วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน-ธนั วาคม พ.ศ. 2562 วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เป็นวารสารทต่ี ีพมิ พบ์ ทความทางวิชาการ ในสาขาพยาบาลศาสตร์ ที่ผา่ นการพจิ ารณาจากผู้ทรงคุณวุฒอิ ยา่ งนอ้ ย 2 คน Journal of Nursing Science Chulalongkorn University is a peer-reviewed journal, published academic papers in nursing science. วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื เสนอวทิ ยาการกา้ วหน้าทางพยาบาลศาสตร์ 2. เพอ่ื ส่งเสรมิ และเผยแพรง่ านวิจยั ท่ีมีคณุ คา่ ตอ่ วิชาชพี พยาบาล 3. เพื่อเป็นศนู ยก์ ลางในการเผยแพรค่ วามรู้และข่าวสารทางพยาบาลศาสตร์ 4. เพือ่ ส่งเสริมและเผยแพร่เกยี รติคณุ ของสถาบัน กำ� หนดออก ทุก 4 เดือน ปลี ะ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม และ ฉบับท่ี 3 กนั ยายน-ธันวาคม เจา้ ของ คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ ชน้ั 11 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรงุ เทพฯ 10330 E-Mail : [email protected] โทร. 02-218-1129 โทรสาร. 02-218-1130 พิมพท์ ี่ ส�ำนักพิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย โทร. 02-215-3612, 02-218-3563-4
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีท่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน-ธันวาคม พ.ศ. 2562 ทีป่ รกึ ษา (Advisory board) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ รศ.ดร.วราภรณ์ ชัยวฒั น์ (Assoc. Prof. Dr. Waraporn Chaiyawat) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น บรรณาธิการ (Editor in Chief) โรงเรียนพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ ร.พ. รามาธิบดี ผศ.ดร.สรุ ศักดิ์ ตรีนัย (Assist. Prof. Dr. Surasak Treenai) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น กองบรรณาธกิ าร (Editorial board) ส�ำนกั วชิ าพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี รุ นารี ศ.ดร.ประนอม โอทกานนท์ (Prof. Dr. Pranom Othaganont) สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย รศ.ดร.เสาวคนธ์ วรี ะศริ ิ (Assoc. Prof. Dr. Saovakon Virasiri) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล รศ.ดร.นพวรรณ เปยี ซื่อ (Assoc. Prof. Dr. Noppawan Piaseu) Deputy Director of Department of Hospital รศ.ดร.มารสิ า ไกรฤกษ์ (Assoc. Prof. Dr. Marisa Krairiksh) Service, Chief Nursing Officer / Nursins Focal ผศ.ดร.จนั ทกานต์ กาญจนเวทางค ์ Person in Cambodia for WHO-WPRO (Assist. Prof. Dr. Jantakan Kanjanawetang) สภาการพยาบาล ผศ.ดร.ทัศนยี ์ อรรถารส (Assist. Prof. Dr. Tassanee Attharos) วทิ ยาลยั พยาบาลและสขุ ภาพมหาวทิ ยาลยั ราชภฎั สวนสนุ นั ทา ผศ.ดร.วารรี ตั น์ ฤานอ้ ย (Assist. Prof. Dr. Wareerat Thanoi) คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั Dr. Virya Koy คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั นักวชิ าการอิสระ ผศ.ดร.สนุ ทราวดี เธยี รพิเชษฐ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั (Assist. Prof. Dr. Suntharawadee Theinpichet) คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ผศ.ดร.สจุ ติ รา อูร่ ัตนมณี (Assist. Prof. Dr. Sujitra Uratanamnee) คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั รศ.ดร.กัญญดา ประจุศลิ ป (Assoc. Prof. Dr. Guyadar Prachusilpa) คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ผศ.ดร.นรลักขณ์ เอื้อกิจ (Assist. Prof. Dr. Noraluk Ua-Kit) คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ร.ต.ต.หญิง ดร.ปชาณัฏฐ์ นนั ไทยทวีกลุ (Assist. Prof. Pol. Sub. Li. Dr. Pachanat Nanthaitaweekul) ผศ.ดร.ประนอม รอดคำ� ดี (Assist. Prof. Dr. Branom Rodcumdee) ผศ.ดร.เพ็ญพักตร์ อุทศิ (Assist. Prof. Dr. Penpaktr Uthis) ผศ.ดร.รุง้ ระวี นาวีเจรญิ (Assist. Prof. Dr. Rungrawee Navicharern) ผศ.ดร.รชั นีกร อปุ เสน (Assist. Prof. Dr. Ratchaneekorn Upasen) อ.ดร.ศกนุ ตลา อนเุ รอื ง (Dr. Sakuntala Anuruang) นายธรี ะพงษ์ ยุพากงิ่ (Mr. Theerapong Yupaking) ผู้จดั การ (Manager) ผศ.ดร.รงุ้ ระวี นาวเี จริญ (Assist. Prof. Dr. Rungrawee Navicharern) กองจดั การ นายธีระพงศ์ ยุพาก่งิ (Mr. Theerapong Yupaking) บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารพยาบาลศาสตร์ ได้ผา่ นการพจิ ารณาจากผทู้ รงคุณวุฒิอยา่ งนอ้ ย 2 คน ข้อคดิ เห็นใด ๆ ที่ปรากฏ ในวารสาร เปน็ วรรณกรรมของผเู้ ขยี น บรรณาธกิ ารหรอื คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเหน็ ดว้ ย The Journal of Nursing Science is a peer-reviewed journal, ideas and opinions expressed in are those of the authors and not necessarily those of the editor and the Faculty of Nursing, Chulalongkorn University. ราคาจำ� หน่ายเลม่ ละ 300 บาท Price: 300 Baht.
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 กนั ยายน-ธันวาคม พ.ศ. 2562 สารบัญ หนา้ Contents บทความวชิ าการ Page การพยาบาลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซํ้าที่ได้รับ 1 Nursing Care for Adolescents with Cancer การดแู ลแบบประคับประคอง Relapse Receiving Palliative Care ทพิ ย์เกษร วรรณภกั ตร์ Thipkasorn Wannaphak การป้องกันการเจ็บป่วยทางจิตในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง : 11 Prevention of Mental Illness in Chronic บทบาทพยาบาลจติ เวชในชมุ ชน Disease Patients: Role of Psychiatric Nurses อังศณา คลา้ ยสขุ in Community Aungsana Khlaisuk บทความวจิ ยั การจดั การสขุ ภาพของกลมุ่ เสย่ี งโรคเบาหวานในชมุ ชน 19 Health Management of Diabetes Risk Group บา้ นมว่ งหวาน : มมุ มองจากการศกึ ษาเชิงคณุ ภาพ in Ban Muang Whan : A Qualitative Research อริสรา สุขวจั นี Perspective อญั ชลีพร อมาตยกุล Arissara Sukwatjanee Anchaleeporn Amatayakul ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรม 33 The Effect of Self-Care Enhancement Program การดแู ลตนเองภายหลงั การผา่ ตดั ลดนา้ํ หนกั ของผปู้ ว่ ย on Post-Bariatric Surgery Self-Care Behaviors โรคอ้วน among Morbid Obese Patients ศิภาพนั ธ์ ลวสุต Sipaphan Lavasut รุ้งระวี นาวีเจริญ Rungrawee Navicharern ผลของโปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลงั อำ�นาจตอ่ การฟนื้ สภาพ 47 The Effect of Empowerment Program on Late หลังผ่าตัดระยะท้ายในผู้ป่วยท่ีได้รับการผ่าตัดกระดูก Phase Postoperative Recovery Among Post สนั หลังระดบั เอว Lumbar Spine Surgery Patients รัตตยิ า เตยศรี Rattiya Toeysri ปชาณฏั ฐ์ นันไทยทวกี ุล Pachanut Nanthaitaweekul ปจั จยั ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การตดิ 60 The Factors Related to HIV Prevention Behavior เช้ือเอชไอวีของ เยาวชนแรงงานขา้ มชาติชาวเมียนมา among Myanmarese Youth Migrant Workers เอกลกั ษณ์ ฟกั สุข Ekkalak Faksook ปรยี ์กมล รัชนกุล Pregamol Rutchanagul วนลดา ทองใบ Wanalada Thongbai
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน-ธนั วาคม พ.ศ. 2562 สารบัญ หนา้ Contents Page ผลของโปรแกรมเสริมสร้างความสามารถในการดูแล 74 The Effect of Enhancing Family Cargiving ของครอบครัว ต่ออาการออทิสติกของเดก็ ออทสิ ติก Abilty Program on Autistic Symptoms among วัยกอ่ นเรียน Autistic Preschoolers สชุ าวลี พันธพ์ งษ์ Suchawalee Punphong จินตนา ยูนิพนั ธุ์ Jintana Yunibhand สนุ ิศา สุขตระกลู and Sunisa Suktrakul ปจั จยั คดั สรรทสี่ มั พนั ธก์ บั การทำ�หนา้ ทด่ี า้ นรา่ งกายของ 87 Selected Factors Related to Physical Func- ผสู้ งู อายุโรคหลอดเลือดสมอง tional Ability among Stroke Older Persons บณุ ฑรกิ า มณีโชติ Boontarika Maneechot ศริ พิ ันธ์ุ สาสัตย์ Siriphan Sasat
บทบรรณาธกิ าร วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปีท่ี 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน – ธันวาคม 2562 ถอื เปน็ ฉบบั ทา้ ยของปี 2562 ซงึ่ มผี สู้ นใจสง่ บทความวชิ าการ และบทความวจิ ยั ทางการพยาบาลศาสตร์ และ ได้ผา่ นการพิจารณาจากผ้ทู รงคณุ วุฒิ รวมทง้ั สิ้น 8 บทความ บรรณาธิการขอขอบคุณสมาชกิ วารสารฯ และ ผ้แู ต่งบทความทุกๆทา่ น ทีส่ ่งบทความมาลงตพี มิ พ์ ยงั วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าฯ อย่างตอ่ เนือ่ ง กองบรรณาธิการวารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาฯ ยงั เปดิ รบั บทความวชิ าการ บทความวิจัย และ บทความปรทิ ศั น์ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ทางการพยาบาล โดยทา่ นผแู้ ตง่ สามารถศกึ ษารายละเอยี ดการเตรยี มตน้ ฉบบั และส่งบทความผ่านระบบวารสาร online ได้ท่ี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/CUNS ทงั้ นข้ี อความกรณุ าผทู้ ส่ี นใจสง่ บทความมายงั วารสารฯ ศกึ ษารายละเอยี ดการเตรยี มตน้ ฉบบั ใหถ้ กู ตอ้ งและ สมบูรณ์ เพื่อความรวดเร็วในการส่งบทความใหผ้ ทู้ รงคุณวุฒพิ จิ ารณา ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรศกั ดิ์ ตรนี ัย บรรณาธกิ าร
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีท่ี 31 ฉบบั ที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 1 บทความวิชาการ การพยาบาลผปู้ ว่ ยวยั รุ่นโรคมะเรง็ กลับเป็นซำ้� ที่ได้รบั การดแู ล แบบประคับประคอง ทิพย์เกษร วรรณภกั ตร*์ วทิ ยาลัยพยาบาลทหารอากาศ สายไหม กรุงเทพฯ 10220 บทคดั ย่อ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือเสนอแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำที่ได้ รับการดูแลแบบประคับประคอง เนื่องจากเป็นกลุ่มท่ีได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งทั้งทางด้าน ร่างกายและจิตใจ การกลับเป็นซ้�ำของโรคมะเร็งจัดเป็นภาวะที่รุนแรง เน่ืองจากมีการแพร่กระจายของ เซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะต่างๆ ซึ่งมักรักษาไม่หาย โดยขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ป่วย ขณะเดียวกันผู้ป่วย วัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำมักได้รับผลกระทบระยะท้าย (Late effects) จากการรักษาครั้งก่อน ร่วมกับผลข้างเคียงจากเคมีบ�ำบัดในการรักษาคร้ังใหม่ส่งผลให้ร่างกายมีความทรุดโทรมมากข้ึน ซ่ึงการดูแล รักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ถ้ามุ่งมั่นจะใช้วิธีการรักษาให้หายท้ังๆ ที่มีโอกาสน้อย ย่อมเป็น การบั่นทอนคุณภาพชีวิต การดูแลแบบประคับประคองด้วยการเลือกใช้ชีวิต เน้นการบรรเทาความ เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เพ่ือให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น ไม่ได้มุ่งหวังให้หายขาด จากโรค อาจเป็นทางเลือกท่ีดีกว่า ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำมีความแตกต่างจากวัยรุ่นที่มี สุขภาพดีและวัยรุ่นโรคมะเร็งท่ีก�ำลังรักษาอยู่ ดังน้ันผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำต้องใช้ความ พยายามในทุกด้านเพื่อด�ำรงชีวิตอยู่ต่อไปในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ รวมถึงความต้องการการดูแลอย่างเฉพาะ เจาะจงในหลากหลายแง่มุมจากการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งในครั้งใหม่น้ี และเริ่มการดูแลแบบประคับ ประคอง เพื่อให้สอดคล้องต่อลักษณะการด�ำเนินโรคที่มีโอกาสหายขาดน้อย ตลอดจนความสามารถ เผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่คุกคามท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ และสังคม เพ่ือให้มีคุณภาพชีวิต ท่ดี ีขึน้ และสามารถใช้ชีวิตอยกู่ บั โรคมะเรง็ ทกี่ ลบั เป็นซ�้ำได้อยา่ งเหมาะสมต่อไป คำ� ส�ำคัญ: วยั ร่นุ / โรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำ/ การดูแลแบบประคบั ประคอง วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั 2562, 31(3) : 1-10 * ผรู้ ับผดิ ชอบหลัก อาจารย์ วิทยาลยั พยาบาลทหารอากาศ Email: [email protected]
2 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 Nursing Care for Adolescents with Cancer Relapse Receiving Palliative Care Thipkasorn Wannaphak* Abstract This article is aimed at providing nursing care for adolescents with cancer relapse receiving palliative care due to their physical and mental suffering. The relapse is considered a severe condition as the cancer cell has spread to other organs which are often incurable, depending on the patients’ health. Adolescents with cancer relapse often encountered late effects from the previous treatment as well as side effects from chemotherapy in the new treatment which results in deterioration in health. Intensive treatment for patients in this group is difficult to success and also decrease the quality of patient’s life. Palliative care as patients need with focus on pain release, eliminating the suffering from cancer and prevent the complications of cancer are a better way. The adolescents with cancer relapse are different from healthy adolescents and adolescents cancer and therefore need to make every effort to survive as well as requiring specific treatments in various aspects resulting from the relapse and palliative care to correspond with disease progression with a small chance of being cured and the ability to face issues on physical, mental, spiritual and social conditions to be able to live a quality life with relapse in an appropriate manner. Keywords: Adolescent/ Cancer Relapse/ Palliative care Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 1-10 Article info: Received November 11, 2019; Revised December 7, 2019; Accepted December 10, 2019 * Corresponding author, Lecturer, Royal Thai Airforce Nursing College. Email: [email protected]
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 3 บทนำ� สอดคล้องกับลักษณะการด�ำเนินโรคของตนท่ีรักษายาก มีโอกาสหายขาดน้อย รวมถึงความสามารถในการเผชญิ มะเร็งเป็นโรคเรื้อรังที่มีโอกาสในการรักษาให้ เหตุการณ์และก้าวผ่านส่ิงต่างๆ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี หายขาดยาก และมีจ�ำนวนผู้ป่วยใหม่เพ่ิมขึ้นทุกปี โดย ต่อไป อัตราการเกิดโรคมะเร็งในวัยรุ่นมีประมาณ 10.2 คน ต่อประชากรวัยรุ่น 1 แสนคน1 ในประเทศไทยพบวา่ มี ผลกระทบของโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำในผู้ป่วย อุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งในวัยรุ่นแต่ละปี ประมาณ 78 วัยรุ่น คนตอ่ เดก็ 1 ลา้ นคน2 และมีแนวโน้มเพมิ่ มากขึ้นเรื่อยๆ แมว้ า่ จะมกี ารรกั ษาโรคมะเรง็ ทหี่ ลากหลาย ทง้ั วธิ กี ารให้ การรกั ษาโรคมะเรง็ ในปจั จบุ นั โดยเฉพาะมะเรง็ ยาเคมบี �ำบดั การฉายรังสี การผา่ ตดั หรอื การปลูกถา่ ย เม็ดเลือดขาว มะเร็งในระบบประสาทส่วนกลาง และ ไขกระดกู เป็นตน้ อยา่ งไรกต็ ามไดพ้ บว่าผูป้ ่วยวยั ร่นุ โรค มะเรง็ ตอ่ มนำ�้ เหลอื ง ซงึ่ เปน็ มะเรง็ ทพี่ บไดบ้ อ่ ยในเดก็ และ มะเร็งร้อยละ 201 ท่ีตัวโรคไม่ตอบสนองต่อการรักษา วยั รนุ่ 1 การรกั ษาหลกั นน้ั จะใชเ้ คมบี ำ� บดั รว่ มกบั รงั สรี กั ษา หรือให้การรักษาเพ่ือหวังผลให้หายขาดแล้วไม่ส�ำเร็จ อย่างต่อเน่ืองเป็นระยะเวลานานตามรอบการรักษาที่ คือมีการกลับเป็นซ�้ำของโรคมะเร็งหลังจากหยุดการ แพทย์ได้วางแผนไว้ หากมีการกลับเป็นซ้�ำของโรคภาย รักษา ซ่ึงแพทย์จะท�ำการรักษาโรคมะเร็งท่ีกลับเป็นซ้�ำ หลังครบรอบการรักษา โดยตรวจพบเซลล์มะเร็งใน เชน่ เดยี วกบั การรกั ษาในครงั้ แรก โดยการรกั ษาโรคมะเรง็ ร่างกายและมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เช่น ในครงั้ ใหมน่ มี้ กั ไมไ่ ดผ้ ลดแี ละมผลขา้ งเคยี งมาก เนอื่ งจาก พบเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Blast cell) มากกว่า สภาพร่างกายของผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำได้ ร้อยละ 5 ของเซลล์ทั้งหมด หรือตรวจพบเซลล์มะเร็ง เผชิญกับผลกระทบจากการเจ็บป่วยและผลกระทบจาก ในร่างกายตรงต�ำแหน่งโรคและต่อมน้�ำเหลืองใกล้กับ การรกั ษาเปน็ ระยะเวลาตอ่ เนอื่ งมานาน การเลอื กใหก้ าร รอยโรคเดิม ซึ่งโรคมะเร็งท่ีกลับเป็นซ�้ำนี้จะมีกระบวน ดูแลแบบประคับประคองที่เน้นคุณภาพชีวิตจึงเป็นทาง การแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเข้าสู่อวัยวะส�ำคัญ เช่น เลือกท่ีเหมาะสมกับผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลุ่มนี้3 กระดูก ไต ปอด และบางส่วนผ่านเข้าสู่ระบบประสาท ซ่ึงเป็นการดูแลทั้งที่เกิดจากตัวโรคโดยตรงและที่ส่งผล ส่วนกลาง ท�ำให้ร่างกายมีการตอบสนองต่อเคมีบ�ำบัด กระทบจากตัวโรค ในด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และ หรือรังสีรักษาน้อยลง อาการของโรคมะเร็งรุนแรงข้ึน จติ วญิ ญาณ อยา่ งไรกต็ ามหากผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั และการรักษาด้วยเคมีบ�ำบัดรอบใหม่ ไม่สามารถท�ำให้ เป็นซ�้ำสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในด้าน อาการของโรคมะเร็งทุเลาลงได้ แต่อาการมักรุนแรง บทบาทหนา้ ท่ี ภาพลกั ษณ์ ภาวะสขุ ภาพ และการด�ำเนนิ ส่งผลต่อสุขภาพมากข้ึน เนื่องจากมีผลข้างเคียงท่ีท�ำให้ ชวี ติ อยกู่ บั โรคมะเรง็ ทกี่ ลบั เปน็ ซำ�้ ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งกบั เกดิ ผลกระทบระยะเฉียบพลนั (Acute effects) ได้แก่ วัยรุ่นสุขภาพดีทั่วไปและผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งท่ีอยู่ อาการคล่ืนไส้ อาเจียน เบ่ืออาหาร เย่ือบุช่องปาก ระหวา่ งการรกั ษา เนือ่ งจากผู้ปว่ ยกลุม่ นีย้ ังคงมหี วงั และ อักเสบ ผมร่วง มีไข้ ระคายเคืองผิวหนัง เป็นต้น ท้ังน้ี มโี อกาสหายขาดจากโรคมะเรง็ แตผ่ ปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ อาการดังกล่าวมักเกิดขึ้นภายหลังท�ำการรักษาด้วยเคมี กลบั เปน็ ซำ้� มโี อกาสหายขาดจากโรคนอ้ ยและอยใู่ นระบบ บำ� บดั ไดไ้ มน่ านนกั แตท่ วา่ ผปู้ ว่ ยเดก็ และวยั รนุ่ โรคมะเรง็ การดูแลแบบประคับประคอง ไม่ใช่การรักษาแล้วรอด กลับเป็นซ้�ำต้องกลับมารับเคมีบ�ำบัดอย่างต่อเน่ืองจน ชีวิต จึงมีปัญหาและความต้องการท่ีแตกต่างออกไป กว่าจะครบรอบการรักษาเพื่อก�ำจัดเซลล์มะเร็งให้ ดังนั้นผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลุ่มน้ีจึงควรได้รับการดูแล หมดไป ในบางรายแพทย์จะให้ยาเคมีบ�ำบัดพร้อมกัน อย่างเฉพาะเจาะจงในทุกมิติ เพ่ือให้ตอบสนองและ หลายชนดิ หรอื ใหร้ ว่ มกบั การฉายรงั สเี พอ่ื ใหป้ ระสทิ ธภิ าพ ในการรกั ษาสงู ขนึ้ เมอ่ื รา่ งกายไดร้ บั ผลขา้ งเคยี งจากการ
4 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 รักษาดังกล่าวมาอย่างยาวนาน จึงท�ำให้เกิดผลกระทบ จากความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็ง ระยะท้าย (Late effects)4 ท่ีส่งผลต่อสุขภาพอย่าง กลบั เปน็ ซำ้� ไดร้ บั สง่ ผลกระทบตอ่ ทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ มากโดยเฉพาะในผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำ จะ อารมณ์ และสังคม ในด้านร่างกายท่ีได้รับผลข้างเคียง ได้รับผลกระทบในด้านร่างกายการเจริญเติบโต ท�ำให้มี จากเคมีบ�ำบัดทั้งในระยะเฉียบพลัน (Acute effects) ลักษณะมีรูปร่างเล็กกว่าวัยเดียวกัน เน่ืองจากการฉาย และระยะท้าย (Late effects) แม้กระท่ังการได้รับท�ำ รังสีท่ีส่งผลไปยังกระดูกท่ีก�ำลังเจริญ หรือแม้แต่การ หตั ถการตา่ งๆ บอ่ ยครง้ั ขณะอยโู่ รงพยาบาล สว่ นในดา้ น ท�ำงานของต่อมไทรอยด์ และต่อมเพศก็เปลี่ยนแปลง จิตใจอารมณ์ก็เป็นผลสืบเน่ืองจากการได้รับความเจ็บ ไปด้วย ส่งผลต่อการประกอบกิจกรรมหรือด�ำเนินชีวิต ปวดทางด้านร่างกาย ความเศร้าโศกเสียใจ ความไม่ ประจ�ำวนั ต่างๆ ไดไ้ มเ่ ต็มที่ มพี ฒั นาการทางเพศระยะที่ แน่นอนในชีวิตเกิดความกลัวทั้งกลัวการเจ็บปวด กลัว สองลา่ ชา้ อาจทำ� ใหไ้ มไ่ ดร้ บั การยอมรบั จากเพอื่ นทงั้ เพศ ทรมานจากโรค หรือแม้กระท่งั กลัวความตาย6 ซ่ึงก่อให้ เดียวกันและเพ่ือนต่างเพศ ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับ เกิดความเครียด และความวิตกกังวลสูงในผู้ป่วยกลุ่มน้ี เป็นซ้�ำจึงมีความรู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากผู้อ่ืน ท้ังน้ยี งั พบวา่ ผปู้ ่วยวยั รุน่ โรคมะเรง็ กลับเปน็ ซ้�ำมอี ารมณ์ นอกจากน้ีวัยรุ่นยังเป็นวัยท่ียึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง แปรปรวนง่ายที่เกิดจากความรู้สึกหมดหวังเม่ือเร่ิม (Egocentric)5 โดยธรรมชาติแล้วจะมีความเข้าใจใน ยอมรับความจริงของการเป็นโรคร้าย ขณะเดียวกันก็มี ด้านนามธรรม มีเหตุผลและสามารถวิเคราะห์ส่ิงท่ีรับรู้ ความรสู้ กึ วา่ ชวี ติ ยงั มคี วามหวงั อยู่ และเรม่ิ ปรบั ตวั ตอ่ การ ได้ แต่ผลกระทบระยะท้ายท�ำให้มีปัญหาทางสติปัญญา รกั ษารวมถงึ การดำ� เนนิ ชวี ติ ตอ่ ไป ขณะเดยี วกนั การทเ่ี ขา้ และการเรียนรู้ตลอดจนความจ�ำลดลง จึงท�ำให้ผู้ป่วย รับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยคร้ังเป็นระยะเวลานาน วัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำมีปัญหาด้านการเรียนและ หรือในบางรายต้องอยู่โรงพยาบาลเพียงล�ำพังขาดการ การรับรู้ ขณะเดียวกันการรักษาโรคมะเร็งมักใช้ระยะ ติดต่อกับกลุ่มเพื่อน ต้องหยุดเรียน ส่งผลต่อการศึกษา เวลาทย่ี าวนาน ต้องเป็นไปตามรอบแผนการรกั ษา โดย การวางแผนในอนาคต อยูใ่ นสถานะพง่ึ พาผอู้ น่ื สูญเสีย ข้ึนอยกู่ บั สภาวะความพร้อมทางรา่ งกาย จึงทำ� ให้ผปู้ ว่ ย เวลาแหง่ การเปน็ วยั รนุ่ แมก้ ระทงั่ การสญู เสยี ภาพลกั ษณ์ กลุ่มน้ีต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นคร้ังคราว ทเ่ี กดิ จากการเปลยี่ นแปลงทางรา่ งกายอนั เนอื่ งมาจากผล ขาดปฏิสัมพันธ์กับทางสังคม มีความบกพร่องใน ข้างเคียงจากการรักษา เช่น ผมร่วง ตัวเล็กกว่าเพื่อน กระบวนการเรยี นรแู้ ละการสรา้ งสมั พนั ธภาพ การใชช้ วี ติ วัยเดียวกัน เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็นปัญหาด้านสังคมท่ี ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงแตกต่างจากเพื่อนวัยเดียวกัน ท�ำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้รู้สึกไม่มีคุณค่าในตนเองและสูญเสีย นอกจากนกี้ ารเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคมะเรง็ ยงั สง่ ผลกระทบตอ่ ภาวการณเ์ ป็นตัวของตนเองได้ ดา้ นจติ ใจ เนอื่ งจากเปน็ โรคเรอ้ื รงั ทมี่ โี อกาสการรกั ษาให้ หายขาดยาก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลบ่อยครั้ง การดูแลแบบประคับประคองส�ำหรับผู้ป่วยวัย ด้วยระยะเวลาทย่ี าวนาน รวมทงั้ การเผชญิ กับความเจบ็ รุ่นโรคมะเร็งกลบั เป็นซ้ำ� ปวดทุกข์ทรมานจากอาการที่เกิดจากโรคและผลข้าง เคยี งของการรกั ษาอยา่ งหลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ ทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยวยั รนุ่ เมื่อโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำ แพทย์จะท�ำการ โรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำและครอบครัวมีความรู้สึกกลัว รักษาครั้งใหม่น้ีด้วยการให้ยาเคมีบ�ำบัดแบบ Multiple วิตกกังวลสูง รู้สึกไม่แน่นอนกับการรักษา จากการที่ไม่ treatment protocol โดยข้ึนอยู่กับชนิดของมะเร็ง ประสบผลส�ำเรจ็ ในการรักษาคร้งั กอ่ น5 สิ่งเหลา่ นี้จงึ เปน็ ซึ่งโรคอาจจะสงบแล้วกลับมาเป็นซ�้ำอีก ดังนั้นแพทย์ ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรค จึงเริ่มการดูแลแบบประคับประคองไปด้วยในระยะนี้3 มะเรง็ กลับเปน็ ซ�ำ้ ครอบครัว และสังคม ซ่ึงการรักษาคร้ังนี้น้�ำหนักความส�ำคัญจะเน้นในเร่ืองให้ ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำพ้นจากความทุกข์
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปที ่ี 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 5 ทรมานจากการเจ็บป่วย โดยแพทย์จะให้ยาเคมีบ�ำบัด ถึงแม้ว่าผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำจะ เพ่ือไปท�ำลายเซลล์มะเร็งให้เหลือน้อยท่ีสุด ควบคุมไม่ สามารถเผชิญกับการรักษา และปรับตัวอยู่ร่วมกับ ให้แพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือแม้ โรคมะเร็งท่ีกลับเป็นซ�้ำต่อไปได้ เน่ืองจากมีชีวิตอยู่กับ แตเ่ ปน็ การบรรเทาอาการในรายทมี่ ะเรง็ ไดแ้ พรก่ ระจาย ความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งของตนเองมาเป็นระยะ ไปแล้วเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ในผู้ป่วยวัยรุ่นโรค เวลานาน มีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการข้างเคียงจาก มะเร็งกลับเป็นซ้�ำบางรายก็ยังคงได้รับการรักษาด้วย การได้รับเคมีบําบัดหลายคร้ัง มีภาวะแทรกซ้อนจาก เคมีบ�ำบัดและรังสีรักษา ร่วมกับการดูแลแบบประคับ การได้รับเคมีบําบัดและรังสีรักษาซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วย ประคองด้วยวิธีท่ีหลากหลายตามทางเลือกของผู้ป่วย วัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำส่วนใหญ่เกิดความคุ้นเคย วัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำและครอบครัว ซ่ึงส่วนใหญ่ กับอาการข้างเคียงของเคมีบําบัดที่เกิดขึ้น และคาดเดา แลว้ จะอยู่ภายใตก้ ารรบั รดู้ ูแลของแพทยเ์ จ้าของไข้ และ เหตุการณ์ความเจ็บป่วยหรืออาการข้างเคียงเคมีบําบัด การดแู ลแบบประคบั ประคองดงั กลา่ วมกั เปน็ สง่ิ ทอี่ ยใู่ กล้ ที่จะเกิดข้ึนได้8 อย่างไรก็ตามความเจ็บป่วยยังคงเป็น ตัวหรือตามความเช่ือ เช่น การใช้แพทย์ทางเลือก ภาวะท่ีกระทบกระเทือนต่อการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์ อาหารเสรมิ ชวี จติ ศลิ ปะ และการเลน่ เปน็ ตน้ นอกจาก หากแต่ความไม่แน่นอนของการด�ำเนินโรค ไม่สามารถ นี้ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำต้องปรับเปล่ียน พยากรณ์โรคได้ ซึ่งเป็นสิ่งส�ำคัญท่ีส่งผลให้ผู้ป่วยวัยรุ่น มุมมอง ทัศนคติในเร่ืองของการใช้ชีวิตให้เป็นไปตาม โรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำเกิดความเครียดเพ่ิมขึ้น9 และเกิด ปกติ แม้ว่าสุขภาพของตนจะไม่แข็งแรงสมบูรณ์เหมือน ความทุกข์ทรมานทางจิตใจ รสู้ ึกทอ้ แท้ ขาดความม่นั คง คนอื่น เนื่องจากยังคงมีข้อข�ำกัดบางประการจาก ในจิตใจในการควบคุมตนเองเมื่อขณะเผชิญปัญหา สภาวะของโรค ผลข้างเคียงจากการรักษา ภาพลักษณ์ จากการเจ็บป่วย ท�ำให้ไม่มีก�ำลังใจที่จะรักษาต่อไปส่ง และความสามารถในการท�ำกิจกรรมได้ถูกคุกคามจาก ผลเสยี ต่อแผนการดูแลรกั ษา และการด�ำเนินชีวิตต่อไป การเจ็บป่วย แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้พยายามเรียนรู้เพ่ือที่จะ ผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ ซำ�้ จงึ เปน็ กลมุ่ ท่ี อยู่ร่วมกับโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำได้อย่างเหมาะสมที่สุด ต้องการการดูแลท่ีเฉพาะเจาะจง โดยจากการศึกษาใน ดว้ ยวธิ กี ารปรบั การรบั ประทานอาหาร การออกกำ� ลงั กาย ระยะที่พบว่าการรักษานั้นไม่หายขาดโรคมะเร็งกลับมา การหลีกเล่ียงพฤติกรรมที่เส่ียงต่อการกระตุ้นให้เกิด เป็นซ�้ำ และเริ่มการดูแลแบบประคับประคอง ผู้ป่วย อาการก�ำเริบของโรคมะเร็ง และการตรวจติดตาม วัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำต่างให้ความส�ำคัญกับการ อาการกับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง นอกจากทาง เพ่ิมคุณภาพชวี ิต และการลดความทกุ ข์ทรมานมากกว่า ด้านร่างกายที่ต้องดูแล ส่วนหนึ่งท่ีส�ำคัญคือการดูแล การรกั ษาเพอ่ื ใหห้ ายขาด10 โดยการศกึ ษาทางเชงิ คณุ ภาพ ด้านจิตใจ ซึ่งผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำมักต้อง พบว่า บุคคลเหล่าน้ีมีความผูกพันในเร่ืองของชีวิตท่ีอยู่ การก�ำลังใจท่ีมาจากบุคคลใกล้ชิด เช่น บิดามารดา กบั โรคมะเรง็ ทก่ี ลบั เป็นซ้�ำ ซึง่ ประกอบไปด้วยความร้สู ึก ครอบครัว เพื่อน ครูอาจารย์ที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่ง หลากหลายในแง่ลบเก่ียวกับประสบการณ์การรักษาที่ แพทย์ พยาบาล เจา้ หนา้ ทท่ี ม่ี สี ว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษา7 ผ่านมาร่วมกับเริ่มการรักษาคร้ังใหม่ ซึ่งเป็นชีวิตที่ทุกข์ บุคคลเหล่าน้ีสามารถดูแลเพ่ือตอบสนองด้านจิตใจและ ทรมานแตย่ งั คงวนเวยี นอยกู่ บั การรกั ษา ไมม่ ผี ใู้ ดตดั สนิ ใจ อารมณ์ ท�ำให้ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำรู้สึกว่า วา่ ควรจะเลอื กหนทางไหน ขณะเดยี วกนั ผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรค ตนเองยงั มคี ุณค่า และด�ำรงไว้ซึง่ ความเป็นตัวของตัวเอง มะเรง็ กลบั เปน็ ซำ้� เองยงั มคี วามตอ้ งการหายจากโรค โดย ในการมชี วี ิตอยตู่ อ่ ไปได้กับโรคมะเรง็ ท่ีกลบั เปน็ ซ้�ำ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามแผนการรักษา และ แสวงหาการรักษาทางเลือกอื่นไปด้วย ส่วนในอีกแง่มุม
6 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 หนึ่งพบวา่ ผู้ปว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเร็งกลบั เปน็ ซ�ำ้ สามารถหา โรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำปรับตัวได้ น�ำแผนการรักษาของ วิธีจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกวิตกกังวลท่ีเกิดขึ้น แม้ แพทย์สู่การปฏิบัติ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน ชีวิตจะทุกข์ทรมานอยู่กับโรคมะเร็ง และรับรู้ว่าสุดท้าย และให้การฟื้นฟูและสร้างเสริมสุขภาพโดยค�ำนึงถึง จะจบลงด้วยความตาย เนื่องจากเป็นกลุ่มท่ีอยู่ในช่วง ความเป็นองค์รวมและความเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความ วัยรุ่นจึงมีความเข้าใจในเรื่องความตาย11 และมีการ ต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล พยาบาลต้อง เตรียมตัวท�ำในสิ่งที่ตั้งใจหรือได้สานความฝันที่มีคุณค่า ตระหนักถึงความต้องการด้านต่างๆ ซ่ึงการศึกษาเก่ียว ต่อจิตวิญญาณให้ลุล่วงเช่น การได้อยู่กับเพื่อนหรือ กับการดูแลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำท่ีได้รับ ครอบครวั การไปในสถานทที่ อ่ี ยากไป การไปทำ� บญุ ทว่ี ดั การดูแลแบบประคับประคองยังคงมีอยู่อย่างจ�ำกัด การเลือกท�ำกิจกรรมที่ตนเองชอบ ท�ำในส่ิงท่ีปรารถนา จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับ ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความผ่อนคลายไม่คิด การดูแลแบบประคับประคองส�ำหรับเด็กที่เผชิญกับ เร่ืองการเจ็บป่วยและความตายในอนาคต สอดคล้อง อาการปว่ ยคกุ คามตอ่ ชวี ติ 13 โดยแบง่ เปน็ 5 องคป์ ระกอบ กับการศึกษาท่ีพบว่าความต้องการด้านจิตวิญญาณของ คือ ดา้ นรา่ งกาย ด้านจิตสงั คม ดา้ นจติ วญิ าณ ด้านขอ้ มลู ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งเชื่อมโยงกับความเชื่อหรือศาสนา ข่าวสาร และด้านการสนับสนุนด้านต่างๆ เพื่อสามารถ ความหวังและการส้ินหวังและการวางแผนในอนาคต12 ให้การบริการดูแลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำ ดังนั้นผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำจึงพยายามปรับ ท่ีได้รับการดูแลแบบประคับประคองอย่างเป็นระบบ ตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เข้าใจบทบาทตัวเอง มีความ จึงรวบรวมข้อมูลและสรุปมาประกอบเป็นแนวทางดัง รู้สึกพึงพอใจในชีวิตปัจจุบัน รู้จักการดูแลสุขภาพ และ ตอ่ ไปน้ี มวี ธิ สี รา้ งความสขุ ใหก้ บั ตนเอง ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหต้ นใชช้ วี ติ ตาม 1) ด้านร่างกาย ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับ ปกติบนพื้นฐานความเป็นตัวเองกับบุคคลอันเป็นท่ีรัก เป็นซ้�ำมักต้องเผชิญกับอาการต่างๆ มากมาย ปัญหาที่ สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎพี ฒั นาการทางจติ สงั คมของอรี คิ สนั 5 ส�ำคัญและมักพบบ่อยคือ อาการปวด อ่อนเพลีย หอบ คอื มนุษยท์ กุ คนมีความต้องการพืน้ ฐานทจ่ี ะไดร้ บั ความ เหนื่อย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือน้�ำหนักลด ร้สู กึ บางอยา่ งจากบคุ คลรอบขา้ ง โดยตนเองต้องปรบั ตัว เป็นต้น14 การควบคุมอาการเหล่าน้ีจึงเป็นสิ่งท่ีส�ำคัญใน และไดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการทางความรสู้ กึ ตาม การดูแลแบบประคับประคอง ซ่ึงส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วย ขน้ั พฒั นาการ สง่ ผลใหเ้ กดิ การพฒั นาศกั ยภาพดา้ นจติ ใจ มักได้รับค�ำแนะน�ำในเรื่องการดูแลสุขภาพทั้งในด้าน และสงั คมท่ีสมบูรณข์ ึ้นตามลำ� ดับ โภชนาการและการปฏบิ ตั ติ วั เพอ่ื ปอ้ งกนั ภาวะแทรกซอ้ น ดังกล่าว แต่อาการท่ีพบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยกลุ่มน้ีคือ แนวทางการพยาบาลผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั อาการปวด และเป็นอาการส�ำคัญที่สร้างความทุกข์ เปน็ ซำ้� ที่ได้รับการดูแลแบบประคบั ประคอง ทรมานใหก้ บั ผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ ซำ้� อยา่ งองค์ รวม ซงึ่ การประเมนิ ความปวด ประกอบดว้ ย การประเมนิ แม้ว่าในปัจจุบันระบบบริการสุขภาพจะให้ ขั้นต้น การประเมนิ จากผู้ปว่ ยโดยตรง การตรวจร่างกาย ความส�ำคัญกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และการดูแลแบบ และการประเมินผลลัพธ์ ในส่วนการจัดการความปวด ประคับประคองมากขึ้น แต่ผลกระทบท่ีสะท้อนให้เห็น แบ่งได้เป็น การจัดการโดยการใช้ยา และการจัดการ ถึงปัญหาต่างๆ ท�ำให้บุคคลเหล่าน้ีต้องการการดูแลท่ี โดยไม่ใช้ยา เพื่อบรรเทาอาการปวดและอาการอื่นๆ เฉพาะเจาะจง พยาบาลเป็นบุคลากรทีมสุขภาพกลุ่ม โดยพยาบาลตอ้ งเลอื กวธิ กี ารจดั การความปวดทเี่ หมาะสม ใหญ่ มีความใกล้ชิดกับผู้ป่วยและครอบครัวมากที่สุด กับผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะโดย โดยมีบทบาทหน้าท่ีประเมินปัญหาภาวะสุขภาพท่ี ตอ้ งการการดแู ลและใหก้ ารชว่ ยเหลอื เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยวยั รนุ่
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีท่ี 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 7 ธรรมชาติผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำแต่ละคนมี ครอบครัว เพราะในระยะท่ีพบว่าการรักษาน้ันไม่ ความเป็นปัจเจกบุคคล ท�ำให้ประสบการณ์การเกิด หายขาดโรคมะเรง็ กลับมาเปน็ ซ้�ำ ผ้ปู ว่ ยวยั รุ่นโรคมะเรง็ อาการต่างๆ มีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกันไป กลบั เปน็ ซำ้� และครอบครวั จะมคี วามรสู้ กึ ซมึ เศรา้ ผดิ หวงั ขณะเดยี วกนั คำ� บอกเลา่ ของผปู้ ว่ ยโดยตรง (Self-report) จากการรักษา รู้สึกไม่แน่นอนกับการมีชีวิตอยู่ต่อไป จะเป็นการให้ข้อมูลที่ดีที่สุดเก่ียวกับอาการที่ปรากฏ พยาบาลควรประเมนิ ความเขา้ ใจและนดั ใหค้ ำ� ปรกึ ษาแก่ และสังเกตพฤติกรรมการแสดงออก การเปล่ียนแปลง บิดามารดา ผู้ดูแล หรือตัวผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับ ทางสรีรวิทยา พยาบาลอาจใช้เครื่องมือวัดความปวด เป็นซ้�ำเองเกยี่ วกบั เรือ่ งโรค การดำ� เนินโรค วิธกี ารรกั ษา จะช่วยให้ประเมินอาการปวดได้ครอบคลุมเป็นระบบ แบบประคับประคอง โดยอาศัยหลักการดูแลที่เน้น ระเบียบ ท�ำให้ทราบถึงความปวดที่แท้จริง สามารถ ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (Family center care)16 วางแผนการพยาบาลเพื่อลดความปวดของผู้ป่วยวัยรุ่น เพ่ือประเมินการรับรู้ เข้าใจในกระบวนการรักษา โรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำอย่างเหมาะสม เช่น การใช้ หรือ คาดหวังต่อการรักษาอย่างไร โดยเร่ิมจากการมี Numeric scale, Visual analog scale: VAS) การ สัมพันธภาพท่ีดี เข้าใจปฏิกิริยาต่อความเจ็บป่วยของ บรรเทาความปวดโดยพิจารณาตามความรุนแรงของ ผู้ป่วย ให้ความส�ำคัญกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความปวด หากมากกว่า 5 คะแนนข้ึนไป ต้องรายงาน รับฟังความทุกข์ใจ ประกอบกับใช้การสัมผัสเพ่ือปลอบ แพทย์เพ่ือบ�ำบัดความปวดโดยวิธีการใช้ยา และจัด ประโลมใจ ในบางรายการเข้าถึงความคดิ และความรสู้ กึ ขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็น ของผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำและครอบครัวนั้น ซ้�ำแต่ละราย โดยอาศัยตามแนวทางการระงับปวด ไมง่ า่ ยนกั เนอ่ื งจากความเปน็ ปจั เจกบคุ คลหรอื อาจจะยงั ส�ำหรับเด็กที่มีความปวดจากโรคต่างๆ ขององค์การ ไม่รู้จักตัวเอง พยาบาลอาจกระตุ้นการแสดงออกของ อนามัยโลก15 ส่วนอาการปวดที่เกิดข้ึนอย่างต่อเน่ือง ผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ ซ้�ำและครอบครวั ผา่ นทาง ต้องให้ยาม้ือต่อไปก่อนท่ียามื้อแรกจะหมดฤทธิ์ เพราะ กิจกรรมขณะเข้ามารักษาในโรงพยาบาล เช่น การเข้า การที่รอให้มีอาการปวดมากจึงให้ยาน้ันจะท�ำให้ไม่ ร่วมกจิ กรรมเสรมิ ต่างๆ การเข้ากลุ่ม Support group, สามารถบรรเทาอาการปวดลงได้ และควรให้การดูแล Self-help group การใช้ศิลปะบ�ำบัด การวาดภาพ รักษาอาการปวดอย่างเต็มที่ ไม่ลังเลท่ีจะให้ยาแก้ปวด ระบายสี การฟังเพลง การเลน่ ดนตรี การดูทวี ี การเล่น เนอื่ งจากการระงบั ปวดอยา่ งรวดเรว็ จะเพม่ิ คณุ ภาพชวี ติ เกมคอมพวิ เตอร์ การดธู รรมชาติ เป็นตน้ 16 เพ่ือเปน็ สือ่ ถ้าหากมีอาการปวดน้อย อาจเลือกใช้วิธีบรรเทาความ ให้ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำและครอบครัว ปวดโดยไม่ใช้ยา เช่น การดแู ลทางกาย จัดทา่ นอนและ แสดงออกแทนการพูดคุย หรือเป็นจุดเร่ิมต้นของการ นง่ั ใหเ้ หมาะสมตามสภาพความเจ็บปวด การนวดบำ� บัด สนทนาท่ีจะพูดถึงความรู้สึกและเร่ืองราวในใจของ การประคบรอ้ นหรอื ประคบเยน็ การเบยี่ งเบนความสนใจ พวกเขาเหล่านั้น น�ำมาซึ่งการได้ข้อมูลและเข้าใจ การสัมผัส การลดสิ่งกระตุ้น เป็นต้น รวมท้ังให้แรง สถานการณท์ พ่ี ยาบาลและทมี สขุ ภาพสามารถชว่ ยเหลอื สนับสนุนด้านก�ำลังใจ เน่ืองจากปัญหาด้านจิตใจ และตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็ง นั้น สามารถท�ำให้อาการทางกายนั้นก�ำเริบหรือรุนแรง กลับเปน็ ซ�้ำและครอบครัวได้ มากขนึ้ 16 3) ด้านจิตวิญญาณ ระยะการเจ็บป่วยท่ี 2) ด้านจิตสังคม การดูแลด้านจิตสังคมถือ ยาวนานยอ่ มสง่ ผลตอ่ ความตอ้ งการดา้ นจติ วญิ ญาณของ เปน็ การเยยี วยาดา้ นจติ ใจ ที่มคี วามจำ� เป็นและสำ� คัญใน ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำซึ่งมีความแตกต่างกัน การให้การดูแลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำและ ในแต่ละบุคคล จากการศึกษาเชิงคุณภาพทั้งในและ
8 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ตา่ งประเทศทม่ี คี วามแตกตา่ งในดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ของผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำเป็นผู้ส่ือสาร น้นั พบว่า ความต้องการด้านจิตวิญญาณมกั เก่ียวข้องกับ การให้ข้อมลู ทเี่ ปน็ จริง ชดั เจนและเขา้ ใจงา่ ย จะช่วยให้ สง่ิ ทใี่ หค้ วามหวงั และกำ� ลงั ใจ10,17 ทงั้ นก้ี ารใหก้ ารปรกึ ษา สามารถตัดสินใจเก่ียวกับการเจ็บป่วยของตนเอง การ ต้ังแต่เร่ิมต้นเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจกับอนาคตที่ไม่ บอกให้ทราบถึงเป้าหมายการรักษา เช่น หายขาด ไม่ แนน่ อน ผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ ซำ้� และครอบครวั แน่นอน หรือเพ่ือความสุขสบายและเพ่ิมคุณภาพชีวิต จะมีเวลาในการสร้างพลังใจต่อสู้ และหาทางออกกับ จะท�ำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มองเหตุการณ์การเจ็บป่วยของตน สถานการณ์ที่เกิดข้ึนได้ นอกจากน้ีอาจช่วยให้ระยะ เป็นไปในการบวก และรับรู้ว่าทีมสุขภาพได้เข้ามาดูแล เวลาท่ีเหลือมีความหมายกับผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับ ชว่ ยเหลอื จนสามารถบรรเทาเหตกุ ารณท์ ไี่ มพ่ งึ ปรารถนา เป็นซ้�ำและครอบครัวมากที่สุด พยายามค้นหาความฝัน ตลอดจนช่วยให้รับรู้ถึงข้อมูลภาวะเจ็บป่วยว่ามีสาเหตุ ทม่ี ีคณุ คา่ ตอ่ จิตวิญญาณ (Spiritual wish) ซง่ึ การคน้ หา จากตนเอง ไมส่ ามารถเปล่ียนแปลงได้และส่งผลกระทบ ความใฝ่ฝันนั้นไม่ง่ายนัก แต่หากเราลองถามค�ำถาม ต่อชีวิต แต่บางอย่างเกิดจากส่ิงแวดล้อมภายนอก ง่ายๆ ว่า อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ค�ำตอบที่ได้อาจเป็น สามารถเปลย่ี นแปลงได้ และเกดิ เฉพาะเรอื่ ง เชน่ มไี ขส้ งู ส่ิงของ หรือตอบว่าอยากให้หายจากโรค ขณะเดียวกัน จากการติดเช้ือ สามารถควบคุมอาการได้โดยการได้รับ ค�ำตอบเหล่าน้ีมักมีเบ้ืองลึกท่ีควรสนทนาต่อ จึงควรใช้ ยาปฏิชวี นะและยาลดไข้ ซึง่ อาการดงั กลา่ วไม่ได้สง่ ผลก คำ� ถามปลายเปดิ เชน่ “ถา้ หายแลว้ อยากทำ� อะไร” ผปู้ ว่ ย ระทบต่อชีวติ ในมิตอิ น่ื รวมถงึ การเปิดโอกาสใหเ้ ขา้ กลมุ่ อาจบอกกิจกรรมที่ชอบ เราจึงควรสนทนาเพื่อมองหา ได้พูดคุยกับผู้ป่วยท่ีมีภาวะเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน เนื่อง กิจกรรมท่ีพวกเขาสนใจ โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่เร่ิมมี จากท�ำให้สมาชิกในกลุ่มต่างให้การช่วยเหลือให้ก�ำลังใจ ความสามารถในการรบั รตู้ นเองดา้ นเอกลกั ษณ์ (Identity) สนับสนุนกันและกันจนเป็นเกิดแรงกระตุ้นให้ผู้ป่วย แสดงออกในสง่ิ ท่ตี นเองชอบเช่น ดาราในดวงใจ ซ่งึ การ วัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำเกิดการปรับเปลี่ยนแนวคิด ค้นหาเรื่องราวท่ีเป็นชีวิตจิตใจเป็นประเด็นท่ีน่าสนใจ และการรบั รู้ สง่ ผลใหม้ กี ารเปลย่ี นแปลงทางดา้ นพฤตกิ รรม ส�ำหรับพยาบาลและครอบครัว เพราะเมื่อค้นพบว่า ส่ิงเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนด้านอารมณ์ อะไรเป็นส่ิงท่ีชอบเป็นพิเศษ พยาบาลและทีมสุขภาพก็ และชว่ ยใหไ้ ดผ้ ลในการดแู ลมากขนึ้ ในผูป้ ว่ ยกลมุ่ นี้ จะชักชวนครอบครัวให้โอกาสแก่ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็ง 5) ดา้ นการสนบั สนนุ ดา้ นตา่ งๆ ผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ กลับเปน็ ซ้ำ� โดยใหพ้ วกเขาทำ� ในสง่ิ ทีอ่ ยากท�ำ การสาน โรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำยังมีความต้องการด้านต่างๆ เมื่อ ต่อสิ่งท่ีตนเองปรารถนา การเพ่ิมเวลาท�ำส่ิงที่ตนเองรัก โรคกลบั มาเปน็ ซำ้� ตอ้ งเรมิ่ ตน้ รกั ษาใหม่ ทำ� ใหม้ คี า่ ใชจ้ า่ ย ได้ใชเ้ วลาท่เี หลืออยอู่ ยา่ งเต็มที่ นอกจากนค้ี วรเอือ้ ให้ได้ เพิ่มข้ึน พยาบาลสามารถช่วยประคบั ประคองจิตใจของ ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาตามความเชื่อ เพื่อให้ตอบ ครอบครัว ให้มีก�ำลังใจในการมาติดตามการรักษาอย่าง สนองความต้องการและบรรเทาความทุกข์ทรมานทาง ต่อเนื่อง โดยมีแหล่งสนับสนุนท่ีอาจแบ่งเบาภาระบาง จิตวิญญาณ (Spiritual suffering) เป็นการเพิ่ม สว่ นของครอบครวั ไดเ้ ปน็ ครง้ั คราว เชน่ กองทนุ หรอื การ คณุ ภาพชีวิต ประสานและขอความอนุเคราะหอ์ งค์กรภายนอก 4) ด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารเป็นองค์ ประเดน็ ทสี่ ำ� คญั ทต่ี อ้ งคำ� นงึ คอื ความตอ้ งการ ประกอบหลักท่ีส�ำคัญส�ำหรับพยาบาล ในการดูแลแบบ ของตัวผู้ป่วยเอง โดยเฉพาะการให้การรักษาใน ประคับประคองและส่งเสริมการดูแลแบบองค์รวม16 โรงพยาบาล หรือทบ่ี า้ น โดยทวั่ ไปผ้ปู ว่ ยวยั รุ่นโรคมะเรง็ การสอื่ สารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพตอ้ งอาศยั ทกั ษะในการเงยี บ กลบั เปน็ ซำ้� จะไดร้ บั การรกั ษาในโรงพยาบาลมาแลว้ เปน็ การฟงั และเลอื กบุคคลทด่ี แู ลใกลช้ ดิ หรอื เปน็ ท่ีไวว้ างใจ ระยะเวลาหนง่ึ ในชว่ งทกี่ ารรกั ษานน้ั มจี ดุ มงุ่ หมายเพอื่ ให้
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปีท่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 9 หายขาดก่อนทีจ่ ะมกี ารกลบั เปน็ ซ้ำ� ของโรคมะเรง็ แต่ถ้า สรุป เลือกได้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะเลือกท่ีจะกลับไปรักษาตัว ตอ่ และใชช้ วี ติ ทบ่ี ้าน เน่ืองจากบา้ นเป็นสถานทที่ ่คี ้นุ เคย การเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคมะเรง็ เปน็ ปญั หาทสี่ ง่ ผลก ได้อยู่กับคนท่ีใกล้ชิดและผูกพัน รวมท้ังยังได้พักผ่อน ระทบต่อทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ และ เต็มที่ พยาบาล ทีมสุขภาพ และครอบครวั ควรพจิ ารณา สังคม เมื่อโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำย่อมท�ำให้ผู้ป่วยและ ใหก้ ารดแู ลรกั ษาตา่ งๆ ทบี่ า้ นมากทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเปน็ ไปได้ ครอบครวั ยง่ิ ตอ้ งการการไดร้ บั ตอบสนองอยา่ งเหมาะสม และเมอ่ื มอี าการใดทจ่ี �ำเปน็ ตอ้ งอยโู่ รงพยาบาล กใ็ หก้ าร และจากผลกระทบตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ นนั้ ลว้ นสะทอ้ นใหเ้ หน็ ดูแลรกั ษาเพื่อมุ่งใหไ้ ดก้ ลบั บา้ นได้เร็วท่สี ดุ ในบางรายที่ ว่าผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ�้ำมีความต้องการที่ อาการทรดุ หนกั ลงจำ� เปน็ ตอ้ งมอี ปุ กรณท์ างการแพทยไ์ ว้ แตกต่างจากวัยรุ่นทั่วไป พยาบาลและทีมสุขภาพน้ันมี ใช้ประจ�ำตัว เช่น เครื่องให้ออกซิเจน เครื่องดูดเสมหะ บทบาทสำ� คญั ทจี่ ะชว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ เตียงนอนแบบที่ใช้ในโรงพยาบาล รถนั่ง เป็นต้น การ ซ�้ำผ่านพ้นความทุกข์ทรมานใจในการเผชิญกับโรคร้าย เยี่ยมบ้านจะช่วยประเมินปัญหาและความต้องการของ แรงและคุกคามชีวิตไปได้ ส�ำหรับบทบาทของพยาบาล ผู้ป่วยและครอบครัวขณะอยู่ที่บ้าน มองเห็นบริบทโดย สามารถชว่ ยประคบั ประคองผปู้ ว่ ยมคี วามหวงั และกำ� ลงั ใจ ภาพรวมของครอบครวั และน�ำมาวางแผนดแู ลตอ่ เนือ่ ง ในการใช้ชีวิตส่วนท่ีเหลืออยู่ให้มีความทุกข์ทรมานน้อย ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม นอกจากนคี้ วรเปดิ โอกาสใหค้ รอบครวั ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เน้นให้ผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็ง สามารถขอค�ำปรึกษาทางโทรศัพท์ได้อย่างสะดวก เช่น กลับเป็นซ้�ำอยู่กับครอบครัวได้อย่างปกติ สิ่งส�ำคัญคือ การใหย้ าแกป้ วดขณะอยทู่ บี่ า้ น หรอื การบำ� บดั อาการไม่ ความเข้าใจในสถานการณ์ การให้ความส�ำคัญกับการ สขุ สบายอน่ื ๆ สง่ิ ทค่ี รอบครวั กงั วล หรอื การใหค้ ำ� ปรกึ ษา ใชช้ วี ติ ของผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ ซำ�้ และครอบครวั เพ่ือเป็นการประเมินภาวะเหน่ือยล้าที่อาจเกิดขึ้นกับ จึงสามารถเติมเต็มชีวิต โดยการสร้างทางเลือกในการ ผดู้ แู ลเนอื่ งจากความรบั ผดิ ชอบหลกั จะตกเปน็ ของผดู้ แู ล ดูแล เคารพการตัดสินใจ สนใจและยอมรับความรู้สึก ต่างกับการรักษาท่ีโรงพยาบาล ดังน้ันคุณภาพของการ ให้ข้อมูลเม่ือเขามีค�ำถามหรือขอความช่วยเหลือ เพื่อ ดูแลที่ผู้ป่วยจะได้รับจะขึ้นอยู่กับผู้ดูแลเป็นส�ำคัญ ใหก้ ารดูแลทเี่ หมาะสม และสอดคล้องกับความตอ้ งการ นอกจากนี้การสนับสนุนทางสงั คมอ่นื ๆ หรือการดแู ลส่งิ ของผปู้ ว่ ยวยั รนุ่ โรคมะเรง็ กลบั เปน็ ซำ�้ ในทกุ ดา้ นอยา่ งเปน็ แวดลอ้ มทเี่ กย่ี วขอ้ ง เช่น การติดตอ่ ประสานกบั โรงเรียน องคร์ วม อย่างไรก็ตามการศกึ ษาเพ่ิมเติมในเชิงคุณภาพ หรือผู้น�ำชุมชน ต่างก็เป็นส่ิงที่สามารถช่วยให้การดูแล เกี่ยวกับผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับเป็นซ้�ำจะช่วยให้ทีม แบบประคับประคองส�ำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความส�ำเร็จ สุขภาพได้เรียนรู้และเข้าใจแง่มุมหลายด้านหลายมิติท่ี มากขึ้น ผ้ปู ่วยกลมุ่ น้ถี ่ายทอดออกมา น�ำมาซ่งึ ข้อมูลพนื้ ฐานเพอื่ พัฒนาองค์ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคมะเร็งกลับ เป็นซ�้ำท่ีได้รับการดูแลแบบประคับประคองต่อไปใน อนาคต
10 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 References 9. Wilson K, Mazhar W, Rojas CT, De RV, Van CL. A glimpse into the lives of 3 children: 1. National Cancer Intitute. Hospital-Based Their cancer journey. Journal of Pediatric Cancer Registry [Internet]. 2015 [cited Oncology Nursing 2011; 28(2): 100-06. 2019 Sep 5]. Available from: http:// www.nci.go.th. 10. Wannaphak T, Treenai S. “Continuing life” Of Adolescents With Cancer Relapse 2. Information and Technology Division Receiving Palliative Care. Journal of National Cancer Institute. Hospital– Nursing Science Chulalongkorn based Cancer Registry [Internet]. 2018 University 2019; 31(1): 37-48. (In Thai) [cited 2019 July 5]. Available from: http://tcb.nci.go.th/CWEB/cwebBase. 11. Foster TL, Bell C, Harris J, Gilmer M. Palliative do?mode=. nursing care for children and adolescents with cancer. Nursing: Research and 3. Nuchprayoon I. Pediatric Palliative care. In: Reviews 2012; 11(1): 17-25. Lerdsngunchai P, Nuchprayoon I, Chadkaew P, Sitthipon C, editors. The 12. Flavelle SC. Experience of an adolescent end of life care. Bangkok: Uksornsompan; living with and dying of cancer. Arch 2010. p. 351-67. Pediatr Adolesc Med 2011; 165(1): 28-32. 4. Baker KS, Toogood AA, Hawkins M, Nathan 13. Himelstein BP, Hilden JM, Boldt AM, PC. Adolescent and young adult cancer Weissman D. Pediatric palliative care. survivors: late effectsof treatment. In: The New England Journal of Medicine A Bleyer, R Barr, L Ries, J Whelan, J 2004; 350(17): 1752-62. Ferrari, eds. Cancer in Adolescents and Young Adults. 2nd ed. Cham: Springer; 14. Wolfe J, Hammel JF, Edwards KE, Duncan J, 2017. p. 687‐ 710. Comeau M, Breyer J, et al. Easing of suffering in children with cancer at the 5. Kyle T, Carman S. Essentials of Pediatric end of life: is care changing?. Journal Nursing . 2nd ed. Philadelphia: Lippincott of Clinical Oncology 2008; 26(10): 1717-23. Williams & Wilkins; 2013. 15. World Health Organization guidelines on the 6. Treenai S, Chaiyawat W. Illness experience pharmacological treatment of persisting of adolescent pateints with leukemia. pain in children with medical illness. Thai Journal of Nursing Council 2012; Geneva Switzerland: WHO; 2012. 21(3), 7-13. (In Thai) 16. Sousa, ADRS, Silva LFD, Paiva ED. Nursing 7. Cataudella DA, Zelcer S. Psychological interventions in palliative care in experiences of children with brain Pediatric Oncology: an integrative tumors at end-of-life: parental review. Revista brasileira de enfermagem perspectives. Journal of Palliative 2019; 72(2): 531-40. Medicine 2012; 15(11): 1191-7. 17. Cataudella DA, Zelcer S. Psychological 8. Stegenga K, Ward SP. On receiving the experiences of children with brain diagnosis of cancer: the adolescent tumors at end-of-life: parental perspective. Journal of Pediatric perspectives. Journal of Palliative Oncology Nursing 2009; 26(2): 75-80. Medicine 2012; 15(11): 1191-7.
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ปที ี่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 11 บทความวชิ าการ การป้องกันการเจ็บปว่ ยทางจติ ในผู้ป่วยโรคเร้อื รงั : บทบาทพยาบาลจิตเวชในชมุ ชน อังศณา คลา้ ยสุข* สถาบนั การพยาบาลศรีสวรนิ ทิรา สภากาชาดไทย ถนนพระราม 4 แขวงปทุมวัน เขตปทมุ วนั กรุงเทพฯ 10330 บทคดั ย่อ การศกึ ษาวจิ ยั จำ� นวนมากพบวา่ การปว่ ยดว้ ยโรคเรอ้ื รงั ทางกายสง่ ผลใหเ้ กดิ การเจบ็ ปว่ ยทางจติ ใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง เมื่อผู้ป่วยเหล่านี้มีการเจ็บป่วยทางจิตใจ ก็ขาดแรงจูงใจและขาดศักยภาพในการดูแลตนเอง ท�ำให้โรค เรื้อรังที่เป็นอยู่มีความรุนแรงมากขึ้น การดูแลรักษาก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นการป้องกันไม่ให้ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจจึงเป็นส่ิงส�ำคัญและเป็นความท้าทายส�ำหรับพยาบาลชุมชน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อน�ำเสนอบทบาทพยาบาลจิตเวชชุมชนในการป้องกันการเจ็บป่วยทางจิตใน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ประกอบด้วย การป้องกันในระยะท่ียังไม่มีการเกิดการเจ็บป่วยทางจิต การป้องกันใน ระยะที่เกิดการเจ็บป่วยทางจิตแล้วแต่ยังไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน การป้องกันในระยะที่มีการเจ็บป่วย ทางจิตเกดิ ขึน้ แล้ว ค�ำส�ำคัญ: การปอ้ งกนั การเจ็บป่วยทางจิตในผู้ปว่ ยโรคเรอื้ รงั / บทบาทพยาบาลจติ เวชในชุมชน วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั 2562, 31(3) : 11-32 * ผ้รู บั ผดิ ชอบหลัก อาจารย์ สถาบันการพยาบาลศรสี วรนิ ทริ า สภากาชาดไทย E-mail: [email protected]
12 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 Prevention of Mental Illness in Chronic Disease Patients: Role of Psychiatric Nurses in Community Aungsana Khlaisuk* Abstract Several studies have shown that chronic disease lead to mental illness especially in patients with cardiovascular disease, stroke, diabetes and cancer. People with chronic disease suffering from mental illness may effect on motivation in self – care and lead to more severity of chronic disease that likely to difficult and complex to treatment. Therefore, the mental illness prevention are important and challenging to psychiatric nurse in community. The purpose of this article is present the role of community psychiatric nurse in preventing mental illness that consist of primary prevention, secondary prevention and tertiary prevention. Keywords: Preventing mental illness/ Role of psychiatric nurse in community Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 11-32 Article info: Received June 13, 2019; Revised July 9, 2019; Accepted August 8, 2019 * Corresponding author, Lecturer, Srisavarindhira Thai Red Cross Institute of Nursing. E-mail: [email protected]
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปที ่ี 31 ฉบบั ที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 13 บทนำ� ไดใ้ นผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ไดแ้ ก่ ภาวะซมึ เศรา้ (Depression) โรควิตกกังวลแบบทั่วไป (Generalized anxiety การเจบ็ ปว่ ยทางจิตในผู้ป่วยโรคเรื้อรังทางกาย disorder) โรควติ กกงั วลแบบทว่ มท้น (Panic anxiety เป็นประเด็นปัญหาส�ำคญั ที่ควรตระหนกั ถึง มกี ารศึกษา disorder) การทบทวนวรรณอย่างเป็นระบบพบว่า อัตราความชุก การเจ็บป่วยทางจิตในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จะส่ง ของการเจบ็ ปว่ ยทางจติ ในผปู้ ว่ ยกลมุ่ โรคหวั ใจ โรคหลอด ผลทางลบต่อผู้ป่วยและการรักษา ผู้ป่วยขาดแรงจูงใจ เลอื ดสมอง โรคเบาหวาน โรคขอ้ อกั เสบรูมาตอยด์ และ ในการดูแลตนเอง ไม่มาพบแพทย์ตามนัด ขาดการ โรคกระดูกพรุนสูงกว่าในกล่มุ ประชากรทวั่ ไป โดยพบวา่ รับประทานยา ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาและ ในผปู้ ว่ ยกลมุ่ โรคหวั ใจขาดเลอื ดและโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ คณุ ภาพชวี ติ ของผู้ป่วย เพ่ิมอัตราการตายและคา่ ใช้จา่ ย มีอัตราความชุกของภาวะซึมเศร้าร้อยละ 15–50 และ ในการดูแลรักษาโรคเรื้อรัง6 ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิด ภาวะวิตกกังวลอยา่ งทว่ มท้น (Panic disorder) รอ้ ยละ การเจ็บป่วยทางจิตในผู้ป่วยโรคเร้ือรังจึงเป็นสิ่งส�ำคัญ 10–50 ในผปู้ ว่ ยโรคหลอดเลอื ดสมอง พบมภี าวะซมึ เศรา้ ในการดแู ลผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ในชมุ ชนเปน็ บทบาทหลกั ของ มากกว่าร้อยละ 40 ในผู้ป่วยมะเร็งพบมีอัตราความชุก พยาบาลชุมชนและถึงแม้ว่าพยาบาลชุมชนจะมีบทบาท ของภาวะซึมเศร้ารอ้ ยละ 50 และเพิม่ ขึน้ ในผู้ปว่ ยมะเรง็ ในการดแู ลผปู้ ว่ ยอยา่ งเปน็ องคร์ วมทง้ั ดา้ นกาย จติ สงั คม ทม่ี กี ารทำ� นายโรคไมด่ ี เชน่ โรคมะเรง็ ตบั ออ่ น มะเรง็ ชอ่ ง และจิตวิญญาณ แต่ก็อาจมีข้อจ�ำกัดในการดูแลปัญหา ปาก มะเร็งเตา้ นม และมะเรง็ ลำ� ไส้ โดยพบอัตราความ การเจ็บป่วยทางจิต ดังการศึกษามุมมองของพยาบาล ชุกของโรควิตกกังวลท่ัวไป (Generalized anxiety ชุมชนในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในผู้ป่วยท่ีมีโรค disorder) ในผู้ปว่ ยมะเรง็ พบสงู ถึงรอ้ ยละ 69 เพม่ิ ข้ึนใน ร่วมหลายโรคในชุมชนที่พบว่า พยาบาลชุมชนเห็นว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มีการด�ำเนินโรคไม่ดี ส�ำหรับโรคกระดูก การประเมินปัญหาสุขภาพจิตในผู้ป่วยเป็นงานที่ส�ำคัญ และขอ้ ทีม่ อี าการปวดเรอ้ื รงั ดังเชน่ ผ้ปู ่วยโรคขอ้ อกั เสบ แต่เนื่องจากมีข้อจ�ำกัดของเวลาท�ำให้ต้องมุ่งเน้นท่ีการ รูมาตอยด์และกระดูกพรุน พบมีอัตราความชุกของ ดูแลปัญหาสุขภาพทางร่างกาย อีกทั้งในการประเมิน โรคซึมเศร้าค่อนข้างกว้างต้ังแต่ร้อยละ 13–801 ใน ปัญหาสุขภาพจิตพยาบาลชุมชนยังขาดความรู้เก่ียวกับ ประเทศไทยไดม้ กี ารศกึ ษาความชกุ ของการเจบ็ ปว่ ยทาง เทคนิคการสัมภาษณ์และการประเมินปัญหาสุขภาพจิต จิตในผู้ป่วยโรคเร้ือรังพบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีความชุก ท�ำให้พยาบาลชุมชนยังไม่สามารถท�ำบทบาทหน้าที่ใน ของภาวะซึมเศร้าร้อยละ 43.30 โรคเบาหวานร้อยละ การประเมนิ ปญั หาสขุ ภาพจติ และการดแู ลปญั หาสขุ ภาพ 39.602 โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดร้อยละ 14.53 จิตเบ้ืองต้นของผู้ป่วยโรคเร้ือรังในชุมชนได้7 จากข้อมูล ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายร้อยละ 17.64 และในผู้ป่วย แสดงใหเ้ หน็ วา่ การปอ้ งกนั ปญั หาสขุ ภาพจติ ทม่ี คี วามซบั โรคหลอดเลอื ดสมองรอ้ ยละ 10.85 แตย่ งั ไมพ่ บการศกึ ษา ซ้อนในผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องอาศัยความร่วมมือจาก การเจ็บป่วยทางจิตในผู้ป่วยกลุ่มโรคข้ออักเสบและ บคุ ลากรทางการแพทยท์ ม่ี คี วามรแู้ ละความเชยี่ วชาญใน โรคกระดูกพรุน อีกทั้งยังไม่พบการศึกษาการเจ็บป่วย การดแู ลปญั หาสขุ ภาพจติ ดงั นนั้ พยาบาลจติ เวชในชมุ ชน ทางจติ อนื่ ๆ ทน่ี อกเหนอื จากภาวะซมึ เศรา้ ทงั้ นอี้ าจเนอื่ ง จึงควรเข้ามามีบทบาทส�ำคัญในการป้องกันปัญหา มาจากยังไม่มีเคร่ืองมือในการประเมินการเจ็บป่วยทาง สุขภาพจิตผู้ป่วยโรคเร้ือรัง เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความ จิตอื่นๆ เช่น ความวิตกกังวล หรือผู้ป่วยไม่ได้รับการ สามารถในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเฉพาะ วนิ จิ ฉยั การเจบ็ ปว่ ยทางจติ จากแพทย์ จากขอ้ มลู ดงั กลา่ ว โรคท่ีมีปัญหาสุขภาพจิตหรือจิตเวชท่ีซับซ้อน โดยการ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผ้ปู ่วยโรคเรอ้ื รังทางกายมคี วามเสย่ี งสงู ที่ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรใู้ นการประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ การตรวจ จะเกิดการเจ็บป่วยทางจิตและการเจ็บป่วยทางจิตท่ีพบ
14 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 สภาพจติ การบ�ำบัดทางจิตในรูปแบบต่างๆ มีสมรรถนะ และการหลั่งสารสื่อประสาทเซโรโทนิน (Serotonin) ในการเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจ การสอนและการฝกึ พฒั นา นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) และโดปามีน ศักยภาพผู้ป่วยโรคเรื้อรังในการเผชิญความเครียด (Dopamine)5ปัจจัยด้านจิตสังคม ได้แก่ ความคิด ป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในผู้ป่วยโรคเร้ือรัง อัตโนมัติด้านลบ การเห็นคุณค่าในตนเอง ปัจจัยทาง บทความนจี้ งึ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื นำ� เสนอบทบาทพยาบาล สังคม ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังท่ีอยู่คนเดียว ขาดการ จิตเวชในชุมชนในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการ สนับสนุนจากครอบครัวและสังคม สัมพันธภาพใน เจ็บป่วยทางจิตโดยใช้หลักการป้องกันสามระดับตาม ครอบครัวไมด่ ี11 แนวคิดการพยาบาลจิตเวชชุมชน8,9 1.2 สมรรถนะด้านการเสริมสร้างพลัง อำ� นาจ (Empowering) การสอน (Educating) การฝึก บทบาทพยาบาลจิตเวชในชุมชน: การป้องกัน (Coaching) โดยพยาบาลจิตเวชในชมุ ชนมบี ทบาทดังน้ี การเจ็บปว่ ยทางจติ ในผู้ป่วยโรคเรอ้ื รัง 1.2.1 การสอนวิธีการจัดการกับ ความเครียดในรปู แบบตา่ ง ๆ ผู้ปว่ ยโรคเรอ้ื รังตอ้ งเผชิญ พยาบาลจิตเวชในชุมชนมีบทบาทในการใหก้ าร กับภาวะวิกฤตต่างๆ ทั้งการรักษา การปรับเปลี่ยน พยาบาลแก่ผู้รับบริการที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช พฤติกรรม การด�ำเนินชีวิตและการจัดการกับอาการผิด ท่ีซับซ้อนในชุมชน โดยใช้ความรู้และทักษะทางจิตเวช ปกติทางร่างกาย ซ่ึงอาจก่อให้เกิดความเครียดขึ้นได้ ศาสตร์และทฤษฏีการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเป็น พยาบาลจิตเวชในชุมชน จึงควรสอนเทคนิคการจัดการ รายกรณี จัดระบบการดูแลผู้ป่วยเฉพาะกลุ่มโรคใน กบั ความเครียดที่เหมาะสมกบั ผู้ป่วย เทคนคิ การจัดการ บทความนม้ี งุ่ เนน้ บทบาทในการปอ้ งกนั ปญั หาสขุ ภาพจติ กับความเครียดท่ีสามารถน�ำมาใช้ได้ ได้แก่ เทคนิคการ ในผู้ป่วยกลุ่มโรคเร้ือรังที่มีความเส่ียงในการเจ็บป่วย ผ่อนคลาย (Relaxation Technique) เชน่ การฝกึ ผ่อน ทางจิต โดยประยุกต์ใช้หลักการป้องกันโรคสามระดับ คลายความเครยี ดกลา้ มเนอื้ แบบกา้ วหนา้ (Progressive ตามแนวคิดการพยาบาลจิตเวชชุมชน8 และสมรรถนะ muscular relaxation training) ซ่ึงจะช่วยลดอาการ พยาบาลจิตเวชท่กี �ำหนดโดยสภาการพยาบาล10 นอนไมห่ ลบั ลดความฝนั ลดกระบวนการคดิ และอารมณ์ 1. การปอ้ งกนั การเจบ็ ปว่ ยทางจติ ระดบั แรก ได8้ รปู แบบการสอนอาจทำ� เปน็ รายกลมุ่ แบบเพอ่ื นชว่ ย หรอื การปอ้ งกนั ระดบั ปฐมภมู ิ (Primary Prevention) เพื่อน (Self – help group) แลกเปลย่ี นประสบการณ์ เป็นการป้องกันในกลุ่มเส่ียงต่อการเจ็บป่วยทางจิตและ ในการจดั การกบั ความเครยี ดจะชว่ ยสรา้ งความเชอ่ื มนั่ ให้ ยงั ไมม่ กี ารเจบ็ ปว่ ยทางจติ เกดิ ขนึ้ โดยพยาบาลจติ เวชใน กับผู้ป่วยและสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองให้กับ ชมุ ชน ควรใชส้ มรรถนะในด้านต่างๆ ดังน้ี ผปู้ ่วยรายอ่ืนๆ อีกดว้ ย 1.1 สมรรถนะในการดูแลกลุ่มเป้าหมาย 1.2.2 เสริมสร้างพลังอ�ำนาจในการ หรอื กลมุ่ เฉพาะโรคทมี่ ปี ญั หาสขุ ภาพจติ หรอื จติ เวชทซี่ บั ซอ้ น เผชิญกับความเครียด ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีความคิดด้าน (Direct care) โดยพยาบาลจติ เวชในชุมชนมบี ทบาทใน ลบมีโอกาสเส่ียงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตเน่ืองจาก การประเมนิ และคน้ หาปจั จยั เสยี่ งตอ่ การเจบ็ ปว่ ยทางจติ ความคิดลบจะท�ำให้มองสิ่งต่างๆ บิดเบือนไปจากความ พยาบาลจติ เวชในชมุ ชนใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะในการสรา้ ง จริง ท�ำให้รู้สึกมีคุณค่าในตนเองลดลง ดังนั้นการเสริม สัมพันธภาพและการประเมินภาวะสุขภาพเพื่อค้นหา สร้างพลังอ�ำนาจให้การเผชิญกับความเครียดโดยใช้ ปัจจัยเสี่ยงท่ีท�ำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเกิดการเจ็บป่วยทาง เทคนิคการคิดเชิงบวก ควรน�ำมาประยุกต์ใช้ในการ จิต ซ่ึงไดแ้ ก่ ปจั จยั ทางชวี ภาพ โรคเร้อื รงั ที่มีผลตอ่ การ ป้องกันการเจ็บป่วยทางจิตของผู้ป่วยโรคเร้ือรัง การคิด ไหลเวยี นโลหติ ไปเลย้ี งสมอง สง่ ผลตอ่ การทำ� หนา้ ทสี่ มอง
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปที ่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 15 เชงิ บวกน้ีเปน็ การฝึกมองและรับรสู้ ่ิงต่างๆ ไปในทางทดี่ ี ปลายปิดที่สามารถใช้ในการคัดกรองปัญหาสุขภาพจิต มองสภาพตามความเปน็ จรงิ เปน็ เหตเุ ปน็ ผล ดว้ ยอารมณ์ ของผู้ป่วยโรคเร้ือรังอีก เช่น แบบประเมินความเครียด ทผี่ อ่ งใส ทำ� ใหม้ พี ฤตกิ รรมการแสดงออกทเี่ หมาะสมและ (ST- 5) ขอ้ ดขี องการใช้แบบสอบถามปลายปดิ คดั กรอง ตัดสนิ แก้ปัญหาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ12 ปัญหาสุขภาพจิตคือสามารถคัดกรองได้อย่างรวดเร็วใน 1.3 สมรรถนะในการพฒั นา จัดการและ กลุ่มประชากรจ�ำนวนมาก ซึ่งท�ำให้พยาบาลสามารถ ก�ำกับระบบการดแู ลกล่มุ เป้าหมาย โดยพยาบาลจิตเวช ท�ำงานไดง้ า่ ย สะดวกและรวดเรว็ 14 ในชุมชนมีบทบาทในการจัดระบบการดูแลผู้ป่วยโรค 2.2 ให้การบ�ำบัดทางจิตในรูปแบบต่างๆ เรอื้ รงั ทมี่ ปี จั จยั เสยี่ งตอ่ การเจบ็ ปว่ ยทางจติ เมอื่ พยาบาล ท้งั รายบุคล รายกลุม่ ควรดำ� เนนิ การอยา่ งมีส่วนร่วมกับ ประเมนิ และคน้ หาปจั จยั เสยี่ งแลว้ พบวา่ ผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ทีมสหสาขาวิชาชีพโดยพยาบาลใช้สมรรถนะในการ มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยทางจิต ควรด�ำเนินการวาง ประสานงาน (Collaboration) และประยกุ ตใ์ ชก้ ลวธิ กี าร แนวทางจัดระบบในการดูแลท่ีมีคุณภาพ การจัดระบบ บ�ำบัดทางจติ หลายๆ อย่างร่วมกัน ดงั การศกึ ษาผลของ การดูแลอาจท�ำในรูปแบบการเย่ียมบ้าน เน่ืองจากจะ โปรแกรมการปอ้ งกนั ภาวะซมึ เศรา้ ในผปู้ ว่ ยเบาหวานซงึ่ ทำ� ใหส้ ามารถประเมนิ ผปู้ ว่ ยและใหก้ ารดแู ลไดเ้ หมาะสม เป็นหนงึ่ ในโรคเรื้อรัง พบวา่ การดำ� เนนิ งานโดยสหสาขา กับสภาพแวดล้อมของผู้ป่วยหรือแม้แต่การเยี่ยมบ้านท่ี วิชาชีพผ่านกิจกรรมการส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วน ศาลากลางบ้านหรือบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน ร่วมเปน็ รายกลมุ่ (Participatory group learning) การ กช็ ว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ไดเ้ ขา้ สสู่ งั คมมากขน้ึ ทงั้ ยงั ไดร้ บั ให้ค�ำปรึกษาแบบกลุ่ม (Group counselling) การฝึก ก�ำลังใจจากเพ่ือนสมาชิกในชุมชนอีกดว้ ย13 ทักษะการผอ่ นคลาย (Relaxation skill training) และ 2. การป้องกันการเจ็บป่วยทางจิตระดับท่ี การก�ำกับติดตาม (Monitoring) โดยแพทย์ พยาบาล สองหรือการป้องกันระดับทุติยภูมิ (Secondary ผจู้ ดั การรายกรณแี ละนกั กายภาพบ�ำบดั รว่ มกนั วางแผน prevention) เปน็ การปอ้ งกนั ในระยะทผ่ี ปู้ ว่ ยโรคเรอื้ รงั และด�ำเนินกจิ กรรม ทำ� ใหผ้ ปู้ ่วยมพี ฤติกรรมดูแลตนเอง มกี ารเจบ็ ปว่ ยทางจติ ในระยะเรมิ่ แรกโดยการคน้ หาผปู้ ว่ ย ด้านสุขภาพจิตดีขึ้นและภาวะเครียดจากการเจ็บป่วย ต้งั แต่ระยะเร่มิ แรก (Early detection) เพอ่ื ส่งตอ่ ผ้ปู ว่ ย ด้วยโรคเรอื้ รังลดลง15 ให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ การป้องกัน ระยะนี้จะช่วยลดอัตราความชุกของการเจ็บป่วยทางจิต 3. การป้องกันการเจ็บผ่วยทางจิตระดับที่ ได้8,9 พยาบาลจิตเวชในชุมชนควรใช้สมรรถนะใน สามหรือการป้องกันระดับตติยภูมิ (Tertiary สมรรถนะในการดูแลกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเฉพาะโรค prevention) เป็นการดูแลให้ผู้ป่วยหายจากโรคและ ท่มี ปี ัญหาสขุ ภาพจติ หรือจติ เวชทซ่ี บั ซอ้ น (Direct care) รักษาอย่างต่อเนื่องไม่กลับเป็นโรคซ�้ำ ลดผลกระทบ โดยพยาบาลจติ เวชในชุมชนมีบทบาทดงั น้ี และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือความพิการ 2.1 คัดกรองและค้นหาการเจ็บป่วยทาง เมอื่ ผปู้ ว่ ยไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ มปี ญั หาสขุ ภาพจติ หรอื เจบ็ จิตในผู้ป่วยโรคเร้ือรังด้วยแบบคัดกรอง เช่น แบบคัด ป่วยทางจิตแล้ว ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม กรองโรคซึมเศร้า 2 ค�ำถาม และ 9 ค�ำถาม ซ่ึงแบบ เพื่อให้ผู้ปว่ ยสามารถด�ำเนนิ ชีวติ อยู่ในชมุ ชนไดต้ ามปกติ ประเมินโรคซึมเศร้าน้ีได้มีการทดสอบแล้วว่ามีค่าความ ไม่ให้มีอาการก�ำเริบหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการ ไวและความจ�ำเพาะสูง มีความเที่ยงตรงตามเกณฑ์การ เจ็บป่วย พยาบาลจิตเวชในชุมชนควรใช้สมรรถนะใน วินิจฉัยโรคซึมเศร้าซ่ึงเหมาะกับการน�ำไปใช้ในการเฝ้า ดา้ นต่างๆ ดงั นี้ ระวงั โรคซมึ เศรา้ ในชมุ ชนได้ นอกจากนย้ี งั มแี บบสอบถาม 3.1 สมรรถนะในการดูแลกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มเฉพาะโรคที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือจิตเวชที่
16 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ซับซ้อน (Direct care) โดยพยาบาลจิตเวชในชุมชนมี เพ่ือการรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ปัญหาของตนเอง บทบาทดงั น้ี สง่ เสรมิ ความเขม้ แขง็ ของและความรสู้ กึ มคี ณุ คา่ ในตนเอง ค้นพบแนวทางการแก้ปัญหาเหมาะสม การท�ำกลุ่ม 3.1.1 การสอนและให้ค�ำแนะน�ำใน บ�ำบัดแบบประคับประคองประกอบด้วย 3 ระยะ คือ การรบั ประทานยาและการจดั การกบั ผลขา้ งเคยี งของยา ระยะ 1 สร้างสัมพันธภาพให้เกิดความไว้วางใจและ ทางจิตเวช ยาที่ใช้รักษาอาการทางจิตเวชบางกลุ่มส่ง คุ้นเคยกันภายในกลุ่มและให้ผู้ป่วยส�ำรวจปัญหาและ ผลข้างเคียงทางด้านร่างกายกับผู้ป่วยจนท�ำให้ผู้ป่วย ค้นหาปัญหาของตน พยาบาลท�ำหน้าที่ให้การกระตุ้น ไม่อยากรับประทานยา พยาบาลควรให้ค�ำแนะน�ำท่ี ให้ผู้ป่วยสนใจซึ่งกันและกัน ระยะ 2 สมาชิกกลุ่มร่วม เหมาะสมในการจัดการกับผลข้างเคียง เช่น อาการ แสดงความคดิ เหน็ โดยพยาบาลทำ� หนา้ ทก่ี ระตนุ้ ใหผ้ ปู้ ว่ ย ปากแหง้ คอแหง้ ท้องผูก แนะนำ� ให้จบิ นำ�้ บอ่ ยๆ หลกี แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั แนวทางในการแกไ้ ขปญั หาที่ เลยี่ งนำ้� หวานเพราะจะทำ� ใหน้ ำ้� หนกั เพมิ่ ขนึ้ รบั ประทาน คลา้ ยคลงึ กนั ของสมาชกิ กลมุ่ จะทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยเกดิ การเรยี น อาหารที่มีกากใยสูงเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก หากมีง่วง รู้เก่ียวกับการเผชิญปัญหาของตนเองและสมาชิกกลุ่ม นอน ออ่ นเพลยี ใหห้ ลกี เลย่ี งการทำ� งานทต่ี อ้ งขบั รถหรอื ท�ำให้มองเห็นคุณค่าซ่ึงกันและกัน ระยะ 3 ระยะยุติ ใช้เครื่องจักร ปกติแพทย์จะให้ยานี้ในตอนเย็นหรือ สมาชกิ กลมุ่ บอกถงึ ความประทบั ใจทมี่ ตี อ่ กนั และประสบ- กอ่ นนอน แต่หากอาการเปน็ มากให้มาพบแพทย์ อยาก การณ์ท่ีได้รับจากการท�ำกลุ่ม นัดหมายการท�ำกลุ่มครั้ง อาหารมากข้ึน น�้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แนะน�ำให้ผู้ป่วย ต่อไปซึ่งจะช่วยให้สมาชิกกลุ่มมีความผูกพันกันและเกิด หลีกเลี่ยงอาหารท่ีมีแป้งและไขมันสูง ออกก�ำลังกาย สัมพันธภาพท่ีดีต่อกัน มีแหล่งช่วยเหลือทางจิตใจและ อย่างสม่�ำเสมอ เป็นต้น หากผู้ป่วยได้รับค�ำแนะน�ำท่ี มองตนเองในทางบวกทำ� ใหร้ ู้สึกมคี ุณค่าในตนเอง17 เหมาะสมจะท�ำให้จดั การกับผลขา้ งเคยี งของยาได้และมี การรับประทานยาอย่างต่อเนื่องซ่ึงจะลดโอกาสเกิด 3.2 สมรรถนะในการพฒั นา จดั การและ อาการที่รุนแรงมากขึ้น16 กำ� กบั ระบบการดแู ลกลมุ่ เปา้ หมาย โดยการจดั ระบบการ เฝ้าระวังและติดตามเย่ียมบ้าน ผู้ป่วยโรคเร้ือรังท่ีมีการ 3.1.2 การดแู ลผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ทเี่ จบ็ เจ็บป่วยทางจิตและญาติ ซึ่งช่วยให้สามารถประเมิน ป่วยทางจิตโดยใช้หลักการบ�ำบัดทางจิตเวช คือการให้ ผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างครอบคลุมเพื่อให้การช่วย ค�ำปรึกษาด้วยแนวคิดการปรับเปล่ียนความคิดและ เหลือและส่งต่ออย่างเหมาะสม โดยในการเย่ียมบ้านนี้ พฤติกรรม ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็นทาง ควรตดิ ตามเกย่ี วกบั อาการทางจติ เวช การรบั ประทานยา บวกเพ่ือน�ำไปสู่การปรับตัวใหม่ท่ีเหมาะสม การปรับ การทำ� กจิ วตั รประจำ� วนั การประกอบอาชพี สมั พนั ธภาพ ความคิดและพฤติกรรมน้ีสามารถน�ำมาใช้ในผู้ป่วยท่ีมี ในครอบครัว การสื่อสาร ความสามารถในการเรียนรู้ ปัญหาภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้าหรือในผู้ที่มีปัญหาการ เบ้ืองต้น สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ในการติดตามการ นอนหลับ ได้มีการศึกษาวิจัยผลของการให้ค�ำปรึกษา เย่ียมบ้าน ควรร่วมมือกับทีมสหสาขาวิชาชีพ รวมถึง ตามแนวคดิ การปรบั ความคดิ และพฤตกิ รรมแบบกลมุ่ ใน กลมุ่ องคก์ รตา่ งๆ ทอ่ี ยใู่ นชมุ ชน เพอ่ื ใหก้ ารดแู ลชว่ ยเหลอื ผู้ป่วยโรคเรื้อรังท่ีมีโรคซึมเศร้าร่วมด้วย พบว่าภายหลัง ผ้ปู ่วยได้อย่างครอบคลุม การให้ค�ำปรึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคเร้ือรังมีอาการซึมเศร้า ลดลงอยา่ งมีนยั สำ� คญั ทางสถิติ10 อีกหนง่ึ กจิ กรรมท่เี ป็น บทสรุป บทบาทของการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหา ทางจิตเวชคือการท�ำกลุ่มบ�ำบัดแบบประคับประคอง การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของผู้ป่วยโรค (supportive group psychotherapy) เปน็ กลุม่ บ�ำบัด เรื้อรัง เป็นการด�ำเนินงานของพยาบาลจิตเวชในชุมชน ท่ีต้องใช้สมรรถนะด้านการพยาบาลจิตเวชร่วมกับ
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปที ี่ 31 ฉบับที่ 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 17 แนวคดิ การปอ้ งกันโรคสามระดับ คือ การป้องกนั ระดบั โรคเรือ้ รังทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ต้องอาศัยการท�ำงานร่วมกัน ปฐมภูมิ ทุติยภูมิและตติยภูมิ โดยสมรรถนะทางการ ของสหสาขาวิชาชีพและภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่อยู่ใน พยาบาลจิตเวชท่ีน�ำมาใช้คือ สมรรถนะในการพัฒนา ชุมชนเพ่ือให้ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทางสังคมอย่าง จดั การและกำ� กบั ระบบการดแู ลกลมุ่ เปา้ หมาย สมรรถนะ เหมาะสม ซงึ่ รปู แบบการทำ� งานรว่ มกนั ระหวา่ งสหสาขา ในการดูแลกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเฉพาะโรคที่มีปัญหา วชิ าชพี และภาคเี ครอื ขา่ ย กเ็ ปน็ ประเดน็ ทท่ี า้ ทายสำ� หรบั สขุ ภาพจติ หรอื จติ เวชทซ่ี บั ซอ้ น (Direct care) สมรรถนะ บคุ ลากรทางสาธารณสขุ ทตี่ อ้ งรว่ มกนั คน้ หารปู แบบการ ในการประสานงาน (Collaboration) สมรรถนะในการ ทำ� งานทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ผปู้ ว่ ย เสริมสร้างพลังอ�ำนาจ (Empowering) การสอน โรคเรือ้ รงั ในชมุ ชน (Educating) ในการปอ้ งกนั การเจบ็ ปว่ ยทางจติ ในผปู้ ว่ ย References Preventive Medicine Association of Thailand 2018; 8(1): 72-80. (In Thai) 1. Clarke DM, Currie KC. Depression, anxiety 5. Aniwattanapong D. Post stroke depression. and their relationship with chronic Journal of the Psychiatry Association of diseases: a review of the epidemiology, Thailand 2018; 63(4): 383-418. (In Thai) risk and treatment evidence. Medical 6. Harter M, Baumeister H, Reuter K, Jacobi F, Journal of Australia 2009; 190(7Suppl): Höfler M, Bengel J, Wittchen, H. S54-60. Increased 12-month prevalence rates of mental disorders in patients with 2. Jarassaeng N, Mongkonthaworncha, S, chronic somatic diseases. Psychotherapy Buntakheaw P, Hanlakhon P, Bunjun S, and psychosomatics 2007; 76(6): 354-60. Arunponpaisal S. Depression in chronic 7. Grundberg A, Hansson A, Hilleras P, Religa illness at the OPD section in Srinagarind D. District nurses' perspectives on Hospital, Faculty of Medicine, Khon detecting mental health problems and Kaen University. Journal of the Psychiatry promoting mental health among Association of Thailand 2012; 57(4): community-dwelling seniors with 439-46. (In Thai) multimorbidity. Journal of clinical nursing 2016; 25(17-18): 2590-9. Doi: 10.1111/ 3. Chanthanathas A, Wannasewok K, Bussaratid jocn.13302. S, Krittayaphong R. Prevalance and 8. Chaiwannawat T. Roles of psychiatric nursing Associated Factors of Depression for mental health promotion and Disorder in Patient with Acute Coronary mental illness prevention. The Journal Syndrome. Journal of the Psychiatry of Psychiatric Nursing and Mental Health Association of Thailand 2013; 58(4): 2017;31(2):16-30. (In Thai) 17-28. (In Thai) 9. Evans K, Nizette D, O’Brien A. Psychiatric and mental health nursing. 4th ed. 4. Plookrak S. The Prevalance and Associated Factors of Depression in ESRD on Hemodialysis in Phra Nakhon Si Ayutthaya Hospital. Journal of
18 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 Chatswood, NSW: Elsevier; 2017. validity of the 9 questions depression 10. Thailand nursing and midwifery council. rating scale revised for Thai central Advance practice nurse core dialect. Journal of the Psychiatric competencies. Thailand: Thailand Association of Thailand 2018; 63(4): nursing and midwifery council [Internet]. 321-34. (In Thai) 2009 [cited 2019 Jul 22]. Available from: 15. Sukaram S, Nimit-arnun N, Roojanavech S. https://www.tnmc.or.th/images/ The effects of multidisciplinary userfiles/files/H014.pdf. (In Thai) collaborative care program on 11. Namwong A, Khampeera A, Chaijundee W, depressive prevention amongst diabetic Laongon K. Selected factors related mellitus type 2 patients at a secondary to depressive symptoms among level hospital in Phetchaburi province. community-dwelling older people with Journal of The Royal Thai Army Nurses chronic illness. Journal of Nursing, 2018; 19(1): 251-61. (In Thai) Public Health, and Education 2015;19: 16. National Health Security Office. Handbook 94-105. (In Thai) of chronic mental health care in 12. Supannopaph P. Positive thinking: life community [internet]. Thailand: Development [Internet]. 2018 [cited National Health Security Office; 2016 2019 Jul 22]. Available from: https:// [cited 2019 Jul 22]. Available from www.tci- thaijo.org/index.php/Veridian- https://www. nhso.go.th/files/userfiles/ E-Journal/article/view/158967. file/Download. 13. Sriinchan P, Soontaraviratana B. The mental 17. Sinhachotsukapat L, Nuchsil R, Apitikulwong health of chronically ill elderly: the civil S, Suntudngan S, Pinyo C, Somjarit, M. societal perspective. Journal of science Effective of using supportive group and technology Mahasarakham therapy on depression of elderly University 2017; 36(2): 203-10. (In Thai) patients in Khao Yai hospital, Phetchaburi 14. Kongsuk T, Arunpongpaisal S, Janthong S, province. Academic journal of Prukkanone B, Sukhawaha S, Phetchaburi Rajabhat University 2019; Leejongpermpoon. Criterion-related 9(3): 38-46. (In Thai)
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปที ี่ 31 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 19 บทความวิจยั การจัดการสขุ ภาพของกล่มุ เสี่ยงโรคเบาหวานในชมุ ชน บา้ นม่วงหวาน : มมุ มองจากการศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพ อริสรา สขุ วัจน*ี และ อญั ชลพี ร อมาตยกุล** คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 63 หมู่ 7 องครกั ษ์ นครนายก 26120 บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค:์ เพื่อศึกษาการจัดการสขุ ภาพของกลมุ่ เส่ียงโรคเบาหวานในชุมชน แบบแผนการวิจัย: การวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีด�ำเนินการวิจัย: ผู้ให้ข้อมูลจ�ำนวน 75 คน ประกอบด้วย ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและ ครอบครัว เจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล น�ำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจ�ำ หมู่บ้าน (อสม.) พระสงฆ์ ครู และแม่ค้าขายอาหารที่ชุมชนบ้านม่วงหวาน เคร่ืองมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2) แนวทางการสนทนากลุ่ม 3) แนวทางการประชุมระดมสมอง 4) แนวทาง การสงั เกต และ 5) แบบบนั ทึกภาคสนาม วเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ยการวเิ คราะห์เชิงเน้ือหา ผลการวจิ ยั : กลมุ่ เสยี่ งโรคเบาหวานไดด้ แู ลสขุ ภาพตนเองโดยการควบคมุ อาหารและนำ�้ หนกั ตวั ออกกำ� ลงั กาย จัดการความเครียด ลดการดื่มเครื่องด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ ลดการสูบบุหรี่และไปรับการตรวจคัดกรองโรค เบาหวานประจ�ำปี ครอบครัวกลุ่มเส่ียงได้แบ่งเบาภาระงาน ร่วมออกก�ำลังกาย กระตุ้นและกล่าวเตือน เมื่อกลุ่มเสี่ยงมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ชุมชนได้สนับสนุนการดูแลสุขภาพโดยให้ข้อเสนอแนะและข้อมูล ด้านการดูแลสุขภาพ ปัญหาและอุปสรรคที่พบคือการให้บริการตรวจคัดกรองเบาหวานไม่ทั่วถึง ขาด สถานที่ ผูน้ �ำ แรงจูงใจและความตอ่ เนื่องในการออกกำ� ลังกาย สรปุ : การจดั การสขุ ภาพของกลมุ่ เสย่ี งโรคเบาหวานในชมุ ชนเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของกลมุ่ เสยี่ งและครอบครวั เจา้ หน้าที่ รพสต. ให้บริการตรวจสขุ ภาพ ผูน้ �ำชมุ ชนรว่ มรับร้ปู ัญหา สนบั สนุนการแกป้ ัญหาและเปน็ แบบ อย่างการดแู ลสขุ ภาพ อสม. เฝา้ ระวังและให้ข้อมูลการดแู ลสขุ ภาพแกก่ ลุ่มเสยี่ ง ค�ำสำ� คัญ: การจัดการสุขภาพ/ โรคเบาหวาน/ การศกึ ษาเชิงคุณภาพ วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 2562, 31(3) : 19-32 * อาจารยส์ าขาการพยาบาลผู้ใหญ่และผสู้ งู อายุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ** ผรู้ บั ผดิ ชอบหลกั ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ สาขาการพยาบาลรากฐาน คณะพยาบาลศาสตร์ วทิ ยาลยั วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทยเ์ จา้ ฟา้ จฬุ าภรณ์ Email: [email protected]
20 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 Health Management of Diabetes Risk Group in Ban Muang Whan : A Qualitative Research Perspective Arissara Sukwatjanee* and Anchaleeporn Amatayakul* Abstract Purpose: To explore health management of diabetes risk group Design: Qualitative research Methods: The research participants comprised of 75 people, including people, who were diabetes risk group and their families, sub-district health promoting hospital staff, community leaders, village health volunteers, monks, teachers and food vendors in Ban Muang Whan community. The research instruments included 1) the in depth-interviewed guideline, 2) the group discussion guideline, 3) the brain storm guideline, 4) the observation guideline, and 5) the field note. Data were analyzed using content analysis method. Findings: People, who were diabetes risk group, provided self-care including controlled diet, controlled body weight, exercise, stress management, decreased alcohol consumption, reduced smoking, and annual diabetes screening. Family members supported the participants who were diabetes risk group by reducing burden, joining exercise, encouraging and reminding them to change unhealthy behaviors. Other community members provided suggestions and information on health care. Nevertheless, there were some problems and barriers, including inaccessible diabetes screening services, lack of facility, no leaders, lack of motivation, and interrupted exercise. Conclusion: Diabetes risk groups and their families were responsible for their health management. Sub-district health promoting hospital staffs provided health check-up services. Community leaders recognized the problems, provided support to solve the problems, and were role models for healthcare. Village health volunteers provided monitoring and information on health care for participants who are at risk. Keywords: Health management/ Diabetes/ Qualitative research Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 19-32 Article info: Received November 21, 2019; Revised December 13, 2019; December 18, 2019 * Nursing Lecturer, Faculty of Nursing, Srinakharinwirot University ** Corresponding author, Assistant Professor, Faculty of Nursing HRH Princess Chulabhorn College of Medical Science. Email: [email protected]
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 21 บทน�ำ ได้มีการควบคุมและป้องกันโรคเบาหวานในกลุ่มเสี่ยงที่ มีอายุต้ังแต่ 35 ปีขึ้นไป โดยท�ำการคัดกรองกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวานเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขของ ด้วยแบบบันทึกการตรวจคัดกรองด้วยวาจาและเจาะ ทั่วโลก ความชุกของโรคเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อ เลือดเพื่อประเมินระดับน้�ำตาล โดยใช้เกณฑ์ระดับ เน่ือง1 ปัจจุบันมีผู้ป่วยเบาหวานอายุระหว่าง 20-79 ปี นำ้� ตาลหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง ซึง่ จ�ำแนกกลมุ่ จำ� นวน 425 ลา้ นคน และคาดวา่ จะเพม่ิ ขนึ้ เปน็ 629 ลา้ น เสยี่ งออกเปน็ 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่ 1) กลมุ่ เสย่ี งสงู เปน็ เบาหวาน คนในปี พ.ศ. 2588 โดยพบอตั ราการตายจากเบาหวาน คือมีระดับน�้ำตาล ≥ 200 มก./ดล. ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้ 4 ลา้ นคน หรอื รอ้ ยละ 10.7 ของประชากร2 ผปู้ ว่ ยทมี่ ี ค�ำแนะน�ำในการปรับพฤติกรรมเสี่ยง นัดตรวจน้�ำตาล ระดับน้�ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังเส่ียงต่อการเกิดภาวะ ในเลือดโดยงดน้�ำงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ตรวจ แทรกซ้อนของระบบตา่ งๆ ในร่างกาย ไดแ้ ก่ การเสื่อม ซ้�ำอกี 1 ครง้ั ถ้าน้ำ� ตาลในเลอื ด ≥ 126 มก./ดล. จากน้ัน ของระบบประสาทและจอตา ท�ำใหเ้ กิดความพกิ าร เกิด ส่งต่อเพื่อรับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวาน แผลที่เท้าและแผลหายช้า โรคหลอดเลือดหัวใจและ และเข้าสู่ระบบการรักษาท่ีโรงพยาบาลอ�ำเภอบางบาล หลอดเลอื ดสมอง3,4,5,6,7 สง่ ผลให้ผ้ปู ว่ ยต้องเสียคา่ ใช้จา่ ย 2) กลมุ่ เสยี่ งปานกลางเปน็ เบาหวาน คอื มีระดับน�้ำตาล สงู ในการรกั ษาพยาบาล ซงึ่ คา่ รกั ษาพยาบาลสำ� หรบั โรค 140-199 มล./ดล. เจ้าหน้าท่ีจะให้ค�ำแนะน�ำเพื่อปรับ เบาหวานชนิดท่ี 1 ชนิดท่ี 2 และเบาหวานท่ีมีภาวะ เปลี่ยนพฤติกรรมเส่ียงและให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ แทรกซ้อนต่อรายคือ 23,936 บาท 4,480 บาท และ ลดการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นกิจกรรมท่ี รพ.สต.จัด 5,358 บาทตามล�ำดบั 8 และผปู้ ว่ ยรอ้ ยละ 28.5 เท่าน้นั ขึ้นและติดตามผลหลังจากนั้น 3 เดือน ถ้ากลุ่มน้ียังมี ท่ีสามารถควบคุมระดับน้�ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โอกาสเสยี่ งอยกู่ ใ็ หป้ รบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมตอ่ และนดั ตรวจ ได9้ สง่ ผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ ของครอบครวั และประเทศ น้�ำตาลในเลือดทุก 1 ปี และ 3) กลุ่มเส่ียงน้อยเป็น ดา้ นงบประมาณการดแู ลสขุ ภาพ ซึ่งรอ้ ยละ 11 ของค่า เบาหวาน คอื มีระดับน้ำ� ตาล < 140 มล./ดล. เจ้าหน้าท่ี ใช้จ่ายดา้ นสุขภาพของประเทศถูกจดั สรรใหก้ บั การดูแล จะใหค้ ำ� แนะนำ� เรอื่ งการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม หลงั จาก รักษาโรคเบาหวาน และคาดการณ์ว่าจะเพ่ิมข้ึนเป็น นั้นนัดติดตามผลนำ้� ตาลในเลอื ดทกุ 1-3 ปี ร้อยละ 41 ในปี พ.ศ. 257310 ผลการคัดกรองโรคเบาหวานของ รพ.สต. จากการที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ตำ� บลมหาพราหมณป์ ี พ.ศ. 2557 พบวา่ กลุม่ ประชากร ชาติฉบับปัจจุบัน (ฉบับท่ี 12 พ.ศ. 2560-2564) มี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานจ�ำนวน 355 คน นโยบายลดการเจบ็ ปว่ ยจากโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอื้ รงั กระทรวง หรือร้อยละ 6.5 ของประชากรต�ำบลมหาพราหมณ์ สาธารณสขุ จงึ ไดก้ ำ� หนดนโยบายใหห้ นว่ ยบรกิ ารสขุ ภาพ ท้งั หมด 5,421 คน12 ในกลมุ่ เส่ยี งน้พี บว่าอยูใ่ นกลมุ่ เสี่ยง ระดบั ปฐมภมู ิ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพประจำ� สงู เป็นเบาหวานจำ� นวน 124 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 34.93 ต�ำบล (รพ.สต.) รับผิดชอบงานเฝ้าระวัง ป้องกันและ อย่ใู นกล่มุ เสีย่ งปานกลางเปน็ เบาหวาน จ�ำนวน 211 คน ควบคุมโรค ให้การสนับสนุนการจัดท�ำโครงการท่ีมี คิดเป็นร้อยละ 59.44 และอยู่ในกลุ่มเส่ียงต่�ำเป็น วัตถุประสงค์เพ่ือป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง เบาหวานจำ� นวน 20 คน คดิ เป็นร้อยละ 5.63 เจ้าหน้าท่ี ตามวิถีไทยโดยใชก้ ระบวนการชุมชนเป็นฐาน11 โดยการ ของ รพ.สต.ไดจ้ ดั การดแู ลประชากรกลมุ่ เสยี่ งเหลา่ นโี้ ดย ใชศ้ กั ยภาพของคนในชมุ ชนมาจดั การปญั หาสขุ ภาพของ การจดั คา่ ยอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอื่ ปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม ชุมชนเอง ทั้งน้ี รพ.สต.ต�ำบลมหาพราหมณ์ อ�ำเภอ เสย่ี งทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ โรคเบาหวาน ซง่ึ กจิ กรรมประกอบไปดว้ ย บางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาท่ีดูแลรับผิดชอบ การให้ความรู้เรื่องการควบคุมการรับประทานอาหาร ชมุ ชนบา้ นมว่ งหวานซงึ่ เปน็ สถานทด่ี �ำเนนิ การวจิ ยั ครง้ั น้ี
22 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 การออกก�ำลงั กาย การลดน�้ำหนัก ซึ่งใชเ้ งินงบประมาณ เช่ือและวิถีการด�ำเนินชีวิตของคนในชุมชน ซึ่งจะท�ำให้ ในส่วนของการดูแลรักษาพยาบาลของประชาชนด้วย การส่งเสริมสุขภาพน้ันมีความย่ังยืน เปิดโอกาสให้คน บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ด้วยงบประมาณท่ีมีอย่าง ในชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการสร้างเสริม จำ� กดั อกี ทงั้ ประชากรกลมุ่ เสยี่ งมจี ำ� นวนมากและเจา้ หนา้ ท่ี สุขภาพคนในชุมชน ท�ำให้เกิดการพ่ึงตนเองและการ มีจ�ำนวนน้อย ท�ำให้ต้องคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโดย ดูแลสุขภาพกันเองในชุมชนมากย่ิงข้ึน การจัดการกับ วิธีสุ่มเฉพาะผู้ที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการจ�ำนวน ปัญหาสขุ ภาพโดยการมีส่วนรว่ มของคนในชมุ ชนจะเป็น 20 คน คิดเป็นร้อยละ 5.63 ของประชากรกลุ่มเส่ียง การแกป้ ญั หาทต่ี รงกบั ความตอ้ งการของประชาชนไดจ้ รงิ ทงั้ หมด สว่ นประชากรกลมุ่ เสยี่ งทไ่ี มไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มโครงการ จากสภาพการณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยได้เห็นความส�ำคัญของ จะได้รับความรู้ภายหลังการตรวจคัดกรอง นอกจากน้ี การจัดการสุขภาพของกลุ่มเส่ียงโรคเบาหวานโดยการมี ยังได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจ�ำ ส่วนร่วมของชุมชน เพ่ือท�ำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงมี หมู่บ้าน (อสม.) ในการคัดกรองกลุ่มเส่ียง ส่งเสริมการ พฤติกรรมสุขภาพท่เี หมาะสมลดการเกิดโรคเบาหวาน เข้าร่วมกิจกรรมและติดตามให้กลุ่มประชากรไปตรวจ เลือดอกี ครง้ั ตามนัด วัตถุประสงค์ของการวิจัย จากการทบทวนวรรณกรรมการมสี ว่ นรว่ มของ เพอ่ื ศกึ ษาการจดั การสขุ ภาพของกลมุ่ เสยี่ งโรค ชุมชนและภาคีเครือข่าย กลุ่มบุคคลท่ีมีส่วนส�ำคัญใน เบาหวานในชมุ ชน การดำ� เนนิ งานรว่ มกบั เจา้ หนา้ ทส่ี ขุ ภาพคอื อสม. ในเรอ่ื ง ของการคัดกรองโรค การติดตาม การให้ความรู้ การ วิธดี �ำเนินการวิจยั ประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือในชุมชน13 การมีส่วนร่วมของ คนในชุมชนจะเป็นแรงสนับสนุนทางสังคมให้เกิดการ รปู แบบการวจิ ยั รับรู้โอกาสเสี่ยง และรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติตัว เพ่ือป้องกันโรคเบาหวาน น�ำไปสู่การมีพฤติกรรมการ การวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ดแู ลตนเองเพอ่ื ปอ้ งกนั โรคเบาหวาน แตใ่ นการดำ� เนนิ งาน ผใู้ หข้ อ้ มลู ป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานในชุมชนมักมีข้อจ�ำกัด ในเร่ืองความต่อเนื่องของการด�ำเนินงานและขาดการ ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วยบุคคลหลายกลุ่ม กระตนุ้ อย่างสม�่ำเสมอ ท�ำใหเ้ ปน็ เรอ่ื งยากท่ีจะท�ำใหเ้ กดิ จ�ำนวนทั้งสิน้ 75 คน ดังนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีย่ังยืน ดังนั้นเพื่อให้การ ด�ำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานเกิดความ 1) ประชากรกลุ่มเสีย่ งโรคเบาหวาน จ�ำนวน ยั่งยืน งานวิจัยน้ีจึงด�ำเนินการตามจุดมุ่งหมายหลักของ 20 คน คิดเป็นร้อยละ 5.63 ของประชากรกลุ่มเส่ียง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับปัจจุบันที่ ทง้ั หมด คดั เลอื กโดยวธิ สี มุ่ กลมุ่ เสย่ี งนจ้ี ะไดร้ บั การศกึ ษา สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพของ ในประเดน็ ปญั หาการจดั การดแู ลตนเองเพอ่ื ปอ้ งกนั และ คนในชมุ ชนทเ่ี นน้ การดแู ลสขุ ภาพแบบเศรษฐกจิ พอเพยี ง ควบคุมโรคเบาหวาน สาเหตุและผลกระทบของการ ตามแนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชน- จัดการสุขภาพตนเอง การดูแลของครอบครัว ชุมชน กาธเิ บศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และกลวิธีในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานใน โดยการสนับสนุนชุมชนให้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม ชมุ ชน สง่ เสริมสขุ ภาพทส่ี อดคลอ้ งกับวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ ความ 2) สมาชิกในครอบครัวของกลุ่มเส่ียง ได้แก่ สามี ภรรยาและบุตรหลานจ�ำนวน 20 คน ศึกษาใน ประเด็นบทบาทการมีส่วนร่วมในการดูแลกลุ่มเสี่ยงใน ครอบครัว
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีท่ี 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 23 3) อสม. ซึ่งเป็นแกนน�ำในการดูแลสุขภาพ เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย ของกลมุ่ เส่ยี งจำ� นวน 20 คน โดยคดั เลือกจากประสบ- การณ์การท�ำงานเป็น อสม. ไม่น้อยกว่า 5 ปี จ�ำนวน ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูล 10 คน ศึกษาในประเด็นบทบาทและวิธีการดูแลกลุ่ม วิจัยซ่ึงประกอบด้วย แนวค�ำถามสัมภาษณ์เชิงลึก เสี่ยงในชุมชน กลวิธีในการป้องกันและควบคุมการเกิด แนวค�ำถามการสนทนากลุ่มและแนวค�ำถามการประชุม โรคเบาหวาน ระดมสมอง เก็บรวบรวมขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณ์เชงิ ลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกต การบนั ทึกขอ้ มลู ภาคสนาม 4) ผู้น�ำชุมชน ได้แก่ ก�ำนันจ�ำนวน 1 คน และการใช้อปุ กรณเ์ สรมิ ซงึ่ มรี ายละเอียดดังน้ี ผใู้ หญบ่ า้ นจำ� นวน 10 คน ผชู้ ่วยผใู้ หญบ่ ้านจ�ำนวน 10 คน และสมาชกิ สภาองคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบล (ส.อบต.) 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นการสนทนา จ�ำนวน 2 คน ซึ่งเป็นผู้ท่ีคนในชุมชนให้ความนับถือ ซักถามผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ประชากรกลุ่มเสี่ยงเป็น คัดเลอื กไดจ้ ำ� นวน 5 คน ศกึ ษาในประเดน็ บทบาทการ เบาหวาน สมาชกิ ในครอบครัวของกล่มุ เสย่ี ง อสม. ผนู้ �ำ มีส่วนรว่ มในการดูแลกลุ่มเส่ยี งเป็นเบาหวานในชุมชน ชมุ ชน พระสงฆ์ ครู แมค่ ้าขายอาหารและเจ้าหนา้ ทข่ี อง รพ.สต.ผู้วิจยั และผชู้ ว่ ยวิจัยท่เี ป็นเจา้ หนา้ ที่ของ รพ.สต. 5) พระสงฆป์ ระจำ� วดั ในชมุ ชน 2 แหง่ จำ� นวน เป็นผู้สมั ภาษณ์ บนั ทกึ เสียงและจดบันทกึ ข้อมูล ใช้เวลา 35 รปู ซงึ่ เปน็ ผู้ท่คี นในชมุ ชนให้ความนับถือและศรัทธา ในการสัมภาษณ์คนละ 50-90 นาที โดยสัมภาษณ์ใน คัดเลือกได้จ�ำนวน 5 รูป ศึกษาในประเด็นบทบาทการ ประเด็นการจัดการดูแลตนเอง ปัจจัยเงื่อนไขในการ มีสว่ นรว่ มในการดูแลกลมุ่ เสีย่ งเปน็ เบาหวานในชมุ ชน จัดการตนเอง ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการตนเอง 6) ครูของโรงเรียนประจ�ำชุมชน 1 แห่ง วิธีการแก้ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการตนเองและ จ�ำนวน 12 คน ซ่ึงเป็นผู้ที่คนในชุมชนให้ความเช่ือถือ ผลของการจดั การดแู ลตนเองเพอื่ ปอ้ งกนั และควบคมุ โรค คัดเลือกไดจ้ �ำนวน 5 คน ศึกษาในประเด็นบทบาทการมี เบาหวาน สว่ นร่วมในการดูแลกลุ่มเสยี่ งเปน็ เบาหวานในชมุ ชน 2) แนวทางการสนทนากลมุ่ เปน็ การสนทนา 7) แมค่ า้ ขายอาหารในชมุ ชน 10 รา้ น จำ� นวน กลุ่มย่อยกับผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการด�ำเนินงานเพื่อป้องกัน 10 คน ซ่ึงเป็นผู้เก่ียวข้องในการเตรียมอาหารและ และควบคุมโรคเบาหวาน ได้แก่ ประชากรกลุ่มเสี่ยง จ�ำหน่ายอาหารปรุงส�ำเร็จแก่กลุ่มเสี่ยงเป็นเบาหวาน เป็นเบาหวาน กลมุ่ อสม. ผู้วจิ ัยและผ้ชู ่วยวจิ ัยเป็นผ้นู �ำ คดั เลอื กได้จ�ำนวน 5 คน ศึกษาในประเด็นบทบาทการมี การสนทนากลมุ่ มีการบนั ทกึ เสยี งโดยไดร้ บั การอนญุ าต สว่ นร่วมในการดแู ลกลมุ่ เสีย่ งเป็นเบาหวานในชมุ ชน จากผู้เข้าร่วมวิจัย ใช้เวลาในการสนทนากลุ่ม 50-90 นาที ศึกษาในประเดน็ พฤติกรรมการจัดการดแู ลตนเอง 8) เจ้าหน้าท่ีผ้ใู ห้บรกิ ารสุขภาพของ รพ.สต. การจัดการดูแลของสมาชิกครอบครัวและชุมชนในการ ต�ำบลมหาพราหมณ์จ�ำนวน 5 คน ซึ่งรับผิดชอบดูแล ป้องกันและควบคุมการเกิดโรคเบาหวาน ผลของ และให้บริการสุขภาพในชุมชนโดยคนในชุมชนให้ความ การจัดการดูแลสุขภาพตนเองและผลกระทบของการ ไว้วางใจ โดยเจ้าหน้าทข่ี อง รพ.สต.จะมสี ่วนร่วมในการ จดั การตนเองตอ่ ครอบครวั และชมุ ชนในการปอ้ งกนั และ ดำ� เนนิ การวจิ ยั ครง้ั นแ้ี ละจะเปน็ ผดู้ ำ� เนนิ กจิ กรรมตอ่ จาก ควบคุมการเกิดโรคเบาหวาน จากประสบการณ์ของ ผู้วิจัยเม่ือการวิจัยจบลง โดยศึกษาในประเด็นบทบาท แต่ละคน แนวคิด รูปแบบการให้บริการตรวจคัดกรอง การดูแล กลุ่มเสี่ยง ปัญหาและอุปสรรคในการดูแลประชากร 3) แนวทางการประชุมระดมสมอง เป็นการ กลุ่มเสยี่ งเปน็ เบาหวาน ประชุมท่ีผูเ้ ข้ารว่ มทุกคนได้รับการคัดเลือกจากกลุม่ ผูใ้ ห้
24 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ข้อมูลหลัก ได้แก่ ประชากรกลุ่มเสี่ยงเป็นเบาหวานท่ีมี โครงการไดต้ ลอดเวลาโดยไม่มีผลต่อบริการสุขภาพท่จี ะ ระดบั ความเส่ยี งแตกตา่ งกัน อสม. ผนู้ �ำชมุ ชน พระสงฆ์ ได้รับ รวมท้ังไม่เปิดเผยช่ือของผู้ร่วมวิจัย โดยให้ผู้ร่วม ครู แม่ค้า เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการสุขภาพของ รพ.สต. วิจัยอ่านเอกสารชี้แจงและหนังสือแสดงเจตนายินยอม และสมาชิกครอบครัวกลุ่มเสย่ี ง โดยการใหข้ ้อคิดเห็นใน เข้าร่วมการวิจัย เมื่อผู้ร่วมวิจัยเข้าใจและยินยอมเข้า ประเด็นการหากลวิธีในการป้องกันและควบคุมการเกิด ร่วมการวิจัย ผู้วิจัยจึงให้ลงช่ือเป็นลายลักษณ์อักษร โรคเบาหวานในชุมชน และเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลในเชิงลบต่อผู้ร่วมวิจัยโดย 4) แนวทางการสงั เกต โดยใชก้ ารสงั เกตแบบ มไิ ด้เจตนา จงึ ก�ำหนดแนวทางในการวิจัยดังน้ี มสี ว่ นรว่ มโดยการเขา้ ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ กบั กลมุ่ เสยี่ งเปน็ 1) ผู้วิจัยน�ำหนังสือไปเชิญผู้ร่วมวิจัยด้วย โรคเบาหวาน เช่น การร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน ตนเอง พร้อมกับช้ีแจงวัตถุประสงค์การวิจัยให้ทราบใน หรือในงานบุญประเพณี สังเกตพฤติกรรม วิถีชีวิต ข้ันตอนการด�ำเนินการวิจัย เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมวิจัยซัก ประจำ� วนั การดแู ลสขุ ภาพตนเองของกลมุ่ เสย่ี ง การดแู ล ถามและใหเ้ วลาสำ� หรบั การตดั สนิ ใจ เพอ่ื ใหก้ ารตดั สนิ ใจ ของสมาชิกในครอบครัวและชุมชนเพื่อป้องกันและ เขา้ รว่ มวิจยั เป็นไปด้วยความเข้าใจและเต็มใจ ควบคมุ การเกิดโรคเบาหวาน 2) กระบวนการและขน้ั ตอนการวจิ ยั ไมก่ อ่ ให้ 5) แบบบันทึกภาคสนาม โดยผู้วิจัยท�ำการ เกิดความเดือดร้อนทางด้านร่างกายและจิตใจต่อผู้ร่วม บันทึกข้อมูลที่เป็นจริงจากการสังเกต การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุม่ วิจัย โดยท่ีผู้วิจัยจะไม่บังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมหากไม่ พร้อมหรอื ไม่สมคั รใจ 6) อุปกรณ์เสริม ได้แก่ เคร่ืองบันทึกเทป 3) สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองในการ ขนาดเล็ก กล้องถ่ายภาพ ซึ่งในการบันทึกเทปและถ่าย ประชุมเพ่ือคลายความเครียด และเกิดสัมพันธภาพที่ดี ภาพ ผวู้ จิ ัยได้ขออนญุ าตจากผูร้ ว่ มวจิ ยั กอ่ น ระหว่างผู้รว่ มวิจัย การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมือ 4) รับฟังความคิดเห็นของผู้ร่วมวิจัยทุกคน แบบสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ แนวทางการสนทนากลมุ่ วางตวั เป็นกลาง ไม่ตดั สินใจว่าใครถกู หรอื ผดิ และแนวทางการประชมุ ระดมสมอง ไดร้ บั การตรวจสอบ 5) เคารพในศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนษุ ยข์ องผรู้ ว่ ม ความถูกต้องและความตรงของเนื้อหาโดยผู้เช่ียวชาญ วิจัยทุกคน โดยผู้ร่วมวิจัยมีสิทธิที่จะพูดหรือแสดงความ ในการดแู ลผ้ปู ว่ ยโรคเบาหวานจ�ำนวน 3 คน แล้วนำ� มา ปรับปรุงแก้ไขเน้ือหาและข้อค�ำถาม ก่อนน�ำไปเก็บ คิดเห็นไดอ้ ย่างเท่าเทียมกันโดยเสรี รวบรวมข้อมลู 6) สร้างความมั่นใจเกี่ยวกับข้อมูลท่ีได้จาก การพิทักษส์ ิทธิผูร้ ่วมวิจัย การวจิ ัยวา่ จะนำ� ไปใชใ้ นการศึกษาเท่าน้ัน 7) หากต้องมกี ารบนั ทึกภาพ การบันทึกเทป โครงการวิจัยนี้ผ่านการพิจารณาจากคณะ- หรือจดบันทึกการสังเกต จะแจ้งให้ผู้ร่วมวิจัยทราบและ กรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในมนษุ ยข์ องสถาบนั ยทุ ธศาสตร์ ขออนญุ าตผูร้ ว่ มวจิ ัยกอ่ นทุกครงั้ ทางปัญญาและการวจิ ัย มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ หมายเลขรบั รอง SWUEC/E-001/2558 ผรู้ ว่ มวจิ ยั ไดร้ บั การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การอธิบายวัตถุประสงค์ วิธีการเกบ็ ขอ้ มูล ความเสยี่ งที่ ขนั้ ตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มี 3 ระยะ ไดแ้ ก่ อาจจะเกิดขึ้นจากการวิจัย ผู้ร่วมวิจัยสามารถออกจาก 1) เตรียมการ 2) ดำ� เนนิ การ และ 3) ประเมนิ ผล
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีที่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 25 ระยะเตรียมการ ใช้เวลา 2 เดอื น สุขภาพเพ่ือป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานในชุมชน เป็นการศึกษาบริบทของชุมชนบ้านม่วงหวาน ด้านร่างกายและด้านจิตใจ โดยใช้ รพ.สต. อบต. และ โดยผวู้ จิ ัย เจ้าหนา้ ท่ขี อง รพ.สต.และ อสม. ศึกษาสภาพ บา้ นของกลมุ่ เสี่ยงเปน็ สถานทใี่ นการสมั ภาษณ์ ทวั่ ไปและสงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพ ลกั ษณะทางประชากร สงั คมและวฒั นธรรม ขอ้ มลู เกยี่ วกบั องคก์ รและกลมุ่ ตา่ งๆ 4. ค้นหาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการ ในชุมชน ข้อมูลเก่ียวกับสุขภาพและแหล่งท่ีพึ่งทาง ดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานใน สขุ ภาพของคนในชมุ ชน ชุมชน โดยสนทนากลุ่มในประเด็นปัญหาและอุปสรรค ระยะด�ำเนินการ ใช้เวลา 9 เดอื น ที่พบในการจัดการดูแลสุขภาพ ใช้ รพ.สต. อบต. เป็น 1. จัดการสุขภาพตนเองของประชากรกลุ่ม สถานที่ในการสนทนากลมุ่ เส่ียงโรคเบาหวานในชุมชน โดยผู้วิจัยเจ้าหน้าท่ีของ รพ.สต.และ อสม. ตรวจคัดกรองประชากรกลุ่มเส่ียง 6. แสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการ เป็นเบาหวาน จดั ประชมุ กลุ่มระดมสมองที่ รพ.สต. และ จดั การดแู ลสขุ ภาพเพอ่ื ปอ้ งกนั และควบคมุ โรคเบาหวาน องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล (อบต.) เดอื นละ 2 ครงั้ ทง้ั หมด ในชุมชน โดยการสนทนากลุ่มแนวทางการแก้ไขปัญหา 18 คร้ัง จัดโครงการ 8 โครงการไดแ้ ก่ 1) โครงการหอ ท่ีพบจากการศึกษาปัญหาและอุปสรรค โดยใช้ รพ.สต. กระจายขา่ วประจำ� หมบู่ า้ น 2) โครงการตรวจคดั กรองโรค อบต. เปน็ สถานที่ในการสนทนากล่มุ เบาหวาน 3) โครงการอาหารปลอดเบาหวาน 4) โครงการ ส่งเสริมสุขภาพใจ 5) โครงการขยับกายสบายใจ 7. คิดกลวิธีการป้องกันและควบคุมโรค 6) โครงการชุมชนร่วมใจแก้ไขปัญหาโรคเบาหวาน เบาหวานของชุมชน โดยประชมุ ระดมสมอง ใช้ รพ.สต. 7) โครงการประกวดชุมชนอนามยั ดี และ 8) โครงการ อบต. เป็นสถานท่ีในการประชุมระดมสมอง ชมุ ชนออมทรพั ย์ 2. ส�ำรวจปัจจัย เงื่อนไข การจัดการดูแล ระยะประเมนิ ผล ใชเ้ วลา 1 เดอื น โดยประเมนิ สุขภาพเพ่ือป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานในชุมชน ผลระหว่างด�ำเนินการวิจัย ส�ำรวจปัญหาและอุปสรรค ปัจจัยภายใน ได้แก่ ความเช่ือ ค่านิยมและวัฒนธรรม นอกจากนมี้ กี ารประเมนิ ผลภาพรวมหลงั จากการดำ� เนนิ เก่ียวกับพฤติกรรมสุขภาพและการรับประทานอาหาร การวิจยั เสร็จเสิ้น ของคนในชุมชน ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การศึกษาและ ฐานะเศรฐกิจโดยการสนทนากลุ่มโดยใช้ รพ.สต. บ้าน การวิเคราะห์ขอ้ มูล ทที่ ำ� การกำ� นนั และผใู้ หญบ่ า้ น อบต. วดั โรงเรยี น รา้ นคา้ เปน็ สถานท่ีในการสนทนา ข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาคร้ังน้ีเป็นข้อมูลเชิง 3. การรับรู้ผลของการจัดการดูแลสุขภาพ คุณภาพท่ีได้จากการสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม การ เพื่อป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานในชุมชน การรับรู้ สังเกตและจดบันทึก จะน�ำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ด้านร่างกายประเมินจากระดับน�้ำตาลในเลือด น�้ำหนัก การวเิ คราะหเ์ ชงิ เนอ้ื หา (Content Analysis) แยกขอ้ มลู ตวั เส้นรอบเอวอยใู่ นเกณฑ์ปกติ ด้านจติ ใจประเมนิ จาก ใหเ้ ป็นหมวดหมู่และสรปุ เปน็ ประเดน็ ทสี่ ำ� คัญ การไม่เครียด มีความสุขและนอนหลับได้ดี โดยการ สัมภาษณ์เชิงลึก เร่ืองการรับรู้ผลของการจัดการดูแล ความเช่อื ถอื ไดข้ องขอ้ มูลการวิจัย ผวู้ จิ ยั ใชห้ ลกั การตรวจสอบความเชอ่ื ถอื ไดข้ อง ขอ้ มูลการวจิ ัย (Trustworthiness)14 ใน ประเดน็ เหล่านี้ คอื ความเชื่อถือได้ (Credibility) งานวิจัยน้ีมี กระบวนการวิจัยท่ีชัดเจน ผู้วิจัยเข้าถึงผู้ให้ข้อมูลและมี สมั พนั ธภาพท่ีดซี ึง่ ชว่ ยใหไ้ ด้ข้อมูลทีเ่ ป็นจริง มีการตรวจ
26 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 สอบขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสมั ภาษณก์ บั ขอ้ มลู สว่ นอน่ื ๆ เชน่ ทำ� อยบู่ นบ้านน่ันแหล่ะ นกึ ไดว้ า่ งไดต้ อนไหนกท็ �ำ… ขอ้ มูลจากการสังเกต และจดบนั ทกึ …ไม่กินนี่ไม่ได้เลยนะ มันเพลียไม่มีแรง ความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูล (Trans- ย่ิงไปงานบวชงานแต่งเราจะไม่กินยังไงล่ะ เจ้าภาพเขา ferability) ผลการวจิ ัยชน้ิ นี้สามารถใชอ้ า้ งองิ ในชมุ ชนท่ี เลยี้ งกเ็ สยี หนา้ หวานอะไรนกี่ ต็ อ้ งกนิ บา้ งไมง่ นั้ ใจมนั แหง้ มีลักษณะคล้ายชุมชนท่ีศึกษา โดยมีผู้ให้ข้อมูลท่ีมีความ แต่เราก็เพลามือหน่อย เติมให้หวานน้อยๆ ชงโอวัลติน หลากหลาย อะไรเงีย้ … การใช้เกณฑ์พึ่งพาอ่ืนๆ (Dependability) สมาชกิ ในครอบครวั กลมุ่ เสยี่ งมสี ว่ นในการ การวจิ ยั ครั้งน้มี ีขัน้ ตอนท่ีชดั เจน และสามารถตรวจสอบ จัดการดูแลสุขภาพกลุ่มเส่ียง โดยการส่งเสริมให้กลุ่ม ได้ การน�ำเสนอข้อมูลมีการเช่ือมโยงข้อมูลท่ีได้จากการ เสี่ยงมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต คอยช่วยเหลือ วเิ คราะห์เนื้อหาเข้ากบั ขอ้ มลู การสมั ภาษณ์ หรอื อำ� นวยความสะดวกเทา่ ทสี่ ามารถทำ� ไดต้ ามบทบาท ความสามารถในการยืนยนั (Confirmability) ของการเปน็ สมาชกิ ในครอบครวั ข้อมูลท่ีได้เป็นข้อมูลที่เกิดข้ึนตามสภาพท่ีเป็นอยู่จริง …สงสารแม่กลัวว่าแกจะเป็นเบาหวาน การตีความบทสนทนากลุ่มและการสังเกตมีการน�ำไป ลูกๆ ก็คอยเตือนว่าแม่อย่ากินหวานมากนะ บางทีแก ยนื ยันความถูกต้องกับผู้ร่วมวิจัยอีกคร้งั อยากกินของที่แกชอบก็ให้บ้างแต่น้อยๆ…กินด้วยกันน่ี แหล่ะไม่ได้แยกหรอก ท�ำไม่ไหวหลายชุด บางทีไอ้ ผลการวิจยั หลานๆ มันอยากกินผัดๆ ทอดๆ เขาก็ท�ำกันเอง… 1. ผู้ใหข้ อ้ มลู งานบา้ นก็ช่วยๆ กันทำ� ใหแ้ ม่แกพกั บ้างเด๋ยี วไม่มแี รง… ผใู้ หข้ อ้ มลู อาศยั อยใู่ นชมุ ชนบา้ นมว่ งหวาน …พ่อแกตดิ บหุ รี่ บอกให้แกเลกิ เถอะหมอ ห่างจากตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 16 กิโลเมตร เขาวา่ เดย๋ี วจะเป็นเบาหวาน ไม่ดีหรอก แกกย็ ังเลิกไมไ่ ด้ ประกอบดว้ ย 1)ประชากรกลมุ่ เสยี่ งโรคเบาหวาน จำ� นวน ไม่อยากพดู บ่อยพาลทะเลาะกัน… 20 คน 2) สมาชกิ ในครอบครัวของกลุม่ เส่ยี ง 3) อสม. 3. ปจั จยั เงอ่ื นไข การจดั การดแู ลสขุ ภาพเพอ่ื จ�ำนวน 10 คน ศึกษา 4) ผู้น�ำชุมชน จ�ำนวน 5 คน ป้องกนั และควบคุมโรคเบาหวานในชมุ ชน 5) พระสงฆจ์ ำ� นวน 5 รปู 6) ครขู องโรงเรยี นประจำ� ชมุ ชน จำ� นวน 5 คน 7) แมค่ า้ ขายอาหารในชุมชน จำ� นวน 5 ผู้ร่วมวิจัยมีการจัดการดูแลสุขภาพเพื่อ คน และ 8) เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการสุขภาพของ รพ.สต. ป้องกันโรคเบาหวานโดยมีปัจจัยเง่ือนไข 2 ประการ จ�ำนวน 5 คน ดงั ต่อไปน้ี 2. การดแู ลสขุ ภาพของกลมุ่ เสยี่ งโรคเบาหวาน 3.1 ปัจจัยภายใน ได้แก่ การรับรู้ของ ในชมุ ชน ผรู้ ว่ มวจิ ยั ซง่ึ รบั รถู้ งึ อนั ตรายและภาวะแทรกซอ้ นของการ เป็นโรคเบาหวาน การรับรู้ว่าเม่ือเป็นแล้วรักษาไม่หาย ผู้ร่วมวิจัยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตอ้ งรบั ประทานยาตลอดชวี ติ และโรคเบาหวานถา่ ยทอด ตนเองเพื่อให้ผลการตรวจระดับน�้ำตาลในเลือดอยู่ใน ทางพนั ธุกรรมได้ ระดบั ปกติ …แมพ่ ี่เป็นเบาหวานนะ พกี่ ก็ ลัวสิ เขาวา่ …พอเรารู้ว่าจะเป็นเบาหวานก็เอาแล้ว มันเป็นกรรมพันธุ์รักษาไม่หายต้องกินยาคุมน้�ำตาลไป ออกก�ำลังกายซี ตื่นมาก็แกว่งแขนแกว่งขาไปตามเรื่อง ตลอดพ่เี ป็นคนไม่ชอบหาหมอด้วย เปน็ อะไรนดิ หนอ่ ยก็
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปที ี่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 27 ดแู ลตวั เอง ถา้ ไม่เป็นมากจริงๆ เห็นแม่แล้วตอ้ งไปตรวจ การจดั การสขุ ภาพเพอ่ื ปอ้ งกนั โรคเบาหวาน เลือดทกุ เดือนทห่ี มอนัด อยา่ งนน้ั พ่ีไม่เอาแลว้ … ในชุมชนพบปญั หา อุปสรรคดงั ตอ่ ไปน้ี 3.2 ปัจจยั ภายนอก กลุม่ บคุ คล องคก์ รท่ี 5.1 การใหบ้ รกิ ารตรวจคดั กรองเบาหวาน มสี ว่ นในการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การจดั การดแู ลตนเองของ ไมท่ ั่วถงึ ผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วย เจ้าหน้าท่ี รพ.สต. ผู้น�ำชุมชน …บางทีเราไปตรวจเขาไปท�ำงานเง้ียก็ไม่ อสม. สมาชิกในครอบครัว ซึ่งกลุ่มคนเหล่าน้ีล้วนแต่มี ต้องตรวจกัน บางคนเหน็ ตวั เองอว้ นและคนอน่ื ๆ ท่ีอ้วน สว่ นทำ� ใหก้ ลมุ่ เสยี่ งมกี ารจดั การดแู ลสขุ ภาพเพอื่ ปอ้ งกนั ไปเจาะเลือดแล้วเป็นเบาหวานต้องมานั่งอดอาหาร โรคเบาหวาน หน้าตาซบู ซดี ก็กลวั ว่าตวั เองจะเปน็ บ้างกไ็ มม่ าแลว้ … …ก็หมอท่ีอนามัยและก็อสม. เขามา 5.2 การรบั ประทานอาหาร แนะนำ� ใหอ้ อกกำ� ลงั กายกนั นะ กนิ อยอู่ ะไรกใ็ หถ้ กู ไมก่ นิ หวาน กนิ มัน กินเคม็ ขา้ วใหก้ ินน้อยหนอ่ ย จะไดไ้ มเ่ ป็น …ใหป้ า้ ออกกำ� ลงั กายกพ็ อทำ� ไดอ้ ยนู่ ะ แต่ เบาหวาน ไขมัน ความดันง้ี เราก็ท�ำ ดีเสียอีกอยากให้ มาให้หยุดกินนี่ยังท�ำใจไม่ได้ ของมันชอบกินน่ะ บางที น้�ำหนักมันลงด้วย กลัวว่าเป็นแล้วบางคนต้องตัดแขน ลกู ๆ เขากซ็ อื้ มาใหก้ นิ นะ่ ถา้ แมไ่ มก่ นิ เขาจะเสยี ใจซ…ี ท�ำ ตัดขาเลยกม็ …ี อะไรกนั กนิ ในบา้ นกก็ นิ ดว้ ยกนั นแ่ี หละ่ กนิ เหมอื นๆ กนั … 4. การรับรู้ผลของการจัดการสุขภาพเพื่อ 5.3 ด้านการออกก�ำลังกาย ชุมชนไม่มี ป้องกนั และควบคมุ โรคเบาหวานในชุมชน สถานทอ่ี อกกำ� ลงั กาย ขาดผนู้ ำ� ในการใหแ้ รงจงู ใจในการ ออกกำ� ลังกายอยา่ งต่อเนอื่ ง การรับรู้ผลของการจัดการดูแลสุขภาพ ของผรู้ ว่ มวจิ ยั เพอ่ื ปอ้ งกนั โรคเบาหวานในชมุ ชนแบง่ เปน็ …บา้ นเราไม่รู้จะไปเดนิ ไปว่งิ ทไ่ี หน ที่ทาง 2 ด้าน คือ ไม่มี ไม่เห็นใครเขาไปวงิ่ กนั อายเขาน่ะ เรากไ็ ด้แตข่ ยับ เสน้ ขยบั สายเองในบา้ นเรานแี่ หละ่ เมอื่ กอ่ นกม็ พี วกอสม. 4.1 ด้านรา่ งกาย มีการรบั ร้ผู ลจากการท่ี มานำ� ออกกำ� ลงั กายนะ ฉนั กไ็ ป ร�ำไมพ้ ลองบา้ ง มวยจนี มีรา่ งกายแข็งแรงทำ� ใหไ้ มเ่ ป็นโรคเบาหวาน บา้ ง พกั เดยี วเอง ตอนนไี้ มม่ แี ลว้ ไมม่ คี นไปนะ่ เขาไมว่ า่ ง …คนเราถา้ แขง็ แรงแลว้ กส็ บายจะเดนิ เหนิ ตอ้ งเลี้ยงลูกเล้ียงหลานกนั … อะไรก็คลอ่ งแคล่ว ท�ำอะไรก็สะดวก ทำ� งานท�ำการอะไร ก็ได้ไมม่ ีปัญหาอยู่แลว้ … 6. แนวทางการแกไ้ ขปัญหา การจัดการดแู ล สขุ ภาพเพอื่ ป้องกนั และควบคมุ โรคเบาหวานในชุมชน 4.2 ดา้ นจติ ใจ มกี ารรบั รวู้ า่ ตนเองสบายใจ ชุมชนเสนอแนวทางการจัดการแก้ปัญหา จติ ใจรา่ เรงิ ไมต่ อ้ งกงั วลวา่ ตนเองจะเปน็ โรคเบาหวาน ไว้ 3 ด้านดังนี้ …เด๋ียวน้ีมีความสุขแล้วค่ะ พวกเราทั้ง 6.1 การรับประทานอาหาร ประเด็นท่ี บ้านตื่นตัวกันไปออกก�ำลังกายทุกเย็น ว่ิงบ้างเดินบ้าง ต้องการแก้ไขคือการขาดการย้ังคิดเม่ือได้รับประทาน ปั่นจักรยานไปตามเร่ือง รู้สึกเลยว่าร่างกายกระปร้ี อาหารท่ชี ่นื ชอบ ความยากจน และการซือ้ อาหารมารับ กระเปร่าสดช่ืนข้ึนกว่าแต่ก่อน มีเวลาคุยกันพ่อแม่ลูก ประทาน ท�ำให้ไม่สามารถจ�ำกัดรสชาติของอาหารได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นโรคท่ีเขาเป็นกัน เบาหวาน แนวทางการแกไ้ ขพบวา่ กลมุ่ เสย่ี งมคี วามตอ้ งการในเรอื่ ง ความดัน พวกน้ีค่ะ… 1) ความรู้เร่ืองอาหารป้องกันโรคเบาหวาน 2) วิธีการ 5. ปญั หาและอปุ สรรค ในการจดั การสขุ ภาพ ปฏิบัติตัวท่ีเหมาะสมเร่ืองการรับประทานอาหารเพ่ือ เพอื่ ป้องกันและควบคมุ โรคเบาหวานในชุมชน ปอ้ งกนั โรคเบาหวาน 3) การตดิ ตามดแู ลการรบั ประทาน
28 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 อาหารของกลุ่มเสี่ยง 4) บุคคลตัวอย่างท่ีมีการจัดการ 7. กลวธิ กี ารปอ้ งกนั และควบคมุ โรคเบาหวาน เรื่องการรับประทานอาหารท่ีดี 5) การรณรงค์ประชา- ของชมุ ชน สมั พนั ธก์ ารรบั ประทานอาหารปอ้ งกนั โรคเบาหวานอยา่ ง ต่อเน่ืองในชุมชน และ 6) การส่งเสรมิ กิจกรรมอาหารดี จากการประชุมระดมสมองได้กลวิธีการ และปลอดภัยกับรา้ นขายอาหาร ป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานของชุมชนดังน้ีคือ 1) มีการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเบาหวานให้มากข้ึนโดยเพิ่ม …ปกติบ้านเราก็กินผักกินน�้ำพริกกันตาม จ�ำนวนวันการให้บริการ 2) สร้างแนวทางการให้ค�ำ ประสาแหล่ะ ไม่ค่อยได้กินเนื้อกินหมูกันหรอก แต่เห็น แนะน�ำการปฏิบัติตัวตามความเส่ียง 3) จัดท�ำสมุด คนเขาเปน็ เบาหวานกนั เยอะกอ็ ยากใหห้ มอเขามาแนะนำ� บนั ทกึ สขุ ภาพของกลมุ่ เสย่ี งเพอ่ื สรา้ งความตระหนกั และ ว่ากนิ ยังไง ทำ� ยงั ไงถงึ จะไม่เป็น มาใหค้ วามรกู้ ัน.. การลงมือปฏิบัติซึ่งสามารถประเมินได้จากการบันทึก กิจกรรม สมุดบันทึกประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล 6.2 การออกกำ� ลงั กาย แนวทางการแกไ้ ข การประเมินระดับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน เกยี่ วกบั การออกกำ� ลงั กายในชมุ ชนพบวา่ มคี วามตอ้ งการ ด้วยตนเอง มีการบันทึกกิจกรรมที่กลุ่มเส่ียงปฏิบัติใน ในเรื่องต่อไปนี้คือ 1) แรงจูงใจในการออกก�ำลังกาย แตล่ ะวัน และ 4) เสรมิ ทักษะการปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรม 2) การออกกำ� ลงั กายเปน็ กลมุ่ และมผี นู้ ำ� ในการออกกำ� ลงั กาย เพ่ือลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน โดยการแลก 3) ความรู้เก่ียวกับหลักการและวิธีการออกก�ำลังกายที่ เปล่ยี นเรยี นรู้ภายในกลมุ่ ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกันโรคเบาหวาน 4) สถานท่ีออกก�ำลังกายท่ีเหมาะสมในชุมชน และ อภปิ รายผล 5) การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้คนในชุมชนมีการ ออกก�ำลังกายอยา่ งสม่�ำเสมอ จากการศึกษาสถานการณ์การจัดการสุขภาพ ของกลมุ่ เสย่ี งโรคเบาหวานในชมุ ชนบา้ นมว่ งหวาน ไดร้ บั …ผมบอกผู้ใหญ่ว่าอยากให้คนบ้านเรามา ความร่วมมือจากอสม. และผู้น�ำชุมชนในการประชา- ออกก�ำลังกายก็หาที่ให้เขาซี ลานวัดก็ได้ จัดไปเลยคน สมั พนั ธแ์ ละประเมนิ ความเสย่ี งตามแบบคดั กรองโรคเบา เขาจะได้มาออกก�ำลังกายกัน ให้มีคนมาท�ำให้ดูนะว่า หวานด้วยวาจา สมาชิกในครอบครัวให้ความร่วมมือใน ออกกำ� ลงั กายยงั ไง หมออนามยั กไ็ ด้ อสม. กไ็ ด้ นดั กนั ไป การกระตนุ้ คนในครอบครวั ออกมารบั การตรวจคดั กรอง เลยวา่ วันไหนตอนไหน… ผทู้ ม่ี ปี ระวตั ญิ าตสิ ายตรงเปน็ โรคเบาหวานรบั รวู้ า่ ตนเอง มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน การจัดการดูแล 6.3 การด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ แนว สุขภาพเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ได้แก่ ทางการแก้ไขเกี่ยวกับการดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ใน การควบคุมอาหาร เพ่ิมการรับประทานผัก ธัญญาพืช ชุมชนคือ 1) ประชุมร่างกฎชุมชน ลด ละ เลิกการด่ืม ผัก ผลไม้ที่มีกากใยสูง ถึงแม้ว่ากลุ่มเสี่ยงจะทราบวิธี เคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ 2) การประชาสัมพันธ์และการ การรับประทานอาหารเพ่ือป้องกันโรคเบาหวาน แต่ รณรงค์งดการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องใน เปน็ การยากทจ่ี ะปฏบิ ตั ไิ ดต้ อ่ เนอ่ื ง ซง่ึ การควบคมุ อาหาร ชมุ ชน และ 3) อบรมสรา้ งความตระหนกั ในการป้องกัน มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน�้ำตาลในเลือด การดม่ื แอลกอฮอล์ สอดคล้องกับการศึกษาที่ผ่านมา13,15,16,17,18 พบว่า พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโรค …กย็ ังเหน็ กินเหล้ากันอยู่เลย มนั จะมกี ๊วน เบาหวานชนิดท่ี 2 คะแนนเฉลีย่ ด้านการควบคมุ อาหาร ของเค้าอยู่นะ ประกาศกันไปเลยให้เลิกกิน ออกกฎ อยู่ในระดับต่�ำถึงปานกลาง ทั้งน้ีอาจเป็นผลจากผู้ร่วม ระเบยี บกนั ไปเลยง้ี ใครไมท่ ำ� ตามกป็ รบั หรอื ลงโทษกนั ให้ วจิ ยั ไมส่ ามารถควบคมุ การรบั ประทานอาหารของตนเอง จริงจัง เด๋ียวก็เลกิ เองแหล่ะ…
วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 29 ได้ มีการรับประทานอาหารตามความชอบ การรับ- ตอ่ เนือ่ ง สถานที่ในการออกกำ� ลงั กายไมเ่ หมาะสม ไม่มี ประทานข้าวปริมาณมาก และมีโอกาสเลือกชนิดของ ผนู้ ำ� ออกกำ� ลงั กาย ซงึ่ การขาดการออกกำ� ลงั กายอยา่ งตอ่ อาหารทรี่ บั ประทานไดน้ อ้ ยเนอ่ื งจากภาวะเศรษฐกจิ ของ เน่ืองเป็นปัจจัยท�ำนายการควบคุมระดับน้�ำตาลในเลือด ครอบครัว ทไ่ี ม่ดซี ึง่ สอดคลอ้ งกับการศกึ ษาท่ีผ่านมา15,16,19,20 พบว่า คะแนนเฉลยี่ ดา้ นการออกกาํ ลงั กายอยใู่ นระดบั ตำ�่ ชมุ ชน การทผ่ี รู้ ว่ มวจิ ยั มกี ารจดั การสขุ ภาพเพอื่ ปอ้ งกนั ขาดสถานท่ีให้ประชาชนรวมกลุ่มออกกําลังกาย ขาด โรคเบาหวาน อาจเป็นเพราะการรับรู้ถึงความน่ากลัว ผู้นําในการออกกําลังกายท่ีชัดเจน ไม่มีแรงจูงใจในการ ของการเป็นโรคเบาหวาน การได้รับค�ำแนะน�ำจาก ออกกําลังกาย เจา้ หน้าที่ รพ.สต. ผู้นำ� ชุมชน อสม. สมาชกิ ในครอบครวั เป็นการดูแลสุขภาพโดยการมีส่วนร่วม ด้านการออก แนวทางการแก้ปัญหาการจัดการดูแลสุขภาพ ก�ำลังกายกลุ่มเส่ียงมีการออกก�ำลังกายมากข้ึน ปัจจัยที่ ของกลมุ่ เสย่ี งเบาหวานของคนในชมุ ชนประกอบดว้ ยการ มีผลต่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการป้องกันการเกิด ควบคุมการรบั ประทานอาหาร การออกกำ� ลังกาย และ โรคเบาหวานคือความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ รูปแบบ ลดการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ โดยคนในชุมชนคิดว่า กิจกรรมท่จี ัด ระบบการดแู ลของ รพ.สต. หลังจากมีการ พฤติกรรมดังกล่าวเป็นสาเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดโรค เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผู้ร่วมวิจัยรับรู้ได้ถึงผลของการ เบาหวานและสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่าน้ันได้ จัดการดูแลสุขภาพในด้านร่างกายคือรับรู้ว่าตนเองมี ซงึ่ สอดคลอ้ งกับการศึกษาทผ่ี า่ นมา21 พบว่าผทู้ ่ีทราบวา่ ร่างกายแขง็ แรง ไม่มขี ้อจ�ำกัดในการเคลอื่ นไหวร่างกาย ตนเองเปน็ กลมุ่ เสยี่ งเบาหวานไดบ้ นั ทกึ รายงานพฤตกิ รรม ขณะเดยี วกนั ดา้ นจติ ใจกค็ อื รบั รวู้ า่ ตนเองสบายใจ มจี ติ ใจ เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวานของตนเอง มีการ รา่ เรงิ และไมต่ อ้ งกงั วลวา่ จะตอ้ งเปน็ โรคเบาหวานเพราะ พยายามลดหรือควบคุมน�้ำหนักตัว มีการลดการรับ- ไดอ้ อกกำ� ลงั กายเปน็ ประจำ� สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ ประทานไขมันและพลังงานและมีการเพิ่มกิจกรรมทาง Sawangsri19 พบวา่ หลงั จากทก่ี ลมุ่ เสยี่ งเปน็ โรคเบาหวาน กายหรือมกี ารออกกำ� ลงั กาย ได้ผ่านโครงการป้องกันโรคเบาหวานจากเจ้าหน้าที่ สาธารณสุขเม่ือกลับไปอยู่ท่ีบ้าน พบว่ากลุ่มเสี่ยงมีการ กลวธิ กี ารปอ้ งกนั และควบคมุ โรคเบาหวานของ ดแู ลสขุ ภาพตนเองดา้ นการรบั ประทานอาหาร มกี ารปรบั ชุมชน ประกอบดว้ ย 1) การคัดกรองกล่มุ เสย่ี งเปน็ โรค เปลย่ี นเกยี่ วกบั วธิ กี ารปรงุ อาหาร ดา้ นการออกกำ� ลงั กาย เบาหวาน 2) การให้ค�ำแนะน�ำการปฏิบัติตัวตามความ กลมุ่ เสย่ี งมกี ารออกกำ� ลงั กายมากขนึ้ เส่ียง 3) การจัดท�ำสมุดบันทึกสุขภาพของกลุ่มเส่ียง และ 4) การเสรมิ ทกั ษะการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอ่ื ลด ปญั หาและอปุ สรรคในการจดั การดแู ลสขุ ภาพ ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน โดยการแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันโรคเบาหวานในด้านการรับบริการตรวจคัด เรียนรู้ การจัดกิจกรรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเสี่ยง กรองเบาหวานของผู้ร่วมวิจัย สาเหตุเกิดจากผู้ร่วมวิจัย ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Nakhamin13 ที่พบว่า ต้องท�ำงาน ไม่มีเวลามาตรวจ และไม่ต้องการมาตรวจ วธิ กี ารเพมิ่ ความรู้ สรา้ งความตระหนกั และความเขา้ ใจที่ เพราะกลัวจะพบว่าเป็นโรค ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษา ถูกต้องเป็นวิธีท่ีท�ำให้กลุ่มเสี่ยงท่ีได้รับรู้โอกาสเส่ียงเห็น ที่ผ่านมา16,20,21 พบว่าการให้บริการตรวจคัดกรองเบา ความสำ� คญั ของการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมและการสรา้ ง หวาน ไม่สามารถเข้าถงึ ทุกกล่มุ ได้โดยกล่มุ เสีย่ งเป็นโรค การมีส่วนร่วม ซึ่งเปน็ วธิ ีสำ� คัญทจ่ี ะท�ำให้เกิดการพฒั นา เบาหวานที่มีอาชีพรับจ้างจะไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง ที่ย่ังยนื โรคเบาหวานเนอื่ งจากไม่มีเวลามาตรวจ จากการศึกษา ครั้งน้ีพบว่าผู้ร่วมวิจัยขาดการออกก�ำลังกายอย่าง ส่ิงท่ีผู้วิจัยได้เรียนรู้จากงานวิจัยนี้คือกระบวน การดึงศักยภาพและทรัพยากรท่ีมีอยู่ในชุมชนออกมาใช้
30 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 จัดการและดูแลสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน 2. รพ.สต. สามารถนำ� รปู แบบการจดั การและ เรียนรู้กระบวนการคิด วิธีการแก้ปัญหาจากมุมมองที่ การดูแลสุขภาพของกลุ่มเส่ียงโรคเบาหวานในชุมชน หลากหลายและภูมิปญั ญา การเปน็ ผูร้ ับฟังทด่ี ี ไมต่ ัดสนิ บ้านม่วงหวานไปประยุกต์ใช้ในการป้องกันและควบคุม ในสิ่งที่ได้ยินและได้ฟัง เปิดใจรับฟังในสิ่งท่ีคนในชุมชน โรคเบาหวานในชุมชนท่ีมีบริบทใกล้เคียงกับชุมชนที่ คิดและสื่อสารออกมาผ่านการบอกเล่า และการร่วมมือ ศึกษา ร่วมใจกันแก้ไขปัญหาท่ีตรงกับวิถีชีวิตจริงของคนใน ชมุ ชน การทผี่ รู้ ว่ มวจิ ยั ยงั ไมไ่ ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ เปน็ ผปู้ ว่ ย บทสรปุ เบาหวานนบั เปน็ การยากทจ่ี ะเกดิ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม การจดั การสขุ ภาพของกลมุ่ เสย่ี งโรคเบาหวาน เพอ่ื ลดโอกาสเสยี่ งการเกดิ โรคเบาหวานได้ แตถ่ า้ หากได้ ในชุมชนบ้านม่วงหวานท่ีประสบความส�ำเร็จคร้ังน้ี รบั การกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความตระหนกั และสรา้ งความเขา้ ใจ ส่วนหน่ึงเกิดจากสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างผู้วิจัยกับคน ให้ผู้ร่วมวิจัยเห็นความส�ำคัญของการลดปัจจัยเส่ียงการ ในชุมชน โดยผู้วิจัยใช้ระยะเวลา 5 เดือนในการศึกษา เกิดโรคเบาหวานตามระดับความเส่ียงของแต่ละบุคคล บรบิ ทของชมุ ชนและเกบ็ ขอ้ มลู วจิ ยั ทำ� ใหค้ นในชมุ ชนให้ เปิดโอกาสให้เลือกท�ำกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับวิถี ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและเห็นประโยชน์ของการ ชีวิต ซึ่งควรเป็นกิจกรรมท่ีท�ำได้ง่าย ไม่เป็นการบังคับ เขา้ รว่ มโครงการวจิ ยั เพอื่ แกป้ ญั หาความเสยี่ งตอ่ การเกดิ และผู้ร่วมวิจัยเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสมัครใจ จะ โรคเบาหวาน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ได้ให้บริการตรวจ ทำ� ใหเ้ กดิ การปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมไดง้ า่ ยขนึ้ อกี ประการ สุขภาพ ผูน้ ำ� ชุมชนรว่ มรับร้ปู ญั หาและเปน็ แบบอย่างใน หน่ึงชุมชนเป็นระบบเปิดมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอด การดูแลสุขภาพ อสม. ให้ข้อมูลและดูแลสุขภาพกลุ่ม เวลา ดังนั้นการท�ำงานร่วมกับคนในชุมชนต้องใช้ความ เสย่ี ง และสมาชกิ ในครอบครวั กลมุ่ เสย่ี งไดช้ ว่ ยเหลอื ดา้ น ยืดหยุ่นสูง การศึกษาบริบทของชุมชนและวิถีชีวิตของ การจัดการสขุ ภาพ ผู้ร่วมวิจัยแต่ละคนต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรใน การท�ำความเข้าใจเพอ่ื การอภิปรายขอ้ สรุปที่ถกู ตอ้ ง กิตติกรรมประกาศ ขอ้ เสนอแนะ งานวจิ ยั นไ้ี ดร้ บั ทนุ สนบั สนนุ จากทนุ งบประมาณ แผ่นดิน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประจ�ำปี 1. ควรมกี ารศกึ ษากระบวนการประเมนิ ชมุ ชน งบประมาณ 2558 แบบมีส่วนร่วมมาใช้ในการดึงศักยภาพของคนในชุมชน เพื่อการพัฒนา หรือการแก้ไขปัญหาในด้านอ่ืนๆ ของ ชมุ ชน
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 31 References complications in Thailand: a complete 1. World Health Organization. Global report on picture of economic burden. Health Soc diabetes. World Health Organization; Care Community 2011; 19(3): 289-98. 2016. (In Thai) 2. International Diabetes Federation. IDF 9. Thai National Health Examination Survey V Diabetes Atlas, 8th ed. Brussels, Belgium: Study Group. Thai National Health International Diabetes Federation; 2017. Examination Survey, NHES V. 3. American Diabetes Association. Classification Nonthaburi, Thailand: National Health and Diagnosis of Diabetes. Diabetes Care Examination Survey Office, Health 2017; 40 (Suppl. 1): S11-S24; DOI: System Research Institute; 2016. 10.2337/dc17-S005 10. Zhang P, Zhang X, Brown J, Vistisen D, Sicree 4. Miot A, Ragot S, Hammi W, Saulnier PJ, R, Shaw J, et al. Global healthcare Sosner P, Piguel X, et al. Prognostic expenditure on diabetes for 2010 and value of resting heart rate on 2030. Diabetes research and clinical cardiovascular and renal outcomes in practice 2010; 87(3): 293-301. type 2 diabetic patients: a competing 11. National 5-Year NCD Disease Prevention and risk analysis in a prospective cohort. Control Strategy Plan for 2017- 2021. Diabetes Care 2012; 35(10): 2069–75; Bureau of Non-Communicable Diseases, DOI: http://dx.doi.org/10.2337/dc11- Department of Disease Control, Ministry 2468. of Public Health; 2017. 5. Yau JW, Rogers SL, Kawasaki R, Lamoureux 12. Mahapram Sub-district. Mahapram Sub- EL, Kowalski JW, Bek T, et al. Global district [Internet]. 2014 [cited 2019 Jan prevalence and major risk factors of 21]. Available from: http://www. diabetic retinopathy. Diabetes care thaitambon.com/tambon/ttambon. 2012; 35(3): 556-64. asp?ID=140505. 6. Chronic Kidney Disease Prevention Project 13. Nakhamin K, Chomnirutana W, Limtragool in Hypertension and Diabetes Patients P. Diabetes prevention strategies by 2559. Nonthaburi, Thailand: Department community participation. Journal of of Disease Control, Ministry of Public nurses’ association of Thailand, North- Health; 2016. Eastern Division 2013; 31(1):43-51. 7. Lima VC, Cavalieri GC, Lima MC, Nazario NO, (In Thai) & Lima GC. Risk factors for diabetic 14. Lincon,Y.S., Guba, E.G. Naturalistic Inquiry. retinopathy: a case-control study. New Yoek ; SAGE Publication. 1985 International journal of retina and 15. Kerdonfag P, Wongsunopparat B, vitreous 2016; 2(1): 21-7; DOI 10.1186/ Udomsubpayakul U, Nuntawan C. s40942-016-0047-6 Perceived risk, criteria-based risk to 8. Chatterjee S, Riewpaiboon A, Piyauthakit P, Diabetes Mellitus, and health-promoting Riewpaiboon W, Boupaijit K, Panpuwong lifestyles in the first degree relatives of N, et al. Cost of diabetes and its persons with Diabetes Mellitus. Rama
32 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 Nurs J 2010; 16(2): 169-84. (In Thai) Diabetes Mellitus in community. Journal 16. Suwattanakul T. Factors related to blood of the Royal Thai Army Nurses 2015; sugar control among Diabetes Mellitus 16(1): 116-22. (In Thai) type 2 patients. Journal of Health 20. Eticha T, Mulu A, Gebretsadik H, Kahsay G, Systems Research 2018; 12(3): 515-22. Ali DYR. Factors associated with poor (In Thai) glycemic control in type 2 diabetic 17. Puttaruk U, Bumrerraj S. Factors related to patients investigated at Ayder referral control blood sugar among diabetes hospital, Mekelle, Ethiopia. Ijppr Human mellitus type 2 patients, treated at Kang 2016; 6(3): 160–71. Pla Health Promoting Hospital, Loei 21. Kurnia AD, Amatayakul A, Karuncharernpanit province. Community Health S. Predictors of diabetes self- Development Quarterly Khon Kaen management among type 2 diabetics University 2015; 3(1): 19-35. (In Thai) in Indonesia: Application theory of the 18. Buraphunt R, Muangsom N. Factors affecting health promotion model. International uncontrolled type 2 diabetes mellitus Journal of Nursing Sciences 2017; 4(3): of patients in Sangkhom Hospital, 260-65. Udonthani province. KKU Journal for 22. Kurnia AD, Amatayakul A, Karuncharernpanit Public Health Research 2013; 6(3): 102- S. Diabetes self-management among 9. (In Thai) adults with type 2 Diabetes Mellitus in 19. Sawangsri W, Intaranongpai S. The Malang, Indonesia. International Journal development of health promotion of Tropical Medicine 2017; 12(2): 25-8. model for prevention new cases of
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปีที่ 31 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน - ธันวาคม 2562 33 บทความวจิ ัย ผลของโปรแกรมสง่ เสริมการดูแลตนเองต่อพฤตกิ รรมการดูแล ตนเองภายหลงั การผ่าตดั ลดนำ้� หนกั ของผปู้ ่วยโรคอว้ น ศภิ าพันธ์ ลวสุต* และ รุง้ ระวี นาวีเจริญ** คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย อาคารบรมราชชนนีศรศี ตพรรษ เขตปทมุ วนั กรุงเทพมหานคร 10330 บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: 1) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วน ภายหลังได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง และ 2) เพ่ือเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเอง ภายหลังการผ่าตัดลดน�้ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วน ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง กบั กลุ่มทไ่ี ด้รับการพยาบาลตามปกติ แบบแผนงานวจิ ัย: การวิจยั แบบก่งึ ทดลอง วิธีด�ำเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคอ้วนทั้งเพศชายและหญิง อายุ 18-59 ปี ภายหลังได้รับ การผ่าตัดลดน�้ำหนักท่ีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จ�ำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 15 คน จบั ค่ดู ้วยเพศ อายุ และชนดิ การผ่าตดั กลุ่มควบคุมไดร้ บั การพยาบาลตามปกติ กลมุ่ ทดลอง ไดร้ ับโปรแกรมสง่ เสริมการดแู ลตนเอง ท่ผี ู้วิจยั สร้างขึน้ ตามกรอบแนวคิดทฤษฎกี ารดแู ลตนเองของ Orem ร่วมกับแนวทางการบ�ำบัดรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัดลดน�้ำหนัก ประกอบด้วย 2 ระยะ คือ 1) ระยะการให้ความรู้และการสนับสนุนภายหลังการผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล และ 2) ระยะการให้ การสนับสนุนเมื่อกลับบ้าน เก็บรวบรวมข้อมูล 8 สัปดาห์ ด้วยแบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลัง การผา่ ตัดลดน�้ำหนกั มีค่าสัมประสิทธ์แิ อลฟา่ ครอนบาคเทา่ กบั .81 วเิ คราะหข์ อ้ มูลด้วยสถิตเิ ชงิ พรรณนา และสถิติทดสอบที ผลการวิจัย: 1) ผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังได้รับการผ่าตัดลดน�้ำหนักกลุ่มท่ีได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแล ตนเอง มพี ฤตกิ รรมการดแู ลตนเองอยู่ในระดับดี (Mean = 4.13± SD. = 0.25) และ 2) ผ้ปู ่วยโรคอ้วน ภายหลงั ไดร้ บั การผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั โปรแกรมสง่ เสรมิ การดแู ลตนเองมพี ฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง (Mean = 4.13 ± SD. = 0.25) ดกี ว่ากลมุ่ ท่ไี ด้รบั การพยาบาลตามปกติ (Mean = 3.68 ± SD. = 0.31) อยา่ งมีนัยส�ำคัญทร่ี ะดบั .05 สรุป: โปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองนี้ ควรน�ำไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองภาย หลงั การผา่ ตัดลดน้ำ� หนกั ใหก้ ับผูป้ ่วยโรคอ้วน ค�ำส�ำคัญ: ผ้ปู ว่ ยโรคอว้ น/ ภายหลงั การผา่ ตัดลดน�ำ้ หนกั / โปรแกรมสง่ เสรมิ การดูแลตนเอง/ พฤตกิ รรม การดแู ลตนเอง วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั 2562, 31(3) : 33-46 * นิสิตหลกั สตู รพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพยาบาลศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ** ผรู้ บั ผดิ ชอบหลกั ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย อาจารย์ท่ปี รึกษาวิทยานพิ นธ์ Email: [email protected]
34 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 TPhoesEt-fBfeacritatorficSSeulfr-gCearryeSEenlfh-MaCnoacrrebeimdBeeOhnbatvePisoreorsgPraaamtmieonontngs Sipaphan Lavasut* and Rungrawee Navicharern** Abstract Purpose: 1) To study the self-care behaviors post-bariatric surgery among morbid obese patients who received the self-care enhancement program. 2) To compared the self-care behaviors post-bariatric surgery among the control group and the experimental group. Design: Quasi-experimental research. Methods: The 30 patients were male and female with morbid obese patients, aged between 18-59 years old, receiving post-bariatric surgery at King Chulalongkorn Memorial Hospital. They were hospitalized and assigned to the control and the experimental group (15 persons in each group), and matched pair by gender, age and type of operation. The experimental group received the self-care enhancement program based on Orem’s self-care, consisted of 2 phases;1st) Educative-Supportive program in the hospital and 2nd) Supportive program with telephone called post discharge, while the control group received conventional care. The data were collected at 8th weeks by using 1) The demographic data form, and 2) Self-care behaviors post-bariatric surgery questionnaire. The instruments were tested for content validity and cronbach’s alpha coefficient was .81. Descriptive statistics and Independent t-test were used for the data analysis. Results: 1) The self-care behaviors post-bariatric surgery among morbid obese patients who received the self-care enhancement program had a good level (Mean = 4.13). 2) The self-care behaviors post-bariatric surgery among the experimental group receiving the self-care enhancement program (Mean = 4.13 ± SD. = 0.25) were significantly better than the control group receiving the conventional care (Mean = 3.68 ± SD. = 0.31) (p<.05). Conclusion: This program can be used to enhance self-care behaviors among morbid obese patients on post-bariatric surgery. Keywords: Morbid obese patients/ Post-Bariatric surgery/ Self-care enhancement program/ Self-care behaviors Journal of Nursing Science Chulalongkorn University 2019, 31(3) : 33-46 Article info: Received May 24, 2019; Revised July 10, 2019; Accepted July 20, 2019 * Student in Master of Nursing Science Program, Faculty of Nursing, Chulalongkorn University ** Corresponding author, Assistance Professor, Faculty of Nursing, Chulalongkorn University. Research Advisor. Email: [email protected]
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปที ่ี 31 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน - ธนั วาคม 2562 35 บทนำ� อาหาร (Adjustable gastric banding; AGB) การ ผา่ ตดั กระเพาะอาหารออกบางสว่ น (Sleeve gastrectomy; ผู้ป่วยโรคอ้วน (Morbid obese patients) SG) และการผา่ ตดั กระเพาะอาหารออกบางส่วนร่วมกับ เปน็ ปญั หาทางสาธารณสุขในปัจจุบนั ผปู้ ่วยกลุม่ นี้เป็นผู้ การตัดต่อกระเพาะอาหารและล�ำไส้ (Roux-en-Y ที่มีคา่ ดชั นมี วลกาย ≥ 40 กก./ม.2 และมีไขมนั สะสมใน gastric bypass; RYGB) การผ่าตัดแต่ละวิธีจะประสบ ร่างกายจ�ำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณช่องท้องและ ผลส�ำเร็จเมื่อผู้ป่วยสามารถคงสภาพการลดน�้ำหนัก อวัยวะต่างๆ ก่อให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินส่งผลให้เกิด ส่วนเกินได้มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 50 ของน�้ำหนัก กลุ่มโรคเมตาบอลิก1 มีระบบการหายใจที่ผิดปกติก่อให้ ต้ังต้นก่อนผ่าตัด9 ด้วยการมีพฤติกรรมการดูแลตนเอง เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ2 และยังก่อให้เกิด ภายหลงั การผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั รว่ มดว้ ยทกุ ราย เพอื่ ปอ้ งกนั โรคเรอ้ื รงั ตา่ งๆ มากมาย รวมทงั้ ทำ� ใหค้ ณุ ภาพชวี ติ ลดลง3 หรือลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัดและมีการ และเพิ่มอุบัติการณ์การเจ็บป่วยและอัตราตายก่อนวัย ลดลงของน้�ำหนักสว่ นเกนิ อยา่ งต่อเนื่อง อันควร1 ดังนั้นจึงจ�ำเป็นต้องหาวิธีการและการรักษา ชว่ ยเหลือผู้ป่วยโรคอ้วนดงั กลา่ ว พฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัด ลดน้�ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วน เป็นการปฏิบัติตาม ปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดลดน้�ำหนัก แนวทางการบำ� บดั รกั ษาผปู้ ว่ ยโรคอว้ นภายหลงั การผา่ ตดั (Bariatric surgery) โดยการผา่ นกลอ้ ง (Laparoscopy) ลดนำ�้ หนกั อยา่ งมเี ปา้ หมายดว้ ยตวั ของผปู้ ว่ ยเอง ประกอบ เป็นมาตรฐานที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนและมีแนว ด้วย การปรบั เปลีย่ นชนิด ขนาด ปริมาณ และวิธกี ารใน โน้มท่ีจ�ำนวนการผ่าตัดด้วยวิธีนี้เพิ่มสูงข้ึน สถิติการ การรบั ประทานอาหารและนำ�้ ไดแ้ ก่ การจบิ นำ้� อยา่ งนอ้ ย ผ่าตัดลดน้�ำหนักในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าปี ค.ศ. วนั ละ 1.5 ลติ ร ไมใ่ ชห้ ลอดในการดดู นำ�้ เลอื กรบั ประทาน 2001 มีจำ� นวน 47,000 ราย4 และปี ค.ศ. 2013 เพม่ิ ขนึ้ เนื้อสัตว์ไขมันต�่ำก่อนอาหารชนิดอื่น ตัดแบ่งอาหาร เป็นจ�ำนวน 179,000 ราย5 แต่ส�ำหรับในประเทศไทย เปน็ ช้นิ เลก็ ๆ ขนาดเทา่ ลกู เต๋า และเคี้ยวใหล้ ะเอียดนาน ปี พ.ศ. 2547-2553 พบจำ� นวน 420 ราย6 และสถติ ิการ 30-40 ครั้ง/คำ� ใชก้ ารปรงุ ด้วยวิธีต้ม ตุ๋น ลวก นึง่ อบ ผ่าตัดลดน�้ำหนักท่ีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ปี พ.ศ. ย่าง เป็นต้น10 มีการฝึกบริหารการหายใจและการใช้ 2556-2560 พบจ�ำนวน 250 ราย7 จำ� นวนผู้ปว่ ยทีไ่ ด้รบั เคร่ืองช่วยหายใจแรงดันบวกต่อเนื่อง (Continuous การผ่าตัดแม้จะมีจ�ำนวนไม่สูงเพ่ิมข้ึน แต่นับว่ามีความ positive airway pressure: CPAP) การมีกิจกรรม สำ� คญั ทางกายท่ีเพ่มิ ขน้ึ อย่างน้อยวนั ละ 30 นาที มกี ารปอ้ งกนั และเฝา้ ระวงั การเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นภายหลงั การผา่ ตดั การผ่าตัดมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้น�้ำหนักลดลง มีการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม มีการแสวงหา อย่างต่อเนื่องและลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเร้ือรัง ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เช่ือถือได้ และมีการก�ำกับ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง การลดภาวะหยุด ควบคุมตนเองในด้านต่างๆ เช่น การช่ังน�้ำหนัก การ หายใจขณะหลับ ซ่ึงมีข้อบ่งช้ีส�ำหรับชาวเอเชียคือ ค�ำนวณพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน และการบันทึก การผ่าตดั ผู้ทมี่ ีคา่ ดชั นมี วลกาย ≥ 35 กก./ม.2 หรอื ผูท้ มี่ ี สมดลุ พลงั งาน เป็นต้น ค่าดัชนีมวลกาย ≥ 27.5 กก./ม.2 ร่วมกับมีโรคเร้ือรัง เชน่ โรคหวั ใจ เบาหวาน ความดนั โลหติ สงู เปน็ ต้น8 ซง่ึ อย่างไรก็ตามจากการทบทวนวรรณกรรม หลักการผ่าตัดมีหลายรูปแบบ คือ การจ�ำกัดปริมาตร พบว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนยังคงมีพฤติกรรมการดูแลตนเอง กระเพาะอาหาร และการจำ� กดั ปรมิ าตรกระเพาะอาหาร ภายหลังการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม เน่ืองจากขาดความรู้ ร่วมกับการลดการดูดซึมสารอาหาร และมีเทคนิค เก่ียวกับสภาพร่างกายภายหลังการผ่าตัด10 ขาดแรง การผ่าตัดในปจั จุบันมี 3 วิธี คอื การใช้ยางรัดกระเพาะ
36 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 จงู ใจ11 ส่งผลให้มีพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลงั การ สามารถท�ำให้ลดน้�ำหนักภายหลังการผ่าตัดในผู้ป่วย ผ่าตัดบกพร่อง เมื่อจ�ำหน่ายกลับบ้านแล้วผู้ป่วยไม่ โรคอ้วนได้ ซ่ึงต้องจัดกระท�ำเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปรับ สามารถลดน้�ำหนักได้ตามเป้าหมายท่ีก�ำหนดและอาจมี เปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดน�้ำหนักได้ แนวโน้มน�้ำหนักส่วนเกินกลับคืนมาอ้วนเช่นเดิม มีการ ระยะยาว15 และต้องมีการให้ความรู้เก่ียวกับการรับ ศึกษาพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 30 มีน�้ำหนักส่วนเกินกลับ ประทานอาหาร มีการสนับสนุนทางด้านจิตใจก่อนและ คืนมาเช่นเดียวกับระยะก่อนการผ่าตัดภายใน 2 ปี12 ภายหลงั การผา่ ตดั และตอ้ งมคี วามถใ่ี นการตดิ ตามผปู้ ว่ ย ถงึ แมผ้ ปู้ ว่ ยโรคอว้ นจะไดร้ บั ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ติ น ภายในช่วง 6 เดือนแรก มีการติดตามด้วยวิธีการต่างๆ ก่อนการผ่าตัดมาแล้วจากแพทย์และนักโภชนาการแล้ว เช่น การใช้โทรศัพท์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ โปรแกรม แต่ข้อมูลที่ได้รับยังไม่สามารถท�ำให้ผู้ป่วยจินตนาการ ต้องเน้นเป็นรายบุคคล จะช่วยท�ำให้ผู้ป่วยโรคอ้วนรู้สึก ถึงสภาพการเปล่ียนแปลงของตนเองภายหลังการผ่าตัด มคี วามผกู พนั ธก์ บั บคุ คลากร มเี ปา้ หมายทจี่ ะลดนำ้� หนกั ได้ฉะน้ันผู้ป่วยจึงยังคงต้องการความรู้เก่ียวกับการดูแล และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลัง ตนเอง รวมถงึ แรงจงู ใจในการสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม การผา่ ตดั จงึ จะทำ� ใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ ในการลดนำ�้ หนกั การดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดและเมื่อได้รับการ ระยะยาว16 จำ� หนา่ ยกลับบ้าน13 นอกจากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั เลอื กใชท้ ฤษฎี การพยาบาลตามปกติในผู้ป่วยโรคอ้วนที่เข้า การดูแลตนเองของ Orem17 เป็นกรอบแนวคิดที่ช่วย รับการผ่าตัดลดน�้ำหนัก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรม ช่วง สรา้ งโปรแกรมการดแู ลตนเองอนั นำ� ไปสกู่ ารปรบั เปลยี่ น เวลาทผ่ี า่ นมาเนน้ การดแู ลผู้ปว่ ย 2 ระยะ คอื ระยะการ พฤตกิ รรม เน่อื งจากแนวคดิ ของ Orem ระบุว่า บคุ คล เตรียมตัวผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดและระยะภายหลัง จะมพี ฤตกิ รรรมการดแู ลตนเองไดต้ อ้ งมคี วามรแู้ ละไดร้ บั การผ่าตัด ผู้ป่วยโรคอ้วนในระยะก่อนผ่าตดั ได้รับข้อมูล การสนับสนุนข้อมูลและอารมณ์และต้องมีการรับรู้ จากแพทย์และนักโภชนาการเป็นรายกลุ่มตั้งแต่ที่แผนก สุขภาพของตนเอง เช่นเดียวกันผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลัง ผู้ป่วยนอก และเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อ การผ่าตัดลดน�้ำหนักเป็นผู้ที่มีความพร่องในการดูแล การผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั ผปู้ ว่ ยไดร้ บั การเตรยี มตวั กอ่ นผา่ ตดั ตนเอง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแล เช่นเดียวกับผู้ป่วยศัลกรรมท่ีเข้ารับการผ่าตัดช่องท้อง ตนเองที่ผู้วิจัยเลือกมาจัดกระท�ำกับผู้ป่วยโรคอ้วนภาย ทว่ั ไป และภายหลงั การผา่ ตดั ไดร้ บั การดแู ลจากพยาบาล หลังการผ่าตัดคือ ปัจจัยด้านความรู้ การรับรู้ภาวะ ประจำ� หอผปู้ ว่ ยศลั ยกรรม ไดแ้ ก่ การประเมนิ ความพรอ้ ม สุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม โดยน�ำระบบการ ด้านร่างกาย การดูแลภายหลังการผ่าตัด และการ พยาบาลแบบให้ความรู้และการสนับสนุนมาใช้เพ่ือลด วางแผนจ�ำหน่ายแบบเดียวกับผู้ป่วยศัลยกรรมผ่าตัด ความพรอ่ งและสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดพฤติกรรมการดูแลตนเอง ช่องท้องทั่วไป และไม่ได้รับการประเมิน และการดูแล ที่เฉพาะเจาะจง ไม่มีการต้ังเป้าหมายและการติดตาม ผู้วิจัยเป็นพยาบาลห้องผ่าตัดและท�ำหน้าท่ี เยี่ยมภายหลังจ�ำหน่าย ส่งผลให้ผู้ป่วยยังคงขาดความรู้ ดูแลผู้ป่วยโรคอ้วน ท้ังก่อน ระหว่างและภายหลังการ แรงจงู ใจ ความมนั่ ใจ วนิ ยั และยงั คงมพี ฤตกิ รรมการดแู ล ผ่าตัด (Nursing care in perioperative surgery) มี ตนเองภายหลงั การผา่ ตัดลดนำ�้ หนกั ทไี่ มเ่ หมาะสม14 ความสนใจในการประยุกต์โปรแกรมส่งเสริมการดูแล ตนเองตอ่ พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองภายหลงั การผา่ ตดั ลด จากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ น�้ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วน ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวแบ่ง และการวิเคราะห์อภิมานในต่างประเทศ พบว่า การ เป็น 2 ระยะ คือ 1) การใหค้ วามรู้และการสนับสนนุ ภาย ประยุกต์โปรแกรมที่เน้นการจัดการกับพฤติกรรม หลังการผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล ประกอบด้วยการ
วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ปที ่ี 31 ฉบับท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 37 ประเมินความรู้ผู้ป่วยเป็นรายบุคคล สอน ช้ีแนะและ 2. พฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการ ใหก้ ารสนบั สนนุ ขอ้ มลู เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยสามารถคดิ พจิ ารณา ผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั ของผปู้ ว่ ยโรคอว้ นกลมุ่ ทไี่ ดร้ บั โปรแกรม ไตร่ตรอง และตัดสินใจท่ีจะปฏิบัติพฤติกรรมการดูแล ส่งเสริมการดูแลตนเองดีกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาล ตนเองภายหลังการผ่าตัดให้สอดคล้องกับแนวทางการ ตามปกติ รักษา ใช้ค�ำถามสร้างแรงจูงใจ และส่งเสริมให้มีทักษะ และเป้าหมายในการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเอง วธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ัย ด้านการรับประทานอาหารและน�้ำ ด้านการฝึกบริหาร การหายใจและการใช้ CPAP ด้านการมีสมดุลกิจกรรม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ทางกายและการพักผ่อน ด้านการป้องกันและเฝ้าระวัง (Quasi-experimental research) แบบสองกลมุ่ วดั ผล การเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนัก เปรียบเทียบภายหลังการทดลอง (Posttest-only ด้านการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ด้านการ design with a comparison group) สอบถามข้อมูลจากบุคลากรทางสุขภาพ และด้านการ ควบคมุ ตนเองในดา้ นต่างๆ และ 2) การใหก้ ารสนบั สนนุ ประชากร คอื ผปู้ ว่ ยโรคอ้วนท้ังเพศชายและ ด้านอารมณ์และทักษะต่างๆ ร่วมกับการติดตามเยี่ยม หญิง ที่มีอายุ 18-59 ปี ภายหลังได้รับการผ่าตัดลด ด้วยโทรศัพท์ภายหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการจ�ำหน่าย นำ�้ หนักที่โรงพยาบาลตติยภูมใิ นเขตกรงุ เทพมหานคร เพือ่ กระต้นุ เตือนใหผ้ ู้ป่วยมีแรงจูงใจ มคี วามมั่นใจ และ มีวินัยในการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อลด กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคอ้วนทั้งเพศ นำ้� หนกั ภายหลงั การผา่ ตดั ดา้ นตา่ งๆ จงึ คาดวา่ โปรแกรม ชายและหญงิ ที่มอี ายุ 18-59 ปี ภายหลงั ไดร้ บั การผา่ ตดั ส่งเสริมการดูแลตนเองจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคอ้วน ลดน้�ำหนักที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมีเกณฑ์คัด ภายหลงั การผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั มพี ฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง เข้า คือ เป็นผู้ป่วยโรคอ้วนท่ีได้รับการวินิจฉัยให้เข้า ท่ีดีเพิ่มขน้ึ ภายหลงั การผา่ ตัดและการจ�ำหน่าย รบั การผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั เปน็ ครงั้ แรก ไมม่ ภี าวะแทรกซอ้ น ในระยะวิกฤตและสามารถส่ือสารและเข้าใจได้ด้วย วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั ภาษาไทย 1. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองภาย ก�ำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยเลือกลุ่ม หลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังได้ ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) รบั โปรแกรมส่งเสรมิ การดูแลตนเอง ตามเกณฑค์ ัดเข้าและก�ำหนด จ�ำนวน 30 คน แบ่งเขา้ กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ กลมุ่ ละ 15 คน ผวู้ จิ ยั ทำ� การ 2. เพอ่ื เปรยี บเทยี บพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง จับคู่ (Matched pair) ให้กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมี ภายหลงั การผา่ ตดั ลดนำ้� หนกั ของผปู้ ว่ ยโรคอว้ น ระหวา่ ง ความคล้ายคลึงกันในเร่ืองของเพศ อายุท่ีต่างกันไม่ กลมุ่ ทไี่ ดร้ บั โปรแกรมสง่ เสรมิ การดแู ลตนเองกบั กลมุ่ ทไี่ ด้ เกิน 5 ปี และชนิดการผ่าตัดลดน้�ำหนัก เพ่ือควบคุม รับการพยาบาลตามปกติ ตัวแปรแทรกซอ้ นของการวิจัย สมมติฐานการวิจยั : เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 1. พฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการ 1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผา่ ตดั ลดนำ้� หนกั ของผปู้ ว่ ยโรคอว้ นกลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั โปรแกรม ประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และ ส่งเสรมิ การดแู ลตนเองอยู่ในระดบั ดี 2) แบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัด ลดน�้ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตาม ทฤษฎกี ารดแู ลตนเองของ Orem17 ครอบคลมุ พฤตกิ รรม
38 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 การดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักของผู้ป่วย สนบั สนนุ ในเรื่องความรู้เก่ยี วกับโรคอ้วน การรกั ษาโรค โรคอ้วนท้ัง 8 ด้าน ประกอบดว้ ย ดา้ นการรับประทาน อ้วนด้วยวิธีการผ่าตัด และการปฏิบัติพฤติกรรมการ อาหารและน�้ำ ด้านการฝึกบริหารการหายใจและการ ดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัด ด้านการรับประทาน ใช้ CPAP ด้านการมีสมดุลกิจกรรมทางกายและการ อาหารและน้�ำ ด้านการฝึกบริหารการหายใจและการ พักผ่อน ด้านการป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดภาวะ ใช้ CPAP ด้านการมีสมดุลกิจกรรมทางกายและการ แทรกซ้อน ภายหลังการผ่าตัดลดน�้ำหนัก ด้านการ พักผ่อน ด้านการป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดภาวะ จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ด้านการสอบถาม แทรกซอ้ นภายหลงั การผา่ ตดั ลดนำ้� หนกั ดา้ นการจดั การ ข้อมูลจากบุคลากรทางสุขภาพ และด้านการควบคุม ความเครยี ดอยา่ งเหมาะสม ดา้ นการสอบถามขอ้ มลู จาก ตนเองในดา้ นตา่ งๆ เปน็ ขอ้ คำ� ถามปลายปิด มขี ้อค�ำถาม บุคลากรทางสุขภาพ และด้านการควบคมุ ตนเองในดา้ น ท้ังทางบวกและทางลบจ�ำนวน 32 ข้อ ระดับการวัด ต่างๆ และ 2) ระยะการให้การสนับสนุนเม่ือกลับบ้าน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 โดยการตดิ ตามเยยี่ มผปู้ ว่ ยทางโทรศพั ท์ 2 ครงั้ ในสปั ดาห์ ระดบั ระดบั 1 หมายถงึ ไมป่ ฏิบตั ิเลย ระดบั 2 หมายถึง ที่ 3 และ 6 ภายหลังผ่าตัด และติดตามเยี่ยมผู้ป่วย ปฏิบัตินานๆ คร้ัง ระดับ 3 หมายถึง ปฏิบัติปานกลาง ท่ีคลินิกศัลยกรรมโรคอ้วน แผนกผู้ป่วยนอกในสัปดาห์ ระดับ 4 หมายถงึ ปฏิบัติบ่อยๆ และระดับ 5 หมายถึง ท่ี 4 ภายหลงั ผา่ ตดั ใชเ้ วลาครั้งละ 15 นาที มกี จิ กรรม ปฏบิ ตั เิ ปน็ ประจำ� มคี ะแนนรวมระหวา่ ง 32-160 คะแนน คือ การช้ีแนะและการสนับสนุน ทางด้านอารมณ์และ ใช้เกณฑ์การแปลผลคะแนนของ Srisa - Ard18 คือ ค่า ทักษะการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการ เฉลี่ย 4.21-5.00 มพี ฤตกิ รรมการดูแลตนเองในระดับดี ผ่าตัดด้านต่างๆ มีการก�ำหนดเป้าหมายการปฏิบัติร่วม มาก ค่าเฉล่ีย 3.41-4.20 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองใน กันเป็นระยะ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการพัฒนาความ ระดบั ดี ค่าเฉลย่ี 2.61-3.40 มีพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง สามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเองได้อย่าง ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย 1.81-2.60 มีพฤติกรรม ถูกต้อง ใช้ระยะเวลาในการด�ำเนินกิจกรรมท้ังสิ้น 8 การดูแลตนเองในระดับต่�ำ และค่าเฉลี่ย 1.00-1.80 มี สปั ดาห์ พฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับต�่ำมาก ผ่านการ ตรวจสอบความตรงเชงิ เนอ้ื หาจากผู้ทรงคุณวฒุ ิ จ�ำนวน 3. เครื่องมือท่ีใช้ก�ำกับการทดลอง คือ 5 คน มคี า่ ดชั นคี วามตรงเชงิ เนอื้ หาเทา่ กบั 1 และวเิ คราะห์ แบบวัดความรู้เร่ืองโรคอ้วน การผ่าตัดลดน�้ำหนัก และ หาค่าความเช่ือมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค การดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนัก เป็น ไดเ้ ท่ากับ .81 ข้อสอบแบบถูก-ผิด ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นมีท้ังหมด 30 ข้อ ใช้การประเมินแบบอิงเกณฑ์ตามเกณฑ์ของ Bloom19 2. เครื่องมือที่ใช้ด�ำเนินการทดลอง คือ ในการแปลผลคะแนนความรู้ ดังน้ี คะแนนร้อยละ โปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตาม 80-100 มีความรู้ระดับมาก คะแนนร้อยละ 60-79 มี ทฤษฎกี ารดแู ลตนเองของ Orem17,20 และไดร้ บั การตรวจ ความรรู้ ะดบั ปานกลาง และคะแนนรอ้ ยละ 0-59 มคี วาม สอบความตรงตามเน้ือหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน มี 2 รู้ระดับน้อย ผู้ที่มีคะแนนมากว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 ระยะคือ 1) ระยะการให้ความรู้และการสนับสนุนภาย ถือว่าผ่านเกณฑ์ แบบวัดความรู้นี้ได้ผ่านการตรวจสอบ หลังการผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล ในระยะนี้พบผู้ป่วย ความตรงเชงิ เนื้อหาจากผู้ทรงคณุ วฒุ ิ จำ� นวน 5 คน มีค่า 2 ครั้ง ในวันที่ 2 ภายหลังการผ่าตัด และวันก่อน ดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.91 วิเคราะห์หาค่า จ�ำหนา่ ยผู้ปว่ ย 1 วนั ใชเ้ วลาคร้งั ละ 60 นาที มีกจิ กรรม ความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) คือ การจัดส่ิงแวดล้อม การสอน การชี้แนะ และการ ได้เท่ากบั .76
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ปีที่ 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 39 การพทิ ักษส์ ทิ ธิกลมุ่ ตัวอยา่ ง ในการเข้าร่วมการวิจัยในครั้งน้ี นัดพบกลุ่มตัวอย่างอีก การวิจัยคร้ังนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะ คร้ังในวนั ที่ 2 ภายหลังการผ่าตัด มกี ิจกรรมดงั น้ี กรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ คณะ 2.1 ระยะการใหค้ วามรแู้ ละการสนบั สนนุ แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เม่ือวันท่ี 26 ภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักขณะอยู่โรงพยาบาล กรกฎาคม 2562 IRB No. 328/61 กอ่ นเขา้ เกบ็ รวบรวม (Educative-Supportive intervention) พบกลุ่ม ข้อมูลหรือด�ำเนินการวิจัย ผู้วิจัยช้ีแจงพิทักษ์สิทธ์ิกลุ่ม ตัวอย่าง 2 ครั้ง คือ วันที่ 2 ภายหลังการผ่าตัด และ ตัวอย่าง โดยการแนะน�ำตนเอง ช้ีแจงวัตถุประสงค์ของ วนั กอ่ นจำ� หนา่ ย 1 วนั ใชเ้ วลาครง้ั ละ 60 นาที มกี จิ กรรม การวิจัย ข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะเวลาใน คือ การท�ำวจิ ยั และประโยชน์ท่ีกลุ่มตัวอย่างจะได้รับ 2.1.1 วันที่ 2 ภายหลังการผ่าตัด จัดสถานที่ให้มคี วามเป็นส่วนตวั จากนนั้ ประเมนิ ความรู้ ขั้นตอนด�ำเนนิ การทดลอง เดิมของกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบวัดความรู้เรื่องโรคอ้วน การผ่าตัดลดน�้ำหนัก และการดูแลตนเองภายหลังการ ภายหลังจากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ผ่าตัด เมื่อได้ข้อมูลที่เป็นความพร่องในเรื่องความรู้ พิจารณาจรยิ ธรรมการวิจัยในมนษุ ย์ คณะแพทยศาสตร์ ด้านต่างๆ ผู้วิจัยจึงเลือกสอนให้ความรู้ในเร่ืองที่กลุ่ม จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ผู้วิจยั เขา้ ดำ� เนนิ การทดลองท่ี ตัวอย่างแต่ละคนมีความพร่อง และให้ความรู้แก่กลุ่ม หอผู้ป่วยศัลยกรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต้ังแต่ ตัวอยา่ งทกุ คนเพิม่ เตมิ ในเรื่องพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 ถงึ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ภายหลงั การผา่ ตดั ลดนำ้� หนกั ไดแ้ ก่ การจบิ นำ้� ปราศจาก 2562 โดยเร่ิมด�ำเนินการในกลุ่มควบคุมก่อนจนครบ หลอดดูด การเลือกรับประทานอาหาร การปรุงอาหาร 15 คน หลังจากน้ันจึงเร่ิมด�ำเนินการในกลุ่มทดลอง ด้วยการต้ม น่ึง ย่าง การมีกิจกรรมทางกายและ 15 ราย ดงั นี้ 1. กลมุ่ ควบคมุ คอื กลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การพยาบาล การเคลื่อนไหว การฝึกบริหารการหายใจและการใช้ ตามปกตเิ ปน็ เวลา 8 สปั ดาห์ จากพยาบาลประจำ� หอผู้ CPAP การสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนท่ีอาจเกิด ปว่ ยศลั ยกรรม ประกอบดว้ ย กจิ กรรมในการเตรยี มความ ขึ้นภายหลังการผ่าตัด การจัดการความเครียดอย่าง พร้อมก่อนผ่าตัดส�ำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดช่องท้อง เหมาะสม การกำ� กบั ควบคมุ ตนเองในดา้ นตา่ งๆ และการ ดูแลเพื่อให้เกิดการฟื้นสภาพภายหลังผ่าตัด และการ แสวงหาข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูลท่ีเชือ่ ถือได้ ภายหลังจาก วางแผนจ�ำหน่าย และได้รับการพยาบาลจากพยาบาล ให้ความรู้แล้ว ใช้ค�ำถามสร้างแรงจูงใจ เช่น “อะไรคือ แผนกผู้ป่วยนอกศัลยกรรมทั่วไปในการมาตรวจติดตาม แรงจูงใจท่ีท�ำให้อยากลดน้�ำหนัก” ให้กลุ่มตัวอย่างเล่า ผล ในวันกอ่ นเข้ารบั การผา่ ตัด 1 วนั ผูว้ ิจัยเข้าพบกลมุ่ เร่ืองของตนเองและแสดงความคิดเห็นต่อตนเอง สาธิต ตัวอยา่ ง พทิ ักษ์สทิ ธกิ์ ลมุ่ ตวั อย่างในการเข้ารว่ มการวิจยั การจิบน�้ำ การตัดชิ้นอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก และการ ในคร้ังน้ี และนัดพบกลุ่มตัวอย่างอีกครั้งในสัปดาห์ท่ี 9 เคี้ยวนาน 30-40 คร้ัง/นาที มอบคู่มือและแบบบันทึก ภายหลังผ่าตัด เพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบวัด ก�ำหนดเป้าหมายการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเอง พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง ภายหลงั การผ่าตัดร่วมกัน 2. กลุ่มทดลอง คือ กลุ่มที่ได้รับโปรแกรม 2.1.2 วนั กอ่ นจำ� หนา่ ยผวู้ จิ ยั ประเมนิ ส่งเสริมการดูแลตนเอง ร่วมกับการได้รับการพยาบาล ติดตามการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแลตนเองขณะอยู่ ตามปกตเิ ป็นเวลา 8 สัปดาห์ ในวนั กอ่ นเข้ารับการผ่าตดั โรงพยาบาลตามเป้าหมายทก่ี ำ� หนด หากยงั ปฏิบัติไดไ้ ม่ 1 วนั ผวู้ จิ ยั เขา้ พบกลมุ่ ตวั อยา่ ง พทิ กั ษส์ ทิ ธกิ์ ลมุ่ ตวั อยา่ ง ถกู ตอ้ งผวู้ จิ ยั ใหก้ ารชแ้ี นะเพม่ิ เตมิ และสนบั สนนุ ดว้ ยการ
40 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 พดู ให้ก�ำลังใจหากกลุม่ ตวั อยา่ งสามารถปฏบิ ัตไิ ด้ถกู ต้อง พฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดครั้งถัดไป จากน้ันก�ำหนดเป้าหมายการปฏิบัติพฤติกรรมการดูแล รว่ มกัน ตนเองครั้งถัดไปในด้านต่างๆ ร่วมกัน มีการใช้ค�ำถาม ปลายเปดิ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ “คุณคิดว่าจะเลือกการ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ปฏิบัติกิจกรรมใดก่อนระหว่างการรับประทานอาหาร ผู้วิจัยเข้าเก็บรวบรวมข้อมูลที่หอผู้ป่วย การออกกำ� ลงั กาย และการจดั การความเครียด” เพราะ ศัลยกรรม และคลินิกศัลยกรรมโรคอ้วน โรงพยาบาล เหตใุ ดจงึ เลอื กการปฏบิ ตั .ิ ..กอ่ นเปน็ ลำ� ดบั แรก” “การดม่ื จุฬาลงกรณ์ โดยในวนั กอ่ นเขา้ รับการผ่าตัด 1 วัน ผู้วิจัย น�้ำจะตั้งเป้าหมายอย่างไรกับตนเอง” “จะต้ังเป้าหมาย เข้าพบกลุ่มตัวอย่างท้ังกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง การเค้ียวอาหารอยา่ งไร” เปน็ ตน้ พิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่างในการเข้าร่วมการวิจัยคร้ังนี้ และขอความรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถามขอ้ มลู สว่ น 2.2 ระยะการให้การสนับสนุนเมื่อกลับ บคุ คล จากนน้ั นดั พบกลุม่ ตัวอย่างอกี ครั้งในสปั ดาห์ที่ 9 บ้าน (Supportive) ก�ำกบั ติดตามทางโทรศพั ท์ 2 ครงั้ ภายหลังการผ่าตัด เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบวัด ในสปั ดาห์ที่ 3 และ 6 ภายหลงั การผ่าตดั และตดิ ตาม พฤติกรรมการดูแลตนเอง หลังจากส้ินสุดการทดลอง เย่ยี มท่ีแผนกผปู้ ว่ ยนอก 1 ครงั้ ในสปั ดาห์ที่ 4 เม่ือกลมุ่ ผู้วิจัยกล่าวสรุปและขอบคุณกลุ่มตัวอย่างท่ีให้ความ ตัวอย่างกลับมาพบแพทย์ตามนัด ใช้เวลา 15 นาที มี รว่ มมือในการเขา้ ร่วมวิจยั และแจกคมู่ ือการดูแลตนเอง กจิ กรรม ดังน้ี ส�ำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัดลดน�้ำหนักให้ 2.2.1 ประเมินอาการและภาวะ กบั กลมุ่ ควบคุม แทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัด สอบถามเป้าหมายเชิง พฤติกรรมที่ตกลงร่วมกัน และสอบถามการปฏิบัติ การวเิ คราะห์ข้อมูล พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองด้านต่างๆ ใหก้ �ำลงั ใจเมอื่ กลุม่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมส�ำเร็จรูป ตัวอย่างสามารถปฏบิ ัตไิ ด้อยา่ งถกู ต้อง SPSS/FW ทดสอบการแจกแจงแบบปกติ ใช้สถิติเชิง พรรณนา และสถิติทดสอบที (Independent t-test) 2.2.2 ใหก้ ารชแ้ี นะเพม่ิ เตมิ ในเรอ่ื งท่ี ก�ำหนดระดบั นยั สำ� คัญทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 กลมุ่ ตวั อยา่ งปฏบิ ตั ไิ มด่ ี และกำ� หนดเปา้ หมายการปฏบิ ตั ิ
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม 2562 41 ผลการวิจัย ตารางที่ 1 ขอ้ มูลสว่ นบคุ คลของกลุ่มตวั อยา่ ง ลกั ษณะของกลมุ่ ตวั อยา่ ง กลมุ่ ควบคมุ (n = 15) กลมุ่ ควบคมุ (n = 15) เพศ ชาย จำ�นวน รอ้ ยละ จำ�นวน รอ้ ยละ 5 33.33 5 33.33 หญงิ 10 66.67 10 66.67 อายุ 18 – 35 ปี 5 33.33 6 40.00 10 66.67 9 60.00 36 – 59 ปี 40.07 ± 11.15 40.07 ± 10.93 เฉลย่ี (Mean ± SD) ระดบั การศกึ ษา 2 13.33 1 6.67 ประถมศกึ ษา 4 26.67 3 20.00 มธั ยมศกึ ษา 5 33.33 9 60.00 ปรญิ ญาตรี 4 26.67 2 13.33 สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี วธิ กี ารผา่ ตดั ลดนา้ํ หนกั 5 33.33 5 33.33 Laparoscopic Sleeve Gastrectomy 10 66.67 10 66.67 Laparoscopic Roux-en-Y Gastric Bypass คา่ ดชั นมี วลกายเฉลย่ี (กก./ม.2) 49.28 ± 11.79 กอ่ นผา่ ตดั 43.15 ± 8.33 41.18 ± 9.88 สปั ดาหท์ ่ี 9 ภายหลงั การผา่ ตดั 37.33 ± 6.98 8.10 ± 3.73 คา่ ความแตกตา่ ง (กอ่ นผา่ ตดั - สปั ดาหท์ ่ี 9 5.82 ± 2.55 ภายหลงั การผา่ ตดั ) จากตารางท่ี 1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ก่อนผ่าตัดและภายหลังการผ่าตัดในสัปดาห์ที่ 9 เฉลี่ย เป็นเพศหญิงจ�ำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 43.15 กก./ม.2 และ 37.33 กก./ม.2 ส่วนกลมุ่ ทดลองมี กลมุ่ ตัวอยา่ งทงั้ สองกลุ่มมอี ายโุ ดยเฉลย่ี เทา่ กับ 40.07 ปี คา่ เฉล่ยี 49.28 กก./ม.2 และ 41.18 กก./ม.2 ตามลำ� ดบั ได้รับการผ่าตัดด้วยวิธี Laparoscopic Roux-en-Y ส่วนต่างของค่าดัชนีมวลกายก่อนการผ่าตัดและสัปดาห์ Gastric Bypass จำ� นวน 20 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 66.67 ที่ 9 ภายหลังการผ่าตัดของกลุ่มควบคุมเท่ากับ 5.82 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีข้ึนไปมีจ�ำนวน 20 คน และกลมุ่ ทดลองเทา่ กับ 8.10 คิดเป็นร้อยละ 66.67 กลุ่มควบคุมมีค่าดัชนีมวลกาย
42 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักของผู้ป่วย โรคอ้วน ระหว่างกลุ่มทีไ่ ด้รับโปรแกรมสง่ เสรมิ การดูแลตนเอง กับกลมุ่ ทีไ่ ดร้ ับการพยาบาลตามปกติ พฤติกรรม Mกeลaุ่มnค วบSคDมุ . แ ปลผล Mกeลaุ่มnท ดลอSงD . แปลผ ล t การดแู ลตนเอง 1. ด้านการป้องกนั และเฝา้ ระวงั การเกิด 4.18 0.64 ด ี 4.73 0.20 ดมี าก 3.190* ภาวะแทรกซ้อนภายหลงั การผา่ ตัด ดมี าก 3.263* 2. ด้านการรบั ประทานอาหาร 3.82 0.52 ดี 4.33 0.32 ดีมาก 1.312 3. ดา้ นการดม่ื นำ้� 4.08 0.45 ดี 4.32 0.52 ดีมาก 2.388* 4. ด้านการจดั การความเครยี ด 3.88 0.50 ดี 4.29 0.45 ดมี าก 2.606* 5. ดา้ นการมสี มดุลกจิ กรรมทางกายและ การพกั ผ่อน 3.60 0.68 ดี 4.22 0.63 ดี 1.455 6. ดา้ นการแสวงหาขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูล ท่เี ชอ่ื ถอื ได้ 3.50 1.04 ด ี 4.03 0.97 ดี 0.000 7. ด้านการฝึกบริหารการหายใจในตอน ปาน 1.836 กลางวนั และใช้เครื่องช่วยหายใจ กลาง แรงดันบวกต่อเนอ่ื ง (CPAP) ตอน กลางคนื 3.70 0.70 ด ี 3.70 0.80 8. ดา้ นการควบคมุ ตนเองในด้านต่างๆ 2.35 0.82 ตำ�่ 2.85 0.67 รวมทั้ง 8 ดา้ น 3.68 0.31 ดี 4.13 0.25 ดี 4.368* *p < .05 จากตารางที่ 2 พบว่า พฤติกรรมการดูแล อภิปรายผล ตนเองภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักโดยรวมทั้ง 8 ด้าน ของผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนัก กลุ่มที่ ผู้วิจัยอภิปรายผลตามวัตถุประสงค์การวิจัย ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองอยู่ในระดับดี ดงั น้ี (Mean = 4.13) และพบว่า พฤติกรรมการดแู ลตนเอง 1. ผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำ ภายหลังการผ่าตัดลดน้�ำหนักโดยรวมท้ัง 8 ด้านของ หนักกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง มี ผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัดลดน�้ำหนัก กลุ่มที่ได้ พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองอยู่ในระดบั ดี (Mean = 4.13 รบั โปรแกรมสง่ เสรมิ การดูแลตนเอง (Mean = 4.13 ± ± SD. = 0.25 ) เมื่อพจิ ารณารายด้านพบว่า ดา้ นทอ่ี ยู่ SD. = 0.25) ดีกว่ากลุ่มท่ีได้รับการพยาบาลตามปกติ ในระดบั ดีมากคือ ดา้ นการปอ้ งกันและเฝ้าระวังการเกดิ (Mean = 3.68 ± SD. = 0.31) อยา่ งมีนัยสำ� คญั ทาง ภาวะแทรกซอ้ นภายหลงั การผา่ ตดั ดา้ นการรบั ประทาน สถติ ิท่ีระดับ .05 อาหาร ด้านการดื่มน้�ำ ด้านการจัดการความเครียด
วารสารพยาบาลศาสตร ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ปีท่ี 31 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน - ธันวาคม 2562 43 ด้านการมีสมดุลกิจกรรมทางกายและการพักผ่อน 2) ระยะการให้การสนับสนุนเมื่อกลับบ้าน สำ� หรับระดบั ดี ไดแ้ ก่ ด้านการแสวงหาขอ้ มูลจากแหล่ง ผู้วิจัยใช้โทรศัพท์ติดตามเพ่ือสนับสนุนให้เกิดแรงจูงใจ ข้อมูล ท่ีเช่ือถือได้ และด้านการฝึกบริหารการหายใจ และการปฏิบัติที่กลุ่มตัวอย่างสามารถท�ำได้ ติดตาม ในตอนกลางวันและใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก เป้าหมายเชิงพฤติกรรมท่ีกลุ่มตัวอย่างได้ก�ำหนดไว้ร่วม ต่อเน่ือง (CPAP) ตอน กลางคืน และระดับปานกลาง กับผู้วิจัย หากขาดความมั่นใจผู้วิจัยจะช่วยส่งเสริมใน ไดแ้ ก่ ดา้ นการควบคุมตนเองในด้านตา่ งๆ พฤติกรรมท่ีถูกต้องให้ด�ำเนินต่อไป แต่ถ้าหากมีอาการ ที่ร้ายแรงจึงช้ีแนะให้มาที่ห้องฉุกเฉิน และช้ีแนะความรู้ จากผลดงั กลา่ วสามารถอธบิ ายไดว้ า่ โปรแกรม ในเร่ืองท่ีกลุ่มตัวอย่างยังสับสน มีการใช้ค�ำถามท่ีช่วย ส่งเสริมการดูแลตนเองน้ีเป็นกิจกรรมท่ีจัดให้กับผู้ป่วย ทำ� ใหเ้ กดิ แรงจงู ใจ ซงึ่ กระตนุ้ ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งมกี ารตดั สนิ กลมุ่ ทดลองเปน็ รายบคุ คลภายหลงั การผา่ ตดั โดยการนำ� ใจท่ีจะปฏบิ ัติกิจกรรมเพอื่ ดูแลตนเอง อย่างไรก็ตามพบ ระบบการพยาบาลแบบใหค้ วามรแู้ ละการสนบั สนนุ มาใช้ ว่า กลุ่มทดลองมีการควบคุมตนเองในด้านต่างๆ อยู่ใน ลดความพรอ่ งความรแู้ ละพฤตกิ รรมการดแู ลตนเองภาย ระดับปานกลาง เป็นเพราะพฤติกรรมดังกล่าวต้องมี หลังการผ่าตัดและจ�ำหน่ายกลับบ้านให้กับกลุ่มตัวอย่าง การชั่งน�้ำหนักทุกวัน การค�ำนวณพลังงานท่ีได้รับใน แบ่งเป็น 2 ระยะ คอื แตล่ ะวนั รว่ มกบั การจดบนั ทกึ จงึ เปน็ ไปไดว้ า่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง เมื่อกลับบ้านอาจไม่ได้มีการจดบันทึก ค�ำนวณพลังงาน 1) ระยะการให้ความรู้และการสนับสนุนภาย และช่งั น�้ำหนักทุกวัน หลังการผ่าตัดขณะอยู่โรงพยาบาล ผู้วิจัยประเมินความ รจู้ งึ พบความพรอ่ งความรเู้ กย่ี วกบั การปฏบิ ตั ติ วั ภายหลงั จากที่กล่าวมาสอดคล้องกับทฤษฎีของ การผา่ ตดั ในดา้ นตา่ งๆ เชน่ การเลอื กรบั ประทานอาหาร Orem17,20 ทรี่ ะบวุ ่า การพยาบาลที่ให้ความรู้ การสอน สัดส่วนอาหาร ชนิดของอาหารที่ควรรับประทานภาย ร่วมกับการช้ีแนะ และการสร้างแรงจูงใจ ท่ีสอดคล้อง หลังการผ่าตัด ถึงแม้ว่ากลุ่มตัวอย่างจะได้รับข้อมูล กับความต้องการการเรียนรู้ และสภาพปัญหาท่ีผู้ป่วย ก่อนการผ่าตัดเกี่ยวกับสภาพร่างกายภายหลังการผ่าตัด สนใจ สามารถส่งเสริมให้บุคคลมีพฤติกรรมการดูแล และอาหารที่เหมาะสมจากบุคลากรสุขภาพท้ังแพทย์ ตนเองได้ดีขึ้น และสอดคล้องกับการศึกษาของ และนักก�ำหนดอาหาร แต่กลุ่มตัวอย่างยังไม่สามารถ Aguilera11 ที่พบว่าผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัด จนิ ตนาการและเขา้ ใจสภาพรา่ งกายทเี่ ปน็ จรงิ ของตนเอง ลดน้�ำหนักควรที่จะได้รับความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม ภายหลังการผ่าตัดได้ เมื่อกลุ่มตัวอย่างรับรู้ถึงสภาพ มีการสร้างแรงจูงใจ และการสนับสนุนพฤติกรรมใน ร่างกายท่ีมีการเปลี่ยนแปลงภายหลังการผ่าตัด จึง ด้านต่างๆ หากบุคคลมีความรู้และแรงจูงใจ ได้รับการ ท�ำให้กลุ่มตัวอย่างต้องการความรู้และแสวงหาข้อมูล กระตนุ้ ตดิ ตามเปน็ ระยะๆ จะทำ� ใหม้ กี ารปฏบิ ตั พิ ฤตกิ รรม การปฏิบตั ิตัวภายหลงั การผา่ ตดั ผ้วู จิ ัยแนะน�ำใหค้ วามรู้ การดูแลตนเองไดอ้ ย่างดี และเชื่อมโยงระหว่างอาการและการปฏิบัติพฤติกรรม การดแู ลดา้ นต่างๆ ภายหลงั การผ่าตัด รวมทัง้ มอบคมู่ ือ 2. ผู้ป่วยโรคอ้วนภายหลังการผ่าตัดลด แก่กลุ่มตัวอย่างเพื่อให้ศึกษาด้วยตนเอง และมีการ น้�ำหนัก กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง สาธิตการจิบน�้ำแทนการใช้หลอดดูด การตัดแบ่งช้ิน มีพฤตกิ รรมการดูแล อาหารเป็นชิ้นเล็กๆ และเคี้ยวนาน 30 ครั้ง/ค�ำ การ ควบคุมตนเองด้วยการชั่งน้�ำหนักและจดบันทึกในคู่มือ ตนเอง (Mean = 4.13 ± SD. = 0.25) ดกี วา่ เพ่ือเป็นการสะท้อนพฤติกรรมและเห็นผลในการปฏิบัติ กลมุ่ ทไี่ ดร้ บั การพยาบาลตามปกติ (Mean = 3.68 ± SD. มกี ารตง้ั เปา้ หมายเชงิ พฤตกิ รรมทนี่ ำ� ไปสกู่ ารตดิ ตามเยยี่ ม = 0.31) อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซ่ึงพบ ต่อไป และ ว่าพฤติกรรมการดูแลตนเองท่ีดีกว่า คือ ด้านการรับ
44 Journal of Nursing Science Chulalongkorn University Vol. 31 No. 3 September - December 2019 ประทานอาหาร ด้านการมีสมดุลกิจกรรมทางกาย พบว่า ส่วนต่างของค่าดัชนีมวลกายก่อนการผ่าตัด และการพักผ่อน ด้านการป้องกันและเฝ้าระวังการเกิด และสัปดาห์ท่ี 9 ภายหลังการผ่าตัดของกลุ่มทดลอง ภาวะแทรกซอ้ นภายหลงั การผา่ ตดั และดา้ นการจดั การ (8.10 ± 3.73) มากกว่ากลุ่มควบคุม (5.82 ± 2.55) ความเครียด สามารถอธิบายได้ดังน้ี ในระยะท่ีอยู่ใน สามารถสรุปได้ว่า ผู้ป่วยกลุ่มท่ีได้รับโปรแกรมส่งเสริม โรงพยาบาลกลมุ่ ทดลองไดร้ บั โปรแกรมสง่ เสรมิ การดแู ล การดูแลตนเองมีพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการ ตนเองเป็นรายบุคคลจากผู้วิจัย ในขณะที่กลุ่มควบคุม ผา่ ตดั ลดนำ�้ หนกั ดกี วา่ กลมุ่ ทไี่ ดร้ บั การพยาบาลตามปกติ ไดร้ บั การพยาบาลตามปกตจิ ากพยาบาลศลั ยกรรมทว่ั ไป กลมุ่ ทดลองไดร้ บั การประเมนิ ความรแู้ ละกจิ กรรมทช่ี ว่ ย จากที่กล่าวมาสอดคล้องกับแนวคิดของ ในการสนับสนุนให้เกิดความรู้ท่ีเฉพาะเจาะจง ทั้งด้าน Orem17,20 ทรี่ ะบวุ า่ ระบบการพยาบาลแบบใหค้ วามรแู้ ละ การปรับพฤติกรรมการจิบน้�ำ การรับประทานอาหาร การสนับสนุนสามารถช่วยให้กลุ่มตัวอย่างเรียนรู้ท่ีจะ การกระตนุ้ ใหม้ กี ารเคลอื่ นไหวภายหลงั การผา่ ตดั ผวู้ จิ ยั พิจารณาตัดสินความต้องการในการดูแลตนเองท้ังหมด ระบุเหตุผลของการกระท�ำทุกขั้นตอน ให้กลุ่มตัวอย่าง มีการกระท�ำกิจกรรมการดูแลตนเอง ประเมิน และ มสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจและเลอื กการปฏบิ ตั ทิ ส่ี ามารถ ปรับเปลี่ยนการดูแลตนเองให้เหมาะสมกับการด�ำเนิน กระทำ� ไดต้ ามลำ� ดบั กอ่ นหลงั ตามความตอ้ งการของกลมุ่ ชีวิต โดยมีพยาบาลคอยให้ความรู้และการสนับสนุนให้ ทดลอง ในขณะท่ีกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตาม ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลตนเองได้อย่าง ปกติ ไดร้ ับการพยาบาลแบบเดียวกบั ผู้ป่วยภายหลงั การ ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการศึกษา ผา่ ตดั ชอ่ งทอ้ งทว่ั ไป ไมม่ กี ารประเมนิ ความรแู้ ละไมม่ กี าร ของ Wykowski และ Krouse12 ทพ่ี บว่าการดแู ลตนเอง สอนในแบบที่ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมและก�ำหนดเป้าหมาย ภายหลงั การผา่ ตดั ลดนำ้� หนกั ใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ ในดา้ น ด้วยตนเอง แต่เป็นการสอนแบบทางเดียว เน้นการให้ การลดน�้ำหนักต้องได้รับโปรแกรมต่างๆ ภายหลังการ ความรใู้ นการเตรยี มตวั กอ่ นกลบั บา้ น แตไ่ มส่ ามารถระบุ ผ่าตัด ท้ังโปรแกรมการสนับสนุนและการเตรียมความ ถึงเน้ือหาที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติได้อย่างจริงจังและไม่มีการ พร้อมทางด้านจิตใจ และโปรแกรมการปรับเปล่ียนวิถี ตดิ ตามอย่างต่อเน่ือง ชวี ติ ภายหลังการผ่าตดั ลดนำ้� หนกั ในดา้ นต่างๆ ซงึ่ พบว่า ผปู้ ว่ ยทไี่ ดร้ บั โปรแกรมจะมกี ารลดลงของนำ�้ หนกั มากกวา่ ในระยะภายหลังการจ�ำหน่าย ผู้วิจัยใช้การ ผทู้ ไ่ี มไ่ ดร้ บั โปรแกรมใดๆ โทรศพั ทต์ ดิ ตามในสปั ดาหท์ ่ี 3 และ 6 ภายหลงั การผา่ ตดั และมีการติดตามเย่ยี มทแ่ี ผนกผปู้ ่วยนอกในสปั ดาหท์ ่ี 4 ขอ้ เสนอแนะในการนำ� ผลการวิจยั ไปใช้ เม่ือกลุ่มตัวอย่างกลับมาพบแพทย์ตามนัดภายหลังการ ผ่าตัด กิจกรรมคือ การประเมินอาการภาวะแทรกซ้อน 1. ควรน�ำโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง ความรู้ แรงจูงใจ และการปฏิบัติพฤติกรรมด้านต่างๆ ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการผ่าตัดลด ซ้�ำอีกครั้ง เพ่ือค้นหาอุปสรรคต่างๆ ท่ีอาจท�ำให้กลุ่ม น�้ำหนักของผู้ป่วยโรคอ้วนไปพัฒนาเป็นหลักฐานเชิง ทดลองมิได้ปฏิบัติตามเป้าหมายท่ีก�ำหนดร่วมกันไว้ ประจกั ษ์ตอ่ ไป หากกลุ่มทดลองสามารถแจกแจงการปฏิบัติได้ ผู้วิจัย ให้ค�ำชมเชยและสนับสนุนให้ปฏิบัติต่อไป ในขณะที่ 2. ควรเพมิ่ ระยะเวลาในการตดิ ตามพฤตกิ รรม กลมุ่ ควบคมุ ไมม่ กี ารใชโ้ ทรศพั ทต์ ดิ ตามเยยี่ มจากพยาบาล และประเมินนำ้� หนกั มากกว่า 8 สัปดาห์ จนถงึ 2 ปี เพื่อ หอผปู้ ว่ ยภายหลงั จำ� หนา่ ย และเมอื่ กลบั มาพบแพทยต์ าม ประเมินผลของโปรแกรมและความย่งั ยืนของพฤติกรรม นัด การพยาบาลที่แผนกผู้ป่วยนอกศัลยกรรมไม่ได้ การดแู ลตนเอง ประเมนิ อาการ ความรู้ แรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ติ วั ภายหลงั การผ่าตัด มีแต่การประเมินระดับน�้ำหนัก และค่าดัชนี กติ ตกิ รรมประกาศ มวลกาย ผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึนภายในระยะเวลา 8 สัปดาห์ ขอขอบคุณบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ที่สนับสนุนทุนอุดหนุนในการท�ำ วทิ ยานิพนธใ์ นคร้ังนี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111