ใบความรู้ เร่ือง คนยุคใหมใ่ ส่ใจเร่ืองเพศ พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายของคำวา่ “เพศ” หมายถึง “รปู ทแ่ี สดงใหร้ ้วู ่า หญิงหรือชาย ท่ัวไป คำว่า “เรือ่ งเพศ” หรอื ในภาษาอังกฤษเรยี กวา่ เซก็ ส์ (sex)หมายถึงลักษณะทางกายภาพ ที่บอกว่าเปน็ เพศชายหรือหญิงบางครัง้ หมายถงึ แรงขบั หรือสญั ชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ท่ีแสดง ออกเป็นพฤตกิ รรมบางคร้ังหมายถึงพฤติกรรมทางเพศหรือการมเี พศสมั พันธ์ เพศศึกษาหมายถึงกระบวนการเรยี นรู้ทีจ่ ะทำใหผ้ ู้เรียนมีความร้คู วามเข้าใจ และมีพฤติกรรมทางเพศ อย่างถูกต้องการจัดการเรยี นรู้เพศศึกษารอบดา้ น หมายถึงการจดั การเรยี นรูท้ ี่มีลักษณะดังน้ี 1.สอนใหเ้ ห็นวา่ เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ความต้องการทางเพศเป็นเรอื่ งปกตแิ ละเป็นส่วนหน่งึ ของ ชวี ิตท่ีมสี ขุ ภาวะ 2.สอนให้เห็นว่า การไมม่ ีเพศสมั พนั ธค์ อื วธิ ีท่ไี ดผ้ ลทส่ี ุดตอ่ การปอ้ งกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ รวมทัง้ เอดส์ 3.สอนให้ตระหนักถึงการใหค้ ุณคา่ และตระหนักถงึ สงิ่ ท่ตี นเองให้คุณคา่ ควบคไู่ ปกับความเข้าใจว่า ครอบครัวและชมุ ชนท่ีเราอยู่ให้คณุ ค่าต่อสง่ิ นนั้ อยา่ งไร 4.ใหส้ าระทีห่ ลากหลายเก่ยี วกบั เร่ืองเพศไมว่ ่าจะเปน็ พัฒนาการ ธรรมชาตใิ นเร่อื งเพศของมนุษย์ สมั พันธภาพ ทักษะสว่ นบคุ คลการแสดงออกในเรอื่ งเพศ สขุ ภาพทางเพศมิติดา้ นสังคมวัฒนธรรมของเรื่องเพศ 5.ใหข้ ้อเท็จจริงตรงไปตรงมาไมป่ ิดบงั ในเรื่องการทำแท้งการสำเรจ็ ความใคร่ด้วยตนเอง ความพึงพอใจ และรสนยิ มทางเพศแบบต่างๆ 6.ให้ขอ้ มูลทางบวกเก่ียวกับเร่ืองเพศการแสดงออกทางเพศ ควบคไู่ ปกบั ผลดีของการรักษาพรหมจรรย์ 7.สอนให้รวู้ า่ การใช้ถุงยาง และสารหลอ่ ลน่ื อยา่ งถกู ต้องจะทำใหส้ ามารถลดความเสีย่ งต่อการตั้งครรภ์ ไม่พึงประสงค์และการเกิดโรคติดทางเพศสมั พนั ธ์ แมว้ า่ จะไม่ประกนั ความเสย่ี งได้ 100% 8.สอนให้รวู้ ่าการใชว้ ธิ กี ารคมุ กำเนิดสมยั ใหม่สามารถป้องกันการต้ังครรภไ์ มพ่ ึงประสงค์ได้อยา่ งไร 9.ให้ขอ้ มูลที่ถูกตอ้ งชัดเจนเกี่ยวกบั โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พันธแ์ ละเอดส์ รวมทั้งการหลกี เลย่ี งความ เสีย่ งได้อยา่ งไรบ้าง 10.สอนใหต้ ระหนักว่าคำสอน และคุณคา่ ทางศาสนาท่บี ุคคลยึดถือมีส่วนกำหนดการดำเนนิ ชวี ติ และ การแสดงออกทางเพศของบคุ คลอย่างไร และให้โอกาสผูเ้ รียนได้สำรวจความคิดความเช่ือของตน และ ครอบครวั ต่อเรื่องน้ี 11.สอนให้เหน็ ว่าเม่ือเดก็ /วัยรุ่นหญงิ ตั้งครรภ์ไม่ตงั้ ใจและไม่พรอ้ มมีทางเลอื กไมว่ ่าจะเป็นการอมุ้ ครรภ์ จนครบกำหนดคลอด และเลย้ี งดูทารกหรือเมื่อคลอดแลว้ หาทางใหท้ ารกแก่ผู้อุปถัมภ์อ่ืนหรือยตุ กิ ารตั้งครรภ์ ด้วยการทำแท้งหากไม่พรอ้ มจรงิ ๆการวางตัวตอ่ เพศตรงข้าม การวางตวั ตอ่ เพศตรงข้าม หมายถึง การที่ชายหรือหญงิ ประพฤตปิ ฏิบัติต่อกัน เพอื่ สรา้ งสัมพันธภาพท่ี ดีระหวา่ งกนั ในแบบเพื่อน แบบพน่ี ้อง หรือแบบคูร่ กั ภายใต้สภาพแวดล้อมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี
และวฒั นธรรมใน สังคมนน้ั ๆการวางตวั ตอ่ เพศตรงข้ามแบบเพอื่ น การวางตวั ต่อเพศตรงข้ามแบบเพอ่ื น บคุ คลควรปฏิบัติต่อเพศตรงข้ามในดา้ นการพูด การแสดงกิริยา ท่าทาง และความประพฤติอ่ืน ๆ ท่ีให้เกยี รตซิ ง่ึ กันและกัน เช่น ฝ่ายชายไม่ลว่ งเกนิ ฝา่ ยหญงิ หรอื ที่เรียกวา่ แต๊ะอง๋ั เพราะธรรมชาติของผู้ชายแล้วมักถกู เน้ือต้องตัวผหู้ ญิง ซ่ึงบางคร้ังผหู้ ญิงจะคิดไม่ถงึ การพดู คำสภุ าพ ตอ่ กัน ควรช่วยเหลือกันในสงิ่ ที่พอจะช่วยกันได้ รจู้ กั แสดงความขอบคณุ เม่ือได้รบั ความช่วยเหลือจากเพศตรง ข้าม ไม่ทำใหเ้ พ่ือนอับอาย เพราะเราไมเ่ อาเปรยี บซงึ่ กันและกันเปน็ ที่ปรกึ ษาซงึ่ กันและกัน มีความจรงิ ใจต่อกัน ไม่นนิ ทากนั ลบั หลงั มีความห่วงใยและเอ้ืออาทรต่อกนั เป็นตน้ ถา้ ปฏิบัตติ ่อกันไดเ้ ช่นนจ้ี ะทำให้มสี มั พันธภาพ ที่ดรี ะหวา่ งเดียวกนั และ เพศตรงขา้ ม การวางตวั ต่อเพศตรงขา้ มแบบพนี่ ้อง มที ้งั ฝ่ายชายเปน็ พฝี่ า่ ยหญิงเป็นนอ้ งและฝา่ ยชายเป็นนอ้ งฝา่ ยหญิงเปน็ พีซ่ ง่ึ การปฏบิ ัติ โดย ท่ัวไปก็เหมือน ๆ กับการวางตัวแบบเพื่อน แต่คนเปน็ พ่ีตอ้ งเสยี สละมากกว่า มคี วามเอ็นดูต่อน้อง ปกป้องนอ้ ง ช่วยเหลอื น้อง ให้ คำแนะนำส่งั สอนน้องตามสมควร ทำตัวเป็นแบบอยา่ งทดี่ แี กน่ อ้ ง วางตวั ใหเ้ ป็นท่ีเคารพนับถือของน้อง สำหรบั คนทเ่ี ป็นนอ้ งก็ต้องให้ความเคารพนบั ถือพ่ี เชอ่ื ฟังชว่ ยเหลอื พเี่ มื่อมโี อกาสนอกจากน้ีแลว้ ยังมีการคบกันแบบ ครู่ กั ท่ีแฝงมาในคราบของพ่นี ้อง ซ่ึงฝา่ ยหนึง่ อาจไมร่ วู้ า่ อีก ฝ่ายหนง่ึ ไม่ได้คดิ แบบพนี่ ้อง หรืออาจจะร้กู นั ทั้งสอง ฝ่าย แต่บอกว่าเปน็ พีน่ ้องเพ่ือปิดบงั ผใู้ หญ่ แตก่ ารคบกันแบบพ่นี ้องหรือแบบค่รู กั น้ันผู้ใหญ่จะมองออกเพราะ พฤติกรรมท่ี แสดงออกต่อกันนนั้ จะมคี วามแตกต่างกนั อยา่ งชัดเจน การวางตวั ตอ่ เพศตรงข้ามแบบค่รู กั การคบกันแบบครู่ ักอาจจะเร่ิมตน้ มาจากการคบกันแบบเพ่อื นหรือการคบกนั แบบพ่ีน้อง มาก่อน แลว้ ก็แปรเปล่ียนมาเป็นแบบครู่ กั หรอื อาจจะคบกันแบบคู่รักเลยกไ็ ด้ อาจจะชอบพร้อม ๆ กนั หรือฝ่ายหนึง่ ฝา่ ยใดเปน็ ฝา่ ยชอบก่อน แต่ส่วนมากฝา่ ยชายมักจะแสดงออกกอ่ น เพราะมีความกลา้ มากกวา่ ฝา่ ยหญิง แต่ใน สังคมปัจจบุ นั เรม่ิ แปรเปลีย่ นไปมากแล้ว เพราะฝ่ายหญงิ มีความกล้าขึน้ ความเขินอายนอ้ ยลง ซง่ึ ถอื เป็นสง่ิ ที่ไม่ ถูกต้อง เพราะเปน็ การทำลายจารตี ประเพณีอันดงี ามของสงั คมไทย การวางตัวโดยท่วั ไปกจ็ ะเหมือนกบั การวางตัวแบบเพอ่ื น แตก่ จ็ ะมีความพเิ ศษ ความละเอียดลึกซ้ึง เพ่ิมข้นึ ไป เช่น ชว่ ยเหลอื ตอ่ กันมากข้นึ เสียสละต่อกนั มากข้ึน หว่ งใยเอ้ืออาทรกันมากข้ึน คำนงึ ถึงความรสู้ กึ ของอีกฝา่ ยหน่งึ มากขนึ้ เปน็ ต้น การเปล่ยี นแปลงทางรา่ งกาย 1. ขนาดและความสูง : ในวัยเดก็ ทง้ั เด็กผ้หู ญงิ และเด็กผู้ชายจะมคี วามกวา้ งของไหล่และสะโพกใกล้ เคยี งกัน แต่ เมื่อเข้าสวู่ ยั ร่นุ ผ้ชู ายจะมอี ตั ราเรว็ ในการเจริญเติบโตของไหลม่ ากทส่ี ุด ทำใหว้ ัยร่นุ ผชู้ ายจะมี ไหล่กวา้ งกว่า ในขณะท่วี ยั รุ่นผูห้ ญงิ มอี ัตราการเจริญเติบโตของสะโพกมาก กวา่ ผ้ชู าย นอก จากน้ีการทีว่ ัยนมี้ ี การเจริญเติบโตสูงใหญ่ไดร้ วดเรว็ โดยเฉพาะท่ี คอ แขน ขา มากกวา่ ท่ีลำตวั จะทำใหว้ ัยรุ่นรสู้ ึกว่าตัวเองมี รปู รา่ งเกง้ ก้างนา่ รำคาญ และการเจรญิ เติบโตหรอื การขยายขนาดของรา่ งกายในแตล่ ะส่วน อาจเกิดขึน้ ไม่
พร้อมกัน หรือไม่เป็นไปตามขั้นตอน เชน่ ร่างกายซีกซ้ายและซกี ขวาเจรญิ เติบโตมีขนาดไมเ่ ท่ากันใน ระยะแรกๆ ซึง่ เป็นเหตุทำให้เดก็ ตกอยู่ในความวติ กกังวลสงู ได้ จงึ ควรให้ความม่ันใจกับวัยน้ี 2. ไขมนั และกลา้ มเน้ือ : เด็กผชู้ ายและเดก็ ผู้หญิงมีความหนาของไขมันทส่ี ะสมอยใู่ ตผ้ ิวหนงั ใกลเ้ คยี งกัน จนกระทัง่ อายปุ ระมาณ 8 ปี จะเริ่มมีการเจรญิ เติบโตอย่างรวดเรว็ วยั รุ่นชายจะมกี ำลังของกล้ามเนอ้ื มากกว่า วยั รนุ่ ผหู้ ญงิ พละกำลังของกล้ามเนอ้ื จะแข็งแรงขึ้น หลัง จากนั้นวยั รุ่นชายจะมีไขมันใต้ผวิ หนังบางลง พรอ้ มๆ กบั มีกล้ามเนอ้ื เพิ่มมากขึ้นและแข็งแรงขึ้น ซ่งึ จะทำใหว้ ยั รนุ่ ชายดผู อมลงโดยเฉพาะที่ขา น่อง และ แขน สำหรบั วัยรนุ่ หญงิ ถงึ แมว้ ่าจะมีการเพิ่มขน้ึ ของกล้ามเนอื้ แตข่ ณะเดียวกันจะมีการสะสมของไขมนั ใต้ ผวิ หนงั เพ่ิมขน้ึ อีกโดยท่นี ำ้ หนักจะ เพ่ิมได้ถึงร้อยละ 25 ของนำ้ หนัก โดยเฉพาะไขมันทสี่ ะสมทีเ่ ต้านมและ สะโพก ประมาณร้อยละ 50 ของ วยั รุน่ หญงิ จะรสู้ ึกไมพ่ อใจในรปู ลักษณ์ของตน และมักคดิ วา่ ตวั เอง \"อ้วน\" เกินไป มวี ัยรุ่นหลายคนทพ่ี ยายามลดน้ำหนกั จนถึงขั้นท่ีมีรูปรา่ งผอมแห้ง 3. โครงสร้างใบหน้า ช่วงนี้กระดกู ของจมูกจะโตขึ้น ทำใหด้ ง้ั จมูกเป็นสันขน้ึ กระดกู ขากรรไกลบน และ ขากรรไกรลา่ งเติบโตเรว็ มากในระยะน้ี เชน่ เดยี วกับกล่องเสยี ง ลำคอ และกระดูกอัยลอยด์ และพบว่าใน วัยรนุ่ ชายจะเจริญเตบิ โตเร็วกว่าวัยรุ่นหญิงชัดเจน เป็นเหตใุ หว้ ยั รนุ่ ชายเสียงแตก 4. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ท้ังฮอรโ์ มนการเตบิ โต (growth hormone) และ ฮอร์โมนจาก ต่อมธัย รอยด์มีอทิ ธิพลต่อการเจริญเติบโต รวมท้ังฮอรโ์ มนทางเพศ นอกจากระดบั ฮอรโ์ มนจะมีผลโดยตรงตอ่ การ เจริญเติบโตทางรา่ งกาย และอวยั วะเพศในวยั รุ่นแล้ว ตัวของมนั เองยังสง่ ผลถึงความรูส้ ึกทางอารมณ์และจิตใจ ปฏิกริ ยิ าการเรียนรู้ ฯลฯ ในวัยรุ่นอกี ดว้ ย วยั รนุ่ ทีจ่ ะผ่านช่วงวกิ ฤตนไี้ ด้ นอกจากจะต้องปรบั ตวั ให้เข้ากบั สภาพ รา่ งกายทเี่ ปลย่ี นไปแลว้ ยังต้องเข้าใจและควบคุมอารมณค์ วามรู้สึกท่ีพลงุ่ พลา่ นขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของ ระดับฮอรโ์ มนต่างๆ อีกด้วยโดยเฉพาะต่อมไขมันใต้ผิวหนัง และต่อมเหงอื่ จะทำหนา้ ทเ่ี พ่ิมมากขน้ึ เป็นสาเหตุ ทำใหเ้ กดิ ปัญหาเรอื่ ง \"สวิ \" และ \"กลิ่นตัว\" แตเ่ นอ่ื งจากวยั น้จี ะใหค้ วามสนใจเกีย่ วกบั ร่างกายทมี่ ีการ เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว และมีความระแวดระวังตวั เองมาก จงึ ทำให้วยั รนุ่ พยายามท่ีจะรกั ษา \"สิว\" อยา่ งเอา เปน็ เอาตาย ท้ังๆที่ \"สิว\" จะเป็นปัญหาในชว่ งวยั นแ้ี คร่ ะยะสน้ั ๆ เท่าน้นั 5. การเปล่ียนแปลงของอวยั วะเพศ วยั รนุ่ หญงิ มีการเจริญเตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ ในช่วงระยะ 1 ปี ก่อนที่ จะมี ประจำเดือน โดยเฉพาะการเจรญิ เตบิ โตของเต้านม ซง่ึ เร่ิมมกี ารขยายในขนาดเมอื่ อายุประมาณ 8-13ปี และ จะใชเ้ วลา 2-2 ปคี ร่ึง จึงจะเจรญิ เติบโตเต็มที่ ในชว่ งอายุ 11-13 ปี วยั รุ่นหญิงสว่ นใหญ่ (รอ้ ยละ 80) จะ มี รปู ร่างเปน็ สาวเต็มตวั ดังนน้ั ในชนั้ ประถมตอนปลายหรือมธั ยมต้น จะเหน็ วา่ วัยรุน่ สาวจะมรี ปู ร่างสงู ใหญเ่ ป็น สาวนอ้ ยแรกรุ่น ในขณะที่พวกผชู้ ายยงั ดเู ปน็ เด็กชายตัวเล็กๆ ทง้ั ๆ ท่เี ด็กผู้หญงิ เคยตัวเล็กกวา่ เดก็ ผู้ชายมา ตลอด ทำให้เด็กสบั สนและเป็นกังวลกับสภาพรา่ งกายได้ การมีรอบเดือนครั้งแรก จะมีเมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี การที่มปี ระจำเดือนแสดงให้เห็นวา่ มดลูกและช่อง คลอดได้เจริญเติบโตเตม็ ท่ี แต่ในระยะ 1-2 ปี แรกของการมีประจำเดอื น มกั จะเปน็ การมีประจำเดอื นโดยไม่มี ไข่ตก รอบเดือนในชว่ งปีแรกจะมาไมส่ ม่ำเสมอ หรอื ขาดหายไปได้ และเมื่อมปี ระจำเดือนแลว้ พบวา่ เด็กผู้หญิงยงั สูงต่อไปอกี เล็กน้อยไปไดอ้ ีกระยะหน่ึง และจะเตบิ โตเต็มทเ่ี มื่อประมาณอายุ 15-17 ปี การมีรอบ
เดือนครง้ั แรกอาจทำใหร้ สู้ ึกพอใจและภมู ิใจที่เป็นผู้หญิงเตม็ ตัว หรอื อาจจะร้สู ึกในทางลบ คือ หวน่ั ไหว หวาดหว่นั หรอื ตกใจได้เชน่ กนั โดยทั่วไปการมรี อบเดือนครงั้ แรกจะเพิม่ ความใกลช้ ิดระหว่างวยั ร่นุ หญงิ กับ มารดาถา้ เคยไว้วางใจกันมาก่อน แต่วัยรุน่ หญงิ บางคนจะปกปิดไมก่ ล้าบอกใคร เพราะเข้าใจไปวา่ อวยั วะเพศ ฉกี ขาด หรือเป็นแผลจากการสำรวจตวั ของวัยรนุ่ เอง ใน ชว่ งน้ีวัยรุ่นจะกังวลหมกมุ่นกบั รปู ร่างหน้าตา และมัก ใช้เวลาอย่หู นา้ กระจกนานๆ เพอ่ื สำรวจรูปร่าง สว่ นเวา้ ส่วนโคง้ หรอื ใชก้ ระจกส่งดูบริเวณอวัยวะเพศด้วยความ อยากรู้ อยากเห็น ซงึ่ ก็ไม่ใชพ่ ฤตกิ รรมที่ผดิ ปกติแตอ่ ย่างใด สำหรับวัยร่นุ ชาย ซึ่งจะเรม่ิ มีการเจรญิ เตบิ โตของลูกอณั ฑะ เม่ือเข้าสชู่ ่วงอายุ 10-13 ปี ครึ่ง และจะใช้ เวลานาน 2 - 4 ปี กวา่ ที่จะเติบโตและทำงานได้อยา่ งสมบูรณ์ ในขณะทร่ี ปู รา่ งภายนอกจะมีการเจรญิ เติบโต เปลี่ยนแปลงช้ากวา่ วยั รุน่ หญิง ประมาณ 2 ปี คอื ประมาณอายุ 12-14 ปี ในขณะที่เพื่อนผู้หญงิ ท่เี คยตัวเลก็ กวา่ กลบั เจริญเตบิ โตแซงหน้า ทำให้วยั ร่นุ ชายมคี วามวิตกกงั วลเกย่ี วกับรูปรา่ ง ความสูง ไดม้ าก เมื่อเติบโต เข้าสู่วยั รุ่นตอนกลางช่วงวยั 14-16 ปี ลกู อัณฑะเจริญเตบิ โตและทำงานได้เต็มทจี่ ึงสามารถพบภาวะฝันเปียกได้ บางคนเขา้ ใจผิดคิดว่าฝันเปียกเกิดจากการสำรวจความใคร่ด้วยตัวเอง หรอื เป็นความผิดอยา่ งแรง หรือทำให้ สภาพจิตผดิ ปกติ หรือบางรายวิตกกังวลไปกับจินตนาการหรอื ความฝนั เพราะบางคร้งั จะเปน็ ความคิด ความ ฝันเกี่ยวขอ้ งกบั คนในเพศเดียวกนั ซง่ึ กไ็ มถ่ ือว่าเปน็ เรือ่ งทผ่ี ิดปกตอิ ย่างใด การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สังคม ผลจากการเปล่ียนแปลงทางร่างกายจะทำใหเ้ กิดผลกระทบต่ออารมณแ์ ละจติ ใจไดอ้ ย่าง ตรงไปตรงมา ทง้ั ความวิตกกังวล หงุดหงิด หมกมุน่ ไม่พอใจในรูปร่างที่เปลยี่ นไป 1. ความวติ กกงั วลเกี่ยวกับการเปลยี่ นแปลงของรา่ งกาย เด็กผชู้ ายที่เขา้ สูว่ ัยรนุ่ ชา้ จะมคี วามวิตกกังวลสงู เกี่ยวกับความแข็งแรงของร่างกาย ซง่ึ อาจจะไมม่ นั่ ใจในความเป็นชาย รสู้ กึ ว่าตวั เองไม่สมบูรณม์ กั ลูกล้อเลียน กล่ันแกลง้ จากเพ่ือนๆ ทร่ี ูปร่างใหญโ่ ตกว่า มีความภาคภูมิใจในตนเองในระดับต่ำและรูส้ ึกว่าตัวเองมปี มดอ้ ยฝัง ใจไปได้อีก นาน วยั รุ่นหญิงทโ่ี ตเร็วกวา่ เพือ่ ในวยั เดียวกัน (early mature) มักจะรู้สึกอดึ อัดและรู้สึกเคอะเขนิ ประหมา่ อายต่อสายตาและคำพดู ของเพศตรงข้าม ในขณะท่ีสภาพอารมณ์ จติ ใจยงั เปน็ เด็ก 2. ความวติ กกงั วลกับอารมณ์เพศที่สงู ข้ึน การ เปลยี่ นแปลงของระดับฮอร์โมนทางเพศ ซ่ึงจะ สง่ ผลทำใหว้ ัยรุ่นเกดิ อารมณเ์ พศขึ้นมาได้บ่อย วยั รนุ่ หลายคนทมี่ ีกิจกรรมสว่ นตวั ท่ีเบีย่ งเบนความสนใจ ทำให้ สามารถควบคุมอารมณ์ได้อย่างดี โดยเฉพาะในวัยรุน่ ที่ชอบเล่นกฬี ากลางแจ้งเป็นประจำวัยน้จี ะมีความสนใจ อยากรู้อยากเห็นอยแู่ ลว้ เปน็ ทุน และเม่อื มาผสมกบั การท่ีมรี ะดบั ฮอรโ์ มนทางเพศเพิ่มสงู ขึ้น จะทำใหเ้ ด็กเรียนรู้ ท่จี ะหดั สำเร็จความใคร่ดว้ ยตนเอง อยากรู้อยากเหน็ กิจกรรมทางเพศผู้ใหญ่ควรเขา้ ใจถงึ ความรูส้ กึ นึกคดิ รว่ มกับ ความอยากรู้อยากเห็นของวยั รุน่ ควรให้ความรู้ในเร่ืองเพศที่ถกู ต้อง และถอื วา่ ความรูส้ ึกในวัยนี้เปน็ เรอื่ งธรรมดา เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งการทวี่ ยั รุ่นจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองน้ัน ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย และไม่ถือว่าเป็นเรือ่ งทผ่ี ิดศลี ธรรม ถา้ กระทำอยา่ งระมดั ระวงั เป็นส่วนตวั และไมท่ ำใหผ้ ู้อนื่ เดือดร้อน เปน็ ตน้
3. ความวติ กกงั วลกลวั การเปน็ ผ้ใู หญ่ วัย นจ้ี ะมคี วามคดิ วติ กกังวล กลัวจะไมเ่ ปน็ ที่ยอมรับจาก คนรอบข้าง มกั จะ กลัวความรับผดิ ชอบ ซง่ึ จะร้สู กึ ว่าเปน็ ภาระที่หนกั หนา ยุ่งยาก บางครงั้ อยากจะเปน็ เด็ก อยากแสดงอารมณ์สนกุ สนาน รา่ เริง เบกิ บาน 4. ความวติ กกงั วลในความงดงามทางรา่ งกาย ไม่ วา่ วยั รนุ่ หญิงหรอื ชายก็จะมีความรสู้ กึ ตอ้ งการให้คน รอบขา้ ง ช่นื ชมเก่ียวกบั รูปลกั ษณภ์ ายนอกของตน สมเพศ สมวยั นน่ั เปน็ เพราะว่าเด็กจะสำนกึ วา่ ความ สวยงามทางกายเปน็ แรงจงู ใจ ทำใหค้ นยอมรับ ทำใหเ้ พื่อนยอมรับเข้าไปในกล่มุ ได้ง่าย เปน็ วถิ ีทางหนง่ึ ทีจ่ ะเขา้ สู่สงั คมและเปน็ ทดี่ งึ ดูดใจของเพศตรงข้าม ชว่ งนจ้ี ะเห็นว่าวัยรุ่นจะสนอกสนใจ พิถีพิถนั ในการเลือกเสอ้ื ผ้า การ หวีผม เอาใจใส่ต่อการออกกำลังกาย สนใจคุณคา่ ทางอาหาร เครอื่ งประดบั สุขภาพอนามยั การวางตัวให้สม บทบาททางเพศ การวางตัวในสงั คม และความสนใจในแต่ละเรือ่ งอาจอยู่ได้ไมน่ าน การเปล่ียนแปลงทางจิตใจ 1.ความรกั และความห่วงใย ความ รสู้ ึกอยากที่จะถกู รัก และยังอยากไดร้ บั ความเอาใจใส่ หว่ งใยจาก บคุ คลท่ีมีความสำคัญตอ่ เด็ก แต่มกั จะมีข้อแม้วา่ จะต้องไมใ่ ช่การแสดงออกของพ่อแม่ทที่ ำกับเขาราวกับเด็ก เล็กๆ ไม่ต้องการความเจา้ กี้เจ้าการ ไมต่ ้องการให้แสดงความหว่ งใยอยตู่ ลอดเวลา 2. เปน็ อิสระอยากทำอะไรได้ด้วยตัวของตัวเอง อยาก ทำในสง่ิ ท่ีตวั เองคดิ แลว้ ว่าดี อยากมีสว่ นใน การตดั สนิ ใจ อยากท่ีจะทำตวั ห่างจากพ่อแม่ ห่างจากคำส่ังการเจริญเติบโตในการทำงานของสมอง ทำให้เดก็ วยั น้เี ร่ิมมีความคิดอ่านเป็นของตนเอง เร่มิ มคี วามคิดแบบนามธรรม (abstract thinking) การแยกจากพ่อแม่ ในเกือบทกุ รูปแบบ บางครัง้ อาจทำใหว้ ยั รุ่นเกดิ ความรู้สึกสับสน สองจิตสองใจ และอาจมีความรสู้ กึ \"สูญ เสีย\" ในความรกั ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ แต่ถ้าพวกเขายอมรบั การดูแลหรอื ยอมทำตามคำสั่งของพ่อแม่ ก็จะไปขัด กับความต้องการท่ีจะเป็นเด็กโต เป็นอิสระของตนเองทต่ี ้องการพ่งึ พาตนเอง การใหก้ ารเลยี้ งดจู งึ ต้องอาศัย ความเข้าใจ และเคารพในสิทธิสว่ นบุคคลด้วย 3. ต้องการเปน็ ตวั ของตวั เอง ความ ต้องการท่ี ยอมรับในสิง่ ทีม่ าจากตวั ของตวั เขาทำใหพ้ วกเขาม่นั ใจใน ตัวเอง พ่อแม่คงต้องส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กได้ช่วยเหลอื ตัวเองให้มากที่สดุ เท่าที่จะทำได้ ตามวยั เพราะในการฝกึ เด็กนัน้ นอกจากจะทำให้เด็กได้ใช้มือไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ แลว้ ยังช่วยทำใหเ้ ด็กไดห้ ัดคิด หดั ตดั สินใจในการกระทำสิ่ง ต่างๆ ดว้ ย 4. อยากร,ู้ อยากเหน็ , อยากลอง การ ลองผิดลองถูก และคอยสังเกตดูจากปฏิกริ ิยาของคนรอบข้าง เพื่อ ตัดสนิ ว่าสงิ่ ท่ที ำน้นั ดีเลวเปน็ อย่างไรวยั ที่โตขึ้น เม่ือความสามารถเพิ่มข้ึน รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตขึ้นมา สง่ิ รอบตวั ตา่ งๆ ท่นี า่ สนใจ และทา้ ทายความสามารถก็จะเร่ิมเขา้ มาเพ่อื ทดลองการสนับสนนุ ส่งเสริมเด็กให้คง สภาพ อยากรู้ อยากเห็น อยากลองและไดม้ โี อกาสทดลองสิง่ แปลกๆ ใหมๆ่ ในขอบเขตท่ีเหมาะสมเพ่มิ ข้นึ ตามวัย จะ ทำให้เดก็ ก้าวเข้าสู่วยั รนุ่ ด้วยความภาคภูมิใจทตี่ นเองเคยมปี ระสบการณ์ ตา่ งๆ มาบ้างส่ิงเหลา่ น้ีจะมาเสรมิ ความภาคภมู ิใจในตนเองดังน้ันจะเหน็ วา่ การฝึกสอน และให้โอกาสเดก็ ไดท้ ดลองทำในส่ิงทถ่ี กู ต้อง ควรฝึกสอน มาตงั้ แต่เด็ก และควรคอ่ ยๆ สอนถงึ อันตรายในหลายส่ิงหลายอย่างท่ีมอี ย่ใู นสงั คม และวิธกี ารแก้ไข เรยี นรู้ท้งั สิ่งที่ดแี ละเลว การฝกึ ให้เด็กไดล้ องในสิ่งทนี่ ่าลอง แต่เสนอใหห้ ัดยับย้งั ตวั เองในส่งิ ทีอ่ ันตรายจงึ เป็นวิธีทส่ี ำคัญ
มาตง้ั แต่วัย เรยี น แต่ ในทางตรงกนั ข้ามในกลุ่มวยั รุ่นทไ่ี ม่เคยถูกฝึกใหล้ องคิด ลองทำก่อน จะเกิดความสบั สน วุ่นวายใจขาดความรู้ ขากทกั ษะ ขาดการฝึกฝน ขาดการลองทำผดิ ทำถูกมาก่อน จึงทำให้กลุ่มนี้ตกอยู่ในกลุม่ ที่ มีอนั ตรายสงู และในกลุ่มเด็กวัยรุ่นท่ีพ่อแม่ปลอ่ ยปละละเลย หรือไมเ่ คยสอนให้ยบั ย้ังชั่งใจมากอ่ น นึกอยากทำ อะไรก็จะทำ ไม่เคยต้องผิดหวัง ไม่เคยสนใจว่าการกระทำของตัวจะสง่ ผลกระทบต่อผคู้ นรอบข้างอยา่ งไร พฤติกรรม อยากลองของ มักจะมสี งู สุดในช่วงวยั รนุ่ ตอนกลาง เปน็ เดก็ ก็ไม่ใช่ เป็นผูใ้ หญก่ ไ็ มเ่ ชงิ แนวความคิด และการยบั ยัง้ ตวั เองมีไม่มากพอ 5. ความถกู ต้อง ยุตธิ รรม โดยเฉพาะเมื่อเขา้ สู่วัยรุ่นตอนกลาง มักจะถอื วา่ ความยตุ ธิ รรมเป็นลักษณะหน่ึงของ ความเปน็ ผใู้ หญ่ วัยรุ่นจงึ ใหค้ วามสำคญั อยา่ งจริงจังกบั ความถูกต้อง ยุติธรรมตามทศั นะของตนเป็นอยา่ งย่ิง และอยากจะทำอะไรหลายๆ อยา่ ง เพื่อเรียกร้องความยุตธิ รรม ท้ังในแง่บุคคลและสงั คมส่วนรวม จงึ มักจะเห็น ภาพวัยร่นุ ถกเถียงกันเร่ืองของส่ิงตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ รอบตัว 6.ความตืน่ เต้น ทา้ ทาย ความตอ้ งการหาประสบการณแ์ ปลกๆ ใหม่ๆ เกลียดความจำเจซ้ำซาก วยั ร่นุ กลมุ่ นี้จะ สรา้ งความตื่นเตน้ ท้าทายกบั การท่ีกระทำผดิ ต่อกฎเกณฑต์ ่างๆ ของทางบา้ นและกฏของสังคมนนั่ เปน็ เพราะว่า เปน็ ความตืน่ เตน้ และความรสู้ ึกว่า ถกู ท้าทาย แนวทางการเล้ยี งดเู ดก็ ฝกึ ใหเ้ ด็กไดม้ ี โอกาสทำงานที่ท้าทาย ความสามารถทลี ะน้อยอยตู่ ลอดเวลา จะสง่ ผลทำใหเ้ ด็กได้พฒั นาความเช่ียวชาญข้ึนมาได้ แก้ปญั หาได้ 7.ตอ้ งการการยอมรบั ว่าเป็นส่วนหนง่ึ ของบา้ น ของกลมุ่ เพ่อื น พ้ืน ฐานการเลย้ี งดทู ีย่ อมรบั และมีความรกั ความผกู พนั ระหวา่ งพ่อแมเ่ ด็ก จะมีผลทำให้เดก็ เกิดความรู้สกึ ดงั ที่กลา่ วมานี้อย่างง่ายดาย จากการฝึกฝนให้ โอกาสเดก็ ในการตัดสินใจลงมือกระทำหรือแสดงความคดิ เห็นใน เรือ่ งต่างๆ และรับฟงั พยายามทำความเข้าใจ ตาม ถา้ เบ่ยี งเบนก็ชว่ ยแก้ไข ถา้ ถกู ต้องก็ชมเชยและช่ืนชม สงิ่ เหล่าน้ีจะไปกระต้นุ ให้เด็กเกดิ ความร้สู ึกเป็นที่ ยอมรบั จากบคุ คลภายใน บ้าน ซ่งึ จะส่งผลทำใหเ้ ด็กอยากเปน็ ท่ยี อมรับจากเพอื่ น จากครูและจากคนอื่นๆ ต่อๆ ไป จึงเป็นเหตผุ ลจงู ใจกระทำความดีมากขึ้นๆ แต่ ในกรณตี รงกันข้าม ถา้ เดก็ คนใดเกดิ มาในครอบครัวทีย่ ุง่ เหยงิ ทำให้พ่อแม่ไม่มปี ญั หาพอทจ่ี ะดูแลเด็ก กลบั จะต้องสง่ เด็กมาฝากให้ญาตเิ ล้ยี งเปน็ ภาระ ไมม่ ีใครเป็นธุระ จัดการอะไรให้อยา่ งออกนอกหนา้ ถา้ ไม่จำเปน็ ก็ไมค่ ่อยอยากจะรบั รู้ รับฟังเรือ่ งของเดก็ ถึงเวลาจะนานก็ไมร่ ู้ วา่ ใครจะให้ความอบอุ่นเมตตาหรอื รักได้ มีความรสู้ ึกโดดเดี่ยว ไม่เป็นทต่ี ้องการของใครแมแ้ ตค่ นเดยี วในบ้าน ไม่ว่าจะถกู หรือทำผิด ทำดีหรือทำชว่ั ก็ไมม่ ีคนเห็นคนทัก หาคนทีห่ วงั ดจี รงิ จังในการแนะนำตักเตือนอดทนช่วย ฝึกสอนก็ไม่มี ในลักษณะเช่นน้ีเดก็ จะมีชวี ิตที่เลอ่ื นลอย ไม่รสู้ ึกว่าตวั เองเป็นสมาชกิ ภายในบ้าน เป็นคนหนึ่ง ภายในครอบครวั ไม่มใี ครรับฟังปญั หา หรือไม่รู้วา่ จะปรึกษาใคร เม่ือเติบโตไปโรงเรียนกม็ กั จะพกพาเอา ความรู้สกึ โดดเด่ียว วา้ เหว่นี้ไปทีโ่ รงเรียน ความทท่ี ักษะไมไ่ ด้ถูกฝกึ สอนมาต้ังแต่ทีบ่ ้านจึงทำให้ผลการเรยี นไมด่ ี และมักจะแยกตวั ออกจากกลุ่มเพื่อน การควบคุมอารมณ์ทางเพศ การจัดการกบั อารมณเ์ พศอาจแบง่ ตามความรุนแรงไดเ้ ปน็ 3 ระดับ ดังนี้ ระดับท่ี 1 การควบคมุ อารมณ์ทางเพศ อาจทำได้ 2 วิธี คือ 1. การควบคมุ จิตใจตนเอง พยายามขม่ ใจตนเอง มใิ หเ้ กดิ อารมณ์ทางเพศได้หรือถา้ เกิดอารมณ์ทางเพศ ก็
ใหพ้ ยายามข่มใจไว้ไม่ใหเ้ กดิ อารมณ์ทางเพศเพ่ือให้อารมณ์ทางเพศค่อยๆ ลดลงจนสู่สภาพอารมณท์ ีป่ กติ 2. การหลกี เลยี่ งจากสิง่ เรา้ สง่ิ เรา้ ภายนอกทยี่ ว่ั ยุอารมณ์ทางเพศหรือยว่ั กิเลสยอ่ มทำใหเ้ กดิ อารมณ์ทาง เพศได้ดังนน้ั การตดั ไฟเสยี แต่ต้นลม คอื หลีกเลี่ยงจากส่งิ เรา้ เหลา่ น้ันเสยี กจ็ ะชว่ ยใหไ้ ม่เกิดอารมณ์ได้เชน่ ไม่ดสู ื่อ ลามกต่างๆไม่เที่ยวกลางคนื เป็นต้น ระดบั ท่ี 2 การเบ่ียงเบนอารมณท์ างเพศ ถา้ เกิดอารมณท์ างเพศจนไม่อาจควบคุมได้ควรใช้วธิ กี ารเบยี่ งเบนเปลี่ยนให้ไปสนใจในสิ่งอื่นแทนท่จี ะหมกมุ่นอยู่กับ อารมณ์ทางเพศเชน่ ไปออกกำลงั กาย ประกอบกิจกรรมนันทนาการตา่ งๆใหส้ นกุ สนานเพลิดเพลินไปทำงานตา่ งๆ เพ่ือให้จติ ใจม่งุ ท่ีงาน ไปพูดคุยสนทนากบั คนอนื่ เปน็ ต้น ระดบั ที่ 3 การปลดปล่อยหรือระบายอารมณท์ างเพศ ถา้ เกดิ อารมณท์ างเพศระดบั มากจนเบีย่ งเบนไมไ่ ด้หรือสถานการณ์นนั้ อาจทำให้ไม่มโี อกาสเบ่ยี งเบนอารมณ์ทาง เพศกอ็ าจปลดปล่อยหรอื ระบายอารมณท์ างเพศด้วยวธิ ีการทเ่ี หมาะสมกับสภาพของวัยรนุ่ ซึ่งเป็นนกั เรียนโดยทำได้ 2 ประการ คือ 1. โดยการฝันนนั่ กค็ อื การฝนั เปียก(Wet Dream)ในเพศชาย ซ่ึงการฝันนเี้ ราไม่สามารถบังคบั ให้ฝันหรอื ไม่ใหฝ้ ันได้ แต่จะเกิดขน้ึ เองเม่ือเราสนใจหรอื มคี วามรสู้ ึกในทางเพศมากจนเกนิ ไปหรืออาจเกิดการสะสมของน้ำอสจุ ิมมี ากจน ลน้ ถงุ เก็บน้ำอสุจธิ รรมชาตกิ จ็ ะระบายนำ้ อสุจอิ อกมาโดยการให้ฝนั เกยี่ วกับเร่อื งเพศจนถึงจดุ สุดยอดและมีการหล่ัง น้ำอสุจิออกมา 2. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองหรืออาจเรียกอีกอย่างหน่ึงวา่ การชว่ ยเหลอื ตัวเอง(Masturbation)ทำได้ทงั้ ผู้หญิง และผชู้ ายซง่ึ ผู้ชายแทบทุกคนมกั มปี ระสบการณใ์ นเร่ืองนแ้ี ต่ผูห้ ญิงนัน้ มีเป็นบางคนที่มปี ระสบการณ์ในเรอื่ งน้ีการ สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นเร่ืองธรรมชาตขิ องคนเราเมื่อเกิดอารมณท์ างเพศจนหยุดย้งั ไม่ได้ เพราะการสำเรจ็ ความใคร่ดว้ ยตนเองไมท่ ำใหต้ นเองและผ้อู ่ืนเดือดรอ้ นแตไ่ ม่ควรกระทำบอ่ ยนัก วิธคี วบคมุ อารมณ์ทางเพศ 1. ใหค้ วามสนใจกบั การศึกษาเล่าเรยี น เพ่ือความก้าวหนา้ และ ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตใน อนาคต 2. หลกี เลี่ยงการกระตุน้ อารมณท์ างเพศจากส่อื ต่างๆที่เป็นสงิ่ เร้าทำให้เกดิ อารมณท์ างเพศเช่นหนงั สือต่างๆ การดูภาพยนตร์หรือวีดโี อท่ีย่ัวยอุ ารมณ์ทางเพศหรือไม่ควรอย่ตู ามลำพงั กบั เพื่อนตา่ งเพศในท่ีลับตาคน 3. สนใจเขา้ รว่ มกิจกรรมต่างๆเชน่ ดนตรี กีฬา หรอื วาดรูป เพอ่ื จะได้เบยี่ งเบนความสนใจจากอารมณ์ ทางเพศและยังทำใหส้ ุขภาพกายและสขุ ภาพจิตดีด้วย ข้อคิดดีๆเกย่ี วกบั ความสมั พันธ์เรอื่ งเพศ การมีเพศสัมพนั ธ์ นอกจากเป็นวถิ ที างธรรมชาติอย่างหนึง่ ของมนุษยย์ งั มผี ลพลอยไดเ้ กิดข้ึนตามมาอีกด้วย นักวชิ าการทช่ี า่ งสรรหาเรอ่ื งวิจยั ระบวุ ่าผลพลอยไดจ้ ากการมีเพศสัมพันธ์ สะท้อนออกมาทางกระบวนการทาง ชีววทิ ยา ดงั น้ี 1. เซก็ คอื การบำรงุ ความงาม การทดลองทางวิทยาศาสตร์พบวา่ ขณะผู้หญิงมีเพศสัมพนั ธ์ เธอจะหลั่ง
ฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาปริมาณมากซ่งึ ทำใหเ้ สน้ ผมเปน็ เงางามและผิวพรรณน่มุ นวล 2. เพศสัมพันธท์ ่ีอ่อนโยนและผ่อนคลาย ชว่ ยลดการอักเสบทางผิวหนัง เชน่ สิวและผื่นตา่ งๆเหงอ่ื ท่ี ไหลออกมาเปน็ ตวั ชะล้างรูขมุ ขน ทำให้ผวิ ผอ่ งใส 3. เพศสัมพนั ธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรีที่คณุ กนิ เข้าไปชว่ งม้ือค่ำอันโรแมนติก 4. เซ็กคอื การออกกำลังกายที่ปลอดภยั ทีส่ ุดท้งั ชว่ ยยดื เส้นยดื สายและทำให้กลา้ มเนื้อตึงในทุกๆ สว่ น ของร่างกายอกี ท้ังน่าสนุกกวา่ จอ๊ กก้ิงหรอื วา่ ยน้ำสกั 20 เที่ยวเปน็ ไหนๆแถมยงั ไมต่ อ้ งใช้รองเท้ากีฬาแพงๆ 5. เซ็กช่วยลดความตงึ เครียดได้ดียิ่งกิจกรรมทางเพศช่วยทำใหร้ า่ งกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ในกระแส เลอื ดทำให้คุณร้สู กึ ดีข้นึ 6. มเี ซก็ บ่อยๆ คุณยง่ิ ไดร้ ับสารเคมีทีช่ อื่ ฟโี รโมนส์ (Pheromones) มากยิ่งข้นึ 7. กลิน่ ตวั ท่ถี กู ขับออกมาขณะมีความต้องการทางเพศ เป็น 'นำ้ หอม' ทีช่ ่วยกระตนุ้ ใหเ้ พศตรงข้าม คกึ คักได้อย่างเหลือเชือ่ 8. จูบกนั ทุกวันลดอาการฟันผุ การจบู กระตุ้นน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมาจึงชว่ ยชะล้างฟันของคณุ ให้ สะอาด 9. เซ็กซแ์ ก้ปวดหัวตลอดกระบวนการทางเพศจะชว่ ยผ่อนคลายความตึงเครียดซง่ึ ไปปิดกั้นหลอดเลือด ในสมองไว้ 10. รว่ มเพศบ่อยๆ ชว่ ยแกอ้ าการคดั จมูกเพราะเซ็กซ์เปน็ ยาแอนตี้ฮสิ ตามนี จากธรรมชาติ แกอ้ าการ แพฝ้ ุ่นแพล้ ะอองไดด้ ี 11. เซก็ ซ์จะเปน็ ยานอนหลบั ท่มี ีประสิทธภิ าพดกี วา่ แวเลี่ยม (Valium) หลายเทา่ วัฒนธรรมทางเพศ หมายถงึ วฒั นธรรมท่ีมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมทางเพศ ได้แก่ ระเบยี บ จารีต ประเพณี ศีลธรรมและจรยิ ธรรมอนั ดีงามของคนไทยในด้านความประพฤติเกย่ี วกับเพศซ่ึงเป็นที่ยอมรับนับถือ และสืบทอดปฏบิ ตั ิต่อเนื่องกันมายาวนาน ต้ังแต่สมยั โบราณจนถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ ได้ส่งผลให้ครอบครวั และ สังคมไทยมคี วามสงบสุขร่มเย็น วัฒนธรรมทางเพศของคนไทยถอื วา่ เป็นมรดกอันมีค่าของสังคมไทยทท่ี ุกคนควรอนุรักษแ์ บะ ประพฤตปิ ฏิบตั ิตามซงึ่ มีดงั น้ี 1. ชายหญงิ ควรมีอภสิ ิทธิ์และศักดิ์ศรเี ท่าเทียมกนั ตามหลักสทิ ธิมนุษยชน ในสมัยก่อนผู้ชายจะมสี ทิ ธิและ ศักดิ์ศรีเหนือกว่าผู้หญงิ มาก เม่อื เปน็ สามภี รรยากัน ภรรยาตอ้ งคอยปรนนบิ ตั สิ ามีเป็นอย่างดี ถา้ สามเี ป็น เจา้ นายทีส่ ูงศกั ด์แิ ลว้ ก็ต้องดูแลเป็นพิเศษ การแสดงความคิดเห็นการตัดสินใจทำได้น้อยเพราะสามีมอี ำนาจ สทิ ธ์ขิ าด ภรรยามกั จะต้องเชื่อฟงั สามี ซง่ึ ถือวา่ ขาดความเสมอภาคทางเพศต่อมาสถานภาพสตรีเพ่ิมขน้ึ เป็น ลำดับ เม่อื ประเทศไทยเข้าสู่ยุคประชาธปิ ไตย ผูห้ ญิงมีการศึกษามากข้นึ สังคมเปดิ โอกาสให้ผู้หญิงทำงานหา รายไดเ้ ลี้ยงครอบครวั มากขึ้น มบี ทบาททางการศึกษามากขึ้น จนเปน็ ท่ียอมรบั กนั วา่ ผชู้ ายและผู้หญิงควรมีสทิ ธิ และศักด์ิศรเี ท่าเทียมกนั ยกเว้นบางเรือ่ งเทา่ น้นั ที่เปน็ เรื่องของเพศซ่งึ มีความแตกต่างกนั เช่น ตำรวจต้องทำงาน หนักจับผู้รา้ ยซ่ึงเป็นการเส่ียงภยั ทหารตอ้ งทำหน้าทีส่ ้รู บป้องกนั ประเทศเปน็ งานหนักและเสี่ยงภัย เปน็ ต้น
2. ผชู้ ายควรใหเ้ กียรติและชว่ ยปกปอ้ งอันตรายใหแ้ กผ่ ู้หญิงผู้ชายเป็นเพศทแี่ ขง็ แรงและรูปร่างใหญ่โตกวา่ ผหู้ ญิงสามารถทำงานหนกั ได้จงึ ควรช่วยดูแลช่วยเหลืออยา่ ใหผ้ ู้หญงิ ต้องทำงานหนักเกนิ ไปโดยเฉพาะทาง ร่างกายเม่ือมีภัยอันตรายผูช้ ายจะตอ้ งทำหน้าที่คมุ้ ครองป้องกนั หรอื แม้จะยังไมเ่ กดิ ภยั อนั ตรายกค็ วรจะชว่ ย ดแู ลคุ้มครองมิใหภ้ ยั อันตรายเกดิ ข้ึนกับผูห้ ญงิ ถา้ มีทนี่ งั่ จำนวนจำกดั ไม่เพียงพอต้องใหผ้ ูห้ ญงิ น่งั ก่อน ถ้าจะตัก อาหารหรอื ทำส่ิงใดที่ตอ้ งทำทีละคนหรอื ครั้งละน้อยคน ควรใหผ้ ้หู ญงิ ได้ทำก่อน ยกเว้นบางเรื่องที่เปน็ อนั ตราย ผชู้ ายกค็ วรทำก่อนแลว้ แต่สถานการณ์ 3. การแสดงความชอบหรือความสนใจเพศตรงข้ามควรปฏบิ ตั ิตามจารีตประเพณีของสังคมไทยอยา่ งเครง่ ครดั ความสนใจเพศตรงข้ามเป็นเรื่องปกติของคนเม่ือเข้าสวู่ ัยรุน่ วยั หนุ่มสาว แต่ในสังคมแตล่ ะสงั คมมักมจี ารตี ประเพณี อนั ดงี าม แต่ในสงั คมแต่ละสงั คมมักมจี ารีตประเพณีอันดงี าม ดังนัน้ การชอบหรอื สนใจเพศตรง ขา้ ม ควรปฏิบตั ติ ามจารตี ประเพณขี องสงั คมนัน้ ๆ ในวัยเรียนควรคบเพ่ือนตา่ งเพศแบบเพื่อนจะดีกวา่ แต่ถา้ จะ คบกันแบบครู่ ักกต็ ้องอย่ใู นกรอบประเพณีอันดีงาม และให้พ่อแม่หรอื ผูป้ กครองรบั รู้ และต้องเชือ่ ฟังปรกึ ษาพ่อ แม่ ผ้ปู กครองด้วยเพราะวัยรุ่นน้ันไมบ่ รรลนุ ิตภิ าวะ ยังผา่ นโลกมาน้อยอาจร้เู ทา่ ไมถ่ ึงการณ์ หรอื ทำผิดพลาด ขึน้ ได้ 4. ทัง้ ผู้หญิงและผู้ชายไม่ควรถกู เน้ือต้องตวั กนั จนเกินความจำเป็นดแู ล้วไม่เหมาะสม การถูกเนื้อต้องตัวกเพศ ตรงขา้ มเกินความจำเปน็ โอบกอด หนนุ ตัก ลูบไล้เนอ้ื ตวั จับของสงวนกอดคอ ซงึ่ ผู้เป็นคู่รักและเป็นนักเรยี นไม่ ควรทำอยา่ งยิ่ง ไม่ควรเลยี นแบบละคร เพราะถ้าล่วงเกนิ โดยฝา่ ยหญิงไม่พอใจ เปน็ การกระทำท่ีไม่ควรทำอย่าง ยง่ิ เพราะจะทำใหผ้ หู้ ญิงเสื่อมเสีย 5. ผหู้ ญงิ ไม่ควรแต่งตวั เปิดเผยสดั ส่วน ในสังคมปัจจุบันการแตง่ ตงั ของผหู้ ญิงบางคนไมร่ ัดกุม เป็นการยวั่ กิเลส ผู้ชายอาจกอ่ ใหเ้ กิดอันตรายต่อตนเอง เช่น การถูกกระทำการอนาจาร หรอื ข่มขนื 6. ไมม่ เี พศสัมพันธก์ ่อนวัยอันควรและเมื่อยงั ไมไ่ ด้แตง่ งานกัน ในสงั คมปัจจุบันมีวัยรุ่นจำนวนไมน่ อ้ ยทม่ี ี เพศสมั พนั ธแ์ ล้ว ซง่ึ ไมเ่ หมาะสม เพราะเปน็ การขัดต่อวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียนอันดงี ามของไทย ซึ่งบางราย พอ่ แม่หรอื ผ้ปู กครองก็ไมร่ แู้ ต่บางรายพ่อแมร่ ู้ กต็ ้องช่วยกันแกไ้ ขปัญหาต่อไป เปน็ การสร้างความหนักใจแก่ ผปู้ กครองแล้วยงั ทำให้เสื่อมเสียตอ่ วงศ์ตระกลู ถ้าเกิดตงั้ ครรภข์ น้ึ มาจะต้องเสยี อนาคตแบะเกดิ ปัญหาสังคมใน ระยะยาว 7. การเลอื กคู่ครองตอ้ งเป็นไปโดยความสมคั รใจ ในสมัยก่อนอาจมีการแต่งงานกนั โดยไม่ได้สมัครใจ อาจเป็น ฝ่ายชายไม่สมคั รใจแต่เปน็ พ่อแมเ่ หน็ ชอบ หรอื ฝา่ ยหญิงไม่สมัครใจแต่เพราะพ่อแม่เห็นชอบ ฝ่ายชายใช้ อิทธิพลเพราะพ่อแมต่ ้องการปลดหนี้ แต่ในสมยั ปัจจุบนั การมคี ่คู รองในลกั ษณะดังกล่ามไม่มีอกี แลว้ นับวา่ เป็น การสรา้ งความเสมอภาคทางเพศอย่างหนึ่งดว้ ย 8. ชายหญิงทจ่ี ะอยูด่ ว้ ยกนั แบบสามีภรรยาต้องมีพธิ ีแต่งงานทถี่ ูกต้องตามจารตี ประเพณีของไทย เป็นความชาญฉลาดของบรรพบรุ ษุ ไทยที่สรา้ งระเบียบประเพณีกอ่ นที่จะอยู่กินกนั แบบสามภี รรยาท่ฝี ่ายชาย ต้องส่งผใู้ หญ่ไปสขู่ อหญงิ สาว เมอื่ ผใู้ หญฝ่ ่ายหญิงยนิ ยอมแล้วจงึ กำหนดวนั หมนั้ และวนั แต่งงานต่อไป การ แตง่ งานจะมพี ิธีรดน้ำสังขเ์ พื่อความเป็นสิรมิ งคลแกค่ รอบครัวใหม่ และเป็นการประกาศใหส้ งั คมรบั ร้ถู งึ การอยู่
กินแบบสามภี รรยานอกจากพิธีแตง่ งานแล้วทง้ั คูจ่ ะต้องไปจดทะเบยี นสมรสกนั ณ ทีว่ า่ การอำเภอ สำหรบั ตา่ งจังหวดั และ ณ สำนักงานเขตสำหรับกรงุ เทพมหานคร เพ่ือให้ถกู ต้องตามกฎหมาย 9. สามีภรรยาควรยดึ คา่ นิยมในการครองคู่แบบครอบครวั ผัวเดยี วเมียเดียว ครอบครวั แบบผวั เดยี วเมยี เดียวเปน็ วัฒนธรรมทาฃเพศที่เหมาะสมและสอดคล้องกบั หลกั มนษุ ยธรรมและสทิ ธิ มนุษยชนซ่งึ ถือไดว้ า่ เปน็ รากฐานและหลกั ประกันอันมน่ั คงของชวี ิตครอบครัวอยา่ งแทจ้ ริง รวมทงั้ มีความ ปลอดภัยต่อโรคเอดส์ อกี ทง้ั ยังส่งผลต่อการเลี้ยงดูบุตรให้สมบูรณแ์ ละไดร้ ับการศึกษาอย่างเต็มทต่ี ามศักยภาพ และความสนใจของบุตร 10. สามีภรรยาตอ้ งไมก่ ระทำรุนแรงตอ่ กนั สามีบางคนเม่ือไม่พอใจหรือทะเลาะกนั กจ็ ะทำร้ายภรรยา ในทาง ตรงกนั ข้าม ภรรยาอาจทำรนุ แรงต่อสามีก็ได้ แต่กจ็ ะมนี ้อยกวา่ นอกจากน้กี ารกระทำรนุ แรงดว้ ยวาจาและการ ทอดทิ้งกันไม่ควรอย่างยิ่ง ถ้ามปี ญั หาควรแก้กนั ดว้ ยสันตวิ ธิ ีดีกว่า อาจเป็นเพราะสังคมใจปัจจุบนั สภาพสังคมท่ี ต้องแข็งขนั อาจทำใหเ้ กิดความเครยี ด อาจแสดงออกโดยการกระทำท่ีรนุ แรง หลายรายถงึ ข้นั ฆ่ากันตาย หรือฆา่ อกี ฝา่ ยแล้วตวั เองตายตาม นบั เปน็ ความล้มเหลวท่ีน่าหดห่อู ย่างยง่ิ ต้องพยายามใหก้ ำลงั ใจซ่ึงกันและ กนั การดำเนนิ ชวี ติ ค่อู ย่างมคี วามสขุ ชีวติ คทู่ หี่ วานชื่นและสขุ สมจนเรยี กวา่ “ถือไมเ้ ท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร”น้ันไม่ไดเ้ ปน็ ปาฏิหาริย์ที่เกิดขน้ึ โดยคนเพยี งคนเดียว หากแต่เป็นความร่วมใจท่ีจะพฒั นาตนเองของท้ังสองฝ่าย เพือ่ ประคองใหค้ รอบครวั ดำรง อยูไ่ ด้อยา่ งมีความสขุ และยืนยาว ซ่งึ การครองคู่อย่างมีความสุขน้นั มีเคลด็ ลบั ดแู ลทห่ี ลากหลายดงั นคี้ ือ 1.เร่ิมชีวิตคูด่ ว้ ยความรัก และเติมความรักใหก้ นั อยา่ งสม่ำเสมอ หวานกันเร่ือยๆ เชน่ อยา่ ลืมกระซิบ คำพูดแสนหวานให้เขาฟงั จงู มอื กันยามเดนิ ข้ามถนน หรือแมแ้ ตบ่ อกเขาวา่ เขาพชิ ิตใจคุณได้อยา่ งไร ท่ีสำคญั อยา่ ลมื แสดงความรักของคณุ ใหเ้ ขารู้ ลองซ้ือดอกไม้ ขนม หรอื แอบส่งโปสต์การ์ด เพราะจะทำใหค้ ุณร้สู กึ ดที ี่ได้ แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ 2. จงเปน็ เพ่อื นที่รักกนั เพราะเมือ่ รักกันใหมๆ่ ก็คดิ วา่ จะเป็นสามีภรรยาทด่ี ีต่อกนั และกนั แต่ความเป็น สามีภรรยากันนัน้ เปล่ยี นแปลงได้ แยกจากกนั ได้ ไม่ค่อยจีรังย่ังยืน ความเปน็ เพ่อื นตา่ งหากทยี่ ั่งยืนกวา่ เพราะ เมือ่ คุณเป็นเพอื่ นรักกันแลว้ คุณก็จะพยายามเข้าใจกัน ไวใ้ จกัน ชว่ ยเหลอื เกื้อกลู กนั และใหอ้ ภัยกนั เสมอใน ยามทฝ่ี า่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ เกดิ ทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา ตราบใดท่ีความรักฉันหนุ่มสาวของคณุ ก็ยังคงดำรงอยู่ ตราบ นัน้ ความเป็นเพ่ือนค่ชู ีวติ จะมากข้นึ เรื่อยๆ ตามกาลเวลาทผ่ี ่านไป 3. จงซ่ือสตั ย์ตอ่ ความรู้สกึ ของคณุ เองและคนรักของคณุ เพราะความซ่อื สตั ย์ต่อความรสู้ กึ หมายถึง การ อธิบายความรสู้ กึ ของคุณอยา่ งตรงไปตรงมาแกค่ นรกั อยา่ ปดิ บงั ความรูส้ ึก ถ้าคณุ รู้สึกว่าเขาทำให้คณุ รู้สกึ เจบ็ ปวดหรือโกรธเคือง จงบอกเขาอย่างไม่ต้องอาย เพราะความรกั เป็นเรื่องของการใหเ้ กียรติซ่ึงกนั และกนั และดแู ลความรูส้ ึกของกันและกนั ตลอดเวลา 4. หากิจกรรมทำรว่ มกัน ขอ้ น้งี ่ายมาก เพราะความสุขเกิดข้นึ ได้เมอ่ื ได้ทำกจิ กรรมร่วมกัน โดยหา กิจกรรมที่ทัง้ คู่สามารถทำดว้ ยกันแลว้ มีความสขุ อาจเป็นกิจกรรมที่เปน็ กิจวตั รประจำวัน เช่น ทานขา้ ว ดู
โทรทศั น์ หรือจะเปน็ กิจกรรมที่มีความสนใจรว่ มกนั เช่น ปลูกต้นไม้ เลน่ กีฬา ฟังเพลง หรืองานบ้านกเ็ ปน็ กิจกรรมได้ อยา่ งเชน่ การทำกับข้าว ล้างรถ ทีท่ ้งั สองฝา่ ยตา่ งทำดว้ ยความเต็มใจ ไม่เรง่ รอ้ น และมีความร้สู ึก สนกุ เม่อื ไดช้ ่วยกันทำ ไมร่ ู้สกึ ว่าเปน็ ภาระหนา้ ท่ี 5. รักษาสขุ ภาพร่างกายให้แขง็ แรงดแี ละฟติ อยู่เสมอ ออกกำลังกาย ควบคุมการรับประทานอาหารให้ได้ พลังงาน และคุณค่าทเ่ี หมาะสมต่อการดำเนินชีวติ พักผ่อนกันอยา่ งพอเพียง พยายามหาเวลาไปพกั ผ่อนสุด สปั ดาหเ์ ปน็ ประจำ เชือ่ ไหมว่าคนเรานน้ั ถา้ รา่ งกายสมบรู ณ์แล้ว อะไรตอ่ มอิ ะไร ไม่ว่าจะเป็นงานหนักหรือ ความเครยี ด ก็จะลดลง ทำให้ไม่มีปัญหาครอบครัวตามมา นอกจากนค้ี วรมองโลกในแง่ดี เพราะจะทำให้ สขุ ภาพจิตของคุณดีขึ้น มีความสขุ ไมเ่ ศร้าหมอง เป็นผลดีต่อคู่ชวี ติ ที่ต้องใช้ชีวิตรว่ มกนั อยา่ งมาก เคล็ดลบั ในการใช้ชีวติ คทู่ ่ดี ีคงไม่ไดแ้ คม่ ีไวอ้ า่ น หากแต่คุณลองเรม่ิ ต้นสรา้ งปาฏหิ ารยิ แ์ ห่งรักด้วยตวั คณุ เสยี แตว่ นั นี้รบั รองวา่ คณุ จะเป็นอีกค่หู นึ่งทไี่ ด้ช่อื ว่าเป็นคู่ท่ี “ถอื ไม้เทา้ ยอดทอง กระบองยอดเพชร” ที่มา: http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9520000028321
แบบทดสอบย่อย รายวิชาสุขศกึ ษา พลศึกษา ม.ปลาย ชอื่ – สกลุ ........................................................... รหสั นกั ศึกษา ........................................... คำสัง่ ให้นกั ศึกษาอธิบายความหมายต่อไปนี้ 1.การปรบั ตัวทางเพศหมายถึง ........................................................................................................................... ....................................................................................... ........................................................................ ............... ............................................................................................................................. ................................................. 2.การปรบั ตัวทางด้านรา่ งกายหมายถึง .............................................................................................................. ....................................................................................................... ....................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. 3.การปรับตวั ทางด้านจติ ใจหมายถงึ .................................................................................................................. ..................................................................................................................... ......................................................... ........................................................................................................................................... ................................... 4.ความรักระหว่างเพศหมายถึง ......................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ....................................................................................................................................................... ....................... 5.ความรกั ในวัยรุน่ หมายถงึ ............................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................................. ............. 6.การควบคุมอารมณท์ างเพศหมายถงึ ............................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 7.การวางตวั ต่อเพศตรงขา้ มหมายถงึ ................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 8.ข้อคดิ เกี่ยวกับเพศสมั พันธห์ มายถึง ................................................................................................................ .............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. 9.วัฒนธรรมทางเพศหมายถงึ ............................................................................................................................ .......................................................................................................................................... .................................... ..............................................................................................................................................................................
คร้งั ท่ี 12
แผนการเรยี นรู้ รายวิชา สุขศกึ ษา พลศึกษ หน่วยการเรยี นรู้ ทักษะชีวติ เพ่อื สขุ ภาพ ครง้ั ที่ …12…….. วันท่ี ……เดือน... ครง้ั ท่/ี วนั ท่ี รายวชิ า/หัวเรือ่ ง ตวั ชี้วดั เน้อื ห 12 ผลกระทบจากสารเสพ 1. วเิ คราะห์ปัญหา 1.การวิเคราะห์ป ติดทกั ษะชวี ิตเพื่อ สาเหตแุ ละการแพร่ สาเหตุ ผลกระท สุขภาพจติ ระบาดของสารเสพติด แพรร่ ะบาดของ 2. วิเคราะห์ผลกระทบ ตดิ ของสารเสพตดิ ที่มีต่อ 2. การมสี ว่ นรว่ ม ตนเอง ครอบครวั ป้องกันสิ่งเสพต ชุมชนและประเทศ 3. กฎหมายที่เก 3. มสี ว่ นร่วมรณรงค์ สงิ่ เสพตดิ ป้องกนั สิ่งเสพตดิ ใน 4. ความหมาย ค ชมุ ชนอย่างสม่ำเสมอ ของทักษะชวี ติ 4. แนะนำสาระสำคัญ ประการ ของกฎหมายท่เี กยี่ วขอ้ ง 5. ทักษะชีวิตท่ีจ กับส่งิ เสพติดแก่ ประการ ครอบครัวและผอู้ ่ืน -ทักษะการตระห
ษา ทช31003 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พจิต กศน.ตำบล.............................. .............................. พ.ศ. ................ หา การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมินผล ปญั หา นำเสนองาน กรต. สอ่ื ใบงาน ทบ และการ ครูและผู้เรยี นร่วมกนั สรปุ หนงั สือเรียน บนั ทึกการเรยี นรู้ งสาร เสพ สาระสำคญั CD แบบทดสอบ รูปภาพ สังเกตจากการมสี ว่ น มในการ แนะแนวก่อนเรียน 15 นาที ยาประเภทต่าง ๆ รว่ ม ตดิ ในชมุ ชน - ครใู หค้ วามรเู้ กี่ยวกบั เยาวชนร่นุ ข่าวจากหนังสือพิมพ์ สังเกตการแสดง กยี่ วข้องกับ ใหม่หา่ งไกลยาเสพติด ความคิดเห็น แหลง่ เรยี นรู้ ความสำคัญ ข้ันนำเข้าสูบ่ ทเรียน ห้องสมดุ 10 - ครูใหผ้ ูเ้ รยี นเขยี นเรยี งความ เร่อื ง โรงพยาบาล, ผลกระทบของยาเสพตดิ ในชุมชน สถานอี นามัย จำเปน็ 3 ตำบลสวนกล้วย พร้อมเขียนคำขวญั สำนักงาน สาธารณสขุ หนกั รใู้ นตน ขน้ั จดั กระบวนการเรยี นรู้ สถานตี ำรวจ
คร้งั ที่/วนั ที่ รายวชิ า/หัวเร่อื ง ตัวชวี้ ัด เนือ้ ห 5. บอกความหมายและ -ทักษะการจดั ก ความสำคญั ของทักษะ อารมณ์ ชวี ิตได้ทง้ั 10 ประการ -ทักษะการจดั ก 6. บอกทักษะชวี ิตท่ี เครยี ด จำเปน็ ได้อย่างนอ้ ย 3 6. การประยุกต ประการ ชวี ิตในการทำงา 7. ประยุกตใ์ ช้ทักษะชวี ติ ปรบั ตัว และการ ในการทำงาน การ ชีวิต ปรับตัวและการ 7.การแนะนำกร แกป้ ัญหาชวี ิตครอบครัว ทกั ษะชวี ิตในกา ได้อยา่ งเหมาะสม กบั ผู้อืน่ 8. แนะนำกระบวนการ ทกั ษะชีวติ ในการ แกป้ ัญหาแก่ครอบครัว เพ่อื นและผูอ้ ่ืน
หา การจัดกระบวนการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ การวัดและ ประเมินผล การกับ 1.ครใู หผ้ ู้เรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุม่ มอบหมายงานตามกลุม่ โดย การกับความ ใช้วธิ กี ารจบั สลาก ผเู้ รยี นรว่ มกนั ระดมพลงั สมองพร้อมนำเสนองาน ต์ใชท้ กั ษะ ตามกลุ่ม าน การ กลุ่มท่ี 1สาเหตกุ ารแพร่ระบาด รแก้ปญั หา ปัญหาและผลกระทบของสารเสพติด กลุ่มท่ี 2ผลกระทบของสาร ระบวนการ เสพตดิ ท่ีมีต่อตนเอง ครอบครวั ารแก้ปญั หา ชมุ ชนและประเทศ กล่มุ ท่ี 3กฏหมายทีเ่ กีย่ วข้องกับสงิ่ เสพติดแก่ครอบครัวและผู้อ่ืน กลมุ่ ท่ี 4ทักษะชีวิตในการทำงาน การปรบั ตัวและการแก้ไขปัญหาชีวติ ครอบครัวไดอ้ ยา่ งเหมาะสม กลุม่ ท่ี 5ทักษะชีวติ ในการแก้ไข ปัญหาแกค่ รอบครัว เพอื่ นและผู้อ่นื
คร้งั ท่/ี วันท่ี รายวชิ า/หัวเรื่อง ตวั ช้วี ดั เน้อื ห
หา การจัดกระบวนการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล 2. ผ้เู รียนสง่ ตวั แทนแต่ละกลุ่ม ออกมานำเสนอผลงาน กลมุ่ ละ 10 นาที 3. ครแู ละผเู้ รยี นรว่ มกันสรปุ ความรู้ ความเข้าใจ สาระสำคญั ในทศิ ทาง เดียวกนั 4.ครูแจกแบบทดสอบย่อย 5.ครูเปดิ VCD เก่ยี วกับยาเสพติด 6.ครใู ห้ผ้เู รยี นสรปุ สาระสำคัญจาก การดู VCDเก่ยี วกบั ยาเสพติด 7.ครูส่มุ ตวั อย่างผู้เรยี นออกมา นำเสนอความรู้จากการดู VCD เก่ียวกับยาเสพติด 3 คน 8.ครแู ละผู้เรียนร่วมกันสรปุ สาระสำคัญ มอบหมายงาน กรต. - การเผยแพร่ประชาสมั พนั ธ์ การรณรงค์ตอ่ ตา้ นยาเสพตดิ ของ ตำบลสวนกลว้ ย
คร้งั ท่/ี วันท่ี รายวชิ า/หัวเรื่อง ตวั ช้วี ดั เน้อื ห
หา การจดั กระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และ ประเมนิ ผล - ครูแจกเอกสารตารางการการ เผยแพร่ประชาสมั พนั ธ์ การรณรงค์ตอ่ ต้านยาเสพติด โดยให้ ผ้เู รียน 1 คน ไปประชาสมั พันธ์ ประชาชาชนในชุมชนอยา่ งน้อย 10 คน
ชือ่ – สกลุ ........................................... รหัสนักศึกษา ..............................กศน.ตำบล............................. ใบงานสขุ ศกึ ษา พลศกึ ษา ม.ปลาย คำส่งั จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1.ทา่ นสามารถจดั การกับอารมณโ์ กรธได้อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………… 2.ความเครยี ดส่งผลตอ่ สุขภาพอยา่ งไรและเราสามารถจัดการกบั ความเครียดได้อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………….................................................................................. 3.การตระหนกั รู้ในตนเองมีผลตอ่ การดำเนนิ ชีวติ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………................................................................................................. 4.ใหเ้ ขียนคำขวัญเกี่ยวกับยาเสพติด คนละ 1 คำขวัญ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………..........................................................……… 5.ให้อธบิ ายถึงความหมายและประเภทของสิ่งเสพติดให้โทษ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………............................................ 6.ให้อธิบายถึงสาเหตุ ลักษณะอาการ และผลเสียของสิง่ เสพตดิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………….…………………............................................................................................................................. 7.จงอธบิ ายถึงการป้องกนั สิง่ เสพตดิ ให้โทษ
ใบความรูเ้ รือ่ ง การจดั การกบั อารมณ์ วิชาสขุ ศึกษา พลศกึ ษา ม.ปลาย กศน.ตำบล............................. อารมณ์ หมายถึงการแสดงออกของภาวะจิตใจท่ีไดร้ ับการกระทบหรอื กระต้นุ ใหเ้ กดิ มกี ารแสดงออกต่อสิง่ ที่มา กระตุ้นอารมณส์ ามารถจำแนกออกได้ 2 ประเภทใหญ่ อารมณ์สุข คอื อารมณท์ ี่เกดิ ขนึ้ จากความสบายใจ หรอื ได้รบั ความสมหวงั อารมณ์ทุกข์ คอื อารมณ์ที่เกิดขึน้ จากความไม่สบายใจ หรือ ไดร้ ับความไม่สมหวงั อารมณ์พ้ืนฐานของคนเรา ได้แก่ โกรธ กลวั รงั เกียจ แปลกใจ ดีใจ และเสยี ใจซงึ่ เป็นอารมณพ์ นื้ ฐานท่ีมีในสัตว์ เล้ียงลูกด้วยนม สัมพนั ธก์ ับการทำงานของระบบลมิ บกิ (limbic system)ในสมองสว่ นกลางในคนเรานน้ั พบวา่ ยังมีการทำงานของ สมองส่วนหน้า บริเวณ prefrontal มาเกย่ี วขอ้ งดว้ ยโดยมกี ารเชอ่ื มโยงกับระบบ ลิมบิกที่ ซบั ซอ้ นจงึ ทำให้คนเรามลี กั ษณะ อารมณ์ความรสู้ กึ ทหี่ ลายหลากมากกว่าในสัตวเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนม องคป์ ระกอบของอารมณ์ อารมณจ์ ะประกอบไปด้วยองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ 1.องคป์ ระกอบด้านสรีระ (Physiological dimension) หมายถึง การเปลยี่ นแปลงตา่ ง ๆ ทางรา่ งกายท่ี จะต้องเกิดขึ้น ควบค่กู บั ปฏกิ ิริยาทางอารมณ์ เช่น หวั ใจเต้นเรว็ เหงอ่ื ออกตามรา่ งกาย หรือ ใบหนา้ ร้อนผ่าว เป็นตน้ อารมณ์ทีก่ ่อให้เกิดการเปลย่ี นแปลงทางสรีระไดม้ ากทส่ี ดุ คือ อารมณก์ ลัว และอารมณ์โกรธ อารมณ์ กลวั จะก่อให้เกดิ การหลั่งของฮอร์โมน แอดรีนาลนี จากต่อมแอดรนี ัล (Adrenal gland) สว่ นอารมณ์โกรธ จะ กอ่ ใหเ้ กิดการหลั่งของฮอรโ์ มน นอรแ์ อดรีนาลนี (Noradrenalin) 2. องคป์ ระกอบทางด้านการนึกคิด (Cognitive dimension)หมายถงึ การมปี ฏกิ ริ ยิ าด้านจติ ใจที่เกิดขนึ้ ต่อ สถานการณ์ทก่ี ำลงั เป็นอยู่และเกดิ เปน็ อารมณข์ น้ึ มา เชน่ ชอบ -ไม่ชอบ หรือ ถูกใจ- ไม่ถกู ใจเป็นต้น 3. องคป์ ระกอบทางด้านการมีประสบการณ์ (Experiential dimension)หมายถงึ การเรยี นรทู้ ี่เกิดข้นึ ภายใน จติ ใจของแตล่ ะบุคคลซึ่งจะมีความแตกตา่ งกนั ไป การตอบสนองทางอารมณ์ ประกอบดว้ ยปัจจัยต่างๆ ดงั น้ี 1. ปฏิกริ ยิ าทางอารมณ์เช่น การวิ่งหนีจากสง่ิ ทเ่ี รากลวั 2. การตอบสนองทางระบบประสาทอสิ ระ เชน่ หัวใจเต้นแรงข้ึนและเหงื่อออก บริเวณฝา่ มอื เมื่อตกใจกลวั 3. พฤติกรรมท่ีแสดงออกมา เชน่ การยม้ิ หน้านิ่วค้วิ ขมวด 4. ความรสู้ ึก เช่นความโกรธ ความปตี ิ ความเศร้าโศก การเปล่ยี นแปลงทางสรีรวิทยาท่เี กิดขนึ้ ระหว่างที่อามรณ์รุนแรงเป็นผลจากการกระต้นุ ของระบบประสาทเสรี เพ่อื เปน็ การเตรียมพร้อม สำหรับภาวะฉกุ เฉิน ปจั จุบันเชือ่ ว่าระบบประสาทสว่ นกลางของการตอบสนองทางอารมณ์ ถูกควบคุมโดย และ ซึง่ ประกอบด้วย และอารมณ์ยังขน้ึ อยู่กบั สารส่งตอ่ พลงั ประสาท ในสมองปัจจุบนั นี้เปน็ ทย่ี อมรบั กันวา่ “อาการซึมเศร้า
เกยี่ วข้องกับระดบั ของ ทล่ี ดลง ยาท่ีทำให้ระดับของ ลดลงจะทำใหเ้ กิดอาการซึมเศร้า ส่วนยาต้านซมึ เศร้า ทำ ใหร้ ะดบั ของ สงู ข้ึน การแสดงออกทางอารมณ์ ก. การแสดงออกทางอารมณ์โดยกำเนิดการแสดงอารมณ์พ้ืนฐานเป็นสงิ่ ท่มี ีมาตั้งแตก่ ำเนิดเดก็ ทุกชาติทุกภาษา จะรอ้ งไห้เม่ือเจ็บปวดหรอื เสยี ใจ และหวั เราะเม่ือสุขใจจากการศึกษาเด็กทตี่ าบอดหรือหูหนวกตั้งแตแ่ รกเกิด พบวา่ การแสดงออกของสีหน้า ทา่ ทางและท่วงทีกริ ิยาหลายๆ อย่าง ซึง่ เราเอาไปสมั พันธ์กบั อารมณช์ นิดต่างๆ ได้รับการพฒั นาโดยความสุกสมบรู ณก์ ารแสดงออกของอารมณเ์ หล่านเี้ กดิ ข้ึนในช่วงอายุท่ีเหมาะสมแม้วา่ จะไม่ มโี อกาสสังเกตได้ในคนอ่นื ไดเ้ ขียนหนังสือ ซ่ึงพมิ พ์ในปี 1872 ทา่ นกล่าววา่ วิธแี สดงออกของอารมณเ์ ปน็ กระสวนทีถ่ ูกถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรมและแตเ่ ดิมมีคณุ ค่าเพื่อความอยรู่ อด ของชวี ติ บางอย่าง เช่น การแสดง ความรังเกยี จหรือการไม่ยอมรบั เกดิ จากการทอ่ี ินทรียพ์ ยายามขจัดเอาสิ่งที่ไมด่ หี รือไม่น่าพงึ พอใจซ่ึงได้กนิ เข้า ไปแลว้ การแสดงสหี นา้ บางอยา่ งดเู หมอื นจะมีความหมายสากลโดยมิได้คำนึงถึงวฒั นธรรมในที่ซึ่งคนเราได้รบั การเล้ยี งดูเม่ือเอาภาพแสดงสีหน้าของความสขุ ความโกรธ ความเสยี ใจ ความรงั เกียจ ความกลัวและความ ประหลาดใจ มาแสดงต่อคนชาวอเมรกิ ัน บราซลิ ซลิ ี อาเจนตนิ า และญป่ี ่นุ คนเหล่าน้ไี ม่มีความยากลำบากใน การบอกความแตกตา่ งของอารมณแ์ ตล่ ะชนิดพวกชาวเขาและชาวเกาะที่อย่หู า่ งไกลความเจรญิ ก็บอกได้เชน่ กัน ข. บทบาทของการเรยี นรใู้ นการแสดงออกทางอารมณ์แมว้ ่าการแสดงออกของอารมณ์บางอย่างมมี าตัง้ แต่ กำเนดิ เปน็ สว่ นใหญ่แลว้ แต่อารมณก์ ็อาจได้รับการดัดแปลงมากมายโดยการเรียนรู้ ตัวอย่าง ความโกรธอาจ แสดงออกมาโดยการต่อสู้โดยการใช้ภาษาท่ีก้าวรา้ ว หรือโดยการลุกออกไปนอกห้องแน่นอนการออกจากห้อง หรอื การใชค้ ำหยาบมใิ ช้การแสดงความโกรธซง่ึ มมี าต้งั แต่แรกเกิดการแสดงออกทางอารมณ์ทางสหี นา้ และ ทา่ ทางอาจแตกต่างกนั ในแตล่ ะวฒั นธรรม ตัวอย่างชาวจนี มีการแสดงออกทางอารมณบ์ างอย่างแตกตา่ งจาก ชาติอื่นๆ อยา่ งมากการตบมือแสดงถึงความกงั วลใจ หรอื ความผิดหวงั การเกาหูและแกม้ บง่ ถงึ การมคี วามสุข การแลบลนิ้ ออกมาแสดงถึงความประหลาดใจ ในสังคมตะวันตก การตบมือหมายถงึ ความสุขการเกาหแู สดงถงึ ความกงั วล และการแลบลิน้ บ่งถึงการย่ัวโทสะ การควบคมุ อารมณแ์ ละการจัดการอารมณ์ 1. เราควรหมั่นฝกึ ให้มสี ตคิ ือระลึกรอู้ ยู่เสมออยา่ ประมาทในการดำเนนิ ชีวติ เมือ่ มอี ะไรเข้ามากระทบ ทำใหเ้ ราเกิดความคิดและอารมณ์ที่ไมด่ ีก็ควรจะใช้สตใิ นการขบคดิ พจิ ารณา เพ่ือใหเ้ ราเท่าทัน และไม่ตกเป็น ทาสของอารมณน์ ้นั วิธีควบคมุ อารมณ์ของเราอาจทำได้หลายวิธไี ด้แก่ 2.ใหม้ ีสตอิ ยู่เสมอเพ่ือควบคมุ อารมณ์ทร่ี นุ แรงให้คลายลงพยายามควบคมุ มนั ให้ได้โดยใช้ “สติ” หรือ หลักธรรมะเข้ามาชว่ ยในการเผชิญกับเหตกุ ารณห์ รือปญั หาต่าง ๆก็จะทำให้เหตุการณห์ รือปญั หาตา่ ง ๆ น้ัน เปน็ ไปในทางทดี่ ีขน้ึ ได้ในทางตรงกันข้ามหากผู้ใดใช้อารมณ์มากหรอื รุนแรงเกนิ ไปก็อาจจะทำใหเ้ หตุการณ์หรือ ปญั หาตา่ ง ๆท่ีเผชญิ อยู่กลับเลวร้ายลงไปได้เช่นกัน 3.ใช้คำพูดแสดงความรู้สกึ แทนการกระทำ เชน่ โกรธเพื่อนที่ผิดนดั ไม่ควรแสดงออกโดย การตำหนดิ ุ ด่า แต่ควรใช้คำพดู แทนว่า “ฉนั โกรธมากทีเ่ ธอผิดนัดเมื่อวานเป็นตน้
4.ใหย้ ดื เวลาออกไปกอ่ นท่ีจะตดั สนิ ใจทำอะไรลงไปหรือพยายามหลกี เลีย่ งสถานการณ์ที่กอ่ ใหเ้ กิด อารมณร์ ุนแรงรอใหอ้ ารมณ์ลดความรนุ แรงลงแล้วจงึ กลบั มาเผชิญเหตุการณน์ นั้ อีกครั้งก็จะทำให้เรามีสตมิ าก ขึน้ ในการตดั สนิ ใจกระทำสงิ่ ต่าง ๆลงไป 5.ใชก้ ารข่มใจการให้อภยั และมองโลกในแง่ดี พยายามฝึกมองส่งิ ที่เกิดขึ้นตา่ ง ๆในด้านดเี สมอถ้าทำ ได้ จะทำใหเ้ รามีอารมณท์ เี่ ป็นสุขมากยง่ิ ข้นึ 6. เมอื่ มีเรื่องทุกข์ใจหรือเครียดควรปรึกษาเพ่อื นสนิทท่ไี ว้ใจได้หรอื ผใู้ หญ่ท่ีเราใหค้ วามเคารพนบั ถือ หากคนเรามีแตค่ วามทุกข์เก็บสะสมไวม้ ากเกินไปสักวนั หนงึ่ ก็อาจจะกลายเปน็ โรคประสาท หรอื โรคจติ ต่อไปได้ จงึ ควรปลดปลอ่ ยความทกุ ข์ที่มีอยู่ออกไปเสียบา้ ง ความเครยี ดเปน็ เรื่องพน้ื ฐานประจำชีวิต ไมว่ ่าคณุ จะเป็นคนประเภทไหนฐานะอย่างไร มีอำนาจมาก แคไ่ หน รปู งามหรอื ไม่ มีความสบาย เพียงใดไม่อาจหลกี เล่ียงมนั ได้ ความเครยี ดมาในหลายรปู แบบ เชน่ การ สอบไลค่ รัง้ สำคัญอบุ ัตเิ หตทุ างรถยนต์ การเข้าแถวรอเป็นเวลานาน วนั ท่ีอะไรๆกด็ ูจะไม่ถกู ต้องสกั อยา่ ง ความเครยี ดขนาดปานกลางอาจเป็นแรงกระตุ้น เปน็ แรงจงู ใจเป็นทตี่ ้องการให้มใี นบางคร้ังแตถ่ ้าหากเครียด มาก อาจกอ่ ปญั หาทง้ั ทางรา่ งกาย ทางจิตใจและทางพฤตกิ รรม วิธกี ารจดั การกบั ความเครยี ด วธิ กี ารจดั การกบั ความเครียดสามารถทำไดห้ ลายวิธีขึ้นอยู่กับสถานการณ์และวิธกี ารทีจ่ ะยอมรับเอาไปใช้ 1.การเลน่ ดนตรฟี งั เพลงก็เป็นการช่วยลดความเครียดได้ เพราะดนตรีและเพลงทำให้เราเพลิดเพลนิ ทำ ใหล้ มื เรือ่ งท่ีเครยี ด 2. การนวดเพราะการนวดทำใหไ้ ด้สัมผัสสว่ นทเ่ี ครยี ดทำให้กล้ามเนือ้ สว่ นน้ันผอ่ นคลายลง 3.มุ่งแตส่ ่ิงทเ่ี ป็นปัจจบุ ันคนเรามอี ดตี ท่ไี มน่ า่ พอใจเปน็ ทุกข์ด้วยกันทุกคน ถา้ นึกถงึ อดตี ท่ีไม่พอใจ บ่อย ๆจะทำใหเ้ กิดทกุ ขเ์ ครยี ดได้และอย่าคิดถงึ อนาคตเพราะยังมาไม่ถึง 4. สร้างนิสัยสดช่ืนยมิ้ แยม้ เสมอไมส่ ร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ทีอ่ ยู่ใกล้เคียง 5. หลีกเล่ยี งการสร้างศตั รู เพราะการมีศัตรูจะทำใหเ้ ราตอ้ งหวาดระแวงกลัวต่าง ๆ นานาเมื่อนั้น ความเครยี ดกจ็ ะตามมา 6.การใชย้ าลดความเครยี ดการใชย้ าน้ันจะต้องได้รบั คำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น เชน่ ยาพวกบาบิต เรท ยากลอ่ มประสาทยานอนหลับ เปน็ ต้น
แหล่งขอ้ มลู http://www.vcharkarn.com/vcafe/14209/1 http://www.novabizz.com/NovaAce/Emotional/Emotional.htm
วชิ าสขุ ศึกษา พลศึกษา ม.ปลาย ใบความรู้ เรอ่ื ง สารเสพติด ความหมายของยาเสพติด ยาเสพตดิ หมายถงึ สารใดกต็ ามที่เกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ หรือสารทสี่ ังเคราะห์ขึน้ เมี่อนำเข้าสูร่ ่างกายไม่ว่าจะโดยวธิ ี รับประทาน ดม สบู ฉีด หรือด้วยวิธกี ารใด ๆ แล้วทำให้เกิดผลตอ่ ร่างกายและจติ ใจนอกจากนีย้ ังจะทำให้เกดิ การเสพ ติดไดห้ ากใช้สารนัน้ เป็นประจำทุกวนั หรอื วนั ละหลาย ๆ คร้งั ลกั ษณะสำคัญของสารเสพตดิ จะทำใหเ้ กดิ อาการและอาการแสดงต่อผูเ้ สพดงั นี้ ๑. เกดิ อาการด้ือยา หรอื ตา้ นยาและเม่ือติดแลว้ ต้องการใชส้ ารนนั้ ในประมาณมากข้นึ ๒.เกิดอาการขาดยา ถอนยา หรอื อยากยา เมื่อใชส้ ารนนั้ เท่าเดิม ลดลง หรือหยุดใช้ ๓. มคี วามตอ้ งการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างรุนแรงตลอดเวลา ๔. สุขภาพรา่ งกายทรุดโทรมลง เกดิ โทษต่อตนเอง ครอบครัว ผอู้ น่ื ตลอดจนสงั คม และประเทศชาติ ความหมายตามกฎหมาย ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษหมายความว่า สารเคมีหรือวัตถชุ นดิ ใดๆ ซ่ึงเม่อื เสพเข้าสู่ร่างกายไมว่ า่ จะโดยรบั ประทาน ดม สบู ฉดี หรอื ด้วยประการใดๆ แล้ว ทำให้เกดิ ผลต่อร่างกายและจิตใจในลกั ษณะสำคัญเชน่ ต้องเพิ่มขนาดการเสพเรื่อยๆ มี อาการถอนยาเม่ือขาดยามีความตอ้ งการเสพท้งั ทางร่างกายและจติ อยา่ งรุนแรงอยู่ตลอดเวลาและสุขภาพโดยทั่วไปจะ ทรดุ โทรมลงกลับให้รวมถงึ พืช หรอื ส่วนของพชื ทเ่ี ปน็ หรือใหผ้ ลผลติ เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษหรืออาจใชผ้ ลติ เปน็ ยาเสพ ติดใหโ้ ทษและสารเคมีท่ีใช้ใน การผลิตยาเสพติดให้โทษดังกล่าวด้วยท้ังน้รี ัฐมนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแต่ไม่ หมายความถึง ยาสำคัญประจำบ้านบางตำรับตามทก่ี ฎหมายวา่ ด้วยยาทมี่ ยี าเสพตดิ ให้โทษผสมอย สารเสพตดิ หมายถงึ ส่ิงทีเ่ สพเขา้ ไปในร่างกายแลว้ ทำให้ร่างกายต้องการสารนนั้ ในปริมาณที่เพ่ิมขึ้นไมส่ ามารถหยดุ ได้ มผี ลทำใหร้ า่ งกายทรุดโทรมและสภาวะจิตใจผดิ ปกติ ยาเสพตดิ หมายถึงสารหรอื ยาท่ีอาจเป็นผลติ ภณั ฑ์ธรรมชาติ หรือจากการสงั เคราะห์ซ่งึ เม่ือเสพเขา้ สรู่ ่างกายไม่ว่าจะ โดย การกิน ดม สูบ ฉดี หรือ ด้วยประการใด ๆแลว้ จะทำให้เกดิ ผล ต่อรา่ งกายและจติ ใจในลกั ษณะสำคัญ เชน่ - ตอ้ งเพิ่มขนาดการเสพขน้ึ เร่ือยๆ - มีอาการอยากยาเมื่อขาดยา - มคี วามต้องการเสพท้งั ร่างกายและจติ ใจอย่างรุนแรงและต่อเนือ่ ง - สุขภาพโดยท่ัวไปจะทรุดโทรมลง ประเภทของยาเสพติด ยาเสพติด แบง่ ได้หลายรูปแบบตามลักษณะต่าง ๆ ดังน้ี 1.แบ่งตามแหลง่ ท่เี กดิ ซึ่งจะแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ
1.1 ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือยาเสพติดท่ีผลิตมาจากพืช เชน่ ฝ่ิน กระท่อม กัญชา เปน็ ต้น ฝน่ิ กระท่อม 1.2 ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คอื ยาเสพติดทีผ่ ลิตข้นึ ด้วยกรรมวิธีทางเคมี เชน่ เฮโรอนี แอมเฟตามนี เปน็ ตน้ เฮโรอีน ยาบ้า 2. แบ่งตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ.2522ซงึ่ จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คอื 2.1 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 1 ได้แก่ เฮโรอนี แอลเอสดี แอมเฟตามนี หรือยาบา้ ยาอีหรือยาเลิฟ 2.2 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 2ยาเสพติดประเภทนสี้ ามารถนำมาใชเ้ พ่ือประโยชนท์ างการแพทยไ์ ดแ้ ตต่ ้องใช้ ภายใตก้ ารควบคุมของแพทย์ และใชเ้ ฉพาะกรณีท่จี ำเปน็ เท่านนั้ ได้แก่ ฝน่ิ มอร์ฟีน โคเคน หรอื โคคาอนี โคเคอีน และ เมทาโดน 2.3 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 3ยาเสพติดประเภทนเี้ ปน็ ยาเสพติดใหโ้ ทษท่มี ียาเสพตดิ ประเภทท่ี 2ผสมอยู่ด้วยมี ประโยชนท์ างการแพทย์ การนำไปใชเ้ พ่ือจุดประสงค์อ่ืน หรอื เพ่ือเสพติดจะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเภทน้ี ไดแ้ ก่ยาแก้ไอ ทม่ี ีตัวยาโคเคอีนยาแกท้ ้องเสยี ท่ีมฝี ่ินผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงบั ปวดต่าง ๆ เชน่ มอรฟ์ ีน เพทิดนี ซง่ึ สกัด มาจากฝ่นิ 2.4 ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 4คือสารเคมีทใี่ ชใ้ นการผลติ ยาเสพตดิ ให้โทษ ประเภทที่ 1 หรอื ประเภทท่ี 2ยาเสพ ตดิ ประเภทนไ้ี ม่มีการนำมาใชป้ ระโยชนใ์ นการบำบดั โรคแต่อยา่ งใดและมีบทลงโทษกำกบั ไวด้ ว้ ย ไดแ้ ก่นำ้ ยาอะเซติค แอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรดซ์ ่ึงใชใ้ นการเปล่ยี นมอร์ฟีนเป็นเฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีนสามารถใชใ้ นการผลิต
ยาบ้าได้ และวตั ถอุ อกฤทธ์ติ ่อจติ ประสาทอีก 12 ชนดิ ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้ 2.5 ยาเสพติดใหโ้ ทษประเภทที่ 5เป็นยาเสพติดให้โทษที่มไิ ดเ้ ขา้ ข่ายอยใู่ นยาเสพตดิ ประเภทท่ี 1 ถงึ 4ได้แก่ทุกส่วน ของพชื กัญชา ทุกสว่ นของพืชกระท่อม เห็ดขีค้ วาย เป็นต้น มอร์ฟีน ยาอี กญั ชา 3.แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทซง่ึ แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คือ 3.1 ยาเสพติดประเภทกดประสาท ไดแ้ ก่ ฝ่ินมอร์ฟนี เฮโรอีน สารระเหย และยากล่อมประสาท 3.2 ยาเสพติดประเภทกระตนุ้ ประสาทไดแ้ ก่ แอมเฟตามีน กระท่อม และ โคคาอีน 3.3 ยาเสพตดิ ประเภทหลอนประสาท ได้แกแ่ อลเอสดี ดเี อ็มพี และ เห็ดข้คี วาย 3.4 ยาเสพตดิ ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน กลา่ วคอื อาจกดกระต้นุ หรือ หลอนประสาทได้พรอ้ ม ๆ กัน ตัวอย่างเช่น กัญชา สารระเหย โคเคน เหด็ ข้คี วาย 4.แบ่งตามองค์การอนามัยโลกซ่งึ แบ่งออกไดเ้ ปน็ 9 ประเภท คือ 4.1 ประเภทฝ่ิน หรอื มอร์ฟีน รวมทัง้ ยาท่ีมฤี ทธคิ์ ลา้ ยมอร์ฟีนได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน เพทดิ นี 4.2 ประเภทยาปทิ ูเรทรวมทัง้ ยาท่ีมฤี ทธท์ิ ำนองเดียวกัน ได้แก่ เซโคบารป์ ติ าลอะโมบาร์ปิตาล พาราลดไี ฮด์เมโปรบา เมท ไดอาซีแพม เป็นตน้ 4.3 ประเภทแอลกอฮอล ได้แก่ เหล้า เบียร์ วิสก้ี 4.4 ประเภทแอมเฟตามนี ได้แก่ แอมเฟตามนี เมทแอมเฟตามีน 4.5 ประเภทโคเคนได้แก่ โคเคน ใบโคคา 4.6 ประเภทกญั ชา ไดแ้ ก่ ใบกัญชา ยางกัญชา 4.7 ประเภทใบกระท่อม 4.8 ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอน็ ที เมสตาลนี เมลดั มอน่ิงกลอรี่ ต้นลำโพง เหด็ เมาบางชนิด
4.9 ประเภทอน่ื ๆ นอกเหนือจาก 8ประเภทข้างต้น ไดแ้ ก่ สารระเหยต่าง ๆ เช่น ทนิ เนอร์ เบนซิน น้ำยาลา้ งเลบ็ ยา แกป้ วดและบุหร่ี พฤตกิ รรมของผ้ตู ดิ ส่ิงเสพติด 1. ไมส่ นใจส่ิงแวดล้อม ชอบแยกตัวเอง 2. แต่งกายไมเ่ รียบรอ้ ย สกปรก 3. สหี น้าแสดงความวิตก ซมึ เศร้า ไม่กล้าทีจ่ ะสู้หน้าคน 4. เมอ่ื ขาดยา มีอาการกระวนกระวาย หายใจลกึ กลา้ มเนอื้ กระตุก ทุรนทุราย คลุ้มคลงั่ การปอ้ งกนั การเสพยาเสพติด 1. เลือกคบเพื่อนที่ดี หลีกเลีย่ งการคบเพือ่ นท่ีติดสง่ิ เสพตดิ 2. ไม่ทดลอง สงิ่ เสพตดิ ทกุ ชนดิ 3. เล่นกฬี า ออกกำลังกาย หากิจกรรมนนั ทนาการเลน่ เมื่อมีเวลาว่าง 4. สถาบันการศกึ ษาควรให้การอบรมเกย่ี วกบั โทษของยาเสพติด 5. ควรมคี วามอบอุ่นแก่ครอบครัว ดแู ลสมาชกิ ในครอบครวั อย่างใกลช้ ดิ โทษของยาเสพติด โทษเนื่องจากการเสพส่งิ เสพติดแบ่งออกได้ดังน้ี 1. โทษตอ่ ร่างกาย สิง่ เสพติดทำลายท้ังรา่ งกายและจิตใจ เช่น ทำใหส้ มองถูกทำลาย ความจำ เสอ่ื ม ดวงตาพร่ามว่ั น้ำหนักลด รา่ งกายซบู ผอม ตาแห้ง เหม่อลอย รมิ ฝีปากเขยี วคล้ำ เครียด เปน็ ต้น 2. โทษต่อผใู้ กล้ชิด ทำลายความหวังของพ่อแม่และทุกคนในครอบครัว ทำใหว้ งศต์ ระกูลเสอื่ มเสยี 3. โทษต่อสงั คม เกิดปญั หาทางด้านอาชญากรรม สญู เสียแรงงาน สนิ้ เปลอื งคา่ ใชจ้ ่ายในการ ปราบปรามและการบำบดั รักษา 4. โทษต่อประเทศไทย ทำลายเศรษฐกิจของชาติ
คร้งั ท่ี 13
แผนการเรียนการสอน ระดับมธั ยมศกึ ษาตอ วิชา ศลิ ปศึกษา รห กศน.ตำบลบา้ นโป่ง. อำเภ วันท่ี ……….. เดือน…………… ครง้ั ท่ี/วนั ที่ รายวิชา/หวั เร่อื ง ตวั ชี้วัด เนอื้ หา 13 1. การวิพากษว์ ิจารณ์ 1. อธบิ ายเกยี่ วกับคว งานทศั นศลิ ป์สากล ซาบซึ้งในงานทศั นศิล 2. ความงามทาง 2. อธิบายกระบวนวพิ ทัศนศลิ ปส์ ากล ทเี่ กิด วิจารณ์ งานทศั นศลิ ป จากการสร้างสรรค์ ดา้ นตา่ ง ๆ ด้วยจุด เส้น สี แสง 3. สามารถจนิ ตนากา – เงา รูปร่าง และ อธิบายวิเคราะห์ วพิ รปู ทรงของวตั ถุจาก วิจารณ์ วธิ กี ารสรา้ งส ธรรมชาติ ความงามจากธรรมช 3. ความคดิ ออกมาเป็นความงาม สรา้ งสรรค์ ความ ทศั นศลิ ปส์ ากล สวยงามความ 4. อธิบายวเิ คราะห์ ว เหมาะสม ความพอดี วิจารณ์คุณคา่ ของงา
อนปลาย ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2565 หัสวิชา ทช 31003 ภอบ้านโปง่ จังหวดั ราชบุรี ……………… พ.ศ. ………………. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล วาม ขัน้ ท่ี 1 การนำเขา้ สบู่ ทเรยี น ส่ือแบบเรยี น ใบงาน / ใบ ลปส์ ากล 1.นำเสนอผลงานท่ีให้นักศกึ ษา แผ่นพับ / แผน่ ปลิว ความรู้ พากษ์ ค้นควา้ เม่ือสปั ดาหท์ ีผ่ ่านมาโดยสมุ่ ใบงาน ใบความรู้ แบบทดสอบ ปส์ ากล จากน้นั ครูสนทนากับนกั ศกึ ษาเรอ่ื ง อินเทอร์เน็ต สังเกตการณม์ ีส่วน สถานทีส่ ำคญั ในทอ้ งถ่ิน ของตนเอง รว่ ม าร และ เช่น วดั มัสยิด โบราณสถาน แหลง่ เรยี นรู้ แบบประเมนิ กลุ่ม พากษ์ โบราณวตั ถุ ฯลฯเพื่อเขา้ สบู่ ทเรยี น - ห้องสมดุ สรรค์ ข้ันที่ 2 การจดั กระบวนการเรียนรู้ - ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ชาติให้ 1. ครอู ธิบาย ความสำคัญ ความ - วัด มทาง เป็นมาของเนอ้ื หา ทัศนศลิ ป์ และ - โบราณสถาน / การวพิ ากษ์วจิ ารณง์ านทศั นศิลป์ โบราณวตั ถุ วิพากษ์ 2.ครู แบง่ กลมุ่ นักศึกษาออกเปน็ าน กล่มุ ยอ่ ย กลุ่มละ 4 – 5 คน 4
ครง้ั ท/ี่ วันท่ี รายวิชา/หวั เรือ่ ง ตัวช้ีวัด เน้ือหา ของการนำวัตถุ วัสดุ ทัศนศลิ ป์ สากล ในเ สิ่งของตา่ งๆ มา ความงาม ทีเ่ กดิ จาก แผนการเรียนการสอน ระดบั มัธยมศึกษาตอ วิชา ศิลปศึกษา รห กศน.ตำบลบา้ นโปง่ อำเภ วนั ที่ ……….. เดอื น…………… ครงั้ ที/่ วนั ท่ี รายวิชา/หวั เรือ่ ง ตวั ชี้วัด เน้อื หา 13 ประดบั ตกแต่ง สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ โด ร่างกาย ท่ีอยู่ วัตถุ วสั ดุ ส่ิงของต่าง ๆ อาศัย หรอื ตกแต่ง มาประดับ เสรมิ แตง่ รา่ ง สถานท่สี ง่ิ แวดล้อม ท่ีอยู่อาศัย ตกแตง่ สถาน ทวั่ ๆ ไป ส่งิ แวดล้อมต่าง ๆ ได้อย เหมาะสม
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล เรื่องของ กลมุ่ ศกึ ษาค้นคว้าเรือ่ งท่คี รู กความคดิ กำหนดให้ อนปลาย ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2565 หสั วิชา ทช 31003 ภอบ้านโป่ง จงั หวดั ราชบุรี ……………… พ.ศ. ………………. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ การวัดและประเมินผล ใบงาน / ใบความรู้ ดยนำ ขัน้ ที่ 3 ขน้ั สรุป ส่อื แบบเรียน แบบทดสอบ สังเกตการณม์ ีสว่ นรว่ ม ๆ เข้า 1. ใหต้ วั แทนกล่มุ นำเสนอผลงานที่ แผน่ พบั / แผน่ ปลิว แบบประเมนิ กลุม่ งกาย ศึกษาคน้ ควา้ ให้กลมุ่ อืน่ ฟงั ใบงาน ใบความรู้ นท่ี 2. ครแู ละผู้เรียนชว่ ยกันสรุปเนือ้ หา อินเทอรเ์ นต็ ย่าง สาระสำคญั ของเร่ืองและจดบันทกึ แหล่งเรียนรู้ - ห้องสมุด - โรงพยาบาล / โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพชมุ ชน
ใบงาน เร่อื ง สร้างสรรค์งานศลิ ปะและความงามตามธรรมชาติ ช่อื – สกลุ ....................................................... รหสั นกั ศึกษา ...................................กศน.ตำบล.................... คำส่ัง ใหผ้ เู้ รียนแตล่ ะกลุม่ ทำการศึกษาคน้ คว้า ตามหวั ข้อต่อไปน้ีแลว้ นำผลจากศกึ ษาค้นควา้ มาสรปุ ใหเ้ พ่อื นฟงั เพ่ือแลกเปลย่ี นรู้อยา่ งนอ้ ย กลุ่มละ 15 นาที กลมุ่ ที่ 1 - ความหมายของศิลปะและทศั นศลิ ป์ - ความสัมพันธร์ ะหว่างศลิ ปะกับมนษุ ย์ - ประเภทของงานทัศนศลิ ป์ กลมุ่ ที่ 2 - ความของการวิเคราะห์ วิจารณ์งานศลิ ปะ - คณุ สมบัติของนักวิจารณ์ทีด่ ี - การวเิ คราะห์และประเมินคุณคา่ ของงานศิลปะ กล่มุ ท่ี 3 - ความหมายของธรรมชาติและศลิ ปะ - องคป์ ระกอบท่ีสำคัญของศิลปะ - ประเภทการสรา้ งสรรคง์ านของศิลปนิ กลุ่มที่ 4 - การรับรูค้ วามงามทางศิลปะของมนุษย์ - วิวัฒนาการและความเชื่อในสร้างผลงานทางศิลปะ - ศลิ ปะในสมัยต่างๆ
ใบงาน เร่อื ง จดุ เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง และรปู ทรง ช่ือ – สกลุ ....................................................... รหสั นกั ศกึ ษา ...................................กศน.ตำบล.................... 1. ให้นกั ศึกษาบอกความรู้สึกทีม่ ีตอ่ เส้นในลักษณะตา่ งๆ ดังนี้ 1.1 เสน้ ตรงแนวตง้ั ……………………………………………………………...................................................... 1.2 เสน้ ตรงแนวนอน………………………………………………………….................................................. 1.3 เสน้ ตรงแนวเฉียง………………………………………………………….................................................. 1.4 เส้นตดิ กัน………………………………………………………………................................................…. 1.5 เสน้ โคง้ ……………………………………………………………….................................................……. 1.6 ใหค้ วามรู้สึกอย่างไร ....................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 1.7 ------------------------ ให้ความรู้สึกอยา่ งไร ...................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... 1.8 ให้ความร้สู กึ อย่างไร ...................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... 1.9 ใหค้ วามรู้สกึ อย่างไร .................................................................................................................................. ..................... ....................................................................................................................................................... 1.10 ใหน้ ักศกึ ษาสร้างงานศิลปะจากเสน้ ตา่ งๆ จำนวน 1 ภาพ
ใบงาน เรอ่ื ง จดุ เส้น สี แสง เงา รปู ร่าง และรูปทรง ชื่อ – สกุล ....................................................... รหสั นกั ศึกษา ...................................กศน.ตำบล.................... 2. ใหน้ ักศกึ ษา อธิบายวา่ สรี อ้ น และสเี ยน็ หมายถงึ อะไรและประกอบด้วยสอี ะไรบา้ ง ................................................................................................................................ ................................ .................................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................................................................ .. ............................................................................................................................................................ 3. ใหน้ ักศึกษาวาดรูปโดยใช้ดนิ สอไลน่ ำ้ หนกั ของแสงเงา ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................. .................. .................................................................................................................. .............................................. ................................................................................................................................................................
แบบทดสอบกอ่ นเรยี นวิชาศิลปศกึ ษา ม.ปลาย ชอ่ื – สกลุ ....................................................... รหสั นกั ศกึ ษา ...................................กศน.ตำบล.................... คำชีแ้ จง ให้นกั ศกึ ษาเลอื กคำตอบทถี่ ูกท่ีสุดเพยี งข้อเดียว 1.ข้อใดถือว่าเป็นพ้นื ฐานในงานจิตรกรรม ง.ธรรมชาติ แรงบันดาลใจ ถ่ายทอดออกมา ก.แสง – เงา เปน็ งานศลิ ปะ ข.สี ค.เสน้ 5.รูปทรงเรขาคณติ รปู ใดทีเ่ ป็นพนื้ ฐานในการวาดรูป ง.องคป์ ระกอบ ทั่วไป ก.สามเหล่ยี ม 2.ขอ้ ใดให้คำจำกัดความของ “เสน้ ” ไดถ้ ูกต้องท่สี ุด ข.สเ่ี หลยี่ ม ก.เสน้ คอื สงิ่ ที่ไม่มีความกวา้ งและความหนา ค. ทรงกรวย ข.เสน้ คอื จดุ จำนวนมากทต่ี ่อเนือ่ งกนั ง. วงกลม ค.เส้นคือส่ิงที่เกิดจากปลายดินสอ ปากกาและพู่กัน ง.เสน้ คอื พ้นื ฐานการวาด 3.ในการเขียนภาพหุ่นนง่ิ ข้อใดที่มีความสัมพันธ์กนั 6.คุณลกั ษณะท่ีโดดเด่นของภาพเขยี นสนี ำ้ คือข้อใด ท่สี ดุ ก.มคี วามชมุ่ สดใสสบายตา ก.แสงเงา องค์ประกอบ ข.มีความร้อนแรง ข.อปุ กรณ์ บรรยากาศ ค.มคี วามแหง้ แล้ง ค. ผวู้ าด หุ่น กระดาษและวสั ดใุ นการวาด ง.มคี วามกลมกลืนกบั ทุกบรรยากาศ ง.สี แสงเงา 7.ข้อใดจบั ค่วู สั ดุไดถ้ ูกต้อง ในการทำงานศลิ ปะ 4.ขอ้ ใดที่กล่าวถึงข้นั ตอนการสร้างงานศลิ ปะจาก ก.สีน้ำมัน กระดาษ ธรรมชาติแวดล้อมได้ถกู ต้อง ข.สโี ปสเตอร์ กระจก ก.คดิ ผนั ลองผิดลองถูก งานศลิ ปะ ค.สนี ำ้ กระดาษ ข.จินตนาการ งานศลิ ปะ ง.สฝี นุ่ โลหะ ค.คัดลอก สรา้ งสรรค์งานศิลปะ 8.ในการทำงานศลิ ปะ วัสดขุ ้อใดท่จี ับคู่ไม่ถูกต้อง ก.สนี ้ำ เกรยี ง
ข.สอี ะคลิลกิ พู่กนั สีน้ำ 13.ภาพลายปูนป้ันทห่ี นา้ บนั อุโบสถเปน็ ค.สีฝุ่น พู่กันแบน ประติมากรรมประเภทใด ง.สีโปสเตอร์ พู่กันขนยาวพเิ ศษ ก.นนู สูง ข.นูนต่ำ 9. กระดาษชนิดใดทีเ่ หมาะกับการเขียนภาพสีนำ้ ค.ลอยตวั ก.กระดาษเทา – ขาว ง.ทั้งขอ้ ก และ ข ข.กระดาษ 100 ปอนด์ 14.ข้อใดเปน็ ประติมากรรมประเภทลอยตัว ค.กระดาษ 80 ปอนด์ ก.อนสุ าวรียพ์ ระเจ้าตากสิน ง.กระดาษรีไซเคิล ข.เหรียญจตุคามรามเทพ ค.พระพุทธรูปสลกั หนิ ท่หี นา้ ผาวดั เขาชจี รรย์ 10.พกู่ ันจนี สามารถนำไปใชใ้ นงานประเภทใดไดด้ ี ง.รปู คนถอื ดวงตา หน้าโรงมหรสพทางวิญญาณทสี่ วน ก.เขยี นลายรดน้ำ โมกข์ ข.เขยี นตวั หนงั สือแบบรบิ บน้ิ ค.เขยี นตวั หนังสอื และเขยี นภาพแบบจีน 15.สัญลักษณเ์ ชงิ ศาสนา ซงึ่ เป็นองคป์ ระกอบที่สำคัญ ง.เขียนภาพสีนำ้ มัน ในสถาปตั ยกรรมไทยคือข้อใด ก.หน้าบัน รวงผง้ึ คนั ทวย 11.ลายไทยในข้อใดทถ่ี ือว่าเป็นแรงบนั ดาลใจมาจาก ข.ลายประจำยาม นอ่ งสิงห์ หน้าขบ ธรรมชาติ ค.ลายมุม ค้างคาว บัวหวั เสา ก.กระจงั ตาอ้อย ได้มาจากตาออ้ ย ง.ชอ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ ข.กนกเปลว ไดม้ าจากเปลวไฟ ค.ลายเครอื เถา ได้มาจากเถาวัลย์ 16.ภาพพิมพใ์ นหมายเลขใดที่ถือวา่ มีคณุ ค่ามากทส่ี ดุ ง.ถูกทุกขอ้ จากงานภาพพมิ พท์ ัง้ หมด 10 ชน้ิ ก.1/10 12.รอยนูนบนเหรียญบาทจัดเป็นประตมิ ากรรม ข.2/10 ประเภทใด ค.9/10 ก.นูนสูง ง.10/10 ข.นูนตำ่ ค.ลอยตวั 17. งานภาพพิมพ์ด้วยเทคนิคใดทีน่ ยิ มทำกันในกลุ่ม ง.ภาพ 3 มิติ งานศิลปะเด็ก ก.ภาพพมิ พแ์ กะไม้ ข.ภาพพิมพ์หิน
ค.ภาพพมิ พ์จากใบไม้ 22.กระบวนการในข้อใดท่ีทำให้สังคมชนบท เข้าถึง ง.ภาพพมิ พ์โลหะ งานศิลปะไดด้ ีทส่ี ุด ก.ศลิ ปนิ พื้นบา้ น 18.การเรียนรทู้ ฤษฏีสีอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพต้องใช้ ข.ประเพณี พธิ กี รรม และวดั ใกล้บา้ น กระบวนการใด ค.วิทยุ และโทรทัศน์ ก.ใชส้ ติกเกอรส์ ีเทยี บ ง.ขอ้ ก และ ข ข.ใชแ้ คตตาล็อกสเี ทยี บ 23.การสืบทอดความเปน็ ช่างพืน้ บา้ นโดยสว่ นใหญ่ ค.ศกึ ษาจากวงจรสธี รรมชาติ ผ่านกระบวนการใด ง.ผสมสดี ว้ ยตนเองผา่ นการเขียนภาพ ก.รวมกลุ่มเรียน กับ กศน. 19.ในการเขียนภาพของคนทั่วไป ทฤษฏสี ีถือวา่ มี ข.สบื ทอดทางสายเลอื ดหรือพันธุกรรม ความจำเปน็ หรอื ไม่ เพราะอะไร ค.ฝึกฝนกันภายในครอบครวั และเครอื ญาติ ก.จำเปน็ เพราะเปน็ หลักในการทำงาน ง.จา้ งช่างมอื อาชพี มาสอน ข.จำเปน็ เพราะจะทำให้งานนัน้ มีคณุ คา่ 24.ขอ้ ใดถือเปน็ การเรียนรู้นอกระบบจนกลายเป็น ค.ไม่จำเป็น เพราะไมม่ ีความร้เู รื่องทฤษฏสี ี วัฒนธรรมการเรียนรขู้ องสังคมไทยแลว้ ง.ไมจ่ ำเปน็ เพราะอาศัยอารมณแ์ ละความรสู้ ึกเปน็ ก.เรียนร้แู บบ “ครูพักลกั จำ” สำคัญ ข.แอบขโมยเครื่องมือช่างมาฝึก ค.ส่งลูกสาวไปใกล้ชิดกบั ช่างฝีมือดี 20.คำว่า “ศลิ ปะสอ่ งทางให้กัน” หมายถงึ ขอ้ ใด ง.เรียนทางไปรษณยี ์ ก.ศลิ ปะสอ่ งให้เห็นตัวตนของศลิ ปนิ ข.ศิลปะสอ่ งให้เหน็ ความเป็นไปของโลก 25.การแทงหยวกถือเป็นภมู ิปัญญาไทยทีส่ ำคัญ ค.ศิลปะทุกแขนงเอื้อและเช่ือมโยงซ่งึ กนั และกนั ง.ศิลปะทำให้มนุษยเ์ ปน็ มนษุ ยท์ ่แี ท้ จดั เป็นงานศิลปะประเภทใด 21.วัตถปุ ระสงค์ในการเขยี นภาพจิตรกรรมฝาผนงั ก.จติ รกรรม ตามอุโบสถคือข้อใด ข.หตั ถศลิ ป์ กึง่ ประติมากรรม ก.เพอื่ เลา่ เร่ืองพุทธประวัติ ชาดก และคติพืน้ บา้ น ค.หัตถกรรม ข.เป็นศรทั ธาของชา่ งเขียนที่มีต่อพระศาสนา ง.สถาปตั ยกรรม ค.เพ่ือแกป้ ัญหาพนื้ ท่ีวา่ งในอโุ บสถ ง.ถกู ทกุ ข้อ 26.ศิลปะการแทงหยวกส่วนใหญ่นิยมใช้ในงาน ประเภทใด ก.งานศพ ข.งานรดนำ้ ผู้ใหญ่ ค.งานแตง่ งาน ง.งานบวช
27.การแทงหยวกถือเปน็ ภูมิปัญญาทสี่ อดคลอ้ งกบั แนวคิดใดในปัจจบุ ัน ก.การอนุรักษ์ศิลปะไทย ข.การอนุรักษ์ภูมิปญั ญา ค.แนวคิดเรอื่ งส่งิ แวดลอ้ ม ลดภาวะโลกรอ้ น ง.แนวคดิ เกษตรธรรมชาติ 28. สมุดขอ่ ยนอกจากเป็นบนั ทกึ ขององค์ความรู้ดา้ น ตา่ งๆแล้ว สมุดข่อยจำนวนมากนบั เป็นงานศลิ ปะ แขนงใด ก.จิตรกรรม ข.ประติมากรรม ค.สถาปตั ยกรรม ง.หตั ถศลิ ป์ 29.องค์อัครศลิ ปินหมายถึง พระมหากษัตริยพ์ ระองค์ ใด ก.รัชกาลที่ 1 ข.รชั กาลท3ี่ ค.รชั กาลท่ี 6 ง.รัชกาลที่ 9 30.ภาพทีอ่ อกมาจากกระบวนการทางคอมพิวเตอร์ เราเรียกงานลักษณะนี้ว่าอย่างไร ก.งานวิจิตรศิลป์ ข.งานศลิ ปะสมยั ใหม่ ค.งานศลิ ปะสื่อผสม ง.งานศิลปะกราฟฟิก หรือศลิ ปะคอมพวิ เตอร์
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นวชิ าศิลปศึกษา ม.ปลาย 1ง 2.ข 3.ค 4.ง 5.ง 6.ก 7.ค 8.ก 9.ข 10.ค 11.ง 12.ก 13.ก 14.ก 15.ง 16.ก 17.ค 18.ง 19.ง 20.ค 21.ง 22.ง 23.ค 24.ก 25.ข 26.ก 27.ค 28.ก 29.ง 30.ง
คร้งั ท่ี 14
แผนการเรียนรู้ รายวชิ า ศิลปศกึ ษา ทช กศน.ตำ ครั้งท่ี …14…….. วันที่ ……เดอื น... ครั้งท่ี/วันท่ี รายวิชา/หัวเร่อื ง ตัวช้วี ัด เนือ้ ห 14 1.ประวัติความเปน็ มา 1.อธิบายประวัต และววิ ฒั นาการ การ เปน็ มาและววิ ัฒ แสดงทางนาฎศลิ ปแ์ ละ นาฎศิลปแ์ ละกา การละครสากลประเภท สากลประเภทต ตา่ งๆ 2. อธบิ ายความ 2. ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ระหว่างนาฎศลิ นาฎศิลป์และการละคร ละครสากลกบั ก สากลกบั บทบาททาง สงั คม สังคมในการพัฒนาสังคม 3. ระบุคุณค่าแล 3. คุณคา่ และ ความสัมพันธ์ขอ ความสัมพันธข์ องวฒั นา มาตรฐานไปประ ธรรมประเพณีท่ี ประกอบกอบกบั เกยี่ วขอ้ งกับการ ๆ ใสอดคล้องกบั วิวฒั นาการของลีลาศ ประเพณี และ
ช31003 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ำบล.บา้ นโป่ง .............................. พ.ศ. ................ หา การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ส่ือ/แหลง่ เรียนรู้ การวดั และ ประเมินผล ติ ความ ขั้นที่ 1.ข้นั นำเขา้ สู่บทเรียน ส่อื ใบงาน ฒนาการของ ครูทบทวนเนื้อสัปดาห์ท่ผี ่านมา หนงั สือเรียน บนั ทกึ การเรยี นรู้ ารละคร ขันที่ 2 การจดั กระบวนการเรยี นรู้ CD แบบทดสอบ ตา่ งๆ ครสู นทนาเกย่ี วกบั ประวตั คิ วามเป็น รูปภาพ สงั เกตจากการมี มสมั พันธ์ ของและววิ ัฒนาการ การแสดงโดย ยาประเภทต่าง ๆ ส่วนร่วม ลป์และการ การยกตัวอย่างจากสื่อเก่ียวกับ ขา่ วจากหนงั สอื พมิ พ์ สังเกตการแสดง การพัฒนา นาฏศิลป์ไทย และนาฎศลิ ป์เพ่ือน ความคิดเหน็ บา้ น พรอ้ มท้งั ยกตัวอย่าง เช่น พมา่ แหล่งเรยี นรู้ ละ ลาว เวียนนาม ห้องสมดุ องท่าลีลาศ ครูแบ่งกลมุ่ ผูเ้ รียนออก เปน็ 5กลมุ่ โรงพยาบาล, ะยกุ ต์ใช้ ทำการศึกษาคน้ ควา้ ตามหัวข้อในใบ สถานีอนามยั บเพลงอ่ืน งาน สำนกั งาน บวฒั นธรรม กลมุ่ ท่ี 1 นาฎศลิ ปป์ ระเทศพมา่ สาธารณสุข กลมุ่ ที่ 2 นาฎศิลปป์ ระเทศกัมพูชา สถานตี ำรวจ กล่มุ ที่ 3 นาฎศลิ ปป์ ระเทศมาเลเซีย
คร้งั ท่ี/วันท่ี รายวชิ า/หัวเร่อื ง ตัวชีว้ ัด เนอ้ื ห มาตรฐานท่เี ป็นมรดก ชีวติ ประจำวันข ทางวัฒนธรรม ภูมิภาคทั่วโลก
หา การจัดกระบวนการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ การวัดและ ประเมินผล ของแตล่ ะ กลมุ่ ที่ 4 นาฎศลิ ป์ประเทศเกาหลี กลุ่มท่ี 5 นาฎศิลปป์ ระเทศอินโดนี เชยี และใหต้ ัวแทนกลุม่ นำเสนอผลงานที่ ศึกษาคน้ คว้าเพอ่ื แลกเปล่ียนเรียนรู้ 2. ครแู ละนกั ศึกษาชว่ ยกนั สรปุ เน้ือหาจากนำเสนอของแต่ละกลุ่ม และจดบนั ทึก ขนั้ ท่ี 3 ข้ันสรปุ - ครแู ละนกั ศึกษาช่วยกันสรปุ เนอื้ ทัง้ หมด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248