ค่มู อื การเรยี นวชิ าภาษาไทย ๓ ระดบั ชนั ม.๒ จดั ทําโดย นายอนาวลิ มากหนู นางวาสนา อนิ ทวงศ์
คำนำ วิชำภำษำไทย เป็นวิชำพ้ืนฐำนสำหรับกำรเรียนรู้ของนักเรียน ซ่ึงถือว่ำเป็นรำยวิชำท่ีสำคัญ เน่ืองจำกภำษำไทยเป็นภำษำประจำชำติและใช้เป็นภำษำรำชกำร ดังนั้นกำรเรียนรู้วิชำภำษำไทย จึงถือเป็นส่ิงจำเป็นอย่ำงยิ่ง ซ่ึงในรำยวิชำภำษำไทยได้กำหนดสำระกำรเรียนรู้ไว้ทั้งหมด ๕ สำระ ได้แก่ กำรอ่ำน กำรเขียน กำรฟัง ดู และพูด หลักภำษำและกำรใช้ภำษำไทย และวรรณคดีวรรณกรรม ทุกสำระถือเป็นพื้นฐำนที่สำคัญสำหรับกำรเรียนรู้ในรำยวิชำอื่น ๆ และสำคัญต่อกำรใช้ชีวิตในอนำคต ของนกั เรียน หนังสือ “นำนำควำมรู้ คู่มือกำรเรียนวิชำภำษำไทย ๓ ระดับชั้น ม.๒” น้ี เป็นเอกสำร ประกอบกำรเรียนกำรสอนในรำยวิชำภำษำไทย ๓ (ท๒๒๑๐๑) สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษำ ชั้นปีท่ี ๒ โรงเรียนมหำวชิรำวุธ จังหวัดสงขลำ ซ่ึงเน้ือหำภำยในเล่มเป็นสำระควำมรู้ท่ีเป็นพ้ืนฐำน และใช้สำหรบั กำรศึกษำเพมิ่ เติมควำมรไู้ ด้ ซึ่งประกอบไปด้วยเนอ้ื หำสำระดังน้ี ๑. อ่ำนพินิจคิดพจิ ำรณ์ มีเนอื้ หำเก่ยี วข้องกับสำระกำรอ่ำน ๒. อักษรสำรจำรจำรึก มเี นือ้ หำเกย่ี วข้องกับสำระกำรเขียน ๓. ตรกึ ตรบั ทัศนำ วำจำเลศิ มีเนอ้ื หำเกีย่ วขอ้ งกบั สำระกำรฟงั ดู และพูด ๔. เพลินเพลิดกำรใชภ้ ำษำไทย มีเนอ้ื หำเกี่ยวขอ้ งกับสำระหลกั ภำษำและกำรใช้ภำษำไทย ๕. ท่องไปในแดนวรรณคดี มีเน้อื หำเกี่ยวข้องกบั สำระวรรณคดีและวรรณกรรม ทง้ั น้ี หวงั เป็นอยำ่ งยิ่งว่ำหนงั สือ “นำนำควำมรู้ คู่มือกำรเรียนวิชำภำษำไทย ๓ ระดับชั้น ม.๒” เล่มนี้ จะเปน็ ประโยชน์แก่นักเรียนในกำรศึกษำรำยวิชำภำษำไทย ๓ (ท๒๒๑๐๑) ช้ันมัธยมศึกษำปีที่ ๒ ต่อไป คณะผู้จดั ทำ
อา่ นพินิจคดิ พจิ ารณ์ สารบัญ ความรู้พื้นฐานการอา่ น หนา้ ๕ การอา่ นออกเสียงบทร้อยแก้ว หนา้ ๘ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง หนา้ ๑๑ การอ่านจับใจความสาคญั หนา้ ๒๒ ความสมเหตุสมผลของงานเขยี น หนา้ ๒๕ การอ่านวิเคราะหเ์ พ่ือประเมินคุณคา่ หนา้ ๒๗ อักษรสารจารจารึก ความรพู้ นื้ ฐานในการเขียน หน้า ๓๒ การคัดลายมือ หนา้ ๓๔ การเขยี นย่อความ หนา้ ๓๗ การเขียนบรรยายและพรรณนา หน้า ๔๒ การเขียนเรยี งความ หนา้ ๔๕ ตรึกตรบั ทศั นา วาจาเลิศ ความรพู้ น้ื ฐานการฟงั และการดู หน้า ๕๔ ความรพู้ ื้นฐานการพูด หนา้ ๕๙ การพดู สรปุ ความจากเรือ่ งท่ีฟังและดู หนา้ ๖๗ การพดู วิเคราะหแ์ ละวิจารณ์จากเรอื่ งทฟ่ี ังและดู หนา้ ๖๘ การพูดในโอกาสต่าง ๆ หน้า ๗๐ เพลนิ เพลิดการใชภ้ าษาไทย ประโยคในภาษาไทย หนา้ ๗๔ คาที่มาจากภาษาต่างประเทศ หน้า ๘๒ การแตง่ คาประพันธป์ ระเภทกลอนสุภาพ หนา้ ๙๐ ท่องไปในแดนวรรณคดี ความรู้ทั่วไปเก่ียวกับวรรณคดี หน้า ๙๖ โคลงภาพพระราชพงศาวดาร หน้า ๑๐๗ หลกั ศลิ าจารึก หลกั ที่ ๑ หน้า ๑๑๓ บทเสภาสามคั คีเสวก หนา้ ๑๑๙ บรรณานุกรม
ความรพู้ นื ฐานการอ่าน หนา้ ๕ การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแก้ว หนา้ ๘ การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง หนา้ ๑๑ การอ่านจบั ใจความ หนา้ ๒๒ ความสมเหตสุ มผลของงานเขยี น หนา้ ๒๕ การอ่านวเิ คราะหเ์ พอื ประเมนิ คณุ ค่า หนา้ ๒๗
๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ความรูพ้ น้ื ฐานในการอา่ น การอ่านที่ดีเกิดจากทักษะการฝึกฝนและการเรียนรู้ การอ่านเป็นการส่ือสารระหว่างผู้ส่งสารด้วย การเขียนกับผู้อ่าน โดยอาศัยตัวหนังสือเป็นสื่อ ผู้อ่านจึงเกิดความรู้ ความคิดและประสบการณ์ สามารถ นาความร้คู วามคิดและประสบการณ์เหล่าน้นั ไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ แต่ผลจากการอ่านท่ีผู้อ่านได้รับย่อมแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นความรู้เก่ียวกับการอ่านจะช่วยให้เกิด ประโยชน์ตอ่ ตวั ผูอ้ ่านได้ ซงึ่ ถอื เปน็ ทกั ษะสาคัญและเป็นพ้ืนฐานการเรยี นรตู้ ่อไปอกี ด้วย ประเภทของการอา่ น ๑. อ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อทาความเข้าในในเนื้อหาหรือตัวอักษรจากการเขียนของผู้เขียน ซง่ึ ไมไ่ ด้มีการเปลง่ เสยี งออกมา เปน็ เพยี งการทาความเข้าใจเฉพาะบคุ คลเท่านั้น ๒. อ่านออกเสียง เป็นทักษะข้ันสูงกว่าการอ่านในใจ ซึ่งจะต้องเปล่งเสียงออกมาเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ ความหมายหรือเนื้อหาที่ผู้อ่านกาลังอ่าน ซึ่งอาจจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านท่ีแตกต่างกัน เช่น อา่ น เพื่อถ่ายทอดความร้ทู างวชิ าการ การอ่านประเภทน้ีอาจจะคานึงเฉพาะความถูกต้องของภาษาในการอ่าน ออกเสียง โดยไม่จาเป็นจะต้องใช้อารมณ์หรือตีความเน้ือหาเพื่อถ่ายทอด ซ่ึงจะแตกต่างกับการอ่านเพื่อ ความเพลิดเพลิน หรือการอ่านเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ เช่น การอ่านนิทาน อ่านบทประพันธ์ เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ี ผอู้ า่ นจาเป็นจะต้องถา่ ยทอดอารมณ์ของการอา่ นเพื่อใหผ้ ฟู้ ังเข้าในเนื้อหามากยงิ่ ขึ้น เปน็ ต้น จุดมุ่งหมายในการอ่าน การรู้จุดมุ่งหมายในการอ่าน เป็นองค์ประกอบหน่ึงของทักษะการอ่านเร็ว และการอ่านเพ่ือได้ ประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี การท่ีผู้อา่ นรู้วา่ อา่ นเพอ่ื อะไร จะทาให้สามารถเลือกส่ือการอ่านได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และทาใหก้ ารอ่านมีสมาธิ จุดมุ่งหมายในการอ่านของแต่ละบุคคลอาจจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของบุคคล โดยท่ัวไป การอา่ นมีความมงุ่ หมายดงั น้ี ๑. อ่านเพื่อความรู้ เน้นการอ่านเร่ืองราวต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดความรู้ ซ่ึงการอ่านเพ่ือความรู้นี้ มีหลายลกั ษณะ เชน่ อ่านเพือ่ หาคาตอบ เช่น อ่านกฎระเบียบ คาแนะนา เป็นต้น อ่านเพื่อรู้ข่าวสารและข้อมูล เชน่ การอ่านหนงั สอื พมิ พ์ นิตยสาร เป็นตน้
๖เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๒. อ่านเพ่ือศึกษา เปน็ การอา่ นอย่างจริงจงั เช่น การอ่านตารา และหนังสอื วิชาการต่าง ๆ ๓. อ่านเพ่ือความคิด เป็นการอ่านเพื่อให้เข้าใจสาระของเนื้อเรื่องเป็นแนวทางในการริเร่ิมสิ่งต่าง ๆ ซ่ึงเป็นความคดิ อันไดป้ ระโยชน์จากการอา่ น ๔. อ่านเพ่ือวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นการอ่านเพ่ือความรู้อย่างลึกซ้ึง ทาให้สามารถแสดงความคิดเห็น จากเรอื่ งทีอ่ า่ นประกอบการใชเ้ หตผุ ลได้ เชน่ การอา่ นบทความ ขา่ ว เป็นตน้ ๕. อ่านเพ่ือความเพลดิ เพลิน เปน็ การอ่านเพื่อเปลย่ี นแปลงกิจกรรม เป็นการผ่อนคลาย เพื่อให้เกิด ความร่นื รมย์ การอา่ นชนิดน้ีไมไ่ ดจ้ ากดั วา่ อา่ นเอกสารชนดิ ใด ขึ้นอยู่กับความพอใจของผ้อู า่ นเป็นสาคัญ ๖. อ่านเพ่ือใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ เป็นการอ่านที่ไม่ได้มุ่งหวังส่ิงหน่ึงส่ิงใด โดยเฉพาะ เป็นการอ่านเม่ือมีเวลาว่างขณะรอคอยกิจกรรมอ่ืน ๆ การอ่านชนิดน้ีสามารถหยุดอ่านได้ทันที โดยไมท่ าลายความตอ่ เนอ่ื งหรือสมาธใิ นการอ่าน ลักษณะของนักอา่ นทด่ี ี การเป็นนักอ่านที่ดีน้ันย่อมให้ประโยชน์แก่บุคคลน้ันๆอย่างสูงสุด ซ่ึงก่อนที่จะเป็นนักอ่านท่ีดีได้ ผู้อา่ นควรมคี วามรเู้ ก่ียวกบั การอ่านเบอ้ื งต้นว่าตอ้ งมคี วามสามารถทางภาษา รู้คา รู้จัก ส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ รู้ว่าหนังสือประเภทใดควรใช้การอ่านอย่างไร รู้จักเลือกหนังสืออ่าน และรู้แหล่งของหนังสืออีกด้วย การมคี วามรเู้ รอื่ งเหลา่ นจี้ ะช่วยพฒั นาให้เป็นนักอ่านท่ดี ีได้ ซ่ึงสามารถสรปุ ลักษณะของนักอา่ นท่ดี ีได้ดงั นี้ ๑. มีความตง้ั ใจ หรอื มสี มาธิแนว่ แน่ในการอ่าน ๒. มีความอดทน สามารถอา่ นหนังสอื ไดใ้ นระยะเวลานานโดยไม่เบ่อื ๓. อา่ นไดเ้ ร็วและเขา้ ใจความหมายของคา ๔. มคี วามรู้พื้นฐานพอสมควร ทั้งด้านความรทู้ ่ัวไป ถ้อยคา สานวนโวหาร ฯลฯ ๕. มนี ิสัยจดบนั ทกึ รวบรวมความรู้ความคิดทไ่ี ดจ้ ากการอ่าน ๖. มคี วามจาดี สามารถจดจาข้อมลู ของเรอื่ งได้ ๗. มคี วามรูเ้ รือ่ งการหาข้อมูลจากหอ้ งสมุด เพราะจะชว่ ยประหยัดเวลาในการหาข้อมูล ๘. มวี จิ ารณญาณในการอ่าน สามารถแยกเน้อื หาข้อเท็จจริง เพื่อตดั สินความน่าเช่ือถือ หรือประโยชน์ ท่จี ะไดร้ ับจากการอา่ นได้อย่าเหมาะสม ๙. มมี ารยาทในการอ่าน ท้ังแบบการอ่านในใจและการอ่านออกเสยี ง
๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ มารยาทในการอ่าน ในการอ่านทั้งแบบอ่านในใจหรือการอ่านออกเสียง เราควรปฏิบัติตนในการอ่านให้เหมาะสม เพ่อื แสดงถึงความเป็นผ้มู ีมารยาททางสังคม โดยทวั่ ไปสามารถปฏิบัตไิ ดด้ ังนี้ มารยาทในการอา่ นโดยท่ัวไป ๑. มสี มาธใิ นการอา่ น อ่านอยา่ งต้งั ใจ ๒. นั่งอา่ นในทา่ ทางสบาย ตวั ตรง สภุ าพเพ่อื ใหเ้ ปน็ นิสัย ๓. หยิบจบั หนังสอื อย่างเบามอื ไมพ่ บั หรือขีดเขยี นหนังสือ ไมว่ า่ จะเป็นหนังสอื ส่วนตวั หรอื ส่วนรวม ๔. ไม่ฉีกส่วนใดสว่ นหนึง่ ของหนังสือ ๕. ไม่แยง่ หนังสอื ของผูอ้ ่นื มาอา่ น ๖. ไมท่ านขนมหรอื อาหารขณะอ่านหนังสือเพราะอาจทาใหห้ นังสอื เปรอะเป้ือนได้ ๗. ไมท่ ากิจกรรมอนื่ ๆ ระหวา่ งอ่านหนังสือ เพราะจะทาใหอ้ ่าน หนงั สอื ไดไ้ มเ่ ตม็ ที่ เช่น การฟงั เพลง การดโู ทรทศั น์ เป็นตน้ ๘. ไม่อา่ นเอกสารหรอื ขอ้ ความของผ้อู นื่ โดยไม่ไดร้ ับอนญุ าต ๙. เมอื่ อ่านหนงั สือเสรจ็ ควรเก็บไว้ใหเ้ ป็นท่ีเปน็ ทาง ๑๐. อ่านหนงั สอื ให้ถกู กาลเทศะ เชน่ ไมค่ วรอา่ นหนังสือขณะประชมุ เพราะแสดงถงึ ความไม่ใสใ่ จ ไมใ่ ห้เกียรติผ้พู ูด เป็นต้น มารยาทในการอ่านในใจ ๑. ไม่ออกเสยี งหรอื พูดคุยเสยี งดงั รบกวนผอู้ นื่ ๒. จดจ่อและมีสมาธิกบั เรอื่ งทีอ่ ่าน ๓. ไมแ่ สดงอาการหรือสรา้ งความราคาญใหก้ บั ผู้อน่ื มารยาทในการอา่ นออกเสียง ๑. อ่านเสยี งดังฟังชดั แต่ไม่ใช่การตะคอก ๒. อ่านออกเสยี งถกู ต้องตามอกั ขรวิธี คาถงึ ถงึ การเว้นวรรคตอน และความหมายของคา เพือ่ เล่ยี งความกากวมของภาษา ๓. ใช้นา้ เสียง ลลี าท่าทางประกอบการอ่านใหเ้ หมาะสม ๔. วางบคุ ลิกภาพในการอ่านเหมาะสม ไม่ยืนหลังค่อม สบสายตา ผู้ฟังบา้ งตามความเหมาะสม การแตง่ กายเรียบร้อย เป็นต้น
๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ ร้อยแก้ว เป็นรูปแบบการเขียนชนิดหนึ่งของภาษาไทย โดยทั่วไปมักใช้ภาษาเรียบง่าย และไม่มี รูปแบบกาหนดตายตัวในการเขียน มีเพียงการคานึงถึงความถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาเท่านั้น โดยสาคัญ จะม่งุ เน้นทีจ่ ุดมุ่งหมายในการเขยี นมากกวา่ การคานึงถึงรูปแบบการเขยี น การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว ถือว่าเป็นการอ่านออกเสียงงานเขียนประเภทร้อยแก้ว โดยการเปล่งเสียง น้ันจะต้องอ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธีทางภาษาไทย คานึงถึงวรรคตอน และความหมายของคาเป็นหลัก เพ่ือป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้ฟังและเกิดความกากวมทางภาษาได้ นอกจากนี้ ยังใช้น้าเสียง หรือจงั หวะเหมือนกับการพูดปกติ เชน่ การอ่านขา่ ว การอา่ นเอกสารวชิ าการ การกล่าวเปดิ พธิ ตี ่าง ๆ เป็นต้น แต่ในบางกรณีอาจจะใช้การถา่ ยทอดอารมณผ์ า่ นน้าเสยี งหรือจังหวะในการอ่าน เพม่ิ มากข้ึน เพอ่ื ให้ผอู้ ่านเกิดอารมณ์คลอ้ ยตามเรอ่ื งราวท่ีได้รับฟังได้ หลักเกณฑ์ในการอ่านออกเสยี งรอ้ ยแกว้ ๑. ก่อนอ่านควรศึกษาเรื่องท่ีอ่านให้เข้าใจโดยศึกษาสาระสาคัญของเร่ืองและข้อความทุกข้อความ เพอื่ แบ่งวรรคตอนในการอา่ นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๒. อ่านออกเสียงดังพอเหมาะกับสถานท่ีและจานวนผู้ฟัง ให้ผู้ฟังได้ยินทั่วถึงกัน ไม่ดังหรือค่อย จนเกนิ ไป ๓. อ่านให้คล่อง ฟังร่ืนหูและออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ชัดถ้อยชัดคา โดยเฉพาะตัว ร ล หรือ คาควบกลา้ ตอ้ งออกเสยี งให้ชดั เจน สงิ่ ที่ควรคานงึ ในประเด็นนี้คอื ๓.๑ การอา่ นออกเสียง ร ล และ ฬ บะ-รา-ลี ๓.๒ การอา่ นออกเสยี งควบกล้า ปะ-รมั -ปะ-รา ๓.๓ การอา่ นอักษรนา ตะ-ระ-นี ๓.๔ การอา่ นอกั ษรเรยี งพยางค์ เช่น บราลี อ่านว่า ปรมั ปรา อ่านวา่ ตรณี อา่ นว่า
๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๓.๕ การอ่านตามหลกั และอ่านตามความนยิ ม เช่น พฤหัสบดี อ่านวา่ พรฺ ึ-หัด-สะ-บอ-ดี หรอื พะ-ร-ึ หดั -สะ-บอ-ดี พันธกรณี อ่านว่า พัน-ทะ-กะ-ระ-นี หรือ พัน-ทะ-กอ-ระ-นี พชื มงคล อา่ นว่า พดื -ชะ-มง-คน หรือ พืด-มง-คน ๓.๖ การอา่ นตวั ยอ่ ตวั เลข หรอื เครื่องหมายต่าง ๆ เช่น ร.ศ. อา่ นว่า รัด-ตะ-นะ-โก-สนิ -สก ๑๐๐๑ อ่านว่า พนั -เอ็ด หรอื หน่งึ -พัน-เอด็ ๓๘.๔๓ อา่ นวา่ สาม-สิบ-แปด-จุด-ส่ี-สาม ในวันหน่งึ ๆ อา่ นว่า ไน-วัน-หนึง่ -วัน-หน่ึง เสด็จฯ อ่านวา่ สะ-เด็ด-พระ-ราด-ชะ-ดา-เนนิ ๓.๗ การอ่านวิสามัญนามหรอื นามเฉพาะ ในหวั ข้อน้จี าเป็นจะตอ้ งใชป้ ระสบการณ์ ประกอบกับความรขู้ องผ้อู า่ นเขา้ มามีส่วนรว่ มในการอา่ นด้วย เชน่ เทวราชมเหศวร อ่านว่า เท-วะ-ราด-มะ-เหด (ช่อื ประตูในเขตพระบรมมหาราชวัง) เขวาสินรนิ ทร์ อา่ นวา่ เขวฺ า-สิ-นะ-รนิ (ชอ่ื อาเภอในจงั หวดั สุรนิ ทร์) หนังสืออ่านอย่างไรเขียนอย่างไร ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นหนังสือท่ีพิมพ์ออกมาจากราชบัณฑิตยสภา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และภายในหนังสือ ยังอธบิ ายเร่อื งการอ่าน การเขียนท่ีถูกต้องของคาภาษาไทย ไว้อกี ด้วย ควรค่าแก่การอ่านและการศกึ ษา
๑๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๔. อ่านออกเสียงให้เป็นเสียงพูดอย่างธรรมชาติที่สุด เน้นเสียงและถ้อยคาตามน้าหนักความสาคัญ ของใจความ ใชเ้ สียงและจงั หวะใหเ้ ป็นไปตามเนอ้ื เรือ่ ง เช่น ดุ ออ้ นวอน จริงจัง โกรธ ๕. อ่านออกเสยี งให้เหมาะกับประเภทของเรอื่ ง รู้จักใส่อารมณ์เหมาะสมตามเน้ือเรื่อง ขณะท่ีอ่านควร สบสายตาผูฟ้ ังในลกั ษณะทเ่ี ปน็ ธรรมชาติ ๖. การอ่านในทป่ี ระชมุ ตอ้ งจบั หรือถอื บทอ่าน ควรถือและยืนหลังตรง วางบุคลิกภาพให้เหมาะสม ขอ้ ควรคานึงในการอา่ นบทร้อยแกว้ ๑. เข้าใจสาระสาคญั ของเรือ่ ง อารมณ์ และวัตถุประสงค์ของผ้เู ขียนท่ตี ้องการสื่อถงึ ผู้อ่าน ๒. อ่านคาภาษาไทยใหถ้ กู ตอ้ งตามอกั ขระวธิ ี ชดั วรรค ชัดถ้อย ชัดคา ๓. แบง่ วรรคตอนในการอ่าน และอ่านเครอื่ งหมายวรรคตอนใหถ้ กู ตอ้ ง ๔. มีสมาธิในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตก อ่านเพิ่ม หรืออ่านผิดบรรทัด กวาดสายตาจากซ้ายไปขวา อ่านไปอกี บรรทดั ไดอ้ ยา่ ว่องไวและแมน่ ยา ๕. อ่านด้วยน้าเสียงที่เป็นธรรมชาติ เหมือนเสียงพูด มีลีลาและอารมณ์ตามเน้ือเรื่องที่อ่าน เน้นคา สาคญั และคาทีต่ อ้ งการใหเ้ กดิ ภาพพจน์ ๖. อ่านออกเสียงดังพอประมาณ ไม่ตะโกน หรือเสียงเบาเกินไป ถ้าอ่านออกเสียงผ่านไมโครโฟน ควรยืนให้สงา่ งาม ปากหา่ งจากไมโครโฟนพอเหมาะ เพอ่ื มใิ ห้เสียงหายใจเข้าไมโครโฟน ๗. ในระหว่างท่ีอ่านควรกวาดสายตาตามตัวอักษร สลับกับการเงยหน้าข้ึนสบตาผู้ฟัง อย่างเหมาะสม และเป็นธรรมชาติ สญั ลักษณใ์ นการอ่านออกเสียงร้อยแกว้ / ใช้สาหรบั แบง่ วรรคตอนเพ่ือหยุดพักหายใจ // ใชส้ าหรบั วรรคตอน โดยจะเวน้ วรรคจังหวะนานกวา่ แบบท่ี ๑ ___ ใช้สาหรับขดี เส้นเพอ่ื ยา้ ใหล้ งเสียงหนัก ใชส้ าหรบั วงกลมคาทอี่ า่ นยากหรือคาทค่ี วรระวัง
๑๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ร้อยกรอง เป็นงานเขียนรูปแบบหนึ่งของไทย โดยอาจจะใช้คาเรียกว่า “บทประพันธ์” ก็ได้ ซึ่งเป็น การเขียนที่มีรูปแบบกาหนดแน่ชัด มีฉันทลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเภท มีการคานึงการใช้คา และความไพเราะมากกว่างานเขยี นประเภทร้อยแก้ว โดยปกติการอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง สามารถอ่านได้ ๒ ลักษณะคือ การอ่านทานองธรรมดา และการอ่านทานองเสนาะ การอ่านทานองธรรมดา เป็นการอ่านโดยใช้เสียงตามปกติ แต่จะต้องคานึงจังหวะในการแบ่ง วรรคตอนการอา่ นตามรปู แบบของฉันทลักษณเ์ ทา่ นน้ั โดยไมจ่ าเป็นจะตอ้ งใสอ่ ารมณ์หรือลลี าในการอ่าน การอา่ นทานองเสนาะ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า “วิธีการ อา่ นออกเสยี งอย่างไพเราะตามลลี าของบทร้อยกรองประเภทโคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน” การอ่านร้อยกรองให้มีความไพเราะและได้อรรถรสนั้น ผู้อ่านต้องออกเสียงเป็นทานองให้มีเสียงสูง เสยี งกลาง เสียงต่า ส้ัน ยาว หนัก เบาตามถ้อยคาและจังหวะของคาประพันธ์แต่ละประเภท ต้องใช้ทั้งศาสตร์ และศลิ ป์ เพอื่ ส่ือถอ้ ยคา ทานองและลลี าอารมณ์ใหไ้ ด้สุนทรียรสอย่างแทจ้ รงิ การใชศ้ าสตรใ์ นการอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง การใช้ศาสตร์ หมายถึง สาระความรู้ที่ผู้อ่านควรทราบก่อนการอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ให้เกดิ ความไพเราะและถูกต้องตามหลกั การอา่ น ผอู้ า่ นควรมีความรใู้ นด้านตอ่ ไปนี้ คือ ๑. ฉันทลักษณ์ ผู้อ่านต้องสามารถบอกได้ว่าคาประพันธ์ท่ีจะอ่านเป็นคาประพันธ์ชนิดใด มีชื่ออะไร เพราะคาประพันธ์ประเภทเดียวกัน แต่ต่างช่ือกัน มีทานองแตกต่างกัน เช่น คาประพันธ์ประเภทกาพย์ มีกาพย์ยานี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ และกาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘ เปน็ ต้น ๒. ทานอง หมายถึง การออกเสียงสูง เสียงต่า ให้มีจังหวะและออกเสียงส้ันหรือยาวตามลักษณะ คาประพนั ธ์แต่ละชนดิ ๓. อักขรวิธี ผู้อ่านควรออกเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ให้ถูกต้องและชัดเจนตามอักขรวิธี โดยเฉพาะคาทมี่ เี สียงคลา้ ยกนั เช่น เสยี ง ร ล ท ต ป พ และอกั ษรควบ เป็นต้น
๑๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๔. การอา่ นคา ผอู้ า่ นควรมคี วามรดู้ า้ นการออกเสยี งคาในคาประพันธ์ ซงึ่ มี ๓ ลักษณะ คือ ๔.๑ การอ่านคาตามทรี่ าชบณั ฑิตยสถานกาหนดใหอ้ า่ น เช่น จกั จั่น อ่านวา่ จกั -กะ -จ่นั พรหมโลก อ่านว่า พรฺ ม -มะ – โลก ๔.๒ การอา่ นคาแบบเอื้อสมั ผสั ใน เพ่ือให้ไดร้ สสมั ผัสคา เช่น คดิ ถงึ บาทบพติ รอดิศร อ่านวา่ อะ – ดดิ – สอน สนิ สมทุ รสุดคิดถงึ บดิ า อ่านว่า บิด – ดา ๕. เสียงวรรณยุกต์ ผู้อ่านควรรู้ว่าแต่ละคาท่ีอ่านเป็นเสียงวรรณยุกต์อะไร โดยต้องมีความรู้เร่ือง ไตรยางศ์เปน็ พืน้ ฐานด้วย อกั ษรสูงและอกั ษรกลาง สามารถผนั ไดต้ รงเสียงวรรณยุกต์ทก่ี ากับ เชน่ ข่ี เป็นเสยี งวรรณยกุ ต์เอก ป้า เป็นเสยี งวรรณยกุ ตโ์ ท สว่ นอกั ษรต่าผนั ไมต่ รงเสียงวรรณยุกต์ เชน่ ค่ี เปน็ เสยี งวรรณยกุ ต์โท ช้า เป็นเสียงวรรณยกุ ต์ตรี เสยี งวรรณยกุ ต์ทสี่ าคญั ในการอา่ นทานองเสนาะ คือเสยี งจตั วาและเสียงตรี ๑. เสียงจัตวา หากเสียงจัตวาที่อยู่ท้ายวรรคของคาประพันธ์ทุกประเภท ต้องใช้ศิลปะอ่าน ใหเ้ สียงสงู เชน่ สกั วาดาวจระเข้ก็เหหก ศีรษะตกหนั หางขึ้นกลางหาว คาวา่ หาว เปน็ เสียงวรรณยกุ ต์จัตวา ๒. เสียงตรี โดยเฉพาะในการอา่ นคาประพนั ธ์ประเภทโคลงส่ีสภุ าพ เช่น เขาขันคคู คู่ ู้ เคยี งสอง เยื้องย่างนางยงู ทอง ทอ่ งทอ้ ง ทวิ ทุ้งทุ่งทุงมอง มัจฉพราศ เทาเทา่ เท้ายางหย้อง เลียบลม้ิ รมิ ธาร คาว่า คู้ เยือ้ ง ท้อง ท้งุ เทา้ และลมิ้ เปน็ คาเสยี งวรรณยุกตต์ รี ควรออกเสียงให้ตรงเสยี ง ๖. จังหวะ คาประพันธ์แต่ละประเภทแบ่งเป็นวรรค ๆ แต่ละวรรคมีจังหวะการอ่านแตกต่างกันไป ตามปกติ จงั หวะหน่งึ ๆ แบง่ คาไม่เกิน ๓ คา เช่น ๖.๑ กาพย์ยานี ๑๑ แบ่งจงั หวะเปน็ ๒–๓ ๓–๓ OO / OOO OOO / OOO ยูงทอง ย่องเยอ้ื งย่าง รารางชาง ชา่ งฟา่ ยหาง ปากหงอน ออ่ นสาอาง ชา่ งราเลน่ เต้นตามกัน ๖.๒ กาพย์ฉบัง ๑๖ แบ่งจังหวะเปน็ ๒–๒–๒ ๒–๒ กข กกา วา่ เวียน หนนู ้อย ค่อยเพยี ร อ่านเขียน ผสม กมเกย
๑๓เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๗. ลีลา อารมณ์ รสคาและรสความ หมายถึง การออกเสียงให้ได้อารมณ์ตามถ้อยคาในคาปะพันธ์ ทอ่ี า่ น เชน่ อารมณ์ ตืน่ เต้น ตกใจ โกรธ รัก อ้อนวอน อ่อนโยน และเยาะเย้ย เปน็ ต้น ดังตวั อย่าง บทเศรา้ ลูกกแ็ ลดูแมแ่ มด่ ูลกู ต่างพนั ผูกเพียงว่าเลือดตาไหล สะอื้นรา่ อาลาดว้ ยอาลยั แล้วแขง็ ใจจากนางตามทางมา (ขนุ ชา้ งขุนแผน : สนุ ทรภู่) บทโกรธ พระโยคชี ี้หนา้ ว่าอเุ หม่ ยงั โวเ้ ว้วนุ่ วายอตี ายโหง เพราะหวงผวั มัวเมาเฝ้าตะโกรง ว่ากูโกงกต็ กนรกเอง (พระอภยั มณี : สนุ ทรภู่) ศิลปะการใชเ้ สียงในการอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรอง ผู้อ่านควรศึกษาและฝึกฝนศิลปะการใช้เสียงที่จะช่วยให้การอ่านทานองเสนาะมีความไพเราะ น่าฟัง มีดงั นี้ ๑. การใช้ศิลปะดา้ นเสยี ง ๑.๑ ระดับเสียง สามารถออกเสยี งสงู และต่าได้ คาประพันธ์แต่ละประเภทมีลักษณะการออก เสียงสงู ตา่ ตา่ งกนั ผู้อา่ นจงึ ต้องจดจาและแยกเสียงสูงต่าอยา่ งแม่นยา ๑.๒ การออกเสียงแบบลีลาต่าง ๆ ท่ีช่วยให้ได้อรรถรสและเข้าถึงอารมณ์ต่าง ๆ การออก เสียงทสี่ าคญั มีดงั นี้ การเออ้ื นเสยี ง เปน็ การออกเสยี งทีไ่ ม่มถี ้อยคา แตใ่ ช้เสียงเปลา่ เปน็ ทานองลากเสียงใหย้ าวออกไปไมข่ าดตอน เพ่ือเช่ือมรอ้ ย ถ้อยคาการอา่ นให้ต่อเนอ่ื งกนั ไมท่ าให้ท่วงทานองขาดจังหวะ หรือขาดหายเป็นชว่ ง ๆ การโหนเสยี งสงู เป็นการร้องคาทา้ ยวรรคที่มเี สยี งจตั วา ด้วยลีลาท่ตี ่อเน่อื งจากเสียงสงู ขน้ึ ไปจะทาให้การขบั ร้อง มีความไพเราะนุ่มนวลยงิ่ ข้ึน การทอดเสียง เป็นการผอ่ นจังหวะให้ชา้ หรือเบาลง อาจเรยี กวา่ การทอดจังหวะ หรือการถอนจงั หวะ โดยการผอ่ นระบายลมหายใจจนหมดในช่องท้อง ส่วนมาก มักทอดเสยี งวรรคสุดท้ายตอนจบของคาประพนั ธ์
๑๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การหลบเสยี ง เปน็ การหักกระแสเสยี งกลับในกรณที ใ่ี ช้ ออกเสียงสงู แล้วหลบไปออกเสียงต่าผอู้ ่านต้องรจู้ ัก ออกเสียง อยา่ ใหเ้ พ้ียน หรอื หลงทานอง การครน่ั เสียง เป็นการทาให้สัน่ เสยี งหรอื มีลกู คอ ทาใหก้ ลา้ มเน้อื ในกล่องเสียงเคล่ือนไหวเปน็ เสยี งพล้ิวข้ึนลง เป็นคลื่น มกั ใชใ้ นกรณที ต่ี อ้ งการเน้นความรสู้ กึ หรือให้ เหน็ ภาพชัดเจนข้นึ การครวญเสียง เป็นการทาเสียงใหฟ้ งั ดูเศรา้ ครวญครา่ หรืออาลัยอาวรณ์ ควรอา่ นออกเสยี งชา้ มลี ลี าแบบการคร่ันเสยี ง การกระแทกเสยี ง เปน็ การออกเสยี งคาใหห้ นกั กว่าปกติ มจี ังหวะเรว็ มกั ใช้แสดงอารมณโ์ กรธ ตน่ื เตน้ การตอ่ สู้ หรอื บททีแ่ สดงความรนุ แรงของธรรมชาติ การรวบคา เป็นการรวบเสียงของการอ่านคาให้กระชับ โดยส่วนมากมกั ใชร้ วมคาท่เี ป็นสระเสียงสั้น ให้ออกเสียงก่ึงเสียง เทา่ นน้ั เพือ่ รกั ษาทานองหรือจงั หวะในการอา่ นเอาไว้ ๒. การใชศ้ ิลปะดา้ นทานอง การอ่านออกเสยี งบทร้อยแกว้ หรือการอา่ นทานองเสนาะ แบ่งการใชท้ านองเป็น ๒ ประเภท คือ ๒.๑ ทานองตามฉันทลักษณ์ คือ กลอน กาพย์ โคลง ร่าย และฉันท์ มีลักษณะแตกต่างกัน ผู้อ่านจึง ควรจาทานองของคาประพนั ธ์ โดยหาบทตน้ แบบไว้สาหรับเทียบเสยี งเทยี บทานอง ๒.๒ ทานองหลากลีลา หมายถงึ การใชท้ ว่ งทานองอื่น ๆ ใส่ในคาประพันธ์ เช่น ทานองเพลงไทยเดิม (เทพทอง ลาวครวญ กราวนอก มอญดูดาว ฯลฯ) ทานองเพลงพื้นบ้าน (หนังตะลุง โนรา เพลงกล่อมเด็ก ลิเก แหล่ เพลงฉ่อย เพลงขอทานเพลงเกี่ยวข้าว เพลงพวงมาลัย ฯลฯ) ทานองเสภา ทานองหุ่นกระบอก ทานอง เหเ่ รอื ทานองโอเ้ อว้ ิหารราย เปน็ ตน้
๑๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ประโยชนข์ องการอา่ นทานองเสนาะ ๑. ช่วยให้จดจาคาประพันธ์ในวรรณคดีต่าง ๆ ได้ดีข้ึน โน้มน้าวใจและสืบสานวรรณคดีให้แก่เยาวชน ได้อนุรักษไ์ ว้ ๒. ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจกวีนิพนธ์และการอ่านทานองเสนาะมากข้ึน เร้าความสนใจด้าน การเรยี นวรรณคดี ๓. ช่วยให้ได้รับรสไพเราะของบทกวี อรรถรสของการสรรคาในคาประพันธ์ประเภทต่าง ๆ ทาให้เกิด ความซาบซ้ึงและเพลิดเพลนิ ใจ ๔. ช่วยเสริมการแต่งคาประพันธ์ร้อยกรองให้ไพเราะขึ้น เพราะรู้ได้จากการออกเสียงคาที่ใช้เป็นบท อา่ นวา่ คาใดอา่ นไดไ้ พเราะบ้าง ๕. นาไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อ่านบทอาศิรวาทในโอกาสสาคัญต่าง ๆ อ่านหรือประกวด ทานองเสนาะ ๖. ชว่ ยจรรโลงใจใหม้ องโลกในแงด่ ี จิตใจอ่อนโยนและปลูกฝังคา่ นยิ มความเปน็ ไทยใหแ้ กเ่ ยาวชน บทอาขยาน บทอาขยาน เป็นบทท่องจาของภาษาไทย ที่ว่าด้วยเรื่องเก่ียวกับการใช้คาให้ถูกต้อง ตัวอย่าง โคลงกลอนต่าง ๆ บทอาขยานบางบทยังได้สอดแทรกข้อคิดและคติสอนใจเอาไว้ด้วย โดยท่ัวไปบทอาขยาน อาจจะใช้สาหรับการอ่านแบบร้อยแก้วหรือการอ่านแบบร้อยกรองก็ได้ หากมีการใส่ท่วงทานองหรือจังหวะ เพอ่ื เพ่ิมความไพเราะ อาจจะเรยี กอีกชอื่ หน่ึงว่า “ทานองเสนาะ” วิธีการอา่ นบทอาขยาน การอ่านบทอาขยานส่วนใหญ่เป็นการอ่านออกเสียง คือ ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ ในขณะท่ีใช้ สายตากวาดไปตามตัวอักษร ยึดหลักการอ่านออกเสียงเหมือนหลักการอ่านท่ัวไป เพ่ือให้การอ่านออกเสียง มีประสทิ ธภิ าพควรฝกึ ฝน ดงั น้ี ๑. กวาดสายตาจากคาต้นวรรคไปยังท้ายวรรค และเคลื่อนสายตาไปยังวรรคถัดไปอย่างรวดเร็ว โดยไมต่ อ้ งสา่ ยหนา้ ตามไป เพ่ือเปน็ การอา่ นลว่ งหนา้ ทาใหก้ ารอา่ นออกเสียงตอ่ เนือ่ งกนั ไปโดนไม่สะดดุ ซะงัก ๒. ฝึกเปล่งเสียงให้ดังพอประมาณโดยพิจารณาถึงกลุ่มผู้ฟังและสถานท่ี ควรบังคับเสียง เน้นเสียง ปรับระดับเสยี งสูง - ตา่ ให้สอดคล้องกับจังหวะลีลา ทว่ งทานอง และความหมายของเนื้อหาท่อี า่ น ๓. อ่านด้วยเสียงท่ีชัดเจน แจ่มใส ไพเราะ ถูกต้องตามหลักการอ่านคาประพันธ์ชนิดน้ัน ๆ และแบ่ง วรรคตอนหรอื เขา้ ใจฉันทลกั ษร์ของบทประพนั ธ์ เปลง่ เสยี งจากลาคอโดยตรงดว้ ยความม่ันใจ ๔. ควรทรงตวั และรักษาอากัปกิรยิ าใหถ้ กู วธิ ี สบตากับคนฟงั เป็นระยะ ๆ ๕. อ่านออกเสยี งให้ถูกอกั ขรวธิ ีหรือความนยิ ม
๑๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การอา่ นออกเสยี งโคลงสี่สุภาพ โคลง คือ ลกั ษณะการแตง่ คาประพันธไ์ ทยชนดิ หน่ึง มีมาตงั้ แตส่ มยั อยุธยา สันนิษฐานว่ารับเข้ามาจาก อินเดีย โดยทั่วไปโคลงมีหลายชนิด ซ่ึงสามารถแบ่งเป็น โคลงสุภาพ โคลงด้ันและโคลงโบราณ ในแต่ละชนิด ก็จะมีการแบ่งย่อยลงไปได้อีกหลายชนิด เช่น โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงจัตวาทัณฑี เปน็ ต้น ฉนั ทลกั ษณ์โคลงสี่สุภาพ โคลงสีส่ ุภาพบทหนงึ่ มี ๔ บาท แตล่ ะบาทประกอบดว้ ย ๒ วรรค คือ วรรคหน้า ๕ คา วรรคหลัง ๒ คา ยกเว้นบาทที่ ๔ ที่มีวรรคหลัง ๔ คา นอกจากน้ีในบาทท่ี ๑ และบาทท่ี ๓ อาจมีสร้อยคาได้อีกบาทละ ๒ คา โคลงสส่ี ภุ าพบงั คบั คาเอก ๗ คา คาโท ๔ คา สัมผัสโคลงส่ีสุภาพได้แก่ คาสุดทา้ ยของบาทท่ี ๑ (ไมน่ ับคาสร้อย) ส่งสัมผัสไปยังคาท่ี ๕ ของบาทที่ ๒ และบาทที่ ๓ คาสดุ ทา้ ยของบาทท่ี ๒ ส่งสมั ผสั ไปยงั คาท่ี ๕ ของบาทที่ ๔
๑๗เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ คาศัพทท์ ี่ควรรเู้ กยี่ วกับโคลงสส่ี ุภาพ ๑. คาสภุ าพ คอื คาท่ไี ม่มวี รรณยกุ ต์ปรากฏใช้ในคานั้น ๆ หรือคาท่ีใช้เรียกเป็นคาประพันธ์ท่ี มีลกั ษณะบังคบั ชัดเจน เชน่ กลอนสุภาพ โคลงสภุ าพ รา่ ยสุภาพ ลิลิตสภุ าพ ฯลฯ ๒. คาเอก คือ ลักษณะบังคับทใ่ี ชใ้ นคาประพันธ์ประเภทโคลง ซึ่งยึดเอารูปวรรณยุกต์เอกเป็น หลกั แตห่ ากไมส่ ามารถหาคาเอกมาใช้ได้ ใหอ้ นโุ ลมคาตายหรือคาเอกโทษได้ ๓. คาโท คือ ลักษณะบังคับที่ใช้ในคาประพันธ์ประเภทโคลง ซึ่งยึดเอารูปวรรณยุกต์โทเป็น หลัก แต่หากไมส่ ามารถหาคาโทมาใช้ได้ ให้อนโุ ลมคาโทโทษได้ ๔. คาตาย คือ คาท่ีประกอบด้วยสระเสียงส้ันไม่มีรูปของตัวสะกดหรือคาท่ีมีตัวสะกดมาตรา แมก่ ก แม่กดและแม่กบ เชน่ มะระ กาบ เขยี ด ทรุดโทรม เป็นตน้ ๕. คาเอกโทษ คือ คาที่ใช้วรรณยุกต์เอกแทนวรรณยุกต์โท ซ่ึงใช้ในรูปความหมาย ท่เี ปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เชน่ คาเอกโทษของคาว่า ข้า คอื ค่า หรอื คาเอกโทษของคาว่า เขา้ คอื เคา่ ฯลฯ ๖. คาโทโทษ คือ คาที่ใช้วรรณยุกต์โทแทนวรรณยุกต์เอก ซ่ึงใช้ในรูปความหมาย ทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น คาโทโทษของคาวา่ เท่า คือ เถา้ หรอื คาโทโทษของคาวา่ หงา้ ย คอื งา่ ย ฯลฯ ๗. คาสร้อย คือ คาที่ใช้เติมหลังคาประพันธ์ที่สามารถเติมคาสร้อยได้ โดยคาสร้อยจะ ประกอบไปด้วย ๒ คา คือ คาหน้า ซึ่งเป็นคาที่มีความหมาย มักเป็นคาท่ีมีความหมายสืบเน่ืองจากก่อนหน้า และคาหลงั ซึง่ เป็นคาทไ่ี ม่มคี วามหมายชัดเจนหรือเป็นเพยี งคาท่ีใช้เติมในลักษณะบ่งบอกความหมายโดยกว้าง เท่าน้ัน ต้ังแต่ในสมัยโบราณคาสร้อยตัวหลังนี้มีเพียง ๑๘ คาเท่านั้น เช่น พ่อ (นิยมใช้เติมเมื่อกล่าวถึงผู้ชาย) แม่ (นิยมใช้เติมเม่ือกล่าวถึงผู้หญิง) นา (มีความหมายว่า ดังนั้น) เทอญ (มีความหมายว่าขอให้สาเร็จ) ฤๅ (มีความหมายในเชิงการตง้ั คาถาม) แล (มคี วามหมายวา่ ตามนัน้ ) ฯลฯ บทตัวอย่าง ลาบาง พพี่ ร้อง จากมามาลวิ่ ลา้ เมียงม่าน มานา บางย่เี รือราพลาง คล่าวนา้ ตาคลอ เรอื แผงชว่ ยพานาง (นริ าศนรนิ ทร์ : นายนรินทรธเิ บศร์ (อิน)) บางบ่รับคาคล้อง เสียงลือเสยี งเล่าอ้าง อนั ใด พีเ่ อย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพห่ี ลบั ใหล ลืมต่ืน ฤาพี่ สองพ่ีคดิ เองอา้ อยา่ ได้ถามเผือ (ลลิ ิตพระลอ : ไม่ปรากฏผู้แต่ง)
๑๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การอา่ นออกเสยี งโคลงสสี่ ุภาพ ๑. อ่านทอดเสียงใหต้ รงตามจังหวะของแต่ละวรรค วรรคหน้าแต่ละบาทมี ๒ จังหวะ จังหวะ ละ ๒ คา และ ๓ คา วรรคหลังบาทท่ี ๑ และบาทท่ี ๓ มี ๑ จังหวะ เป็นจังหวะ ๒ คา ถ้ามีคาสร้อยก็เพ่ิมอีก ๑ จังหวะ เปน็ จังหวะ ๒ คา วรรคหลังบาทท่ี ๒ มี ๑ จังหวะ เปน็ จังหวะ ๒ คา วรรคหลงั บาทท่ี ๔ มี ๒ จงั หวะ จังหวะละ ๒ คา ๒. คาทา้ ยวรรคท่ีใช้คาเสียงจตั วา ตอ้ งเอ้อื นเสียงใหส้ ูงเป็นพิเศษ ตามปกติโคลงส่ีสุภาพที่แต่ง ถูกตอ้ งและไพเราะ ใช้คาเสยี งจัตวาตรงคาทา้ ยของบาทท่ี ๑ หรือคาท้ายบท ๓. เอ้อื นวรรคหลังบาทที่ ๒ ให้เสียงต่ากวา่ ปกติ ๔. บาทที่ ๓ วรรคหน้า ขน้ึ เสียงสงู กวา่ บาทอื่น ๆ ๕. ในกรณที ีม่ คี าคามากพยางค์เกนิ แผนบงั คบั ต้องรวบเสยี งคานน้ั ๆ ให้สน้ั เข้า ตัวอย่างการแบ่งวรรคการอ่านออกเสยี งโคลงสีส่ ภุ าพ เสยี งลือ/เสียงเลา่ อา้ ง/ อนั ใด/พเ่ี อย/ เสียงย่อม/ยอยศใคร/ ทัว่ หล้า/ สองเขือ/พีห่ ลับใหล/ ลืมตนื่ /ฤๅพี่/ สองพ/่ี คดิ เองอา้ / อย่าได้/ถามเผอื // (ลลิ ติ พระลอ : ไม่ปรากฏผู้แตง่ )
๑๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การอ่านออกเสียงกลอนสภุ าพ กลอนสภุ าพ หรือท่ีเรียกว่า กลอนแปด เป็นคาประพันธ์ชนิดหนึ่งของไทยที่ได้รับความนิยมและถือว่า เป็นคาประพันธ์ที่แพร่หลายมากที่สุดทั้งในอดีตและปัจจุบัน ท้ังนี้อาจจะเพราะสามารถแต่งเป็นคาประพันธ์ได้ ง่ายและเมอื่ อา่ นกม็ จี งั หวะทไี่ พเราะ และง่ายตอ่ การอ่านอีกดว้ ย ฉนั ทลักษณก์ ลอนสุภาพ กลอนสุภาพ ๑ บทมี ๔ วรรค เรียกช่ือในแต่ละวรรคเรียงตามกันไป ได้แก่ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคสง่ โดย ๑ วรรค จะมจี านวนคาต้งั แต่ ๗-๙ คา หรือในบางกรณีอาจจะมี ๑๐ คา ขึ้นอยู่กับ เสียงพยางค์ของคาทน่ี ามาใช้ โดยใช้สมั ผัสดงั นี้ คาสดุ ท้ายของวรรคสดบั สง่ สมั ผสั ไปยงั คาท่ี ๓ หรือ ๔ หรอื ๕ หรอื ๖ ของวรรครับ คาสุดท้ายของวรรครับ จะส่งสัมผัสไปยังคาสุดท้ายของวรรครอง และส่งสัมผัสไปยังคาท่ี ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ หรือ ๖ ของวรรคสง่ สัมผัสระหวา่ งบท คาสุดท้ายของวรรคส่งจะสง่ สมั ผัสไปยงั คาสดุ ทา้ ยของวรรครับ OOO OO OOO OOO OO OOO OOO OO OOO OOO OO OOO วรรคสดับ วรรครับ OOO OO OOO OOO OO OOO วรรครอง วรรคสง่ OOO OO OOO OOO OO OOO
๒๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ คาศัพทท์ ่ีควรร้เู ก่ียวกับกลอนสภุ าพ ๑. สัมผัสนอก หรือสัมผัสบังคับ เป็นลักษณะบังคับในการแต่งกลอนสุภาพ ซ่ึงปรากฏในแผนผัง ข้างต้นแลว้ โดยลกั ษณะของสัมผัสนอกนจี้ ะเป็นสัมผัสแบบสัมผัสสระทั้งส้ิน กล่าวคือ ใช้สระหรือสระประกอบ ตวั สะกดเดียวกนั เช่น ทาน-ตาล กา-หา เป็นตน้ ๒. สัมผัสใน เป็นสัมผัสพิเศษเพิ่มเติม ซึ่งไม่ใช่ลักษณะบังคับ โดยทั่วไปปรากฏ ๒ ลักษณะในกลอน สุภาพ คือ สัมผัสสระและสัมผสั พยัญชนะ ๓. เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค ในการแต่งบทประพันธ์ประเภทกลอน มีข้อคานึงในการใช้เสียง วรรณยุกต์ท้ายวรรคเพื่อเพม่ิ ความไพเราะใหก้ ับบทประพันธ์ โดยมขี ้อกาหนด ดงั นี้ วรรคสดับ นิยมใชเ้ สยี งวรรณยกุ ตท์ กุ เสยี ง วรรครบั นิยมใช้เสียงวรรณยกุ ต์เอก โท และจตั วา โดยเฉพาะจัตวา วรรครอง นยิ มใชเ้ สียงวรรณยกุ ตส์ ามัญ และ ตรี วรรคส่ง นยิ มใช้เสยี งวรรณยกุ ต์สามัญ และตรี โดยเฉพาะสามญั ๔. จานวนคาในแต่ละวรรค โดยท่ัวไปนิยมใช้ ๘ คา แต่สามารถอนุโลม ๖ หรือ ๗ หรือ ๙ ไปจนถึง ๑๐ คาได้ โดยนับข้ึนจากพยางค์ของคานั่นเอง หากเป็นเสียงส้ันสามารถอ่านรวบเสียงได้ จะนับเป็นเพียงแค่ ๑ คาเทา่ นนั้ การอา่ นออกเสยี งกลอนสภุ าพ ๑. อ่านทอดเสียงให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค โดยท่ัวไปจะทอดเสียงวรรคที่มี ๘ คาเป็นแบบ ๓ ๒ และ ๓ วรรคทม่ี ี ๖ คาแบบ ๒ ๒ และ ๒ เป็นตน้ แตจ่ ะต้องคานึงถึงความหมายของคาด้วย เชน่ แขกเต้าจับเต่ารา้ งร้อง หากอ่านปกติจะแบ่งวรรคเปน็ แขกเต้า-จบั เต่า-รา้ งร้อง แตเ่ พอ่ื เอ้อื ความหมายเป็น แขกเต้า-จบั -เตา่ รา้ งร้อง หรือ แขกเตา้ -จับเต่ารา้ ง-ร้อง ๒. คาท้ายวรรคทีใ่ ช้คาเสียงจัตวา ต้องเอ้ือนเสียงให้สูงเป็นพิเศษ ตามปกติกลอนสุภาพท่ีแต่งถูกต้อง และไพเราะ จะใช้คาเสยี งจตั วาตรงคาทา้ ยของวรรคสดับ และวรรครับ โดยเรียกว่าการโหนเสยี ง ๓. การอ่านในกลอนสภุ าพ วรรคสดับจะตอ้ งขึน้ เสยี งสูงมากกว่าวรรคอ่นื ๆ ๔. การอา่ นเพอื่ เออ้ื สัมผัสใน เพื่อให้ได้รสสัมผัสท่ีผู้แต่งเขียนไว้ โดยทั่วไปมักจะปรากฏกับสัมผัสสระ จึงถือวา่ ไมแ่ ปลกหรือไมผ่ ดิ เพี้ยน เชน่ คดิ ถงึ บาทบพติ รอดิศร อา่ นวา่ อะ – ดดิ – สอน สินสมุทรสุดคดิ ถงึ บดิ า อ่านว่า บิด – ดา
๒๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๕. การรวบคา ในกรณีท่ีมีคามากพยางค์เกินแผนบังคับต้องรวบเสียงคานั้น ๆ ให้สั้นเข้าเพื่อรักษา ทานองและจังหวะไม่ใหย้ ืดยาวเกนิ ไป ๖. การทอดเสียง การทอดเสียงจะใช้ในกรณีการอ่านทานองเสนาะกลอนสุภาพและกาลังจะจบบท ให้ทอดเสยี งวรรคสุดทา้ ยยาวกว่าปกติ เพื่อเปน็ สญั ญาณวา่ การอ่านกาลังจะจบ ๗. การตคี วามบทประพันธ์ ผอู้ ่านควรตีความบทประพนั ธใ์ ห้เข้าใจว่าส่ืออารมณ์ในแนวทางใด เพื่อใช้ ในการอา่ นให้ผ้ฟู ังเกดิ จินตนาการและคล้อยตามไปกบั การอ่าน ตวั อย่างการแบง่ วรรคการอา่ นออกเสยี งกลอนสุภาพ ถึงบางพูด/พดู ดี/เป็นศรีศักดิ์ มีคนรัก/รสถอ้ ย/อร่อยจติ ถึงพดู ชวั่ /ตวั ตาย/ทาลายมติ ร จะชอบผดิ /ในมนษุ ย/์ เพราะพูดจา (นริ าศภูเขาทอง : สนุ ทรภู่) เจ้ารา่ งนอ้ ย/นอนน่ิง/บนเตยี งต่า คมขา/งามแฉล้ม/แจ่มใส ควิ้ คาง/บางงอน/ออ่ นละไม รอยไร/เรยี บรับ/ระดับดี (ขุนช้างขุนแผน : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั ) เมอ่ื นัน้ พระนารายณ์ธิเบศร์/เคืองขัด/อชั ฌาสัย พระกร้วิ /โกรธาพลาง/วา่ ไป คนอะไร/ทีไ่ หน/นี่หยาบช้า (ไชยเชษฐ์ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย) หากเป็นการอา่ นกลอนบทละคร ซึ่งจะขึ้นตน้ ดว้ ย เมื่อน้ัน บัดนั้น และมาจะกล่าวบทไป จานวนคานอ้ ย การอ่านจงึ จะต้องเอือ้ นเสียงมากกวา่ การอา่ นในบทอ่นื ๆ เพื่อใหค้ ง จังหวะในการอา่ นอย่างสมา่ เสมอ
๒๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การอา่ นจบั ใจความ ความหมายของการอ่านจบั ใจความ การอ่านจับใจความ หมายถึง การอ่านเพ่ือค้นหาใจความหรือข้อคิด ความคิดหลักของข้อความ หรือเร่ืองที่อ่าน มีลักษณะเป็นข้อความท่ีคลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ท้ังหมด โดยท่ัวไปงานเขียน จะประกอบไปด้วย ๒ องค์ประกอบหลัก คือ ใจความสาคัญและพลความ ใจความสาคัญ หมายถึง ใจความท่ีสาคัญและเป็นแก่นหรือความคิดหลักของย่อหน้าท่ีสามารถ ครอบคลุมเน้ือความในประโยคอ่ืน ๆ ในย่อหน้าน้ันหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อหน้านั้นได้ ซง่ึ ในแต่ละยอ่ หน้าจะมปี ระโยคในความสาคญั เพยี งประโยคเดียว พลความหรือใจความรอง หมายถึง ข้อความท่ีทาหน้าท่ีขยายใจความสาคัญให้ชัดเจนขึ้น เด่นข้ึน ถ้าตัดพลความออกไป ใจความก็ยังไม่เปล่ียนแปลง ซ่ึงพลความมักจะเป็นการอธิบาย ให้รายละเอียด ยกตัวอยา่ ง เปรียบเทียบ หรอื แสดงเหตุผลอย่างถถี่ ว้ น เปน็ ตน้ วธิ ีการจบั ใจความ ๑. ต้งั จดุ มุ่งหมายในการอา่ นให้ชดั เจน ๒. อา่ นสารวจเร่อื งราวอย่างคร่าว ๆ พอเข้าใจ ๓. เมื่ออา่ นจบใหต้ งั้ คาถามตนเองว่าเรอ่ื งท่อี ่าน มใี คร ทาอะไร ทไ่ี หน เมือ่ ไหร่ อยา่ งไร เป็นตน้ ๔. จาหรอื จดบันทกึ ใจความท่ไี ด้จากการอา่ น เพ่ือปอ้ งกนั การลืมเนอื้ หา ๕. นาส่งิ ที่สรุปไดม้ าเรียบเรยี งใจความใหม่ โดยการใช้สานวนภาษาของตนเอง โดยท่ัวไปการจับใจความสาคัญงานเขียนสามารถทาได้ท้ังงานเขียนประเภทร้อยแก้วและร้อยกรอง แตล่ กั ษณะของงานเขยี นประเภทรอ้ ยกรอง ผอู้ า่ นจาเป็นจะต้องถอดความบทประพันธ์ก่อน เพื่อทาความเข้าใจ เน้ือหาทผี่ เู้ ขียนตอ้ งการจะสือ่ จงึ นาเนอ้ื ความท่ีถอดไดม้ าจับใจความต่อไป หลักการพิจารณาตาแหนง่ ของใจความในย่อหนา้ ใจความสาคญั ของขอ้ ความในแตล่ ะย่อหน้าจะปรากฏทัง้ หมด ๕ ลกั ษณะ ดงั นี้ ๑. ประโยคใจความสาคัญอย่ตู อนตน้ ของยอ่ หนา้ ๒. ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอนกลางของย่อหนา้ ๓. ประโยคใจความสาคญั อยตู่ อนทา้ ยของย่อหน้า ๔. ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอนต้นและตอนทา้ ยของยอ่ หน้า ๕. ผอู้ า่ นสรปุ ขน้ึ เองจากการอา่ นทั้งยอ่ หน้า ส่วนนส้ี าคัญมีลกั ษณะเป็นการสรุปความรูปแบบหนึ่ง
๒๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ตัวอยา่ งการพจิ ารณาตาแหนง่ ของใจความในย่อหน้า ๑. ประโยคใจความสาคัญอยูต่ อนตน้ ของยอ่ หนา้ ความสมบรู ณข์ องชีวิตมาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพ้ืนฐาน คือ เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นมนุษย์ และความสัมพันธ์ท่ีเกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรักความเมตตา ต่อเพอ่ื นมนษุ ยแ์ ละธรรมชาตอิ ย่างจรงิ ใจ ๒. ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอนกลางของยอ่ หน้า ความเครียดทาให้เพ่ิมฮอร์โมนอะดรีนาลีนในเลือดทาให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว กล้ามเน้ือตึง ระบบยอ่ ยอาหารผดิ ปกติเกิดอาการปวดหัว ใจสนั่ หรือแข้งขาออ่ นแรง ความเครียดจงึ เปน็ ตวั การให้แกเ่ รว็ ๓. ประโยคใจความสาคัญอย่ตู อนท้ายของยอ่ หน้า โดยทั่วไปผักที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เกษตรกรมักใช้สารกาจัดศัตรูพืช หากไม่มีความรอบคอบ ในการใช้จะทาใหเ้ กิดสารตกคา้ ง ทาให้มปี ญั หาต่อสขุ ภาพ ฉะน้ันเมื่อซ้ือผักไปรับประทานจึงควรล้างผักด้วยน้า หลาย ๆ คร้ัง เพราะจะช่วยกาจัดสารตกค้างไปได้บางส่วน บางคนอาจแช่ผักโดยใช้น้าผสมโซเดียม- ไบคาร์บอเนตก็ได้ แตอ่ าจทาใหว้ ติ ามนิ ลดลง ๔. ประโยคใจความสาคญั อยู่ตอนตน้ และตอนท้ายของยอ่ หนา้ การรักษาศีลเพื่อบังคับตนเองให้มีระเบียบวินัยในการกระทาทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เรามาอยู่วัด มานุ่งขาวห่มขาวไม่ใช่ถือแต่ศีลแปดข้อเท่านั้น แต่เราต้องนึกว่าศีลนั้นคือความมีระเบียบ มีวินัย เราเดินอย่าง มีระเบียบ มีวินัย นั่งอย่างมีระเบียบ กินอย่างมีระเบียบ ทาอะไรก็ทาอย่างมีระเบียบนั่นเป็นคนที่มีศีล ถ้าเราไมม่ ีระเบยี บก็ไม่มีศลี ๕. ผู้อา่ นสรุปขนึ้ เองจากการอ่านทง้ั ย่อหน้า การเดิน การว่ายน้า การฝึกโยคะ การออกกาลังกายด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการหายใจลึก ๆ ลว้ นมสี ว่ นทาให้สขุ ภาพแขง็ แรงทงั้ สิน้ ใจความสาคญั คอื การทาให้สุขภาพแข็งแรงสามารถทาได้หลายวิธี
๒๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ หลักการสรุปความ การสรุปความและการจับใจความมีลักษณะสาคัญเหมือนกันทุกประการ แต่อาจจะมีรายละเอียด ของหลกั การสรปุ ความทแ่ี ตกตา่ งออกไป ดงั นี้ ๑. การสรุปความแบบนาเอาใจความสาคัญของแต่ละย่อหน้ามาสรุปให้กลายเป็นใจความสาคัญ เพียงย่อหน้าเดียว ส่ิงท่ีควรคานึงมากที่สุดคือการใช้ภาษาและร้อยเรียง จะต้องเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจเป็น เรอ่ื งเดยี วกัน ซ่ึงอาจจะตอ้ งใช้คาเช่อื มมาช่วยในการเขียน ท่ีสาคญั จะต้องใชภ้ าษาเปน็ ของตนเอง ๒. การสรปุ ความของเร่อื งท่อี ่าน โดยสว่ นใหญม่ ักจะใช้ในการสรุปความงานเขียนทีไม่อาจจะพิจารณา ใจความเป็นย่อหน้าได้ หรืองานเขียนท่ีมีการเล่าเร่ือง เช่น นิทาน เรื่องสั้น เป็นต้น การสรุปความลักษณะนี้ จะต้องพิจารณาตามหลักการ 5W1H คือ ใคร ทาอะไร ท่ีไหน อย่างไร เมื่อไร เหตุใด และนาข้อมูลต่าง ๆ เหลา่ นี้มาเรยี บเรยี งและเขยี นดว้ ยสานวนภาษาของตนเอง ตัวอยา่ งการสรุปความ บทความเร่ือง ค้างคาว ค้างคาวเป็นสัตว์ท่ีออกหากินในเวลากลางคืนภายในป่า มันสามารถบินผาดโผนฉวัดเฉวียนไปมา โดยไม่ต้องพึ่งสายตา มันอาศัยเสียงสะท้อนกลับของตัวมันเอง โดยค้างคาวจะส่งสัญญาณพิเศษ ซ่ึงส่ันและ รวดเร็ว เมื่อสัญญาณไปกระทบสิ่งกีดขวางด้านหน้าก็จะสะท้อนกลับเข้ามา ทาให้รู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านหน้า มันก็จะบินหลบเลี่ยงไป แม้แต่สายโทรศัพท์ท่ีเป็นเส้นเล็ก ๆ คล่ืนเสียงก็จะไปกระทบแล้วสะท้อนกลับเข้าหู ของมันได้ ไม่มสี ตั ว์ชนิดไหนที่จะสามารถรับคล่ืนสะท้อนกลบั ไดใ้ นระยะใกล้ แต่ค้างคาวทาได้และบนิ วกกลับได้ Who (ใคร) วิธี 5W1H What (ทาอะไร) ค้างคาว Where (ทไี่ หน) ออกหากนิ When (เมื่อไหร่) ในป่า How (อยา่ งไร) Why (ทาไม) ตอนกลางคนื บนิ โดยไมใ่ ชส้ ายตา แต่อาศัยเสียงสะทอ้ น สามารถหลบหลกี ส่งิ กดี ขวางได้ การสรปุ ความ ค้างคาวสามารถออกหากินกลางป่าในเวลากลางคืนได้ ซ่ึงมันสามารถบินโดยไม่ใช้สายตา แต่อาศยั การสะทอ้ นกลบั ของเสยี ง ทาใหม้ ันสามารถหลบหลีกสิ่งกดี ขวางได้
๒๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ความสมเหตุสมผลของงานเขยี น การเขียนประเภทชวนเช่ือหรือโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนท่ีต้องการให้ผู้อ่านเปล่ียนแปลงความคิด ทัศนคติ หรือพฤติกรรม ให้คล้อยตามความคิดของผู้เขียน ผู้อ่านจะต้องพิจารณางานเขียนว่าน่าเชื่อถือ มากน้อยเพยี งใด โดยพิจารณาสังเกตจากความสมเหตสุ มผลของงานเขียนนัน้ ๆ การชวนเช่อื คอื การชวนเชอ่ื เปน็ การเขียนท่ีมงุ่ ใหผ้ ้อู ่านเชื่อเพือ่ ผลประโยชนบ์ าง ประการทีผ่ ้เู ขยี นได้รบั เช่น การชวนเช่อื ในสรรพคณุ ของสินค้า งานเขียนประเภท ชวนเชอ่ื นม้ี กั ใหข้ อ้ มูลเกินจรงิ ผอู้ า่ นจึงควรพจิ ารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ การโน้มน้าว คอื การพยายามของผูส้ ง่ สารที่ตอ้ งการจะเปลี่ยนความเช่อื ทศั นคติ คา่ นิยม ตลอดจนการกระทาของบุคคลอืน่ ๆ โดยใชก้ ลวธิ ีตา่ ง ๆ มาสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ การยอมรับหรือเปลีย่ นแปลงตามจุดประสงคข์ องผู้ส่งสาร ซึง่ มีทง้ั ดา้ นบวก และดา้ นลบ ความสมเหตุสมผลของงานเขยี น คือ มีเหตุผลสมควร มีเหตผุ ลรบั กัน เช่น คาชแ้ี จง สมเหตุสมผล เขาอภปิ รายได้สมเหตุสมผล การสง่ สารทน่ี า่ เช่ือถอื สามารถโน้มนา้ วใจ ผู้รับสารได้ ผู้เขยี นจะต้องมคี วามรู้สามารถอธิบายเหตผุ ลไดถ้ กู ต้องน่าเชอื่ ถือและ เป็นไปในทางที่ดมี ปี ระโยชน์ต่อสว่ นรวม
๒๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ขอ้ สงั เกตการเขียนประเภทชวนเชื่อและโนม้ น้าวใจ ๑. มีเน้ือหาที่เข้ากับ เพศ วยั การศกึ ษา อาชีพ ฐานะทางสงั คมและคา่ นยิ มของผอู้ า่ น ๒. การอ้างเหตผุ ลดูนา่ เชื่อถือ คล้อยตาม แต่มกั ไม่รัดกมุ ช้ใี หเ้ หน็ ขอ้ ดีอย่างเดียว ๓. มกี ารอา้ งอิงบุคคล ตารา ทน่ี ่าเชอ่ื ถือ อ้างองิ วัฒนธรรม ประเพณีเกา่ แกท่ ่ีมีมาแตโ่ บราณ ๔. ใช้จิตวทิ ยาในการชวนเชื่อ ผู้อ่านจะรู้สึกเหน็ ดว้ ยไดอ้ ย่างงา่ ยดาย ๕. ภาษาทใี่ ชม้ ีความเร้าอารมณค์ วามรูส้ กึ ของผู้อา่ น สั้น กระชบั สือ่ ความหมายชดั เจน ทาใหเ้ หน็ ภาพ การพจิ ารณาสารโน้มนา้ วท่มี เี หตุผล การพิจารณาการเขียนว่าเป็นลักษณะของการโน้มน้าวใจหรือชวนเช่ือ จะต้องพิจารณาการให้เหตุผล ของผู้เขียนว่ามีความน่าเช่ือถือในระดับใด ใช้เหตุผลสมกันหรือไม่ อย่างไร ซ่ึงรูปแบบของการใช้เหตุผลน้ัน มมี ากมาย เชน่ ๑. การอ้างถงึ บุคคลที่ผู้คนให้ความเคารพ เชน่ “มนษุ ยไ์ ม่ควรไว้ผม ดูอย่างพระพุทธเจา้ สิ ยังทรงปลงพระเกศาเลย” ๒. การอา้ งตาราทนี่ า่ เชื่อถือ เช่น “บรรพบุรุษของมนษุ ย์เคยเป็นสัตวน์ ้ามาก่อน ฉันอ่านมาจาก ‘On The Origin of Species’ ของดารว์ ิน” ๓. การกลา่ วภาพรวม เช่น “คนทุกคนเกดิ มาแล้วกต็ อ้ งตาย ไม่มีสงิ่ ใดอยูค่ า้ ฟา้ ” ๔. การโจมตีตัวบุคคล เชน่ “อยา่ ไปเชือ่ ท่มี นั พูด มนั เปน็ ฆาตกร” ๕. การอา้ งคนหมมู่ าก เชน่ “กระทะรุ่นนีด้ ที ่สี ุด คนซอ้ื ใชก้ ันทัง้ บ้านท้งั เมือง” ๖. การอา้ งประเพณี จริยธรรมหรอื สิ่งทีส่ ืบทอดมายาวนาน เช่น “ถ้าบุหรี่ทาร้ายสุขภาพจริง ๆ คงหายไปตั้งแต่โบราณแล้ว ไม่ตกทอดมาจนทุกวันนี้หรอก” ๗. ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ การยกเหตผุ ลผิด เชน่ “ถ้าป๊อบคอร์นมนั ไมด่ ี ปา่ นน้โี รงหนงั เจ๊งหมดแลว้ ”
๒๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การอ่านวเิ คราะห์เพ่ือประเมนิ คณุ คา่ ความหมายของการอ่านวิเคราะหเ์ พอื่ ประเมนิ คณุ ค่า การอ่านวิเคราะห์เพ่ือประเมินคุณค่า หมายถึง การวิเคราะห์เรื่องที่อ่านอย่างละเอียด เพ่ืออธิบาย และตัดสินลักษณะของงานเขียนท่ีได้อ่านว่ามีข้อดี ข้อเสีย หรือมีคุณค่า และข้อบกพร่องอย่างไรในงานเขียน นน้ั ๆ โดยผปู้ ระเมนิ คุณค่าจะต้องใชเ้ หตผุ ล และจะตอ้ งยกตัวอย่างประกอบการพจิ ารณาควบคกู่ ันไป ขน้ั ตอนอ่านวิเคราะห์เพอ่ื ประเมนิ คุณค่า ๑. อา่ นเร่ืองอยา่ งละเอยี ด การอ่านงานเขียนอย่างละเอียด เป็นขั้นตอนสารวจข้อมูลของงานเขียนในเบ้ืองต้น เช่น ประเภทของงานเขียน รูปแบบของงานเขียน จานวนย่อหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ควรสารวจข้อมูล และอ่านเร่ืองอย่างน้อยหนึ่งรอบ เพื่อพิจารณาเน้ือหาและส่วนประกอบของงานเขียนนั้น ๆ เน่ืองจาก ขอ้ มูลเหลา่ นีเ้ ปน็ พนื้ ฐานในการประเมนิ คณุ คา่ ของงานเขยี น ๒. การสรุปความหรือจับใจความสาคญั การสรุปความหรือจับใจความสาคัญ เป็นขั้นตอนพิจารณาเนื้อหาของงานเขียนหรือบทอ่าน อย่างละเอียด โดยมุ่งค้นหาสาระของเรื่องหรือสาระของหนังสือแต่ละเล่มในส่วนท่ีเป็นใจความสาคัญ และส่วนขยายใจความสาคัญของเร่ืองนั้น ๆ หลักการสรุปความหรือจับใจความสาคัญของงานเขียน สามารถสรุปได้ ดงั นี้ ๒.๑ งานเขยี นประเภทรอ้ ยแกว้ มขี ัน้ ตอนการอ่านจบั ใจความสาคัญ ดงั นี้ - อา่ นงานเขยี นอยา่ งละเอียด - สรปุ ความหรอื จบั ใจความสาคญั ๒.๒ งานเขียนประเภทรอ้ ยกรอง มีข้นั ตอนการอา่ นจบั ใจความสาคญั ดงั นี้ - อ่านงานเขียนอยา่ งละเอยี ด - ถอดความ - สรุปความหรอื จับใจความสาคญั
๒๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๓. การตีความ การตีความ เป็นขั้นตอนการอ่านเพื่อเข้าใจความหมาย และถอดความรู้สึกหรืออารมณ์ ของงานเขียน จากข้อความที่ผู้เขียนสื่อให้อ่าน ซ่ึงผู้อ่านอาจจะตีความหมายได้ตรงกับความมุ่งหมาย หรือเจตนาของผู้เขียนก็ได้ หรือบางคร้ังอาจจะเข้าใจความหมายตามวิธีของตนเองโดยอาศัย บริบท หรอื ความหมายโดยรอบ ประกอบกับพ้นื ความรู้เดมิ ความสนใจ และประสบการณเ์ ขา้ มาประกอบการตคี วาม ๔. การประเมนิ คุณคา่ การประเมินคุณค่า เป็นข้ันตอนท่ีมีความสาคัญท่ีสุดในการอ่านวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณค่า เนื่องจากเป็นการตัดสินว่างานเขียนนั้น ๆ มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า ดีหรือไม่ดีอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัย หลกั เหตแุ ละผลเข้ามาประกอบ พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบการพจิ ารณาเสมอ หลักการประเมินคุณค่าวรรณกรรม หลักการประเมินคุณค่าวรรณกรรม เป็นหลักการท่ีใช้สาหรับการประเมินคุณค่าของงานเขียน ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ซ่ึงอาจจะเป็นทั้งสารคดีและบันเทิงคดี อันประกอบไปด้วย ๔ ด้าน แต่สาหรับ งานเขียนบางฉบับ ไม่จาเป็นจะต้องปรากฏคุณค่าของวรรณกรรมครบทั้ง ๔ ด้าน เพราะธรรมชาติของงาน เขียนแต่ละชนิดอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป หลักการประเมินคุณค่าวรรณกรรมประกอบด้วย ๔ ด้าน ดงั น้ี ๑. ดา้ นเนื้อหา การประเมินคุณค่าของวรรณกรรมด้านเน้ือหา เป็นการประเมินคุณค่าเน้ือหาของวรรณกรรม ท่ีปรากฏอยูใ่ นงานเขียนนั้น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นการพิจารณาว่าเน้ือหาเก่ียวข้องกับเร่ืองใด หรือเจตนาของผู้เขียน ต้องการจะส่ืออะไร คุณค่าทางด้านนี้ปรากฏอยู่ในทุกงานเขียน และเป็นคุณค่าที่ได้จากการจับใจความสาคัญ รวมไปถงึ การตีความดว้ ย ๒. ดา้ นวรรณศลิ ป์และการใช้ภาษา การประเมินคุณค่าของวรรณกรรมด้านวรรณศิลป์และการใช้ภาษา นับเป็นด้านที่สาคัญอย่างย่ิง เน่ืองจากงานเขียนทุกประเภทมีลักษณะการใช้ภาษาที่แตกต่างกันออกไป โดยท่ัวไปจะพิจารณารายละเอียด ดังน้ี ๒.๑ การใชภ้ าษาเหมาะสมกับงานเขียน เป็นการพิจารณาภาษาที่ปรากฏในงานเขียนน้ัน ๆ ว่าเหมาะสมกับประเภทของงานเขียนหรือไม่ เช่น รายงานทางวิชาการจาเป็นจะต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ ส่วนการเขยี นนวนิยายอาจจะใชภ้ าษาทีไ่ มเ่ ปน็ ทางการได้ เป็นต้น
๒๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๒.๒ โวหาร เป็นการใช้ถ้อยคาอย่างมีชั้นเชิงในการเขียนวรรณกรรม เพื่อสื่อสารให้ผู้อ่าน เข้าใจได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้ง ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน มีความเหมาะสมน่าฟัง การเขียนเร่ืองราว อาจจะใช้โวหารต่างประเภท ข้ึนอยู่กับชนิดของข้อความ เช่น บรรยายโวหารมักจะใช้กับงานเขียนวิชาการ หรือสารคดี พรรณนาโวหารมักใช้กับงานเขียนที่เป็นบันเทงิ คดี เป็นต้น ๒.๓ การเล่นเสียง การเล่นคา เป็นกลวิธีการประพันธ์งานเขียนที่เป็นบทร้อยกรอง เป็นการซ้าเสียงของคาหรือการซ้าคา เพ่ือสร้างสวยงามทางภาษาและความไพเราะ โดยท่ัวไปมีหลายลักษณะ เช่น การเล่นเสียงสัมผัสสระ หมายถึง การซ้าเสียงสระต้ังแต่ ๒ พยางค์ข้ึนไปในบทประพันธ์ การเล่นเสียง สัมผัสพยัญชนะ หมายถึง การซ้าเสียงพยัญชนะต้ังแต่ ๒ พยางค์ข้ึนไปในบทประพันธ์ การเล่นค้าซ้า หมายถึง การซ้าคาทใ่ี ห้ความหมายเดมิ ต้งั แต่ ๒ คาขนึ้ ไปในบทประพนั ธ์ เปน็ ตน้ ๒.๔ ภาพพจน์ เปน็ การใช้ถ้อยคาหรือสานวนโวหารท่ีทาให้การอ่านงานเขียนเกิดจินตนาการ หรือเข้าใจการถ่ายทอดอารมณ์ของผู้แต่งผ่านงานเขียน ซึ่งทาให้เกิดความรู้สึกร่วมหรือตรงตามจุดประสงค์ ของผู้เขียน เช่น ภาพพจน์อุปมา เป็นการเปรียบส่ิงหน่ึงเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง เพ่ือให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการ ในการเปรียบเทยี บได้อยา่ งชัดเจน เปน็ ต้น ๓. ด้านสังคม การประเมินคุณค่าของวรรณกรรมด้านสังคม เป็นการประเมินว่างานเขียนนั้น ๆ สะท้อน ภาพสังคมในด้านใดออกมา ซ่ึงอาจจะเป็นวิถีชีวิต แนวคิด ทัศนคติ เหตุการณ์ ความเป็นอยู่ รวมไปถึงมุมมอง ในสถานการณ์ต่าง ๆ ท้ังของบุคคลในอดีตและปัจจุบัน คุณค่าทางด้านสังคมจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเร่ืองราว และมมุ มองของผู้แตง่ หรืออาจจะชว่ ยสร้างบรรยากาศในการอา่ นไดม้ ากยิ่งขน้ึ ๔. ด้านขอ้ คิดและการนาไปใช้ การประเมนิ คุณค่าของวรรณกรรมด้านข้อคิดและการนาไปใช้ เป็นการพิจารณาว่างานเขียนน้ัน ๆ ผู้แต่งมุ่งเสนอข้อคิด มุมมอง คติสอนใจ หรือเรื่องใด ๆ เพ่ือให้เกิดประโยชน์ในการอ่าน และเป็นแนวทางให้ ผอู้ า่ นสามารถนาเรื่องราวเหลา่ นัน้ ไปใช้ประโยชนห์ รอื ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้
๓๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ตวั อยา่ งการอา่ นวเิ คราะหเ์ พือ่ ประเมินคุณคา่ เปลกไ็ กวดาบกแ็ กว่งแขง็ หรือไม่ ไม่อวดหยง่ิ หญิงไทยมใิ ชช่ ั่ว ไหนไถถากตรากตราไหนทาครวั ใช่รจู้ ักแตจ่ ะย่ัวผัวเมอ่ื ไร (นารีเรอื งนาม : พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระนราธปิ ประพนั ธ์พงศ์) การอ่านวิเคราะห์เพ่ือประเมินคุณค่า พบว่าบทประพันธ์ข้างต้น เป็นบทประพันธ์ท่ีดี โดยสามารถ พจิ ารณาตามหลกั การอ่านวิเคราะหเ์ พอ่ื ประเมนิ คุณคา่ ได้ ดังน้ี ๑. ด้านเน้ือหา จากบทประพันธ์ดังกล่าวผู้เขียนต้องการจะส่ือให้เห็นถึงความสามารถของผู้หญิง ที่ต้องทางานในหลาย ๆ ด้าน เช่น ในขณะท่ีบ้านเมืองสงบร่มเย็น ผู้หญิงมีหน้าท่ีดูแลลูก ไถนา ทานา ทาครัว รวมไปถึงเม่ือบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ผู้หญิงก็จะต้องออกรบเช่นเดียวกับผู้ชาย ผู้หญิงจึงไม่ใช่ คนอ่อนแอ ที่จะตอ้ งอยภู่ ายใต้การดแู ลของผชู้ ายเสมอไป ๒. ดา้ นวรรณศิลป์และการใช้ภาษา จากบทประพันธ์ข้างต้น ปรากฏคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์และ การใช้ภาษาหลายประเภท ดงั น้ี ๒.๑ การเล่นเสียงสัมผัส ปรากฏการเล่นเสียงสัมผัสสระ เช่น แกว่ง-แข็ง เป็นการเล่นเสียง สัมผัสสระ แ-ะ หยิ่ง-หญิง เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระ อิ ถาก-ตราก เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระ –า และปรากฏการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ เช่น ใช่ -ช่ัว เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะตัว ช ไถ-ถาก เปน็ การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะตัว ถ เป็นตน้ ๒.๒ การเล่นคาซ้า ปรากฏการเล่นคาซ้าในคาว่า ก็ และไหน ดังในบทประพันธ์ว่า “เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่” และ “ไหนไถถากตรากตราไหนทาครัว” ซ่ึงเป็นการเล่นคาซ้า เพ่ือย้าความหมายให้ชดั เจนมากยิง่ ข้นึ ๒.๓ ภาพพจน์แบบปฏิปุจฉา เป็นการใช้คาที่เป็นการถามโดยไม่ต้องการคาตอบ เช่น แข็งหรือไม่ ใช่รู้จัก เป็นต้น กระตุ้นการคิดของผู้อ่านให้คิดตามเจตนาของผู้เขียน เช่นในประพันธ์ว่า “เปลก็ไกวดาบกแ็ กว่งแขง็ หรอื ไม่” เปน็ ต้น ๓. ด้านสังคม ในบทประพันธ์ดังกล่าวปรากฏด้านสังคม คือ แนวคิดและวิถีชีวิตของผู้หญิง ในสมัยโบราณ ซึ่งแสดงภาพของบทบาทผู้หญิงที่จะต้องทางานสารพัด ไม่ใช่เพียงแต่จะมีหน้าที่ปรนนิบัติสามี อยา่ งท่คี นยุคปัจจุบันมกั จะมองว่าผหู้ ญิงในอดีตอ่อนแอ และไมม่ คี วามสามารถ ๔. ดา้ นข้อคิดและการนาไปใช้ ข้อคิดที่ได้ คอื ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีความสามารถเช่นเดียวกัน เราจึงควรใหเ้ กยี รตทิ ุกคนอย่างเสมอภาคกนั
ความรพู้ นื ฐานในการเขยี น หนา้ ๓๒ การคัดลายมอื หนา้ ๓๔ การเขยี นยอ่ ความ หนา้ ๓๗ การเขยี นบรรยายและพรรณนา หนา้ ๔๒ การเขยี นเรยี งความ หนา้ ๔๕
๓๒เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ความรูพ้ ้ืนฐานในการเขียน การเขียนเป็นการส่ือสารด้วยตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ เพ่ือทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ของผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่เป็นท้ังศิลป์และศาสตร์ กล่าวคือ การเขียนต้องใช้ภาษาที่ไพเราะประณีต สื่อได้ทั้งอารมณ์ ความคิด ความรู้ และต้องใช้ศิลปะท่ีกล่าวว่า เป็นศาสตรเ์ พราะการเขียนทุกชนิดตอ้ งประกอบด้วยความรู้ หลกั การและวธิ ีการเสมอ การเขียนจึงนับว่าเป็นทักษะหนึ่งที่จาเป็นอย่างยิ่งสาหรับการใช้ชีวิตและการทางาน ซึ่งถือเป็นทักษะ พื้นฐานท่ีต้องใช้ควบคู่กับทักษะอ่ืน ๆ เช่น การอ่าน หรือการฟังและดู หากจะกล่าวถึงในปัจจุบัน การเขียน ไม่ใช่เฉพาะจงเจาะไปที่เขียนด้วยลายมือเสมอไป แต่รวมไปถึงการจัดพิมพ์หรือการติดต่อส่ือสารทาง โลกออนไลนด์ ว้ ย ความสาคัญของการเขียน การเขียนมีความสาคัญสาหรับมนุษย์ โดยเฉพาะโลกในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การเขียนจึงยงิ่ ทวีความสาคญั มากขนึ้ ตามไปด้วย ซ่งึ สามารถสรุปความสาคญั ของการเขยี นได้ ดังน้ี ๑. การเขียนเป็นการสื่อสารอย่างหน่ึง ซึ่งถือเป็นลักษณะสาคัญ เน่ืองจากการเขียนใช้สาหรับ การติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะในปัจจุบันการติดต่อส่ือสารเกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว การใช้ภาษาในเขียนหรือพิมพ์ จึงถือว่ามีความสาคัญมาก หากเกิดความเข้าใจผิดหรือการใช้ภาษาบกพร่อง อาจจะส่งผลกระทบต่อตัว ของผเู้ ขยี นเองได้ ๒. การเขียนเป็นการแสดงออกซึ่งภูมิปัญญาของมนุษย์ เน่ืองจากการเขียนโดยท่ัวไปมักใช้สาหรับ การจดบันทึกหรือถ่ายทอดเร่ืองราว เช่น วรรณคดีและวรรณกรรมต่าง ๆ ซึ่งนับเป็นภูมปัญญาของคนในชาติ หรอื ภมู ภิ าคนน้ั ๆ อันแสดงถึงเอกลักษณ์ ๓. การเขียนเป็นเคร่ืองมือถ่ายทอดมรดกทางสติปัญญา เน่ืองจากเป็นเคร่ืองมือแสดงออก ทางความคิด วฒั นธรรมของคนในชาติ ทงั้ ยงั ชว่ ยสืบสานวฒั นธรรมอันดขี องชาตไิ ด้อีกด้วย ๔. การเขียนเป็นเครื่องมือสร้างความสามัคคีและความเจริญรุ่งเรือง ในทางตรงกันข้ามก็ใช้ เปน็ เครอื่ งบอ่ นทาลายได้เช่นกัน
๓๓เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ จดุ มุง่ หมายของการเขยี น การเขียนจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์หรือไม่น้ัน ส่ิงสาคัญอย่างหน่ึง คือ การเขียนต้องมีจุดมุ่งหมาย ในการเขียน ซ่ึงจุดมุ่งหมายเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยในการกาหนดกรอบแนวคิด เนื้อหาอีกด้วย โดยสามารถ จาแนกจุดมุง่ หมายในการเขียนได้ ดังน้ี ๑. การเขียนเพื่อการเล่าเร่ือง เป็นการนาเร่ืองราวท่ีสาคัญมาถ่ายทอดเป็นข้อเขียน เช่น การเขียน เล่าประวัติ ๒. การเขียนเพื่ออธิบาย เป็นการเขียนเพื่อชี้แจงอธิบายวิธีใช้ วิธีทา ข้ันตอนการทา โดยทั่วไปมักใช้ ประกอบการสาธติ เช่น อธบิ ายการใชเ้ ครือ่ งมือตา่ ง ๆ ๓. การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น เป็นการเขียนเพ่ือวิเคราะห์ วิจารณ์ แนะนา หรือแสดง ความคิดเหน็ เกย่ี วกบั เรื่องใดเรอ่ื งหน่ึง มกั จะเปน็ การเขยี นเพ่ือวิเคราะห์วจิ ารณ์ ๔. การเขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์ที่จะชักจูง โน้มน้าวใจให้ผู้อ่าน ยอมรับ หรอื เปลี่ยนแนวคดิ ความคิดตามไปในสิ่งทผี่ เู้ ขยี นเสนอ ๕. การเขียนเพื่อกิจธุระ เป็นการเขียนที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์อย่างใดอย่างหน่ึง การเขียนชนิดน้ีจะมี รูปแบบการเขียนและลักษณะการใช้ภาษาที่แตกต่างกันไปตามประเภทของการเขียน เน่ืองจากมักจะใช้ คาศัพท์หรือภาษาแตกต่างกันไปตามอาชีพ นอกจากนี้อาจจะมรี ปู แบบการเขียนที่กาหนดชดั เจนแน่นอน ๖. การเขียนเพ่อื สร้างแนวคิดหรือจินตนาการ เป็นการเขียนที่มุ่งให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการคล้อยตาม หรอื สามารถเข้าถงึ เร่อื งทอี่ า่ นได้อยา่ งชัดเจน เช่น นิทาน นวนิยาย เรื่องสนั้ เป็นตน้ มารยาทในการเขยี น ๑. ใช้ถ้อยคาสุภาพไพเราะ หลีกเลี่ยงคาหยาบ ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกส่วนตนหรืออคติ ในการเขียน โดยเฉพาะการเขียนวิจารณ์ผู้อ่ืนอย่างปราศจากเหตุผล จนทาให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย และสังคมแตกแยก ๒. เขียนข้อความหรืองานเขียนท่ีเป็นจริง โดยเกิดจากการศึกษา ค้นคว้าและตรวจสอบว่าถูกต้อง แล้ว และมีความน่าเชื่อถือ โดยถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหน่ึงจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้า ของเสียก่อน ๓. เขียนให้ถูกต้องตามอักขรวิธี โดยการใช้สระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง ใช้ถ้อยคา ที่เหมาะสมกับเนือ้ หากาลเทศะและสถานะบุคคล และใชค้ วามหมายใหถ้ ูกตอ้ ง ไม่กอ่ ใหเ้ กิดความคลาดเคลอ่ื น ๔. เขยี นสิง่ ที่มคี ณุ คา่ อนั จะก่อให้เกดิ ความสุขใหเ้ กิดความสงบสุขแก่คนในสังคม และประเทศชาติ ทาใหเ้ กิดองคค์ วามรใู้ หมท่ ่มี ีต่อผลการพฒั นาประเทศชาติ หรือสามารถใช้จรรโลงสังคมได้ ๕. การไมค่ ัดลอกงานเขยี นของผู้อ่ืน โดยอ้างว่าเป็นผลงานของตนเอง เม่ือยกข้อความหรืองานเขียน ของผู้อืน่ มาประกอบจะตอ้ งให้เกยี รติเจ้าของงาน โดยการเขยี นอ้างอิงที่มาของเร่ืองและชื่อผ้เู ขียนทุกคร้งั
๓๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การคัดลายมือ การคัดลายมือเป็นการฝึกเขียนตัวอักษรไทยให้ถูกต้องตามหลักการเขียนคาไทย ซ่ึงจะต้องคานึงถึง ความถูกต้องของตัวอักษรไทย เขียนให้อ่านง่าย มีช่องไฟ มีวรรคตอน ตัวอักษรเสมอกัน วาง การเขียน พยัญชนะ สระ และวรรณยกุ ตใ์ ห้ถูกท่ี ตวั สะกด ตวั การนั ต์ถกู ต้อง และจะต้องมลี ายมือสวยงาม ความสาคัญของการคดั ลายมือ การคัดลายมือเป็นการคัดตัวอักษรไทย มีมาต้ังแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มข้ึนจากการมีตัวอักษรไทย จึงทาให้เกิดการจารหรือจารึกขึ้น โดยเริ่มแรกนั้นเป็นการคัดตัวอักษรไทยลงในหินศิลา จึงเรียกว่า ศิลาจารึก ในสมยั ตอ่ มาจึงมีการเขียนจารึกทเี่ ร่ิมมีการคัดลายมือหรือบรรจงในการเขียนมากข้ึน และเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ ท่ีมีความละเอียดอ่อนและใช้ลายมือดีกว่าแท่งหิน นั่นคือการจารึกบนใบลาน เกิดเป็นคัมภีร์โบราณท่ีทาจาก ใบลาน โดยมักจะเขียนเป็นบทสวดต่าง ๆ คาสอน คติธรรม ตารา ประเพณี วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ใน ราชสานัก ด้วยความสาคัญของการคัดลายมือท่ีคู่ชาติ คู่อักษรไทยมาแต่เดิม จึงเกิดการตั้งหน่วยงานสาหรับ คดั ลายมอื โดยเฉพาะ เพ่ือบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานน้ีจะต้องมีผู้คัดลอก และผู้คัดลอกต้องมีความรู้ ในด้านภาษา มีลายมือสวย อ่านง่ายและชัดเจน ซ่ึงเรียกว่า “กรมพระอาลักษณ์” คือ พนักงานผู้คัดลอก และในปัจจุบันหน่วยงานดังกล่าวเป็น แผนกอาลักษณ์ กองประกาศิต สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในปจั จบุ ันนีแ้ ม้วา่ จะมกี ารพฒั นาการพิมพ์ตัวอักษรไทยท่ีสวยงามขึ้นมาใช้แทน แต่คุณค่าของการคัดลายมือยัง ไดร้ บั การเชิดชไู วส้ งู สดุ และเป็นส่ิงทค่ี วรค่าแก่การรกั ษาและสืบทอดเอกลกั ษณ์ของชาติต่อไป หลกั การคัดลายมือ ๑. น่ังให้ตัวตรง วางสมุดในตรง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทาให้ตัวอักษรเอียงได้ และจบั ดินสอด้วยทา่ ทางและวธิ ีทถี่ ูกต้องเพ่ือความกระชบั ในการเขียน ๒. เขยี นดว้ ยความตงั้ ใจ มสี มาธจิ ดจ่อในการเขียนเพ่อื ปอ้ งกันการเขียนผิด ๓. เขยี นตัวอกั ษรถกู ต้องตามแบบการเขยี นอักษรไทย ๔. เขียนพยญั ชนะ สระ และวรรณยุกตถ์ กู ตอ้ ง โดยจรดเส้นบรรทัดบน-ลา่ งหรอื ตามรปู แบบท่กี าหนด
๓๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๕. เวน้ ระยะชอ่ งไฟใหเ้ ท่ากนั และสมา่ เสมอ ๖. วางรปู พยญั ชนะ สระ และวรรณยุกต์ใหถ้ ูกตาแหนง่ เชน่ ๖.๑ สระท่อี ยหู่ นา้ พยญั ชนะ ไดแ้ ก่ เ- แ- ไ- ใ- ไ- ๖.๒ สระทอี่ ยู่หลงั พยญั ชนะ ได้แก่ –ะ -า ๖.๓ สระท่อี ยู่เหนอื พยัญชนะ ไดแ้ ก่ สระอิ สระอี สระอึ สระอือ ๖.๔ ไมห้ ันอากาศ ไมไ้ ตค่ ู้ นิคหติ จะวางเหนอื พยัญชนะตรงกลาง ๖.๕ สระทอ่ี ยู่ใต้พยญั ชนะ สระอุ สระอู ๗. การเขยี นตวั อักษรใหเ้ ขยี นให้ถกู สว่ น ตวั อกั ษรต้ังตรง การเขยี นพยัญชนะไทยทุกตวั ต้องเร่มิ เขียน หัวก่อน ยกเว้นตัว ก และ ธ ซึ่งไม่มีหัว เว้นช่องไฟและวรรคตอนให้พองาม วางเคร่ืองมือให้ถูกต้องตาม ตาแหน่ง ประโยชน์ของการคดั ลายมือ ๑. สืบสานมรดกไทยไวค้ ชู่ าติสบื ไป ๒. ฝึกสมาธิ และความแน่วแนข่ องจติ ๓. เปน็ พนื้ ฐานในการประดิษฐ์อกั ษรไทยตอ่ ไป ๔. การคดั ลายมือเกดิ ความประทับใจกวา่ การพมิ พใ์ นโอกาสสาคัญต่าง ๆ ๕. บุคคลทีล่ ายมืองามเป็นบคุ คลพิเศษท่ีมักจะได้รับความช่นื ชม ๖. มีความแมน่ ยาในคา และขอ้ ความ การคัดลายมือ เป็นทักษะชีวิตติดตัวแต่เด็กจนโต หากลายมือสวยงาม ตอนเด็ก ก็ย่อมมีลายมือสวยงามติดตัวไปจนโตได้ จึงควรมีการสอนคัดลายมือ บอ่ ย ๆ ทกุ วัน จนเกดิ ความรักในความสวยงามของอักษรไทย
๓๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ อกั ษรไทยในการคัดลายมอื การคัดลายมือมีแบบการคัดตัวอักษรไทยหลายแบบ ท่ีพัฒนารูปแบบข้ึนมาจากหน่วยงาน ทางการศึกษา จากหน่วยงานทางราชการ หรือจากสานักพิมพ์ต่าง ๆ ในการคัดลายมือนักเรียนระดับ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทีส่ ังกดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จะใชฝ้ กึ รปู แบบตัวอกั ษรแบบกระทรวงศกึ ษาธกิ าร การคัดลายมือแบบกระทรวงศกึ ษาธกิ ารน้ี เรยี กตามโครงสร้างของตวั อกั ษรว่า “หวั กลม ตัวมน”
๓๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การเขยี นยอ่ ความ การย่อความ เป็นการจับใจความสาคัญของเร่ืองที่ได้อ่าน ได้ฟัง หรือได้ดูมา ให้ได้ความว่าใคร ทาอะไร ที่ไหน อย่างไร เม่ือใด และเพราะเหตุใด แล้วนามาเรียบเรียงใหม่ให้ครบถ้วน กระชับ รัดกุม โดยใชถ้ อ้ ยคาสานวนของผู้ย่อเอง และตอ้ งไม่เปล่ยี นแปลงเรอื่ งราวของขอ้ ความเดิม ประเภทของการเขียนย่อความ การยอ่ ความสามารถแบง่ ประเภทการย่อความได้ ๒ แบบ ดงั น้ี ๑. แบง่ ตามรปู แบบของบทความท่ีนามายอ่ สามารถแบ่งได้ ๒ ประเภท คอื ๑.๑ การยอ่ บทความที่เป็นรอ้ ยแกว้ ๑.๒ การย่อบทความทเ่ี ป็นร้อยกรอง ๒. แบ่งตามลักษณะของเนื้อเร่อื งท่ยี ่อแลว้ สามารถแบง่ ได้ ๒ ประเภท คอื ๒.๑ การย่อความอย่างธรรมดา คือการย่อท่ีนาเอาเฉพาะเน้ือหาที่สาคัญหรือที่เรียกว่า ใจความและพลความท่ีสาคญั หรือทีเ่ ดน่ ชัดในแตล่ ะยอ่ หน้ามาเรยี บเรยี งดว้ ยถอ้ ยคาสานวนของผูย้ ่อเอง ประโยชน์ของการย่อความแบบธรรมดา คอื - การเกบ็ ขอ้ มูลเพื่อเขียนเรียงความและเขยี นรายงานวชิ าการ - การบนั ทึกทางวชิ าการ เพอ่ื ทบทวนความคดิ หรอื ความจาในการเตรียมสอบ ๒.๒ การย่อความอย่างสั้นท่ีสุด หรือการสรุปความ คือการย่ออย่างส้ันที่สุด โดยจะกล่าว เฉพาะความคดิ ที่สาคญั ทสี่ ดุ ซง่ึ ไม่นาพลความท่ีสาคัญมาประกอบ แล้วนามาเรียบเรียงใหม่ด้วยถ้อยคาสานวน ของผยู้ ่อเอง ผูย้ ่อต้องตคี วามหรือจับความคิดของผู้เขยี นให้ไดว้ ่าต้องการเสนอเรือ่ งใดเป็นสาคัญ ประโยชน์ของการสรปุ ความ คอื - เมอื่ ตอ้ งการกล่าวเฉพาะประเด็นความคดิ ท่ีสาคญั ทสี่ ดุ - เป็นประโยชน์ในการสรุปเรยี งความ และการตอบข้อสอบท่ตี อ้ งการให้ตอบส้นั
๓๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ หลกั การเขยี นยอ่ ความ ๑. อ่านหรือฟังเรื่องจะย่อตั้งแต่ต้นจนจบอย่างน้อย ๒ คร้ัง โดยครั้งแรกเป็นการอ่านหรือฟังคร่าว ๆ ให้ได้ความว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน อย่างไร คร้ังท่ีสองเป็นการจับใจความสาคัญของเรื่องอย่างย่อ ๆ แล้วจด บันทกึ สาระสาคัญไว้ ๒. เปล่ียนสรรพนามบรุ ุษท่ี ๑ และ ๒ เป็นสรรพนามบรุ ุษท่ี ๓ โดยอาจใช้ชอ่ื แทนสรรพนามบรุ ษุ ท่ี ๓ ๓. การยอ่ บทรอ้ ยกรองตอ้ งถอดความเปน็ ร้อยแกว้ กอ่ นแลว้ จึงจบั ใจความสาคญั ๔. คาทเ่ี ป็นศพั ทย์ ากให้เปลยี่ นใช้คาธรรมดาท่ีเข้าใจง่าย และใช้คาท่ีกระชับ เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ใช้ “พระรัตนตรยั ” แทน ๕. ถ้าเป็นบทสนทนาต้องเปล่ียนเป็นแบบเรื่องเล่าและไม่ใช้เครื่องหมายคาพูดหรือเครื่องหมาย อญั ประกาศ “ ” ๖. ถ้ามีคาราชาศัพท์และใจความสาคัญต้องใช้ราชาศัพท์ ให้คงการใช้ราชาศัพท์น้ันไว้และจะต้องใช้ อยา่ งถกู ตอ้ ง ๗. หากเรอื่ งท่ยี ่อเดิมไม่มีช่ือเร่อื ง ผูย้ ่อจะต้องตง้ั ช่อื เรือ่ งใหม้ คี วามสอดคล้องกบั ขอ้ ความท่ีย่อ ๘. เรียบเรียงใหม่โดยใช้สานวนภาษาของผู้ย่อเองให้สั้น กระชับ ได้ใจความ และมีความยาวประมาณ ๑ ใน ๓ ของเน้อื ความเดมิ ๙. เขยี นให้ถูกต้องตามรูปแบบของการยอ่ ความ ดงั น้ี ๙.๑ ย่อหน้าท่ี ๑ ใช้แบบส่วนนาตามประเภทของเร่อื งทีจ่ ะย่อ ๙.๒ ยอ่ หน้าที่ ๒ เขียนขอ้ ความทย่ี ่อแล้วในย่อหน้าต่อไป ส่วนใหญ่ใจความที่ยอ่ แลว้ จะเหลอื เพยี งย่อหนา้ เดียว เวน้ แตข่ อ้ ความเดิมเป็นเรือ่ งตา่ งกนั อาจจะแยกกันเปน็ ตอน
๓๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ แบบสว่ นนาของย่อความ ส่วนคานาของการย่อความหรือแบบข้ึนต้นย่อความ เป็นการนาเร่ืองราวให้ผู้อ่านได้ทราบที่มา ของเรอ่ื ง เพ่ือช่วยให้เขา้ ใจและสะดวกแก่ผู้สนใจที่จะไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากข้อความเดิม โดยรูปแบบ ของส่วนนาการเขียนยอ่ ความแต่ละประเภทอาจจะมีรายละเอยี ดสาคัญแตกตา่ งกนั ไป ดังนี้ ๑. การย่อความเรียงร้อยแก้วธรรมดา เช่น บทความ สารคดี ตานาน นิทาน นิยาย เร่ืองส้ัน ฯลฯ ใหบ้ อกช่อื ประเภท ชื่อเร่ือง ชอ่ื ผู้แตง่ เดอื น ปีที่แตง่ (เทา่ ทที่ ราบ) ตามรูปแบบ ดังน้ี ย่อ.....(ประเภทของความเรยี งร้อยแก้ว).......เรอื่ ง…......(ชือ่ เรื่อง).......ของ.......(ช่ือผู้แตง่ )......... จาก.......(ชือ่ หนังสอื )........หนา้ .......(เลขหนา้ )........ความว่า (ใจความ)..................................................................................................................... ............... ................................................................................................................................................................ ตัวอยา่ ง ย่อบทความ เรื่อง กรุงเทพฯ เมืองสีเขียว ปลอดขยะ ของ สุนิรินธน์ จิระตรัยภพ จากกรุงเทพเมือง สีเขยี ว หน้า ๑๕ ความวา่ กรงุ เทพเปน็ เมืองหลวงของประเทศไทย และเป็นเมอื งทีต่ ิดอันดบั น่าทอ่ งเท่ียว ๒. การย่อบทร้อยกรอง ให้ถอดเป็นร้อยแก้วก่อน และให้บอกชนิดของคาประพันธ์ บอกเร่ือง ตอน ตามรูปแบบ ดงั นี้ ย่อ....(ประเภทของบทร้อยกรอง)....เร่ือง....(ช่ือบทร้อยกรอง ,ช่ือเรื่อง).....ของ......(ช่ือผู้แต่ง).... ตอน.....(ชือ่ ตอน)......จาก.......(ช่ือหนังสือ)........หนา้ .......(เลขหน้า)........ความว่า (ใจความ)..................................................................................................................... ............................ ....................................................................................................................................................................... ตวั อยา่ ง ย่อนิทานคากลอน เร่ือง พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่ ตอน พระอภัยมณีหนีผีเส้ือสมุทร จากหนงั สอื เรอื่ งพระอภยั มณี หนา้ ๑๔๕- ๑๖๐ ความว่า พระอภัยมณีอยู่กับผเี สอื้ สมุทรจนมีลูกอยดู่ ว้ ยกัน คอื สนิ สมทุ ร...
๔๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๓. การย่อพระบรมราโชวาท โอวาท เทศนา กาหนดให้บอกประเภท เป็นคากล่าวของใคร แสดงแกใ่ คร ในโอกาสใด ณ ท่ีใด (เทา่ ท่จี ะบอกได)้ ตามรูปแบบ ดังน้ี ยอ่ .....(ประเภทของงานเขียน).......ใน.......(ช่ือผู้แต่ง)........พระราชทานแก่............... ในโอกาส........... ณ......(สถานที่)........เมือ่ วันท.่ี ......(วัน เดือน ป)ี ...... ความว่า (ใจความ)................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................... ตวั อยา่ ง ย่อพระราโชวาท ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาส พิธีพระราชทาน ปริญญาบัตรแก่ผู้สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประจาปีการศึกษา ๒๕๔๙ ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตองครักษ์ จังหวัดนครนายก เมื่อวันท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙ ความว่า ขอให้ผทู้ ี่สาเรจ็ การศกึ ษาพงึ ตระหนักไวว้ ่าทุกทา่ นเปน็ ผูซ้ ่ึง... ๔. การยอ่ ประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์ ระเบยี บคาส่งั หมายกาหนดการ ฯลฯ กาหนดให้บอก ช่อื ประเภท เรอื่ งอะไร ของใคร วันที่ออก ตามรูปแบบ ดงั น้ี ย่อ.....(ประเภทของงานเขียน).......เร่ือง......(ชื่อเร่ือง)..............ของ.......(ชื่อผู้แต่ง)...... ลงวนั ท่.ี .....(วนั เดอื น ป)ี ....... ความว่า (ใจความ)...................................................................................................................... ........................... ..................................................................................................................................................................... ตวั อย่าง ย่อหมายกาหนดการ เร่ือง พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจา้ ฟ้ากัลยาณวิ ัฒนา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร์ ของ สานักพระราชวัง ลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ความว่า พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระราชนิ เี สด็จพระราชดาเนินยงั พธิ ีเพ่ือ…
๔๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ ๕. การย่อหนังสือราชการ จดหมายตอบโต้สาส์น กาหนดให้บอกประเภท ของใคร เลขที่เท่าไร ถึงใคร ลงวันท่เี ทา่ ไร ตามรปู แบบ ดังน้ี ย่อ.....(ประเภทของงานเขยี น).......ของ.........(ผู้เขียน).......ถงึ ......(ผ้รู ับ)............เรื่อง.......(ชื่อเร่ือง)........ เลขที.่ .....(เลขทหี่ นังสอื )......ลงวนั ท่.ี .....(วัน เดือน ปี)....... ความวา่ (ใจความ)................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ตวั อย่าง ย่อหนงั สือราชการ ของ กระทรวงศึกษาธิการ ถึงมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เร่ือง ขอเชิญ สัมมนาเร่ือง “แนวโน้มการพัฒนามหาวิทยาลัยในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า” เลขท่ี ศธ ๒๕๕๑/๒๓๔ ลงวนั ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ความว่า จากการพฒั นาทางด้านการศกึ ษาเพ่ือก้าวเขา้ สู่ความเปน็ สากล... ๖. การย่อความเป็นคาสอน คาบรรยาย ปาฐกถา ถ้อยแถลง กาหนดให้บอกประเภท ของใคร เรอื่ งอะไร แสดงท่ีไหน เม่ือไร ตามรูปแบบ ดงั น้ี ย่อ.....(ประเภทของงานเขียน).......เรื่อง.......(ช่ือเร่ือง)........ของ.........(ผู้เขี ยน).......จากหนังสือ.......... (ชื่อหนังสือ) ...........หนา้ ......(เลขหน้า)......ความว่า (ใจความ)............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................. ตัวอย่าง ย่อคาสอน เร่ืองการต้ังตนไว้ชอบ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ จากหนังสือ ตามแนวมงคลสูตร หนา้ ๑๗๓ ความวา่ การต้งั ตนไวช้ อบเป็นมงคลอยา่ งสูงสุด…
๔๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ การเขียนบรรยายและพรรณนา การเขียนบรรยายและการเขียนพรรณนา เป็นการเขียนประเภทหนึ่งซ่ึงมุ่งเน้นเร่ืองการถ่ายทอด ความรู้ ความคิด ความรู้สึก โดยอาจจะเป็นข้อเท็จจริงหรือเรื่องสมมติก็ได้ แต่ลักษณะของการเขียนบรรยาย และพรรณนาน้ัน มีข้อแตกต่างกันอยู่ที่รายละเอียดของการใช้ภาษาเขียน ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของงานเขียนทัง้ สองประเภทนี้ ความหมายของการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนเล่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึงท่ีเกิดข้ึน เพ่ือให้ผู้อ่านเห็นภาพ เหตกุ ารณ์ ลาดบั เวลา สถานที่ บคุ คล ผเู้ ขยี นควรกลา่ วถึงเหตุการณใ์ ห้ชัดเจน โดยมีข้อมูลและเน้ือหาสาระของ เร่ืองท่ีจะแสดงความคิด บางคร้ังอาจแทรกบทสนทนาลงไปเพ่ือแสดงตัวละคร ทาให้ผู้อ่านเข้าใจลักษณะ อารมณ์ความคดิ ของตวั ละครและเขา้ ใจเรอ่ื งทงั้ หมดไดง้ า่ ยย่ิงขึน้ ขอ้ สังเกตการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนบรรยายตามความจริง สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง ไม่มีการสอดแทรกอารมณ์หรือความรู้สึกลงไปในงานเขียน แต่หากเป็นการเขียนบรรยายท่ีเป็นเรื่องสมมติ อาจจะเป็นเรื่องจากจินตนาการได้ ซึ่งจะต้องพิจารณาภาษาว่ามีภาษาที่เรียบง่าย กะทัดรัด มีความเหมาะสม กับกาลเทศะ เขา้ ใจไดง้ า่ ย เป็นลาดับขั้นตอนที่ชดั เจน ไม่วกวน และเขา้ ใจไดง้ า่ ย
๔๓เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ จุดมุ่งหมายของการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้ในคาประพันธ์แบบ เล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เป็นต้น การเขียนบรรยาย เปน็ การเขยี นเล่าข้อเท็จจรงิ หรือเร่ืองสมมติ หรือรายละเอียดของเร่ืองตามที่เป็นอยู่ โดยคานึงถึงความต่อเนื่อง ประเภทของเรือ่ งทใ่ี ช้วธิ ีการเขยี นบรรยาย ๑. อตั ชีวประวตั หิ รอื การเลา่ ประวตั ิชีวติ บุคคลตา่ ง ๆ ๒. ข้อเทจ็ จริงหรอื เหตุการณท์ างประวตั ศิ าสตร์ ๓. เรอ่ื งทแี่ ตง่ ข้นึ หรือเหตุการณ์ที่เกดิ ขึน้ ๔. เรือ่ งแนะนาสถานทีท่ อ่ งเท่ียว ๕. การบรรยายภาพและวิธกี าร ความหมายของการเขยี นพรรณนา การเขียนพรรณนา หมายถึงการเขียนที่เรียบเรียงถ้อยคาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เพื่อให้ รายละเอียดในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งไม่ว่าบุคคล สัตว์พืช วัตถุสถานท่ีหรือเหตุการณ์ โดยเน้นให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านนึก เป็นภาพที่เด่นชัดและเกิดอารมณ์ความรู้สึกตามท่ีผู้ส่งสาร โดยมักจะมุ่งหมายโวหารพรรณนามีลักษณะ วรรณศิลป์มากกว่าโวหารอย่างอื่น เนื่องจากมีการใช้ถ้อยคาที่ก่อให้เกิดภาพพจน์และอารมณ์สะเทือนใจ การเขียนพรรณนา เปน็ การบอกสภาพของสิ่งของบุคคล โดยไม่คานึงถึงการเรียงลาดับเหตุการณ์ โดยแสดงถึง ความรสู้ ึกประทับใจอย่างลึกซ้ึงได้ ลกั ษณะการเขยี นพรรณนา เป็นการเขียนทม่ี ุ่งอธบิ ายความ ให้เห็นสภาพหรอื ลกั ษณะท่ลี ะเอยี ดลออเป็นการพรรณนาความรู้สึก ในเนอ้ื ความ ทั้งอาจจะเป็นความรู้สกึ ประทับใจหรอื สะเทือนใจ ไปกับเนือ้ ความทพี่ รรณนานน้ั ๆ เชน่ เขียนเร่อื ง “อาหาร” ถ้ากล่าวถึงวธิ ีปรุงหรือคณุ ค่าอาหาร เป็นการเขียนบรรยาย แต่ถา้ เขียนเนน้ ความน่ารับประทาน รปู ลักษณะ สีสนั กลน่ิ รส ก็เป็นการเขยี นพรรณนา
๔๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ หลกั การเขยี นพรรณนา การเรียบเรียงขอ้ ความแบบพรรณนาโวหารเพอื่ กอ่ ใหเ้ กดิ ภาพพจนแ์ ละอารมณ์ มีหลักการเขียน ดังน้ี ๑. วิเคราะห์ส่ิงท่ีจะพรรณนาอย่างละเอียดว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง ส่วนใดเป็นลักษณะเด่น ส่วนใด เป็นลกั ษณะประกอบซง่ึ เสรมิ ลกั ษณะเด่น ลักษณะเด่นและลกั ษณะประกอบมีความเกย่ี วเนอื่ งกันอยา่ งไร ๒. เขียนพรรณนาลักษณะเด่น ตามลาดับความสาคัญหรือลาดับความมากน้อย ใหญ่-เล็ก เช่น พรรณนาลักษณะบุคคล ควรกล่าวถึงเรือนร่าง ใบหน้าและเคร่ืองแต่งกายตามลาดับ พรรณนาต้นไม้ โดยท่ัวไปมักกล่าวถึงลาต้นก่อนดอกและใบ แต่ถ้าต้องการเน้นสิ่งใดเป็นพิเศษก็กล่าวถึงส่ิงน้ันก่อนหรือ ขยายความใหม้ ากกวา่ ส่ิงอน่ื ๓. การคัดสรรถ้อยคาที่เหมาะสมท้ังเสียงและความหมาย โดยคา ๆ นั้น มีเสียงไพเราะและมี ความหมาย ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ทาให้เห็นภาพหรือได้ยินเสียงอีกด้วย โดยเฉพาะคานาม กริยา และวิเศษณ์ ควรเลือกเฟ้นอย่างพถิ พี ิถันให้สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื ความ ๔. ใช้คาหรือกลุ่มคาที่เป็นภาษาภาพพจน์ซึ่งได้แก่ ภาษาที่ผิดแผกจากปกติหรือผิดจากภาษาตาม ตวั อักษร เพ่ือให้เป็นสานวนแปลกใหม่และมใี หม้ องเห็นภาพ และเร้าอารมณ์ความรู้สึก ภาษาท่ีทาให้เกิดภาษา ภาพพจน์ตา่ ง ๆ เชน่ อปุ มา อุปลักษณ์ เป็นตน้ ประเภทของการเขียนพรรณนา ๑. การพรรณนาบุคคล จาเป็นต้องสังเกตรูปร่างหน้าตา การเดิน น้าเสียง การพูดจากิริยาอาการ ลักษณะนิสัยอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นบุคคลประเภทใด หรืออยู่ในฐานะใด เช่น ตัวตลกในบทละครหรือ เดก็ ท่เี ล่นตามหาดทราย โดยการเขียนเน้นเฟ้นหาบุคลิกลักษณะเฉพาะ ซ่ึงอาจร่าเริงแจ่มใส เคร่งขรึม เป็นต้น การพรรณนาบคุ คลทาไดส้ องวิธีคือการพรรณนาโดยตรงและพรรณนาโดยอ้อม ในการพรรณนาโดยตรงผู้เขียน กล่าวถึงลักษณะกิริยาอาการนิสัยใจคอหรือความคิดนึกของตัวละครเอง ส่วนการพรรณนาโดยอ้อมตัวละคร เป็นผู้เผยลักษณะต่าง ๆ ของตนดว้ ย คาพูดกริ ิยาทา่ ทางหรือให้ตัวละครอ่นื กล่าวพาดพงิ ถึง ๒. การพรรณนาสถานท่ี ควรจะได้สังเกตลักษณะที่เด่นของสถานท่ี ไม่ว่าจะเป็นท่ีคุ้นเคยมาแล้ว เช่น โรงเรียนหรือสถานที่ท่ีเพิ่งเคยเห็นเป็นคร้ังแรก จะต้องพิจารณาสีรูปร่าง ขนาด และการจัดวางสิ่งของ เมื่อสังเกตอย่างถ่ีถ้วนแล้วจึงเลือกพรรณนาเฉพาะลักษณะท่ีเด่นชัดที่จะเร้าความสนใจของผู้อ่าน และเรียงลาดบั การพรรณนาตามความเหมาะสม เช่น เร่มิ ต้นจากใกล้ไปหาไกล หรือจากบนลงล่าง เปน็ ต้น ๓. การพรรณนาธรรมชาติ ควรกล่าวถึงทิวทัศน์บรรยากาศ ตลอดจนพืชสัตว์ต่าง ๆ เช่น นก แมลง เปน็ ต้น เช่น ถ้าเป็นชายทะเลควรเน้นพรรณนาหาดทราย สีน้าทะเล คลื่นลม และสภาพใต้ทะเล หากเกี่ยวกับ ฤดกู าลควรเพง่ เล็งลกั ษณะพิเศษของแตล่ ะฤดูกาล เพื่อพรรณนาความสวยงามและลักษณะพเิ ศษตา่ ง ๆ ๔. การพรรณนาเหตุการณ์ ควรเลือกเหตุการณ์ที่เด่น ชวนติดตามหรือเร้าความตื่นเต้น สะเทือน อารมณ์ และควรใชก้ ารบรรยายประกอบเพื่อใหเ้ นือ้ เรื่องแจ่มแจง้ มากยิ่งขนึ้
๔๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ การเขยี นเรยี งความ เรียงความ เป็นงานเขียนที่ผู้เขียนมุ่งถ่ายทอดเรื่องราว ความคิด หรือทัศนคติในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ด้วยสานวนภาษาท่ีเรียงข้ึนอย่างมีลาดับขั้นตอน ประกอบด้วยข้อความหลายย่อหน้า มีช่ือเรื่องชัดเจน ข้อความในหลาย ๆ ย่อหน้าน้ันจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อจะให้ข้อเท็จจริง ความรู้ ข้อคิดหรือทาให้ผู้อ่าน รสู้ กึ คล้อยตามไปกับงานเขียนนน้ั ในการเขียนเรียงความผู้เขียนจะต้องมีการวางโครงเรื่อง ค้นคว้าหาข้อมูล และจัดเรียงลาดับความคิด ใหส้ ัมพนั ธก์ บั หวั เรอื่ งเพอ่ื การเขียนเรยี งความไดต้ รงตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ องคป์ ระกอบของการเขยี นเรียงความ ๑. คานา เป็นส่วนแรกของเรียงความ ทาหน้าที่เปิดประเด็นหรือดึงดูดความสนใจ โดยคานึงถึง การนาเข้าสู่เน้อื เรอ่ื งที่ตนจะเขยี น เนน้ ศิลปะในการใชภ้ าษาใหน้ ่าสนใจ ๒. เน้ือเรื่อง เป็นส่วนสาคัญและยาวที่สุดของเรียงความ ประกอบด้วยความรู้ ความคิด และข้อมูล ท่ีผู้เขยี นคน้ คว้า และเรียบเรียงอย่างเปน็ ระบบระเบียบ ๓. สรุป เป็นส่วนสุดท้าย ผู้เขียนจะทิ้งท้ายให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ โดยใช้ข้อความท่ีทาให้ผู้อ่าน เกดิ ความประทบั ใจซงึ่ การเขยี นสรปุ มีหลายวิธี เช่น ฝากข้อคิดและความประทับใจให้ผู้อ่าน ย้าความคิดสาคัญ ของเร่ือง ชักชวนให้ปฏิบัติตาม ให้กาลังใจแก่ผู้อ่าน ตั้งคาถามที่ชวนให้ผู้อ่านคิดหาคาตอบ ยกคาพูด คาคม สุภาษติ หรือบทกวีทนี่ ่าประทับใจ เป็นต้น การเขยี นคานา คานาจะอยู่ส่วนต้นของเรียงความ ถือเป็นส่วนแรกท่ีเปิดประเด็นให้ผู้อ่านทราบว่าจะเขียนอะไร เป็นส่วนท่ีชักนาให้ผู้อ่านสนใจทาให้เรื่องน่าอ่านย่ิงข้ึน คานาจะต้องเขียนให้กระชับและกระตุ้นความสนใจ ของคนอ่าน
๔๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ลกั ษณะของคานาท่ดี ี ๑. เรา้ ใจคนอ่าน ทาให้เกดิ ความรู้สกึ อยากอ่าน ไมเ่ ขียนเรยี บง่ายเกนิ ไป ๒. เนอ้ื หาสอดคลอ้ งและตรงกบั เนอื้ เรื่อง ๓. เปดิ ประเดน็ เขา้ เรือ่ ง ไม่วกวน หรอื ยืดยาวเกินไป ๔. ใช้ภาษาประณตี สละสลวย และชวนอา่ น ๕. อาจเรมิ่ ตน้ ดว้ ยการยกคาพดู คาคม คาถาม คาประพันธห์ รอื สภุ าษิต ทีน่ ่าสนใจสอดคลอ้ งกับเน้ือหา แนวทางการเขยี นคานา การเขยี นคานามีหลายวธิ ี เราควรศึกษาวธิ ีการเขยี นคานาเพ่อื เป็นแนวทางสาหรับการฝกึ เขียน ดังนี้ ๑. คานาที่เขียนด้วยการเร่ิมต้นเรื่องอย่างตรงไปตรงมา โดยการกล่าวถึงสาระสาคัญของเร่ืองทันที ทาใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องที่จะอ่านต่อไปนั้นมีเน้ือหาเกี่ยวกับเรื่องใด และภาษาที่ใช้จะเป็นการสื่อความ อยา่ งตรงไปตรงมา ไมพ่ รรณนาความ ตัวอย่างการเขยี นคานา “เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรชั ญาทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั มีพระราชดารัสแก่ประชาชนชาวไทย ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะแต่การใช้จ่ายอย่างประหยัดเท่าน้ัน หากแต่ยังรวมถึงการมีชีวิต ทีส่ งบสขุ และย่ังยืนอีกดว้ ย” (คดั จากชุมชนของฉันกับวถิ ีพอเพียง ของเด็กหญงิ พรอสิ รา วงศ์สุภาพ) ๒. คานาที่กล่าวถึงความเป็นมาของเรื่องก่อนนาเข้าสู่เน้ือเร่ือง วิธีนี้จะเกร่ินนาถึงความเป็นมา ของเรื่องทีจ่ ะเขยี นถงึ ด้วยความเป็นมาอยา่ งย่อ ๆ แล้วจงึ นาเข้าสเู่ ร่ืองทีจ่ ะเขียน วิธนี ้ีจะช่วยให้ผู้อ่านทราบที่มา ของเรอ่ื ง และสามารถเช่อื มโยงความคดิ กบั เรอ่ื งท่ีกาลงั จะอา่ นได้อย่างต่อเนื่อง ตวั อย่างการเขียนคานา “การเดนิ ทางทางอากาศเริ่มจากที่มนุษย์สังเกตว่า “ทาไมนกถึงบินได้” ความคิดของมนุษย์มีไม่จากัด จงึ พยายามหาเหตุผลจนค้นพบและอาศยั หลักการเดียวกับนกบินมาออกแบบสร้างเคร่ืองบิน โดยพ่ีน้องตระกูล ไรท์เป็นผู้ริเร่ิมทดลองสร้างเครื่องร่อนจนสาเร็จ จากนั้นนักวิทยาศาสตร์หลาย ๆ คน ได้พัฒนาจนมาเป็น เครือ่ งบนิ ในปจั จบุ นั ทาให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางระหว่างประเทศได้รวดเร็ว การคมนาคมและการขนส่งก็สะดวก รวดเรว็ ประเทศไทยได้พัฒนาด้านคมนาคม ทางอากาศมานานเชน่ เดียวกัน” (คดั จากดอนเมอื ง : แนวทางการใช้ประโยชนส์ งู สดุ เพอื่ ชาติ ของนายนภดล จันโหนง)
๔๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๓. คานาท่ีเริ่มต้นด้วยข้อความที่กระตุ้นความสนใจของผู้อ่าน คานาประเภทนี้จะใช้ภาษาเร้าใจ ไมใ่ ช่ภาษาเรยี บ ๆ พน้ื ๆ ซง่ึ จะทาใหผ้ อู้ า่ นเกิดความรสู้ กึ อยากอ่านเรอ่ื งต่อไป ตัวอยา่ งการเขียนคานา “ท้องทุ่งนาสีทองอร่ามตาทอดยาวไกลสุดขอบฟ้า คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นข้าว แต่ละเม็ดให้คุณได้รับประทานในทุกวันน้ี ชาวนาไทยผู้ได้ชื่อว่าเป็น“กระดูกสันหลังของชาติ” ต้องลาบากและ เสียหยาดเหงื่อมาสักก่ีหยดกว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดมาให้เราได้รับประทานเพื่อประทังชีวิต แต่น้อยคนนักท่ี จะแลเห็นความสาคัญของพวกเขาเหล่านี้ คุณเคยคิดหรือไม่ว่า ถ้าหากวันหนึ่งไม่มีชาวนาแล้วจะเอาข้าว ที่ไหนกิน เราจะอยู่ได้อย่างไร ฉะน้ันวันน้ีถึงเวลาแล้วท่ีเราทุกคนจะต้องตระหนักถึงคุณค่าและความสาคัญ ของขา้ วแล” (คัดจากขา้ วกับชาวนาไทย ของนางสาวพัชรี หนองผือ) ๔. คานาท่ีเริ่มต้นด้วยการให้คาจากัดความหรือความหมายของคา การเขียนคานาประเภทน้ี เปรียบเสมือนการไขกุญแจเข้าไปสู่เน้ือเร่ืองด้วยการถอดรหัสความหมายสาคัญของเรื่อง (Key Word) ช่วยให้ ผู้อ่านเข้าใจเน้ือเรื่องที่จะอ่านได้ง่ายข้ึน การเขียนคานาวิธีนี้เหมาะสาหรับการเขียนคานาของเรียงความ ท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับคาศัพท์ใหม่ ๆ ท่ีมีความหมายของคาท่ีคนท่ัวไปยังไม่เข้าใจดีพอ หรือคาที่มีการนิยาม ความหมายแตกตา่ งกนั ออกไป ตวั อยา่ งการเขยี นคานา “AEC หรือ Asean Economics Community คือ การรวมตัวของชาติสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ท่ีเก่ียวข้องในด้านเศรษฐกิจหรือเรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นหมายสาคัญของ AEC คือเพื่อเพิ่มอานาจการต่อรองกับคู่ค้าและเพ่ิมขีดความสามารถในเวทีระดับโลก และเพื่อให้ประชาชนใน กลุ่มประเทศสมาชกิ มคี วามเปน็ อยทู่ ี่ดี และมนั่ คง” (คัดจากทาไมเด็กไทยต้องรแู้ ละเข้าใจ AEC ของนายศภุ วฒั น์ จารพุ นั ธ)์ ๕. คานาท่ีขึ้นต้นด้วยคาถามหรือข้อความชวนให้คิด ผู้เขียนอาจเร่ิมต้นด้วยประโยคคาถาม ทาให้ผ้อู ่านอยากจะตอบ หรือด้วยข้อความที่ชวนให้ผู้อา่ นเกดิ ความคิดในทางเห็นด้วยหรอื โต้แย้ง ตัวอย่างการเขียนคานา “ความดีหน้าตาเป็นอย่างไร รูปร่างลักษณะเป็นแบบไหน มีตัวตนหรือไม่ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่ฉันรู้ ฉันรู้ว่า ความดีไม่เคยทาให้ใครเดือนร้อน ถ้าคุณไม่เชื่อคุณก็ลองสัมผัสดูซิ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขทางใจมันย่ิงใหญ่ มหาศาลกว่าวตั ถุทีม่ นุษย์ในปัจจบุ ันแก่งแยง่ กนั ซะอีก” (คัดจากทาดีเพือ่ พอ่ ของนางสาววรรณี สังธรรมรอด)
๔๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๖. คานาที่เขียนด้วยการยกข้อความที่เป็นคาพูด คาคม คาขวัญ บทร้อยกรอง บทเพลง หรอื สุภาษติ ที่นา่ สนใจ โดยผเู้ ขียนจะยกขอ้ ความประเภทใดประเภทหน่งึ เหล่านี้มาประกอบคานาท่เี ขียน ตัวอยา่ งการเขยี นคานา “ในอดีตเม่ือกล่าวถึงครูหรือค้นหาคุณค่าของครู หลายคนคงนึกถึงความเปรียบทั้งหลายท่ีได้ยินจน ชินหู ไม่ว่าจะเป็นความเปรียบที่ว่า “ครูคือเรือจ้าง” “ครูคือปูชนียบุคคล” หรือ“ครูคือผู้ให้แสงสว่าง ทางปัญญา” ความเปรยี บเหล่านีล้ ว้ นแสดงให้เห็นคณุ คา่ ความเสยี สละ และการเปน็ นกั พฒั นาในตวั ครู…” (คัดจากครขู องฉัน ของนางสาวชอ่ ทพิ ย์ รักธรรม) การเขียนเนอ้ื เรอื่ ง เนือ้ เร่อื ง คอื ส่วนที่อยู่ถัดจากคานา เปน็ สาระสาคญั และรายละเอียดของเรื่อง ผู้เขียนต้องแสดงความรู้ อย่างกว้างขวางและสมบูรณ์ตรงตามหัวข้อเร่ืองท่ีเขียน โดยจะต้องเรียบเรียงเน้ือเรื่องไปตามลาดับของ โครงเรื่อง ซง่ึ จะมีกยี่ ่อหน้าก็ได้ตามแตข่ นาดของเน้ือเร่ือง ย่อหน้า คือข้อความหลายประโยค ซึง่ มีใจความสาคัญหรอื หัวข้อสาคัญเพยี งประเดน็ เดยี ว ลักษณะของเนอ้ื เรอ่ื งทดี่ ี เน้ือเรอ่ื งท่ีดีจะต้องมีความเป็น “เอกภาพ” คือ มเี นือ้ หาไปในทศิ ทางเดยี วกนั และไม่กล่าวนอกเร่อื ง ซง่ึ จะต้องมี “สัมพันธภาพ” เชื่อมโยงสัมพันธก์ ันอยา่ งเปน็ ระบบตลอดทั้งเรื่อง มกี ารวางโครงเรือ่ งและจดั ยอ่ หนา้ ไปตามลาดบั โดยเรียบเรยี ง ถ้อยคาท่เี หมาะสม และมี “สารัตถภาพ” คือมีเนื้อหาสาระท่ีสมบูรณต์ ลอดท้ังเรอื่ ง แต่ละยอ่ หน้าจะมีประโยคใจความสาคญั ทช่ี ัดเจน และมปี ระโยคขยายความทีม่ นี ้าหนกั ช่วยใหป้ ระโยคใจความสาคัญน้นั มีความสมบูรณ์ย่งิ ขน้ึ การเขียนส่วนสรุป ส่วนสรุปจะอยู่ทา้ ยขอ้ ความ ทาหนา้ ท่ปี ดิ เรือ่ ง โดยเปน็ การฝากขอ้ คิด หรอื ความประทับใจแกผ่ ู้อ่าน ลักษณะของสรปุ ที่ดี ๑. เขยี นทงิ้ ทา้ ยให้ผ้อู า่ นเกดิ ความรู้สกึ ประทบั ใจหรือชักจูงใจผอู้ า่ นให้เกิดความร้สู กึ ตาม ๒. ใช้ภาษาส้นั ๆ กระชบั และได้ใจความ ๓. ใจความของส่วนสรุปต้องสมั พันธก์ บั เนือ้ เรอ่ื ง และอาจเนน้ ยา้ ใจความสาคัญของเรือ่ ง
๔๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เลม่ ๑ แนวทางการเขียนสรุป ๑. การเขยี นบทสรุปดว้ ยการยา้ แนวคดิ สาคญั ของเรอ่ื ง ตวั อยา่ งการเขียนสรุป “ข้าวและชาวนาไทยมีความสาคัญกับประเทศไม้แพ้กับอาชีพอ่ืน ๆ เราเองอาจจะเป็นชาวนาหรือไม่ เป็นชาวนาก็ตามแต่ ถ้าหากเราแลเห็นและตระหนักถึงความสาคัญของชาวนา รับรู้ถึงความยากลาบากของ การปลูกข้าว เข้าใจวิถีชีวิตของคนที่ถูกเรียกขานว่ากระดูกสันหลังของชาติ ข้าวและชาวนาไทยก็จะอยู่ คู่สังคมไทยตอ่ ไป” (คัดจากขา้ วกับชาวนาไทย ของนางสาวพัชรี หนองผอื ) ๒. สรุปดว้ ยการฝากขอ้ คิดและให้ความประทบั ใจแกผ่ ้อู า่ น ตวั อย่างการเขยี นสรุป “ความรักเป็นสิ่งท่ีดี สวยงาม และทาให้ชีวิตมีความสุข หากเพ่ือน ๆ จะมีความรักในวัยเรียนก็ไม่ใช่ เร่ืองที่ผิด แต่ความรักนั้นก็ควรอยู่ในกรอบของความเหมาะสม ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรจะปฏิเสธความรัก ความห่วงใยจากพ่อและแม่ เพราะทุกสิ่งท่ีท่านทาทุกถ้อยคาที่ท่านพร่าสอนมาจากความรักความหวังดีอย่าง บริสุทธิใจ ที่สาคัญท่ีสุดเพ่ือน ๆ ต้องไม่ละท้ิงการเรียน เพราะวิชาความรู้ท่ีเพื่อนๆ ได้รับล้วนเป็นบ่อเกิด แหง่ ความสาเร็จในชีวติ เพ่อื นเอย...จะบอกให้ว่าความรกั ย่งิ ใหญ่และมีอทิ ธิพลตอ่ เราเสมอ ฉะน้ันเราต้องเรียนรู้ และเข้าใจคาวา่ “ความรัก”” (คดั จากเพอ่ื นเอย...จะบอกให้ ของนางสาวทิตย์ติยา ช่ืนเจริญ) ๓. การเขยี นบทสรุปด้วยการใหค้ าตอบ ตวั อย่างการเขยี นสรุป “ความสงบจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกฝ่ายไม่ร่ว มมือกัน ควรจะมีความรัก ความสามัคคีต่อกัน ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ เพราะความรุนแรงไม่ได้ทาให้ปัญหาลดลง แต่ทาให้เกิดความสูญเสีย เพิ่มข้ึน จึงต้องมีการแก้ปัญหาด้วยวิธีท่ีดีที่สุดเพ่ือความสงบสุขของคนกลุ่มใหญ่ เมื่อมีความสงบ ความมั่นคง ก็จะตามมา และทาใหป้ ระเทศมีความเป็นปกึ แผน่ สามารถผา่ นอปุ สรรคทกุ อย่างได้” (คดั จากความสงบอยทู่ ี่ไหน ของนางสาวสธุ าสินี สอนทรัพย์)
๕๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๓ เล่ม ๑ ๔. การเขียนบทสรปุ ดว้ ยการตงั้ คาถาม เพื่อให้ผอู้ า่ นนาไปขบคิด ตวั อย่างการเขยี นสรุป “แนน่ อนว่าในสังคมปัจจุบันการท่ีเราจะหาใครสักคนเป็นเพื่อนแท้ได้น้ันเป็นเร่ืองยากมาก แต่เมื่อเรา ได้พบเพ่ือนแท้สักคนแล้ว เราก็ควรเก็บรักษามิตรภาพดี ๆ เหล่านั้นไว้ให้นานที่สุด และเพื่อน ๆ พบเพื่อนแท้ หรือยัง” (คัดจากเพอื่ นเอย...จะบอกให้ ของนางสาวแอม จันทรส์ ้ม) ๕. การเขียนบทสรุปดว้ ยการใหผ้ ู้อ่านปฏบิ ตั ติ ามหรอื เกดิ ความคิดเหน็ คลอ้ ยตามผเู้ ขยี น ตัวอยา่ งการเขียนสรุป “ฉนั เป็นคนไทยคนหนง่ึ และเป็นลูกของพ่อ ฉันจะทางานในหน้าท่ีของฉันด้วยหัวใจ มิใช่ทาตามหน้าท่ี เท่านั้น แม้วา่ สิง่ ที่ฉันทาอาจจะดเู ล็กนอ้ ยไม่ได้ย่ิงใหญ่อะไรมากมาย แต่ฉันก็ภูมิใจที่ได้ทาส่ิงที่พ่อทา “ความดี” ทาให้คนเปน็ คนดี ถ้าไมเ่ ชอื่ คณุ ก็ต้องทาแลว้ คุณจะรจู้ ักกบั ความดีอยา่ งแน่นอน” (คัดจากทาดเี พ่ือพ่อ ของนางสาววรรณี สังธรรมรอด) ๖. การเขยี นบทสรปุ ด้วยคาคม สุภาษิต คาขวัญ หรือบทร้อยกรอง ตัวอย่างการเขยี นสรุป “ฉันมีวันนี้ได้เพราะฉันได้รับโอกาสจากผู้มีพระคุณที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันญาติอะไรกับฉัน แต่ท่าน เป็นเสมือนแม่ และเป็นทุก ๆ อย่างให้กับฉัน แต่น่ันก็คือส่วนหน่ึง ทุกส่ิงทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา เพราะจะดี จะชั่วอยูท่ ่ตี วั ทา จะสูงหรอื ต่าอย่ทู ท่ี าตวั ” (คัดจากจะดีจะชว่ั อยู่ท่ีตัวทา จะสูงหรือต่าอยู่ที่ทาตัว ของนางสาวชนัดดา แสนลี)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127