ศลิ ปะกอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เครือ่ งประดบั หนิ มีคา่ ก่งึ อญั มณี กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ พุทธศตวรรษท่ี ๗ -๙ (๑,๗๐๐ - ๑,๙๐๐ ปมี าแลว้ ) ได้จากการค้นที่บ้านดอนตาเพชร อาเภอพนมทวน จังหวดั กาญจนบุรี เครอ่ื งประดับหนิ มีคา่ กึ่งอัญมณี โดยเฉพาะหินคาร์เนเลยี นเป็นสินคา้ ทีผ่ คู้ นในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ นาเข้าจากอนิ เดียเพอื่ ใช้เป็นเคร่อื งประดบั ท่ีแสดงถึงฐานะทางสังคมของตนเอง โดยมกั พบตามชมุ ชนโบราณ หรือเมืองทา่ โบราณหลายแห่ง ภาชนะดินเผาวัฒนธรรมบา้ นเชยี ง ยุคกอ่ นประวัตศิ าสตร์ สมัยปลายประมาณ ๑,๘๐๐ -๒,๓๐๐ ปมี าแลว้ ไดจ้ ากแหล่งโบราณคดบี า้ นเชียง จงั หวัดอดุ รธานี
ภาชนดินเผาเนือ้ หยาบ เผาไฟอุณหภมู ิตา่ ใช้วิธีเผากลางแจ้ง ภาชนะเหล่านี้พบในหลมุ ฝังศพ ทาขนึ้ เพื่อใชใ้ น พธิ กี รรมเกยี่ วกบั ความตาย เปน็ เคร่อื งอทุ ิศแก่ผู้ตายเพ่ือให้นาไปใช้ในโลกหนา้ อนั เปน็ ความเชือ่ ดง่ั เดิมก่อนที่ พระพทุ ธศาสนาจะเข้ามาในดินแดนไทย ภาชนะดนิ เผาทรงพานเคลือบนา้ โคลนสีแดง ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมยั สัมฤทธ์ิ อายปุ ระมาณ ๒,๕๐๐ -๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ ไดจ้ ากจงั หวดั บุรีรมั ย์ ภาชนะทรงพานมเี ชิงสูง ทาน้าดินสีแดงและขดั มันทว่ั ทง้ั ใบ เปน็ ลักษณะเฉพาะของภาชนะท่ใี ช้เปน็ เคร่ืองอุทิศ ส้าหรับคนตายในยุคกอ่ นประวัตศิ าสตร์สมยั โลหะบรเิ วณลมุ่ แมน่ า้ มลู ตอนลา่ งบรเิ วณจงั หวัดนครราชสมี า- บุรีรัมย์ ภาชนะสามขา ยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินใหม่ (สังคมเกษตรกรรม )อายุประมาณ ๒,๕๐๐ -๓,๐๐๐ ปมี าแลว้ พบท่ีแหลง่ โบราณคดีบ้านเก่า อาเภอเมืองกาญจนบุรี จงั หวัดกาญจนบุรี ภาชนะดินเผาเนื้อหยาบเผาไฟอุณหภูมิต่า ผิวสีดาขัดมัน มีขาสามขา พบในหลุมฝังศพคนก่อน ประวัติศาสตร์สมัยหินใหม่ ภาชนะรูปแบบนี้คล้ายกับที่พบในประเทศจีนตอนใต้ นอกจากน้ียังพบ
แพร่หลายในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และบนคาบสมุทรมาลายูทางใต้ของประเทศไทย รวมท้ังในประเทศมาเลเซีย ภาชนะสมั ฤทธ์ิและลูกปัดหินคารเ์ นเลียน กอ่ นประวัตศิ าสตร์ พุทธศตวรรษท่ี ๗ -๙ (๑,๗๐๐ -๑,๙๐๐ ปมี าแล้ว) ได้จากการขุดคน้ ท่บี ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบรุ ี
กลองมโหระทึก ยคุ กอ่ นประวตั ิศาสตร์ (๒๔๐๐ – ๒๗๐๐ ปีมาแลว้ ) สาริด พบภายในบริเวณวดั เกษมจติ ตาราม ต.ท่าเสา อ.เมืองอตุ รดิตถ์ จ.อุตรดติ ถ์
ศลิ ปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖) ศีรษะยกั ษ์ ศลิ ปะทวารวดี พธุ ศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ (๑,๒๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแลว้ ) พบทวี่ ัดพระงาม อาเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ศีรษะยักษ์ดินเผา เกล้ามวยกลางกะหม่อมและสยายผมปรกทา้ ยทอย สวมเคร่ืองประดับ คือ กระบังหน้า เกรีย้ วรดั มวยผม และต่างหูกลมขนาดใหญ่ รปู ยักษน์ ีเ้ ดิมเปน็ ทวารบาลประจาศาสนสถาน ประติมากรรมสตรีสูงศกั ดิแ์ ละนางก้านลั
ศิลปะทวารวดี พุธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๓ (๑,๓๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแลว้ ) พบท่เี จดยี ์หมายเลข ๑๐ เมือง โบราณคบู ัว จังหวดั ราชบุรี ปูนปั้นรูปสตรีทวารวดีไว้ผมยาวและมนุ่ มวยผมกลางกระหม่อม รัดด้วยพวกดอกไม้หรือเกี้ยว นุ่งผ้ายาวร่างกาย ทอ่ นบนไมห่ ่มผา้ แตส่ วมเครื่องประดับได้แก่ทบั ทรวง สายสร้อยคอ และสวมต่างหู โดยคนทวารวดนี ยิ มสวม ตา่ งหูกันทุกคนทุกชนชัน้ โดยทาจากวัสดุแตกต่างกันไป มักทาดว้ ยโลหะขนาดใหญ่ มนี ้าหนกั มาก เป็นเครอ่ื ง แสดงฐานะ ซึง่ เม่ือสวมแลว้ นานเข้าจะทาให้ตงิ่ หูยาวลงมาเคลียไหล่ เครอื่ งประดบั ทองค้า ศิลปะทวารวดี พธุ ศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปมี าแล้ว) พบที่เมืองโบราณอูท่ อง อาเภออู่ ทอง จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี เครอื่ งประดับทองคาได้แก่ ต่างหู สายสร้อย จ้ี ลกู ปัด และแหวน ทาดว้ ยฝีมอื ประณีตงดงาม ลักษณะการแตง่ กายและสวมใส่เครอื่ งประดับ ของคนในวัฒนธรรมทวารวดี สามารถศึกษาได้จากประตมิ ากรรมภาพปนู ป้ัน ซึ่ง ประดบั อยู่ตามศาสนสถานในวฒั นธรรมทวารวดี
พระพทุ ธรปู ประทบั น่ังห้อยพระบาท ปางประทานปฐมเทศนา ศลิ ปะทวารวดี พธุ ศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ (๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปมี าแลว้ ) พบท่ีเจดีย์หมายเลข ๑๐ เมือง โบราณคบู วั จงั หวดั ราชบรุ ี พระพุธรปู ดินเผา พระหตั ถข์ วายกขนึ้ จบี นว้ิ พระหัตถ์แสดงพระธรรมจกั ร พระหัตถซ์ ้ายวางหงายยกข้นึ ในกริ ยิ า ประคอง หมายถึง การหมนุ พระธรรมจักร ปางประทานปฐมเทศนา ประทบั นัง่ ห้อยพระบาททงั้ สองข้างบน บัลลังก์ สร้างข้นึ เพื่อเป็นประตมิ ากรรมประดับสถาปัตยกรรม แผ่นหนิ สลกั รปู คชลักษมีและเคร่อื งมงคล (แผน่ จณุ เจิม) ศิลปะทวารวดี พุธศตวรรษท่ี ๑๒ ได้จากพระปฐมเจดีย์ จงั หวังนครปฐม
แผน่ หนิ สี่เหลี่ยมผนื ผ้า มีหลุมต้นื อยตู่ รงกลางล้อมรอบดว้ ยกลบี บวั ตอนบนสลกั รูปพระลัษมถี ือดอกบัว ขนาบ ข้างดว้ ยชา้ งยนื ชหู ม้อน้าสรงเทลงมาโดยรอบประกอบด้วยสัญลกั ษณม์ งคลตา่ งๆ ทแ่ี สดงถงึ ความอดุ มสมบรู ณ์ และความเป็นจักรพรรดริ าช ภาชนะมีพวย (กุณฑี) ศลิ ปะทวารวดี พุธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ (๑,๑๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแลว้ ) พบที่เมอื งโบราณบ้านคูเมือง จังหวัดสิงห์บุรี หม้อน้ามีพวยหรอื คณฑี (กุณฑี) ขึน้ รปู ภาชนะด้วยแป้นหมุน แตส่ ว่ นพวยคงเป็นการขน้ึ รูปอิสระดว้ ยมือ แล้ว นามาติภายหลงั เป็นภาชนะทีเ่ ผาไฟในอณุ หภูมติ ่า ภาชนะรแู บบน้ีพบแพร่หลายอยู่ตามชุมชนโบราณยคุ ตน้ ประวตั ิศาสตรใ์ นภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทัง้ ในประเทศไทย เมยี นมาร์ เวยี ดนาม กมั พชู า มาเลเซีย และอนิ โดนเี ซยี โดยรบั รปู แบบมาจากหม้อนา้ มีพวยของอินเดีย มกั ใชส้ าหรับนกั บวชและพธิ กี รรมทางศาสนา
เจดียศ์ ลิ า เจดีย์ศิลาสงู 3.90 เมตร พบในบรเิ วณพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ศลิ ปะทวารวดี ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12 พิพธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาติพระนคร ตอนล่างสดุ ย่อมเป็นช้ันซ้อนของเขียงในผังสี่เหล่ยี มด้านเท่า เหลอื ทรงบาท ต่อขึ้นเป็นคอ คือสว่ นทมี่ ีจารึกอักษรปลั ลวะ ภาษาบาลีคือคาถาเยธัมมาฯ คือหลักฐานชว่ ยกาหนดอายุไวใ้ น พทุ ธศตวรรษท่ี 12 แผน่ กลมซอ้ นลดหลั่งข้ึนไปถึงยอดอยู่ในทรงกรวย คอื ลักษณะท่ีคลีค่ ลายมาในระยะแรก จากฉัตรของเจดีย์แบบดั้งเดิมเชน่ มหาสถปู ทีส่ าญจี ประเทศอนิ เดีย มาจนถึงปจั จบุ นั เปลี่ยนลักษณะโดยทา เปน็ ปลอ้ งเรียกกันว่าปล้องไฉน
สถปู จ้าลอง ศิลปะทวารวดี พธุ ศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ (๑,๑๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว) ชิ้นสว่ นสถาปัตยกรรมจาลองชน้ิ นี้ สนั นษิ ฐานว่าเป็นชนิ้ ส่วนของสถปู จาลองในวฒั นธรรมทวารวดีประกอบด้วย องคร์ ะฆังและยอดท่ีเป็นฉตั รไม่มีบัลลงั ก์มารองรบั ส่วนยอด
เจดยี ์จ้าลอง ศลิ ปะทวารวดี พุธศตวรรษท่ี ๑๓ – ๑๕ (๑,๑๐๐ – ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว) เดิมได้จากวัดจนั ทราราม จงั หวดั ลพบุรี เจดยี ์จาลองแสดงให้เหน็ รปู แบบหนง่ึ ของสถาปตั ยกรรมทวารดี ซงึ่ สนั นิษฐานวา่ รับอทิ ธิพลจากเจดยี ์ศลิ ปะปา ละของอินเดีย โดยสถปู จาลองสามารถแยกเปน็ สาม ส่วน คือสว่ นฐาน องคส์ ถูปและยอดฐานส่เี หลยี่ ม เจดยี ์ จาลององคน์ ี้น่าจะสรา้ งขึ้นเพ่ือประดิษฐานพระบรมสารีรกิ ธาตุ หรือสง่ิ ของทถ่ี วายเป็นพุทธบูชา
เจดียจ์ า้ ลอง ศลิ ปะทวารวดี พุธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๕ (๑,๑๐๐ – ๑,๓๐๐ ปมี าแลว้ ) ไดม้ าจากมณฑลอสี าน เจดีย์จาลองหล่อด้วยสัมฤทธิ์ แสดงใหเ้ หน็ รปู แบบหน่งึ ของสถาปัตยกรรมทวารวดี ซึ่งสนั นษิ ฐานว่ารับอทิ ธิพล จากเจดียศ์ ิลปะปาละของอินเดีย โดยสถปู จาลองประกอบด้วยสองสว่ น คือองคส์ ถปู ทรงระฆงั และยอดส่งปลี แหลม สว่ นฐานหักหายไป
ธรรมจกั ร และกวางหมอบ ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ (๑๔๐๐ ปมี าแลว้ ) หิน พบที่วดั เสน่หา อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม
พระพุทธรูปยืน ปางแสดงธรรม ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ (๑๒๐๐-๑๓๐๐ ปมี าแลว้ ) สาริด พบท่บี า้ นฝ้าย อ.ลาปลายมาศ จ. บรุ ีรมั ย์
พระพทุ ธรปู นาคปรก ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ (๑๑๐๐-๑๓๐๐ ปมี าแลว้ ) หนิ จากวดั ประดู่ทรงธรรม จ. พระนครศรีอยุธยา ในศลิ ปะทวารวดี มีความนิยมในการสรา้ งพระพทุ ธรูปนาคปรกเชื่อกันว่าพระพทุ ธรปู นาคปรกถูกสรา้ ง ขน้ึ ตามเร่ืองราวในพุทธประวัติ ภายหลังจากที่พระพุทธเจา้ ตรสั รู้แลว้ ในสัปดาห์ที่ ๖ พระพุทธองคป์ ระทับอยู่ใต้ ตน้ มุจลนิ ทห์ รือตน้ จิก ได้เกิดพายฝุ นตกหนัก พญานาคชอ่ื ว่ามุจลนิ ทร์ท่อี าศัยอยู่ใตส้ ระน้าบริเวณใกลเ้ คียงกนั ได้เล้ือยขึ้นมาแผ่พงั พายปกป้องพระพุทธเจา้
เสมาสลกั ภาพพทุ ธประวตั ิ ตอนโสตถิยพราหมณถ์ วายหญา้ คา ศลิ ปะทวารวดี พุทธศตวรรษท่ี ๑๔-๑๖ (๑๐๐๐-๑๒๐๐ ปมี าแลว้ ) หนิ พบที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จ.กาฬสนิ ธุ์ คติในการสรา้ งใบเสมามจี ุดหมายที่สาคัญ เพ่ือใช้เปน็ เคร่ืองกาหนดเขตพ้ืนท่ีศกั ดิส์ ิทธิ์ทางศาสนา โดย ปกปักล้อมรอบพระอุโบสถ สถูปเจดีย์ หรือเนนิ สาคัญ เพ่ือบอกให้ทราบวา่ พ้ืนทแี่ ห่งนี้เป็นสถานที่ศักดสิ์ ิทธ์ิ หรืออาจสร้างขึ้นเพื่อการเคารพบชู า ลักษณะเดียวกับสถปู เจดีย์ หรอื พระพุทธรูป
พระพุทธรูปยนื ปางประทานพร ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ (๑๓๐๐ ปีมาแล้ว) หนิ พบที่วดั รอ จ. พระนครศรีอยุธยา ลกั ษณะพระพุทธรูปยนื ยังคงแสดงถงึ แรงบันดาลใจท่ีไดร้ ับจากศลิ ปะอนิ เดรย ขณะทพ่ี ระพักต์ แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะพื้นเมือง ในสมัยทวารวดี ชา่ งนยิ มสร้างพระพุทธรปู ขนาดใหญ่ดว้ ยศลิ าหรอื ดนิ โดยเฉพาะอย่างย่ิงหินปูน สว่ นพระพุทธรปู ขนาดเล็กนิยมหล่อดว้ ยโลหะสมั ฤทธิ์ พระพุทธรปู ยืนทพ่ี ระหัตถ์ แสดงปางประทานพรลักษณะนี้ ในประเทศไทยคน้ พบเปน็ จานวนน้อยมา
ศลิ ปะแบบเทวรปู รุน่ เกา่ พระวษิ ณจุ ตุรถุช พุทธศตวรรษที่ ๑๓ (๑๓๓ ปีมาแล้ว) หนิ พบท่เี ขาพระเหนอ อ.ตะกั่วปา่ จ.พงั งา
พระวษิ ณุ พุทธศตวรรษท่ี ๑๓ (๑๓๐๐ ปมี าแลว้ ) หิน พบท่ีเมืองโบราณศรเี ทพ จ.เพชรบูรณ์ รูปพระนารายณ์องค์นี ้มคี วามสงู ประมาณ ๒๐๗ เซนติเมตร สวมหมวกทรงกระบอก พระกรบนสองข้างหกั หายไป คงเหลอื เฉพาะสองพระกรลา่ ง พระกรยกขนึ ้ ไมแ่ นบติดกบั สว่ นองค์ ลกั ษณะการนงุ่ ผ้าโจงกระเบนสนั้ นวมทงั้ ลกั ษณะการยนื เอยี งตน หรือท่ีเรียกวา่ ยนื แบบตริภงั ค์ แสดงถงึ การรับอิทธิพลวฒั นธรรมเขมรโบราณเข้ามาทเ่ี มอื งโบราณ ศรีเทพในช่วงระยะเวลาดงั กลา่ ว
ศิลปะศรวี ชิ ัย (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๘) พระโพธิสตั วอ์ วโลกเิ ตศวร ศลิ ปะศรีวิชยั พุธศตวรรษที่ ๑๔ (๑,๒๐๐ ปีมาแลว้ ) พบทวี่ ดั พระบรมธาตุ อาเภอไชยา จดั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี พระโพธสิ ตั ว์อวโลกเตศวรแปดกรทรงยนื ทรงเครื่องประดับต่างๆ อาทสิ รอ้ ยพะศอ พระองั สาซา้ ยทรงคล้องผา้ เฉวยี งบา่ และคล้องทับดว้ ยสายมงคลท่นี ักบวชใช้ โดยมศี รี ษะกวางประดับอยูบ่ นสายนั้นสาหรับพระศกเกลา้ เป็นชฎามงกฎุ ขมวดพระเกศาย้อยลงเปน็ วงโค้ง ซ้อนกันเป็นช้นั ศริ าภรณแ์ ละเคร่ืองประดับแสดงให้เห็นถงึ อธิ ิ พลจากศิลปะอนิ เดยี ภาคใต้ และศิลปะชวาภาคกลาง
พระไวโรจนะ ศิลปะศรีวชิ ยั พุธศตวรรษที่ ๑๔- ๑๕ (๑,๑๐๐- ๑,๒๐๐ ปีมาแลว้ ) พบที่อาเภอโกสุมพสิ ัย จงั หวดั มหาสารคาม พระไวโรจนะ แปลวา่ พระผู้รุ่งโรจน์ หมายถงึ ปัญญาสูงสดุ ทรงเป็นพระธยานิพทุ ธองค์แรกในกลุม่ พระธยานิ พุทธ๕ พระองค์ อนั เกิดจากฌานสมาบัติของพระอาทิพทุ ธเจา้ ทรงเคร่อื งประดับ ได้แก่ กณุ ฑล กรองศอ พาหุ รัด พรหัตถ์แสดงปางปฐมเทศนา ประทับนั่งขัดสมาธเิ พชรบนบานบวั ที่รองรับด้วยบลั ลังก์สงิ ห์ โดยมีนางตารา ๒ องค์ ซึ่งเป็นชายา ยนื เคยี งขา้ ง พระโพธสิ ตั วป์ ัทมปาณิ ศิลปะศรีวิชัย พุธศตวรรษที่ ๑๔- ๑๕ (๑,๑๐๐-๑,๒๐๐ ปมี าแลว้ )
พระโพธสิ ัตว์ปทั มปาณิ หรอื อวโลกิเตศวร รูปเคารพองค์สาคัญในพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน ทรงยืนตรง พระ หตั ถ์ขวาแสดงปางประทานพร พระหตั ถ์ซ้ายถือปัทมะหรือดอกบัว พระศกเกลา้ ทรงชฎามกุฎ มพี ระอมติ าภะ ประทับอยเู่ บอ้ื งหน้า ทรงภูษายาว คาดหนังเสอื เป็นสัญลกั ษณ์ประจาพรองค์ อิทธิพลศลิ ปะอนิ เดีย-ชวา พระโพธิ์สัตวอ์ วโลกิเตศวร ศลิ ปะศรวี ิชยั อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (๑๔๐๐ ปมี าแล้ว) หิน พบทีว่ ดั ศาลาทงึ จ.สุราษฎรธ์ า
พระพทุ ธรูปางมารวิชัยนาคปรก ศลิ ปะศรีวิชัย พุทธศักราช ๑๗๒๖ หรอื พทุ ธศักราช๑๘๒๒-๑๘๓๔ สารดิ พบท่ีวดั เวยี ง อ.ไชยา จ.สรุ าษฎร์ธานี พระพุทธรูปองค์น้ถี ือเปน็ โบราณวัถุชน้ิ เยีย่ ม หลอ่ ข้ึนดว้ ยฝีมืออนั ประณตี งดงาม ฐานของพระพทุ ธรูปองค์น้ีมีจารึกเปน็ ภาษาเขมรโบราณ กลา่ วคือการหลอ่ พระพุทธรูปในปี พ.ศ. ๑๗๒๖ เพอ่ื ใหป้ ระชาชนผูศ้ รทั ธาได้กราบไหวบ้ ชู าทัง้ นค้ี วามงามชองศิลปะบนองค์พระพุทธรปู เป็นการผสมผสานกัน อยา่ งลงตวั ระหวา่ งศลิ ปะเขมรโบราณ และฝีมือชา่ งท้องถนิ่ ทางภาพใต้ของประเทศไทยในเวลานั้น
พระโพธิสัตวอ์ วโลกเิ ตศวร ครงึ่ องค์ ศิลปะศรวี ชิ ัย ตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๑๔ (๑๒๐๐-๑๒๕๐ ปมี าแล้ว) พบท่ี วดั เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎรธ์ านี
ศิลปะขอมในประเทศไทยหรอื ศิลปะลพบุรี (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๙) พระวษิ ณุ ศิลปะลพบุรี (ศิลปะแบบเขรมในประเทศไทย) พุทธศตวรรษท่ี ๑๘- ๑๙ (๗๐๐- ๘๐๐ ปมี าแลว้ ) พระวษิ ณุ ๔ กรสวมกิรมี งกุฎทรงกระบอก กณุ ฑลรปู หว่ ง กรองศอพาหรุ ัด ทองกร น่งุ ภูษาจบี เปน็ ริ้ว ยาวกรอม พระบาท ชักชายผ้าดา้ นบนเป็นแผ่นโค้งเยือ้ งพระอุทร คาดปน้ั เหน่งประดบั พวงอบุ ะ อิทธิพลศลิ ปะเขมรแบบ บายน พระกรท้ังส่ีถืออาวุธหรือสัญลักษณต์ ่างๆ ไดแ้ กจ่ ักร คทา ก้อนถแู ละดอกบัว คณฑีรปู สตั ว์ เคลอื บสนี ้าตาล
ศิลปะลพบรุ ี (ศลิ ปะแบบเขรมในประเทศไทย) ผลิตจากแหล่งเตาในจังหวัดบรุ ีรมั ย์ อายุประมาณพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๗- ๑๘ (๘๐๐- ๙๐๐ ปีมาแล้ว) คณฑหี รือภาชนะหมีพวย เนือ้ แกรง่ เคลือบสีน้าตาลเข้ม ตกแต่งเปน็ รปู สตั ว์อาจได้แก่ หมีหรือลิง ซง่ึ เปน็ สตั ว์ใน ทอ้ งถน่ิ ผลติ จากแหลง่ เตาในอาเภอบา้ นกรวด จงั หวัดบุรรี ัมย์ ภาชนะรูปกระตา่ ย เคลอื บสีนา้ ตาล ศิลปะลพบรุ ี (ศลิ ปะแบบเขรมในประเทศไทย) ผลิตจากแหล่งเตาในจงั หวดั บรุ ีรัมย์ อายปุ ระมาณพุทธศตวรรษ ที่ ๑๗- ๑๘ (๘๐๐- ๙๐๐ ปมี าแลว้ ) ภาชนะขนาดเล็กรปู กระตา่ ย เนื้อแกร่งเคลือบสนี ้าตาล ตกแต่งด้วยลายขูดขดี เซาะร่อง และปัน้ แปะแสดง รายละเอียดต่างๆ ของตวั สัตวภ์ าชนะรูปสตั วข์ นาดเลก็ แบบน้ี มักมปี ากแคบและมีฝาปิด ส่วนใหญใช้เป็นเตา้ ปูน
เจดียท์ รงแปดเหล่ียมจา้ ลอง ศิลปะลพบุรี พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ (๘๐๐ ปมี าแลว้ ) เจดียจ์ าลองตง้ั อยู่บนฐานแปดเหลย่ี ม เรือนธาตุแปดเหลย่ี มประดษิ ฐานพระพุทธรปู ปางมารวชิ ยั ในซุ้มจระนา ทุกดา้ นรองรับองคร์ ะฆงั และปลียอดทรงกรวยแหลม
พระวิศวะกรรม ศลิ ปะเขมรในประเทศไทย พุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ( ๘๐๐ ปมี าแลว้ ) ย้ายมาจากอยุธยาพิพิธภณั สถาน รูปเทพเจ้าแหง่ การชา่ ง ประทบั ฉันเขา่ ขวา ทรงเครอื่ งอาภรณ์อย่างกษตั ริย์ แมพ้ ระหัตถ์ขวาและวตั ถุใน พระหัตถ์ซา้ ยจะหักหายไป แต่คงเครอ่ื งมือในการช่าง จากลกั ษณะการทรงพระภษู าสันชกั ชายผา้ ดา้ นหนา้ ตกลงเป็นลว้ นแสดงถึงลักษณะการแต่งกายทน่ี ยิ มในศลิ ปะเขมรเม่อื ราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว
ประตมิ ากรรมรูปสตรี ศิลปะเขมรในประเทศไทย พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ( ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว) สมบัตเิ ดมิ ของพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร รูปสตรีหล่อสมั ฤทธ์ชิ ้นิ น้ีแมจ้ ะชารุดแต่มีความพิเศษที่แสดงถึงลกั ษณะทรงผมท่ีไวผ้ มยาวถักเปียขนาดเล็กเรยี ง เปน็ ระเบยี บแล้วขมวดมัดเป็นปมปลอ่ ยปลายผมให้แหลมตั้งอย่กู ลางกระหม่อม นุ่งผา้ ยาวรา่ งกายท่อนบน เปลือยเปลา่ มบี ั้นเอวเล็กสะโพกแคบอนั เป็นสนุ ทรียข์ องศลิ ปะเขมรในช่วงเวลานนั้
พระโพธิสตั ว์อวโลกิเตศวรเปลง่ รศั มี ศลิ ปะลพบุรี (ศิลปะเขมรในประเทศไทย) หนิ ทราย พบท่ปี ราสาทเมอื งสงิ ห์ จ. กาญจนบรุ ี
สรุ ิยเทพ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๓ (๑๓๐๐-๑๔๐๐ ปีมาแลว้ ) ไดจ้ ากเมอื งโบราณศรเี ทพ อ.ศรเี ทพ จ.เพชรบณู ณ์
พระพทุ ธรปู ปางสมาธิ พุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙ (๗๐๐-๘๐๐ ปมี าแลว้ ) หินทราย พบที่วดั พระศรีรัตนมหาธาตุ จ.ลพบรุ ี พระพทุ ธรปู องค์น้ีไดร้ บั แรงบันดาลใจจากศลิ ปะเขมรโบราณแบบบายน ผสมผสานกบั วัฒนธรรม ทอ้ งถิน่ สอดคล้องกับสถานที่ค้นพบพระพุทธรปู คอื เมืองลพบุรี ซ่งึ มรี อ่ งรอยการอยู่อาศยั ของผ้คู นตง้ั แตส่ มยั ทวารวดสี บื ต่อเนอื่ งจนกระทงั่ ได้รบั อิทธพิ ลศลิ ปะเขมรจากอาณาจักรกัมพชู าโบราณ
พระพุทธรูปทรงเครือ่ งนาคปรก ศลิ ปะลพบุรี (ศลิ ปะเขมรโบราณประเทศไทย) พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ (๙๐๐ ปีมาแล้ว) หนิ ทราย จากวัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรอี ยธุ ยา พระพทุ ธรูปองค์นม้ี ีพระพักตร์สเี่ หล่ยี ม พระพักตร์มรี ่องรอยการลงรักปิดทอง สีพระพกั ตร์ดูเครง่ ขรมึ พระหตั ถ์แสดงปางสมาธิประทับนั่งเหนือขนดนาคสสามช้นั มพี ญานาคเจด็ เศยี รแผ่พงั พายปรกอยู่เบ้ืองหลงั
ศิลปะหรภิ ุญชยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๗ –๑๙) แผ่นทองคา้ ดนุ นนู ภาพพระพุทธรูป ศลิ ปะหรภิ ุญชยั (ก่อนลา้ นนา) พุทธศตวรรษที่ ๑๗- ๑๙ (๘๐๐- ๙๐๐ ปมี าแล้ว) แผ่นทองคาดนุ นนู แสดงภาพพระพุทธรปู ทรงเครื่อง ยนื ภายในซ้มุ เรือนแก้ว พระหัตถ์ขวายกขึ้นแสดงปาง ประทานอภัย ลักษณะเคร่ืองทรงคงไดร้ บั แรงบนั ดาลใจมาจากศิลปะพมา่ แบบพกุ าม
ศลิ ปะสุโขทยั (พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐ ) แม่พมิ พ์ลายเคร่อื งประดบั ศิลปะสุโขทยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐ (๖๐๐ – ๗๐๐ ปมี าแล้ว) พบจากการขุดแตง่ และบรู ณะวัดมหาธาตุ จังหวดั สุโขทัย แมพ่ ิมพ์หินรปู ส่เี หลย่ี มผนื ผ้า ทั้งสองดา้ นขดู สลกั ลงเปน็ รูปทรงของเครื่องประดบั หลากหลายชนดิ การใชง้ าน ต้องมีแมพ่ ิมพ์อีกชน้ิ หน่งึ มาประกบคู่กนั โดยเคร่ืองประดับแตล่ ะพิมพ์มขี บวน หรอื ทางสาหรบั ให้นา้ โลหะไหล ต่อเชอื่ มกนั ไหเคลือบสเี ขียว
ศลิ ปะสุโขทยั เตาเมอื ศรีสชั นาลัย จงั หวดั สุโขทยั อายปุ ลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (๖๐๐ ปมี าแลว้ ) ไหพร้อมฝา ทาจากดินเผาเนื้อแกร่งเคลือบสีเขยี ว ผลิตจากแหล่งเตาที่เมืองศรีสัชนาลัย จังหวดั สโุ ขทยั เปน็ ผลิตภัณฑ์เครือ่ งสงั คโลกท่ีผลิตข้นึ ในระยะแรกสดุ ซง่ึ ไดร้ บั แรงบันดาลใจมาจากเครื่องเคลือบสเี ขยี วของจนี สมยั ราชวงศ์เยวย๋ี น มกร ศลิ ปะสุโขทัยพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ (๖๐๐ – ๗๐๐ ปมี าแลว้ ) มกรเปน็ สตั ว์ผสมในจนิ ตนาการ สว่ นบนมีหัวและล้าตัวเหมือนสตั ว์บกสว่ นล่างมีลักษณะคลา้ ยสตั ว์น้า มกร ชนิ นที า้ จากดินเผาเคลอื บเขยี นลายสีนา้ ตาลเข้ม ผลิตจากเตาสังคโลกทีเ่ มืองศรีสัชนาลัยจังหวดั สุโขทัย การใช้สัตว์มงคลเปน็ ส่วนประดับสถาปตั ยกรรมนนี า่ จะมีต้นแบบมาจากศิลปะเขมร โดยมักจะใชป้ ระดับไว้ ในสว่ นบน เช่น ใช้ประดบั มุมชายคา มุมลา่ งของจวั่
ส่วนยอดของเจดยี ์ ศิลปะสุโขทยั อายุราวกลาง – ปลายพุธศตวรรษที่ ๒๐ (๖๐๐ ปมี าแลว้ ) ส่วนยอดของเจดยี ด์ นิ เผาเคลือบ สันนษิ ฐานว่าสรา้ งข้ึนจากเตาเมืองเก่าสโุ ขทัย จังหวดั สุโขทัย ประดบั ด้วยซุ้ม จระนาทัง้ ส่ีดา้ น และประติมากรรมรูปครฑุ รองรับส่วนยอดซ่งึ ตกแต่งด้วยซุ้มจระนาเชน่ เดยี วกัน
พระพุทธรูปปางลลี า ศลิ ปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ (๖๐๐-๗๐๐ ปมี าแล้ว) สารดิ ไดจ้ ากวดั เบญจมบพิตรดสุ ติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร
พระพุทธรปู ปางมารวิชยั ศลิ ปะสุโขทยั พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (๖๐๐ ปมี าแล้ว) สารดิ เป็นทรัพยส์ ่วนพระมหากษตั ริย์ รบั มาจากพระคลงั กระทรวงคลัง เมื่อวนั ท่ี ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒
รอยพระพุทธบาท ศิลปะสโุ ขทยั พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ (๕๐๐ขู๐๐ ปีมาแล้ว) สารดิ ไดจ้ ากวัดเสดจ็ อ.เมืองกาแพงเพชร จ. กาแพงเพชร
ศลิ าจารึกหลกั ท่ี ๑ หรือ ศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคา้ แหงมหารราช อกั ษรไทยสโุ ขทยั ภาษาไทย พทุ ธศักราช ๑๘๓๕ หินทรายแปง้ พบท่ี เนนิ ปราสาทเมืองโบราณสุโขทยั “ลายสือไทย” หรอื อกั ษรไทยมลี ักษณะแตกต่างไปจากอักษรขอมหรืออักษรมอญท่ีใช้กันมาแตเ่ ดิม ลักษณะสาคญั คอื เป็นตวั อกั ษรท่บี ากข้นึ ลงเป็นเส้นตรง รปู อักษรอยใู่ นทรงสีเ่ หลยี่ มเรียกวา่ อักษรเหลยี่ ม การ เขียนเริม่ ต้นจากหัวอกั ษร ลากเส้นสบื ตอ่ กนั ไปโดยไม่ต้องยกเครอ่ื งมือเขียนข้ึน วางรูปสระอยใู่ นบรรทดั เดยี วกบั รปู พยญั ชนะ และมีเคร่ืองหมายวรรณยกุ ต์ เอก และ โท ใช้ประกอบการเขยี นเพอ่ื ให้อา่ นได้ครบตาม เสยี งในภาษาไทย
ศิลปะล้านนา (พธุ ศตวรรษที่ ๑๙ –๒๓) เทพนม ศลิ ปะลา้ นนา พธุ ศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปมี าแล้ว) สมบตั เิ ดิมของพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร เทวดาทรงเคร่ืองอยา่ งกษัตรยิ ์ในอิรยิ าบถยนื ประนมพระหัตถ์ ทรงเครื่องประดับ มงกฎุ กณุ ฑล กรองคอ พาหุรดั ทองพระกร ทรงพระภูษาชักชายผา้ ออกมาทดี่ า้ นข้าพระองค์ชอ้ นก้อนหลายช้นั คล้ายอาภรณ์ ของเทวดาปนู ป้นั ท่ีวัดเจด็ ยอด (วัดมหาโพธาราม) ซง่ึ แสดงถงึ รูปแบบการแตง่ กายของชนชั้นสูงตามอดุ มคติของ ชาวล้านนาในสมัยนน้ั
เทพนม ศลิ ปะลา้ นนา พธุ ศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแล้ว) นายแฮน สไวเยอร์ มอบให้ เทวดาทรงเครื่องอย่างกษัตรยิ ์ในอิรยิ าบถนั่งประคองพระหัตถ์ระดบั พรอรุ ะ คล้ายกบั ถือสงั ข์เพื่อหยาด น้าอุทศิ กุศลในพุทธศาสนา ยอดมงกุฎของเดิมหลดุ หายไปและมรการทาใหม่ทดแทนไว้แต่เดิม สาหรบั พระภษู า ทรงมีชายผ้ายาวหอ้ ยซ้อนกันหลายชัน้ ตามแบบล้านา แจกนั เขยี นลายสา้ ดา้ ใตเ้ คลือบ ศิลปะลา้ นนา เตาเวียงกาหลวง อาเภอเวยี งป่าเป้า จงั หวัดเชียงราย ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๒๐- ๒๑ (๕๐๐- ๖๐๐ ปีมาแล้ว) แจกันขนาดใหญ่ เขียนลายสีดาใตเ้ คลือบ เปน็ ลายดอกไม้พันธ์พุ ฤกษา ผลติ จากเตาบริเวณเวยี งกาหลง อาเภอวี ยงปา่ เป้าจังหวดั เชียงราย
เจดยี ์จ้าลอง ศลิ ปะล้านนา พุทธศตวรรษท่ี ๒๕ เจดยี ์จาลองทาจากไมท้ าชาดปดิ ทอง ถอดแยกออกได้เป็น ๔ ส่วน ประกอบดว้ ยฐานสเ่ี หล่ยี มจัตุรสั ฐานบวั ยกเกจ็ ในผงั แปดเหล่ียมรองรบั แถวของกลีบบัว ๓ ชั้นซ้อนลดหลน่ั ในผงั กลม รองรบั ฐานบัวใน ถังกลมและชุดบวั ถลา ซงึ่ ไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากศลิ ปะสุโขทยั รองรบั องค์ระฆัง ส่วนยอดเปน็ ปล้องไฉน และ ตรยี อดส่วนบนสุดเป็นชาติทาด้วยโลหะทาชาดปิดทอง
ผอบบรรจุพระธาตุ ศลิ ปะลา้ นนา พุธศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแล้ว) พบทีอ่ าเภอฮอด จงั หวัดเชียงใหม่ ผอบบรรจพุ ระธาตหุ ลายรูปแบบ เชน่ ผอบทรงเจดยี ์ ผอบรูปสัตว์ และผอบธรรมดา สว่ นใหญ่ทาจากหนิ สีขาว ใส (แร่ควอทซ)์ และหินสเี ทาเคล่อื นยา้ ยมาจากโบราณสถานก่อสรา้ งเขอ่ื นภมู ิพล ระหว่างพุทธศักราช ๒๕๐๒ – ๒๕๐๔
เครื่องราชปู โภคจ้าลอง ศิลปะล้านนา พธุ ศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปมี าแลว้ ) ๑. ขดุ พบทว่ี ดั เจดยี ์สงู ตาบลฮอด จังหวดั เชียงใหม่ ๒. ขดุ พบที่วัดศรโี ขง ตาบลฮอด จงั หวดั เชยี งใหม่ การถวายเคร่ืองราชูปโภคจาลองเปน็ พุทธบูชา เน่ืองจากความเชื่อวา่ พทุ ธเจา้ ทรงเปน็ ขตั ิยงวศ์ หากมิได้ทรง ผนวชก็จะได้เป็จกั รพรรดิ
พระพทุ ธรูปปางมารวิชัย ศลิ ปะล้านนา พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (๕๐๐ปมี าแลว้ ) สารดิ ทายาทมหาอามาตย์ศรี พระยาชัยวชิ ติ วิศษิ ฏธ์ รรม ธาดามอบให้ แมพ้ ระพุทธรูปองค์นจ้ี ะแสดงลักษณะของพระพุทธรูปล้านนาที่นยิ มเรียกว่าพระพุทธรูปแบบเชยี งแสน รนุ่ แรก หรอื ”พระสงิ ห์๑” แต่ส่วนพระเศยี รมีขมวดเกศาใหญพ่ ระเมาลพี องและส.ู ใหญก่ ว่า อกี ทั้งพระเนตรเปดิ มองตรงแตกต่างจากกบั พระพทุ ธรูปแบบสิงหห์ นง่ึ ที่พระเนตรที่เหลือบลงตา่ แสดงความสงบมากกว่า จงึ กาหนด อายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ หรอื ประมาณ ๕๐๐ ปมี าแลว้
พระพทุ ธรปู ปางมารวิชัย ศลิ ปะล้านนา พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (๖๐๐ ปีมาแล้ว) สาริด พระบาทสมเด๗พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั พระราชทาน เมื่อ พุทธศกั ราช ๒๔๖๙ เป็นพระพทุ ธรปู แบบลา้ นนา ทนี่ ิยมเรียกวา่ พระพทุ ธรูปแบบเชยี งแสนรุ่นแรก หรือ “พระสิงห์๑” ซง่ึ ได้รับอิทธิพลศลิ ปะปาละของอินเดียผ่านทางอาณาจกั รพุกามของประเทศพม่า นับว่าเป็นพุทธศลิ ป์แบบลา้ นนา ทีง่ ดงามจนเปน็ แบบอย่างทีช่ ่างในสมยั ต่อมาสรา้ งจาลอง
ศิลปะอทู่ อง (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐) พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศลิ ปะก่อนอยธุ ยา (ศลิ ปะอทู่ อง) พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (๗๐๐ ปีมาแล้ว) สารดิ ไดร้ ับมอบจากกระทรวงคลงั เม่อื พทุ ธศักราช ๒๔๘๒ พระพทุ ธรูปปางมารวชิ ัยองค์น้ี แต่เดิมนิยมเรยี กว่าพระพทุ ธรปู แบบอ่ทู องรนุ่ ๑ พทุ ธลักษณะสาคญั ท่ี ยงั คงแสดงใหเ้ ห็นถงึ อิทธิพลของศลิ ปะทสี่ บื ทอดจากสมัยลพบรุ ีหรอื เขมรโบราณในประเทศไทย
ศิลปะอยธุ ยา (พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐-๒๓) ศิลปะอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเปฯ้ ธษนีของคนไทยตั้งแตพ่ ุทธศกั ราช ๑๘๙๓ ถึง ๒๓๑๐ ยาวนานถึง ๔๑๗ ปี เป็น ศูนย์กลางการคา้ ท่สี าคญั ของภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ถือเปน็ อาณาจักรทม่ี ่ังคั่ง และรงุ่ เรอื งท่สี ุดแหง่ หนึง่ ในเวลานั้น งานศิลปกรรมสมัยอยุธยาส่วนใหญร่ ังสรรค์ขน้ึ เพื่องานในพระพุทธศาสนา และราชสานัก ประวัตศิ าสตร์ศิลปะแบง่ พฒั นาการของศิลปะอยุธยาส่วนใหญร่ ังสรรคข์ ้นึ เพ่ืองานในพระพุทธศาสนา และราช สานกั นักประวตั ิศาสตร์ศิลปะแบ่งพัฒนาการของศิลปะอยุธยาออกเป็น ๓ ระยะ ไดแ้ ก่ สมัยอยุธยาตอนตน้ พุทธศักราชที่ ๑๘๙๓ – ๒๐๓๑ รชั กาลสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ ๑ (พระเจ้าอ่ทู อง) ถึง สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ สมนั อยุธยาตอนกลาง พุทธศักราช ๒๐๓๑ – ๒๑๗๒ รัชกาบสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชท่ี ๓ ถงึ พระ อาทติ ยว์ งศ์ สมยั อยธุ ยาตอนปลาย พทุ ธศักราช ๒๑๗๒ – ๒๓๑๐ รัชกาลพระเจา้ ปราสาททอง ถึง สมเดจ็ พระทนี่ ง่ั สรุ ิยาสนอ์ มรินทร์ อยุธยาระยะแรกได้แรงบันดาลใจจากศลิ ปะที่มมี าก่อน คอื ศลิ ปะลพบรุ ี และ อู่ทองผสมผสานกับ ศลิ ปะสุโขทัย และลา้ นนา พัฒนาข้นึ เป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะอยธุ ยาในทส่ี ดุ สถาปตั ยกรรมระยะแรกนิยม สรา้ งพระปรางค์เป็นประธานของวัด ได้แก่ วันพุทไธสวรรย์ วัดพระราม วดั มหาธาตุ และวัดราชบรู ณะ ต่อมา จึงนิยมสรา้ งเจดยี ์ทรงกลมแบบลงั กา เช่น วดั พระศรีสรรเพชรญ์ วัดใหญ่ชยั มงคล ฯลฯ แลว้ พัฒนาเปน็ เจดีย์ เหล่ียมเพมิ่ มุมหรอื ย่อมุม โบสถ์ วหิ ารสมยั อยธุ ยานิยมทาฐาน และสันหลังคาเป็นเสน้ อ่อนโคง้ สาหรับ ประติมากรรมทส่ี าคญั ได้แก่ พระพุทธรูป ระยะแรกมีพระพกั ตเ์ ปน็ เหลย่ี มตามแบบศิลปะลพบุรีและอู่ทอง ต่อมามพี ระพักต์เป็นรปู ใข่ตามอิทธิพลศลิ ปะสโุ ขทัย แลว้ เปล่ยี นเป็นพระพักตร์ ูปกลมป้อม อนั เปน็ ลักษณะของ ศิลปะอยธุ ยาในทสี่ ดุ ปลายสมัยอยุธยาเกิดคติการสรา้ งพระพุทธรูปทรงเครื่อง สวมมงกุฎและเครอื่ งประดับ แบบกษตั ริย์ ซึ่งกลายมาเป็นเอกลกั ษณ์ท่ีสาคญั ของศลิ ปะอยุธยา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140