144 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ขน้ั ท่ี 3 สร้าง “Sensing” และ “Visioning” ขนั้ น้ีมีการนาเสนอขอ้ มลู ผกั พ้ืนบา้ นที่ได้สารวจ เพอ่ื การสร้าง “Sensing” คือให้ผู้รว่ มเวทีเหน็ ข้อมูลและอา่ นข้อมลู เปน็ เห็นข้อมูลแล้วตอ้ งมสี ภาวะ จติ อนั ลุ่มลึก แล้ว ตอ้ งสรา้ ง “Visioning” คือ ภาพอนาคตท่ปี รารถนา นาไปสูก่ ารพดู คุยวางแผนว่าจะทาอย่างไร กนั ต่อ ขน้ั ที่ 4 เวทวี ิชาการเสรมิ สรา้ งความรูเ้ รือ่ งผักพน้ื บ้าน ข้ันที่ 5 เวทเี สวนาเพอื่ สรา้ งชมุ ชนท่มี ีเจตจานงรว่ มในการฟน้ื ฟู สืบทอด และส่งตอ่ เรอ่ื งน้ี ผลจากการดาเนนิ กระบวนการแต่ละข้ันตอนตามรูปแบบท่ีสร้างขึ้นเป็นการกระตุกความคิดทาใหช้ ุมชน เกิดความตระหนักรู้ และยังสะท้อนว่า กระบวนการมีส่วนร่วมในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ผ่านการพูดคุยในเวที เสวนานั้นมีความสาคัญต่อการอนุรักษ์ผักพ้ืนบ้านมาก เพราะการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนทาให้ทุกฝ่ายที่ เก่ียวข้องเกิดกระบวนการคิด การทางานอย่างเป็นระบบ มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและความ ต้องการของชุมชน เกิดการยอมรับสภาพปัญหาในชุมชน ทาให้เกิดความร่วมมือระหว่างชาวบ้านและผู้นาชุมชน ให้ลุกขึ้นมาร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ของตนเอง จึงพบว่าให้มีผ้สู นใจสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มปลกู ผักอินทรีย์มากข้ึน เกิดแนวคิดในการจัดหาพื้นท่ีสาหรับรวมกลุ่มปลูกผักปลอดสารอินทรีย์นอกเหนือจากการ ปลูกแตล่ ะหลงั และวางแผนจะพัฒนาให้เป็นจุด check in เพิ่มเติมในแหล่งท่องเที่ยวสะพานขัวแตะหนา้ วัดพระ ธาตุสนั ดอน และเหน็ วา่ ควรมีการปลูกฝังเร่ืองของผักพน้ื บา้ นตั้งแต่ในวัยเด็กโดยให้ผู้ปกครองดึงเข้ามามีส่วนร่วม ในกิจกรรม ซ่ึงสอดคล้องกับ การศึกษาของภูมินิเวศ สุพรรณภูมิ เร่ืองการฟ้ืนฟูและอนุรักษ์ผักพื้นบ้านภาคกลาง (Supannaphum P. ,2004) และจุไรรัตน์ ปิยะวัชร์ เร่ือง กระบวนการฟ้ืนฟูการบริโภคผักพ้ืนบ้านเพื่อสุขภาวะ ชุมชน (Piyawat J. ,2009) ที่พบว่ากระบวนการมีสว่ นร่วมนั้นมีความสาคัญต่อการฟ้ืนฟูและอนุรกั ษ์ผกั พืน้ บา้ น แต่จากการติดตามหลังดาเนินการไปแล้ว 1 ปีร่วมกับแกนนาชุมชน พบว่า มีการรณรงค์เรื่องของผักพื้นบ้าน รว่ มกันในช่วงแรก แต่เม่อื เวลาผา่ นไปกระบวนการคงอยู่ของการอนุรักษ์ผักพืน้ บ้านเริ่มลดลง เน่ืองจากขาดความ ต่อเนื่องในการหนุนเสริม และปัญหาภัยแล้งทาให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง และข้อมูลจากชาวบ้านท่ีเคยเข้า ร่วมเวทีเสวนา พบว่า การที่จะสร้างความเข้าใจให้กับคนในชุมชนทาได้ค่อนข้างยาก เพราะชาวบ้านยังให้ ความสาคัญในเรื่องการอนุรกั ษ์ผักพื้นบา้ นน้อย โดยเฉพาะคนรุ่นหน่มุ สาวเนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว การ สานต่อในเรื่องอนุรักษ์ผักพื้นบ้านจึงมีเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีเวลาอยู่บ้านและสมาชิกที่สนใจเท่านั้น ดังนั้นจึง สรุปผลการวิจัยที่ได้ว่า การสร้างกระบวนการทางความคิดของคนในชุมชนเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ผัก พ้ืนบ้านในชุมชนปงป่าเป้า โดยมีการใช้คาถามที่กระตุ้นให้ร่วมคิดเป็นกลุ่มผ่านเวทีเสวนา 4 ขั้นตอน คือ 1. ทา เจตจานงให้แจ่มกระจ่าง เพื่อสร้างความเข้าใจ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายของการดาเนินงาน 2. สนทนาและ ใคร่ครวญถึงอนาคตของสังคมไทย/สังคมที่อาศัยอยู่ (reflection and dialogue on social future) 3. สร้าง “Sensing” และ “Visioning” 4. เวทวี ชิ าการเสริมสรา้ งความรูเ้ ร่ืองผักพ้ืนบ้าน 4. เวทีเสวนาเพอ่ื สร้างชุมชนท่ีมี เจตจานงร่วมในการฟื้นฟู สืบทอด และส่งต่อเร่ืองนี้ (moving forward with community of commitment) มีความสาคัญที่จะนาไปสู่การขับเคล่ือนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ทาให้เกิดความร่วมมือในการ อนุรักษ์ผักพืน้ บ้านของคนในชุมชนและการคิดเปน็ กลุ่มจะชว่ ยใหค้ ดิ จัดการปญั หาไดด้ ีกว่าการคดิ เด่ียว แต่ความรู้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
145 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ที่เกิดจากกระบวนการคิดควรมีการติดตาม กากับการนาไปปฏิบัติ ร่วมกับการหนุนเสริมพลังทางบวก การให้ คณุ คา่ และงบประมาณเพ่ือการบริหารจัดการ รวมถงึ การหาแนวทางส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไปเพื่อใหเ้ กิดการคงอยู่ ของผักพนื้ บ้านในชุมชนอันจะนาสู่การพฒั นาสุขภาวะได้ ขอ้ เสนอแนะในการนาผลวจิ ัยไปใช้ 1.การอนรุ กั ษผ์ ักพ้ืนบ้านในชุมชน 1.1 ควรมีการรบั ช่วงต่อและติดตามหนุนเสรมิ กล่มุ ปลูกผักในชมุ ชนอยา่ งต่อเนื่องจากองค์กรปกครอง ส่วนทอ้ งถิ่นและผู้ที่เกย่ี วข้อง 1.2 ควรนาข้อมลู และเน้ือหาเรือ่ ง ผักพืน้ บ้านของชมุ ชน เข้าสหู่ ลกั สูตรการศึกษาของโรงเรยี นท่ีอยใู่ น ทอ้ งถิ่นเพ่ือเปน็ การถา่ ยทอดความรู้จากรุ่นส่รู ่นุ อันจะเป็นการส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ การอนุรักษผ์ ักพนื้ บา้ นต่อไป 1.3 ควรมวี ธิ ีการหลากหลายเพือ่ สร้างความเขา้ ใจและความตระหนักถึงความสาคญั ของผักพ้ืนบา้ น ใหก้ บั คนในชุมชนในการฟ้ืนฟูและอนรุ ักษผ์ ักพื้นบา้ น 1.4 ควรมีการสนับสนุนให้มีการสร้างแหล่งเรยี นรใู้ นพน้ื ที่เพื่อสง่ เสริมเด็กและเยาวชนใหเ้ ขา้ รว่ มเรยี นรู้ โดยมผี ู้ใหญ่หรอื ผ้สู ูงอายุในชุมชนทสี่ นใจเร่อื งการปลกู ผักและมีจติ อาสาเขา้ มาเปน็ พเ่ี ลี้ยงให้ความรู้และเพ่ือการ ส่งต่อใหก้ ับเยาวชนตอ่ ไป 2.เชิงนโยบาย องค์กรหรอื หนว่ ยงานรัฐทีเ่ กย่ี วข้องควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการลดการใช้สารเคมใี นการเกษตรของ ชุมชนอยา่ งเป็นรูปธรรม และมีแผนการสนับสนุนและพัฒนากลุ่มปลกู ผักอนิ ทรีย์อย่างต่อเน่ือง ตลอดถงึ การ สนับสนนุ ใหม้ แี หล่งเรียนรู้เรอื่ งผกั พ้ืนบา้ นเกิดขึน้ ในชมุ ชน ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ครั้งตอ่ ไป 1) การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับคนในชุมขนอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่สาคัญ โดยหน่วยงานราชการ ต่างๆใชช้ ุมชนเปน็ ฐานการเรยี นรู้ การทางานกับชุมชนเน้นกระบวนการมสี ว่ นรว่ ม และการปฏบิ ตั ิงานควรงดการ สั่งการจากบนลงล่าง เน้นการทางานแนวราบ ประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆในการทางานรว่ มกัน ไม่ควร ทางานแบบแยกส่วน 2) จากการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุเป็นผู้ท่ีมีภูมิปัญญา องค์ความรู้เก่ียวกับผักพ้ืนบ้านมากที่สุด จึงควรมี การรวบรวมองคค์ วามรูข้ องผ้สู ูงอายุเกยี่ วกบั ผกั พน้ื บา้ นไว้ใหอ้ นุชนรุ่นหลังได้ศกึ ษา กติ ติกรรมประกาศ ขอขอบคุณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ท่ีให้การสนับสนุนทุนการวิจัย และขอขอบคุณ องค์การบริหารส่วนตาบลวังเงิน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านแพะใหม่ และประชาชนบ้านปงป่าเปา้ ทกุ คน ทีใ่ ห้ความร่วมมอื ในการศกึ ษาครัง้ น้ี วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
146 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) เอกสารอา้ งอิง Charoensuk S, Phetkong J, Choolert P. (2016). Effects of teaching approach emphasizing systemic thinking and public consciousness in Boromarajonani College of Nursing, Chakriraj. Journal of health science research. 2016;10(2):61-71. (in thai). Civic Net Foundation. (2000). Searching for wisdom and imagination. Bangkok: Civic net foundation. (in thai). Khemmani, T. (2015). Teaching science knowledge for effective learning process. Bangkok: Chulalongkorn University Press. (in thai). Issarapan, P. (2011). Situation of Pesticide Illness in Thailand. Documentation of an academic conference for the surveillance of agricultural chemicals. BIOTHAI. (in thai) Ministry of Public Health. (2018). Pulic Health Statistics A.D.2017. (on line), (Retrieved January 9, 2020). Available at: http://www.pcko.moph.go.th/Health- Statistics/stratistics60.pdf National Health Security Office (NHSO).(2019). Thousands of Thai agricultural get sick by chemicals per year. (on line), (Retrieved January 9, 2020). Available at: https://www.naewna.com/local/431418 Ngamsiri Y. (2015). Spicies and utilization of local vegetable in Khirimat District, Sukhothi province. Degree of master science field in biological science academic. Pibulsongkram Rajabhat University. (in thai). Nithitantiwat,P. and Udomsapaya, W (2017). Food consumption behavior among thai adolescents, Impacts, and Solutions. Journal of phrapokklao nursing college,Vol.28 No.1 January – June 2017. (in thai). Panich V. (2015). Transformative Learning. Bangkok: S. R. Printing massproducts company limited. (in thai). Piyasakulkiat P. (2018). Community participation in the development of the elderly quality of life of thakhae Sub-District Lopburi Province. Romphruek journal, Volume 36 No 3, 2018 (45-65). (in thai). Piyawat J. (2009). Revitalizing of native vegetables consumption towards Healthy Community. Degree of master of science community development. Department of social administration Thammasat University. (in thai). วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
147 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Pongutta S. and Kunpeuk W. (2015). Thailand food and nutrition: where are we now? (on line), (Retrieved April 4, 2020). Available at: http://fhpprogram.org/download/thai- food-and-nutrition-en/ Rola AC, Pingali PL. (1993). Pesticides, rice productivity, and farmers’ health: an economic assessment. International Rice Research Institute: Manila, Philippines. (on line), (Retrieved January 9, 2020). Available at: http://dspace.irri.org:8080/ dspace/bitstream/10269/240/2/9712200374_content.pdf Samutachak P. & Kanjanajittra M. (2014). What drives consumerism in Thai youth? Thammasat Journal, Volume 33 No 1, 2014 (46-69). (in thai). Supannaphum P. (2004). Central local Vegetables Restoration and conservation. Research report. Office of the higher education commission. (in thai). Thai – Pan. (2020). Annual random vegetable inspection results 2020. (on line), (Retrieved November 3, 2020). Available at: https://www.thaipan.org/wp- content/uploads/2020/12/thaipan_press_4-12-2563-last.pdf The office of Agricultural Regulation, Department of Agriculture. (2017). Summary report of the import of pesticides 2017. (on line), (Retrieved January 9, 2020). Available at: https://www.thaipan.org/stat/728 Thirapantu C. (2015). Team Learning & Mental Model): Leaders by heart. (on line), (Retrieved July 2, 2020). Available at: https://www.facebook.com/Leaderbyheart/photos/pcb.3026859197436807/ 3026841984105195/?type=3&theater Thirapantu C. (2015). The Art of Facilitation: Leaders by heart. (on line), (Retrieved July 2, 2020). Available at: https://www.facebook.com/Leaderbyheart/posts/ 3050257291763664?_tn_=K-R วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
148 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567 The Factors Predicting English Language Anxiety and Proficiency among Undergraduate Nursing Students of Boromarajonani College of Nursing Nakhon Lampang, Thailand Niporn Khatta*, Jona Jean Pinas Palaleo**, Narueporn Pongkunakorn* (Received February 28, 2021, Revised: May 19, 2021, Accepted: May 21, 2021) Abstract This descriptive study aims to examine anxiety levels-related English language proficiency and relevant factors affecting both anxiety levels and English abilities of undergraduate nursing students in Boromarajonani College of Nursing Nakhon Lampang, Thailand. Multi-stage cluster sampling was used to recruit 280 participants in this study. The questionnaires, Factors predicting English Language Anxiety and Proficiency among Undergraduate Nursing Students, which included personal information, English anxiety, and factors predicting English were used to conduct data collection. The content analysis using the Index of Item-Objective Congruence (IOC) and alpha Cronbach of .86 were used to examine validation and reliability of the instrument of this study. Descriptive, regression, and discriminant statistical analysis were performed to assess the factors predicting English language anxiety and proficiency of the participants. The mean scores of English language anxiety among nursing students were at a moderate level (M=51.26, SD 10.33). The PBRI scores of nursing students were less than 51 scores at 86.40 percentage. Consequently, academic perception and supportive environment surrounding factors had been found as factors-related levels of anxiety and English skills of nursing students (multiple R = 3.69, F = 22.207, p = .000, df (1,277). These factors possibly predicted variation of English language anxiety at 13.60 percent with R2 = .136, and accurately discriminated groups of students’ English language proficiency at 18.40 percent. Key word: English anxiety; English proficiency; Nursing students * Registered Nurse, Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang ** Instructor, Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang *** Registered Nurse, Senior Professional Level, Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
149 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567 ปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อความวิตกกงั วลและสมรรถนะดา้ นภาษาอังกฤษของนกั ศกึ ษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง, ประเทศไทย นิพร ขัดตา* โจนา จีน ปีนาส ปลี าลโี อ**,นฤพร พงษ์คุณากร*** (วนั รับบทความ : 28 กมุ ภาพันธ์ 2564, วนั แก้ไขบทความ : 19 พฤษภาคม 2564, วันตอบรับบทความ : 21 พฤษภาคม 2564) บทคดั ยอ่ การวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความวิตกกังวล สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษ และ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความวิตกกังวลและสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ประชากรเป็นนักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปีท่ี 1-4 ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง คัดเลอื กกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่มหลายข้ันตอน (multi-stage cluster sampling) ได้ กลุ่มตัวอย่างท้ังส้ิน 280 คน เครื่องมือที่ใช้: แบบสอบถามปัจจัยท่ีส่งผลต่อความวิตกกังวลและสมรรถนะด้าน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) ความวิตกกังวลในการ เรียนภาษาอังกฤษ และ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ ตรวจสอบคุณภาพด้วยความ เท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (content validity) และทดสอบค่าความเชื่อมั่น (reliability) ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาค มีค่าเท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย สถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และสถิติการ วเิ คราะห์จาแนกกลุ่ม ผลการวิจัย พบว่า 1) ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉล่ีย 51.26 (SD 10.33) คะแนน อยู่ระดับปานกลาง 2) นักศึกษาร้อยละ 86.40 มีคะแนนภาษาอังกฤษรวบยอดของ สถาบันพระบรมราชชนกนอ้ ยวา่ 51 คะแนน และ 3) ปัจจัยทานายความวิตกกงั วลและสมรรถนะดา้ นภาษาองั กฤษ ของนักศึกษาพยาบาล พบปัจจัยท่ีส่งผลต่อความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ ได้แก่ ปัจจัยด้านการรับรู้ต่อ ตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ และสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ ด้านส่ิงแวดล้อม (multiple R = 3.69, F = 22.207, p = .000, df (1, 277)) โดยปัจจัยเหล่าน้ีร่วมทานายความวิตกกังวลในการ เรยี นภาษาอังกฤษได้ 13.60 % (R2 = .136) และปัจจยั ท่ีสามารถจาแนกสมรรถนะดา้ นภาษาอังกฤษของนักศึกษา พยาบาล มี 2 ตัวแปร ได้แก่ การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ และสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ใน ด้านภาษาองั กฤษ ด้านสงิ่ แวดล้อม และสมการจาแนกปัจจัยทานายได้ร้อยละ 18.40 คาสาคญั : ความวติ กกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ; สมรรถนะดา้ นภาษาอังกฤษ; นกั ศกึ ษาพยาบาล * พยาบาลวิชาชพี ชานาญการ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง **อาจารย์ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ***พยาบาลวิชาชพี ชานาญการพิเศษ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
150 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567 บทนา ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาไม่เพียงแต่เพ่ือการ ท่องเทีย่ ว แตย่ งั รวมถึงการใชบ้ รกิ ารในสถานพยาบาลอีกดว้ ย เนือ่ งจากประเทศไทยมีการปรบั ปรงุ ระบบการแพทย์ มาหลายทศวรรษ และในปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยได้มีการนานโยบายไทยแลนด์ 4.0 มาใช้ (The government Public Relations Department, 2016) และพรอ้ มกบั นโยบายน้ปี ระเทศไทยยังมุง่ ม่ันที่จะเปน็ ศูนย์กลางการดแู ล สุขภาพของเอเชียหรือศูนย์กลางทางการแพทย์ของเอเชีย (Health Care Asia Daily, 2017) ซึ่งทางกลุ่มอาเซียน ได้กาหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของประเทศสมาชิกท่ีใช้ในการติดต่อส่ือสาร หรือทางานร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการแพทย์ที่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังประเทศสมาชิกได้อย่างเสรี แต่น่าเสียดายที่การเรียน ภาษาอังกฤษในประเทศไทยยังคงล้มเหลว และมีระดับต่ากว่าประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน (Chawaphanth, LeSeure, Jantaramano, & Thana, 2016) กระทรวงศึกษาธิการไดต้ ระหนกั ถงึ ความสาคัญของภาษาอังกฤษในฐานะส่วนหน่ึงของสังคมท่ีกาลังพฒั นา และมีการพัฒนาตัววัดมาตรฐานสากลท่ีใช้วัดความสามารถทางภาษาอังกฤษอย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้สอดคล้องกับ การศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศไทย (Hiranburana et al., 2018) ซ่ึงรวมถึงสถาบันการศึกษาภายใต้สังกัด สถาบันพระบรมราชชนก (Praboromarajchanok Institute: PBRI) ที่ได้เล็งเห็นความสาคัญของพยาบาลว่ามี บทบาทสาคญั ในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ซ่ึงการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองในด้านการรักษาพยาบาลมีความจาเป็น อย่างมากสาหรับการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพ่ือเป็นการตรวจสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษของทั้งครู พยาบาลและศึกษาพยาบาลในสังกัด สถาบันพระบรมราชชนก จึงได้จัดทาข้อสอบภาษาอังกฤษที่ใช้ประเมิน ความสามารถของครูพยาบาลและนักศึกษาพยาบาลในทุกระดับช้ันปี ที่มีการจัดสอบปีละสองคร้ัง แบบทดสอบ ครอบคลมุ 3 ส่วนคอื การฟัง ไวยากรณ์ และการอ่าน แบ่งระดบั คะแนนออกเปน็ 4ระดับ ได้แก่ ระดับเรมิ่ ต้น(0-25คะแนน) ระดับกลางข้ันต้น (26-50 คะแนน) ระดับกลางข้ันสูง (51-75 คะแนน) และระดับสูง (76-100 คะแนน) (Praboromarajchanok Institute, 2016) ผลการสอบภาษาอังกฤษรวบยอดของสถาบันพระบรมราชชนกในปีการศึกษาท่ีผ่านมาของนักศึกษา วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง มผี ลคะแนนยังไม่น่าพึงพอใจ โดยพบว่า นักศึกษาที่ผ่านเกณฑ์คะแนน (51 คะแนนขน้ึ ไป) เพียงร้อยละ 11.71 จากนักศกึ ษาท้งั หมด 4 ชั้นปี ทงั้ น้ีจากการศึกษาวิจัยในปจั จบุ ันพบปจั จยั ท่ี มีผลต่อความสามารถในการเรียนภาษาอังกฤษ ประกอบดว้ ยปัจจัยภายนอกและภายใน ทั้งนี้ปัจจัยที่สาคัญหนึ่งใน น้ัน คือ ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ (English anxiety) (Khattak, Jamshed, Ahmad, & Baig, 2011) นอกจากน้ี Krashen (1987) นักทฤษฎีภาษาศาสตร์ เช่ือว่ามีตัวแปร 3 ตัวที่ส่งผลต่อความสามารถในการ เรียนรู้ภาษา ได้แก่ แรงจูงใจ ความม่ันใจในตนเอง และความวิตกกังวล มีผลการศึกษาท่ีแสดงให้เห็นว่า แรงจูงใจ และความม่ันใจในตนเองของผู้เรียนมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความวิตกกังวลในการเรียนภาษา จึงอาจกล่าวได้ว่า ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาเป็นอปุ สรรคอยา่ งหน่ึงในการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (Yang, 2012) นอกจากน้ี วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
151 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567 ในการศึกษาของ Khattak et al. (2011) ยังพบว่า ประสบการณ์ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของ ผู้เรียนจะลดทอนและมีอิทธิพลต่อการบรรลุเป้าหมายในการเรียนภาษาอังกฤษ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความวิตกกังวล เป็นหน่งึ ในปัจจยั ท่ีสาคญั ท่ีสดุ ที่มผี ลกระทบตอ่ การเรียนรู้ในด้านภาษา ซง่ึ ความวิตกกงั วลในการเรยี นภาษาอังกฤษ ในระดับสูงจะสัมพันธ์กับการเรียนรู้ด้านภาษาที่แย่ลง ขณะเดียวกันในประเทศจีนยังมีการศึกษาในนักเรียนมัธยม ปลาย พบว่า ความวิตกกังวลในการใช้ภาษาส่งผลต่อความสาเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ กล่าวได้ว่าการเรียน ภาษาตา่ งประเทศทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความวติ กกงั วล (Na, 2017) Horwitz et al. (1986) ได้อธิบายความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ ว่าเป็นความซับซ้อนที่มี ลักษณะแตกตา่ งกันของแต่ละบุคคลในดา้ นของการรับรู้ตอ่ ตนเอง ความเช่อื ความรู้สึก และพฤติกรรมที่สมั พนั ธก์ ับ การเรียนภาษาในชน้ั เรยี น ซ่ึงจะเกิดขึ้นเฉพาะจากกระบวนการเรียนภาษาต่างประเทศเท่านั้น ดังเช่นในการศึกษา ของ Maclntyre (1999) กล่าวไว้ว่า ความวิตกกังวลในการเรียนภาษา เป็นความรู้สึกของความเครียด ความกลัว เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ และความวิตกกังวลที่สัมพันธ์กับการเรียนภาษาต่างประเทศหรือภาษาที่สอง ผู้เรียนท่ีมี ประสบการณ์ความวิตกกังวลในการเรียนภาษา จะรู้สึกไม่มีความสุขกับการเรียน และส่งผลด้านลบกับ ประสิทธิภาพและความสาเรจ็ ในการเรียนของผเู้ รียนดว้ ย (Krashen, 1982) ซง่ึ ปจั จัยท่สี ่งผลให้เกดิ ความวติ กกังวล ในการเรยี นภาษาองั กฤษของนักศกึ ษา จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า ปัจจัยท่ีกอ่ ใหเ้ กิดความวติ กกังวลในการ เรียนภาษาอังกฤษ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัจจัยด้านตัวผู้เรียนเป็นหลัก (Muenprasert, 2008 as cited in Udomkiatsakul, 2016) ท่ีมีการรรับรู้ต่อตนเองในด้านลบ คิดว่าตนเองมีความรู้พ้ืนฐานไม่เพียงพอ ไม่มี ส่ิงแวดล้อมท่ีกระตุ้นอยากให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ รู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองเม่ือต้องมีการเรียนหรือ ใช้ภาษาอังกฤษ (Kammungkun, 2020; Makchuay, Sama-a, Auma, Yossiri, & Hayeesani, 2018) ซึ่ง Dewaele, Petrides, & Furnham (2008) ก็ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า การรับรู้ของผู้เรียน คือ สาเหตุท่ีสาคัญท่ีสุดที่ ทาให้เกิดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นยังพบปัจจัยอื่น ๆ เช่น ครอบครัว และปัจจัย เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม กิจกรรมการเรียนการสอน ที่มีผลต่อความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษด้วย (Makchuay et al., 2018; Muenprasert, 2008 as cited in Udomkiatsakul, 2016) นอกจากนี้ในการศึกษา ของ Arnaiz-Castro and Díaz (2016) ยังพบว่า การรบั รู้ความสามารถในตนเองด้านภาษาอังกฤษมีความสมั พันธ์ เชิงลบกับความวิตกกังวลในการใช้ภาษาอังกฤษ น่ันหมายถึง เมื่อนักศึกษามีการรับรู้ต่อตนเองเกี่ยวกับ ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในระดับสูง จะทาให้มีการรับรู้ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษใน ระดับท่ีต่าลง นาไปสู่การมีผลลัพธ์ทางภาษาอังกฤษที่สูงข้ึนตามมา ดังน้ันผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาว่าการ รับรู้ต่อตนเองมีผลต่อความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษและสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษา พยาบาลหรือไม่ และจากการศึกษาทผี่ ่านมา พบว่า ปัจจยั แวดล้อมท่ีเปน็ สิง่ สนบั สนุนการเรียนรู้ ไม่เพียงแต่มผี ลต่อ ระดับความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาอีกด้วย ท้ังน้ี การเรียนภาษาอังกฤษภายใต้สิ่งแวดล้อมท่ีเพียงพอท่ีช่วยส่งเสริมความม่ันใจให้กับ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
152 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567 นักศึกษา และสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ที่หลากหลาย จะทาให้นักศึกษาเชื่อม่ันในความรู้ ความสามารถของ ตนเอง รับรู้ความสามารถของตนเองในระดับทสี่ ูงข้ึน ดังน้ันส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้จึงถือเป็นส่ิงจาเป็นที่เอ้ือต่อการ เรียนรู้และเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการเรยี นรขู้ องนกั ศึกษาเพิ่มมากขนึ้ (Espinoza-Herold, 2003) ผวู้ ิจัยจึงสนใจศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อความวิตกกังวลในการเรยี นภาษาอังกฤษและสมรรถนะของนักศึกษา ของพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง เพ่ือศึกษาว่าปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อระดับความวิตกกังวล และสมรรถนะทเี่ ป็นความสามารถด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษามากนอ้ ยเพยี งใด เพ่ือเป็นแนวทางให้กบั ผูบ้ ริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องในการหาแนวทางและส่งเสริมการเรียนรู้ด้านภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาพยาบาล ตลอดจนเป็น แนวทางในด้านการจัดการเรยี นการสอนท่ีช่วยลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ และเพ่ิมสมรรถนะด้าน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลให้ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถทัดเทียมกับสถาบันการศึกษาใน ระดบั อดุ มศกึ ษาอ่นื ๆ และเพอื่ รองรบั กบั การเปน็ ศนู ยก์ ลางทางการแพทย์ของเอเชียในอนาคต วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั 1. เพือ่ ศึกษาความวติ กกงั วลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 2. เพ่ือศึกษาสมรรถะดา้ นภาษาองั กฤษของนกั ศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 3. เพอ่ื ศึกษาปจั จัยทส่ี ง่ ผลตอ่ ความวิตกกงั วลและสมรรถะด้านภาษาองั กฤษของนักศกึ ษาพยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ขอบเขตการวจิ ัย การศึกษาครั้งน้ีมีขอบเขตการวิจัย 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านเน้ือหา มุ่งศึกษาความวิตกกังวลและ สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษ 2) ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลหลักสูตรพยาบาลศาสตร บัณฑติ ชน้ั ปีท่ี 1-4 ประจาปีการศึกษา 2562 จานวนท้ังหมด 680 คน โดยกลุ่มตัวอยา่ งในการศึกษาคร้ังนี้ จานวน ทั้งส้ิน 280 คน 3) ด้านพ้ืนที่ คือ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 4) ด้านระยะเวลา คือ ต้ังแต่เดือน ธนั วาคม พ.ศ.2562 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 กรอบแนวคิดการวิจัย ผวู้ ิจัยพัฒนากรอบแนวคิดการวิจยั คร้ังน้ีจากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง พบวา่ การรับรู้ต่อตนเอง เป็นปัจจัยท่ีมีผลต่อระดับความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ และส่งผลต่อสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของ ผู้เรียนด้วย นอกจากน้ียังพบว่า ปัจจัยในด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียน จะมีผลต่อ ระดบั ความวติ กกงั วลในการเรียนภาษาอังกฤษ และสง่ ผลต่อสมรรถนะดา้ นภาษาองั กฤษของผู้เรียน ดังภาพ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
153 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567 การรับร้ตู ่อตนเอง ความวติ กกงั วลในการ เรียนภาษาองั กฤษ สิง่ สนับสนนุ การเรียนรู้ใน สมรรถนะด้าน ดา้ นภาษาอังกฤษ ภาษาองั กฤษ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย นิยามศัพทเ์ ฉพาะ การรับรู้ต่อตนเอง หมายถึง การรับรู้ของผู้เรียนที่มีต่อตนเองในด้านความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ วัดจากแบบวัดปัจจัยที่มีผลต่อความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ (การรับรู้ต่อตนแอง) ในแบบสอบถาม ปัจจยั ทสี่ ่งผลต่อความวิตกกังวลและสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศกึ ษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง, ประเทศไทย แบ่งได้เปน็ การรับรู้ต่อตนเองในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ หมายถึง การรับรู้ต่อตนเองในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ โดยท่วั ไปทีใ่ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั การเรยี น และการทางาน การรับรู้ต่อตนเองในด้านการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ หมายถึง การรับรู้ต่อตนเองเกี่ยวกับ ความสามารถด้านการใช้ภาษาอังกฤษในแต่ละทักษะตามไวยกรณ์ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน รวมไปถงึ การเรยี นการสอนในห้องเรียน สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ หมายถึง การรับรู้ของผู้เรียนในด้านการได้รับส่ิงสนับสนุน การเรยี นร้ใู นด้านภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยด้านส่ิงแวดล้อม และด้านบุคคล วดั จากแบบวัดปัจจัยที่มีผลต่อความ วิตกกังวลในการเรยี นภาษาอังกฤษ (สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ) ในแบบสอบถามปจั จัยท่สี ่งผลต่อ ความวติ กกังวลและสมรรถนะดา้ นภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง, ประเทศไทย แบง่ ออกเป็น ส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ ด้านสิ่งแวดล้อม หมายถึง การรับรู้ของผู้เรียนต่อส่ิง สนับสนุนท่ีแวดล้อมผู้เรียน ได้แก่ สื่อการเรียนรู้ ป้าย บอร์ดประชาสัมพันธ์ หรือกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ ด้านบุคคล หมายถึง การรับรู้ของผู้เรียนต่อส่ิงสนับสนุน การเรียนรู้ในดา้ นบุคคล ทงั้ อาจารยแ์ ละเพ่ือนในชน้ั เรยี น ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ หมายถึง การรับรู้ความวิตกกังวลที่เกิดจากการใช้ ภาษาอังกฤษของผู้เรยี น วัดจากแบบวดั ความวิตกกงั วลในการเรียนภาษาอังกฤษ ในแบบสอบถามปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ความวิตกกังวลและสมรรถนะด้านภาษาองั กฤษของนักศกึ ษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง, ประเทศไทย วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
154 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567 สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษ หมายถึง ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียน ประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของผู้เรียนในด้านภาษาอังกฤษ วัดจากผลการสอบภาษาอังกฤษรวบยอด ของสถาบัน พระบรมราชชนก (PBRI) ปีการศกึ ษา 2562 ระเบยี บวิธีการวจิ ยั ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากรทีใ่ ช้ในการวจิ ัยครงั้ นี้ เปน็ นกั ศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑิต ชัน้ ปีที่ 1-4 ปี การศึกษา 2562 จานวนทง้ั หมด 680 คน ของวทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครัง้ นี้ ใช้วธิ ีการคัดเลือกจากตารางคานวณกลุ่มตัวอย่างของเครซี่ และมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970) คัดเลอื กจากจานวนประชากรทง้ั หมดจานวน 680 คน จากตารางขนาด ของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 248 คน เพ่ือป้องกันความคลาดเคลื่อนและข้อผิดพลาดจากการเก็บข้อมูล ผู้วิจัยได้เพ่ิม ขนาดของกลุม่ ตัวอย่างอกี 10% ดังนั้นไดก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งในการศกึ ษาคร้ังน้ี จานวนทัง้ สน้ิ 280 คน ผู้วิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่มหลายขั้นตอน (multi-stage cluster sampling) ตามลาดับขั้น ดังน้ี 1) แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 4 กลุ่มตามระดับชั้นปี (ชั้นปี 1-4) 2) แบ่งแต่ละกลุ่มช้ันปี ออกเป็น 2 กลุ่มย่อย (กลุ่ม A และ B) โดยการสุ่ม (cluster random sampling) จากกลุ่มย่อยท้ังหมด 8 กลุ่ม ย่อย และ 3) ส่มุ กลุม่ ตัวอย่างอยา่ งง่าย (simple random sampling) จากแต่ละกลุ่มยอ่ ยโดยวิธีการจับฉลากท่ีใช้ ชอื่ และเลขทข่ี องกล่มุ ตัวอย่าง ได้จานวน 35 คนในแตล่ ะกลมุ่ ยอ่ ย รวมทั้งหมดเท่ากบั 280 คน นอกจากนกี้ ารคดั เลือกกลมุ่ ตวั อย่างทศ่ี ึกษาครง้ั นมี้ ีเกณฑใ์ นการคดั เลอื กเขา้ ของกลุ่มตวั อย่าง (Inclusion criteria) ดังนี้ 1. เป็นนักศึกษาพยาบาลที่กาลังศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ ในระดับชั้นปีท่ี 1-4 ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง ปีการศึกษา 2562 2. อายตุ งั้ แต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึน้ ไป 3. ไม่เคยมีประวตั กิ ารศึกษาในโรงเรียนนานาชาติหรอื เป็นนักเรยี น/นกั ศึกษาแลกเปลย่ี นในตา่ งประเทศ 4. สามารถสื่อสารภาษาไทยและยินยอมในการเข้าร่วมการศกึ ษาครั้งนี้ เคร่ืองมือวจิ ยั 1. แบบสอบถามปัจจัยท่ีส่งผลต่อความวิตกกังวลและสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง, ประเทศไทย ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเองจากการทบทวนวรรณกรรมท่ี เกย่ี วขอ้ ง ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนท่ี 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ กาลังศึกษาในระดับช้ัน และคะแนนภาษาอังกฤษจาก การสอบภาษาอังกฤษของสถาบันพระบรมราชชนนก ปีการศึกษา 2562 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
155 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567 ส่วนท่ี 2 ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ มีจานวน 15 ข้อ ลักษณะการวัดเป็นมาตราส่วน ประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ ตั้งแต่ 1 หมายถึง ไม่เห็นด้วยมากที่สุด จนถึง 5 หมายถึง เห็นด้วยมากที่สุด มีคะแนนรวมตั้งแต่ 15-45 คะแนน โดยแบ่งช่วงคะแนนเป็น 15-35 คะแนน หมายถึง มีความวิตกกังวลในระดับ เล็กน้อย 36-55 คะแนน หมายถึง มคี วามวติ กกังวลในระดับปานกลาง และ 56-75 คะแนน หมายถึง มีความวิตก กังวลในระดบั สงู สว่ นท่ี 3 ปจั จยั ท่มี ผี ลต่อความวิตกกงั วลในการเรียนภาษาองั กฤษ มจี านวน 25 ข้อ ประกอบดว้ ย การรับรู้ต่อตนเอง 15 ข้อ แยกเป็น 1) การรับรู้ต่อตนเองในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ จานวน 5 ข้อ ลักษณะการวัดเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ ตั้งแต่ 1 หมายถึง ไม่เห็นด้วยมากท่ีสุด จนถึง 5 หมายถึง เห็นดว้ ยมากทีส่ ุด มคี ะแนนรวมท้งั หมด 5-25 คะแนน โดยแบง่ ชว่ งคะแนนเปน็ 5-11 คะแนน หมายถึง การรับรู้ต่อตนเองในระดับต่า 12-18 คะแนนหมายถึง การรับรู้ต่อตนเองในระดับปานกลาง และ 19-25 คะแนน หมายถึง การรับรู้ต่อตนเองในระดับสูง 2) การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ จานวน 10 ข้อ ลักษณะการวัดเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ ต้ังแต่ 1 หมายถึง ไม่เห็นด้วยมากท่ีสุด จนถึง 5 หมายถึง เห็นด้วยมากที่สุด มีคะแนนรวมท้ังหมด 10-50 คะแนน โดยแบ่งช่วงคะแนนเป็น 10-23 คะแนน หมายถึง การรับรู้ตอ่ ตนเองในระดับต่า 24-37 คะแนน หมายถึง การรับรู้ต่อตนเองในระดบั ปานกลาง และ 38-50 คะแนน หมายถึง การรบั รู้ต่อตนเองในระดบั สงู ส่งิ สนับสนุนการเรียนร้ใู นดา้ นภาษาองั กฤษ จานวน 10 ข้อ แยกเป็น 1) ดา้ นสิ่งแวดล้อม จานวน 5 ข้อ 2) ดา้ นบุคคล จานวน 5 ข้อ ลักษณะการวัดเป็นมาตราสว่ นประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ ต้งั แต่ 1 หมายถึง ไม่ เห็นด้วยมากท่ีสุด จนถึง 5 หมายถึง เห็นด้วยมากท่ีสุด มีคะแนนรวมท้ังหมด 5-25 คะแนน โดยแบ่งช่วงคะแนน เป็น 5-11 คะแนน หมายถึง การรับรู้ส่ิงสนับสนุน ในระดับต่า 12-18 คะแนน หมายถึง การรับรู้สิ่งสนับสนุน ใน ระดับปานกลาง และ 19-25 คะแนน หมายถึง การรบั รู้ส่ิงสนับสนนุ ในระดับสงู คณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ผู้วิจัยได้ทาการทดสอบความเท่ียงตรง (validity) และทดสอบหาค่าความเชื่อม่ัน (reliability) ของ แบบสอบถาม เพอ่ื นามาปรบั ปรงุ แบบสอบถามใหม้ คี วามชัดเจนและเหมาะสม ดังน้ี การทดสอบค่าความเท่ียงตรงเชิงเน้อื หา (validity) ผวู้ ิจัยได้ทาการตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมือการวจิ ัย ด้วยการนาแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยได้พัฒนาข้ึนไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพด้วยความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) จานวน 3 ท่าน เพ่ือหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับคุณลักษณะตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ต้องการวัด ผลการวิเคราะห์ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาของแบบสอบถามท้ังฉบับ มีค่า ความสอดคล้องระหวา่ ง 0.90 - 1.00 ซง่ึ เปน็ ไปตามเกณฑ์ (Kanjanawasee, 2002) การทดสอบหาค่าความเช่ือมั่น (reliability) ผู้วิจัยนาแบบสอบถามที่ได้ดาเนินการปรับปรุงแก้ไขตาม คาแนะนาของผู้เช่ียวชาญไปทดลองใช้กับนักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิตช้ันปีที่ 1-4 ของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี แพร่ พบว่า ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ การรับรู้ต่อตนเอง และสิ่ง วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
156 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567 สนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ มคี ่าสมั ประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากบั .86, .90 และ .93 ตามลาดับ การพิทกั ษ์สทิ ธิของกลุ่มตัวอยา่ งและจริยธรรมวิจัย การศึกษาคร้ังนี้ได้รับการพิจารณารับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย เกี่ยวกับมนุษย์ ของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง เอกสารรับรองเลขที่ E 2562-052 ซ่ึงการดาเนินการวิจัยในคร้ังน้ี เป็นไปโดยความสมัครใจ หากไม่สะดวกเข้าร่วม สามารถถอนตัวได้ตลอดเวลา และการขอถอนตัวไม่มีผลต่อการ เรียนการสอน หรือผลประโยชนใ์ ดใดท่จี ะไดร้ ับจากทางวทิ ยาลยั ฯ และจะนาเสนอข้อมลู ในภาพรวมเทา่ น้ัน การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. ใช้สถิติบรรยาย (descriptive statistic) ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู ทั่วไปของกลุ่มตัวอยา่ ง 2. ใช้สถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (multiple linear regression) ในการวิเคราะห์ตัวแปรการรับรู้ต่อ ตนเองและสิ่งสนบั สนุนการเรยี นรใู้ นดา้ นภาษาอังกฤษ ตอ่ ความวติ กกงั วลในการเรยี นภาษาอังกฤษ 3. ใช้สถิติการวิเคราะห์จาแนกกลุ่ม (discriminant analysis) ในการวิเคราะห์ตัวแปรการรับรู้ต่อตนเอง และส่งิ สนับสนนุ การเรียนรู้ในด้านภาษาองั กฤษ ต่อสมรรถนะด้านภาษาองั กฤษของนักศึกษาพยาบาล เนื่องจากตัว แปรดังกล่าวทดสอบไมผ่ า่ นข้อตกลงของการใชส้ ถติ ิวเิ คราะหถ์ ดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา 1. ขอ้ มูลทว่ั ไปของกลุ่มตัวอย่าง ตารางท่ี 1 ตารางแสดงข้อมลู ทัว่ ไปของกลุ่มตวั อยา่ ง (n = 280) ขอ้ มูล จานวน ร้อยละ เพศ ชาย 23 8.20 หญงิ 257 91.80 อายุ (พสิ ยั 18-37 ปี, อายเุ ฉลี่ย 20.82, SD 2.30) 18-22 ปี 257 91.79 23-27 ปี 17 6.07 28-32 ปี 3 1.07 33-37 ปี 3 1.07 กาลงั ศกึ ษาในระดบั ชั้น ชั้นปีที่ 1 70 25.00 ชั้นปีท่ี 2 70 25.00 ชน้ั ปีที่ 3 70 25.00 ช้ันปีท่ี 4 70 25.00 ผลการสอบภาษาองั กฤษรวบยอด ของสถาบนั พระบรมราชชนก ปีการศึกษา 2562 (PBRI english test score) (พิสยั 16-80 คะแนน, คะแนนเฉลี่ย 38.22, SD 11.36) < 51 คะแนน 242 86.40 ≥ 51 คะแนน 38 13.60 จากตารางที่ 1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างจานวนทั้งหมด 280 คน เป็นเพศหญิง จานวน 257 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 91.80 เป็นเพศชายจานวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 8.20 อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 20.82 ปี (SD = 2.30) ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
157 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567 ในช่วง 18-22 ปี จานวน 257 คน รองลงมามีอายุอยู่ในช่วง 23-27 ปี จานวน 17 คน (ร้อยละ 91.79 และ 6.07 ตามลาดับ) และนักศึกษาส่วนใหญ่ จานวน 242 คน (ร้อยละ 86.40) มีผลการสอบภาษาอังกฤษรวบยอดของ สถาบันพระบรมราชชนก ปกี ารศึกษา 2562 นอ้ ยว่า 51 คะแนน ตารางที่ 2 ตารางแสดงระดับความวติ กกังวลในการเรยี นภาษาอังกฤษ การรับรู้ตอ่ ตนเอง และส่งิ สนับสนนุ การ เรียนรู้ในดา้ นภาษาอังกฤษของกล่มุ ตวั อย่าง (n = 280) ขอ้ มูล จานวน ร้อยละ ระดบั ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาองั กฤษ (พสิ ยั 22-75, ค่าเฉล่ีย 51.26 (SD 10.33) คะแนน) ปานกลาง ระดับเลก็ น้อย (15-35 คะแนน) 20 7.10 ปานกลาง ระดับปานกลาง (36-55 คะแนน) 154 55.00 ระดับสงู (56-75 คะแนน) 106 37.90 สงู การรบั ร้ตู อ่ ตนเอง (พสิ ัย 33-75, คา่ เฉลีย่ 52.97, (SD 6.50) คะแนน) ปานกลาง การรับรตู้ ่อตนเองในดา้ นการใช้ภาษาอังกฤษ ปานกลาง (พสิ ยั 12-25, คา่ เฉล่ีย 22.38, (SD 2.78) คะแนน) ปานกลาง ระดับตา่ 00 ระดบั ปานกลาง 21 7.50 สงู ระดับสูง 259 92.50 การรับร้ตู อ่ ตนเองในการใช้ภาษาองั กฤษเชิงวิชาการ (พสิ ัย 10-50, ค่าเฉล่ยี 30.59, (SD 5.67) คะแนน ระดับตา่ 34 12.10 ระดับปานกลาง 216 77.20 ระดับสูง 30 10.70 สง่ิ สนบั สนุนการเรยี นรู้ในดา้ นภาษาองั กฤษ (พิสยั 15-50, ค่าเฉล่ีย 37.37 (SD 5.78) คะแนน) สิง่ สนับสนนุ การเรียนรู้ในดา้ นภาษาองั กฤษ ดา้ นส่ิงแวดล้อม (พสิ ยั 5-25, คา่ เฉลยี่ 17.90 (SD 3.54) คะแนน) ระดบั ตา่ 14 5.00 ระดบั ปานกลาง 141 50.40 ระดบั สงู 125 44.60 สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาองั กฤษ ดา้ นบคุ คล (พิสยั 10-25, ค่าเฉลยี่ 19.47 (SD 3.08) คะแนน) ระดบั ต่า 4 1.40 ระดบั ปานกลาง 88 31.50 ระดบั สูง 188 67.10 จากตารางท่ี 2 พบว่า ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลมีคะแนนอยู่ในช่วง 22-75 คะแนน ค่าเฉล่ีย 51.26 (SD 10.33) คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่รับรู้ความวิตกกังวลในการ เรียนภาษาอังกฤษในระดับปานกลาง (36-55 คะแนน) จานวน 154 คิดเป็นร้อยละ 55.00 รองลงมาอยู่ในระดับ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
158 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567 รุนแรง (56-75 คะแนน) จานวน 106 คน คิดเป็นร้อยละ 37.90 การรับรตู้ ่อตนเอง มีคะแนนการรับรู้อยู่ในช่วง33-75 คะแนน ค่าเฉล่ียเท่ากับ 52.97 (SD 6.50) คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง ประกอบด้วย การรับรู้ต่อตนเองในด้าน การใช้ภาษาองั กฤษ มชี ่วงคะแนน 12-25 คะแนน ค่าเฉลย่ี เท่ากับ 22.38 (SD 2.78) คะแนน มีการรับรู้ในระดับสูง สว่ นใหญ่นักศึกษาพยาบาลจานวน 259 คน มีการรับรู้ต่อตนเองในด้านการใช้ภาษาอังกฤษ อยู่ในระดบั สูง คิดเป็น ร้อยละ 92.50 การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 30.59 (SD 5.67) คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง นักศึกษาจานวน 216 คน รับรู้อยใู่ นระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 77.20 และตัวแปร ส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ มีคะแนนอยู่ในช่วง 15-50 คะแนน ค่าเฉล่ียเท่ากับ 37.37 (SD 5.78) คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนการเรยี นรู้ในดา้ นภาษาอังกฤษ ด้านสิ่งแวดล้อม คะแนน เฉล่ียเท่ากับ 17.90 (SD 3.54) คะแนน อยใู่ นระดับปานกลาง นักศึกษามากกว่าครึง่ หนึ่ง จานวน 141 คน (ร้อยละ 50.40) รับรู้สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ ด้านส่ิงแวดล้อม อยู่ในระดับปานกลาง ด้านบุคคล มีการ รบั รู้ในระดับสูง คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 19.47 (SD 3.08) คะแนน ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.10 มีการรับรสู้ ่ิงสนับสนุนการ เรยี นรู้ในด้านภาษาองั กฤษ ด้านบุคคล อยใู่ นระดบั สงู จานวน 188 คน 2. ปัจจัยทานายความวิตกกังวลและสมรรถนะด้านภาษาองั กฤษของนกั ศึกษาพยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 2.1 ปัจจัยทานายความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นคร ลาปาง ปจั จัยท่สี ่งผลต่อความวิตกกังวลในการเรยี นภาษาอังกฤษ จากการวิเคราะห์สถติ ิถดถอยพหุคูณ พบ 2 ตัว แปรที่สามารถทานายความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ได้แก่ การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ และส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษ ด้าน ส่ิงแวดล้อม (Multiple R = 3.69, F = 22.207, p = .000, df (1, 277)) โดยปัจจัยเหล่าน้ีสามารถร่วมทานาย ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษได้ 13.60% (R2 = .136) และเม่ือพิจารณาค่าสัมประสิทธ์ิการถดถอย (Beta) พบว่า การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ มีอานาจในการทานายมากท่ีสุด อย่างมี นยั สาคัญทางสถิติ (Beta = -.287, t = -5.105, p = .000) ดังแสดงในตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 ปจั จยั ทานายความวิตกกงั วลในการเรียนภาษาองั กฤษของนกั ศกึ ษาพยาบาล โดยใช้สถิติการ วเิ คราะหถ์ ดถอยพหคุ ณู (Multiple linear regression) (n = 280) ความวิตกกังวลในการเรียน B Std. Error Beta t P-value ภาษาองั กฤษ ค่าคงที่ 53.405 4.102 13.019 .000 การรับรู้ต่อตนเองในการใชภ้ าษาอังกฤษ -.522 .102 -.287 -5.105 .000 เชิงวชิ าการ (AP) สิ่งสนบั สนนุ การเรยี นรใู้ นด้าน .773 .164 .265 4.712 .000 ภาษาอังกฤษดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม (SES) Multiple R = 3.69, R2 = .136, Adj. R2 = .130, S.E. = 9.639, F = 22.207, p = .000, df (1, 277) English anxiety= 53.405 - .522 (AP) + .773 (SES) 2.2 ปัจจัยทานายสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
159 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567 ปัจจัยที่สามารถจาแนกสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล จากตัวแปรอสิ ระท้ังหมด 4 ตัว โดยใช้วิธีวิเคราะห์จาแนกประเภท (discriminant analysis) แบบขั้นตอน (stepwise method) โดยวิธีของวิลค์ แลมดา (Wilk’s Lamda) พบว่า มีตัวแปร 2 ตัวที่มีความสามารถในการจาแนกสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของ นักศึกษาพยาบาล ได้แก่ การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ และส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ในด้าน ภาษาอังกฤษ ดา้ นสิ่งแวดล้อม อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ตวั แปรท่ีสามารถจาแนกสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศกึ ษาพยาบาล ตัวแปร คา่ Wilks' Lambda Sig. การรบั รตู้ อ่ ตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวชิ าการ (AP) .969 .004 ส่ิงสนับสนุนการเรยี นรใู้ นด้านภาษาองั กฤษด้านส่ิงแวดล้อม (SES) .936 .000 เมื่อวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์ของตัวแปรจาแนกกลุ่ม (canonical discriminant coefficient) ซ่ึงเป็น สมการในรูปคะแนนดิบ ผลท่ีได้เรียงตามลาดับความสาคัญได้ดังน้ี ปัจจัยการรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษ เชิงวิชาการ (AP) มีค่า -.125 และปัจจัยส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษด้านสิ่งแวดล้อม (SES) มีค่า .271 และคา่ คงท่ี (constant) -1.049 ดังตารางท่ี 5 และสามารถนามาเขยี นเปน็ สมการในรูปคะแนนดบิ ได้ ดงั นี้ Yโดยรวม = -1.049 - .125YAP + .271YSES ตารางท่ี 5 คา่ สมั ประสทิ ธิ์ของตัวแปรในสมการจาแนกสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนกั ศึกษาพยาบาล ตัวแปร คา่ สัมประสิทธ์ิของตัวแปร การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ (AP) -1.25 สง่ิ สนบั สนุนการเรยี นรูใ้ นด้านภาษาองั กฤษ ด้านสงิ่ แวดลอ้ ม (SES) .271 คา่ คงท่ี constant = -1.049 เม่ือนาสมการจาแนกกลุ่มด้วยคะแนนมาตรฐานไปทดสอบระดับนัยสาคัญทางสถิติ พบว่า 2 เท่ากับ 30.402 df เท่ากับ 2 ระดับนัยสาคัญ .05 ตัวแปรท้ัง 2 ตัวมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง (canonical correlation เทา่ กบั .429) และสมการสามารถจาแนกปจั จยั ทานายไดร้ อ้ ยละ 18.40 ดังตารางท่ี 6 ตารางที่ 6 ค่าสถติ ิที่ใช้ประเมินสมการจาแนกประเภทปัจจัยทานายสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
160 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567 สมการจาแนกกลมุ่ Rc 2 df Sig. 2 .000 1 .221 .429 .892 30.402 การอภิปรายผล 1. ระดับความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี นครลาปาง ระดับความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล พบว่า ร้อยละ 55 มีค่าเฉลี่ยความ วิตกกังวลเทา่ กบั 51.26 (SD 10.33) คะแนน ซ่ึงอยู่ในระดับปานกลาง และเกือบคร่งึ หน่ึงของนักศึกษาพยาบาลใน การศึกษาคร้ังนี้ (37.9%) มีระดับการรับรู้ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูง เมื่อพิจารณา ค่าเฉลี่ยรายข้อ พบว่า คาถาม“ฉันคิดว่าเพ่ือนคนอ่ืน ๆ มีทักษะด้านภาษาอังกฤษท่ีดีกว่าฉัน” มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 3.84 (SD = .80) ถัดมาคือ “ฉันรู้สึกประหม่าเมื่อฉนั ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการนาเสนองานในรูปแบบงาน เด่ียวต่อหน้าคนอ่ืน” และ “ฉันรู้สึกไม่แน่ใจเก่ียวกับความสามารถในด้านภาษาอังกฤษของฉัน (ท้ังในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น)” มคี ่าเฉลีย่ เท่ากับ 3.83 (SD = .91) และ 3.75 (SD = .79) ตามลาดบั สอดคลอ้ ง กับการศึกษา Nuypukiaw (2018) พบว่า นักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มีความวิตกกังวล ในการเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูง และมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความวิตกกังวล ได้แก่ ความประหม่าในการสื่อสาร นักศึกษาจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อต้องพูดหน้าห้องเรียนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะต้องพูดกระทันหันโดยไม่มีการเตรยี มตัว มาก่อนล่วงหน้า นอกจากนั้นนักศึกษายังกลัวการพูดผิด และรู้สึกเขินอาย อีกท้ังนักศึกษารับรู้ถึงความคาดหวังใน ระดบั สูงจากการเรียนภาษาอังกฤษ และคิดว่าผู้อ่นื เรยี นภาษาไดด้ ีกว่าตน จึงทาให้ย่ิงมีความวติ กกังวลในการเรียน ภาษาอังกฤษมากย่ิงข้ึน เช่นเดียวกับการศึกษาในนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย ในสาขา ภาษาอังกฤษของ Kammungkun et al. (2020) พบว่า นักศึกษามีความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษโดย รวมอยู่ในระดับปานกลาง และประเด็นท่ีนักศึกษามีความวิตกกังวลสูงสุดได้แก่ ความรู้สึกตื่นเต้นหากต้องพูด ภาษาอังกฤษโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า และจะรู้สึกกระวนกระวายเม่ือต้องพูดในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับการศึกษาของ Ritthirat & Chiramanee (2014) ที่ศึกษาความสามารถด้านการพูด ภาษาองั กฤษของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยไทย ช้ันปที ่ี 3 จานวน 50 คน ท่ีพบว่าความสามารถด้านการพูด ภาษาองั กฤษของนักศึกษาพยาบาล ยังอยู่ในระดับท่ีต้องปรับปรุง ซง่ึ สาเหตุหลัก ได้แก่ ความกังวลเม่ือต้องสอื่ สาร ภาษาอังกฤษ และนกั ศึกษาพยาบาลสว่ นใหญ่มีความรดู้ ้านศัพท์ไม่เพยี งพอ ขาดการฝึกฝน และมพี นื้ ฐานทางภาษา ทีไ่ ม่แม่นยา จึงทาให้นักศึกษามีความวิตกกังวลดา้ นภาษาองั กฤษในระดับปานกลางถึงมาก ดงั นั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนกั ศกึ ษาพยาบาล อยใู่ นระดับปานกลาง เป็นผลมาจากความประหม่า ความกลัว ความเขนิ อาย เมื่อต้องส่ือสารเป็นภาษาอังกฤษในชั้นเรยี น และจะมีคามวิตกกงั วลในระดับสูงหากไม่ได้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
161 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567 เตรยี มตัวล่วงหน้า อีกทงั้ นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่ไม่มคี วามม่ันใจเก่ียวกบั สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษ และคิดว่า ผ้อู ่นื มีสมรรถนะดา้ นภาษาอังกฤษทดี่ ีกวา่ ตนเอง 2. สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศกึ ษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง จากผลการสอบภาษาอังกฤษรวบยอดของสถาบันพระบรมราชชนก (PBRI English Test Score) ปี การศึกษา 2562 พบว่า นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่ ร้อยละ 86.40 มีผลการสอบภาษาอังกฤษน้อยกว่า 51 คะแนน ซงึ่ มีคะแนนเฉลยี่ เท่ากับ 38.22 (SD 11.36) คะแนน ซ่ึงน้อยกว่าเกณฑ์ท่ีสถาบนั พระบรมราชชนกกาหนด ไว้ว่า ต้องผ่านเกณฑ์ข้ันต่า คือตง้ั แต่ 51 คะแนนข้ึนไป (Praboromarajchanok Institute, 2016) แสดงใหเ้ ห็นว่า นักศึกษาพยาบาลส่วนใหญ่ยังมีข้อจากัดค่อนข้างมากในการใช้ภาษาอังกฤษ ท่ีเป็นเช่นนี้อาจเพราะนักศึกษาส่วน ใหญ่มพี ้ืนฐานภาษาองั กฤษท่ีค่อนข้างต่า มีการเขา้ ถงึ และประสบการณ์การใชภ้ าษาอังกฤษค่อนขา้ งน้อย ประกอบ กับประเทศไทยมีการใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ทาให้ประชากรและนักศึกษาส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยในการ สื่อสารในชีวิตประจาวันมากกว่า อีกท้งั การเรียนการสอนของทางวิทยาลัยเองมีอาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษท้ังชาว ไทยและชาวต่างชาติท่ีส่วนใหญ่จะสอนแค่เพียงช้ันปีละ 1 วิชา ซึ่งไม่เพียงพอสาหรับการเพ่ิมประสบการณ์ด้าน ภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษา และถึงแม้ว่าวิทยาลัยจะมีกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ช่วยส่งเสริมสมรรถนะด้าน ภาษาองั กฤษใหก้ ับนักศึกษาทุกช้ันปี แต่กย็ งั ไม่เพยี งพอสาหรบั การเพ่ิมความรแู้ ละประสบการณใ์ หก้ บั นักศึกษา ผล การศึกษาคร้ังนี้สอดคลอ้ งกับ Ritthirat & Chiramanee (2014) ที่พบวา่ ปัญหาที่ทาให้นกั ศึกษาไม่สามารถส่ือสาร ภาษาอังกฤษได้ มาจากนักศึกษาไม่รู้คาศัพท์ หรือบางคนอาจจะรู้คาศัพท์ แต่นามาใช้ไม่ ได้ เนื่องจากไม่มี ประสบการณ์และความมั่นใจในการสื่อสาร อีกท้ังในบริบทของสังคมไทยที่ไม่มีโอกาสให้ได้ฝึกฝนการใช้ ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง ทาให้มีผลต่อความคล่องแคล่วและความชานาญในการใช้ภาษา จากมุมมองของ อาจารย์สอนภาษาชาวต่างชาติ (Wright, 2556 as cited in Chomchaiya, 2016) กล่าวว่า ระบบการศึกษา ภาษาองั กฤษของไทยยงั ไมป่ ระสบความสาเรจ็ เน่ืองจากประเทศไทยมีระบบการเรียนการสอนทีเ่ น้นไวยกรณ์ และ เน้นการเรียนคาศัพท์ท่ียาก ส่งผลให้คนไทยมักจะประหม่าและมีความกลัวจะเกิดข้อผิดพลาดในการแปลและการ นาไปใช้ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และความสามารถด้านภาษาอังกฤษของคนไทย และจากนโยบายของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปางท่ีเน้นการรับเข้านักศึกษาใหม่ระดับช้ันปีท่ี 1 ที่มีภูมิลาเนาอยู่ในชุมชนท่ีขาด แคลนบุคลากรทางสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จบระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนของภาครัฐในต่างจังหวัด ท่ีค่อนข้า ง ขาดแคลนอาจารย์ชาวต่างชาติ ทาให้นกั ศกึ ษาท่ีเข้ามาเรียนพยาบาลมีพื้นฐานภาษาอังกฤษท่ีคอ่ นข้างตา่ และอ่อน ในทุกด้าน (Surarin, 2013) จากการศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะศตวรรษท่ี 21 ของ นักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ของ Turner et al. (2016) พบวา่ ทักษะของนกั ศึกษาที่ มีค่อนข้างน้อย ได้แก่ ทักษะการอ่าน และทักษะด้านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ ซ่งึ จากการตดิ ตามประเมินผลคณุ ภาพบณั ฑิตพยาบาลหลังสาเร็จการศึกษาจากโรงพยาบาลตา่ ง ๆ พบว่า บัณฑิตมี วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
162 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567 สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษระดับปานกลางและน้อย การเรียนที่เน้นแค่การสอบผ่าน โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้อง เรียนเพ่ือเอาความรู้ไปใช้ทางานในอนาคต (Surarin, 2013) จึงเป็นเหตุผลท่ีทาให้สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของ นกั ศกึ ษาพยาบาลค่อนข้างต่ากวา่ เกณฑ์มาตรฐานทก่ี าหนดไว้ 3. ปจั จัยทส่ี ่งผลต่อความวิตกกังวลและสมรรถนะดา้ นภาษาองั กฤษของนักศึกษาพยาบาล วทิ ยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง 3.1 ปัจจยั ทีส่ ่งผลต่อความวติ กกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล พบวา่ ปัจจยั ด้านการ รับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ มีอานาจในการทานายมากที่สุด อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ น่ัน หมายถึง นักศึกษาท่ีมีการรับรู้ต่อตนเองในด้านทักษะและความสามารถในการใชภ้ าษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช้ันเรียนภาษาอังกฤษในระดับต่า จะส่งผลให้นักศึกษามีความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษค่อนข้างสูง สอดคล้องกับการศึกษาในนักศึกษาพยาบาลของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ของ Turner et al. (2016) ท่ีพบว่า นักศึกษาพยาบาลมีการรับรู้ว่าทักษะภาษาอังกฤษของตนเองอยู่ในระดับต่า นักศึกษาส่วนใหญ่ รับรู้ว่าตนเองไมม่ คี วามสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษเชิงวชิ าการและไม่เขา้ ใจในไวยกรณภ์ าษาอังกฤษ จึงส่งผลให้ นักศึกษามกี ารรับรคู้ วามวติ กกงั วลในการเรยี นภาษาอังกฤษในระดับสูง ซึ่งเปน็ ไปในแนวทางเดยี วกันกับการศึกษา ของ Yiamsawat (2016) ที่พบว่า เม่ือนักศึกษาไม่ม่ันใจในความรู้ของตนเอง อีกท้ังมีความรู้สึกเขินอาย และกลัว ข้อผิดพลาดเมื่อต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะการพูด และการแสดงออกเป็นภาษาอังกฤษหน้าชั้นเรียน ปัจจัยเหล่าน้ีส่งผลให้นักศึกษามีความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนที่เพิ่มมากข้ึน นอกจากนี้ การศึกษาของ Arnaiz-Castro & Díaz (2016) ยังพบว่า การรับรู้ต่อตนเองในด้านความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษมีความสัมพันธเ์ ชิงลบกับความวิตกกังวลในการเรยี นภาษาอังกฤษ นักศึกษาที่มีระดับความวิตกกังวล สูงมีแนวโน้มมีระดับการรับรู้ต่อความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของตนเองในระดับต่า ซึ่งแตกต่างจาก นักศึกษาท่ีมีการรับรู้ต่อตนเองเกี่ยวกับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในระดับสูง จะมีผลคะแนนการสอบ ภาษาอังกฤษท่ีสูงตามมา ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดเจนว่านักศึกษาท่ีมีการรับรู้ต่อตนเองในระดับต่าเกี่ยวกับการใช้ ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ ความไม่ม่ันใจในความสามารถของตนเอง ส่งผลให้นักศึกษาเหล่าน้ีมีระดับความวิตก กงั วลในการเรียนภาษาอังกฤษที่สงู ขึ้น สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านภาษาอังกฤษด้านส่ิงแวดล้อม เป็นอีกหน่ึงปัจจัยท่ีส่งผลให้เกิดความวิตก กงั วลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล จากผลการศึกษา พบว่านักศึกษาพยาบาลมีการรับรู้เก่ียวกับ ส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ ด้านส่ิงแวดล้อมในระดับมาก และเป็นผลให้มีระดับความวิตกกังวลในการเรียน ภาษาอังกฤษในระดับสูงด้วย จากข้อค้นพบดังกล่าว นักศึกษาส่วนใหญ่รับรู้ว่าวิทยาลัยมีส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้/ ส่ือต่าง ๆ ท่ีช่วยส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก แต่อาจเนื่องจากนักศึกษาของวิทยาลัยส่วนใหญ่มี ความสามารถด้านภาษาอังกฤษในระดับต่า ไม่มีความม่ันใจในการสื่อสารและขาดประสบการณ์ในการใช้ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
163 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567 ภาษาอังกฤษทั้งในชีวิตประจาวัน และภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ จากปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาเป็นผลให้ วทิ ยาลัยมีความพยายามท่ีจะสนับสนุนและส่งเสรมิ การเรียนรใู้ นด้านภาษาอังกฤษใหก้ ับนักศึกษาอย่างต่อเน่ือง ไม่ ว่าจะเป็นสื่อการสอน บอร์ดประชาสัมพันธ์ กิจกรรมเสริมหลักสูตรภาษาอังกฤษ แต่สิ่งเหล่านี้อาจทาให้นักศึกษา รู้สึกวิตกกงั วลในการเรยี นภาษาอังกฤษเพมิ่ มากขนึ้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกับมุมมองของอาจารยช์ าวต่างประเทศท่ีสอนวชิ า ภาษาอังกฤษ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี ที่พบว่าการสอนท่ีมีกิจกรรมในการพัฒนาทักษะทุก ดา้ นให้กับนักศึกษา อาจก่อให้เกิดความเครียดต่อการเรียนรู้ของนักศึกษาได้ เน่ืองจากนักศึกษาแต่ละคนมีพื้นฐาน ทางภาษาอังกฤษท่ีไม่เท่ากัน (Kunlaka & Purivittayatheera, 2016) ซ่ึงไม่สอดคล้องกับการศึกษาท่ีผ่านมา (Suksawang & Sangruksa, 2015; Turner et al., 2016) พบว่า การปรับเปล่ียนการเรียนการสอน การสร้าง บรรยากาศ ส่ิงแวดลอ้ มต่าง ๆ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย จะส่งเสริมให้นักศึกษามที ัศนคติที่ดีต่อการ เรียนรู้ ช่วยลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาได้ ท้ัง 2 ตัวแปรจากการศึกษาในครั้งนี้ร่วม ทานายความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษได้แค่เพียง 13.60% (R2 = .136) ซึ่งค่อนข้างต่า ที่เป็นเช่นน้ีอาจ เป็นผลมาจากตวั แปรแทรกซ้อนอ่ืน ๆ ที่สง่ ผลต่อการศึกษาครั้งน้ี ไดแ้ ก่ ปัจจัยดา้ นนกั ศึกษา ปัจจัยด้านการจัดการ เรียนการสอน และปัจจัยด้านครอบครัว (Makchuay et al., 2018) ที่อาจส่งผลให้นักศึกษามีระดับความวิตก กงั วลในการเรยี นภาษาองั กฤษในระดับทีส่ งู 3.2 การรับรู้ต่อตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ เป็นตัวแปรท่ีมีอิทธิพลต่อสมรรรถนะด้าน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาลกลุ่มที่มีคะแนนภาษาอังกฤษต่ากว่าเกณฑ์ โดยพบว่า นักศึกษามีการรับรู้ต่อ ตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเชิงวชิ าการในระดับสงู แต่มคี วามสามารถดา้ นภาษาอังกฤษท่ีประเมนิ จากผลการสอบ รวบยอดท่ีน้อยกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนด ที่เป็นเช่นน้ีอาจเนื่องจาก นักศึกษาส่วนใหญ่ท่ีมีคะแนนน้อยกว่าเกณฑ์ (<51 คะแนน) มีจานวนมากถึงร้อยละ 86.40 และรับรู้ว่าตนเองสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับดีทั้งท่ีมีคะแนน สมรรถนะด้านภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่า อาจด้วยลักษณะการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยที่กาหนดการ ประเมินผลการเรียนท่ีนักศึกษาต้องผา่ นเกณฑ์ขัน้ ตา่ ท่รี ะดับ 60% ในทุกรายวิชา ทาใหน้ ักศึกษาท่มี ีผลการเรียนต่า กว่าเกณฑ์ที่ต้องได้รับการซ่อมเสริมให้ผ่านตามเกณฑ์ท่ีกาหนด ถึงแม้ว่านักศึกษาจะมีความรู้ความสามารถด้าน วชิ าการตามความเป็นจริงที่ค่อนข้างต่าก็ตาม ผลการศึกษาครั้งน้ี ไม่สอดคลอ้ งกับการศึกษาในประเทศฮ่องกง ของ Yan, Pan, & Wang (2010) พบว่า ระดับการรับรู้ในตนเองของนักศึกษามีความเก่ียวข้องกับการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ และเป็นตัวทานายท่ีดีที่สุดในด้านความสาเร็จในกระบวนการเรียนรู้ทางด้านภาษาอังกฤษของ นักศึกษาด้วย ยิ่งนักศึกษามีการรับรู้ต่อตนเองในด้านภาษาอังกฤษสูงมากเท่าไหร่ จะส่งผลต่อสมรรถนะด้าน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาที่สูงข้ึนด้วย (Arnaiz-Castro & Díaz, 2016) และเช่นเดียวกับการศึกษาของ Takahashi (2009) กพ็ บว่า การรับรู้ต่อตนเองในด้านการใช้ภาษาอังกฤษมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสามารถ ด้านภาษาอังกฤษ (r=.249, p<.05) นักศึกษาท่ีมีการรับรู้ต่อตนเองเกี่ยวกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษใน ระดับสูงจะมีผลคะแนนการสอบภาษาอังกฤษในระดับสูง และมีผลการเรียนที่ประเมินจากการสอบรวบยอดใน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
164 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567 ระดับสูงด้วย ทั้งนี้ การรับรู้ของนักศึกษาแต่และคนเป็นการรับรู้ที่มีต่อตนเอง ท่ีเกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีต (Marsh, 1990) เป็นผลมาจากการเรียนที่ผ่านมาของนักศึกษาที่ทาให้นักศึกษามีความม่ันใจในความสามารถของ ตนเอง ซงึ่ สะทอ้ นใหเ้ ห็นว่าการจัดการเรยี นการสอนและการวัดประเมินผลของวิทยาลยั ยังไมป่ ระสบความสาเรจ็ ใน การผลักดันความสามารถด้านวิชาการที่แท้จริงของนักศึกษาได้อย่างเต็มที่ ดังเห็นได้จากผลการสอบภาษาอังกฤษ รวบยอดของสถาบันพระบรมราชชนก ท่ีนักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ท่ีสถาบันได้กาหนดไว้ อีกท้ังการเรียน ในสาขาพยาบาลที่มีการใช้ศัพท์เทคนิคด้านการแพทย์ท่ีเป็นภาษาองั กฤษ ทาให้นักศึกษาพยาบาลคุ้นชินกับการใช้ ศพั ท์ภาษาอังกฤษทางการแพทยเ์ ป็นส่วนใหญ่ จงึ ทาให้นักศึกษามีการรับรูต้ ่อตนเองในด้านความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษเชงิ วิชาการในระดบั สูง แตย่ งั ขดั แยง้ กบั ความสามารถดา้ นภาษาอังกฤษท่ีแท้จรงิ ทย่ี ังอยู่ในระดบั ต่า นอกจากนี้ สิ่งสนับสนนุ การเรยี นรใู้ นดา้ นภาษาอังกฤษ ด้านสิ่งแวดล้อม ยังเป็นอีกหน่ึงตัวแปรที่มอี ิทธิพล ต่อสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล แสดงให้เห็นว่าการได้รับสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้าน ภาษาอังกฤษ ด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เพียงพอ จะส่งผลต่อความสามารถด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาที่เพิ่ม สงู ขึ้น ท้ังนี้จากการประเมินสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษของนักศึกษาที่ได้รับการประเมินจากข้อสอบรวบยอดของ สถาบันพระบรมราชชนก ท่ีพบว่า ผลการสอบของนักศึกษาพยาบาลยังอยู่ในเกณฑ์ท่ีต่ากว่ามาตรฐานที่ได้กาหนด ไว้ ซ่ึงอาจเกดิ จากความรู้และทักษะส่วนบคุ คลของนกั ศึกษาแตล่ ะคน หรอื อาจเกิดจากการวัดความรู้ความสามารถ ของนักศกึ ษาโดยการใช้ข้อสอบรวบยอดจากสถาบันพระบรมราชชนกซ่ึงมาจากการพัฒนาของส่วนกลางและใช้วัด นักศึกษาทุกช้ันปีท่ัวประเทศท่ีสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกและการวัดโดยข้อสอบจากส่วนกลางอาจไม่ สอดคลอ้ งกบั ความสามารถที่แท้จริงของนักศึกษาพยาบาลจากวิทยาลยั จึงทาให้ผลการสอบของนกั ศึกษายังอยู่ใน เกณฑ์ที่ต่ากว่ามาตรฐานค่อนข้างมาก ผลการศึกษาคร้ังน้ีจงึ ไมส่ อดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้ท่ีพบว่า การรับรู้ ของนักศึกษาท่ีมองว่าสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ในด้านส่ิงแวดล้อมเป็นปัจจัยที่ช่วยเอ้ือให้การเรียนรู้ในด้าน ภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน (Espinoza-Herold, 2003) และช่วยส่งเสริมสมรรถนะในด้าน ความสามารถด้านภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาได้ นอกจากน้ีในการศึกษาของ Suksawang & Sangruksa, 2015; Turner et al. (2016) พบว่า การปรบั เปล่ียนสภาพแวดล้อม บรรยากาศในการเรียน และการจัดกิจกรรมอ่ืน ๆ ท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ด้านภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษา จะเป็นสิ่งสาคัญท่ีช่วยส่งเสริมให้นักศึกษามีทัศนคติท่ีดีต่อ การเรียนรู้ การมีสิ่งสนับสนุนที่เพียงพอจะช่วยลดความวิตกกังวลในการเรยี นภาษาอังกฤษ และพัฒนาการเรียนรู้ ด้านภาษาอังกฤษให้ดีย่ิงขึ้น (Changlek & Palanukulwong, 2015) ซ่ึงส่งผลให้นักศึกษามีผลการเรียนและผล การสอบดา้ นภาษาองั กฤษทด่ี ตี ามมาดว้ ย ข้อเสนอแนะในการนาผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ ด้านการบริหาร วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
165 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567 1. ควรเพิ่มกิจกรรมเสริมหลักสูตรท่ีมีการนาภาษาอังกฤษมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะ เป็นด้านวิชาการ นนั ทนาการ หรอื เกมส์ 2. ควรเพ่ิมอาจารย์ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษชาวต่างประเทศในทุกช้ันปี เพ่ือเพิ่มประสบการณ์การใช้ ภาษาองั กฤษให้กบั นกั ศึกษาพยาบาล ด้านการจัดการเรยี นการสอน 1. ควรปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในหลักสูตร เพิ่มการมีกิจกรรมในชั้นเรียนให้ นักศึกษามีส่วนร่วมมากข้ึน โดยอาจเป็นกระบวนการกลุ่ม และหลีกเลี่ยงการประเมินนักศึกษาในด้านลบในช้ัน เรยี นหรือต่อหน้าเพอ่ื นรว่ มชัน้ 2. การเรียนการสอนที่เน้นการประเมินนักศึกษาตามสภาพจรงิ และมีการติดตามความก้าวหน้านักศึกษา เฉพาะรายท่มี ผี ลการเรียนอยูใ่ นระดับตา่ เนน้ การมีสัมพันธภาพที่ดรี ะหวา่ งอาจารย์ผสู้ อนกับนกั ศึกษา ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาครงั้ ต่อไป 1. ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในประเด็นอ่ืน ๆ ท่ีอาจส่งผลต่อความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ เช่น เกรดเฉล่ยี วิชาภาษาองั กฤษ เพศ ระยะเวลาในการใช้ภาษาองั กฤษ เป็นต้น 2. พัฒนาวิจัยต่อยอดในเชิงทดลอง เช่นการจัดโปรแกรมเพื่อลดความวิตกกังวลในการเรียนภาษาอังกฤษ ให้กับนักศึกษาพยาบาลที่กาลังศึกษาทั้งภายในสถาบันพระบรมราชชนก และนักศึกษาพยาบาลในสังกัด มหาวทิ ยาลยั นอกสถาบันพระบรมราชชนก เอกสารอ้างองิ Arnaiz-Castro, P., & Díaz, J. P. (2016). A study on the correlation between anxiety and academic self-concept in interpreter trainees. Círculo de lingüística aplicada a la comunicación, 67, 57-88. Suksawang, A., & Sangruksa, N. (2015). Factors affecting the english language ability according to 21st century learning skills of mathayomsuksa 6 students, secondary education area Bangkok area 2 to support the entry into the ASEAN community. Veridian e-journal silpakorn university, 8(2), 493-505. (in Thai). Changlek, A., & Palanukulwong, T. (2015). Motivation and Grit: Predictors of language learning achievement. Veridian e-journal silpakorn university, 8(4), 23-28. (in Thai). Chawaphanth. S., LeSeure. P., Jantaramano. S., & Thana. K. (2016). The Readiness of Thai Nurse toward the ASEAN Economic Community. Journal of boromarajonani college of nursing, bangkok, 32(2): 29-42. (in Thai). Chomchaiya, C. (2016). Factors affecting english communication ability in daily life of graduates from Thai higher education institutions who were working in Bangkok. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
166 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567 Suan dusit graduate school academic journal, 12(2), 167-184. (in Thai). Dewaele, J. M., Petrides, K. V., & Furnham, A. (2008). Effects of trait emotional intelligence and sociobiographical variables on communicative anxiety and foreign language anxiety among adult multilinguals: A review and empirical investigation. Language learning, 58(4), 911-960. Espinoza-Herold, M. (2003). Issues in Latino education: Race, school culture, and the politics of academic success. Boston, MA: Allyn & Bacon. Health Care Asia Daily (2017). Thailand sets out to becoming Asia’s healthcare hub. (Online), Available: http://www.healthcareasia.org/2017/thailand-sets-out-to-becoming-asias- healthcare-hub/. Hiranburana, K., Subphadoongchone, P., Tangkiengsirisin, S., Phoocharoensil, S., Gainey, J., Thogsngsri, J.,Taylor, P. (2018). A Framework of Reference for English Language Education in Thailand (FRELE-TH) based on the CEFR, The Thai Experience. LEARN Journal: Language education and acquisition research network, 10(2), 90-119. Horwitz, E. K., Horwitz, M. B., & Cope, J. A. (1986). Foreign language classroom anxiety. The modern language journal, 70(2), 125-132. Kammungkun, P., Jhanasanti, P. S., Varasayan, P. V., Kittivachiro, P. S., & Wowong, S. (2020). Anxiety for speaking English among first year students in Mahamakut Buddhist University Lanna Campus. Journal of MCU Nakhondhat, 6(10), 5860-5875. (in Thai). Kanjanawasee, S. (2002). Evaluation Theory. Bangkok: Chulalongkorn University Printing. Khattak. Z. I., Jamshed. T., Ahmad. A., & Baig. M. N. (2011). An investigation into the causes of english language learning anxiety in students at AWKUM. Procedia social and behavioral sciences, 15, 1600–1604. Krashen, S. D. (1987). Principles and Practice in Second Language Acquisition. (online), Available: http://www.sdkrashen.com/content/books/principles_and_practice.pdf. Krashen, S. (1982). Principles and practice in second language acquisition2. Oxford, England: Pergamon Press. Krejcie, R. V., and Morgan, D. W. (1970). “Determining Sample Size for Research Activities”. Educational and Psychological Measurement. 30, 607 – 610. Kunlaka, S., & Purivittayatheera, K. (2016). Developing english competency in nursing students. Ramathibodi Nursing Journal, 20(2), 123-133. (in Thai). MacIntyre, P. D. (1999). Language anxiety: A review of the research for language teachers. In D. J. Young (Ed.), Affect in foreign language and second language learning: A practical guide to creating a low-anxiety classroom atmosphere(pp.24-45).Boston:McGraw-Hill. MacIntyre, P. D., & Gardner, R. C. (1994). The subtle effects of language anxiety on cognitive processing in the second language. Language learning, 44(2), 283-305. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
167 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567 Makchuay, K., Sama-a, A., Auma, S., Yossiri, V., & Hayeesani, M. (2018). Factors Affecting the Yala Rajabhat University Third Year English Major Students’ Anxieties in English Speaking. The 9th Hatyai National and International Conference, 131-143. (in Thai). Marsh, H. W. (1990). Influences of internal and external frames of reference on the formation of math and English self-concepts. Journal of Educational Psychology, 82(1), 107. Nuypukiaw, S. (2018). Factors affecting English language learning anxiety of first year students: A case study of Phranakorn Si Ayutthaya Rajabhat University. Journal of Thonburi University, 12(28), 231-243. (in Thai). Praboromarajchanok Institute. (2016). AnnualReport2016.Bangkok: PraboromarajchanokInstitute. Ritthirat, N., & Chiramanee, T. (2014). Problems and Obstacles to Developing English Speaking Skill of Thai University Students. (online), Available: https://gsbooks.gs.kku.ac.th/57/grc15/files/hmp39.pdf. (in Thai). Surarin, P. (2013). English Day Thailand. 2556. (online), Available: https://www.facebook.com/EnglishDayThailand/posts/387564888036450. (in Thai). Takahashi, A. (2009). Self-perception of English ability: Is it related to proficiency and/ or class performance? Niigata Studies in Foreign Languages and Cultures, 14, 39-48. The Government Public Relations Department (2016). National Development in Accordance with the Thailand 4.0 Policy. (online), Available: http://thailand.prd.go.th/ewt_news.php?nid=3424. (in Thai). Turner, K., Rakkwamsuk, S., Ruanjaiman, J., Sukgaroen, J., & Suriyanimiitsuk, T. (2016). The Pedagogical situation fostering 21st century skills of nursing students at Boromarajonani College of Nursing, Chon Buri Nursing journal of the ministry of public health, 26(2), 128-141. (in Thai). Udomkiatsakul, P. (2016). The third national conference themed \"Entering the second decade of integrated research and knowledge for sustainability\" on June 16th and 17th, 2016attheCollegeofNakhonRatchasima,NakhonRatchasima. 864-868.(inThai). Yan, J. X., Pan, J., & Wang, H. (2010). Learner factors, self-perceived language ability and interpreting learning. The interpreter and translator trainer, 4(2), 173-196. Yang, J. (2012) The Affective Filter Hypothesis and Its Enlightenment for College English Teaching. Psychology research, 7, 40-43. วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
168 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Perception, Attitudes, and Knowledge of Social Distancing Policy and the Effect on Social Distancing Behaviors, Psychological Health and Quality of Life in Lampang Population During COVID-19 Pandemic Nongluck Tobunluepop*, Theerarat Boonkuna*, Budsarin Padwang*, Jittavee Kiartsuwan* (Received March 24, 2021, Revised: May 4, 2021, Accepted: May 17, 2021) Abstract Regarding to the situation of COVID- 19 pandemic, people may need to adapt their daily lives to confront the situation by creating a new normal behavior. In the state of changes of the usual behaviors and adaptation to a new normal, the changes may affect on physical health, mental health and as well as quality of life. This cross- sectional research aimed to study perception, attitudes, and knowledge of social distancing policy and its effect on social distancing behaviors, mental health, including depression, anxiety and stress and quality of life among people living in Lampang province. The data was collected via electronic form questionnaires with 432 samples. The instruments were demographic data and questionnaires which consisted of; 1) perception of social distancing policy 2) attitudes tow ar ds social distancing p olicy 3) knowledge of Disease and social distancing policy 4) social distancing behaviors 5) depression assessment 6) stress assessment 7) anxiety assessment and 8) quality of life assessment. Descriptive statistics and multiple regression analysis were used in data analysis. The results showed that perception and knowledge towards COVID- 19 disease and the social distancing policy were at high level ( Mean 25. 22, SD 4. 48 and Mean 8. 54, SD 1. 17, respectively) whereas attitudes and practices towards social distancing policy were at medium level (Mean 17.86, SD 2.51 และ Mean 34.83, SD 4.92, respectively). 9.5% of the samples were at risk of depression. Anxiety and stress were at low level (Mean 6.86, SD 4.93 and Mean 3.49, SD 3.36, respectively) and quality of life was at a good level (Mean 98.62, SD 14.94). A combination of perception and attitudes were significant predictors of 34.1% increasing practices towards social distancing policy (p<.001). In addition, perception was found to be a significant predictor of 11.8 percent increased quality of life (p.001). Attitudes towards social distancing policy was a significant predictor of 8.6% decreasing anxiety and of 6.5% decreasing stress (p<.001). Fostering perception and building a positive attitude towards social distancing policy will encourage behaviors to reduce the likelihood of COVID-19 infection and decrease mental health problems; anxiety and stress.Moreover,itmayalsohelptoimprove aqualityoflife. Keywords: Social Distancing; Mental Health; Quality of Life; COVID-19 disease * Public health scholar, Lampang Provincial Public Health Office ** Registered Nurse, Senior Professional Level, Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
169 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) การรับรู้ ทศั นคติ และความรู้ต่อมาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสงั คมและผลต่อการปฏบิ ัติตวั ตาม มาตรการ สขุ ภาพจิตและคุณภาพชีวิตของประชาชน ในจงั หวดั ลาปาง ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 นงลักษณ์ โตบนั ลอื ภพ*, ธีรารัตน์ บญุ กณุ ะ* * , บศุ รนิ ทร์ ผดั วัง* * , จติ ตวีร์ เกยี รติสวุ รรณ* (วนั รบั บทความ : 24 มนี าคม 2563, วันแกไ้ ขบทความ : 4 พฤษภาคม 2564, วนั ตอบรบั บทความ : 17 พฤษภาคม 2563) บทคัดย่อ วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัส (โควิด-19) ทาให้ประชาชนต้องมีการปรับตัวรับ สถานการณ์ จงึ เปน็ ความพยายามที่บคุ คลจะสร้างความเคยชินในพฤตกิ รรมใหม่ แต่ในระยะของการเปล่ยี นแปลง พฤติกรรมและการปรับตวั เข้าสู่ความเคยชินในพฤติกรรมใหมน่ ั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อ สุขภาพกาย สขุ ภาพจิต ทศั นคตติ อ่ การใช้ชีวติ ในสงั คม และคณุ ภาพชีวิตได้ การวจิ ยั เชิงสารวจแบบตดั ขวางน้ีมวี ัตถุประสงคเ์ พื่อ 1) ศกึ ษา การรบั รู้ ทัศนคติและความรูต้ ่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสงั คม และ 2) ศกึ ษาผลกระทบต่อการปฏบิ ัติตัวตาม มาตรการ สุขภาพจติ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในจงั หวดั ลาปาง กล่มุ ตวั อยา่ งคือ ประชาชนในจังหวดั ลาปาง จานวน 432 คน เครื่องมอื ที่ใชไ้ ด้แก่ ข้อมลู สว่ นบคุ คล และแบบสอบถามประกอบด้วย 1) การรบั รู้มาตรการเว้น ระยะห่างทางสงั คม 2) ทัศนคติต่อมาตรการเว้นระยะห่างทางสงั คม 3) ความรู้เกี่ยวกับโรคและมาตรการเวน้ ระยะห่างทางสังคม 4) การปฏิบัติตัวตามแนวปฏบิ ัติของมาตรการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคม 5) แบบประเมนิ ภาวะ ซมึ เศร้า 6) แบบประเมินความเครยี ด 7) แบบประเมนิ ความวิตกกังวล และ 8) แบบประเมินคุณภาพชวี ติ วิเคราะห์ ขอ้ มูลดว้ ยสถติ ิเชิงพรรณนาและ การวิเคราะหถ์ ดถอยเชงิ เสน้ พหุคูณ ผลการวิจัย พบวา่ การรับรู้ ความรตู้ ่อโรคและมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่ในการรับรู้ร ะดับ มาก (Mean 25.22, SD 4.47 และ Mean 8.54, SD 1.17 ตามลาดบั ) สว่ นทศั นคตติ อ่ มาตรการและการปฏิบัติตัว ตามมาตรการอยู่ในระดับปานกลาง (Mean 17.86, SD 2.51 และ Mean 34.83, SD 4.92 ตามลาดับ) กลุ่ม ตัวอยา่ งมีความเสีย่ งภาวะซึมเศร้าร้อยละ 9.5 มีภาวะวติ กกังวลในระดบั นอ้ ย (Mean 6.86, SD 4.93) มภี าวะ ความเครียดอยู่ในระดบั นอ้ ย (Mean 3.49, SD 3.36) และคณุ ภาพชวี ิตระดับดี (Mean 98.62, SD 14.94) การ รบั รู้และทัศนคติร่วมกนั ทานายทางบวกการปฏิบตั ิตัวตามมาตรการการเวน้ ระยะห่างทางสงั คม รอ้ ยละ34.1 (p<.001) การรับรู้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมทานายทางบวกต่อระดับคุณภาพชีวิตรอ้ ยละ 11.8 และทัศนคติต่อ มาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคมทานายทางลบต่อสุขภาพจิตด้าน ความวิตกกงั วล และความเครียดร้อยละ 8.6 และ 6.5 ตามลาดับ การสร้างเสริมการรับรแู้ ละสรา้ งทัศนคติที่ดตี ่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมจะกระตุ้นการปฏิบัติ ตัวตามมาตรการที่จะช่วยลดโอกาสการติดเชอื้ โรคไวรัสโควิด-19 และช่วยเพิ่มระดับคุณภาพชวี ิต นอกจากนี้ยัง สามารถลดแนวโน้มของการเกดิ ปัญหาสขุ ภาพจติ เกยี่ วกบั ความวติ กกังวลและความเครยี ดได้ คาสาคญั :การเว้นระยะห่างทางสังคม; สขุ ภาพจิต; คณุ ภาพชีวิต; โรคโควดิ -19 * นกั วชิ าการสาธารณสขุ ชานาญการ สานกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั ลาปาง **พยาบาลวิชาชพี ชานาญการพเิ ศษ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ี่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
170 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) บทนา โรคระบาดท่ีเกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธใุ์ หม่ 2019 เป็นตระกลู ของไวรัสทีก่ อ่ ใหอ้ าการปว่ ยต้งั แต่โรคไข้หวัด ธรรมดาไปจนถงึ โรคท่ีมีความรนุ แรงมาก เชน่ โรคระบบทางเดนิ หายใจตะวนั ออกกลาง (MERS-CoV) และโรคระบบ ทางเดนิ หายใจเฉยี บพลนั รุนแรง (SARS-CoV) เป็นตน้ ซง่ึ โรคโควิด-19 เปน็ โคโรนา่ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ท่ไี มเ่ คยพบมา กอ่ นในมนุษย์ก่อให้เกิดอาการปว่ ยระบบทางเดินหายใจในคน การเริ่มต้นการระบาดของโรคไวรสั โคโรน่า 2019 จาก การพบผปู้ ่วยรายแรกทีเ่ มืองหูเป่ย์ มณฑลอู่ฮ่นั ประเทศจนี เมอ่ื ประมาณปลายปี พ.ศ. 2562 และมกี ารยนื ยันการติดเช้ือ จากคนไปส่คู น (Department of Disease Control, 2020) ทาให้การระบาดขยายวงกว้างพบผปู้ ่วยยืนยันการติดเช้ือทุก ทวปี ทัว่ โลก จนเมื่อวันท่ี 11 มีนาคม 2563 องค์การอนามยั โลกไดป้ ระกาศให้โรคโควดิ -19 เปน็ การระบาดใหญ่ท่วั โลก ทม่ี ีจานวนผูป้ ่วย และผูเ้ สยี ชวี ิตเพ่มิ จานวนข้นึ อย่างรวดเร็ว มอี ัตราการเสียชวี ติ จากโรคประมาณร้อยละ 4.60 (World Health Organization, 2020) สาหรบั สถานการณ์การระบาดโควิดในประเทศไทย พบผปู้ ว่ ยยนื ยันรายแรกใน เดือน มกราคม พ.ศ. 2563 และหลังจากนนั้ เริ่มมีผู้ป่วยติดเชือ้ และเสยี ชีวิตจานวนมากขึน้ สถานการณใ์ นประเทศไทย ณ วันที่ 17 เมษายน 2563 มีผู้ป่วยยืนยนั สะสม จานวน 2,700 คน รายใหม่ 28 คน และเสยี ชีวติ จานวน 47 คน ผปู้ ว่ ย ยืนยันกลุ่มเดินทางมาจากตา่ งประเทศและกกั กันในพื้นท่รี ฐั กาหนด สะสมจานวน 63 คน และผ้ปู ่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง สะสม จานวน 37,529 คน และรายใหมจ่ านวน 67 ราย และพบผ้ปู ว่ ยติดเชอ้ื สะสมท่ีกรุงเทพมหานครมากทส่ี ุด รองลงมาที่ จังหวดั ภูเก็ต นนทบรุ ี สมทุ รปราการและยะลา ตามลาดับ (DepartmentofDisease Control,2020) รฐั บาลได้ออกประกาศ ขอ้ กาหนดแห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณฉ์ กุ เฉนิ พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ใช้บงั คับทว่ั ประเทศ หา้ มประชาชนเข้าไปในพน้ื ที่ ท่ีมคี วามเส่ยี งต่อการตดิ เชือ้ ไวรัส โคโรนา 2019 มีผลบังคับใช้ตัง้ แต่วนั ที่ 26 มีนาคม 2563 รว่ มกับการใช้ข้อบงั คบั จากพระราชบญั ญัติการควบคุมโรคติดตอ่ พ.ศ. 2558 เพื่อเป็นการควบคมุ การแพร่ระบาดของ โรคโควดิ -19 ในประเทศไทย และมีการกระจายอานาจการควบคุมโรคภายในจังหวัดโดยมีผ้วู า่ ราชการจงั หวัดเป็น ประธานคณะกรรมการควบคุมโรคตดิ ต่อระดับจังหวัด สถานการณโ์ รคโควดิ -19 ในจงั หวัดลาปาง ศนู ยอ์ านวยการเฝ้า ระวงั ติดตามสถานการณโ์ รคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จังหวดั ลาปางแถลงถึงการพบผปู้ ่วยยืนยันรายแรก เมอ่ื วันท่ี 3 เมษายน พ.ศ.2563 รวมจานวน 3 ราย รายแรกเป็นผูห้ ญงิ อายุ 57 ปี จากการสอบสวนโรค พบว่าผู้ป่วยมีการสมั ผสั ผู้ติด เช้ือจากคนในครอบครัวซงึ่ มีประวัตเิ สยี่ งการสัมผสั ผู้ติดเช้ือและเดนิ ทางมาจากพน้ื ทีท่ ม่ี ีการระบาด คอื กรงุ เทพมหานคร เม่อื ประชาชนในจงั หวัดลาปางทราบถงึ การมีผูต้ ิดเช้ือในพนื้ ท่ี สว่ นใหญ่เรมิ่ เกิดความวติ กกงั วลถึงความเส่ยี งของตน เอง จากการทีม่ ผี ูต้ ดิ เชื้อในพนื้ ท่ี จงั หวดั ลาปาง ได้ยกระดับมาตรการดา้ นการป้องกันโรคโควิด-19 จากประกาศจังหวัด ลาปางหลายฉบับ (Center of COVID-19 Situation Administration Lampang, 2020) และใช้มาตรการกา ร เว้น ระยะห่างทางสังคม (social distancing) ในเชงิ ปอ้ งกันร่วมกับมาตรการ การปอ้ งกนั อ่ืน ๆ เชน่ การสวมหน้ากาก อนามัยและล้างมือด้วยสบู่/เจลแอลกอฮอล์ เป็นตน้ ด้วยมาตรการดังกล่าวทาให้ประชาชนต้องมีการปรบั เปลยี่ น พฤติกรรมหรือวิถชี ีวติ ทา่ มกลางสถานการณว์ ิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ยังไม่มรี ายงานการศึกษาวิจัยใน จังหวดั ลาปางถงึ ผลกระทบต่อสขุ ภาพจากการปรบั ตวั ของประชาชนเพอื่ รับกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควดิ -19
171 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) กรอบแนวคดิ การวจิ ัยคร้งั นี้ ได้ศึกษาการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมตามทฤษฎลี าดับข้ันของการเปลีย่ น แปลง พฤติกรรม (stage of change model/trans-theoretical model ) ของโปรชาสก้า เรดดิ้ง และเอฟเวอ ร ส์ (Prochaska, Redding & Evers, 2015) ประกอบดว้ ย 6 ข้นั ตอน ซึ่งเป็นขัน้ ตอนท่ใี ช้อธิบายหรือทานายความสาเร็จ และความล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ได้แก่ 1) ข้ันยังไม่พร้อมเปล่ียนแปลง (pre-contemplation) เนอื่ งจากเห็นว่าพฤติกรรมนนั้ ยังไมจ่ าเป็นหรอื ยงั ไม่เห็นความสาคัญของปัญหา 2) ข้นั ลงั เลใจ (contemplation) รับรู้ ถึงปญั หาที่เกิด และคดิ ว่านา่ จะปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม แตย่ ังคงไมเ่ รมิ่ ปรับพฤติกรรมใดๆ เน่อื งจากอาจจะยงั กังวลกับ ผลลัพธท์ างลบของการเปล่ยี นแปลงท่จี ะเกิดข้นึ 3) ขัน้ ตดั สินใจเริม่ วางแผนการปรับเปล่ียนพฤติกรรม (preparation) เรมิ่ ต้ังเปา้ หมายทช่ี ัดเจน เตรยี มพรอ้ มสาหรบั การปรับเปล่ยี นพฤติกรรม 4) ขนั้ ลงมือปฏบิ ัติ (action) เริม่ ปฏิบัติตาม แผนท่วี างไว้ในการปรับเปลย่ี นพฤติกรรม จะถอื วา่ มกี ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไดก้ ็ต่อเม่ือบรรลุตามเป้าหมายท่ีต้ังไว้ 5) ข้นั กระทาอย่างตอ่ เนอ่ื ง (maintenance) การปฏิบตั ติ ามแผนทวี่ างไวใ้ นการปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมได้อยา่ งต่อเนื่อง จนเกดิ พฤติกรรมใหม่ (new normal) และ 6) ขนั้ การกลบั ไปทาพฤตกิ รรมเดิม (relapse) อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ แนวทางการนาแนวคดิ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมตามทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปใช้ในการวิจัย โดยศึกษาว่า การการรับรู้ต่อสถานการณ์ ความรู้ ทศั นคติและทักษะท่ีใช้สาหรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะเปน็ ปัจจยั ทานาย พฤตกิ รรมการปฏบิ ัติตวั ตามมาตรการการเว้นระยะหา่ งหรอื ไม่ เมื่อบคุ คลเผชิญสถานการณ์ท่เี ป็นภัยคุกคามแก่ชีวิต และจะตอ้ งพยายามปรบั พฤติกรรมรบั สถานการณ์การเปลยี่ นแปลงดงั เชน่ สถานการณก์ ารระบาด COVID-19 ในความ พยายามทบ่ี ุคคลจะสรา้ งความเคยชินในพฤติกรรมใหม่ หรอื ทเ่ี รียกกนั วา่ New Normal ในสถานการณ์การระบาดของ โรคโควดิ -19 เพื่อให้เกิดความสมดลุ ของร่างกายในการคงอย่ใู นสังคมได้อย่างปกตสิ ุข แต่ในระยะของการเปลี่ยนแปลง ตามทฤษฎลี าดับข้ันของการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและการปรับตัวเข้าสคู่ วามเคยชินในพฤตกิ รรมใหม่นั้น อาจจะ ส่งผลกระทบตอ่ สขุ ภาพกาย สขุ ภาพจิต วธิ คี ิด และทศั นคติตอ่ การใชช้ ีวิตในสงั คม และส่งผลกระทบโดยรวมตอ่ คณุ ภาพชวี ิตได้ จากการทบทวนวรรณกรรมเก่ียวกับงานวจิ ัยทีศ่ ึกษาปัจจยั ตา่ งๆที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในช่วงสถานกา รณ์ การระบาดของโรคโควิด-19 พบวา่ ปัจจัยทเ่ี กี่ยวข้องกบั ความเครยี ดในกลุ่มนกั ศึกษาคณะสาธารณสขุ ศาสตรแ์ ละสหเวช ศาสตร์ของสถาบนั พระบรมราชชนกได้แก่ระดบั การรับรแู้ ละระดับของพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากโรคโควิด -19 (Suwanaphant et ai., 2020) การศึกษาของธานี กล่อมใจ,จรรยา แก้วใจบุญและทักษิกา ชัชวรัตน์ (Glomjai, Kaewjiboon and Chachvarat, 2020) พบว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 ประชาชนในเขตตาบลบา้ นสาง อาเภอเมือง จงั หวัดพะเยา ส่วนใหญม่ ีความร้แู ละพฤติกรรมการป้องกนั โรคอย่ใู นระดับมาก และความรู้ยงั มคี วามสัมพันธท์ างบวกกบั พฤติกรรมการปอ้ งกนั โรคอีกด้วย นอกจากน้ีการศึกษาของธรี ะพงษ์ ทศวัฒน์ และปิยกมล มหิวรรณ (Tossawat and Mahiwan, 2020) พบว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ คณุ ภาพชวี ิตทางสังคมของประชาชนโดยภาพรวมดังน้ันการพัฒนาคุณภาพชวี ิตทางสงั คมเป็นสิง่ ท่จี าเปน็ ทีจ่ ะทาให้ ประชาชนได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด -19 ให้น้อยท่ีสุด ซ่ึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางสังคม ประกอบด้วย 9 ด้านได้แก่ 1) ด้านสังคม 2) ด้านสาธารณสขุ 3) ด้านเศรษฐกิจและสังคม 4) ด้านการปฏิบัติตาม มาตรการควบคมุ หลักและมาตรการเสริมสาหรับพืน้ ที่ ใชม้ าตรการการควบคุมกจิ กรรมดาเนินงานเศรษฐกจิ และการ ดาเนินชวี ิต 5) ด้านมาตรการเชิงรุกในการเฝา้ ระวังและปอ้ งกันกล่มุ เสย่ี งสาคญั 6) ดา้ นการกากบั ติดตามมาตรการผอ่ นปรน กิจการและกจิ กรรมต่างๆ เพอื่ ปอ้ งกันการแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 7) ดา้ นมาตรการการปอ้ งกนั ผลกระทบโรคโควดิ -19
172 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) 8) ดา้ นการพฒั นาคุณภาพชีวิตการทางาน และ 9) ดา้ นพฤติกรรมมาตรฐานวิถีชีวิตใหม่ (new normal) ภายหลังการ ระบาดของโรค คณะผวู้ ิจัยจงึ มคี วามสนใจศึกษาถึงการปฏิบัติตัวตามมาตรการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคม “Social Distancing” และ ผลของการปฏบิ ตั ิตวั ตอ่ สขุ ภาพจติ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในจังหวัดลาปาง ในช่วงการระบาดของโรคโควดิ -19 เพ่อื นาขอ้ มลู ไปวางแผนในการพัฒนาแนวทางและรูปแบบในการดูแลสุขภาพจติ และคุณภาพชวี ิตของประชาชนใน จังหวดั ลาปางท่ไี ดร้ ับผลกระทบจากสถานการณก์ ารระบาดของโรคโควิด-19 และการท่จี ะตอ้ งปรับเปลยี่ นพฤติกรรม ตามมาตรการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคม “Social Distancing” รวมถงึ การเตรียมความพร้อมของประชาชนในการท่ี จะต้องมกี ารปรบั เปลย่ี นวิถีชวี ติ ใหมต่ อ่ การระบาดของโรคท่ีจะเกิดขน้ึ และมีผลกระทบตอ่ การดาเนินชีวิตในระยะยาว วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือศกึ ษาการรบั รู้ ทศั นคตแิ ละความรตู้ ่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสงั คม (social distancing) และปฏิบตั ิ ตัวตามมาตรการของประชาชนในจงั หวัดลาปางในช่วงการระบาดของโรคโควดิ -19 2. เพ่ือศกึ ษาผลกระทบของการรับรู้ ทศั นคติและความรูต้ อ่ มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ทม่ี ีต่อการปฏบิ ตั ิตัวตามมาตรการ สขุ ภาพจติ และคุณภาพชีวติ ของประชาชนในจงั หวัดลาปางในชว่ งการระบาดของโรคโควิด-19 ขอบเขตงานวจิ ยั รูปแบบการวิจัยเปน็ การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (analytical research) แบบตดั ขวาง (cross-sectional study) ศึกษาถงึ การปฏิบตั ติ วั ตามมาตรการเวน้ ระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และผลกระทบของการปฏบิ ตั ิตวั ตาม มาตรการเว้นระยะหา่ งทางสงั คม (social Distancing) ตอ่ สขุ ภาพจติ และคณุ ภาพชวี ิตของประชาชนในช่วงการระบาด ของ COVID-19 โดยศึกษาในกล่มุ ประชากรในจังหวดั ลาปางทีม่ ีอายุตัง้ แต่ 18 ปีขึน้ ไป ระยะเวลาการดาเนินการวิจัย ระหว่างเดอื น เมษายน – กันยายน 2563 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรตาม ตวั แปรต้น - การรบั รมู้ าตรการเว้นระยะห่าง - การปฏบิ ัตติ ามมาตรการเวน้ ทางสงั คม ระยะหา่ งทางสงั คม - ทศั นคติต่อมาตรการเวน้ - สุขภาพจิต ระยะหา่ งทางสงั คม - คณุ ภาพชีวิต - ความรู้เก่ยี วกับโรคและมาตรการ เวน้ ระยะหา่ งทางสังคม ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวจิ ัย
173 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) นยิ ามศพั ท์เฉพาะ มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) หมายถึง นโยบายการรักษาระยะห่างเพื่อให้ ปลอดภยั จากการแพร่กระจายเช้ือหรอื การติดต่อของเช้ือโคโรน่าไวรัส COVID-19 ท่แี พรก่ ระจายเช้อื ผ่านทางละออง ฝอยจากการไอหรือจามจากผทู้ ี่เปน็ พาหะ การรับรมู้ าตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หมายถงึ การแสดงออกถึงความรู้ การรูจ้ ักมาตรการการเว้น ระยะหา่ งทางสังคม โดยการรบั รขู้ อ้ มูลจากแหล่งตา่ งๆ ทัศนคติต่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หมายถึง ความคิดเห็น ความเชื่อ ความรู้สึกที่มีต่อ มาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทางสงั คม อาจจะเปน็ ความคดิ เห็นที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือเปน็ กลาง ความรเู้ กยี่ วกับโรคและมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หมายถึง สงิ่ ทีไ่ ด้จากการเรียนรู้ความรู้ ความ เขา้ ใจท่ีส่งั สมมาจากการศึกษาข้อมูล ประสบการณแ์ ละทกั ษะต่างๆเก่ียวกับโรคโควดิ -19 และมาตรการเวน้ ระยะห่าง ทางสังคม การปฏบิ ตั ิตัวตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หมายถงึ การปฏิบตั ิพฤติกรรมการรักษาระยะห่าง เพอ่ื ใหป้ ลอดภัยจากการแพร่กระจายเชอื้ หรือการติดต่อของเช้ือโคโรนา่ ไวรัส COVID-19 ทีแ่ พรก่ ระจายเชื้อผา่ นทาง ละอองฝอยจากการไอหรือจามจากผู้ท่ีเป็นพาหะ สุขภาพจิต หมายถึง สภาวะทางจิตใจ อารมณ์ และความคิด ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับความสามารถในการปรบั ตัวให้ เข้ากบั ชว่ งทมี่ ีการปรับเปลยี่ นพฤติกรรมการปฏิบัติตวั มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยในการวจิ ยั ครง้ั น้ี การ ประเมินสขุ ภาพจติ ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ การประเมินภาวะซมึ เศรา้ (depression) ความวิตกกงั วล (anxiety) และ ภาวะความเครียด (stress) คุณภาพชวี ิต หมายถึง คุณภาพชีวิตของแตล่ ะบุคคลข้นึ อยู่กบั บริบททางสังคม วฒั นธรรม และคา่ นยิ มใน เวลานั้นๆ และมคี วามสัมพนั ธ์กบั จุด มงุ่ หมาย ความคาดหวัง และมาตรฐานทแ่ี ตล่ ะคนกาหนดข้ึน ตามความหมายท่ี กาหนดโดยองค์การอนามยั โลก ประกอบดว้ ย 4 มิติ ดังน้ี 1) มิตดิ ้านสขุ ภาพกาย (physical) 2) มติ ิด้านสขุ ภา พจิต (psychological) 3) มิติด้านความสัมพันธ์ทา งสังคม (social relationships) และ 4) มิติด้านสภาพแวดล้อม (environmental) สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 หมายถึง สถานการณ์การระบาดของโรคติดตอ่ ระบบทางเดินหายใจ จากเชอื้ โคโรนา่ ไวรัสสายพนั ธุ์ใหม่ 2019 ซง่ึ ต่อมาองคก์ ารอนามัยโลกให้ชอ่ื ว่า COVID-19 ซึง่ ย่อมาจาก Corona virus Disease staring in 2019 เปน็ สถานการณ์ทอ่ี ย่ใู นช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศหนงึ่ ท่ีได้รับผลกร ะทบ จากการระบาด และมีการประกาศพระราชกาหนดท่ัวประเทศ และประกาศมาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสงั คมช่วงท่ี มกี ารระบาด ในการศึกษาคร้งั น้ีเป็นสถานการณก์ ารระบาดในช่วงเดอื นมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2563
174 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) วิธีดาเนนิ การวิจัย ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ประชากร คอื ประชาชนในจงั หวัดลาปางท่ีมอี ายตุ ั้งแต่ 18 ปีข้นึ ไป จานวน 737,493 คน (ขอ้ มูลประชากร กลางปี 1 กรกฎาคม 2562 จากสานักงานสาธารณสขุ จงั หวัดลาปาง) กาหนดขนาดกลมุ่ ตวั อย่างด้วยวิธกี ารของ Taro Yamane’ (1973) ไดก้ ลุ่มตวั อย่าง 400 คน และเพิ่มจานวนกลุ่มตวั อย่างร้อยละ 10 เพือ่ ป้องกนั การสญู เสียจา กการ ตอบแบบสอบถาม ดังนั้นกลุ่มตวั อยา่ งในการศึกษาครัง้ นี้เท่ากบั 440 คน และสุ่มเลอื กตัวแทนกลุ่มตวั อย่างด้วยวิธีการ Multi-stage sampling เลือกสมุ่ โดยการจบั สลากตัวแทน 1 โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบล (รพ.สต.) ตอ่ 1 อาเภอ จากน้ันสุ่มเลือก 1 หมบู่ ้านในเขตรับผิดชอบของ รพ.สต. และสุ่มตวั อยา่ งท่ีเปน็ ตัวแทนครัวเรอื นของหมู่บา้ นๆ ละ ประมาณ 30 - 35 คนจากท้งั หมด 13 อาเภอ เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัยประกอบด้วย 7 ส่วนเปน็ แบบประเมินที่ใช้การเก็บรวบรวม ขอ้ มลู ผ่านแบบสอบถามอเิ ลคโทรนกิ ส์คอื (google form) มรี ายละเอียดดังน้ี 1. แบบสอบถามข้อมลู ท่ัวไป จานวน 6 ขอ้ ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดับการศกึ ษา อาชีพ รายได้ การเปลีย่ นแปลง ของรายได้ชว่ งการระบาดของโรค 2. แบบสอบถามการรับรู้มาตรการเวน้ ระยะหา่ งทางสงั คม (social distancing) จานวน 6 ขอ้ ลกั ษณะคาถาม เป็นแบบ rating scale 1 (รบั รนู้ อ้ ยทส่ี ุด) ถงึ 5 (รบั รู้มากที่สุด) การแปลผล ระดบั การรับรมู้ าก 24.00 - 30.00 คะแนน (80% ขนึ้ ไป) ระดบั การรบั รปู้ านกลาง 21.00 – 23.99 คะแนน (70 – 79.99%) ระดับการรบั รู้นอ้ ย 6.00 – 20.99 คะแนน (น้อยกวา่ 70%) 3. แบบสอบถามทศั นคตติ อ่ มาตรการเว้นระยะหา่ งทางสงั คม (social distancing) จานวน 5 ข้อ ลักษณะข้อ คาถามเปน็ แบบ rating scale 1 (เห็นด้วยนอ้ ยที่สดุ ) ถึง 5 (เหน็ ด้วยมากท่ีสุด) การแปลผล ทศั นคตริ ะดบั มาก 20.00 – 25.00 คะแนน (80% ขึน้ ไป) ทัศนคติระดับปานกลาง 17.50 – 19.99 คะแนน (70 – 79.99%) ทัศนคตริ ะดับนอ้ ย 5.00 – 17.49 คะแนน (น้อยกว่า 70%) 4. แบบสอบถามความรเู้ กีย่ วกบั โรคและมาตรการเว้นระยะห่างทางสงั คม (social distancing) จานวน 10 ข้อ ลักษณะข้อคาถามเป็นแบบถูก – ผดิ ข้อละ 1 คะแนน การแปลผล 8.00 – 10.00 คะแนน (80% ข้นึ ไป) ความรรู้ ะดบั มาก 7.00 – 7.99 คะแนน (70 – 79.99%) ความรู้ระดบั ปานกลาง 0.00 – 6.99 คะแนน (น้อยกว่า 70%) ความรู้ระดับน้อย
175 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) 5. แบบสอบถามการปฏิบัติตัวตามแนวปฏิบัติของมาตรการเว้นระยะห่างทางสงั คม (social distancing) จานวน 9 ข้อ ลักษณะข้อคาถามเปน็ แบบ rating scale 1 (ไมป่ ฏิบัตเิ ลย) ถึง 5 (ปฏิบัติทกุ ครั้ง) การแปลผล การปฏบิ ตั ริ ะดบั มาก 36.00 – 45.00 คะแนน (80% ขึ้นไป) การปฏิบัตริ ะดับปานกลาง 31.50 – 35.99 คะแนน (70 – 79.99%) ทัศนคตริ ะดบั นอ้ ย 9.00 – 31.49 คะแนน (นอ้ ยกว่า 70%) การแปลผลค่าคะแนนของเครื่องมือลาดับท่ี 2 – 5 ใช้เกณฑก์ ารอ้างอิงตามหลักการวัดและประเมินผลของบลมู (Bloom,1971) 6. แบบประเมนิ สุขภาพจิต เปน็ แบบประเมนิ มาตรฐานจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ประกอบดว้ ย 6.1 แบบประเมินภาวะซึมเศร้า จานวน 2 ขอ้ ลักษณะข้อคาถามเป็นแบบเลือกตอบ มี (1) – ไมม่ ี (0) การแปลผล 1. ถ้าคาตอบ ไมม่ ี ท้ัง 2 คาถาม ถอื ว่า ปกติ ไมเ่ ป็นโรคซมึ เศร้า 2. ถา้ คาตอบ มี ขอ้ ใดข้อหนึ่งหรอื ทง้ั 2 ข้อ (มีอาการใดๆ ในคาถามที่ 1 และ 2) หมายถึง “เป็นผู้มี ความเสย่ี ง” หรือ “มแี นวโนม้ ที่จะเปน็ โรคซมึ เศร้า” ให้ประเมนิ ตอ่ ดว้ ยแบบประเมิน โรคซมึ เศรา้ 9Q 6.2 แบบประเมินความเครียดจานวน 5ขอ้ ลักษณะขอ้ คาถามแบบ ratingscale ต้งั แต่ 0 (ไมม่ เี ลย)ถึง3 (เป็นประจา) การแปลผล เครยี ดมากทส่ี ุด 10-15 คะแนน เครียดมาก 8-9 คะแนน เครยี ดปานกลาง 5-7 คะแนน เครียดนอ้ ย 0-4 คะแนน 6.3 แบบประเมนิ ความวติ กกังวล 7 ขอ้ ลกั ษณะข้อคาถามแบบ rating scale ตงั้ แต่ 0 (ไมม่ ีเลย) ถงึ 3 (เกือบทกุ วนั ) แบ่งความรู้สึกวิตกกังวลออกเปน็ 3 ระดับ การแปลผล วิตกกงั วลมาก 15-21 คะแนน วิตกกังวลปานกลาง 8-14 คะแนน วติ กกงั วลน้อย 0-7 คะแนน 7. แบบประเมนิ คุณภาพชีวิต (WHOQOL – BREF – THAI) เปน็ แบบประเมินคุณภาพชีวติ ภาษาไทยฉบับย่อ ของกรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข จานวน 26 ข้อ ลกั ษณะข้อคาถามแบบ rating scale ตงั้ แต่ 0 (ไม่เลย)ถึง5 (มากทส่ี ดุ ) การแปลผล คณุ ภาพชีวติ ที่ดี 96-130 คะแนน คุณภาพชีวติ ปานกลาง 61-95 คะแนน คณุ ภาพชวี ิตไมด่ ี 26-60 คะแนน
176 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ การตรวจสอบความตรงเน้ือหา (content validity) ตรวจสอบโดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด 3 ท่าน โดย กาหนดความพ้องกันในทุกข้อคาถาม และแก้ไขปรบั ปรงุ ตามข้อเสนอแนะ จากน้ันนามาวิเคราะห์ค่าดัชนคี วาม สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence, IOC) โดยการตรวจสอบความตรงของเน้ือหาเฉพาะ เครอ่ื งมอื ลาดบั ท่ี 1 – 4 เนอ่ื งมาจากเปน็ เคร่ืองมอื ทีผ่ ู้วิจยั พัฒนามาจากการทบทวนวรรณกรรม เครื่องมอื ท้ัง 4 ส่วนได้คา่ ดัชนี ความสอดคลอ้ ง มากกวา่ หรอื เทา่ กับ 0.5 ทุกข้อ การตรวจสอบความเชื่อม่นั (Reliability) ผวู้ ิจัยตรวจสอบค่าความเช่ือม่ันโดยการหาคา่ คงที่ภายใน (internal consistency) ค่าสัมประสิทธ์ิอลั ฟา่ (Alpha Coefficient) ในกลมุ่ ตัวแทนที่มลี ักษณะคล้ายคลงึ กันกับกลมุ่ ตัวอยา่ งในเขตเทศบาลนคร ลาปางจานวน 30 คน ค่าสัมประสิทธ์ิอัลฟ่า ของแบบสอบถามเท่ากบั .86(การรับร)ู้ ,.92 (ทัศนคติ),.88(การปฏบิ ัติ),.93 (สขุ ภาพจิตด้านความเครยี ด), .96 (สขุ ภาพจิตด้านความวติ กกังวล) และ .95 (คุณภาพชวี ิต) และแบบสอบถามความรู้ ใช้คา่ ความเช่อื มัน่ จาก KR-20 มคี า่ เท่ากับ .72 การวเิ คราะหข์ ้อมลู 1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยการคานวณหาค่าสถิติเบ้ืองต้นด้วย ร้อยละ ค่าเฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. สถิติในการวเิ คราะห์ผลกระทบของการปฏบิ ัติตัวตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ตอ่ สุขภาพจิตและคุณภาพชวี ิตโดยใช้ค่าสัมประสิทธ์ถิ ดถอย (regression analysis) การพทิ กั ษส์ ทิ ธก์ ลุม่ ตัวอย่างและจริยธรรมการวิจยั ผวู้ ิจัยส่งโครงรา่ งวิจัยเข้ารับการพิจารณาด้านจริยธรรมการวิจัย จากคณะกรรมการพจิ ารณาจรยิ ธรร มการ วิจัย วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปางไดร้ ับการรับรองจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในมนษุ ย์เลขท่ี E2563-084 เมือ่ วนั ท่ี 7 พฤษภาคม 2563 เมอ่ื ได้รับอนญุ าตการดาเนนิ การวจิ ัย ผวู้ ิจยั ทาหนงั สือขอความรว่ มมอื ไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตา บล ท่ี ได้รบั การสุ่มเปน็ พ้นื ท่ีการเกบ็ ขอ้ มูล และอธบิ ายวตั ถปุ ระสงค์และเอกสารการยนิ ยอมเขา้ ร่วมวิจัย การเข้าร่วมการวิจัย คร้ังน้ีเป็นไปด้วยความสมัครใจจะให้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง และแจ้งให้ทราบว่าเม่ือร่วมเข้า โครงการวิจยั แลว้ หากกล่มุ ตวั อย่างตอ้ งการออกจากการวจิ ยั สามารถกระทาไดต้ ลอดเวลา โดยไม่มผี ลกระทบใด ๆ ตอ่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง และขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากกลุ่มตัวอยา่ งจะถือเปน็ ความลับ และในการรวบรวมขอ้ มูล จะไมร่ ะบชุ ื่อ หรอื ทอ่ี ยขู่ อง กลุ่มตวั อยา่ ง โดยจะนาไปใชใ้ นประโยชน์ทางวิชาการเทา่ นน้ั ส่วนผลการวจิ ัยจะนาเสนอในภาพรวม และขอ้ มูลทงั้ หมด จะถูกทาลายภายใน 1 ปี ภายหลงั จากท่ผี ลการวจิ ัยไดร้ บั การเผยแพร่แล้ว
177 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ผลการวจิ ยั ผลการวิจัยวิเคราะห์จากกลุ่มตัวอย่าง 432 คนคิดเป็นร้อยละ 98.18 ของกลุ่มตัวอย่างที่คานวณได้ มี ผลการวจิ ยั ดังน้ี 1. ข้อมูลสว่ นบุคคล ผลการวิจยั พบว่ากลมุ่ ตัวอยา่ งเพศหญิงมากกว่าเพศชายโดยเป็นเพศหญิง จานวน 260 คน (รอ้ ยละ 60.19) และเพศชายจานวน 172 คน (ร้อยละ 39.81) กล่มุ ตวั อยา่ งมอี ายุเฉลยี่ 47.16 (SD 11.45) โดยที่ รอ้ ยละ 58.57 ของกลมุ่ ตัวอยา่ งมีอายุอยู่ระหวา่ ง 40-59 ปี รอ้ ยละ 61.35 ระดบั การศึกษาระดับมัธยมศึกษา หรือ เทียบเทา่ ร้อยละ 45.38 มอี าชีพเกษตรกร รองลงมาคอื ประกอบอาชีพสว่ นตัว/ค้าขาย ร้อยละ 15.28 ร้อยละ 53.93 มีรายได้ระหวา่ ง 5,000 - 15,000 บาท/เดือน และร้อยละ 66.43 มรี ายได้ลดลงในชว่ งการระบาดของโรคโควิด-19 ดงั ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 จานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานข้อมลู สว่ นบุคคลกลุ่มตัวอย่าง (n = 432) ขอ้ มลู ส่วนบุคคล จานวน (คน) ร้อยละ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1. เพศ 172 39.81 ชาย 260 60.19 หญงิ 2. อายุ (ป)ี 47 10.88 47.16 11.45 20 – 29 93 21.53 30 – 39 133 30.79 40 – 49 120 27.78 50 - 59 39 9.02 60 ปขี น้ึ ไป 3. ระดับการศกึ ษา 97 22.45 ประถมศึกษา 265 61.35 มัธยมศึกษา/เทียบเทา่ 69 15.97 ปรญิ ญาตรี 1 0.23 สูงกวา่ ปรญิ ญาตรี 4. รายได้ (ต่อเดือน) 155 35.88 น้อยกว่า 5,000 102 23.61 5,001 – 10,000 131 30.32 10,001 – 15,000 44 10.19 มากกว่า 15,000
178 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ตารางที่ 1 จานวน ร้อยละ คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานข้อมลู สว่ นบุคคลกลุ่มตัวอย่าง (n = 432)(ต่อ) ข้อมูลส่วนบุคคล จานวน (คน) รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 5. อาชีพ 196 45.38 36 8.33 เกษตรกร 34 7.87 รบั ราชการ/รัฐวสิ าหกจิ 66 15.28 พนกั งานบริษทั /เอกชน 30 6.94 ธุรกิจสว่ นตัว/ค้าขาย 70 16.20 รบั จ้างทวั่ ไป อ่ืนๆ (เช่น แมบ่ ้าน, 72 16.67 ว่างงาน) 5 1.16 6. การเปล่ยี นแปลงของ 287 66.43 รายได้ช่วงการระบาดของโรค 68 15.74 รายได้ตามปกติ รายไดม้ ากข้ึน รายไดล้ ดลง ไม่มรี ายไดเ้ ลย 2. ระดับการรับรู้มาตรการเวน้ ระยะห่างทางสังคม ทัศนคติต่อมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ความรู้ เกีย่ วกบั โรคและมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และการปฏบิ ตั ติ ัวตามแนวปฏบิ ัตขิ องมาตรการเว้นระยะห่างทาง สงั คม ผลการวิจยั พบวา่ ตวั แปรท่มี ีค่าคะแนนอย่ใู นระดับมากได้แก่ การรบั รู้มาตรการเว้นระยะห่างทางสงั คม คา่ เฉลีย่ 25.22 (SD 4.47) และความรู้เก่ยี วกบั โรคและมาตรการเวน้ ระยะหา่ งทางสงั คม คา่ เฉลยี่ 8.54 (SD 1.17) ส่วนทศั นคติ ต่อมาตรการเว้นระยะหา่ งทางสังคมและการปฏบิ ัติตวั ตามแนวปฏบิ ัตขิ องมาตรการเว้นระยะห่างทางสงั คมอยู่ในร ะดับ ปานกลางคา่ เฉลย่ี 17.86 (SD 2.51 และ 34.83 (SD 4.92) ตามลาดบั ดังตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 ค่าต่าสดุ คา่ สูงสุด คา่ เฉลย่ี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของระดับการรบั รู้มาตรการเว้นระยะหา่ งทาง สงั คม ทัศนคตติ ่อมาตรการเวน้ ระยะห่างทางสังคม ความรเู้ กยี่ วกับโรคและมาตรการเว้นระยะหา่ งทางสังคม และการ ปฏบิ ตั ติ วั ตามแนวปฏิบัติของมาตรการเว้นระยะหา่ งทางสงั คม (n = 432) หวั ขอ้ ค่า ค่า ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบน ระดับ ตา่ สดุ สงู สดุ มาตรฐาน 1. การรบั รู้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม 6 30 25.22 4.47 มาก 2. ทศั นคตติ อ่ มาตรการเว้นระยะหา่ งทางสงั คม 9 25 17.86 2.51 ปานกลาง 3. ความรู้เก่ยี วกับโรคและมาตรการเว้นระยะหา่ ง 4 10 8.54 1.17 มาก ทางสังคม 4. การปฏิบัตติ วั ตามแนวปฏิบตั ขิ องมาตรการเว้น 13 44 34.83 4.92 ปานกลาง ระยะห่างทางสังคม
179 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) 3. การประเมินดา้ นสขุ ภาพจติ 3 ด้านไดแ้ ก่ ภาวะซึมเศรา้ ความเครยี ด และความวติ กกงั วล และการประเมิน คุณภาพชวี ติ ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) กลุ่มตวั อย่างท่ไี ม่มภี าวะซมึ เศร้า (ปกติ) รอ้ ยละ 97.91 และมีกล่มุ เส่ียงภาวะซมึ เศร้า จานวน 9 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 2.08 2) ผลการประเมนิ ด้านความเครยี ด พบวา่ ประมาณครึ่งหน่ึงของกล่มุ ตัวอย่าง (ร้อยละ 51.85) มภี าวะเครยี ดอย่ใู นระดับน้อย และรองลงมาคือภาวะเครยี ดระดับปานกลาง ร้อยละ 32.18 และภาพรวมของภา วะ เครียดอยู่ในระดับน้อย มีคา่ เฉลีย่ 3.49 (SD 3.36) 3) ผลการประเมินดา้ นความวิตกกงั วล พบวา่ ส่วนใหญ่ รอ้ ยละ 71.06 มีภาวะความวติ กกังวลอยู่ในระดับน้อย เช่นเดยี ว กับภาพรวมของภาวะความวิตกกังวลทอี่ ยู่ในระดบั น้อย มี ค่าเฉลีย่ 6.86 (SD 4.93) และ 4) การประเมินด้านคุณภาพชีวิต พบว่า ครึง่ หน่ึงของกลุ่มตัวอย่าง รอ้ ยละ 50.00 มี คณุ ภาพชีวติ อยู่ในระดับดี เชน่ เดียวกบั ภาพรวมของคุณภาพชวี ติ อยูใ่ นระดบั ดี มีค่าเฉลี่ย 89.62 (SD 14.94)ดังตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 การประเมนิ ดา้ นสขุ ภาพจิต 3 ดา้ นไดแ้ ก่ ภาวะซมึ เศรา้ ความเครียด และความวติ กกังวล และการประเมินคุณภาพชวี ติ (n = 432) หวั ข้อ จานวน คา่ เฉล่ีย ส่วน ระดับ ดา้ นสขุ ภาพจิต (ร้อยละ) เบี่ยงเบน (ภาพรวม) มาตรฐาน 1.ภาวะซึมเศรา้ ปกติ มีภาวะเส่ียง 2.ความเครียด 423 9 (97.91) (2.08) 3.ภาวะความวติ กกังวล นอ้ ย ปานกลาง มาก มากที่สุด ด้านคุณภาพชีวติ 224 139 28 41 3.49 3.36 น้อย (51.85) (32.18) (6.48) (9.49) 6.86 4.93 นอ้ ย นอ้ ย ปานกลาง มาก 98.62 14.94 ดี 307 75 50 (71.06) (17.36) (11.57) ไมด่ ี ปานกลาง ดี 22 194 216 (5.09) (44.91) (50.00) 4. ผลของการรบั รู้ ทัศนคติและความร้ตู ่อมาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคม (Social distancing) ทม่ี ตี ่อการ ปฏบิ ตั ติ วั ตามมาตรการ สุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) การรับรแู้ ละทศั นคติต่อมาตรการการเว้น ระยะหา่ งทางสังคมรว่ มกนั ทานายการปฏบิ ตั ิตวั ตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมรอ้ ยละ 34.1 (R2 = .341, P<.001) 2) ทศั นคตติ ่อมาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสังคม ทานายทางลบต่อสุขภาพจิตด้านความวิตกกังวล ร้อยละ 8.6 (R2= .086, P <.001) หมายถึงคา่ คะแนนทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ของทัศนคติต่อมาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทางสงั คมท่เี พิ่มขนึ้ มผี ลทา ให้ระดับความวติ กกังวลลดลง นอกจากนี้ทัศนคติต่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมยังทานายทางลบต่อ
180 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) สุขภาพจติ ด้านความเครยี ดร้อยละ 6.5 (R2 = .065, P <.001) หมายถึงคา่ คะแนนที่เพ่ิมขน้ึ ของทัศนคตติ ่อมาตรการ การเวน้ ระยะหา่ งทางสงั คมทเี่ พม่ิ ขนึ้ มีผลทาใหร้ ะดบั ความเครียดลดลง และ 3) การรับรู้มาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทาง สงั คมทานายคุณภาพชีวิตรอ้ ยละ 11.8 (R2 = .118, P< .001) ดังแสดงในตารางที่ 4 - 7 ตารางที่ 4 ค่าสมั ประสิทธิก์ ารทานายผลของการรับรู้ และทศั นคติตอ่ มาตรการการเวน้ ระยะห่างทางสังคมตอ่ การปฏบิ ตั ติ วั ตามมาตรการ (n = 432) ตัวแปร B SEb Beta t p-value คา่ คงที่ 12.55 1.74 7.21 <.001*** การรบั รู้มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม .378 .053 .344 7.18 <.001*** ทศั นคตติ ่อมาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสังคม .713 .094 .364 7.59 <.001*** F(2,429) = 85.27, R2 = .341, ***p<.001 ตารางที่ 5 คา่ สมั ประสิทธ์กิ ารทานายผลของทัศนคตติ ่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสงั คมต่อสุขภาพจิตด้านความวติ กกังวล(n= 432) ตัวแปร B SEb Beta t p-value ค่าคงที่ 14.197 1.867 7.606 <.001*** ทศั นคติตอ่ มาตรการการเวน้ ระยะห่างทางสังคม -.578 .103 -.294 -5.589 <.001*** F(1,430) = 31.24, R2 = .086, ***p<.001 ตารางที่ 6 ค่าสัมประสทิ ธ์ิการทานายผลของทศั นคติตอ่ มาตรการการเวน้ ระยะห่างทางสงั คมต่อสุขภาพจติ ด้านความเครยี ด(n= 432) ตัวแปร B SEb Beta t p-value ค่าคงท่ี 9.585 1.284 7.466 <.001*** ทัศนคติต่อมาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคม -.341 .071 -.255 -4.797 <.001*** F(1,430) = 23.011, R2 = .065, ***p<.001
181 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 7 คา่ สมั ประสทิ ธิ์การทานายผลของการรับรู้มาตรการการเวน้ ระยะห่างทางสังคมต่อคุณภาพชวี ิต (n = 432) ตวั แปร B SEb Beta t p-value คา่ คงที่ 62.664 4.411 14.207 <.001*** การรับรมู้ าตรการการเวน้ ระยะห่างทางสังคม 1.148 .172 .334 6.667 <.001*** F(1,430) = 44.447, R2 = .118, ***p<.001 อภปิ รายผล ผลการวิจัย พบว่า การรบั รูแ้ ละทัศนคตติ อ่ มาตรการการเวน้ ระยะทางสังคมมีผลทางบวกกบั การปฏบิ ัตติ ัวตาม มาตรการการเวน้ ระยะหา่ งทางสังคม ได้แก่ การไมอ่ ยใู่ กลช้ ดิ กันหรอื การเว้นระยะห่างทางกายภาพอยา่ งน้อย 1-2 เมตร ไมร่ วมตวั กนั ในสถานทชี่ มุ ชนแออัด หลีกเลย่ี งการใช้ภาชนะและอุปกรณ์รบั ประทานอาหารรว่ มกับผู้อ่ืน หลีกเลีย่ งการ เดินทางดว้ ยขนสง่ ทม่ี คี นแออัด ใช้การตดิ ต่อสือ่ สารผา่ นช่องทางออนไลน์หรือโทรศัพทเ์ คลือ่ นที่ การงานจากท่บี า้ น เป็น ตน้ หมายถึงกลุม่ ตัวอยา่ งมรี ะดับการรับรแู้ ละทัศนคตติ ่อมาตรการการเวน้ ระยะทางสังคมท่ีเพ่ิมขึ้นจะเป็นผลทาให้ พฤตกิ รรมการปฏิบตั ิตวั ตามมาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสังคมมากข้ึน ซึง่ ผลการวิจัยเปน็ ไปตามทฤษฎีแบบแผน ความเชอื่ ด้านสุขภาพ (Health Belief Model; HBM) ของ โรเซนสต็อกและคณะ (Rosenstock et al. 1988) ทไ่ี ด้ กล่าวถึงปัจจัยทางดา้ นการรบั รูแ้ ละปัจจัยร่วมไว้ 7 ปจั จัยดงั นี้ 1) การรบั รูโ้ อกาสเส่ียงเกดิ โรค (perceived susceptibility) 2) การรบั รู้ความรุนแรงของโรค (perceived severity) 3) การรับรปู้ ระโยชนท์ ี่ได้รับและค่าใชจ้ า่ ย และรับรอู้ ปุ สรรค (perceived benefits and costs, barriers) 4) การรับรู้ภาวะคุกคาม (perceived threat) 5) ส่ิงจูงใจกระตุ้นให้ ปฏบิ ตั ิ (cues to action or health motivation) 6) ปัจจยั ร่วมทเี่ กย่ี วข้อง (modifying factors) และ 7) การรับรู้ ความสามารถของตนเอง (self-efficacy) ว่าปัจจัยเหล่าน้ีเป็นสิ่งจูงใจให้บุคคลมักจะแสดงพฤติกรรมเพ่ือป้องกัน ผลกระทบอันทีจ่ ะเกิดกับสุขภาพของตนเอง ดังน้นั การรับรแู้ ละความเชือ่ ของบุคคลต่อมาตรการการเวน้ ระยะห่างทาง สังคม รบั รู้ถงึ ความเสยี่ งตอ่ การเกดิ โรค และรบั รูถ้ ึงความรนุ แรงของโรคท่ีจะส่งผลเสียตอ่ สุขภาพ จะส่งผลจงู ใจทาให้ บุคคลตัดสินใจแสดงพฤติกรรมการปฏบิ ัติตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองได้รบั ผลกระทบทางสุขภาพจากการแพรร่ ะบาดของโรคโควิด-19 และผลการวิจยั สอดคลอ้ งกับการศึกษาของภวรัญชน์ ลม้ิ ตระกูล (Limtrakoon, 2020) ทศ่ี กึ ษากรณีศกึ ษาการระบาดของโรคโควิด-19 จากจนี แผน่ ดินใหญ่สู่ประเทศไทยที่ ผลการวิจัยระบุว่าผลกระทบของการแพร่กระจายโรคโควิดเก่ียวข้องกับการรบั รขู้ ้อมูลข่าวสาร ถึงภาวะเสี่ยงของ ประชาชนกอ่ ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของคนในสังคม โดยเฉพาะการสร้างมาตรการการดาเนินวิถชี ีวิตใหม่ท่ี ถอื ปฏิบตั กิ ันทั่วโลกคอื การเว้นระยะหา่ งทางสังคม (social distancing)
182 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) นอกจากนี้ทศั นคติต่อมาตรการการเว้นระยะทางสังคมมผี ลทางลบกับสุขภาพจิต 2 ดา้ น ได้แก่ ความเครียด และความวิตกกงั วล หมายถึงกลมุ่ ตัวอย่างมรี ะดับทัศนคติต่อมาตรการการเวน้ ระยะทางสังคมที่ดีข้ึนจะเปน็ ผลให้ สุขภาพจิตด้านความเครยี ดและความวิตกกังวลลดลง กรมสุขภาพจิต (Department of Mental Health, 2021) ข้อมูลสถานการณก์ ารเปลีย่ นแปลงตา่ งๆเชน่ การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นธรรมดาท่บี คุ คลมักจะเกิดความเครียด ความวติ กกงั วลอย่างหลีกเล่ยี งไม่ได้ เนอื่ งจากภาวะความเครียดเปน็ กลไกโดยธรรมชาตทิ ี่จะชว่ ยใหบ้ ุคคลมีการวางแผน เตรียมรับมอื กับสถานการณ์ต่างๆ ความเครยี ดและความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 อาจจะเกดิ ได้จากกลวั การติดเชอ้ื กังวลกบั การเปลยี่ นแปลงของสถานการณ์ในแต่ละวนั ความเครียดจากการทไี่ ม่รู้ว่า สถานการณ์การแพรร่ ะบาดจะยาวนานแคไ่ หน เป็นตน้ ผลการศกึ ษาครง้ั นี้พบวา่ โดยภาพรวมกล่มุ ตัวอยา่ งมที ัศนคติต่อ มาตรการการเว้นระยะทางสังคมระดบั ปานกลาง และระดบั ความเครยี ดและความวิตกกังวลก็อยใู่ นระดบั ต่า ทัง้ น้ี อาจจะเป็นผลมาจากความเช่ือมนั่ ตอ่ มาตรการการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ของจงั หวัดลาปา งที่ สามารถควบคมุ ให้ผู้ติดเช้ืออยู่ในระดบั สีเหลือง (มีผู้ติดเชอื้ นอ้ ยกว่า 10 ราย) ได้ ทาใหส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบา ดใน จงั หวดั ไม่อย่ใู นระยะรนุ แรงท่จี ะทาให้เกดิ ความเสยี่ งสงู ในการติดเช้ือ และทัศนคติทม่ี องว่ามาตรการเว้นระยะหา่ งทาง สงั คมทหี่ มายถึง การปฏิบัติตามมาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสงั คม เชน่ การล้างมือกินร้อน ชอ้ นกลางอยูห่ า่ งกนั 1-2เมตร การสวมหนา้ กากอนามยั ไม่ได้เป็นเรอื่ งยงุ่ ยากต่อการใช้ชีวิตประจาวัน และยงั จะสามารถชว่ ยลดการแพร่กระจาย เชื้อ โรคโควดิ 19 ไดอ้ กี ทาง เม่ือบคุ คลเกิดความเช่ือม่ัน มกี ารรบั รตู้ ดิ ตามข่าวสารอยา่ งสม่าเสมอสง่ ผลทาให้ระดับของ ปญั หาสขุ ภาพจติ ด้านความเครียดและความวิตกกังวลเกย่ี วกบั โรคโควดิ 19 อยู่ในระดบั ท่ตี า่ การรับรู้มาตรการการเวน้ ระยะห่างทางสังคมยังเป็นปัจจัยทานายเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิต ถึงแม้ว่าโดย ภาพรวมวิกฤตการแพรร่ ะบาดของโรคโควดิ -19 จะส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นจานวนมากไม่ว่าจะเป็นผลกร ะทบ จากความรุนแรงของโรคโดยตรงหรือผลจากมาตรการในการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรคที่ทาให้เกิดการ เปลยี่ นแปลงวิถกี ารดาเนินชีวติ และกอ่ ให้เกิดปัญหาตา่ ง ๆ ตามมา ไม่วา่ จะเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสขุ ปัญหาด้าน เศรษฐกิจ และปัญหาดา้ นสุขภาพจิต ผลการวิจยั คร้ังน้ีพบว่าระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มตัวอย่างโดยภาพรวมอยู่ใน ระดับคุณภาพชวี ิตทีด่ ี นอกจากนย้ี ังพบวา่ การรบั รมู้ าตรการการเว้นระยะห่างทางสงั คมยังเป็นปจั จัยทานายต่อคุณภาพ ชีวติ หมายถึง กลุ่มตัวอยา่ งมีการรบั รู้ การแสดงออกถึงความรู้ การร้จู กั มาตรการการเว้นระยะหา่ งทางสังคม โดยการ รบั รู้ข้อมลู จากแหลง่ ตา่ งๆนาไปสู่การปฏบิ ัติตามมาตรการมากข้ึนเป็นผลใหค้ ุณภาพชีวติ ดขี ึ้น นอกจากน้ีคุณภาพชีวิตทอี่ ยู่ ในระดบั ดี อาจจะเนอ่ื งมาจากการที่กลุ่มตัวอย่างท่ีได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้รบั การ สนบั สนนุ การช่วยเหลือจากหนว่ ยงานภาครัฐ และภาคเอกชน จนถงึ ความรว่ มมอื จากภาคส่วนราชการในการเยียวยา และบรรเทาความเดอื ดรอ้ นด้วยมาตรการต่างๆเชน่ การจา่ ยเงนิ เยียวยาช่วยเหลือในการดารงชีวิตผ่านโครงการต่า งๆ การมสี ว่ นร่วมของประชาชนในการชว่ ยเหลือผู้เดือดร้อนผา่ นโครงการ “ต้ปู นั สุข” และการออกมาตรการที่เข้มงวด ตั้งแตร่ ะดบั นโยบายจนถงึ การปฏิบตั ใิ นระดับชุมชน ในการปอ้ งกนั การแพรร่ ะบาดของโรคทาใหป้ ระชาชนมีความมั่นใจ ในการดารงชวี ิตท่ีปลอดภัยจากการแพร่กระจายของโรค ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของธีระพงษ์ ทศวฒั น์ และปิยกมลมหิวรรณ (Tossawat and Mahiwan, 2020)
183 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ข้อเสนอแนะในการนาผลการศึกษาไปใช้ จากผลการวจิ ยั จะเห็นไดว้ า่ การรบั รแู้ ละทัศนคตติ ่อมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม จะเปน็ ตัวแปรหลัก ทมี่ ผี ลต่อการปฏบิ ัติตวั ตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม และยังลดปญั หาสขุ ภาพจติ ด้านความเครียดและความ วิตกกังวลและยังส่งผลทางบวกต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มตั วอย่างอีกด้วย ดังน้ันผู้วิจัย มีข้อเสนอแนะในการนา ผลการวจิ ัยไปใช้ ดังนี้ 1. การให้คาปรึกษาของบุคลากรทางสขุ ภาพโดยเน้นการสรา้ งแนวทางหรอื กระบวนการการรับร้แู ละมี ทศั นคติท่ีดีเมื่อมีการเปลยี่ นแปลงสถานการณต์ ่างๆท่ีมผี ลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตจะช่วยส่ งเสริมให้ ประชาชนมกี ารปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมเพือ่ รับสถานการณ์การเปล่ียนแปลงได้ดีขึ้น รวมถึงการปรบั ตัวเพ่อื รบั ผลกระทบ ในระยะยาวของสถานการณ์การระบาดของโรคโควดิ -19 2. การสร้างนโยบายทอี่ าศยั ความร่วมมือจากหนว่ ยงานตา่ งๆและภาคประชาชนในการชว่ ยเหลือดูแล และเปิด ช่องทางการส่ือสารให้ประชาชนได้รบั รู้ และสร้างทัศนคติทด่ี ีต่อการเปลี่ยนแปลงสู่การดาเนินวิถีชวี ิตใหม่จะชว่ ย สง่ เสริมคณุ ภาพชวี ิตรวมไปถึงการร่วมกันในการปฏิบัติตามวิถีชวี ติ ใหม่เพือ่ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 3. ดา้ นนโยบาย ควรมีการกาหนดมาตรการและแนวปฏิบัติในการลดแนวโน้มของการเกิดปญั หาสุขภา พจิต เกยี่ วกับความวติ กกังวลและความเครยี ด กิตตกิ รรมประกาศ ผู้วจิ ัยขอขอบพระคณุ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง และสานักงานสาธารณสขุ จังหวัดลาปางท่ีได้ ใหก้ ารสนบั สนุนทุนวิจัยและประสานงานพ้ืนท่ีในการเก็บรวบรวมข้อมลู และขอบคณุ กลุ่มตัวอย่างทุกทา่ นท่ใี ห้ความ รว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถามเป็นอยา่ งดี เอกสารอา้ งองิ Bloom B, S. (1971). Handbook on formative and summative evaluation of student learning. New York: McGraw - Hill. Center of COVID- 19 Situation Administration, Lampang. ( 2020) . Center of COVID- 19 situation administration, Lampang. Retrieved 1 April, 2020 from http://www.lampang.go.th/covid19/ Department of Disease Control. (2020). Coronavirus disease 2019. Retrieved 17 April, 2020 from https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/index.php Department of Mental Health. (2021). Stress management and preparation for COVID-19.
184 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Retrieved on 26 February, 2021 from https://www.dmh.go.th/news- dmh/view.asp?id=30561 Glomjai, T., Kaewjiboon, J., & Chachvarat, T. (2020). Knowledge and behavior of people regarding self-care prevention from novel coronavirus 2019 (COVID-19). Journal of nursing, public health, and education, 21(2): 29 – 39. Limtrakoon, P. (2020). Rethinking Connectivity: A case study of COVID-19 outbreak from China to Thailand. Thai journal of east asian studies, 24(2): 74 – 93. (In Thai) Prochaska, J. O., Redding, C. A., & Evers, K. E. (2015). The transtheoretical model and stage of changes. In K. Glanz, B. K. Rimer, & K. Viswanath (Eds). Health behavior theory, research and practice (pp. 125 – 148). Jossey-Bass. Rosenstock, I.M., Strecher, V.J., & Becker, M.H. (1988). Social learning theory and health belief Model. Health education quarterly, 15(2): 175 – 183. Suwanaphant, K., Seedaket, S., Vonok, L., et al. (2020). Factors associated with stress due to corona virus disease 2019 (COVID-19) pandemic among students of the Faculty of Public Health and Allied Health Sciences, Praboromarajchanok Institute. Journal of health science research, 14(2): 138 – 148. Tossawat, P. & Mahiwan, P. (2020). The development of social quality of life of people and the prevention of the spreading of coronavirus infectious disease (COVID – 19). Journal of MCU Nakhondhat, 7(9): 40 – 55. (In Thai) World Health Organization. (2020). WHO Coronavirus (COVID-19) dashboard. Retrieved 6 May, 2020 from https://covid19.who.int/table Yamane, T. (1973). Statistic: An Introductory Analysis. 3rd Eds. New York: Harper & row.
185 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) The Effectiveness of Using the Nutrition Symbols: Healthierlogo Program in the Consumer Group Wiang Nuea Subdistrict, Mueang District, Lampang Province Warangkana Suntep* (Received : February 21, 2021, Revised: May 4, 2021, Accepted: May 21, 2021) Abstract This study was a two-group quasi-experimental study, were measured by pre- and post- test. To study the effectiveness of using the nutrition symbols: healthierlogo in consumer group.The sample is the consumer group in Muang District, Lampang Province totaled 124 people, divided into a control group of 62 people and a trial group of 62 people. The control group being operated normally. The experimental group was given a 7- week program of using the nutrition symbols: healthierlogo.Data were collected using the knowledge assessment form, recognize the consumer's performance on the nutrition symbols: healthierlogo assessment form and sodium salt intake. The confidence value of Cronbach's Alpha Knowledge is . 77 and . 86, respectively. Personal data analysis of the samples was used with descriptive statistics. Comparing knowledge perception of one's competence and sodium consumption of the experimental group before and after the program with Paired- Samples t- test and between the experimental and control groups using independent t-test. The results of the study showed that 1) after participating in the program of using the nutrition symbols: healthierlogo have lower dietary sodium intake levels than before joining the program with statistical significance at p= 0. 007. Whereas the knowledge and perception of self- efficacy on the nutrition symbols: healthierlogo was not statistically different. 2) The experimental group perceived their mission higher in terms of credit and reduction in the amount of bullying than the control group and the amount of sodium salt in the diet was lower than the control group were statistically significant at the p < .001. While the knowledge of the nutrition symbols: healthierlogo was not different statistically. Therefore, using of the nutrition symbol: healthierlogo in consumer group should be promoted. To achieve a better perception of self- efficacy and reduce salt intake of sodium in those at risk of Non-Communicable diseases. Keywords: Nutrition symbols healthierlogo program; Consumer; Dietary sodium intake * Consumer protection and public health pharmacy group. Lampang provincial public health office วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
186 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ประสทิ ธิผลของโปรแกรมการใช้สญั ลักษณโ์ ภชนาการทางเลอื กสขุ ภาพในกลุ่มผ้บู ริโภค ตาบลเวยี งเหนอื อ.เมือง จ.ลาปาง วรางคณา สันเทพ* วันรับบทความ : 21 กุมภาพนั ธ์ 2564, วนั แกไ้ ขบทความ : 4 พฤษภาคม 2564, วนั ตอบรบั บทความ : 21 พฤษภาคม 2564) บทคัดย่อ การศกึ ษาคร้งั นีเ้ ปน็ การวิจยั กงึ่ ทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองมีวตั ถุประสงค์ เพ่ือ ศึกษาประสทิ ธิผลการใช้สัญลักษณโ์ ภชนาการ: ทางเลือกสุขภาพในกลมุ่ ผบู้ รโิ ภค กลมุ่ ตวั อย่างคือ กล่มุ ผบู้ ริโภคใน อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง จานวน 124 คน แบ่งออกเปน็ กลุ่มควบคุม จานวน 62 คน และกลมุ่ ทดลองจานวน 62 คน โดยกลุม่ ควบคุมไดร้ ับการดาเนนิ การตามปกติ กล่มุ ทดลองไดร้ ับโปรแกรมการใชส้ ัญลักษณโ์ ภชนาการทางเลือก สขุ ภาพ เป็นระยะเวลา 7 สปั ดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใชแ้ บบประเมนิ การความรู้ การรบั รูส้ มรรถนะแหง่ ตนของ ผู้บริโภคต่อสัญลักษณ์โภชนาการและปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียม มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธ์ิแอลฟา่ ของครอนบาคความรู้ เทา่ กบั .77 และ .86 ตามลาดบั วิเคราะห์ข้อมูลสว่ นบุคคลของกลุ่มตวั อย่างใช้สถิติเชิง พรรณนา และเปรยี บเทยี บความรู้ การรับรู้สมรรถนะแหง่ ตน และปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดยี มของกลุ่มทดลอง ก่อน และหลังเข้าโปรแกรมด้วยสถิติ ทคี ู่ (paired-Samples t-test) และระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้ สถติ ทิ ีอสิ ระ (independent t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1) หลังเขา้ ร่วมโปรแกรมการใชส้ ัญลักษณ์โภชนาการทางเลอื กสุขภาพ มีระดับการ บริโภคเกลือโซเดยี มในอาหารตา่ กวา่ ก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั p=.007 ในขณะที่ ความรู้และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในเรอ่ื งสัญลักษณโ์ ภชนาการไม่มคี วามแตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ 2) กลุม่ ทดลองมี การรบั รสู้ มรรถนะแหง่ ตนในเรื่องสัญลักษณ์โภชนาการและการลดปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมสูงกว่า กลุ่ม ควบคุม อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ p < .001 ในขณะท่คี วามรู้สญั ลักษณโ์ ภชนาการไมม่ ีความแตกต่างกนั ทางสถติ ิ ดังนนั้ ควรมีการสง่ เสริมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการ: ทางเลือกสขุ ภาพในกลมุ่ ผู้บริโภค เพ่ือใหเ้ กิดการ รบั รู้สมรรถนะแหง่ ตนที่ดแี ละลดการบริโภคเกลือโซเดียมลดลงในกลมุ่ ที่มีความเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรคไม่ติดต่อเร้ือรัง คาสาคญั : โปรแกรมสัญลักษณโ์ ภชนาการทางเลือกสขุ ภาพ; ผู้บรโิ ภค; การบรโิ ภคโซเดียมในอาหาร * เภสชั กรชานาญการ กลมุ่ งานคมุ้ ครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสขุ สานกั งานสาธารณสุข จังหวัดลาปาง วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
187 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) บทนา โรคไมต่ ิดตอ่ เรอื้ รัง หรือโรค NCDs (noncommunicable diseases) เปน็ ปัญหาสุขภาพอนั ดับหนึ่งของ โลกและของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มโรค NCDs 4 โรคหลัก ได้แก่ กล่มุ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ-โรคหลอดเลือด สมอง, โรคมะเรง็ ,โรคปอดอุดกนั้ เรื้อรัง และโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของคนไทย ซึง่ มีปัจจัย มาจากพฤติกรรมเสี่ยง เชน่ การสูบบหุ รี่ การด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ การบรโิ ภคหวาน มนั เค็ม และมกี ิจกรรม ทางกายไม่เพยี งพอ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางสังคม เช่น การขยายตัวของสังคมเมือง กลยุทธ์ ทางการตลาด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการสื่อสาร ท่สี ง่ ผลตอ่ วิถีชวี ิตและทาให้ประชาชนปว่ ยด้วยโรค NCDs เพ่มิ มากข้นึ อย่างตอ่ เนอื่ ง (Department of Disease Control, Ministry of Public Health,2018) ซงึ่ โรค ไม่ติดต่อเรื้อรงั หรอื โรค NCDs เปน็ สาเหตขุ องการเสียชวี ิตถงึ 300,000 กวา่ ราย โดยร้อยละ 73 ของการเสยี ชีวิต ทงั้ หมดมาจากพฤติกรรมการบรโิ ภคหวาน มัน และเคม็ จัด รวมถึงการทากจิ กรรมทางกายและการบรโิ ภคผักและ ผลไมท้ น่ี ้อยเกินไป ปัญหาของโรคไม่ติดต่อเร้ือรังที่เกิดขนึ้ ไมเ่ พียงเป็นปัญหาทีก่ ่อความเดือดรอ้ นกับผู้ป่วยและ ครอบครัวโดยตรงเทา่ น้ัน แตย่ งั เป็นปัญหาท่ีตอ่ เนื่องท่ีมผี ลกระทบตอ่ ภาวะเศรษฐกจิ ของประเทศ ซ่ึงอาจนามาสู่ ความล่มสลายของระบบหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้าในที่สุด เพราะค่าใช้จ่ายที่ ภาครัฐต้องจ่ายใน กา ร รักษาพยาบาลผปู้ ่วยโรคต่างๆ ดังกล่าวในปี พ.ศ. 2552 สงู ถึง 5,580.8 ลา้ นบาท โดยโรคที่กอ่ ให้เกิดคา่ ใช้จ่ายมาก ท่ีสุด 3 ลาดับแรก ไดแ้ ก่ โรคเบาหวาน(3,386.6 ลา้ นบาท) โรคหัวใจขาดเลอื ด (1,070.5 ลา้ นบาท) และโรคมะเร็ง ลาไสแ้ ละลาไส้ใหญ่ (777.2 ลา้ นบาท) (Pitayatienanan et al.,2011) อย่างไรกต็ ามจากศกึ ษางานวิจัยในเร่อื งท่ีเกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดตอ่ เร้ือรังพบวา่ โรคไม่ตดิ ตอ่ เร้ือรังนับว่า เปน็ ปญั หาทป่ี ้องกันไดห้ ากผูม้ ีสว่ นเกยี่ วข้องมคี วามเข้าใจในปจั จยั เส่ยี งเชงิ พฤติกรรม (behavioral risk factors) ท่ี กอ่ ใหเ้ กดิ โรคเหลา่ นี้ และสามารถสร้างกลไกหรือบริบทเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ โดยหนง่ึ ในปัจจยั เสย่ี งเชิง พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเร้ือรังก็คอื พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหาร โดยการสารวจอนามยั และสวัสดิการ พ.ศ. 2556 ของสานักงานสถิติแห่งชาติพบว่า คนไทยมีพฤ ติกรรมเสี่ยงด้านการบรโิ ภคอาหารบางประการ ตัวอยา่ งเช่น การนิยมบริโภคอาหารวา่ ง (รอ้ ยละ 79.11ของผู้ตอบแบบสอบถาม) การนยิ มบรโิ ภคอาหารไขมัน สูง (รอ้ ยละ 86.71) และการนยิ มบรโิ ภคอาหารประเภทขนมกินเล่นหรอื ขนมกรุบกรอบ (ร้อยละ 45.87) สาหรับการ แก้ไขปญั หาโรค ไมต่ ิดต่อเรื้อรังอนั มีสาเหตุจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารน้นั รฐั บาลทัว่ โลก (รวมทง้ั ประเทศไทย) นิยมใช้นโยบายที่มุ่งเนน้ การจูงใจให้ผู้บริโภคปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมผา่ นการให้ความรู้และข้อมูล (information provision) มีตัวอย่างที่สาคัญ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) นโยบายฉลากโภชนาการ (nutritionlabeling) สาหรับการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารท่ีบ้าน โดยนโยบายนี้เกีย่ วขอ้ งกบั อาหารและเครื่องดื่มสาเรจ็ รูปบรรจุห่อ (packaged food) เทา่ นนั้ ซึง่ รัฐบาลแทบทุกประเทศทว่ั โลกกาหนดให้ผู้ผลติ อาหารที่บรรจุหบี ห่อต้องระบุคุณค่า ทางโภชนาการ (nutrition labeling) ไว้ท่ดี า้ นหลงั ของบรรจุภัณฑ์ (back-of-pack labeling) โดยตอ้ งมรี ายละเอยี ด ทเ่ี กี่ยวข้องกับสารอาหาร (nutrients)ของผลติ ภัณฑน์ ้ันๆท้ังหมดเชน่ ปริมาณโปรตีน ไขมัน วิตามนิ นอกจากน้ีบางประเทศยังมกี าร วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
188 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) กาหนดให้ติดฉลากโภชนาการทด่ี า้ นหนา้ ของบรรจภุ ัณฑ์ (postor front-of-packlabeling) อกี ด้วย (2) นโยบายรณรงคด์ ้วยส่ือ (social marketing) อันเปน็ การให้ขอ้ มูลด้านโภชนาการแกส่ าธารณชนผา่ นการโฆษณาทางสอ่ื รปู แบบตา่ งๆ เพ่ือ จงู ใจให้เปลย่ี นพฤตกิ รรมการบริโภค (Witvorapong et al.,2017) การศกึ ษาถงึ พฤติกรรมการบรโิ ภคเปน็ ส่ิงจาเปน็ ในการเขา้ ใจถงึ ระดับพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน เพอื่ สามารถจะสร้างโปรแกรมการสรา้ งความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพท่ีเหมาะสมกับผู้บรโิ ภคได้ โดยจากผลการสารวจ พฤติกรรมความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ.2 ส. ในประชาชนวัยทางานอายุ 15–59 ปี จานวน 2,500 คน จากประชาชนกลุ่มปกติและกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและความดนั โลหิตสูง โดยใชแ้ บบประเมิน ควา ม รอบรู้ดา้ นสขุ ภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของกลมุ่ วัยทางานอายุ15-59 ปี ซึ่งพฒั นามาจากแนวคดิ ควา ม รอบรูด้ ้านสุขภาพของนัทบีม (Nutbeam D., 2008) ผลการสารวจ พบวา่ ประชาชนวัยทางานสว่ นใหญ่ มีความ รอบรู้ดา้ นสุขภาพอยู่ในระดับพอใชร้ ้อยละ 47.10 รองลงมาระดับไม่ดรี ้อยละ 39.70 สาหรับพฤติกรรมสุขภา พ พบวา่ ส่วนใหญม่ ีพฤตกิ รรมสุขภาพในระดับไม่ด(ี ร้อยละ 47.90) รองลงมาระดบั พอใช้ (รอ้ ยละ 27.50) สว่ นระดับ ดมี ากนอ้ ยท่ีสดุ (ร้อยละ 24.60) จากการวิเคราะหผ์ ลการสารวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้าน สขุ ภาพและพฤติกรรมสุขภาพอยใู่ นระดับไม่ดีและพอใช้ ซึ่งไมเ่ พียงพอต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพทีย่ ่ังยืน และ นาไปสูก่ ารมี สขุ ภาวะตอ่ ไป จึงต้องมงุ่ พัฒนาใหป้ ระชาชนมีความรอบรู้ดา้ นสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพในระดับ ดมี ากเพ่ิมขึน้ เพื่อป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเร้ือรังไดอ้ ย่างถาวร (Arahung R.,2017) การปรับเปลี่ยนระดับพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนให้อยู่ในระดับท่ีดขี ึน้ กวา่ เดิม เพื่อปอ้ งกันการเกิด โรคไมต่ ดิ ตอ่ เร้ือรงั นั้น สามารถดาเนินการได้ในหลายมาตรการเชิงปอ้ งกัน โดยผ้วู ิจัยสนใจในเร่ืองของการสร้าง ความรอบรู้ดา้ นสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมการบรโิ ภคลด หวาน มัน เคม็ โดยการสนับสนุนการผลติ และ การใชส้ ัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ซง่ึ เปน็ หน่งึ ในมาตรการเชิงปอ้ งกันท่หี ลายหน่วยงานภาครัฐให้การ สนับสนุน อาทิ สานักงานอาหารและยา (อย.) สถาบนั โภชนาการ มหาวิทยาลยั มหิดล และสานักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซง่ึ ได้ร่วมกันผลักดันการสร้างความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในเรือ่ งลดการบริโภค หวาน มนั เคม็ โดยการผลิต และใช้ผลติ ภัณฑท์ ่ีมสี ัญลักษณท์ างเลือกสขุ ภาพ เพ่ือลดอบุ ัติการณ์ของโรคไม่ติดต่อ เรื้อรังไม่ให้ลุกลามรวดเร็วไปกว่าน้ี โดยจัดทาในรูปแบบโครงการสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ (healthier choice) ซึ่งมกี จิ กรรมดาเนนิ การคือ การขอความรว่ มมือกบั ภาคเอกชนผูผ้ ลิตในการลดปริมาณ เกลอื น้าตาลและไขมัน ในผลติ ภณั ฑ์อาหารสาเร็จรูป/ก่ึงสาเร็จรูปเคร่ืองปรงุ รส เป็นตน้ ซึง่ กาลงั เปน็ กลยุทธ์สาคัญใน การลดความเสี่ยงของการเกดิ โรคไม่ตดิ ต่อเรือ้ รังที่ ภาครฐั เหน็ พ้องว่าต้องดาเนินการอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และให้ เกดิ ประสทิ ธผิ ลโดยเร็ว (Suvetwethin D.,2019) นอกจากนย้ี งั พบวา่ ปัญหาสุขภาพจากการบริโภคเกลือและโซเดยี มเกนิ การไดร้ ับโซเดียมในปริมา ณท่ี สงู เกินความตอ้ งการอยา่ งต่อเนอ่ื งส่งผลต่อการเพ่มิ ขึน้ ของระดับความดันโลหิตเปน็ ปัจจัยเสย่ี งทสี่ าคัญในการเกิด โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด โรคไต โรคความดันโลหติ สูง และเพม่ิ ความรุนแรงของโรคเบาหวาน และโรคไม่ติดต่อ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
189 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) เร้ือรังเปน็ สาเหตุการเสยี ชีวติ ของทุกประเทศทั่วโลกโดย พบว่า ปี ค.ศ.2008 มีจานวนผู้เสียชวี ติ ทง้ั หมด 57 ลา้ น คนท่เี กิดขึ้นทั่วโลกเสยี ชีวติ ดว้ ยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)ประกอบดว้ ยโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งเบาหวาน และโรคปอดเร้อื รงั จานวน 36 ลา้ นคน(63%) หรอื เกอื บสองในสามของจานวนผู้เสยี ชีวิตท้ังหมด และพบความชุก ของกลมุ่ โรคไม่ติดต่อเร้ือรังท่ีเพิ่มขนึ้ อย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะทาให้เกิดการเสียชีวิตเกือบสามในสขี่ องจา นวน ผ้เู สยี ชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเร้ือรังซงึ่ มีความเกยี่ วข้องกบั มารดา ทารกปรกิ าเนิด และโภชนาการภายใน ปี ค.ศ.2020 และจะเปน็ สาเหตุการเสียชีวิตเกนิ กวา่ จะพบมากที่สุด ภายในปีค.ศ.2030 (World Health Organization,2011) ผลกระทบตอ่ การเกดิ โรคไมต่ ิดตอ่ เรื้อรังซ่ึงเกิดจากการไดร้ ับโซเดียมในปริมาณท่สี ูงเกนิ ความตอ้ งการ ของ รา่ งกาย เชน่ การเกดิ โรคความดนั โลหติ สูง โดยจากการศึกษาเร่ืองความสัมพันธร์ ะหวา่ งการบรโิ ภคเกลือโซเดียม กับการเกิดโรคความดันโลหิตสูงเร่ิมต้นจากกราฟท่ีมีชื่อเสียงของ Louis Dahl ในปี 1960 แสดงให้เห็นถึง ความสัมพนั ธ์เชิงเสน้ เชิงบวกระหวา่ งความชุกของความดันโลหิตสูง และการบริโภคเกลอื เฉล่ียในกลุม่ ประชากร 5 กลมุ่ โดย พบวา่ การไดร้ ับเกลือโซเดยี มมีความสัมพนั ธเ์ ชิงเส้นตรงระหว่างปริมาณเกลือท่ีได้รบั และความชุกของโรค ความดนั โลหิตสูงซึง่ จะนาไปสโู่ รคอนื่ ๆทีเ่ ป็นภาวะแทรกซ้อน และการศกึ ษาน้ยี ังได้กลา่ วถงึ แนวคดิ พน้ื ฐานส่วนใหญ่ ทส่ี นับสนุนความพยายามดา้ นสาธารณสุขในปจั จบุ ันในการลดการบรโิ ภคโซเดยี มในประชากร (Elliott L.,2005) นอกจากนผ้ี ลการสารวจท่ีเกย่ี วกบั ปริมาณการได้รบั เกลือโซเดียมซงึ่ แสดงให้เหน็ ว่าประชากรทั่วโลกไดร้ บั ปริมา ณ เกลือโซเดยี มสงู กวา่ แนะนามากกว่า 2 เท่า การไดร้ บั โซเดียมในปรมิ าณท่ีสูงเกินความต้องการเป็นสาเหตหุ ลักที่ทา ให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disease) โรคอมั พฤกษ์อัมพาต (strokes) ถึงรอ้ ยละ 49 และร้อยละ 62 ของการเกดิ โรคท้ังหมด (Department of Disease Control, Ministry of Public Health,2016) สอดคลอ้ งกับ ผลการวจิ ยั การศึกษาปริมาณโซเดียมและโซเดยี มคลอไรด์ในอาหารบาทวิถีที่จาหนา่ ยในเขตกรุงเทพมหาน คร พบวา่ อาหารบาทวถิ ี (street foods) ประเภทกับข้าวและอาหารจานเดียว ส่วนใหญม่ ีโซเดียมเกินกว่า 1,500 มลิ ลกิ รมั ต่อถุงหรือกล่องท่จี าหนา่ ย ซงึ่ อยู่ในระดบั ความเส่ยี งสูงตอ่ สุขภาพ โดยองคก์ ารอนามยั โลกแนะนาให้คน บริโภค“เกลือ” ไมเ่ กนิ วนั ละ5 กรัม(1ชอ้ นชา)หรอื โซเดียมไมเ่ กินวนั ละ2,000มิลลิกรัมแบ่งเปน็ ม้ือหลกั 3 มอ้ื ๆละ600 มิลลกิ รมั และม้ือวา่ ง 200 มลิ ลกิ รมั ดังนน้ั ควรลดความถใ่ี นการรับประทานอาหารบาทวถิ ี และไม่ควรปรงุ เพิ่มเกลือ นา้ ปลา ซอี ้วิ และซอสตา่ งๆ บนโต๊ะอาหารเพ่อื ชว่ ยลดความเสี่ยงต่อการได้รบั โซเดยี มมากเกินไป (Vatanasuchart N.,2019) จากการทบทวนปัญหาของพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารท่ีไม่ถกู ตอ้ งเหมาะสม งานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วข้องกบั การ บรโิ ภคอาหาร รส หวาน มัน เคม็ ซึ่งมคี วามสมั พนั ธ์กับการเกิดโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง ผู้วจิ ัยมีความสนใจในการสร้าง โปรแกรมการใชส้ ัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ในกลุ่มผบู้ รโิ ภค เพ่อื สรา้ งความรอบรู้ดา้ นสุขภาพในการ ลด หวาน มัน เค็ม ให้กับผู้บริโภค โดยเน้นการสรา้ งความรอบรู้ด้านสุขภาพใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ เร่ือง สญั ลักษณ์โภชนาการทางเลอื กสขุ ภาพ และการลดปริมาณการบริโภคเกลอื (โซเดียม) เน่ืองจากเป็นประเด็นสาคัญ ที่มผี ลกระทบต่อการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเรื้อรงั ดังท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ และเปน็ มาตรการเชิงป้องกันท่หี ลายหนว่ ยงาน ภาครัฐให้การสนับสนุน เพอ่ื ม่งุ หวังใหป้ ระชาชนในพ้นื ทม่ี คี วามรู้ มกี ารรบั รสู้ มรรถนะของตนเองรวมถึงมีพฤติกรรม วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
190 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ในการรับประทานเกลอื โซเดียมลดลง ซึง่ จะช่วยลดความเสีย่ งของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรอ้ื รังและภาวะแทรกซ้อน ต่างๆของผู้บริโภคในอนาคตและขยายผลในการพัฒนาชุมชนต้นแบบอนื่ ๆในการลดการเกิดโรคไม่ตดิ ต่อเรื้อรัง ตามมาอกี ด้วย วัตถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศึกษาประสิทธผิ ลการใช้สัญลกั ษณ์โภชนาการ: ทางเลอื กสขุ ภาพในกลุ่มผูบ้ ริโภค ตาบลเวียงเหนือ อาเภอเมอื ง จังหวัดลาปาง ในเรอ่ื งความรู้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนในเรื่องสญั ลักษณ์โภชนาการทางเลอื กสุขภาพ และการลดปริมาณการบรโิ ภคเกลือโซเดียมในอาหาร สมมติฐาน 1.กลมุ่ ผู้บริโภคท่ีได้รบั โปรแกรมการใช้สัญลักษณโ์ ภชนาการทางเลือกสุขภาพ มีความรู้ การรับรสู้ มรรถนะ แห่งตนในเรื่องสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสขุ ภาพ และการลดปรมิ าณการบริโภคเกลือโซเดียมสูงกว่ากลุ่มท่ี ได้รบั คาแนะนาตามปกติ (กลมุ่ ควบคมุ ) 2.กล่มุ ผู้บริโภคหลังเขา้ โปรแกรมการใช้สญั ลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ มคี วามรู้ และการรับรู้ สมรรถนะแห่งตนในเรื่องสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสขุ ภาพ และการลดปรมิ าณการบริโภคเกลือโซเดยี มสูงกว่า กอ่ นเขา้ โปรแกรม นิยามศพั ท์เฉพาะ ผู้บริโภค หมายถึง ผู้ท่ีซื้อสินค้า ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีฉลากโภชนาการหรือรบั บริการจากร้านค้าที่มี สญั ลักษณท์ างเลือกสุขภาพตามความพงึ พอใจของตนโดยมีจดุ มุ่งหมายเพอ่ื การบริโภคตามวิถชี ีวิตประจาวนั ของผู้ท่ี ซ้ือสินค้าหรอื บริการน้ัน โปรแกรมสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ หมายถึง กิจกรรมท่ีผวู้ ิจัยสร้างขนึ้ เพื่อเสริมสร้าง สขุ ภาพของผู้บริโภค โดยมีกจิ กรรมท่ปี ระยุกต์มาจากโครงการการใชส้ ัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภา พเพื่อ การเสริมสรา้ งสขุ ภาพของคนไทยของมลู นิธิสง่ เสริมโภชนาการในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระกนิษฐาธิราชเจ้ากร ม สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี โดยโปรแกรม ประกอบดว้ ย 1) การให้ความร้ใู นเร่ืองสัญลักษณ์ ทางโภชนาการทางเลือกสุขภาพและโซเดียมในผลิตภัณฑอ์ าหารและเคร่ืองปรุงรสผา่ นไลน์แอพพลเิ คชน่ั และทา แบบทดสอบผ่าน google form 2) การวัดปรมิ าณโซเดยี มในอาหารทบ่ี ริโภคโดยใช้อุปกร ณ์ตร วจ ควา ม เ ค็ ม ในอาหาร (salt meter)โดยมีการบันทึกข้อมูลลงใน google form และแจง้ ข้อมูลใหก้ ลุ่มเปา้ หมายทราบทุกคร้ัง ซึ่งโปรแกรมฯ มกี ารทากจิ กรรม 7 ครั้ง โดยจดั ใหม้ กี ิจกรรมการให้ความรู้ฯ เรือ่ งสัญลกั ษณท์ างโภชนาการทางเลือก สขุ ภาพและโซเดียมในผลติ ภัณฑ์อาหารและเคร่ืองปรุงรสผ่านไลน์กรปุ๊ และทา แบบทดสอบผ่า น goog le วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
191 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) form ในสปั ดาห์ท่ี 2,3,5,6 และมกี ารวดั ปรมิ าณโซเดยี มในอาหารท่ีบริโภคโดยใช้อุปกรณ์ตรวจความเค็มในอาหาร (Salt Meter) ในสปั ดาหท์ ี่ 1, 4, 7 ประสทิ ธิผลการใช้สัญลกั ษณ์โภชนาการ หมายถึง การดาเนินการตามขนั้ ตอน กระบวนการโดยการใช้ โปรแกรมสญั ลักษณโ์ ภชนาการทางเลือกสขุ ภาพ จนสามารถบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ท่ีตั้งไว้ โดยประเมนิ จากคะแนนการ ตอบแบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูล ตามเกณฑก์ ารให้คะแนนที่กาหนดไว้ ความรู้ หมายถงึ ผลที่ได้จากการเรยี นร้ใู นเรือ่ งสญั ลักษณ์ทางโภชนาการทางเลือกสขุ ภาพและโซเดียมใน ผลิตภณั ฑอ์ าหารและเครื่องปรุงรสผ่านไลนแ์ อพพลเิ คช่ัน และทาแบบทดสอบผา่ น google form และการวัด ปรมิ าณโซเดยี มในอาหารทบี่ รโิ ภคโดยใช้อุปกรณ์ตรวจความเค็มในอาหาร (salt meter) จนทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจ และสามารถระลกึ ได้เมือ่ ตอ้ งการใช้ความรู้นั้น การรับรู้สมรรถนะแหง่ ตน หมายถึง กระบวนการทีเ่ กิดขน้ึ ภายหลังจากท่มี ีสงิ่ กระตุ้นจากการให้ควา มรู้ใน เรื่องสัญลักษณ์ทางโภชนาการทางเลือกสุขภาพและโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องปรุงรสผ่านไลน์ แอพพลเิ คชัน่ และทาแบบทดสอบผา่ น google form และการวดั ปริมาณโซเดียมในอาหารที่บริโภคโดยใชอ้ ุปกร ณ์ ตรวจความเค็มในอาหาร (salt meter) สง่ ผลให้เกดิ กระบวนการแปลความหมายในการสร้างความตระหนักรู้ใน เรื่องการบริโภคอาหารอยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม และตดั สนิ ใจทจ่ี ะหาวธิ ีการตา่ งๆด้วยตนเองในการลดบรโิ ภคเค็ม การบรโิ ภคโซเดียม หมายถึง การรับประทานเกลอื (โซเดียมคลอไรด)์ ในอาหาร ในปริมาณทเี่ หมาะสม ตามทีอ่ งค์การอนามยั โลกไดก้ าหนดปริมาณการบรโิ ภคโซเดยี มไม่เกนิ วันละ 2,000 มลิ ลกิ รัม โดยมกี ารตรวจวัด ระดบั การรับประทานโซเดยี มด้วยอปุ กรณต์ รวจความเคม็ ในอาหาร (salt meter) ซึง่ เป็นเครอ่ื งที่ใชใ้ นการตรวจวัด ปรมิ าณของโซเดียมในอาหาร โดยคิดจากปริมาณของแรธ่ าตุโซเดยี มคลอไรด์(เกลอื )ทลี่ ะลายในอาหารที่มนี ้า เป็น องคป์ ระกอบในแต่ละเมนูอาหารท่ีกลุ่มตัวอย่างบรโิ ภค วธิ ดี าเนนิ การวิจยั เป็นการวจิ ยั กง่ึ ทดลอง (Quasi-experimental research) แบบสองกลมุ่ วดั ผลกอ่ นและหลงั การทดลอง ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรคือ กลุ่มผู้บริโภคในตาบลเวียงเหนือท่ีซอ้ื สนิ คา้ ผลติ ภัณฑ์อาหารที่มีฉลากโภชนาการหรือรับ บรกิ ารจากรา้ นคา้ ทม่ี สี ญั ลักษณ์ทางเลอื กสขุ ภาพ ในเขตอาเภอเมืองลาปา ง จงั หวัดลาปาง โดยการกาหนดขนาด กลุม่ ตัวอยา่ งในการศกึ ษาครัง้ น้ี ผ้ศู ึกษาใช้วธิ ีการกาหนดขนาดตัวอยา่ งโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ G*power ซึง่ เป็นโปรแกรมทส่ี รา้ งจากสูตรของ Cohen 1977( Cohen,J.,1988) โดยกาหนดให้มคี ่าระดบั ความเชื่อมั่น = .05 และกาหนดค่าขนาดอิทธิพล .5 (เนือ่ งจากการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกยี่ วขอ้ งมีคา่ อิทธิพลอยู่ในระดับปานกลา ง) และอานาจการทดสอบ = .8 ได้ กลุ่มตัวอยา่ งจานวน 102 คน แต่การศึกษา คร้ังน้ีต้องกา รผลการศึกษา ที่ มี ความน่าเชื่อถอื มากท่ีสดุ จงึ กาหนดให้มีขนาดกลุ่มตัวอยา่ งท่ีมากกว่าที่ได้จากทโี่ ปรแกรมคานวณให้ โดยมีการเพ่ิม วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
192 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งให้เหมาะสมมากขึน้ กับสถานการณ์จริงและเพื่อชดเชยสาหรบั กรณีท่กี ลุ่มตัวอย่างมีอัตราตอบ กลับแบบสอบถามและแบบประเมนิ อีกร้อยละ 20 ซึ่งจากสถานการณจ์ รงิ มีกลุ่มตัวอยา่ งที่มีคุณสมบัติเข้า ตา ม เกณฑท์ ก่ี าหนด และมคี วามสมัครใจที่จะเขา้ รว่ มโปรแกรมจานวนท้ังส้นิ 124 คน และทาการแบ่งกลุม่ ตัวอย่างออกเปน็ 2 กลุ่ม คือ กล่มุ ทดลอง (experimental group) จานวน 62 คน และกลมุ่ ควบคมุ (control group) จานวน 62 คน โดยกาหนดคณุ สมบตั ิกลุ่มตวั อยา่ ง ดงั น้ี เกณฑ์การคดั เขา้ (Inclusion criteria) คือ 1) อายุ 25-59 ปี เพศใดกไ็ ด้ อาศยั อยใู่ นตาบลเวยี งเหนอื อาเภอเมอื ง จังหวัดลาปาง 2) อ่านออก เขียนได้ มีมือถือ smart phone สามารถเข้าใจและใช้งานได้และสามารถเช่ื อม ต่อ อินเตอรเ์ นต็ ได้ 3) ยินยอมสมัครใจเขา้ ร่วมกิจกรรม เกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) คือ 1) ไมส่ ามารถตอบแบบสอบถามได้ครบตามท่ีกาหนดไว้ 2) ไมส่ ามารถเขา้ รว่ มดาเนนิ การตามกระบวนการท้ังหมดของการวิจยั ได้ การดาเนนิ กจิ กรรม 1. สปั ดาห์ท่ี 1, 4, 7 วัดปริมาณโซเดียมในอาหารท่ีบริโภคโดยใช้อุปกรณ์ตรวจความเค็มในอาหาร (salt meter) โดยมกี ารบนั ทึกข้อมลู ลงใน google form และแจง้ ข้อมลู ใหก้ ลุ่มเป้าหมายทราบทุกคร้ัง 2.สัปดาหท์ ่ี 2,3,5,6 ใหค้ วามรฯู้ เรอื่ งสัญลักษณ์ทางโภชนาการทางเลอื กสขุ ภาพและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ อาหารและเคร่อื งปรงุ รสผ่านไลน์ แอพพลเิ คชนั่ และทาแบบทดสอบผา่ น google form ทกุ สปั ดาห์ (ลิงค์ google form ซึ่งจะส่งให้ในไลน์แอพพลิเคชั่น) โดยความรู้ทใ่ี ห้ประกอบด้วยการให้ความรสู้ ัญลักษณ์ทางโภชนาการ ทางเลือกสุขภาพ และโซเดยี มในผลิตภณั ฑ์อาหารและเครอ่ื งปรงุ รสดงั นี้ 1) สัปดาห์ที่ 2 ให้ความร้ผู ่านไลน์ แอพพลิเคช่ันในเร่ืองสญั ลกั ษณ์ทางเลือกสุขภาพซง่ึ มีความเกยี่ วข้องกับ โรคไมต่ ิดต่อเรอ้ื รังและเรอ่ื งโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรื้อรงั ซ่ึงเก่ยี วข้องกบั การบริโภค โดยใชส้ ่อื วีดิโอ เอกสารอิเล็คทรอนกิ ส์ พร้อมท้งั ทาแบบทดสอบความรู้ผา่ น google form หลังการให้ความรู้ และเฉลยแบบทดสอบความรู้ในวันสดุ ท้าย ของสปั ดาห์ พร้อมแจ้งระดบั คะแนนแบบทดสอบในไลน์ แอพพลิเคชน่ั 2) สัปดาหท์ ่ี 3 ใหค้ วามรผู้ า่ นไลน์ แอพพลเิ คชน่ั ในเร่ืองความหมายและประโยชนข์ องสญั ลักษณ์ทางเลือก สขุ ภาพ และอนั ตรายของโรคไมต่ ิดต่อเร้ือรังซงึ่ เกยี่ วข้องกบั การบรโิ ภคอาหารเค็ม เช่น ความดันโลหติ สูง และโรค ไตเรือ้ รัง โดยใชส้ ่ือวดี โิ อ เอกสารอเิ ล็คทรอนิกส์ พร้อมทงั้ ทาแบบทดสอบความรู้ผ่าน google form หลังการให้ ความรู้และเฉลยแบบทดสอบความรู้ในวันสุดท้ายของสัปดาห์พร้อมแจ้งระดับคะแนนแบบทดสอบในไลน์ แอพพลเิ คชั่น วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
193 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) 3) สปั ดาห์ที่ 5 ใหค้ วามรผู้ า่ น ไลน์ แอพพลเิ คชัน่ ในเรือ่ งสัญลักษณท์ างเลอื กสขุ ภาพซึง่ มคี วามเก่ียวข้อง กับโรคไม่ติดต่อเรอ้ื รงั และเร่ืองโรคไม่ตดิ ต่อเรอื้ รังซ่งึ เกย่ี วข้องกับการบรโิ ภค โดยใช้ส่อื วดี โิ อ เอกสารอเิ ล็คทรอนิกส์ พร้อมท้ังทาแบบทดสอบความรผู้ า่ น google form หลงั การให้ความรู้ และเฉลยแบบทดสอบความรู้ในวนั สุดท้าย ของสปั ดาห์ พร้อมแจ้งระดบั คะแนนแบบทดสอบในไลน์ แอพพลิเคชนั่ 4) สัปดาห์ท่ี 6 ให้ความร้ผู า่ นไลน์แอพพลเิ คชั่น ในเร่อื งปริมาณการบริโภคโซเดยี มที่เหมาะสมและอาหาร และผลิตภณั ฑ์สขุ ภาพท่มี โี ซเดยี มแฝงอยู่โดยใช้ส่ือวีดิโอเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ พรอ้ มทง้ั ทาแบบทดสอบความรู้ผ่าน Google formหลังการให้ความรู้ และเฉลยแบบทดสอบความรู้ในวันสุดท้ายของสปั ดาห์พร้อมแจ้งระดับคะแนน แบบทดสอบในไลน์ แอพพลิเคช่นั เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย 1.โปรแกรมการใช้สัญลกั ษณโ์ ภชนาการ“ทางเลอื กสขุ ภาพ” เป็นกิจกรรมท่ีผวู้ ิจยั สรา้ งขึ้นเพ่ือเสริมสร้าง สขุ ภาพของผูบ้ รโิ ภค โดยมีกิจกรรมทีป่ ระยุกต์มาจากโครงการการใช้สัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภา พเพื่อ การเสรมิ สรา้ งสุขภาพของคนไทยของมูลนธิ สิ ่งเสริมโภชนาการในพระราชูปถัมภ์ สมเดจ็ พระกนิษฐาธริ าชเจา้ กรม สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยโปรแกรม ประกอบด้วย 1) การใหค้ วามร้ใู นเรอ่ื งสญั ลักษณ์ ทางโภชนาการทางเลอื กสุขภาพและโซเดยี มในผลิตภัณฑอ์ าหารและเคร่ืองปรงุ รสผา่ นไลนแ์ อพพลิเคชนั่ และทา แบบทดสอบผา่ น google form 2) การวัดปรมิ าณโซเดยี มในอาหารที่บริโภคโดยใชอ้ ุปกรณ์ตรวจความเค็ มใน อาหาร (salt meter)โดยมกี ารบนั ทึกขอ้ มลู ลงใน google form และแจง้ ขอ้ มลู ให้กลุ่มเป้าหมายทราบทกุ ครัง้ ซ่ึง โปรแกรมฯ มีการทากจิ กรรม 7 ครงั้ โดยจัดให้มกี ิจกรรมการให้ความรู้ฯ เรื่องสญั ลักษณ์ทางโภชนาการทางเลือก สุขภาพและโซเดียมในผลติ ภัณฑอ์ าหารและเครื่องปรงุ รสผา่ นไลนก์ รุป๊ และทาแบบทดสอบผา่ น google form ใน สัปดาหท์ ี่ 2,3,5,6 และมีการวัดปริมาณโซเดียมในอาหารทีบ่ รโิ ภค โดยใชอ้ ปุ กรณต์ รวจความเค็มในอาหาร (salt meter) ในสัปดาห์ที่ 1, 4, 7 2.แบบสอบถามในการรวบรวมขอ้ มูล แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลสว่ นบุคคล ส่วนท่ี 2 ความรู้เก่ียวกับฉลาก “ทางเลือกสขุ ภาพ”และเกลือ (โซเดียม) แบบสอบถามนไี้ ด้รับการ ออกแบบมาเพื่อวัดความรู้ดา้ นโภชนาการเกี่ยวกับฉลากทางเลือกสุขภาพและเกลือโซเดยี ม โดยแบบสอบถามมี คาถามท้ังหมด 20 ข้อ เปน็ แบบ 2 ตัวเลือก คอื ใช่ และไม่ใช่ ตอบถูกจะได้ 1 คะแนน ตอบผิดจะได้ 0 คะแนน คะแนนรวมอย่รู ะหวา่ ง 0-20 คะแนน ส่วนท่ี 3 การรับรู้สมรรถนะแห่งตนเก่ียวกับสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดียม แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วน ส่วนประมาณประเมินคา่ แบบลิเคิรท์ (likert ration scales) 5 ระดับ จานวน 8 ขอ้ ซ่ึงแต่ละข้อมีคะแนน 0 – 5 คะแนน โดยการคดิ คะแนนเฉล่ยี ตอ่ คนใช้วิธีการคิดคะแนนรวมทง้ั หมดท่ีได้รับหารด้วย จานวนข้อคาถามท้ังหมด (8ขอ้ ) ทาให้ได้คะแนนรวมเฉล่ียต่อคนอย่ใู นช่วง 0-5 คะแนน ซึ่งกาหนดการให้คะแนน วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275