Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือปีที่8ฉบับที่1มค.-มิย.64

วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือปีที่8ฉบับที่1มค.-มิย.64

Published by Sucheera Panyasai, 2021-09-16 04:13:25

Description: วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือปีที่8ฉบับที่1มค.-มิย.64

Keywords: วารสาร

Search

Read the Text Version

194 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตามระดบั การรับรู้สมรรถนะแหง่ ตนเกยี่ วกบั สัญลักษณ์ทางเลือกสขุ ภาพและการบริโภคโซเดียม ตามหลักการของลิ เคิร์ท (Thanasapburachot,P.& Samranchit, S., 2016) ดังน้ี 5 หมายถงึ มกี ารรบั รู้สมรรถนะแห่งตนเกย่ี วกับสญั ลกั ษณ์ทางเลอื กสขุ ภาพและการบริโภคโซเดยี ม ในระดบั มากทสี่ ุด 4 หมายถงึ มกี ารรบั รสู้ มรรถนะแหง่ ตนเกย่ี วกับสญั ลกั ษณ์ทางเลอื กสุขภาพและการบรโิ ภคโซเดียม ในระดบั มาก 3 หมายถึง มีการรบั รู้สมรรถนะแหง่ ตนเกยี่ วกับสัญลกั ษณท์ างเลอื กสขุ ภาพและการบริโภคโซเดยี ม ในระดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ มกี ารรับรสู้ มรรถนะแห่งตนเกีย่ วกบั สญั ลกั ษณท์ างเลือกสุขภาพและการบรโิ ภคโซเดียม ในระดบั นอ้ ย 1 หมายถงึ มีการรบั รสู้ มรรถนะแห่งตนเกย่ี วกับสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพและการบรโิ ภคโซเดยี ม ในระดับนอ้ ยท่สี ดุ เกณฑ์การแปลความหมายคา่ เฉลี่ย การแปลความหมายของระดบั คะแนนใน ส่วนที่ 3 ได้แปลผลการรับรู้ สมรรถนะแหง่ ตนเก่ียวกับสัญลกั ษณท์ างเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดยี ม โดยใชค้ ่าเฉลีย่ ของผลคะแนน เป็น ตวั ช้ีวดั ตามเกณฑใ์ นการวเิ คราะหต์ ามแนวคิดของเบสท์ (Best, J.W.,1977) มีรายละเอียดดังนี้ คะแนนเฉลย่ี 4.50 –5.00 หมายถงึ มีการรับรูส้ มรรถนะแหง่ ตนเกี่ยวกบั สญั ลักษณท์ างเลอื กสขุ ภาพและ การบรโิ ภคโซเดยี มในระดบั มากทส่ี ุด คะแนนเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายถงึ มีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเกย่ี วกบั สญั ลกั ษณท์ างเลือกสุขภาพและ การบรโิ ภคโซเดียมในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.50 –3.49 หมายถึง มีการรบั รู้สมรรถนะแห่งตนเกย่ี วกบั สัญลกั ษณท์ างเลอื กสุขภาพและ การบริโภคโซเดยี มในระดับปานกลาง คะแนนเฉลีย่ 1.50 – 2.49 หมายถึง มีการรับร้สู มรรถนะแหง่ ตนเก่ยี วกับสญั ลักษณ์ทางเลือกสุขภาพและ การบรโิ ภคโซเดยี มในระดับนอ้ ย คะแนนเฉลี่ย 1.00 –1.49 หมายถงึ มีการรบั รสู้ มรรถนะแหง่ ตนเกย่ี วกบั สญั ลกั ษณท์ างเลอื กสุขภาพและ การบรโิ ภคโซเดียมในระดบั นอ้ ยทสี่ ุด ส่วนที่ 4. การวัดปรมิ าณการบรโิ ภคเกลือ (โซเดียม) วัดโดยการใช้ในสว่ นปลายแท่งเซนเซอร์อุปกร ณ์วัด ระดบั ความเคม็ แบบดจิ ิตอล (EN-900WT: health salt meter) หรือ salt meter ยี่ห้อ Dretec - EN900 กดปุ่ม เปิดแล้วจุม่ ลงในอาหารประเภทนา้ เชน่ แกง ต้ม ซปุ เป็นตน้ ปรมิ าณ 100 ซีซี โดยอา่ นค่าระดบั ความเคม็ จากจอLED แสดงผลซึง่ ปรากฏชัดเจนดว้ ยไฟ LED แสดงค่าจานวน 1 จุด โดยมที ัง้ หมด 7 จุด ซ่งึ มีคา่ ตัวเลข ดงั นี้ จุดที่ 1 คอื 0.3 , วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

195 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) จดุ ท่ี 2 คอื 0.5,จดุ ที่ 3 คือ 0.7, จุดที่ 4 คอื 0.9, จดุ ที่ 5 คือ 1.1, จดุ ท่ี 6 คอื 1.3, และจดุ ที่ 7 คอื 1.5 การอา่ นค่า ระดับความเคม็ ตามการแปรผล ดงั น้ี - ความเคม็ ในระดบั น้อย หนา้ จอไฟ LED แสดง สีนา้ เงนิ ทีต่ วั เลข 0.3 หรือ 0.5 - ความเคม็ ในระดบั ปานกลาง หนา้ จอไฟ LED แสดง สีเขียว ทต่ี ัวเลข 0.7 หรอื 0.9 - ความเคม็ ในระดบั มาก หนา้ จอไฟ LED แสดง สแี ดง ท่ีตวั เลข 1.1 หรือ 1.3 หรอื 1.5 และบันทึกลงแบบฟอรม์ การวัดปริมาณโซเดยี มในอาหารท่ีกลมุ่ ตวั อยา่ งบรโิ ภคใน 1 ม้อื โดยเจ้าหน้าทผี่ ูต้ รวจสอบ ความเคม็ ในอาหาร (salt meter) ซงึ่ ดาเนินการวดั และบนั ทึก 2 ครงั้ คอื ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ 3.อุปกรณ์วัดระดบั ความเคม็ แบบดจิ ิตอล (EN-900WT: health salt meter) หรอื salt meter Dretec - EN900 อุปกรณต์ รวจความเคม็ ในอาหาร (health salt meter: salt meter) สามาร ถ แสดงคา่ ความเค็มในรูปแบบสญั ลกั ษณค์ ่าสี โดยมกี ารแปรผลระดบั ความเค็มเป็น 3 ระดบั มเิ ตอรแ์ สดงผลชดั เจน ด้วยไฟ LED 7 จดุ และแถบสแี ดงค่าความเค็มจากนอ้ ยไปมาก วัดปริมาณโซเดียมได้ต่าสุดถึง0.3% ค่าความคลาด เคล่ือนนอ้ ยเพียง +/- 0.2% โดยหน้าจอ LED ของเครื่องจะแสดงผลหน้าจอดังน้ี - ความเค็มในระดบั น้อย หน้าจอไฟ LED แสดง สีนา้ เงิน ท่ตี วั เลข 0.3 หรอื 0.5 - ความเค็มในระดับปานกลาง หนา้ จอไฟ LED แสดง สเี ขียว ที่ตัวเลข 0.7 หรือ 0.9 - ความเคม็ ในระดบั มาก หนา้ จอไฟ LED แสดง สแี ดง ทต่ี ัวเลข 1.1 หรอื 1.3 หรือ 1.5 หลกั การทางานของเครอื่ ง คอื เซนเซอรท์ ป่ี ลายจุ่ม จะวัดประจุไฟฟา้ ทีเ่ กิดจากความสามารถในการนา ไฟฟ้าของเกลอื โซเดยี ม (NaCl) ในของเหลว (electronic conductivity method) ซ่งึ ยง่ิ เคม็ กย็ ิ่งมีประจบุ วกของ ไฟฟา้ ในของเหลวมาก คา่ ที่อ่านได้ก็จะสูงข้ึน วดั ของเหลวได้ในอุณหภูมิ 0-90 องศาเซลเซียส วดั ของเหลวได้ใน อณุ หภูมิ 0 - 100 องศาเซลเซียส (Dretec Thailand,2019) การตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือ การหาความตรงตามเน้ือหา (content validity) ของโปรแกรมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการทางเลือก สขุ ภาพของเครื่องมือใชก้ ารคานวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (Indexes of Item-Objective Congruence: IOC) โดยในแบบสอบถามส่วนของความรู้เกยี่ วกับฉลาก “ทางเลือกสขุ ภาพ”และเกลือ (โซเดยี ม) IOC = 0.74 และใน สว่ นการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเกยี่ วกับสญั ลกั ษณท์ างเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดยี ม IOC = 0.78 การหาความเชอื่ มน่ั (reliability) ของแบบสอบถามทัง้ หมด ความรู้เกย่ี วกบั ฉลาก “ทางเลือกสุขภาพ” และเกลอื โซเดยี ม = .77 การรบั รสู้ มรรถนะแหง่ ตนเกยี่ วกับสัญลักษณท์ างเลือกสขุ ภาพและการบรโิ ภคโซเดียม = .86 การรับรองคุณภาพอุปกรณ์วัดความเค็ม เพ่ือใหไ้ ด้ค่าความเค็มท่ีเปน็ มาตรฐานสากลโดยใช้น้าเกลือ (normal saline solution) เปน็ เครอื่ งมอื สอบเทียบ (calibrator) ค่าความเค็มของอุปกรณ์วัดความเค็ม โดยนา ส่วนปลายแท่งเซนเซอร์อปุ กรณว์ ัดระดับความเค็มแบบดจิ ิตอล (EN-900WT: health salt meter) หรือ salt meter กดปุม่ เปดิ แลว้ จุ่มลงในน้าเกลือ หมายถึง น้าเกลือ เกลือธรรมดาทีม่ ีความเข้มข้น 0.9% จานวน 100 ซีซี แล้วอ่าน วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

196 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ค่าระดับความเคม็ จากจอ LED แสดงผลซง่ึ ปรากฏชดั เจนด้วยไฟ LED แสดงคา่ ซึง่ ต้องแสดงคา่ คอื 0.9 เนือ่ งจาก เป็นค่าความเข้มข้นของน้าเกลือดังกลา่ ว โดยทาการทดสอบจานวน 5 ครั้ง เพื่อหาค่าเฉลี่ยระดับความเคม็ ที่ ตรวจวัดได้ โดยคา่ เฉลี่ยที่ได้ต้องมีค่าเท่ากับ 0.899 ถงึ จะผ่านการทดสอบและนาอุปกรณว์ ัดความเค็มมา ใช้ได้ เนื่องจากบริษทั ผผู้ ลติ ไดก้ าหนดคา่ เปอรเ์ ซ็นต์ความคลาดเคลอ่ื นของการวัดค่าความเค็ม (error) ท่ีระดบั .02 เปอรเ์ ซน็ ต์ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผูว้ จิ ยั เปน็ ผู้เกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยมีข้นั ตอนในการเก็บข้อมูล ดังนี้ 1.สง่ โครงร่างวจิ ยั ให้คณะกรรมการวจิ ยั ของวทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี 2.ทาเรื่องขออนญุ าตการเกบ็ ขอ้ มลู จากคณะกรรมการจริยธรรมการวจิ ยั 3.รวบรวมข้อมูลสถิติ ที่เกย่ี วข้อง 4.จัดประชมุ ช้แี จงวตั ถุประสงคแ์ ละแนวทางในการกจิ กรรมโปรแกรมการใช้เกณฑส์ ัญลักษณ์โภชน าการ ทางเลอื กสขุ ภาพ 5.คัดเลอื กกลมุ่ ตัวอย่างผ้บู ริโภคทีอ่ าศยั อย่ใู นตาบลเวยี งเหนือ โดยสอบถามความสมคั รใจเขา้ รว่ ม 6. ดาเนินการรวบรวมข้อมูล ตามเคร่ืองมือท่ใี ช้ในการเก็บข้อมูล ก่อนการจัดกจิ กรรมตามกิจกรรม โปรแกรมการใช้เกณฑส์ ญั ลักษณโ์ ภชนาการ “ทางเลอื กสุขภาพ” 7.ดาเนนิ กิจกรรมโปรแกรมการใช้เกณฑ์สญั ลักษณ์โภชนาการ “ทางเลอื กสขุ ภาพ” 8. ดาเนนิ การเก็บข้อมูลตามเคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการเก็บขอ้ มูล หลังการจัดกจิ กรรมตามกจิ กรรมโปร แกร ม การใช้เกณฑ์สัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลอื กสุขภาพ” การวิเคราะห์ข้อมลู 1.ขอ้ มูลส่วนบคุ คลของกลุ่มตัวอย่าง ใช้สถติ เิ ชิงพรรณนา จานวน รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบน มาตรฐาน เนอ่ื งจากเปน็ การศกึ ษาแบบ 2 กล่มุ ไม่มีการเปรยี บเทียบข้อมลู สว่ นบุคคลระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 2.การเปรียบเทียบความรู้ การรบั รสู้ มรรถนะแห่งตน และปรมิ าณการบรโิ ภคโซเดียมของกลุ่มทดลองก่อน และหลังเข้าโปรแกรมดว้ ยสถิติ ทคี ู่ (Paired-Samples t-test) และระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้ สถิตทิ ีอิสระ (Independent t-test) การพิทกั ษ์สทิ ธกิ ล่มุ ตวั อยา่ งและจรยิ ธรรมการวจิ ัย การวจิ ยั ครง้ั นีผ้ ู้วจิ ยั พทิ ักษส์ ทิ ธก์ิ ลุ่มตวั อยา่ ง โดยนาโครงร่างการวิจัยเสนอตอ่ คณะกรรมการจรยิ ธรรม ของ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง สถาบันพระบรมราชชนก ได้รับการอนมุ ัติ หมายเลข 042/2562 โดยมี หนงั สอื ชแ้ี จงการพิทกั ษส์ ิทธก์ิ ล่มุ ตัวอยา่ ง กลมุ่ ตัวอยา่ งสามารถสอบถามข้อมูล และสามารถถอนตัวจากการวิจยั ได้ ทุกเวลาโดยไมม่ เี ง่ือนไข และไมม่ ีผลใดๆ ต่อกลุม่ ตวั อยา่ งแตอ่ ย่างใด และขอ้ มูลของกลุม่ ตวั อย่างจะไม่นาไปเปิดเผย เป็นรายบุคคลแต่จะนาเสนอเฉพาะภาพรวมในเชิงวิชาการเท่าน้นั วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

197 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ผลการศกึ ษา 1.ข้อมูลทั่วไป กลุ่มทดลองส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ90.3) มีอายุระหว่าง 45 ปี ถึง 59 ปี Mean=55.6(SD=6.49) ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา (ร้อยละ 43.5) และมีอาชีพ ขา้ ราชการ/ลกู จา้ งของรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกจิ มีจานวนมากทสี่ ุด (รอ้ ยละ 37.1) และสว่ นใหญ่มีรายไดน้ ้อยกว่า 15,000บาท และ15,000-30,000 บาท (ร้อยละ45.2) กลมุ่ ควบคมุ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 77.4) มีอายุ ระหวา่ ง 45 ปี ถงึ 59 ปี Mean=50.3 (SD=9.41) ส่วนใหญ่มีระดบั การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา(ร้อยละ 40.3) และมีอาชีพขา้ ราชการ/ลูกจ้างของรัฐ/พนักงานรฐั วิสาหกจิ (ร้อยละ 30.6) และสว่ นใหญม่ ีรายได้น้อยกว่า 15,000บาท (ร้อยละ 54.8) ดังแสดงในตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 ขอ้ มูลท่วั ไปของกลมุ่ ตัวอย่าง (n=124) ขอ้ มูลทว่ั ไป กลมุ่ ทดลอง กลุม่ ควบคุม p-value (n-=62) (n-=62) .081 เพศ จานวน(ร้อยละ) จานวน(ร้อยละ) .078 ชาย 6(9.7) 14(22.6) .276 หญิง 56(90.3) 48(77.4) .173 4(6.45) 15(24.19) อาย(ุ ปี) 58(93.5) 47(75.81) .179 25- 45 (27)43.5 25(40.3) 45-59 (7)11.3 10(16.1) (25)40.3 21(33.9) ระดับการศกึ ษา (3)4.8 6(9.7) ประถมศึกษา/มัธยมศกึ ษา อนปุ ริญญา 0 1(1.6) ปริญญาตรี 23(37.1) 19(30.6) สูงกว่าปรญิ ญาตรี 13(21.0) 3(4.8) 17(27.4) อาชีพ 0 14(22.6) นิสติ /นักศกึ ษา 21(33.9) 13(19.4) 1(1.6) ข้าราชการ/พนกั งาน/ลูกจ้าง 0 34(54.8) หนว่ ยงานรฐั หรอื รัฐวิสาหกจิ 5(8.1) 14(22.6) 28(45.2) 9(14.5) พนกั งานบริษัทเอกชน 28(45.2) 5(8.1) ธรุ กจิ สว่ นตวั /ค้าขาย 3(4.8) อาชีพอสิ ระ/รับจ้างทั่วไป 3(4.8) อื่นๆ(แมบ่ ้าน) ไม่ตอบ รายได้เฉล่ยี ตอ่ เดือน (บาท) นอ้ ยกวา่ 15,000บาท 15,000-30,000บาท มากกว่า30,000 บาท ไม่ตอบ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

198 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 2.การเปรียบเทยี บความรู้ สมรรถนะแหง่ ตนในเรื่องสญั ลักษณ์โภชนาการทางเลอื กสุขภาพ และการลด ปรมิ าณการบรโิ ภคเกลือ(โซเดียม)ของกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลอง พบวา่ คะแนนความรู้ด้านการ รับรู้ ฉลาก “ทางเลอื กสุขภาพ”และการบรโิ ภคเกลือ (โซเดียม) โดยรวมของกลุ่มทดลองก่อน Mean=10.16 (SD= 3.46) และหลงั การทดลอง Mean=10.85 (SD= 3.55) ไม่มีความแตกตา่ งกันทางสถติ ิ (t= -1.256 (SD = 0.214) และ การรบั รสู้ มรรถนะแหง่ ตนในเรอ่ื งการบริโภคเกลือ (โซเดยี ม) ของกล่มุ ทดลองก่อน Mean=4.31 (SD=0.56) และ หลังการทดลอง Mean=4.47 (SD=0.51) ไม่มคี วามแตกต่างกันทางสถิติ (t= 1.708,p= 0.093) จากการแปล ความหมายของระดับคะแนนการรับรสู้ มรรถนะแห่งตนเก่ยี วกับสญั ลักษณ์ทางเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดียม โดยใช้คา่ เฉลย่ี ของผลคะแนนเป็นตัวช้ีวัดตามเกณฑ์ในการวิเคราะห์ตามแนวคิดของเบสท์7 (Best, J.W.,1977) พบวา่ คะแนนเฉลย่ี การรับรสู้ มรรถนะแห่งตนในเรอื่ งการบริโภคเกลือ (โซเดยี ม) กอ่ นการทดลอง Mean=4.31 ซึ่ง อยู่ในช่วงของคะแนนเฉลี่ย 3.50 - 4.49 แปลผลได้ว่า ก่อนการทดลองมีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเกี่ยวกบั สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดยี มในระดับมาก และหลังการทดลองมีคะแนนเฉล่ียการรบั รู้ สมรรถนะแหง่ ตนในเร่ืองการบริโภคเกลอื (โซเดียม) (Mean)= 4.47 ซึ่งอยใู่ นชว่ งคะแนนเฉลยี่ 4.50 –5.00 แปร ผลได้วา่ หลังการทดลองมกี ารรับรู้สมรรถนะแห่งตนเกยี่ วกับสัญลักษณท์ างเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดียมใน ระดับมากที่สุด ส่วนปริมาณการบริโภคเกลือ(โซเดียม) เฉล่ียในอาหาร 1 มื้อของกลุ่มทดลองหลังการทดลอง Mean=1,138.71 (SD=260.74) ลดลงกว่ากอ่ นการทดลอง Mean=1,190.32 (SD=230.97) อยา่ งมนี ยั สาคญั ทาง สถิตทิ ี่ระดับ 0.05 (t=2.811,p=0.007) ดังแสดงในตารางที่ 2 ตารางท่ี 2 การเปรยี บเทยี บความรู้ สมรรถนะแห่งตนในเรือ่ งสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสขุ ภาพ และการลด ปรมิ าณการบรโิ ภคเกลอื (โซเดียม) ของกลมุ่ ทดลองกอ่ นและหลงั การทดลอง รายการ กอ่ นทดลอง หลังทดลอง t P-value Mean(SD) Mean(SD) -1.256 .214 ความรู้ด้านการรับรฉู้ ลาก “ทางเลอื กสุขภาพ” 10.16 (3.46) 10.85 (3.55) และการบรโิ ภคเกลือ (โซเดยี ม) การรบั ร้สู มรรถนะแหง่ ตนในเรือ่ งการบรโิ ภค 4.31(0.56) 4.47(0.51) 1.708 .093 เกลือ (โซเดยี ม) ปริมาณโซเดยี มเฉลี่ยในอาหารทก่ี ลมุ่ ตัวอย่าง 1,190.32 1,138.71 2.811 .007* บริโภคใน 1 ม้อื (230.97) (260.74) * P-value <.05 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

199 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) 3.การเปรียบเทียบความรู้ สมรรถนะแหง่ ตนในเร่ืองสญั ลักษณ์โภชนาการทางเลอื กสุขภาพ และการลด ปรมิ าณการบรโิ ภคเกลอื (โซเดยี ม) ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ พบว่า คะแนนความรู้ดา้ นฉลาก “ทางเลือก สุขภาพ”และการบริโภคเกลือ(โซเดียม) ของกล่มุ ทดลอง Mean=10.85 (SD=3.55) และกลุ่มควบคุม Mean =9.29 (SD=3.28 ) ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (t= 2.549,p= 0.312) แตพ่ บวา่ การรบั รู้สมรรถนะแห่งตนใน เรอื่ งการบริโภคเกลอื (โซเดียม) ของกลมุ่ ทดลอง Mean=4.39(SD=0.39) และกลมุ่ ควบคุม Mean=4.06(SD=0.69) พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 (t= 3.259,p= 0.00) และจากการแปล ความหมายของระดับคะแนนการรับรสู้ มรรถนะแห่งตนเกีย่ วกับสัญลักษณท์ างเลือกสุขภาพและการบรโิ ภคโซเดียม โดยใช้คา่ เฉลีย่ ของผลคะแนนเปน็ ตัวช้ีวัดตามเกณฑใ์ นการวิเคราะห์ตามแนวคิดของเบสท์7 (Best, J.W.,1977) พบวา่ คะแนนเฉล่ียการรบั รู้สมรรถนะแห่งตนในเร่ืองการบริโภคเกลอื (โซเดียม) ทง้ั กลมุ่ ทดลอง (Mean)=4.39 และกลุ่มควบคุม (Mean)= 4.06 อย่ใู นช่วงของคะแนนเฉลี่ย 3.50 - 4.49 แปลผลไดว้ า่ กลุม่ ทดลองและกลุ่ม ควบคุมมีการรับรสู้ มรรถนะแห่งตนเกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพและการบริโภคโซเดยี มในระดับมา ก และ ปรมิ าณการบริโภคเกลือ(โซเดียม)เฉลยี่ ในอาหาร 1 มือ้ ของกลุ่มทดลอง Mean=1,062.10 (SD=31.04 ) ลดลงกวา่ กลุ่มควบคุม Mean= 1,187.10 (SD=28.86) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 (t=-2.95 ,p=0.004) ดงั แสดงในตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 การเปรยี บเทียบความรู้ สมรรถนะแหง่ ตนในเร่ืองสัญลักษณ์โภชนาการทางเลอื กสุขภาพ และการลด ปรมิ าณการบริโภคเกลือ(โซเดียม) ของกลุม่ ทดลองกอ่ นและกล่มุ ควบคุม รายการ กลมุ่ ทดลอง กลมุ่ ควบคมุ t P-value Mean(SD) Mean(SD) 2.549 .312 ความรดู้ า้ นการรับร้ฉู ลาก “ทางเลือกสขุ ภาพ”และ 10.85 (3.55) 9.29 (3.28) 3.259 <.001* การบรโิ ภคเกลอื (โซเดยี ม) -2.95 .004* การรับรู้สมรรถนะแหง่ ตนในเรอ่ื งการบริโภคเกลอื 4.39(0.39) 4.06(0.69) (โซเดยี ม) ปริมาณโซเดยี มเฉล่ยี ในอาหารท่ีกล่มุ ตัวอย่าง 1,062.10 (31.04) 1,187.10(28.86) บริโภคใน1มอื้ *P-value <.05 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

200 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) การอภิปรายผล 1.ความรู้ ดา้ นฉลาก“ทางเลือกสขุ ภาพ”และการบริโภคเกลือ (โซเดยี ม) จากผลการศกึ ษาคร้ังน้พี บว่ากลุ่ม ผบู้ ริโภคหลังได้รับโปรแกรมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพมีคะแนนความรู้ด้านฉลาก“ทางเลือก สุขภาพ”และการบรโิ ภคเกลือ(โซเดยี ม)ไม่แตกตา่ งจากกลมุ่ ทดลองกอ่ นการทดลองและกลุ่มควบคุม พบวา่ คะแนน ความรดู้ า้ นฉลาก“ทางเลือกสุขภาพ”และการบรโิ ภคเกลอื (โซเดยี ม)ของกลุ่มทดลอง Mean=10.16 (SD=3.46)และ หลงั การทดลอง Mean=10.85 (SD=3.55) ไม่มคี วามแตกต่างกันทางสถิติ (t=-1.256,p=0.214) (ตาราง2) และ ระหว่างกลุ่มทดลอง Mean=10.85 (SD=3.55)และกลุ่มควบคุม Mean =9.29 (SD=3.28) พบว่า ไม่มีความ แตกต่างกันทางสถิติ (t=2.549,p=.312) (ตารางที่ 3) อธิบายผลการวิจัยได้ว่าในส่วนของวิธีการให้ความรู้ กลุ่มเป้าหมาย คือ การให้ความรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย (line) เพียงช่องทางเดียว อาจไม่ได้มีผลต่อ กลมุ่ เปา้ หมายมากนัก เน่อื งจากกลมุ่ เปา้ หมายอาศัยอยู่ในเขตสังคมเมือง และส่วนใหญ่อย่ใู นวยั กลางคน ซง่ึ มีแบบ แผนการใช้ชวี ติ การเข้าถึงขอ้ มูลความรู้ตา่ งๆผ่านส่ือโซเชียลมเี ดียในหลายช่องทางเปน็ ปกติ ทาใหค้ ะแนนในส่วน ของความร้ไู มไ่ ด้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ ซง่ึ สอดคลอ้ งกับงานวิจัยที่ศกึ ษาปัจจัยทานายพฤติกรร ม การปอ้ งกนั โรคเร้อื รงั ของคนวัยกลางคน พบวา่ กา ร ได้รับควา มรู้เร่ืองโร คเร้ือรังจ า กกลุ่มโซเชียลมีเดี ย มคี วามสัมพันธ์ทางบวก และรว่ มทานายพฤติกรรมได้ เน่ืองจากในปัจจุบันกลุ่มโซเชียลมีเดียเป็นช่องทา งการ สื่อสารท่รี วดเรว็ ผ่านทางโทรศพั ท์มือถือและมีขอ้ มูลข่าวสารต่างๆรวมท้ังทางด้านสุขภาพให้ติดตาม กลุม่ คนทอ่ี ยู่ใน วยั ทางานมโี ทรศัพท์ เคล่อื นทเ่ี กือบทุกคนและสามารถตดิ ตามข้อมลู ขา่ วสารเรอ่ื งโรคเรื้อรงั ตามรปู แบบทีเ่ ห มาะสม กบั ตนเอง (Getchinda et al.,2018) และการสรา้ งปฏสิ ัมพันธข์ องกลุ่มเป้าหมายและชุมชนผ่านช่องทางโซเชียล มีเดียจะช่วยเพมิ่ ความรู้ของกลุ่มเปา้ หมายได้ พบว่า งานวจิ ัยประสิทธผิ ลของโปรแกรมการประยุกต์ใช้การสื่อสาร ผา่ นสอ่ื สังคมออนไลน์ในการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษนักเรียนมัธยมศกึ ษา จงั หวัด พระนครศรอี ยธุ ยา โดยให้นักเรยี นมสี ่วนร่วมในการพฒั นาสื่อออนไลน์ประเภทต่างๆ ผ่านชอ่ งทางสอ่ื สงั คมออนไลน์ ได้แก่ facebook instragram เปน็ ตน้ และมีกจิ กรรมรว่ มกบั ชุมชนผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใหม้ ีผลตอบรับจาก การสอ่ื สาร เช่น จานวนถูกใจ (like) ขอ้ เสนอแนะ (comment) และ การแบ่งปัน (share) ทาใหเ้ กดิ ปฏสิ ัมพันธ์กับ นักเรยี นแกนนา และส่งผลให้นกั เรยี นกลุม่ ทดลองมีความรู้เกี่ยวกับโรคอาหารเป็นพิษมากกวา่ ก่อนการทดลองและ กลุ่มเปรียบเทียบอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิ (Pongpanich et al.,2020) ในส่วนของเน้อื หาความรู้ความเข้าใจเร่ืองสัญลักษณ์ทางเลือกสขุ ภาพมีงานวิจัยท่ีศึกษาถึงปัจจัยท่ีมี อิทธพิ ลต่อพฤติกรรมการซ้ือสินค้าสัญลกั ษณ์ทางเลอื กสุขภาพของคนวัยทางานพบวา่ ผ้ซู ื้อมีการรับรู้และเข้าใจ เกี่ยวกับสัญลักษณ์ทางเลือกสขุ ภาพในเร่ืองคุณประโยช น์ของสัญลกั ษณ์ดังกลา่ วในระดับหนง่ึ เกี่ยวกับการลด ปรมิ าณ น้าตาล โซเดยี ม และมปี ริมาณแคลอรี่ตา่ (Kiattananuson M.,2018) สว่ นหนง่ึ อาจเกดิ จากพ้ืนฐานการใส่ใจ เลอื กรบั ประทานอาหารท่ีมีประโยชนห์ รือดีตอ่ สขุ ภาพท่ีแตกต่างกนั ในแต่ละบุคคล โดยมีความสอดคลอ้ งกับงาน วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

201 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) วิจัยหน่ึงซึ่ง พบว่า ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารมีผลสาหรับผู้บริโภคบางรายมากกว่า เช่น ผู้บริโภคท่ี รับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่แลว้ อาจมีแนวโนม้ ที่จะได้รบั ประโยชน์จากการเปิดเผยข้อมลู โภชนาการท่ีจาเป็น และการได้รับฉลากโภชนาการเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพี ยงพอท่ีจะจงู ใจใหผ้ ู้ที่ไม่ได้รบั ประโยชน์จากการเปดิ เผยขอ้ มลู โภชนาการท่จี าเปน็ (Gregory,C.,Rahkovsky,I.&Anekwe,T.,2019) และการเพิ่ม ความรดู้ า้ นโภชนาการรวมถึงการสรา้ งความตระหนกั ให้แก่ผู้บริโภคเห็นความสาคญั ของการใช้ข้อมลู โภชนาการ เปน็ ส่ิงท่ีจาเป็นทจ่ี ะทาให้ผบู้ ริโภคมคี วามสนใจในการรับรขู้ ้อมูลจากฉลากโภชนาการ“ทางเลือกสุขภาพ”เพ่ิมขึ้น มี ผลการวจิ ัยหนงึ่ ซ่ึงชใี้ ห้เหน็ ว่า การเพม่ิ ระดับความรู้ดา้ นโภชนาการของผบู้ รโิ ภคฯ อาจชว่ ยปรับปรงุ การสอ่ื สารดา้ น โภชนาการผ่านฉลากอาหารของผบู้ รโิ ภค (Miller,L.& Cassady,L,D.,2019) 2.การรบั ร้สู มรรถนะแหง่ ตนเกยี่ วกับสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลอื กสขุ ภาพ” และการบริโภคเกลือ (โซเดียม) หลงั ได้รบั โปรแกรมการใช้สญั ลักษณโ์ ภชนาการทางเลอื กสุขภาพระหว่างกลุม่ ทดลอง Mean=4.39 (SD=0.39) และกลุ่มควบคุม Mean=4.06 (SD=0.69) มีควา มแตกต่า งกัน อย่า ง มีนัยสา คัญทา งสถิติท่ีร ะดับ 0.0 5 (t=3.259,p=0.00) (ตารางท่ี 3) แต่ในกลมุ่ ผู้บริโภคหลงั การทดลอง Mean=4.47 (SD=0.51)และกอ่ นการทดลอง Mean=4.31 (SD=0.56) ไม่มคี วามแตกต่างกนั ทางสถิติ (t=-1.708,p=0.093) (ตารางที่ 2) ซงึ่ การรับรูส้ มรรถนะ แห่งตนเกยี่ วกบั สัญลักษณ์โภชนาการ“ทางเลือกสขุ ภาพ”และการบริโภคเกลือ(โซเดยี ม)ท่แี ตกตา่ งกันระหวา่ งกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุม เนอ่ื งจากมกี ารใชอ้ ุปกรณว์ ัดความเค็มในอาหาร (salt meter) หรอื Dretec - EN900 (health salt meter ) โดยมีการบันทึกข้อมูลลงใน google form และแจ้งขอ้ มูลผลการตรวจหาปริมาณเกลือ (โซเดยี ม) ในอาหารใหก้ ลมุ่ ทดลองทราบทกุ ครั้ง ทา ให้กลุ่มเ ป้า ห มา ย เ กิ ด ควา ม ต ร ะห นัก รู้ใ น ต น เ อ ง (self- awareness) ในเรอื่ งปริมาณของเกลือ(โซเดียม)ท่ีตนเองได้รับในแตล่ ะคร้ัง และการไดร้ ับความรู้ใน เรื่อง อนั ตรายจากการบรโิ ภคเกลือ(โซเดียม) ซึง่ เป็นสาเหตหุ ลักของการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเรอื้ รังต่างๆ รวมถึงการไดร้ บั ชม ในเร่ืองการบอกเลา่ ถึงประสบการณ์การใช้ชวี ิตจริงของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเร้อื รงั จากคลปิ วิดีโอที่ส่งให้ผา่ นทาง ช่องทางไลน์ ปัจจยั เหลา่ น้ลี ้วนส่งผลต่อการเกดิ สมรรถนะในการเลือกทจี่ ะลดการบริโภคอาหารท่ีมเี กลอื (โซเดยี ม) ซง่ึ สอดคล้องกบั ผลการศึกษาเรื่อง ประสทิ ธผิ ลของโปรแกรมป้องกันโรคความดนั โลหติ สูง ในบคุ คลท่เี สี่ยงต่อโรค ความดันโลหิตสงู การศกึ ษาน้ี พบว่า ผู้วิจยั ได้พฒั นาวธิ กี ารสอนตามหลกั การของ self-awarenessและself-efficacytheory เชน่ การสร้างประสบการณท์ ป่ี ระสบความสาเร็จซ่ึงเกิดจากการใหก้ ลุ่มเสย่ี งได้ปฏิบตั ิทาให้เกิดประสบการ ณ์ตรง จากการทป่ี ฏิบัตินาไปสู่ผลลัพธ์ทค่ี าดหวังไว้ การใชต้ ัวแบบเล่าประสบการณ์ความสาเร็จ ให้เกดิ การปฏบิ ัติและ แลกเปลีย่ นเรียนรู้สามารถปฏิบัติได้จริงและได้ผลลัพธท์ ี่ดี และการใชเ้ ทคนิคการกระตุ้นทางอารมณ์เพ่ือให้กลุ่ม ทดลองไดเ้ หน็ การเปลี่ยนแปลงที่ดขี ึน้ เหน็ ส่งิ ที่คาดหวังเป็นจริงได้ (Siripat et al.,2019) นอกจากนี้ยงั มงี านวิจยั ทีไ่ ดส้ นับสนนุ ในเรอื่ งการใช้อุปกรณ์วดั ความเค็มในอาหาร (salt meter) ซ่งึ เป็น เคร่ืองมือท่ีแสดงให้เห็นถึงปริมาณโซเดียมที่มีในอาหารเพ่ือเป็นข้อมูลสะท้อนกลับ (biofeedback) เป็นอีก มาตรการ ของชดุ มาตรการลดบริโภคเค็ม (intervention program) ที่สามารถสร้าง ความตระหนกั และนาไปสู่ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

202 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) ผลลัพธส์ ุขภาพที่ดี โดยจากผลการศกึ ษา พบว่า คา่ เฉล่ียความดนั โลหิตตวั บน และคา่ เฉลีย่ โซเดยี มในปสั สาวะ24 ช่ัวโมง ระยะก่อนการศกึ ษาและระยะหลังแตกต่างกันอยา่ งมีนัยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับ . 05 ทั้ง 3 ตาบล และยังพบ การศกึ ษาอืน่ ที่แสดงใหเ้ ห็นวา่ การใช้ salt meter เป็นเครือ่ งมือสนบั สนุนการตัดสนิ ใจเพื่อการดูแลตนเอง ทาให้ กลมุ่ ตวั อย่างมีความรู้ ทศั นคติ การปฏบิ ัตเิ พ่อื ดแู ลตนเอง และควา มสา มา ร ถใน กา ร ดูแลต น เ อง เ พ่ิ ม ขึ้ น อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติ (Panmung et al.,2020) 3.การลดปรมิ าณการบรโิ ภคเกลือโซเดียม กลมุ่ ผู้บริโภคหลงั เขา้ โปรแกรมการใชส้ ัญลกั ษณ์โภชนาการ ทางเลือกสขุ ภาพ พบว่า การลดปริมาณการบรโิ ภคเกลือ (โซเดียม) มีความแตกตา่ งทางสถิติกับกลุ่มทดลองก่อน การทดลอง และกลุ่มควบคมุ โดยพบว่า ปรมิ าณการบริโภคเกลือ (โซเดียม) เฉลีย่ ในอาหาร 1 ม้ือของกลุ่มทดลอง หลังการทดลอง Mean=1,138.71 (SD=260.74) ลดลงกว่าก่อนการทดลอง Mean=1,190.32 (SD=230.97) อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ 0.05 (t=2.811,p=0.007) (ตารางที่ 2) และ ปรมิ าณการบรโิ ภคเกลือ(โซเดียม) เฉลี่ยในอาหาร1ม้อื ของกลุ่มทดลอง Mean= 1,073.39 (SD=246.90 ) ลดลงกว่ากลุ่มควบคุม Mean=1,190.32 (SD=230.97) อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั 0.05 (t=-2.72,p=0.007) (ตาราง 3) ซึ่งสอดคล้องกบั งานวจิ ัยเร่ือง การพัฒนารูปแบบการลดการบริโภคเคม็ ในกลุ่มสงสัยปว่ ยโรคความดันโลหิตสูง โดยไดว้ ดั ระดับความเค็มในอาหาร โดยใช้เครื่องวัดความเคม็ ในอาหารโดยการวัดปริมาณโซเดียมในอาหารท่ปี รุงเองต่อปริมาณอาหาร 100 กรัม ของ กลุ่มสงสยั ป่วย กอ่ นดาเนนิ การมคี ่าเฉลีย่ 413.42 มลิ ลิกรัม (SD=125.42) หลงั ได้รับคาปรึกษา รบั บรกิ ารให้ความรู้ การบริโภคเกลือและโซเดียมมคี ่าเฉล่ีย 303.82 มลิ ลิกรัม (SD=116.98) ค่าเฉลีย่ ปริมาณโซเดียมในอาหา รหลัง ดาเนนิ การลดลง รอ้ ยละ 70.11 อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ p-value<.001 (Nasa-arn,S., Rachagrai,T. & Kalasin Provincial Health Office.,2021) และสอดคล้องกับการศกึ ษาทไี่ ด้พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมการบริโภคอาหาร ลด โซเดยี มโดยมุ่งเน้นการเพิ่มความตระหนักรู้และปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียม และการใช้ เครือ่ งมือวัดโซเดียมในอาหารในการประเมินปริมาณโซเดียมในตัวอย่างอาหารของร้านค้าภายในและโดยร อบ สถานศึกษา พรอ้ มท้ังนาเสนอผลการประเมิน เปน็ กิจกรรมการเรียนรจู้ ากประสบการณ์ตรงรวมทั้งการสาธิตการ คานวณโซเดียมในอาหารโดยใชส้ ื่อคู่มือการอ่านฉลากโภชนาการของเคร่ืองปรงุ รสและอาหารแปรรู ป พบวา่ คะแนนเฉลี่ยความรู้ ภายหลังเข้ารว่ มโปรแกรมมากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (p < .001) พฤติกรรมบรโิ ภคอาหาร ท่ีมโี ซเดียม (ปริมาณโซเดียมทีบ่ ริโภค) และปรมิ าณโซเดียมในปัสสาวะนอ้ ยกว่ากอ่ นเขา้ ร่วมโปรแกรม (p < .001) (Boonsiri et al.,2017) นอกจากการนาอุปกรณ์ตรวจวัดความเค็มในอาหารมาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมการลดบรโิ ภคเกลือ (โซเดียม) ในอาหารแลว้ ยังพบว่า การนาอปุ กรณเ์ พ่ือตรวจวัดปริมาณโซเดียมในปัสสาวะสามารถชว่ ยลดปริมา ณ การบริโภคโซเดยี มลงได้เชน่ กนั โดยมีงานวิจัยทีไ่ ด้ศกึ ษาผลของโครงการสง่ เสริมการบรโิ ภคอาหารเพื่อลดโซเดียม ตอ่ ความรพู้ ฤติกรรมการบริโภคโซเดียมและโซเดียมในปสั สาวะในนักศึกษาพยาบาล ซงึ่ เปน็ การวิจัยกง่ึ ทดลองท่ีมี การควบคุมตนเองแบบกลุ่มเดียว ผูเ้ ข้ารว่ มเป็นนกั ศกึ ษาพยาบาลไทยจากสถาบันอดุ มศึกษา 3 แห่งจานวน 173 คน วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

203 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ซ่ึงเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการลดปรมิ าณโซเดียมเป็นเวลา 4 สัปดาห์โดยการใช้กลยทุ ธ์ 4 ประการในการ ปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรม พบวา่ หลงั จากให้โปรแกรมมีความรสู้ งู ขนึ้ อยา่ งมีนัยสาคญั และปรมิ าณโซเดียมในปสั สาวะ และพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมตา่ กวา่ ก่อนโปรแกรมและคา่ พน้ื ฐาน (Piaseu et al.,2020) และในประเทศญ่ีปุ่น ได้มกี ารพัฒนาอปุ กรณ์อยา่ งงา่ ยสาหรบั การตรวจสอบการบรโิ ภคเกลือในแต่ละวนั ด้วยตนเองโดยวัดจากปริมา ณ โซเดียมในปัสสาวะ และได้รับการแนะนาโดยสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศญ่ีปุ่น ซึ่งการศึกษานี้มี วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลของอุปกรณ์นี้ในการลดเกลือและลดความดันโลหิต ทาการทดลองควบคุมแบบส่มุ แบบคลสั เตอร์แบบสุ่มกลุ่มเดยี ว โดยมีกลมุ่ ตัวอยา่ งทั้งหมด 105 ครอบครวั (ผเู้ ข้าร่วม 158 คน) ผลการศึกษา พบวา่ การใช้อุปกรณใ์ นการตรวจสอบการบริโภคเกลือด้วยตนเองโดยวดั จากปริมาณโซเดยี มในปัสสาวะ มีประสิทธิ ผลในการลดปริมาณการบริโภคเกลือในแตล่ ะวนั และลดระดบั ความดันโลหติ ซิสโตลิกอย่างมีนยั สาคัญ (Takadaetal.,2018) สรปุ ผลการวจิ ัยคร้งั นเ้ี ปน็ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ท่ีแสดงให้เหน็ ว่า โปรแกรมการใช้สัญลกั ษณ์โภชนาการ : ทางเลือกสขุ ภาพ โดยการใหค้ วามรู้ในช่องทางโซเชียลมีเดยี (ไลน)์ เพียงช่องทางเดียวยังไม่เพียงพอทจี่ ะทาให้กลุ่ม ตัวอย่างไดร้ ับความรเู้ พ่ิมขน้ึ แตก่ ารใชอ้ ปุ กรณ์หรือเครื่องมอื ที่สามารถใช้วัดปริมาณของสารเคมีในอาหาร ซึง่ จาก การวจิ ยั นสี้ ารเคมีทต่ี ้องการวัดปริมาณ คือ เกลือ(โซเดยี ม) โดยใช้อุปกรณว์ ัดความเค็มในอาหาร การสรา้ งความ ตระหนักรู้ (self-awareness) รว่ มกบั การให้กลุ่มตวั อย่างไดร้ ับทราบข้อมูลผลการตรวจหาปริมาณเกลือ (โซเดียม) ในอาหาร เพือ่ ใหก้ ลมุ่ เปา้ หมายเกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy) และเกดิ การรบั ร้สู มรรถนะแห่งตน เกี่ยวกับสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลอื กสขุ ภาพ” และการบริโภคเกลือ (โซเดียม) จนสามารถปรับเปลย่ี น พฤตกิ รรมในการลดปริมาณการบรโิ ภคเกลือ(โซเดียม)ในอาหารได้ ท้ังนีเ้ พื่อชว่ ยลดความเสย่ี งในการเกิดโร คไม่ ติดต่อเร้อื รัง (NCDs) และลดผลกระทบทเ่ี กิดจากการเกดิ โรคดงั กลา่ ว ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1.ดา้ นนโยบายควรสรา้ งมาตรการกาหนดปริมาณการใช้โซเดียมในอาหาร เพอื่ ให้ประชาชนเกิดควา ม ปลอดภัยในการบริโภคอาหาร และสนับสนุนการคน้ ความวจิ ัยในการพัฒนาสูตรอาหารทล่ี ดการใช้เกลอื (โซเดียม) หรอื ใชส้ ารทดแทนโซเดียม 2.ด้านการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคฯ การส่งเสริมสุ ขภาพ การพยาบาล และบุคลากร สาธารณสุขสามารถนาโปรแกรมนี้ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั กจิ กรรม สาหรบั กลมุ่ เปา้ หมายทส่ี ามารถเข้าถึงการ ใช้ สมารท์ โฟนได้ และใช้อปุ กรณต์ รวจความเคม็ ในอาหาร (salt meter) ตรวจหาปรมิ าณเกลอื (โซเดียม) ในกลุม่ ป่วย กลุ่มเส่ียงในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังท่ีเข้ามารบั บริการในหน่วยบริการต่างๆ เพ่อื ชว่ ยปอ้ งกันการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเร้ือรัง และลดความรนุ แรงของโรคแทรกซอ้ นจากโรคไม่ตดิ ต่อเร้ือรงั และควรเพิ่มช่องทางในการให้ความรู้ในหลายๆ ช่องทางเพ่ิมเตมิ และเพ่ิมการติดตามผลลัพธข์ องกลุ่มเปา้ หมายในรปู แบบต่างๆด้วย วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

204 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) 3.ดา้ นการศึกษา นาผลการวิจยั ไปใชใ้ นการฝกึ ปฏิบัติในเครอื ข่ายที่เกย่ี วข้องตา่ งๆ อาทิ เครอื ข่าย บวร.ร. (บ้าน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล) เครือข่ายอสม. เครือข่ายเยาวชน หรือในหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนเพอื่ ให้เกิด การสรา้ งความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ (health literacy) ในเร่ืองสญั ลักษณ์ทางเลือกสขุ ภาพและการลดปริมาณการ บริโภคเกลือ (โซเดียม) ข้อจากัดของงานวจิ ยั การวิจยั นใ้ี ช้อุปกรณ์เพ่ือตรวจหาปริมาณเกลือ(โซเดียม) หรอื Salt Meter ซึง่ มีขอ้ จากัดในการใช้คือ สามารถตรวจไดเ้ ฉพาะปริมาณโซเดียมทม่ี าจากเกลอื ของโซเดียมคลอไรด์เทา่ น้นั ส่วนโซเดียมจากเกลืออน่ื ๆ เชน่ ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) อุปกรณ์นี้ไม่สามารถตรวจหาปริมาณโซเดียมได้ เน่ืองจากข้อจากัดในเรื่อง งบประมาณ เอกสารอา้ งอิง Arahung, A. (2017). The Effects of Health Literacy Enhancement Program on Hypertensive Prevention Behavior of pre-hypertension risk group at a Community in Nakhon Pathom Province, (Master of Nursing Science program in Department of Community Medicine Nursing, Faculty of nursing, Christian university of Thailand). Best, J.W. (1977). Research in Education. (3rd ed).Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice Hall, Inc. Boonsiri, C., Piaseu, N., Putwatana, P&Kantachuvesiri. (2017).Effects of Program Promoting Food Consumption for Sodium Reduction on Knowledge and Urinary Sodium in Nursing Students, Thai journal of nursing council, 32(3), 104-118. Chailimpamontree,W.,Kantachuvesiri,S.,Aekplakorn,W.,Lappichetpaiboon,R.,Thokanit,S,N. Vathesatogkit, P…Garg, R. (2021). Estimated dietary sodium intake in Thailand: A nation-Wide population survey with 24-hour urine collections. Journal of clinical hypertention,11,4-9. Cohen,J.(1988).Statistical Power Analysis for the Behavioral Sciences Second Edition, Department of Psychology New York University. Department of Disease Control, Ministry of Public Health. (201).Strategy to reduce salt and sodium consumption in Thailand 2016-2025. Bangkok: The Printing Office Agency to assist veterans in Royal Shu patham. วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

205 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมลู TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) DretecThailand.(2019).DretecEN900(Health salt meter). Retrieved from https://www.facebook. com/pg/dretecth/posts/. Elliott,P.(2005). Role of salt intake in the development of high blood pressure. International journal of epidemiology,34,975–978. Getchinda,N.,Junprasert,S.&Rattanagreethakul,S.(2018).Factors Predicting Preventive Behavior for Chronic Illness among Middle-aged Persons.The journal of faculty of nursing Burapha University,26(4),36-37. Gregory,C.,Rahkovsky,I. & Anekwe,T.(2019). Consumers’ Use of Nutrition Information When Eating Out. USDA-ERS Economic Information Bulletin Number EIB-127,35- 41.Retrieved from https://ssrn.com/abstract=2504039. Kiattananuson,M.(2018).Factors Affecting Purchasing Decisions “Healthier Choice” of Working People in Hatyai,Songhla. (Master of business administration program in business administration,Ramkhamhaeng University Songkhla Campus in Honour majesty the king). Miller,L. & Cassady,L,D.(2019).The effects of nutrition knowledge on food label use. ScienceDirect Appetite92, 207–216.Retrieved from www.elsevier. com/locate/appet. Nasa-arn,S., Rachagrai,T. & Kalasin Provincial Health Office.(2021).Development of a Reduced Salty Intake Model in the High Blood Pressure Suspected Cases.Journal of the office of DPC 7 KHON KAEN, 27(3),103-104. Nutbeam D. (2008). The Evolving Concept of Health Literacy. Social Science and Medicine, 67(12),2072-2078. Panmung,N.,Srisawat,K.,Bunthawi,P.&Division of Non Communicable Diseases Department of Disease Control (2020). The experimental study of using the low salt intervention program in communities. Department of health Service Support Journal.16(3),39-48. Piaseu,N.,Boonsiri,C.,Panichkul,K.,Maruo,S,J.,Putwatana,P. & Kantachuvesiri,S.(2020).Effects of Program Promoting Food Consumption for Sodium Reduction on Knowledge, Sodium Consumption Behaviors, and Urinary Sodium in Nursing Students: A Multi-Setting Study.The bangkok medical journal,16(1),44-48. Pongpanich,A.,Chaiyaparn,N.,Ponrachom,C.&Tabtim,K.(2015).Effectiveness of the Application of Communication on Social Media to Prevention Food Poisoning วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

206 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Behavior Modification Program among Secondary School Students,Phra Nakhon SiAyutthaya Province. Journal of health education79,38(131),88 -89. Ruaisungnoen,W.,Saensom,D.,Methakanjanasak,N.,Daenseekaew,S.,Chaiyapoom,N.,Khantha moon,R.& Damnok,K. (2561).High sodium consumption situation and perception relevant to high sodium consumption associated with chronic kidney disease among people with chronic non-communicable disease, Journal of nursing and health care.36(3),244 -245. Siripat,U., Moolsart,S.& Chantawong,C.(2019).Effectiveness of a Hypertension Prevention Program in High-Risk Persons to Hypertension, Journal of nursing and nursing and health care. 37(1),49-50. Situation on NCDs Prevention and Control in Thailand. (2018).Department of Disease Control, Ministry of Public Health: Author. Takada,T.,Imamoto,M.,Sasaki,.S,Azuma,.T,Miyashita,J.,Hayashi,M,…Fukuhara,S.(2018). Effects of self-monitoring of daily salt intake estimated by a simple electrical device for salt reduction: a cluster randomized trial,Hypertens Res41,524–530. Thanasapburachot,P.& Samranchit,S.(2016).Analysis of Research Data Collection Process in Faculty of Dentistry,Mahidol University. Mahidol R2R e-journal.3(2),56-69. Thaothong,N.,Piaseu,N.,Maruo,J,S. & Piyatrakul,S.(2015).Effects of Program for Blood Pressure Control using Community Participation on Health Behaviors and Blood Pressure in community Dwellers with Hypertension. Songklanagarindjournalofnursing,35(5). Vatanasuchart.N.(2019). Research project on the study of sodium and sodium chloride presents in street foods sold in Bangkok.Food focus Thailand,14(156),50-52. Witvorapong,N.,Sampattavanija,S.,Potipiti,T.,Chaiwat,T.,Sujarittanonta.T&Woratanarat†. (2017).Effectiveness of Nutrition Information Provision on Food Consumption Behavior Among Undergraduate Students in Urban Areas. Journal of health systems research,11(3),301-315. World Health Organization. (2011).Global status report on noncommunicable diseases 2010.Geneva,Switzerland:Author. วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

207 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Health Literacy and Self-Care Behavior Among Type 2 Diabetic Patients Suriya Fongkerd*, Yawitta Sukwasana**, Busara Suksawad***, Supara Himananto* (Received February 5, 2021, Revised: March 24, 2021, Accepted: May 3, 2021) Abstract This descriptive research aimed to examine health literacy and self-care behavior among type 2 diabetic patients and to compare health literacy and self- care behaviors between patients with diabetes who are controlled and uncontrolled their level of glycemic blood sugar. Research samples were 102 diabetic patients receiving medical services in Bang Sai Sub- District health promoting hospital, Muang, Chonburi Province from July to September 2020. Research instrument was a questionnaire adapted from a literature review based on Health literacy framework of Nutbeam's (2009) and Department of Service Support Ministry of Public Health ( 2014) . There were 56 questions divided into 3 parts. The instrument had reliability value between .70 to .96. Data were analyzed by descriptive statistics and independent t-test. The research results found that, the sample who glycemic controlled blood sugar had statistically significant difference mean score at . 05 level on health literacy and mean score of self-care behavior compared to people who uncontrolled blood sugar levels (t = 5.59, p <.001), (t = 4.29, p <.001), respectively. Keyword: Health Literacy; Self-Care Behavior; Diabetic Patients *Nurse Instructor, Boromarajjonani College of Nursing, Chonburi ** Registered nurse, Bumrungrad Hospital *** Registered nurse, professional level, Bang Sai health promoting hospital วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

208 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ความรอบรทู้ างสขุ ภาพและพฤติกรรมการดแู ลตนเองของผู้ปว่ ยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 สรุ ยิ า ฟองเกดิ *, ยะวษิ ฐา สุขวาสนะ**, บศุ รา สขุ สวัสดิ์***, ศภุ รา หมิ านนั โต* (วนั รบั บทความ : 5 กมุ ภาพันธ์ 2564, วันแก้ไขบทความ : 24 มีนาคม .2564, วนั ตอบรบั บทความ : 3 พฤษภาคม 64) บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวจิ ัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ทางสุขภาพและพฤติกรรม การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 และเปรียบเทียบความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแล ตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่สามารถควบคุมระดับนา้ ตาลในเลือดได้และควบคุมไม่ได้ ที่มารับบริการ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบางทราย อ้าเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ระหว่างเดือน กรกฎาคม ถึง กันยายน พ.ศ.2563 กลุ่มตัวอย่างจ้านวน 102 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นแบบสอบถามท่ีผู้วิจัย ดัดแปลงจากการทบทวนวรรณกรรมโดยยึดกรอบแนวคิดความรอบรู้ทางสุขภาพของ Nutbeam (2009) และ กองสขุ ศกึ ษา กรมสนับสนุนบริการ กระทรวงสาธารณสขุ (2557) มีจา้ นวนข้อค้าถามทั้งหมด 56 ข้อ แบง่ ออกเป็น 3 ส่วน มีค่าความเชื่อม่ัน อยู่ระหว่าง .70 - .96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตบิ รรยาย และการทดสอบคา่ ทีแบบอิสระ (Independent t- test) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้มี คะแนนเฉล่ียความรอบรู้ทางสุขภาพ และคะแนนเฉล่ียพฤติกรรมการดูแลตนเอง แตกต่างจากกลุ่มที่ควบคุม ระดับน้าตาลในเลือดไมไ่ ด้ อยา่ งมนี ัยส้าคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ.05(t=5.59, p<.001), (t=4.29, p<.001)ตามลา้ ดบั คาสาคัญ: ความรอบร้ทู างสขุ ภาพ; พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง; ผู้ปว่ ยเบาหวาน *อาจารย์พยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี  พยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลบารงุ ราษฎร์  พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลบางทราย วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

209 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) บทนา โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้เป็นภาวะท่ีมีน้าตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน น้าไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ทท่ี ้าใหร้ ะบบต่างๆในร่างกายท้างานล้มเหลว ไดแ้ ก่ ตา ไต เส้นประสาท หลอดเลอื ด และพบว่า สาเหตุท่ผี ู้ปว่ ย โรคเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคเรื่องการรับประทาน อาหาร ในปริมาณมาก การงดอาหารรสชาติหวานไม่ได้ (Soisong, Raunkon, Apichantaramethakun, Nanta, Sukkasem, 2017) ไม่สามารถการจัดการกับความเครียดของตนเองได้ (American Diabetes Association, 2012) ไม่สามารถลดปัจจยั เส่ยี งเสริม เช่น สูบบุหรี่ หรือด่ืมแอลกอฮอล์ ส่วนพฤติกรรมการใช้ ยา พบว่าผู้ป่วยมีการรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง (Rannan, Laosinat, 2019) นอกจากน้ียังพบว่า มีจ้านวน ผู้ป่วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 เพิ่มข้ึน ท้าให้มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาพยาบาลสูงขึ้นตามมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้อง พึ่งพาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข และมีค่าใช้จ่ายเร่ืองยาในการรักษาโรคท่ีสูงข้ึน ท้าให้ โรงพยาบาลทุกแห่งต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University, 2016) จึงควรมีวิธีการจัดการผู้ป่วยเบาหวาน ให้เกิดความตระหนักในการดูแลตนเอง โดยการให้ ความรูแ้ ละช่วยให้ผปู้ ว่ ยสามารถปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมได้ ซง่ึ พบวา่ การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมการดูแลตนเอง เป็นปัจจัยส้าคัญท่ีท้าให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมโรคได้ดีท่ีสุด (Sompun, Thirathongkam, Piasue, Sakulhongsophon, 2015) ซ่ึงมีความสอดคล้องกับ กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ท่ีกล่าวไวว้ า่ ประชาชนคนไทยมพี ฤตกิ รรมการดูแลตนเองท่ีไมถ่ ูกต้องเหมาะสม เนื่องมาจากการขาดความรอบรู้ด้านสุขภาพ จึงท้าให้มีแบบแผนสุขภาพท่ีไม่ถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้สุขภาพแย่ลงและมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University, 2016) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นการแสดงทักษะทางปัญญาและทักษะทางสังคมท่ีเป็นตัวก้าหนด ความสามารถของบุคคลเพ่ือสร้างแรงจูงใจในการเข้าถึง เข้าใจ และการใช้ข้อมูลเพ่ือส่งเสริมสุขภาพตนเอง (WHO. 1998) องค์การอนามัยโลกได้กล่าวไว้ว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นลักษณะของบุคคลและการรู้จัก ใช้ทรัพยากรทางสังคมเพ่ือสร้างความเข้าใจ ใช้ข้อมูล และการใช้บริการ เพ่ือตัดสินใจเก่ียวกับสุขภาพ (WHO,2018) ดังนั้นรัฐบาล จึงได้ให้ความส้าคัญโดยระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 เรื่องการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพของคนไทยให้เหมาะสมกับ การมีสุขภาพท่ีดี ด้วยวิธีการสร้างเจตคติท่ีดีต่อการดูแลสุขภาพและการส่งเสริมการเรียนรู้ (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University, 2016) ความสามารถและทักษะการจัดการตนเองเป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพท่ีมีองค์ประกอบ คือ ทักษะการ เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ทักษะการรู้คิดเกี่ยวโรคเบาหวาน ทักษะการรู้เท่าทันสื่อเกี่ยวกับ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

210 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) โรคเบาหวาน ทักษะการสอื่ สารเกย่ี วกับโรคเบาหวาน ทักษะการจัดการตนเองเพื่อควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือด ทักษะการตัดสินใจเพื่อปฏิบัติพฤติกรรมในการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด โดยความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นส่วนท่ีเก่ียวข้องโดยตรงกับศักยภาพของบุคคล บุคคลท่ีมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจะมีความสามารถในการ ดูแลรักษาสุขภาพของตนเองได้อย่างเข้มแข็ง ไม่พฤติกรรมส่ิงที่จะส่งผลต่อสุขภาพของตนเองในทางลบ (Kaewdamkeng, 2018) และยังพบอีกว่าโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดท่ี 2 ท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ มีผลต่อความมั่นใจในการจัดการตนเอง และพฤติกรรมการดูแล ตนเองสูงขนึ้ ช่วยลดระดบั นา้ ตาลในเลอื ด (Pannark, Moolsart, Kaewprom, 2017) จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า ระดับการศึกษาของผู้ป่วยเบาหวานที่สูงขึ้นมีแนวโน้มการมีความ รอบรดู้ ้านสุขภาพทสี่ ูงขน้ึ และคนทมี่ ีความรอบรดู้ ้านสุขภาพตา่้ จะมีแนวโน้มสุขภาพแย่กว่าคนท่มี ีการศึกษาสูง ความรอบรดู้ ้านสุขภาพมีความสมั พันธท์ างบวกกบั การดูแลตนเอง (Thungmuang, Muktaphan, 2018) หรอื อีกนัยหน่ึง คือ ผู้ท่ีมีความรอบรู้ด้านสุขภาพต่้าจะส่งผลให้มีแนวโน้มท่ีจะพบปัญหาทางด้านสุขภาพและมี สุขภาพไม่ดีจนท้าให้เกิดโรคตามมา (DepartmentofDiseaseControl,MinistryofPublicHealth,2016) นอกจากน้ียงั พบว่า ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา การประกอบอาชีพ รายได้ และระยะเวลาที่เป็นโรค ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดแู ลตนเอง แต่ไมม่ คี วามสัมพันธโ์ ดยตรงกับระดบั น้าตาลเฉลยี่ สะสมในเลือด ในขณะทพ่ี ฤติกรรม การดูแลตนเองมีความสัมพันธ์กับระดับน้าตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (Ratanavarang, Chantha, 2018) และ Sorensen K., et al. (2012) ได้กล่าวถึง แนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพที่แสดงถึงมิติการพัฒนาท่ีเร่ิมต้นจาก ระดับปัจเจกบุคคล ว่ามนุษย์มีจ้าเป็นต้องพึ่งระบบสุขภาพและทางสาธารณสุขในด้านการรักษาพยาบาล การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ โดยแบ่งความรอบรู้ด้านสุขภาพ 4 องค์ประกอบ ได้แก่การเข้าถึง เข้าใจ ประเมินและประยุกต์ใช้ข้อมูลสุขภาพของบุคคลส้าหรับการตัดสินใจเร่ืองสุขภาพในชีวิตประจ้าวันเพ่ือพัฒนา คุณภาพชวี ติ และพบวา่ ผสู้ ูงอายุทีม่ ีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพียงพอจะมีพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม และมีผลลัพธ์ทางสุขภาพท่ีดี (Liu, Liu, Li, Chen, 2015) ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความจ้า เป็นมากตอ่ การมีสุขภาพท่ดี ี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลเป็นโรงพยาบาลประจ้าต้าบลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขท่ีดูแลภาวะ สุขภาพของประชาชนในเขตนั้นๆ ส้าหรับท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบางทราย อ้าเภอเมือง จังหวัด ชลบุรี ให้การดูแลประชากร จ้านวน 8,770 คน มีผู้ป่วยโรคเบาหวานในความดูแลจ้านวน 325 ราย คิดเป็น ร้อยละ 3.87 ของประชากรทั้งหมด โดยผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ท่ีเข้ารับการรักษามีอายุต้ังแต่ 35 – 85 ปี สว่ นใหญ่เป็นเพศหญงิ ร้อยละ 69.53 เพศชาย ร้อยละ 30.47 ซ่ึงในจ้านวนนพ้ี บวา่ มีผู้ปว่ ยเบาหวานถงึ ร้อยละ 50 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ (Bang Sai Subdistrict Health Promoting Hospital,2019) ทั้งๆ ที่ได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ท่ีมาตรวจรักษาท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต้าบลประจ้าสปั ดาห์ละ 1 วัน โดยผปู้ ว่ ยเหลา่ นจี้ ะไดร้ บั คา้ แนะน้าจากแพทย์ พยาบาล และทีมสุขภาพ ในดา้ น วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

211 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุม่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) การดูแลตนเองในเรือ่ งอาหาร ยา การออกก้าลังกาย และการปฏิบัติตัว นอกจากน้ียังมีอาสาสมัครสาธารณสขุ ประจ้าหมู่บ้าน เป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสารภายในชุมชนทุกสัปดาห์ เกี่ยวกับการดูแลตนเองเม่ือเป็นโรคเบาหวาน จากข้อมลู การสัมภาษณ์พยาบาลวิชาชพี ทร่ี ับผิดชอบในการดูแลผปู้ ว่ ยเบาหวาน พบวา่ ผูป้ ่วยทสี่ ามารถควบคุม ระดับน้าตาลในเลือดได้ดีจะมารับบริการด้วยตนเองตามนัดทุกคร้ัง ซ่ึงต่างจากคนท่ีไม่สามารถควบคุมระดับ น้าตาลในเลือดได้ มักจะให้ญาติมารับยาแทนเป็นประจ้า และมาพบแพทย์เพ่ือตรวจระดับน้าตาลนานๆครั้ง ซ่ึงมักจะพบว่าผู้ป่วยมีระดับน้าตาลในเลือดสูง เม่ือพิจารณาถึงสาเหตุ พบว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าต้าบลบาง ทรายเป็นชุมชนกึ่งเมืองก่ึงชนบทที่มีประชากรหลากหลายระดับท่ีมีท้ังการโยกย้ายถ่ินฐานเพ่ือหางานท้า มีทั้ง คนจนและคนรวย และมีพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารที่มรี สหวาน จงึ ยากต่อการควบคุมระดับน้าตาล อกี ทั้งยัง มีความหลากหลายในปัจจัยด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ผู้ป่วยท่ีรับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริม สขุ ภาพตา้ บลบางทราย ซึง่ เป็นเครือขา่ ยบริการของโรงพยาบาลชลบุรี จะไดร้ ับข้อมูลการสง่ ต่อระหวา่ งกันและ กนั อยา่ งครบถ้วน ท้าให้บุคลากรสะดวกในการตดิ ตามผู้ปว่ ย ซ่ึงแตกต่างจากผู้ปว่ ยท่ีไปรับบรกิ ารท่โี รงพยาบาล เอกชน บุคลากรที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบางทราย จะไม่ได้รับข้อมูลเพ่ือการติดตาม เป็นเหตุให้ไม่ สามารถที่จะเข้าถึงผู้ป่วยในชุมชนได้ทุกคน (Suksawat, 2020) สาเหตุเหล่านี้ ท้าให้ผู้วิจัยสนใจที่จะหาแนว ทางการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ โดยเชื่อว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นพ้ืนฐานให้บุคคลมี ขอ้ มลู มีความรู้ ความเขา้ ใจและตัดสินใจเกย่ี วกบั สขุ ภาพของตนเองได้ ดว้ ยเหตุน้ี ผูว้ จิ ยั จงึ ตอ้ งการเปรยี บเทียบ ความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ และกลุ่มท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ เพ่ือเป็น ข้อมูลในการวางแผนการสง่ เสริมความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพของผปู้ ่วยเบาหวานและน้าไปพัฒนาบริการคลนิ ิกโรค เรอื้ รังในชุมชนเพ่อื ให้มสี ุขภาพทีด่ ีและมคี ุณภาพชวี ติ ทด่ี ีตอ่ ไป วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพื่อศึกษาความรอบร้ทู างสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ท่คี วบคุมระดบั น้าตาลในเลือดได้และควบคุมไม่ได้ 2. เพ่อื เปรยี บเทยี บความรอบรูท้ างสขุ ภาพ และพฤตกิ รรมการดูแลตนเองของผ้ปู ่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ระหวา่ งกลมุ่ ทคี่ วบคมุ ระดับนา้ ตาลในเลือดไดแ้ ละกลมุ่ ท่ีควบคุมไม่ได้ สมมติของการวิจยั 1. ค่าเฉล่ียความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ มีค่าเฉลี่ยสูงกวา่ กลุม่ ทค่ี วบคุมไม่ได้อย่างมนี ยั สา้ คัญทางสถติ ิ 2. ค่าเฉล่ียพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ไดม้ ีคา่ เฉลีย่ สงู กวา่ กลุม่ ทค่ี วบคุมไมไ่ ด้อย่างมีนยั สา้ คัญทางสถิติ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

212 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) กรอบแนวคดิ การวิจยั ผู้ป่วยเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ความรอบร้ทู างสุขภาพ - กล่มุ ทค่ี วบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง - กลุ่มท่คี วบคมุ ระดับน้าตาลในเลอื ดไม่ได้ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ขอบเขตการวจิ ัย การวิจัยครงั้ นเี้ ป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) มวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ ทางสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และเปรียบเทียบความรอบรู้ทาง สุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ที่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ และควบคุมไม่ได้ ที่มารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบางทราย อ้าเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ระหวา่ งเดอื น กรกฎาคม ถึง กันยายน พ.ศ.2563 วิธดี าเนนิ การวิจยั ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตา้ บลบางทราย อา้ เภอเมอื ง จังหวัดชลบุรี ซง่ึ มจี ้านวนทั้งสิน้ 325 ราย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยเบาหวานท่ีชนิดท่ี 2 กลุ่มท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้และกลุ่มที่ควบคุม ระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ ท่ีมารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบลบางทราย อ้าเภอเมือง จังหวัด ชลบุรี ได้ด้าเนินการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการค้านวณจากโปรแกรม G* Power 3.1.9.2 ผู้วิจัย ก้าหนดค่าดังน้ี ขนาดอิทธิพล (effect size) = 0.5 (medium size) ค่าความคลาดเคล่ือน (αerrprop) = 0.05 อ้านาจทดสอบ (power) = 0.80 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจ้านวน 102 ราย โดยแบ่งสัดส่วนเป็นผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดท่ี 2 ท่ีควบคมุ ระดบั น้าตาลในเลือดได้ จา้ นวน 51 คน และผู้ปว่ ยเบาหวานชนดิ ที่ 2 ท่ีควบคุมระดับน้าตาล ในเลือดไมไ่ ด้ จ้านวน 51 คน วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

213 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) เกณฑก์ ารคดั เข้า (Inclusion criteria) มดี งั นี้ (1) ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีรายงานเป็นโรคเบาหวานไม่น้อย กว่า 6 เดือน (2) เพศชายและเพศหญงิ ที่อ่านออกเขียนได้ เข้าใจและตอบค้าถามได้ (3) มีคา่ ระดับน้าตาลสะสมในเลอื ด (HbA1c) ท่ีได้รับการตรวจไมเ่ กิน 3 เดือน ดังนี้ ผ้ปู ว่ ยเบาหวานกล่มุ ท่คี วบคมุ ระดับน้าตาลในเลือดได้ มีค่าระดบั น้าตาลสะสมในเลอื ดน้อยกว่าหรอื เทา่ กับ7% ผ้ปู ่วยเบาหวานกล่มุ ทค่ี วบคมุ ระดับนา้ ตาลในเลอื ดไม่ได้ มคี า่ ระดบั นา้ ตาลสะสมในเลือดมากกว่า 7% (4) มีคุณลักษณะที่ต้องการศึกษาที่คล้ายคลึงกันท้ังกลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้และกลุ่มที่ ควบคุมระดบั นา้ ตาลในเลือดไม่ได้ ประกอบด้วย เพศช่วงอายุ รายได้ ระดับการศกึ ษาโรครว่ มและระยะเวลาทเ่ี ปน็ โรค เกณฑก์ ารคดั ออก (Exclusion criteria) มีดงั น้ี (1) ขอถอนตวั ออกจากการเปน็ กลมุ่ ตวั อย่างก่อนเสร็จสนิ้ การวิจัย (2) มปี ญั หาดา้ นสขุ ภาพกาย และ/หรือสขุ ภาพจติ ที่เปน็ อปุ สรรคตอ่ การเข้ารว่ มวิจัย เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยดัดแปลงจากการทบทวนวรรณกรรมโดยยึด กรอบแนวคิดความรอบรู้ทางสุขภาพของ Nutbeam (2009) และกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการ กระทรวงสาธารณสุข (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University, 2016) มีจ้านวนข้อค้าถามทั้งหมด 56 ข้อ แบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ขอ้ มูลสว่ นบุคคลทั่วไป ประกอบดว้ ย เพศ อายุ รายได้ ระดบั การศกึ ษา โรคร่วม ระยะเวลาที่ เป็นโรค มี 6 ขอ้ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพเพ่ือควบคุมระดับน้าตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยดัดแปลงจากแบบวัดความรอบรู้ทางสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่ได้ พัฒนามาจากแบบวัดความรอบร้ทู างสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตามหลกั 3อ 2ส ของคนไทยที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University, 2016) มีท้ังหมด 6 ตอน จา้ นวน 30 ข้อ โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดงั นี้ แบบขอ้ คา้ ถามลักษณะเป็นเลือกตอบ ถ้าตอบถกู ให้ 1 คะแนน ถา้ ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน ประกอบไป ด้วยขอ้ คา้ ถาม ดังน้ี ตอนท่ี 1 ทกั ษะการร้คู ดิ เก่ยี วกับโรคเบาหวาน มีข้อค้าถาม 10 ข้อ ตอนท่ี 2 ทกั ษะการเขา้ ถงึ ข้อมลู เก่ียวกบั โรคเบาหวาน ขอ้ คา้ ถาม 3 ขอ้ ตอนท่ี 3 ทกั ษะการสอื่ สารเก่ียวกบั โรคเบาหวาน ขอ้ คา้ ถาม 5 ขอ้ วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

214 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตอนท่ี 4 ทกั ษะการจดั การตนเองเพอ่ื ควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือด ขอ้ คา้ ถาม 5 ขอ้ ตอนท่ี 5 ทักษะการตัดสินใจเพื่อแสดงพฤติกรรมในการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด มีข้อ ค้าถาม 4 ข้อ แบบข้อค้าถามลักษณะเป็นเลือกตอบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) มี 4 ระดับ ต้ังแต่ 0–3 ดงั นี้ ไมเ่ คยเลย บางครัง้ บอ่ ยคร้ัง และทกุ คร้งั ตอนท่ี 6 ทกั ษะการรู้เทา่ ทนั สือ่ เก่ยี วกับโรคเบาหวาน ขอ้ ค้าถาม 3 ขอ้ ใช้เกณฑ์การให้คะแนนและแปลผลของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข แปลผลคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพเพ่ือควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ซึ่งมีโดยใช้เกณฑ์การให้ คะแนนและแปลผลคะแนนความรอบรู้ดา้ นสุขภาพเพื่อควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือด ซึ่งมคี ะแนนเต็ม 62 คะแนน ดงั นี้ คะแนนน้อยกว่า < 37.2 หรือน้อยกว่าร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม แสดงว่ามีความรอบรู้ด้านสุขภาพ อย่ใู นระดบั ตา่้ คะแนน 37.2 – 49.6 หรือ น้อยกว่าร้อยละ 60 -80 ของคะแนนเต็ม แสดงว่ามีความรอบรู้ด้าน สขุ ภาพอย่ใู นระดบั ปานกลาง คะแนนมากกว่า 49.6 หรือ มากกว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม แสดงว่ามีความรอบรู้ด้านสุขภาพ อย่ใู นระดบั สงู ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นแบบสอบถามที่ ผู้วิจัยดัดแปลงจากแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ตาม 3อ.2ส.ของประชาชนท่ีมี อายุ 15 ปีข้ึนไป ฉบับปรับปรุง 2561 (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health, 2018) มีข้อค้าถามจ้านวน 20 ข้อ ลักษณะแบบประเมินเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ขอ้ ที่ 1-17 แบง่ เปน็ 4 ระดบั มีเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดงั นี้ คะแนน 0 หมายถึง ไม่ไดท้ า้ เลย คะแนน 1 หมายถงึ ปฏบิ ัตินานๆคร้ัง คะแนน 2 หมายถึง ปฏบิ ัติบ่อยครัง้ คะแนน 3 หมายถึง ปฏบิ ตั เิ ป็นประจ้า และข้อท่ี 18-20 แบ่งเป็น 3 ระดับ มรี ะดับตง้ั แต่ 0-2 มเี กณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ คะแนน 0 หมายถึง ไมต่ รงนัดเลย คะแนน 1 หมายถงึ มาตรงนัดบางคร้ัง คะแนน 2 หมายถงึ มาตรงนัดทุกคร้ัง ใช้เกณฑ์การให้คะแนนและแปลผลของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข ฉบับปรบั ปรงุ 2561 (Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health, 2018) ซงึ่ มคี ะแนนเตม็ 57 คะแนน ดังนี้ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

215 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) คะแนน < 34.2 หรือ น้อยกว่าร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม แสดงว่า มีพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่ใู น ระดบั ไมด่ ี คะแนน 34.2 – 45.6 หรือน้อยกว่าร้อยละ 60-80 ของคะแนนเต็ม แสดงว่า มีพฤติกรรมการดูแล ตนเองอยใู่ นระดบั พอใช้ คะแนนมากกว่า 45.6 หรือ มากกว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม แสดงว่า มีพฤติกรรมการดูแล ตนเองอยใู่ นระดับดี การตรวจสอบคุณภาพของเครือ่ งมือ การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ผู้วิจัยน้าแบบสอบถามความรอบรทู้ างด้าน สุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองท่ีปรับปรุงขึ้น หาคุณภาพของเครื่องมือในด้านความเท่ียงตรง ท้าการ วิเคราะห์ความแมน่ ตรงตามเนอื้ หา (CVI) โดยผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 3 ท่าน ไดค้ ่า CVI = 0.827 การหาตรวจสอบความเช่ือมั่น (reliability) ผู้วิจัยน้าแบบสอบถามไปทดลองใช้กับผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่ รพ.สต.บ้านสวน อ้าเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จ้านวน 30 คน แล้วน้าไปหาค่าความเชื่อมั่น พบว่า แบบสอบถามส่วนที่ 2 ความรอบรู้ทางสุขภาพ ตอนที่ 1 และตอนที่ 5 น้าผลท่ีได้มาหาค่า KR-20 ได้ ค่า r = .737 และ r = .91 ตามล้าดับ ส่วนแบบสอบถามตอนท่ี 2, 3, 4 และ 6 และแบบสอบถามส่วนท่ี 3 พฤติกรรมการ ดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 น้ามาหาคา่ สัมประสทิ ธอ์ิ ัลฟาครอนบาค ไดค้ า่ 0.71, 0.85,0.96, 0.71 และ 0.70 ตามล้าดับ การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด้าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยใช้แบบสอบถาม ระหว่าง เดือน กรกฎาคม ถึง กันยายน พ.ศ. 2563 จ้านวน 102 ราย ก่อนด้าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจะสร้าง สมั พันธภาพกบั กลุ่มตัวอย่าง และท้าความเข้าใจ ชี้แจงวิธกี ารเขา้ ร่วมวจิ ัย แล้วให้กล่มุ ตวั อย่างที่เขา้ รว่ มลงนาม ในใบยินยอมในการเข้ารว่ มการวิจัย ซึง่ ผู้วิจยั จะอ่านรายละเอียดในใบยินยอมให้กลุ่มตัวอย่างฟงั ก่อนลงนามใน ใบยินยอมการเข้ารว่ มการวจิ ัย การวิเคราะหข์ ้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มตัวอย่างโดย การหาค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย (mean) และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (SD) 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ระหวา่ งกล่มุ ที่ควบคุมระดับนา้ ตาลในเลือดได้ และกลุม่ ท่ีควบคุมระดบั น้าตาลในเลือดไม่ได้ ด้วยสถิติ การทดสอบค่าทีแบบอิสระ (independent t- test) การพิทกั ษส์ ทิ ธิกล่มุ ตวั อย่างและจริยธรรมการวิจยั วิ จั ย นี้ ผ่ า น ก า ร รั บ ร อ ง จ ริ ย ธ ร ร ม ก า ร วิ จั ย ใ น ค น จ า ก ม ห า วิ ท ย า ลั ย หั ว เ ฉี ย ว เ ฉ ลิ ม พ ร ะ เ กี ย ร ติ เลขท่ี อ.969/2563 วนั ที่รบั รอง 20 กรกฎาคม 2563 และในขนั้ ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูลผู้วิจยั ไดแ้ นะน้าตัว สร้างสัมพันธภาพ ช้ีแจงวัตถุประสงค์ ข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล สิทธิในการตัดสินใจเข้าร่วมการวิจัยด้วย ความสมัครใจ สิทธิในการยุติการตอบแบบสอบถามได้ทันทีโดยไม่มีผลกระทบใดๆต่อกลุ่มตัวอย่าง การเก็บ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

216 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) รวบรวมขอ้ มลู เปน็ ความลับและการเสนอผลการวจิ ัยในภาพรวมที่ไม่เปดิ เผยข้อมูลบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง เมื่อ กลุ่มตวั อย่างยนิ ดี ผู้วิจยั จะใหอ้ า่ นเอกสารการพทิ ักษส์ ิทธิ์และลงนามในเอกสารดงั กล่าว หลังจากนัน้ ใหอ้ ิสระใน การตอบแบบสอบถามและตอบข้อซกั ถามเมื่อกลมุ่ ตัวอยา่ งมีข้อสงสัย ผลการวจิ ัย 1. ขอ้ มูลส่วนบุคคลของกลมุ่ ตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างท่ีสามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ มีอายุเฉล่ีย 65.24 ปี (SD=9.52) ส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ร้อยละ 68.60 และเพศชายร้อยละ 31.40 รายได้เพียงพอและไม่เพียงพอมีปริมาณใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 49.02 และ ร้อยละ 50.98) ตามล้าดับ ส่วนใหญ่มีการศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาร้อยละ 80.40 รองลงมาคือช้ันมัธยมศึกษา/ปวช. ร้อยละ 13.70 ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.50 มีโรคร่วม มีระยะเวลาการ เป็นเบาหวานส่วนใหญ่ 11-15 ปี ร้อยละ 41.20 รองลงมา 6-10 ปี ร้อยละ 23.50 น้อยท่ีสุด มากกว่า 15 ปี รอ้ ยละ 15.70 กลุ่มตัวอย่างท่ีไม่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ มีอายุเฉล่ีย 65.69 ปี (SD=9.43) ส่วน ใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.60 และเพศชายร้อยละ 29.40 ส่วนใหญ่มีรายได้เพียงพอร้อยละ 60.80 ส่วน ใหญ่มีการศึกษาอยู่ในระดับช้ันประถมศึกษาร้อยละ 64.70 รองลงมาคือช้ันมัธยมศึกษา/ปวช. ร้อยละ 29.40 ส่วนใหญ่ร้อยละ 86.30 มีโรคร่วม มีระยะเวลาการเป็นเบาหวานส่วนใหญ่ 6-10 ปี ร้อยละ 35.30 รองลงมา คือ มากกวา่ 15 ปี รอ้ ยละ 29.40 นอ้ ยทสี่ ดุ คือ 11-15 ปี รอ้ ยละ 9.80 2. ความรอบรทู้ างสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผูป้ ่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จากผลการศึกษาพบวา่ กลุ่มตัวอย่างที่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไดม้ ีคะแนนความรอบ ร้ทู างสขุ ภาพ อยใู่ นระดบั ปานกลาง (Mean = 42.13, SD.= 7.09) และมคี ะแนนพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง อยู่ ในระดับพอใช้ (Mean = 40.86, SD.= 5.81) ส่วนกลุ่มตัวอย่างท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ มีคะแนน ความรอบรู้ทางสุขภาพ อยู่ในระดับต้า่ (Mean = 32.35, SD.= 10.28) และมีคะแนนพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง อย่ใู นระดับพอใช้ (Mean = 34.94, SD.= 7.95) ดังแสดงรายละเอียดในตาราง 1 ตารางท่ี 1 คะแนนเฉลยี่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และระดับ ความรอบรูท้ างสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแล ตนเองของผู้ปว่ ยเบาหวานชนิดท่ี 2 (n=102) ขอ้ ความ กลุ่มควบคมุ ได้ (n=51) กลุ่มควบคุมไม่ได้ (n=51) ความรอบรทู้ างสขุ ภาพ Mean SD. ระดบั Mean SD. ระดบั พฤติกรรมการดูแลตนเอง 42.13 7.09 ปานกลาง 32.35 10.28 ตา้่ 40.86 5.81 พอใช้ 34.94 7.95 พอใช้ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

217 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) เม่ือพิจารณาแยกตามระดับของความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย เบาหวานชนดิ ท่ี 2 พบว่า กลุม่ ที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ส่วนใหญ่มคี ะแนนความรอบรู้ทางสุขภาพอยู่ใน ระดบั ปานกลาง ร้อยละ 56.90 และมคี ะแนนความรอบรทู้ างสขุ ภาพอยู่ในระดับสูงและระดับต้า่ เท่ากัน ร้อยละ 21.60 ส่วนกลุ่มท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ส่วนใหญ่มีคะแนนความรอบรู้ทางสุขภาพอยู่ในระดับต่้า ร้อยละ 62.70 รองลงมาคือ มีคะแนนความรอบรู้ทางสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 31.40 และน้อย ที่สุดคือ มีคะแนนความรอบรู้ทางสุขภาพอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 5.90 กลุ่มท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ ส่วนใหญม่ คี ะแนนพฤติกรรมการดแู ลตนเองอยู่ในระดบั พอใช้ ร้อยละ 62.70 รองลงมาคอื มีคะแนนพฤติกรรม การดแู ลตนเองอยูใ่ นระดบั ดี ร้อยละ 19.60 และน้อยทสี่ ุดคือ มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับไม่ ดี ร้อยละ 17.60 ส่วนกลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ ในระดับพอใช้ ร้อยละ 47.10 รองลงมาคือ มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 45.10 และนอ้ ยที่สุดคอื มคี ะแนนพฤติกรรมการดแู ลตนเองอยู่ในระดับดี ร้อยละ 7.80 ดงั ตาราง 2 ตารางท่ี 2 จ้านวนและร้อยละของระดับของความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วย เบาหวานชนดิ ที่ 2 กลุ่มควบคุมได้ กลมุ่ ควบคุมไมไ่ ด้ (n= ขอ้ ความ (n=51) 51) ความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ ตา้่ 11 21.60 32 62.70 ปานกลาง 29 56.90 16 31.40 สูง 11 21.60 3 5.90 พฤติกรรมการดแู ลตนเอง ไม่ดี 9 17.60 23 45.10 พอใช้ 32 62.70 24 47.10 ดี 10 19.60 4 7.80 3. การเปรยี บเทียบความแตกต่างของความรอบรู้ทางสุขภาพ พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองของผู้ป่วย เบาหวานชนิดท่ี 2 วิเคราะห์เปรียบเทียบความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดท่ี 2 ระหวา่ งกลมุ่ ท่คี วบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ และกลุม่ ท่ีควบคุมระดบั น้าตาลในเลือดไม่ได้ ด้วยสถิติ การทดสอบคา่ ทแี บบอิสระ (independent t- test) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

218 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) จากการศึกษา พบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ งที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้มีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ทาง สุขภาพ และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเอง แตกต่างจากกลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ อย่างมนี ัยสา้ คัญทางสถิติท่ีระดับ .001 (t=5.59, p<.001), (t=4.29, p<.001) ตามลา้ ดับ ดังแสดงรายละเอียด ในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลยี่ ความรอบรู้ทางสุขภาพ และพฤตกิ รรมการดแู ลตนเองของผู้ปว่ ยเบาหวาน ชนดิ ที่ 2 ระหวา่ งกลมุ่ ท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลอื ดได้ และกลุ่มท่คี วบคมุ ระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ (Independent T-test) ตัวแปร กลุ่มควบคมุ ได้ กลุ่มควบคมุ ไมไ่ ด้ (n= t p-value (n=51) 51) ความรอบร้ทู างสขุ ภาพ 5.59 <.001 พฤติกรรมการดูแลตนเอง Mean SD. Mean SD. 4.29 <.001 42.13 7.09 32.35 10.28 40.86 5.81 34.94 7.95 อภปิ รายผล ส่วนท่ี 1 ความรอบรทู้ างสขุ ภาพ 1) ผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ จากการศึกษาพบว่า มีคะแนนความ รอบรู้ทางสุขภาพ อยใู่ นระดบั ปานกลาง และเมื่อพิจารณาระดับของความรอบรู้ทางสุขภาพพบว่า มีความรอบ รู้ทางสุขภาพส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 56.90 มีความรอบรู้ทางสุขภาพอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 21.60 ส่วนที่เหลือเป็นความรอบรู้ทางสุขภาพในระดับต่้า ร้อยละ 21.60 ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า ผู้ป่วย เบาหวานชนิดท่ี 2 ทส่ี ามารถควบคุมระดับนา้ ตาลในเลือดไดส้ ว่ นใหญม่ ีความรอบรู้ทางสุขภาพเปน็ อยา่ งดี และ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความเจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวานมาเป็นระยะเวลาท่ียาวนานอยู่ในช่วง 11-15 ปี ท้าให้มี องค์ความรู้ที่เกิดจากการดูแลตนเองเกิดความตระหนักรู้และปฏิบัติตัวตามค้าแนะน้าของบุคลากรทางสุขภาพ เป็นอย่างดี และผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ท่ีสามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้จะมาตรวจตามนัดทุกครั้ง ไมเ่ คยขาดการติดต่อกับแพทย์และบุคลากรทางสุขภาพ สอดคลอ้ งกับการศึกษาของ Sami, Ansari, & Rashid (2017) พบว่า ระดับ HbA1c ท่ีเพ่ิมสูงข้ึนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดและ หลอดเลือด ดังน้ันผู้ป่วยเบาหวานจะต้องมีความรอบรู้เก่ียวกับภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานและต้องปรับ ทศั นคตแิ ละการปฏิบัตทิ เ่ี ป็นผลนา้ ไปสกู่ ารควบคุมโรคไดด้ ีขนึ้ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

219 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) 2) ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ พบว่า มีคะแนนความรอบรู้ทาง สุขภาพ อยู่ในระดับต่้า และเม่ือพิจารณาระดับของความรอบรู้ทางสุขภาพพบว่า มีคะแนนความรอบรู้ทาง สขุ ภาพอยใู่ นระดับต้า่ รอ้ ยละ 62.70 รองลงมาคือ มคี ะแนนความรอบรู้ทางสุขภาพอยใู่ นระดับปานกลาง รอ้ ย ละ 31.40 และน้อยท่ีสุดคือ มีคะแนนความรอบรูท้ างสุขภาพอยใู่ นระดับสูง ร้อยละ 5.90 ที่เป็นเช่นนีอ้ าจเปน็ เพราะว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ส่วนใหญ่ขาดความรู้ในการดูแลตนเอง ทา้ ให้มภี าวะแทรกซอ้ นและเกิดโรคร่วมค่อนข้างมาก และเปน็ เบาหวานมานานมากกว่า 15 ปี และขาดการมา ตรวจตามนัด สอดคล้องกับการศึกษาของ Buraphunt & Muangsom (2013) พบว่าระยะเวลาเป็น โรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้น ชนิดของการรักษาที่เพ่ิมขึ้น การรับประทานยาไม่ถูกต้อง และการผิดนัด มี ความสัมพันธ์กับ Odds ratio ท่ีเพ่ิมข้ึนกับการไม่สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน อยา่ งมีนยั ส้าคัญทางสถติ ิ 3) เปรียบเทียบความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ระหว่างกลุ่มท่ีควบคุมระดับ นา้ ตาลในเลอื ดไดแ้ ละกลุ่มท่ีควบคุมไม่ได้ พบวา่ ผปู้ ว่ ยเบาหวานชนิดที่ 2 กลมุ่ ท่ีควบคุมระดบั น้าตาลในเลือด ได้มีความรอบรู้ทางสุขภาพแตกต่างกับกลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ สามารถอธิบายได้ว่า ผู้ป่วยเบาหวานท่ีสามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้มีคะแนนเฉล่ียความรอบรู้ทาง สุขภาพสูงกว่ากว่าผู้ป่วยเบาหวานท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ เนื่องจากความสามารถและทักษะการ จัดการตนเอง ซ่ึงการจัดการตนเองเป็นความรอบรู้ทางสุขภาพที่มีองค์ประกอบ คือ ทักษะการเข้าถึงข้อมูล เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ทักษะการรู้คิดเก่ียวโรคเบาหวาน ทักษะการรู้เท่าทันสื่อเก่ียวกับโรคเบาหวาน ทักษะ การสอื่ สารเก่ียวกับโรคเบาหวาน ทักษะการจดั การตนเองเพอ่ื ควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ทักษะการตัดสินใจ เพ่ือปฏิบัติพฤติกรรมในการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด โดยความรอบรู้ทางสุขภาพ เป็นส่วนท่ีเกี่ยวข้อง โดยตรงกับศักยภาพของบุคคล บุคคลที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพจะมีความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพ ของตนเองได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ปฏิบัติพฤติกรรมที่จะส่งผลต่อสุขภาพของตนเองในทางลบ (Kaewdamkeng, 2018) สอดคล้องกับการศึกษาของ Pannark, Moolsart, Kaewprom (2017) พบว่า การพัฒนาความรอบรู้ ดา้ นสขุ ภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับนา้ ตาลในเลือดไม่ได้ มผี ลตอ่ ความม่ันใจในการจัดการ ตนเอง และพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงข้ึนช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด นอกจากนี้ยังพบวา่ ผ้ปู ว่ ยเบาหวานท่ี ขาดความรอบรู้ทางสุขภาพจะมีพฤติกรรมการดูแลตนเองท่ีไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ท้าให้ไม่สามารถควบคุม ระดับน้าตาลในเลือดได้ (Chiangkhong, Duangchan, Intarakamhang, 2017) สอดคล้องกับการศึกษาของ Poladao, Ratchompoo, Nakram, Prasomruk, Panthumas, Saraboon. (2017) ทา้ การศกึ ษาความรอบ รูด้ ้านสขุ ภาพของผปู้ ่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในกรงุ เทพมหานครและปริมณฑล พบว่าผู้ปว่ ยเบาหวานชนิดที่ 2 มี ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับพอใช้ แต่ด้านการรู้เท่าทันส่ือและสารสนเทศอยู่ในระดับไม่ดี เปรียบเทียบระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพกับระดับการศึกษา พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส้าคัญทาง สถิติท่ีระดับ 0.05 ด้านการรู้เท่าทันส่ือสารสนเทศ เมื่อเปรียบเทียบรายคู่ พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มี วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

220 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ระดบั การศกึ ษามัธยมศึกษาหรืออนปุ ริญญาและระดับปริญญาตรหี รือสูงกว่าปริญญาตรีมที ักษะในการรเู้ ท่าทัน ส่ือและสารสนเทศมากกว่าผทู้ ีจ่ บการศกึ ษาระดับประถมศึกษาหรือไมไ่ ดเ้ รียนหนังสือ สว่ นท่ี 2 พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง 1) ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ พบว่า มีคะแนนพฤติกรรมการดูแล ตนเอง อยู่ในระดับพอใช้ และเม่ือพิจารณาระดับของพฤติกรรมการดูแลตนเอง มีคะแนนพฤติกรรมการดูแล ตนเองอยู่ในระดับพอใช้ ร้อยละ 62.70 รองลงมาคือ มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับดี ร้อยละ 19.60 และน้อยที่สุดคือ มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 17.60 ท่ีเป็นเช่นนี้อาจ เป็นเพราะว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้มีความรอบรู้ทางสุขภาพในการดูแล ตนเองสูงขึ้นจึงส่งผลให้มีพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงขึ้นด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับการศึกษาของ Sompun, Thirathongkam, Piasue, Sakulhongsophon (2015) พบว่า การให้ความรู้และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ซ่ึงการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง เป็นปัจจัยส้าคัญที่ท้าใหผ้ ้ปู ่วยเบาหวาน สามารถควบคุมโรคไดด้ ที ีส่ ดุ 2) ผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ พบว่า มีคะแนนพฤติกรรมการ ดูแลตนเองอยู่ในระดับพอใช้ ร้อยละ 47.10 รองลงมาคือ มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 45.10 และน้อยที่สุดคือ มีคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับดี ร้อยละ 7.80 ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ ขาดความรอบรู้ และความ ตระหนักในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมในการดูแลตนเองเพ่ือให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อการควบคุมระดับน้าตาลใน เลือดของตนเอง สอดคล้องกับการศึกษาของ Liu, Liu, Li, Chen (2015) พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความรอบ รู้ดา้ นสุขภาพเพียงพอจะมีพฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพท่ีเหมาะสมและมผี ลลัพธ์ทางสขุ ภาพทดี่ ี 3) เปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ระหว่างกลุ่มที่ควบคุม ระดับน้าตาลในเลือดได้และกลุ่มท่ีควบคุมไม่ได้ พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ของกลุ่มที่ควบคุมระดับ น้าตาลในเลือดได้ มีพฤติกรรมการดูแลตนเองแตกต่างกับกลุ่มที่ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้อย่างมี นัยส้าคัญทางสถิติ สามารถอธิบายได้ว่า ผู้ป่วยเบาหวานท่ีสามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้มีคะแนน เฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกว่ากว่าผู้ป่วยเบาหวานท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไม่ได้ เน่ืองจากกลุ่มที่ ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได้ส่วนใหญ่มาตรวจตามนัดทุกคร้ังและจะได้รับความรู้ในการปฏิบัติตัวจาก บคุ ลากรทางสุขภาพเป็นอย่างดที ุกคร้ัง ซ่งึ การให้ความรทู้ ช่ี ัดแจง้ จะชว่ ยใหผ้ ู้ปว่ ยสามารถปรับเปลีย่ นพฤติกรรม ได้ และมีการศึกษาท่ีผ่านมาพบว่า การปรับเปล่ียนพฤติกรรมการดูแลตนเองเป็นปัจจัยส้าคัญที่ท้าให้ผู้ป่วย เบาหวานสามารถควบคุมโรคได้ดีที่สุด (Sompun, Thirathongkam, Piasue, Sakulhongsophon. (2015) ซง่ึ มคี วามสอดคลอ้ งกบั Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University. (2016) ที่กล่าวไว้ว่า ประชาชนคนไทยมีพฤติกรรม การดแู ลตนเองท่ไี ม่ถูกต้องเหมาะสม เนื่องมาจากการขาดความรอบรดู้ ้านสุขภาพ จึงท้าให้มแี บบแผนสุขภาพที่ วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

221 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคุณภาพของ TCI และอย่ใู นฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ไม่ถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้สุขภาพแย่ลงและมีคุณภาพชีวิตท่ีไม่ดี และจากการศึกษาของ Chiangkhong, Duangchan, Intarakamhang. (2017) พบว่า 1) ประสบการณ์รุนแรงทางลบท่ีรุนแรงที่เกิดจาก ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน และเป็นประสบการณ์ตรงที่มีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่ การสูญเสียอวัยวะ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง ครอบครัวเดือดร้อน และต้องสูญเสียชีวิตท่ีก้าลังรุ่งเรืองของ ตัวเอง ส่วนมุมมองของการเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานพบว่า ผู้ป่วยมีมุมมอง 3 ประเด็นคือ 1) โรคเบาหวานเป็น โรคที่ไม่รุนแรง 2) โรคเบาหวานท้าให้ชีวิตยุ่งยาก 3) กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานท่ีสามารถควบคุมระดับน้าตาลใน เลือดได้จะมีมุมมองว่า การควบคุมระดับน้าตาลในเลือดต้องเกิดจากการพึ่งพาตนเอง ดังน้ันจึงต้องมีการสร้าง ความรู้ความเข้าใจกับผู้ป่วยเบาหวานให้ชัดเจนถึงผลเสียและผลกระทบท่ีตามมาหากมีพฤติกรรมการดูแล ตนเองไมด่ ี จึงควรจดั โประแกรมใหค้ วามรแู้ ละส่งเสรมิ ทกั ษะการดูแลตนเองให้กับผู้ปว่ ยเบาหวานอย่างต่อเนื่อง เช่น การศึกษาของ Chakshion (2017) ท้าการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ ในกลุ่มผู้ที่มีภาวะเส่ียงสูงต่อการป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน พบว่า ภายหลังการ ทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล่ยี พฤติกรรมสุขภาพดา้ นการบริโภคอาหาร การออกก้าลังกาย และการจัดการ อารมณ์ดกี วา่ ก่อนการทดลอง และดกี ว่ากลมุ่ เปรยี บเทียบอยา่ งมนี ัยส้าคัญทางสถิติทร่ี ะดับ 0.05 ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1. บุคลากรทางการพยาบาลสามารถน้าข้อมูลในการศึกษานี้ไปใช้ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการ สื่อสาร และการให้ข้อมูลทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานท่ีมารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต้าบล เพ่ือให้ผู้ป่วยเบาหวานมีความรอบรู้ทางสุขภาพที่แตกฉานเพ่ือน้าไปปรับใช้ในการดูแลตนเองอย่างมี ประสิทธิภาพ 2. เป็นข้อมูลพื้นฐานส้าหรับผู้บริหารทางการพยาบาลในการส่งเสริม สนับสนุน จัดกิจกรรมเพื่อ เสริมสรา้ งความรอบรทู้ างสุขภาพของผปู้ ว่ ยเบาหวานทม่ี ารับบริการในโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพต้าบลเพื่อให้ ผ้ปู ่วยเบาหวานมคี วามรอบรู้ทางสุขภาพท่ีแตกฉานเพ่ือน้าไปปรับใช้ในการดแู ลตนเองเพ่ือควบคุมระดับน้าตาล สะสมในเลอื ดและปอ้ งกันการเกดิ ภาวะแทรกซ้อนที่รนุ แรง ขอ้ เสนอแนะสาหรับการศกึ ษาครัง้ ตอ่ ไป 1. ควรมีการศึกษาความรอบรู้ทางสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีโรคร่วมโดยการศึกษาเชิง คณุ ภาพทสี่ ามารถเข้าใจปัญหาของผูป้ ่วยตามบรบิ ทนั้นๆ เพ่อื ใหม้ กี ารจดั การตนเองท่ีดี และเหมาะสมกับโรค 2. ควรมีการพัฒนาโปรแกรมความรอบรู้ทางสุขภาพที่เปน็ การส่งเสรมิ พฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 เพื่อควบคมุ ระดับน้าตาลสะสมในเลอื ด วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

222 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) เอกสารอ้างองิ American Diabetes Association. (2012). Standards of medical in diabetes - 2012. Diabetes care, 35, S11- S63. Bang Sai Subdistrict Health Promoting Hospital. (2019). Annual report 2018. Chonburi: Bang Sai Subdistrict Health Promoting Hospital (Duplicate document). (in Thai). Buraphunt, R., & Muangsom, N. (2013). Factors Affecting Uncontrolled Type 2 Diabetes Mellitus of Patients in Sangkhom Hospital, Udonthani Province. KKU journal for public health research, 6(3), 102-109. (in Thai). Chakshion. (2017). Effectiveness of Health Behavior Modification Program in High Risk Patients with Illness, Diabetes, Hypertension and Obesity. Master of Public Health Program Thesis, Department of Health Management. Rajabhat Rajanagarindra University. (in Thai). Chiangkhong, A., Duangchan, P., Intarakamhang, U. (2017). Health Literacy in Diabetic Adult: Experience of Diabetic Patient and Perspective on Health Literacy. Kuakarun journal of nursing. 24(2), 162-178. (in Thai). Department of Disease Control, Ministry of Public Health. (2016). Annual Report 2016 (NCD). Bangkok: Printing Business Office. War Veterans Organization of Thailand Under royal patronage. (in Thai). Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health and Srinakharinwirot University. (2016). Handbook for assessing health literacy of Thais aged 15 years and over in the practice of 3อ 2ส. Bangkok: Printing Press of the Agricultural Cooperatives Association of Thailand. (in Thai). Health Education Division, Department of Health Service Support Ministry of Public Health. (2018). Handbook for assessing health literacy of Thais aged 15 years and over in the practice of 3อ 2ส (Revised Edition 2018). Bangkok: Printing Press of the Agricultural Cooperatives Association of Thailand. (in Thai). Kaewdamkeng, K. (2018). Health literacy: access, understand and application. Bangkok: Amarin Printing and Publishing. (in Thai). Liu, Y., Liu, L., Li, Y., Chen, Y. (2015). Relationship between health literacy, health-related behaviors and health status: a survey of elderly Chinese. Int J environ res public health. 12, 9714-25. Nutbeam D. (2009). Defining and measuring Health literacy: what can we learn from literacy studies?. Int. J. public health, 54(5) 303-305. Pannark, P., Moolsart, S., Kaewprom, C. (2017). The Effectiveness of a Program for Health Literacy Development of the Patients with Uncontrolled Type 2 Diabetes at วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

223 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Bangwua District, Chachoengsao Province. Nursing journal of the ministry of public health. 27(3), 91-106. (in Thai). Poladao, K., Ratchompoo, W., Nakram, S., Prasomruk, P., Panthumas, S., Saraboon, Y. (2017). Health literacy of type 2 diabetic patent and to compare urban area and rurai area in muang district amnatcharoen province. Journal of khon kaen provincial health office. 2(1), 22-39. (in Thai). Rannan, S., Laosinat, P. (2019). Development of nursing practice guidelines to promote self- management of patients with type 2 diabetes who cannot control blood sugar levels. Kantharawichai Hospital Mahasarakham Province. Journal of mahasarakham hospital. 16(3), 138-148. (in Thai). Ratanavarang, W., Chantha, W. (2018). Health intelligence on self-care behavior and blood sugar control of type 2 diabetic patients, Chainat Province. Journal of boromarajonani college of nursing, Nakhon Ratchasima. 24 (2), 34-51. (in Thai). Sami, W., Ansari, T., & Rashid, A, H, M. (2017). Effect of diet on type 2 diabetes mellitus: A review. International journal of health sciences, 11(2). 65-71. Soisongkana, S., Raunkon, A., Apichantaramethakun, K, Nanta, N., Sukkasem, J. (2017). Self- care behavior according to the perceived behavior of type 2 diabetic patients who do not control blood sugar. Journal of phrapokklao college of nursing, chanthaburi. 28(2), 93-103. (in Thai). Sompun, A., Thirathongkam, S., Piasue, N., Sakulhongsophon, S. (2015). Predictive factors of diabetes prevention behavior in people at risk of diabetes. Rama nursing journal. 21 (1): 96-109. (in Thai). Sorensen, K., Van den Broucke, S., Fullam, J., Doyle, G., Pelikan, J., Slonska, Z., et al. (2012). Health literacy and public health: a systematic review and integration of definitions and models. BMC public health. 12, 80. Suksawat, B. (2020). Care of diabetic patients in the community of Bang Sai Sub-district, Muang District, Chonburi Province. Interview on March 27, 2020 at 1:00 PM - 2:00 PM at Bang Sai Subdistrict Health Promoting Hospital. (in Thai). Thungmuang, J., Muktaphan, B. (2018). Relationship between health intelligence and self- care of type 2 Diabetes. Journal of health education. 41(1), 103-113. (in Thai). World Health Orgranization. (1998). Health literacy. Health Promotion Glossary, 10. World Health Organization. (2018). Health literacy final. (on line). (cited 2021 ,January ,25). Available fromhttp://www.who.int/healthpromotion/conferences/7gchp/Track1_Inner.pdf วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

224 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) The Factors affecting Exercise Behavior among elderly in Lampangluang subdistrict, Lampang province Praewpan Sukpan* Received February 4, 2021, Revised: April 19, 2021, Accepted: May 11, 2021) Abstract This purpose of this descriptive study was to investigate factors affecting exercise behavior of elderly in Lampangluang subdistrict, Lampang province. The study samples comprised of 255 elderly who were enrolled by Quota Sampling. The data was collected through the questionnaire. the statistic such as Frequency, percentage, Mean, chi-square, and Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient were used for data analysis The Results showed that most of the samples were female (61.6 %) and most of them (54.9%) had 60-69 years old. Moreover, overall, 78.4 percent had the right exercise behavior. According to right knowledge and good attitude of elderly were 78. 2 and 71. 4 percent respectively. In terms of predisposing Factor, it was found that age, sex and underlying of the samples were significantly related to exercise behavior with P<0. 05. Furthermore, enabling factors such as place for exercise, trainer did not relate to exercise behavior of the elderly. Lastly, reinforcing factors for instance, receiving social and support from family member, friends, communities and health professional did not also relate to exercise behavior of the elderly. Key word: Factor; Exercise behavior; Elderly * Registered Nurse, professional level, LampangLuang public health center, division of public health and environment, Lampangluang subdistrict municipality วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

225 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอย่ใู นฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ปัจจยั ท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการออกกาลงั กายของผสู้ งู อายุ ตาบลลาปางหลวง แพรวพรรณ สุขป้นั * (วันรับบทความ : 4 กุมภาพนั ธ์ 2564, วนั แกไ้ ขบทความ : 19 เมษายน 2564, วนั ตอบรบั บทความ : 11 พฤษภาคม 2564) บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อการออกกาลังกายของผู้สูงอายุ ตาบลลาปางหลวงโดยสุ่มตัวอย่างแบบโควตา(Quota Sampling)ตามหมู่ กลุ่มตัวอย่างท่ีนาใช้ในการศึกษา จานวน 255 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สถิติไคสแควร์ (chi-Square) และ สถิติสัมประสิทธิ์สหพันธ์ แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 61.6 และมีอายุระหว่าง 60-69ปี ร้อยละ 54.9 โดยภาพรวมผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการออกกาลังกายที่ถูกต้องร้อยละ78.4 มีความรู้ที่ถูกต้องร้อย ละ 78.2และมีทัศนคติเกี่ยวกับการออกกาลังกายในระดับดีร้อยละ 71.4 ปัจจัยนา ได้แก่ เพศ อายุและการมี โรคประจาตัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกาลังกายของผู้สูงอายุอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) ปัจจัยเออื้ ไดแ้ ก่ สถานทีอ่ อกกาลังกายบุคลากรเกีย่ วกบั การออกกาลงั กาย ไมม่ ีความสมั พันธก์ ับพฤติกรรมการ ออกกาลังกายของผู้สูงอายุ ปัจจัยเสริม ได้แก่ การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว/เพื่อน/ชมุ ชน /เจ้าหน้าท่ี สาธารณสขุ ไมม่ ีความสัมพนั ธ์กับพฤตกิ รรมการออกกาลังกายของผูส้ ูงอายุ คาสาคญั : ปจั จยั ; พฤติกรรมการออกกาลังกาย; ผ้สู งู อายุ * พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ ศูนยบ์ ริการสาธารณสุขลาปางหลวงกองสาธารณสขุ และส่ิงแวดลอ้ ม เทศบาลตาบลลาปางหลวง วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

226 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) บทนา จากการที่ประเทศไทยได้กา้ วเข้าสกู่ ารเปน็ สังคมผู้สูงอายุนบั ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นตน้ มาและผลการ สารวจประชากรผูส้ งู อายใุ นประเทศไทย พบวา่ ในปี 2552 จานวนผสู้ งู อายคุ ดิ เปน็ รอ้ ยละ 11.5 ของประชากร ทั่วประเทศ ในปี พ.ศ.2553 เพ่มิ ขึ้นเป็นร้อยละ 11.9 ของประชากรทั่วประเทศและในปี พ.ศ.2563 มผี ู้สงู อายุ เพิม่ ขนึ้ เปน็ ร้อยละ18 ของประชากรทวั่ ประเทศ (Office of the National Economic and Social Development Council ,2019) และคาดวา่ จะเปน็ สงั คมสูงวัย ระดบั สุดยอดในอกี ไมถ่ ึง 20 ปีขา้ งหน้าน้ีเมอ่ื ประชากรอายุ 60 ปีขึน้ ไป มีสดั ส่วนถึงร้อยละ 28 ของประชากรท้งั หมด (FoundationofThaigerontologyresearchanddevelopment institute ,2014) การที่ประชากรผู้สูงอายุเพ่ิมจานวนข้ึนอย่างรวดเร็วและมีอายุยืนยาวเกิดจากอัตราการเกิดลดลงและ อัตราการเสียชีวิตของผู้สูงอายุโดยรวมลดลงและมีอายุยืนยาวมากขึ้น (Foundation of Thai gerontology research and development institute ,2016) ซ่ึงจากความก้าวหน้าทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ ตัวเองดีข้ึนพฤติกรรมการออกกาลังกายของผู้สงู อายุเปน็ ปัจจัยสาคัญหนึ่งท่ีเปน็ ตวั กาหนดสุขภาพของผสู้ งู อายุ โดยจะเห็นว่ากลุ่มผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงทางกายและมีการเจ็บป่วยตามวัยมากขึ้นกว่ากลุ่มอายุอ่ืนๆ โดย โรค 3 อันดับแรกที่พบมาก คือ โรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 31.7 โรคเบาหวานร้อยละ13.3 และโรคหัวใจ ร้อยละ 7.0 (Foundation of Thai gerontology research and development institute ,2016) ดังนั้น กลุ่มผู้สูงอายุท่ีไม่ออกกาลังกาย ควรมีการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการออกกาลังกายเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยให้ ร่างกายแข็งแรง หากผู้สูงอายุมีการออกกาลังกายที่ถูกต้อง จะช่วยเพ่ิมความสามารถของระบบการไหลเวียน เลือด และระบบการหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังดงั กล่าวได้ การออก กาลังกายในผูสูงอายุสามารถชวยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดชวยลดระดับไขมันในเส้นเลือดควบคุม น้าหนักตัวให้อยู่ในเกณฑปกติลดความดันโลหิตปองกันและรักษาโรคเบาหวานและยังชวยใหระบบหมุนเวียน โลหิตกลามเนอ้ื เอ็นขอตอมีความแข็งแรงขน้ึ นอกจากน้ียังชวยปองกนั โรคมะเร็งบางชนิด ชวยใหระบบขบั ถายดี ข้นึ และยังสามารถช่วยประหยัดคาใชจายในการรักษาพยาบาลไดอีกดวย (Bangkok Community Health Research Center,2018) ศูนยบ์ ริการสาธารณสุขลาปางหลวง กองสาธารณสุขและสงิ่ แวดล้อม เทศบาลตาบลลาปางหลวง ได้ ตระหนกั และเห็นความสาคัญของการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง ให้มีวิถีชวี ิตท่ีดีข้ึนโดย การเสริมสรา้ งสขุ ภาวะผสู้ ูงอายุ ทัง้ รา่ งกายจติ ใจ อารมณ์ และสงั คม จากการสารวจประชากรผ้สู งู อายตุ าบล ลาปางหลวง 6 หมบู่ ้าน ในปี พ.ศ.2559 มีผู้สูงอายุ รอ้ ยละ 22.20 และในปี พ.ศ.2560มผี ู้สูงอายุ รอ้ ยละ23.38 และ ปี พ.ศ.2561 มีผู้สูงอายุ ร้อยละ 27.02 (Ministry of public health, 2018) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

227 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) นอกจากนีย้ ังคาดประมาณว่าในอีก 10 ปขี ้างหน้า ปี 2568 จะมีประชากรผู้สูงอายุเพ่ิมข้ึนเป็นร้อยละ 30 ซง่ึ จะเป็นสงั คมผู้สงู อายุอยา่ งสมบูรณแ์ บบ นอกจากน้ีในปี พ.ศ.2559 พบวา่ มีผูส้ งู อายุตดิ บา้ นรอ้ ยละ 2.26 และเปน็ กลุ่มติดเตยี ง รอ้ ยละ 1.38 ปพี .ศ.2560 มีผู้สงู อายตุ ดิ บ้านร้อยละ 3.10และกลมุ่ ติดเตียง ร้อยละ 0.99 และในปี พ.ศ.2561มีผสู้ งู อายตุ ิดบ้าน รอ้ ยละ 3.97 และเป็นกลุ่มติดเตยี ง ร้อยละ 0.64 (Lampangluang public health center, 2018) จะเหน็ วา่ แนวโน้มของผู้สงู อายุตดิ บา้ นมเี พม่ิ มากขนึ้ และมโี อกาสติดเตียงตามมาถา้ ผ้สู ูงอายขุ าดการฟนื้ ฟแู ละพัฒนา สุขภาพตนเองอันจะก่อใหเ้ กิดความเจ็บป่วยเรือ้ รงั ทาใหส้ มรรถภาพทางกายลดลงเร่ือยๆเพราะฉะนัน้ จงึ เปน็ เรือ่ งสาคญั ท่ีจะต้องกระตนุ้ ให้มีการออกกาลังกาย เพื่อใหผ้ ู้สงู อายุมีคุณภาพชีวิตทีด่ ีขึน้ ลดความเสีย่ งกบั การ เกิดโรคเร้ือรังและลดภาวะการตดิ บา้ นตดิ เตยี ง วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1. เพอื่ ศึกษาปจั จัยทีม่ ีความสมั พนั ธ์ตอ่ การออกกาลงั กายในผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง 2. เพือ่ ศึกษาความสมั พนั ธ์ของปจั จยั ท่ีเกี่ยวข้องกับการออกกาลังกายในผู้สงู อายตุ าบลลาปางหลวง ขอบเขตการศึกษา ศึกษาระดับความรู้เก่ียวกับการออกกาลงั กาย ทศั นคตติ ่อการออกกาลังกายและพฤตกิ รรม การออกกาลงั กายของผสู้ งู อายตุ าบลลาปางหลวงและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจยั นา ปัจจยั เอือ้ ปัจจยั เสรมิ ตอ่ พฤติกรรมการออกกาลงั กายของผสู้ ูงอายุตาบลลาปางหลวง พืน้ ท่ีทศี่ ึกษา ตาบลลาปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลาปาง ระยะเวลา 48 สปั ดาห์ ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวิจยั คอื ผู้สูงอายุ เพศชาย และเพศหญิง ทีม่ ีอายุ 60 ปีขึน้ ไปใน 6 หมบู่ ้าน ตาบล ลาปางหลวง หมู่ 1 , หมู่ 2 , หมู่ 3 , หมู่ 7 , หมู่ 8 และหมู่ 11 จานวน 780 คน กลมุ่ ตวั อยา่ ง คือ เปน็ ผู้สูงอายุท่มี เี พศชาย เพศหญิง ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่อาศยั อย่จู ริง ในตาบลลาปาง หลวง 6 หมู่บ้าน หมู่ 1 , หมู่ 2 , หมู่ 3 , หมู่ 7 , หมู่ 8 และหมู่ 11 จานวน 264 คน เกณฑส์ าหรบั การคัดเขา้ หรอื คดั ออก ดงั น้ี เกณฑ์คัดเข้า คือ 1. ผสู้ ูงอายุ อายุ 60 ปีขน้ึ ไป ท่ีอย่ใู นตาบลลาปางหลวง หมู่ 1 , หมู่ 2 , หมู่ 3 , หมู่ 7 , หมู่ 8 และหมู่ 11 2. เป็นผสู้ งู อายทุ สี่ อื่ สารเขา้ ใจ เกณฑ์คัดออก คือ 1. ผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะหลงลืม ส่ือสารไม่เข้าใจ 2. ผสู้ งู อายทุ ่กี าลังเจ็บป่วยอยู่ในภาวะติดเตียง 3. ผู้สูงอายุท่ีไม่สมคั รใจเขา้ ร่วมโครงการ วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

228 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) กรอบแนวคดิ ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการออกกาลังกายในผู้สูงอายุ โดยการ ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้ แ น ว คิ ด PRECEDE framework ข อ ง W. lawlence Green ( Green, L. W. and M. W. Kreuter.1991) มาสรุปเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย มี 3 ปัจจัย คือ 1) ด้านปัจจัยนา (predisposing factors) ได้แก่ เพศ อายุ ที่อยู่อาศัย สถานภาพ ระดับการศึกษา รายได้ โรคประจาตัว ความรู้ และทัศนคติ 2) ปัจจัยเออื้ (enabling factors) ได้แก่ สถานท่ีออกกาลังกาย บุคลากรเก่ียวกับการออกกาลังกาย การบริการเก่ียวกับการ ออกกาลังกาย การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการออกกาลงั กาย 3) ปัจจัยเสริม (reinforcing factors) ได้แก่ การรับการสนับสนุนจากสมาชิกในครอบครัว สามี/ภรรยา ญาติ การได้รับการสนับสนุนจากเพื่อน การได้รับ การสนบั สนนุ จากเจา้ หนา้ ทสี่ าธารณสุข การได้รบั กาสนบั สนุนจากผนู้ าซง่ึ มผี ลตอ่ พฤติกรรมการออกกาลังกายในผู้สงู อายุ ปจั จัยนา พฤติกรรมการออกกาลงั กายในผู้สงู อายุ - เพศ– อายุ- สถานภาพสมรส - ระดบั การศึกษา- รายได้ - บทบาทหน้าท-่ี โรคประจาตัว - ความรู้-ทัศนคติ ปัจจัยเอ้ือ - สถานที่ออกกาลงั กาย - บุคลากรเก่ยี วกับการออกกาลงั กาย - การบริการเกยี่ วกบั การออกกาลังกาย - การได้รับข้อมลู ข่าวสารเก่ียวกับการออกกาลังกาย ปจั จยั เสริม - การได้รับการสนบั สนนุ จากสมาชกิ ในครอบครวั สาม/ี ภรรยา ญาติ - การไดร้ ับการสนับสนนุ จากเพ่ือน - การไดร้ บั การสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ สาธารณสุข - การได้รบั การสนับสนนุ จากผูน้ า รูปภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

229 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) วธิ ดี าเนนิ การวิจัย รูปแบบเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) วัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกกาลังกายในผ้สู ูงอายตุ าบลลาปางหลวง 6 หม่บู า้ น ประชากร คือ ผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีข้ึนไปใน 6 หมู่บ้าน ตาบลลาปางหลวง หมู่ 1 , หมู่ 2 , หมู่ 3 , หมู่ 7 , หมู่ 8 และหมู่ 11 จานวน 780 คน กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยตัวอย่างในการสารวจเชิงปริมาณ ใช้การสุ่มตัวอย่างโควตา(quota\\1sampling) ตามหมู่ โดยคานวณขนาดตัวอย่างตามสูตรของยามาเน่ (Yamane, 1973 : 508) ท่ีระดับความเช่อื มั่น ร้อยละ 95 ยอมใหเ้ กดิ ความคลาดเคล่อื น ร้อยละ 0.5 เม่ือได้ขนาดตวั อย่างแลว้ นามาคานวณจานวนขนาดกล่มุ ตวั อย่าง ตามสัดส่วนผู้สูงอายุ 6 หมู่บ้าน ในตาบลลาปางหลวง แบ่งเป็นจานวนที่เก็บ ดังน้ี หมู่ 1 จานวน 44 คน หมู่ 2 จานวน 44 คน หมู่3 จานวน 44 คน หมู่7 จานวน 44 คน หมู่8 จานวน 44 คน หมู่ 11 จานวน 44 คน และมี วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างคือ เกณฑ์คัดเข้า 1) ผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีข้ึนไป ในตาบลลาปางหลวง หมู่ 1 หมู่ 2 หมู่3 หมู่7 หมู่8 หมู่11 2) ผู้สูงอายุท่ีส่ือสารเข้าใจ เกณฑ์คัดออก 1) ผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะหลงลืม ส่ือสารไม่ เข้าใจ 2)ผ้สู งู อายทุ ี่กาลังเจบ็ ปว่ ยอยูใ่ นภาวะติดเตียง 3)ผู้สงู อายุที่ไมส่ มัครใจเข้ารว่ มโครงการ จากการคานวณขนาดตัวอย่างจากสูตร พบว่า มีขนาดตัวอย่างที่เหมาะสม ในการวิจัยอย่างน้อย จานวน 264 คน แต่เน่ืองจากแบบสอบถามท่ีเก็บรวบรวมมาได้มีความสมบูรณ์ของข้อมูลเพียง จานวน255 ฉบับ จึงไดข้ นาดกลุ่มตัวอยา่ งสาหรับการวจิ ัยครง้ั น้ี จานวน 255 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 96.59% เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามซึ่งประกอบด้วยคาถามปลายปิด (close-end question) และคาถามปลายเปิด (open-ended question) แบง่ ออกเปน็ 3 สว่ น ดงั น้ี สว่ นท1่ี เป็นแบบสอบถามดา้ นขอ้ มลู ท่ัวไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส สถานะครอบครัว รายได้ บทบาทหน้าที่ กิจวัตร ประจาวันที่ทาในช่วงกลางวัน โรคประจาตัวและอาการปัจจุบันของโรคประจาตัว ประกอบด้วยข้อคาถามซ่ึง เป็นคาถามปลายปดิ และปลายเปิดจานวน 11 ขอ้ สว่ นที่ 2 เปน็ แบบสอบถามดา้ นพฤติกรรมการออกกาลงั กาย ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 2.1 เป็นคาถามเกี่ยวกับข้อมูลการออกกาลังกาย ได้แก่ มีการออกกาลังกายหรือไม่ วธิ กี ารออกกาลงั กาย ความถี่ ระยะเวลา ชว่ งเวลา บคุ คลทีอ่ อกกาลงั กาย เหตุผล อปุ กรณ์ สถานท่ี แหล่งขา่ วสาร เก่ยี วกบั การออกกาลงั กาย เป็นคาถามปลายเปดิ แบบเลอื กตอบ (check list) จานวน 10 ข้อ ส่วนท่ี 2.2 เป็นความถ่ีในการปฏิบัติของพฤติกรรมการออกกาลังกาย จานวน 10 ข้อเป็น แบบสอบถาม 3 ระดับ คอื ปฏิบัตมิ าก ปฏบิ ตั ปิ านกลาง ปฏบิ ัตนิ อ้ ย วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

230 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) กรณคี าถามเชิงบวกใหค้ ะแนน (ขอ้ 1 , 3 , 4 , 9 , 10) ดงั นี้ ปฏบิ ัตมิ าก เทา่ กับ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิ ปานกลาง เท่ากบั 2 คะแนน ปฏบิ ัตนิ ้อย เท่ากับ 1 คะแนน กรณีคาถามเชิงลบให้คะแนน (ข้อ 2 , 5 , 6 , 7 , 8) ดงั นี้ ปฏิบตั มิ ากเท่ากบั 1คะแนนปฏบิ ตั ปิ านกลาง เท่ากบั 2 คะแนน ปฏบิ ัติน้อย เทา่ กบั 3 คะแนน สว่ นท่ี 3 เป็นแบบสอบถามด้านความร้เู กีย่ วกบั การออกกาลังกายในผสู้ ูงอายุเป็นคาถามปลายปดิ (close-end question) จานวน 10 ข้อ แต่ละข้อให้ผตู้ อบเลือกตอบ ถูกกับผดิ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ในแต่ละ ขอ้ เปน็ ดงั น้ี ตอบถูก ได้ 1 คะแนนตอบผดิ ได้ 0 คะแนน การแปลความหมายคะแนนระดับความรู้เป็น 3 ระดับ โดยเกณฑ์ให้คะแนนโดยใช้การวัด แบบอิง เกณฑข์ อง Bloom (1971) ดังตอ่ ไปนี้ ระดบั สงู หมายถึง คะแนนรอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป (8-10 ขอ้ ) ระดบั ปานกลาง หมายถึง คะแนนรอ้ ยละ 60-79 ข้นึ ไป (6-7 ขอ้ ) ระดับต่า หมายถงึ คะแนนนอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ลงมา (0-5 ข้อ) ส่วนท่ี 4 เป็นแบบสอบถามวัดระดับความคิดเห็นเก่ียวกับทัศนคติที่มีผลต่อการออกกาลังกายของ ผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง ประกอบด้วยข้อคาถามจานวน 12 ข้อ โดยแบ่งระดับความคิดเห็นเป็น เห็นด้วย มากท่ีสุด เห็นด้วยมาก เห็นด้วยน้อย เห็นด้วยน้อยท่ีสุด ในข้อความแต่ละข้อจะใช้เกณฑ์การตรวจให้คะแนน ดังนี้ ระดับความคิดเหน็ 4 หมายถงึ เห็นดว้ ยมากทส่ี ุดระดับความคดิ เห็น 3 หมายถงึ เห็นด้วยมากระดับความ คิดเหน็ 2 หมายถงึ เห็นดว้ ยนอ้ ยระดบั ความคดิ เหน็ 1 หมายถงึ เห็นดว้ ยน้อยที่สดุ เม่ือรวบรวมข้อมูลและแจกแจงความถแ่ี ลว้ จะใช้คะแนนเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่างมาพจิ ารณาระดับความ คิดเห็น ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้ Vanichbancha, K. (2011) ซึ่งสามารถแปลความหมายของระดับ คะแนนของทศั นคติ ดังน้ี คะแนนเฉลย่ี 3.00-4.00 หมายถงึ มรี ะดบั ทัศนคตดิ ที ่สี ดุ คะแนนเฉลย่ี 2.00-3.00 หมายถงึ มรี ะดบั ทศั นคตปิ านกลาง คะแนนเฉล่ีย 1.00-2.00 หมายถงึ มรี ะดับทัศนคติไมด่ ี ส่วนท่ี 5 เป็นแบบสอบถามวัดระดับความคิดเห็นเก่ียวกับปัจจัยด้านสถานท่ี ด้านบุคลากร และด้าน การบริการท่ีมีผลต่อการออกกาลังกายของผู้สูงอายุตาบลลาปางประกอบด้วยข้อคาถามจานวน 16 ข้อ แบ่งเปน็ ด้านสถานที่ 6 ขอ้ ดา้ นบุคลากร 7 ข้อ และด้านบริการ 3 ข้อ โดยแบง่ ระดับความคิดเห็นเปน็ เห็นดว้ ย มากท่ีสดุ เหน็ ดว้ ยมาก เหน็ ด้วยนอ้ ย เห็นด้วยนอ้ ยที่สุด การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื นาแบบสอบถามปัจจัยที่มีผลต่อการออกกาลังกายในผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ท่าน พิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (content validity) จากนั้นปรับปรุงแก้ไขตาม คาแนะนาของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วนามาคานวณค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา (content validity index) โดย แบบสอบถามมีค่าดัชนีความตรงของเน้ือหาด้านความรู้เกี่ยวกับการออกกาลังกายเท่ากับ 0.90 ค่าดัชนีความ วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

231 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตรงของเน้ือหาด้านทัศนคติท่ีมีผลต่อการออกกาลังกายเท่ากับ 0.87 และค่าดัชนีความตรงด้านสถานที่ ด้านบุคลากรและด้านการบริการท่ีมีผลต่อการออกกาลังกายเท่ากับ 0.83 และผู้วิจัยได้ นาแบบสอบถามที่ได้ ทดลองใช้ (try out ) กบั กล่มุ ตวั อยา่ งทม่ี ีลกั ษณะใกล้เคียงกบั ผูส้ งู อายุท่อี าศัยในเขตเทศบาลตาบลลาปางหลวง อาเภอเกาะคา จานวน 30 ชุดเพื่อทดสอบคุณภาพความเชื่อม่ันโดยประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรม สาเร็จรูปหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ของ ครอนบัค (cronbach’s coefficient alpha) โดยถือหลักค่าความ เชื่อมั่นของแบบสอบถามมีค่าสูงกว่า 0.70 แสดงว่าเคร่ืองมือมีความเช่ือม่ันระดับดีจากการทดลองใช้ แบบสอบถาม พบว่า แบบสอบถามด้านความรู้เกี่ยวกับการออกกาลังกาย มีค่าความเช่ือม่ัน เท่ากับ 0.81 แบบสอบถามวัดระดับทัศนคติที่มีผลต่อการออกกาลังกาย มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.77 และแบบสอบถาม ด้านสถานที่ ด้านบุคลากร และด้านบริการท่ีมีผลต่อการออกกาลังกายของผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง มี ค่าความเชื่อมนั่ เท่ากบั 0.76 ซ่งึ สามารถนาไปเก็บขอ้ มูลจริงต่อไป วิธีการเก็บขอ้ มูล ผู้วจิ ยั ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลมีขั้นตอนดงั นี้ 1. ผวู้ จิ ัยจดั พิมพ์แบบสอบถามฉบบั แก้ไขปรับปรุงเรยี บรอ้ ยแล้ว จานวน 264 ชุด 2. ขออนุญาตทาการวิจัยและเกบ็ ข้อมูลในผู้สงู อายตุ าบลลาปางหลวง 3. ประสานงานกับอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาหม่บู ้านเพือ่ ชว่ ยเก็บขอ้ มลู ในแต่ละหมู่ 4. ดาเนินการสัมภาษณ์ผู้สูงอายพุ ร้อมทั้งชแี้ จงวตั ถุประสงค์ในการสมั ภาษณค์ รงั้ นี้ 4.1 แนะนาตวั ต่อผ้สู งู อายุพร้อมทงั้ ชแ้ี จงวตั ถุประสงคใ์ นการสมั ภาษณค์ รัง้ นี้ 4.2 เร่มิ ตน้ การสมั ภาษณ์โดยสอบถามข้อมลู เบ้อื งตน้ ของผู้สูงอายุจากตวั ผ้สู ูงอายเุ องแล้วสอบถาม ตามข้อมูลต่างๆตามแบบสัมภาษณท์ ่ีจัดทาไว้ 4.3 ระหวา่ งสมั ภาษณ์พดู คยุ กับผูส้ งู อายแุ บบเป็นกันเอง เพื่อไม่ใหร้ ู้สกึ เบื่อในการสมั ภาษณ์คร้ังน้ี และไมค่ าดคน้ั คาตอบในกรณีทผี่ ูส้ ูงอายตุ อบไมไ่ ด้หรือไม่เต็มใจทจ่ี ะตอบคาถามข้อนั้นจะข้ามไปก่อน แลว้ คอ่ ย กลับมาถามใหม่อกี คร้ัง 4.4 เมอื่ สิ้นสดุ การสัมภาษณผ์ ู้วจิ ัยได้เปิดโอกาสใหผ้ ู้ให้ขอ้ มูลได้แสดงความคดิ เห็นอืน่ ๆ เพ่มิ เติม จากนัน้ ผู้วิจัยไดก้ ลา่ วขอบคุณแก่ผ้สู ูงอายุทไ่ี ด้ให้สมั ภาษณ์ในครง้ั น้ี 5. นาแบบสอบถามดงั กลา่ วมาตรวจสอบความถูกต้อง พบว่า มคี วามสมบูรณ์จานวน 255 ชุด ท่จี ะใช้ ดาเนนิ การวเิ คราะห์ทางสถิติตอ่ ไป วิธีวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิตเิ ชงิ พรรณนา วเิ คราะหข์ อ้ มลู ท่วั ไปดว้ ยสถิตคิ ่าเฉล่ีย ความถแ่ี ละร้อยละ 2. สถติ เิ ชงิ วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหว่าง ปัจจยั นา ปจั จัยเอื้อ และปจั จัยเสริมต่อพฤตกิ รรมการออก กาลังกายผสู้ ูงอายุ โดยใช้สถติ ิไค-สแควร์ (chi-square) และ สถิติสมั ประสิทธส์ิ หสัมพันธ์ แบบเพียร์สนั (pearson’s product moment correlation coefficient) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

232 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) การพทิ กั ษส์ ิทธิ์ของกล่มุ ตัวอยา่ งและจริยธรรมวจิ ัย การวิจัยคร้ังนี้ได้ผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยจากคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ัยเกี่ยวกับมนุษย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนนี ครลาปาง เลขที่ 161/2563 และผวู้ จิ ยั ไดเ้ นินการตามขั้นตอน โดยการแนะนา ตัวผู้วิจัย ช้ีแจงวัตถุประสงค์ข้ันตอนการดาเนินงานทุกข้ันตอน ระยะเวลาในการดาเนินการและประโยชน์ทจ่ี ะ ไดร้ ับจากการวิจัยและชี้แจงให้กลมุ่ ตวั อยา่ งทราบถึงสิทธใิ นการปฏิเสธหรือการตอบรับการร่วม การวิจัยซึ่งไม่มี ผลกระทบใด ตอ่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง ขณะดาเนนิ การวิจัย หากกลุ่มตวั อย่างไมต่ อ้ งการเขา้ รว่ มการวิจัยจนครบกาหนด สามารถบอกเลิกจากการวจิ ัย โดยไมต่ อ้ งชแ้ี จงเหตผุ ลและจะไม่มีผลกระทบใดๆ สาหรบั ขอ้ มลู ท่ีได้จากการวิจัย คร้ังน้ี ผู้วิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยถือเป็นความลบั และจะไม่มีผลกระทบใดๆ สาหรับข้อมูลท่ีได้จากการวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัย ถือเป็นความลับและนามาใช้เฉพาะการวิจัยในคร้ังนี้เท่าน้ัน โดยนาเสนอข้อมูลที่ได้ในภาพรวม และนามาใช้ ประโยชน์ทางวิชาการเท่าน้ัน หากกลุ่มตัวอย่างมีข้อสงสัยเก่ียวกับการทาวิจัยสามารถสอบถามผู้วิจัยได้ ตลอดเวลา และมกี ารลงลายมอื ช่ือในแบบพทิ กั ษส์ ทิ ธิ์ของกล่มุ ตวั อย่าง ผลการวจิ ยั ข้อมูลทั่วไป กลุ่มตัวอย่างจานวน ทั้งหมด 255 คน เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงรอ้ ยละ 61.6 มีอายุระหว่าง 60-69 ปี ร้อยละ 54.9 มีสถานภาพสมรสคู่ รอ้ ยละ 52.9 จบการศึกษา ระดับประถมศึกษามากท่ีสุด ร้อยละ 86.3 สถานะครอบครัว อยกู่ ับลกู หลาน รอ้ ยละ 45.1 ทีม่ าของรายได้มา จากเบี้ยผู้สูงอายุ ร้อยละ 92.5 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ากว่า 2,000 บาท ร้อยละ 51.8 มีบทบาทหน้าที่หา รายได้เลี้ยงชีพตนเอง ร้อยละ 39.2 มีกิจวัตรที่ทาในช่วงกลางวันคือทางานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ร้อยละ 51.8 มี โรคประจาตัว ร้อยละ 64.3 อาการโรคประจาตัว/การดูแลรักษา พบว่า ส่วนใหญ่รักษาต่อเน่ืองสม่าเสมอ ร้อย ละ 88.4 ตารางที่ 1 แสดงจานวน ร้อยละ ของระดับพฤตกิ รรมการออกกาลงั กายท่ีสมั พนั ธ์กับปัจจยั นา ระดับพฤตกิ รรมการออกกาลังกาย ปัจจยั นา ถกู ตอ้ งน้อย ถูกต้องปานกลาง ถูกตอ้ งมาก X2 df P เพศ ชาย จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ หญิง 5 5.10 24 24.50 69 70.40 6.095 2 0.047 รวม 5 3.20 21 13.40 131 83.40 อายุ 10 3.90 45 17.60 200 78.40 60-69 70-79 4 2.80 17 12.10 119 85.00 14.369 6 0.026 80-89 3 3.90 16 20.80 58 75.30 90 ปีขึ้นไป 3 8.60 12 34.30 20 57.10 0 0.00 0 0.00 3 100.00 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

233 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 1 แสดงจานวน รอ้ ยละ ของระดับพฤตกิ รรมการออกกาลังกายที่สมั พันธก์ บั ปจั จยั นา (ต่อ) ระดบั พฤตกิ รรมการออกกาลังกาย ปจั จยั นา ถูกต้องน้อย ถูกตอ้ งปานกลาง ถูกตอ้ งมาก X2 df P จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ สถานภาพสมรส โสด 2 8.30 2 8.30 20 83.30 3.915 4 0.418 คู่ 5 3.70 22 16.30 108 80.00 หม้าย/หย่า ร้าง/ 3 3.10 21 21.90 72 75.00 แยก รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 ระดับการศึกษา ไม่ไดร้ บั การศึกษา 1 4.50 11 50.00 10 45.40 20.426 12 0.059 ประถมศึกษา 9 4.10 34 15.40 177 80.40 มัธยมศกึ ษาตอนต้น 0 0.00 0 0.00 4 100.00 มัธยมศึกษาตอน 0 0.00 0 0.00 2 100.00 ปลาย/ปวช. ปวส./อนปุ รญิ ญา 0 0.00 0 0.00 1 100.00 ปรญิ ญาตรี 0 0.00 0 0.00 5 100.00 สงู กวา่ ปริญญาตรี 0 0.00 0 0.00 1 100.00 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 รายได้เฉลี่ย ต่ากว่า 2,000 บาท 4 3.00 28 21.20 100 75.80 4.598 8 0.800 2,000-5,000 บาท 4 4.90 12 14.80 65 80.20 5,001-10,000 บาท 2 6.70 4 13.30 24 80.00 10,000-20,000 บาท 0 0.00 0 0.00 5 100.00 20,000 บาท 0 0.00 1 14.30 6 85.70 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 บทบาทหนา้ ท่ี เปน็ ผหู้ ารายได้หลกั 4 6.30 13 20.30 47 73.40 2.679 4 0.613 หารายไดเ้ ลย้ี งชีพ 2 2.00 18 18.00 80 80.00 ตนเอง มีบุตรหลานเลยี้ งดู 4 4.40 14 15.40 73 80.20 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

234 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตารางที่ 1 แสดงจานวน รอ้ ยละ ของระดบั พฤติกรรมการออกกาลังกายที่สมั พันธ์กับปจั จัยนา (ต่อ) ระดับพฤติกรรมการออกกาลังกาย ปัจจยั นา ถกู ต้องนอ้ ย ถกู ต้องปานกลาง ถูกต้องมาก X2 d P จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ จานว รอ้ ยละ f น การมีโรคประจาตวั มี 3 1.80 27 16.40 134 83.80 6.124 2 0.047 ไม่มี 7 7.70 18 19.80 66 72.50 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 ความร้เู กย่ี วกับการออกกาลังกาย ตา่ 1 9.10 1 9.10 9 81.80 2.436 4 0.656 ปานกลาง 3 3.60 18 21.70 62 74.70 สูง 6 3.70 26 16.10 129 80.10 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 ทศั นคติเกีย่ วกบั การออกกาลังกาย ตา่ 0 0.00 0 0.00 1 100.00 1.773 4 0.777 ปานกลาง 2 2.80 10 13.90 60 83.30 สงู 8 4.40 35 19.20 139 76.40 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 จากตารางที่ 1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการออกกาลังกายในผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง พบว่า ปัจจัยนา ได้แก่ เพศมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกาลังกายของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสาคัญของสถิติ (p<.047) ผ้สู งู อายุ เพศหญิง มีพฤติกรรมการออกกาลังกายที่ระดับถูกต้องมากกว่าเพศชาย พบว่า อายมุ ีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การออกกาลังกายของผสู้ ูงอายุ อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ (p<.026) ผูส้ งู อายุ ท่ีอายุระหวา่ ง 60-69 ปี มีพฤติกรรมการออกกาลงั กายท่ีระดบั ถูกต้องมาก มากกว่าผสู้ ูงอายทุ ่ีอายุระหวา่ ง 70-79ปี อายุ 80-89 ปี และอายุ 90 ปีข้ึนไป การมีโรคประจาตัวมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกาลังกายของ ผ้สู ูงอายุอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ (p<.047) วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

235 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) ตารางท่ี 2 แสดงจานวน ร้อยละ ของระดับพฤตกิ รรมการออกกาลงั กายที่สมั พันธ์กบั ปัจจยั เอ้ือ ระดับพฤติกรรมการออกกาลงั กาย ปจั จัยเอ้อื ถูกต้องนอ้ ย ถกู ตอ้ งปานกลาง ถกู ต้องมาก X2 df P สถานท่ีในการออกกาลังกาย จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ ตา่ 0 0.00 0 0.00 1 100.0 2.017 4 0.733 ปานกลาง 0 0.00 7 20.60 27 79.40 สูง 10 4.50 38 17.30 172 78.20 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 บคุ ลากรเกยี่ วกบั การออกกาลงั กาย ตา่ 0 0.00 0 0.00 1 100.00 4.479 4 0.345 ปานกลาง 0 0.00 9 29.00 22 71.00 สูง 10 4.50 36 16.10 177 79.40 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 การบริการเกยี่ วกับการออกกาลงั กาย ตา่ 0 0.00 0 0.00 1 100.00 2.017 4 0.733 ปานกลาง 0 0.00 7 20.60 27 79.40 สูง 10 0.00 38 17.30 172 78.20 รวม 10 0.00 45 17.60 200 78.40 จากตารางที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเอ้ือกับระดับพฤติกรรมการออกกาลังกาย ได้แก่ สถานที่ ออกกาลงั กาย กบั พฤติกรรมการออกกาลงั กายของผูส้ ูงอายุ พบว่า สถานทอี่ อกกาลังกาย บุคลากรเกย่ี วกบั การ ออกกาลังกาย และการบรกิ ารเกย่ี วกับการออกกาลงั กายไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกาลงั กายของผสู้ งู อายุ ตารางท่ี 3 แสดงจานวน ร้อยละของระดับพฤตกิ รรมการออกกาลังกายทสี่ มั พนั ธ์กบั ปัจจัยเสริม ระดบั พฤตกิ รรมการออกกาลังกาย ปจั จัยเสริม ถูกต้องนอ้ ย ถูกต้องปานกลาง ถกู ต้องมาก X2 df P จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ การไดร้ ับการสนับสนุนจากครอบครัว/เพอ่ื น/ชุมชน ตา่ 0 0.00 0 0.00 2 100.00 8.145 4 0.086 ปานกลาง 8 6.30 16 12.70 102 80.90 สูง 2 1.60 29 22.80 96 75.60 รวม 10 3.90 45 17.60 200 78.40 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

236 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมลู TCI กลมุ่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) จากตารางท่ี 3 ความสัมพันธ์ระหว่างปจั จัยเสริมกบั ระดบั พฤติกรรมการออกกาลงั กาย ไดแ้ ก่ การได้รับ การสนับสนุนจากครอบครัว/เพื่อน/ชุมชน กับพฤติกรรมการออกกาลังกายของผู้สูงอายุ พบว่า การได้รับการ สนบั สนนุ จากครอบครัว/เพ่อื น/ชมุ ชน ไม่มคี วามสัมพนั ธ์กบั พฤตกิ รรมการออกกาลังกายของอายุ สรุปผลการวิจัย จากตารางที่1,ท่ี 2 และที่3 จะเห็นว่าความสัมพันธ์ของปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการออก กาลังกายในผู้สูงอายุตาบลลาปางหลวง ปัจจัยนา ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ เฉล่ีย บทบาทหน้าท่ี การมีโรคประจาตัว ความรู้และทัศนคติ พบว่า เพศ อายุ และ การมีโรคประจาตัวมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกาลังกายของผู้สูงอายุอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.05) สถานภาพสมรส รายได้เฉลี่ย บทบาทหน้าที่ ความรขู้ องผู้สูงอายุ และทัศนคติไมม่ ีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการออกกาลังกาย ของผู้สูงอายุ ปัจจัยเอ้ือ ได้แก่ สถานท่ีออกกาลังกายบุคลากรเกี่ยวกับการออกกาลังกาย ไม่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการออกกาลังกายของผู้สูงอายุ ปัจจัยเสริม ได้แก่ การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว/เพื่อน/ ชุมชน /เจา้ หนา้ ที่สาธารณสุขไม่มีความสัมพนั ธก์ ับพฤตกิ รรมการออกกาลงั กายของผู้สงู อายุ ตารางที่ 4 จานวนและร้อยละของกล่มุ ตัวอยา่ ง จาแนกตามระดับพฤติกรรมการออกกาลงั กาย (n = 255) ระดบั พฤติกรรม จานวน (คน) ร้อยละ การออกกาลังกาย ระดับถูกต้องมาก 200 78.40 ระดบั ถูกต้องปานกลาง 45 17.70 ระดบั ถูกต้องน้อย 10 3.90 ตารางท่ี 5 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตวั อย่าง จาแนกตามพฤติกรรมการออกกาลังกาย (n=255) พฤติกรรมการออกกาลงั กาย จานวน (คน) ร้อยละ วธิ กี ารออกกาลังกาย(ตอบไดม้ ากกวา่ 1 ข้อ) 74.10 5.10 เดิน 189 7.80 4.30 วง่ิ 13 4.30 35.30 ราผา้ ขาวมา้ 20 0.40 1.60 ราวงย้อนยุค 11 เตน้ แอโรบคิ 11 แกว่งแขน 90 ราไม้พลอง 1 โยคะ 4 วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

237 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานขอ้ มลู TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถงึ 31 ธันวาคม 2567) ตารางท่ี 5 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตวั อย่าง จาแนกตามพฤติกรรมการออกกาลังกาย (n=255) (ตอ่ ) พฤติกรรมการออกกาลงั กาย จานวน (คน) ร้อยละ วิธีการออกกาลังกาย(ตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ) 14.50 0.8 ป่นั จักรยาน 37 0.4 เคร่อื งออกกาลังกาย 2 18.80 55.30 รามวยจนี 1 3.50 22.40 ท่านออกกาลังกายกี่วนั ต่อสัปดาห์ 18.80 1-2 วนั 48 61.60 16.10 3-4 วนั 141 1.20 1.20 5-6 วนั 9 1.20 ทกุ วนั 57 52.50 3.90 วธิ ีการออกกาลังกาย(ตอบไดม้ ากกวา่ 1 ข้อ) 43.50 ท่านออกกาลังกายครงั้ ละกี่นาที น้อยกว่า 20 นาที 48 20-30 นาที 157 30-40 นาที 41 40-50 นาที 3 50-60 นาที 3 มากกวา่ 1 ชว่ั โมง 3 ชว่ งเวลาทอี่ อกกาลังกาย ชว่ งเช้า 134 ช่วงกลางวัน 10 ชว่ งเยน็ 111 ตารางท่ี 6 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งทม่ี คี วามร้เู ก่ยี วกับการออกกาลงั กาย (n = 255) ลาดับ ข้อคาถาม ความรถู้ ูกตอ้ ง ความรไู้ ม่ถกู ตอ้ ง 1 คนทีม่ ีสขุ ภาพแข็งแรงไมจ่ าเป็นต้องออกกาลังกาย จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ 2 ระยะเวลาการออกกาลงั กายให้มีสุขภาพดคี ือคร้ังละ 226 88.60 29 11.40 15-30 นาที สปั ดาห์ละ3วัน 228 89.40 27 10.60 3 ผูท้ ม่ี ีโรคประจาตัวควรออกกาลังกายมากกว่าคนท่ี 168 65.90 87 34.10 สขุ ภาพแขง็ แรง วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

238 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ตารางที่ 6 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่างทีม่ ีความรเู้ กีย่ วกับการออกกาลงั กาย (n = 255) (ต่อ) ลาดบั ขอ้ คาถาม ความรถู้ กู ต้อง ความรูไ้ ม่ถกู ต้อง จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ 4 การออกกาลงั กายทาใหล้ ดการเป็นโรคตา่ งๆได้ 5 การออกกาลงั กายควรเรมิ่ ต้นจากเบาๆไปหนกั 216 84.70 39 15.30 6 การทางานบ้าน การทาสวน ทาไร่ การขดุ ดนิ ไม่ถือ 233 91.40 22 8.60 127 49.80 128 50.20 เปน็ การออกกาลังกาย 7 ผสู้ ูงอายุไม่ควรออกกาลงั กายเพราะอาจทาใหเ้ ปน็ 4 213 83.50 42 16.50 อันตรายต่อร่างกายได้ 241 94.50 14 5.50 8 การออกกาลังกาย จะชว่ ยผอ่ นคลายความตงึ เครียดทา ให้นอนหลบั ไดด้ ีขึน้ 9 การออกกาลงั กาย จะช่วยผ่อนคลายความตงึ เครยี ดทา 241 94.5 14 5.50 52.50 ให้นอนหลับไดด้ ีข้นึ 21.80 10 การเตน้ แอโรบิคเป็นการออกกาลงั กายท่เี หมาะสมกับ 121 47.5 134 ทกุ เพศทุกวยั ภาพรวม 1995 78.20 555 ตารางท่ี 7 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ ง จาแนกตามระดบั ความรู้เก่ยี วกับการออกกาลงั กาย (n = 255) ระดับความรู้เก่ยี วกับ จานวน ร้อยละ การออกกาลังกาย 161 63.10 ระดบั สงู (8-10 คะแนน) ระดบั ปานกลาง (6-7 คะแนน) 83 32.60 ระดับตา่ (0-5 คะแนน) 11 4.30 ตารางที่ 8 จานวนและร้อยละของกลุม่ ตวั อยา่ ง จาแนกตามระดบั ทศั นคติเกย่ี วกบั การออกกาลังกาย (n = 255) ระดับทศั นคติเกี่ยวกับ จานวน (คน) รอ้ ยละ การออกกาลังกาย 182 71.40 ระดบั ดี (X=3.01-4.00) 72 28.20 ระดบั ปานกลาง (X =2.01-3.00) 1 0.40 ระดบั ไมด่ ี (X= 1.00-2.00) วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

239 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยูใ่ นฐานข้อมูล TCI กลุ่มท่ี 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) อภปิ รายผล 1.ด้านพฤติกรรมการออกกาลังกาย จากตารางที่ 4 และ 5 พบว่า มีระดับพฤติกรรมถูกต้องมาก ร้อยละ 78.4 พฤติกรรมการออกกาลังกายสาหรับผูสูงอายุคือ พฤติกรรมหรือการเคล่ือนไหวรางกายอยางตอเน่ืองท่ี ความเหนือ่ ยปานกลางจนถงึ เหนื่อยมาก เพ่ือใหรางกายไดเผาผลาญพลังงานที่เกบ็ สะสม โดยการออกกาลังกาย เปนการออกแรงของกลามเน้ืออยางมีแบบแผนและกระทาอยางตอเนื่อง วันละ 30นาทีตอวัน จานวน 3-5วัน ต อสปั ดาห เพ่ือสุขภาพที่ดีของผูสูงอายุ อีกท้ังควรเลือกการออกกาลังกายท่ีเหมาะสม ท้ังนี้ข้ึนอยูกับความรุนแรง ในการออกกาลังกาย สมรรถภาพและความสามารถในการออกกาลังกายแตละบุคคล (Saravitee,N.,2017) ดงั นน้ั กลมุ่ ตัวอย่างสว่ นใหญจ่ งึ ออกกาลงั กาย ดว้ ยวธิ กี ารเดนิ (รอ้ ยละ 74.1) ออกกาลังกาย 3-4 วันตอ่ สัปดาห์ (ร้อยละ 55.3) ออกกาลังกายคร้ังละ 20-30 นาที (ร้อยละ61.6)ในช่วงเช้า(ร้อยละ52.5) ซึ่งจัดเป็นพฤติกรรมการ ออกกาลงั กายทีถ่ ูกต้องในระดบั มาก 2.ด้านความรู้เกี่ยวกับการออกกาลังกาย จากตารางที่ 6 และตารางที่ 7 พบว่า มีความรู้ถูกต้อง ร้อยละ 78.2 และมีความร้อู ยู่ในชว่ งคะแนนระดบั สูงระหวา่ ง 8-10 คะแนน รอ้ ยละ 63.1 อาจเนือ่ งจากความรู้ เป็นพฤติกรรมขึ้นต้นท่ีผู้เรียนรู้ เพียงแต่เกิดความจาได้ โดยอาจจะเป็นการนาได้หรือ โดยการมองเห็น ได้ยิน เม่ือกลุ่มตัวอย่างได้รับข้อมูลจากการนึกได้ การมองเห็น ได้ยิน และ จาจากข่าวสารเกี่ยวกับการออกกาลังกาย ไม่ว่าจากอาสาสมัครสาธารณสุข/บุคลากรสาธารณสุข (ร้อยละ 57.2) จากเพื่อนบ้าน/ญาติพี่น้อง/ลูกหลาน (ร้อยละ 36.5) หอกระจายข่าวประจาหมู่บ้าน (ร้อยละ 34.9) จึงส่งผลให้มีความรู้เกี่ยวกับการออกกาลังกาย อย่ใู นระดับสูงสอดคล้องกับ (Mayer,A. et al.,2019) การศกึ ษาในกลุ่มชาติพนั ธุซึ่งสวนใหญไม่ได้รับการศึกษา แตกลับมีความรูเกี่ยวกับการออกกาลังกายอยูในระดับความรูมากอาจเก่ียวกับไดรับความรูและขอมูลขาวสาร เกี่ยวกับการออกกาลังกายจากหนวยงานท่ีดูแลเก่ียวกับภาวะสุขภาพในชุมชนถึงแสดงใหเห็นถึงถึงการเขาถึง บรกิ ารทางสุขภาพทง้ั ทเ่ี ปนพ้นื ทห่ี างไกล 3. ด้านทัศนคติเกี่ยวกับการออกกาลังกาย จากตารางท่ี 8 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความ คิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก และพบว่ามีทัศนคติอยู่ในระดับดี ร้อยละ 71.4 ผลเนื่องจากทัศนคติเป็นดชั นชี ีว้ ่า บุคคลน้ันคิดและรู้สึกอย่างไรกับคนรอบข้าง วัตถุหรือสิ่งแวดล้อมตลอดจนสถานการณ์ต่างๆ โดยทัศนคติน้ันมี รากฐานมาจาก ความเชื่อที่อาจส่งผลถึงพฤติกรรมในอนาคตเหล่าน้ี ล้วนส่งผลให้ผู้สูงอายุมีทัศนคติในระดับดี สอดคล้องกับ (Mayer,A. et al.,2019) ผูสูงอายุสวนใหญมีทัศนคติต่อการออกกาลังกายอยู่ในระดับดี (x̄ =2.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายขอพบวาขอท่ีไดคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ การออกกาลังกายช่วยลดความเครียด (x̄ =2.99) การออกกาลงั กายเปนประจาทาให้รางกายสดช่ีนและคลายเครยี ด (x̄ =2.97) และการออกกาลังกาย เปนประจาชวยชะลอความเส่ือมของรา่ งกาย (x̄ =2.90) 4. ความสมั พันธ์ระหวา่ งปจั จยั นากับระดับพฤติกรรมการออกกาลังกาย ไดแ้ ก่ เพศ อายุ สถานภาพ สมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉล่ียต่อเดือน การมีโรคประจาตัว บทบาทหน้าที่ ความรู้ และทัศนคติ พบว่า เพศ อายุและการมีโรคประจาตวั มีความสมั พนั ธก์ ับพฤติกรรมการออกกาลงั กายของผูส้ ูงอายุอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ (Sangwornkarn, T.,Jumderm,A.,2017). ศึกษาพฤติกรรมการออกกาลังกายทเี่ ปรียบเทียบระหวางชาย วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 1 เดือน มกราคม – มิถุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

240 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุม่ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) และหญิง พบว่า การเปรยี บเทียบแรงจูงใจในการออกกาลังกายของกลุมตวั อยางระหวางเพศชายและเพศหญิง โดยรวมมีความแตกตางกัน และหากพิจารณารายดาน พบวา เพศหญิงมีแรงจูงใจในดานการแพทย มีคาเฉลี่ย มากที่สุด (Sangdaow,T, 2011) พบวาอายุตางกัน ทาใหแรงจูงใจในการออกกาลังกายแตกตางกันทุกดาน เนื่องจากความแตกตางของชวงอายุทาใหบุคคลมีความเขาใจและตระหนักในความสาคัญของการออกกาลัง กายตางกัน งานวิจัยพบวา อายุ 25 ป และ 26-35 ป มีแรงจูงใจมากกวาอายุ 35 ปขึ้นไป สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉล่ียต่อเดือน บทบาทหน้าที่ ความรู้ และทัศนคติไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ออกกาลังกายของผู้สูงอายุ 5. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเอ้ือกับระดับพฤติกรรมการออกกาลังกาย ได้แก่ สถานท่ีออกกาลัง กายบุคลากรเก่ียวกับการออกกาลังกายการบริการเก่ียวกับการออกกาลังกาย พบว่า สถานท่ีออกกาลังกาย บุคลากรเก่ียวกับการออกกาลงั กาย การบริการเก่ียวกับการออกกาลังกายไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ออกกาลังกายของผู้สูงอายุ 6. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสริมกับระดับพฤติกรรมการออกกาลังกาย ได้แก่ การได้รับการ สนบั สนุนจากครอบครวั /เพ่อื น/ชุมชนไมม่ ีความสัมพันธ์กบั พฤตกิ รรมการออกกาลังกายของผ้สู ูงอายุ ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการศกึ ษาไปใช้ 1. หน่วยงานต่างๆ ท่ีมีหน้าท่ีดูแลรับผิดชอบเก่ียวกับผู้สูงอายุ ควรมีการจัดกิจกรรมพัฒนาพฤติกรรม การออกกาลังกายท่ถี ูกต้อง โดยเนน้ ส่งเสรมิ ใหก้ ลุ่มเพศชาย ได้มโี อกาสเข้ารว่ มกิจกรรมใหม้ ากขน้ึ 2. หน่วยงานต่างๆ ท่ีมีหน้าท่ีดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ควรมีการจัดกิจกรรมท่ีให้ผู้สูงอายุกลุ่ม อื่น เช่น กลุ่มอายุตัง้ แต่ 70 ปีข้นึ ไป มสี ว่ นรว่ มเรียนรู้ในการพัฒนาพฤตกิ รรมการออกกาลังกายมากข้ึน 3. หนว่ ยบรกิ ารสขุ ภาพควรจัดกิจกรรมต่างๆ ใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกับเพศ และช่วงอายุของผู้สูงอายุ เพื่อให้เกดิ ความร่วมมือ และการสง่ เสริมสุขภาพได้อยา่ งมีประสิทธิภาพมากย่งิ ขนึ้ เอกสารอ้างอิง Bangkok Community Health Research Center. (2018).Exercise in the Eldely: (on line),Available:https:// www bangkokhealth.com/health/article (2021,10,May) Bloom BS. (1971). Hand book on formation and summative evaluation of student learning. New York: MeGraw-Hill Book Company. Foundation of Thai gerontology research and development institute (Tgri). (2014). Situation of the Thai elderly 2013: (Online), Available: http//www thaigri.org (2021,15, April) Foundation of Thai gerontology research and development institute (Tgri). (2016). Situation of the Thai elderly 2014: (on line), Available: http//www thaigri.org (2021,15, April) Foundation of Thai gerontology research and development institute (Tgri). (2017). SituatIon of the Thai elderly 2016: Nakhonpathom: Printery. (in Thai). วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

241 วารสารวชิ าการสขุ ภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยใู่ นฐานข้อมูล TCI กล่มุ ท่ี 2 (จนถงึ 31 ธนั วาคม 2567) Green, L.W. and M.W. Kreuter. (1991). Health promotion planning: An educational and environmental approach. Second Edition. Mayfield Publishing Company, Toronto. Lampangluang public health center. (2018).Elderly people in home-bound and bed bound group registration. (in Thai) Mayer,A. et al.(2019). Knowledge and attitudes about exercise among ethnic people living in Mae Salong Nok District Mae Fah Luang District Chiang Rai Province. Chiang Rai: Chiang Rai Rajabhat University Ministry of public health. (2018).Lampang Health data center.(online), Available: http://hdc service.moph.go.th (2018,5, August) Office of the National Economic and Social Delvelopment Council. (2019).Report of the population projections for Thailand 2010-2040(Revision).Bangkok.Amarin Printing & Publishing Public Co.,Ltd. Sangdaow,T. (2011). Motivation to Exercise at Clark Hatch Fitness Center in Nonthaburi Province Area in 2010. Master thesis, M.Ed. (Physical Education). Bangkok: Graduate School, Srinakharinwirot University. ( in thai) Sangwornkarn, T.,Jumderm,A.(2017).Motivation to Exercise of people in Chumphon Province. Chumphon: Institute of Physical Education Chumphon.( in thai) Saravitee,N. (2017).Causal Model of exercise behaviors of eldery based on theory of planned behavior. (thesis of master of science) : Chonburi Burapha University. (in Thai) Srisa-ard, B. (2003). Development of curriculum and curriculum research. Bangkok: Suweeriyasarn. (in Thai) Vanichbancha, K. (2011). Statistics Analysis: Statistics for Administration and research. (13th ed). Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. Yamane, Taro. (1973). Statistics: An Introductory Analysis Third edition. New York: Harper and Row Publication. วารสารวิชาการสขุ ภาพภาคเหนอื ปที ี่ 8 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

242 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ (Journal of Health Sciences Scholarship) ผ่านการรบั รองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567) Factors Predicting Quality of Life in Older People with a History of Falls Anurak sangchan*, Ekkarat Chuaintha*, Puangpet Meesiri*, Atchara Sittiruk* (Received February 18, 2021, 2021, Revised: May 3, 2021, Accepted: May 27, 2021) Abstract This correlational predictive research aimed to investigate the predictive power of quality of life in older adults with a history of falls for 6 months in the community of Mae Tha, Hang Chat and Muang districts, Lampang province. Participants were 120 older people who had a history of fall for 6 months. Data were collected by using questionnaires which consisted of 1) personal data; 2) Berg balance scale (BBS); 3) Barthel Activities of Daily Living: ADL); 4) Falls Efficacy Scale International (Thai FES-I); 5) Thai Geriatric Depression Scale15: GDS-15.; 6) World Health Organization Quality of Life Brief – Thai, WHOQOL-BREF-THAI). Descriptive statistics in terms of Frequency, percentage, mean, and standard deviation, and also Multiple Linear Regression were used for data analysis. The results revealed that 95% of the participants wereself-sufficientandsociable(x̄ = 80.16, S.D. = 16.35), 70% had good stability (x̄ = 45.59, SD = 13.39) 68.5 % had a high level of fear to falls (x̄ = 34.86, SD = 11.94), 61.7 % of them had no depression (x̄ = 4.4, SD =2.5) and 77.50% had moderate quality of life (x̄ = 80.16, SD = 16.35). 2) Factors significantly affecting quality of life of the participants were depression, fear of falls and ability to perform daily activities ( p< . 05) which these three variables joining together can predict quality of life of the participants with 27 % ( R2= . 2 7 , F= 14. 38, p < . 0 5, df= 119 ) . There were three variables, depression, fear of falling and ability to perform daily activities, that had standardized regression coefficients with a value of -.50 (Beta = -.50), -.24 (Beta = -. 24) and -.23 (Beta = -.23) respectively. The findings can be used to promote the elderly routine practice by provide knowledge on how to act for reduce fear of falls and organize related activities to reduce depression in older people. In addition, the program for reducing negative factors to quality of life in older people with a history of falls in the future should be provided. Keywords: Predicting factors; The elderly with a history of falls; Quality of life * Nurse Instructor, Boromarajjonani College of Nursing, Nakhon Lampang วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนือ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1

243 วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื (Journal of Health Sciences Scholarship) ผา่ นการรับรองคณุ ภาพของ TCI และอยู่ในฐานขอ้ มลู TCI กลมุ่ ที่ 2 (จนถึง 31 ธนั วาคม 2567) ปัจจัยทำนำยคุณภำพชวี ติ ผสู้ งู อำยุที่เคยมีประวตั หิ กล้ม อนุรกั ษ์ แสงจันทร์*, เอกรตั น์ เชอื้ อนิ ถา*, พวงเพชร มศี ริ ิ*, อจั ฉรา สทิ ธริ กั ษ*์ (วนั รับบทความ : 18 กุมภาพนั ธ์ 2564, วันแกไ้ ขบทความ : 3 พฤษภาคม 2564, วนั ตอบรับบทความ : 27 พฤษภาคม 2564) บทคดั ยอ่ การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบความสัมพันธ์เชิงทานาย ( Correlational predictive research) เพื่อ ศกึ ษาปจั จยั ทานายคุณภาพชีวติ ของผสู้ ูงอายุ ภายหลงั การหกล้มในระยะเวลา 6 เดือน ทอี่ าศยั ในชุมชน อาเภอ แม่ทะ อาเภอห้างฉัตร และอาเภอเมือง จังหวัดลาปาง กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่มีประวัติการหกล้ม ใน ระยะเวลา 6 เดือน จานวน 120 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามซึ่งประกอบไปด้วย 1) ข้อมูลท่ัวไป 2) แบบประเมินความสามารถในการทรงตัว 3) แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน 4) แบบประเมินความกลัวการหกลม้ 5) แบบประเมินภาวะซึมเศร้า และ 6) แบบประเมินคุณภาพชีวิต วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติเชงิ พรรณนา ไดแ้ ก่ ความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมท้ังสถิติวิเคราะห์ การถดถอยพหุคณู (Multiple Linear Regression) ผลการวจิ ัย พบวา่ 1) กลุ่มตัวอย่าง รอ้ ยละ 95 เปน็ ผสู้ งู อายทุ ่พี ึ่งพาตัวเองและเขา้ สังคมได้ (x̄= 80.16, S.D. = 16.35) ร้อยละ70 มีการทรงตัวท่ีดี (x̄ = 45.59, S.D. = 13.39) ร้อยละ 68.5 มีความกลัวการหกล้ม ในระดับมาก (x̄ = 34.86, S.D. = 11.94 ) ร้อยละ 61.7 ไม่มีภาวะซึมเศร้า (x̄ = 4.4, S.D. = 2.5) และร้อยละ 77.50 ของผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตระดับปานกลาง (x=̄ 80.16, S.D. = 16.35) ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิต ผู้สูงอายุท่ีเคยมีประวัติหกลม้ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จานวน 3 ตัวแปร คือ ภาวะซึมเศร้า ความ กลวั การหกลม้ และ ความสามารถในการปฏบิ ตั กิ ิจวัตรประจาวัน โดยตัวแปรท้ังสามรว่ มกันทานายคุณภาพชวี ิต ของผสู้ งู อายุทีเ่ คยมปี ระวัติหกล้ม ได้รอ้ ยละ 27 (R2= .27, F= 14.38, p < .05, df=119 ) เรยี งลาดบั จากมาก ไปนอ้ ยตามค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ดังนี้ ภาวะซึมเศร้า (Beta =-.50) ความกลัวการ หกล้ม (Beta =-.24 ) และความสามารถในการปฏิบัตกิ จิ วตั รประจาวัน (Beta = -.23) ผลการวิจัยสามารถนาไปใช้ในการส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน การให้ความรู้เกี่ยวกับการ ปฏิบัติตัวเพื่อลดความกลัวการหกลม้ และการจัดกิจกรรมเพ่ือลดภาวะซึมเศร้า รวมถึงการจัดโปรแกรมเพื่อลด ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อคณุ ภาพชีวิตขอผสู้ งู อายุทีเ่ คยมปี ระวัติหกลม้ ในอนาคต คาสาคัญ: ปัจจยั ทานายหกลม้ ; ผูส้ ูงอายุทีเ่ คยมีประวตั หิ กลม้ ; คณุ ภาพชีวิต * อาจารยพ์ ยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี นครลาปาง วารสารวชิ าการสุขภาพภาคเหนอื ปีท่ี 8 ฉบับที่ 1 เดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2564 Journal of Health Sciences Scholarship January-June 2021, Vol.8 No.1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook