Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือปีที่8ฉบับที่1มค.-มิย.64

วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือปีที่8ฉบับที่1มค.-มิย.64

Published by Sucheera Panyasai, 2021-09-16 04:13:25

Description: วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือปีที่8ฉบับที่1มค.-มิย.64

Keywords: วารสาร

Search

Read the Text Version

94 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) วิเคราะห์ขอ้ มูลในด้านต่างๆ มาใช้ในการดาเนินงานโครงการป้องกันโรคไขเ้ ลือดออก ได้แก่ การจดั ส่งิ แวดล้อม ไม่ใหเ้ ออ้ื ต่อการเกิดโรค การกาจัดทาลายลูกนา้ ยุงลายและแหลง่ เพาะพนั ธ์อุ ย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน หากพบ แหล่งเพาะพันธุ์ จะดาเนินการพน่ หมอกควันในหม่บู า้ นในฤดูฝนเพื่อป้องกันการระบาด มีการสารวจลูกนา้ ยงุ ลาย ในทุกหลังคาเรือนท่ีรับผิดชอบ และการใส่ทรายอะเบทในภาชนะท่ีมีน้าขัง เป็นต้น โดยกรมควบคุมโรค เปน็ ผสู้ นับสนนุ ประสานจดั ทาแผนยุทธศาสตรก์ าหนดมาตรการสนบั สนุนทางวชิ าการและการประสานงานติดตาม ควบคุม กากับ เน้นการปฏิบัติงานแบบบรู ณาการรวมถึงการทางาน (functional) ร่วมกบั หนว่ ยงานต่างๆ ซึง่ จาเปน็ ที่ต้องมีกรอบทศิ ทางในการจัดการกบั ปัญหาโรคไข้เลือดออกที่เหมาะสมและทาไดจ้ รงิ ท้ังในระดับส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ดงั น้นั การประเมินผลการเฝา้ ระวังป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดบั ประเทศใน พื้นท่ี เฉพาะ เชน่ พืน้ ที่ชายแดนที่มีแรงงานต่างดา้ วอาศยั อยู่เป็นจานวนมากมีความเสีย่ งสูงท่ีจะมีการระบาดของโรค ไข้เลือดออก แรงงานต่างด้าวเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักท่ีกระทรวงสาธารณสุขให้ความสาคัญเนอื่ งจากจะสง่ ผล กระทบตอ่ คนไทยผา่ นโรคตดิ ตอ่ บางชนดิ ท่ีกาลังจะหมดไปจากประเทศไทย แตม่ แี นวโนม้ วา่ อาจกลับเข้ามา เป็น ปัญหาในสังคมไทยอีกคร้ัง เช่น มาลาเรีย โรคอุจจาระร่วง วัณโรค และโรคไขเ้ ลอื ดออกทพ่ี บมากในแรงงานตา่ งดา้ ว (Department of Disease control, 2018) 3. ความรู้เร่ืองโรคไข้เลือดออกมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ากับการปฏิบัติงานของอาสาสมคั ร สาธารณสุขต่างด้าวในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ 0.017 เม่ือ พิจารณาความสมั พนั ธ์แตล่ ะดา้ นของการปฏิบัตงิ านปอ้ งกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกจะ พบว่า ยังมขี ้อจากดั อยู่ บางประการ เช่น การปฏิบัตงิ านของอาสาสมัครสาธารณสขุ ตา่ งดา้ ว ยงั มีข้อจากัดเนอ่ื งจากอาสาสมัครเปน็ แรงงาน ข้ามชาติ ต้องทางานเล้ียงชีพไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มประสิทธิภาพยัง อีกท้ังยังไม่มีสวัสดิการคุ้มครอง อาสาสมคั รสาธารณสุขตา่ งดา้ ว ในส่วนของความสัมพนั ธ์ของการดาเนนิ งานพบว่า 1. ความรเู้ รอ่ื งโรคไข้เลอื ดออก กับการปฏบิ ตั งิ านของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างดา้ วในการปอ้ งกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ด้านการวงแผน ( r = - 0.057, p - value = 0.573) มีความสมั พันธไ์ ปในทิศทางตรงกนั ข้ามและไม่มนี ัยสาคญั ทางสถิติ กล่าวคือ อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวมีความรู้สูงเร่ืองไข้เลือดออกสูง แต่การปฏิบัติงานป้องกัน และควบคุมโรค ไข้เลือดออกดา้ นการวางแผนต่า 2. ความรูเ้ รือ่ งโรคไขเ้ ลือดออกกบั การปฏิบัตงิ านของอาสาสมัครสาธารณสุขต่าง ด้าวในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ด้านการจัดกิจกรรมรณรงค์ (r = - 0.135, p - value = 0.181) มคี วามสัมพันธ์กันไปทิศทางตรงกันข้าม และไม่มีความสาคัญทางนัยสถิติ กล่าวคอื ความรู้เรอ่ื งโรคไขเ้ ลือดออกสูง แต่การปฏบิ ตั ิงานปอ้ งกนั และควบคุมโรคไขเ้ ลือดอก ด้านการจัดกจิ กรรมรณรงค์ตา่ 3. ความรู้เรอ่ื งโรคไข้เลอื ดออก กบั การปฏบิ ตั งิ านปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไข้เลอื ดออก ดา้ นการประสานงาน (r = - 0.207, p - value = 0.039) มี ความสัมพนั ธ์ไปในทางทศิ ทางตรงกนั ข้ามอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ กล่าวคอื มคี วามรเู้ รอื่ งโรคไขเ้ ลอื ดออกสูง แต่ การปฏบิ ตั งิ านปอ้ งกนั และควบคุมโรคไข้เลือดออกดา้ นการประสานงานต่า และ 4. ความรเู้ รอ่ื งโรคไข้เลือดออกกับ การปฏบิ ัตงิ านป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ด้านการประเมินผล (r = - 0.289, p - value = 0.004) มี วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

95 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ความสัมพันธ์ไปในทิศทางตรงกันขา้ มอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ซ่ึงตามทฤษฎีการเรียนรสู้ ู่การปฏบิ ัติที่ว่าด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างความร้แู ละการปฏิบัตินั้น คือ บุคคลที่มีความรู้ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติทั้งทางตรงและ ทางออ้ ม สาหรับทางอ้อมมีทัศนคติเป็นตัวกลางทาใหเ้ กิดการปฏบิ ัติในเร่ืองนั้นในจาการศึกษาคร้งั น้ีเน้น เรื่อง ความรเู้ ร่ืองโรคไข้เลือดออกและการปฏบิ ัติงานในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก นนั้ หมายควา มว่า มี ความรู้สูงย่อมมีการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เช่น พฤติกรรมที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถในการป้องกันโรค ไขเ้ ลอื ดออก เช่น มคี วามรูเ้ รือ่ งโรคไข้เลือดออกจึงมีการสารวจและทาลายแหลง่ เพาะพนั ธ์ุยุงลาย เป็นตน้ (Vachira Vachiajutipong, 2005) จากการศกึ ษาข้อมูลเพม่ิ เติมของพ้ืนที่ พบว่า อาสาสมัครสาธารณสขุ ต่างดา้ ว ได้รับการ อบรมความรู้เรื่องโรคไขเ้ ลอื ดออกจากเจา้ หน้าที่สาธารณสขุ เปน็ ประจาต่อเนื่องทุกปี มีบทบาทหนา้ ทใ่ี นการดูแลให้ คาแนะนาในการปฏบิ ัติตนให้ถูกต้องตามหลักสุขอนามัยเพอ่ื สุขภาพของตนเอง ตลอดจนให้การช่วยเหลือข้ัน พ้ืนฐานของคนในชมุ ชนโดยคาว่า อสต. (อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว) ซ่ึงผวนมาจาก อสม. (อาสาสมคั ร สาธารณสขุ ประจาหม่บู ้าน) ของคนไทยมบี ทบาทหน้าทเี่ หมือนกนั โดยยึดกรอบการทางานตาม “องคป์ ระกอบของ งานสาธารณสุขมลู ฐานดังกล่าวประกอบด้วยการบริการแบบผสมผสาน และความรู้เรอ่ื งไขเ้ ลือดออกเป็นส่วน หนึ่ง ขององคป์ ระกอบงานของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างดา้ ว ส่วนงานสาธารณสขุ มูลฐานประกอบดว้ ย 4 ดา้ น คือ การ ป้องกันโรค การสง่ เสรมิ สุขภาพอนามยั การรักษาพยาบาล และการฟ้นื ฟูสภาพ เปน็ ต้น เมือ่ ได้รับความรู้ที่ถูก ถา่ ยทอดมาจากบุคคลากรด้านสาธารณสุขเปน็ ประจาทกุ ปีแล้ว สามารถปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมโรคใน พื้นที่ เขตเทศบาลนครแมส่ อด อาเภอแม่สอด จงั หวัดตาด โดยการปฏิบตั หิ นา้ ท่ีตามหลกั การสารวจและทาลายแหล่ง เพาะพันธ์ุลูกน้ายงุ ลายเพ่ือการเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกในชมุ ชนก่อนเกิดโรค และหลังการเกิดโรคได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (PongpotPeanumlom and TawisaAompong, 2014) สอดคล้องกับการศึกษาของ (NarupolPunya, 2014) พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการดาเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไขเ้ ลือดออกของอาสาสมัคร สาธารณสุขมีความสัมพันธ์กบั การปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขกรณีการระบาดของโรคไขเลือดออก เน่อื งจากการการดาเนนิ งานป้องกันและควบคุมโรคไขเลือดออก มีกจิ กรรมหลัก ทงั้ หมด 4 ดา้ นคอื ด้านการ วางแผนในการดาเนินงาน ดา้ นการจัดกิจกรรมรณรงคใ์ นชมุ ชน ดา้ นการประสานงานกบั บุคคลและหนว่ ยงานต่างๆ และดา้ นการประเมินผลการดาเนินงานทง้ั ก่อน ระหวา่ ง และหลงั จากการระบาดของโรคไขเลือดออก และยัง สอดคล้องกับการศึกษาของ (Sririchai Janphum & et. Al., 2014) ท่ีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วน รว่ มกับการดาเนนิ งานปอ้ งกนั ควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสขุ ประจาหมู่บา้ นในอาเภอน้าพอง จังหวัดขอนแก่น พบว่าการความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมและการดาเนินงานป้องกันกันควบคุมโรค ไข้เลือดออก ดา้ นการตดั สินใจ การปฏิบัติการ ด้านการรบั ผลประโยชนย์ งั อยใู่ นระดบั ปานกลาง เปน็ ต้น วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

96 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ จากผลการศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความรู้และการปฏบิ ัติงานของอาสาสมคั รสาธารณสุขตา่ งด้าวในการ ป้องกันและควบคมุ โรคไข้เลอื ดออกในครงั้ นผ้ี ู้ศกึ ษาไดใ้ หข้ ้อเสนอแนะ ดังไปน้ี 1.ความรเู้ รอ่ื งโรคไขเ้ ลือดออก ควรมกี ารจดั อบรบพัฒนาความร้เู พมิ่ เติมใหอ้ าสาสมคั รสาธารณสุขต่างด้าวได้ มีความร้เู พม่ิ มากขึ้นในเรื่องวงจรชีวิตของยงุ ลาย การกาจดั ลกู น้ายงุ ลายโดยการใช้ทรายอะเบท ชว่ งเวลาในการ ออกหากนิ ของยงุ ลาย และฤดกู ารระบาดของโรคไข้เลือดออก เปน็ ตน้ 2.ด้านการวางแผน ควรมีการจัดทาแผนและดาเนนิ งานตามแผนปอ้ งกันควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสต. ร่วมกบั ผูน้ าชุมชน อสม.ไทย ประชาชนท้ังคนไทยตา่ งด้าวในชุมชนได้มีส่วนร่วมวางแผน กาหนดอย่ใู นมาตรการ การดาเนนิ งานด้านส่งิ แวดลอ้ มในชมุ ชนประจาปีงบประมาณน้นั ๆ และเสนอโครงการร่วมพัฒนาและแกไ้ ขปัญหา เร่อื งโรคไข้เลอื ดออกในระดบั ชุมชนเพอ่ื ของบประมาณควบคุมโรคไขเ้ ลอื ดออกในชุมชนต่างดา้ ว เป็นตน้ 3.ดา้ นการจัดกิจกรรมรณรงค์ 3.1 ควรมีการประชาสมั พนั ธ์ประชาชนท้งั คนไทยและต่างด้าวทุกคนร่วมรับผิดชอบ เฝา้ ระวงั ลูกนา้ ยุงลายใน บา้ นพักอาศัยของตนเอง 3.2 ควรกาหนดให้มีการสารวจลูกน้ายุงลาย ใสท่ รายอะเบท เลี้ยงปลากินลกู น้าตามบ้าน และอุปกรณ์ ป้องกันการวางไขข่ องลูกน้ายงุ ลาย ทง้ั ก่อน ระหว่าง และหลังการระบาดของโรคไขเ้ ลือดเป็นกจิ กรรมประจาท่ีทา รว่ มกัน 3.3 ควรมกี ารเฝ้าระวงั ระโรคไข้เลือดออกในละแวกบ้านของประชาชนในชมุ ชน อาสาสมัครสาธารณสขุ ต่าง ด้าว และประชาชนต่างชาตทิ ุกคน ควรเขา้ ร่วมกจิ กรรมควบคมุ โรคไข้เลือดออกที่จัดขึ้นในชุมชนคนไทยและต่าง ด้าว 3.4 อาสาสมคั รสาธารณสขุ ต่างด้าวควรจัดรณรงค์แจกทรายอะเบทในพน้ื ท่ีทีต่ นเองรับผิดชอบ เปน็ ประจา ทกุ เดอื น และแนะนาใหป้ ระชาชนในชุมชนปิดฝาภาชนะสารองนา้ ทาความสะอาดบา้ นเรอื นไมใ่ ห้เปน็ แหลง่ เพา ะ พันธ์ลกู นา้ ยงุ ลาย 4.ดา้ นการประสานงาน ควรมีการประสานงานระหว่าง เจา้ หน้าที่สาธารณสขุ ผนู้ าชุมชน สมาชกิ เทศบาล นครแมส่ อด อสม. อสต. ศนู ย์การเรียนตา่ งดา้ ว ในการจดั กจิ กรรมป้องกนั โรคไขเ้ ลอื ดออกในชมุ ชนทกุ ครง้ั เพื่อสร้าง การมสี ว่ นในชมุ ชนเพมิ่ มากข้นึ 5.ด้านการประเมิน ควรร่วมตรวจสอบ ประเมินผล และชี้แจงข้อมูลด้านการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลอื ดออกของ อสต. รว่ มกับเจา้ หนา้ ทีส่ าธารณสุข และ อสม. รวมถึงสรปุ การดาเนินงานเปน็ ประจาทุกปี เพื่อ พฒั นาและตอ่ ยอดการดาเนินงานป้องกันและควบคมุ โรคไข้เลือดออกให้มีประสิทธภิ าพ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

97 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ขอ้ เสนอในการศกึ ษาคร้ังต่อไป ควรศึกษาการเปรียบเทียบความรู้และการดาเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระหว่า ง อาสาสมคั รสาธารณสุขตา่ งดา้ วในเขตและนอกเขตเทศบาล อาเภอแม่สอด จังหวดั ตาก ข้อจากดั ของการศึกษา จากผลการศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหว่างความร้แู ละการปฏบิ ัตงิ านของอาสาสมคั รสาธารณสุขต่างด้าวในการ ปอ้ งกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก มขี ้อจากดั ทางการศกึ ษา ดงั น้ี 1. เน่ืองจากอาสาสมคั รสาธารณสุขตา่ งด้าวเป็นชาวเมยี นมา จึงตอ้ งสอื่ สารโดยเจ้าหน้าทีส่ าธาร ณสุขท่ี สามารถส่อื สารเป็นภาษาเมียนมา 2. เนือ่ งจากสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของเชือ้ ไวรัสสายพนั ธใ์ หม่ 2019 (COVID-19) จงึ ไม่สามารถเชิญ อาสาสมคั รสาธารณสุขต่างด้าวมาสอบถามได้จึงตอ้ งปรับเปลีย่ นเป็นโทรศัพท์ และไปสอบถามท่ีบ้านพักทาให้ ใช้ ระยะเวลาหลายวันในการสอบถามจนกวา่ จะครบ 100 ราย เอกสารอา้ งองิ Best, John. (1977). Research in education. New jersey: Prentice hall, Inc.1977 Bloom, Benjamin S. (1971). Handbook on formative and summative evaluation of student learning. New York: McGraw - Hill. Chaimay, B. ,Rakkua, P. (2017). Factors affecting the role of dengue hemorrhagic fever prevention and control among village health volunteers. Phatthalung province. Thaksin university journal, 21(1), 31 – 39. (in Thai) Chinda, A. (2017). Factors effecting performance in control and prevention of dengue hemorrhagic fever of village health volunteers in phangnga province. Suratthani hospital Region 11 medical journal, (31)3, 554 – 567. (in thai) Chomnanwet, W. (2013). Performance evaluation of the anti-dengue project health volunteers, loungnuae sub- district, doi saket district chiang mai province. Master of public administration graduate school chiang mai university Chiang mai university. Department of disease control. (2015). Strategic plan department of disease control. Bangkok: department of disease control. Department of Disease control. (2018). Subdue mosquito community. Bangkok: Department of disease control. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

98 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) Epidemiology & Intelligence section the office of disease prevention and control 2 Phitsanulok. (2018). disease surveillance (dengue hemorrhagic fever). Epidemiological surveillance report regional health 2.15(12). Junphum, S. Apipalkul, C. Udompanich, S. Chanaboon, S. (2014) The relationship between participation on prevention and control of dengue hemorrhagic fever of village health volunteers in Nam Phong district khon kaen province. Master degree student of faculty of public health, Khon kaen university. Kuharatanachai, C. (1999). Elementary statistics. Department of statistics, Faculty of science, King mongkut’s institute of technology ladkrabang. Mae Sot District Health Office. (2018). Dengue hemorrhagic fever summary report mae sot district Tak province. Mae Sot District Health Office. Punya, N. (2014). The dengue fever preventing operation by public health volunteers and dengue fever preventing practices of the population in tambon bong ton, doi tao district, chiang mai province. Independent study master degree public health graduate school chiang mai university. Peanumlom, P. and Aompong, T. (2014). Guideline training the health volunteer migrant in mae sot city municipality, Mae sot district, Tak province: Mae sot general hospital. Peanumlom,P.(2019).SURVEILLANCEANDRAPIDRESPONSEMIGRANTTEAM:SRRMT.Tak:Mae sotgeneralhospital. Panoan, W. (2017). Knowledge and skill in preventing and controlling dengue hemorrhagic fever of health volunteer in pai district, Maenongson province. Master degree of public health, Chiang mai rajabhat university. Tanomsridachchai, W., Watchara, T., Nemkate, P. and Suandokmai, M. (2016). Participation of village health volunteers on dengue hemorrhagic fever prevention and control in AO LUEK district, Krabi province. Master of public health, Valaya alongkorn rajabhat university under the royal patronage. Vachirajutipong, V. (2005). Media roles in agricultural occupation development a case study of farmers in pa – chomtong agricultural land reform area, chomtong district, Chiang mai. Master of arts in communications, Maejo university. World Vision. (2017). Health volunteer migrant in strategic plan. Retrieved July 10, 2020,Available from:https://www.hfocus.org/content/2017/11/14822 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

99 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) The Association between Health Literacy and Food Consumption Behaviors Among Type II Diabetes Patients in Baan Khuang District Health Promotion Hospital, Hangchat District, Lampang Province Kanthana Ranishchayakul* (Received: December 11, 2020, Revised: February 7, 2021, Accepted: February 21, 2021) Abstract This descriptive research aimed to study the relationship between health literacy and food consumption behaviors among type 2 diabetes patients in Baan Khuang district health promotion hospital, Lampang province. The participants were comprised of 231 people with type 2 diabetes and they were chosen by simple random sampling. The instrument of this study were the health literacy and food consumption behaviors evaluation questionnaires which are developed from 6 aspects of the health literacy concept and health education section, Ministry of public health. The data was collected during may- june 2020 and were analyzed analyzed by descriptive statistics, and inferential statistics with a statistical significance at p-value <0.05.; Chi square test. The results revealed that most of the diabetic patients have poor level of health literacy 54.11 percent, followed by fair level of health literacy 22.94. The results of health literacy was classified into 6 aspects. It was found that people with diabetes have the highest health literacy in access to health and health service 79.12, followed by cognitive skill 68.89, the lowest was Decision skill 62.23. Moreover, most of the diabetic patients have poor level of food consumption behaviors at 5 7. 58, followed by fair level 24. 67. Nevertheless, health literacy was significantly related to consumption behavior of type 2 diabetes patients at 0.01. Recommendations Enhancing the health literacy in people with type 2 diabetes should focus on improving the health literacy of patients in all 6 aspectsto improve the blood sugar control. Keywords: Health literacy; Food consumption behaviors; Type 2 diabetes * Registered Nurse, Professional level, Baan Khuang District Health Promotion Hospital, Hangchat District, Lampang Province วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

100 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ความสมั พนั ธร ะหวา งความรอบรดู า นสขุ ภาพกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารในผปู วย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เขต รพ.สต. บานขวง อำเภอหางฉัตร จังหวัดลำปาง กญั ฐณา รณิศชยะกูร* (วนั รบั บทความ : 11 ธนั วาคม 2563, วนั แกไ ขบทความ : 7 กมุ ภาพนั ธ 2564, วนั ตอบรบั บทความ : 21 ก.พ. 64) บทคดั ยอ การวิจัยครัง้ นี้เปนการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงคเ พือ่ ศกึ ษาความสัมพนั ธร ะหวางความรอบรูดาน สุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขต รพ.สต. บานขวง กลุมตัวอยาง มีจำนวนทั้งหมด 231 คน โดยการสุมอยางงาย ใชแบบสอบถามแนวคิดความรอบรูทางดา นสุขภาพ มี 6 ดาน ตามกรอบของ ดอน นัทบีม และกองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่ผูวิจยั พัฒนาข้ึน ระยะเวลาในการศึกษาระหวางเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน 2563 โดยใชแบบประเมนิ และ แบบประเมินพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร การวิเคราะหขอมูลโดยสถิติพรรณนา ใชสถิติวิเคราะหสัมพนั ธความ รอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวานโดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ ท่ีระดบั 0.05 ใชสถติ ิ Chi-square test ผลการวิจัย พบวา ผูปวยโรคเบาหวานสวนใหญมีระดับความรอบรูดานสขุ ภาพอยูในระดับไมดี รอยละ 54.11 รองลงมาคือ ระดับระดับความรอบรูดานสุขภาพพอใช รอยละ 22.94 เมื่อพิจารณาความรอบรูดานสุขภาพ จำแนกเปนรายดาน 6 ดาน พบวา ผูปวยโรคเบาหวานมีความรอบรูดานสุขภาพสงู ท่ีสดุ ในเรือ่ งการเขาถงึ ขอ มลู สุขภาพและบริการสุขภาพ รอยละ 79.12 รองลงมาคือทักษะความเขาในดานสุขภาพ รอยละ 68.89 ต่ำสุด คือ ทักษะการตัดสินใจรอยละ 62.23 ระดับพฤติกรรมการบริโภคอาหารผูปวยโรคเบาหวาน สวนใหญอยูในระดับ ไมดี รอยละ 57.58 รองลงมาคือระดับพอใช รอยละ 24.67 และความรอบรูดานสุขภาพมีความสัมพันธกับ พฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 ขอเสนอแนะการสรางเสริมความรอบรูดานสขุ ภาพในผูปวยเบาหวานควรมุงเนนใหผูป วยมีความรอบรู ดานสุขภาพในระดับดีขึ้นไปในทั้ง 6 ดาน จึงจะสงผลดีตอผลลัพธตอการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได คำสำคญั : ความรอบรูทางดานสุขภาพ; พฤติกรรมการบริโภคอาหาร; ผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 * พยาบาลวชิ าชพี ชำนาญการ โรงพยาบาลสง เสริมสขุ ภาพตำบลบา นขว ง วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

101 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) บทนำ โรคเบาหวานเปนโรคไมติดตอเรื้อรัง เปนปญหาสาธารณสุขท่ีสำคัญของโลกและประเทศไทย สมาพันธ เบาหวานนานาชาติ คาดประมาณปจจุบันมีผูปวยเบาหวานทั่วโลก 415 ลานคน และจะเพิ่มขึ้นเปน 624 ลาน คนในป พ.ศ.2583 (Ogurtsova et al., 2017) สำหรบั ประเทศไทยขอมูลจากการสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัย ของประชาชนไทย โดยการตรวจรางกายครั้งที่ 5 ป พ.ศ.2557 พบความชุกโรคเบาหวานในประชากรอายุตั้งแต 15 ปขึ้นไป 4.8 ลานคน (Aekplakorn, 2014) การควบคุมโรคเบาหวานและระดบั น้ำตาลในเลือด ผูปวยจำเปน ตองดูแลตนเอง ใหรับประทานอาหารอยางเหมาะสม ไดรับยาตามแพทยสั่งอยางเครงครัด ออกกำลังกายให สมำ่ เสมอ และมาตรวจตามนดั อยา งตอ เนอ่ื ง เพอ่ื ปอ งกนั หรอื ชะลอภาวะแทรกซอ นของโรค (American Diabetes Association, 2017) จากการศึกษาประเมินผลการดูแลผปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของสำนักงานหลักประกนั สุขภาพแหงชาติ (National Health Security Office: NHSO) ป พ.ศ.2558 ที่พบผูปวยโรคเบาหวานรอยละ 64.3 ไมสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไดตามเกณฑ (HbA1C นอยกวา รอยละ 7) (National Health Security Office of Thailand, 2015) จากขอมลู คลังขอมูลสุขภาพ (Health Data Center: HDC) จังหวัดลำปาง ป พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ.2562 พบวา ผูปวยเบาหวานในเขต รพ. สต.บานขวงมจี ำนวนผูปวยเบาหวานเพ่ิมข้ึน เทากับ 317, 426, และ 458 คน ตามลำดับ รอยละของผูปวยโรคเบาหวานที่ควบคุมโรคได เทากับ 10.67, 11.45 และ 12.10 ตามลำดับ (HDC, 2020) และจากการประเมินพฤติกรรมการควบคุมโรคในปวยเบาหวานประเภทที่ 2 เขต รพ.สต. บานขวง ป พ.ศ. 2562 พบวา รอ ยละ 97.48 มีพฤตกิ รรมการบรโิ ภคทไ่ี มถ กู ตอ ง ถงึ แมว า ทผ่ี า นมา มกี จิ กรรมการการสง เสรมิ ใหเ กดิ การควบคุมโรคในผูปวยเบาหวานอยางตอเนื่อง เชน การอบรมใหความรูรายกลุม รายบุคคล การเยี่ยมบาน แตการ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไมไดสงผลใหเกิดภาวะแทรกซอนตางๆ ตามมา ที่สำคัญ คือ ภาวะไตวายเรื้อรัง แผลเรื้อรัง เบาหวานขน้ึ ตา ความรอบรูดา นสุขภาพ (health literacy) 6 ดาน เปน สมรรถนะของบุคคลในการเขาถึง เขาใจ ประเมิน ใชขอมูลและสื่อสารดานสุขภาพตามความตองการเพื่อสงเสริมสุขภาพและคงไวซ่ึงภาวะสุขภาพที่ดีตลอดชีวิต พฤติกรรมที่สำคัญในการดูแลตนเอง ไดแก การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การใชยาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด การดูแลสุขภาพและปองกันภาวะแทรกซอน และการจัดการความเครียด(American Diabetes Association, 2015) ความรอบรูดานสุขภาพ จึงเปนสิ่งที่สำคัญตอพฤติกรรมการบริโภคอาหารตอการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่ง ผูปวยจึงตองเผชิญกับโรคไปตลอดชีวิต จากการศึกษางานวิจัยที่ผานมาชี้ชัดวา ความรอบรูดานสุขภาพ มี ความสัมพันธทางบวกกับพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความรูความเขาใจในโรคเบาหวาน พฤติกรรม การปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับโรค (Norasing Montree, Thanomphan Sutthiphan, 2019) เปนตัวแปรที่สำคญั ตอที่มีอิทธิพลโดยตรงตอการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพของผูปวยเบาหวาน ทำใหผูปวยสามารถควบคุมระดับ น้ำตาลอันสงผลใหผูปวย ชะลอการเกิดภาวะแทรกซอนจากเบาหวาน ซึ่งจะทำใหผูปวยมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากความสำคัญของปญหาดังกลาวผูวิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาความสัมพันธระหวางความรอบรูดาน สุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขต รพ.สต.บานบานขวง ซึ่งผลที่ไดจาก การศึกษาจะใชเปนพื้นฐานในการพัฒนาระบบบริการในคลนิ ิกเบาหวานและการพัฒนานโยบายการวิจัยเพือ่ นำ นโยบายไปสูการปฏิบัติ (Implementation research: IR) ใน รพ.สต. บานขวงตอไป คำถามการวจิ ยั 1. ความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขต รพ.สต. บานขวงเปนอยางไร 2. พฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขต รพ.สต. บานขวงเปนอยางไร วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

102 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) 3. ความสัมพันธระหวางความรอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขต รพ.สต. บา นขว งเปน อยา งไร วัตถุประสงคของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผปู วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 3. เพื่อศึกษาความสมั พันธระหวาง ความรอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สมมตุ ฐิ านของการวจิ ยั ความรอบรูดานสุขภาพ มีความสัมพันธกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตำบลในเขต รพ.สต. บานขวง อำเภอหางฉัตร จังหวัดลำปาง ขอบเขตของการศกึ ษา ในการศึกษาครั้งนี้มีขอบเขตการศึกษาประกอบดวย 1) ดานเนื้อหามุงศึกษาความสัมพันธของความรอบรู ดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 2) ดานประชากร คือ ผูปวย โรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 458 คน จากขอมูล HDC จังหวัดลำปาง คัดเลือกกลุมตัวอยางโดยการสุมอยางงาย (simple random sampling) และสมัครใจรวมตอบแบบสอบถามจำนวน 231 คน 3) ดานพื้นที่ เปนพื้นที่เขต รับผิดชอบโรงพยาบาลสง เสริมสุขภาพตำบลบา นขว ง อำเภอหา งฉัตร จังหวัดลำปาง 4) ดานระยะเวลา ระหวาง เดอื นพฤษภาคม-มิถนุ ายน พ.ศ.2563 นิยามศพั ท ผปู ว ยเบาหวาน หมายถึง บุคคลที่ไดรับวินิจฉัยวา เปนเบาหวานชนิดที่ 2 ระยะเวลาตั้งแต 6 เดือนข้ึนไป ไดรับการรักษาที่คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตำบลบานหวยเรียนไดรับการรักษาดวยการ รับประทานยา หรือฉีดอินสุลิน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร หมายถึง การควบคุมอาหารของผูปวยที่เปนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ดวยการ ลดหรืองดอาหารและเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูง การเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง และการควบคุมตนเองใน การรับประทานอาหารเมื่ออยูในสถานการณตาง ๆ ความรอบรดู า นสขุ ภาพ หมายถึง การที่ผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความสามารถและทักษะประเด็นตางๆ ไดแก 1) การเขาถึงขอมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ สามารถเลือกแหลงขอมูลและรูวิธีการในการคนหาขอมลู เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ติ น 2) ความรคู วามเขา ใจท่ีถกู ตอ งเกย่ี วกบั แนวทางการปฏบิ ตั ิ 3) ความสามารถในการส่ือสาร โดยการพูด อาน เขียน รวมทั้งสามารถสื่อสารและโนมนาวใหบุคคลอื่นเขาใจและยอมรับขอมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติ ตน 4) ความสามารถในการกำหนด เปาหมาย วางแผน และปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติพรอมทั้งมีการทบทวน วิธีการปฏิบัติตามเปาหมาย 5) ความสามารถในการกำหนดทางเลือกและปฏิเสธ เลือกวิธีการปฏิบัติ วิเคราะหผลดี และผลเสียเพื่อทางเลือกปฏิบัติที่ถูกตอง 6) ความสามารถในการตรวจสอบความถูกตอง ความนาเชื่อถือของขอมูล ที่สื่อนำเสนอ เลือกรับสอ่ื เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงท่ีอาจเกิดขึ้นกับสุขภาพของตนเองและผูอื่น มีการประเมิน ขอความสื่อเพื่อชี้แนะแนวทางใหกับชุมชน และสังคมได วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

103 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เปนการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive research) ประชากรและกลุม ตวั อยาง คือ ผูปวยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ที่อาศัยอยใู นเขต รพ.สต. บานขวง จำนวน 458 คน (จำนวนผูปวยในปงบประมาณ 2563) สำหรับการกำหนดขนาดกลุมตัวอยา งคำนวณจากสูตรของเครซ่ี และมอรแกน (Krejcie, R. V. & Morgan, D. W., 1970) ไดเทากับ 210 คน และเพื่อปองกันการสูญหายของ ขอ มลู ผวู จิ ัยจึงเพมิ่ ขนาดตวั อยางอกี 10 % ดังนน้ั ขนาดกลมุ ตวั อยา ง มจี ำนวนทั้งหมด 231 คน จากการสุมอยา ง งาย (Simple random sampling) โดยกำหนดคุณสมบัติกลุมตัวอยาง ดังนี้ เกณฑค ดั เขา (Inclusion criteria) ดังนี้ 1.สมัครใจเขารว มตอบแบบสอบถาม 2.สามารถส่อื สารดว ยภาษาไทย อา นออก เขยี นได 3.อายุต้งั แต 18 ปข นึ้ ไป เกณฑค ดั ออก (Exclusion criteria) กำหนดคุณสมบัติ ดังนี้ 1.เปนผูที่มีอาการไมสุขสบาย ที่ทำใหไ มส ามารถตอบแบบสอบถามได 2.เปนผูที่ไมประสงคเขารวมการศึกษาหรือไมสามารถเขารวมจนการศึกษาเสร็จสิ้น 3.เปนผูที่ไมสามารถติดตอได หรือเปนชาวตางชาติ กรอบแนวคิดในการวิจัย ความรอบรูดานสุขภาพ 6 ดาน ของผูปวยเบาหวาน คือ การเขาถึงขอมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ ความรูความเขาใจดานสุขภาพ การสื่อสารเพื่อเสริมสรางสุขภาพ ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการจัดการตนเอง และ การรูเทาทันสื่อ เปนสมรรถนะหลักในการกำหนดพฤติกรรมการบริโภคในผูปวยเบาหวานตอการควบคุมระดับ นำ้ ตาลในเลอื ด ตัวแปรตน ตวั แปรตาม ความรอบรดู า นสขุ ภาพ พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหาร 1. การเขาถึงขอ มูลสุขภาพและบริการสขุ ภาพ 2. ความรคู วามเขา ใจดานสขุ ภาพ 3. การสื่อสารเพื่อเสริมสรางสุขภาพ 4. ทกั ษะการตดั สนิ ใจ 5. ทักษะการจดั การตนเอง 6. การรเู ทา ทันสือ่ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั **หมายเหตุ 1.แนวคิดความรอบรูทางดานสุขภาพ ของ ดอน นัทบีม (Nutbeam D., 2008) จากบทความวิจัยเรื่อง “Health literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into health 21thcentury” 2. นยิ ามองคประกอบพ้ืนฐาน 6 ดา น จากแนวทางการพฒั นาเคร่ืองมือการวดั ระดับความรอบรดู า นสขุ ภาพ ของกองสุข ศกึ ษา กรมสนบั สนนุ บรกิ ารสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสขุ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

104 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เครอ่ื งมอื การวจิ ยั ประกอบดวย สวนที่ 1 ขอมูลทั่วไป ประกอบดวย เพศ อายุ การศึกษา มีจำนวนคำถามทั้งหมด 7 ขอ โดยลักษณะ แบบสอบถามเปนแบบตรวจสอบรายการ (check list) สวนที่ 2 ความรอบรูดานสุขภาพ ความรอบรูดานสุขภาพของประชาชนวัยทำงาน ของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (2563) จำนวน 24 ขอ ประกอบดวย 6 ดาน ดานที่ 1 การเขาถึงขอมูล สุขภาพและ บริการสุขภาพ ดานที่ 2 ความรูความเขาใจดานสุขภาพ ดานที่ 3 การสื่อสารเพื่อเสริมสรางสุขภาพ ดานที่ 4 ทักษะการตัดสินใจ ดานที่ 5 ทักษะการจัดการตนเอง ดานที่ 6 การรูเทาทันสื่อ เปนแบบประเมินมาตราสวน ประเมนิ คา วัดความถี่ของการกระทำมี 5 ระดับ ในขอคำถามเชิงบวกปฏิบตั ินอ ยทีส่ ดุ ให 1 คะแนนจนถึงปฏบิ ัติ มากที่สุด 5 คะแนน ขอคำถามในเชิงลบ ปฏิบัตินอยที่สุดให 5 คะแนนจนถึงปฏิบัติมากที่สุด 1 คะแนน การแบง คะแนนและรอ ยละ รายดา น ชว งคะแนน รอยละ ระดับ < 12 คะแนน <59.99 ไมด ี 12-13 คะแนน 60-69.99 พอใช 14-15 คะแนน 70-79.99 ดี 16-20 คะแนน 80-100 ดีมาก การแบง คะแนนภาพรวมความรอบรดู า นสขุ ภาพ ชว งคะแนน ระดบั < 72 คะแนน ไมด ี 72-83.99 คะแนน พอใช 84-95.99 คะแนน ดี 96-120 คะแนน ดีมาก สวนที่ 3 พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ความถกี่ ารบริโภค ผูวิจยั พัฒนาขน้ึ จำนวน 17 ขอ ขอคำถามมี ขอคำถามเชิงบวก 2 ขอ คือขอ 1, และ 2 ที่เหลอื เปนขอคำถามเชิงลบ ลักษณะคำถามตอบ ปฏิบัติ 7 วัน/ สัปดาห = 5 คะแนน ไมเคยปฏิบัติ= 1 คะแนน คะแนนภาพรวมพฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร ชว งคะแนน ระดับ < 21.26 คะแนน ไมด ี 21.27-42.52 คะแนน พอใช 42.53-63.78 คะแนน ดี 63.79-85 คะแนน ดมี าก การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การหาความเที่ยงตรงดานเนื้อหา (content validity index: CVI) ผูวิจัยนําแบบสัมภาษณเพื่อประเมิน ความรอบรูดานสุขภาพ 6 ดาน และ โภชนาการในผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ใหผูทรงคุณวุฒิ 4 ทาน ไดแก จาก แพทย 1 ทาน พยาบาลวิชาชีพ 3 ทาน พิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของสํานวนภาษา ความชัดเจนและ ความครอบคลุมในเนื้อหา โดยใชเกณฑการคดิ จากคาดัชนีความตรงตามเนื้อหา ซึ่งแบบสัมภาษณมีคาCVI = 0.88 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

105 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) การหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (reliability) ผูวิจัยนําแบบสัมภาษณความรอบรูดานสุขภาพ 6ดาน และ โภชนาการในผูป วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไดปรับปรุงตามคำแนะนําของผูทรงคุณวุฒิ ไปทดลองใชกับผูปวย เบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 30 คน ที่มีลักษณะเชนเดียวกับกลุมตัวอยางแลวจึงนํามาหาคาความเชื่อมั่นโดยใชสูตร สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค (cronbach’s alpha coefficient) เทากับ 0.89 การพทิ กั ษส ทิ ธก์ิ ลมุ ตวั อยา งและจรยิ ธรรมการวจิ ยั งานวิจัยนี้ผานการพิจารณาและอนุมัติใหดำเนินการวิจัยจากคณะกรรมการพิจารณาการวิจัยและ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง สถาบันพระบรมราชชนก สำนักงาน ปลดั กระทรวง กระทรวงสาธารณสขุ เลขท่ี E2563-096 กลมุ ตวั อยา งไดร บั ชแ้ี จงวตั ถปุ ระสงคข องการวจิ ยั ขน้ั ตอน การเกบ็ ขอมลู และแจงสิทธิของกลุมตัวอยางในการเขารวมการวิจัยโดยสมัครใจ ขอมูลที่ไดจะเก็บเปน ความลบั และนำเสนอในภาพรวม แบบสอบถามจะถูกนำไปทำลายทั้งหมดหลังเสร็จสิ้นการวิจัย การเก็บรวบรวมขอมูล หลังจากไดรบั การพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนษุ ย ผูวจิ ัยขอความรวมมือในการ ตอบแบบสอบถามจากกลุมตัวอยางที่มีคุณสมบัติตามเกณฑทีก่ ำหนด เม่ือกลุมตัวอยางยินยอม ใหล งนามยินยอม ตอบแบบสอบถาม ดวยความสมัครใจกอนทำการเก็บขอ มูลเปน ลายลักษณอักษร ผูว ิจัยตรวจสอบความถูกตอง ความครบถวนของขอมูลที่ได และรวบรวมขอมูลเมื่อพบวาขอมูลยังไมครบถวนสมบูรณจะมีการสอบถามเพิ่มเติม กระทง่ั ไดข อ มลู ทค่ี รบถว นสมบรู ณ การวเิ คราะหข อ มลู วิเคราะหขอมูลและประมวลผลขอมูลดวยโปรแกรมสำเร็จรูป โดยโดยใชสถิติการแจกแจงคาความถี่ คาเฉลี่ย คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการวิเคราะหลักษณะ ขอมูลทั่วไป และความรอบรูดานสุขภาพของกลุมตัวอยาง สวนวิเคราะหสัมพันธความรอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวาน โดยกำหนด ระดับนัยสำคัญทางสถิติในการวิจัยครั้งนี้ที่ระดับ .05 โดยใชสถิติ chi-square test ผลการศึกษา จำนวน รอ ยละ ขอมูลทั่วไปของกลุมตัวอยาง ตารางท่ี 1 แสดงจำนวน ความถข่ี อ มลู ทว่ั ไป (n = 231) 112 48.5 119 51.5 ขอ มลู สว นบคุ คล เพศ 26 11.30 ชาย 78 33.80 หญิง 127 55.00 อายุโดยรวม (ป) 40-49 ป 50-59 ป 60 ปข้ึนไป (Mean=64,S.D.=10.34,Min=42,Max=78 ) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

106 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางท่ี 1 แสดงจำนวน ความถขี่ อ มลู ทว่ั ไป (ตอ ) ระดบั การศกึ ษา จำนวน รอ ยละ ไมไ ดร บั การศกึ ษา 75 32.90 64.5 ประถมศึกษา 149 1.7 0.9 มัธยมศกึ ษาตอนตน 4 0 มัธยมศึกษาตอนปลายหรือปวช. 23 0 อนปุ รญิ ญาหรอื ปวส.หรอื เทยี บเทา 0 ปริญญาตรหี รอื สงู กวา 0 กลุมตัวอยางสวนใหญ พบวา เปนเพศหญิงรอยละ 55.50 โดยอายุระหวาง 60 ปขึ้นไปมากที่สุด รอยละ 55.00 มีอายุเฉลี่ย 64 ป จบการศึกษาระดับประถมศึกษารอยละ 64.50 รองลงมาคือไมไดรบั การศึกษา รอยละ32.90 ตารางท่ี 2 จำนวนและรอยละ ระดับความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (n=231) ระดบั ความรอบรดู า นสขุ ภาพ จำนวน(คน) รอ ยละ ระดบั ดมี าก 25 10.82 ระดบั ดี 28 ระดับพอใช 53 12.12 ระดบั ไมด ี 125 22.94 54.11 ความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยภาพรวม พบวา กลุมตัวอยางสวนใหญ มรี ะดับความรอบรูด านสขุ ภาพอยใู นระดับไมดี รอยละ 54.11 รองลงมาคอื ระดับความรอบรดู านสขุ ภาพพอใช รอ ยละ 22.94 ตารางท่ี 3 คาเฉลี่ยและรอยละของคะแนนรายดานความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (n=231) ความรอบรดู า นสขุ ภาพ คะแนน การเขาถึงขอมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ X % S.D. ความรูความเขาใจดานสุขภาพ 15.82 79.12 0.038 การสอื่ สารเพื่อเสริมสรางสุขภาพ 13.78 68.89 0.12 ทกั ษะการตัดสนิ ใจ 12.83 64.15 0.061 ทกั ษะการจดั การตนเอง 12.45 62.23 0.076 การรเู ทา ทนั สอ่ื 12.81 64.07 0.07 **หมายเหตุ: ภาพรวมของ x=̄ 13.41 SD=0.097 12.76 63.78 0.067 เมื่อพิจารณาความรอบรูดานสุขภาพจำแนกเปนรายดาน 6 ดาน พบวา กลุมตัวอยางมีความรอบรูดาน สุขภาพสูงสุดในเรื่องการเขาถึงขอมูลสุขภาพและบริการสขุ ภาพ เทากับรอยละ 79.12 รองลงมา คือ ความรูความ เขาใจดา นสขุ ภาพ เทากับรอยละ 68.89 ต่ำสุดคือ ทักษะการตัดสินใจรอยละ 62.23 โดยมีคาเฉลี่ยความรอบรู ดานสุขภาพ เทากับ 13.41 สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานเทากับ 0.097 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

107 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางท่ี 4 จำนวนและรอยละระดบั ของพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (n = 231) ระดับพฤติกรรมการบริโภค จำนวน รอ ยละ ระดบั ดมี าก 19 8.23 ระดบั ดี 22 ระดบั พอใช 57 9.52 ระดับไมดี 133 24.67 57.58 จากการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยภาพรวม พบวากลุมตัวอยาง สวนใหญม ีระดับพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารอยูในระดบั ไมดี รอยละ 57.58 รองลงมาคือระดับพอใช รอยละ 24.67 ตารางท่ี 5 แสดงความสัมพันธระหวางความรอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ระดับพฤติกรรมการบรโิ ภค ความรอบรดู า นสขุ ภาพ ดีมาก ดี พอใช ไมด ี p- c2 value จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน 669.66 0.00* (รอยละ) (รอยละ) (รอยละ) (รอ ยละ) 336.27 0.00* 374.16 0.00* 1.การเขาถึงขอมูลสุขภาพและบริการ 121 54 42 14 523.30 0.01* สุขภาพ (52.38) (23.38) (18.18) (6.06) 2.ความรูความเขาใจดานสุขภาพ 79 7 67 78 (34.20) (3.03) (29.00) 33.77) 3.การสื่อสารเพื่อเสริมสรางสุขภาพ 20 40 85 86 (8.66) (17.32) (36.80) (37.27) 4.ทกั ษะการตดั สนิ ใจ 11 24 60 136 (4.76) (10.39) (25.97) (58.44) ตารางท่ี 5 แสดงความสัมพันธระหวางความรอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ตอ ) ระดับพฤติกรรมการบริโภค ความรอบรดู า นสขุ ภาพ ดีมาก ดี พอใช ไมด ี p- จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน c2 value (รอยละ) (รอยละ) (รอยละ) (รอ ยละ) 5.ทักษะการจดั การตนเอง 24 48 24 135 (10.39) (20.78) (10.39) (58.44) 666.36 0.00* 6.การรเู ทา ทนั สอ่ื 0 14 14 203 (0) (6.06) (6.06) (87.88) 619.69 0.00* หมายเหต:ุ ภาพรวมความสมั พนั ธร ะหวา งความรอบรดู า นสขุ ภาพกบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภค ( χ2= 2054.12, p-value=0.01) *p-value <.01 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

108 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) จากการศึกษาความรอบรูด านสุขภาพทั้ง 6 ดานในภาพรวม มีความสัมพนั ธกับพฤติกรรมในการบรโิ ภค อาหารของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 อภปิ รายผล การศึกษาความสัมพันธระหวางความรอบรูด านสขุ ภาพกับพฤติกรรมการบริโภคของผูป วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 โดยอภิปรายผลตามวัตถุประสงคการศึกษา ดังนี้ 1.ความความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากผลการศึกษาพบวา กลมุ ตวั อยา งสว น ใหญอายุระหวาง 60 ปขึ้นไป (รอยละ 52.33 ) สวนใหญจบการศึกษาระดับประถมศึกษา (รอยละ 79.79) และ ไมไดเรียนหนังสือ (รอยละ 8.29) สงผลใหความความรอบรูดานสุขภาพของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดย ภาพรวม อยูในระดับไมดี (รอยละ 54.11) เนื่องจากกลุมตัวอยางผูปวยเบาหวาน ชนิดที่ 2 สวนใหญเปนผูสูงอายุ สงผลตอความสามารถ คิด วิเคราะห ประเมนิ และไมกลาตดั สนิ ใจในการเลอื กใชข อมูลทางดา นสุขภาพท่ีถูกตอง อาจเปนขอจำกัดในการเกิดความรอบรูดา นสุขภาพในผูส ูงอายุสอดคลองการศึกษาของแกสมาราเรยี นและคณะ (Gazmararian et al., 1999) ศึกษาความรอบรูดานสขุ ภาพในผสู งู อายุ พบวา ผูสงู อายุมีความรอบรูด า นสุขภาพ ในระดับต่ำ จาก 1ใน 3 ของผูสูงอายุมีความยากลำบากในการอาน การทำความเขาใจ และ เมื่อพิจารณาความ รอบรูดานสุขภาพจำแนกเปนรายดาน 6 ดาน พบวา การเขาถึงขอมูลสุขภาพและบริการสุขภาพของกลุมตัวอยาง อยูในระดับดี (รอยละ 79.12) แสดงใหเห็นวากลุม ตัวอยางสวนใหญร ูวาตนควรแสวงหาแหลงท่ีจะมีขอมูลและ บริการสุขภาพจากแหลง ที่ตนเชื่อถือ เพื่อใหเกดิ ความรูความเขา ใจในสภาวะโรคเบาหวานของตนเอง รวมถึงการ ปฏิบัติตน เชน โรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตำบล เจาหนาที่สาธารณสุข และคลินิกแพทย จากบริบทชุมชนชนบท แสดงใหเห็นวา แหลงบริการสุขภาพเหลานี้ เปนที่พึ่งของกลุมตัวอยางในการเขาถึงขอมูล เมื่อพิจารณาความรอบรู ดา นสุขภาพดานอน่ื ๆอกี 5 ดา น คอื ความรูค วามเขาใจดา นสขุ ภาพ การสอ่ื สารเพอื่ เสริมสรางสขุ ภาพทักษะการตดั สนิ ใจ ทักษะการจัดการตนเอง การรูเทาทันสื่อพบวา ทั้ง 5 ดานอยูในระดับพอใช วิเคราะหไดวา กลุมตัวอยางยังมีความรู และความเขาใจยังไมถูกตอง ไมกลาโตตอบซักถามในสิ่งที่ตนไมเขาใจ ทำใหกลุมตัวอยางมีการตัดสินใจปฏิบัติ พฤติกรรมที่ถูกตองในบางเรื่อง มีการแลกเปลี่ยนขอมูลพฤติกรรมกับผูอื่นบาง 2.พฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผลการศึกษา พบวา พฤติกรรมการบริโภค อาหารโดยภาพรวม แสดงใหเห็นวา ผูปวยพฤติกรรมการบริโภคที่ไมเหมาะสม กลุมตัวอยางสวนใหญมีระดับ พฤติกรรมการบริโภคอาหารอยูในระดับไมดี และระดับพอใช (รอยละ 57.58 และ 24.67 ตามลำดับ) ซึ่งกลุม ตัวอยางสวนใหญเปนเพศหญิง สูงอายุ จบการศึกษาระดับประถมศึกษา และไมไดศึกษา จากการศึกษาของมนตรี นรสิงห และ สุทธิพันธ ถนอมพันธ (Norasing Montree ,Thanomphan Sutthiphan, 2019) พบวา เพศหญิงมี พฤติกรรมควบคุมโรคดีกวาเพศชาย แตกตางจากการศึกษาของนิภาพร ศรีวงษ (Sriwong Nipaporn, 2019) ศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เขตรับผิดชอบโรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพตำบล หันนางาม หนองบัวลำภู พบวา เพศไมมีความสัมพันธตอการควบคุมโรค แตความรูเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเอง มีความสัมพันธกับพฤติกรรมการดูแลตนเองอยางมีนัยสำคัญทางสถติ ท่ี 0.01 ในผูสูงอายุจากความสามารถทาง ดานรางกายลดลงจากความชรา การเรียนรูสิ่งตางๆลดลงเชน การรับรูการมองเห็น การไดยิน การเคลื่อนไหวที่ลดลง สงผลตอความสามารถในการเรียนรูท ีจ่ ะนำมาปฏบิ ัติตนในการดูแลตนเอง (Speros,2009) โดยเฉพาะดานการบริโภค อีกทั้งกลุมตัวอยางเปนผูสูงอายุที่อาศัยในชุมชนชนบท อยูกับบุตรหลาน การจัดเตรียมอาหารจึงรับประทานตามที่ บุตรหลานไดจัดเตรียมไวใหเปนอีกปจจัยหนึ่งที่มีพฤติกรรมการบริโภคที่ไมเหมาะสม วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

109 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) 3.ความสัมพันธระหวาง ความรอบรูดานสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวานชนิดท่ี 2 จากผลการศึกษาพบวา ความรอบรูดา นสุขภาพมคี วามสัมพนั ธกับพฤติกรรมการบริโภคของผูปวยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 อยา งมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ี .01 ซึ่งสอดคลองกับผลการศึกษาของคมิ และ ยูน (Kim & Youn, 2015) ในคลนิ กิ ผปู ว ยโรคเรอ้ื รงั ท่ี พบวา ความรอบรดู า นสขุ ภาพมคี วามสำคญั ในการดแู ลจดั การกบั โรคเรอ้ื รงั ผูท่ีมคี วาม รอบรูดานสุขภาพในระดับต่ำ จะนำไปสูผลลัพธทางสุขภาพในระดับต่ำ มีความยากลำบากในการทำความเขาใจกับ สภาพของการเจ็บปวย และการจัดการกับความเจ็บปวย นอกจากนี้จากผลการศึกษาของ ชิลลิงเกอรและคณะ พบวา บุคคลที่มีความรอบรูทางสุขภาพเพียงพอ มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมและมีผลลัพธทางสุขภาพที่ดีกวา บคุ คลทม่ี คี วามรอบรทู างสขุ ภาพทไ่ี มเ พยี งพอ และผปู ว ยทม่ี คี วามรอบรทู างสขุ ภาพทเ่ี พยี งพอ จะสามารถควบคมุ ระดบั นำ้ ตาลไดด กี วา ผปู ว ยทม่ี คี วามรอบรทู างสขุ ภาพไมเ พยี งพอ ถงึ 2.03 เทา นอกจากน้ี ยงั พบวา ผปู ว ยทม่ี คี วาม รอบรูทางสุขภาพไมเพยี งพอมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซอ นทางไต เปน 2.33 เทา และมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลอื ด สมอง (cerebral vascular disease) เปน 2.71 เทา เมื่อเทียบกับผูปวยที่มีความรอบรูทางสุขภาพที่เพียงพอ (Schillinger et al., 2002) และความฉลาดทางสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผูสูงอายุที่เปนโรคเรื้อรังหลาย โรคมีความสัมพันธอยางมีนัยสำคัญทางสถิติ (Ginggeaw, S. and Prasertsri, N., 2015) จากผลงานวิจัยเหลาน้ี แสดงใหเห็นวา ความรอบรูทางสุขภาพเปนตัวแปรที่สำคัญตอการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพของผูปวยเบาหวาน ทำให ผูปวยสามารถควบคมุ ระดับน้ำตาล อันสงผลใหผูปวยชะลอการเกิดภาวะแทรกซอนจากเบาหวาน ซึ่งจะทำให ผูปวยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ความแตกตางของระดับความรอบรูทางสุขภาพมีสาเหตุจากการขาดความรูและทักษะ ในการปองกันหรือดูแลสุขภาพของตนเองสงผลตอการตัดสินใจ ใชขอมูลขาวสารความรูและการเลือกบรกิ ารดานสุขภาพ ที่ถูกตอง (DeWalt, Berkman, Sheridan, Lohr,& Pignone, 2004) ความรอบรูดานสุขภาพควร มีระดับที่สูง เพื่อใหเกิดความสามารถในการดูแลสขุ ภาพของตนเองได แสดงใหเห็นวาความรอบรูทางสุขภาพแปรผนั ตรงกับผลลัพธทาง สุขภาพของผูปวยเบาหวาน (Nutbeam D.,2008) จึงวิเคราะหไดวา ความรอบรูทางสขุ ภาพเปนตวั แปรทีส่ ำคัญที่มี ความสัมพันธโดยตรงตอการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพการบริโภคของในการควบคมุ โรคผูปวยเบาหวาน ขอ เสนอแนะในการนำผลวจิ ยั ไปใชป ระโยชน การสรางเสริมความรอบรูดานสุขภาพ (Healthliteracy)ในผูปวยเบาหวานควรมุงเนนใหผูปวยมี ความรอบรูดานสุขภาพ ในระดับดีขึ้นไปในทั้ง 6 ดาน จึงจะสงผลดีตอผลลัพธตอการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได ขอเสนอแนะในการศึกษาครั้งตอไป ควรศึกษาการสรางความรอบรดู านสุขภาพในกลุมผูป วยโรคเรือ้ รังอน่ื ๆ เชน โรคความดันโลหิตสูงเพอ่ื ประโยชนใ นการพฒั นาพฤตกิ รรมสุขภาพและการควบคมุ โรคตอ ไป วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

110 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เอกสารอา งองิ Aekplakorn, W. ( Ed. ) . ( 2014) . The fifth national health examination survey 2014. Nonthaburi: health system research institute. (in thai). American Diabetes Association. ( 2015) . Standards of medical care in diabetes-2015 abridged for primary care providers. Clin diabetes. 33(2), 97-111. doi:10.2337/diaclin.33.2.97. American Diabetes Association. (2017). Standards of medical care in diabetes-2017.Diabetes care. 40 (suppl.1), s1-s135. DeWalt, D. A., Berkman, N. D., Sheridan, S., Lohr, K. N., & Pignone, M. P. (2004). Literacy and health outcomes: A systematic review of the literature. Journal of general internal medicine, 19(12), 1228–1239. Gazmararian et al.(1999). Effects of health literacy on health status and health service utilization amongst the elderly, Social science & medicine. 66(8), 1809-1816. Gazmararian JA, Baker DW, Williams MV, Parker RM, Scott TL, Green DC, et al. ( 1999) . Health literacy among medicare enrollees in a managed care organization.JAMA.281(6):545-51. Ginggeaw, S. and Prasertsri, N. ( 2015) . The relationship between health literacy and health behaviors of the elderly with multiple chronic diseases. Nursing journal of the ministry of public health. 25(3):43-54. (in thai) HDC.(2020). Lampang HDC. (online), Available: https://lpg.hdc.moph.go.th/hdc/reports/report. php?ource=pformated/format1. php&cat_id=b2b59e64c4e6c92d4b1ec16a599d882b&id =137a726340e4dfde7bbbc5d8aeee3ac3.(2020, 9 February). (in thai). Kim, S. H., & Youn, C. H. (2015). Efficacy of chronic disease self-management program in older Korean adults with low and high health literacy. Asian nursing research, 9(1), 42-46. Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and psychological measurement. 30(3), pp. 607-610. National Health Security Office of Thailand. (2015). An assessment on quality of care among patients diagnosed with type 2 diabetes and hypertension visiting hospitals of ministry of public health and Bangkok metropolitan administration in Thailand. (online),Available:http://www.skto.moph.go.th/ssj/disease/tb/download/NCD%2059. (in thai). Norasing Montree ,Thanomphan Sutthiphan.(2019). Health literacy and health behavior in patients with uncontrolled blood sugar level or blood pressure: a case study of Nakornping Hospital, Chiang Mai. Journal of nakornping hospital 2019,10(1), 36-49.(in thai) Nutbeam D. (1986). Health promotion glossary. Health promot, 1(1),113-127. Nutbeam D.(1999). Health promotion glossary. Health promotion international.13(4), 349-364.100. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

111 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผานการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูในฐานขอมูล TCI กลุมที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Nutbeam D . (2008). Health literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21st century. Health promotion international. 15(3), 259-267. Ogurtsova et al. ( 2017) . IDF diabetes atlas: global estimates for the prevalence of diabetes for 2015 and 2040. Diabetes research and clinical practice, 128, 40-50 Schillinger et al. (2002). Association of health literacy with diabetes outcomes. Journal of the american medical association, 288, 475-482. Speros, C. I. (2009). More than words: promoting health literacy in older adults. OJIN: The online journal of issues in nursing. 14(3). Sriwong Nipaporn.(2019). Self-care behaviors of type II diabetes mellitus patients attending sub- district health promoting hospital. Journal of health science 2019. 28(4): 620-27.(in thai) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

112 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) Factors Related to Clinical Risk Management of Professional Nurses at Saraphi Hospital in Chiang Mai Province Supranee Jaita*, Decha Tamdee** (Received January 12, 2021, Revised:February 9, 2021, Accepted: March 8, 2021) Abstract This descriptive research aims to study the factors related to clinical risk management among professional nurses, Saraphi hospital Chiang Mai Province. The population in this study were 40 professional nurses who work in the nursing group of Saraphi hospital District, Chiang Mai Province. The research tools composed of the demographic data questionnaire, the nurses participatory of administration and the risk management. All questionnaires were evaluated for content validity and Cronbach’s alpha with reliability of .95 and .96 respectively. The descriptive statistics and Pearson’s product-moment correlation coefficient were used for data analysis. The results found that the overall participatory management of professional nurses was at a high level. (Mean = 3.81, S.D. = 0.80), the overall clinical risk management of professional nurses was high (Mean = 3.88, S.D. = 0.72). Age of professional nurses was not associated with clinical risk management. Moreover, the duration of working as a nursing profession and the participatory administration of registered nurses was at a high positive correlation with clinical risk management of professional nurses with statistically significant r=.876, p=.025 and r=.743, p<.001 respectively. Therefore, nursing administrators should promote greater involvement of professional nurses in clinical risk management by knowledge management, enhancing for participation of risk management planning for more efficiency and make organization safety culture policy with increased in the focus on proactive risk finding and incidents report for planning to prevent the incidence and make the patient safety. Keywords: Risk Management; Clinical Risk; The participative management * Registered Nurse, Professional level, Saraphi Hospital in Chiang Mai Province ** Associate Professor, Faculty of Nurse Chiang Mai University วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

113 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ปัจจยั ที่มีความสัมพนั ธก์ ับการบริหารความเส่ยี งทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลสารภี จังหวัดเชยี งใหม่ สปุ ราณี ใจตา*,เดชา ทาดี** (วันรบั บทความ : 12 มกราคม 2564, วนั แกไ้ ขบทความ : 9 กุมภาพันธ์ 2564, วนั ตอบรบั บทความ : 8 มนี าคม 64) บท ค ัดยอ่ การวจิ ยั เชิงพรรณนาน้ี มีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาปจั จัยท่ีมีความสัมพนั ธ์กบั การบริหารความเส่ียงทาง คลินิกของพยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรทีใ่ ช้ศึกษา เป็นพยาบาลวิชาชีพที่ ปฏบิ ัติงานในกลมุ่ งานการพยาบาล ของโรงพยาบาลสารภี อาเภอสารภี จังหวดั เชยี งใหม่ จานวน 40 คน เคร่อื งมือ ที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลสว่ นบุคคล,การบริหารงานแบบมีส่วนรว่ มของ พยาบาลวชิ าชพี และการบรหิ ารความเส่ยี งด้านคลินิก ตรวจสอบความตรงเชิงเนือ้ หา และทดสอบความเชื่อมัน่ ไดค้ ่าเทา่ กบั 0.95 และ 0.96 ตามลาดบั วเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถิตเิ ชิงพรรณนา และค่าสมั ประสทิ ธิ์สหสมั พนั ธ์ตาม วธิ ขี องเพียรสนั (Pearson’s product-moment correlation coefficient) ผลการวิจัย พบว่า การบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของพยาบาลวิชาชีพโดยรวมอยู่ในร ะดับ สูง (Mean=3.81,S.D.=0.80) การบรหิ ารความเสี่ยงด้านคลินกิ ของพยาบาลวชิ าชพี โดยรวมอย่ใู นระดบั สูง(Mean=3.88,S.D.=0.72) โดยช่วงอายุของพยาบาลวชิ าชีพไม่มีความสัมพันธ์กับการบริหารความเส่ียงด้านคลินกิ สาหรับระยะเวลาท่ี ปฏบิ ตั งิ านในวชิ าชีพพยาบาล และการบรหิ ารงานแบบมสี ว่ นร่วมของพยาบาลวิชาชีพน้ัน มคี วามสัมพันธท์ างบวก ในระดบั สงู กับการบริหารความเสี่ยงดา้ นคลินิกของพยาบาลวชิ าชีพ อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ (r=.876, p= .025 และ r=.743, p<.001 ตามลาดบั ) จากผลการศึกษาผู้บริหารทางการพยาบาลควรสง่ เสริมการมีส่วนรว่ มของพยาบาลวิชาชีพในการ บรหิ ารความเสีย่ งด้านคลินิกให้มากข้ึน โดยจดั การด้านความรู้ สนับสนนุ การร่วมคดิ วางแผนวธิ ีดาเนนิ การบริหาร ความเสี่ยงให้เกิดประสทิ ธิภาพมากข้นึ และกาหนดนโยบายวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร เน้นการค้นหา ความเสย่ี งเชิงรกุ และรายงานอบุ ตั กิ ารณ์มากขน้ึ เพื่อการวางแผนป้องกนั การเกดิ อุบัตกิ ารณ์ทาให้ผปู้ ่วยปลอดภยั คำสำคัญ: การบริหารความเสี่ยง; ความเสย่ี งทางคลินิก; การบริหารงานแบบมสี ่วนร่วม * พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ โรงพยาบาลสารภี จังหวดั เชยี งใหม่ ** รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

114 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) บทนำ ความปลอดภยั ของผปู้ ว่ ย (patient safety) เป็นประเดน็ สาคญั ที่มผี ลกระทบดา้ นการสาธารณสุขท่ัว โลก เนือ่ งจากเป็นคณุ ภาพของการบริการในระบบสาธารณสุข (Tansirisithikul et al., 2012) องคก์ ารอนามยั โลก เปิดเผยขอ้ มูลว่าในแต่ละปีมผี ู้ป่วยเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงคถ์ ึงร้อยละ18 (WorldHealthOrganization:WHO,2016) และมีผเู้ สียชีวติ จากเกดิ เหตกุ ารณ์ไม่พึงประสงค์ถงึ 251,454 ราย (Makary & Daniel, 2016) สาหรับประเทศไทย พบว่ามีอัตราการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้อยละ 9.1 (Khunthar, 2014) โดยมีสาเหตุมาจากระบบและ กระบวนการใหบ้ รกิ ารสุขภาพ ไดแ้ ก่ การสอื่ สารขอ้ มลู ผู้ปว่ ยผดิ พลาดร้อยละ 61 ความผิดพลาดเก่ยี วกบั ยาร้อยละ 60.8 (Cheragi et al., 2013) และการระบผุ ู้ปว่ ยผิดพลาดรอ้ ยละ53.2 (Khoo et al., 2012) เปน็ ต้น ทาให้สง่ ผล กระทบต่อผู้ป่วยและครอบครัว บุคลากรทีมสหสาขาวิชาชีพและระบบบริการสุขภาพของประเทศโดยรวม (Chaleoykitti, Kamprow & Promdet, 2014) จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าการเกดิ เหตกุ ารณไ์ ม่พึงประสงค์น้นั สว่ นใหญ่สามารถปอ้ งกนั ได้จาก ระบบการปฏิบตั ิงานร้อยละ50 – 70.2 (WHO,2016) จากปญั หาดังกลา่ วทัว่ โลก จงึ กาหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ ความปลอดภยั ของผูป้ ่วย (international patient safety goals) (Joint Commission International :JCI, 2015) ซ่ึงปัจจุบันการรกั ษาพยาบาลมีความก้าวหน้าไปตามวิวฒั นาการของอุบัติการณ์ของโรคทเ่ี กิดข้ึนใหม่ มีความ ซบั ซอ้ น ความตอ้ งการคุณภาพการรักษาท่ีดี รวดเร็ว ความเรง่ ดว่ นและความคาดหวังจากผู้รบั บรกิ ารท่ีมีมา กข้ึน ส่งผลให้ผู้ให้และผู้รับการรักษาพยาบาลมีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดและความสูญเสียมากข้ึนและความ เจริญก้าวหน้าทางข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ทาใหป้ ระชาชนต่นื ตัวตอ่ ความต้องการบริการท่ีมีคณุ ภาพ ผูม้ าใช้ บริการในโรงพยาบาล เกิดความคาดหวัง ท่จี ะได้รบั บริการทด่ี ีและปลอดภัยจากโรงพยาบาลทาให้สถานบริการ สุขภาพแต่ละแห่ง จึงต้องมีการ ปรับกลยุทธ์การ ให้บริกา รและพัฒน า คุณภา พกา รบริการ มีการ น า กระบวนการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลมาใช้ โดยมีเปา้ หมาย คอื คุณภาพการบรกิ ารที่ดีขึ้น อย่าง ต่อเนอ่ื ง ผ้รู บั บริการปลอดภยั และมีความมัน่ ใจในบรกิ ารของโรงพยาบาลเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ซ่งึ เปน็ กลวธิ ใี นการ กระตุน้ และสง่ เสริมให้โรงพยาบาล มกี ารพฒั นาคุณภาพอยา่ งเป็นระบบท้ังองคก์ ร เพ่อื ป้องกนั แก้ไขความเส่ียง และความผิดพลาดต่างๆ (Supachutikoon A., 2017) การบริหารความเสยี่ งจึงเป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพ่ือป้องกัน ปัญหาและควบคุมความสญู เสียท่ีอาจเกิดข้ึนจากการให้บรกิ ารพยาบาล ซงึ่ พยาบาลวิชาชพี มีบทบาทโดยตรงใน การบรหิ ารความเสี่ยงทเี่ กิดข้นึ เม่ือเกิดอุบัติการณ/์ ความเสี่ยงสามารถจัดการได้ โดยมงุ่ เน้นความปลอดภัยของ ผู้ปว่ ยเปน็ เปา้ หมายสาคัญ จึงมกี ารพัฒนาคุณภาพในการดแู ลผ้ปู ว่ ยข้นึ เพือ่ ป้องกนั และเฝา้ ระวงั ความเส่ยี งท่ีอาจ เกดิ ขึ้นกบั ผ้ปู ว่ ยได้ การที่พยาบาลวิชาชพี จะสามารถบริหารความเส่ยี งในโรงพยาบาลได้นนั้ มปี ัจจัยส่วนบคุ คลของ ประสบการณ์ในการทางานเข้ามาเกี่ยวขอ้ ง ซง่ึ ประสบการณ์ในการทางานทาให้ได้ทักษะและความชานาญ ส่งผล ให้นาประสบการณ์ที่มีมาประสมประสานเข้ากับการปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน ดังนั้น ประสบการณ์จึงมแี นวโนม้ จะมีผลต่อการจดั การความเสีย่ งได้เชน่ กัน (Waitayakoon P.et al.,2013) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

115 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ดังนัน้ การบริหารจดั การทางการพยาบาลเพ่ือป้องกันและลดความเส่ียง จงึ เปน็ หนา้ ท่ีของพยา บาล วิชาชีพ ในการบริหารความเส่ียงท่ีเกย่ี วข้องกับการดูแลผู้ปว่ ยในโรงพยาบาล ซึง่ จากการดาเนนิ การบริหาร ควา ม เสี่ยงทผ่ี ่านมา หวั หน้างานมีบทบาทสาคญั ในการเปน็ ผบู้ ริหารความเสี่ยง และเป็นผู้จัดการความเส่ียง (risk management) ของหน่วยงาน ได้รบั รู้ถึงบทบาทหน้าทีค่ วามรับผดิ ชอบของผจู้ ัดการความเสี่ยง แต่การทจี่ ะใหม้ กี ารบริหาร ควา ม เส่ยี งได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพมากข้ึนนั้น องค์กรควรสนับสนุนบคุ ลากรให้มกี ารบริหารงานแบบมีสว่ นร่วมเพ่ือให้เกิด การทางานเป็นทมี เกิดการรว่ มคดิ ร่วมวางแผนปฏิบตั ิ เพอ่ื บรรลถุ ึงเป้าหมายคอื ผปู้ ่วยปลอดภยั การบรหิ ารความ เสย่ี งด้านคลนิ กิ ขององค์กรก็เชน่ เดยี วกนั องค์กรควรกาหนดใหก้ ารบรหิ ารความเสี่ยงเป็นนโยบาย และมีการสือ่ สาร ลงสู่ผู้ปฏิบัติ เพ่ือให้บคุ ลากรโดยเฉพาะพยาบาลวชิ าชีพ ทม่ี บี ทบาทในการดแู ลผ้ปู ่วยได้มีความรแู้ ละทัศนคติที่ดีต่อ การบรหิ ารความเส่ยี ง สามารถปฏิบตั ติ ามกระบวนการบริหารความเสย่ี งไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ จนเกดิ ผลลัพธ์ที่ดี ชว่ ยลดความรุนแรงและป้องกนั การเกดิ ความเส่ยี งและอุบัติการณซ์ า้ ของความผิดพลาดท่ีเกิดข้ึน จากปัญหาด้านการบรหิ ารความเส่ียงของโรงพยาบาลสารภี ที่ผ่านมาเม่ือเกิด ความเส่ียงหรือ อบุ ตั กิ ารณจ์ ากการทางานผิดพลาด มักเปน็ บทบาทหนา้ ทข่ี องหวั หน้างานในการตัดสนิ ใจและจัดการปัญหาโดย พยาบาลผปู้ ฏิบัติงานไม่ไดม้ ีส่วนร่วมจึงทาให้เกดิ อุบตั ิการณ์ซา้ และขอ้ มูลการรายงานอุบั ตกิ ารณ์ ความเสี่ยงใน โรงพยาบาลสารภี ปี พ.ศ. 2561 - 2562 มีการรายงานอุบตั ิการณท์ างคลนิ กิ โดยพยาบาลวชิ าชีพ ร้อยละ 83 และ 84 ตามลาดบั เป็นอุบัติการณร์ ะดับรนุ แรงท่ีตอ้ งเฝา้ ระวังอาการจนถึงขั้นเสียชีวิต รอ้ ยละ 10 และ 17 ตามลาดับ และ มีการเกดิ ซ้ารอ้ ยละ 83 , 52 ตามลาดับ พบว่า ความเสี่ยงทางคลินิกระดับรุนแรงมีเพ่ิมขึ้น และยงั เกิดซ้าซ่ึง ส่วนใหญ่ผรู้ ายงานเป็นหวั หน้างานและพยาบาลที่รับผิดชอบความเสีย่ ง ดงั นั้นเพื่อให้มีการบริหารความเสยี่ งเกิด ประสิทธภิ าพโดยเฉพาะในกลุ่มวชิ าชีพพยาบาลท่ีให้การดแู ลผู้ปว่ ย สามารถปฏิบตั กิ ารบริหารความเสย่ี ง ตง้ั แตก่ าร คน้ หาความเส่ยี ง การวเิ คราะหค์ วามเสีย่ ง การจดั การความเสีย่ ง และการประเมนิ ผลการจดั การความเสี่ยง เพ่ือ การพฒั นาดา้ นการดแู ลผู้ปว่ ย จึงควรกระตุน้ พยาบาลวิชาชีพ โดยเฉพาะหนว่ ยบริการที่ดแู ลผู้ปว่ ยโดยตร งเห็น ความสาคญั และสามารถบริหารความเสย่ี งในทุกกระบวนการดูแลผู้ปว่ ย ผูว้ จิ ยั จงึ เลอื กทาวจิ ยั ในพยาบาลวิชาชีพ ของกลมุ่ การพยาบาลทุกคนใหเ้ กิดความตระหนักถึงกระบวนการบริหารความเส่ียง ซึง่ การวจิ ัยนี้ต้องการ ศึกษา ปจั จยั ทมี่ ีผลต่อการบรหิ ารความเส่ียงทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลสารภี เพ่อื นาข้อมลู ทีไ่ ด้ไปใช้ใน การออกแบบวางแผนกระบวนการปรับปรงุ พัฒนาการบริหารความเสย่ี งด้านคลินิกในการดแู ลผูป้ ่วย และจัดทากลยทุ ธ์ เพือ่ กระตุ้นพยาบาลวชิ าชีพ ใหส้ ามารถบรหิ ารความเสยี่ งดา้ นคลินกิ ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ วตั ถุประสงค์ เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการบริหารความเส่ยี งทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสารภี จงั หวดั เชยี งใหม่ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

116 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ขอบเขตงำนวจิ ยั การวิจยั นี้มีขอบเขตการวจิ ัย 1) ด้านเนอ้ื หา เปน็ การศึกษาปัจจยั เก่ยี วกับ อายุ ประสบการณ์ในวิชาชีพ พยาบาลและการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมกับการบริหารความเส่ียงทางคลินิกของพยาบาลวชิ าชีพ 2) ด้าน ประชากร ไดแ้ ก่ พยาบาลวชิ าชีพท้ังหมดที่ปฏิบัติงานในกลุ่มการพยาบาล ของโรงพยาบาลสารภี อาเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ จานวน 40 คน 3) ด้านพื้นท่ี คือ โรงพยาบาลสารภี จังหวัดเชียงใหม่ 4) ด้านระยะเวลาใน การศกึ ษาระหวา่ งเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึง เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2563 วธิ ดี ำเนนิ กำรวจิ ยั ประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา:เป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในกลุม่ งานการพยาบาลของโรงพยาบาล สารภี อาเภอสารภี จังหวดั เชยี งใหม่ จานวน 40 คน เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย ประกอบดว้ ย ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเก่ยี วกับข้อมลู สว่ นบคุ คล มีจานวน 2 ข้อ ไดแ้ ก่ อายุ ระยะเวลาทปี่ ฏิบตั ิงานใน วชิ าชพี พยาบาล ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามการบริหารงานแบบมีส่วนรว่ มของพยาบาลวิชาชีพ โดยวัดการปฏิบัติตาม องคป์ ระกอบด้านการตงั้ เปา้ หมายและวัตถุประสงค์,ความเปน็ อสิ ระต่อความรบั ผดิ ชอบในงาน,การไว้วางใจกันและ ความยดึ มัน่ ผกู พัน ซ่งึ ผ้วู ิจัยดัดแปลงและประยกุ ต์ เนือ้ หาจากแบบสอบถามของ เชาวรัตน์ ศรีวสุธา (2558) โดยใช้ แนวคิดของสวอนเบริ ก์ (Swanburg, 2002) มจี านวน 16 ข้อ เปน็ ขอ้ คาถามแบบประเมนิ ค่า (likert scale) เกณฑ์ 5 ระดบั โดยแบง่ การใหค้ ะแนนดงั น้ี ระดับ 1 = มีการปฏิบิัตติ รงกับความเป็นจริงน้อยทส่ี ดุ ระดับ 2 = มกี ารปฏิบัตติ รงกบั ความเปน็ จริงน้อย ระดบั 3 = มกี ารปฏบิ ตั ติ รงกับความเป็นจรงิ ในประโยคนัน้ ปานกลาง ระดับ 4 = มีการปฏิบตั ติ รงกบั ความเปน็ จรงิ ในประโยคนน้ั มาก ระดับ 5 = มีการปฏิบัตติ รงกับความเป็นจรงิ ในประโยคนั้นมากที่สุด การแปลผลคะแนนจากคา่ เฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์ ดงั นี้ คา่ µ = 0.00-1.66 หมายถึง การมีส่วนร่วมในระดบั ต่า µ = 1.67-3.33 หมายถงึ การมีสว่ นรว่ มในระดบั ปานกลาง µ = 3.34-5.00 หมายถงึ การมีสว่ นร่วมในระดบั สูง สว่ นท่ี 3 แบบสอบถามการบริหารความเสีย่ งด้านคลนิ ิก โดยวัดความคิดเหน็ ตามองค์ประกอบด้าน ดงั น้ี การคน้ หาความเสี่ยง การวเิ คราะหค์ วามเสยี่ ง การจัดการความเส่ียง และการประเมนิ ผลการจดั การความเสย่ี ง ซึง่ ผู้วจิ ยั ประยกุ ต์ เนอื้ หาจากแบบสอบถามของเชาวรตั น์ ศรีวสธุ า (2558) (Sriwasuta C., 2015) ตามแนวคิดของ วิลสันและทิงเกิล (Wilson & Tingle, 1999) มจี านวน 25 ข้อ เป็นข้อคาถามแบบประเมนิ ค่า (likert scale) วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

117 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) เกณฑ์ 5 ระดับ โดยแบ่งการใหค้ ะแนนดงั นี้ ระดับ 1 = ข้อความนน้ั ตรงกบั ความคิดเหน็ ของท่านนอ้ ยท่ีสุด ระดับ 2 = ขอ้ ความนัน้ ตรงกับความคดิ เห็นของท่านนอ้ ย ระดับ 3 =ขอ้ ความนนั้ ตรงกบั ความคิดเห็นของทา่ นปานกลาง ระดับ 4 = ข้อความนั้นตรงกบั ความคดิ เห็นของท่านมาก ระดับ 5 = ขอ้ ความน้นั ตรงกับความคดิ เหน็ ของทา่ นมากท่ีสุด การแปลผลคะแนนจากค่าเฉล่ียโดยใช้เกณฑ์ ดังนี้ ค่า µ = 0.00-1.66 หมายถึง มีการบรหิ ารความเสีย่ งในระดับต่า µ = 1.67-3.33 หมายถงึ มกี ารบริหารความเสย่ี งในระดับปานกลาง µ = 3.34-5.00 หมายถงึ มกี ารบรหิ ารความเสี่ยงในระดับสงู กำรตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ความตรงเชิงเนื้อหา (validity) โดยใหผ้ ้ทู รงคณุ วฒุ ิจานวน 3 คน ตรวจสอบความถูกตอ้ งและครอบคลุม ของเน้ือหา ได้เทา่ กับ 0.91, 0.93 และ 0.93 ตามลาดบั ความเชื่อม่ันของเครือ่ งมือ (reliability) ผู้วจิ ัยนาเครอื่ งมอื ไปทดลองใช้กบั พยาบาลวิชาชีพที่มีคุณสมบัติ คล้ายคลงึ กบั ประชากรท่จี ะศึกษาที่โรงพยาบาลดอยสะเก็ด อาเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชยี งใหม่ จานวน 10 ราย แลว้ หาค่าความเชื่อมนั่ โดยการคานวณค่าสมั ประสิทธ์ิครอนบาคอัลฟา่ (Cronbach’s coefficient alpha) โดย เครื่องมือแบบสอบถามการบริหารงานแบบมีสว่ นร่วมของพยาบาลวชิ าชีพ ได้เทา่ กับ 0.95 และแบบสอบถามการ บริหารความเสยี่ งด้านคลินกิ ได้เท่ากบั 0.96 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยได้รับเอกสารรับรองผ่านการพิจารณาจริยธรรมการศึกษาวิจยั ในมนษุ ย์ สานกั งานสาธารณสุข จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงสาธารณสขุ เลขท่ี 34/2563 จากนน้ั ดาเนินการแจกแบบสอบถามผา่ นหัวหนา้ งาน ตาม จานวนพยาบาลวชิ าชีพท้ังหมดท่ปี ฏบิ ัติงานในหน่วยบริการของกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลสารภี รวมท้งั ส้ิน จานวน 40 ฉบับ ได้รวบรวมข้อมลู ตอบกลับ ตรวจสอบความสมบูรณข์ องขอ้ มูลและนาไปวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติ กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล นาขอ้ มลู ท่ีรวบรวมไดม้ าวิเคราะห์ โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาเร็จรปู ดังนี้ 1.ขอ้ มูลสว่ นบุคคล ขอ้ มลู ระดบั การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม และการบรหิ ารความเสยี่ งทางคลนิ ิกของ พยาบาลวชิ าชพี วเิ คราะห์ดว้ ยสถติ ิเชิงพรรณนาได้แก่ ความถ่ี ค่ารอ้ ยละ คา่ คะแนนเฉล่ีย สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 2.ข้อมูลปัจจยั ที่มีความสัมพันธต์ ่อการบริหารความเส่ียงทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสารภี จงั หวัดเชยี งใหม่ วิเคราะห์ดว้ ยความสัมพันธ์ของค่าสถติ ิสมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพันธข์ องเพียรสัน (pearson’scorrelationcoefficient) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

118 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) กำรพิทกั ษส์ ทิ ธกิ์ ลมุ่ ตวั อยำ่ งและจรยิ ธรรมกำรวจิ ยั โครงการวิจยั นีผ้ ่านการพจิ ารณาจรยิ ธรรมการศึกษาวิจยั ในมนุษย์สานกั งานสาธารณสขุ จังหวัดเชยี งใหม่ กระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 34/2563 วันทีร่ ับรอง 26 ตุลาคม 2563 โดยผู้วิจยั ชีแ้ จงวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย และ การเข้าร่วมการวจิ ัยให้แกพ่ ยาบาลวชิ าชพี ทราบ เพื่อการตัดสินใจเขา้ ร่วมวิจัย และเซน็ ใบยินยอมเขา้ รว่ มวิจัย ผลกำรวจิ ยั 1. ขอ้ มูลสว่ นบคุ คลของพยำบำลวชิ ำชพี ตำรำงที่ 1 จานวนและรอ้ ยละของพยาบาลวชิ าชพี จาแนกตามอายแุ ละระยะเวลาท่ีปฏิบัตงิ านในวิชาชพี พยาบาล ลกั ษณะส่วนบคุ คล จำนวน (N=40) ร ้อยละ อำยุ (ป)ี 4 10.00 20 – 24 4 10.00 25 – 29 2 5.00 30 – 34 3 7.50 35 – 39 6 15.00 40 – 44 10 25.00 45 – 49 3 7.50 50 – 54 8 20.00 55 ปขี ้ึนไป ระยะเวลำทป่ี ฏบิ ตั งิ ำนในวชิ ำชพี (ปี) 11 27.50 1–9 8 20.00 10 – 19 13 32.50 20 – 29 8 20.00 30 ปขี ึ้นไป จากตารางท่ี 1 พบวา่ ส่วนใหญ่มอี ายอุ ยู่ในชว่ ง 45-49 ปี ร้อยละ 25 รองลงมาคอื มีอายุช่วง 55 ปีขึน้ ไป ร้อยละ 20.00 ทัง้ น้มี ีประสบการณใ์ นการทางานนานเกนิ 20 ปีขนึ้ ไป สว่ นใหญ่มรี ะยะเวลาการทางาน 20-29 ปี รอ้ ยละ 32.50 รองลงมาคือทางานนาน 1-9 ปรี อ้ ยละ 27.50 และ ระยะเวลาทางาน 10-19 ปี และ 30 ปีขึ้นไป ร้อยละ 20.00 เท่าๆกนั วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

119 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ส่วนท่ี 2 การบริหารงานแบบมีสว่ นร่วมของพยาบาลวิชาชีพ ตำรำงท่ี 2 ค่าเฉลย่ี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและการแปลผลการบริหารงานแบบมสี ว่ นรว่ มของพยาบาลวิชาชพี เป็นรายด้านและโดยรวม (n=40) การบรหิ ารงานแบบมสี ว่ นรว่ มของพยาบาลวชิ าชีพ µ  แปลผล ดา้ นการตง้ั เป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ 3.91 .85 ระดบั สงู ด้านความเป็นอิสระตอ่ ความรับผิดชอบในงาน 3.82 .75 ระดบั สงู ดา้ นการไว้วางใจกนั 3.75 .82 ระดบั สูง ดา้ นความยึดมน่ั ผกู พนั 3.76 .77 ระดับสูง การบรหิ ารงานแบบมีสว่ นรว่ มของพยาบาลวิชาชีพโดยรวม 3.81 .80 ระดบั สูง จากตารางที่ 2 พบว่า การบรหิ ารงานแบบมสี ่วนร่วมของพยาบาลวชิ าชีพ โดยรวมในระดับสงู (µ =3.81,  =.80) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า พยาบาลวิชาชีพ มีการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม ด้านการตั้งเป้ าหมายและ วัตถปุ ระสงค์ ในระดับสูง (µ = 3.91,  =.85) รองลงมาคือดา้ นความเป็นอสิ ระต่อความรับผดิ ชอบในงาน (µ =3.82,  =.75) ดา้ นความยดึ มนั่ ผูกพนั (µ =3.76 ,  =.77) และการบรหิ ารงานแบบมสี ่วนร่วมด้าน ที่มีค่า ระดับคะแนนเฉลี่ยต่าสดุ คอื ดา้ นการไว้วางใจ (µ =3.75,  =.82) ส่วนท่ี 3 การบริหารความเสี่ยงด้านคลิินิกของพยาบาลวิชาชีพและปจั จัยท่ีมีความเก่ียวขอ้ ง ตำรำงที่ 3 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานและการแปลผลการบริหารความเสีย่ งด้านคลนิ กิ ของพยาบาลวิชาชีพ เปน็ โดยรวม (n=40) การบริหารความเสี่ยงด้านคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ µ  แปลผล การค้นหาความเสยี่ ง 3.99 .71 ระดับสูง การวิเคราะหค์ วามเสี่ยง 3.83 .79 ระดับสงู การจัดการความเสยี่ ง 3.86 .67 ระดับสงู การประเมินผลการจัดการความเสยี่ ง 3.83 .72 ระดบั สงู การบริหารความเส่ียงดา้ นคลนิ กิ ของพยาบาลวชิ าชพี โดยรวม 3.88 .72 ระดับสูง จากตารางที่ 3 พบวา่ มกี ารบรหิ ารความเส่ยี งด้านคลนิ กิ ของพยาบาลวิชาชีพ โดยรวมในระดบั สงู (µ =3.88 ,  =.72) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า พยาบาลวชิ าชีพมีการบริหารความเส่ียงด้านคลินิก ด้านการค้นหาความเสี่ยงใน ระดบั สูง (µ = 3.99 ,  =.71) รองลงมาคอื ดา้ นการจดั การความเสี่ยงในระดบั สูง (µ =3.86 , =.67)ดา้ นการ วเิ คราะห์ความเสี่ยง และดา้ นการประเมนิ ผลการจัดการความเสย่ี ง ในระดับสงู (µ = 3.83 , ∑ =0.79 และ0.72) ตามลาดบั วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

120 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตำรำงที่ 4 ความสมั พนั ธ์ระหว่างปัจจยั สว่ นบคุ คล ระยะเวลาท่ีปฏิบตั ิงานในวิชาชพี พยาบาล และการบริหารงาน แบบมสี ่วนร่วมของพยาบาลวิชาชพี กบั การบริหารความเส่ียงด้านคลนิ กิ ของพยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลสารภี (n=40) ตวั แปร การบริหารความเสี่ยงด้านคลนิ ิกของพยาบาลวชิ าชพี r2 p-value อายุ .611 .083 ระยะเวลาทป่ี ฏบิ ตั งิ านในวชิ าชีพพยาบาล .876* .025 การบริหารงานแบบมสี ่วนรว่ มของพยาบาลวิชาชีพ .743** <.001 ** Correlation is significant at the .05 level (2-tailed) จากตารางที่ 4 พบวา่ ช่วงอายุของพยาบาลวิชาชีพไมม่ ีความสัมพนั ธ์กบั การบริหารความเสี่ยงดา้ นคลินิก ส่วนตัวแปรดา้ นระยะเวลาทป่ี ฏิบัติงานในวิชาชีพพยาบาล และการบริหารงานแบบมสี ว่ นรว่ มของพยาบาลวิชาชีพ น้ัน มคี วามสมั พันธ์ทางบวกในระดับสูงกับการบริหารความเสยี่ งด้านคลินกิ ของพยาบาลวชิ าชพี อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติ (r=.876,p=.025 และ r=.743,p<.001) ตามลาดับ อภิปรำยผล จากผลการศึกษา พบว่า สถิติทใี่ ชไ้ ม่สามารถอธบิ ายการทานายของตวั แปรเก่ียวกับระยะเวลาท่ีปฏิบัติงาน ในวิชาชีพพยาบาล และการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r=.876, p=.025 และ r=.743,p<.001) ตามลาดับ กับการบริหารความเส่ียงด้านคลนิ ิกของพยาบาลวชิ าชีพ สามารถ อธบิ ายไดว้ ่า ประสบการณ์ตามระยะเวลาทีป่ ฏบิ ัติงานในวิชาชีพพยาบาล ทาให้บุคคลากรเกิดการเรยี นรู้ มที ักษะ ในการบริหารความเสยี่ งทางคลนิ กิ ไดด้ ี จากการรับรู้เข้าใจระบบและกระบวนการทางาน ทาใหส้ ามารถดาเนินตาม ข้นั ตอนการบรหิ ารความเส่ียงทางคลินกิ ได้ดี ในด้านการค้นหาความเสย่ี ง รคู้ วามเสยี่ งในกระบวนการทางานและ สามารถเข้าถงึ ความเสย่ี งได้เรว็ รวู้ า่ เกดิ จากข้นั ตอนใดของกระบวนการให้การพยาบาล ดา้ นการวิเคราะหส์ ามารถ วิเคราะห์หาสาเหตุได้ดี ร้ปู ัญหาที่เกดิ จากสภาพแวดลอ้ ม สามารถจดั การความเสี่ยงไดด้ ีอย่างมีประสทิ ธิภาพ และ ทาให้ผลการประเมนิ การบริหารความเสีย่ งเกดิ ผลลัพธ์ที่ดี สอดคลอ้ งกบั ผลการศกึ ษา ประไพรัตน์ ไวทยกลุ และคณะ(2556) ได้กลา่ วถงึ ประสบการณ์ของบคุ คลท่ีมีต่อการบริหารความเสีย่ งทางคลินิกวา่ ประสบการณ์ในการทางานทา ให้ได้ ทักษะและความชานาญดังกล่าว ส่งผลให้นาประสบการณ์ที่มีมาผสมผสานเข้ากับการปฏิบัติ กิจกรรมตาม กระบวนการจดั การความเส่ียง จนสามารถปฏบิ ัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขน้ึ สอดคลอ้ งกับชลอ น้อยเผ่า (2544) พบวา่ ประสบการณก์ ารปฏิบตั ิงานทเี่ พมิ่ มากขึน้ มผี ลทาให้มีการปฏิบิตั ิกจิ กรรมตามกระบวนการจัดการความเสี่ยง ได้มากขึน้ ทาให้ได้รบั ความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั การปฏบิ ัติกิจกรรม ทชี่ ว่ ยทาให้เกิดความปลอดภัยแก่บคุ ลากร ทางการพยาบาลในการปฏิบตั ิงาน ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ ทป่ี ฏบิ ตั ิงานมานาน และสอดคลอ้ งกบั มธรุ ส เมืองศริ ิ (2549) วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

121 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ศกึ ษาปัจจัยทานายความสามารถในการปฏิบตั ิงานของพยาบาลประจา การโรงพยาบาลสงั กดั กระทรวงกลาโหม พบวา่ ประสบการณใ์ นการทางานเปน็ สงิ่ ที่ทาให้บุคคลเกดิ การเรยี นรู้ มคี วามชานาญมากขน้ึ สามารถวเิ คราะหแ์ ละ มองปญั หาได้ดีข้ึน มคี วามสุขุม รอบคอบ มีเหตุผลในการแก้ปญั หา สามารถปรับตัวเข้ากบั สิง่ แวดล้อมในการทางาน ไดด้ ี มีความเข้าใจเกิดทกั ษะในการปฏิบัติงานให้มคี ุณภาพย่ิงข้นึ ดงั นน้ั ผลการศกึ ษาคร้ังนก้ี ลา่ วไดว้ ่า ปจั จัยสว่ น บุคคลในดา้ นประสบการณ์ตามระยะเวลาการปฏิบัติงานในวิชาชีพพยาบาลโรงพยาบาลสารภีนั้น มผี ลตอ่ การ บริหารความเสย่ี งดา้ นคลินิกของพยาบาลวิชาชพี ให้เกดิ ประสิทธิภาพ ปัจจัยความสัมพนั ธ์กับการบริหารความเสีย่ งทางคลินิกของพยาบาลวิชาชีพ คอื การบริหารงานแบบมสี ่วน ร่วมของพยาบาลวชิ าชพี จากผลการศึกษา พบว่า การบรหิ ารงานแบบมสี ว่ นร่วมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาล สารภี มีความสมั พันธท์ างบวกในระดับสูงกับการบรหิ ารความเส่ียงทางคลินกิ ของพยาบาลวชิ าชีพ อย่างมนี ยั สาคัญ ทางสถติ ิ ( r=.743,p<.001) อธบิ ายไดว้ า่ การบรหิ ารงานโดยให้พยาบาลวิชาชพี มีสว่ นร่วมในการบริหารความเส่ียง จะส่งผลทาให้การบรหิ ารความเสย่ี งดีข้ึน ซง่ึ จากผลการศกึ ษาการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสารภี โดยรวมอยู่ในระดบั สูง (µ =3.81,  =.80) แสดงว่า พยาบาลวิชาชพี ในโรงพยาบาลสารภี การ มีส่วนร่วมในการบริหารงานในหน่วยงานและองค์กรอยา่ งมาก ผบู้ รหิ ารทุกระดับให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วม รับผดิ ชอบในงานที่มอบหมาย มกี ารต้งั เป้าหมายและวตั ถุประสงค์โดยการประชุมตกลงรว่ มกัน กาหนดขอบเขต การตดั สินใจทช่ี ัดเจนในการปฏบิ ัติ สรา้ งความไวว้ างใจโดยการมอบหมายงานตรงกับความรู้ ความสามารถ มกี าร การส่งเสรมิ สนับสนุนให้ผูใ้ ต้บงั คับบัญชาเป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจขององคก์ ร ในรปู แบบของการมอบหมายงาน พเิ ศษอย่างเหมาะสม มกี ารกาหนดในลักษณะงาน (job description) ของพยาบาลในแต่ละระดับ วา่ ควรมีความ รบั ผดิ ชอบในขอบเขตงานและบทบาททีค่ วรแสดงออกเป็นอยา่ งไร เช่น การมีส่วนร่วมในคณะกรรมการหรือกลุ่ม งานเฉพาะกิจตา่ งๆ ใหค้ วามเปน็ อสิ ระตอ่ ความรับผิดชอบในงานตามหน้าท่ีที่มอบหมายอยา่ งเต็มที่ กาหนดวธิ ีการ ทางาน และการควบคุมงาน ประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานโดยอิสระ ทาใหเ้ กดิ ความยึดม่ันผกู พันรว่ มกัน สอดคล้องกับ การศึกษาของชาฤนี เหมือนโพธท์ิ อง (2554) พบวา่ การบริหารแบบมีสว่ นรว่ มทาให้เกดิ การทางานเป็นทีมทา ให้ เกดิ การรว่ มคดิ ร่วมทา สอดคล้องกบั การศึกษาของแพรวผกาย จรรยาวิจักษณ์ (2551) พบวา่ การบริหารแบบมี สว่ นรว่ มมคี วามสัมพนั ธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในงานของพยาบาลประจาการโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม พบวา่ การบรหิ ารแบบท่ผี ู้บรหิ ารยอมใหิ้ผใ้ ต้บงั คับบญั ชา ได้มสี ว่ นรว่ มคิด ร่วมตัดสินใจในการแกป้ ัญหาดว้ ยวิธีการ ที่เหมาะสมและเป็นไปได้ ทาให้ทกุ คนในองคก์ รยอมรับ ในการตดั สนิ ใจและยินดีปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลงขององค์กร เพราะมคี วามรู้สึกเปน็ เจา้ ของความคิดและการตัดสินใจนน้ั ส่งผลใหท้ กุ คนในองค์กรมีความรกั และพงึ พอใจในงาน ท่ตี นเองรับผิดชอบ ดงั นั้นโรงพยาบาลรัฐท่ีผ่านการรบั รองคุณภาพ พบว่า หัวใจสาคญั ของความสาเร็จใน การ บริหารโรงพยาบาลคุณภาพ คือ การทผ่ี ู้บริหารทกุ ระดับสนับสนุนส่งเสรมิ การมีส่วนร่วมของบุคคลในหนว่ ยงาน และการทีโ่ รงพยาบาลสนับสนนุ ปจั จยั ต่างๆ ที่ชว่ ยเพิม่ พนู ความรู้ ความเขา้ ใจให้กบั พยาบาลวชิ าชีพอย่างสมา่ เสมอ ต่อเนื่อง จะมีผลทาให้พยาบาลวิชาชีพ เกิดการเปล่ียนแปลงเจตคติท่ีดีต่อองค์กรก่อให้เกิดความร่วมมือและ ดาเนินงานตามเป้าหมายขององค์กร วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

122 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) จากผลการศกึ ษาดา้ นการบรหิ ารความเสย่ี งทางคลินกิ ของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสารภี พบวา่ โดยรวมอยใู่ นระดบั สงู (µ =3.88 ,  =.72) อธิบายได้วา่ พยาบาลส่วนใหญ่มคี วามเขา้ ใจในข้ันตอนการบริหาร ความเสย่ี ง โดยสอดคล้องกบั ผลการศกึ ษาวา่ พยาบาลวิชาชีพสว่ นใหญม่ ีทกั ษะในการประเมนิ ความเสย่ี งที่เกิดขึ้น ในกระบวนการพยาบาลผู้ป่วยอยู่ตลอด ทาให้มคี วามสามารถในการบรหิ ารความเส่ียง ถึงแม้พยาบาลวิชาชีพจะมี ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง แต่ยงั มีสิ่งทต่ี ้องส่งเสริมอยา่ งตอ่ เน่ืองในเร่ืองของระบบการบรหิ าร ควา ม เสยี่ ง คอื การสร้างวฒั นธรรมในการรายงานอบุ ัติการณ์และวิเคราะหส์ าเหตุ ซง่ึ เป็นอกี ปจั จยั หน่ึงท่ีมีความสา คัญ สอดคลอ้ งกับผลการศกึ ษาของวลิ สันและทิงเก้ิล (Wilson &Tingle, 1999) พบวา่ การรายงานอบุ ัตกิ ารณ์ควา ม เสย่ี งทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยไมใ่ ห้มุง่ ตาหนิท่ตี ัวบคุ คลแต่เน้นการทบทวนระบบการทางาน เพ่อื คน้ หาสาเหตหุ รือโอกา สเกิด อบุ ัติการณค์ วามเสี่ยง พรอ้ มกบั รว่ มกบั ดาเนินการแกไ้ ข ปรบั ปรงุ ระบบงาน ซง่ึ จะชว่ ยควบคุม ปอ้ งกนั และยบั ย้ัง ความเส่ยี งท่ีอาจเกดิ ข้ึนได้ ดังนัน้ สงิ่ ท่ีควรกระตุ้น ส่งเสริมให้มกี ารปฏิบตั ิอย่างตอ่ เน่ือง คือการสร้างวัฒนธรรมการ รายงานความเสย่ี งและอุบัติการณ์ใหเ้ พ่ิมมากข้ึน โดยกาหนดเปน็ นโยบายขององค์กรซง่ึ สอดคล้องกับผลการศึกษา ของเพญ็ นภา เสง้ ซ้าย (2553) พบวา่ การมีนโยบายและทศิ ทางขององคก์ รทีช่ ดั เจน เม่ือบคุ ลากรทางการแพทย์เกิด ความเสี่ยงขึ้น จะชว่ ยใหบ้ ุคลากรทางการแพทยส์ ามารถบริหารจัดการความเสยี่ งและลดจานวนการฟ้องร้องและ รอ้ งเรียนลงได้ และควรมีการสอื่ สารเพอ่ื ให้เกิดการบริหารความเสย่ี งอยา่ งมีประสิทธภิ าพ (Sengsai P. ,2010) สอดคล้องกับผลการศึกษาของสุพัตรา ใจโปรง่ (2554) พบวา่ ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมการบรหิ ารความเส่ียง ของพยาบาลวชิ าชีพ คอื การสือ่ สารของพยาบาลวิชาชีพ (Jaipong S.,2011). นอกจากนนั้ การเพมิ่ ทักษะในการ วเิ คราะห์หาสาเหตุรากเหง้า เพื่อการจัดการความเส่ยี งให้เกิดประสทิ ธิผล ชว่ ยให้สามารถป้องกันความเสย่ี ง และไม่ เกิดอุบัตกิ ารณ์ซา้ ทาให้เกดิ การพัฒนาของระบบการบรหิ ารความเสยี่ งดา้ นคลินกิ ของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาล สารภี สง่ ผลให้ผู้ปว่ ยไดร้ ับความปลอดภัยจากการรกั ษาพยาบาลตอ่ ไป ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวจิ ยั ไปใช้ 1. ผูบ้ รหิ ารทางการพยาบาล ควรสง่ เสรมิ การมีสว่ นร่วมของพยาบาลวิชาชีพในการบรหิ ารความเส่ยี งด้าน คลนิ ิกให้มากขนึ้ ด้วยการจดั การความรู้ ให้รว่ มคิดวางแผน กาหนดวธิ กี ารดาเนนิ งานด้านการบริหารความเส่ียง และสนับสนุนให้ความเป็นอิสระแกพ่ ยาบาลวิชาชพี 2. ผ้บู ริหารควรกาหนดนโยบายวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร มุ่งเนน้ การคน้ หาความเส่ียงเชิงรกุ และ การรายงานอุบตั ิการณ์ให้มากข้นึ และเพิ่มพนู ทกั ษะด้านการวิเคราะห์สาเหตใุ ห้แกบ่ ุคลากรทุกระดับ เพอ่ื การ รวบรวมข้อมลู นามาวางแผนปอ้ งกันต่อไป วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

123 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เอกสำรอำ้ งอิง Akaranitipong J. (2013). Documentation for Human Resource Management, Phranakhon Sriayuttaya University. (in Thai) Benjamas F. et al. ( 2 0 1 2 ) . The relationship between motivation and risk management of professional nurses in 3 rd hospital. Master of nursing thesis in nursing administration, Christian University. (in Thai) Institute of Nursing Certificate (public organization).(2017). Hospital and health services standard No.4. Nonthaburi: Institute of development and certification. (in Thai) Jaipong S.(2011). Factors influencing the risk management behavior of professional nurses general hospital public health administration district 17. Thesis of master of nursing. (in Thai) Juntanasombat P.et al. (2012). Clinical risk management of professional nursing. Journal of nursing and health, 35(July-September), 118–124. (in Thai) Keawfu J.(2011).Factors influencing the risk management of pharmaceutical discrepancies of nursing professional hospitals, northern centers. Sukhothai Thummathirat University. (in Thai) Saisanun na Ayuttaya J. (2013). Factors affecting the management of the quality of the hospital in a private hospital in Bangkok. Master's Degree. Bachelor of Nursing Administration, Christian University. (in Thai) Sengsai P. (2010). Risk management causes model of prince of Songkla Hospital. Master’s degree thesis in resource development education human Thaksin university. Sriwasuta C. (2015). Factors affecting the risk management of professional nurses in a private hospital in Nonthaburi. Christian university. (in Thai) Supachutikoon A.(2017). Risk management system in hospitals. Bangkok: Design. (in Thai) วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

124 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Building the Thought Process of Community Members to Take Part in the Native Vegetation Conservation Effort: A Case Study of Ban Pong Pa Pao, Mae Tha District, Lampang Province Walailuck Khantha*, Wanvisa Chujit*, Jiraporn Pengrachrong*, Saitim Wonghom** (Received December 28, 2020), Revised: March 21, 2020, Accepted: April 6, 2021 Abstract This participatory action research aimed to explore information in native vegetation and appropriate patterns for conservation in native vegetation in Ban Pong Pa Pao. Questionnaires in native vegetation and observation form were used for data collection and to design a learning process through the group discussion platform containing five steps for building the thought process of community to participation in the native vegetation conservation. The results revealed that 84 kinds of native vegetation. It can be distinguished into four categories based on the characteristic of the main stem of the plant namely perennial tree containing 14 species, annual plant comprising 44 species, 8 species of shrub, and 18 species of vine. Nevertheless, the villagers had experience and knowledge about using this native vegetation for culinary purposes, as medicine for health care and healing, and for other economic benefits. On the format to promote the conservation of native vegetation, the result was obtained as the outcome from the building of the thought process of community members through giving questions that encouraged group discussions on five steps. The first step was to make clearly the purpose to all participants about the objectives and goals of this conservation. The second step was the reflection and discussion on the future society. The third step was related to building “sensing” and “visioning” among participants. For the fourth step, the focus was on the strengthening of knowledge on native vegetation. The fifth step was to make knowledge forum for moving forward with a community commitment to restore and maintain the native vegetation species.Thebuildingofthethoughtprocessthrough participatory action was understood as vital for driving the community’ s participation and cooperative development concerning the conservation of native vegetation in community and thinking as a group would be better than otherwise. However, the resolutions from this thought process should be implementated, as well as give value recognition and budget allocation to ensure the existence of native vegetation in the future generations for their health benefits. Keywords: Native vegetation; Conservation; Building the thought process *Nurse Instructor, Boromarajjonani College of Nursing, Nakhon Lampang ** Registered Nurse, Professional level, Baan Mai District Health Promotion Hospital,Lampang Province วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

125 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) การสร้างกระบวนการทางความคิดของคนในชมุ ชนในการมสี ่วนรว่ มอนุรักษผ์ ักพ้ืนบ้าน : กรณีศกึ ษาบ้านปงป่าเปา้ อ.แมท่ ะ จ.ลาปาง วลยั ลักษณ์ ขนั ทา*วันวิสาข์ ชจู ติ ร*,จริ าพร เปง็ ราชรอง*,สายทิม วงศ์หอม ** (วนั รบั บทความ : 28 ธนั วาคม 2563, วันแกไ้ ขบทความ : 3 มนี าคม 2564, วนั ตอบรับบทความ : 6 เมษายน 2564) บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาข้อมูลของผัก พืน้ บ้านและรปู แบบทีเ่ หมาะสมในการอนุรักษผ์ กั พื้นบ้านในชุมชนปงป่าเป้า รวบรวมขอ้ มูลจากการใช้แบบสารวจ ขอ้ มูลผกั พ้ืนบ้านรว่ มกบั การสงั เกต การออกแบบกระบวนการเรยี นรโู้ ดยใช้การสนทนากลมุ่ ในเวทีเสวนา5ข้ันตอน เพอื่ สร้าง กระบวนการทางความคิดของคนในชุมชนในการมสี ว่ นรว่ มอนรุ กั ษ์ผักพื้นบา้ น ผลการศึกษา พบว่า ผักพ้ืนบ้านที่นามาบริโภคมีท้ังหมด 84 ชนิด จาแนกตามลักษณะของลาต้น แบ่งเป็น 4 ประเภท คือไม้ยืนต้น 14 ชนิด ไม้ล้มลุก 44 ชนิด ไม้พุ่ม 8 ชนิดและไม้เลื้อย 18 ชนิด ชุมชนมี ประสบการณ์และเรียนรู้วิธีนาผักพื้นบ้านมาใช้ประโยชน์ในการนาเป็นอาหาร ประโยชน์ในแง่ของสมุนไพรเพื่อ การดูแลสุขภาพ และประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ รูปแบบที่ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้านในชุมชน พบว่า การ สร้างกระบวนการทางความคิดโดยมีการใช้คาถามที่กระตุ้นให้ร่วมคิดเป็นกลุ่มผ่านเวทีเสวนา 5 ขั้นตอน คือ 1) ทาเจตจานงใหแ้ จ่มกระจ่าง เพอ่ื สร้างความเข้าใจ วัตถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายของการดาเนินงาน 2) สนทนา และใครค่ รวญถงึ อนาคตของสังคมที่อาศยั อยู่ 3) สรา้ ง “Sensing” และ “Visioning” 4) เวทวี ิชาการเสริมสร้าง ความรู้เรื่องผักพื้นบ้าน 5) เวทีเสวนาเพื่อสร้างชุมชนท่ีมีเจตจานงร่วมในการฟ้ืนฟู สืบทอด และส่งต่อเรื่องนี้มี ความสาคัญท่ีจะนาไปสู่การขับเคลอื่ นการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ทาให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์ ผักพ้ืนบ้านของคนในชุมชนและการคิดเป็นกลุ่มจะช่วยให้คิดจัดการปัญหาได้ดีกว่าการคิดเด่ียว แต่ความรู้ที่เกิด จากกระบวนการคิดควรมีการกากับ การนาไปปฏิบัติ ร่วมกับการหนุนเสริมพลังทางบวก การให้คุณค่าและ งบประมาณเพ่ือการบริหารจัดการ รวมถึงการหาแนวทางส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไปเพ่ือให้เกิดการคงอยู่ของผัก พ้ืนบ้านในชุมชนอันจะนาสู่การพฒั นาสุขภาวะได้ คาสาคญั : ผกั พ้ืนบ้าน; การอนรุ กั ษ;์ การสร้างกระบวนการทางความคิด *อาจารย์พยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ** พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพบา้ นใหม่ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

126 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) บทนา วถิ ชี วี ติ ของผูค้ นในสงั คมไทยในอดตี ที่กินปลาเปน็ หลัก กนิ ผกั เป็นพืน้ มกี ารบรโิ ภคอาหารท่มี ีอยู่ในแหล่ง ธรรมชาติและไม่มีการปรุงแต่งมากนัก เปล่ียนไปอย่างมากในโลกปัจจุบันที่เป็นยุควัตถุนิยมซ่ึงมีการผลิตสินค้า และบริการท่ีมีความหลากหลายและมีคุณภาพสงู ข้ึน ท่ามกลางสังคมท่ีซับซ้อนและรนุ แรง ทาให้เกิดผลพลอยได้ ในทางลบอันเกิดจากช่องทางการรับรู้ข่าวสารท่ีเอื้ออานวยในการรับและการถ่ายโยงเอาศาสตรท์ างตะวนั ตกเขา้ มาใช้ในการพัฒนาประเทศ กอรปกับการดาเนินชีวิตท่ีมีความรีบเร่งและกระแสการบริโภคแบบตะวันตก การมี พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ทาให้อาหารประเภทปรุงสาเร็จ หรือกึ่งสาเร็จรูป หรือ Fast food เป็นท่ีนิยม เพราะความสะดวกรวดเร็ว และสามารถรับประทานไดท้ นั ที (Pongutta S. & Kunpeuk W. ,2015) ทาให้ชมุ ชน ชนบทประสบปัญหาต่างๆตามมาโดยเฉพาะด้านสุขภาพและส่ิงแวดล้อม เช่น โรคเรื้อรังที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจาก การมีพฤติกรรมการบริโภคและดูแลตวั เองไม่เหมาะสม ปัญหาการลดลงของทรัพยากรที่เป็นผักพื้นบ้าน รวมถึง ปัญหาด้านคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารในปัจจุบันท่ีต้องใช้สารเคมีเพื่อกาจัดโรคและศัตรูพืชและการ ใช้สารเคมีในระบบอาหารอุตสาหกรรมที่มากขึ้นเพ่ือเร่งผลผลิต จากข้อมูลปริมาณการนาเข้าสารเคมีในปี พ.ศ. 2560 พบว่า 59.85 ล้านกิโลกรัม เป็นไกลโฟเสท ซ่ึงคาดว่าจะเป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยสัดส่วนการนาเขา้ “ไกลโฟเสท” และ “พาราควอต” รวมกันแล้วมีจานวนกว่าครึ่งหนึ่งของสารเคมีทั้งหมดท่ีมีการนาเข้า (The office of Agricultural Regulation, Department of Agriculture , 2017) ทาให้เกิดปัญหาพิษตกค้าง ในผลผลติ ที่นาไปเป็นอาหารของมนษุ ย์และสตั วเ์ ลย้ี ง ท้ังน้ีผลการตรวจการตกคา้ งของสารเคมใี นพืชผกั ทอ้ งตลาด ของ ThaiPAN ปี 2563 พบว่าสารคลอฟอริฟอร์ท ซ่ึงเป็นยาฆ่าแมลงตกค้างมากท่ีสุด และผลการตรวจสอบผัก GAP จาก ThaiPAN พบข้อมูลท่ีน่าตกใจว่า ผักที่ผลิตในระบบ GAP มีความปลอดภัยน้อยกว่า “ผักทั่วไป” (thaipan,2020) แม้ว่าสารเคมีกาจัดศัตรูพืชมีประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิตแต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน เนอ่ื งจากสารเคมีเหล่าน้สี ่วนใหญ่ลว้ นเปน็ พษิ ต่อมนุษยแ์ ละสิง่ แวดลอ้ ม การใชส้ ารเคมีท่มี ากเกนิ ความจาเป็นและ ไมถ่ กู ตอ้ งเป็นปญั หาใหญ่และรุนแรงมากของสงั คมไทย ทาใหเ้ กดิ ผลกระทบด้านตา่ งๆมากมาย ทั้งในด้านสุขภาพ ของเกษตรกร ผู้บริโภค ด้านส่ิงแวดล้อม รวมทั้งด้านเศรษฐกิจของประเทศ โดยข้อมูลพบว่าอัตราการตายของ คนไทยที่เกิดจากโรคท่ีสัมพันธ์กับอาหารและสารเคมีเกิดข้ึนกว่า 2 เท่า ในช่วงเวลาไม่ก่ีปี (พ.ศ. 2537 - 2559) (Ministry of Public Health, 2018) นอกจากนี้การศึกษาผลกระทบของสารเคมีกาจัดศัตรูพืชยังบ่งชี้ว่าการ ได้รับและสัมผัสสารสารเคมีกาจัดศัตรูพืช ยังก่อให้เกิดพิษแบบเฉียบพลันได้ เช่น ไอ คันตามผิวหนัง อ่อนเพลีย หนังตา กระตุก และท้องเสีย เป็นต้น (Issarapan, P. ,2011 ) และหากได้รับสัมผัสเป็นเวลานานอาจทาให้เกิด พิษอย่างเรื้อรังและเกิดความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด อาการทางระบบประสาท เลือด และโรค ผิวหนังได้ ( Rola AC & Pingali PL, 2012 ) ทงั้ นส้ี านักงานหลักประกนั สุขภาพแหง่ ชาติ (สปสช.) เปิดเผยข้อมูล ผู้เข้ารับบริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง 30 บาท ตั้งแต่ (ข้อมูล 1 ต.ค. 2561-17 ก.ค. 2562) โดยระบุว่า พบผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาอันมีสาเหตุจากการได้รับสารเคมีกาจัดศัตรูพืช จานวน 3,067 ราย เสยี ชวี ิต 407 ราย เบิกจ่ายค่ารักษากว่า 14.64 ลา้ นบาท แนวโน้มพบว่าการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตมสี งู ขึ้นโดย พบวา่ ปี 2559 มีผู้ปว่ ยจานวน 4,867 รายเสียชีวติ 606 ราย เบกิ จ่ายคา่ รกั ษา 22.19 ล้านบาท ปี 2560 มผี ้ปู ่วย วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

127 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 4,916 ราย เสียชีวิต 579ราย เบิกจ่ายค่ารักษา 21.85 ล้านบาท และในปี 2561มีผู้ป่วย 4,736 ราย เสียชีวิต 601 ราย เบิกจ่ายค่ารักษา 21.78 ล้านบาท ซึ่งหากรวมจานวนผู้เสียชีวิตท่ีมีสาเหตุจากการได้รับสารเคมีกาจัด ศัตรูพืชในช่วง 4 ปีตั้งแต่ปี 2559-2562 มีจานวนถึง 2,193 ราย รวมถึงงบประมาณค่ารักษาพยาบาลกว่า 20 ลา้ นบาทตอ่ ปี สะทอ้ นใหเ้ หน็ ผลกระทบของการใช้สารเคมีปราบศตั รูพชื ที่เกิดข้นึ (National Health SecurityOffice, 2019) ด้วยวิถีชีวิตท่ีเปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย ทาให้มีการบริโภคผักพื้นบ้านลดลง ผลการศึกษาพบว่าวัยรุ่น ไทยมพี ฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารทไ่ี ม่ถกู ต้อง เชน่ รบั ประทานอาหารตามแฟชน่ั หรอื ตามสอื่ โฆษณา รบั ประทาน อาหารประเภทโปรตีน แป้งและน้าตาลสูง (Nithitantiwat,P. and Udomsapaya, W, 2017) และวัยรุ่นส่วน ใหญ่ยังมองว่าการท่ีได้เข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้านที่มีชื่อเสียง ทาให้ดูเป็นคนท่ีทันสมัยโดยเฉพาะการ บริโภคอาหารจานด่วนและมักเข้าใจว่าอาหารท่ีแพงและดีจะต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หรืออยู่ใน ภัตตาคารเท่านั้น (Samutachak P. & Kanjanajittra M.,2014). ผลจากการไม่ตระหนักในคุณค่าของพืชผัก พ้ืนบ้าน ทาให้ผักพื้นบ้านได้ถูกลืมเลือนไปมาก และขาดการสืบทอดด้านภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์ อาจทาให้ ผักพ้ืนบ้านเหล่านี้สูญหายไปได้ในอนาคต แต่ท่ามกลางวิกฤตดังกล่าว หากชุมชนเกิดความตระหนักและหันมา พึ่งพาตนเองตามวิถีชวี ติ ของไทย คือ การกินอยู่แบบไทย การนาภูมิปัญญาท้องถิ่นทมี่ ีกลับมาใช้ การส่งเสริมการ พ่ึงตนเอง การผลิตแหล่งอาหารเอง ซ่งึ ชว่ ยทาใหบ้ รโิ ภคอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีก็จะทาใหส้ ามารถยืนหยัด ต่อสู้และผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างเข้มแข็ง เน่ืองจากพืชผักพ้ืนบ้านโดยตัวของมันเองที่เป็นอาหารปลอดสารเคมี เพราะเป็นผักท่ีขึ้นเองตามธรรมชาติ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทาให้สุขภาพดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพในแง่การ สรา้ งภูมคิ ุ้มกันสาหรับชาวบา้ นท่สี อดคลอ้ งกับวิถชี วี ิตโดยธรรมชาติ ทาให้ลดค่าใช้จา่ ยในการซื้อผักจากตลาดมาบรโิ ภค จากปัญหาสถานการณ์การบริโภคผักท่ีไม่ปลอดภัยของประชาชนและการลดลงของการบริโภคผัก พ้นื บา้ น การสง่ เสริมประชาชนใหห้ นั มาบรโิ ภคผักพ้ืนบ้านให้มากข้ึนจึงเปน็ เรื่องที่สาคัญ แต่เทา่ นัน้ ยงั ไมเ่ พียงพอ ประชาชนยังจะต้องเรียนรู้ถึงความสาคัญของการมีสุขภาพท่ีดี ชุมชนมีความมั่นคงในเร่ืองอาหาร ลดการพึ่งพา การนาผักที่มาจากต่างถ่ิน ตลอดจนให้ชุมชนเห็นความสาคัญในการอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้านของตนเองสาหรับการ บริโภคเพ่ือสุขภาพท่ีดีด้วยการสร้างความตระหนักให้เกิดข้ึน ดังการศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนา คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในตาบลท่าแค จังหวัดลพบุรีของอรพิน ปิยะสกุลเกียรติ (2561) ซ่ึงพบว่า การตระหนักรู้ ของประชาชนและการส่งเสริมขององค์การบริหารส่วนตาบลท่าแค ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ ปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนาคุณภาพชวี ติ ผูส้ งู อายุในชมุ ชนได้ (Piyasakulkiat P.,2018) จึงเป็นโจทยท์ ่ีน่าสนใจวา่ จะทา อย่างไรให้ประชาชนเกิดความตระหนักได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาด้วยการสร้างกระบวนการทางความคิดเพื่อ ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เน่ืองจากการคิดเป็นกระบวนการทางสมองของมนุษย์ซ่ึงมี ศักยภาพสูงมาก เป็นปัจจัยภายในที่มีอิทธิพลต่อการกระทาและการแสดงออกของบุคคล ผู้ท่ีมีความสามารถใน การคิดสูง สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงไปได้และมีการพัฒนาชีวิตของตนให้เจริญงอกงามยิ่ง ๆ ข้ึนไป การ สร้างความสามารถในการคิดจึงมีความจาเป็นที่จะช่วยให้บุคคลมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ คิดได้ อย่างมเี หตุผลมขี ้ันตอน มีเป้าหมายชดั เจนเพอื่ บรรลุเปา้ หมายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธภิ าพ (Charoensuk S, Phetkong J, Choolert P., 2016) ท้งั น้ีทิศนา แขมมณี (Khemmani, T. ,2015) มองว่าการพฒั นากระบวนการ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

128 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) คดิ เป็นจุดมุ่งหมายสาคัญของการจัดการศึกษา แตจ่ ะทาได้มากน้อยหรือดีเพยี งใดก็ข้ึนกับความรูค้ วามเข้าใจและ ปัจจัยต่างๆที่เอื้ออานวย โดยการพัฒนาให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้ร่วมกันเร่ือยๆ จึงเป็นวิธีที่จะทาให้ชุมชนมี ความ มัน่ คง แข็งแกร่ง และมศี ักยภาพในการจัดการตัวเองมากขึ้น ชุมชนปงป่าเป้า หมู่ 1 ต.วังเงิน อ.แม่ทะ จ.ลาปาง ก็ประสบปัญหาน้ีเช่นกันคือวถิ ีการบริโภคสมัยใหม่ ได้เข้ามาสู่ชุมชนมากขึ้น ร้านค้าชุมชนมีการจาหน่ายและนาเข้าอาหารสาเร็จรูป เช่น บะหมี่ อาหารกระป๋อง อาหารพร้อมปรุงและเคร่ืองด่ืมชูกาลัง น้าอัดลม สู่ชุมชนมากข้ึน รวมถึงวิถีการผลิตแบบเกษตรอุตสาหกรรมเขา้ มามีบทบาทในกระบวนการปลูกผักมากขึ้น เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเพื่อเพ่ิมผลผลิต ซึ่งวิธีการนี้ทาให้ พชื ผักมีสารพษิ ตกค้าง ภาวะเชน่ น้ี ไมเ่ พยี งแตก่ ระทบต่อสุขภาพรา่ งกายของเกษตรกรเท่านน้ั แต่ยงั เปน็ อนั ตราย ต่อผูบ้ รโิ ภคดว้ ย สง่ ผลให้สถติ ิปญั หาสุขภาพที่เกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังสูงข้ึน ซ่งึ จากฐานข้อมูลรายงาน ผู้ป่วยนอกของรพ.สต.บ้านแพะใหม่ พบว่า สถิติการเกิดโรคของประชาชนในพื้นที่ ต.วังเงิน 5 อันดับแรก คือ กลุ่มโรคเร้ือรัง (NCD) โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ โรคมะเร็ง และโรคระบบ ทางเดินอาหาร (Ban PaMai Sub-District Health Promoting Hospital,2019) แต่ปัญหาคือแม้ว่าชุมชนปง ปา่ เปา้ จะมคี นทมี่ ีจติ อาสาเข้ามาพัฒนาชุมชนของตนเองแต่ก็ขาดการหนุนเสรมิ กระบวนการคิดใหเ้ กิดการเรียนรู้ เพ่ือจัดการส่ิงท่ีมีอยู่ และแม้ว่าจะมีผักพื้นบ้านท่ีมีสรรพคุณในการป้องกันโรคอยู่ในท้องถิ่น แต่ก็ไม่มีแนวคิดการ สืบสาน/อนุรักษ์ไว้ นานวันก็จะย่ิงร่อยหรอหรือสูญหายไป ทาให้ต้นทุนทรัพยากรประเภทผักพื้นบ้านในชุมชน ลดลง ผู้วิจัยได้เล็งเห็นความสาคัญในเร่ืองนี้ จึงเกิดแนวคิดการสร้างกระบวนการทางความคิดของคนในชุมชน เพ่ือให้เกิดความตระหนักร่วมกันว่าผักพื้นบ้านปลอดสารพิษ คือ แหล่งอาหารและน่าจะเป็นกุญแจสาคัญแห่ง สุขภาพของคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างคนในชุมชนเพ่ือการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ดังนั้น การสร้าง การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกับการติดอาวุธทางปัญญาโดยใช้ กระบวนการหนุนเสริมให้ชุมชนเกิดการ เรียนรู้เพื่อการจัดการตนเองโดยใช้รูปแบบของการเรียนรู้ร่วมกันผ่านเวทีเสวนาในระดับชุมชนหรือท้ องถ่ิน เพ่ือท่ีจะเสริมสร้างความตระหนัก ทาให้ประชาชนเห็นความสาคัญ เห็นคุณค่าและประโยชน์ของพืชผักพ้ืนบ้าน ในด้านต่างๆโดยเฉพาะในแง่การเป็นอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยหวังว่าจะส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ผัก พื้นบ้านเพือ่ การสร้างสุขภาพ อันจะนาไปสู่การสรา้ งสงั คมสุขภาวะอย่างยั่งยืนต่อไป วัตถุประสงคก์ ารวิจยั 1.เพอื่ ศึกษาขอ้ มลู สถานการณผ์ ักพ้นื บา้ นในชมุ ชนปงป่าเป้า 2.เพอื่ พฒั นารปู แบบการส่งเสริมการมีสว่ นรว่ มอนุรกั ษผ์ ักพน้ื บ้านของคนในชมุ ชนปงป่าเป้า คาถามการวิจยั 1. ข้อมูลสถานการณ์ผกั พ้นื บา้ นในชมุ ชนปงป่าเป้าเป็นอยา่ งไร 2. รูปแบบการส่งเสรมิ การมีสว่ นรว่ มอนรุ กั ษ์ผักพ้ืนบ้านของคนในชุมชนปงป่าเปา้ เปน็ อย่างไร วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

129 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั กระบวนการเรยี นรู้ของชมุ ชน ศึกษาสภาพปญั หาและ ความต้องการของชุมชน ร่างรูปแบบการสรา้ ง รปู แบบการสร้างกระบวนการทางความคิด 5 ข้นั ตอน ความตระหนักที่ กระบวนการทางความคิด 1. ทาเจตจานงให้แจ่มกระจ่าง เกดิ ขึน้ และร่วมกัน แกก่ ล่มุ เป้าหมายทีเ่ นน้ การ 2. สนทนาและใคร่ครวญถึงอนาคตของสังคมไทย/ อนรุ กั ษ์ผักพน้ื บ้าน แลกเปล่ียนเรียนรู้ สงั คมทอี่ าศัยอยู่ 3. สร้าง “Sensing” และ “Visioning แกนนาชุมชนและผู้ที่ 4. เวทีวิชาการเสริมสรา้ งความร้เู ร่ืองผักพน้ื บา้ น เก่ียวขอ้ งร่วมกันวิพากษ์ ให้ 5. เวทเี สวนาเพ่ือสร้างชมุ ชนที่มีเจตจานงร่วมในการ ข้อเสนอแนะและรว่ มกันปรบั รปู แบบใหเ้ หมาะสมและ ฟน้ื ฟู สืบทอด และสง่ ตอ่ สอดคลอ้ งกบั ความต้องการ รว่ มกันวางแผนปฏิบัตกิ าร พัฒนากลุม่ เป้าหมายตาม รปู แบบท่ีกาหนดข้นึ รว่ มประเมินผลการใช้ กระบวนการมีสว่ นร่วมของชุมชน รูปแบบท่สี รา้ งข้ึน ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั จากภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ การวิจัย ผู้วจิ ัยใช้กระบวนการมีสว่ นรว่ มในการอนุรักษ์ผักพื้นบา้ นของชุมชน ปงป่าเป้า โดยร่วมกับแกนนาในพื้นที่ศึกษาสภาพปัญหาและร่างรูปแบบการสร้างกระบวนการทางความคิดของ คนในชุมชนโดยให้ประชุมกลุ่มเป้าหมายและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมวิพากษ์และให้ข้อเสนอแนะ จนได้รูปแบบการ สร้างกระบวนการทางความคดิ ซ่งึ ประกอบดว้ ยแนวทางการสนทนา 5 ขั้นตอน คือ 1.ทาเจตจานงใหแ้ จ่มกระจ่าง 2.สนทนาและใคร่ครวญถึงอนาคตของสังคมไทย/สังคมท่ีอาศัยอยู่ 3.สร้าง “Sensing” และ “Visioning 4.เวที วิชาการเสริมสร้างความรู้เร่ืองผักพ้ืนบ้าน 5.เวทีเสวนาเพ่ือสร้างชุมชนที่มีเจตจานงร่วมในการฟ้ืนฟู สืบทอด ส่ง ต่อ และร่วมกันวางแผนปฏิบัติการเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนโดยใช้การต้ังคาถามให้คนในวงเสวนา วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

130 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) คิดและร่วมพูดคุยกัน เพ่ือให้ประชาชนมองเห็นความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตกับพฤติกรรมที่จะส่งเสริมและป้องกัน สุขภาพ ซ่ึงจะแสดงออกมาเป็นมุมมองความคิดเห็น และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้านใน ท้องถน่ิ ตนเอง นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ ผกั พน้ื บา้ น หมายถงึ พืชที่เกิดขนึ้ ในชุมชนหมบู่ า้ นปงปา่ เป้า เปน็ พืชผัก ทส่ี ามารถนามารบั ประทานได้ การอนรุ ักษ์ผกั พื้นบา้ น หมายถงึ การรู้จกั ใชท้ รัพยากรอยา่ งชาญฉลาด ร้จู ักใชใ้ ห้เกิดประโยชน์สูงทส่ี ดุ แก่คนสว่ นรวมมากทีส่ ุด และรจู้ กั ใช้เพื่อใหม้ ีอย่ยู นื ยาวต่อไปท่สี ดุ ของคนในชมุ ชนบ้านปงปา่ เปา้ โดยใชว้ ิธกี าร ตา่ งๆ ได้แก่ การปลูก การรว่ มรกั ษาใหค้ งอยู่และการใชป้ ระโยชน์จากพชื ผกั พ้ืนบา้ น ตลอดจนการถ่ายทอดทาง ภมู ปิ ัญญา เก่ียวกับผกั พืน้ บา้ นทม่ี ีคุณค่าในชมุ ชน เพื่อความมัน่ คงทางอาหารและเกิดความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหวา่ ง คนกบั สิง่ แวดล้อม การสรา้ งกระบวนการทางความคิด หมายถงึ การสร้างกระบวนการทางความคดิ ของชมุ ชนโดยใช้การมี ส่วนร่วม ที่ประกอบด้วยแนวทางการสนทนากลุ่มในเวทีเสวนา 5 ข้ันตอน คือ 1. ทาเจตจานงให้แจ่มกระจ่าง เพื่อสร้างความเข้าใจ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของการดาเนินงาน 2. สนทนาและใคร่ครวญถึงอนาคตของ สังคมไทย/สังคมที่อาศัยอยู่ (reflection and dialogue on social future) 3. สร้าง “Sensing” และ “Visioning” 4. เวทีวิชาการเสริมสร้างความรู้เรื่องผักพื้นบ้านจากวิทยากร 5. เวทีเสวนาเพ่ือสร้างชุมชนที่มี เจตจานงรว่ มในการฟื้นฟู สบื ทอด และส่งตอ่ เรื่องน้ี (moving forward with community of commitment) วธิ กี ารดาเนนิ การวิจยั การวิจยั เชิงปฏิบัติการแบบมสี ว่ นรว่ ม ใชว้ ิธปี ระชมุ กลุม่ เป็นหลัก ควบคไู่ ปกบั การจัดกจิ กรรมทม่ี ุ่งเน้นให้ เกดิ การมสี ว่ นรว่ มของชุมชน มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การศึกษาคร้ังน้ีศึกษาจากประชากรท่ีได้แก่ แกนนาท้องถิ่น เจ้าหน้าท่ี รพ.สต. บ้านแพะใหม่ และ ประชากรในพื้นท่ีบ้านปงป่าเป้า จานวนทั้งหมด 595 คน และกลุ่มตัวอย่างในการ สนทนากลุ่ม จานวน 30 - 50 คน ซึ่งจะพิจารณาจากผู้มีส่วนสาคัญในกลไกการปฏิบัติงาน (actors) ที่เรียกว่า ภาคีหุ้นส่วนการพัฒนา วิธีการให้ได้มาซ่ึงกลุ่มตัวอย่างโดยการประสานงานกับรพ.สต.บ้านแพะใหม่และผู้นา ชุมชนเพ่อื พิจารณาผู้มีสว่ นไดส้ ่วนเสยี และรับสมคั รจากผู้มจี ติ อาสาขบั เคลอ่ื นโครงการในชมุ ชนปงป่าเปา้ 1.2 ผใู้ หข้ อ้ มูล ประกอบด้วย 1) ตวั แทนครวั เรอื นสาหรับการตอบแบบสอบถามการสารวจข้อมูลผักพนื้ บ้านจานวน 156 คน 2) ผู้เข้าร่วมเวทีเสวนา จานวน 30 – 50 คน โดยแกนนาชุมชนจะเป็นผู้เชิญชวนเข้าร่วมพูดคุยในวง เสวนา ซ่ึงจะพิจารณาจากผู้ที่มีความสนใจในกิจกรรมการปลูกผักและ/หรือมีผู้ที่มีการปลูกผักในครัวเรือนที่มี ความสนใจเข้าร่วมการอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้านของตนเอง มีผู้เข้าร่วมที่ประกอบด้วย อดีตข้าราชการครู นักพัฒ นา วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

131 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ชุมชน ผ้ใู หญ่บา้ นและกรรมการหมบู่ ้าน อาสาสมคั รหมู่บ้าน และชาวบา้ นในชุมชนทส่ี นใจเร่อื งการปลูกผัก มกี าร ใช้ทุนสายสัมพันธ์คือ ผู้ท่ีเกิดและอาศัยอยู่ในชุมชนท่ีเป็นญาติของนักศึกษาพยาบาล ซ่ึงย่อมมีความรู้สึกรัก ผูกพนั ธ์กัน มีการหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติทีม่ ีอยู่ในชุมชนอยากจะอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติที่กาลังจะหมด ไปใหค้ งอยู่ ซึง่ ทุนสายสมั พนั ธด์ ังกล่าวจะนาไปสกู่ ารมีส่วนรว่ มของชุมชนมาช่วยกนั วางแผนพัฒนาทอ้ งถิ่นของตน เครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย 2.1 เครอื่ งมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปรมิ าณ ไดแ้ ก่ แบบสอบถามข้อมูลผักพื้นบ้าน ประกอบดว้ ย 2ส่วนคือ ตอนท่ี 1 ชนดิ ของพชื ผักพน้ื บ้านทม่ี ีอยู่ในบ้านปงปา่ เป้า แบบสอบถามเปน็ แบบตรวจสอบรายการผัก พ้นื บ้านตามชนดิ ที่พบในบา้ น/สวน ของตนเองหรือได้ปลูกไว้ จานวน 5 ข้อ ตอนท่ี 2 การนาผักพื้นบา้ นไปใชป้ ระโยชน์ในดา้ นตา่ งๆเป็นลักษณะคาถามปลายเปิด จานวน 3 ขอ้ 2.2 แผนงานการประชุมเชงิ ปฏิบัติการ เวทีเสวนาเพ่ือการอนรุ ักษ์ผักพน้ื บ้านปงปา่ เปา้ ที่เกดิ จากการ ออกแบบร่วมกันกับนักศึกษาพยาบาลซ่งึ เป็นคนในชมุ ชนและเปน็ สว่ นหน่ึงของจิตอาสาในชุมชน และผา่ นการ ปรับแกต้ ามขอ้ เสนอแนะของแกนนาชุมชนและผู้ทีเ่ กยี่ วข้อง จานวน 5 แผนงาน ดงั นี้ 1) แผนงานการประชมุ เชิงปฏิบตั ิการ เวทีที่ 1 ทาเจตจานงให้แจ่มกระจ่าง 1) แผนงานการประชมุ เชิงปฏิบตั ิการ เวทีท่ี 1 สนทนาและใคร่ครวญถงึ อนาคตของสงั คมไทย/สงั คมที่ อาศยั อยู่(reflection and dialogue on social future) วถิ ใี หม่แหง่ ความเขา้ ใจและการเปลีย่ นผา่ น (new ways of understanding and becoming) 3) แผนงานการประชุมเชงิ ปฏิบัตกิ าร เวทที ี่ 3 สร้าง “Sensing” และ “Visioning” 4) แผนงานการประชุมเชงิ ปฏิบัตกิ าร เวทที ่ี 4 เพิ่มพนู ความรเู้ ชิงสุขภาพในเร่อื งผกั พนื้ บา้ น 5) แผนงานการประชมุ เชงิ ปฏิบัติการ เวทีที่ 5 สรา้ งชมุ ชนท่ีมีเจตจานงรว่ มในการฟืน้ ฟู สืบทอดและส่งตอ่ ซ่งึ ในแผนงานการประชุมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแตล่ ะเวทจี ะมีแนวคาถามทีแ่ ตกตา่ งกนั เพื่อใหส้ อดคล้องกับ วตั ถปุ ระสงคใ์ นเวทเี สวนาครัง้ นั้นๆ การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ ผู้วจิ ยั นาเครือ่ งมือไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน เป็นพยาบาลชมุ ชนประจาโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพ ประจาตาบล ผทู้ รงคุณวุฒดิ ้านการพฒั นาชมุ ชน และผู้บริหารท้องถ่ิน เพ่ือพจิ ารณาความเหมาะสมและความ เข้าใจต่อข้อคาถามปลายเปดิ ของแบบสอบถามและการสนทนากลุ่มในเวทีเสวนา 5 เวที การพิทกั ษ์สิทธ์ิกลุม่ ตัวอย่างและจรยิ ธรรมการวจิ ยั ผู้วิจยั และคณะไดเ้ สนอโครงร่างการวจิ ยั ตอ่ คณะกรรมการจรยิ ธรรมในการทาวจิ ยั ในมนุษย์ของวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนีนครลาปาง เพือ่ ขอรับการพิจารณาหลังจากโครงการได้รับการอนุมตั แิ ล้ว(หมายเลขIRB:E 2562-005) ผวู้ ิจยั และคณะจึงดาเนนิ การวจิ ยั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวิจัยคร้ังน้ีได้ดาเนินการหลังผ่านการพิจารณาคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ใชเ้ วลาในการเก็บข้อมูลท้ังส้นิ 12สัปดาห์ โดยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตามขนั้ ตอน ดงั นี้ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

132 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) การเตรียมชุมชน (ดาเนินการในสัปดาห์ท่ี 1) เพ่ือให้มีความครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องจึงได้มี การประสานกับหนว่ ยงานทอ้ งถนิ่ ผูน้ าและรพ.สต.ซงึ่ มหี น้าที่หลกั ในการดแู ลสุขภาพประชาชน 1.ใช้ผู้นาในชมุ ชนเปน็ เครอื่ งมือในการรวมคน ซงึ่ ผนู้ าอาจเปน็ พระภิกษุ ครู หมอพื้นบา้ น ผู้นาจิต วิญญาณด้านพธิ กี รรม หรือผู้นาภูมิปัญญาท้องถน่ิ ผนู้ าเหล่าน้ีมักเปน็ ผนู้ าตามธรรมชาติ ซงึ่ มีคุณธรรม ซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน อดกล้ัน และมีจิตอาสา 2.ผู้วิจัยรว่ มกับอาสาสมคั รและเยาวชนในหมบู่ ้านรว่ มกนั ศกึ ษาสถานการณผ์ กั พืน้ บา้ นในชมุ ชนปงป่าเป้า ทาการสารวจข้อมูลเบื้องต้นเก่ียวกับชนิด จานวนและการแบ่งประเภทของผักพ้ืนบ้านในชุมชนปงป่าเป้า และ บันทึกภาพผักพื้นบ้านในสวน (ดาเนินการในสัปดาห์ท่ี 3) โดยการใชแ้ บบสอบถามซึ่งเป็นแบบตรวจสอบรายการ ผักพ้ืนบ้านตามชนิดท่ีพบร่วมกับสอบถามเรื่องการนาผักพ้ืนบ้านไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ สมาชิกในครวั เรือน จานวน 156 ครวั เรือนคิดเป็นรอ้ ยละ 70 ของครัวเรอื นในชุมชนปงปา่ เป้า และวางแผนนามา ขอ้ มูลประกอบกบั คาบอกเลา่ ของคนในชมุ ชนมาพูดคุยและนาเสนอในเวทีครงั้ ต่อไป 3.สร้างกระบวนการทางความคิดของคนในชมุ ชนในการมสี ว่ นรว่ มอนรุ กั ษผ์ ักพืน้ บา้ น มรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1) ศึกษาข้อมูลเชิงเน้ือหา และเตรียมเครื่องมือ ซึ่งประกอบด้วยแผนปฏิบัติการและประเด็นการเสวนา ในเวทีท่ี 1 – เวทีท่ี 5 ที่เกิดจากการออกแบบร่วมกันกับตัวแทนชุมชนและนักศึกษาพยาบาลซึ่งเป็นคนในชุมชน (ดาเนินการในสปั ดาห์ที่ 4 – 5) 2) ร่วมกับแกนนาและนักศึกษาพยาบาลซึ่งเป็นจิตอาสาในชุมชน ดาเนินการจัดเวทีเสวนาจานวน 5 ครั้ง ในรูปแบบของการจัดกระบวนการเรยี นรโู้ ดยจะใช้ผู้นาในชุมชนเป็นเคร่ืองมือในการรวมคน เวทีเสวนาทั้ง 5 ครง้ั จดั ขึน้ ทห่ี อประชุมหมู่บ้านปงป่าเปา้ โดยไดร้ ับการอนุญาตจากผนู้ าหม่บู ้าน (ดาเนินการในสัปดาห์ท่ี 6 – 12) ประกอบด้วย เวทที ี่ 1 ทาเจตจานงใหแ้ จ่มกระจ่าง (ดาเนินการในสัปดาห์ท่ี 6 ) เพ่ือสร้างความเข้าใจ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของการดาเนินงาน คือการทาให้ผู้เข้าร่วมประชุมเข้าใจเจตนารมณ์ ของการประชุมหรือการพบปะกันว่า เรามาพูดคุยกันทาไม เป้าหมายที่ต้องการสูงสุดคืออะไร เห็นคุณค่าและ ความหมายของการประชุมและการสนทนา เพราะเจตนารมณ์เป็นหวั ใจสาคัญท่ีจะเป็นตวั บง่ ว่าเราจะไปทางไหน ซง่ึ ต้องสัมพนั ธก์ ับสภาพการณ์หรือบริบทที่เป็นอยู่ของชุมชนบา้ นปงป่าเปา้ เวทีที่ 2 สนทนาและใครค่ รวญถงึ อนาคตของสังคมไทย/สงั คมที่อาศยั อยู่ วิถีใหม่แห่งความเข้าใจและการเปลี่ยนผ่าน (new ways of understanding and becoming) (ดาเนินการในสัปดาห์ท่ี 6) วัตถุประสงค์เพ่ือทาความเข้าใจการเปล่ียนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นและเพื่อสร้าง ความตระหนักถึงของดีที่มีอยู่ในท้องถ่ิน ผักพ้ืนบ้านที่มีผลต่อสุขภาพ วิเคราะห์จุดดี/โอกาสที่มี และหาแนวทาง ลดจุดด้อย/ปญั หาทม่ี องเห็น ซง่ึ จะช่วยให้เราทาสง่ิ ที่สอดคล้องกับจังหวะ โอกาสหรือกาละเทศะ เวทที ่ี 3 สร้าง “Sensing” และ “Visioning” (ดาเนินการในสัปดาห์ที่ 8) ข้ันนี้มีการนาเสนอข้อมูล ผกั พื้นบา้ นท่ีไดส้ ารวจ เพ่ือการสรา้ ง “Sensing” คอื ให้ผรู้ ว่ มเวทีเห็นขอ้ มูลและอ่านข้อมูลเปน็ เหน็ ข้อมูลแล้ว ต้องมสี ภาวะจติ อันลุม่ ลึก แล้ว ต้องสรา้ ง “Visioning” คือ ภาพอนาคตท่ปี รารถนา นาไปสกู่ ารพูดคุยวางแผนว่า จะทาอย่างไรกนั ต่อ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

133 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เวทที ่ี 4 เวทวี ชิ าการเสรมิ สร้างความรู้เรอื่ งผักพน้ื บ้าน (ดาเนินการในสปั ดาหท์ ี่ 10) เวทที ่ี 5 เวทีเสวนาเพอ่ื สรา้ งชุมชนทีม่ ีเจตจานงร่วมในการฟ้นื ฟู สบื ทอด และสง่ ตอ่ เร่อื งน้ี (moving forward with community of commitment) (ดาเนินการในสัปดาหท์ ่ี 12) 3) บทบาทของผู้วิจัยซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกคือเป็นผู้สนับสนุนกระบวนการ การช่วยให้ชุมชนได้มา รวมกัน ร่วมพูดคุย ต้ังคาถามและหาข้อมูล เชื่อมโยงชุมชนกับแหล่งข้อมูลและความรู้ภายนอก ไม่กาหนดเวลา ทางาน เป็นต้น แต่ส่ิงซึ่งเป็นความคิดใหม่ๆ และแนวทางการอนุรักษ์ผกั พ้ืนบ้าน จะออกมาจากการพูดคุยในเวที ชุมชนเอง 4) ใช้แนวปฏบิ ัตทิ จ่ี าเป็นคือสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างมสี ่วนร่วมที่ได้จากการแลกเปล่ยี นในวงเสวนา การคิดใคร่ครวญ การพูดคุยเชิงสร้างสรรค์ บนความมีชีวิตและสอดคล้องกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ร่วมกับการ บันทกึ ขอ้ มูลจากวถิ กี ารดารงชีวติ 5) ผวู้ ิจัยรว่ มกบั แกนนาชมุ ชนประเมนิ ผลการใช้รปู แบบทสี่ ร้างข้นึ โดยในเบอื้ งต้นประเมินจากผลการ เสวนาในเวทีท่ี 5 และคร้ังต่อไปประเมนิ หลงั จากผ่านไปแล้ว 1 ปี โดยประเมินจากความคงอยูข่ องพฤติกรรมการ อนุรักษ์ผักพน้ื บ้านของชมุ ชน 6) เม่ือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากแบบสารวจและจากเวทเี สวนาทัง้ 5 ครง้ั แลว้ ผวู้ ิจยั ทาการบนั ทึกข้อมูลใน เครื่องคอมพวิ เตอรส์ ว่ นบคุ คลท่ีมกี ารเข้ารหัส การบนั ทึกข้อมูลจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มลู ก่อน การนาข้อมูลไปวิเคราะหแ์ ละตรวจสอบข้อมูลเชิงคณุ ภาพต่อไป การวิเคราะหข์ ้อมลู 1. ขอ้ มลู ผกั พน้ื บา้ นทร่ี วบรวมได้ นามาวิเคราะห์ดว้ ยสถติ ิเชงิ พรรณนาโดยการแจกจงความถี่ รอ้ ยละ 2. ขอ้ มลุ เชงิ คุณภาพจากข้อคาถามปลายเปดิ นามาจัดหมวดหมูแ่ ละข้อมลู จากการถอดบทเรียนจาก การจัดเวทเี สวนา นามาวเิ คราะหด์ ว้ ยการวิเคราะหเ์ ชงิ เน้อื หา (content analysis) ผลการวิจยั ผู้วจิ ัยได้แบ่งการนาเสนอผลการวิจยั ออกเปน็ 2 ตอน ตามวัตถุประสงค์โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาสถานการณ์ผักพน้ื บ้านในชมุ ชนปงป่าเป้า ในสว่ นน้ีจะประกอบดว้ ยชนิดของพชื ผักพ้ืนบ้าน ที่มอี ยู่และการนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านต่างๆ การศกึ ษา พบวา่ 1. ชนิดของพชื ผกั พน้ื บา้ นท่ีมีอยู่ในครวั เรอื นบ้านปงป่าเป้าจานวน 156 ครวั เรือน พบวา่ ผกั พ้นื บ้านท่ีคน นามาบรโิ ภคมีท้งั หมด 84 ชนิด โดย 5 อันดบั แรกท่ีมีมากในชุมชนคอื ผักหละ ผักกาดจ้อน ผกั แก้วนาง ผักปนู ก และผกั หนอง คิดเปน็ ร้อยละ 80.13 , 78.85 , 75.00 ตามลาดับ โดยผักปูนกและผักหนองจะพบเท่ากนั คือร้อยละ 73.72 ของครัวเรือนท่สี ารวจ ผกั ทีพ่ บจาแนกตามลกั ษณะของลาตน้ แบ่งไดเ้ ปน็ 4 ประเภท คอื ไม้ยืนตน้ 14 ชนดิ ไมล้ ม้ ลุก 44 ชนิด ไม้พมุ่ 8 ชนดิ และไม้เลอ้ื ย 18 ชนดิ ดังแสดงในตารางท่ี 1 และ 2 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

134 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 1 ชนิดของพืชผักพื้นบา้ นที่มีอยู่ในครวั เรือนบ้านปงปา่ เป้า (จานวนครวั เรือนท่ีสารวจ 156 ครัวเรอื น) ลาดับ ชือ่ ผักพ้นื บา้ น จานวนครัวเรือนทพ่ี บ ร้อยละ 1 ผกั หละ 125 80.13 2 ผักกาดจ้อน 123 78.85 3 ผักแก้วนาง 117 75.00 4 ปูนก 115 73.72 5 ผกั หนอง 115 73.72 6 ผักกบั ลาบ 113 72.44 7 มะเขือแจ้ 110 70.51 8 ผักเส้ยี ว 105 67.31 9 ผกั แคบ 100 64.10 10 ถวั่ ฝกั ยาว 87 55.77 11 บ่ะแขวง้ 87 55.77 12 ผกั ตนู 86 55.13 13 ผักคาวตอง 84 53.85 14 ปูเลย 84 53.85 15 ผกั ไผ่ 84 53.85 16 ดอกแค 83 53.21 17 บ่ะฟักแก้ว 83 53.21 18 บะ่ เขือป๋อ 82 52.56 19 ก้อมกอ้ 81 51.92 20 หอมป้อม 80 51.28 21 มะเขือกรอบ 77 49.36 22 บา่ ค่อนกอ้ ม 76 48.72 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

135 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ตารางท่ี 1 ชนดิ ของพชื ผกั พน้ื บา้ นท่มี อี ยใู่ นครวั เรอื นบา้ นปงปา่ เป้า(จานวนครวั เรือนท่ีสารวจ156ครวั เรือน)(ตอ่ ) ลำดบั ช่ือผักพ้นื บ้ำน จำนวนครัวเรอื นที่พบ รอ้ ยละ 23 ผกั ตา้ ง 76 48.72 24 บ่ะฟักข้ีหมู 74 47.44 25 ผักปั๋ง 73 46.79 26 หอมด่วน 70 44.87 27 ผักบงุ้ ไทย 65 41.67 28 พรกิ 65 41.67 29 ถ่วั ผีเสอ้ื 64 41.03 30 ขา่ 62 41.03 31 หอมป้อมเป้อ 60 38.46 32 ผักแสว้ 60 38.46 33 หอมแย๊ 50 32.05 34 บะลิดไม้ 57 36.54 35 ผักหวานบา้ น 51 32.69 36 ผักเฮียด 51 32.69 37 ผักตุด๊ 50 32.05 38 เลบ็ ครฑุ 48 30.77 39 ผกั เผด็ น้อย 47 30.13 40 สะเลียม 47 30.13 41 บ่ะกว้ ยเตด้ 49 31.41 42 ต้นหอม 46 29.49 43 กระเพรา 46 29.49 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

136 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ตารางท่ี 1 ชนดิ ของพชื ผักพื้นบา้ นท่ีมีอย่ใู นครวั เรอื นบ้านปงป่าเป้า(จานวนครวั เรือนท่สี ารวจ156ครัวเรอื น)(ตอ่ ) ลาดับ ช่ือผักพ้นื บา้ น จานวนครัวเรือนทีพ่ บ รอ้ ยละ 44 ขีเ้ หล็ก 44 28.21 45 มะหนุน 44 28.21 46 โหระพา 44 28.21 47 บ่ะนอย 40 25.64 48 ถั่วปู 36 23.08 49 สะแล 35 22.44 50 อ่อมแซบ 34 21.79 51 ตะไคร้ 34 21.79 52 ผกั ฮาก 33 21.15 53 บ่ะตาเสอื 32 20.51 54 ผักเซยี งดา 30 19.23 55 กระชาย 30 19.23 56 ขิง 30 19.23 57 บ่ะแขวง้ ขม 29 18.59 58 สม้ ป่อย 28 17.95 59 ผักหวานปา่ 28 17.95 60 ผกั โหม 28 17.95 61 บา่ นา้ 27 17.31 62 บ่ะไห่ 27 17.31 63 บ่ะบวบ 27 17.31 64 ดอกเอ้ยี งแลว 27 17.31 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

137 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 1 ชนดิ ของพชื ผกั พื้นบ้านที่มอี ยใู่ นครวั เรอื นบา้ นปงป่าเปา้ (จานวนครวั เรอื นทส่ี ารวจ156ครัวเรอื น)(ตอ่ ) ลาดับ ชือ่ ผักพน้ื บ้าน จานวนครวั เรือนทพี่ บ รอ้ ยละ 65 มะม่วง 24 15.38 66 ผกั ปราบ 23 14.74 67 ใบจ้อยนาง 23 14.74 68 มะขาม 22 14.10 69 ผกั หนอก 20 12.82 70 ผักขข้ี วง 20 12.82 71 มะพรา้ ว 19 12.18 72 มะกอก 19 12.18 73 ผักข้ีหดู 18 11.54 74 ผกั อแี หล้ 16 10.26 75 ดปี ลาก้งั 13 8.33 76 ผักแวน่ 11 7.05 77 งาขมี้ ่อน 11 7.05 78 ผกั สลดิ 7 4.49 79 ดปี ลี 7 4.49 80 ดอกก้าน 6 3.85 81 ดอกข่า 5 3.21 82 บุกหวาน 5 3.21 83 ฟกั ข้าว 9 5.77 84 มว้ นหมู 9 5.77 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

138 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ตารางที่ 2 แสดงรายการผกั พืน้ บา้ นประเภทตา่ งๆ ประเภทผักพื้นบ้าน ชือ่ ผกั พนื้ บา้ น ไม้ยืนตน้ 1.สะเดา(สะเลียม) 2.มะขาม 3.มะพร้าว 4.ยอ (บะ่ ตาเสือ) 5.ขนุน (มะหนนุ ) 6. ไม้ล้มลุก มะกอก 7. ผกั ตะคกึ (ผักตดุ๊ ) 8. เพกา (บะลิดไม้) 9. ผกั หวานป่า 10.สม้ ป่อย 11. ข้ีเหลก็ 12.มะม่วง 13. มะรุม(บา่ ค่อนกอ้ ม) 14. ผกั เลยี บ (ผักเฮียด) ไมพ้ ุ่ม 1.ตน้ ดอกแค 2. ม้วนหมู 3.กระเพรา 4.โหระพา 5.ชะพลู (ปูนก) 6.ใบแมงลัก (ก้อมกอ้ ) ไมเ้ ล้ือย 7.บัวบก (ผักหนอก) 8.ผกั แพว (ผักไผ่) 9.ผักโขม (ผักโหม) 10.ผกั ชี (หอมปอ้ ม) 11. ผกั ชีลาว (หอมปอ้ มเป้อ) 12.ไพล (ปเู ลย) 13.ผกั ปราบ 14.ผักขหี้ ดู 15.สะเดาดนิ (ผักขี้ขวง) 16.ผักคราดหัวแหวน (ผกั เผ็ดนอ้ ย) 17. ผกั กวางตุง้ (ผกั กาดจ้อน) 18. ผักแว่น 19. ผกั บุ้งไทย 20. พลคู าว (ผักคาวตอง) 21. ผักแส้ว 22. ผกั แก้วนาง 23. ผกั หางปลาชอ่ น (หอมแย๊) 24. ผักรด (ผกั ฮาก) 25. สะระแหน่ (หอมดว่ น) 26. มะเขอื กรอบ 27. หวั คณู (ผักตนู ) 28. มะเขือพวง (บ่ะแคว้ง) 29.มะละกอ (บ่ะกว้ ยเตด้ ) 30. ผกั อีแหล้ 31.บาหยา (อ่อมแซบ) 32. ตน้ หอม 33.พรกิ 34. มะเขือแจ้ 35.ตะไคร้ 36. กระชาย 37.ดีปลากั้ง 38.ดอกกา้ น 39. ผกั กับลาบ 40.ดอกข่า 41.บุกหวาน 42. มะแว้ง (บ่ะแขวง้ ขม) 43. มะเขอื เปราะ (บ่ะเขือป๋อ) 44.ดอกนางแลว (ดอกเอยี้ งแลว) 1.ผักขจร (ผักสลดิ ) 2.ผักชะอม(ผักหละ) 3.งาขี้ม่อน 4. ผกั เสยี้ ว 5.กระถิน (ผักหนอง) 6. เลบ็ ครฑุ 7.ผกั หวานบา้ น 8. สะแล 1. ชะพลู (ปูนก) 2. ถว่ั ผีเส้อื 3. ตาลงึ (ผกั แคบ) 4.ใบย่านาง (ใบจ้อยนาง) 5.ถัว่ ฝักยาว 6.ถั่วปู 7.บวบเหล่ียม (บะ่ นอย) 5. บวบ (บ่ะบวบ) 9. ฟักเขียว (บ่ะฟักขหี้ มู) 10. มะระ ข้ีนก (บ่ะไห่) 11.ฟักขา้ ว 12.ผกั ปลัง (ผกั ปัง๋ ) 13. ผักตา้ ง 14. ฟกั ทอง (บ่ะฟักแก้ว) 15. นา้ เตา้ (บา่ นา้ ) 16.ผกั เซยี งดา 17. ดีปลี 18. ถ่ัวแปป (บ่ะแปบ) 2. ผลการศึกษาถึงการนาผักพน้ื บ้านไปใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ ดังน้ี 2.1 ใช้ประโยชน์ในดา้ นการนามาประกอบอาหารใน วิถีชวี ิตประจาวนั ชาวบ้านปงป่าเปา้ ส่วนใหญใ่ ช้ ประโยชนด์ ้านการเปน็ อาหารมากท่ีสุด โดยการนาผักพนื้ บ้านมาใช้เปน็ อาหารหลกั หรือปรงุ เปน็ อาหาร เช่น นามาแกง ผดั ผักนา้ มันหอย และใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบ เป็นเครือ่ งเคียงหรือผักกับลาบ เช่น ผกั สด ผักลวกจมิ้ นา้ พริก เปน็ ตน้ 2.2 ใชป้ ระโยชน์ในด้านยารักษาโรค หรือสมนุ ไพร ผกั พื้นบ้านหลายชนดิ ทชี่ มุ ชนนามาใชป้ รงุ อาหาร แต่ ในขณะเดยี วกนั กใ็ ชเ้ ป็นสมุนไพรในการรักษาโรค และส่งเสริมสขุ ภาพ ได้ด้วย เชน่ ผักขเ้ี หลก็ ใบยา่ นางนอกจาก รักษาโรคในคนแล้วยงั มีสรรพคณุ ในการขบั ไลแ่ มลง ศัตรูพชื ดว้ ย เช่น สะเลียม เป็นต้น 2.3 ใชป้ ระโยชนด์ า้ นเศรษฐกิจ ผักพ้ืนบา้ นมีมลู คา่ การใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งมาก เนอ่ื งจากผกั พนื้ บา้ น วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

139 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) สามารถทาให้แต่ละครวั เรือนประหยัดเงนิ จากการซ้ือผกั จากตลาดมาบรโิ ภค นอกจากนผ้ี ักพื้นบา้ นยงั เปน็ แหล่งรายไดเ้ สริมของชาวบา้ น และเปน็ แหลง่ อาหารให้รับประทานได้ตลอดปี ตอนท่ี 2 รปู แบบที่ส่งเสรมิ การมสี ่วนรว่ มอนรุ ักษ์ผักพ้ืนบ้านของคนในชมุ ชนปงปา่ เป้า ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) โดยมีกระบวนการในการศึกษาวิจัยท่ีมุ่งเน้นให้ ชุมชนไดด้ ึงศักยภาพของตนเองออกมาในการรว่ มกนั พัฒนาชุมชนตามวธิ ีการของชุมชน ข้อค้นพบจากการศึกษา ครั้งน้ีคือ รูปแบบการอนุรักษผ์ ักพื้นบ้านของชุมชนปงป่าเป้าน้ันต้องอาศยั กระบวนการมสี ว่ นร่วม โดยใชก้ จิ กรรม การแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ อย่างมสี ว่ นรว่ ม จนทาใหเ้ กดิ กลมุ่ คนท่เี ข้ารว่ มกระบวนการเกดิ ความตระหนักถึงการ อนุรักษ์และฟื้นฟผู ักพน้ื บ้านของชุมชน กระบวนการทผี่ วู้ ิจยั ทารว่ มกบั ชุมชนปงปา่ เป้ามี 5 ขน้ั ตอนดงั น้ี ขั้นที่ 1 การทาเจตจานงให้แจม่ กระจ่าง เพือ่ สร้างความเข้าใจ วัตถปุ ระสงค์ และเป้าหมายของการดาเนินงาน หลังจากท่ีผู้วิจัยได้ค้นหาแนวร่วม อันประกอบไปด้วย ตัวแทนจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการหมู่บ้าน อาสาสมัครหมู่บ้าน ผู้ทรงคุณวุฒิในหมู่บ้าน ครัวเรือนท่ีสนใจ และชาวบ้านท่ีสนใจเรื่อง การปลูกผัก จานวน 50 คน เข้าร่วมเวทีเสวนา เพื่อประชุมช้ีแจงทาความเข้าใจการดาเนินงาน วัตถุประสงค์ การทางาน และเปา้ หมายที่จะเกิดและดาเนนิ งานร่วมกัน ตวั อย่างคาถามในการพูดคุย ได้แก่ ตัวอยา่ งคาถาม ได้แก่ - ทา่ นอย่ทู หี่ มูบ่ ้านนีม้ านานเท่าไหร่ - ตลอดเวลาทท่ี ่านอยู่ท่ีนี่ ท่านเห็นวา่ หมูบ่ า้ นมีการเปลย่ี นแปลงสาคัญๆอะไรบา้ งหรือไม่ - ท่านทาอะไรบา้ งในเรือ่ งนี้ - อะไรเป็นแรงจงู ใจใหท้ ่านเข้ามาทาในโครงการน้ี - เป้าหมายของทา่ นในการเขา้ มาในวนั นี้ (สรุปเป้าหมายรว่ ม) ชุมชนไดร้ บั ทราบความเป็นมาและวตั ถุประสงค์ของโครงการ มกี ารสร้างเป้าหมายร่วมกนั และเกดิ ความ เข้าใจการดาเนินงานซึ่งจะต้องมีการทางานร่วมกัน ในขั้นตอนนี้ชุมชน ทาการกาหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิก ในทีม โดยให้สมาชิกในทีมท่ีเป็นสมาชิก อบต. เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับอบต.ปงป่าเป้าและแบ่งหน้าท่ีให้ สมาชิกทีมท่ีเป็นอดีตพัฒนากรชุมชน เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับผู้รู้และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการสนับสนุน การดาเนินงานและในส่วนของอาสาสมคั รสาธารณสุขจะเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับรพ.สต.บา้ นแพะใหม่ในการ สนบั สนุนข้อมูลด้านสุขภาพและร่วมกันเก็บขอ้ มูลเก่ยี วกบั ผกั พ้ืนบา้ นของชมุ ชนปงป่าเปา้ ขั้นที่ 2 เวทีสนทนาและใคร่ครวญถึงอนาคตของสังคมไทย/สังคมท่ีอาศัยอยู่ (reflection and dialogue on social future) เพื่อทาความเข้าใจการเปล่ียนแปลงของสังคมท่ีเกิดข้ึนและเพื่อสร้างความ ตระหนักถึงของดีท่ีมีอยู่ในท้องถิ่น ผักพ้ืนบ้านที่มีผลต่อสุขภาพ วิเคราะห์จุดดี/โอกาสท่ีมี และหาแนวทางลดจุด ด้อย/ปัญหาทมี่ องเห็น ในข้นั ตอนนี้จะใช้คาถามเพอ่ื ใหผ้ ูร้ ว่ มเวทเี สวนาได้คิดและสนทนากัน ตัวอย่างคาถามไดแ้ ก่ - สถานการณส์ ังคมไทยในขณะน้ีเปน็ อยา่ งไร - สถานการณ์เหลา่ นั้น จะส่งกระทบต่อเรา-ชมุ ชนอย่างไร วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

140 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) - สถานการณ์ชุมชนเร่ืองการบริโภคผักพื้นบ้าน เป็นอย่างไร มีอะไรที่แตกต่างจากอดีตไหม ทาไมเป็น อยา่ งนน้ั แล้วสง่ ผลกับเราอย่างไร - บ้านเรามผี กั พ้ืนบา้ นอะไรบา้ ง? - ขณะน้ีผักพ้ืนบา้ นเรามีมากนอ้ ยแคไ่ หน? - ทาไมผกั พืน้ บ้านจงึ ลดลง?” - ผักพ้นื บา้ นเหลา่ น้ีอยู่ทไ่ี หนบ้าง? เราจะทาอยา่ งไรใหไ้ ด้คาตอบในเร่ืองน้ี จากการใช้ประเด็นคาถามในเวทีเสวนาทาให้เกิดการพูดคุยร่วมกันแสดงความคิดเห็น มีการถาม-ตอบ การกระตนุ้ กนั ภายในกลมุ่ ชาวบ้านมีความตระหนักถึงสถานการณ์ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปจากในอดตี มองเหน็ ปญั หาท่ี เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทาให้เกิดการคิดแก้ไขปัญหาชมุ ชน โดยในขั้นตอนนี้ในท่ีประชุมได้เกิดการวางแผนการจัดเก็บ ข้อมูลผักพื้นบ้าน การคิดประเด็นคาถามเร่ืองที่จะไปเก็บข้อมูล มีการแบ่งหน้าที่กันทางานจัดเก็บข้อมูลและ กาหนดวนั ท่ีจะลงเกบ็ ขอ้ มลู เพอื่ นาไปพูดคุยในครงั้ ต่อไป เมื่อถึงกาหนดวันทากิจกรรมการลงพื้นที่เพ่ือรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับผักพ้ืนบ้าน ผู้เก็บข้อมูลซ่ึง ประกอบด้วยนักศึกษาซึ่งเป็นเยาวชนในหมู่บ้าน อสม.และทีมวิจัยได้พูดคุยแลกเปล่ียนกับชาวบ้าน โดยการ สมั ภาษณ์ สารวจสถานการณผ์ กั พนื้ บ้านในชุมชน ทาให้พบสาเหตทุ ี่ทาให้ผักพนื้ บา้ นลดลง คอื ประมาณสบิ กว่าปีทผี่ ่านมา วิธีการผลิตของชาวบ้านปงป่าเป้าเร่ิมมีการเปลี่ยนแปลงเร่ือยมา จากการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้การไถนาด้วย แรงงานสตั ว์ กลายมาเป็นการใช้รถไถ ชาวบา้ นใช้สารเคมมี ากข้ึนเพือ่ เพ่มิ ผลผลิตทาใหแ้ หลง่ อาหารตามธรรมชาติ มีสารพิษเจือปน ผักบางอย่างก็ลดลง เช่น ผักแว่นท่ีเคยข้ึนในนาข้าว กอรปกับชาวบ้านออกไปทางานนอกชมุ ชน มากขึ้น นิยมซ้ืออาหารสาเร็จรูปหรือผักจากตลาดนากลับมาทาอาหารที่บ้าน นอกจากนี้ที่ดินของชาวบ้านส่วน หน่ึงก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนต่างถิ่นซ่ึงมาตั้งถ่ินฐานหรือทาธุรกิจส่วนตัวหรือพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซ่ึง ต้องเปลย่ี นจากท่ีการเกษตรมาเป็นแหล่งกอ่ สร้าง รวมถึงคนรนุ่ ใหม่ซง่ึ นิยมวถิ ีการบริโภคตามวัฒนธรรมตะวันตก เช่น การกินอาหารจานด่วน เป็นต้น จากกิจกรรมน้ีทาให้ได้ข้อมูลรายช่ือพืชผักพื้นบ้านที่มีอยู่ในบ้านปงป่าเป้า และสาเหตุที่ทาให้ผักพ้ืนบ้านลดลง ส่วนการทบทวนตรวจสอบข้อมูล ได้มีการตรวจทานข้อมูลจากทั้งผู้รู้และ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ใิ นชมุ ชน ขนั้ ท่ี 3 การสรา้ ง “Sensing” และ “Visioning” ในขนั้ ตอนน้ีจะประกอบดว้ ย 1) การสรา้ ง “Sensing” คือใหผ้ ู้ร่วมเวทีเห็นข้อมูลและอ่านข้อมลู เปน็ เป็นการฝกึ สรา้ งมุมมองจากข้อมูลที่ มีอยู่ โดยให้น.ศ.ซึ่งเป็นเยาวชนในหมู่บ้านนาเสนอข้อมูลผักพื้นบ้านที่ได้สารวจร่วมกับอสม.ทาให้ผู้เข้าร่วมเสวนามี การรับรู้ข้อมูลผักพ้ืนบ้านที่มีอยู่ในหมู่บ้าน ท้ังชนิด จานวน และผักเหล่านั้นอยู่ท่ีไหนบ้าง จากนั้นได้แบ่งกลุ่มระดม ความคิดเห็น โดยการใชค้ าถามว่า “คิดเห็นอยา่ งไรกับข้อมลู ทน่ี าเสนอ” 2) การสร้าง “Visioning” เพื่อสร้างภาพอนาคตท่ีปรารถนาร่วมกัน โดยการใช้ประเด็นสนทนา “ท่าน ต้องการเห็นภาพของผกั พนื้ บา้ นทีม่ ีอยู่ในหมบู่ า้ นเปน็ อย่างไร” 3) จาก vision สู่ action เพื่อให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของแผนงานการทางานร่วมกัน จะใช้ ประเดน็ คาถามว่า “จะทาอย่างไรเพ่อื การอนุรักษ์ผักพืน้ บ้าน” วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

141 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ผลท่ีได้จากเวทีเสวนานาไปสกู่ ารพูดคุยวางแผนว่าจะทาอย่างไรกันต่อ โดยในวงเสวนาเห็นวา่ สิ่งที่ทาได้ เองของคนในหมู่บา้ นคือการลงมือปลูกผักรับประทานเองเริ่มจากคนในเวทีเสวนาก่อนแล้วจึงชักชวนผู้อน่ื ที่สนใจ ร่วมกันปลูกโดยมีการแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ให้แก่กัน สาหรับคนที่ต้องการพ้ืนที่ปลูกจะชวนกันไปปลูกผักได้ที่สวน หน้าวัดพระธาตุสันดอนได้ฟรี และผู้ร่วมเสวนามองว่าชาวบ้านควรได้รับรู้ถึงประโยชน์และสรรพคุณของผัก พื้นบ้านเพ่ือเป็นการสร้างความตระหนักในเร่ืองการดูแลสุขภาพและเห็นคุณค่าของผักพื้นบ้าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ท่ีเข้าร่วมเวทีเสวนาซึ่งเป็นอดีตข้าราชการพัฒนาชุมชนอาสาเป็นผู้ติดต่อเชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่ชาวบ้านท่ี สนใจในเวทคี รัง้ ต่อไป ขัน้ ที่ 4 เวทีวชิ าการเสรมิ สร้างความรูเ้ ร่อื งผักพน้ื บ้าน ในขนั้ ตอนนี้มีวทิ ยากรจากมหาวิทยาลยั ราชมงคลล้านนา และจากรพ.สต.บ้านแพะใหม่ซึ่งได้รับเชิญจาก ตัวแทนชุมชน มาบรรยายเรื่องประโยชน์และสรรพคุณของผักพื้นบ้านทาให้ผู้เข้าประชุมได้รู้จักผักพื้นบ้านในแง่ ประโยชนต์ อ่ สุขภาพและประโยชน์ดา้ นเศรษฐกจิ มากข้ึน ขั้นท่ี 5 เวทีเสวนาเพื่อสร้างชุมชนท่ีมีเจตจานงร่วมในการฟ้ืนฟู สืบทอด และส่งต่อเร่ืองนี้ (moving forward with community of commitment) การรว่ มเวทคี รง้ั น้ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อสร้างกระบวนการเรียนรรู้ ะหวา่ งแกนนาชุมชน ผู้นาในระดับชุมชน และเพอ่ื เป็นแนวทางการสานต่อเร่ืองการอนรุ ักษผ์ ักพน้ื บา้ น มีประเดน็ การพดู คุยในเรื่องการอนรุ ักษ์ผักพื้นบ้าน โดยล้อมวงเสวนาให้แตล่ ะคนเลา่ ถงึ สง่ิ ทผี่ ่านมา 1) ใคร- ทาอะไร – ท่ไี หน – เม่อื ไหร่ – อย่างไร – ทาไม 2) ส่งิ ทีค่ าดหวงั จะใหเ้ กดิ ข้ึนในการอนรุ ักษผ์ ักพ้ืนบ้านของตัวเองคืออะไร 3) วเิ คราะห์ร่วมกันในเรอื่ งผลที่เกดิ ข้นึ จรงิ ทผี่ า่ นมาคืออะไรบา้ ง (ท้ังแงบ่ วก-ลบ) , มปี ัจจยั หรอื สาเหตสุ าคญั อะไร ท่ีทาใหเ้ ปน็ เช่นนน้ั 4) ทบทวนกระบวนการทางานและสงิ่ ทไ่ี ด้จากการเข้ารว่ มเวทีเสวนาทั้ง 4 เวที และการสร้างทีมและเครอื ขา่ ย เพือ่ การพัฒนางานและสง่ ต่อความรู้เร่อื งผักพ้นื บ้าน 5) จะทาอะไรตอ่ จากน้เี พ่ือการอนุรกั ษ์ผกั พืน้ บ้าน ในการเสวนาคร้ังนี้นอกจากจะมีชาวบ้านซ่ึงเป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจในเร่ืองผักพื้นบ้านกลุ่มเดิมท่ีได้ สนทนาต่อเน่ืองจากเวทีคร้ังท่ี 1 2 3 และ 4 แล้ว ยังมีตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนตาบลวังเงิน ผู้นาหมู่บ้าน และเจ้าหน้าที่จากรพ.สต.บ้านแพะใหม่เข้าร่วมด้วย ในวงเสวนามีการเล่าประสบการณ์การทาการเกษตรของ ตนเองและประสบการณ์ของชาวบ้านท่ีได้เห็นตัวอย่างดีๆจากที่อื่นๆ แล้วอยากนามาพัฒนาชุมชนของตน เช่น ประสบการณ์การไปอบรมการปลูกผักเชียงดาท่ีอาเภอแม่เมาะ และการได้รับฟังวิทยากรบรรยายความรู้ เรื่อง สรรพคุณของผกั ในเวทที ี่ 4 จงึ อยากท่ีจะอนรุ ักษ์ผักพื้นบา้ นเอาไว้ เพอ่ื เปน็ การดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและ เพ่ืออนุรักษ์ไว้ให้เยาวชนรุ่นหลัง สมาชิกในวงเสวนาส่วนใหญ่มองว่ามีความเป็นไปได้หากจะทางานเพ่ืออนุรักษ์ ผักพ้ืนบ้าน ซ่ึงในท่ีประชุมได้มีการเสนอแนวทางต่างๆแต่ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าคนในชุมชนต้องรวมพลังกัน ร่วม แรงรว่ มใจทากจิ กรรมใหจ้ ริงจัง ใหเ้ ขาเห็นวา่ เราทาได้ กอ่ นที่จะไปขอรับการสนับสนุนจากบุคคลอื่น โดยควรเร่ิม วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

142 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) จากบา้ นของตัวเองก่อนแลว้ ชักชวนคนอ่ืนๆทาด้วยกัน รว่ มกับการปลูกฝังบตุ รหลานของตนเร่ืองการรบั ประทาน ผักที่ปลูกเองและชักชวนเด็กๆมาช่วยพ่อแม่ปลูกผักเพื่อเป็นการปลูกฝังทัศนคติที่ดีและส่งต่อเร่ืองผักพ้ืนบ้านให้ เด็กไปด้วย แต่ปัญหาสาคัญคือเร่ืองน้าใช้เพื่อการเกษตร จะมีบางจุดในหมู่บ้านท่ีน้าไม่เพียงพอ มีข้อเสนอจากที่ ประชมุ ให้ผู้สนใจมาปลกู ผักในพนื้ ทสี่ าธารณะของชมุ ชนคือหน้าวดั พระธาตุสนั ดอนท่ีทางชมุ ชนวางแผนพฒั นาต่อ ยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซ่ึงจะมีน้าจากชลประทานไหลผ่าน ท้ังนี้ในท่ีวงเสวนามีผู้เสนอตัวเองใน การรับประสานงานเรื่องน้ากับหนว่ ยงานชลประทานและผทู้ ี่เกี่ยวข้อง ในขณะท่ีตัวแทนจากหน่วยงานท้องถิ่นจะ นาข้อมูลเข้าสู่การประชุมเพื่อจัดทาโครงการสนับสนุนต่อไป ในการพูดคุยพบว่าทุกคนมีความสนใจที่จะสานต่อ ในเรอ่ื งการการอนรุ กั ษผ์ กั พน้ื บ้าน และมีความยนิ ดีทจี่ ะพฒั นาชุมชนโดยเกิดจากพลงั ความคิดที่เปน็ ความคิดของ ชาวบ้านที่แท้จริงท่ีเกิดข้ึนในวงเสวนา จะเห็นได้ว่าจากการใชก้ ระบวนการตามรูปแบบที่สร้างข้ึนเปน็ การกระตุก ความคิดทาให้ชุมชนเกิดความตระหนักรู้ ส่งผลให้มีผู้สนใจสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มปลูกผักอินทรีย์มากข้ึน เกิดแนวคิดในการจัดหาพ้ืนที่สาหรับรวมกลุ่มปลูกผักปลอดสารอินทรีย์นอกเหนือจากการปลูกแต่ละหลัง และมี ความคิดตอ่ ยอดท่ีจะพฒั นาใหเ้ ป็นจดุ check in เพ่ิมเตมิ ในแหลง่ ท่องเทีย่ วสะพานขวั แตะ จากการติดตามหลังดาเนินการไปแล้ว 1 ปีร่วมกับแกนนาชุมชน พบว่า กระบวนการคงอยู่ของการ อนุรักษ์ผักพ้ืนบ้านลดลงสาเหตุเนื่องจากขาดความต่อเนื่องในการหนุนเสริม และปัญหาภัยแล้งทาให้ผลผลิต ทางการเกษตรลดลง อภิปรายผล การศกึ ษาการสรา้ งกระบวนการทางความคดิ ของคนในชมุ ชนในการมสี ่วนร่วมอนรุ ักษ์ผักพ้ืนบ้าน: กรณีศึกษาบ้านปงป่าเป้า อ.แม่ทะ จ.ลาปาง มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาสถานการณ์ผักพ้ืนบ้านในชุมชนปงป่าเป้า และเพือ่ หารูปแบบท่ีเหมาะสมในการสง่ เสรมิ การมสี ่วนร่วมอนุรักษผ์ ักพ้นื บ้านของคนในชมุ ชนปงป่าเปา้ สามารถ อภิปรายผลการศกึ ษาตามวตั ถุประสงค์ ได้ดังน้ี 1. สถานการณผ์ ักพน้ื บ้านในชุมชนปงปา่ เปา้ ชุมชนปงป่าเป้ามีพืชผักพื้นบ้านที่หลากหลาย ผักท่ีคนในหมู่บ้านนามาบริโภคมีท้ังหมด 84 ชนิด โดย 5 อันดับแรกที่มีมากในชุมชนคือ ผักหละ ผักกาดจ้อน ผักแก้วนาง ผักปูนกและผักหนอง ตามลาดับ จาแนกตาม ลักษณะของลาต้น แบ่งเป็น 4 ประเภท คือไม้ยืนต้น 14 ชนิด ไม้ล้มลุก 44 ชนิด ไม้พุ่ม 8 ชนิดและไม้เลื้อย 18 ชนดิ นา่ สงั เกตว่าพืชผกั ประเภทท่พี บมากชนดิ ท่สี ดุ คือไมล้ ้มลุกมี 44 ชนดิ เพราะปลูกงา่ ยและสามารถขึ้นเองได้ ตามธรรมชาตเิ ชน่ ปนู ก ผกั หนอก ผกั หละ ผักหนอง ผักบงุ้ เมือง เอีย้ งแลว บา่ ก้วยเต้ด เป็นต้น โดยชาวบ้านนิยม ปลูกไวร้ มิ รว้ั และ รอบๆ บา้ น ชาวชมุ ชนปงป่าเป้ามีประสบการณ์และเรยี นรู้วิธีนาผักพ้นื บ้านมาใชป้ ระโยชน์โดย จะนามาเป็นอาหาร ใช้เป็นยาสมุนไพรและขาย โดยการนาผักพื้นบ้านมาใช้เป็นอาหารหลักหรือปรุงเป็นอาหาร เช่น นามาแกง ผัด และใช้เป็นส่วนประกอบ เป็นเครื่องเคียงหรือผักจ้ิม เช่น ผักกับลาบ ผักต้มหรือผักนึ่งกินกับ น้าพริก แกงแค สอดคล้องกับการศึกษาของญาณนันท์ งามศิริ (Ngamsiri Y. ,2015) พบว่า พืชผักพ้ืนบ้านท่ี วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

143 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ชาวบ้านใน อาเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย รู้จักและบริโภคเป็นประจาในครัวเรือน มีจานวน 114 ชนิด โดยส่วน ของพชื ผกั พืน้ บ้านทนี่ ามาใช้ประโยชนม์ ากท่ีสุดคอื ใบและยอด รองลงมาคอื ผลหรือเมล็ด ดอกลาตน้ และรากตามลาดบั สาหรับผักท่ีใช้เป็นยาสมุนไพรในชุมชนปงป่าเป้า เช่น ใบบ่ะค้อนก้อม ป้องกันมะเร็ง ผักหนอกแก้ช้าใน หรอื ร้อนใน ผกั เซียงดาลดความน้าตาลในเลอื ด เป็นต้น ซ่งึ ชาวบา้ นมองว่านอกจากจะมปี ระโยชน์ในเรื่องชว่ ยการ ขับถ่ายแล้ว ผักพื้นบ้านเหล่านี้ยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วย สอดคล้องกับการศึกษาของ แสงจันทร์ คาตาเทพ (2550) ทไ่ี ด้ กล่าวถงึ ประโยชน์ของผักพ้ืนบ้านว่ามีคุณคา่ ทางโภชนาการสูง มีวิตามิน แรธ่ าตุตา่ ง ๆ ท่ชี ่วยในการ เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ใยอาหารในผักจะช่วยให้ระบบ ขับถ่ายเป็นปกติ ชว่ ยลดโคเลสเตอรอลในรา่ งกาย ทาใหส้ ุขภาพดีไม่มีไขมันสะสม จากการสารวจผกั พ้นื บา้ นกบั คนในชมุ ชนพบประเด็นทนี่ า่ สนใจ ดงั น้ี 1) ผักพื้นบ้านในชุมชนยังมีความสาคัญต่อวิถีชีวิตในชุมชน คือ ชาวบ้านเห็นว่าผักพื้นบ้านเป็นอาหารที่ ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ ปลูกง่ายไมต่ ้องบารุงหรือใสป่ ุ๋ยเคมี ประหยดั เพราะมีอยแู่ ลว้ ในทอ้ งถนิ่ 2) ความหลากหลายของผกั พ้นื บ้านในชุมชนปงปา่ เป้า จากการสารวจในชุมชน พบผักพ้ืนบ้าน มีจานวน ถึง 84 ชนดิ นอกจากจะพบในบริเวณบ้านแล้ว บางชนดิ ยังพบในน้า ปา่ รก รวมท้ังในนาข้าวด้วย 3) จากการพูดคุยในวงเสวนาพบว่าในชุมชนมีการใช้ประโยชน์จากผักพื้นบ้านชุมชนลดลง จนเกิดการ ละเลยไม่เห็นคุณค่า ทาให้ผักพ้ืนบ้านในชุมชนบางชนิดหายสาบสูญไปและลดลงจึงมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง สาเหตจุ ากมที รัพยากรแต่องคค์ วามรกู้ ารใชป้ ระโยชน์ไม่ถูกถ่ายทอดส่งต่อจงึ ไมเ่ กิดการใชป้ ระโยชน์ คนรุ่นใหมจ่ ึง รู้จักน้อยนามาเป็นอาหารไม่เป็น เหลือเพียงคนรุ่นเก่าๆ เท่านั้น และกระแสการบริโภคตะวันตกเข้ามาในชุมชน มากขึ้น การรับประทานผักส่วนใหญ่จงึ เปน็ ผกั ตามท้องตลาดซงึ่ มีไม่ก่ีชนิด การใชส้ ารเคมีกาจดั พืชชนิดอนื่ ในนา ข้าวและแปลงการเกษตร ทาให้ดินกระด้างขาดความอุดมสมบูรณ์ส่งผลกระทบทาให้ปริมาณผักพื้นบ้านถูก ทาลายและลดลง 2. รปู แบบท่ีเหมาะสมในการส่งเสรมิ การมีสว่ นร่วมอนุรกั ษผ์ กั พนื้ บ้านของคนในชมุ ชนปงปา่ เปา้ จากผลการศึกษา พบว่า กระบวนการทางความคิดของคนในชุมชนในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้าน เป็นกระบวนการนาไปสู่การขับเคล่ือนการพัฒนาแบบมสี ่วนร่วมของชุมชน ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ ของประชาชนโดยตรง อันจะนาสู่การพัฒนาสุขภาวะและทาให้เกิดการส่วนร่วมในการอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้าน ซึ่ง รูปแบบที่เหมาะสมของการสร้างกระบวนการทางความคิดเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ผักพื้นบ้านเพื่อสุข ภาวะของคนในชุมชนปงปา่ เป้า มีกระบวนการ 5 ขน้ั ตอน คือ ข้ันที่ 1 ทาเจตจานงใหแ้ จม่ กระจา่ ง เพื่อสร้างความเข้าใจวัตถปุ ระสงค์ และเป้าหมายของการ ดาเนินงาน ขน้ั ท่ี 2 สนทนาและใครค่ รวญถึงอนาคตของสังคมไทย/สังคมท่ีอาศัยอยู่ วถิ ใี หมแ่ หง่ ความเขา้ ใจและการ เปล่ียนผ่าน วัตถุประสงค์เพ่ือทาความเข้าใจการเปล่ียนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นและเพื่อสร้างความตระหนักถึง ของดีท่ีมีอยู่ในท้องถ่ิน ผักพื้นบ้านที่มีผลต่อสุขภาพ วิเคราะห์จุดดี/โอกาสที่มี และหาแนวทางลดจุดด้อย/ปัญหา ท่ีมองเห็น วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook