แบบทดสอบท้ายบทท่ี ๔ จานวน ๑๕ ขอ้ ๑. อิทปั ปัจจยตา กับ ปฏิจจสมปุบาท มคี วามหมายแตกตา่ งกนั อยา่ งไร ก. สิ่งองิ อาศยั การเกิดขึ้นกับปัจจัยทเี่ กดิ ข้นึ จึงมสี ิ่งน้ี ข. การอาศัยปัจจยั ของกันและกันการมีสง่ิ นี้ สงิ่ น้ีจงึ มี ค. เพราะสิง่ นมี้ ีส่งิ นจ้ี งึ มี กับ ส่ิงที่อิงอาศัยกนั และกันจงึ เกิดข้ึน ง. เพราะส่งิ น้ีเกิดขน้ึ จึงมสี ่งิ น้ี กบั การเกิดขึ้นตามเหตปุ จั จัย ๒. องคป์ ระกอบใดไม่สมั พันธ์กนั ก. สังขาร เป็นปจั จยั ให้มี วญิ ญาณ ข. สฬายตนะ เปน็ ปจั จัยให้มี ผสั สะ ค. นามรูป เปน็ ปจั จัยให้มี สฬายตนะ ง. ตณั หา เปน็ ปจั จยั ใหม้ ี ภพ ๓. “ชวี ิตปัจจบุ นั เกิดจากเหตใุ นอดตี ” แล้วองค์ของปฏิจจสมุปบาทตวั ใดบา้ งทีเ่ ป็นเหตุ ก. อวิชชา กับสังขาร ข. ตัณหากับ อวิชชา ค. สงั ขารกบั วิญญาณ ง. ตณั หากบั วญิ ญาณ ๔. องคข์ อง ปฺฎิจจสมุปบาท ท่ีเปน็ ปจั จบุ ันเหตคุ ือข้อใดต่อไปนี้ ก. อวิชชา สงั ขาร ข. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ค. ตณั หา อุปาทาน ภพ ง. ชาติ ชรา มรณะ ๕. ปฏิจจสมุปบาทเปน็ หลกั หรอื กฎท่ีแสดงความจรงิ และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อะไร ก. เมตตาธรรม ข.อปรหิ ารยิ ธรรม ค. สังคหวตั ถุธรรม ง. มัชเฌนธรรม ๖. ปฏจิ จสมปุ บาท มีความหมายวา่ อยา่ งไร ก. ส่งิ ที่มมี าแต่เดมิ ข. สิ่งทเี่ กิดขน้ึ เอง ค. สงิ่ ที่อิงอาศยั กนั เกิดขึน้ ง. สิง่ ที่กาหนดขึ้นเอง ๗. ขอ้ ใดมคี วามหมายตรงกบั คาวา่ “ปัจจยการ” ก. ปัจจัยของกนั และกนั ข. ปัจจัยสืบเนอื่ งกนั ค. ปจั จยั แกก่ นั และกนั ง. ปัจจยั ให้กันและกนั ๘. “วัฏฏวน” ขอ้ ใดเปรียบเทียบได้ใกลเ้ คยี งที่สดุ เอกสารประกอบการสอน วิชา พทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทตั ปกั สังขาเนย์ ๘๕
ก. ล้อ ข. ลกู โซ่ ค. จกั ร ง. ถกู ทุกข้อ ๙. “ความไม่รู้” ทาให้เกดิ ข้อใดตอ่ ไปนี้ ก. อวิชชา ข. สงั ขาร ค. นามรูป ง. สฬายตนะ ๑๐. สฬายตนะ มคี วามหมายตรงกับข้อใดต่อไปน้ี ก. การรบั รอู้ ารมณต์ ่าง ๆ ข. นามรูป ค. อายตนะภายใน-ภายนอก ง. ถูกทุกต้อง ๑๑. การยดึ ม่ันถอื มัน่ มลี กั ษณะอย่างไร ก. การยดึ ม่ันในสิ่งของ ข. การยึดม่นั ในจิต ค. การยึดม่ันในตัวตน ง. การยดึ ม่ันในคาสญั ญา ๑๒. ข้อใดกล่าวถูกต้อง ก. อดีต คือเหตุ ให้เกิด อวชิ ชา สงั ขาร ข. ปัจจบุ ัน คือ เหตุใหเ้ กิดอวิชชา สงั ขาร ค. อดีต คือ ผลจาก อวิชชา นามรปู ง. ปัจจบุ ัน คอื ผล จากอวชิ ชา นามรูป ๑๓. อะไรสง่ิ ท่จี ะเกิดขึน้ ในอนาคต ก. การเกดิ ขน้ึ ของสรรพสิง่ ข. ความนึกคิดและยึดถอื เอา ค. ความต้องการในสง่ิ ที่เกิดข้ึน ง. ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ๑๔. หลักปฏจิ จสมุปบาทตอ้ งการสอนให้คนเข้าใจเร่ืองใด ก. การเกดิ ขนึ้ ของสรรพส่งิ ข. การเวยี นว่ายตายเกดิ ของคน ค. การมเี หตมุ ผี ลแกก่ นั และกัน ง. การสืบต่อเช้ือสาย ๑๕. ประโยชนข์ องการเขา้ ใจในเรอ่ื งปฏิจจสมปุ บาท คือข้อใดตอ่ ไปนี้ ก. มเี หตุมีผล ข. รเู้ ท่าทันโลกปัจจุบัน ค. วางแผนในอนาคตได้ ง. มองโลกในแงด่ ี เอกสารประกอบการสอน วิชา พทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๘๖
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๕ ๑. หัวข้อประจาบทที่ ๕ กรรม ๑.๑ ความนา ๑.๒ ความหมายของกรรมหรือ กฎแหง่ กรรม ๑.๓ กรรมในทางพระพุทธศาสนา ๑.๓.๑ กรรม ๒ ประการ ๑.๓.๒ การจาแนกประเภทของกรรม ๑.๓.๓ จาแนกตามเวลาการใหผ้ ลของกรรม ๑.๓.๔ จาแนกตามหน้าที่ของกรรม ๑.๓.๕ จาแนกลาดับการให้ผลของกรรม ๑.๓.๖ จาแนกตามฐานที่ใหเ้ กิดผลของกรรม ๑.๓.๗ กรรมดา /กรรมขาว ๑.๓.๘ กฎแห่งกรรม ๑.๔ เปรยี บเทยี บกรรมในศาสนาอน่ื ๆ ๑.๔.๑ ศาสนาทม่ี ีลักษณะเป็นแบบเทวนิยมทีป่ รากฏในโลกตะวนั ตก ๑.๔.๒ ศาสนาทีม่ ีลกั ษณะเป็นแบบเทวนิยมท่ีปรากฏในโลกตะวนั ออก ๑.๔.๓ ศาสนาท่ีมลี ักษณะเป็นแบบอเทวนิยมท่ีปรากฏในโลกตะวันอออกที่มีความเช่ือกรรม ๑.๕ สรปุ สาระสาคญั ประจาบทที่ ๕ ๑.๖ คาถามทบทวนประจาบทท่ี ๕ ๑.๗ คาถามทบทวนประจาบทที่ ๕ ๑.๘. แบบทดสอบทา้ ยบทที่ ๕ ๒. วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม เมื่อศึกษาบทท่ี ๕ จบแล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ ๒.๑ อธิบายความหมายกรรมท้งั ในพระพทุ ธศาสนาและศาสนาอืน่ ๒.๒ สามารถวเิ คราะหก์ ระบวนการและองค์ประกอบของกรรม และการเกิดข้ึนของกรรม และวิธีการ แกไ้ ขหลกี เลย่ี งการกระทากรรมท่ไี ม่ดี อนั จะสง่ ผลเสียตอ่ ตนเองผูอ้ ่นื เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทตั ปักสงั ขาเนย์ ๘๖
๒.๓ สามารถนาเอาหลักการที่เกี่ยวกับกรรม เปรียบเทียบหลักของกรรมท้ังพระพุทธศาสนาและ ศาสนาอนื่ ตีความ วิเคราะห์ให้ได้หลกั การทางวิชาการอันประกอบด้วยเหตุผลท่ีควรเช่ือถือและนาไปปฏิบัติได้ ไปปรบั ใช้ตามหลักการทางวชิ าการได้อยา่ งเหมาะสม ๓. วธิ กี ารสอน และกิจกรรม ๓.๑. นกั ศกึ ษา ตั้งประเด็นปัญหา สอบถาม เรื่องกรรม เปรยี บเทียบหลักของกรรมท้ังพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่น ตีความ วิเคราะห์ให้ได้หลักการทางวิชาการอันประกอบด้วยเหตุผลที่ควรเชื่อถือและนาไป ปฏิบัติได้ โดยตั้งคาถามให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นตามความต้องการของตนเอง แล้วสรุปโดยภาพรวม พร้อมท้ังต้งั ปัญหาใหน้ กั ศึกษาไปคน้ คว้าเพมิ่ เติม ๓.๒. ให้นักศึกษาทาใบงาน ในคาถามท้ายบทที่กาหนดให้ หรือ ผู้สอนคิดข้ึนมานอกเหนือจากท่ีมีใน เอกสาร ๓.๓. นาใบงานมาตรวจแล้วสรุปความคิดเห็นที่นักศึกษาแสดงความคิดเห็นเพื่อเพิ่มเติมความเข้าใจ และนาประเดน็ สาคญั มาหาขอ้ สรปุ ที่ถูกต้องตามหลกั วชิ าการ ๔. ส่อื การสอน ๔.๑. เอกสารประกอบการสอนวชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท และอ่นื ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง ๔.๒. ใบงาน ๔.๓. คอมพวิ เตอรโ์ ปรแกรม Microsoft Power Point ๕. การวดั ผลและประเมินผลการเรียน ๕.๑. สงั เกตจากการมีสว่ นรว่ มในการทากจิ กรรม ๕.๒. สังเกตจากความสนใจฟังและซักถาม ๕.๓. จากการตรวจใบงานทใ่ี หท้ าในช้ันเรยี น ๖. แนะนาเน้ือหาสาระประจาบทท่ที รงคุณคา่ ควรศกึ ษา ดงั นี้ ๖.๑ ความหมายของกรรมหรือ กฎแห่งกรรม หนา้ ท่ี ๘๙ ๖.๒ กรรมในทางพระพทุ ธศาสนา หนา้ ที่ ๙๐ ๖.๓ กรรม ๒ ประการ หนา้ ที่ ๙๐ ๖.๔ กฎแห่งกรรม หนา้ ที่ ๙๔ ๖.๕ เปรยี บเทยี บกรรมในศาสนาอืน่ ๆ หนา้ ที ๙๕ เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทตั ปักสงั ขาเนย์ ๘๗
บทท่ี ๕ กรรม (The action) ความนา กรรมคือการกระทาท้ังส่ิงท่ีดีและไม่ดี เป็นลักษณะกาหนดว่า การะทาน้ันเป็นเรื่องอะไรในส่วนของ ความดีเรียกว่า กรรมดี หรือกุศลกรรม ในส่วนของกรรมช่ัวเรื่อง กรรมชั่วหรืออกุศลกรรม ในทาง พระพุทธศาสนามีการกาหนดเร่ืองของกรรม ตามแต่สภาพของการกระทานั้น กรรมที่ทาขึ้นล้วนเป็นผลที่ สืบเนื่องจากการกระทาของแต่ละบุคคล เพ่ือโดยหลักทางพระพุทธศาสนาจะเน้นเร่ืองของกรรมเป็นส่วนใหญ่ เพราะเช่ือวา่ การท่เี รารู้เรือ่ งทมี่ าของกรรมของตนเองแล้วย่อมที่จะละเว้นกรรมชั่วปฏิบัติกรรมดี เพ่ือให้ได้ผลที่ ดีสบื เนอ่ื งไปจนถึงในอนาคต อกี ประการหน่งึ การกระทาของวนั น้คี ือ ผลที่จะได้รบั สืบเน่อื งไปในอนาคต ฉะนั้น ชาวพุทธทั้งหลายจึงขวนขวายเพ่ือทาความดี เพ่ือมุ่งสู่สุคติภูมิ สถานที่ที่ทาให้เกิดความสุข เหมือนกับศาสนาอื่น แต่ในสุคติภูมิท้ังหลายน้ัน ดูอาจจะคลายและเหมือนศาสนาอ่ืน ๆ ที่มุ่งเพ่ือถึงความสุข คือการเข้าถึงพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าท่านั้น ในทางพระพุทธศาสนายังมีจุดสูงสุดอ่ืนอีกท่ียิ่งความสุข นั้นก็คือ บรมสุขท่ีย่ิงกว่าสุขท่ัวไป คือการพ้นจากความทุกข์ และการจะพ้นจากความทุกข์นั้น ก็ต้องประกอบกระทา ความดีท้ังหลาย ซ่ึงในทางพระพุทธศาสนาก็วางหลักการปฏิบัติตามลับขั้นตอน คือ มีการสละสิ่งของภายนอก ของตนเองท่ีเรียกว่า ทาน มีการรักษาศีลเพ่ือกระทาตน ให้เกิดความบริสุทธิ์ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ทาร้ายคน อ่ืนทั้งร่างกาย และคาพูด และประกอบในสิ่งท่ีสูงสุดคือ การปฏิบัติจิตภาวนา ชาระจิตใจของตนเองให้เกิด ความบริสทุ ธ์ขิ จดั ความขนุ่ ข้องหมองใจออกใหห้ มด เหล่าน้ันล้วนมีพ้นฐานมาจาก “ กรรม” ในฝ่ายท่ีดี ในส่วน ของฝ่ายท่ีไม่ดีก็จะได้รับผลตรงกันข้าม ได้แก่การดาดิ่งลงสู่นรก คือ ความทุกข์ร้อนใจ เดือนร้อนกาย ไม่ได้รับ ความสุข มีแต่อุปสรรคขัดขวาง เกิดขึ้นอยู่ตลอด เป็นต้น นั้นเป็นผลจากกรรมชั่วที่ทา ผลกรรมน้ัน อาจมีผล จากอดตี ชาติ จากผลในปจั จบุ นั กม็ ี ดังจะนาเสนอในลาดับตอ่ ไป ดังน้ัน การศึกษาเรื่องของกรรมทางพระพุทธศาสนานั้น เราต้องศึกษาเร่ืองกรรมในศาสนาอ่ืนด้วย เปรียบเทียบไปด้วย เพื่อการศึกษาค้นตีความ ความแตกต่างของกรรมและการกระทาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเลือกทจ่ี ะปฏบิ ัตใิ หถ้ ูกต้องตามสติปัญญาของตนเองและความเชอ่ื ของปัญญาชน เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๘๘
๑.๑ ความหมายของกรรมหรือ กฎแห่งกรรม คาวา่ \"กฎ\" อาจจะเกี่ยวข้องกับขอ้ บงั คับ กติกา ระเบยี บ แบบแผน คาว่า \"กรรม\" หมายถึงการกระทา กรรมดี ให้ผล คือความสุข กรรมช่ัว ให้ผลคือความทุกข์ หรืออย่าง ท่ีพูกว่า ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว โดยทางศาสนาได้สอนให้คน ละความชั่ว ทาแต่ความดี ทุกคนย่อมต้องการ ความสขุ เกลยี ด หลีกเล่ียงความทุกข์ ศาสนาสอนว่า อะไรบ้างเป็นความช่ัว ให้ผลคือความทุกข์ อะไรบ้างเป็น ความดี ใหผ้ ลคือความสขุ ทั้งในปัจจุบัน อนาคต และโลกหน้า สาหรับปัจจุบัน อนาคต พอจะมองเห็นและเข้าใจ แต่สาหรับโลกหน้าน้ัน คนท่ีมีศรัทธาในเรื่องกรรม นอ้ ยหรือาจจะไมเ่ ชอื่ เลยว่า กรรมดกี รรมชว่ั ในชาตินีจ้ ะให้ผลในชาตติ อ่ ไป พูดสัน้ ๆ คอื การลืมชาติ กฏแห่งกรรม หมายความว่า กรรมย่อมมีเหตุและมีผลคือ เหตุให้ทากรรม และผลของกรรมท้ังชาตินี้ และชาติหน้า ทากรรมดีย่อมได้รับผลดี ทากรรมช่ัวย่อมได้รับผลชั่ว กรรมดีให้ผลเป็นสุข กรรมชั่วให้ผลเป็น ทกุ ข์ หลักธรรม (กรรม) คาทาดีได้ดี คนทาชว่ั ได้ช่วั เหมอื นหวา่ นพชื ชนิดใด ย่อมไดร้ บั ผลชนิดนน้ั ดีชั่วใหผ้ ลตา่ งกัน กรรมดใี หเ้ กิดในทดี่ ี กรรมชั่วใหเ้ กิดในทีเ่ ลย “ยาทิสงั วะปะเต พีชงั ตาทิสังละภะเต ผะลัง กลั ะยาณะการี กัละยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง” สวา่ งอืน่ ใดในอากาศ ไม่โอภาสเท่าสว่างตะวันฉาย แสงสง่ิ อน่ื เข้มแข็งทแ่ี รงร้าย กแ็ พ้พา่ ยแรงกรรมทีท่ าไว้ (สุนทรภ่)ู เวร เหมือนเงาติดเต้า ตามตน กรรม ก่อกรรมกรรมดล ดดั ด้ิว บรรนดาหมอู่ กุศล สทู่ คุ ติแฮ ดาล บาปบาปตดิ ตว้ิ แตง่ ตัง้ ตามสนอง (จินดามณ)ี หลกั ฐานทางตานาน เก่ียวกับเร่ืองผลของกรรมดี กรรมชั่ว ยังมีอีกมาก นามากล่าวโดยละเอียดก็เป็น ตานานไป ที่ยกมาเป็นเพียงหลักฐานและตัวอย่างในเรื่องน้ี เร่ืองของกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน ผู้สนใจจะหาคาตอบท่ีถูกต้อง ต้องใจเย็น อ่านไปคิดไป อย่าได้รีบตัดสินใจเอาง่ายๆ ว่าจริงหรือไม่จริง คนไม่ เช่ือผลของกรรม คือคนยุคหิน สรุปผลเอาง่ายๆ ซ่ึงทาให้ขาดทุน สูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิต ยุคน้ีเป็นยุค คอมพิวเตอร์ เชื่อไม่เช่ือตอ้ งศกึ ษาก่อน อย่าได้ถอื ความชอบใจไม่ชอบใจตน ท่านที่เชื่อกรรม ผลแห่งกรรมก็ต้องเป็นคนมีปัญญาด้วย เพราะเพียงว่าเช่ืออย่างเดียว อาจจะทาให้ เห็นเป็น \"งมงาย\" ได้ เรามีเร่ืองจริงมากมายท่ีเกิดขึ้น ขอให้เราได้ศึกษากันต่อไป พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๘๙
ต่อชาว กาลามะ ท่ีเรียกว่า กาลามสูตร หรือบางคนก็เรียกว่า เกสปุตตสูตร ซ่ึงก็เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นชื่อของ บ้านช่ือของตระกลู ก็เปน็ เครอ่ื งเตือนสติคนนับถือศาสนา ทเี่ ปน็ คนตาบอดคาชา้ งน่ันเอง๑ ๑.๒ กรรมในทางพระพุทธศาสนา กรรมในพระพุทธศาสนา (ภาษาสันสกฤต : กรฺม, ภาษาบาลี : กมฺม) แปลว่า \"การกระทา\" ได้แก่ กระทาทางกาย เรยี ก กายกรรม ทางวาจา เรียก วจกี รรม และทางใจ เรยี ก มโนกรรม กรรม แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คือ ๑. กรรมดี เรียกวา่ กุศลกรรม หรอื บุญกรรม ๒. กรรมชวั่ เรียกว่า อกุศลกรรม หรอื บาปกรรม ๑.๒.๑ กรรม ๒ ประการไดแ้ ก่ กรรม ๒ (การกระทา, การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม - Kamma: action; deed) ๑. อกศุ ลกรรม (กรรมทีเ่ ปน็ อกุศล, กรรมช่ัว, การกระทาที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทา ให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต หมายถึง การกระทาที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือ โมหะ – Akusala - kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed) ๒. กุศลกรรม (กรรมท่ีเป็นกุศล, กรรมดี, การกระทาที่ดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสริม คุณภาพของชีวิตจิตใจ หมายถึง การกระทาท่ีเกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรือ อโมหะ - Kusala-kamma: wholesome action; good deed) ๑ แหลง่ ที่มา (ออนไลน์)http://www.mettadham.ca/ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๙๐
๑.๒.๒ การจาแนกประเภทของกรรม กรรมดี หรือ กรรมช่ัวก็ตาม กระทาทางกาย วาจา หรือทางใจก็ตาม สามารถจาแนกอีก เป็นประเภท ตา่ ง ๆ ไดห้ ลายแบบ ดงั น้ี ๑. กรรมจาแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) ๔ อยา่ ง ๒. กรรมจาแนกตามหน้าท่ขี องกรรม (กจิ จตุกะ) ๔ อย่าง ๓. กรรมจาแนกตามลาดบั การให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตกุ ะ) ๔ อย่าง ๔. กรรมจาแนกตามฐานที่ใหเ้ กิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) ๔ อย่าง ๑.๒.๓ จาแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม การกระทาทางกาย วาจา ใจ ทง้ั ที่เปน็ ฝ่ายดีหรอื ไมด่ ีกต็ าม ย่อมตอบสนองแก่ผู้กระทา ไม่เร็วก็ช้า เวลา ใดเวลาหนงึ่ กรรมจาแนกตามเวลาการให้ผลของกรรม (ปากกาลจตุกะ) แสดงกาหนดเวลา แห่งการให้ผลของ กรรม มี ๔ อยา่ ง คอื ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน คอื ในภพนี้ ๒. อปุ ปัชชเวทนยี กรรม หมายถึง กรรมทีใ่ ห้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหนา้ ๓. อปราปรเิ วทนียกรรม หมายถงึ กรรมทใ่ี ห้ผลในภพต่อๆไป ๔. อโหสิกรรม หมายถงึ กรรมเลกิ ใหผ้ ล ไม่มีผลอีก ๑.๒.๔ จาแนกตามหน้าทข่ี องกรรม กรรมจาแนกตามหน้าท่กี ารงานของกรรม (กจิ จตุกะ) กรรมมีหน้าท่ี ทจ่ี ะต้องกระทาสอ่ี ย่าง คือ ๑. ชนกกรรม หมายถงึ กรรมที่เปน็ ตวั นาไปเกดิ กรรมแต่งให้เกิด ๒. อปุ ัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมสนบั สนุน กรรมทชี่ ่วยสนับสนนุ หรือซา้ เติม ต่อจากชนกกรรม ๓. อุปปีฬกิ กรรม หมายถงึ กรรมบบี ค้ัน กรรมทมี่ าให้ผล บบี ค้นั ผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม นน้ั ให้แปรเปล่ียนทเุ ลาลงไป บั่นทอนวบิ ากมใิ ห้เปน็ ไปไดน้ าน ๔. อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมตัดรอน กรรมท่ีแรงฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรม เข้าตดั รอนการใหผ้ ลของกรรมท้ังสองอยา่ งน้นั ให้ขาดไปเสียทีเดยี ว ๑.๒.๕ จาแนกลาดับการให้ผลของกรรม กรรมจาแนกตามลาดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) จาแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลาดับความแรงในการให้ผล ๔ อยา่ ง เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปักสังขาเนย์ ๙๑
๑. ครุกกรรม (หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม) หมายถึง กรรมหนัก ใหผ้ ลก่อน เช่น - ฌานสมาบัติ ๘ ได้แกห่ รอื สมาบตั ิ ๘ คือ ๑) รปู ฌาน ๔ ได้แก่ (๑) ปฐมฌาน (ฌานท่ี ๑) มีองค์ประกออบ ๕ คือ วิตก (ความนึกคิด) วิจาร (การ พิจารณาอารมณ์) ปิติ(ความอ่มิ ใจ) สุขและเอกคั คตา (ความมอี ารมณเ์ ป็นอนั เดียว) (๒) ทตุ ิยฌาน (ฌานท่ี ๒) มีองคป์ ระกอบ ๓ คอื ปีติ สขุ เอกัคคตา (๓) ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) มอี งค์ประกอบ ๒ สขุ เอกัคคตา (๔) จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) มีองค์ประกอบ ๒ คือ อุเบกขา (ความวางเฉย) และ เอกัคคตา ๒) อรูปฌาน ๔ ไดแ้ ก่ (๕) อากาสนญั จายตนะ หมายถึง ฌานทีก่ าหนดอากาศ (space) อันอนันต์ (๖) วิญญาณัญจายตนะ หมายถึง ฌานท่ีกาหนดวิญญาณอนันต์ (๗) อากญิ จัญญายตนะ หมายถงึ ฌานทก่ี าหนดภาวะทีไ่ ม่มีสิ่งใด ๆ (๘) เนวสัญญานาสญั ญายตนะ หมายถึง ฌานท่ีเลกิ กาหนดส่งิ ใด ๆ โดยประการท้ังปวง เข้าถึงภาวะมสี ัญญาก็ไม่ใช่ ไมม่ สี ัญญากไ็ มใ่ ช่ - อนันตริยกรรม ๒,๓ หมายถึง กรรมหนกั ทีส่ ุด (ครกุ รรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซงึ่ ให้ผลทันที มี ๕ อย่าง คือ (๑) มาตฆุ าต – ฆ่ามารดา (๒) ปติ ุฆาต – ฆ่าบดิ า (๓) อรหนั ตฆาต - ฆ่าพระอรหนั ต์ (๔) โลหิตปุ บาท - ทาร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ข้ึนไป เช่น พระเทวทัตได้ทาร้ายพระ พุทธองค์ ในสมยั พุทธกาล (๕) สงั ฆเภท - ยังสงฆ์ให้แตกกนั ทาลายสงฆ์ ๒ พระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลีสยามรฐั (ภาษาไทย) เลม่ ที่ ๓๕ พระอภธิ รรมปิฎก เลม่ ที่ ๒ วภิ ังคปกรณ์ ๓ พระพรหมโมลี (วลิ าศ ญาณวโร). \"กรรมทปี น\"ี . เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๙๒
อนนั ตรยิ กรรม ๔ ประการแรก คอื มาตฆุ าต ปิตุฆาต อรหันตฆาต และโลหิตตุปบาท จัดเป็น สาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ทั่วไปแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย หมายความว่า บรรพชติ กท็ าได้ คฤหัสถก์ ็ทาได้ ส่วนสังฆเภท เป็นอสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ไม่ท่ัวไป หมายความว่า ภิกษุคือ บรรพชติ เทา่ น้นั จึงจักกระทาสังฆเภทอนันตรยิ กรรม นี้ได้ ในสว่ นของโทษหนักเบา และลาดับการให้ผลก่อนหลัง ของอนันตริยกรรม เรียงลาดับจากแรงที่สุดลง ไป ไดด้ งั น้ี ๑) สงั ฆเภทอนันตรยิ กรรม (หนักทสี่ ุด เพราะทาใหพ้ ระพุทธศาสนาเส่อื มเสยี ) ๒) โลหิตุปบาทอนันตริยกรรม (สาคัญมากแต่ปัจจุบันทาไม่ได้เพราะท่านดับขันธ์ปรินิพพานไป แล้ว) ๓) อรหันตฆาตอนันตริยกรรม (สาคญั ปานกลาง) ๔) มาตุฆาตปิตุฆาตอนันตริยกรรม (สาคัญน้อยกว่าอนันตริยกรรมอ่ืน ๆ เพราะถือว่าอยู่ในเพศ ฆราวาส) ๒. พหลุ กรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถงึ กรรมท่ที ามาก หรือ ทาจนเคยชิน ให้ผลรองจากครกุ รรม ๓. อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมท่ีทาเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ ใหมๆ่ ถ้าไมม่ ีสองข้อก่อน ก็จะใหผ้ ลก่อนอนื่ ๔. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมอ่ืนท่ีเคยทาไว้แล้ว นอกจากกรรม ๓ อย่าง ข้างต้น, ฏีกากล่าวว่า กรรมน้ีให้ผลในชาติท่ี ๓ เป็นต้นไป (กตตฺตา-สิ่งท่ีเคยทาไว้, วา ปน-ก็หรือว่า, กมฺม-กรรม) กตัตตากรรมน้ี ในตาราทางพุทธศาสนาหลายแห่ง (เช่น หนังสือกรรรมทีปนี พจนานุกรม พทุ ธศาสนฉ์ บบั ประมวลธรรม และหนังสือพุทธธรรมฉบับขยายความ) ได้บรรยายไว้ว่า หมายถึง กรรม สักแต่ว่าทา กรรมที่ทาไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอ่ืน ใหผ้ ลแลว้ กรรมนีจ้ ึงจะให้ผล ๑.๒.๖ จาแนกตามฐานทใ่ี หเ้ กดิ ผลของกรรม กรรมจาแนกตามฐานที่ใหเ้ กิดผลของกรรม (ปากฐานจตุกะ) แสดงที่ตั้งแหง่ ผลของกรรมสี่อย่าง เป็นการ แสดงกรรมโดยอภิธรรมนยั (ข้ออนื่ ๆข้างตน้ เปน็ การแสดงกรรมโดยสุตตันตนัย) ๑. อกศุ ลกรรม ๒. กามาวจรกศุ ลกรรม เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๙๓
๓. รูปาวจรกุศลกรรม ๔. อรปู าวจรกุศลกรรม ๑.๒.๗ กรรมดา /กรรมขาว นอกจากเรื่องของกรรมดีกรรมช่ัวแลว้ ยังมกี ารอธิบายกรรมอีกนยั หน่ึง โดยอธิบายถึงกรรมดากรรมขาว จาแนกเปน็ กรรม ๔ ประการ คอื ๑. กรรมดามีวิบากดา ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียน บุคคลอ่ืน ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระโลหิตให้ห้อข้ึน ทาลายสงฆ์ให้แตกกัน ฆ่าสัตว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤตผิ ิดในกาม พดู เท็จ ด่ืมน้าเมา ๒. กรรมขาวมีวบิ ากขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ยอ่ มปรงุ แตง่ กาย วาจา ใจ อันมีไม่ความเบียดเบียน บคุ คลอน่ื ยอ่ มไดเ้ สวยเวทนาที่ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่า สตั ว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคา หยาบ จากการพดู เพ้อเจ้อ ไม่มากไปดว้ ยความเพ่งเลง็ อยากได้ มีจิตไม่พยาบาท มีความเหน็ ชอบ ๓. กรรมท้ังดาทั้งขาวมีวิบากท้ังดาท้ังขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมี ความเบยี ดเบยี นบุคคลอืน่ บ้าง ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไมเ่ บียดเบียนบ้าง มีทัง้ สุขและทัง้ ทกุ ข์ระคนกนั ๔. กรรมไม่ดาไม่ขาวมีวิบากไม่ดาไม่ขาว ได้แก่ เจตนาใดเพื่อละกรรมดาอันมีวิบากดา เจตนาใดเพ่ือละ กรรมขาวอันมีวิบากขาว และเจตนาใดเพ่ือละกรรมท้ังดาทั้งขาวมีวิบากทั้งดาท้ังขาว ย่อมเป็นไปเพื่อ ความส้นิ กรรม เชน่ ผู้ปฏบิ ัติตามมรรคมอี งค์แปด โพชฌงคเ์ จ็ด ๑.๒.๘ กฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรม คือ กฎธรรมชาติ ข้อหนึ่ง ท่ีว่าด้วยการกระทา และผลแห่งการกระทา ซึ่ง การกระทา และ ผลแห่งการกระทานั้น ย่อมสมเหตุ สมผลกนั เช่น ทาดี ย่อมไดร้ ับผลดี ทาชัว่ ยอ่ มได้รบั ผลชั่ว เปน็ ต้น ๑. กรรมใดใครก่อ ตนเองเท่านัน้ ทจี่ ะไดร้ ับผลของสิ่งท่กี ระทา เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทตั ปักสงั ขาเนย์ ๙๔
๒. กรรมในปัจจุบนั เปน็ ผลมาจากการกระทาในอดตี และกรรมทีก่ ่อไว้ในปจั จบุ ันเปน็ เหตุท่ีจะสง่ ผล สืบเนอื่ งตอ่ ไปยังอนาคต ๓. กรรมดี-กรรมชว่ั ลบลา้ งซงึ่ กันและกนั ไมไ่ ด้ ๔. ถึงแม้ว่าการทากรรมดีจะลบล้างกรรมชั่วเกา่ ที่มีอยู่เดิมไมไ่ ด้ แต่มสี ว่ นช่วยให้ผลจากกรรมชั่วที่มีอยู่ เดมิ ผ่อนลง คือ การผ่อนหนกั ให้เป็นเบา (ข้อนี้ อปุ มาได้กับ การทเี่ รามีน้าขุ่นขน้ อยแู่ ก้วหน่ึง หาก เติมน้าบรสิ ทุ ธ์ลิ งไปแลว้ มิสามารถทาให้นา้ ขุ่นกลับบริสทุ ธ์ไิ ด้ แตท่ าให้นา้ ข่นุ ขน้ นน้ั กลับเจอื จางลง และใสย่งิ ขน้ึ กว่าเดิม) “สัตว์ทงั้ หลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแหง่ กรรม มกี รรมเป็นกาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรม เป็นที่พ่ึงอาศัย กรรมย่อมจาแนกสัตว์ใหเ้ ลวและประณตี ได้” ๑.๓ เปรยี บเทียบกรรมในศาสนาอน่ื ๆ เป็นการเทียบเคียงผลของการกระทาในแต่ละศาสนา ซึ่งกรรมที่กระทานั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นทั้ง กรรมดีและกรรมชว่ั เชน่ เดยี วกัน เพราะสบื เน่อื งจากคาที่ว่า “ทุกศาสนาน้ันมุ่งสอนให้คนเป็นคนดี” ฉะนั้น ใน หลกั ของกรรมของแตล่ ะศาสนาอาจเรียกแตกต่างกันออกไป มวี ธิ กี ารในการทีจ่ ะช่วยให้ตนเองพ้นจากรรม และ ไม่ต้องรบั ผลของกรรมที่ตัวเองกระทาได้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ กรรมในศาสนาทเี่ ป็นลักษณะเทวนิยม มีองค์ประกอบที่จะช่วยให้พ้นจากรรมโดยผ่านการอ้อนวอน ที่ เรียกว่า ให้ผู้ท่มี อี านาจชว่ ยใหพ้ ้นจากกรรมหรือการกระทาทต่ี นเองทาผิดได้ อาจแบ่งได้ ๒ ประเภทคือ เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปักสังขาเนย์ ๙๕
๑.๓.๑ ศาสนาทีม่ ีลกั ษณะเป็นแบบเทวนยิ มในโลกตะวนั ตกทมี่ คี วามเชอื่ เรื่องเทพเจา้ ดงั น้ี ๑) ศาสนาคริสต์ มีทัศนะความเช่ือว่า การกระทุกอย่างที่เป็นบาปน้ัน สามารถที่จะสารภาพการ กระทาของตนเอง โดยผ่านทางบาทหลวง ซ่ึงเป็นตัวแทนพระเจ้า หรือเทพเจ้าสูงสุด เมื่อ รบั ทราบการกระทาน้ันแล้ว ก็ให้มีการแลกเปล่ียน เพื่อเป็นการชาระบาปของตนเอง อาจจะ โดยการบริจาคทาน การรับศีลใหม่ เป็นต้น ก็ถือว่าเป็นการเสร็จส้ินของการชาระกรรมท่ี ตนเองกระทา ซ่ึงในพระคัมภีร์ยังเน้นย้าว่า หากสารภาพแล้วจะต้องไม่หันกลับไปทาส่ิงที่ผิด นัน้ อีก ๒) ศาสนาอสิ ลาม มีทัศนะว่า การกระทาอย่างไมค่ วรกระทา หากกระทาผดิ แล้วจะต้องสารภาพ ต่อพระเจ้าสูงสุด อย่างเดียว จะพ้นโทษหรือไม่ จะต้องรอวันพิพากษาจากพระเจ้าสูงสุด จะ มาตัดสิ้นกรรมของบุคคลน้ัน ศาสนิกของศาสนาอิสลามน้ี จึงมุ่งเน้นในการทาความดี ตามท่ี บัญญัติอย่างเคร่งครัด ไม่วา่ จะเป็นการละหมาด การบริจาคสะกาต การแสวงบุญท่ีนครเมกะ และการถือศีลอด เป็นต้น เพ่ือกระทาตนให้บริสุทธิ์ เพื่อหวังการได้ไปรับใช้พระผู้เป็นเจ้า สงู สุด คอื พระอัลเลอะห์ ๓) ศาสนายิว หรือศาสนาอนื่ ที่เกยี่ วเนอื่ งกับความเช่ือเร่ืองพระเจ้า ก็จะมีวิธีการปฏิบัติใกล้เคียง กับท้งั ๒ ศาสนาน้ี โดยมุง่ หวงั คอื ทาความดี และออ้ นวอนให้พระเจ้า หรือศาสดาของศาสนา ของตนช่วยเหลือ ให้พ้นจากการกระทาผิด และผลของความดีของตนเองที่จะส่งเสริมให้ ได้รับสทิ ธิ์ในการเข้าถึงพระผู้เปน็ เจ้าสงู สุด ๑.๓.๒ ศาสนาท่ีมีลักษณะเป็นแบบเทวนิยมทป่ี รากฏในโลกตะวันออกท่มี คี วามเชอ่ื เรื่องเทพเจา้ ดังนี้ ๑) ศาสนาพราหมณ์ –ฮนิ ดู มคี วามเช่อื ในเรอ่ื งกรรม และการชาระผลทีต่ ัวเองกระทาได้ดงั น้ี (๑) มนษุ ยเ์ กิดจากเทพเจ้าผู้สรา้ ง (พระพรหม) (๒) มผี ้ดู ูแลรักษา (พระนารายณ์) (๓) มผี ู้ทาลายชาระใหส้ น้ิ หากเกิดความวุน่ วายเกดิ ขนึ้ โลกใบน้ี (พระอิศวรหรือพระศวิ ะ) เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๙๖
ทัศนะนี้เกิดข้ึนหลักเกิดการปฏิวัติทางศาสนา และรวมความเอาเทพเจ้า ท้ังสามข้ึนมาเพื่อให้มวลมนุษย์ได้ กระทาแต่ความดี มีการบวงสรวง สวดบทสรรเสริญอ้อนวอน เพื่อให้เทพเจ้าเหล่าน้ันเกิดความ พอใจและจะได้ช่วยดูแล รักษา จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ การเข้าสู่ปรมาตมัน การกลับไป รวมอยกู่ บั พระพรหม ซงึ่ เปน็ ตน้ กาหนดของสรรพสิ่ง ซึ่งการจะ ทาได้ต้องประกอบพิธีกรรม บาเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า ปฏิบัติ โยคะเปน็ ต้น เพือ่ ชาระจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ จนถึงข้ันสูงสุด เม่ือละจากโลกน้ีไป ก็จะกลับไปรวมกับพระพรหม ท่ีเรียกว่า “เข้าไปรวมเป็นปรมาตมนั ” ในส่วนของการชาระบาปกรรมที่ตนกระทา อาจ ทาไดด้ ังนี้ ๑) การสวดมนตส์ รรเสริญอ้อนวอน ๒) การชาระบาปดว้ ยบูชายัญ ๓) การลา้ งบาปทแี่ มน่ ้าคงคา ๔) การออกบวชบาเพญ็ ตบะ ๑.๓.๓ ศาสนาทีม่ ีลกั ษณะเป็นแบบอเทวนิยมทปี่ รากฏในโลก ตะวันออกท่ีมคี วามเชื่อกรรม ได้แก่พระพุทธศาสนา และ ศาสนาเชน ที่ปรากฏเห็น ได้ชัดเจนท่ีไม่ให้การยอมรับ อานาจศักดิ์ทั้งหลายท่ีจะมา ช่วยเหลือตนเองได้นอกจากตัวเอง แต่ทั้ง ๒ ศาสนาน้ียังมีความ แตกต่างที่เห็นได้ชดั เจนในเร่ืองของกรรม คอื ในทางพระพุทธศาสนา จะมงุ่ ให้คนเราเช่อื ว่า ทุกคนมีกรรมเปน็ ของตนเอง ไม่มีใครหนีกรรมหรือการ กระทาของตนเองไปได้ ไม่ต่างอะไรจากกฎหมายท่ีเป็นขอบังคับของสังคมนั้น หากกระทาความผิดก็ต้องได้รับ เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๙๗
โทษของการะทาท่ีตนเองนน้ั ให้เหมาะสมกบั กรรม หรอื การกระทาท่ีเขากระทา โดยรายละเอียดของกรรมดังท่ี กว่างมาแล้วข้างต้น ในส่วนของศาสนาเชน ซ่งึ เป็นศาสนาทไ่ี มย่ อมรบั เร่ืองของเทพเจ้าเหมือนกันกับพระพุทธศาสนา ก็ให้ เหตุผลถงึ กรรมว่า ทุกส่งิ ทุกอยา่ ง มีชีวะ หรือมีชีวิต ทุกสรรพส่ิงนั้น หากกระทาลงไปแล้วเป็นความชั่ว ส่ิงท่ีจะ ขจดั ความชวั่ ออกจากศาสนาเชนจิตใจได้ต้องสละทุกสิ่งให้ได้ แม้แต่เคร่ืองนุ่งห่ม ซ่ึงเป็นตัวทาให้เกิดมลทินทาง ร่างกายก็ต้องสละออก เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการสละและเม่ือปฏิบัติได้ถึงที่สุดก็จะเข้าชีวาตมัน ความเป็นอมตะ ของจติ น้ันคือการบรรลุถงึ ท่สี ดุ หลักความเช่ือเรื่องกาลามสูตร หลักน้ีมที ่มี าใน กาลามสูตร๔ และสูตรอื่นๆ ท่ีตรัสไว้สาหรับให้ทุกคน มีความเช่ือในเหตุผลของตนเอง ในเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นว่า สิ่งที่มีผู้นามากล่าวหรือส่ังสอนนั้น ตนควรจะเช่ือถือเพียงไร หรือไม่ มีผู้ไปทูลถามว่า เขาได้รบั ความลาบากใจ ในการที่สมณะพราหมณ์พวกหน่ึง ก็สอนไปอย่างหน่ึง สมณะพราหมณ์พวกอ่ืน ก็สอน ไปอย่างอ่ืน หลายพวกหลายอย่างด้วยกัน จนไม่รู้ว่า จะเชื่อใครดี ในที่สุด พระองค์ ตรัสหลักสาหรับ ทาความ เชื่อแกค่ นพวกนนั้ มีใจความว่ ๑. มา อนุสสฺ าเวน อยา่ เชอ่ื โดยฟงั ตามกันมา ๒. มา ปรมฺปราย อย่าเช่ือโดยเหตุสกั ว่าตามสบื ๆ กนั มา ๓. มา อติ ิ กริ าย อย่าเช่ือโดยตืน่ ข่าว ๔. มา ปฎิ กสมั ฺปทาเนน อย่าเช่อื โดยอ้างปิฎก ๕. มา ตกฺกเหตุ อยา่ เชื่อโดยนึกเดาเอาเอง ๖. มา นยเหตุ อยา่ เชื่อโดยคาดคะเน ๔ แหล่งที่มา (ออนไลน์) http://board.palungjit.com/ (๒๕๕๗) เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๙๘
๗. มา อาการปรวิ ติ กเฺ กน อยา่ เช่ือโดยการตรกึ ตรองตามอาการ ๘. มา ทิฎฐินชิ ฌฺ านกฺขนกฺขนฺติยา อยา่ เช่ือโดยเหน็ วา่ ถูกตามลทั ธิของตน ๙. มา ภพฺพรปู ตาย อย่าเชือ่ โดยเหน็ วา่ ผู้พดู ควรเชือ่ ได้ ๑๐. มา สมโณ โน ครุ อย่าเชือ่ โดยถือว่า สมณะนเ้ี ปน็ ครขู องเรา แต่ให้เช่ือ การพิจารณา ของตนเอง ว่า คาสอนเหล่าน้ัน เมื่อประพฤติ กระทาตาม ไปแล้ว จะมีผล เกิดขน้ึ อย่างไร ถ้ามผี ลเกิดขน้ึ เป็นการทาตนเองและผอู้ ่ืน ให้เป็นทุกข์ เดือดร้อน ก็เป็นคาสอน ที่ไม่ควรปฏิบัติ ตาม ถา้ ไม่เป็นไป เพ่ือทาตนเอง และ ผอู้ ่ืนใหเ้ ดือดรอ้ น แตเ่ ป็นไปเพ่อื ความสุข ความเจรญิ ย่อมเป็นคาสอน ท่ี ควรทาตาม ตวั อยา่ งเชน่ เมื่อมีการพดู ถึง ราคะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นส่ิง ควรละหรือไม่ ผู้ฟังจะต้องพิจารณา ให้ เหน็ ชัด ดว้ ยตนเองว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นส่ิงที่นามา ซึ่ง ความทุกข์ หรือ ความสุข ให้เห็นชัดแก่ใจ ของตน เสียก่อน เมื่อเห็นว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นของร้อน จึงละเสีย ตามคาสอน ถ้ายังพิจารณา ไม่เห็นแม้แต่ เล็กน้อย ก็เป็นส่ิงท่ีให้รอไว้ก่อน ยังไม่ปฏิบัติตาม จนกว่า จะได้พิจารณาเห็นแล้ว จึงปฏิบัติตาม โดยสัดส่วน ของการพจิ ารณาเห็น ไม่ยอมเชอ่ื และปฏบิ ตั ิตาม สักว่า โดยเหตุ ๑๐ อยา่ ง ดงั กล่าวแล้วข้างตน้ หลักน้ี เป็นการแสดงถึงความที่พระพุทธศาสนา ให้ความเป็นอิสระ ในความเช่ือ อย่างถึงที่สุด พึงรู้ไว้ ในฐานะ เปน็ อปุ กรณ์ แห่งการควบคมุ ความเชอ่ื ของตน ให้เป็นไปในทาง ทจี่ ะปฏบิ ัติ ให้เปน็ ผลสาเรจ็ ได้จรงิ ๆ ๑.๔ บทสรุปสาระสาคัญประจาบทท่ี ๕ การกระทาทุกอย่างนั้น ล้วนมีผลแตกต่างกัน อาจจะมีทั้งดี และเลวรทรามแตกต่างกัน อันเกิดจาก การกระทานั้น ทางพระพุทธศาสนาเรียกวา่ กรรม กรรมมีทงั้ กรรมดี และกรรมช่ัว แตอ่ ย่างไรก็ตามการท่ีเราจะ ทาอะไรก็ตาม สิ่งท่ีเราทานั้น ล้วนมีเหตุปัจจัยสนับสนุน และส่ิงเหล่าน้ัน จะเป็นต้นเหตุของกรรม ในทางท่ีดี เรียกว่า มีจิตคิดทาดี ช่วยเหลือเอ้ือเฟื้อคนอื่น มีจิตบริสุทธ์ิ มุ่งทาตนให้พ้นจากความทุกข์ ให้ถึงที่สุดของ ความสุขอันแทจ้ รงิ ในทางกลับกนั ผลของกรรมชว่ั หรอื เลว ก็จะส่งผลให้คน ๆ นั้น มีแต่ความเดือดเน้ือร้อนใจ คนท่ีอยู่ใกล้ก็พลอยได้รับผลของการกระทานั้นไปด้วย อันเกิดจากผลของกรรมที่หนักหรือเบาแตกต่างกัน ออกไป หากจะเปรยี บเทยี บกบั ศาสนาอ่ืนๆ กม็ ีหลกั การใกลเ้ คียงกัน ในเร่ืองของกรรม ท่ีที่แตกต่างกันคือ ผลที่ จะได้รับแตกต่างกันเท่าน้ัน เปรียบเสมือนกับ การปลูกต้นไม้ ในที่ท่ีแตกต่างกัน หากปลูกในที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ก็เจริญงอกงามได้ดี ผลิดอก ออกผลสมบูรณ์ แต่หากไปปลูกมรท่ีแห้งแล้ง ผลท่ีได้อาจจะไม้เต็มเม็ดเต็ม หน่าย ต้นไม้ไม่สมบูรณ์ให้ผลไม่เต็มท่ี เป็นต้น ฉะน้ัน ในพุทธสุภาษิตทางพระพุทธศาสนาบทหน่ึง ที่กล่าว เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๙๙
เกี่ยวกับเรื่องกรรมว่า “ กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ตามแต่ผลท่ีเกิดขึ้นของการ กระทาทตี่ นเองทา ๑.๕ คาถามทบทวนประจาบทท่ี ๕ ๑. กรรมในทางพระพุทธศาสนามีความหมายว่าอยา่ งไร และในทรรศนะของทา่ น คิดว่ากรรมคอื อะไร จงอธิบาย ๒. กฎแหง่ กรรม หมายถึงอะไร ทาไมจึงต้องมีกรรม จงอธบิ าย ๓. จงอธิบายคาวา่ “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนามาพอเข้าใจ ๔. ประเภทของกรรม มลี กั ษณะอย่างไร จงอธิบาย ๕. ทาไมจงึ ต้องจาแนกกรรม เอาไว้ ในศาสนาอนื่ มีการจาแนกกรรมหรือไม่อย่างไร จงอธิบาย ๖. กรรมดา กรรมขาว มีลกั ษณะอยา่ งไร แตกตา่ งกับกรรมดี กรรมชัว่ หรอื ไม่อยา่ งไร จงอธิบาย ๗. วบิ ากกรรม เป็นลกั ษณะกรรมแบบใด จงอธบิ าย ๘. จงเปรียบเทยี บกรรมในศาสนาอื่นในเร่อื งของกรรมดกี รรมชั่วในทางพระพุทธศาสนา และผลของ กรรมแตกตา่ งกันหรือไม่อย่างไร ๙. กรรมในศาสนาพุทธกับกรรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีจดุ ใดท่ีคลา้ ยกนั และจุดใดท่ีแตกต่างกนั ๑๐. ท่านเขา้ ใจเรือ่ ง “กรรม” มากนอ้ ยขนาดไหน จงอธบิ าย พร้อมแสดงเหตผุ ลประกอบ ๑๑. “เจตนาห ภิกขฺ เว กมมฺ วทามิ” “ภิกษุทัง้ หลาย เรากล่าวว่า เจตนาเป็นตวั กรรม” พุทธภาษติ น้ี ให้นกั ศึกษาแสดงความคิดเห็นตามความเข้าใจของตนเอง . ๑.๖ เอกสารอ้างอิงประจาบทท่ี ๕ พระไตรปฏิ ก เลม่ ที่ ๑๔,๒๐,๒๕ พระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลสี ยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๓๕ พระอภิธรรมปฎิ ก เล่มที่ ๒ วภิ ังคปกรณ์ องฺ.ติก.๒๐/๔๔๕/๑๓๑,๕๕๑/๓๓๘; ข.ุ อิต.ิ ๒๕/๒๐๘/๒๔๘;๒๔๒/๒๗๒. จูฬกัมมวิภงั คสตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี ๑๔) องั คุตตรนิกาย จตกุ กนิบาต กรรมวรรค จูฬกัมมวภิ งั คสตู ร /วาเสฏฐสตู ร \"พระอภิธัมมัตถสังคหะ\".และ\"อภิธมั มัตถวิภาวนิ ีฎีกา\". \"อัฏฐสาลนิ อี รรถกถา\". เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๑๐๐
สมเด็จพระพฒุ าจารย์(อาจ อาสภมหาเถระ). วสิ ุทธมิ รรค เลม่ ๑, กรงุ เทพฯ สานกั พมิ พ์อมรนิ ทร์ พรน้ิ ต้ิง กร๊พุ ,๒๕๓๓. พระพรหมโมลี (วลิ าศ ญาณวโร). \"กรรมทปี นี\".เลม่ ๑-๒ พมิ พค์ ร้ัง๑ . กรงุ เทพฯ สานักพิมพด์ อกหญ้า ๒๕๔๕. เอกสารอน่ื ๆ แหล่งทม่ี า พระอภิธรรม ออนไลน.์ http://www.mettadham.ca/ คนั วันท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ แหล่งที่มา พระอภิธรรม ออนไลน์.http://board.palungjit.com/ คนั วนั ท่ี ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ แหล่งท่ีมา พระอภิธรรม ออนไลน.์ http://th.wikipedia.org/คนั วนั ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ แบบทดสอบบทท่ี ๔ จานวน ๒๐ ข้อ ๑. กรรม มีความหมายตามตวั อักษรว่าอย่างไร ก. การกระทา ข. ความดี ค. ความดีความชัว่ ง. ความสวยงาม ๒. “การกระทาใดกต็ ามมเี หตุ มที มี่ า พรอ้ มกับผลที่จะได้รบั ก็มีเชน่ กนั ” จากขอ้ ความนี้ เกีย่ วขอ้ งกับขอ้ ความใด ก. ความดี ข.ความช่ัว ค. ผลสบื เน่อื ง ง. การมีเหตมุ ผี ล ๓. “บุญบาปเป็นเงาตามตวั ไม่สามารถแบง่ ปนั หรือลบล้างได้” จากข้อความนีแ้ สดงถึงเรือ่ งใด ก. ผลของความดคี วามชว่ั ข. เหตุของความดคี วามช่วั ค. การทาดีได้ดี การทาช่วั ได้ช่ัว ง. กฎแห่งกรรม ๔. กรรมใดตอ่ ไปนีไ้ มจ่ ัดอยูใ่ นกายกรรม ก. แจว๋ ชมเชยเพ่ือนทีส่ อบได้คะแนนดเี ย่ียม ข. แจง ชว่ ยปลกู ตน้ ไม้ในเทศกาลสาคัญ ค. โจ คดิ อยู่เสมอว่าความดเี ป็นสง่ิ ทีค่ วรทา ง. เจ๊ียบ ชวนเพื่อทาบญุ รักษาศลี ในวันพระ ๕. ขอ้ ใดจัดเป็นมโนกรรม (ใชค้ าตอบจากขอ้ ๔) (ค) ๖. จากขอ้ ที่ ๔ ข้อใดจดั เป็นวจีกรรมท้งั หมด ข. ก. และ ค. ก. ก. และ ข. ง. ก. และ ง. ค. ค. และ ง. เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทตั ปกั สังขาเนย์ ๑๐๑
๗. อะไรคือสงิ่ ทที่ าให้กรรมทั้งหลาย สาเร็จผล ก. การกระทาลงไปแลว้ ข. ความตอ้ งการที่จะทา ค. เจตนาอย่างแรงกลา้ ง. กรรมทกุ อย่างไดถ้ ูกกระทาลงไปอย่างสมบรู ณ์ ๘. อะไรคือ สาเหตุอันดับแรกในการทากรรม (ใชค้ าตอบจากขอ้ ๗ (ค.)) ๙. “ปากกาลจตกุ ะ” มีความหมายวา่ อยา่ งไร ก. กรรมใหผ้ ลตามกาล ข. กรรมใหผ้ ลตามหนา้ ท่ี ค. กรรมใหผ้ ลตามลาดบั ง. กรรมให้ผลตามฐานะ ๑๐. “การจาแนกกรรมตามการใหผ้ ล” ตรงกับข้อใด ก. ปากกาลจตุกะ ข. กจิ จตกุ ะ ค. ปากทานปรยิ ายจตกุ ะ ง. ปากฐานจตกุ ะ ๑๑. กรรมใดทไ่ี ม่มีการใหผ้ ลอีกตอ่ ไปได้ ก. ทฏิ ฐธรรมเวทนนียกรรม ข. อปุ ัชชเวทนียกรรม ค. อปราปริเวทนียกรรม ง. อโหสิกรรม ๑๒. กรรมใดทมี่ คี วามหมายตรงกบั “อปราปริเวทนยี กรรม” (กรรมทส่ี ง่ ผลในภพต่อๆ ไป) ก. ทองถูกหวยรางวลั ท่ี ๑ ข. ส้ม ส้มเป็นลกู เศรษฐี ค. โอม มีผิวพรรณดี ง. หญงิ มสี องดีสามารถจดจาอะไรไดง้ า่ ย ๑๓. กรรมใดทท่ี าหนา้ ท่ี “ อปุ ฆาตกรรม” ก. ทาใหเ้ กดิ ใหม่ ข. สนบั สนุนกรรมอื่น ค. บีบค้นั ใหก้ รรมอ่ืนใหผ้ ล ง. ขดั ขวาง ปิดก้นั กรรมอ่นื ที่จะใหผ้ ล ๑๔. กรรมในข้อใดต่อไปน้ีคือกรรมหนกั (ครกุ รรม) ก. สิงห์ ตั้งใจยงิ ชา้ งให้ตาย ข. พงษ์ ใหย้ าผดิ ประเภททาให้พระมรณภาพ ค. ธีระ ขับรถดว้ ยความประมาททาให้พอ่ ตาย ง. ชาติ ทาบญุ มากๆ เพอ่ื หวังจะเกดิ ในทดี่ ี ๆ ๑๕. ศาสนาใดมีทศั นะตา่ งจาก การชาระบาปใหห้ มดไปน้นั มีปรากฏในศาสนาใดบา้ ง ก. ศาสนาพทุ ธ ข.ศาสนาครสิ ต์ ค. ศาสนาอสิ ลาม ง. ศาสนาฮนิ ดู ๑๖. การชาระบาปแบบศาสนาทเ่ี ปน็ เทวนิยมคือการกระทาอยา่ งไร ก. บูชายญั ข.สวดมนต์ออ้ นวอน ค. ลา้ งบาปในแม่น้าคงคา ง. ถกู ทกุ ขอ้ ๑๗. “กรรมนเ้ี ป็นของๆ ตน ไมส่ ามารถล้วงพ้นจากส่งิ ทตี่ นทาลงไปได้” มีความหมายตรงกับขอ้ ใด ก. ทาดีไดด้ ี ข. กฎแห่งกรรม ค. ลขิ ิตกรรม ง. กศุ ลกรรม เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปักสังขาเนย์ ๑๐๒
๑๘. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งทีส่ ดุ ก. การรกั ษาศลี สามารถตดั กรรมได้ ข. การบาเพญ็ ตนจนได้ฌานสามารถตัดกรรมได้ ค. การบรรลุธรรมสามารถหนีกรรมได้ ง. การรกั ษาศีลบาเพญ็ ตนสามารถหนกี รรมได้ ๑๙. ความเช่ือทถี่ ูกต้อง คอื เชอื่ เรอื่ งใด ก. ทาดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ ว่ั ข. เรอื่ งกฎแหง่ กรรม ค. การอ้อนวอนตอ่ เทพเจา้ ง. ขอ้ ก. และ ข. ถูก ๒๐. “ เจตนาห ภิกขฺ เว กมมฺ วทามิ” มคี วามหมายตรงกบั ขอ้ ใด ก. การกระทาทกุ ยอยา่ งมเี หตุ มผี ล ข. การกระทาท่จี ะมีผลมากตอ้ งมคี วามตัง้ ใจ ค. การกระทาทกุ อยา่ งตอ้ งมผี ้บู ันดาล ง. การกระทาทุกอย่างเรม่ิ ท่ีตัวเรา เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๑๐๓
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี ๖ ๑. หวั ข้อประจาบทท่ี ๖ สงั สารวฏั ๑.๑ ความนา ๑.๒ ความหมายสังสารวัฏ ๑.๒.๑ วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ ๑) มหานรก ๘ ขมุ ๒) ยมโลกนรก ๓) อุสสทนรก ๔) เดรัจฉานภมู ิ ๕) เปรตภมู ิ ๖) อสุรกายภมู ิ ๗) โลกเบื้องกลาง ๘) เทวภมู ิ ๖ ๑.๓ สรุปสาระสาคัญประจาบทที่ ๖ ๑.๔ คาถามทบทวนประจาบทที่ ๖ ๑.๕ เอกสารอา้ งอิงประจาบทท่ี ๖ ๑.๖ แบบทดสอบทา้ ยบทท่ี ๖ ๒. วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม เม่ือศึกษาบทท่ี ๖ จบแล้ว นกั ศึกษาสามารถ ๒.๑ อธิบายความหมายของสังสารวัฏตามทป่ี รากฏในหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ๒.๒ สามารถวิเคราะห์วฏั ฏะภูมิ ๓๑ ในทางพระพทุ ธศาสนา ๒.๓ สามารถนาเอาหลักการที่เกี่ยวกับวัฏฏะภูมิ ๓๑ วิเคราะห์ ตีความให้เกิดความเข้าใจตามหลัก วิชาการท่ศี ึกษา นาไปปฏบิ ัติได้ ไปปรับใช้ตามหลักการทางวชิ าการไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๓. วธิ ีการสอน และกิจกรรม ๓.๑. นกั ศึกษา ตงั้ ประเด็นปญั หา สอบถาม เร่ือง วัฏฏะภูมิ ๓๑ จาเอาประเด็นสาคัญมาวิเคราะห์ให้ ได้หลักการทางวิชาการอันประกอบด้วยเหตุผลท่ีควรเช่ือถือและนาไปปฏิบัติได้ โดยต้ังคาถามให้นักศึกษา เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๑๐๔
แสดงความคิดเห็นตามความต้องการของตนเอง แล้วสรุปโดยภาพรวม พร้อมท้ังตั้งปัญหาให้นักศึกษาไป ค้นคว้าเพ่มิ เติม ๓.๒. ให้นักศึกษาทาใบงาน ในคาถามท้ายบทท่ีกาหนดให้ หรือ ผู้สอนคิดขึ้นมานอกเหนือจากที่มีใน เอกสาร ๓.๓. นาใบงานมาตรวจแล้วสรุปความคิดเห็นท่ีนักศึกษาแสดงความคิดเห็นเพ่ือเพิ่มเติมความเข้าใจ และนาประเด็นสาคัญมาหาขอ้ สรุปทีถ่ กู ต้องตามหลกั วชิ าการ ๔. สื่อการสอน ๔.๑. เอกสารประกอบการสอนวชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท และอนื่ ๆ ที่เกีย่ วข้อง ๔.๒. ใบงาน ๔.๓. คอมพิวเตอร์โปรแกรม Microsoft Power Point ๕. การวดั ผลและประเมินผลการเรยี น ๕.๑. สังเกตจากการมสี ่วนรว่ มในการทากจิ กรรม ๕.๒. สงั เกตจากความสนใจฟังและซักถาม ๕.๓. จากการตรวจใบงานท่ใี หท้ าในช้ันเรียน ๖. แนะนาเน้ือหาสาระประจาบททท่ี รงคุณคา่ ควรศกึ ษา ดงั นี้ ๖.๑ ความหมายสังสารวฏั หนา้ ท่ี ๑๐๖ ๖.๒ วฏั สงสาร ๓๑ ภมู ิ หนา้ ที่ ๑๐๗ เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทตั ปกั สงั ขาเนย์ ๑๐๕
บทท่ี ๖ สังสารวฏั (The process of Birth and Death) ความนา สังสารวัฏเรื่องราวท่ีเก่ียวกับภพภูมิท่ีมีปรากฏในทางพระพุทธศาสนา โดยการศึกษานี้มุ่งเน้นเพื่อให้ เกดิ ความเขา้ ใจ วธิ กี ารหลักการอันจะนาไปสู่กระบวนการเรยี นรู้และทาความเข้าใจและหาวิธีการในการปฏิบัติ เพอื่ ให้เกิดการปฏบิ ัติไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง การศกึ ษาเรือ่ งภพภูมนิ ้ใี นทางพระพุทธศาสนา มีจุดมุ่งหมายเพื่อชาวพุทธ ได้เข้าใจ ว่าภูมิเหล่าน้ี เป็นผลที่จะทาให้คนปฏิบัติท้ังดี และชั่วไปเกิดในสถานท่ีแห่งน้ัน และยังมีภพภูมิท่ีสูง กว่าน้ี น้ันก็คอื โลกตุ ตรภูมิ อันเป็นภมู ทิ ่ผี ้ปู ฏิบัติสามารถอยู่เหนือโลก และไมต่ ้องมาเวียนวนในโลกทั้ง ๓ อกี ดงั นนั้ การศึกษาสังสารวัฏ จึงเป็นอีกส่วนหน่ึงของการศึกษาตามแนวหลักการปฏิบัติเบื้องต้น เพื่อให้ เกิดกระบวนการปฏบิ ตั ิในระดบั ท่ีสูงขนึ้ ไปอีก ๑.๑ ความหมายสงั สารวฏั วัฏสงสารหรือ สังสารวัฏ หรือ สงสารวัฏ คือภพภูมิที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาในตาม หลักของพุทธศาสนาซงึ่ บัญญัตไิ ว้วา่ มีทง้ั สิ้น ๓๑ ภมู ิด้วยกัน สงั สาร หรือ สงสาร แปลวา่ ความทอ่ งเท่ียวไป ในทางพระพุทธศาสนาหมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด มิใช่หมายถึงความรู้สึกหวั่นไหวด้วยความกรุณา เมื่อเห็นผู้อ่นื ไดร้ บั ความทกุ ข์ สังสารวัฏ แปลว่า ความท่องเที่ยวไปในอาการที่เป็นวัฏฏะ การหมุนวนอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด เรียกอกี อย่างหน่ึงว่า วัฏสงสาร สงสารวฏั หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ของสัตว์โลกด้วยอานาจกิเลส กรรม วิบาก หมนุ วนอยู่เช่นน้นั ตราบเท่าที่ยังตดั กิเลส กรรม วบิ ากไม่ได้ ๑.๑.๑ วัฏสงสาร ๓๑ ภูมิ นรกภูมิ รูปภวจักร หรอื สังสารจกั รของทิเบต แสดงถึงผลของการขาดปัญญาในการรูท้ ันเหตเุ กิดแห่งทกุ ข์ (สมทุ ยั ) ทาใหต้ ้องจมเวียนวา่ ยตายเกิดอยู่ในกองทุกข์ทงั้ ปวงไมจ่ บส้ิน ดูบทความหลกั ท่ี นรกภมู ิ เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๑๐๖
นรกภูมิตามความเช่ือทางศาสนา ประกอบด้วยมหานรก เป็น นรกขุมหลกั มี ๘ ขุม แตล่ ะชัน้ ห่างกันประมาณ ๑๕,๐๐๐ โยชน์จากน้ัน จะมี ยมโลกนรก ๓๒๐ ขมุ อยู่รอบ ๔ ทิศๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละ ขุม อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม อยู่รอบๆ ๔ ทิศ ๆ ละ ๔ ของมหานรกแต่ละ ขุม และนรกขุมที่ลึกท่ีสุดเรียกว่าโลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่ อยู่นอก จักรวาล มืดมนไม่มีแสง มองไม่เห็นอะไรเลยและเต็มไปด้วยทะเล นา้ กรดเยน็ ทีต่ งั้ อยรู่ ะหว่างโลกจักรวาล ๓ โลก เหมือนกับวงกลม ๓ วง ติดกัน บริเวณช่องว่างของวงท้ัง ๓ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกขเวทนา เป็นเวลา ๑ พุทธันดร จากผลกรรมช่ัว เช่น ทรมานประทุษร้ายต่อบิดา มารดา และผู้ทรงศีล ทรงธรรมหรือทาปาณาติบาต เป็นอาจิณ ฆ่าตัว ตาย เปน็ ตน้ ๑. มหานรก ๘ ขุม ประกอบด้วย ๑) สัญชีวนรก นรกทีส่ ตั วน์ รกอายุ ๕๐๐ ปอี ายกุ ปั (๑ วันนรกเทา่ กับ ๙ ล้านปีมนุษย์) สาเหตทุ ต่ี กขุมน้ี คือมีจติ ใจที่อามหิต ไร้มนุษยธรรม ฆ่าสตั ว์ตัด ชวี ิต ไม่ปราณี เบยี ดเบยี น ประทุษร้ายผู้อื่นให้ ไดร้ บั ความทุกข์ ๒) กาฬสุตตนรก นรกท่ีลงโทษด้วยเส้นเชอื กสดี า แลว้ กถ็ ากหรือตดั ดว้ ยเครื่องประหาร อายุ ๑,๐๐๐ ปี อายุกัป (๑ วนั นรกเทา่ กบั ๓๖ ลา้ นปมี นุษย์) สาเหตุที่ตกขุมนี้ คือ เป็นคนโหดร้าย มีใจบาป จับเอา สตั วส์ ่เี ทา้ มาแลว้ ตัด เทา้ หนา้ , เท้าหลัง, ห,ู จมูก, ปาก ทาใหส้ ตั วล์ าบากทกุ ข์ทรมานหรือเผาป่าหรอื เคย ประทุษรา้ ยตอ่ บุพการีผบู้ งั เกิดเกลา้ บดิ า มารดา ครู ผู้มีพระคุณ ๓) สงั ฆาฏนรก นรกทม่ี ภี ูเขาเหล็กใหญม่ ไี ฟลกุ โพลงบดขยส้ี ัตวน์ รก อายุ ๒,๐๐๐ ปอี ายุกัป (๑ วันนรกเท่ากับ ๑๔๕ ล้านปีมนุษย์) สาเหตุที่ตกขุมนี้ คือ มีใจบาปหยาบช้าด้วยอกุศลกรรม ไร้ความเมตตา กรุณา ทารณุ กรรมสตั ว์ ฆา่ สัตวเ์ ปน็ ประจา ๔) โรรุวนนรก นรกทเี่ ตม็ ไปดว้ ยเสยี งรอ้ งไห้ครวญครางดงั ของสตั วน์ รกทถ่ี ูกควนั ไฟอบอา้ ว อายุ ๔,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรกเท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์) สาเหตุที่ตกขุมน้ี คือ มีใจบาปหยาบช้าจับเอา สัตว์เป็น ๆ มาเผาหรือป้ิงให้สุกแล้วกินอาหารอยู่เนืองนิตย์ บางคนเคยเป็นตุลาการพิพากษาความยุติธรรม ด้วยอานาจ โลภ โกรธ หลง เหน็ แกส่ ินจ้าง บางคนเป็นบุคคลท่ีโลภมาก รุกบ้านเรือกสวนไร่นาของผู้อื่นมาเป็น ของตน บางคนเคยคบหาภรรยาของคนอ่ืน แล้วฆ่าสามีของเขาเพ่ือเอาภรรยามาเป็นของตน บางคนเคยคบหา สามขี องคนอ่นื แล้วฆา่ ภรรยาของเขาเพื่อเอาสามีมาเป็นของตน บางคนขโมยส่ิงของที่เขานามาถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาเปน็ ของตน ๕) มหาโรรวุ นรก นรกทีเ่ ต็มไปด้วยเสยี งร้องไห้ครวญครางดังกว่าโรรวุ นรก อายุ ๘,๐๐๐ ปี เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทตั ปักสังขาเนย์ ๑๐๗
อายุกัป (๑ วันนรกเท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) สาเหตุที่ตกขุมน้ี คือ มีใจบาป โหดร้ายอามหิต ตัดศีรษะ มนษุ ยห์ รอื สัตว์ ๖) ตาปนนรก นรกทที่ าใหส้ ตั วเ์ ร่าร้อน ด้วยการใหน้ ง่ั ตรึงตดิ อยใู่ นหลาวเหลก็ อนั ร้อนแดงแลว้ ให้ไฟไหม้อยู่ อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีอายุกัป (๑ วันนรก ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์) สาเหตุท่ีตกขุมนี้ คือ มีใจบาป เช่น เปน็ นายพรานประหารสตั ว์ ทิม่ แทงด้วยหอกหลาวแลว้ เอาเนอ้ื มากิน ๗) มหาตาปนนรก นรกทีเ่ ต็มไปดว้ ยความเรา่ ร้อนอยา่ งมากมายเหลือประมาณ อายุ ครง่ึ อนั ตรกัปของมนุษย์ สาเหตุท่ตี กขมุ น้ี คือ ประหารคนหรือสตั ว์ให้ตายเป็นหมู่ ๘) อเวจนี รก นรกท่ปี ราศจากคลื่นคอื ความบางเบาแห่งความความทุกข์ อายุ ประมาณ ๑ อนั ตรกัปของมนุษย์ สาเหตุท่ีตกขุมนี้ คือ ฆ่าบิดาให้ตายหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า , ฆ่ามารดาให้ตายหรือใช้ให้คนอ่ืน ฆ่า , ฆ่าพระอรหนั ต์ให้ตายหรอื ใชใ้ ห้คนอืน่ ฆา่ , ทาร้ายพระพทุ ธเจ้า , ยุยงให้พระสงฆแ์ ตกแยกกนั ๒ ยมโลกนรก ประกอบด้วย นรก ๑๐ ขมุ ใหญ่ดังนี้ ๑) โลหกมุ ภนี รก เป็นหม้อเหลก็ ขนาดใหญเ่ ท่าภเู ขา เต็มไปดว้ ยนา้ แสบร้อนเดือดพล่าน ตลอดเวลา สตั ว์นรกถกู ตม้ เค่ยี วในหม้อเหล็กนรกนัน้ จนกวา่ จะส้นิ กรรมช่วั ทตี่ นไดท้ ามา ๒) สมิ พลนี รก เต็มไปดว้ ยปา่ งว้ิ นรก มีหนามแหลมคมเปน็ กรดลุกเป็นเปลวไฟอยเู่ สมอ สัตว์ นรกที่มาเกดิ ตอ้ งปีนป่ายตน้ ง้วิ ๓) อสนิ ขะนรก สตั วน์ รกทเี่ กิดมามีรปู ร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมอื เล็บเทา้ แหลมยาว กลบั กลายเปน็ อาวธุ หอก ดาบ จอบ เสยี ม เอาเล็บมอื ถากตะกยุ เนื้อหนังของตนกนิ เปน็ อาหารตลอดเวลา ๔) ตามโพทะนรก มหี ม้อเหลก็ ตม้ น้าทองแดงปนด้วยหินกรวด รอ้ นระอุตลอดเวลา สตั ว์ นรกโดยการถกู กรอกดว้ ยนา้ ทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก ๕) อโยคฬุ ะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกล่ือนกลาดไปหมด สัตวน์ รกเห็นกอ้ นเหล็กแดง เป็นอาหาร เม่ือกินเขา้ ไปแล้วเหลก็ แดงนั้นก็เผาไหม้ไสพ้ ุง ๖) ปิสสกปพั พตะนรก มภี เู ขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลือ่ นท่ไี ด้ไม่หยุดหยอ่ น กล้งิ ไปมาบดขยี้สตั ว์ นรกท่มี าเกิดใหบ้ ีแ้ บนกระดกู แตกปน่ ละเอียดจนตายแล้วฟ้ืนข้นึ มาอีก ถกู บดขยีอ้ กี จนตายเรอ่ื ยไป ๗) ธสุ ะนรก สัตว์นรกที่มาเกดิ มคี วามกระหายนา้ มาก เมอื่ พบสระมีน้าใสสะอาดก็ด่มื กนิ เข้า ไป น้านัน้ กลายเปน็ แกลบ เปน็ ขา้ วลบี ลุกเป็นไฟเผาไหม้ทอ้ งและลาไส้ ๘) สีตโลสิตะนรก เต็มไปดว้ ยนา้ เย็นยะเยอื ก เม่ือสตั วน์ รกท่ีมาเกิดตกลงไปก็จะตายฟ้นื ข้ึนมาก็ถกู จับโยนลงไปอีกเรื่อยไป ๙) สุนขะนรก เต็มไปดว้ ยสนุ ัขนรก และยังมีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สตั ว์นรกท่ีเกดิ จะถูกสุนขั แรง้ กา ไลข่ บกดั ตรงลูกตา ปากและส่วนตา่ งๆ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๑๐๘
๑๐) ยันตปาสาณะนรก มีภเู ขาประหลาด ๒ ลูก เคล่ือนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรก ท่มี า เกดิ จะถูกภเู ขาบีบกระแทก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ตายแล้วก็กลบั เปน็ ขน้ึ มา ๓ อสุ สทนรก ประกอบดว้ ย ๑) คถู นรก สตั ว์นรก อยใู่ นนรกอุจจาระเนา่ ถูกหนอนกดั กินทั้งเนือ้ และกระดูกตลอดจน อวัยวะภายในท้ังหมด จนกวา่ จะส้ินกรรมชั่วของตน ๒) กุกกุฬนรก สัตว์นรกถกู เผาดว้ ยข้ีเถ้ารอ้ นระอุ ร่างกายไหมย้ ับย่อยละเอียดเปน็ จณุ จนกว่าจะสิ้นกรรมชว่ั ของตน ๓) สิมปลิวนนรก สตั วน์ รกท่ียงั มเี ศษอกศุ ลกรรมเหลอื อยู่ เม่ือพน้ จากนรกขเ้ี ถ้ารอ้ นแล้ว ตอ้ งเสวยทุกข์จากนรกปา่ ไมง้ ิ้วต่อไปจนกวา่ จะสน้ิ กรรมชวั่ ๔) อสปิ ตั ตวนนรก สัตวน์ รกที่มาเกิดไดร้ ับทุกข์จากปา่ ไมใ้ บดาบ เช่น ใบมะม่วงซ่ึงกลายเปน็ หอกดาบ และมสี นุ ขั แรง้ คอยทรมานขบกัดกนิ เลอื ดเนอื้ จนกว่าจะสิ้นกรรม ๕) เวตรณีนรก สตั ว์นรกท่ีมาเกดิ ไดร้ บั ทุกขจ์ ากน้าเคม็ แสบ ท่มี เี ครือ่ งหวายหนามเหลก็ ใบ กลบี บวั หลวงเหล็ก ตัง้ อยกู่ ลางน้า ซง่ึ คมเป็นกรด มเี ปลวไฟลุกโชนตลอดเวลาจนกวา่ จะส้ินกรรมชัว่ ของตน ๔ เดรัจฉานภมู ิ ติรัจฉานภูมิ (โลกเดรัจฉานอยู่ในโลกมนุษย์) สัตว์เดรัจฉาน โลกของสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุ ๓ ประการ คือ การกิน การนอน การสืบพนั ธ์ แบง่ เปน็ ๔ ประเภท คือ ๑) อปทตริ จั ฉาน (ไมม่ เี ทา้ ไมม่ ีขา) เช่น งู ปลา ไส้เดอื น ฯลฯ ๒) ทวปิ ทตริ จั ฉาน (มี ๒ ขา) เชน่ นก ไก่ ฯลฯ ๓) จตปุ ทตริ ัจฉาน (มี ๔ ขา) เชน่ วัว ควาย ฯลฯ ๔) พหปุ ทติรจั ฉาน (มมี ากกว่า ๔ ขา) เชน่ ตะขาบ ก้ิงกือ ฯลฯ อายุ ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมท่ีนาไปเกิดในสัตว์ประเภทต่างๆ ตามอายุขัยของสัตว์ประเภทนั้นๆ บุพ กรรม เปน็ มนุษยจ์ ติ ไม่บริสุทธ์ิ ประพฤตอิ กุศลกรรมอันหยาบช้าลามกทั้งหลาย หรือเพราะอานาจของเศษบาป อกุศลกรรมท่ีตนทาไว้ให้ผล หรือเป็นเพราะเมื่อเป็นมนุษย์ ไม่ได้ก่อกรรมทาชั่วอะไร แต่เวลาใกล้จะตายจิต ประกอบดว้ ยโมหะ หลงผดิ ขาดสติ ไม่มีสรณะเป็นที่พ่ึงจะยึดให้มั่นคง คตินิมิต นิมิตท่ีช้ีบอกถึงโลกเดรัจฉานท่ี ตนจะไป เชน่ เห็นเปน็ ท่งุ หญา้ ป่าไม้ ดงหญ้า เชิงเขา ชายน้า แม่น้ากอไผ่ และภูเขา เป็นต้น บางทีเห็นเป็นรูป สัตว์ท้ังหลาย เช่น ช้าง เสือ วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ แร้ง กา เหี้ย นก หนู จิ้งจก ฯลฯ หากภาพเหล่านี้มา ปรากฏทางใจแล้วจิตยึดหน่วงเปน็ อารมณ์เม่อื ดับจิตตายขณะนัน้ ต้องเกิดเป็นสัตวเ์ ดรจั ฉานอย่างแน่นอน เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทตั ปกั สังขาเนย์ ๑๐๙
๕) เปรตภูมิหรือ เปตภูมิ เปตติวัสยภูมิ (โลกเปรต) โลกท่ีอยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข มีมหิทธิกเปรตเป็นเจ้าปกครองดูแล อายุ ไม่แน่นอนแล้วแตก่ รรม ได้แก่ เปรต ๑๒ ชนดิ คือ ๑. วนั ตาสเปรต กนิ น้าลาย เสมหะ อาเจยี น เปน็ อาหาร ๒. กุณปาสเปรต กนิ ซากศพคน หรือสัตวเ์ ปน็ อาหาร ๓. คถู ขาทกเปรต กนิ อจุ จาระตา่ งๆ เป็นอาหาร ๔. อคั คิชาลมขุ เปรต มเี ปลวไฟลกุ อยู่ในปากเสมอ ๕. สูจมิ ขุ าเปรต มปี ากเท่ารเู ขม็ ๖. ตัณหฏั ฏติ เปรต ถูกตัณหาเบยี ดเบียนให้หวิ ข้าว หวิ นา้ อยู่เสมอ ๗. สุนชิ ฌามกเปรต มลี าตวั ดาเหมือนตอไม้เผา ๘. สัตถงั คเปรต มเี ลบ็ มือเลบ็ เทา้ ยาวและคมเหมอื นมีด ๙. ปพั พตังคเปรต มีร่างกายสงู ใหญ่เทา่ ภูเขา ๑๐. อชครงั คเปรต มรี ่างกายเหมือนงเู หลือม ๑๑. เวมานกิ เปรต ตอ้ งเสวยทุกขใ์ นเวลากลางวัน แตก่ ลางคืนไดไ้ ปเสวยสขุ ในวิมาน ๑๒. มหิทธธกิ เปรต มฤี ทธิ์มาก ท่อี ยู่ เชิงภูเขาหิมาลยั ในป่าวฌิ าฏวี เปรต ๔ ประเภท คอื ๑. ปรทตั ตุปชีวิกเปรต มกี ารเลยี้ งชีวิตอยโู่ ดยอาศยั อาหารท่ผี ู้อ่ืนให้ ๒. ขปุ ปิปาสกิ เปรต ถูกเบียดเบียนดว้ ยการหิวข้าว หวิ นา้ ๓. นชิ ฌามตณั หกิ เปรต ถูกไฟเผาใหเ้ ร่าร้อนอยู่เสมอ ๔. กาลกญั จกิ เปรต (ชื่อของอสรู กายทเี่ ปน็ เปรต) มรี า่ งกายสูง ๓ คาวุต มี เลอื ดและเน้ือน้อยไม่มแี รง มีสสี นั คลา้ ยใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนตาปู และมปี ากเทา่ รูเข็มต้ังอยู่กลาง ศีรษะ เปรต ๗ จาพวก คอื ๑) มงั สเปสิกเปรต มีเน้ือเป็นชน้ิ ๆ ไมม่ ีกระดูก ๒) กมุ ภณั ฑ์เปรต มีอัณฑะใหญ่โตมาก ๓) นจิ ฉวติ กเปรต เปรตหญิงทีไ่ ม่มหี นงั ๔) ทคุ คันธเปรต มกี ล่ินเหม็นเนา่ ๕) อสีสเปรต ไมม่ ีศีรษะ ๖) ภกิ ขุเปรต มรี ูปรา่ งสัณฐานเหมือนพระ ๗) สามเณรเปรต มีรปู ร่างสณั ฐานเหมือนสามเณร ฯลฯ บุพกรรม ประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เมื่อขาดใจตาย จากมนุษย์โลก หากอกุศลกรรม สามารถนาไปสู่นิรยภูมิได้ ต้องไปเสวยทุกข์โทษในนรกก่อน พอสิ้นกรรมพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปยังมีก็ไป เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรัชญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทตั ปกั สังขาเนย์ ๑๑๐
เสวยผลกรรมเป็นเปรตต่อภายหลัง หรือมีอกุศลกรรมท่ีเกิดจากโลภะนามาเกิด คตินิมิต นิมิตที่บ่งบอกถึงโลก เปรต เช่น เห็นหบุ เขา ถ้าอันมืดมิดท่ีวังเวงและปลอดเปลี่ยว หรือเห็นเป็นแกลบและข้าวลีบมากมาย แล้วรู้สึก หิวโหยและกระหายน้าเปน็ กาลัง บางทีเห็นว่าตนดื่มกินเลือดน้าหนองที่น่ารังเกียจสะอิดสะเอียน หรือเห็นเป็น เปรตมรี า่ งกายผา่ ยผอมน่าเกลยี ดน่ากลัว เน้ือตวั สกปรก รกรุงรงั ฯลฯ หากภาพเหล่าน้ีมาปรากฏทางใจแล้วจิต ยึดหน่วงเป็นอารมณ์ เม่ือดับจิตตายขณะนั้น ต้องบังเกิดเป็นเปรตเสวยทุกขเวทนาตามสมควรแก่กรรมอย่าง แน่นอน ๖) อสุรกายภูมิ (โลกอสรุ กาย) ภูมิอันเป็นท่ีอยู่ของสัตว์อันปราศจากความเป็น อิสระและสนุกรื่นเริง แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสรุ า เทวอสรุ า มี ๖ จาพวก คือ ๑. เวปจติ ตอิ สุรา ๒. สุพลอิ สรุ า ๓. ราหอุ สุรา ๔. ปหารอสุรา ๕. สัมพรตีอสุรา ๖. วินิปาตกิ อสรุ า ๕. จาพวกแรกเป็นปฏิปักษ์ต่อเทวดาช้ันตาวติงสา อยู่ใต้ ภูเขาสเิ นรุ สงเคราะห์เข้าในพวกเทวดาชั้นตาวติงสา ส่วน วินิปาติกอสุรา มีรูปร่างสัณฐานเล็กกว่า และอานาจ น้อยกว่าเทวดาชั้นตาวติงสา เที่ยวอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกท่ัวไป เช่น ตามป่า ตามเขา และศาลท่ีเขาปลูกไว้ ซ่ึง เป็นท่ีอยู่ของภุมมัฏฐเทวดาทั้งหลาย แต่เป็นเพียงบริวารของภุมมัฏฐเทวดาเท่าน้ัน สงเคราะห์เข้าในจาพวก เทวดา ชนั้ จาตมุ หาราชิกา เปตตอิ สุรา มี ๓ จาพวก คือ ๑. กาลกัญจิกเปรตอสรุ า ๒. เวมานิกเปรตอสรุ า ๓. อาวุธิกเปรตอสุรา เป็นเปรตท่ีประหัตประหารกันและกันด้วยอาวุธต่างๆ นิรยอสุรา เป็นเปรต จาพวกหนึ่งท่ีเสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกโลกกันตร์ นรกโลกกันตร์ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลท้ังสาม อสรุ กายน้ีหมายเอาเฉพาะกาลกญั จกิ เปรตรอุสรกายเทา่ นนั้ อายแุ ละบพุ กรรม เชน่ เดยี วกันกับโลกเปรต ๗) โลกเบือ้ งกลาง เทวภมู ิ ๖ กบั โลกมนษุ ย์ ๑ (แต่ละช้ันห่างกันประมาณ ๔๒,๐๐๐ โยชน)์ โลกมนุษย์ มนุษยภูมิ เปน็ ทอ่ี าศยั ของสตั ว์ผมู้ ีใจสูงในเชงิ กลา้ หาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ ทั้งท่ีเป็น กศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรม แบ่งเป็น ๔ จาพวก คือ ๑. ผมู้ ดื มาแล้วมดื ไป บุคคลทีเ่ กิดในตระกูลอันตา่ ยากจน ขัดสน ลาบาก ฝดื เคอื ง เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทตั ปักสงั ขาเนย์ ๑๑๑
อย่างมากในการหาเลี้ยงชพี มีปจั จยั ๔ อย่างหยาบ เช่น มีอาหารและน้าน้อย มีเคร่ืองนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมองหรือมีรา่ งกายไมส่ มประกอบ บ้าใบ้ บอด หนวก หาท่ีนอน ที่อยู่อาศัย ยากรักษาโรค ไม่ใคร่ได้ และ เขากลับประพฤตทิ จุ ริตทางกาย วาจา ใจเมอื่ ตายไปยอ่ มเข้าถึงทคุ ติอบาย ๒. ผ้มู ืดมาแล้วสวา่ งไป บคุ คลท่เี กิดในตระกูลตา่ ผิวพรรณหยาบ ฯลฯ แต่เขาเปน็ คนมี ศรทั ธา ไมม่ ีความตระหน่ี เป็นคนมคี วามดารปิ ระเสริฐ มีใจไม่ฟงุ้ ซา่ น ย่อมให้ทาน ย่อมลุกรับสมณะชีพราหมณ์ หรือวณิพกอ่ืนๆ ย่อมสาเหนียกในกริยามารยาทเรียบร้อย ไม่ห้ามคนท่ีกาลังจะให้ทาน เมื่อตายไปย่อมถึงสุคติ โลกสวรรค์ ๓. ผสู้ วา่ งมาแลว้ มืดไป เปน็ บุคคลผู้อบุ ัตเิ กิดในตระกูลสงู เป็นคนมัง่ คั่งมง่ั มี มโี ภค สมบัตมิ ากเปน็ ผมู้ ปี จั จยั ๔ อนั ประณีต ท้ังเป็นคนรูปร่างสมส่วน สะสวย งดงาม ผิวพรรณดูน่าชม แต่กลับเป็น คนไม่มีศรัทธา ตระหน่ี ไม่มีความเอื้อเฟ้ือ กรุณาอาทร มีใจหยาบช้า มักขึ้งโกรธ ย่อมด่า ย่อมบริภาษบุคคล ต่างๆ ไม่เว้นแม่กระทั่งมารดาบิดา สมณะชีพราหมณ์ ย่อมห้ามคนท่ีกาลังให้โภชนาหารแก่คนท่ีขอ เม่ือตายไป ยอ่ มเข้าถึงทคุ ติอบาย ๔. ผู้สวา่ งมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลท่ีอุบัติเกดิ ในตระกลู สูง มีผิวพรรณงามและเขา ยอ่ มประพฤติสจุ รติ ทางกาย วาจา ใจ เม่ือตายไปย่อมเขา้ ถึงสุคติโลกสวรรค์ แบง่ ออกเปน็ ๔ ทวปี หรือสี่มิติ ไดแ้ ก่ ๑ ๑. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ท่ีอาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ารูปไข่ กาหนด อายุขัยไม่แน่นอน โดยความย่ิงหย่อนในคุณธรรม สมัยใดคนชมพูทวีปมีกาย วาจา ใจ เพียบพร้อมย่ิงด้วย คุณธรรมสมยั นน้ั คนชมพูทวีปมีอายยุ ืนถงึ อสงไขยปี สมัยใด คนชมพทู วีป กาย วาจา ใจ ย่อหย่อนด้วยคุณธรรม สมยั นัน้ มอี ายลุ ดนอ้ ยถอยลงมาเพยี ง ๑๐ ปี เป็นอายขุ ัย ๒. อุตตรกุรทุ วีป อยู่ทางทิศเหนอื ของภูเขาสิเนรุ มนษุ ย์ทอี่ าศัยอยูใ่ นทวีปน้ี มลี กั ษณะใบหนา้ เปน็ รปู ส่ีเหล่ียม มีคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ ๑) ไมย่ ดึ ถือเอาทรัพยส์ ินเงินทองว่าเปน็ ของตน ๒) ไม่มีการยึดถือในบตุ ร, ภรยิ า, สามี ว่าเป็นของตน ๓) มอี ายยุ นื ถึง ๑๐๐๐ ปี มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีการรักษาศีล ๕ เป็นนิจ เม่ือตายไปแล้วย่อมเกิดในเทวโลก แน่นอน ดังสา รัตถทปี นีฏีกา แสดงวา่ “คตปิ ิ นิพฺพตฺถา มโต สคฺเคเยว นพิ พฺ ตฺตนฺติ” แปลความว่า “มนุษย์อุตตรกุรุนี้ เมื่อตาย แล้ว ยอ่ มไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอยา่ งแนน่ อน” หมายความวา่ เมื่อตายจากภพมนุษย์แล้วย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกแต่ถึงเวลาท่ีจุติจากเทวโลกแล้ว อาจไปเกิดในอบายภูมิ ๔ หรือมนุษย์ในทวีปอ่ืนใดก็ได้ จะไม่ไปสู่อบายภูมิเพียงช่ัวภพถัดไปจากที่กาลังเป็น มนุษย์อตุ ตรกุรเุ ท่านน้ั ๑ แหลง่ ทีม่ า (ออนไลน์) http://board.palungjit.com/ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๑๑๒
๓. บุพพวิเทหะ อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้า ตอนบนตัดโคง้ มนลงส่วนล่างคลา้ ยบาตร มอี ายยุ ืนถงึ ๗๐๐ ปี ๔.อมรโคยาน อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ท่ีอาศัยอยู่ในทวีปน้ี มีลักษณะใบหน้า ตอนบนตดั โคง้ มนลงส่วนล่างคลา้ ยบาตร มีอายยุ นื ถงึ ๗๐๐ ปี บพุ กรรม กรรมของมนุษยท์ ที่ าในกาลก่อน สง่ ผลให้มีปฏิปทาต่างกัน เช่น บางคนเป็นคนดี บางคนบ้า บางคนรวย บางคนจน บางคนมีปญั ญา บางคนเขลา ฯลฯ เพราะเหตุปัจจัยตา่ งๆ อาทิ ๑. ปฏิปทาให้มีอายสุ นั้ เพราะเป็นคนโหดเห้ียมดรุ ้าย มักคร่าชีวิตสัตว์ ปฏิปทาให้มีอายุยืน เป็นผู้เว้น ขาดจากการทาชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป มีความละอาย เอ็นดูอนุเคราะห์ด้วยความเก้ือกูลสรรพสัตว์ และภตู อิ ยู่ ๒. ปฏิปทามีโรคมาก เป็นผู้มีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ ท่อนไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน หรือศาสตรา อาวธุ ต่างๆ ๓. ปฏิปทามีโรคน้อย ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยมือ หรือศาสตราอาวุธต่างๆ มีมีด ขวาน ดาบ ปืน เป็น ตน้ ๔. ปฏิปทาใหม้ ผี ิวพรรณทราม เปน็ คนมักโกรธ มากไปด้วยความแคน้ เคือง ถูกเขาว่าเลก็ น้อยก็ขดั ใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทาความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ปฏิปทาให้มีผิวพรรณงาม เปน็ คนไม่มักโกรธ ไมพ่ ยาบาท ไมม่ าดรา้ ย ไม่ทาความโกรธความรา้ ยและความข้งึ เคียดใหป้ รากฏ ๕. ปฏิปทาให้เป็นคนมีศักดาน้อย คือเป็นคนมีใจริษยา มุ่งร้าย ผูกใจในการอิจฉาริษยาในลาภ สกั การะ ความเคารพ ความนับถอื การไหวแ้ ละการาบูชาของคนอ่นื ๖. ปฏิปทาให้เป็นคนมีศักดามาก เป็นคนไม่มีใจริษยา ไม่มุ่งร้าย ยินดีด้วยในลาภสักการะ ความ เคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของคนอื่น ปฏิปทาให้มีโภคะน้อย เป็นผู้ไม่ให้ข้าว น้า ผ้า ยาน ทนี่ อนทีอ่ าศยั เปน็ ตน้ ๗. ปฏิปทาให้มีโภคะมาก ชอบให้ทาน มีอาหาร นา้ เคร่ืองนุง่ หม่ ของหอม ที่นอนที่อาศัย เคร่ืองตาม ประทปี แกส่ มณะหรือชพี ราหมณ์ เปน็ ต้น ๘. ปฏปิ ทาใหเ้ กิดในตระกลู ต่า เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคน ที่ควรลุกรับ ไมใ่ ห้อาสนะแก่คนท่ีควรให้ ไม่ใหท้ างแก่คนทีค่ วรใหท้ าง เป็นต้น ๙. ปฏิปทาใหเ้ กดิ ในตระกูลสงู เป็นคนอ่อนนอ้ มถ่อมตน วจไี พเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟ้ือ รู้จักยืนเคารพ ยืนรับ ยืนคานับ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ สักการะแก่คนที่ควรสักการะ เคารพคนท่ีควรเคารพ นับถือคนที่ ควรนบั ถอื บูชาคนทคี่ วรบูชา เป็นต้น เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๑๑๓
๑๐.ปฏปิ ทาทาใหม้ ีปัญญาทราม คือ เป็นผู้ไม่เคยเขา้ ไปหาบณั ฑิต สมณะหรือชีพราหมณ์แล้วสอบถาม ว่าอะไรเปน็ กุศล อะไรไม่เป็นอกุศล อะไรมโี ทษ อะไรไม่มโี ทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ เป็น ตน้ ๑๑.ปฏิปทาทาให้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มักเข้าไปสอบถาม บัณฑิตสมณะหรือชีพราหมณ์ แล้ว สอบถามว่า อะไรเปน็ กุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรเมื่อทาลงไปแล้ว ย่อม เป็นไปเพ่ือความไม่เป็นประโยชน์เก้ือกูล เพ่ือความทุกข์สิ้นกาลนาน อะไรเมื่อทาไปแล้วย่อม เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพ่ือความสุขสิ้นกาล นาน ดงั น้ี ๘) เทวภูมิ ๖ จาตมุ หาราชกิ าภมู ิ (สวรรค์ ชั้นท่ี ๑) เปน็ ท่ีอยู่ของ เทพยดาชาวฟ้า มที ้าวมหาราช ๔ พระองค์ปกครอง คือ ๑. ทา้ วธตรฐมหาราช ๒. ทา้ ววริ ุฬหกมหาราช ๓. ทา้ ววริ ูปกั ษม์ หาราช ๔. ทา้ วเวสสวุ ณั มหาราช (ทา้ วกเุ วร) อายุ ๕๐๐ ปที ิพย์ (๙ ล้านปมี นุษย์) บุพกรรม เม่ือเป็นมนุษย์ ชอบทาความดี สันโดษ ยินดีแต่ของๆ ตน ชักชวนให้ผู้อื่นประกอบการกุศล ชอบใหท้ าน ในการใหท้ าน เปน็ ผู้มีความหวังใหท้ าน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราตายแลว้ จกั ไดเ้ สวยผลแหง่ ทานน้ี” และเป็นผ้มู ศี ลี ฯลฯ ตาวตงิ สาภมู ิ (สวรรค์ ชนั้ ที่ ๒) ทเี่ รยี กว่าไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ ประตู มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์ มีไม้ทิพย์ ช่ือ ปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๖ ล้านปีมนุษย์) บุพ กรรม เม่ือเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิต ผกู พันในผลแหง่ ทานแลว้ ให้ ไมม่ ีการสัง่ สมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดวา่ “ตายแลว้ เราจกั ได้เสวยผลทาน นี้” แต่ให้ทานด้วยความคดิ ว่า “การให้ทานเป็นการกระทาดี” งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหม่ินผู้ใหญ่ใน ตระกูล ฯลฯ ยามาภมู ิ (สวรรค์ ช้ันท่ี ๓) เป็นท่ีอยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์ มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๒,๐๐๐ ปี ทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เม่ือเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธ์ิ พยามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบาเพ็ญ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทตั ปกั สงั ขาเนย์ ๑๑๔
บุญกุศล ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วย ความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทาท่ีดี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทามา เรากไ็ ม่ควรทาใหเ้ สยี ประเพณี” รกั ษาศลี มีจิตขวนขวายในพระธรรม ทาความดีดว้ ยใจจริง ตสุ ติ าภมู ิ (สวรรค์ ชัน้ ที่ ๔) เปน็ ทอ่ี ยขู่ องเทพเจา้ ผมู้ ีความยนิ ดแี ชม่ ช่นื เป็นนิจ มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปมี นุษย์) บพุ กรรม เม่อื เปน็ มนษุ ยม์ ีจติ บริสทุ ธ์ิ ยนิ ดมี ากในการบรจิ าคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มี ความหวงั ใหท้ าน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทามา เราไม่ควรทาให้เสียประเพณี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เรา หุงหากนิ แต่สมณะหรือพราหมณท์ งั้ หลายไมไ่ ดห้ งุ หากิน เราหงุ หากนิ ได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนา หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรม มาก ฯลฯ นิมมานรตีภูมิ (สวรรค์ ชนั้ ท่ี ๕) เป็นท่ีอยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าวสุนิมมิตเทวราช ปกครอง อายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์) บุพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตใจบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการ บริจาคทาน ในการให้ทานเป็นผู้ไมม่ ีความหวงั ใหท้ าน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งการส่ังสมให้ ทาน ไม่ได้ให้ทาน ด้วยความคิดว่า “เราหุงหากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ท้ังหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหา กินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักจาแนกแจกท่านเช่นเดียวกับฤๅษีทั้งหลายในกาลก่อน” ประพฤติธรรมสม่าเสมอ พยามรักษาศีลไม่ให้ ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน และ ศลี อนั สูงเทา่ นั้น จงึ อุบัติเกดิ ในสวรรค์ช้ันนี้ได้ ปรนมิ มติ วสวัตตีภูมิ (สวรรค์ ชัน้ ท่ี ๖) เปน็ ท่อี ยู่ของเทพเจ้าซ่ึงเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น ฝ่ายเทพยดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราช ปกครอง กับ ฝ่ายมารมีท้าวปรนิมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์) บุพ กรรม เม่ือเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธ์ิ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฎ์ อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วย คุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบาเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไปด้วยความศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวด ถูกต้อง ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการส่ังสมให้ ทาน ไมไดใ้ ห้ทานด้วยความคดิ ว่า “เราจักเป็นผู้จาแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤๅษีท้ังหลายแต่กาลก่อน” แต่ให้ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปักสังขาเนย์ ๑๑๕
ทานด้วยความคิดว่า “เมื่อเราให้ทานอย่างน้ี จิตของเราจะเล่ือมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส” เพราะ วิบากแห่งทาน และศีลอนั สูงส่งยิ่งเทา่ นั้น จึงอุบัติเกดิ ในสวรรค์ช้นั นี้ได้ โลกเบอ้ื งสูง ปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ ตติยฌานภูมิ ๓ และ พรหมภูมิต้ังแต่ช้ันท่ี ๑๐ – ๒๐ (แต่ละชั้นห่าง กันประมาณ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน)์ ,อสงไขยปเี ท่ากับ เลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์อีก ๑๔๐ ตัว , ๑ รอบอสงไขยปี เทา่ กับ ๑ อันตรกปั พรหมปาริสัชชาภมู ิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑ ภูมิอันเป็นท่ีอยู่แห่งพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหาพรหม พระพรหม อายุ ๒๑ อนั ตรกปั เศษ บพุ กรรม ผู้เจรญิ สมถภาวนาสาเรจ็ ปฐมฌานได้อย่างสามัญ พรหมปโุ รหิตาภมู ิ พรหมโลก ช้ันที่ ๒ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมท้ังหลาย ผู้ทรงฐานะอันประเสริฐ คือเป็นปุโรหิต ของท่านมหาพรหม พระพรหม อายุ ๓๒ อันตรกัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสาเร็จได้ปฐมฌานอย่างปาน กลาง มหาพรหมาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๓ ภูมิอันเป็นท่ีอยู่แห่งพระพรหมผู้ย่ิงใหญ่ทั้งหลาย พระพรหม อายุ ๑ มหากัป บุพ กรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสาเร็จปฐมฌานไดอ้ ย่างประณีต ปรติ ตาภาภมู ิ พรหมโลก ช้ันที่ ๔ ภูมิอันเป็นท่ีอยู่แห่งท่านพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่ศักด์ิสูง กวา่ ตน พระพรหม อายุ ๒ มหากปั บพุ กรรม ผูท้ ี่จะมาอุบตั บิ ังเกดิ ในชั้นน้ไี ด้ต้องสาเร็จทตุ ิยฌานได้อย่างสามญั อัปปมาณาภาภมู ิ พรหมโลก ช้ันท่ี ๕ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้ พระพรหม อายุ ๔ มหากปั บุพกรรม ผเู้ จริญสมถภาวนาสาเร็จทตุ ิยฌานไดอ้ ยา่ งปานกลาง อาภสั ราภมู ิ พรหมโลก ชั้นท่ี ๖ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมท้ังหลาย ผู้มีประกายรุ่งโรจน์แห่งรัศมีนานาแสง พระพรหม อายุ ๘ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสาเร็จทุติยฌานได้อย่างประณตี ปริตตสภุ าภมู ิ พรหมโลกชนั้ ท่ี ๗ ภูมอิ นั เปน็ ทอี่ ยูแ่ หง่ พระพรหมทง้ั หลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย พระพรหม อายุ ๑๖ มหากัป บพุ กรรม ผูเ้ จรญิ สมถภาวนาสาเรจ็ ตตยิ ฌานไดอ้ ยา่ งสามญั อปั ปามาณสุภาพภมู ิ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปักสังขาเนย์ ๑๑๖
พรหมโลก ช้ันท่ี ๘ ภูมิอันเป็นท่ีอยู่แห่งพระพรหมท้ังหลาย ผู้มีความสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ พระพรหม อาย ๓๒ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในช้ันนี้ได้ต้องสาเร็จตติยฌานได้อย่าง ปานกลาง สภุ กิณหาภูมิ พรหมโลก ช้ันที่ ๙ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมท้ังหลาย ผู้มีความสง่าสวยงาม แห่งรัศมีที่ออกสลับ ปะปนไปอยู่เสมอตลอดสรีระกาย พระพรหม อายุ ๖๔ มหากัป บุพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในชั้นน้ีได้ ต้อง สาเร็จตตยิ ฌานได้อย่างประณีต เวหปั ผลาภูมิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๐ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมทั้งหลาย ผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์ พระพรหม อายุ ๕๐๐ มหากปั บุพกรรม ผทู้ ่ีเจรญิ สมถภาวนาสาเร็จ จตุตถฌาน อสัญญสัตตาภมู ิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๑ ภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมท้ังหลาย ผู้ไม่มีสัญญา (พรหมลูกฟัก) อายุ ๕๐๐ มหากัป บพุ กรรม ผู้เจริญสมถภาวนาสาเร็จจตุตฌาน และเป็นผู้มีสัญญาวิราคภาวนา(ยึดม่ันว่ารูปมีสาระ นาม ไม่มีสาระ)เหลือเพียงหนึ่งขันธ์คือรูปขันธ์ ไม่มีนามขันธ์ท้ังสี่(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เหลือเพียงธรรม ธาตสุ าม คือ จิต มโน ภวังค์ อันทาให้มชี ีวติ นิ ทรยี ์(มีชีวิต)อยู่ อวหิ าสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ช้ันที่ ๑๒ ภูมิเป็นท่ีอยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามี อริยบุคคลท้ังหลายผู้ไม่เส่ือมคลายใน สมบัติของตน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญ วิปัสสนาภาวนาจนสาเร็จเป็นพระอนาคามีอารยิ บคุ คล โดยมีสทั ธินทรียแ์ ก่กล้า อตัปปาสุทธาวาสภูมิ พรหมโลก ช้ันที่ ๑๓ ภูมิอันเป็นที่อยู่อันบริสุทธ์ิแห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความ เดือดร้อน พระพรหมอนาคามี อายุ ๒,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตตุถฌานและเจริญ วปิ สั สนาภาวนาจนสาเร็จเป็นพระอนาคามีอรยิ บุคคลโดยมวี ิรยิ ินทรีย์แก่กลา้ สุทสั สาสุทธาวาสภมู ิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๔ ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลท้ังหลาย ผู้มีความเห็นอย่าง แจ่มใส พระพรหมอนาคามี อายุ ๔,๐๐๐ มหากัป บุพ กรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุตถฌานและเจริญ วิปัสสนาภาวนาจนสาเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล โดยมีสตินทรยี แ์ ก่กล้า เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๑๑๗
สทุ สั สสิ ุทธาวาสภมู ิ พรหมโลก ช้ันที่ ๑๕ ภมู เิ ปน็ ทอ่ี ยู่อันบรสิ ุทธิแ์ ห่งพระอนาคามอี ารยิ บุคคลทัง้ หลาย ผมู้ ีความเห็นอยา่ ง แจ่มใสมากกว่า พระพรหมอนาคามี อายุ ๘,๐๐๐ มหากัป บพุ กรรม ผู้เจริญสมถภาวนาไดจ้ ตตุ ถฌาน และเจรญิ วิปสั สนาภาวนาจนสาเร็จ เปน็ พระอนาคามี อริยบุคคลโดยสมาธนิ ทรียแ์ กก่ ล้า อกนฎิ ฐาสุทธาวาสภมู ิ พรหมโลก ชั้นที่ ๑๖ ภูมิเป็นท่ีอยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดย ไม่มีความเป็นรองกัน พระพรหมอนาคามี อายุ ๑๖,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม ผู้เจริญสมถภาวนาได้จตุถฌาน และเจริญวิปสั สนาภาวนาจนสาเร็จ เปน็ พระอนาคามอี ริยบุคคล โดยมปี ญั ญินทรียแ์ ก่กล้า อากาสานัญจายตนภมู ิ พรหมโลก ชน้ั ท่ี ๑๗ ภูมเิ ปน็ ที่อย่แู ห่งพระพรหมผ้วู เิ ศษ ผเู้ กิดจากฌานทอ่ี าศัยอากาสบัญญตั ิ ซงึ่ ไม่มี ที่สดุ เป็นอารมณ์ อรปู พรหม อายุ ๒๐,๐๐๐ มหากปั บพุ กรรม โยคฤี ๅษผี ้จู ตตุ ถฌานแล้ว และสาเร็จอา กาสานญั จายตนฌาน มีนามขันธ์ส่ี แตไ่ มร่ ปู ขันธ์ วญิ ญาณัญจายตนภมู ิ พรหมโลก ชั้นที่๑๘ ภมู ิเป็นทอ่ี ย่แู ห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานท่ีอาศัยวิญญาณอันไม่มีที่ส้ินสุด เป็นอารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤๅษีผู้ได้อากาสานัญจายตนฌานและสาเร็จ วิญญาณัญจายตนฌาน มนี ามขนั ธ์ส่ี แตไ่ มร่ ูปขันธ์ อากิญจญั ญายตนภมู ิ พรหมโลก ชน้ั ที่ ๑๙ ภมู ิเป็นทอ่ี ย่แู หง่ พระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยนัตถิภาวนาบัญญัติเป็น อารมณ์ อรูปพรหม อายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม เป็นโยคีฤๅษีผู้วิญญาณัญจายตนฌานและสาเร็จอา กญิ จัญญายตนฌาน มนี ามขันธ์สี่ แต่ไมร่ ปู ขันธ์ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๑๑๘
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พรหมโลก ชนั้ ที่ ๒๐ ภูมเิ ป็นทอี่ ยูแ่ หง่ พระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยความประณีตเป็นอย่าง ย่ิงมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ อรูปพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป บุพกรรม โยคีฤๅษีผู้ได้อา กิญจัญญายตนฌานและสาเร็จเนวสญั ญานาสญั ญายตฌาน มีนามขันธ์สี่ แต่ไมร่ ูปขันธ์ สรปุ ภูมทิ ้ัง ๓๑ อรูปภมู ิ ๔ อากาสานญั จายตนะ วญิ าญาณญั จาย- อากญิ จัญญาย- เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตนะ ตนะ รูปภมู ิ ๔ อกนฎิ ฐาสทุ ธาวาสภมู ิ สทุ สั สสิ ุทธาวาสภูมิ สุทัสสาสทุ ธาวาสภมู ิ อตปั ปาสุทธาวาสภูมิ อวหิ าสุทธาวาสภูมิ รปู ภมู ิ ๑๖ เวหปั ผลาภมู ิ อาภสั ราภมู ิ อสัญญสัตตาภูมิ ปรติ ตสภุ าภูมิ อัปปมาณาภาภูมิ อปั ปามาณสภุ าพภมู ิ สุภกิณหาภมู ิ พรหมปุโรหติ าภมู ิ ปรติ ตาภาภมู ิ มหาพรหมาภมู ิ พรหมปารสิ ัชชาภมู ิ เทวภูมิ ๖ ปรนมิ มติ วสวัตตภี ูมิ นิมมานรตีภูมิ ตสุ ิตาภูมิ ยามาภูมิ ตาวติงสาภมู ิ จาตุมหาราชิกาภูมิ มนษุ ย์ ๑ มนษุ ย์โลก อบายภูมิ ๔ นรก เปรต สรุกาย เดรัจฉาน เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทตั ปกั สงั ขาเนย์ ๑๑๙
โสดาบันโลกตุ ตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ช้นั ท่ี ๑) ผ้ถู ึงภมู ินีไ้ ด้ชื่อวา่ พระอริยบุคคลโสดาบัน แบง่ เป็น ๑. เอกพชิ ีโสดาบัน จะเกดิ อีกชาตเิ ดียว แลว้ ก็บรรลุพระอรหตั ผล ปรินิพพาน ๒. โกลงั โกละโสดาบนั จะเกดิ อีก ๒-๖ ชาติ เปน็ อย่างมากแลว้ ก็ บรรลพุ ระอรหัตผล ปรนิ ิพพาน ๓. สัตตักขัตตุปรมะโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วบรรลุพระอรหตั ผล ปรนิ ิพพาน สกทาคามโี ลกุตตรภมู ิ (ภมู ิพ้นโลก ชน้ั ที่ ๒) ผถู้ งึ ภูมนิ ้ไี ดช้ ือ่ ว่าพระอรยิ บุคคลสกทาคามี ซงึ่ จะเกิดอกี เพียงชาติเดียว แบ่งเป็น ๕ ประเภทคือ ๑. ผถู้ ึงภมู นิ ีใ้ นมนษุ ยโ์ ลก และบรรลุอรหตั ผลในมนุษยโ์ ลก ๒. ผถู้ ึงภูมนิ ใี้ นมนษุ ย์โลกแล้วไปบรรลุพระอรหัตผลในเทวโลก ๓. ผู้ถงึ ภูมนิ ี้ในเทวโลกแล้วมาบรรลุพระอรหัตผลในเทวโลก ๔. ผู้ถงึ ภูมนิ ี้ในเทวโลกแล้วมาบรรลพุ ระอรหตั ผลในมนษุ ยโ์ ลก ๕. ผู้ถึงภมู นิ ้ีในมนษุ ย์โลกแลว้ จุตไิ ปเกิดในเทวโลกแลว้ กลับมาบรรลุพระอรหตั ผลในมนุษย์โลก อนาคามีโลกตุ ตรภูมิ (ภูมพิ ้นโลก ชนั้ ท่ี ๓) ผูถ้ งึ ภมู ิน้ไี ด้ชือ่ วา่ พระอนาคามี จะไมก่ ลับมาเกดิ ในกามภูมิอีก แบ่งเปน็ ๕ ประเภท คือ ๑. อนั ตราปรินิพพายี สาเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุคร่ึงแรกของสุทธาวาสภูมิพรหม โลกทสี่ ถติ อยู่ ๒. อปุ หัจจปรินพิ พายี สาเรจ็ เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานภายในอายุคร่ึงหลังของสุทธาวาสภมิพรหม โลกทสี่ ถติ อยู่ ๓. อสังขารปรินิพพายี สาเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานในพรหมโลกที่สถิตอยู่โดยสะดวกสบายไม่ ต้องใชค้ วามเพยี รมาก ๔. สสังขารปรินิพพายี สาเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานในพรหมโลก โดยต้องพยายามอย่างแรง กลา้ ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก ชั้นต่าที่สุด (อวิหาสุทธาวาสพรหมโลก) แล้วจึงจุติไปเกิดช้ันสูงขึ้นไปตามลาดับ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี แล้วสาเร็จเป็นพระอรหันต์ ปรนิ พิ พานในอกนฏิ ฐพรหมโลก เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทตั ปกั สงั ขาเนย์ ๑๒๐
อรหัตโลกุตตรภูมิ (ภมู พิ ้นโลก ช้ันสงู สดุ ) มี ๒ ประเภท ๑. เจโตวิมตุ ติ เปน็ ผู้ปฏบิ ตั ิสมถกรรมฐานไดฌ้ านก่อน แลว้ เจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อจนสาเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฏิบัติเฉพาะวิปัสสนา กรรมฐาน เมอ่ื ไดม้ รรคผลนนั้ พรอ้ มกับไดว้ ิชชา ๓ อภิญญา ๖ สามารถแสดงฤทธ์ิได้ ๒. ปญั ญาวิมุตติ สาเร็จพรอรหันตด์ ว้ ยการปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนา กรรมฐานล้วน ๆ ไม่ได้บาเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่า “สุกขวิปัสสกะ” พระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทาให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้ เป็นผู้ท่ีสมควรแก่การบูชา ของเหล่าเทพยดาและมนุษย์ท้ังหลาย เพราะส้ินกิเลสโดยตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ สามารถเข้าอรหัตผล สมาบัติ เสวยอารมณพ์ ระนพิ พานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในวัฏสงสาร เมื่อถึงอายุขัย ก็ดับขันธ์ปรนิ พิ พาน ๑.๒ บทสรุปสาระสาคญั ประจาบทที่ ๖ การศึกษาเร่ืองของสังสารวัฏเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับภพภูมิท่ีปรากฏในทางพระพุทธศาสนา เหตขุ องพูดถงึ เร่อื องสงั สารวัฏเพราะ พระพุทธศาสนาไดก้ ล่าวถึงเร่ืองกฎแห่งกรรม อันเก่ียวเนื่องถึงผลที่จะไป เกิดในภพภูมิเหล่านั้น การได้ศึกษาเร่ืองของภพภูมิเหล่าน้ัน ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่จะช่วยให้พุทธศาสนิกชนได้ ระลกึ ถงึ ผลที่จะเกิดข้ึนตามเหตุและผลของการกระทา และระลึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับคนอ่ืน สังคม อันจะเป็น สิง่ ที่ช่วยให้ เกิดความสงบสุขในสังคม จะเรียกว่าเป็นเรื่องของเมตตาธรซึ่งเป็นธรรมท่ีอยู่คู่กับโลก หากขาดข้อ ธรรมนี้ไปก็จะทาใหเ้ กิดความวุ่นวาย เกดิ ความโกลาหลไปทว่ั โลก ดังนั้น การที่พระพุทธศาสนานาเสนอเรื่องราวของสังสารวัฏจึงเป็นเร่ืองท่ีละเดียดอ่อนต่อภาวะจิตใจ และช่วยให้สังคมเกิดความสงบสุข ไม่เบียดเบียนกันจึงได้ช่ือว่าเป็นหลักธรรมเพ่ือมวลชน เป็นศาสนาสากลท่ี คนท่วั ไปสามารถเข้ามาศกึ ษาและปฏิบัติได้ พิสูจน์ได้ เพราะผลจะเกิดกับผู้ที่ศึกษาปฏิบัติเท่านั้น ดังพุทธดารัส ทวี่ ่า “อักขาตาโร ตถาคตา” แปลวา่ “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก” ส่วนผลของการปฏิบัติน้ันขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ ตาม ๑.๓ คาถามทบทวนประจาบทท่ี ๖ ๑. สงั สารวฏั มีความหมายว่าอยา่ งไร จงอธิบาย ๒. คาว่า “สงั สารวัฏ” มีองค์ประกอบอยา่ งไร จงอธิบาย เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทัต ปกั สังขาเนย์ ๑๒๑
๓. อบายภูมิ ประกอบกดว้ ยภูมใิ ดบ้าง ผปู้ ฏบิ ัติอย่างไร จึงจะไปเกดิ ในภพภมู ิเหล่านน้ั ๔. เปรตภมู ิ ๔ ประเภท มอี ะไรบ้าง จงอธิบายสาเหตุของการไปเกดิ ในภพภูมิน้นั ๕. การทีส่ ตั วไ์ ปเกิดในโลกภมู ิ ต้องประกอบกรรมแบบใด จึงจะไปเกิดได้ จงอธบิ าย ๖. หากเราจะอธิบายเรื่องนรก สวรรค์ให้คนอ่ืนเข้าใจ สิ่งท่ีจะทาเป็นอันดับแรกคืออะไร จงอธิบาย พรอ้ มเหตุผลประกอบ ๗. เมอื่ มีถามว่า นรก สวรรค์อยูท่ ไี่ หน ท่านะจะตอบอย่างไร โดยท่ีคาตอบน้ันจะต้องเป็นหลักการทาง วชิ าการ สามารถพสิ จู นเ์ หลุผลน้ันได้ จงอธบิ ายพร้อมแสดงเหตุผลประกอบ ๘. การจะไปเกิดในเทวโลก โลกของเทพ จะต้องปฏบิ ตั กิ รรมใดที่งา่ ยและเหน็ ผลได้ดที ี่สดุ ๙. หากมีผ้ทู ่ีนับถอื ศาสนาอ่ืน “พดู ถงึ สวรรค์” ว่าตอ้ งมานับถอื พระเจ้าของเขา ท่านจะทาอย่างไร โดย ท่ีไม่ให้คนท่ีมาเสนอ ไม่ผิดหวัง และไม่ให้กระทบกระท่ังในเรื่องของศาสนา จงอธิบายพร้อมแสดงเหตุผล ประกอบ ๑๐. จงบอก วิธีการที่ง่ายที่สุดท่ีท่านคิดว่า เป็นวิธีการท่ีจะทาให้บรรลุถึงภูมิอันสูงสุดได้ โดยที่ผู้ฟัง สามารถมกี าลงั ใจในการปฏิบัติเพ่อื ใหภ้ พภมู ทิ เี่ ขาต้องการ พรอ้ มแสดงเหตุผลประกอบ ๑.๔ เอกสารอ้างองิ ประจาบทท่ี ๖ ภาษาไทย นิยะดา เหล่าสุนทร ,ศ.ดร. ไตรภูมิพระร่วง การศึกษาที่มา,พิมพ์ครั้ง ๒ กรุงเทพฯ สานักพิมพ์แม่คาผาง, ๒๕๔๓. พระธรรมธีรราชมหามุนี(วิลาศ ญาณเวโร ป.ธ.๙) ภมู วิ ิลาสนิ ี . กรงุ เทพฯ โรงพมิ พ์ดอกหญ้า,๒๕๔๓. พระธรรมกติ ตวิ งศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบณั ฑติ พจนานุกรมเพ่ือการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คาวดั , วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๕๔๘. ภาษาองั กฤษ / เอกสารอ่ืนๆ แหล่งท่ีมาสมเด็จพระญาณสังวร (สุวัฑฒนมหาเถระ) สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของ ท่านพระสารีบุตร- เถระ (ออนไลน์) http://board.palungjit.com/ คน้ วนั ท่ี ๒๔ เมษายน ๒๔๖๓. เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทตั ปักสังขาเนย์ ๑๒๒
แบบทดสอบบทที่ ๖ จานวน ๒๐ ขอ้ ๑. วัฏงสาร คือ การเวยี นวายตายเกิด ในพระพทุ ธศาสนาได้แบ่งภูมิไว้กี่ภูมิ ก. ๓๐ ภมู ิ ข. ๓๑ ภูมิ ค. ๒๓ ภูมิ ง. ๓๓ ภมู ิ ๒. ในอบายภมู ิ ภูมิไหนทีต่ า่ ท่ีสดุ ก. นรกภมู ิ ข.เปรตภมู ิ ค. อสุรกายภูมิ ง. เดรจั ฉานภมู ิ ๓. บคุ คลทีท่ าร้ายสัตว์ ตดั แขนตดั ขาสัตว์ จะไปเกิดในนรกภมู ชิ นั้ ใด ก. สญั ชีวนรก ข. กาฬสุตตนรก ค. สงั ฆาฏนรก ง. โรรวุ นนรก ๔. บุคคลทที่ าผิดศีล ๕ เนื่องๆ จะไปเกิดในนรกขมุ ใด ก. สัญชีวนรก ข. กาฬสุตตนรก ค. สงั ฆาฏนรก ง. โรรุวนนรก ๕. ขอ้ ใดไมม่ ใี น อุสสทนรก ๕ ประการ ก. คถู นรก ข. กกุ กุฬนรก ค. สิมปลวิ นนรก ง. โลหกุมภีนรก ๖. “งู ปลา ไส้เดอื น” จัดอยู่ในดริ ัจฉานประเภทใด ก. อปทติรจั ฉาน ข. ทวปิ ทตริ จั ฉาน ค. จตปุ ทติรจั ฉาน ง. พหุปทตริ จั ฉาน จากข้อ ๗-๘ ใช้คาตอบจากขอ้ ๖ ๗. “ นกหรือสตั วป์ ีก” จดั อยู่ในสัตวเ์ ดรัจฉานประเภทใด ๘. “กุง้ ตะขาบ ก้ิงกือ” จดั เปน็ สตั ว์เดรจั ฉานประเภทใด ๙. เปรตชนดิ ใดท่อี าศัยส่วนบุญจากมนษุ ย์ ก. เวมานิกเปรต ข. ปพั พตังคเปรต ค. ปรทัตตูปชีวกิ เปรต ง. สนุ ิชฌามกเปรต เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทัต ปกั สงั ขาเนย์ ๑๒๓
๑๐. อสุรในขอ้ ใดมีอานาจน้อยเทยี บได้กับภมุ มเทวดา ก. วนิ ปิ าติกอสรุ า ข. ราหอุ สุรา ค. สมั พรตีอสรุ า ง. ปหารอ สุรา ๑๑. มนุษย์ในขอ้ ใดจดั อยู่ใน “มืดมาสวา่ งไป” ก. กุศลไม่ดีแตม่ าทาเพมิ่ ที่หลัง ข. กุศลดี และทาเพ่ิมเติมอกี ค. กุศลไมด่ ี และไม่ทาเพม่ิ ง. มอี กุศลมาก และทาอกุศลเพ่มิ ยิ่งขึน้ ๑๒.ในโลกมนษุ ยไ์ ด้แบ่งทวปี ออกเปน็ ๔ ทวปี ข้อใดต่อไปนี้ไม่จัดเปน็ ๑ ในทวีปทงั้ ๔ ก. อตุ ตรกรุ ุทวีป ข. ปพุ พวเิ ทหทวีป ค. ชมพูทวปี ง. นวโลกทวีป ๑๓. ทวปี ใดที่ผู้มีบญุ บารมี หรือพระโพธิสตว์ และผมู้ ีบารมีเต็มเปยี่ มแลว้ จะลงมาเพื่อการตรสั รู้ ก. อตุ ตรกรุ ทุ วีป ข. ปุพพวิเทหทวปี ค. ชมพทู วีป ง. นวโลกทวีป ๑๔. มนษุ ย์ในทวปี ใดท่มี ีคติ คือเม่ือตายแล้วจะเขา้ สู่เทวโลก เพราะเหตุคอื การรกั ษาศลี ๕ เปน็ นติ ย์ ก. อตุ ตรกุรุทวีป ข. ปพุ พวิเทหทวปี ค. ชมพทู วีป ง. อมรโคยานทวีป ๑๕. “เอกพีชโสดาบัน มีความหมายตรงกับข้อใดต่อไปน้ี ก. เกิดชาติเดียว จงึ บรรลอุ รหันต์ ข. เกิดหลายชาติ จงึ บรรลอุ รหันต์ ค. เกดิ ๒-๓ ชาติ จึงบรรลุอรหนั ต์ ง. เกิดอกี ๗ ชาตจิ ึงบรรลุอรหันต์ ๑๖. ลักษณะ “เจโตวิมุตติ” คือ ลกั ษณะพระอรหันต์แบบใด ก. บาเพ็ญฌานอย่างเดียว ข. บาเพญ็ วิปสั สนาอยา่ งเดยี ว ค. บาเพญ็ ฌานกอ่ นและบาเพ็ญวิปสั สนาทีหลงั ง. บาเพญ็ วิปัสสนาก่อนแล้วบาเพญ็ ฌานท่ีหลัง ๑๗. ลกั ษณะปญั ญาวิมุตตมิ ีลักษณะแบบใด ก. บาเพ็ญฌานอยา่ งเดียว ข. บาเพ็ญวิปัสสนาอย่างเดยี ว ค. บาเพ็ญฌานก่อนและบาเพ็ญวปิ สั สนาทีหลงั ง. บาเพญ็ วิปัสสนาก่อนแล้วบาเพ็ญฌานทีหลัง ๑๘. บคุ คลใดเมอ่ื สน้ิ ชวี ติ ไปแลว้ จะมงุ่ สเู่ ทวโวลกทนั ที ก. พระชาติ บวชต้งั เลก็ จนโต ข. กล้า รักษาศลี ๕ อย่างเคร่งครัด ค. เชดิ ทาบุญตกั บาตรไมข่ าด ง. ชัย เข้ารว่ มกจิ กรรมวนั สาคัญไมข่ าด เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรชั ญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปักสงั ขาเนย์ ๑๒๔
๑๙. การรกั ษาศลี ข้อท่ี ๑ ได้ จะเกิดผลดกี ับตนเองอยา่ งไร ก. ตงั เองมีเมตตาสงู ข. เปน็ ท่รี ักของสตั ว์ มนษุ ย์เทพท้งั หลาย ค. สงั คมให้การยกย่อง ง. ครอบครัวมีความสุข ๒๐. หากต้องการเป็นเทวดาในร่างมนุษย์ ควรปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมในข้อใดต่อไปน้ี ก. สติ – สัมปชัญญะ ข. ขันติ – โสรจั จะ ค. หริ ิ - โอตปั ปะ ง. กตญั ญู – กตเวที เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทตั ปกั สงั ขาเนย์ ๑๒๕
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี ๗ ๑. หัวข้อประจาบทที่ ๗ ไตรลักษณ์ ๑.๑ ความนา ๑.๒ ความหมายของไตรลกั ษณ์ ๑.๒.๑ ไตรลักษณ์ แปลวา่ \"ลกั ษณะ ๓ อยา่ ง\" ๑.๒.๒ สามัญลักษณะ ๑.๒.๓ หลกั การกาหนดไตรลกั ษณ์ ๑.๒.๔ อนิจจงั กบั อนิจจตา เป็นต้น ไม่เหมือนกนั ๑.๒.๕ อรรถกถา-ฏกี า ใชภ้ าษารดั กมุ เขยี นเน้ือเร่ืองไมส่ บั สน ๑.๓ สรุปสาระสาคญั ประจาบทที่ ๗ ๑.๔ คาถามทบทวนประจาบทท่ี ๗ ๑.๕ เอกสารอ้างอิงประจาบทท่ี ๗ ๑.๖ แบบทดสอบทา้ ยบทท่ี ๗ ๒. วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เม่ือศึกษาบทท่ี ๗ จบแล้ว นักศกึ ษาสามารถ ๒.๑ อธิบายความหมายของไตรลกั ษณห์ รือ สามัญลกั ษณะที่ปรากฏในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๒.๒ สามารถวิเคราะห์ กฎของไตรลักษณ์ และเปรยี บเทียบกฎโดยทวั่ ไปทางธรรมชาติที่เกิดขน้ึ และ เปรยี บเทียบความแตกต่างของเหตุทีเ่ กดิ ขน้ึ ของไตรลักษณ์หรอื สามญั ลกั ษณะ ๒.๓ สามารถนาเอาหลกั การทเ่ี กยี่ วกับของกฎของไตรลักษณ์ ตามหลักพุทธปรัชญาเถรวาท วิเคราะห์ ตคี วามใหเ้ กิดความเข้าใจตามหลักวิชาการท่ีศึกษา นาไปปฏิบัติได้ ไปปรับใช้ตามหลักการทางวิชาการได้อย่าง เหมาะสม ๓. วิธีการสอน และกจิ กรรม ๓.๑. นักศึกษา ตั้งประเด็นป๎ญหา สอบถาม เร่ือง ไตรลักษณ์ นาเอาประเด็นสาคัญมาวิเคราะห์ให้ได้ หลักการทางวิชาการอันประกอบด้วยเหตุผลที่ควรเชื่อถือและนาไปปฏิบัติได้ โดยต้ังคาถามให้นักศึกษาแสดง เอกสารประกอบการสอน วชิ าพุทธปรัชญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ปก๎ สงั ขาเนย์ ๑๒๖
ความคิดเห็นตามความต้องการของตนเอง แล้วสรุปโดยภาพรวม พร้อมท้ังต้ังป๎ญหาให้นักศึกษาไปค้นคว้า เพม่ิ เตมิ ๓.๒. ให้นักศึกษาทาใบงาน ในคาถามท้ายบทท่ีกาหนดให้ หรือ ผู้สอนคิดข้ึนมานอกเหนือจากท่ีมีใน เอกสาร ๓.๓. นาใบงานมาตรวจแล้วสรุปความคิดเห็นที่นักศึกษาแสดงความคิดเห็นเพ่ือเพ่ิมเติมความเข้าใจ และนาประเด็นสาคัญมาหาขอ้ สรุปทถ่ี กู ต้องตามหลักวชิ าการ ๔. ส่ือการสอน ๔.๑. เอกสารประกอบการสอนวิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท และอน่ื ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง ๔.๒. ใบงาน ๔.๓. คอมพิวเตอรโ์ ปรแกรม Microsoft Power Point ๕. การวัดผลและประเมินผลการเรียน หน้าที่ ๑๒๘ ๕.๑. สงั เกตจากการมสี ว่ นร่วมในการทากิจกรรม หน้าท่ี ๑๒๘ ๕.๒. สังเกตจากความสนใจฟ๎งและซักถาม หน้าที่ ๑๒๙ ๕.๓. จากการตรวจใบงานทใี่ หท้ าในชน้ั เรียน หน้าที่ ๑๓๑ หน้าที่ ๑๓๕ ๖. แนะนาเนอื้ หาสาระประจาบททท่ี รงคุณค่าควรศกึ ษา ดังนี้ หนา้ ที่ ๑๓๗ ๖.๑ ความหมายของไตรลักษณ์ ๖.๒ ไตรลกั ษณ์ แปลว่า \"ลักษณะ ๓ อยา่ ง\" ๖.๓ สามญั ลักษณะ ๖.๔ หลกั การกาหนดไตรลกั ษณ์ ๖.๕ อนิจจัง กบั อนิจจตา เป็นตน้ ไมเ่ หมือนกัน ๖.๖ อรรถกถา-ฏกี า ใชภ้ าษารดั กุม เขียนเน้ือเรื่องไมส่ ับสน เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทัต ป๎กสังขาเนย์ ๑๒๗
บทท่ี ๗ ไตรลักษณ์ ( Three characteristics) ความนา ธรรมชาติทั้งหลายล้วนมีการเปล่ียนแปลงไปตามธรรมชาติของมัน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องมีการ ปรับเปล่ียนสถานะความเป็นอยู่ มีการดับเส่ือมสลายไป แต่สิ่งเหล่าน้ัน ก็หาสูญหายไปจากโลกนี้ได้ น้ันเป็น เพราะสภาพเหล่านน้ั เปน็ เร่อื งธรรมดา ธรรมชาติ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ต้งั อยแู่ ละดับไปตามกาลเวลา มีอายุจากัด ไม่คงทน ถาวร ในทางพระพุทธศาสนาเรียกปรากฏการณ์เหล่าน้ีว่า กฎของไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ ๓ อย่างท่ีทุก สรรพสิง่ เหลา่ นนม้ี ี กฎ๓ ประการน้ี จงึ เป็นกฎตายตวั ไม่มใี ครที่จะล้วงพน้ ไปได้ แต่ก็มีสิ่งท่ีอาจเรียกได้ว่า ไม่คงทนแต่มีการเปล่ียนสภาพ เปล่ียนอาการ ไปได้ซึ่งมีหลากหลาย แนวความคิดท่ีว่าอาการเหล่าน้ีเป็นสภาพรับรู้ น้ันก็คือดวงจิต หรือวิญญาณการรับรู้ เป็นสิ่งถาวร แต่ในทาง พระพุทธศาสนากลับบอกว่าดวงจิตเป็นสภาพไม่หยุดน่ิง มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาเพราะอยู่ในภายใต้ กฎของไตรลกั ษณะคอื ทกุ ขงั อนิจจัง อนัตตา ดังน้ันการศึกษาในเร่ืองกฎของไตรลักษณ์นั้นเป็นสิ่งสาคัญที่จะต้องขอยายความวิเคราะห์สภาพของ ไตรลักษณแ์ ต่หวั ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เพอ่ื เปน็ ประโยชน์ในทางดา้ นวิชาการต่อไป ๑.๑ ความหมายของไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ เป็นธรรมะที่ทาใหเ้ ปน็ พระอรยิ ะ (อรยิ ธรรม) แปลว่า ลักษณะ ๓ ประการ หมายถึงสามัญ ลักษณะ คือ กฎธรรมดาของสรรพส่ิงทั้งปวง อันได้แก่ อนิจจลักษณะ ความไม่เท่ียง ทุกส่ิงในโลกย่อมมีการ แปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกขลักษณะ ความเป็นทุกข์ คือ มีความบีบคั้นด้วยอานาจของธรรมชาติทาให้ทุก สิ่งไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป และ อนัตตลักษณะ ความที่ทุกส่ิงไม่สามารถบังคับบัญชาให้ เป็นไปตามต้องการได้ เช่น ไม่สามารถบังคับให้ชีวิตยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป ไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นไปตาม ปรารถนา เปน็ ตน้ ๑.๑.๑ ไตรลักษณ์ แปลว่า \"ลักษณะ ๓ อย่าง\" หมายถึงสามัญลักษณะ หรือลักษณะที่เสมอกัน หรือ ข้อกาหนด หรอื สิ่งทมี่ ีประจาอย่ใู นตัวของสงั ขารทง้ั ปวงเป็นธรรมที่พระพทุ ธเจา้ ได้ตรสั รู้ ๓ อยา่ ง ไดแ้ ก่ :- ๑. อนจิ จตา (อนิจจลกั ษณะ) - อาการไมเ่ ทีย่ ง อาการไมค่ งท่ี อาการไม่ยั่งยืน อาการที่เกิดขึ้นแล้วเส่ือมและ สลายไป อาการที่แสดงถงึ ความเป็นสงิ่ ไม่เทย่ี งของขันธ์. เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทตั ปก๎ สังขาเนย์ ๑๒๘
๒. ทุกขตา (ทุกขลักษณะ) - อาการเป็นทุกข์ อาการท่ีถูกบีบค้ันด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว อาการที่ กดดัน อาการฝนื และขัดแย้งอย่ใู นตวั เพราะป๎จจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะ ทาให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ อาการที่ไม่สมบูรณ์มีความบกพร่องอยู่ในตัว อาการท่ีแสดงถึงความเป็น ทกุ ขข์ องขนั ธ์. ๓. อนตั ตตา (อนตั ตลกั ษณะ) - อาการของอนตั ตา อาการของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาการท่ีไม่มีตัวตน อาการที่ แสดงถึงความไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอานาจควบคุมของใคร อาการที่แสดงถึงไม่มีตัวตนที่ แท้จริงของมันเอง อาการท่ีแสดงถึงความไม่มีอานาจแท้จริงในตัวเลย อาการที่แสดงถึงความด้อย สมรรถภาพโดยสนิ้ เชิงไมม่ ีอานาจกาลงั อะไรตอ้ งอาศัยพงึ พิงสง่ิ อ่ืนๆ มากมายจึงมขี ้ึนได.้ ลักษณะ ๓ อย่างน้ี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะท่ีมีเสมอกันแก่สังขารท้ังปวง และเรียกอกี อย่างหน่ึงวา่ ธรรมนยิ าม คือกฎธรรมดาหรือข้อกาหนดทแี่ น่นอนของสงั ขาร คาว่า ไตรลกั ษณ์ น้ีมาจากภาษาบาลวี ่า \"ตลิ กขฺ ณ\" มกี ารวเิ คราะห์ศัพทด์ ังตอ่ ไปน้ี :- ติ แปลว่า สาม, ๓. ลกฺขณ แปลว่า เคร่ืองทาสัญลักษณ์, เคร่ืองกาหนด, เครื่องบันทึก, เครื่องทาจุดสังเกต, ตราประทับ เปรยี บได้กบั ภาษาอังกฤษในคาวา่ Marker. ติลกฺขณ จึงแปลว่า \"เครอื่ งกาหนด ๓ อย่าง\" ในแง่ของความหมายแล้ว ตามคัมภีร์จะพบได้ว่า มีธรรมะ ท่ีอาจหมายถึงติลกฺขณอย่างน้อย ๒ อย่าง คือ สามัญญลักษณะ ๓ และ สังขตลักษณะ ๓ . ในคัมภีร์ช้ันฏีกา พบวา่ มีการอธบิ ายเพ่ือแยก ลกั ษณะทงั้ ๓ แบบนี้ออกจากกันอยู่ด้วย. ส่วนในทีน่ ี้ก็คงหมายถึงสามัญญ-ลักษณะ ตามศัพทว์ า่ ตลิ กฺขณ นน่ั เอง. อนงึ่ นกั อภธิ รรมชาวไทยนิยมเรียกคาว่า สังขตลักษณะ โดยใช้คาว่า \"อนุขณะ ๓\" คาน้ีมีท่ีมาไม่ชัดเจน นัก เน่ืองจากยังไม่พบในอรรถกถาและฏีกาของพระพุทธโฆสาจารย์และพระธรรมปาลาจารย์, และที่พบใช้ก็ เป็นความหมายอื่น อาจเป็นศัพท์ใหม่ท่ีนามาใช้เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษาก็เป็นได้. อย่างไรก็ตาม โดย ความหมายแล้วคาวา่ อนุขณะนน้ั กไ็ ม่ได้ขัดแยง้ กับคมั ภีรร์ นุ่ เก่าแตอ่ ย่างใด. ๑.๑.๒ สามญั ลกั ษณะ สามัญญลักษณะ ๓ หมายถงึ เคร่ืองกาหนดทีม่ อี ย่ทู ว่ั ไปในสงั ขารทง้ั หมด ได้แก่ อนิจจลักษณะ - เครอ่ื งกาหนดความไม่เทีย่ งแท้ ทกุ ขลักษณะ - เคร่ืองกาหนดความบบี ค้นั อนัตตลกั ษณะ - เครอื่ งกาหนดความไม่มีตวั ตน สามญั ญลักษณะ ยังมชี ื่อเรียกอีกว่า ธรรมนิยาม คือกฎแห่งธรรม หรือ ข้อกาหนดท่ีแน่นอนของสังขาร และบางอยา่ ง คอื อนัตตลักษณะยังเป็นขอ้ กาหนดของวสิ งั ขาร (พระนิพพาน) เปน็ ต้นอีกดว้ ย. เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรียบเรียง นายเตชทตั ปก๎ สังขาเนย์ ๑๒๙
อนงึ่ ควรทราบว่า อนิจฺจ กับ อนิจฺจตา เปน็ ต้น เป็นศัพท์ที่ใช้คนละความหมายกัน ซึ่งจะได้อธิบายไว้ใน ตอนทา้ ยของบทความนด้ี ว้ ย. ๑) อนิจจะ กับ อนิจจลกั ษณะ ไมเ่ หมือนกัน ตามคมั ภีร์ฝา่ ยศาสนาทา่ นให้ความหมายของขนั ธ์ กบั ไตรลกั ษณ์ไว้คู่กัน เพราะเป็น ลักขณวนั ตะ และ ลกั ขณะ ของกนั และกันดังน้ี :- (๑) อนจิ จงั (อนิจฺจ) - หมายถงึ ขันธ์ ๕ ท้งั หมด เปน็ ปรมตั ถ์ เป็นสภาวะธรรม มอี ย่จู ริง, คาวา่ \"อนจิ จงั \" เป็นคาไวพจน์ช่ือหนึ่งของขนั ธ์ ๕. (๒) อนิจจลักษณะ (อนจิ จฺ ตา,อนจิ ฺจลกขฺ ณ) - หมายถงึ เคร่ืองกาหนดขันธ์ ๕ ทง้ั หมดซงึ่ เป็นตวั อนจิ จงั . อนิจจลักษณะทาให้เราทราบได้ว่าขันธ์ ๕ เป็นของไม่เที่ยง ไม่คงท่ี ไม่ย่ังยืน ซ่ึงได้แก่ อาการความ เปลีย่ นแปลงไปของขันธ์ ๕ เช่น อาการที่ขันธ์ ๕ เคยเกิดขึ้นแล้วเส่ือมสิ้นไปเป็นขันธ์ ๕ อันใหม่, อาการที่ขันธ์ ๕ เคยมขี น้ึ แลว้ กไ็ ม่มอี กี ครง้ั เปน็ ต้น. ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกอนิจจลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ถึง ๒๕ แบบ เรียกว่า โต ๒๕ และในพระไตรปิฎกยงั มีการแสดงอนจิ จลกั ษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบ้ืองต้น เหมาะสาหรบั เปน็ คูม่ อื สาหรับปฏิบตั ิธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจาคาท่ีคนโบราณใช้ กาหนดกนั จากคมั ภีร์นี้แลว้ นาไปใชไ้ ด้ทันที ดงั ทท่ี ่านแสดงไว้เปน็ ต้นวา่ \"จกฺขุ อหตุ ฺวา สมฺภูต หตุ วฺ า น ภวสิ ฺสตีติ ววตเฺ ถติ - นกั ปฏิบัตธิ รรมยอ่ มกาหนดว่า \"จักขุปสาทท่ียังไม่ เกดิ ก็เกิดมีข้ึน พอมีข้ึนแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะอาการที่เปลี่ยนไป จะ เปน็ การกาหนดอนจิ จลักษณะ). ๒) ทุกข์ กับ ทุกขลกั ษณะ ไม่เหมือนกนั (๑) ทุกขัง (ทกุ ฺข) - หมายถึง ขันธ์ ๕ ทง้ั หมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะธรรม มีอยู่จรงิ , คาวา่ \"ทุก ขัง\"เป็นคาไวพจน์ช่อื หนง่ึ ของขันธ์ ๕. (๒) ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตา,ทกุ ขฺ ลกฺขณ) - หมายถงึ เครื่องกาหนดขันธ์ ๕ ทัง้ หมดซ่งึ เปน็ ตวั ทุกขัง. ทุกขลักษณะทาให้เราทราบได้ว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ บีบคั้น น่ากลัวมาก ซึ่งได้แก่ อาการความบีบค้ัน บังคับให้เปล่ียนแปลงไปอยู่เป็นเนืองนิจของขันธ์ ๕ เช่น อาการที่ขันธ์ ๕ บีบบังคับตนจากที่เคยเกิดข้ึน ก็ต้อง เสื่อมสน้ิ ไปเป็นขันธ์ ๕ อันใหม่, อาการทข่ี นั ธ์ ๕ จากทีเ่ คยมขี ึน้ ก็ตอ้ งกลับไปเปน็ ไม่มอี กี ครั้ง เปน็ ต้น. ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกทุกขลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ถึง ๑๐ แบบ เรียกว่า โต ๑๐ และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงทุกขลักษณะไว้ในแบบอ่ืนๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบ้ืองต้น เหมาะสาหรบั เป็นคมู่ อื สาหรบั ปฏบิ ัตธิ รรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจาคาท่ีคนโบราณใช้ กาหนดกนั จากคมั ภีร์นีแ้ ล้วนาไปใช้ได้ทนั ที ดงั ท่ีทา่ นแสดงไว้เปน็ ตน้ วา่ เอกสารประกอบการสอน วิชาพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรียง นายเตชทัต ปก๎ สงั ขาเนย์ ๑๓๐
\"จกขฺ ุ อหุตฺวา สมภฺ ตู หตุ วฺ า น ภวสิ สฺ ตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกาหนดว่า \"จักขุปสาทท่ียังไม่ เกิดก็เกิดมีข้ึน พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะท่ีบีบบังคับตัวเองให้ ตอ้ งเปลยี่ นไป กจ็ ะกลายเปน็ การกาหนดทกุ ขลักษณะ). ๓) อนัตตา กับ อนตั ตลกั ษณะ ไมเ่ หมือนกัน อนัตตา กับ อนัตตลกั ษณะ เป็นคนละอย่างกัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลกั ขณะ ของกนั และกนั อนตั ตลักษณะทาให้เราทราบไดว้ า่ ขันธ์ ๕ ไมม่ ตี ัวตน ไร้อานาจ ไม่มเี นื้อแทแ้ ตอ่ ยา่ งใด ได้แก่ อาการที่ไร้ อานาจบังคับตัวเองให้ไม่เปล่ียนแปลงไปของขันธ์ ๕ เช่น อาการที่ขันธ์ ๕ บังคับตนไม่ให้เกิดข้ึนไม่ได้ ไม่ให้ เสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ ๕ อันใหม่ไม่ได้, อาการที่ขันธ์ ๕ บังคับตนไม่ให้มีขึ้นไม่ได้ ไม่ให้กลับไปไม่มีอีกคร้ังไม่ได้ (บงั คับใหไ้ ม่หมดไปไม่ได้) เป็นต้น. ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกอนัตตลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ ๕ แบบ เรียกว่า โต ๕ และใน พระไตรปิฎกยังมีการแสดงอนตั ตลกั ษณะไว้ในแบบอ่ืนๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะ สาหรบั เป็นคู่มอื สาหรบั ปฏิบตั ธิ รรมได้แก่ คมั ภรี ์ปฏิสมั ภิทามรรค เพราะสามารถจะจาคาที่คนโบราณใช้กาหนด กนั จากคัมภรี ์น้ีแลว้ นาไปใช้ได้ทนั ที ดงั ทที่ า่ นแสดงไวเ้ ป็นต้นว่า \"จกขฺ ุ อหตุ ฺวา สมฺภตู หตุ ฺวา น ภวิสสฺ ตีติ ววตเฺ ถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกาหนดว่า \"จักขุปสาทที่ยังไม่ เกิดก็เกิดมีข้ึน พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะท่ีไรอานาจบังคับ ตวั เองใหไมเ่ ปลีย่ นไปไมไ่ ด้ กจ็ ะกลายเปน็ การกาหนดอนตั ตลกั ษณะ). ๑.๑.๓ หลกั การกาหนดไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์แบบสามญั ญลักษณะน้ี ไม่ได้แสดงตัวของมันเองอยู่ตลอดทุกเวลา เพราะเมื่อใดที่จิตไม่ได้ เข้าไปคิดถึงขันธ์ ๕ เทียบเคียง สังเกต ไตร่ตรอง ให้รอบคอบ ตามแบบท่ีท่านวางไว้ให้ในพระไตรปิฎก เช่น \"จกขฺ ุ อหุตฺวา สมภฺ ูต หตุ วฺ า น ภวสิ สฺ ตีติ ววตเฺ ถติ - นกั ปฏบิ ัติธรรมยอ่ มกาหนดวา่ \"จกั ขปุ สาทท่ยี งั ไม่เกิดก็เกิดมี ขึ้น พอมีข้ึนแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น ไตรลักษณ์ก็จะไม่ปรากฏตัวขึ้น โดยเฉพาะอนัตต ลักษณะที่ท้ังในพระไตรปิฎกและอรรถกถาระบุไว้ในหลายแห่งว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถทาความ เข้าใจเองแล้วเอามาบอกสอนให้คนอน่ื เขา้ ใจตามได้. สงิ่ ที่ปดิ บงั ไตรลักษณ์แบบสามญั ญลักษณะ อย่างไรก็ตาม แม้จะพิจารณาใคร่ครวญตามพระพุทธพจน์ แต่ไตรลักษณ์ก็อาจจะยังไม่ชัดเจนได้ เหมือนกันท้ังน้ี อาจเป็นเพราะนิวรณ์อกุศลธรรมต่างๆเกิดกลุ้มรุม รุมเร้า, และอาจเป็นเพราะยังพิจารณาไม่ มากพอจึงไม่มีความชานาญ เหมือนเด็กเพ่ิงท่องสูตรคูณยังไม่แม่นนั่นเอง. และนอกจากน้ี ในคัมภีร์ท่านยัง แสดงถงึ สิ่งที่ทาใหพ้ ิจารณาไตรลักษณไ์ ด้ไมช่ ดั เจนไว้อีก ๓ อยา่ ง คอื สันตติ อริยาบถ และฆนะ เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรชั ญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทตั ป๎กสงั ขาเนย์ ๑๓๑
๑) สนั ตตปิ ดิ บังอนิจจลกั ษณะ สันตติ คอื การสืบต่อเน่ืองกันไปไม่ขาดสายของขันธ์ ๕ โดยสืบต่อเนื่องจากจิตดวงหน่ึงที่ดับไป จิตดวง ใหม่ก็เกิดข้ึนต่อกันในทันที, หรือรูป ๆ หนึ่งดับไป รูปใหม่ ๆ ก็เกิดต่อกันไปในทันที หรือบางทีรูปเก่ายังไม่ดับ รูปใหม่ก็เกิดข้ึนมาสาทับกันเข้าไปอีก. สันตติเป็นกฎธรรมชาติ เป็นนิยามห้ามไม่ได้ เว้นแต่จะดับขันธ ปรินิพพานแล้วเท่าน้ัน สันตติจึงจะไม่เป็นไป, แม้ในอสัญญสัตตภพ และผู้เข้านิโรธสมาบัติท่านก็ยังจัดว่ามี สันตตขิ องจิตอยู่นนั่ เอง. สันตตทิ ี่เกิดข้ึนสบื ตอ่ กนั ไปอยา่ งรวดเรว็ ไมข่ าดสายน้ี จะทาใหเ้ รารสู้ กึ เหมอื นกบั ว่า ขันธ์ ๕ ไม่เกิดไม่ดับ ท้ังท่ีความจริงแล้วเกิดดับต่อกันวินาทีละนับคร้ังไม่ได้. ในคัมภีร์ท่านจึงกล่าวว่า \"สันตติปิดบังอนิจจลักษณะ\" เพราะอนิจจลักษณะเป็นเคร่ืองกาหนดความไม่สืบต่อของขันธ์ ๕ ท่ีมีขอบเขตของเวลาในการดารงอยู่จากัด มาก ซึ่งตรงกันข้ามกับสันตติที่ต่อกันจนดูราวกับว่าไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย. การท่ียังพิจารณาอนิจจลักษณะ วา่ \"ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีข้ึน พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น ไม่บ่อย ไม่ต่อเน่ือง หรือเพิ่ง เริ่มกาหนด จงึ ยังไมเ่ กิดความชานาญ อนิจจลักษณะที่กาหนดอยู่ก็จะไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจกระจ่างเท่าไหร่สันตติ จึงยงั มอี านาจรบกวนไม่ใหก้ าหนดอนิจจลกั ษณะไดช้ ดั เจนแจ่มแจ้ง. สาหรับวิธีการจัดการกับสันตติไม่ให้มีผลกับการกาหนดอนิจจลักษณะน้ันไม่มีวิธีจัดการกับสันตติ โดยตรง เพราะสันตติเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของขันธ์ไปห้ามกันไม่ได้. แต่ท่านก็ยังคงให้พิจารณาอนิจจ ลักษณะแบบเดิมเป็นต้นว่า \"ขันธ์ท่ียังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีข้ึนแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"ดังน้ี ต่อไป โดยทาให้มาก ให้ต่อเนื่อง ให้บ่อยครั้งเข้า อนิจจลักษณะก็จะปรากฏชัดข้ึน และสันตติแม้จะยังมีอยู่ตามเดิม แตก่ จ็ ะไมม่ ีอานาจปกปดิ อนจิ จลักษณะ หรือ ทาให้อนิจจลกั ษณะไมช่ ัดเจนอีกต่อไป. อนึ่ง สันตติไม่ได้ปิดบังอนิจจัง เพราะอนิจจัง ก็คือ ขันธ์ ๕ ซึ่งขันธ์ ๕ ที่เป็นโลกิยะโดยมากแล้วใคร ๆ แม้ทีไ่ ม่ไดศ้ กึ ษาคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สามารถจะเห็นได้ ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาสติป๎ฏ ฐานสตู รว่า \"กามํ อตุ ฺตานเสยยฺ กาปิ ทารกา ถญฺญปวิ นาทกิ าเล สุขํ เวทยมานา สุขํ เวทนํ เวทยามาติ ปชานนฺติ น ปเนตํ เอวรปู ํ ชานนํ สนธฺ าย วุตฺตํ - ความจรงิ แล้ว แม้แต่พวกทารกแบเบาะมีความสุขอยู่ในเวลาขณะที่ด่ืม นม กย็ อ่ มรู้ชดั อย่วู า่ เรามสี ขุ เวทนา (คอื รู้ตวั ว่ากาลงั มคี วามสขุ ) อยู่ ดงั น้ี แตก่ ารร้อู ย่างนท้ี า่ นไม่ไดป้ ระสงค์เอา (ในการเจริญสติป๎ฏฐาน) \"ดังนี้ ดังนั้นแม้เราจะดูทีวีซึ่งมีการขยับ เขยื้อน มีสีเปล่ียนไปมาอยู่มากมายก็ตาม แต่หากไม่มนสิการถึงอนิจจลักษณะว่า \"ขันธ์ท่ียังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีข้ึนแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น เราก็จะไม่เห็นสามารถอนิจจลักษณะได้เลย และความจริง หากยังดูทีวีอยู่ก็คงจะพิจารณาไตรลักษณ์ได้ไม่ดี หรือไม่ได้เลยด้วย เพราะอกุศลจิตน่ันเองจะเป็นตัวขัดขวาง การพจิ ารณา ใครค่ รวญ ค้นคิดธรรมะ. เอกสารประกอบการสอน วิชาพุทธปรัชญาเถรวาท เรยี บเรยี ง นายเตชทัต ป๎กสังขาเนย์ ๑๓๒
๒) อริ ยิ าบถปดิ บังทกุ ขลักษณะ อริ ยิ าบถ คอื รปู แบบกริ ิยาการกระทาต่าง ๆ เชน่ การยืน การเดิน การนัง่ การนอน การแล การเหลียว เป็นต้น.การเปล่ียนอิริยาบถนั้นบางครั้งก็อาจทาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่โดยมากแล้ว เราเปลี่ยนเพ่ือทา กิจกรรมต่าง ๆ โดยท่ียังไม่ต้องเกิดความทุกข์ความเจ็บปวดขึ้นมาก่อนก็ได้ เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นต้น อิริยาบถเป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปคล้ายกับวิญญัตติรูป ดังน้ัน ท่านจึงระบุไว้ในตอนท้ายของอรรถกถามหา สติป๎ฏฐานสูตรและฎีกาว่า \"ไม่พึงพิจารณาตั้งแต่เพิ่งเร่ิมต้นกาหนด \" ส่วนเหตุผลท่านก็ให้ไว้เหมือนกับ อสัมมสนรูป น่ันคือ เพราะเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงของรูป ไม่ใช่สภาวะธรรมโดยตรงจึงไม่ควรกาหนด นัน่ เอง. อิริยาบถที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดทั้งวันน้ี จะทาให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า ขันธ์ ๕ไม่ได้บีบคั้นบังคับ ตัวเองให้ต้องเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ท้ังท่ีความจริงแล้ว แม้ขณะที่เราเปลี่ยนอิริยาบถอยู่โดยไม่ได้เป็น เพราะความเจ็บปวด เช่น เดินจงกรม น่ังสมาธิ เป็นต้น ตอนน้ันขันธ์ ๕ ก็ล้วนบีบคั้นบังคับตนเองให้ต้อง เปล่ียนแปลงแตกดับเสื่อมสลายไปเป็นปกติทั้งสิ้น. ในคัมภีร์ท่านจึงกล่าวไว้ว่า \"อิริยาบถปิดบังทุกลักษณะ\" เพราะทกุ ข ลักษณะเป็นเคร่อื งกาหนดความบบี คนั้ ให้เปล่ียนไปของขันธ์ ๕ ที่ล้วนบีบค้ันบังคับตัวเองอยู่เป็นนิจ ซ่ึงตรงกันข้ามกับอิริยาบถท่ีเมื่อเปลี่ยนแล้ว ก็ทาให้สุขต่อกันไปจนไม่รู้ตัวเลยว่า ขันธ์ ๕ กาลังบีบค้ันขันธ์เอง วินาทีละนับคร้ังไม่ได้. การที่ยังพิจารณาทุกขลักษณะว่า \"ขันธ์ท่ียังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีข้ึนแล้วต่อไปก็จะ กลายเป็นไม่มีไปอีก\"เป็นต้น (โดยมุ่งถึงความเบียดเบียนบีบค้ัน) ไม่บ่อย ไม่ต่อเนื่อง หรือเพิ่งเริ่มกาหนด จึงยัง ไม่เกิดความชานาญ ทุกขลักษณะท่ีกาหนดอยู่ก็จะไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจกระจ่างเท่าไหร่อิริยาบถจึงยังมีอานาจ รบกวนไม่ใหก้ าหนดทกุ ขลักษณะได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง. สาหรบั วิธีการจดั การกับอิริยาบถไมใ่ ห้มีผลกับการกาหนดทุกขลักษณะนั้นไม่มีวิธีการโดยตรง เพราะถ้า ไมเ่ ปลีย่ นอิรยิ าบถ หรอื อริ ยิ าบถไม่สม่าเสมอก็อาจป่วยได้ ซึง่ จะกลายเป็นการซ้าร้ายลงไปอีก ทั้งยังจะทาให้ไม่ สามารถดาเนินชีวิตได้ตามปกติ ทาให้อยู่ร่วมกับสังคมไม่ได้ไม่ว่าจะสังคมโยม หรือสังคมพระภิกษุก็อยู่ไม่ได้ เหมือนๆกัน. แต่ท่านก็ยังคงให้พิจารณาทุกขลักษณะแบบเดิมเป็นต้นว่า \"ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีข้ึน พอมีข้ึน แลว้ ต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก\"ดังนี้ โดยมุ่งถึงความเบียดเบียนบีบค้ัน ต่อไป โดยทาให้มาก ให้ต่อเน่ือง ให้ บ่อยครั้งเข้า ทุกขลักษณะก็จะปรากฏชัดข้ึน และอิริยาบถแม้จะยังมีอยู่ตามเดิม แต่ก็จะไม่มีอานาจปกปิดทุก ขลกั ษณะ หรอื ทาใหท้ ุกขลกั ษณะไม่ชัดเจนอกี ต่อไป. อนึ่ง อริ ยิ าบถไมไ่ ด้ปดิ บังปดิ บงั ทุกขัง เพราะทุกขัง คือ ขันธ์ ๕ ซ่ึงขันธ์ ๕ ที่เป็นโลกิยะโดยมากแล้วใคร ๆ แมท้ ี่ไมไ่ ด้ศึกษาคาสอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ก็สามารถจะเหน็ ได้ ดังท่ีท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาสติป๎ฏฐานสูตรว่า \"กาม อุตฺตานเสยฺยกาปิ ทารกา ถญฺญปิวนาทิ กาเล สขุ เวทยมานา สุข เวทน เวทยามาติ ปชานนตฺ ิ น ปเนต เอวรูปํ ชานน สนฺธาย วุตฺต - ความจริงแล้ว แม้แตพ่ วกทารกแบเบาะมีความสุขอย่ใู นเวลาขณะท่ีดื่มนม ก็ย่อมรู้ชัดอยู่ว่า เรามีสุขเวทนา (คือ รู้ตัวว่ากาลังมี ความสุข) อยู่ ดังน้ี แต่การรอู้ ย่างน้ีท่านไม่ได้ประสงคเ์ อา (ในการเจริญสตปิ ฏ๎ ฐาน) \"ดงั น้ี. เอกสารประกอบการสอน วชิ าพทุ ธปรัชญาเถรวาท เรียบเรยี ง นายเตชทัต ป๎กสังขาเนย์ ๑๓๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197