Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยง

Published by pop150, 2017-07-03 22:10:32

Description: การจัดการความเสี่ยง

Keywords: การจัดการความเสี่ยง

Search

Read the Text Version

88ตำรำงที่ 4.12 แสดงกำรวิเครำะห์ค่ำเฉลี่ยรวมระดับควำมสำคัญของกำรจัดกำรควำมเสี่ยงกับ ประสิทธิผลของสถำนศึกษำ สังกดั สำนักงำนเขตพน้ื ท่กี ำรศกึ ษำในจังหวดั ปทุมธำนีตัวแปร X S.D. ระดับการจัดการความเส่ยี งของสถานศกึ ษาสังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่ 3.72 .71 มากการศึกษาในจังหวดั ปทุมธานีประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษาสังกดั สานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษา 3.95 .51 มากในจงั หวัดปทมุ ธานี จากตารางท่ี 4.12 พบว่า การจัดการความเส่ียงของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.72 อยู่ในระดับมาก และประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีค่าเฉลีย่ รวมเท่ากับ 3.95 อยู่ในระดบั มาก ดังน้ัน ระดับการจัดการความเส่ียงและระดับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี อยใู่ นระดับมาก

89ตอนท่ี 3 ผลกำรศึกษำระดับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรจัดกำรควำมเส่ียงกับประสิทธิผลของสถำนศกึ ษำสังกัดสำนกั งำนเขตพนื้ ที่กำรศึกษำในจังหวดั ปทุมธำนี ผู้วจิ ยั ได้กาหนดตวั แปรสาหรับใชใ้ นทดสอบความสัมพันธ์ ดงั น้ีตวั แปรอสิ ระ โดยกาหนดคา่ ดังนี้ X1 = การจัดการความเสยี่ งด้านกลยุทธ์ X2 = การจัดการความเสย่ี งดา้ นการดาเนนิ การ X3 = การจดั การความเสย่ี งดา้ นกลยทุ ธ์ X4 = การจดั การความเสี่ยงดา้ นดา้ นกฎระเบยี บ/กฎหมาย Xtot = การจัดการความเสี่ยงตัวแปรตำม โดยกาหนดคา่ ดังน้ี Y1 = ประสทิ ธผิ ลดา้ นความสามารถในการปรบั ตวั Y2 = ประสิทธิผลดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น Y3 = ประสทิ ธผิ ลดา้ นความพึงพอใจในงาน Y4 = ประสทิ ธิผลดา้ นความมงุ่ มน่ั ในชีวิต Ytot = ประสิทธิผลของสถานศึกษา สาหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์จะใช้การทดสอบด้วยการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัวที่เป็นอิสระต่อกัน โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson ProductMoment Correlation Coefficient) ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความเสย่ี งกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ดังตารางที่4.13 – 4.14

90ตำรำงท่ี 4.13 แสดงการวเิ คราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสมั พันธร์ ะหว่างการจดั การความเส่ยี งของ ผู้บรหิ ารสถานศึกษากบั ประสิทธิผลของสถานศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพนื้ ที่ การศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี ด้านกลยทุ ธ์ ด้านการ ด้านการเงนิ ดา้ น ประสทิ ธผิ ลตวั แปร ดาเนินการ กฎระเบยี บ/ (X 1) (X 2) (X 3) กฎหมาย (X 4) (Ytot)ด้านกลยุทธ์ 1.0000 .730(**) .681(**) .691(**) .402(**) (X 1) 1.0000 .791(**) .833(**) .521(**) 1.0000 .764(**) .397(**) ดา้ นการ 1.0000 .516(**) ดาเนนิ การ 1.0000 (X 2)ดา้ นการเงนิ (X 3) ดา้ นกฎระเบียบ/กฎหมาย (X 4)ประสิทธิผล (Ytot)** มนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.01 จากตารางที่ 4.13 พบว่า ค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์การจัดการความเสี่ยงของผู้บริหารสถานศึกษา แต่ละด้าน มีค่าอยู่ระหว่าง .681 ถึง .833 โดยการจัดการความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ด้านการดาเนินการ ด้านการเงิน และด้านกฎระเบียบ/กฎหมาย มีความสัมพันธ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดยมีความสัมพันธ์กันทางบวกท่รี ะดบั นยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ 0.01

91ตำรำงที่ 4.14 แสดงการวเิ คราะห์คา่ สมั ประสิทธส์ิ หสมั พนั ธร์ ะหว่างการจัดการความเสีย่ งกับ ประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษาสงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี ประสิทธผิ ลของสถานศึกษา ( Ytot) การจัดการความเส่ียง Pearson ระดับความสมั พนั ธ์ ทศิ ทาง Correlation ความสัมพนั ธ์1. ความส่ยี งดา้ นกลยทุ ธ์ (X1)2. ความเส่ยี งด้านการ .402(**) ปานกลาง ทางบวก ดาเนินงาน (X2) .521(**) ปานกลาง ทางบวก3. ความเสี่ยงด้านการเงนิ (X3)4. ความเส่ยี งดา้ นการปฏบิ ตั ิ .397(**) ปานกลาง ทางบวก ตามกฎหมาย/กฎระเบยี บ(X4) .516(**) ปานกลาง ทางบวก การบริหารความเสย่ี ง (X tot)** มีนยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01 .506(**) ปานกลาง ทางบวก จากตารางที่ 4.14 พบว่า การจัดการความเสี่ยงกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาในจงั หวัดปทุมธานี ทกุ ดา้ นมีความสัมพันธก์ นั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) อยู่ระหว่าง .397 - .516 แสดงว่ามีระดับความสัมพันธอ์ ยู่ในปานกลาง และ มีความสมั พนั ธ์กนั ในทิศทางบวกทุกคา่ คา่ ระดับความสมั พันธ์กันสูงที่สุดของการจัดการความเสี่ยงกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี คือ การจัดการความเส่ียงด้านการดาเนินงานโดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ .521 มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 รองลงมาคือการจัดการความเสี่ยงด้านการปฏิบัติ ตามกฎหมาย/กฎระเบียบโดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ (r)เท่ากับ .516 มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ความสี่ยงด้านกลยุทธ์ (X 1) มีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ .402 และค่าระดับความสัมพันธ์ท่ีต่าสุดคือ การจัดการความเสี่ยงด้านการเงินมคี ่าสัมประสิทธ์ิสหสมั พันธ์ (r) เทา่ กบั . 397 มนี ยั สาคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .01 ดังน้ัน การจัดการความเส่ียงมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .01

92ตอนท่ี 4 ผลกำรวิเครำะห์กำรถดถอยพหุคุณแบบข้ันตอน (Stepwise Multiple RegressionAnalysis) เพื่อวิเครำะห์กำรจัดกำรควำมเส่ียงท่ีส่งผลต่อประสิทธิผลของสถำนศึกษำ สังกดั สำนักงำนเขตพน้ื ที่กำรศึกษำในจงั หวดั ปทมุ ธำนี ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยใช้ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี เป็นเกณฑ์การจดั การความเสี่ยงทั้ง 4 ดา้ นเปน็ ตัวพยากรณ์ ผลปรากฏดงั แสดงในตารางท่ี 4.15 – 4.17ตำรำงท่ี 4.15 แสดงผลการวิเคราะห์การถดถอยพหคุ ณุ แบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) เพ่ือพยากรณ์ตวั แปรท่มี อี ทิ ธิพลต่อประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี หาความแปรปรวนแหล่งความแปรปรวน df Sum of Squares Mean Square F (SS) (MS) 39.03**Regression 2 14.08 7.04Residual 188 33.91 .18Totel 190 48.00** มนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั 0.01 จาก ตารางที่ 4.15 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวน พบว่า ตัวแปรพยากรณ์กับตัวแปรเกณฑ์ คือ การจัดการความเส่ียงเป็นตัวพยากรณ์ ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานีเป็นเกณฑ์ มีความสัมพันธ์กันกับตัวแปรท่ีศึกษาอย่างมีระดับนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 สมการพยากรณถ์ ดถอยพหุคูณมคี วามแปรปรวน ( F ) = 39.03

93ตำรำงที่ 4.16 ตารางแสดงค่าสมั ประสทิ ธส์ หสัมพันธ์พหคุ ณู ระหวา่ งการจดั การความเสี่ยง ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาในจงั หวัด ปทุมธานี ตัวแปรพยากรณ์ R R2 S.E.est F .52 .27 .43 70.38**การดาเนินงาน(X 2) .54 39.03**การดาเนนิ งาน(X2) กฎหมาย (X4) .29 .42** มีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01 จากตาราง 4.16 ปรากฎว่าตัวพยากรณ์ที่มีความสัมพันธ์สูงสุดที่ถูกเลือกเข้ามาก่อนคือการจัดการความเส่ียงด้านการดาเนินงาน(X 2) สามารถพยากรณ์ประสทิ ธิผลของสถานศึกษารว่ มกันได้รอ้ ยละ 27 เมื่อเพิ่มตัวพยากรณ์คือ การจัดการความเสี่ยงด้านการปฏบิ ัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ(X 4) พบว่าค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์พหุคูณเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถพยากรณ์ประสิทธผิ ลของสถานศึกษาร่วมกันได้ ร้อยละ 29 แต่เม่ือเพ่ิมตัวพยากรณ์คือการจดั การความเสยี่ งด้านกลยุทธ์ (X 1) เขา้ ไป พบว่า ค่าสัมประสิทธส์ หสัมพันธ์พหุคณู เพิ่มขึน้ อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ แสดงว่า ตัวพยากรณ์ที่เพ่ิมข้ึนให้ผลน้อยมาก จึงไม่สมควรนามาใช้เป็นตัวพยากรณ์ และเม่ือเพิ่มตัวพยากรณ์ การจัดการความเสี่ยงด้านการเงิน (X 3) เข้าไปก็ให้ผลเช่นกันดังน้ันจึงสรุปได้ว่า ตัวพยากรณ์ท่ีสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาในจังหวัดปทุมธานี คอื การจัดการความเสย่ี งด้านการดาเนินงาน(X 2) และการจัดการความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X 4) และมีความคลาดเคล่ือนของการพยากรณ์หรือการประมาณค่าประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี (S.E.est) = .42 ดังน้ันจึงคานวณหา ค่าน้าหนักความสาคัญของตัวพยากรณ์ และสร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานีดงั แสดงในตารางท่ี 4.17

94ตำรำงที่ 4.17 แสดงผลการวิเคราะห์คา่ สัมประสิทธก์ิ ารถดถอยพหคุ ุณในรูปคะแนนดบิ และคะแนน มาตรฐานของตวั แปรอิสระทีใ่ ช้เป็นตวั พยากรณ์ตวั พยากรณ์ b S.E.b  t pความเสี่ยงด้านการดาเนนิ งาน(X2) .20 .07 .29 2.67 .00เสย่ี งด้านการปฏบิ ตั ิตาม .17 .07 .26 2.42 .01กฎหมาย/กฎระเบียบ (X4) ** มนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 R = .54 , R2 = .29 , F = 39.03 , S.E.est = .42 , a = 2.57 จากตารางท่ี 4.17 พบว่า คา่ สัมประสิทธิ์การถดถอยของตัวพยากรณ์(b) ความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน (X 2) = .20 ความคลาดเคล่ือนมาตรฐานของสมั ประสิทธก์ิ ารถดถอย (S.E.b) = .07และความเสย่ี งด้านการปฏบิ ัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X 4) = .17 ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของสมั ประสทิ ธิ์ การถดถอย (S.E.b) = .07 ค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยของตัวพยากรณ์ซ่ึงพยากรณ์ในรูป คะแนนมาตรฐาน () ความเส่ยี งดา้ นการดาเนนิ งาน (X2) = .20 ความเส่ยี งด้านการปฏบิ ัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X4) = .17ค่าสถิติการแจกแจง t-Distribution (t) ความเสีย่ งด้านการดาเนินงาน (X 2) = 2.67 และ ความเสี่ยงด้านการปฏบิ ัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X4) = 2.42 โดยมีระดบั นัยสาคัญทางสถติ ิที่ .01 ค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยตัวแปรพยากรณ์ทั้ง 2 ตัว คือ ความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน(X 2) และ เสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X 4) มีส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยตัวแปรท้ัง 2 ตัว มีอานาจการพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาร่วมกันได้ร้อยละ 29 และมกี ารคลาดเคลือ่ นของการพยากรณ์ หรอื การประมาณคา่ ประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษาเท่ากับ .42สมการพยากรณ์ประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา เขยี นไดด้ ังน้ีสมการถดถอยหรอื สมการพยากรณป์ ระสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษาในรปู คะแนนดบิ คอื Y = 2.57 + .20X 2 + .17X 4สมการถดถอยหรอื สมการพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาในรูปคะแนนมาตรฐาน คอื Z = .29X 2 + .26 X 4

95 จากสมการความถดถอยเชงิ พหุคูณข้างตน้ สามารถแปลความหมายได้ดงั นี้ ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบข้ันตอนของ การจัดการความเส่ียงท่ีส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดยทดสอบความแตกตา่ งของคา่ สมั ประสิทธ์ิการถดถอยเมอ่ื เพม่ิ ปัจจัยทีละตัว ปรากฏดังน้ี 1. ถา้ ตวั แปรการจดั การความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน (X2) มหี นว่ ยเพิม่ ขน้ึ 1 หนว่ ย จะทาให้ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี เพ่ิมข้ึน 0.02หน่วย มีทิศทางเดียวกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานี โดยให้ตวั แปรอืน่ ๆ มีคา่ คงที่ 2. ถ้าตัวแปรการจัดการความเส่ียงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ(X 4) มีหน่วยเพิ่มข้ึน 1 หน่วย จะทาให้ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานี เพิม่ ขน้ึ 0. 17 หน่วย มที ศิ ทางเดยี วกบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาในจงั หวัดปทมุ ธานี โดยใหต้ วั แปรอ่ืนๆ มีค่าคงที่ ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาในจังหวัดปทุมธานี อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .01

96 บทท่ี 5 สรุปผลกำรวิจัย กำรอภิปรำยผลและขอ้ เสนอแนะ การวิจัยเร่อื ง การจัดการความเสย่ี งท่ีส่งผลต่อประสทิ ธิผลของสถานศึกษาสังกัดเขตพื้นท่ีการศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี ผู้วิจัยนาเสนอสาระสาคญั ตา่ งๆดงั น้ี1. สรปุ ผลกำรวจิ ยั ในการวจิ ยั คร้ังน้มี วี ตั ถปุ ระสงค์ ดังตอ่ ไปน้ี วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย 1. เพื่อศึกษาระดับการจัดการความเสยี่ งและประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาในจังหวดั ปทมุ ธานี 2. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความเส่ียงกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสงั กัดสานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี 3. เพื่อศึกษาการจัดการความเสี่ยงที่ส่งผลต่อประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานี กล่มุ ตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยมี 2 กลมุ่ จานวน 191 คน ประกอบด้วย 1) ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาสงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา ในจงั หวดั ปทุมธานี จานวน 97 คน แบง่ เปน็ สังกดัสพป.เขต1 จานวน 51 คน สพป.เขต 2 จานวน 33 คน และ สพม.เขต 4 จานวน 10 คน 2) ครูผู้รับผิดชอบการจดั การความเสีย่ งสงั กัดสานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา ในจงั หวดั ปทุมธานี จานวน 94คน แบ่งเป็น สังกัดสพป.เขต1 จานวน 52 คน สพป.เขต 2 จานวน 34 คน และ สพม.เขต 4จานวน 11 คน ไดม้ าจากการสุม่ แบบเจาะจง เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในกำรวจิ ยั เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยเปน็ แบบสอบถาม แบ่งออกเปน็ 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 แบบสอบถามเกย่ี วกับข้อมลู ทั่วไป ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกยี่ วกบั การจดั การความเสยี่ งของผู้บริหารสถานศึกษา สงั กดัสานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี

97 ตอนท่ี 3 แบบสอบถามเกย่ี วกบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษา สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาในจังหวดั ปทุมธานี วิธีดำเนินกำรวิจัย 1. ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องกับการจดั การความเส่ยี งในสถานศึกษา และประสทิ ธิผลของสถานศึกษา 2. ดาเนนิ การสร้างแบบสอบถามโดยการนาแนวคิดจากเอกสาร และงานวิจยัทเี่ กยี่ วข้องให้อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาการวิจัยตรวจทาน แกไ้ ข แล้วนามาปรบั ปรงุ แก้ไข 3. นาแบบสอบถามทสี่ รา้ งเสรจ็ เรยี บร้อยแล้ว เสนออาจารย์ท่ปี รกึ ษาวทิ ยานิพนธใ์ ห้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือ หาคา่ IOC ( Index of ltem Objective Congruence )พจิ ารณาคา่ ความเช่ือมน่ั ของแบบสอบถาม ได้ค่าความเชอ่ื มั่น (α) คอื 0.98 แลว้ นาแบบสอบถามปรบั ปรงุ แกไ้ ข 4. นาแบบสอบถามทป่ี รบั ปรงุ แลว้ ไปทดลองใช้ ( Try out ) กับสถานศกึ ษาสังกัดสานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษานครนายก รวมท้ังสิ้น 30 คน แลว้ นาแบบสอบถามท่ีไดร้ บั กลับคืนมาหาคา่ ความเชอื่ ม่ัน (Reliability) 5. ปรบั ปรงุ แบบสอบถามให้มคี วามสมบรู ณ์ 6. ได้แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์เพ่อื ท่ีจะนาไปเก็บขอ้ มลู 7. ขอหนังสอื จากสานักงานประสานงานบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี เพอ่ื ขอความอนเุ คราะหใ์ นการเก็บรวบรวมข้อมลู 8. ผู้วจิ ยั นาแบบสอบถามไปสอบถามขอ้ มูลตามจานวนกลุ่มตวั อย่างทก่ี าหนดเพื่อตอบแบบสอบถาม 9. เมอื่ ไดแ้ บบสอบถามคืนแล้ว ผู้วิจัยไดน้ าแบบสอบถามมาตรวจสอบความสมบูรณ์ใหค้ ะแนนน้าหนกั คะแนนแต่ละขอ้ เพื่อนาไปวิเคราะหข์ อ้ มูล 10. ทาการวเิ คราะหข์ อ้ มูล แล้วนาไปวเิ คราะหโ์ ดยใชค้ ่าเฉล่ีย สถิตทิ ่ีใช้ในการวิจยั คอื ร้อยละ (Persentage) ใช้คา่ เฉลย่ี ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.)คา่ สหสัมพนั ธแ์ บบเพยี ร์สนั (Pearson’s Product Moment Correlation) และการถดถอยพหุคูณแบบข้ันตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) 11. นาผลการคานวณวเิ คราะห์ข้อมูลมาอภิปรายผล นาเสนอเป็นตารางประกอบคาบรรยายความเรยี ง

98ผลกำรวจิ ัย จากการศกึ ษาการจัดการความเสยี่ งทส่ี ่งผลต่อประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษาสงั กดั เขตพนื้ ที่การศกึ ษาในจังหวดั ปทมุ ธานี ผ้วู ิจัยสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลไดด้ งั นี้ 1. ข้อมูลท่ัวไปของผู้บริหารและครูผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 55 ซ่ึงเป็นผู้มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 49.70 โดยผู้ตอบแบบสอบถามทีม่ วี ุฒกิ ารศกึ ษาสูงสดุ คอื วุฒิปรญิ ญาโท คิดเปน็ ร้อยละ 50.30 ด้านตาแหน่งของผตู้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นผู้บริหาร คือผู้อานวยการสถานศึกษา หรือรองผู้อานวยการสถานศึกษาคิดเป็นร้อยละ 50.80 การจดั การความเส่ียง คดิ เปน็ รอ้ ยละ 49.20 ด้านประสบการณ์ในการบรหิ ารงานสงู สดุ คอื ประสบการณใ์ นการบรหิ ารสถานศึกษา ตั้งแต่ 15 ปีขนึ้ ไป คดิ เป็นรอ้ ยละ 66.50 และผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ไม่เคยเข้ารับอบรมทางด้านการบริหารสถานศึกษา หรือ การบริหารความเสี่ยง คดิ เป็นร้อยละ 33.50 2. การจดั การความเสี่ยงของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นที่มีค่าสูงสุดคือ ความเสี่ยงด้านการเงิน อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคือ ความเส่ียงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ อยู่ในระดับมาก และต่าสุดคือ ความสี่ยงด้านกลยุทธ์ อยู่ในระดับมาก พิจารณาแต่ละปัจจัยไดด้ ังน้ี 2.1 ความเสย่ี งดา้ นกลยทุ ธ์ ระดบั การจดั การความเสยี่ งของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นพบว่าประเด็นท่ีมีค่าสูงสุด คือ ผู้บริหารมีความรู้ความสามารถในการบริหารนโยบาย วิสัยทัศน์ /พันธกิจ แผนกลยุทธ์ อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ การจัดทาแผนพัฒนาสถานศึกษาสอดคล้องกับนโยบาย วิสัยทัศน์ / พันธกิจ แผนกลยุทธ์ ของสถานศึกษา ในระดับมาก และต่าสุดคือ มีการปรบั ปรงุ การดาเนินงานทีไ่ มบ่ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ อยูใ่ นระดับปานกลาง 2.2 ความเส่ียงดา้ นการดาเนินงาน ระดับการจัดการความเสีย่ งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ความเส่ียงด้านการดาเนินงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นที่มีค่าสูงสุด คือ พัฒนาหลักสูตรครอบคลุมทุกกลุ่มสาระอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ มีโครงสร้างของคณะทางานด้านการพัฒนาหลักสูตร อยู่ในระดับมาก และตา่ สุดคือ การจัดทาแผนการเรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษาและหลกั สูตรท้องถ่นิ อยูใ่ นระดับปานกลาง 2.3 ความเส่ียงด้านการเงิน ระดับการจัดการความเส่ียงของผู้บริหารสถานศึกษาสงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ความเส่ียงด้านการเงิน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายปจั จยั พบว่าประเดน็ ทม่ี คี า่ สงู สดุ คือ มีการจดั ทารายงานการเงนิ ทกุ เดือนและ

99เม่ือส้นิ ปีงบประมาณ อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคอื การขอซอื้ ขอจ้าง ถูกต้องตามหลกั เกณฑ์ อยู่ในระดับมาก และต่าสุดคือ มีการบริหารงานด้านพัสดุและสินทรัพย์ เช่น การลงทะเบียน การซ่อมแซมการจาหนา่ ย ฯลฯ อยใู่ นระดับมาก 2.4 ความเสี่ยงดา้ นการปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย/กฎระเบยี บ ระดบั การจดั การความเส่ยี งของผู้บรหิ ารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ความเสีย่ งด้านการปฏบิ ัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นทม่ี คี า่ สงู สดุ คอื มกี ารตรวจสอบภายในสถานศกึ ษา อยใู่ นระดับ มาก รองลงมาคอื มีการนิเทศ ติดตามการดาเนินงานทางวินัยอย่างเป็นระบบ อยู่ในระดับปานกลาง และต่าสุดคือ บุคลากรรับรู้การเปลยี่ นแปลงกฎระเบียบ/มาตรการ/ขอ้ กาหนด จากตน้ สังกัด อยูใ่ นระดับมาก 3. ประสิทธผิ ลของสถานศึกษา ระดับประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นที่มีค่าสูงสุด คือ ด้านความมุ่งม่ันในชีวิต อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคือ ด้านความสามารถในการปรับตัว อยู่ในระดับมาก และต่าสุดคอื ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน อยู่ในระดับมาก พิจารณาแต่ละปจั จัยไดด้ งั นี้ 3.1 ดา้ นความสามารถในการปรับตวั ระดับประสทิ ธิผลของสถานศึกษา สังกดัสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ด้านความสามารถในการปรับตัว โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นท่ีมีคา่ สูงสดุ คอื ครูและบุคลากรสามารถปรบั ตัวใหเ้ ข้ากบั สถานการณท์ ่ีเปล่ียนแปลงได้ อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคอื ครูและบุคลากรในสถานศึกษามีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงานในหน้าที่ ให้บรรลุวิสัยทัศน์และพันธกิจของสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก และต่าสุดคือ มีการปรับเปล่ียนการบริหารงานโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในการดาเนนิ งานของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก 3.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากเม่ือพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นท่ีมีค่าสูงสุด คือ สถานศึกษาจัดกิจกรรมอย่างหลากหลายเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขน้ึ อย่างสม่าเสมอ อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคือ นักเรียนส่วนใหญม่ ีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และสุขภาพจิตดี มีคุณธรรม จรยิ ธรรม เหมาะสมกับวัย อยู่ในระดับมาก และต่าสุดคือ นักเรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้และพัฒนาตนเอง มีความรับผิดชอบตอ่ การเรียนของตนเองสงู อย่ใู นระดับมาก 3.3 ความพึงพอใจในงาน ระดบั ประสิทธิผลของสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานี ด้านความพงึ พอใจในงาน โดยรวมอย่ใู นระดบั มาก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายปัจจยั พบว่าประเด็นทีม่ คี ่าสูงสุด คือ สถานศึกษาสนับสนนุ ใหค้ รแู ละบุคลากรทุกคนมโี อกาส

100กา้ วหน้าในตาแหน่งหนา้ ที่ อย่ใู นระดบั มาก รองลงมาคอื ครูและบุคลากร มคี วามภาคภมู ใิ จกบั ผลการปฏิบัตงิ านรว่ มกัน อยู่ในระดับมาก และตา่ สุดคอื ครแู ละบคุ ลากร สว่ นใหญ่มผี ลงานวิจัยหรือนวตั กรรมที่มคี ุณคา่ ตอ่ การพฒั นาสถานศกึ ษา อยูใ่ นระดับมาก 3.4 ความมงุ่ มั่นในชวี ิต ระดบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ด้านความมุ่งม่ันในชีวิต โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายปัจจัยพบว่าประเด็นท่ีมีค่าสูงสุด คือ ครูและบุคลากร เต็มใจเข้ารับการพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทางาน อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคือ สถานศึกษามีการวางแผนการพัฒนาครูและบุคลากร อยู่ในระดับมาก และต่าสุดคือ ครูและบุคลากรในสถานศึกษาตระหนักว่าภาระหน้าที่ส่วนตนจะส่งผลกระทบต่องานส่วนรวม อยู่ในระดับมาก และอีกปัจจัยคือครูและบคุ ลากร ของสถานศกึ ษาต้ังใจปฏิบตั งิ านอยา่ งทมุ่ เทและอุทิศเวลา อยู่ในระดับมาก 4. ความสมั พันธร์ ะหว่างการจดั การความเส่ียงของผู้บริหารกบั ประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษาสงั กัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกระดับนัยสาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.01 โดยมีคา่ สมั ประสิทธส์ิ หสัมพันธ์ (r) อยู่ระหว่าง .39 - .521 แสดงว่ามีความสมั พนั ธอ์ ยใู่ นระดับปานกลาง และมคี วามสัมพนั ธก์ ันในทศิ ทางบวกทกุ คา่ คา่ ระดบั ความสมั พันธก์ ันสงู ทส่ี ดุ ของการจัดการความเสยี่ งกับประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี คือ การจัดการความเสี่ยงด้านการดาเนินงานโดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ .521 มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 รองลงมาคือการจัดการความเส่ียงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบโดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r)เท่ากับ .516 มีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .01 และค่าระดับความสมั พันธ์ที่ต่าสุดคอื การจัดการความเสี่ยงด้านการเงิน โดยมคี า่ สมั ประสทิ ธิ์สหสัมพนั ธ์ (r) เทา่ กบั . 37 มีนัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาการจัดการความเส่ียงกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับปานกลางโดยมีคา่ สมั ประสทิ ธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ .506 อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .01 เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า กระบวนการจัดการความเสี่ยงส่วนใหญ่มีค่าระดับความสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง และมีทศิ ทางความสัมพันธ์ทางบวกทุกคา่ 5. การจัดการความเสย่ี งของผู้บรหิ ารสถานศึกษาทสี่ ่งผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี พบว่าตัวแปรของความเสี่ยงที่ส่งผลต่อสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ที่เข้าสู่สมการพยากรณ์มี 2 ขัน้ ตอน ได้แก่ ข้นั ตอนที่ 1 ความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน(X 2) ขัน้ ตอนที่ 2 ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X 4) ท่ีมีอานาจพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีค่าสัมประสิทธ์ิการถดถอยพหุคูณ (R) .54

101ความเส่ียงท้ังสองด้านรวมกันสามารถทานายประสิทธิผลของสถานศึกษาได้เท่ากับ ร้อยละ 29ตัวแปรท่ีเหลอื คือ ความเส่ียงด้านกลยุทธ์ (X 1) และความเส่ียงด้านการเงิน(X3) ไม่สามารถสง่ ผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ค่าความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์หรือการประมาณค่าประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี (S.E.est ) = .42 คา่ ความแปรปรวนในการพยากรณ์ประสทิ ธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี (F) = 39.03 ที่ระดับนัยสาคญั ทางสถติ ิ .01 ค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยของตัวพยากรณ์ซึ่งพยากรณ์ในรูป คะแนนมาตรฐาน ()ความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน (X 2) = .20 ความเส่ียงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ(X 4) = .17 คา่ สถิติ การแจกแจง t-Distribution (t) ความเสยี่ งด้านการดาเนินงาน (X 2) = 2.67 และความเสี่ยงด้านการปฏบิ ัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X 4) = 2.42 โดยมีระดับนัยสาคญั ทางสถิติท่ี .01ตัวแปรพยากรณ์ท้ัง 2 ตัว คือ ความเส่ียงด้านการดาเนินงาน (X 2) และ เสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (X 4) สง่ ผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศึกษา เท่ากับ 0.54 โดยตัวแปรท้ัง 2 ตัวมีอานาจการพยากรณ์ประสทิ ธผิ ล ของสถานศึกษาร่วมกันได้ รอ้ ยละ 29 และมีการคลาดเคล่ือนของการพยากรณ์ หรอื การประมาณค่าประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา เท่ากับ .42 สมการพยากรณป์ ระสทิ ธิผลของสถานศึกษา เขยี นได้ดงั นี้ สมการถดถอยหรอื สมการพยากรณป์ ระสทิ ธผิ ลของสถานศึกษาในรปู คะแนนดบิ คอื Y = 2.57 + .20X 2 + .17X 4 สมการถดถอยหรอื สมการพยากรณ์ประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษาในรปู คะแนนมาตรฐาน คอื Z = .29X 2 + .26 X 4 ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนของ การจัดการความเสี่ยงที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดยทดสอบความแตกต่างของคา่ สัมประสทิ ธิก์ ารถดถอยเมอ่ื เพม่ิ ปัจจยั ทีละตวั ปรากฏดังนี้ 1. ถ้าตัวแปรการจัดการความเส่ียงด้านการดาเนินงาน (X 2) มีหน่วยเพิ่มขน้ึ 1 หน่วย จะทาให้ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี เพ่ิมขึ้น 0.02หน่วย มีทิศทางเดียวกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานี โดยให้ตวั แปรอื่นๆ มีคา่ คงท่ี 2. ถา้ ตัวแปรการจัดการความเสย่ี งด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย / กฎระเบียบ (X 4) มีหน่วยเพ่ิมข้ึน 1 หน่วย จะทาให้ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัด

102ปทมุ ธานี เพิม่ ข้ึน 0. 17 หน่วย มที ศิ ทางเดยี วกบั ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาในจังหวดั ปทุมธานี โดยใหต้ วั แปรอนื่ ๆ มีคา่ คงท่ี ดังน้ัน การจัดการความเส่ียงส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาในจังหวัดปทุมธานี อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ .012. กำรอภิปรำยผล จากการศึกษาเร่ือง การจัดการความเส่ียงที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี มีข้อค้นพบและเป็นประเด็นที่สาคัญที่ผู้วิจัยควรนามาอภิปรายดังนี้ 2.1 กำรจดั กำรควำมเสี่ยงของผู้บริหำรสถำนศึกษำ สังกัดสำนักงำนเขตพ้ืนทก่ี ำรศึกษำในจังหวัดปทุมธำนี ด้านกลยุทธ์ ด้านการดาเนินการ ด้านการเงิน และด้านความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังนี้อาจเป็นเพราะ สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานีเขต 1(กลุ่มอานวยการ ฝ่ายเลขานุการ สพท.ปทุมธานี เขต 1, 2553: 1)ได้มีส่วนช่วยให้หน่วยงาน สถานศึกษาสามารถวิเคราะห์ โอกาสและผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนกับความเส่ียงในการปฏิบัติตามโครงการสาคัญตามยุทธศาสตร์ของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาปทุมธานีเขต 1 ตลอดจนการปฏิบัติงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน เพื่อกาหนดมาตรการหรือแนวทางในการบริหารความเส่ียงให้หมดไปหรืออยู่ในระดับท่ียอมรับได้ อันจะส่งผลให้การปฏิบัติงานตามโครงการ/ภารกิจบรรลุเปา้ หมายอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ นอกจากน้ีการจดั ทาระบบบรหิ ารความเสยี่ งยังมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธร์ ะหว่างองคก์ รและภายในองคก์ รประสานการทางาน อันจะนามาซ่ึงการทางาน การติดตอ่ แลกเปลยี่ นขอ้ มูลและความรว่ มมือในการดาเนินการต่างๆเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามท่ีคณะกรรมการตรวจสอบภายในองค์กร (Committee0f Sponsoring Organizations of the Tread way Commission (COSO, อ้างถงึ ใน ดวงใจ ช่วยตระกูล,2551: 45-46) ได้แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. ความเสีย่ งด้านกลยุทธ์ (Strategic risk)2. ความเส่ียงด้านการดาเนินงาน (Operational risk) 3. ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial risk)4. ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ (Compliance risk) ซ่ึงสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของดวงใจ ช่วยตระกูล (2551: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การบรหิ ารความเสย่ี งในสถานศึกษาระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พบว่า ปัจจัยความเสี่ยงในสถานศึกษาระดับการศึกษาระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานประกอบด้วย 5 องค์ประกอบคือ ด้านการเรียนการสอน ด้านการเงิน ด้านความม่ันใจทางการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการบริหารจัดการความปลอดภัย โดยปัจจัยความเส่ยี งของสถานศกึ ษาในเมือง นอกเมืองและในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน แนวทางการบรหิ ารความเส่ียงในสถานศึกษาระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพบว่าปัจจัยความเสี่ยงด้านการเรียนการสอนค วรใช้วิธีการ

103บริหารความเส่ียง โดยการควบคุม และหามาตรการในการป้องกันความเส่ียงรวมไปถึงถ่ายโอนความเสี่ยง ปัจจัยความเสี่ยงด้านการเงินควรใช้วิธีการบริหารความเสี่ยงโดยการควบคุมและหามาตรการในการป้องกันความเส่ียง ปัจจัยความเสี่ยงด้านความม่ันใจทางการศึกษาควรใช้วิธีการควบคุมและหามาตรการในการป้องกันความเส่ียงรวมถึงการมีส่วนรว่ มของภาคีคือชุมชน ผู้ปกครองและผู้ประกอบการ ปัจจัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมควรใช้วิธีการบริหารความเสี่ยงโดยการควบคุมและหามาตรการในการป้องกันความเสี่ยงรวมไปถึงถ่ายโอนความเสี่ยง ปัจจัยความเส่ียงด้านการบริหารการจัดการความปลอดภัยควรใช้วิธีการควบคุมและหามาตรการในการป้องกันความเสี่ยงรวมไปถึงการมีส่วนร่วมของนักเรียน ผู้ปกครอง บุคลากรในสถานศึกษา ชุมชน คณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ท่ีเก่ียวข้องสูญเสีย และสอดคล้องกับ ธารชุดา อมรเพชรกุล (2546: บทคัดย่อ)ได้ศึกษางานวิจัยเร่ือง การพัฒนาระบบบริหารความเส่ียงในส่วนการพัสดุสานักบริหารแผนและการคลัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าความเสี่ยง แบ่งออกเป็น 8 ประเภท คือ 1) ความเส่ียงอันเนื่องมาจากการดาเนินงาน 2) ความเส่ียง อันเนื่องมาจากบุคลากร 3) ความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการเงิน 4) ความเสยี่ งอนั เน่อื งมาจากกลยุทธ์ การบรหิ ารงาน 5) ความเสี่ยงอันเนื่องมาจากสภาวะการแข่งขัน 6) ความเส่ียงจากคู่ค้าและลูกค้าและผู้ใช้บริการ 7) ความเส่ียงอันเนื่องมาจากกฎระเบียบกฎหมาย 8) ความเสี่ยงอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ การเมือง สอดคล้องกับแนวคิดของธร สนุ ทรายุทธ (2550: 18) ทวี่ า่ การทอี่ งค์กรต่างๆนากระบวนการบริหารความเส่ยี งมาใช้ จะช่วยเป็นหลกั ประกันในการดาเนินการต่างๆ ว่าจะมีการดาเนินการให้บรรลเุ ป้าหมายท่ีวางไว้หรือไม่ อย่างไรเนอ่ื งจากการบรหิ ารความเสี่ยงเปน็ ทศิ ทางการทานายอนาคตอย่างมีเหตผุ ลมหี ลกั การและหาวิถที างลดหรือป้องกันความเสียหายอันท่ีก่อขึน้ ในการทางานแต่ละข้ันตอนไว้ล่วงหน้า หรือเหตุการณ์ต่างๆท่ีไมค่ าดคดิ โอกาสที่จะประสบกับปญั หาน้อยกวา่ องค์กรอื่นๆ ที่ไม่มีการนากระบวนการบริหารความเส่ียงมาใช้ เพราะการที่ได้มีการตระเตรียมการ และต้ังมือรับเหตุการณ์ต่างๆอย่างเต็มท่ีไว้ล่วงหน้าในขณะที่องค์กรอ่ืนไม่มีการนาแนวคิดของกระบวนการบริหารความเสี่ยงมาใช้ เม่ือเกิดเหตุการณ์วกิ ฤตขน้ึ องคก์ รเหลา่ น้ันจะประสบกับปญั หาและความเสยี หายทต่ี ามมาโดยยากท่ีจะแก้ไข ดังนั้นการท่ีนากระบวนการบริหารความเส่ียง มาช่วยในการบริหารงาน จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆท่ีกาหนดไว้ และเปน็ การปอ้ งกันโอกาสท่ีจะเกดิ ความสญู เสยี สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาปทุมธานีเขต 1 (กลุ่มอานวยการ ฝ่ายเลขานุการ สพท.ปทุมธานี เขต 1, 2553: 2) ได้ให้ความเห็นว่าสถานศึกษาจะประสบความสาเร็จได้มากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับปัจจัยดังน้ี 1) ผบู้ ริหารระดับสงู ต้องให้การสนับสนุนมีส่วนร่วมในการถ่ายทอดนโยบายในการบรหิ ารความเสี่ยงขององค์กรมายังหน่วยงานระดับล่าง เห็นชอบให้มีการนาความเสีย่ งที่จะทาให้หน่วยงานไม่บรรลุผลสาเร็จในการปฏิบัติงานมาจัดทาแผนบริหารความเสี่ยง ตลอดจนกากับติดตามการดาเนินงานตามแผนบริหารความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด 2) การส่ือสารทาความเข้าใจกับ

104บุคลากรทุกระดับในองค์กร ให้มีความเข้าใจในทิศทางเดียวกันว่า การบริหารความเสี่ยงไม่ได้เป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงความผิดพลาดในการดาเนินงานขององค์กร แต่การบริหารความเส่ียงเป็นเครื่องมือท่ีจะช่วยให้องค์กรสามารถดาเนินงานได้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ 3) การสนับสนุนให้บุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมและมีเป้าหมายในการดาเนินการตามแผนบริหารความเส่ียงร่วมกัน4) นาการบริหารความเสีย่ งมาปฏบิ ัติอย่างทั่วทั้งองคก์ รในทุกๆกิจกรรมการปฏบิ ัติงาน โดยกระทาอย่างต่อเนื่อง และสม่าเสมอ 5) การเช่ือมโยงการบรหิ ารความเส่ียงเข้ากับโครงสร้างการปฏิบัติงานเดิม โดยถือการบริหารความเส่ียงเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานในทุกๆกิจกรรม ภายใต้ภารกิจทส่ี ่วนราชการรับผิดชอบ จากผลการวิจัยดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า การจัดการความเส่ียงมีความสาคัญอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารควรส่งเสริมให้มีการจัดการความเส่ียงตามกระบวนการจัดการความเสี่ยงเพ่ือเตรียมการป้องกัน หลีกเล่ียงภาวะคุกคาม ปัญหา อุปสรรคหรือความสูญเสียโอกาส ซ่ึงจะทาให้สถานศึกษาไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานศึกษา และเพ่ือช่วยในการตัดสินใจในการบริหารท่ีจะทาให้สถานศึกษาดาเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเปา้ หมายของสถานศึกษาท่ีไดว้ างไว้ ซึ่งจะทาให้เกดิ ประสิทธิผลสงู สดุ ของสถานศึกษา 2.2 ประสิทธิผลของสถำนศึกษำสังกัดสำนักงำนเขตพื้นท่ีกำรศึกษำในจังหวัดปทุมธำนีจากการวิจัยพบว่า ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ท้ังโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ ความสามารถในการปรับตัว ผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนความพึงพอใจในงาน ความมุ่งม่ันในชีวิต พบว่าอยู่ในระดับมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้บริหารมีความต้ังใจแน่วแน่ที่จะพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนให้มีประสิทธิผลสูงข้ึน ซ่ึงจะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากร การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ การใช้แหล่งเรียนรู้ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน และพฒั นาโรงเรียนใหเ้ ป็นแหลง่ เรยี นรู้ และการสร้างค่านิยมเจตคติทัศนคติท่ีดีในการรักและเทิดทูนสถาบัน การบรหิ ารโรงเรียนที่มีประสทิ ธิผลจะส่งผลถึงความสาเร็จของการบริหารงาน ซ่ึงมีองค์ประกอบต่างๆเป็นตัวบ่งชี้โดยยึดความสอดคล้องกับนโยบาย สภาพบริบทของโรงเรียน ปรับปรุง พัฒนาตนเองให้เป็นให้เป็นโรงเรียนที่ดีมีคุณภาพ ซึ่งการบริหารโรงเรียนทป่ี ระสบผลสาเร็จไดต้ อ้ งอาศัยแนวคิด ทฤษฎตี ่างๆเปน็ แนวทางในการดาเนินงาน ผ้บู ริหารและบุคลากรจะต้องมุ่งม่ัน ทุ่มเทในการปฏิบัติงานให้มีความชัดเจน โปร่งใส ถูกต้อง มีบรรยากาศของความเป็นสังคมแห่งการเรยี นรู้ สอดคล้องกับ อภวิ รรณา แกว้ เล็ก (2542: บทคัดย่อ)ได้ทาการวิจัยเรื่องภาวะผู้นาของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญ เขต 1ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ผูบ้ ริหารโรงเรียนใช้ภาวะผ้นู าแบบแลกเปลย่ี นและแบบเปลย่ี นสภาพอยู่ในระดับปานกลาง และใช้ภาวะผู้นาแบบแลกเปลีย่ นมากกว่าภาวะผูน้ าแบบเปลย่ี นสภาพ 2) ประสิทธผิ ลของ

105โรงเรียนมัธยมศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ภาวะผู้นาแบบแลกเปล่ียนส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน 2 มิติ คอื 1) ด้านความสามารถในการผลติ นักเรียนทีมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสูง 2) ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรยี นให้มีทัศนคติทางบวก ส่วนภาวะผนู้ าแบบเปลีย่ นสภาพส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน 4 มิติ คือ 1) ด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนทีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง 2) ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก3) ด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี4) ด้านความสามารถในการแก้ปัญหาในโรงเรียน อีกท้ังผลจากการวิจัยสอดคล้องกับงานวิจัยของนุชนรา รัตนศิรประภา (2543: 140) ได้ทาการวิจัย เรื่ององค์ประกอบของโรงเรียนท่ีส่งผลต่อประสทิ ธผิ ลโรงเรียนมัธยมศึกษา กรมสามัญ เขตการศึกษา 5 โดยใช้แนวคิดและทฤษฎีของ ฮอยและมสิ เกล (Hoy and Miskel) ซึง่ พิจารณาจากองค์ประกอบส่ปี ระการ มีรายละเอียดดังนี้ 1) ความสามารถในการปรับตัว (Adaptabiliy) 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Achievement) 3) ความพึงพอใจในงาน(Job Satisfaction) 4) ความมุ่งมั่นในชีวิต (Central life Interest) พบว่า ประสิทธผิ ลของโรงเรยี นด้านความสามารถในการปรับตัว ความพึงพอใจและความมุ่งม่ันในชีวิตอยู่ในเกณฑ์ดี ดังที่ ฮอย และมิสเกล (Hoy, and Miskel, 2001: 305 – 306 citing Mott. 1972) ได้เสนอการประเมินประสิทธผิ ลองค์การโดยพิจารณาจากความสามารถ 4 ประการ ได้ดังน้ี 1.ความสามารถในการปรับตัว2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 3. ความพึงพอใจในงาน 4. ความมุ่งมน่ั ในชีวติ ดา้ นความสามารถในการปรบั ตัว จากผลการวจิ ัย พบวา่ ระดับประสทิ ธิผลของสถานศึกษาสงั กัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ด้านความสามารถในการปรับตัว โดยรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะ ครูและบุคลากรสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงได้ ครูและบุคลากรในสถานศึกษามีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงานในหน้าท่ีให้บรรลุวิสัยทัศน์และพันธกิจของสถานศึกษา มีการปรับเปล่ียนการบริหารงานโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดาเนินงานของสถานศึกษา สอดคล้องกับแนวคิดของ พักตร์สรสริ บุณยภัค (2548: 65) ท่ีว่าความสามารถขององค์การท่ีจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงท้ังภายในและภายนอกองค์การในฐานะที่โรงเรียนเป็นองค์การท่ีมีลักษณะเป็นระบบเปิดจึงต้องพร้อ มรับการเปลี่ยนแปลง หรือการปรับเปล่ียนเพ่ือให้องค์การอยู่รอดโดยต้องพัฒนาองค์การให้สามารถทาหน้าที่และดาเนินการต่อไปอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับ กิบสัน (1973: 112) ได้สร้างแบบจาลองเพื่อเป็นเกณฑ์ในการวัดประสิทธิผลในระยะกลางซึ่งหมายความรวมไปถึงความสามารถของฝา่ ยบรหิ ารขององคก์ ารในอันทจ่ี ะรับรู้ถึงการเปลีย่ นแปลงท่จี ะเกดิ ข้นึ ในสภาพแวดล้อมที่พอๆกับที่เกดขน้ึ ภายในองคก์ าร ความไม่มีประสิทธิผลในการบรรลถุ ึงการผลติ ประสทิ ธิภาพและความพอใจอาจเปน็ สัญญาณวา่ มคี วามจาเป็นตอ้ งปรบั หรือดดั แปลงการปฏิบตั กิ ารในด้านการบริหารและนโยบายให้เหมาะสม หรอื สภาพแวดล้อมจากการเรียกร้องผลผลติ ซึ่งแตกต่างกัน หรือให้ตัวป้อนซ่งึ แตกต่าง

106ไปจากเดิมซึ่งก่อให้เกิดความจาเป็นท่ีจะต้องเปล่ียนแปลง หากองค์การไม่สามารถหรือไม่ปรับตัวความอยู่รอดขององค์การก็จะอันตราย ดังน้ันความสามารถในการปรับตัวจึงเป็นเรื่องสาคัญเร่ืองอีกเร่อื งหนึ่งท่จี ะทาใหเ้ กิดประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษา ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลการวิจัยพบว่าระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ด้านผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น โดยรวมอยู่ในระดับมาก อาจเป็นเพราะ สถานศึกษาจัดกิจกรรมอย่างหลากหลายเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนให้สูงขน้ึ อย่างสม่าเสมอ นักเรียนส่วนใหญ่มีสุขภาพร่างกายแขง็ แรง และสุขภาพจิตดี มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรม เหมาะสมกับวัย นักเรยี นร้จู ักศึกษาคน้ คว้าหาความรู้และพัฒนาตนเอง มีความรบั ผิดชอบต่อการเรียนของตนเองสูง ส่วนสาคัญอีกประการหน่ึงที่บ่งบอกถึงประสิทธิผลของสถานศึกษาต้องพิจารณาหลายๆด้ านเช่น ด้านผู้เรียน ด้านผู้สอน ด้านห ลักสูตร ด้านผู้บริหารสอดคลอ้ งกับ เฟนเซล และ โอ’เบรนเนน (Fenzel and O’Brennan, อ้างถงึ ใน ดวงใจ ช่วยตระกูล,2551: 95) ได้ศึกษาวิจัยเร่ืองการศึกษาความเสี่ยงของเด็กชาวอเมริกัน ท่ีอาศัยอยู่ในแอฟริกาต่อบรรยากาศแรงจูงใจและผลสัมฤทธ์ิทางวิชาการที่มีผลต่อโรงเรียน การวิจัยเก่ียวกับกระบวนการที่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยบรรยากาศ ในโรงเรียนกับแรงจูงใจและการดาเนินการทางวิชาการเป็นสิ่งเปราะบางโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาที่อยู่ในเขตพ้ืนที่เสี่ยง โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นเด็กนักเรียนช้ันประถมศึกษาตอนปลายชาวอเมริกันในแอฟริกาจานวน 282 ผลการศึกษาพบว่า เป็นไปตามสมมติฐาน ข้อมูลจากการวิจัยสนับสนุนโมเดลที่กาหนดและเสนอแนะถึงความสาคญั ของสง่ิ แวดลอ้ มของโรงเรียน ซึ่งนักเรยี นเห็นว่าเป็นส่งิ ท่ีดี น่าสนุกและเพลิดเพลนิ ใจ และควรมขี อ้ ตกลงทางวิชาการระหว่างนักเรยี นท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีเสย่ี งด้วย ผลการวิจัยดังกลา่ วมคี วามสาคญั ตอ่ บทบาทของครูในการสร้างบรรยากาศเช่นเดียวกนั ความพึงพอใจในงาน ผลการวิจัยพบว่า ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาในจงั หวัดปทุมธานี ด้านความพึงพอใจในงาน โดยรวมอยู่ในระดับมากทั้งนี้อาจเป็นเพราะ สถานศึกษาสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทุกคนมีโอกาสก้าวหน้าในตาแหน่งหน้าท่ี ครูและบุคลากร มีความภาคภูมิใจกับผลการปฏิบัติงานร่วมกัน ครูและบุคลากร ส่วนใหญ่มีผลงานวิจัยหรือนวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาสถานศึกษา การที่บุคคลในสถานศึกษายอมรับนโยบาย มาตรการ และข้อตกลงร่วมกันในการปฏิบัติงานของสถานศึกษา และเป็นที่ยอมรับของทุกคนในหน่วยงาน มีการปรับปรุงพัฒนาวิธีการพัฒนาสถานศึกษาใหม่ๆร่วมกัน มีความภาคภูมิใจกับผลการพัฒนา การเปล่ียนแปลง มีระบบการส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคลากรมีโอกาสในการปฏิบัติงานร่วมกัน โดยทุกคนมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน สอดคล้องกับแนวคิดของบลัมและเนเลอร์ (Bium and Nayler, 1968: 364) ที่ว่า ความพึงพอใจในการทางานคือ ผลรวมของทัศนคติตา่ งๆแสดงออกโดยผปู้ ฏิบัติงาน ทัศนคติเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับงานที่ปฏบิ ัติและเกี่ยวขอ้ ง

107กับปัจจัยต่างๆ เช่น คา่ จ้าง ความม่ันคง สภาพการทางาน โอกาสความก้าวหน้า การได้ยอมรับนับถือความยุตธิ รรม ความสัมพันธท์ างสงั คม การไดร้ ับการดูแลเอาใจใสแ่ ละความยุติ ด้านความมุ่งม่ันในชีวิต ผลการวิจัยพบว่า ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ด้านความมุ่งม่ันในชีวิต โดยรวมอยู่ในระดับมากอาจเป็นเพราะว่า ครูและบุคลากร เต็มใจเข้ารับการพัฒนาความรู้ ความสามารถเพ่ือเพิ่มศักยภาพในการทางาน สถานศึกษามีการวางแผนการพัฒนาครูและบุคลากร ครูและบุคลากรในสถานศึกษาตระหนักว่าภาระหน้าท่ีส่วนตนจะส่งผลกระทบต่องานส่วนรวม และอีกปัจจัยคือ ครูและบุคลากรของสถานศึกษาตั้งใจปฏิบัติงานอย่างทุ่มเทและอุทิศเวลา การที่บุคคลทุ่มเทอุทิศเวลาในการทางานให้ประสบผลสาเร็จโดยมีความมุ่งม่ัน ตั้งใจ เอาใจใส่ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังอดทนต่อความยากลาบาก อดทนต่ออุปสรรคต่างๆจนเป็นผลให้งานประสบผลสาเร็จอย่างดีงาม สอดคล้องกับโกวิท ประวาลพฤกษ์ (2538: 56-57 อ้างถึงใน พรสุณีย์ หงษ์ลอย 2550: 50) มีแนวคิดเก่ียวกับความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน 8 ประการ คือ 1) การริเร่ิม พยายามปรับปรุงงานให้เร็วและดีย่ิงข้ึน2) นิยามการใช้นวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ต้องคดิ หาทางแก้ปัญหาให้รอบคอบ แล้วจึงลงมือเพื่อลดและแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) มีความขยัน ทางานอยู่ตลอดเวลา ไม่หนีงานไม่หยุดงานบ่อย 4) การมุ่งมั่นในผลสาเร็จ ไม่ละเลยท้ิงงานกลางคัน 5) การปรับปรุงได้ไม่จากัดอยู่เพียงงานเดียวหรือวิธีเดียว สามารถปรับตัวเข้ากับวิธีการใหม่และยอมรบั วิธีการที่ดีกว่า 6) ภาคภูมิใจในผลงานคือทางานเพื่อผลงาน มิใช่ทางานเพ่ือรางวัล 7) การร่มมือทางานร่วมกับผู้อื่น ทางานเป็นทมี และ 8) การตรงตอ่ เวลาไม่เข้างานช้า ไม่เลิกงานก่อนกาหนด นดั หมายตรงเวลา จากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารผู้บริหารมีความต้ังใจแน่วแน่ท่ีจะพัฒนาคณุ ภาพของโรงเรียนให้มีประสิทธิผลสูงข้ึน ซ่ึงจะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากร การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ การใช้แหล่งเรียนรู้ท้ังในโรงเรียนและนอกโรงเรียน และพัฒนาโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ และการสร้างค่านิยมเจตคติ ทัศนคติท่ีดีในการรักและเทิดทูนสถาบนั การบริหารโรงเรยี นทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ลจะส่งผลถึงความสาเรจ็ ของการบริหารงาน 2.3 ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงกำรจดั กำรควำมเสยี่ งกบั ประสทิ ธิผลของสถำนศึกษำ สังกัดสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำในจังหวัดปทุมธำนี ผลจากการวิจัยพบว่า มีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับปานกลางซ่ึงไปในทิศทางบวก ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะ ในปัจจุบันสถานศึกษาได้นาแนวคิดและหลักการจัดการความเสี่ยงมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา ไม่ค่อยเด่นชัดนัก อาจเน่ืองมาจากหลายสาเหตุ ดังท่ีสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาปทุมธานีได้แสดงถึงปัจจัยแห่งความล้มเหลวในการบริหารความเสย่ี งของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาปทุมธานี(กลุ่มอานวยการ ฝ่ายเลขานุการ สพท.ปทุมธานีเขต 1, 2553: 3) ไว้ดังน้ี 1) ผูบ้ รหิ ารไม่ให้การสนับสนุน โดยมีความเขา้ ใจว่าการบริหารความเส่ยี ง

108เป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงความผิดพลาดการบริหารงานขององค์กร และไม่ยอมรับท่ีจะนาความเสี่ยงท่ีแท้จริงของหน่วยงานมาไว้ในแผนบริหารความเส่ียง 2) ขาดการสื่อสารท่ีดี บุคลากรในองค์กรมีความรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยงเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับการจัดทาระบบบริหารความเส่ียง โดยไม่มีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการจัดทาระบบบริหารความเสี่ยงให้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับในหน่วยงานทาใหบ้ คุ ลากรขององคก์ รไมเ่ ข้าใจว่าการบรหิ ารความเส่ียงมีสว่ นช่วยให้องคก์ รบรรลุผลสาเรจ็ ในการปฏิบัติงาน จึงไม่ให้ความสาคัญและมีความคดิ ว่าการบรหิ ารความเสี่ยงเป็นเรอื่ งน่าเบื่อหน่วย 3) ผมู้ ีหน้าท่ีประเมินความเสี่ยง ไม่ได้วิเคราะห์ความเสี่ยงของหน่วยงานตามความเป็นจริงโดยมีความเห็นว่าหน่วยงานของตนไม่มีความเส่ียงจึงประเมินความเส่ียงโดยให้คะแนนอยู่ในระดับต่าทาให้ความเส่ียงของหน่วยงานไม่ต้องนามาจัดทาแผนบริหารความเส่ียงของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาปทุมธานี 4) การบรหิ ารความเสย่ี งไมส่ ามารถดาเนนิ การไดท้ ่วั ท้ังองค์กร ทาให้บุคลากรในองค์กรไม่เห็นถึงประสิทธิผลของการบริหารความเส่ียงว่ามีส่วนให้องค์กรบรรลุผลสาเร็จได้อย่างไร ดังนั้นสถานศึกษาจึงจาเป็นต้องนากระบวนการจัดการความเสี่ยงมาใช้ในการบรหิ ารสถานศึกษาเพื่อให้เกิดประสทิ ธิผลของสถานศึกษา ซงึ่ สอดคล้องกับงานวิจัยของปวีณา พุ่มพวง (2551: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างการบริหารจัดการสถานศึกษาแบบธรรมาภิบาลกับประสิทธผิ ลของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจันทบุรี เขต 1 พบว่า การบริหารจัดการสถานศึกษาแบบธรรมาภิบาล โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงจากคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย3 อันดับแรก คือด้านหลกั คุณธรรม ด้านหลกั ความสานึก รับผิดชอบ และ ด้านหลกั ความโปรง่ ใสประสิทธผิ ลของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงจากคะแนนเฉล่ยี จากมากไปหาน้อย 3 อันดับแรก คอื ความสามารถในการพัฒนาทัศนคติทางบวกของนักเรยี น ความสามารถในการแก้ปัญหาในโรงเรยี นและความสามารถในการปรับเปลย่ี นและการพัฒนาให้เขา้ กับสิ่งแวดลอ้ มการบริหารจัดการสถานศึกษาแบบธรรมาภิบาล และประสิทธิผลของสถานศึกษา จาแนกตามขนาดของสถานศึกษา และประเภทของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถติ ิ การบริหารจัดการสถานศึกษาแบบธรรมาภิบาลของผูบ้ ริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสทิ ธิผลของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามผู้บรหิ ารมีภารกิจหน้าทีท่ีจะต้องนาพาสถานศึกษาให้บรรลุผล คือเกิดภาพแห่งความสาเร็จท้ังประสิทธิภาพและประสทิ ธิผล โดยการประสานสัมพนั ธ์องคป์ ระกอบต่างๆที่เก่ียวขอ้ งมีการวางแผนการบรหิ ารที่ดีการสร้างทีมงาน บุคลากรเต็มใจท่ีจะทางาน การบริหารงานท่ีมีประสิทธิภาพสงู คอื การบริหารงานท่ีได้ทั้งงาน และไดท้ งั้ นา้ ใจคน จากผลการวิจัยดังกลา่ ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า การจัดการความเส่ียงด้านกลยุทธ์ ความเสีย่ งด้านการดาเนินงาน ความเสี่ยงด้านการเงิน และความเส่ียงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบต่างๆมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารควรส่งเสริมการปฏิบัติงานของ

109บุคคลากร มีการพัฒนาหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เกิดประสิทธิผลแก่สถานศึกษา ทั้งทางด้านกลยุทธ์ นโยบาย แผนงาน พันธกิจ ยุทธศาสตร์ของสถานศึกษา และการดาเนินงาน ด้านต่างๆ เช่นการแนะแนว การประกันคุณภาพ งานธุรการ ผู้บริหารควรส่งเสริมการจัดทาหลักสูตร การใช้หลักสูตร การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การทาวิจัยในชั้นเรียน การส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาด้านการเงิน ควรบริหารงานด้วยความถูกต้อง โปร่งใสเป็นปัจจุบัน สามารถตรวจสอบได้ ด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบต่างๆ ให้ความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย บริหารด้วยความยุติธรรม ที่สาคัญคือสร้างความตระหนักให้แก่บุคลากรได้เห็นคณุ ค่าและเกดิ ความรสู้ ึกรกั และเป็นเจา้ ของสถาบัน 2.4 กำรจดั กำรควำมเส่ียงส่งผลต่อประสิทธิผลของสถำนศึกษำ สังกัดสำนักงำนเขตพื้นท่ีกำรศึกษำในจังหวัดปทุมธำนี จากการวิจัยพบว่า มีปัจจัยเส่ียง 2 ด้าน ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศกึ ษา คือ ด้านการดาเนนิ งาน และเส่ยี งด้านการปฏิบัตติ ามกฎหมาย/กฎระเบยี บ การจัดการความเส่ียงด้านการดาเนินงานส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี อาจเป็นเพราะว่า สถานศึกษามีระบบงานภายในองคก์ ารท่ีดี มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ใช้อย่างเหมาะสม บุคลากรร่วมมือกันในการทางาน และมีการตรวจสอบภายในสถานศกึ ษา การจัดการความเส่ียงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี อาจเป็นเพราะว่า บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ/กฎหมายและระเบียบวินัย บุคลากรรับรู้การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ/มาตรการ/ขอ้ กาหนดจากตน้ สังกัด มแี นวทางในการปอ้ งกันเหตุท่ีจะเกดิ ขึ้นเกย่ี วกบั สอดคล้องกับ สุกิจ กรีเจริญ (2552: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อความเส่ียงในการบริหารโรงเรียน กวดวิชา พบว่า ปัจจัยบุคคลในด้าน อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ทางานด้านการบริหารโรงเรียนกวดวิชาต่างกันไม่มีผลต่อปัจจัยเสี่ยงในการบรหิ ารโรงเรียนกวดวิชาแตกต่างกัน เมื่อวิเคราะห์ระดับการบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การบริหารทรัพยากรมนุษย์การบริหารการเงิน การบริหารนวัตกรรมเทคโนโลยี และ การบริหารงานวิชาการ โดยภาพรวมแล้วมีระดับปฏิบัติปานกลาง โดยพบว่า ระดับปฏิบัติการบริหารการเงินและการบริหารนวัตกรรมเทคโนโลยี อยู่ในระดับปานกลาง เม่ือวิเคราะห์ปัจจัยการบริหารต่างกันมีผลต่อปัจจัยเส่ียงในการบริหารโรงเรียนกวดวิชาแตกต่างกัน หรือไม่ พบว่า ปัจจัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การบริหารการเงิน การบริหารนวัตกรรมเทคโนโลยี และการบริหารงานวิชาการ ต่างกันมีผลต่อปัจจัยเส่ียงในการบริหารโรงเรียนกวดวิชาแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามการนาระบบการจัดการความเสี่ยงมาใช้ในสถานศึกษาจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ด้านต่างมากมาย เช่น บุคลากรมีความเข้าใจในการทางานมากขึ้น มีการทางานท่ีเป็นระบบ ทาให้ทราบถึงปัญหาล่วงหน้าท่ีจะเกิดข้ึนเตรียมหาวิธีการป้องกัน

110แก้ไข ช่วยลดโอกาสท่ีจะสูญเสีย ใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนมีความมั่นใจในการเรียน ครูและบุคลากรมีความมั่นใจในการปฏิบัติงาน สถานศึกษาก็จะสามารถดาเนินการให้เกดิ ประสทิ ธผิ ลได้อย่างยงั่ ยืน จากผลการวิจัยเรื่องการจัดการความเส่ียงที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มประสิทธิผลของสถานศึกษาคือ ด้านการดาเนินงาน และเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ ผู้บริหารสถานศึกษาควร ส่งเสริมด้านการดาเนินงานของบุคคลากรทั้งทางด้านการจัดการเรียนการสอน การจัดทาหลักสูตร การสอน การประกันคุณภาพการศึกษาการวิจัยในช้ันเรียน และงานอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย มีการให้ความร้คู วามเข้าใจ ให้ขวัญกาลังใจแก่บุคลากร มีกากับติดตามอย่างต่อเน่ือง และให้ความรู้ทางด้านกฎหมาย / กฎระเบียบ วินัย มาตรการ ข้อกาหนดต่างๆ ซ่ึงจะเป็นผลดีต่อการเพ่ิมประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา

1113. ขอ้ เสนอแนะ การวิจัยเรอ่ื งการจดั การความเส่ียงส่งผลตอ่ ประสทิ ธิผลของสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี ผวู้ ิจยั มขี ้อเสนอแนะดังน้ี 3.1 ขอ้ เสนอแนะในกำรนำผลกำรวิจัยไปใช้ 3.1.1 ควรจัดอบรมเรื่องการจดั การความเสย่ี งแกค่ รูและผู้บริหารเพอ่ื ใหต้ ระหนักถงึความสาคัญและเพ่มิ ความรู้ ทักษะในการจดั การความเสยี่ ง 3.1.2 ผ้บู ริหารและครคู วรวางแผนจดั ทากลยุทธใ์ นการดาเนนิ การจดั การความเสยี่ งรว่ มกนั เพอ่ื ครแู ละบุคคลากรจะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้ประสบผลสาเร็จ 3.1.3 ผูบ้ รหิ ารและครูควรศึกษา กฎระเบยี บ/ขอ้ ปฏิบตั ติ า่ งๆที่เกย่ี วขอ้ งกับการจัดการความเสีย่ งใหเ้ ข้าใจ เพอื่ เปน็ แนวทางที่เพอ่ื ผู้ปฏบิ ัตจิ ะได้ปฏบิ ัติงาน ถูกระเบียบแบบแผน 3.2 ขอ้ เสนอแนะในกำรทำวจิ ัยคร้ังตอ่ ไป 3.2.1 ควรศกึ ษาปัจจยั ในการจดั การความเส่ยี ง อน่ื ๆ เช่น ความเสีย่ งด้านความปลอดภยั ความเส่ยี งด้านการทจุ รติ ความเสีย่ งดา้ นเทคโนโลย/ี การสอื่ สาร ฯลฯ สง่ ผลตอ่ ประสทิ ธิผลของสถานศึกษา 3.2.2 ควรศึกษากระบวนการจดั การความเสี่ยงทสี่ ่งผลตอ่ ประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา 3.2.3 ควรศึกษาการหลีกเลย่ี งหรือการปอ้ งกันความเสยี่ งที่สง่ ผลต่อประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา 3.2.4 ควรศึกษาประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนตามแนวคิดของนักวิชาการทา่ นอ่นื ๆ เช่นแนวคดิ ของ มอทท์ (Mott) แนวคดิ ของพาร์สนั (Parson) เพราะเป็นการวัดประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษาจากตัวบง่ ชี้อน่ื ๆ ท่จี ะทาใหเ้ กิดประสทิ ธิผลของสถานศกึ ษา

112 บรรณำนกุ รมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ( 2547 ) คู่มือจดั ทำระบบบริหำรควำมเส่ียง การนิคมอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย : ถ่ายเอกสาร.กิตตพิ นั ธ์ คงสวัสด์เิ กยี รติ ( 2554 ) กำรจดั กำรควำมเสยี่ งและตรำสำรอนุพนั ธ์เบื้องตน้ พิมพ์ครง้ั ท่ี 4 กรงุ เทพมหานคร : เพยี รส์ นั เอ็ดดูเคช่นั อินโดไชน่า.กลมุ่ อานวยการฝา่ ยเลขานกุ าร สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาปทุมธานี เขต 1(2553 ) แนวทำงกำรจดั ทำ ระบบบรหิ ำรควำมเสีย่ ง ของสำนกั งำนเขต พืน้ ทกี่ ำรศึกษำปทุมธำนี เขต 1 : ถ่ายเอกสาร.กลุ่มนเิ ทศนิตามและประเมนิ ผลการจัดการศึกษา สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาปทุมธานี เขต 2 ( 2552 ) รำยงำนผลกำรดำเนนิ งำนพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำปีงบประมำณ 2552 สำนักงำน เขตพนื้ ทกี่ ำรศึกษำปทุมธำนี เขต 2 กรุงเทพมหานคร : จามจุรีโปรดักท.์เจนเนตร มณีนาค ( 2548 ) กำรบริหำรควำมเสยี่ งระดับองค์กรจำกหลกั กำรสภู่ ำคปฏบิ ัติ กรุงเทพมหานคร : บริษัท ไฟนอล การพมิ พ์ จากดั .เจริญ เจษฎาวลั ย์ ( 2546 ) กำรบริหำรควำมเสยี่ ง กรุงเทพมหานคร : บริษัทพอดี จากัด.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ( 2550 ) เอกสำรประกอบกำรประชุมกำรบรหิ ำรควำมเสยี่ งและวำงระบบกำร ควบคุมภำยในจุฬำลงกรณม์ หำวิทยำลยั เมษายน.ชยั เสฏฐ์ พรหมศรี ( 2550 ) กำรบริหำรควำมเสี่ยง กรงุ เทพมหานคร: บริษทั ออฟเซท็ ครีเอช่ัน จากดั .ชูศรี วงศร์ ัตนะ. ( 2544 ) เทคนคิ กำรใช้สถติ ิเพ่ือกำรวิจยั . พิมพ์ครัง้ ท่ี 8 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.ธารชุดา อมรเพชรกลุ ( 2546 ) กำรพัฒนำระบบบรหิ ำรควำมเสีย่ งในส่วนกำรพัสดุ สำนกั บรหิ ำร แผน และกำรคลงั จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั วิทยานพิ นธป์ ริญญาวศิ วกรรมศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวชิ าวิศวกรรมอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั .ธารงศกั ดิ์ คงคาสวสั ด์ิ ( 2551 ) กำรบรหิ ำรควำมเสยี่ งดำ้ น HR กรุงเทพมหานคร : สมาคมส่งเสรมิ เทคโนโลยี (ไทย-ญ่ีปนุ่ ).ธร สนุ ทรายทุ ธ ( 2550 ) กำรบริหำรควำมเสย่ี งทำงกำรศกึ ษำ กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั เนตกิ ลุ การพิมพจ์ ากดั .

113ดวงใจ ชว่ ยตระกูล ( 2551 ) กำรบรหิ ำรควำมเสีย่ งในสถำนศกึ ษำระดบั กำรศกึ ษำขนั้ พ้นื ฐำน ดษุ ฎีนิพนธป์ ริญญาดุษฎีบณั ฑติ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษาภาควิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.ตลาดหลักทรพั ยแ์ หง่ ประเทศไทย ( 2546 ) ค่มู ือระบบกำรควบคมุ ภำยใน กรงุ เทพมหานคร : ตลาด หลักทรพั ยแ์ ห่งประเทศไทย.นงนภสั เทยี่ งกมล ( มปป. ) กำรบรหิ ำรยคุ โลกำภิวตั น์ กรงุ เทพมหานคร : แสงชยั การพมิ พ์ .นฤมล สะอาดโฉม ( 2550 ) กำรบริหำรควำมเส่ียงองค์กร กรุงเทพมหานคร : บริษัท ฐานการพมิ พ์ จากัด.นุชนรา รตั นศิระประภา (2543) องคป์ ระกอบโรงเรยี นท่ีส่งผลตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรยี น มธั ยมศกึ ษำ กรมสำมญั ศกึ ษำ เขตกำรศกึ ษำ 5 วทิ ยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัญฑติ สาขาการบรหิ ารการศึกษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปกร.นคิ ม กนั ตะคะนนั ท์ ( 2548 ) ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งคณุ ภำพชวี ิตกำรทำงำนของขำ้ รำชกำรครูกบั ประสทิ ธผิ ลโรงเรยี นประถมศกึ ษำ สงั กดั สำนกั งำนเขตพ้ืนท่กี ำรศกึ ษำชลบรุ ี เขต 3 . วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยบรู พา.บุญชม ศรสี ะอาด (2545) พิมพ์คร้งั ที่ 7 กำรวจิ ยั เบอื้ งต้น(ฉบบั ปรบั ปรงุ ใหม่) กรงุ เทพมหานคร: สุวีรยิ าสาส์น.ปราชญา กลา้ ผจัญ ( 2551 ) กำรบรหิ ำรควำมเส่ียง กรุงเทพมหานคร : ปราชญา พับบลิชชิง่ .ประกอบ กลุ เกลย้ี ง ( 2550 ) รูปแบบกำรบรหิ ำรควำมเสยี่ งเพ่อื ป้องกันคอรปั ชนั่ ในสถำนศกึ ษำขั้น พ้ืนฐำน วทิ ยานิพนธ์ดุษฏบี ัณฑติ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร.ปวณี า พุ่มพวง ( 2551 ) ควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงกำรบริหำรจดั กำรสถำนศึกษำแบบธรรมำภิบำลกบั ประสทิ ธผิ ลของสถำนศึกษำ สงั กดั สำนกั งำนเขตพน้ื ทกี่ ำรศึกษำจนั ทบรุ ี เขต 1 วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั บูรพา.ปาลกิ า นิธปิ ระเสรฐิ กลุ ( 2547) ปัจจยั ภำวะผู้นำและองคก์ ำรแห่งกำรเรียนร้ทู ่ีสง่ ผลตอ่ ประสิทธิผล ของโรงเรยี นประถมศกึ ษำ สังกัดสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขนั้ พน้ื ฐำน ในเขต พัฒนำ พนื้ ทช่ี ำยฝง่ั ทะเลตะวนั ออก วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั บรู พา.พรชยั เชอื้ ชชู าติ (2546) ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งวฒั นธรรมองค์กำรโรงเรียนกบั ประสทิ ธิผลของ โรงเรียนเทศบำล ในเขตพื้นทชี่ ำยฝ่ังทะเลภำคตะวนั ออก วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยบรู พา.

114พรสณุ ี หงษล์ อย (2550) กำรบรหิ ำรงำนตำมแผนยทุ ธศำสตรก์ ำรพฒั นำระบบรำชกำรไทย/ ประสิทธิผลของสถำนศกึ ษำ วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญามหาบัญฑติ ภาควชิ าการบรหิ าร การศึกษา บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.พกั ตร์สร สิรบณุ ยภคั (2548) คณุ ภำพภำวะผูน้ ำทสี่ มั พนั ธก์ บั ประสทิ ธผิ ลของสถำนศกึ ษำสงั กัด เทศบำลจงั หวัดนนทบรุ ี วิทยานพิ นธ์ ปรญิ ญามหาบัญฑติ ภาควชิ าการบรหิ าร การศึกษา บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.พิทยา บวรวฒั นา ( 2541 ) กำรบริหำรงำนบคุ คลแผนใหม่ พิมพ์คร้งั ท่ี 4 กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .ภัคทพิ พา ศรสี ว่าง ( 2551 ) ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงแรงจงู ใจในกำรปฏบิ ัตงิ ำนกับคณุ ภำพชีวติ ในกำร ทำงำนของขำ้ รำชกำรครูในอำเภอหำงแมว สังกดั สำนักงำนเขตพื้นทีก่ ำรศึกษำจนั ทบุรีเขต 1 วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศกึ ษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยบูรพา.ภารดี อนันตน์ าวี ( 2545 ) ปัจจัยที่ส่งผลตอ่ ประสทิ ธผิ ลของโรงเรียนประถมศกึ ษำ สงั กัด คณะกรรมกำรกำรประถมศกึ ษำแหง่ ชำติ วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศกึ ษา บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั บูรพา.ลัดดา ผลวฒั นะ ( 2547 ) กำรพัฒนำระบบกำรบรหิ ำรแบบมีส่วนรว่ มทีม่ ปี ระสทิ ธิภำพของ สถำนศึกษำขน้ั พนื้ ฐำน ระดบั มัธยมศกึ ษำ วิทยานิพนธ์ กศ.ด. สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั บรู พา.วฒั นา สุนทรธยั ( 2553 ) ควำมคลำดเคลอ่ื นมำตรฐำนในกำรวดั คำ่ Standard Error of Measurement: SEM ( Online ).Accessed 22 November 2553 http://tulip.bu.ac.th/~wathna.s/reliability .htm.วนั เพญ็ กฤตผล ( 2550 ) เอกสำรประกอบกำรเสวนำบริหำรจดั กำรควำมเส่ียงของจุฬำลงกรณ์ มหำวทิ ยำลยั 3 พฤษภาคม 2550 .สงวน ชา้ งฉัตร ( 2547 ) กำรบริหำรควำมเสย่ี งของโครงกำร คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลัย ราชภฎั พบิ ลู สงคราม (Online ).Accessed 28 March 2011 . Available from http:// www.psru.ac.th/research.phpสถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนอื กำรบริหำรควำมเส่ียง ฉบับที่ 165 ปกั ษแ์ รก เมษายน 2551.

115สนน่ั เถาชารี (2553) แนวทำงปฏบิ ตั ิสคู่ วำมเป็นเลศิ ในกำรบรหิ ำร จดั กำรควำมเสย่ี ง (Online ).Accessed 28 March 2011 . Available from http://www.thailandindustry.com/home/FeatureStory_preview.php?id= 11688&section=9สมชาย ไตรรตั นภิรมย์ ( 2549 ) กำรบริหำรควำมเส่ียง เอกสารประกอบการบรรยาย ( นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหดิ ล.สมั ฤทธิ์ กางเพ็ง (2551) ปจั จัยทำงกำรบรหิ ำรทีมีอิทธพิ ลต่อประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี น:กำรพฒั นำ และกำรตรวจสอบควำมตรงของตัวแบบ วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตร์ดุษฎบี ัณฑติ สาขาการบริหารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .สุกจิ กรเี จริญ (2552) กำรศึกษำปัจจยั ท่ีมีผลต่อควำมเส่ียงในกำรบริหำรโรงเรยี นกวดวิชำ วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัย นเรศวร.สดุ า บญุ เถือ่ น ( 2549 ) ควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำงพฤตกิ รรมกำรบริหำรกำรมสี ่วนร่วมของผู้บรหิ ำร สถำนศึกษำกับประสิทธิผลของสถำนศึกษำ สังกดั สำนกั งำนเขตพ้นื ท่ีกำรศึกษำสระแก้ว สารนิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยบูรพา.สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบขา้ ราชการ(สานักงาน ก.พ.ร.) ( 2552 ) คมู่ ือคำอธิบำยตวั ช้ีวัด กำรพัฒนำคณุ ภำพกำรบรหิ ำรจัดกำรภำครฐั ปีงบประมำณ พ.ศ. 2553 สำหรับสว่ น รำชกำรระดับกรม กรงุ เทพมหานคร.สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ( 2553 ) แผนบริหำรควำมเสยี่ งของสำนกั งำนปลัดกระทรวง ศกึ ษำธกิ ำร ถ่ายเอกสาร.สานกั งานเลขาธิการคุรุสภา ( 2549 ) ภำวะผู้นำทำงกำรศกึ ษำ, เอกสารการเรยี นรู้ โครงการพฒั นา วิชาชพี ผบู้ ริหารทางการศกึ ษาและผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาประจาการอภวิ รรณา แกว้ เล็ก ภำวะผนู้ ำของผู้บริหำรทสี่ ่งผลต่อประสทิ ธิผลของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษำ สังกัด กรมสำมัญศึกษำ เขตกำรศึกษำ 1 วิทยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบญั ฑติ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปกรอทุ ยั วรรณ โชชนื่ ( 2546 ) ปจั จัยที่สง่ ผลต่อประสทิ ธผิ ลของโรงเรียน สังกัดสำนักงำนกำร ประถมศึกษำจังหวัด ภำคตะวนั ออก วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศกึ ษา บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยบรู พา.อุทมุ พร จามรมาน (2535) หลักกำรวัดผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรยี น ในเอกสารการสอนวิชาการพฒั นา แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.

116อุษณีย์ รักซ้อน (2543) ควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งคณุ ภำพชวี ิตกำรทำงำนของครกู ับประสทิ ธผิ ล โรงเรียนประถมศกึ ษำ สงั กดั สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรประถมศกึ ษำแห่งชำติ เขต กำรศึกษำ 12 วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยบรู พา.อาภา ปยิ ารมย์ ( 2549 ) กำรศกึ ษำภำวะผนู้ ำกับประสทิ ธิผลของสถำนศึกษำ สงั กดั สำนักงำน คณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำน ในภำคตะวันออกวิทยานพิ นธ์ กศ.ม. สาขาการบริหาร การศกึ ษา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั บรู พา.Bennis (1989 ). Understanding the Marking-to-Model and Value- at – Risk. The Market Risk Amendment, 13 ( October 1989 ) : 254.Blum, Milton L., C.,James. Nayler, (1968) Industrial Psychology.New York: Harper and Row.Cronbach, Lee. J. (1990). Essentials of Psychological Test: 5thed. New York : Harper Collins.Gibson, Jame. L, John M. Ivancevich and James H. Donnelly. (1982). Organization: Behavior Structure, Process. 6thed. Plano, TX : Business Publication.George Westerman. ( 2006 ). “ IT Risk Management : From IT Necessity to Strategic Business Value”,Center for information systems research , Sloan School of Management ( December 2006 ) : 336.Good, Carter V. (1973) Dictionary of Education 2nded. New York: Mc Graw – Hill Book Company.Hoy, Wayne. K and Cecil G. Miskel. (2001 ). Educational Administration : Theory Research andPractice: 4thed. New York : Harper Collins.James Roth, Categorizing risk : Risk categories help users identify , understand, and monitor their organizations’potential risks – Risk Watch ( Online ) , accessed 27 October 2010 . Available from http : // findartictes. com/p/articles/mi_ m4153/is_2_59/ai_80514799.James S.Trieschmann , Robert E.Hoyt and David W.Sommer, “Risk Management and Insurance.” Newport News 15 ( January 2005 ) : 76 – 84.Krejcie, Robert. V. and Daryle W. Morgan. (1970). “Determining sample size for research activities,” Education and Psychological Measurement. 30(3).Dorfman, Mark S. ( 1997 ). Introduction to Risk Management and Insurance. (6 th ed), Prentice Hall.

117Mott, R. M. (1972). Organizational Effectiveness. Santa Monica, California : Good Year Publishing Co., Inc.Steers, Richard. M. (1977). Motivation and Work Behavior. New York : McGraw-Hill.

118ภาคผนวก

119 ภาคผนวก กรายชอ่ื ผทู้ รงคุณวุฒิ

120 รายช่อื ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ1. รศ.ดร.ประเสริฐ ปิน่ ปฐมรัฐ คณบดคี ณะครศุ าสตร์อตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี2. นายวนิ ยั ยงเขตรการณ์ รองผ้อู านวยการสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษา ปทุมธานี เขต 23. นายสมชาย สงั ขส์ ี ผอู้ านวยการโรงเรียนรวมราษฎร์สามัคคี สานักงานเขต พ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษา ปทุมธานี เขต 24. ผศ.ประนอม พันธไ์ สว หวั หน้าสาขาวชิ าวิจยั และประเมินผลทางการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บุรี5. นางสกุ ญั ญา บญุ ศรี อาจารยภ์ าควชิ าครศุ าสตร์อตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บุรี

121ภาคผนวก ขหนังสอื ราชการ

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132 ภาคผนวก คเครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจยั

133 แบบสอบถามเพ่ือการวจิ ยั เรอ่ื ง การจัดการความเสีย่ งที่สง่ ผลตอ่ ประสทิ ธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธานีคาช้ีแจงในการตอบแบบสอบถาม 1. แบบสอบถามนส้ี าหรับผู้บริหาร 1 ฉบับ และสาหรบั ครูผูร้ ับผิดชอบเร่อื งการจัดการความเสี่ยงของสถานศกึ ษา 1 ฉบับ จัดทาข้ึนโดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพอื่ ศึกษาการจัดการความเส่ยี งทสี่ ง่ ผลต่อประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาในจังหวดั ปทมุ ธานี 2. แบบสอบถามแบ่งออกเปน็ 3 ตอน ตอนท่ี 1 สอบถามเกีย่ วกับขอ้ มลู ทั่วไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 สอบถามเกย่ี วกบั การจัดการความเสยี่ งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานี ตอนที่ 3 สอบถามเกย่ี วกับประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กดั สานักงาน เขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานี 3. ผ้วู จิ ัยขอความกรณุ าผตู้ อบแบบสอบถาม ไดโ้ ปรดกรณุ าตอบแบบสอบถามให้ครบทกุ ขอ้ และตอบคาถามตามความเปน็ จริงซึ่งผลจากการวจิ ยั จะเป็นประโยชนอ์ ย่างยิง่ ตอ่ สถานศึกษานาไปเปน็ แนวทางในการปรบั ปรุงพัฒนาในการจดั การความเส่ียงในสถานศกึ ษาโอกาสตอ่ ไปคาตอบของทา่ นจะไม่มผี ลกระทบต่อการปฏบิ ัตงิ านแต่อยา่ งใด และจะนาไปใช้ในการวิจัยครั้งนี้เทา่ น้ัน 4. เม่ือตอบแบบสอบถามเสร็จแลว้ กรุณาพบั ใส่ซองท่แี นบมาพรอ้ มน้ีสง่ คนื ทางไปรษณียโ์ ดยผู้วจิ ัยไดจ้ า่ หนา้ ซองและตดิ ดวงตราไปรษณยี ากรไวเ้ รยี บร้อยแล้ว ผวู้ จิ ยั หวังเป็นอยา่ งย่งิ ว่าจะไดร้ บั ความอนุเคราะหจ์ ากท่านดว้ ยดี จงึ ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ นางณชั ธญิ า ปทั มทตั ตานนท์ นสิ ิตปริญญาโท สาขาเทคโนโลยีการบรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี

134 แบบสอบถามเร่ือง การจัดการความเสย่ี งทสี่ ่งผลตอ่ ประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดปทมุ ธานีตอนที่ 1 สภาพทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถามคาชแี้ จง จงทาเครื่องหมาย ลงในชอ่ งวา่ ง  เก่ยี วกับข้อมูลของทา่ น1. เพศ ชาย  หญงิ2. อายุ อายุ 21 - 30 ปี  อายุ 31 - 40 ปี อายุ 41 - 50 ปี  อายุ 50 ปี ข้ึนไป3. คณุ วุฒิทางการศึกษา  ปริญญาตรี  ปรญิ ญาโท  ปริญญาเอก4. ตาแหน่ง  ผูบ้ รหิ าร (ผอ./รองผอ.)  ครูผรู้ ับผดิ ชอบการจดั การความเสี่ยง5. ประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิงาน  1 - 5 ปี  6 - 10 ปี  11 - 15 ปี  15 ปี ขน้ึ ไป6. ทา่ นเคยไดเ้ ขา้ รบั อบรมการทางด้านการบรหิ ารสถานศึกษา หรือการจดั การความเส่ียงหรือไม่  ไม่เคย  เคย 1 ครงั้  เคย 2 – 4 ครั้ง  เคย 5 คร้ัง ขน้ึ ไป

135 ตอนที่ 2 การจดั การความเส่ียงของสถานศกึ ษาสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานีคาชีแ้ จง 1. โปรดทาเครอื่ งหมาย  ลงในช่องทแ่ี สดงถึงปัจจยั การจดั การความเส่ยี งของท่าน2. ระดับการปฏบิ ัติ มดี งั นี้5 หมายถงึ ระดับการปฏบิ ตั อิ ยู่ในระดบั มากทส่ี ุด4 หมายถึง ระดบั การปฏบิ ัตอิ ยูใ่ นระดบั มาก3 หมายถึง ระดบั การปฏบิ ัตอิ ยู่ในระดบั ปานกลาง2 หมายถึง ระดับการปฏบิ ตั อิ ยใู่ นระดบั น้อย1 หมายถึง ระดับการปฏบิ ตั อิ ยใู่ นระดบั น้อยทีส่ ุด การจดั การความเส่ยี ง ระดับการปฏบิ ัติขอ้ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย ทส่ี ุด กลาง ที่สุด 54321 1. ความเส่ยี งดา้ นกลยุทธ์1 การจดั ทาแผนพัฒนาสถานศึกษาสอดคล้องกบันโยบาย วสิ ยั ทัศน์ / พันธกจิ แผนกลยทุ ธ์ ของสถานศกึ ษา2 การดาเนินงานตรงกบั นโยบาย วสิ ยั ทัศน์ / พนั ธกิจแผนกลยทุ ธ์ ทกี่ าหนดไว้3 ติดตามผลการดาเนนิ งานตามนโยบาย วสิ ยั ทัศน์ /พนั ธกิจ แผนกลยุทธ์ อย่างต่อเนือ่ ง4 การวัดผลการดาเนนิ งานมีตวั ช้วี ดั ผลงานที่ครอบคลมุ และตรงประเด็นทีต่ ้องการวดั5 มีการปรบั ปรุงการดาเนนิ งานท่ไี มบ่ รรลุวัตถุประสงค์6 การเปล่ียนแปลงนโยบายของกระทรวงทาใหเ้ กิดความเสีย่ งในการปฏบิ ตั งิ าน7 ผ้บู รหิ ารมคี วามรู้ความสามารถในการบริหารนโยบาย วิสยั ทศั น์ / พนั ธกจิ แผนกลยทุ ธ์

136 การจดั การความเสีย่ ง ระดบั การปฏบิ ัติข้อ ของผบู้ ริหารสถานศึกษา มาก มาก ปาน น้อย น้อย ท่ีสุด กลาง ทส่ี ุด 54321 2. ความเสย่ี งดา้ นการดาเนนิ งาน1 การวิเคราะหห์ ลักสูตร2 การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง3 การจดั ทาแผนการเรียนรู้สอดคลอ้ งกบั หลักสตู รสถานศึกษาและหลักสูตรทอ้ งถ่ิน4 การประกนั คณุ ภาพภายใน5 การแนะแนวและจัดระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรียนอยา่ งทัว่ ถึง6 การวจิ ยั ในชัน้ เรียนเพือ่ พัฒนาการจดั เรยี นการสอน7 การนิเทศติดตามผลอย่างต่อเนอื่ ง 3. ความเสยี่ งด้านการเงนิ1 การจัดสรรงบประมาณ ค่าใช้จ่ายรายหวั เปน็ ไปตามแผนการดาเนินงาน2 การจัดทาบัญชีการเงนิ ใบเสรจ็ รบั เงินถกู ต้องและเป็นปจั จุบนั3 มีหลกั ฐานการใช้จ่ายเงินยืม การจดั ทาทะเบยี นถกู ต้อง4 มีการบริหารงานด้านพัสดแุ ละสนิ ทรัพย์ เชน่ การลงทะเบยี น การซ่อมแซม การจาหนา่ ย ฯลฯ5 การจัดซอ้ื พสั ดุ ครภุ ัณฑไ์ ดม้ าตรฐานและมคี ณุ ภาพ6 การขอซ้อื ขอจา้ ง ถกู ตอ้ งตามหลกั เกณฑ์7 มกี ารจดั ทารายงานการเงินทกุ เดอื นและเมอื่ ส้ินปีงบประมาณ

137 การจดั การความเสย่ี ง ระดับการปฏบิ ตั ิข้อ ของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา มาก มาก ปาน น้อย น้อย 4. ความเส่ียงด้านการปฏิบตั ติ ามกฎหมาย/ ที่สดุ กลาง ท่ีสดุ กฎระเบียบ 543211 มกี ารตรวจสอบภายในสถานศกึ ษา2 บคุ ลากรมีความรู้ ความเขา้ ใจ วธิ กี ารและ กฎระเบียบในการตรวจสอบภายใน3 การจดั ทาหลกั ฐานเอกสารตา่ งๆ เก่ียวกบั การ ควบคมุ ภายในเปน็ ปจั จบุ นั4 บคุ ลากรมีความรู้ ความเข้าใจ ในกฎระเบยี บ กฎหมาย และระเบยี บวินยั5 บุคลากรรับรกู้ ารเปลย่ี นแปลงกฎระเบยี บ/ มาตรการ/ข้อกาหนด จากตน้ สงั กดั6 มีแนวทางในการป้องกันเหตทุ ี่จะเกิดขึน้ เก่ยี วกบั การผิดวนิ ัย/กฎระเบยี บ/มาตรการ/ขอ้ กาหนด7 มีการนเิ ทศ ตดิ ตาม การดาเนนิ งาน ทางวนิ ัยอยา่ ง เปน็ ระบบขอ้ เสนอแนะ....................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook