจแบบฝึกหัดท่ี - ใบงานท่ี 2.6 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ความเร่งคงตัว 4.1 - แบบฝึกหดั ท่ี 5.1 รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ 6) วตั ถุตกแบบอสิ ระ - ตรวจใบงานที่ 2.6 - ใบงานท่ี 2.7 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ดว้ ยความเรง่ คงตวั - ตรวจแบบฝกึ หัดท่ี - แบบฝกึ หัดท่ี 6.1-6-3 รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ 5.1 - ตรวจใบงานท่ี 2.7 - ตรวจแบบฝึกหัดท่ี 6.1-6-3 48
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคลอื่ นทใี่ นแนวตรง รายการวัด วิธีวดั เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมิน - ใบงานที่ 2.8 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 7) ความเรง่ - ตรวจใบงานที่ 2.8 - แบบฝึกหดั ที่ 7.1 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - ตรวจแบบฝกึ หดั ที่ - ผลงานทีน่ ำเสนอ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 7.1 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ 2 การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์ 8) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบสังเกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ 2 การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ ผลงาน - แบบประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์ 9) พฤติกรรม - สงั เกตพฤติกรรม อันพึงประสงค์ แบบทดสอบหลังเรยี น รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล 10) พฤติกรรม - สงั เกตพฤติกรรม การทำงานกลมุ่ การทำงานกลุ่ม 11) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมีวนิ ยั อนั พงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มน่ั ในการทำงาน 6.4 การประเมนิ หลงั เรียน ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรยี น หลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรอ่ื ง การเคลือ่ นทใ่ี น แนวตรง 7. กจิ กรรมการเรียนรู้ • แผนที่ 1 : ปรมิ าณทีเ่ กยี่ วกบั การเคลื่อนท่ีของวตั ถุ วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 2 ช่วั โมง • แผนที่ 2 : เครื่องเคาะสัญญาณเวลา วธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 2 ชั่วโมง • แผนที่ 3 : ความเร่ง วิธสี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 3 ชว่ั โมง • แผนที่ 4 : กราฟแสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างปรมิ าณต่าง ๆ ของการเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง วิธีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 3 ชว่ั โมง • แผนที่ 5 : การเคล่อื นท่ีของวัตถกุ รณคี วามเรง่ คงตัว วิธสี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 3 ชวั่ โมง • แผนที่ 6 : วัตถตุ กแบบอสิ ระดว้ ยความเร่งคงตวั วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 5 ชว่ั โมง • แผนที่ 7 : ความเรว็ สัมพัทธ์ วธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เวลา 2 ชัว่ โมง (รวม 8 ชัว่ โมง) 8. ส่อื /แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรยี นรู้ 49
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคลอื่ นทใ่ี นแนวตรง 1) หนงั สือเรยี น รายวชิ าเพมิ่ เติม ฟสิ กิ ส์ ม.4 เล่ม 1 หน่วยการเรยี นที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง 2) ใบงานที่ 2.1 เรื่อง ระยะทางและการกระจดั 3) ใบงานที่ 2.2 เรื่อง อัตราเร็วและความเรว็ 4) ใบงานที่ 2.3 เรื่อง เคร่ืองเคาะสัญญาณเวลา 5) ใบงานที่ 2.4 เรื่อง ความเร่ง 6) ใบงานที่ 2.5 เรื่อง กราฟความสัมพันธร์ ะหวา่ งระยะทาง ความเรว็ กบั เวลา 7) ใบงานที่ 2.6 เรื่อง การเคล่ือนท่ดี ้วยความเร่งคงตวั 8) ใบงานที่ 2.7 เรื่อง วัตถตุ กแบบอสิ ระดว้ ยความเรง่ คงตัว 9) ใบงานท่ี 2.8 เร่ือง ความเร็วสัมพทั ธ์ 10) แบบฝกึ หัด หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การเคล่ือนท่ีในแนวตรง 11) PowerPoint เรือ่ ง การเคลอื่ นที่ในแนวตรง 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) ห้องเรยี น 2) หอ้ งสมดุ และแหล่งข้อมูลสารสนเทศ 50
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การเคลอื่ นทใี่ นแนวตรง แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 คำช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นเลือกคำตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1. ต้นเดินรอบสนามซึ่งมีรัศมี 7 เมตร โดยเขาเดินได้ครบ 6. การคำนวณหาความเร็วเฉลี่ยของวัตถุ จะต้องได้ข้อมูลอะไรบ้าง 3 รอบ พอดี การกระจัดที่ตน้ เคลื่อนทไี่ ด้เปน็ เทา่ ใด 1. ระยะทางทัง้ หมดและเวลาท้ังหมด 1. 0 เมตร 2. 7 เมตร 2. การกระจดั ท้ังหมดและเวลาทั้งหมด 3. 10 เมตร 4. 21 เมตร 3. ระยะทางและความเรง่ 5. 303 เมตร 4. การกระจดั และความเร่ง 2. โยนส้มผลหน่ึงข้ึนไปในแนวด่ิง ความเร็วและความเร่ง 5. ความเรง่ และความเรว็ ของสม้ เปน็ อย่างไร ขณะถงึ จดุ สูงสดุ 7. จิ๊บขับรถออกจากไฟแดงด้วยความเร่ง 4 m/s2 อยากทราบ 1. ทั้งความเร็วและความเร่งเปน็ ศนู ย์ ว่าในเวลา 5 s ต่อมารถจะมีขนาดของความเร็วเท่าใด 2. ทงั้ ความเร็วและความเรง่ ไม่เปน็ ศนู ย์ 1. 5 m/s 2. 10 m/s 3. ความเร็วเปน็ ศนู ย์ แต่ความเร่งไมเ่ ปน็ ศนู ย์ 3. 15 m/s 4. 20 m/s 4. ความเรง่ เป็นศนู ย์ แต่ความเร็วไมเ่ ปน็ ศนู ย์ 5. 25 m/s 5. ความเรง่ และความเรว็ มีคา่ เท่ากัน 8. โยนลูกบอลขึ้นไปในแนวดิ่ง ความเร็วของก้อนหินเป็นไป 3. วัตถุใดตอ่ ไปนี้กำลงั เคลอื่ นทโ่ี ดยไม่มีความเร่ง ตามข้อใด ถ้า g = 10 m/s2 1. บอลลนู ลอยข้ึนในแนวดิ่งด้วยความเร็วคงตัว 1. เพม่ิ ขน้ึ วนิ าทีละ 10 m/s 2. ลดลงวินาทีละ 10 m/s 2. รถยนต์กำลังแลน่ ดว้ ยอตั ราเร็วสม่ำเสมอในทางโคง้ 3. เป็นศูนยเ์ ม่ือถึงจุดสูงสดุ 4. ขอ้ 2 และ 3 ถูก 3. รถยนตก์ ำลงั ถอยหลังเขา้ จอดในโรงรถ 5. ขอ้ 1 2 และ 3 ถกู 4. ยิงปนื จากหน้าผาข้ึนไปในแนวดง่ิ 9. ระยะทางและการกระจดั แตกตา่ งกันอยา่ งไร 5. ขนนกกาลังปลิวลงในแนวดง่ิ 1. มีหน่วยการวัดแตกตา่ งกัน 4. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ไม่จัดเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ 2. ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ การกระจัดเป็นปริมาณ 1. ความเรว็ 2. ความเรง่ เวกเตอร์ 3. การกระจัด 4. อัตราเรว็ 3. การกระจัดเป็นปริมาณสเกลาร์ ระยะทางเป็นปริมาณ 5. แรง เวกเตอร์ 5. วัตถุเคล่ือนที่ด้วย “ความเร่งคงตัว” หมายความว่า 4. ระยะทางมีคา่ มากกวา่ การกระจัดเสมอ อย่างไร 5. ข้อ 2. และ 4. ถูก 1. ความเร็วตน้ และความเร็วปลายของวัตถเุ ป็นศูนย์ 10. ปล่อยก้อนหินใหต้ กลงมาจากตึก ความเร็วของกอ้ นหนิ เปน็ ไป 2. ความเร็วต้นและความเรว็ ปลายมขี นาดเท่ากัน ตามขอ้ ใด ถ้า g = 10 m/s2 3. ความเร็วของวัตถเุ ปลย่ี นแปลงตลอดเวลา 1. เพมิ่ ขึ้นวนิ าทีละ 10 m/s 2. เปน็ ศนู ย์ ณ จดุ ปลอ่ ย 4. ความเร็วของวัตถทุ ีเ่ ปลย่ี นไปมคี ่าเท่ากันทุกๆ วนิ าที 3. มากท่สี ดุ ขณะกระทบพื้น 4. ขอ้ 1 และ 3 ถกู 5. ขอ้ 2. และ 4. ถูก 5. ถกู ท้งั ข้อ 1 2 และ 3 เฉลย 1. 1 2. 3 3. 1 4. 4 5. 4 6. 2 7. 4 8. 4 9. 2 10. 5 51
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 การเคลอ่ื นท่ใี นแนวตรง แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คำชแ้ี จง : ใหน้ ักเรยี นเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ตน้ เดินรอบสนามซ่ึงมีรัศมี 7 เมตร โดยเขาเดินได้ครบ 6. การคำนวณหาความเร็วเฉล่ยี ของวัตถุ จะต้องได้ข้อมูลอะไรบา้ ง 3 รอบ พอดี การกระจดั ท่ีตน้ เคลอ่ื นทไ่ี ด้เปน็ เท่าใด 1. ระยะทางท้ังหมดและเวลาทง้ั หมด 1. 0 เมตร 2. 7 เมตร 2. การกระจดั ทง้ั หมดและเวลาทัง้ หมด 3. 10 เมตร 4. 21 เมตร 3. ระยะทางและความเร่ง 5. 303 เมตร 4. การกระจัดและความเร่ง 2. วัตถุเคล่ือนที่ด้วย “ความเร่งคงตัว” หมายความว่า 5. ความเร่งและความเร็ว อย่างไร 7. โยนลูกบอลข้ึนไปในแนวด่ิง ความเร็วของก้อนหินเป็นไปตามข้อ 1. ความเรว็ ตน้ และความเรว็ ปลายของวัตถุเป็นศูนย์ ใด ถ้า g = 10 m/s2 2. ความเร็วต้นและความเรว็ ปลายมขี นาดเท่ากนั 1. เพม่ิ ข้ึนวนิ าทลี ะ 10 m/s 2. ลดลงวนิ าทีละ 10 m/s 3. ความเรว็ ของวตั ถเุ ปลยี่ นแปลงตลอดเวลา 3. เปน็ ศนู ยเ์ ม่อื ถึงจุดสูงสดุ 4. ข้อ 2 และ 3 ถูก 4. ความเร็วของวัตถทุ ีเ่ ปลี่ยนไปมคี า่ เท่ากันทกุ ๆ วนิ าที 5. ข้อ 1 2 และ 3 ถูก 5. ข้อ 2. และ 4. ถูก 8. จิ๊บขับรถออกจากไฟแดงด้วยความเร่ง 4 m/s2 อยากทราบ 3. วัตถุใดต่อไปนกี้ ำลงั เคลื่อนทีโ่ ดยไมม่ ีความเรง่ ว่าในเวลา 5 s ต่อมารถจะมีขนาดของความเร็วเท่าใด 1. บอลลนู ลอยข้นึ ในแนวด่งิ ดว้ ยความเรว็ คงตวั 1. 5 m/s 2. 10 m/s 2. รถยนตก์ ำลงั แลน่ ด้วยอัตราเร็วสม่ำเสมอในทางโคง้ 3. 15 m/s 4. 20 m/s 3. รถยนต์กำลังถอยหลงั เขา้ จอดในโรงรถ 5. 25 m/s 4. ยงิ ปนื จากหนา้ ผาข้ึนไปในแนวดง่ิ 9. ระยะทางและการกระจดั แตกต่างกนั อย่างไร 5. ขนนกกาลงั ปลิวลงในแนวดิ่ง 1. มหี น่วยการวดั แตกต่างกนั 4. ขอ้ ใดต่อไปนไ้ี มจ่ ัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ 2. ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ การกระจัดเป็นปริมาณ 1. ความเรว็ 2. ความเรง่ เวกเตอร์ 3. การกระจัด 4. อตั ราเร็ว 3. การกระจัดเป็นปริมาณสเกลาร์ ระยะทางเป็นปริมาณ 5. แรง เวกเตอร์ 5. โยนส้มผลหน่ึงข้ึนไปในแนวด่ิง ความเร็วและความเร่ง 4. ระยะทางมีค่ามากกวา่ การกระจดั เสมอ ของส้มเป็นอย่างไร ขณะถงึ จดุ สงู สดุ 5. ข้อ 2. และ 4. ถกู 1. ทัง้ ความเรว็ และความเรง่ เป็นศนู ย์ 10. ปลอ่ ยกอ้ นหินให้ตกลงมาจากตกึ ความเร็วของกอ้ นหินเป็นไป 2. ทง้ั ความเรว็ และความเร่งไมเ่ ปน็ ศูนย์ ตามขอ้ ใด ถา้ g = 10 m/s2 3. ความเร็วเป็นศนู ย์ แตค่ วามเรง่ ไม่เปน็ ศนู ย์ 1. เพิม่ ขึ้นวินาทีละ 10 m/s 2. เป็นศนู ย์ ณ จุดปล่อย 4. ความเรง่ เปน็ ศูนย์ แต่ความเร็วไม่เป็นศนู ย์ 3. มากท่ีสุดขณะกระทบพน้ื 4. ข้อ 1 และ 3 ถูก 5. ความเร่งและความเรว็ มคี ่าเทา่ กนั 5. ถกู ทงั้ ข้อ 1 2 และ 3 เฉลย 1. 1 2. 4 3. 1 4. 4 5. 3 6. 2 7. 4 8. 4 9. 2 10. 5 52
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 การเคลอื่ นทใ่ี นแนวตรง แบบประเมนิ ช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ แบบประเมินผลงานผงั มโนทัศน์ คำชแี้ จง : ให้ผู้สอนประเมินผลงาน/ชิน้ งานของนักเรยี นตามรายการท่ีกำหนด แลว้ ขีด ✓ลงในช่องท่ตี รงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 4 3 21 1 ความสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ 2 ความถูกต้องของเน้อื หา 3 ความคดิ สร้างสรรค์ 4 ความตรงตอ่ เวลา รวม ลงช่ือ ................................................... ผู้ประเมิน ............../................./................ 53
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคลอื่ นท่ใี นแนวตรง เกณฑป์ ระเมินผังมโนทัศน์ ประเด็นทป่ี ระเมนิ 4 ระดับคะแนน 1 32 1. ผลงานตรงกบั ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผล งาน ไม่ ส อด ค ล้ อง จุดประสงคท์ ่ีกำหนด จุดประสงคท์ ุกประเดน็ จดุ ประสงค์เป็นสว่ นใหญ่ จดุ ประสงค์บางประเดน็ กบั จดุ ประสงค์ 2. ผลงานมีความ เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องสมบูรณ์ ถูกต้องครบถ้วน ถูกตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ ถูกตอ้ งเป็นบางประเด็น ไมถ่ กู ตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่ 3. ผลงานมคี วามคิด ผล งาน แ สด งออกถึง ผลงานมีแนวคิดแปลก ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่แสดงแนวคิด สร้างสรรค์ ค วาม คิ ด ส ร้างส รรค์ ใหม่แต่ยังไม่เป็นระบบ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่ แ ป ล ก ให ม่ แ ล ะ เป็ น ใหม่ ระบบ 4. ผลงานมคี วามเปน็ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่มีความ ผ ล ง า น มี ค ว า ม เป็ น ผลงานส่วนใหญ่ไม่เป็น ระเบียบ ระเบียบแสดงออกถึง เป็ นระเบี ยบ แต่ ยั งมี ระเบียบแต่มขี อ้ บกพร่อง ร ะ เ บี ย บ แ ล ะ มี ข้ อ ความประณตี ข้อบกพร่องเลก็ นอ้ ย บางส่วน บกพร่องมาก เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 14–16 ดมี าก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ำกวา่ 8 ปรับปรุง 54
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 การเคลอ่ื นที่ในแนวตรง แบบประเมินการปฏิบัติการ คำชี้แจง : ให้ผูส้ อนประเมินการปฏบิ ัตกิ ารของนักเรียนตามรายการท่ีกำหนด แลว้ ขีด ✓ ลงในชอ่ งทต่ี รงกบั ระดบั คะแนน ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน 4321 1 การปฏิบตั กิ ารทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏบิ ัตกิ าร รวม 3 การนำเสนอ ลงชื่อ ................................................... ผปู้ ระเมนิ ................./................../.................. 55
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 การเคลอ่ื นทใี่ นแนวตรง เกณฑ์การประเมินการปฏบิ ตั ิการ ประเดน็ ที่ประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1 ทำการทดลองตาม 1. การปฏิบัติการ ขน้ั ตอน และใชอ้ ปุ กรณ์ 32 ต้องใหค้ วามช่วยเหลอื ทดลอง อย่างมากในการทำการ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ทำการทดลองตาม ต้องให้ความช่วยเหลือ ทดลอง และการใช้ ขัน้ ตอน และใชอ้ ปุ กรณ์ บ้างในการทำการ อุปกรณ์ ได้อย่างถูกตอ้ ง แตอ่ าจ ทดลอง และการใช้ ตอ้ งไดร้ ับคำแนะนำบ้าง อุปกรณ์ 2. ความ มีความคล่องแคลว่ มคี วามคล่องแคลว่ ขาดความคลอ่ งแคลว่ ทำการทดลองเสร็จไม่ คลอ่ งแคล่ว ในขณะทำการทดลอง ในขณะทำการทดลอง ในขณะทำการทดลอง ทนั เวลา และทำ ในขณะ โดยไมต่ ้องไดร้ บั คำ แตต่ ้องไดร้ ับคำแนะนำ จงึ ทำการทดลองเสร็จ อุปกรณเ์ สยี หาย ปฏบิ ตั ิการ ช้แี นะ และทำการ บ้าง และทำการทดลอง ไมท่ ันเวลา เสร็จทนั เวลา ตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลือ ทดลองเสรจ็ ทันเวลา ต้องใหค้ ำแนะนำในการ อยา่ งมากในการบนั ทึก บนั ทกึ และสรุปผลการ บันทกึ สรุป และ สรุป และนำเสนอผล 3. การบันทกึ สรุป บันทึกและสรปุ ผลการ ทดลองไดถ้ กู ตอ้ ง แต่ นำเสนอผลการทดลอง การทดลอง และนำเสนอผล ทดลองไดถ้ ูกตอ้ ง รดั กุม การนำเสนอผลการ การทดลอง นำเสนอผลการทดลอง ทดลองยังไมเ่ ปน็ ข้ันตอน เป็นขัน้ ตอนชัดเจน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ 10-12 ดีมาก 7-9 ดี 4-6 พอใช้ 0-3 ปรบั ปรงุ 56
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 การเคลอ่ื นท่ีในแนวตรง แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน คำชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในชอ่ งท่ี ตรงกบั ระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1 32 1 ความถูกตอ้ งของเนอ้ื หา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วธิ ีการนำเสนอผลงาน 4 การนำไปใชป้ ระโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ ................................................... ผูป้ ระเมนิ ............/................./................... เกณฑก์ ารให้คะแนน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ สมบูรณ์ชัดเจน ให้ 2 คะแนน ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เป็นส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดมี าก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ำกวา่ 8 ปรบั ปรุง 57
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคลอื่ นทใี่ นแนวตรง แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล คำชแี้ จง : ใหผ้ สู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ลงในช่องที่ ตรงกับระดบั คะแนน ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 1 32 1 การแสดงความคดิ เหน็ 2 การยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผ้อู ื่น 3 การทำงานตามหนา้ ที่ทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย 4 ความมนี ้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงชอ่ื ................................................... ผูป้ ระเมนิ ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมำ่ เสมอ ............/.................../................ ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้งั ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ 3 คะแนน ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ 58
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 การเคลอ่ื นทใี่ นแนวตรง แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม คำชแ้ี จง : ใหผ้ ้สู อนสังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ลงในชอ่ งที่ ตรงกบั ระดับคะแนน ลำดับท่ี ชือ่ –สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมีนำ้ ใจ การมี รวม ของนักเรียน ความคิดเห็น ฟงั คนอ่ืน ตามที่ได้รับ สว่ นร่วมใน 15 มอบหมาย การปรบั ปรุง คะแนน ผลงานกลมุ่ 321321321321321 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงช่อื ................................................... ผ้ปู ระเมนิ ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ............./.................../............... ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ 3 คะแนน ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 14–15 ดมี าก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรบั ปรุง 59
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 การเคลอ่ื นท่ีในแนวตรง แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คำชีแ้ จง : ใหผ้ สู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในชอ่ งที่ ตรงกับระดบั คะแนน คุณลักษณะ รายการประเมนิ ระดับคะแนน อันพงึ ประสงคด์ ้าน 321 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติได้ 1.2 เข้าร่วมกิจกรรมทสี่ ร้างความสามัคคีปรองดอง และเปน็ ประโยชน์ ตอ่ โรงเรยี น 1.3 เข้ารว่ มกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนบั ถือ ปฏบิ ัติตามหลักศาสนา 1.4 เขา้ รว่ มกิจกรรมทเี่ ก่ียวกบั สถาบนั พระมหากษตั ริยต์ ามทโ่ี รงเรยี นจัดขึ้น 2. ซอ่ื สัตย์ สจุ รติ 2.1 ให้ข้อมูลทถี่ กู ตอ้ งและเป็นจริง 2.2 ปฏิบัตใิ นส่ิงที่ถกู ตอ้ ง 3. มีวินยั รบั ผดิ ชอบ 3.1 ปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของครอบครวั มคี วามตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกจิ กรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 รจู้ กั ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และนำไปปฏบิ ัตไิ ด้ 4.2 รู้จักจดั สรรเวลาให้เหมาะสม 4.3 เชือ่ ฟงั คำสัง่ สอนของบิดา-มารดา โดยไม่โต้แยง้ 4.4 ตัง้ ใจเรยี น 5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง 5.1 ใชท้ รัพยส์ ินและสง่ิ ของของโรงเรียนอย่างประหยดั 5.2 ใช้อปุ กรณก์ ารเรยี นอยา่ งประหยดั และรู้คุณคา่ 5.3 ใชจ้ ่ายอย่างประหยัดและมีการเก็บออมเงิน 6. มงุ่ ม่ันในการทำงาน 6.1 มีความตัง้ ใจและพยายามในการทำงานท่ีไดร้ บั มอบหมาย 6.2 มีความอดทนและไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพอ่ื ใหง้ านสำเรจ็ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มจี ติ สำนึกในการอนุรักษ์วฒั นธรรมและภมู ิปัญญาไทย 7.2 เหน็ คุณคา่ และปฏิบัตติ นตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รจู้ กั ช่วยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครูทำงาน 8.2 รู้จกั การดูแลรกั ษาทรพั ย์สมบตั ิและสิ่งแวดลอ้ มของหอ้ งเรียนและโรงเรยี น ลงช่อื .................................................. ผปู้ ระเมนิ ............/.................../................ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 2 คะแนน 51–60 ดมี าก พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติชัดเจนและบ่อยคร้ัง ให้ 1 คะแนน 41–50 ดี พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ัติบางคร้งั 30–40 พอใช้ ตำ่ กวา่ 30 ปรบั ปรุง 60
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การเคลอ่ื นทีใ่ นแนวตรง แผนฯ ท่ี 1 ปรมิ าณที่เกดิ จากการเคลอื่ นที่ของวตั ถุ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 1 ปรมิ าณท่ีเกดิ จากการเคล่อื นทขี่ องวัตถุ เวลา 2 ช่ัวโมง 1. ผลการเรียนรู้ 3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของการเคล่ือนที่ ของวัตถุในแนวตรงท่ีมีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก และคำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งได้ 2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เกดิ ความรู้ความเขา้ ใจเก่ยี วกับความหมายของปริมาณต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วข้องกับการเคลื่อนที่ (K) 2. อธบิ ายความสมั พันธข์ องปริมาณ ที่เกี่ยวข้องกบั การเคล่ือนท่ีจากกราฟและสมการได้ (K) 3. มที กั ษะการคำนวณหาปริมาณต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับการเคลอื่ นท่ีได้ (P) 4. เหน็ คุณประโยชนข์ องการเรยี นวิชาฟิสกิ ส์ ตระหนักในคุณค่าของความรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ น ชีวติ ประจำวัน (A) 3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม สาระการเรยี นรทู้ ้องถ่ิน - ปริมาณท่ีเกี่ยวกับการเคล่ือนที่ ได้แก่ ตำแหน่ง พิจารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง โดยความเร็ว และความเร่งมีท้ังค่าเฉล่ยี และค่าขณะหน่ึงซ่ึงคดิ ใน ช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง กับการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัวมี ความสมั พนั ธต์ ามสมการ v = u + at u+v ∆x = ( 2 ) t ∆x = ut + 1 at2 2 v2 = u2 + 2a∆x 4. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด การเคล่ือนท่ีแนวตรงทั้งในแนวระดับและแนวด่ิง เป็นการเคล่ือนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก แนวดิ่ง การ เคลอื่ นท่ขี องวตั ถุจะมคี วามสัมพนั ธ์กับระยะทาง การกระจัด เวลา อตั ราเรว็ ความเรว็ ความเรง่ และทศิ ทาง 61
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 การเคลอ่ื นทีใ่ นแนวตรง แผนฯ ท่ี 1 ปรมิ าณทีเ่ กิดจากการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ ระยะทางกับการกระจัดเป็นปริมาณท่ีต่างกัน โดยระยะทางเป็นระยะตามเส้นทางการเคลื่อนท่ีจริงของวัตถุ และเป็นปริมาณสเกลาร์ ส่วนการกระจัดเป็นระยะทางตามแนวเส้นตรงจากตำแหน่งเดิมไปยังตำแหน่งใหม่ และ เป็นปริมาณเวกเตอร์ ความเร็วกับอัตราเรว็ เป็นปริมาณที่ต่างกัน โดยความเร็วคอื การเปล่ยี นแปลงการกระจดั ของวัตถุกับช่วงเวลา นั้น เป็นปริมาณเวกเตอร์ ส่วนอัตราเร็วเป็นการเปลี่ยนแปลงของระยะทางของวัตถุกับช่วงเวลานั้นเช่นกันและ เป็นปรมิ าณสเกลาร์ พ้ืนท่ีใต้กราฟความเร็ว–เวลาในช่วงเวลาท่ีกำหนดของการเคล่ือนที่แนวตรง คือ ระยะทางท่ีวัตถุเคลื่อนท่ีได้ หรอื การกระจดั ท่เี ปลีย่ นไปในช่วงเวลานนั้ 5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 1. มีวินัย 2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้ 1) ทักษะการวิเคราะห์ 3. มุง่ มน่ั ในการทำงาน 2) ทกั ษะการสงั เกต 4. มีความซอ่ื สัตย์ 3) ทกั ษะการส่อื สาร 4) ทักษะการทำงานร่วมกัน 5) ทักษะการนำความร้ไู ปใช้ 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model) ชวั่ โมงท่ี 1 ขั้นนำ กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1. ครนู ำภาพการเคลื่อนท่ขี องวัตถตุ ่าง ๆ ทีไ่ ด้เตรียมไว้ จำนวน 10-12 ภาพ ให้นักเรยี นจำแนกว่าภาพใดบา้ ง เปน็ การเคลือ่ นทแี่ นวตรง ซึ่งประกอบด้วยภาพตวั อยา่ ง ดงั ต่อไปน้ี • ภาพชงิ ชา้ สวรรค์ • ภาพผลไม้ตกสพู่ ้ืนดิน • ภาพรถวิง่ ตามถนนเสน้ ตรง • ภาพรถเล้ียวโคง้ • ภาพคนว่งิ แขง่ 100 เมตร • ภาพลูกตุ้มนาฬกิ า • ภาพการแกวง่ ชงิ ช้า • ภาพรถไตถ่ ัง 62
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การเคลอ่ื นทีใ่ นแนวตรง แผนฯ ที่ 1 ปรมิ าณท่เี กิดจากการเคลอื่ นทีข่ องวัตถุ • ภาพคนยงิ ธนู • ภาพดาวเทยี มโคจรรอบโลก • ภาพการเคลอ่ื นทขี่ องลกู บาสเกตบอล • ภาพนักกีฬาวา่ ยนำ้ ในลขู่ องสระวา่ ยน้ำ 2. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงวิธีการพิจารณาว่าภาพใดบ้าง ท่ีเป็นภาพการเคล่ือนท่ีแนวตรง เพ่ือ นำไปสู่ความเข้าใจลักษณะของการเคล่ือนที่แนวตรงว่า “การเคล่ือนที่แนวตรง เป็นการเคล่ือนท่ีท่ีมี ระยะทางและการกระจดั อยู่ในแนวเสน้ ตรงเดียวกนั ” 3. นกั เรียนชว่ ยกนั อภปิ รายและแสดงความคิดเหน็ คำตอบจากภาพตัวอย่าง 4. ครูถามนักเรียนว่า ภาพแต่ละภาพมีลักษณะการเคล่ือนที่เหมือนกันหรือแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร นักเรียนสังเกตลกั ษณะการเคลื่อนท่ีของวัตถุนั้นอย่างไร (ทิ้งช่วงให้นักเรียนคิด) จากนั้นครูอธิบายลักษณะ การเคล่อื นที่ทลี ะภาพ 5. ครูถามคำถาม BIG QUESTION จากหนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.4 เล่ม 1 หน้า 30 ว่า ใน ชีวิตประจำวันมีกิจกรรมใดบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ และให้ยกตัวอย่าง (เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ แสดงความคิดเห็นโดยไม่เน้นถูกผิด) (แนวตอบ : ในชีวติ ประจำวัน เราพบเห็นการเคลือ่ นทีข่ องสิ่งต่างๆ เช่น นกบนิ รถยนตแ์ ลน่ บนถนน ลกู ฟุตบอลเคล่อื นทใี่ นอากาศ ใบพัดลมหมุน เด็กแกว่งชิงชา้ ผลไมห้ ลน่ จากตน้ เปน็ ตน้ ) 6. นักเรียนช่วยกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นคำตอบจากคำถาม เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนในเร่ือง ตำแหนง่ ระยะทาง และการกระจดั 7. ครใู หน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ขนั้ สอน สำรวจคน้ หา (Explore) 1. ครูถามคำถาม Prior knowledge จากหนังสือเรียน หน้า 31 ว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าวัตถุเกิดการ เคลื่อนที่ (แนวตอบ : วตั ถมุ ีการเปลี่ยนตำแหน่งจากจุดหนง่ึ ไปอกี จุดหนึ่ง) 2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นผลมาจากการท่ีมีแรงไปกระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุ เปลี่ยนแปลงสภาพโดยเปลี่ยนตำแหน่งจากจุดท่ี 1 ไปยังจดุ ที่ 2 โดยการเปล่ียนตำแหน่งของวัตถุจะทำให้ เกดิ ปริมาณทเี่ ก่ยี วข้องกับการเคลอื่ นที่ 3. ครแู จง้ ใหน้ กั เรียนทราบว่า จะได้ศกึ ษาเรื่อง ตำแหน่ง ระยะทาง และการกระจดั 4. ครเู ขา้ ส่บู ทเรยี น เร่ิมจากใหน้ ักเรียนเข้าใจจดุ อา้ งอิงหรอื ตำแหน่งอา้ งอิง โดยการตงั้ ประเด็นคำถาม เช่น • นักเรียนจะบอกตำแหน่งของบา้ นนักเรียนให้เพื่อนเข้าใจไดอ้ ยา่ งไร (ขึ้นอยกู่ ับคำตอบของนักเรียน เช่น ช่อื ถนน ช่ือซอย เป็นตน้ ) • นักเรียนเดินทางจากบ้านถึงโรงเรียนเป็นได้อย่างไร (ขึ้นอยู่กับคำตอบของนักเรียน เช่น เดินออก จากบ้านมาโรงเรียนโดยที่เดินตรงไปทางทิศเหนือ 180 เมตร จากน้ันเล้ียวซ้ายมุ่งหน้าไปทางทิศ ตะวนั ตก 240 เมตร แลว้ เดนิ ตอ่ ไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื อีก 200 เมตร จึงจะถงึ โรงเรียน) • นักเรียนมีวิธีอย่างไร สำหรับการเดินทางมาโรงเรียนท่ีใช้เวลาน้อยที่สุด (ข้ึนอยู่กับคำตอบของ นกั เรียน) 63
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 การเคลอื่ นท่ใี นแนวตรง แผนฯ ท่ี 1 ปรมิ าณที่เกิดจากการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ 5. ครูและนกั เรียนชว่ ยกันอภิปรายถงึ ระยะทางในการเดิน ความเร็วในการเดิน และระยะทางในการเดินน้อย ทสี่ ุดเพือ่ ใหน้ กั เรยี นเข้าใจมากขึน้ 6. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า การศึกษาการเคล่ือนท่ีของวัตถุเป็นการศึกษาการเปล่ียนแปลงตำแหน่งของวัตถุ (position) การที่จะบอกการเปลี่ยนตำแหน่งต้องมีการระบุตำแหน่งเพ่ือให้ส่ือความหมายได้ตรงกันและ เป็นระบบเดียวกัน โดยกำหนดจุดอ้างอิงหรือตำแหน่งอ้างอิง (reference point) ซึ่งเป็นจุดท่ีบอกพิกัดท่ี แน่นอน และเป็นตัวเปรียบเทียบในการบอกตำแหน่งของวัตถุท่ีอยู่ภายในกรอบอ้างอิง (reference frame) 7. ครูให้นักเรียนแต่ละคนวิเคราะห์และอธิบายเก่ียวกับจุดอ้างอิงและตำแหน่งของรถชนิดต่าง ๆ เทียบกับ ที่ต้งั ของปา้ ยรถประจำทาง จากภาพในหนังสอื เรียนหนา้ 31 8. ครูให้นกั เรียนร่วมกนั สรุปความสัมพันธ์ระหว่างจุดอา้ งอิงกับตำแหน่งของรถในภาพ โดยกำหนดจุดอ้างอิง และอธิบายทิศทางของวัตถุเทียบกับจุดอ้างอิง จากน้ันครูสรุปเร่ืองจุดอ้างอิงกับตำแหน่งของวัตถุ เพื่อให้ นกั เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหามากย่ิงขึ้น 9. ครูเข้าสู่เนื้อหาเร่ือง ระยะทางและการกระจัด โดยครูช่วยเชื่อมโยงความรู้ใหม่จากเน้ือหาความรู้เดิมที่ เรียนรู้มาแล้ว ด้วยการให้นักเรียนแต่ละคนบอกตำแหน่งของเพื่อน และระยะห่างระหว่างตัวนักเรียนกับ เพอื่ น เพ่ือใหเ้ ข้าใจความแตกต่างระหวา่ งระยะทางกบั การกระจัด 10. ครกู ล่าวต่อว่า การเคลื่อนท่ีของวตั ถุเป็นการเปลี่ยนตำแหนง่ ของวัตถุ ซ่งึ จะพิจารณาได้จากระยะทางและ การกระจัด แล้วครูอาจถามด้วยคำถาม เพ่ือให้นักเรียนตอบจากความรู้และประสบการณ์ของนักเรียน ดงั น้ี • ระยะทางกบั การกระจัดมีความหมายและแตกต่างกันอย่างไร • ระยะทางและการกระจัดมีความสัมพันธก์ ันหรอื ไม่ อย่างไร • ระยะทางจะมีค่าเทา่ กับการกระจดั ในกรณีใด 11. ครูท้ิงชว่ งให้นกั เรยี นแตล่ ะไดค้ ิด จากนั้นอาจส่มุ นักเรยี นให้ออกมาตอบคำถามท่ีครูได้ถามไว้หนา้ ช้ันเรยี น 12. หลังจากนั้นครูอธิบายสรุปจากคำถามเก่ียวกับระยะทางกับการกระจัดว่า ระยะทาง (distance) คือ ระยะทั้งหมดท่ีวัดได้ตามแนวการเคลื่อนท่ี ระยะทางจะระบุแต่ขนาดเพียงอย่างเดียว จึงจัดว่าเป็น ปริมาณสเกลาร์ หน่วยเป็นเมตร (m) ส่วนการกระจัด (displacement) คือ ระยะที่วัดได้ในแนวเส้นตรง จากตำแหน่งเร่ิมต้นไปยังตำแหน่งสุดท้าย ซ่ึงเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่ต้องระบุท้ังขนาดและทิศทาง มีหน่วย เป็นเมตร (m) ครูอธิบายช้ีให้นักเรียนเห็นว่า ระยะทางขึ้นอยู่กับเส้นทางการเคล่ือนที่จริง ส่วนการกระจัด จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งเริ่มต้นและตำแหน่งสุดท้ายของการเคลื่อนท่ี และระยะทางจะมีขนาดเท่ากับการ กระจัด ในกรณีทวี่ ัตถเุ คลื่อนท่ีเปน็ เส้นตรงและไม่เปลยี่ นแปลงทิศทาง 13. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4–5 คน กำหนดให้แต่ละกลุ่มสืบค้นในหัวข้อ การคำนวณหา ระยะทางและการกระจัด โดยให้นักเรียนแต่ละร่วมกันวางแผนการสืบค้นทั้งจากหนังสือเรียน (หน้า 33- 34) เอกสารอ้างอิง และแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ตามข้ันตอนทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะหรือกระบวนการ สังเกต จากนน้ั นำขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาอภปิ รายรว่ มกันหนา้ ชัน้ เรียน 64
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 การเคลอื่ นที่ในแนวตรง แผนฯ ที่ 1 ปรมิ าณท่ีเกิดจากการเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุ ข้นั สอน อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาตัวอย่างที่ 2.1-2.2 จากหนังสือเรียนหน้า 33-34 โดยให้ร่วมกันศึกษา ความแตกต่างระหว่างระยะทางและการกระจัด วิธีการหาระยะทางและการกระจัด โดยครูใช้คำถาม นำเพื่อหาข้อสรุป ดังน้ี • จากโจทย์ตัวอย่างที่ 2.1 การเคลื่อนที่ของวัตถุแต่ละครั้งระยะทางและการกระจัดท่ีเกิดข้ึนมี ลกั ษณะอย่างไร (แนวตอบ : ระยะทางและการกระจัดในการเคลื่อนที่มี 2 ลักษณะ คือ ระยะทางมากกว่าการ กระจัด และระยะเท่ากับและการกระจดั แตจ่ ากตวั อย่างระยะทางมากกวา่ การกระจัด) • จากโจทย์ตัวอย่างที่ 2.2 เด็กชายเอเดินเป็นแนววงกลมครบ 1 รอบ จะได้ระยะทาง 88 เมตร และทำไมการกระจัดถึงมคี ่าเปน็ ศูนย์ (แนวตอบ : การกระจัดมีค่าเป็นศูนย์ เนื่องจากเม่ือส้ินสุดการเคล่ือนที่แล้วจะไม่มีการ เปล่ยี นแปลง) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอวิธีการแกป้ ัญหาโจทยต์ ัวอย่างใหเ้ พื่อน ๆ ทราบหน้าหอ้ งเรียน 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปผลการสืบเสาะหาความรู้เก่ียวกับประเด็นคำถามต่าง ๆ ท่ีครูกำหนดไว้ (อาจ นำเสนอในรูปของเอกสาร) แลว้ นำมาอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กบั กลมุ่ อนื่ ๆ 4. นักเรียนร่วมกันเขียนแผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เกี่ยวกับระยะทางและการกระจัด เพ่ือเป็น การสรุปความคดิ ความเข้าใจท่ไี ดใ้ นชนั้ เรยี น แล้วส่งเป็นการบา้ นในคาบเรียนต่อไป ขนั้ สรุป ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ครนู ำนกั เรียนอภิปรายและสรปุ เกย่ี วกบั เร่อื ง ระยะทางและการกระจัด ดงั นี้ • ความหมายของระยะทางและการกระจดั • การคำนวณหาระยะทางและการกระจัด • การกระจัดจะมีค่าเท่ากับระยะทางในกรณีใด 2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาเร่ือง ตำแหน่ง ระยะทาง และการกระจัด ว่ามีส่วนไหนท่ียังไม่ เข้าใจและให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ระยะทางและการกระจัด ชว่ ยในการอธบิ าย 3. ครใู หน้ ักเรียนทำใบงานท่ี 2.1 เร่อื ง ระยะทางและการกระจัด 4. ครูให้นักเรียนทำ Unit Question 2 เรื่อง ระยะทางและการกระจัด จากหนังสือเรียน หน้า 79 ส่งเป็น การบา้ นในชวั่ โมงถัดไป ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรยี น 2. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตการตอบคำถาม การร่วมกนั ทำผลงาน และจากการนำเสนอผลงาน 3. ครูวัดและประเมินการปฏิบตั ิการ จากการทำใบงานท่ี 2.1 เร่อื ง ระยะทางและการกระจัด 65
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคลอ่ื นท่ีในแนวตรง แผนฯ ท่ี 1 ปรมิ าณที่เกดิ จากการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ 4. ครตู รวจสอบผลการทำแผนผังมโนทศั น์ (Concept Mapping) 5. ครูวัดและประเมินผลจากการทำ Unit Question 2 เรอื่ ง ระยะทางและการกระจดั 6. ครวู ัดและประเมนิ ผลจากแผนผงั มโนทัศนท์ นี่ ักเรยี นได้สรา้ งขึน้ จากขัน้ อธบิ ายความรู้ของนักเรียนเป็น รายบคุ คล ชัว่ โมงท่ี 2 ข้ันนำ กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1. ครูและร่วมกันทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับ เร่ือง ระยะทางและการกระจัด เพื่อเป็นความรู้พ้ืนฐานนำไปสู่ เนื้อหา เรอื่ ง อตั ราเรว็ และความเรว็ 2. ครถู ามคำถามกระตุน้ ให้นักเรียนแสดงความคดิ เห็นวา่ • ในการเคลือ่ นท่ี นอกจากจะมีระยะทางและการกระจดั แล้ว ยงั มีปรมิ าณใดอกี • การบอกว่าวัตถใุ ดเคลื่อนทเี่ ร็วหรือช้า จะพจิ ารณาจากระยะทางหรอื การกระจัดเทียบกบั สงิ่ ใด 3. นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายหาคำตอบเกี่ยวกบั คำถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน หลงั จากนกั เรยี นร่วมกัน อภิปรายแล้ว ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้นักเรียนเข้าใจมากข้ึนว่า การเคลื่อนท่ีจากจุดหน่ึงไปยังจุดหนึ่งน้ัน นอกจากจะมีระยะทางและการกระจัดแล้ว ยังมีเวลาท่ีใช้เคลอ่ื นที่ด้วย และการบอกว่าวัตถุใดเคล่ือนท่เี ร็ว หรอื ชา้ จะพิจารณาจากระยะทางหรือการกระจดั เทยี บกับเวลาทใ่ี ช้ในการเคลือ่ นท่ี ซ่ึงเกย่ี วกับปรมิ าณการ เคลอ่ื นท่ขี องวตั ถุ คอื อัตราเร็วและความเร็ว 4. ครแู จง้ ใหน้ ักเรียนทราบว่า จะไดศ้ ึกษาเรือ่ ง อตั ราเร็วและความเร็ว ขั้นสอน สำรวจค้นหา (Explore) 1. ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับ อัตราเร็วและความเร็ว จากหนงั สือเรยี นรายวิชาเพ่ิมเติม ฟสิ ิกส์ เล่ม 1 หน้า 35-36 โดยถามคำถามใหน้ กั เรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น ดังน้ี • นักเรียนคิดวา่ ความเร็วตา่ งจากอตั ราเร็วหรือไม่ อย่างไร (แนวตอบ ต่างกัน โดยอตั ราเรว็ เป็นระยะทางทีเ่ ปลี่ยนแปลงใน 1 หนว่ ยเวลา เปน็ ปริมาณสเกลาร์ ส่วนความเรว็ เปน็ การกระจดั ที่เปลี่ยนแปลงในหนงึ่ หนว่ ยเวลา เป็นปริมาณเวกเกอร)์ • นักเรียนพิจารณา สมการของอัตราเร็วและความเร็ว นักเรียนจะสามารถหาปริมาณอ่ืนได้หรือไม่ เช่น การกระจัด ระยะทาง หรอื เวลา (แนวตอบ สามารถหาปริมาณอื่นได้ โดยการปรับรูปสมการ ดังสมการความสัมพันธ์ในหนังสือ เรยี นหนา้ 38) 2. ครูให้ผู้แทนนักเรียนออกมานำอธิบายความแตกต่างระหว่างอัตราเร็วกับความเร็ว จากนั้นครูอธิบาย เพิม่ เตมิ ถึงความแตกต่างของทั้งสองปริมาณ พรอ้ มบอกเหตุผล 3. ครูถามคำถาม H.O.T.S จากหนังสือเรียนหน้า 36 เพ่ือเป็นการตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนว่า “ถ้า พูดว่า โดยปกติโปเต้ขับรถเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง และวันนี้โปเต้ขับรถมาทำงานเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชวั่ โมง” นกั เรยี นคิดวา่ มคี วามแตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร 66
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การเคลอ่ื นท่ใี นแนวตรง แผนฯ ที่ 1 ปรมิ าณท่ีเกิดจากการเคลอื่ นทข่ี องวัตถุ (แนวตอบ : มีความแตกต่างกัน เนื่องจากข้อความแรกกล่าวถึงอัตราเร็วโดยเฉล่ียในการเดินทาง ของโปเต้ ขณะอีกข้อความหนง่ึ คือความเร็วซึ่งเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยมีการระบทุ ิศทางมายังทที่ ำงานไว้ ดว้ ย ทำใหป้ ริมาณท้ังสองมีความแตกต่างกนั ) 4. ครูอาจให้ความรู้เสริมว่า อัตราเร็วที่อ่านได้จากมาตรวัดบนหน้าปัดรถยนต์จะแสดงว่าอัตราเร็ว ณ ขนาด นั้น แต่ถ้าพิจารณาถึงทิศทางของการเคล่ือนท่ีจะได้รถเคลื่อนท่ีด้วยความเร็ว และถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ความเร็ว จะกล่าวไดว้ า่ รถเคลือ่ นทดี่ ว้ ยความเรง่ 5. ครูถามนักเรียนต่อไปว่า ความเร็วกับความเร็วเฉลี่ย เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร และ อัตราเร็วกับอัตราเร็วเฉลี่ย เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร (ท้ิงช่วงให้นักเรียนคิด) 6. ครูใหผ้ ู้แทนนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ นำเสนอความรูต้ ามทีน่ ักเรียนเขา้ ใจ 7. นกั เรยี นและครูรว่ มกันวิพากษ์เก่ียวกับขอ้ มูลการนำเสนอของแต่ละคนต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจตรงกัน โดย นกั เรียนและครูควรไดข้ อ้ สรุปร่วมกันดังนี้ • ความเร็ว เป็นการกระจัดของวัตถุในหน่ึงหน่วยเวลา เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วยเป็นเมตรต่อ วินาที ส่วนความเร็วเฉล่ีย เป็นการกระจัดระหว่างจุดเร่ิมต้นกับจุดสุดท้ายของการเคลื่อนที่ต่อ เวลาท่ีใช้ในการเคล่ือนทที่ ้ังหมด • อัตราเร็ว เป็นระยะทางท่ีวัตถุเคล่ือนท่ีในหน่ึงหน่วยเวลา เป็นปริมาณสเกลาร์ มีหน่วยเป็นเมตร ต่อวินาที สว่ นอตั ราเรว็ เฉลย่ี เปน็ อตั ราการเคลอื่ นทต่ี ามระยะทางจริงในหนึ่งหนว่ ยเวลา 8. จากนั้นครูให้ความรู้เรื่องอัตราเร็วขณะหน่ึง (instantaneous speed) ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 40-41 โดยท่ีนกั เรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายหรือสอบถาม ซ่งึ นักเรียนจะเข้าใจมากยิ่งขึ้นในหัวข้อ ตอ่ ไป เรื่อง เครอื่ งเคาะสญั ญาณเวลา ขน้ั สอน อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกันศึกษาทำความเข้าใจโจทย์ เรื่อง อัตราเร็วและความเร็ว และลองหา คำตอบจากตัวอย่างด้วยตนเอง จากตัวอย่างที่ 2.3-2.5 ในหนังสือเรียน หน้า 37 และ 39 เพื่อให้ช่วย เข้าใจการนำเสนอข้อมูลได้มากยิ่งข้ึน ครูควรให้นกั เรียนทำโจทย์ตามข้นั ตอนการแก้โจทยป์ ญั หา ดังน้ี • ขน้ั ท่ี 1 ทำความเข้าใจโจทย์ตวั อยา่ ง • ขัน้ ท่ี 2 สง่ิ ที่โจทยต์ ้องการถามหา และจะหาสิง่ ทโ่ี จทย์ต้องการ ต้องทำอย่างไร • ข้นั ที่ 3 ดำเนนิ การหาคำตอบ • ข้นั ท่ี 4 ตรวจสอบคำตอบของโจทยต์ วั อย่าง 2. ครูสุ่มนักเรียนให้ออกมานำเสนอวิธีการแก้ปัญหาโจทย์ตัวอย่างตามข้ันตอนในแต่ละขั้น โดยท่ีครูคอย แนะนำและเสริมข้อมลู ที่ถกู ต้องใหน้ ักเรียน ข้นั สรปุ ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ครูนำนักเรียนอภิปรายและสรปุ เก่ียวกับวิธีการหาอัตราเร็วและความเร็ว แล้วให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ และสรปุ ความแตกตา่ งระหว่างอตั ราเรว็ และความเร็ว 67
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285