Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือนานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย 4

หนังสือนานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย 4

Published by Anawin090641, 2022-01-20 05:50:34

Description: หนังสือนานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย 4

Search

Read the Text Version

คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย ๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ จัดทำโดย นางวาสนา อินทวงศ์ นายอนาวิล มากหนู

ภาษาไทย ถือเป็นภาษาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ เนื่องจากเป็น พื้นฐานสำหรับในการทำความเข้าใจเนื้อหาและการวิเคราะห์ในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ทั้งยังเป็นภาษาที่นักเรียนจำเป็นจะต้องใช้ติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน จึงเป็นสิ่งที่ นักเรียนจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจและศึกษาให้สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ภาษาไทยยังมีความสำคัญในฐานะการฝึกปฏิบัติให้ผู้เรียน เกิดทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิต เช่น ทักษะการเขียน ทักษะการอ่าน ทักษะการฟัง ดู และพูด ทักษะทางความคิดและการสร้างสรรค์ เป็นต้น หนังสือ “นานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย ๔ ระดับชั้น ม.๒” นี้ เป็น เอกสารประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาไทย ๔ (ท๒๒๑๐๒) สำหรับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ ๒ โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ซึ่ง เนื้อหาภายในเล่มเป็นสาระความรู้ที่เป็นพื้นฐานและใช้สำหรับการศึกษาเพิ่มเติม โดยประกอบไปด้วยเนื้อหาสาระดังนี้ ๑. อ่านพินิจคิดพิจารณ์ มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสาระการอ่าน ๒. อักษรสารจารจารึก มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสาระการเขียน ๓. ตรึกตรับ ทัศนา วาจาเลิศ มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสาระการฟัง ดู และพูด ๔. เพลินเพลิดการใช้ภาษาไทย มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสาระหลักภาษาและ การใช้ภาษาไทย ๕. ท่องไปในแดนวรรณคดี มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสาระวรรณคดี วรรณกรรม ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ “นานาความรู้ คู่มือการเรียนวิชาภาษาไทย ๔ ระดับชั้น ม.๒” เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนในการศึกษารายวิชาภาษาไทย ๔ (ท๒๒๑๐๒) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ต่อไป คณะผู้จัดทำ

คำนำ.........................................................๒ สารบัญ.....................................................๓ อ่านพินิจคิดพิจารณ์..............................๔ อักษรสารจารจารึก...............................๔๓ ตรึกตรับ ทัศนา วาจาเลิศ....................๗๒ เพลินเพลิดการใช้ภาษาไทย................๘๑ ท่องไปในแดนวรรณคดี........................๙๔ บรรณานุกรม..........................................๑๒๙

ความรู้พื้นฐานการอ่าน...........................๕ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง............๗ ผังความคิดสรุปความเข้าใจ..................๒๕ ความสมเหตุสมผลของงานเขียน..........๒๘ การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็น..........................................๓๐ การอ่านวิเคราะห์ เพื่อประเมินคุณค่า..................................๓๒

๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ความรู้พ้นื ฐานในการอา่ น การอ่านเป็นทักษะสาคัญท่ีนักเรียนควรศึกษาและฝึกปฏิบัติให้สามารถมีทักษะการอ่านที่ดีได้ เนอื่ งจากการอ่านถอื เป็นปัจจัยพืน้ ฐานสาหรับการเรยี น ไมเ่ ฉพาะสาขาวิชาภาษาไทย แตถ่ ือเป็นพื้นฐานสาหรับ การเรียนรูใ้ นทุกสาขาวชิ า โดยเฉพาะทักษะการอ่านจับใจความ ตีความ และประเมินคุณค่าของการอ่านนั้น ๆ เพื่อสามารถพิจารณาความเหมาะสมและความถูกต้องของเรื่องที่อ่านได้ ท้ังนักเรียนยังควรศึกษามารยาท ในการอา่ นให้แตกฉาน เพื่อสามารถนาไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและก่อใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด กระบวนการอ่าน ขนั้ ที่ ๑ การอา่ นออก อ่านได้ หรืออา่ นออกเสียงไดถ้ กู ตอ้ ง ข้ันที่ ๒ การอา่ นแลว้ เขา้ ใจ ความหมายของคา วลี ประโยค สรปุ ความได้ ขั้นท่ี ๓ การอา่ นแลว้ รู้จกั ใช้ความคดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ และออกความคิดเห็น ในทางที่ขดั แย้งหรือเหน็ ดว้ ยกับผ้เู ขยี นอย่างมีเหตุผล ขนั้ ท่ี ๔ การอา่ นเพ่ือนาไปใช้ ประยุกต์ใชใ้ นเชงิ สร้างสรรค์ สามารถความคิดท่ีไดจ้ ากการอ่าน ไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป

๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ มารยาทในการอา่ น มารยาทในการอ่านโดยทว่ั ไป ๑. มสี มาธใิ นการอา่ น อา่ นอย่างตั้งใจ ๒. นงั่ อา่ นในท่าทางสบาย ตวั ตรง สุภาพเพอ่ื ให้เปน็ นิสัย ๓. หยบิ จบั หนงั สอื อยา่ งเบามอื ไมพ่ ับหรอื ขีดเขยี นหนังสือ ไมว่ า่ จะเปน็ หนงั สือส่วนตัวหรอื ส่วนรวม ๔. ไมฉ่ กี สว่ นใดส่วนหนง่ึ ของหนังสือ ๕. ไม่แย่งหนงั สอื ของผู้อ่นื มาอา่ น ๖. ไม่ทานขนมหรอื อาหารขณะอ่านหนงั สอื เพราะอาจทาใหห้ นงั สอื เปรอะเปอ้ื นได้ ๗. ไมท่ ากจิ กรรมอ่นื ๆ ระหว่างอ่านหนงั สือ เพราะจะทาใหอ้ ่าน หนังสอื ได้ไม่เต็มที่ เช่น การฟังเพลง การดูโทรทัศน์ เปน็ ตน้ ๘. ไม่อ่านเอกสารหรอื ข้อความของผูอ้ ืน่ โดยไม่ได้รบั อนญุ าต ๙. เมื่ออา่ นหนังสือเสร็จควรเก็บไวใ้ หเ้ ปน็ ทเี่ ป็นทาง ๑๐. อา่ นหนังสอื ให้ถกู กาลเทศะ เช่น ไม่ควรอ่านหนงั สือขณะประชุม เพราะแสดงถึงความไมใ่ สใ่ จ ไมใ่ ห้เกยี รติผู้พูด เปน็ ตน้ มารยาทในการอา่ นในใจ ๑. ไมอ่ อกเสียงหรือพูดคยุ เสียงดังรบกวนผูอ้ ืน่ ๒. จดจอ่ และมสี มาธิกบั เร่อื งทอ่ี า่ น ๓. ไม่แสดงอาการหรอื สรา้ งความราคาญใหก้ ับผ้อู ่นื มารยาทในการอ่านออกเสียง ๑. อา่ นเสียงดังฟงั ชดั แต่ไม่ใช่การตะคอก ๒. อา่ นออกเสยี งถกู ตอ้ งตามอกั ขรวิธี คาถงึ ถงึ การเว้นวรรคตอน และความหมายของคา เพื่อเลีย่ งความกากวมของภาษา ๓. ใชน้ ้าเสียง ลีลาทา่ ทางประกอบการอ่านให้เหมาะสม ๔. วางบคุ ลิกภาพในการอา่ นเหมาะสม ไม่ยนื หลงั คอ่ ม สบสายตา ผูฟ้ งั บ้างตามความเหมาะสม การแต่งกายเรยี บรอ้ ย เปน็ ต้น

๗เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง ร้อยกรอง เป็นงานเขียนรูปแบบหน่ึงของไทย โดยอาจจะใช้คาเรียกว่า “บทประพันธ์” ก็ได้ ซึ่งเป็น การเขียนท่ีมีรูปแบบกาหนดแน่ชัด มีฉันทลักษณ์ท่ีแตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเภท มีการคานึงการใช้คา และความไพเราะมากกวา่ งานเขยี นประเภทร้อยแก้ว โดยปกติการอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง สามารถอ่านได้ ๒ ลักษณะคือ การอ่านทานองธรรมดา และการอ่านทานองเสนาะ การอา่ นทานองธรรมดา เป็นการอ่านโดยใช้เสียงตามปกติ แต่จะต้องคานึงจังหวะการแบ่งวรรคตอน การอา่ นตามรูปแบบของฉันทลกั ษณเ์ ทา่ นนั้ โดยไมจ่ าเป็นจะตอ้ งใส่อารมณ์หรือลีลาในการอา่ น การอ่านทานองเสนาะ พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า “วิธีการ อา่ นออกเสยี งอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน” การอ่านร้อยกรองให้มีความไพเราะและได้อรรถรสน้ัน ผู้อ่านต้องออกเสียงเป็นทานองให้มีเสียงสูง เสียงกลาง เสียงต่า สั้น ยาว หนัก เบาตามถ้อยคาและจังหวะของคาประพันธ์แต่ละประเภท ต้องใช้ท้ังศาสตร์ และศลิ ป์ เพ่อื ส่อื ถอ้ ยคา ทานองและลลี าอารมณใ์ ห้ได้สุนทรยี รสอย่างแท้จรงิ การใชศ้ าสตรใ์ นการอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง การใช้ศาสตร์ หมายถึง สาระความรู้ท่ีผู้อ่านควรทราบก่อนการอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ให้เกิดความไพเราะและถกู ต้องตามหลกั การอา่ น ผอู้ ่านควรมีความรูใ้ นดา้ นตอ่ ไปนี้ คือ ๑. ฉันทลักษณ์ ผู้อ่านต้องสามารถบอกได้ว่าคาประพันธ์ท่ีจะอ่านเป็นคาประพันธ์ชนิดใด มีช่ืออะไร เพราะคาประพันธ์ประเภทเดียวกัน แต่ต่างช่ือกัน มีทานองแตกต่างกัน เช่น คาประพันธ์ประเภทกาพย์ มกี าพยย์ านี ๑๑ กาพยฉ์ บัง ๑๖ และกาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ เป็นตน้ ๒. ทานอง หมายถึง การออกเสียงสูง เสียงต่า ให้มีจังหวะและออกเสียงสั้นหรือยาวตามลักษณะ คาประพนั ธแ์ ตล่ ะชนิด ๓. อักขรวิธี ผู้อ่านควรออกเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ให้ถูกต้องและชัดเจนตามอักขรวิธี โดยเฉพาะคาท่ีมีเสยี งคล้ายกัน เชน่ เสยี ง ร ล ท ต ป พ และอกั ษรควบ เปน็ ตน้

๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ๔. การอ่านคา ผอู้ ่านควรมคี วามรู้ด้านการออกเสยี งคาในคาประพันธ์ ซ่งึ มี ๒ ลกั ษณะ คือ ๔.๑ การอา่ นคาตามทร่ี าชบัณฑิตยสถานกาหนดใหอ้ า่ น เชน่ จักจัน่ อา่ นว่า จกั -กะ -จัน่ พรหมโลก อา่ นว่า พรฺ ม -มะ – โลก ๔.๒ การอา่ นคาแบบเอือ้ สมั ผสั ใน เพ่อื ใหไ้ ดร้ สสัมผสั คา เชน่ คดิ ถงึ บาทบพติ รอดศิ ร อ่านวา่ อะ – ดดิ – สอน สินสมุทรสุดคิดถึงบิดา อา่ นวา่ บิด – ดา ๕. เสียงวรรณยุกต์ ผู้อ่านควรรู้ว่าแต่ละคาที่อ่านเป็นเสียงวรรณยุกต์อะไร โดยต้องมีความรู้เรื่อง ไตรยางศเ์ ปน็ พื้นฐานดว้ ย อกั ษรสูงและอกั ษรกลาง สามารถผันได้ตรงเสียงวรรณยกุ ตท์ ีก่ ากับ เชน่ ข่ี เปน็ เสียงวรรณยกุ ต์เอก ป้า เปน็ เสยี งวรรณยกุ ตโ์ ท สว่ นอักษรตา่ ผนั ไม่ตรงเสียงวรรณยกุ ต์ เชน่ คี่ เปน็ เสียงวรรณยกุ ต์โท ช้า เปน็ เสียงวรรณยกุ ต์ตรี เสียงวรรณยุกตท์ ่สี าคัญในการอา่ นทานองเสนาะ คือเสยี งจตั วาและเสียงตรี ๑. เสียงจัตวา หากเสียงจัตวาที่อยู่ท้ายวรรคของคาประพันธ์ทุกประเภท ต้องใช้ศิลปะอ่าน ใหเ้ สยี งสูง เชน่ สักวาดาวจระเขก้ เ็ หหก ศีรษะตกหนั หางขน้ึ กลางหาว คาว่า หาว เปน็ เสยี งวรรณยกุ ต์จัตวา ๒. เสยี งตรี โดยเฉพาะในการอ่านคาประพนั ธป์ ระเภทโคลงสีส่ ภุ าพ เชน่ เขาขันคูคคู่ ู้ เคยี งสอง เยือ้ งย่างนางยงู ทอง ทอ่ งทอ้ ง ทวิ ทุ้งทงุ่ ทงุ มอง มัจฉพราศ เทาเทา่ เท้ายางหย้อง เลยี บลม้ิ ริมธาร (โคลงอักษรสามหมู่ : พระศรมี โหสถ) คาวา่ คู้ เย้อื ง ทอ้ ง ทุ้ง เทา้ และล้ิม เปน็ คาเสยี งวรรณยุกต์ตรี ควรออกเสียงใหต้ รงเสียง ๖. จังหวะ คาประพันธ์แต่ละประเภทแบ่งเป็นวรรค ๆ แต่ละวรรคมีจังหวะการอ่านแตกต่างกันไป ตามปกติ จงั หวะหน่งึ ๆ แบง่ คาไม่เกิน ๓ คา เชน่ ๖.๑ กาพยย์ านี ๑๑ แบ่งจังหวะเปน็ ๒–๓ ๓–๓ OO / OOO OOO / OOO ยงู ทอง ยอ่ งเย้ืองย่าง รารางชาง ชา่ งฟา่ ยหาง ปากหงอน ออ่ นสาอาง ช่างราเล่น เต้นตามกนั (กาพยห์ ่อโคลงประพาสธารทองแดง : เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศวร)

๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๗. ลีลา อารมณ์ รสคาและรสความ หมายถึง การออกเสียงให้ได้อารมณ์ตามถ้อยคาในคาปะพันธ์ ทอี่ ่าน เช่น อารมณ์ ต่ืนเตน้ ตกใจ โกรธ รัก อ้อนวอน อ่อนโยน และเยาะเยย้ เป็นต้น ดังตัวอย่าง บทเศรา้ ลูกกแ็ ลดแู ม่แม่ดลู ูก ตา่ งพนั ผกู เพียงว่าเลือดตาไหล สะอนื้ รา่ อาลาด้วยอาลัย แลว้ แข็งใจจากนางตามทางมา (ขนุ ช้างขุนแผน : สนุ ทรภู่) บทโกรธ พระโยคีช้หี น้าวา่ อเุ หม่ ยังโวเ้ ว้วนุ่ วายอตี ายโหง เพราะหวงผวั มวั เมาเฝา้ ตะโกรง ว่ากูโกงกต็ กนรกเอง (พระอภยั มณี : สนุ ทรภู่) ศิลปะการใช้เสียงในการอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง ผู้อ่านควรศึกษาและฝึกฝนศิลปะการใช้เสียงท่ีจะช่วยให้การอ่านทานองเสนาะมีความไพเราะ น่าฟัง มดี งั นี้ ๑. การใช้ศิลปะดา้ นเสยี ง ๑.๑ ระดับเสียง สามารถออกเสียงสูงและต่าได้ คาประพนั ธ์แต่ละประเภทมีลักษณะการออก เสยี งสงู ตา่ ต่างกัน ผอู้ า่ นจึงต้องจดจาและแยกเสยี งสงู ตา่ อยา่ งแมน่ ยา ๑.๒ การออกเสียงแบบลีลาต่าง ๆ ท่ีช่วยให้ได้อรรถรสและเข้าถึงอารมณ์ต่าง ๆ การออก เสียงท่สี าคญั มดี ังนี้ การเอือ้ นเสียง เปน็ การออกเสียงท่ีไม่มีถ้อยคา แต่ใชเ้ สียงเปล่า เป็นทานองลากเสยี งใหย้ าวออกไปไม่ขาดตอน เพอ่ื เชอ่ื มร้อย ถอ้ ยคาการอ่านให้ต่อเนือ่ งกัน ไมท่ าใหท้ ว่ งทานองขาดจงั หวะ หรือขาดหายเปน็ ชว่ ง ๆ การโหนเสียงสงู เป็นการรอ้ งคาท้ายวรรคท่มี เี สยี งจตั วา ด้วยลีลาท่ตี ่อเน่ืองจากเสียงสงู ขนึ้ ไปจะทาใหก้ ารขับร้อง มคี วามไพเราะนมุ่ นวลย่ิงขึ้น

๑๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การทอดเสยี ง เป็นการผอ่ นจงั หวะใหช้ ้าหรอื เบาลง อาจเรยี กว่าการทอดจังหวะ หรือการถอนจังหวะ โดยการผอ่ นระบายลมหายใจจนหมดในชอ่ งท้อง สว่ นมาก มักทอดเสยี งวรรคสุดท้ายตอนจบของคาประพนั ธ์ การหลบเสยี ง เป็นการหกั กระแสเสยี งกลบั ในกรณีทีใ่ ช้ ออกเสยี งสูง แลว้ หลบไปออกเสียงตา่ ผู้อา่ นต้องรู้จัก ออกเสยี ง อยา่ ใหเ้ พ้ียน หรือหลงทานอง การครนั่ เสียง เปน็ การทาใหส้ ่นั เสยี งหรอื มีลกู คอ ทาใหก้ ลา้ มเน้ือในกล่องเสียงเคล่อื นไหวเป็นเสยี งพล้วิ ขนึ้ ลง เป็นคลน่ื มกั ใชใ้ นกรณที ่ีตอ้ งการเน้นความร้สู กึ หรือให้ เห็นภาพชดั เจนข้นึ การครวญเสยี ง เปน็ การทาเสยี งใหฟ้ ังดูเศร้า ครวญครา่ หรืออาลยั อาวรณ์ ควรอ่านออกเสยี งช้า มีลีลาแบบการครน่ั เสียง การกระแทกเสยี ง เป็นการออกเสียงคาให้หนักกวา่ ปกติ มจี ังหวะเรว็ มกั ใช้แสดงอารมณ์โกรธ ต่ืนเตน้ การตอ่ สู้ หรือบททแี่ สดงความรนุ แรงของธรรมชาติ การรวบคา เปน็ การรวบเสียงของการอ่านคาใหก้ ระชบั โดยสว่ นมากมกั ใช้รวมคาที่เปน็ สระเสียงสนั้ ให้ออกเสียงกึง่ เสียง เท่านน้ั เพ่ือรกั ษาทานองหรอื จังหวะในการอา่ นเอาไว้

๑๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒. การใชศ้ ิลปะด้านทานอง การอา่ นออกเสียงบทร้อยแกว้ หรอื การอ่านทานองเสนาะ แบง่ การใชท้ านองเป็น ๒ ประเภท คือ ๒.๑ ทานองตามฉันทลักษณ์ คือ กลอน กาพย์ โคลง ร่าย และฉันท์ มีลักษณะแตกต่างกัน ผอู้ า่ นจึงควรจาทานองของคาประพันธ์ โดยหาบทตน้ แบบไวส้ าหรับเทยี บเสยี งเทยี บทานอง ๒.๒ ทานองหลากลีลา หมายถึง การใชท้ ว่ งทานองอื่น ๆ ใส่ในคาประพนั ธ์ เช่น ทานองเพลง ไทยเดิม (เทพทอง ลาวครวญ กราวนอก มอญดูดาว ฯลฯ) ทานองเพลงพื้นบ้าน (หนังตะลุง โนรา เพลง กล่อมเด็ก ลิเก แหล่ เพลงฉ่อย เพลงขอทานเพลงเก่ียวข้าว เพลงพวงมาลัย ฯลฯ) ทานองเสภา ทานอง ห่นุ กระบอก ทานอง เหเ่ รอื ทานองโอ้เอว้ ิหารราย เปน็ ตน้ บทอาขยาน บทอาขยาน เป็นบทท่องจาของภาษาไทย ท่ีว่าด้วยเร่ืองเก่ียวกับการใช้คาให้ถูกต้อง ตัวอย่าง โคลงกลอนต่าง ๆ บทอาขยานบางบทยังได้สอดแทรกข้อคิดและคติสอนใจเอาไว้ด้วย โดยทั่วไปบทอาขยาน อาจจะใช้สาหรับการอ่านแบบร้อยแก้วหรือการอ่านแบบร้อยกรองก็ได้ หากมีการใส่ท่วงทานองหรือจังหวะ เพื่อเพ่ิมความไพเราะ อาจจะเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า “ทานองเสนาะ” โดยท่ัวไปบทอาขยานมี ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. บทอาขยานบทหลัก หมายถึง บทอาขยานท่ีกระทรวงศึกษาธิการกาหนดให้นักเรียนท่องจาเพื่อ ความเปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกันทวั่ ประเทศ ๒. บทอาขยานบทเลือกหรือบทอาขยานบทรอง หมายถึง บทอาขยานที่ครูผู้สอนหรือสถานศึกษา เปน็ ผู้กาหนดใหน้ กั เรยี นทอ่ งจาเสริมจากบทอาขยานท่ีกระทรวงศึกษาธกิ ารกาหนด วิธีการอา่ นบทอาขยาน การอ่านบทอาขยานส่วนใหญ่เป็นการอ่านออกเสียง คือ ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ ในขณะที่ใช้ สายตากวาดไปตามตัวอักษร ยึดหลักการอ่านออกเสียงเหมือนหลักการอ่านท่ัวไป เพื่อให้การอ่านออกเสียง มีประสิทธิภาพควรฝกึ ฝน ดังน้ี ๑. กวาดสายตาจากคาต้นวรรคไปยังท้ายวรรค และเคลื่อนสายตาไปยังวรรคถัดไปอย่างรวดเร็ว โดยไมต่ ้องส่ายหน้าตามไป เพอื่ เปน็ การอา่ นล่วงหนา้ ทาให้การอ่านออกเสยี งต่อเนอื่ งกันไปโดนไมส่ ะดดุ ซะงัก ๒. ฝึกเปล่งเสียงให้ดังพอประมาณโดยพิจารณาถึงกลุ่มผู้ฟังและสถานท่ี ควรบังคับเสียง เน้นเสียง ปรบั ระดบั เสยี งสูง - ต่า ให้สอดคล้องกบั จงั หวะลีลา ท่วงทานอง และความหมายของเนื้อหาท่ีอา่ น ๓. อ่านด้วยเสียงท่ีชัดเจน แจ่มใส ไพเราะ ถูกต้องตามหลักการอ่านคาประพันธ์ชนิดน้ัน ๆ และแบ่ง วรรคตอนหรอื เข้าใจฉันทลกั ษรข์ องบทประพนั ธ์ เปล่งเสียงจากลาคอโดยตรงด้วยความมัน่ ใจ ๔. ควรทรงตัวและรกั ษาอากัปกิรยิ าให้ถูกวิธี สบตากบั คนฟังเปน็ ระยะ ๆ ๕. อ่านออกเสยี งให้ถกู อักขรวธิ ีหรือความนิยม

๑๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ บทอาขยานบทหลกั ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒ ภาคเรยี นท่ี ๒ โคลงสภุ าษติ นฤทมุ นาการ ๑. เพราะทาความดีทั่วไป ทาดีไป่เลือกเวน้ ผู้ใด ใดเฮย แต่ผูกไมตรไี ป รอบข้าง ทาคณุ อดุ หนนุ ใน การชอบ ธรรมนา ไรศ้ ตั รปู องมลา้ ง กลับซอ้ งสรรเสริญ ๓. เพราะถามฟงั ความก่อนตดั สนิ ยินคดีมเี ร่อื งน้อย ใหญไ่ ฉน กด็ ี ยังบล่ งเห็นไป เดด็ ดว้ น ฟงั ตอบสอบคาไข คิดใคร่ ครวญนา หอ่ นตดั สนิ ห้วนห้วน เหตุดว้ ยเบาความ ๔. เพราะคดิ เสยี ก่อนจงึ พูด พาทมี สี ตริ ้งั รอคิด รอบคอบชอบแลผดิ ก่อนพร้อง คาพูดพ่างลิขติ เขยี นรา่ ง เรียงแฮ ฟงั เพราะเสนาะตอ้ ง โสตทงั้ ห่างภยั ๗. เพราะขอโทษบรรดาท่ีไดผ้ ดิ ใดกจิ ผดิ พลาดแล้ว ไป่ละ ลมื เลย หย่อนทิฐมิ านะ ออ่ นนอ้ ม ขอโทษเพอื่ คารวะ วายบาด หมางแฮ ดกี ว่าปดออ้ มค้อม คดิ แก้โดยโกง (โคลงสภุ าษิตนฤทุมนาการ : พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว)

๑๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ บทอาขยานบทเลอื กระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๒ ภาคเรยี นท่ี ๒ รามเกยี รต์ิ ตอน ศึกอนิ ทรชิต บษุ เอยบุษบกแก้ว สีแววแสงวับฉายฉาน หา้ ยอดเหน็ เยีย่ มเทียมวมิ าน แก้วประพาฬกาบเพชรสลับกนั ช้ันเหมชอ่ หอ้ ยลว้ นพลอยบุษย์ บลั ลังก์ครุฑลายเครือกระหนกค่นั ภาพรายพน้ื รูปเทวญั คนธรรพค์ นั่ เทพกนิ นร เล่อื นเมฆลอยมาในอากาศ อาไพโอภาสประภัสสร ไขแสงแข่งสีศศิธร อัมพรเอี่ยมพื้นโพยมพราย ดั่งพระจันทร์เดนิ จรสอ่ งดวง แลเฉดิ ลอยช่วงจารสั ฉาย ดาวกลาดดาษเกล่ือนเรยี งราย เร็วคล้ายรบี เคล่ือนเลื่อนลอย (รามเกียรติ์ : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) อย่าเหน็ กงจักรว่าเปน็ ดอกบวั อย่า นยิ มสิ่งรา้ ยชอบ ชมชัว่ เห็น สนกุ ทกุ ขถ์ ึงตัว จงึ่ รู้ กง จกั รวา่ ดอกบัว บอกรบั เร็วแฮ จักร พัดเศียรรอ้ งอู้ จงึ่ รผู้ ิดตน เห็น สนุกกลบั ทกุ ข์ทน อย่า นิยมสิ่งทุกข์ จกั ร พดั ตนจึงรตู้ ัว กง จกั รวา่ บัวจน ชอบกรรม ชว่ั นา โทษไว้ ว่า โอ้เรานี้ชัว่ นึกชอบ เป็น อกตัญญูทา ด่ังนีก้ รรมสนอง ดอก บวั ยวั่ เนตรนา เปน็ อกตัญญูมวั หมอง บวั กลับเป็นจกั รได้ บัว ผดิ ปองเปน็ จักรไป ว่า โอ้ตวั เรานน้ั (นคิ มพจน์กาพยห์ ่อโคล : พระยาอุปกิตศิลปสาร) ดอก บัวย่ัวจิตจอง

๑๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ การอ่านออกเสียงกาพยย์ านี ๑๑ กาพย์ คือ ลักษณะการแต่งคาประพันธ์ไทยชนิดหน่ึง มีท่ีมาไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นคาประพันธ์เดิม ของชาติใด ตารากาพย์เก่าแก่ท่ีมีอยู่ในปัจจุบันคือ กาพย์สารวิลาสินี และ กาพย์คันถะ แต่งเป็นภาษาบาลี ไม่ทราบช่ือผู้แต่ง แต่สันนิษฐานกันว่าแต่งขึ้นในล้านนาสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา ในปัจจุบันกาพย์ มีการพัฒนาและสร้างรูปแบบแตกแขนงมากมายหลายชนิด แต่กาพย์ท่ีได้รับความนิยมในการแต่งมี ๓ ชนิด ได้แก่ กาพยย์ านี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ฉันทลกั ษณ์กาพยย์ านี ๑๑ กาพย์ยานี ๑๑ บทหนึ่งมี ๒ บาท ได้แก่ บาทเอกและบาทโท บังคับจานวนคาบาทละ ๑๑ คา แบ่งเปน็ ๒ วรรค วรรคแรก ๕ คา วรรคหลัง ๖ คา สัมผัสกาพย์ยานี ๑๑ ได้แก่ คาสุดท้ายของวรรคแรกบาทเอกสัมผัสกับคาที่ ๓ ของวรรคหลังบาทเอก และคาสุดทา้ ยของวรรคหลังบาทเอกสัมผัสกับคาสุดท้ายของวรรคแรกบาทโท นอกจากนี้ยังมีสัมผัสระหว่างบท ไดแ้ ก่ คาสดุ ท้ายของวรรคหลังบาทโทสัมผัสกบั คาสุดทา้ ยของวรรคหลงั บาทเอกของบทต่อไป

๑๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ บทตัวอยา่ ง สาธุสะจะขอไหว้ พระศรไี ตรสะระณา พอ่ แมแ่ ลครบู า เทวะดาในราศี ข้าเจ้าเอา ก ข เข้ามาต่อ ก กา มี แก้ไขในเทา่ น้ี ดีมดิ ีอย่าตรีชา (กาพย์พระไชยสุรยิ า : สนุ ทรภู่) เร่อื ยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่า สนธยาจะใกลค้ ่า คานงึ หน้าเจา้ ตราตรู เรอ่ื ยเรือ่ ยมาเรียงเรียง นกบนิ เฉยี งไปทง้ั หมู่ ตวั เดยี วมาพลดั คู่ เหมอื นพอ่ี ยู่ผู้เดียวดาย (กาพยเ์ ห่เรอื : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศวร) การอา่ นออกเสียงกาพย์ยานี ๑๑ ๑. อ่านเอื้อนเสียงให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค วรรคแรกมี ๒ จังหวะ จังหวะ ๒ คา และ ๓ คา วรรคหลังมี ๒ จังหวะ จังหวะละ ๓ คา หรืออาจจะต้องพิจารณาจากความหมายของเนื้อหาแต่ไม่ เกนิ จงั หวะละ ๓ คา ๒. คาท้ายวรรคทใี่ ช้คาเสยี งจตั วา ต้องเอื้อนเสยี งให้สงู หรอื เรียกว่า การโหนเสียง ๓. พน้ื ฐานเสยี งในการอ่านออกเสยี งกาพยย์ านี ๑๑ ขึ้นตน้ ดว้ ยเสียงกลาง ๔. วรรคแรกบาทโทอ่านออกเสยี งดว้ ยการข้นึ ตน้ เสียงสงู ๕. วรรคหลงั บาทโทอ่านออกเสียงด้วยการขึน้ ตน้ ด้วยเสียงกลาง ๖. กรณีภายในวรรคเม่ือแบ่งจังหวะในการอ่านแล้วเกินกว่า ๓ คา ให้อ่านแบบรวบคา โดยการออกเสียงใหส้ นั้ ลงกวา่ ปกติ ตัวอย่างการแบ่งวรรคการอา่ นออกเสียงกาพย์ยานี ๑๑ พระเสด็จ/โดยแดนชล/ ทรงเรอื ตน้ /งามเฉดิ ฉาย/ กงิ่ เเกว้ /แพร้วพรรณราย/ พายออ่ นหยบั /จบั งามงอน// นาวา/แน่นเป็นขนัด/ ลว้ นรูปสตั ว์/แสนยากร/ เรอื ริ้ว/ทวิ ธงสลอน/ สาครลัน่ /คร่นั ครื้นฟอง// (กาพย์เหเ่ รือ: เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศวร)

๑๖เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ การอา่ นออกเสียงกลอนบทละคร กลอนบทละคร เป็นคาประพันธ์กลอนประเภทหนึ่ง ซ่ึงปรากฏหลักฐานว่ามีมาต้ังแต่สมัยอยุธยา กลอนบทละครเป็นคากลอนที่แต่งข้ึนเพ่ือแสดงละครรา เช่น พระราชนิพนธ์บทละครเร่ืองรามเกียรต์ิ เป็นต้น โดยท่ัวไปกลอนบทละครมีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ แต่มีการเพิ่มข้ึนของคาขึ้นต้น เพ่ือใช้เป็น สัญญาณในการแสดงละคร ท้ังยังมีการระบุเพลงหน้าพาทย์และทานองในการขับร้องเพ่ือประกอบการแสดง ละครราลงในบทประพนั ธ์อีกดว้ ย ฉันทลกั ษณ์กลอนบทละคร กลอนบทละครบทหนึ่งมี ๔ วรรค ได้แก่ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง แต่ละวรรค มี ๖-๙ คา แต่นยิ มใชว้ รรคละ ๖ คาท่สี ุด โดยวรรคสดับมักมคี าขึน้ ต้น ๓ คา ไดแ้ ก่ มาจะกลา่ วบทไป ใช้สาหรับ การกล่าวเปล่ียนเร่ืองราวหรือฉาก เม่ือน้ัน ใช้กับตัวละครที่เป็นเทพเจ้า กษัตริย์ และ บัดน้ัน นิยมใช้กับ ตัวละครรองหรือตัวละครที่เป็นเสนาอามาตย์ พลทหาร และชาวบ้านทวั่ ไป สัมผัสกลอนบทละคร โดยท่ัวไปมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลอนสุภาพแต่ไม่เคร่งครัดมากนัก ได้แก่ คาสุดท้ายของวรรคสดับ ส่งสัมผัสไปยังคาท่ี ๓ ๔ หรือ ๕ ของวรรครับ คาสุดท้ายของวรรครับส่งสัมผัสไปยัง คาสุดท้ายของวรรครองและคาที่ ๓ ๔ หรือ ๕ ของวรรคส่ง นอกจากน้ียังมีสัมผัสระหว่างบทได้แก่ คาสุดท้าย ของวรรคส่งบทแรกส่งสัมผัสไปยังคาสุดท้ายของวรรครับของบทต่อไป ในกรณีท่ีเป็นการเร่ิมต้นบทใหม่ จะมีการใช้คาข้ึนต้น โดยปกติเมื่อมีการใช้คาข้ึนต้นในวรรคสดับ คาสุดท้ายของคาขึ้นต้นไม่จาเป็นจะต้องส่ง สัมผัสก็ได้ ข้นึ อย่กู บั ความเหมาะสมและความเชี่ยวชาญของผูป้ ระพันธ์

๑๗เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ คาศัพท์ท่คี วรรเู้ กี่ยวกบั กลอนบทละคร ๑. คาขึ้นตน้ เป็นการใช้คาเพ่ือขึ้นต้นบทประพันธ์บทหนึ่ง ๆ ของกลอนบทละครในตาแหน่ง วรรคสดบั โดยทั่วไปจะมหี รอื ไม่มกี ไ็ ด้ ขน้ึ อย่กู ับความจาเป็นของเน้อื หา ซง่ึ มีทง้ั หมด ๔ คา ไดแ้ ก่ ๑.๑ มาจะกล่าวบทไป เป็นคาข้ึนต้นท่ีใช้สาหรับการเปลี่ยนเนื้อเรื่อง เปล่ียนตัวละคร สาคัญ หรือเปล่ยี นฉากของเร่อื ง ตัวอย่าง มาจะกล่าวบทไป ถงึ นนทกนา้ ใจกล้าหาญ ตงั้ แตพ่ ระสยมภวู ญาณ ประทานใหล้ า้ งเท้าเทวา อยู่บันไดไกรลาสเปน็ นิจ สรุ าฤทธต์ิ บหวั แลว้ ลูบหน้า บา้ งใหต้ ักน้าล้างบาทา บา้ งถอนเสน้ เกศาวนุ่ ไป (รามเกียรต์ิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ๑.๒ เม่ือนั้น เป็นคาขึ้นต้นที่ใช้สาหรับการกล่าวถึงตัวละครหลักสาคัญ ซ่ึงมักเป็นเทพเจ้า หรอื กษัตริย์ ตวั อยา่ ง เมอื่ นนั้ ท้าวสามลปรีด์ิเปรมเกษมศานต์ เสด็จจากแทน่ ทมี่ ิทนั นาน ออกพระโรงชชั วาลทันใด (สังขท์ อง : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย) ๑.๓ บัดน้ัน เป็นคาข้ึนต้นที่ใช้สาหรับการกล่าวถึงตัวละครรอง เช่น เสนาอามาตย์ ทหาร ชาวบ้าน เป็นตน้ ตวั อยา่ ง บัดนั้น จงึ มหาอามาตย์ทงั้ ส่ี กบั ท้ังเหลา่ เสนามนตรี แตบ่ รรดาทม่ี ีบตุ รนนั้ ใหจ้ ัดแจงแตง่ ตัวท้ังแปดร้อย ล้วนน้อยน้อยหน้าตาคมสนั พาไปเฝ้าพระองคท์ รงธรรม์ ถวายเป็นขา้ ขวญั พระกมุ าร (อิเหนา : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย) ๑.๔ การกล่าวย้าความสาคัญ คาข้ึนต้นลักษณะน้ีไม่มีคาเฉพาะ แต่มีลักษณะของการใช้ เหมือนกัน โดยกาหนดให้มี ๔ คา ได้แก่ คาแรกต่อด้วยคาว่า “เอย” และตามด้วยคาที่ซ้ากับคาแรกกับคา ต่อมาอีก ๑ คา เนื้อหาท่ีใช้คาข้ึนต้นลักษณะดังกล่าวนี้นิยมใช้เพ่ือกล่าวย้าความสาคัญหรือบรรยาย ความสวยงามของส่ิงใดสง่ิ หน่งึ เพือ่ ตอ้ งการใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจอยา่ งลึกซงึ้ ตวั อยา่ ง บุษเอยบษุ บกแกว้ สีแววแสงวับฉายฉาน หา้ ยอดเห็นเย่ียมเทียมวิมาน แกว้ ประพาฬกาบเพชรสลบั กัน (รามเกยี รต์ิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช) เจ้าเอยเจา้ พี่ มารศรีผู้ยอดพสิ มัย ทรงโฉมประโลมลานใจ นามกรชอ่ื ใดนางเทวี (รามเกียรต์ิ : พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช)

๑๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ๒. การเขียนกลอนบทละคร โดยทั่วไปการเขียนกลอนบทละครมีลักษณะพิเศษ นอกเหนอื จากการเขียนเน้ือหากลอนโดยทั่วไปได้แก่ สัญลักษณ์ฟองมัน ระบุทานองการขับร้อง ระบุเพลงหน้า พาทย์ และระบคุ ากลอน ตัวอยา่ ง ๒.๑ สญั ลกั ษณ์ฟองมัน เปน็ สญั ลักษณ์โบราณ ใช้สาหรบั การขน้ึ ต้นบทประพนั ธ์ ๒.๒ ทานองการขับร้อง หมายถึง การระบุช่ือทานองในการขับร้องเพ่ือใช้สาหรับ การแสดงละครรา โดยท่ัวไปมีหลายทานอง เช่น ร่าย ช้าปี่ ลิงโลด สมิงทองมอญ เป็นต้น ซ่ึงแต่ละทานอง มีลักษณะเฉพาะตัว บ่งบอกถึงเน้ือหาหรืออารมณ์ในบทประพันธ์นั้น ๆ ซึ่งจะเขียนไว้บทสัญลักษณ์ฟองมัน กอ่ นเรม่ิ ตน้ บทประพนั ธ์ ๒.๓ เพลงหน้าพาทย์ หมายถึง เพลงประเภทท่ีใช้บรรเลงในการแสดงกิริยาอาการ เคล่ือนไหวของตัวละคร โดยจะมีการกาหนดเพลงหน้าพาทย์ให้สอดคล้องกับเนื้อหาในบทประพันธ์ เช่น เพลงเชิดใช้ในการเดินทางไกล เพลงโอดใช้ประกอบกิริยาร้องไห้ เพลงตระนิมิตใช้สาหรับการแปลงร่างของ ตวั ละคร เปน็ ตน้ ซึง่ จะเขยี นระบชุ ่อื เพลงหน้าพาทย์ไว้ตอนท้ายของเนื้อหาคาประพันธน์ น้ั ๆ ๒.๔ คากลอน หมายถงึ จานวนคากลอนของบทประพันธ์น้ัน ๆ โดย ๑ คากลอน เท่ากับ ๒ วรรค ซ่ึงจะเขียนระบุคากลอนของบทประพันธ์น้ัน ๆ ไว้ด้านล่างของบทประพันธ์ ระหว่างสัญลักษณ์ ไปยาลน้อย โดยระบจุ านวนของคากลอนและลงท้ายดว้ ยคาวา่ “คา” ซงึ่ ย่อมาจากคาวา่ “คากลอน” บทตัวอยา่ ง มาจะกล่าวบทไป ถงึ นางพนั ธุรตั ยกั ษี แต่ว่างเว้นเป็นหม้ายมาหลายปี สามีมอดม้วยด้วยไข้พิศม์ ได้ลกู น้อยหอยสงั ขม์ าเลี้ยงไว้ รักใคร่เป็นบุตรสุจรติ ฟกั ฟูมอุ้มชชู มชิด ลมื คิดถงึ ผัวของตัวตาย เม่อื เวรามาติดตามทนั นางนน้ั จะส้ินบุญสูญหาย ใหร้ อ้ นเนอ้ื เดอื ดใจไม่สบาย จะผันผายไปป่าพนาวนั (สังขท์ อง : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั )

๑๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การอา่ นออกเสยี งกลอนบทละคร ๑. อ่านเอ้ือนเสียงให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค โดยทั่วไปจะเอ้ือนเสียงวรรคที่มี ๖ คาเป็นแบบ ๒ ๒ และ ๒ วรรคที่มี ๗ คาแบบ ๒ ๓ และ ๒ เปน็ ตน้ แต่จะต้องคานงึ ถงึ ความหมายของคาด้วย เชน่ แขกเตา้ จบั เต่ารา้ งรอ้ ง หากอ่านปกตจิ ะแบ่งวรรคเป็น แขกเต้า-จับเต่า-รา้ งร้อง แตเ่ พื่อเออ้ื ความหมายเป็น แขกเตา้ -จบั -เตา่ ร้างร้อง หรือ แขกเตา้ -จับเต่าร้าง-รอ้ ง ๒. คาขึ้นต้นให้เพ่ิมการเอ้ือนเสียงยืดยาวกว่าปกติเล็กน้อย เน่ืองจากจานวนคาน้อย เพ่ือไม่ให้เกิด ความร้สู ึกสน้ั จนเกนิ ไปจะทาใหก้ ารอ่านออกเสยี งไม่ไพเราะ ๓. คาท้ายวรรคทใ่ี ช้คาเสยี งจตั วา ตอ้ งเอือ้ นเสียงสงู หรือเรยี กว่า การโหนเสยี ง ๔. การรวบคา ในกรณีที่มีคามากพยางค์เกินแผนบังคับต้องรวบเสียงคาน้ัน ๆ ให้สั้นเข้าเพ่ือรักษา ทานองและจงั หวะไมใ่ ห้ยดื ยาวเกินไป ๕. การทอดเสยี ง การทอดเสยี งจะใช้ในกรณีการอ่านทานองเสนาะกลอนบทละครและกาลังจะจบบท ให้ทอดเสียงวรรคสดุ ทา้ ยยาวกวา่ ปกติ เพอื่ เปน็ สัญญาณวา่ การอ่านกาลงั จะจบบทประพันธ์ ๖. การตีความบทประพันธ์ ผู้อ่านควรตีความบทประพันธ์ให้เข้าใจว่าสื่ออารมณ์ในแนวทางใด เพ่ือใช้ ในการอา่ นใหผ้ ฟู้ งั เกิดจินตนาการและคล้อยตามไปกับการอ่าน ตวั อยา่ งการแบ่งวรรคการอ่านออกเสยี งกลอนบทละคร มาจะกลา่ ว/บทไป/ ถงึ นนทก/น้าใจ/กลา้ หาญ/ ต้ังแต/่ พระสยม/ภวู ญาณ/ ประทานให้/ลา้ งเทา้ /เทวา/ อย่บู นั ได/ไกรลาส/เปน็ นจิ / สรุ าฤทธิ์/ตบหัว/แล้วลูบหน้า/ บา้ งให้ตัก/น้าล้าง/บาทา/ บ้างถอน/เสน้ เกศา/วุน่ ไป/ จนผมโกรน๋ /โล้นเกล้ยี ง/ถึงเพียงหู/ ดเู งา/ในนา้ /แล้วรอ้ งไห้/ ฮึดฮดั /ขัดแคน้ /แน่นใจ/ ตาแดง/ดั่งแสง/ไฟฟ้า/ เปน็ ชาย/ดดู ู๋/มาหมน่ิ ชาย/ มติ าย/จะได้/มาเหน็ หนา้ / คดิ แล้ว/ก็รบี /เดนิ มา/ เฝา้ พระ/อศิ รา/ธบิ ดี// (รามเกยี รต์ิ : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช)

๒๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การอา่ นออกเสียงกลอนดอกสรอ้ ย กลอนดอกสร้อย เป็นคาประพนั ธก์ ลอนประเภทหนง่ึ ซึ่งมตี น้ แบบมาจากกลอนสุภาพ สันนิษฐานว่ามา จากเพลงพื้นบ้านเพื่อใช้สาหรับการขับร้อง โดยท่ัวไปกลอนดอกสร้อยมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลอนสุภาพทุก ประการ แตม่ ีลกั ษณะทแ่ี ตกต่างไปบา้ งเลก็ น้อยเทา่ น้นั ฉนั ทลักษณ์กลอนดอกสรอ้ ย กลอนดอกสร้อยบทหนึ่งมี ๔ วรรค ได้แก่ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง โดยวรรคสดับ กาหนดใหม้ จี านวนคา ๔ คา และวรรคอืน่ ๆ กาหนดให้มจี านวนคา ๗-๙ คา โดยวรรคสดับท่ีมีเพียง ๔ คา โดย คาที่ ๑ และคาที่ ๓ เป็นคาเดียวกัน และคาที่ ๒ ต้องใช้คาว่า “เอ๋ย” และคาลงท้ายของกลอนดอกสร้อย ในวรรคส่งต้องจบดว้ ยคาว่า “เอย” เสมอ สัมผัสกลอนดอกสร้อย โดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลอนสุภาพแต่ไม่เคร่งครัดเร่ืองเสียง วรรณยุกต์ท้ายวรรคมากนัก ได้แก่ คาสุดท้ายของวรรคสดับ ส่งสัมผัสไปยังคาท่ี ๓ ๔ หรือ ๕ ของวรรครับ คาสุดท้ายของวรรครับส่งสัมผัสไปยังคาสุดท้ายของวรรครองและคาที่ ๓ ๔ หรือ ๕ ของวรรคส่ง และจบ คาสุดท้ายของกลอนด้วยคาว่า “เอย” นอกจากน้ียังมีสัมผัสระหว่างบทได้แก่ คาสุดท้ายของวรรคส่งบทแรก สง่ สัมผสั ไปยงั คาสุดทา้ ยของวรรครับของบทตอ่ ไป

๒๑เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ บทตวั อย่าง ความเอย๋ ความรกั เร่ิมสมคั รชั้นต้น ณ หนไหน เร่มิ เพาะเหมาะกลางหวา่ งหัวใจ หรอื เริ่มในสมองตรองจงดี แรกจะเกดิ เป็นไฉนใครรบู้ า้ ง อยา่ อาพรางตอบสานวนใหค้ วรที่ ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเล้ียงรตี ผู้ใดมีคาตอบขอบใจเอย (เวนสิ วานชิ : พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ วั ) การอ่านออกเสยี งกลอนดอกสรอ้ ย ๑. อ่านเอ้ือนเสียงให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค โดยทั่วไปจะเอ้ือนเสียงวรรคที่มี ๗ คาแบบ ๒ ๓ และ ๒ วรรคท่มี ี ๘ คาแบบ ๓ ๒ ๓ เปน็ ต้น แตจ่ ะต้องคานงึ ถงึ ความหมายของคาดว้ ย ๒. วรรคสดับมี ๔ คา แบง่ จงั หวะในการอ่านแบบ ๒ ๒ โดยที่จงั หวะในการอา่ นควรยดื เสียงให้ยาวกว่า ปกติเล็กน้อย เพ่ือจังหวะในการอา่ นที่ไมส่ น้ั จนเกินไป ๓. คาทา้ ยวรรคทีใ่ ชค้ าเสยี งจัตวา ตอ้ งเอือ้ นเสียงสูงหรอื เรยี กว่า การโหนเสยี ง ๔. การรวบคา ในกรณีท่ีมีคามากพยางค์เกินแผนบังคับต้องรวบเสียงคาน้ัน ๆ ให้ส้ันเข้าเพ่ือรักษา ทานองและจังหวะไม่ให้ยดื ยาวเกนิ ไป ๕. การทอดเสียง การอ่านทานองเสนาะกลอนดอกสร้อยจะทอดเสียงในคาว่า “เอย” ซึ่งเป็น คาสดุ ทา้ ยของกลอนดอกสร้อย ๕. การตีความบทประพันธ์ ผู้อ่านควรตีความบทประพันธ์ให้เข้าใจว่าสื่ออารมณ์ในแนวทางใด เพ่ือใช้ ในการอ่านใหผ้ ้ฟู ังเกดิ จนิ ตนาการและคล้อยตามไปกับการอ่าน ตัวอย่างการแบง่ วรรคการอ่านออกเสยี งกลอนดอกสร้อย นกเอย๋ /นกแสก/ จบั จ้อง/ร้องแจ๊ก/เพยี งแถกขวญั / อยู่บนยอด/หอระฆัง/บังแสงจนั ทร์/ มีเถาวลั ย์/รงุ รัง/ถงึ หลงั คา/ เหมอื นมันฟ้อง/ดวงจนั ทร์/ให้ผนั ดู/ คนมาส/ู่ ซอ่ งพกั /มันรกั ษา/ ถอื เป็นที่/รโหฐาน/นมนานมา/ ใหเ้ สอื่ ม/ผาสกุ สนั ต์/ของมนั เอย// (กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า : พระยาอปุ กติ ศิลปสาร)

๒๒เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การอ่านออกเสียงโคลงสี่สุภาพ โคลง คือ ลักษณะการแตง่ คาประพันธ์ไทยชนดิ หน่งึ มมี าตง้ั แตส่ มยั อยุธยา สันนิษฐานว่ารับเข้ามาจาก อินเดีย โดยท่ัวไปโคลงมีหลายชนิด ซ่ึงสามารถแบ่งเป็น โคลงสุภาพ โคลงด้ันและโคลงโบราณ ในแต่ละชนิด ก็จะมีการแบ่งย่อยลงไปได้อีกหลายชนิด เช่น โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงจัตวาทัณฑี เป็นตน้ ฉันทลักษณ์โคลงสี่สภุ าพ โคลงสส่ี ภุ าพบทหน่งึ มี ๔ บาท แตล่ ะบาทประกอบด้วย ๒ วรรค คอื วรรคหนา้ ๕ คา วรรคหลัง ๒ คา ยกเว้นบาทที่ ๔ ที่มีวรรคหลัง ๔ คา นอกจากนี้ในบาทท่ี ๑ และบาทท่ี ๓ อาจมีสร้อยคาได้อีกบาทละ ๒ คา โคลงสี่สุภาพบังคับคาเอก ๗ คา คาโท ๔ คา สมั ผสั โคลงสีส่ ภุ าพไดแ้ ก่ คาสดุ ท้ายของบาทท่ี ๑ (ไมน่ บั คาสร้อย) สง่ สมั ผสั ไปยังคาท่ี ๕ ของบาทที่ ๒ และบาทท่ี ๓ คาสดุ ทา้ ยของบาทที่ ๒ สง่ สัมผัสไปยงั คาที่ ๕ ของบาทท่ี ๔

๒๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ คาศัพทท์ ่คี วรรเู้ กย่ี วกับโคลงสีส่ ุภาพ ๑. คาสภุ าพ คอื คาทีไ่ ม่มีวรรณยุกต์ปรากฏใชใ้ นคาน้ัน ๆ หรือคาที่ใช้เรียกเป็นคาประพันธ์ท่ี มีลกั ษณะบังคบั ชัดเจน เช่น กลอนสุภาพ โคลงสุภาพ ร่ายสภุ าพ ลิลิตสุภาพ ฯลฯ ๒. คาเอก คอื ลักษณะบังคับที่ใชใ้ นคาประพนั ธป์ ระเภทโคลง ซง่ึ ยึดเอารปู วรรณยุกต์เอกเป็น หลกั แต่หากไมส่ ามารถหาคาเอกมาใชไ้ ด้ ให้อนุโลมคาตายหรอื คาเอกโทษได้ ๓. คาโท คือ ลักษณะบังคับท่ีใช้ในคาประพันธ์ประเภทโคลง ซึ่งยึดเอารูปวรรณยุกต์โทเป็น หลัก แตห่ ากไม่สามารถหาคาโทมาใช้ได้ ให้อนโุ ลมคาโทโทษได้ ๔. คาตาย คือ คาท่ีประกอบด้วยสระเสียงสั้นไม่มีรูปของตัวสะกดหรือคาที่มีตัวสะกดมาตรา แม่กก แมก่ ดและแม่กบ เชน่ มะระ กาบ เขยี ด ทรดุ โทรม เปน็ ต้น ๕. คาเอกโทษ คือ คาท่ีใช้วรรณยุกต์เอกแทนวรรณยุกต์โท ซึ่งใช้ในรูปความหมาย ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เชน่ คาเอกโทษของคาวา่ ข้า คอื ค่า หรือคาเอกโทษของคาวา่ เขา้ คือ เคา่ ฯลฯ ๖. คาโทโทษ คือ คาท่ีใช้วรรณยุกต์โทแทนวรรณยุกต์เอก ซ่ึงใช้ในรูปความหมาย ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น คาโทโทษของคาวา่ เท่า คือ เถา้ หรอื คาโทโทษของคาวา่ หง้าย คือ ง่าย ฯลฯ ๗. คาสร้อย คือ คาที่ใช้เติมหลังคาประพันธ์ที่สามารถเติมคาสร้อยได้ โดยคาสร้อยจะ ประกอบไปด้วย ๒ คา คือ คาหน้า ซ่ึงเป็นคาท่ีมีความหมาย มักเป็นคาท่ีมีความหมายสืบเน่ืองจากก่อนหน้า และคาหลัง ซึง่ เป็นคาทไี่ มม่ คี วามหมายชดั เจนหรอื เปน็ เพยี งคาที่ใช้เติมในลักษณะบ่งบอกความหมายโดยกว้าง เท่านั้น ต้ังแต่ในสมัยโบราณคาสร้อยตัวหลังนี้มีเพียง ๑๘ คาเท่านั้น เช่น พ่อ (นิยมใช้เติมเมื่อกล่าวถึงผู้ชาย) แม่ (นิยมใช้เติมเมื่อกล่าวถึงผู้หญิง) นา (มีความหมายว่า ดังน้ัน) เทอญ (มีความหมายว่าขอให้สาเร็จ) ฤๅ (มคี วามหมายในเชงิ การต้ังคาถาม) แล (มคี วามหมายวา่ ตามนนั้ ) ฯลฯ บทตวั อยา่ ง ลาบาง พ่พี ร้อง จากมามาล่ิวล้า เมียงมา่ น มานา บางย่เี รือราพลาง คลา่ วนา้ ตาคลอ เรอื แผงช่วยพานาง (นริ าศนรนิ ทร์ : นายนรนิ ทรธเิ บศร์ (อิน)) บางบร่ ับคาคล้อง เสยี งลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พีเ่ อย เสียงย่อมยอยศใคร ท่วั หลา้ สองเขือพห่ี ลบั ใหล ลืมต่นื ฤาพี่ สองพ่ีคิดเองอา้ อย่าได้ถามเผือ (ลลิ ิตพระลอ : ไมป่ รากฏผู้แต่ง)

๒๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ การอ่านออกเสยี งโคลงส่สี ภุ าพ ๑. อา่ นเอ้ือนเสยี งให้ตรงตามจังหวะของแต่ละวรรค วรรคหน้าแต่ละบาทมี ๒ จังหวะ จังหวะ ละ ๒ คา และ ๓ คา วรรคหลังบาทท่ี ๑ และบาทท่ี ๓ มี ๑ จังหวะ เป็นจังหวะ ๒ คา ถ้ามีคาสร้อยก็เพ่ิมอีก ๑ จังหวะ เปน็ จงั หวะ ๒ คา วรรคหลงั บาทที่ ๒ มี ๑ จงั หวะ เปน็ จงั หวะ ๒ คา วรรคหลังบาทที่ ๔ มี ๒ จงั หวะ จงั หวะละ ๒ คา ๒. คาทา้ ยวรรคทใ่ี ช้คาเสียงจตั วา ตอ้ งเออ้ื นเสียงให้สูงเป็นพิเศษ ตามปกติโคลงสี่สุภาพที่แต่ง ถูกตอ้ งและไพเราะ ใช้คาเสียงจัตวาตรงคาทา้ ยของบาทที่ ๑ หรือคาท้ายบท ๓. เออ้ื นวรรคหลังบาทที่ ๒ ใหเ้ สียงตา่ กวา่ ปกติ ๔. บาทที่ ๓ วรรคหน้า ข้นึ เสยี งสงู กว่าบาทอืน่ ๆ ๕. ในกรณีที่ภายในวรรคมีคามากพยางค์ เมื่อแบ่งจังหวะในการอ่านแล้วเกินกว่าวรรคท่ัวไป ตอ้ งรวบเสยี งคาน้นั ๆ ให้สั้น เพอ่ื รกั ษาจังหวะในการอา่ นใหส้ ม่าเสมอ ตวั อยา่ งการแบง่ วรรคการอ่านออกเสียงโคลงสี่สุภาพ เสยี งลือ/เสยี งเล่าอ้าง/ อนั ใด/พ่เี อย/ เสยี งย่อม/ยอยศใคร/ ทว่ั หล้า/ สองเขือ/พีห่ ลับใหล/ ลืมต่นื /ฤๅพี/่ สองพี่/คดิ เองอ้า/ อย่าได้/ถามเผอื // (ลลิ ิตพระลอ : ไม่ปรากฏผูแ้ ต่ง)

๒๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ผังความคดิ สรปุ ความเข้าใจ การเขยี นผงั ความคิดสรุปความเข้าใจ คือ การถ่ายทอดความคิดจากสมองลงบนกระดาษ โดยให้เขียน ประเด็นหลักไว้ตรงกลาง เขียนประเด็นรองล้อมรอบประเด็นหลัก ประเด็นย่อยล้อมรอบของประเด็นรอง แยกออกมาโดยการใช้ภาพ สี เส้น และการโยงเส้น ให้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แต่ละประเด็นจะเป็น คาสาคญั สนั้ ๆ ที่มีความหมายชัดเจน ขน้ั ตอนการสรา้ งผังความคดิ สรปุ ความเข้าใจ ๑. สรุปความเขา้ ใจของประเดน็ ท่ีตอ้ งการจะจัดทาผังความคิดสรุปความเข้าใจ ๒. เขยี นประเดน็ หลกั ตรงก่ึงกลางหนา้ กระดาษ ๓. เขียนประเด็นรองทส่ี ัมพันธป์ ระเด็นหลกั ไปรอบ ๆ ๔. เขยี นประเด็นยอ่ ยท่ีสมั พนั ธ์ประเดน็ รองแตกออกไปรอบ ๆ เร่ือย ๆ ๕. มีการใช้เส้น สี ภาพหรือสัญลักษณ์ ประกอบตกแต่งเพ่ือสื่อความหมายเป็นตัวแทนความคิด ให้ชัดเจนมากยงิ่ ขนึ้ ๖. เขียนคาสาคัญ (Key word) บนเส้นและเส้นต้องเชื่อมโยงกัน แตกความคิดของหัวเร่ืองสาคัญ แต่ละเรือ่ งในขอ้ ๓ ออกเปน็ ก่งิ ๆ หลายก่ิง โดยเขียนคาหรอื วลบี นเส้นที่แตกออกไป ๗. ไม่มกี ารตีกรอบ ใหค้ ิดได้ตามอสิ ระมากท่สี ุด ๘. กระดาษทใี่ ช้ไมม่ ีเสน้ หรือมลี าย ตกแต่งผงั ความคิดสรุปความเขา้ ใจทีเ่ ขยี นตามใจชอบ ๙. ตรวจสอบความถูกต้องและความเรยี บร้อยของผังความคดิ สรุปความเขา้ ใจ ประโยชนข์ องผังความคิดสรุปความเขา้ ใจ ๑. ใช้สาหรับการวางแผนโครงการ กิจกรรม การประชุม หรือการทางานต่าง ๆ เพื่อความสะดวก ในการทาความเข้าใจของคนหมมู่ าก ๒. เป็นการสรุปองค์ความรู้เพ่ือจัดระเบียบความคิดที่ได้รับจากการศึกษา เพื่อความสะดวก ในการสบื ค้น การจดจา หรือการนาขอ้ มลู ทไี่ ด้รบั ไปใชป้ ระโยชน์ ๓. ฝึกความมีระเบยี บและการจัดการความคดิ อย่างเป็นระบบ

๒๖เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ตวั อยา่ งรปู แบบของผังความคดิ สรุปความเขา้ ใจ ๑. ผงั ความคดิ สรปุ ความเขา้ ใจแบบรากไม้ ๒. ผังความคดิ สรุปความเข้าใจแบบเปรยี บเทียบ

๒๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๓. ผงั ความคดิ สรุปความเข้าใจแบบใยแมงมมุ ๔. ผงั ความคดิ สรปุ ความเข้าใจแบบกา้ งปลา ๕. ผังความคิดสรุปความเขา้ ใจแบบเปรยี บเทยี บ

๒๘เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ความสมเหตสุ มผลของงานเขียน การเขียนประเภทชวนเชื่อหรือโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนที่ต้องการให้ผู้อ่านเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ หรือพฤติกรรม ให้คล้อยตามความคิดของผู้เขียน ผู้อ่านจะต้องพิจารณางานเขียนว่าน่าเชื่อถือ มากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาสงั เกตจากความสมเหตุสมผลของงานเขียนน้นั ๆ การชวนเชื่อ คือ การชวนเชือ่ เป็นการเขยี นทมี่ ุง่ ให้ผ้อู า่ นเช่อื เพอ่ื ผลประโยชน์บาง ประการที่ผู้เขียนไดร้ บั เชน่ การชวนเชอ่ื ในสรรพคุณของสินคา้ งานเขียนประเภท ชวนเช่อื น้ีมกั ใหข้ อ้ มูลเกนิ จรงิ ผู้อ่านจงึ ควรพจิ ารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ การโน้มน้าว คอื การพยายามของผู้สง่ สารทีต่ อ้ งการจะเปลย่ี นความเชือ่ ทศั นคติ คา่ นยิ ม ตลอดจนการกระทาของบคุ คลอื่นๆ โดยใช้กลวธิ ีต่าง ๆ มาสนบั สนนุ ให้เกดิ การยอมรับหรอื เปลย่ี นแปลงตามจุดประสงคข์ องผสู้ ่งสาร ซง่ึ มที ั้งด้านบวก และด้านลบ ความสมเหตสุ มผลของงานเขยี น คอื มีเหตผุ ลสมควร มีเหตุผลรับกัน เช่น คาชีแ้ จง สมเหตุสมผล เขาอภปิ รายได้สมเหตสุ มผล การสง่ สารทน่ี า่ เชอื่ ถอื สามารถโน้มน้าวใจ ผรู้ ับสารได้ ผู้เขียนจะตอ้ งมีความรสู้ ามารถอธิบายเหตุผลไดถ้ ูกต้องน่าเชอื่ ถือและ เปน็ ไปในทางทด่ี มี ปี ระโยชน์ตอ่ สว่ นรวม

๒๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ขอ้ สงั เกตการเขียนประเภทชวนเชอ่ื และโน้มนา้ วใจ ๑. มเี นื้อหาทเี่ ข้ากับ เพศ วยั การศึกษา อาชีพ ฐานะทางสังคมและคา่ นยิ มของผู้อา่ น ๒. การอ้างเหตผุ ลดูนา่ เช่ือถือ คลอ้ ยตาม แต่มกั ไมร่ ัดกมุ ชี้ใหเ้ หน็ ข้อดีอย่างเดยี ว ๓. มีการอา้ งอิงบคุ คล ตารา ท่นี า่ เชื่อถือ อา้ งองิ วฒั นธรรม ประเพณีเก่าแก่ท่ีมีมาแต่โบราณ ๔. ใชจ้ ติ วทิ ยาในการชวนเช่อื ผู้อา่ นจะรสู้ ึกเห็นดว้ ยได้อย่างง่ายดาย ๕. ภาษาท่ีใช้มีความเร้าอารมณ์ความรู้สกึ ของผู้อา่ น ส้นั กระชับ ส่อื ความหมายชัดเจน ทาใหเ้ หน็ ภาพ การพิจารณาสารโน้มนา้ วท่ีมีเหตุผล การพิจารณาการเขียนว่าเป็นลักษณะของการโน้มน้าวใจหรือชวนเช่ือ จะต้องพิจารณาการให้เหตุผล ของผู้เขียนว่ามีความน่าเชื่อถือในระดับใด ใช้เหตุผลสมกันหรือไม่ อย่างไร ซ่ึงรูปแบบของการใช้เหตุผลน้ัน มีมากมาย เช่น ๑. การอ้างถงึ บุคคลที่ผ้คู นให้ความเคารพ เช่น “มนษุ ย์ไม่ควรไว้ผม ดูอยา่ งพระพทุ ธเจา้ สิ ยังทรงปลงพระเกศาเลย” ๒. การอ้างตาราทน่ี า่ เชอ่ื ถือ เช่น “บรรพบุรุษของมนุษยเ์ คยเปน็ สัตว์น้ามาก่อน ฉันอ่านมาจาก ‘On The Origin of Species’ ของดารว์ ิน” ๓. การกลา่ วภาพรวม เชน่ “คนทุกคนเกิดมาแล้วก็ตอ้ งตาย ไมม่ สี ่งิ ใดอยคู่ ้าฟา้ ” ๔. การโจมตตี วั บุคคล เช่น “อย่าไปเช่ือท่ีมันพดู มันเปน็ ฆาตกร” ๕. การอา้ งคนหมู่มาก เชน่ “กระทะร่นุ นด้ี ีท่สี ุด คนซอ้ื ใช้กันท้งั บ้านทั้งเมือง” ๖. การอ้างประเพณี จรยิ ธรรมหรือสงิ่ ท่ีสบื ทอดมายาวนาน เช่น “ถ้าบุหร่ีทาร้ายสุขภาพจริง ๆ คงหายไปต้ังแต่โบราณแล้ว ไม่ตกทอดมาจนทุกวันนี้หรอก” ๗. ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ การยกเหตผุ ลผดิ เชน่ “ถา้ ปอ๊ บคอร์นมันไม่ดี ป่านนี้โรงหนงั เจ๊งหมดแลว้ ”

๓๐เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การวิเคราะห์ขอ้ เทจ็ จริงและข้อคิดเหน็ การส่ือสารโดยท่ัวไปทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ส่ือกลางสาคัญคือ ข้อความ ซึ่งข้อความท่ีใช้สื่อสาร มกั ประกอบดว้ ย ๒ สว่ น คอื ข้อเทจ็ จริงและข้อคดิ เห็น การรจู้ ักแยกว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรเป็นข้อคิดเห็น จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจและแก้ปัญหาบางอย่างได้ ข้อคิดเห็นจะถูกต้องและน่าเชื่อถือเพียงใดข้ึนอยู่กับ ข้อมลู และเหตผุ ลท่ีนามาประกอบ ความหมายของข้อเท็จจรงิ ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อความท่ีแสดงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ข้อมูล หรือส่ิงต่าง ๆ ที่เปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ สามารถพสิ ูจนใ์ หเ้ ป็นจริง หรอื สามารถมหี ลกั ฐานสนบั สนนุ ชดั เจน ลักษณะของขอ้ เท็จจรงิ ๑. มีความเป็นไปได้ ๒. มคี วามสมจรงิ ๓. มีหลักฐานเช่อื ถอื ได้ ๔. มคี วามสมเหตุสมผล ตวั อย่างขอ้ เท็จจรงิ วรรณคดเี รือ่ งรามเกยี รติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก เป็นพระราชนพิ นธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช กรุงศรีอยธุ ยายืดหยดั การเป็นราชธานีของคนไทยมายาวนานกวา่ สร่ี ้อยปี ก็จะตอ้ งมา มีอันจบส้ินความเจรญิ ลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เม่ือทหารพมา่ สามารถบกุ เขา้ เมืองได้ สัตวเ์ ลย้ี งลูกดว้ ยนมเปน็ สตั วเ์ ลอื ดอุ่น วาฬจึงไม่ใชป่ ลาเนอื่ งจากเป็นสตั วเ์ ลอื ดอ่นุ

๓๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ความหมายของขอ้ คดิ เหน็ ข้อความที่แสดงความรู้สึก ความเชื่อ ความคิดเห็น หรือการคาดคะเน ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งท่ีมีต่อ สง่ิ ใดสิ่งหนึง่ ลักษณะข้อคิดเห็น ๑. เป็นข้อความทแี่ สดงความรู้สกึ ๒. แสดงการคาดคะเน มักมคี าวา่ “คง คงจะ นา่ นา่ จะ” ๓. เปน็ ข้อความที่แสดงความเปรยี บเทียบหรืออปุ มาอุปไมย ๔. เปน็ ข้อเสนอแนะหรือแสดงความคดิ เหน็ มกั มคี าว่า “ควร ควรจะ เชือ่ ว่า คิดวา่ ” ตวั อยา่ งขอ้ คดิ เห็น ผหู้ ญิงทเ่ี ดนิ อยบู่ นพรมแดงแต่งกายด้วยชุดราตรีทันสมยั และสวยงามมาก รับกับใบหน้ารปู ไข่และการแต่งหนา้ โทนสีออ่ น ๆ ยงิ่ เพิม่ ความสดใสน่ารัก การเดินทางดว้ ยรถไฟฟา้ น่าจะเรว็ ทส่ี ุดในวนั ที่การจราจรติดขัด รายการโทรทัศน์ช่องนี้เหมาะสมสาหรับผูช้ มทุกเพศทุกวัย ความหมายของขอ้ มลู สนบั สนนุ ข้อมูลสนับสนุน หมายถึง ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนข้อสรุป ข้อวินิจฉัย ข้อตัดสินใจ ประกอบข้อมูล เพอ่ื ใหข้ ้อมลู มคี วามหนกั แน่นและนา่ เช่ือถือ อีกทั้งยังใช้เป็นหลกั อนุมานหาความจรงิ หรือการคานวณได้ ตัวอยา่ งขอ้ มูลสนบั สนนุ สาเหตหุ นึ่งของการเกดิ น้าท่วมเกิดจากการตดั ไม้ทาลายป่า ภมู ขิ ยนั อา่ นหนังสือ เขาจงึ สอบได้ที่ 1

๓๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ การอ่านวิเคราะห์เพอื่ ประเมนิ คุณคา่ ความหมายของการอ่านวิเคราะหเ์ พอ่ื ประเมินคณุ คา่ การอ่านวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณค่า หมายถึง การวิเคราะห์เรื่องท่ีอ่านอย่างละเอียด เพ่ืออธิบาย และตัดสินลักษณะของงานเขียนท่ีได้อ่านว่ามีข้อดี ข้อเสีย หรือมีคุณค่า และข้อบกพร่องอย่างไรในงานเขียน นนั้ ๆ โดยผู้ประเมนิ คณุ ค่าจะต้องใชเ้ หตุผล และจะตอ้ งยกตัวอย่างประกอบการพิจารณาควบคู่กันไป ข้ันตอนอ่านวเิ คราะหเ์ พอ่ื ประเมนิ คณุ ค่า ๑. อ่านเรือ่ งอย่างละเอียด การอ่านงานเขียนอย่างละเอียด เป็นข้ันตอนสารวจข้อมูลของงานเขียนในเบ้ืองต้น เช่น ประเภทของงานเขียน รูปแบบของงานเขียน จานวนย่อหน้า เป็นต้น นอกจากน้ีควรสารวจข้อมูล และอ่านเร่ืองอย่างน้อยหน่ึงรอบ เพื่อพิจารณาเน้ือหาและส่วนประกอบของงานเขียนน้ัน ๆ เน่ืองจาก ขอ้ มูลเหลา่ น้ีเป็นพนื้ ฐานในการประเมินคุณค่าของงานเขยี น ๒. การสรปุ ความหรอื จบั ใจความสาคัญ การสรุปความหรือจับใจความสาคัญ เป็นข้ันตอนพิจารณาเน้ือหาของงานเขียนหรือบทอ่าน อย่างละเอียด โดยมุ่งค้นหาสาระของเร่ืองหรือสาระของหนังสือแต่ละเล่มในส่วนที่เป็นใจความสาคัญ และส่วนขยายใจความสาคัญของเรื่องน้ัน ๆ หลักการสรุปความหรือจับใจความสาคัญของงานเขียน สามารถสรุปได้ ดงั น้ี ๒.๑ งานเขยี นประเภทร้อยแก้ว มีขั้นตอนการอ่านจบั ใจความสาคญั ดังนี้ - อา่ นงานเขียนอยา่ งละเอยี ด - สรุปความหรอื จบั ใจความสาคญั ๒.๒ งานเขียนประเภทร้อยกรอง มขี นั้ ตอนการอ่านจบั ใจความสาคญั ดังนี้ - อา่ นงานเขยี นอย่างละเอียด - ถอดความ - สรุปความหรอื จับใจความสาคญั

๓๓เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๓. การตคี วาม การตีความ เป็นขั้นตอนการอ่านเพ่ือเข้าใจความหมาย และถอดความรู้สึกหรืออารมณ์ ของงานเขียน จากข้อความที่ผู้เขียนสื่อให้อ่าน ซ่ึงผู้อ่านอาจจะตีความหมายได้ตรงกับความมุ่งหมาย หรือเจตนาของผู้เขียนก็ได้ หรือบางครั้งอาจจะเข้าใจความหมายตามวิธีของตนเองโดยอาศัย บริบท หรอื ความหมายโดยรอบ ประกอบกับพ้นื ความรเู้ ดมิ ความสนใจ และประสบการณเ์ ข้ามาประกอบการตคี วาม ๔. การประเมนิ คุณคา่ การประเมินคุณค่า เป็นขั้นตอนท่ีมีความสาคัญที่สุดในการอ่านวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณค่า เนื่องจากเป็นการตัดสินว่างานเขียนน้ัน ๆ มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า ดีหรือไม่ดีอย่างไร ซ่ึงจะต้องอาศัย หลกั เหตแุ ละผลเข้ามาประกอบ พรอ้ มยกตัวอย่างประกอบการพิจารณาเสมอ หลกั การประเมินคุณคา่ วรรณกรรม หลักการประเมินคุณค่าวรรณกรรม เป็นหลักการท่ีใช้สาหรับการประเมินคุณค่าของงานเขียน ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ซึ่งอาจจะเป็นท้ังสารคดีและบันเทิงคดี อันประกอบไปด้วย ๔ ด้าน แต่สาหรับ งานเขียนบางฉบับ ไม่จาเป็นจะต้องปรากฏคุณค่าของวรรณกรรมครบทั้ง ๔ ด้าน เพราะธรรมชาติของงาน เขียนแต่ละชนิดอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป หลักการประเมินคุณค่าวรรณกรรมประกอบด้วย ๔ ด้าน ดงั น้ี ๑. ด้านเน้ือหา การประเมินคุณค่าของวรรณกรรมด้านเน้ือหา เป็นการประเมินคุณค่าเน้ือหาของวรรณกรรม ทป่ี รากฏอยใู่ นงานเขยี นนั้น ๆ ซ่ึงอาจจะเป็นการพิจารณาว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องใด หรือเจตนาของผู้เขียน ต้องการจะสื่ออะไร คุณค่าทางด้านนี้ปรากฏอยู่ในทุกงานเขียน และเป็นคุณค่าที่ได้จากการจับใจความสาคัญ รวมไปถึงการตีความด้วย ซึ่งบางกรณีอาจจะเป็นข้อคิด เจตนา หรือประโยชน์ท่ีได้รับจากการอ่านก็ได้ ตวั อยา่ ง อันคาคมลมบรุ ษุ น้นั สดุ กล้า เขายอ่ มวา่ รสล้ินนน้ั กินหวาน จงระวงั ตั้งมน่ั ในสันดาน อย่าลนลานหลงระเรงิ ดว้ ยเชงิ ชาย (สุภาษิตสอนหญงิ : สุนทรภู่) จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่า บทประพันธ์ดังกล่าวมีเจตนาในการส่ังสอนให้ผู้หญิงระมัดระวัง การหลงเชือ่ คาพดู ของผ้ชู าย เพอ่ื ไมใ่ ห้หลงใหลไปกบั คาพูดทยี่ ัว่ ยวนใจ

๓๔เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒. ด้านวรรณศิลปแ์ ละการใชภ้ าษา การประเมินคุณค่าของวรรณกรรมด้านวรรณศิลป์และการใช้ภาษา นับเป็นด้านท่ีสาคัญอย่างยิ่ง เน่ืองจากงานเขียนทุกประเภทมีลักษณะการใช้ภาษาที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปจะพิจารณารายละเอียด ดังน้ี ๒.๑ การใชภ้ าษาเหมาะสมกบั งานเขียน เป็นการพิจารณาภาษาที่ปรากฏในงานเขียนนั้น ๆ ว่าเหมาะสมกับประเภทของงานเขียนหรือไม่ เช่น รายงานทางวิชาการจาเป็นจะต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการ ส่วนการเขยี นนวนยิ ายอาจจะใชภ้ าษาท่ีไม่เป็นทางการได้ เปน็ ตน้ ๒.๒ โวหาร เป็นการใช้ถ้อยคาอย่างมีช้ันเชิงในการเขียนวรรณกรรม เพ่ือส่ือสารให้ผู้อ่าน เข้าใจได้อย่างชัดเจนและลึกซ้ึง ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน มีความเหมาะสมน่าฟัง การเขียนเรื่องราว อาจจะใชโ้ วหารตา่ งประเภท ขึน้ อยู่กบั ชนิดของข้อความ โดยท่วั ไปโวหารมีท้งั หมด ๕ ประเภท ได้แก่ ๒.๒.๑ บรรยายโวหาร เป็นการเขียนท่ีตรงไปตรงมา การใช้ภาษาไม่ซับซ้อน สามารถ เขา้ ใจเน้อื หาได้ง่ายหรืออาจะมีลาดับขน้ั ตอนชดั เจน มกั จะใช้กบั งานเขยี นวิชาการหรอื สารคดี ๒.๒.๒ พรรณนาโวหาร เป็นการกล่าวถึงเร่ืองราว สถานที่ บุคคล ส่ิงของ หรืออารมณ์ อยา่ งละเอียด โดยสอดแทรกอารมณ์หรือความรู้สึกลงไปเพ่ือโน้มน้าวใจ ให้ผู้รับสารเกิดภาพพจน์ เกิดอารมณ์ คล้อยตามไปด้วย ภาษาที่ใช้จึงมกั สละสลวย มีการใชภ้ าพพจนห์ รืออปุ มาโวหารเขา้ มาประกอบ ๒.๒.๓ อุปมาโวหาร โวหารที่กล่าวเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจความหมาย อารมณ์ความรู้สึก หรือเห็นภาพชัดเจนยงิ่ ขนึ้ มักใชป้ ระกอบโวหารประเภทอื่น เพราะจะช่วยให้เข้าใจเน้ือหาได้ ดีและเนื้อหาไพเราะสละสลวยย่ิงขึ้น โดยอาจกล่าวลอย ๆ หรืออาจใช้คาแสดงการเปรียบเทียบ ซ่ึงมีอยู่ หลากหลาย เช่น เหมือน เสมอื น คล้าย ดจุ ดัง ดง่ั ดจุ ดัง่ ราว ดรู าว ปาน เพียง ประหนึ่ง เชน่ เฉก ฯลฯ ๒.๒.๔ สาธกโวหาร โวหารท่ีมุ่งให้ความชัดเจนโดยการยกตัวอย่างหรือเรื่องราว ประกอบการอธิบาย โดยเป็นการยกตัวอย่างเนื้อหาสาระ บทประพันธ์ คาสอน ประสบการณ์ หรือเหตุการณ์ เพือ่ สนบั สนนุ ข้อคดิ เหน็ ต่าง ๆ ใหห้ นกั แนน่ ทั้งยงั เปน็ ส่วนท่เี พ่ิมความนา่ เชอ่ื ถอื และความสมเหตุสมผล ๒.๒.๕ เทศนาโวหาร โวหารท่ีมุ่งโน้มน้าวใจให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม เป็นการกล่าว ในเชิงอบรม แนะนาสั่งสอน เสนอทัศนะ ชี้แนะ หรือโน้มน้าว ชักจูงใจโดยยกเหตุผล ตัวอย่าง หลักฐาน ข้อมูล ขอ้ เท็จจรงิ สุภาษิต คติธรรม หรือสัจธรรม ตา่ ง ๆ มาแสดงเพอ่ื ให้ผอู้ า่ นเกดิ ความเขา้ ใจ ๒.๓ การเล่นเสียงหรือการเล่นสัมผัส เป็นการพิจารณาถึงลักษณะของการใช้หน่วยเสียง ในภาษาไทยไดแ้ ก่ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงพยัญชนะ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ ซ่ึงใช้สาหรับการพิจารณา บทร้อยกรองประเภทต่าง ๆ ไม่นิยมใช้พิจารณางานเขียนประเภทร้อยแก้ว โดยทั่วไปการเล่นเสียงหรือ การเล่นสัมผสั มี ๓ ประเภท ได้แก่ ๒.๓.๑ การเล่นเสียงสัมผัสสระ การพิจารณาคาคล้องจองท่ีมีเสียงสระ หรือเสียงสระ และมาตราสะกดอย่างเดยี วกนั ภายในวรรคนัน้ ๆ มากกว่า ๒ คาขนึ้ ไป

๓๕เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒.๓.๒ การเล่นเสียงพยัญชนะ การพิจารณาคาที่มีเสียงพยัญชนะตัวเดียวกัน ภายในวรรคตั้งแต่ ๒ คาข้ึนไป ในกรณขี องคาควบกล้าจะตอ้ งเป็นคาควบกลา้ เดยี วกันเทา่ น้ัน ๒.๓.๓ การเล่นเสียงวรรณยุกต์ การพิจารณาคาท่ีมีการใช้รูปวรรณยุกต์เรียงลาดับ จากสามัญ เอก โท ตรี จัตวา หรือ จัตวา ตรี โท เอก สามัญ อย่างใดอย่างหน่ึงตั้งแต่ ๒ คาขึ้นไป โดยคานั้น จะต้องเป็นคาเดียวกันแต่มีรูปวรรณยุกต์เรียงติดกันเท่าน้ัน โดยทั่วไปการเล่นเสียงชนิดน้ีไม่ปรากฏมากนัก และมักปรากฏในคาประพันธป์ ระเภทโคลง ตัวอยา่ ง จบิ จบั เจาเจา่ เจ้า รังมา จอกจาบจ่นั จรรจา จ่าจ้า เค้าค้อยค่อยคอยหา เหน็ โทษ ซอนซ่อนซ้อนสรวิ้ หนา้ นิง่ เรา้ เอาขวัญ (โคลงอักษรสามหมู่ : พระศรีมโหสถ) ยงู ทองย่องเยอ้ื งยา่ ง รารางชางชา่ งฟา่ ยหาง ปากหงอนออ่ นสาอาง ชา่ งราเลน่ เตน้ ตามกนั ยูงทองยอ่ งย่างเยื้อง ราฉวาง รายร่ายฟา่ ยเฟอื่ งหาง เฉดิ หนา้ ปากหงอนอ่อนสาอาง ลายเลิศ ราเลน่ เต้นงามหงา้ ปีกป้องเปน็ เพลง (กาพย์หอ่ โคลงประพาสธารทองแดง : เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศวร) จากคาประพันธ์ข้างต้น คาท่ีขีดเส้นใต้เป็นการแสดงการเล่นเสียงวรรณยุกต์ของ บทประพนั ธ์น้ัน ๆ ๒.๔ การเล่นคา เป็นการพิจารณาการใช้คาของวรรณกรรม ซึ่งอาจจะทั้งงานเขียนร้อยแก้ว และร้อยกรอง โดยเฉพาะในงานเขียนรอ้ ยกรอง ซึง่ สามารถพจิ ารณาได้ ๓ ประเภท ดังนี้ ๒.๔.๑ การเล่นคาซ้า เป็นการพิจารณาการใช้คาเดียวกันและมีความหมายเดียวกัน มาซ้ากันมากกว่า ๒ ครง้ั ข้ึนไป เพื่อเปน็ การยา้ ความหมายใหช้ ัดเจนมากยงิ่ ข้นึ ตัวอยา่ ง แต่แมเ่ ทยี่ วเซซังเสาะแสวงทกุ แหง่ ห้องหมิ เวศทว่ั ประเทศทุกราวป่า สุดสายนยั นาทีแ่ ม่จะตามไปเล็งแล สดุ โสตแล้วที่แม่จะซบั ทราบฟังสาเนยี ง สดุ สรุ เสยี งที่แมจ่ ะรา่ เรียกพิไรร้อง สดุ ฝีเท้าทีแ่ ม่จะเยื้องย่องยกยา่ งลงเหยยี บดนิ ก็สุดสน้ิ สุดปญั ญาสุดหาสุดค้นเหน็ สุดคิด (ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มทั รี : เจ้าพระยาพระคลัง (หน))

๓๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒.๔.๒ การเล่นคาพ้อง เป็นการพิจารณาการนาคาพ้องมาใช้คู่กันให้เกิดความหมาย ท่สี มั พนั ธก์ นั โดยทัว่ ไปแบง่ ได้ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ - คาพ้องรูป เป็นการใช้คาที่เขียนเหมือนกัน แต่ออกเสียงต่างกันและมีความหมาย ตา่ งกัน ตัวอย่าง กาจบั กาฝากตน้ ตมุ กา กาลอดกาลากา รอ่ นร้อง เพกาหมู่กามา จับอยู่ กาม่ายมัดกาซร้อง ก่งิ ก้านกาหลง (ลิลติ พระลอ : ไม่ปรากฏนามผแู้ ตง่ ) จากคาประพนั ธป์ รากฏคาว่า กา ซง่ึ ในบทประพันธค์ าว่ากามีความหมายแตกต่างกัน ออกไป เชน่ กาจบั กาฝากตน้ ตมุ กา หมายถึง นกกากาลงั เกาะทีต่ ้นกาฝากซงึ่ อยู่บนตน้ ตุมกา เปน็ ต้น - คาพ้องเสียง เป็นการใช้คาที่มีเสียงเหมือนกัน แต่รูปการเขียนและความหมาย แตกตา่ งกันออกไป ตวั อยา่ ง เบญจวรรณจับวัลย์มาลี เหมอื นวนั เจา้ วอนพ่ใี หต้ ามกวาง (รามเกยี รต์ิ : พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช) จากคาประพันธ์ปรากฏคาว่า เบญจวรรณ วัลย์ และวัน ซ่ึงท้ังสามคาออกเสียงว่า “วัน” แต่มีรูปการเขียนแตกต่างกนั ออกไปและความหมายตา่ งกัน - คาพ้องความหรือคาไวพจน์ เป็นการใช้คาท่ีเขียนต่างกัน แต่มีความหมาย เหมอื นกันหรือใกลเ้ คยี งกนั มาก ตวั อย่าง มดื สิน้ แสงเทียนประทีปส่อง กผ็ อ่ งแสงจันทรก์ ระจา่ งสวา่ งส่ง บปุ ผชาติสาดเกสรขจรลง บษุ บงเบิกแบง่ ระบดั บาน (บทเสภาขุนช้างขุนแผน : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ) จากคาประพันธ์ปรากฏคาไวพจน์ของคาว่า เทียน ได้แก่คาว่า ประทีป และ ดอกไม้ ไดแ้ ก่ บุปผชาติ บุษบง ๒.๔.๓ การใช้ภาษาเชิงวาทศิลป์หรือปฏิปุจฉา การใช้คาถามที่ไม่ต้องการคาตอบ ใชเ้ พ่ือเรยี กร้องความสนใจหรอื กระต้นุ ให้เกดิ ความคิดเทา่ นัน้ ตวั อยา่ ง กระน้ีหรือชอ่ื เสียงเกยี รติยศ จะมิหมดล่วงน่าทันตาเห็น เป็นผ้ดู มี ีมากแล้วยากเย็น คดิ ก็เป็นอนิจจังเสียทงั้ นั้น (นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่) จากคาประพันธ์ข้างต้นปรากฏการใช้คาถามในคาว่า กระน้ีหรือ ซึ่งได้เป็นการถาม เพ่อื ต้องการคาตอบ แตเ่ พียงต้องการกระตนุ้ ความคดิ ของผ้อู า่ นเทา่ น้ัน

๓๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒.๕ ภาพพจน์ เปน็ การใชถ้ อ้ ยคาหรือสานวนโวหารท่ีทาให้การอ่านงานเขียนเกิดจินตนาการ หรือเข้าใจการถ่ายทอดอารมณ์ของผู้แต่งผ่านงานเขียน ซ่ึงทาให้เกิดความรู้สึกร่วมหรือตรงตามจุดประสงค์ ของผูเ้ ขียน ภาพพจน์มหี ลายชนิด เช่น ๒.๕.๑ อุปมา เป็นการเปรียบเทียบส่ิงใดสิ่งหน่ึงเหมือนกับอีกสิ่งหน่ึง โดยจะต้องมีคา ท่ีแสดงถึงการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน เช่น เปรียบ ราวกับ เช่น ตัวอย่าง เหมือน เสมือน ราว ดุจ ดั่ง ดัง ประหน่งึ ประเล่ห์ เฉก กล ป้มิ พ่าง ปนู ปาน เพย้ี ง ยิง่ (ในบางกรณี) เป็นต้น ตัวอย่าง งามโอษฐ์ดงั ใบไมอ้ อ่ น งามกรดงั ลายเลขา งามรปู เลอสรรขวญั ฟ้า งามยงิ่ บปุ ผาเบง่ บาน (ศกนุ ตลา : พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ ัว) ๒.๕.๒ อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบส่ิงหนึ่งเป็นอีกส่ิงหน่ึง โดยทั่วไปมีคาท่ีแสดงการ เปรยี บเทียบ ได้แก่ เปน็ คอื เทา่ หรือในบางครง้ั เปน็ การเปรยี บเทียบทไ่ี มต่ ้องมคี าเหล่านแ้ี สดงก็ได้ ตัวอย่าง แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พ่ีขอพบศรสี วสั ดิ์เป็นมจั ฉา แมเ้ ป็นบวั ตวั พี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสมุ ปทมุ ทอง (พระอภยั มณี : สุนทรภู่) โอเ้ จ้าดวงสรุ ยิ ันจนั ทราทั้งคขู่ องแม่เอย่ แม่ไมร่ ู้เลยวา่ เจ้าจะหนพี ระมารดาไปสูพ่ าราใดไม่รทู้ ี (ร่ายยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม์ ัทรี : เจา้ พระยาพระคลัง (หน)) จากบทประพันธ์ข้างต้นมีการใช้คาว่า สุริยันจันทรา ซึ่งหากพิจารณาตามเน้ือหา ในคาประพันธ์จะพบว่าไม่ได้ให้ความหมายถึงพระอาทิตย์และพระจันทร์ แต่เปรียบเทียบลูกของนางมัทรี เปน็ พระอาทิตยแ์ ละพระจนั ทร์ คอื พระชาลเี ป็นพระอาทิตย์และพระกัญหาเปน็ พระจนั ทร์ ๒.๕.๓ สัทพจน์ เปน็ การใชภ้ าษาเพอื่ เลยี นเสียงธรรมชาติ ตวั อย่าง ระทึกท้นโทนทบั ฉ่ิงฉบั ฉ่ิง ติงท่ังติงตงิ ท่งั ติงท่ังติงท่ัง เจ้าพลายงามศรีมาลาไมม่ าฟงั เพลงกพ็ รากจากวังบางขนุ พรหม (บทกวีบางขนุ พรหม : เนาวรัตน์ พงไพบูลย์) จากบทประพันธข์ า้ งตน้ เปน็ การเลียนเสียงเครอ่ื งดนตรีของโทนและฉง่ิ ๒.๕.๔ บุคคลวัต บุคคลสมมติ หรือบุคลาธิษฐาน การใช้ภาษาสมมติให้สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์หรือไม่มีตัวตน (นามธรรม) แสดงอากัปกิริยาเสมือนหนึ่งว่าเป็นมนุษย์ เช่น พูดได้ ร้องไห้ได้ เปน็ ตน้ ตัวอย่าง นา้ เซาะรนิ รินหลากไหล ไมห่ ลับเลยชัว่ ฟ้าดนิ หาย สรรพสัตว์พอฟนื้ กว็ ุ่นวาย สลายซากเปน็ กากผงธลุ ี (ลานาภูกระดงึ : องั คาร กัลยาณพงศ์) จากบทประพันธ์ข้างต้นมีคาว่า น้าไม่เคยหลบั โดยคาว่า หลับ เป็นอาการของมนษุ ย์

๓๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒.๕.๕ อติพจน์ การกล่าวเกินจริง โดยเป็นการกระทาหรือความรู้สึกของมนุษย์ท่ีเกิน จรงิ มกั นิยมใช้กนั มากในตอนทีก่ ลา่ วเกีย่ วกบั ความรักและความโศก ตัวอย่าง ผิวะอายจุ ะยนื ศตะพรรษะฤกวา่ กจ็ ะรกั มทั นา บ่มิหย่อนฤดหิ รรษ์ (มทั นะพาธาคาฉันท์ : พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) จากบทประพนั ธข์ า้ งต้นเปน็ การพรรณนาความรกั ของท้าวชัยเสนท่ีมีต่อนางมัทนาว่า หากมอี ายุยืนเป็นร้อยปหี รือมากกวา่ ก็จะรกั แคน่ างไม่เสื่อมคลาย ๒.๕.๖ นามนัย เป็นภาษาท่ีเกิดจากการใช้ส่ิงหน่ึงแทนอีกส่ิงหน่ึง อาจเป็นคา ๆ เดียว หรือข้อความโดยใช้คาอ่ืนแทนไม่เรียกตรง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคาท่ีรู้จักกันเฉพาะกลุ่มหรือต้องมีความรู้พ้ืนฐาน ถงึ จะสามารถตคี วามได้ ตวั อยา่ ง ดว้ ยมวลมาตยากรวา่ นครรามนิ ทร์ ผลดั แผน่ ดนิ เปลยี่ นราช เยียววิวาทชิงฉตั ร เพื่อกษัตรยิ ส์ องสูบ้ ่ร้างรเู้ หตผุ ล ควรยาตรพลไปเยอื น เตอื นประยุทธเ์ อาเปรียบ แม้นไปเ่ รียบเปน็ ที (ลิลิตตะเลงพ่าย : กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส) จากบทประพันธ์ข้างต้นปรากฏคาว่า ฉัตร ซ่ึงในบทประพันธ์ไม่ได้มีความหมายว่า เครอ่ื งสงู ของกษัตรยิ ์ แตห่ มายถงึ ราชบัลลังก์ เนอื่ งจากฉัตรเป็นเคร่อื งประกอบพระยศท่สี าคัญของกษัตรยิ ์ ๒.๕.๗ สัญลักษณ์ การใช้สิ่งหน่ึงแทนอีกส่ิงหน่ึงอาจจะเป็นคา ๆ เดียว ข้อความหรือ เรอ่ื งเฉพาะตอนก็ได้ คาที่เป็นสัญลักษณน์ ้นั จะต้องเป็นคาที่ใช้กนั นานหรือเปน็ คาที่รูจ้ กั กนั โดยทั่วไป ตวั อยา่ ง แตแ่ รกเชอ่ื วา่ เนอื้ ทบั ทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้ กาลวงวา่ หงส์ใหป้ ลงใจ ด้วยมไิ ด้ดหู งอนแตก่ ่อนมา (กากีคากลอน : เจา้ พระยาพระคลงั (หน)) จากบทประพันธข์ ้างตน้ ปรากฏการใชส้ ญั ลกั ษณใ์ นคาวา่ ทับทิม ซ่ึงหมายถึงส่ิงที่มีค่า พลอยหุง หมายถงึ สง่ิ ทมี่ ีคา่ น้อย กา หมายถงึ สิว่ ทไ่ี มด่ ี ต้อยตา่ และหงส์ หมายถึง สิง่ สูงศักดิ์ สงิ่ ท่ดี ี มีคา่ ๒.๕.๘ ปฏิพากย์ การใช้ภาษาท่ีบอกความตรงข้าม เป็นภาพพจน์ที่ใช้คากล่าวที่มอง อย่างผิวเผนิ แลว้ จะขดั กันเองหรือไม่นา่ จะเป็นไปได้ ดว้ ยเพราะขดั แย้งกันแต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเป็นคากล่าวท่ีมี ความหมายลึกซ้งึ ตัวอย่าง เธอตายเพอ่ื จะปลุกใหค้ นตน่ื เธอตายเพือ่ ผ้อู ่นื นบั หมื่นแสน เธอเปน็ ดนิ ก้อนเดยี วในดนิ แดน แตจ่ ะหนกั และจะแน่นเต็มแผ่นดนิ (กระทุ่มแบน : เนาวรตั น์ พงษ์ไพบูลย์) จากบทประพันธ์ข้างต้นมีการใช้ภาษาท่ีความหมายตรงข้ามกันได้แก่ ตาย-ตื่น และ ดนิ ก้อนเดยี ว-เต็มแผ่นดิน ซ่ึงแสดงถงึ ความขดั แยง้ กนั ภายในความหมาย แต่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบ

๓๙เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒.๖ รสทางวรรณคดีไทย หมายถึง รสของความไพเราะในการเลือกใช้ถ้อยคาให้เกิด ความงดงามและเกิดอารมณ์ท่ีหลากหลาย ซึ่งโดยท่ัวไปนิยมใช้พิจารณาในงานเขียนประเภทร้อยกรอง โดยรสทางวรรณคดไี ทย สามารถแบ่งเปน็ ๔ ประเภท ได้แก่ ๒.๖.๑ เสาวรจนี เป็นลักษณะของรสวรรณคดีท่ีเป็นรสความไพเราะเก่ียวกับการชม ความงาม อาจเป็นความงามของตัวละคร สถานท่ี หรือธรรมชาติ ตวั อยา่ ง สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวบั สลบั พรรณ ชอ่ ฟ้าตระการกลจะหยนั จะเยาะยั่วทิฆัมพร บราลีพิลาสศภุ จรญู นภศลู ประภัสสร หางหงสผ์ จงพิจติ รงอน ดุจกวักนภาลยั (สามัคคีเภทคาฉันท์ : นายชติ บุรทัต) จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นการพรรณนาถึงความงามของเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ซง่ึ กลา่ วถึงความสวยงามของปราสาทท่มี สี ว่ นประกอบต่าง ๆ เชน่ บราลี ชอ่ ฟา้ นภศลู หางหงส์ เป็นตน้ กรนอ้ งเปรยี บเชน่ ช้าง ไอยรา- วณั แตง่ วงเอามา เทยี บเจา้ เปลากลมสมกายา เทียมรูป คราวเม่ือนอ้ งนัง่ เทา้ ออ่ นล้าแขนงาม (กาพย์หอ่ โคลงนริ าศธารโศก : เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศวร) จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นการพรรณนาความสวยงามของสตรี หรือเรียกว่า “บทชมโฉม” ซ่งึ กลา่ วถงึ ความงามตา่ ง ๆ ของผหู้ ญิง ๒.๖.๒ นารีปราโมทย์ เป็นการใช้ภาษาก่อให้เกิดรสหรือความรู้สึกท่ีแสดงความรักใคร่ เกี้ยวพาราสี หรอื พูดจาโอ้โลมใหอ้ ีกฝา่ ยเกิดความรกั ล่มุ หลง หลงใหล ตัวอย่าง เจ้างามปลอดยอดรักของพลายแกว้ ไดม้ าแล้วแมอ่ ยา่ ขับใหก้ ลับหนี พี่สูต้ ายไม่เสียดายแกช่ ีวี แก้วพ่อี ยา่ ได้พร่าราพันความ พีผ่ ิดพ่กี ็มาลุแก่โทษ จงคลายโกรธแม่อยา่ ถอื วา่ หยาบหยาม พีช่ มโฉมโลมลบู ด้วยใจงาม ทรามสวาทด้ินไปไมไ่ ยดี (บทเสภาขุนชา้ งขนุ แผน : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย) จากบทประพนั ธข์ า้ งตน้ เป็นการพูดจาโอ้โลมของพลายแก้วต่อนางพมิ พลิ าไลย อนั โดรเมดาสุดาสวรรค์ ยิ่งกว่าชวี ันเสน่หา ขอเชญิ ชาวสวรรค์ชนั้ ฟ้า เปดิ วิมานมองมาให้ชนื่ ใจ ถงึ กลางวันสรุ ยิ นั แจ่มประจักษ์ ไม่เห็นหนา้ นงลักษณย์ ง่ิ มดื ใหญ่ ถงึ ราตรมี จี ันทรอ์ นั อาไพ ไม่เห็นโฉมประโลมใจกม็ ดื มน (ววิ าหพระสมทุ ร : พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยูห่ วั )

๔๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๒.๖.๓ พิโรธวาทัง เป็นการใช้ภาษาท่ีก่อให้เกิดรสหรือความรู้สึกท่ีแสดงความโกรธ ตดั พ้อ เหนบ็ แนม เสียดสี ด่าทอ หรอื แสดงความเคยี ดแค้น ตวั อยา่ ง ฮึดฮัดขดั แค้นแนน่ ใจ ตาแดงดงั่ แสงไฟฟ้า เป็นชายดดู ๋มู าหม่นิ ชาย มติ ายก็จะได้เหน็ หน้า (รามเกียรต์ิ : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช) จากบทประพันธข์ า้ งต้นเป็นความคบั แคน้ ใจของนนทกซงึ่ โดนเหล่าเทวดากลนั่ แกล้ง จะเจบ็ จาไปถงึ ปรโลก ฤารอยโศกรรู้ ้างจางหาย จะเกดิ กีฟ่ ้ามาตรมตาย อยา่ หมายว่าจะใหห้ วั ใจ (เสยี เจา้ : องั คาร กลั ยาณพงษ์) จากบทประพันธ์ข้างต้นเป็นการตัดพ้อ ซ่ึงก่อให้เกิดความรู้ความเจ็บปวดจาก ความรกั และเคยี ดแคน้ ใจ เมือ่ รกั กนั ไม่ได้กไ็ ม่รัก ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหน ไมร่ ักกูกูกจ็ ักไม่รักใคร เอ๊ะน้าตากูไหลทาไมฤๅ (ปากกบั ใจ : สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ) จากบทประพนั ธข์ า้ งตน้ เปน็ การตดั พอ้ แต่แฝงไว้ดว้ ยอารมณข์ ัน พระโยคชี ห้ี น้าว่าอเุ หม่ ยงั โว้เวว้ นุ่ วายอตี ายโหง เพราะหวงผัวมัวเมาเฝา้ ตะโกรง ว่ากโู กงมงึ ก็ตกนรกเอง อียกั ษาตาโตโมโหมาก รปู กก็ ากปากก็เปราะไมเ่ หมาะเหมง นมสองข้างอยา่ งกระโปรงดูโตงเตง ผวั ของเองเขาระอาไมน่ ่าชม (พระอภยั มณี : สนุ ทรภู่) จากบทประพันธ์ขา้ งตน้ กล่าวถงึ คาดา่ ของพระฤๅษตี ่อนางผเี สื้อสมุทร ๒.๖.๔ สัลลาปังคพิสัย เป็นการใช้ภาษาท่ีก่อให้เกิดรส อารมณ์ หรือความรู้สึกท่ีแสดง การครา่ ครวญ โศกเศร้า อาลัย ตวั อยา่ ง เจา้ ชายเนตรดพู ่ีบ้าง ใหพ้ ่สี รา่ งซงึ่ โศกศัลย์ เราจะรว่ มพระเพลงิ กัน ในเขตขัณฑ์พระคงคา (บทพากย์รามเกียรต์ิ กาพยน์ างลอย : พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย) จากบทประพันธ์กล่าวถึงความโศกเศรา้ ของพระรามท่เี หน็ นางสดี าแปลงตาย เคยหมอบใกล้ได้กลิน่ สคุ นธ์ตลบ ละอองอบรสรืน่ ชนื่ นาสา สิ้นแผ่นดินสิน้ รสสุคนธา วาสนาเราก็สิน้ เหมือนกลนิ่ สุคนธ์ (นริ าศภูเขาทอง : สนุ ทรภู่) จากบทประพันธ์ดังกล่าวกล่าวถึงความคร่าครวญของสุนทรภู่เม่ือวาสนาของตน หมดลงเนื่องจากการเปลี่ยนรชั กาล

๔๑เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๓. ด้านสงั คม การประเมินคุณค่าของวรรณกรรมด้านสังคม เป็นการประเมินว่างานเขียนน้ัน ๆ สะท้อน ภาพสังคมในด้านใดออกมา ซึ่งอาจจะเป็นวิถีชีวิต แนวคิด ทัศนคติ เหตุการณ์ ความเป็นอยู่ รวมไปถึงมุมมอง ในสถานการณต์ า่ ง ๆ ทัง้ ของบุคคลในอดตี และปัจจุบนั ตวั อย่าง หญงิ ไมอ่ ยากมสี ามี หาในโลกนีห้ าไหน อันพวงบุปผามาลัย เกลียดแมลงภไู่ ซร้ฤๅมี (กนกนคร : พระราชวรวงศเ์ ธอ กรมหม่นื พิทยาลงกรณ์) บทประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึงแนวคิดเร่ืองผู้หญิงในยุคเม่ือร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งมองว่าผู้หญิง จาเป็นจะต้องมสี ามีคอยเล้ยี งดู ท้ังยังเป็นความปรารถนาของผู้หญงิ อกี ดว้ ย สตรีมชี ีวติ ลา้ งรอยผิดดว้ ยเหตุผล คณุ ค่า “เสรชี น” มใิ ชป่ รนกามารมณ์ (อหงั การของดอกไม้ : จิรนันท์ พติ รปรีชา) บทประพันธ์ข้างต้นเป็นบทประพันธ์ที่กล่าวถึงแนวคิดเรื่องผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ที่มองว่า ผหู้ ญิงมชี วี ติ เป็นของตนเอง เปน็ เสรชี น ไม่ใชเ่ พยี งแค่มีหนา้ ทีร่ บั ใช้ผชู้ ายเท่านั้น ไดย้ ินเสยี งฆอ้ งยา่ ประจาวงั ลอยลมลอ่ งดงั ถงึ เคหา คะเนนับยา่ ยามได้สามครา ดเู วลาปลอดห่วงทกั ทิน (เสภาขุนช้างขนุ แผน : พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย) บทประพันธ์ข้างต้นปรากฏภาพความเช่ือของคนในสมัยโบราณ โดยเป็นความเช่ือเรื่อง ฤกษย์ าม ท้งั ยังปรากฏสภาพวถิ ีชวี ิตของคนคอื การยา่ ฆ้อง ซึ่งเป็นการบอกเวลาในสมัยโบราณ ๔. ดา้ นข้อคิดและการนาไปใช้ การประเมนิ คุณค่าของวรรณกรรมด้านน้ี เป็นการพิจารณาว่างานเขียนนั้น ๆ ผู้แต่งมุ่งเสนอข้อคิด มุมมอง คติสอนใจ หรือเรื่องใด ๆ เพ่ือให้เกิดประโยชน์ในการอ่าน และเป็นแนวทางให้ผู้อ่านสามารถนา เรือ่ งราวเหล่าน้ันไปใช้ประโยชน์หรือประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้ ตวั อยา่ ง แม้มไิ ด้เปน็ ต้นสนระหง จงเปน็ พงออ้ สะบัดไมข่ ดั ขวาง แมม้ ิได้เปน็ นชุ สุดสะอาง จงเปน็ นางท่ีมใี ชไ่ ร้ความดี อนั จะเป็นสง่ิ ใดไม่ประหลาด กาเนดิ ชาติดีทรามตามวถิ ี ถือสันโดษบาเพ็ญใหเ้ ดน่ ดี ในสิง่ ทีเ่ ราเปน็ เชน่ น้นั เทอญ (พอใจใหส้ ขุ : ฐะปะนีย์ นาครทรรพ) บทประพันธ์ข้างต้น ให้แนวคิดสาคัญเร่ืองความพอใจในส่ิงที่ตนเองมีหรือสิ่งที่เป็น โดยที่ ไมจ่ าเปน็ จะตอ้ งมีหรือเป็นอยา่ งคนอ่ืน

๔๒เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ตวั อยา่ งการอา่ นวิเคราะห์เพอ่ื ประเมินคุณค่า เปลก็ไกวดาบกแ็ กว่งแขง็ หรอื ไม่ ไมอ่ วดหย่ิงหญิงไทยมิใช่ช่ัว ไหนไถถากตรากตราไหนทาครัว ใช่รูจ้ ักแต่จะยั่วผัวเมอื่ ไร (นารเี รอื งนาม : พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์) การอ่านวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณค่า พบว่าบทประพันธ์ข้างต้น เป็นบทประพันธ์ท่ีดี โดยสามารถ พิจารณาตามหลกั การอ่านวเิ คราะหเ์ พือ่ ประเมินคณุ คา่ ได้ ดงั น้ี ๑. ด้านเน้ือหา จากบทประพันธ์ดังกล่าวผู้เขียนต้องการจะส่ือให้เห็นถึงความสามารถของผู้หญิง ท่ีต้องทางานในหลาย ๆ ด้าน เช่น ในขณะที่บ้านเมืองสงบร่มเย็น ผู้หญิงมีหน้าท่ีดูแลลูก ไถนา ทานา ทาครัว รวมไปถึงเมื่อบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ผู้หญิงก็จะต้องออกรบเช่นเดียวกับผู้ชาย ผู้หญิงจึงไม่ใช่ คนอ่อนแอ ทจ่ี ะตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ารดูแลของผชู้ ายเสมอไป ๒. ดา้ นวรรณศิลป์และการใช้ภาษา จากบทประพันธ์ข้างต้น ปรากฏคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์และ การใชภ้ าษาหลายประเภท ดังนี้ ๒.๑ การเล่นเสียงสัมผัส ปรากฏการเล่นเสียงสัมผัสสระ เช่น แกว่ง-แข็ง เป็นการเล่นเสียง สัมผัสสระ แ-ะ หย่ิง-หญิง เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระ อิ ถาก-ตราก เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระ –า และปรากฏการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ เช่น ใช่ -ช่ัว เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะตัว ช ไถ-ถาก เปน็ การเลน่ เสียงสัมผัสพยญั ชนะตัว ถ เปน็ ตน้ ๒.๒ การเล่นคาซ้า ปรากฏการเล่นคาซ้าในคาว่า ก็ และไหน ดังในบทประพันธ์ว่า “เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่” และ “ไหนไถถากตรากตราไหนทาครัว” ซึ่งเป็นการเล่นคาซ้า เพื่อย้าความหมายให้ชัดเจนมากยงิ่ ขึ้น ๒.๓ ภาพพจน์แบบปฏิปุจฉา เป็นการใช้คาท่ีเป็นการถามโดยไม่ต้องการคาตอบ เช่น แข็งหรือไม่ ใช่รู้จัก เป็นต้น กระตุ้นการคิดของผู้อ่านให้คิดตามเจตนาของผู้เขียน เช่นในประพันธ์ว่า “เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรอื ไม่” เปน็ ตน้ ๓. ด้านสังคม ในบทประพันธ์ดังกล่าวปรากฏด้านสังคม คือ แนวคิดและวิถีชีวิตของผู้หญิง ในสมัยโบราณ ซึ่งแสดงภาพของบทบาทผู้หญิงท่ีจะต้องทางานสารพัด ไม่ใช่เพียงแต่จะมีหน้าท่ีปรนนิบัติสามี อย่างทค่ี นยคุ ปจั จบุ นั มกั จะมองว่าผูห้ ญิงในอดีตอ่อนแอ และไม่มคี วามสามารถ ๔. ดา้ นขอ้ คิดและการนาไปใช้ ขอ้ คิดท่ีได้ คอื ไมว่ า่ จะผูห้ ญงิ หรือผชู้ าย กม็ คี วามสามารถเชน่ เดยี วกนั เราจึงควรให้เกยี รติ ทุกคนอย่างเสมอภาคกัน

ความรู้พื้นฐานการเขียน.........................๔๔ การเขียนรายงาน จากการศึกษาค้นคว้า.............................๔๖ การเขียนจดหมายกิจธุระ.......................๕๙ การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์จากเรื่องที่อ่าน............................๖๗

๔๔เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ความร้พู ้นื ฐานในการเขียน การเขียนเป็นการทักษะสาคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง และเป็นทักษะจาเป็นเนื่องจากเป็นการส่ือสาร รูปแบบหนึ่ง แต่เป็นการส่ือสารด้วยตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ เพื่อทาหน้าที่ในการส่ือสาร โดยถ่ายทอดความรู้ ความคดิ อารมณ์ ความรู้สกึ ประสบการณข์ องผ้เู ขยี นไปสู่ผอู้ ่าน ทักษะการเขียนเป็นทักษะท่ีได้ชื่อว่าเป็นท้ัง “ศิลป์และศาสตร์” กล่าวคือ การเขียนต้องใช้ภาษา ที่ไพเราะประณีต ส่ือได้ท้ังอารมณ์ ความคิด ความรู้ และต้องใช้ศิลปะประกอบเพ่ือการส่ือสารท่ีชัดเจนและ เขา้ ใจไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ และการท่ีกล่าวว่าเป็นศาสตร์ เพราะการเขียนทุกชนิดต้องประกอบด้วยความรู้ หลกั การ และวธิ กี ารเสมอ การเขียนจึงนับว่าเป็นทักษะหนึ่งท่ีจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับการใช้ชีวิตและการทางาน ซึ่งถือเป็นทักษะ พ้นื ฐานที่ต้องใช้ควบคู่กับทกั ษะอน่ื ๆ เช่น การอา่ นหรือการฟังและดู หากจะกลา่ วถึงในปัจจุบัน การเขียนไม่ใช่ เฉพาะจงเจาะไปท่ีเขียนด้วยลายมือเสมอไป แต่รวมไปถึงการจัดพิมพ์หรือการติดต่อส่ือสารทางโลกออนไลน์ ด้วย จงึ จาเปน็ อยา่ งยงิ่ สาหรับการเรียนรเู้ พือ่ พฒั นาศักยภาพการเขยี นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลกั ษณะงานเขียนทีด่ ี ชดั เจน ผู้เขียนตอ้ งเลอื กใช้คาท่ีมีความหมายเดน่ ชดั อา่ นเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ ถกู ต้อง ในการเขียนต้องคานึงถงึ ความถกู ต้องท้ังในด้านการใชภ้ าษา ความนิยมและเหมาะสมกับกาลเทศะ กะทัดรัด ท่วงทานองการเขียนจะต้องมลี กั ษณะใช้ถอ้ ยคาน้อยแต่ไดค้ วามหมายชดั เจน มนี ้าหนัก งานเขียนที่ดีต้องมีลักษณะเรา้ ความสนใจ สร้างความประทบั ใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการเนน้ คา การเรยี งลาดับคาในประโยค การใชภ้ าพพจน์ มคี วามเรียบงา่ ย งานเขยี นท่ีใช้คาธรรมดาท่เี ข้าใจงา่ ย ไมใ่ ชค้ าฟุ่มเฟือย ไม่วกวน จะมีผลทาใหผ้ ู้อ่านเกิดความเขา้ ใจและเกดิ ความรู้สกึ กับงานเขียนน้นั ไดง้ า่ ย

๔๕เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ มารยาทในการเขียน ๑. ใช้ถ้อยคาสุภาพไพเราะ หลีกเลี่ยงคาหยาบ ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกส่วนตนหรืออคติ ในการเขียน โดยเฉพาะการเขียนวิจารณ์ผู้อ่ืนอย่างปราศจากเหตุผล จนทาให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย และสงั คมแตกแยก ๒. เขียนขอ้ ความหรืองานเขียนท่ีเป็นจริง โดยเกิดจากการศึกษา ค้นคว้าและตรวจสอบว่าถูกต้องแล้ว ผ่านการวิเคราะห์ และมีความน่าเช่ือถือ โดยถ้าเป็นเร่ืองส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะต้องได้รับอนุญาต จากเจา้ ของผลงานเสยี ก่อน ๓. เขียนให้ถูกต้องตามอักขรวิธี โดยการใช้สระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง ใช้ถ้อยคา ทเ่ี หมาะสมกบั เนอ้ื หากาลเทศะและสถานะบุคคล และใช้ความหมายให้ถกู ตอ้ ง ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความคลาดเคลอื่ น ๔. เขียนส่ิงที่มีคุณค่าอันจะก่อให้เกิดความสุขให้เกิดความสงบสุขแก่คนในสังคม และประเทศชาติ ทาใหเ้ กดิ องคค์ วามรู้ใหม่ที่มีตอ่ ผลการพัฒนาประเทศชาติ หรือสามารถใชจ้ รรโลงสังคมได้ ๕. การไม่คัดลอกงานเขียนของผู้อื่น โดยอ้างว่าเป็นผลงานของตนเอง เมื่อยกข้อความหรืองานเขียน ของผ้อู ื่นมาประกอบจะตอ้ งใหเ้ กียรติเจา้ ของงาน โดยการเขียนอ้างองิ ที่มาของเรื่องและช่ือผู้เขยี นทุกครง้ั มีคนเคยกล่าวไว้ว่า การเขียนท่ีดีที่สุดจะต้อง “Write the way you talk” จะต้องสื่อสาร ผ่านตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ให้ผู้รับสารสามารถเข้าใจได้เสมือนกับการพูด เพราะหลักการสาคัญในการเขียน มีเพียงประเด็นของเรื่อง เน้ือเร่ืองและสรุปเท่าน้ัน แต่การที่จะเขียนให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและบรรลุ ตามเปา้ หมายท่ีต้องการสื่อสารได้ ผู้เขียนจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องใช้ทักษะในหลาย ๆ ด้าน ดังน้ันการใช้ภาษา ต้องกระชับ จับใจความได้ นอกจากน้ีการเป็นนักอ่านท่ีดี ยังมีส่วนสาคัญในการเพิ่มพูนประสบการณ์และ สรา้ งนกั เขียนทด่ี ีไดอ้ กี ด้วย ซ่งึ กระบวนการท้ังหมดเหล่าน้ีเปดิ ข้นึ ได้จากการส่ังสมและการฝกึ ปฏบิ ัติ

๔๖เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ การเขียนรายงานจากการศกึ ษาคน้ ควา้ การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า เป็นการนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการประเด็นใด ประเด็นหน่ึง แล้วเรียบเรียงเนื้อหาท่ีศึกษาค้นคว้ามาจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจถูกต้องชัดเจน การเขียนรายงานเรื่องใดเร่ืองหนึ่งผู้เขียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ ถึงองคป์ ระกอบและขัน้ ตอนในการเขียนรายงานเปน็ อยา่ งดีจึงจะเขียนรายงานได้อย่างถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ เพ่ือให้สามารถเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้าได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งน้ีเพ่ือทาให้งานเขียน ของนกั เรยี นมีความน่าเชือ่ ถือมากยง่ิ ขน้ึ ความหมายของรายงานการศึกษาคน้ ควา้ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคาว่า “รายงาน” เป็นคานาม แปลว่า เรื่องราวท่ีไปศึกษาค้นคว้าแล้วนามาเสนอท่ีประชุม ครูอาจารย์ หรือผู้บังคับบัญชา เป็นต้น ถ้าเป็น คากริยา แปลว่า บอกเรอ่ื งของการงาน เช่น รายงานใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาทราบ การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า เป็นการนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการประเด็นใด ประเด็นหน่ึง แล้วเรียบเรียงเนื้อหาที่ศึกษาค้นคว้ามาจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เพ่อื ให้ผ้อู า่ นเขา้ ใจถูกตอ้ งชดั เจน ความสาคญั ของการเรยี นการเขียนรายงานการศึกษาคน้ คว้า ๑. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ในเรื่องที่สนใจ ไดอ้ ย่างกวา้ งขวางลึกซึ้ง ๒. ช่วยใหผ้ ู้เรียนรจู้ กั แหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ และเกดิ ทกั ษะ รู้วิธีการค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูล นั้น ๆ ได้อยา่ งถกู วธิ ี ๓. ช่วยฝึกทักษะทางด้านการอ่าน โดยอ่านได้เร็ว อ่านแล้วสามารถจับใจความของเรื่องท่ีอ่านได้ สามารถสรุปได้ วิเคราะห์ได้ และจดบันทกึ ได้ ๔. ช่วยฝึกทักษะทางด้านการเขียน สามารถสื่อความหมายโดยการเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้ข้ันตอน รู้รูปแบบของการเขียนรายงาน แล้วนาเอาหลักการและแบบแผนในการเขียนรายงานไปปรับใช้ ในการเขยี นรายงานทางวิชาการอน่ื ๆ ได้ เช่น ภาคนิพนธ์ สารนพิ นธ์ วิทยานพิ นธ์ ตารา เปน็ ตน้

๔๗เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ๕. ช่วยฝึกทักษะทางด้านการคิด คือสามารถคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ได้ โดยใช้วิจารณญาณ ของตนเอง แสดงความคิดเห็นอยา่ งมเี หตุผลโดยมหี ลกั ฐานอา้ งอิง แลว้ รวบรวมเรียบเรียงข้อมูลความคิดที่ได้ให้ เปน็ เร่อื งราวไดอ้ ยา่ งมขี ้นั ตอนและมรี ะบบเปน็ ระเบยี บ ๖. สามารถเขยี นรายงานประกอบการเรยี นไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งตามแบบแผน และเป็นพ้ืนฐานในการศึกษา ช้ันสงู ต่อไป ๗. ใชเ้ ปน็ ส่วนหนึ่งในการประเมินผลของแต่ละรายวชิ า ประเภทของรายงานการศึกษาคน้ ควา้ การศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลนั้นอาจเป็นการค้นคว้าจาก หนังสือ เอกสารการสารวจ การทดลอง การสังเกต การสัมภาษณ์ วิธีใดวิธีหน่ึงหรืออาจใช้หลายวิธีประกอบกันก็ได้ ในสถาบันการศึกษานั้นการเขียน รายงานถือเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมการเรียนการสอนโดยผู้สอนอาจเป็นผู้กาหนดหัวข้อเรื่องที่จะทารายงาน ให้ หรือให้ผู้เรียนเป็นผู้เลือกหัวข้อเรื่องเอง การทารายงานอาจทาเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ข้ึนอยู่กับ ขอบเขตของเร่อื งและระยะเวลาในการทา รายงานทางวิชาการอาจแบง่ เป็นประเภทใหญ่ ๆ ไดด้ งั นี้ ๑. รายงาน (Report) คือรายงานท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลซ่ึงส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากหนังสือและเอกสารต่าง ๆ เป็นกิจกรรมประกอบการเรียนการสอนที่ผู้สอน มอบหมายใหผ้ ูเ้ รียนไดศ้ กึ ษาค้นควา้ เพื่อใหม้ คี วามรู้เพมิ่ เตมิ จากเนอ้ื หาทีเ่ รียนในหอ้ งเรยี น และใช้เป็นส่วนหนึ่ง ในการประเมินผลของแต่ละรายวิชา ในหนึ่งรายวิชาอาจมีผู้รายงานได้หลายเร่ือง การนาเสนออาจเป็น ลายลักษณอ์ ักษรหรอื รายงานปากเปล่ากไ็ ด้ แลว้ แต่ผ้สู อนกาหนด ๒. ภาคนิพนธ์หรือรายงานประจาภาค (Term Paper) มีลักษณะเช่นเดียวกันรายงาน เพียงแต่เรื่องท่ีใช้ทาภาคนิพนธ์จะมีขอบเขตกว้างและลึกซึ้งกว่า ใช้เวลาค้นคว้ามากกว่าความยาวของเน้ือหา มากกว่า ดังนั้นผเู้ รียนจงึ มักจะได้รับมอบหมายใหท้ าเพียงเรื่องเดยี วในแต่ละรายวชิ าตอ่ ภาคการศึกษา ๓. ปริญญานิพนธ์ เป็นรายงานผลการวิจัยอันเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญามหาบัณฑิต เรียกว่า “วิทยานิพนธ์” (Thesis) และตามหลักสูตรปริญญาดุษฎีบัณฑิตเรียกว่า “ดุษฎีนิพนธ์” (Dissertation) หัวข้อท่ีจะทาปริญญานิพนธ์จะต้องมีคุณลักษณะเข้มงวด ท้ังในด้านคุณภาพ และปริมาณจะต้องเป็นหัวข้อท่ีแสดงถึงความคิดริเริ่มและมีขอบเขตกว้างขวางลึกซ้ึง ศึกษาตามลาดับขั้นตอน ของการทาวจิ ยั อย่างมรี ะเบียบแบบแผน ประกอบด้วยขอ้ เท็จจริงและขอ้ เสนอแนะ

๔๘เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาไทย ๔ เล่ม ๑ ลักษณะสาคัญของรายงานการศึกษาคน้ คว้า ๑. เน้ือหาสาระถูกต้องตรงความเป็นจริงเชิงวิชาการ แบ่งเป็นบทหรือตอน เป็นไปโดยลาดับ อยา่ งต่อเนื่องสมั พนั ธ์กันตลอดทั้งเลม่ ๒. มีรูปแบบการเขียนหรือพิมพ์ส่วนประกอบถูกต้อง และครบถ้วนตาข้อกาหนดของรายงาน แตล่ ะประเภท ๓. มีการอ้างอิง คือการบอกแหล่งท่ีมาของข้อมูลไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เนื้อหามีความน่าเช่ือถือ และผู้อา่ นสามารถค้นควา้ เพ่มิ เตมิ หรือตรวจสอบได้ และมรี ปู แบบการอ้างอิงเปน็ ระบบเดยี วกนั ตลอดทง้ั เลม่ ๔. ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาทางการ คือเป็นภาษาท่ีมีลักษณะถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของภาษา ส่ือความหมายตรงไปตรงมา ส้ัน กะทัดรัด เข้าใจง่ายโดยไม่ต้องแปลอีกครั้ง ได้ใจความครบถ้วน เพราะ การเขยี นรายงานทางวิชาการเป็นงานเขยี นท่ีเนน้ ความรู้หรอื ข้อเท็จจรงิ ขอ้ ควรระวงั การใช้คาในรายงาน การใช้ภาษาท่ถี กู ตอ้ งเปน็ ทางการนนั้ จะชว่ ยให้งานเขียนมคี วามน่าเช่ือถือและเป็นท่ียอมรับของผู้อ่าน ดังนั้น เม่ือเขียนแล้วควรอ่านทบทวนและพิจารณา ตรวจทานแก้ไขให้รอบคอบด้วยเพ่ือให้แน่ใจว่า เปน็ งานเขยี นที่มคี ุณภาพ ๑. ไม่ใช้คาในภาษาพูดหรือภาษาปาก ภาษาตลาด ภาษาคะนอง ภาษาสแลง เพราะเป็นภาษา ที่ไม่สุภาพ ซ่ึงส่วนมากแล้วจะใช้สนทนาทั่วไปในชีวิตประจาวัน ในหมู่คนที่รู้จักคุ้นเคยสนิทสนมกันเท่าน้ัน และนิยมพูดกันในช่วงระยะเวลาใดเวลาหน่ึงเท่าน้ัน มักเข้าใจกันเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มวัยรุ่นหรือกลุ่มคน บางอาชีพ เชน่ คาว่า กิน หมู ๆ เก๋า ตึม อึ๋ม อิน เอาว์ เช้งกะเดะ๊ โบ๊ะ จ๊าบ เจง๋ เป็นต้น ๒. คาในภาษาถิ่นหรือภาษาเฉพาะท้องถิ่นเฉพาะกลุ่ม หากจาเป็นต้องใช้ควรมีคาอธิบายกากับไว้ด้วย อาจใช้วิธีวงเล็บกากับ หรือทาเชิงอรรถอธิบายความหมายไว้ก็ได้ เช่น คาว่า ลาแต๊ ร่อยจังหู แซบอีหลี ม่วน ขนาด อ้อรอ้ ขอสูมาเตอ๊ ะ เปน็ ต้น ๓. เลอื กใชค้ าให้ตรงตามความหมายท่ตี อ้ งการจะสื่อ ไม่ใช่คาที่มีความหมายกากวม คาท่ีมีความหมาย คลุมเครือไม่ชัดเจน คาที่มีความหมายได้หลายนัย ซ่ึงอาจทาให้ผู้อ่านเข้าใจ ไม่ตรงตามที่ต้องการจะส่ือ เช่น คาว่า “ฉนั ตอ้ งไปผ่าตัด” “ใบพลปู ูนอนได้” “พ่ีเขาชอบโดดร่มเสมอ” เป็นต้น

๔๙เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๔. งดใช้คาฟุ่มเฟือยหรอื ไม่ส่ือความหมาย เพราะการเขียนเชิงวิชาการต้องใช้ภาษาท่ีส้ันตรงไปตรงมา เชน่ หา้ มไม่ใหร้ บั ประทานอาหารกอ่ นถงึ เวลา ควรเขียนเปน็ ห้ามรับประทานอาหารก่อนถึงเวลา คนทุกคนเกิด มาต้องการความสุขกันทุกคน ควรเขียนเป็น ทุกคนเกิดมาต้องการความสุข ในอดีตที่ผ่านมาสมบัติเป็นคนดี คนหน่ึง ควรเขียนเป็น ในอดีตสมบัติเป็นคนดี คณะกรรมการได้ทาการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ควรเขียนเป็น คณะกรรมการตรวจสอบแลว้ ๕. ไม่ใช้คาย่อในภาษาเขียน เพราะอาจทาให้ผู้อ่านเข้าใจผิด หรือเกิดความสับสนได้ เพราะส่วนมาก แล้วคาย่อจะเป็นคาที่ใช้กันเฉพาะวงการ ควรเขียนคาเต็มแต่ถ้าจาเป็นต้องใช้คาย่อต่าง ๆ ให้วงเล็บคาเต็มไว้ ด้วย เช่น ตร. ให้เขยี นเปน็ ตารวจ ผอ. ใหเ้ ขียนเป็น ผู้อานวยการ เปน็ ต้น ๖. ไม่ใช้เครื่องหมายแทนคาพูดเพราะไม่เป็นท่ีนิยมในภาษาเขียน เช่น % ควรเขียนเป็นร้อยละ (ยกเวน้ ในตาราง) ? ควรเขียนเปน็ อะไร \\ ควรเขยี นเปน็ เพราะฉะนนั้ เป็นต้น ๗. ในการเขียนศัพท์ทางวิชาการควรเลือกใช้ศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถานเล่มใหม่ล่าสุด เช่น คาวา่ คลนิ กิ ให้เขียนเปน็ คลินกิ ไอศกรีม ให้เขยี นเป็น ไอศกรมี กะทดั รดั ใหเ้ ขียนเป็น กะทดั รัด เปน็ ต้น ๘. ไม่ใช้ภาษาส่ือมวลชน ภาษาในวงการโฆษณา หรือภาษาในหนังสือพิมพ์ เพราะภาษาเหล่าน้ันมุ่ง ใช้คาท่ีเร้าความสนใจ สะดุดตาผู้อ่าน จะไม่คานึงถึงแบบแผนในการเขียน เช่น กีฬาลูกหนัง คาพูดใหญ่โต ความรสู้ ึกแหง้ สบาย เปน็ ตน้ ๙. ไม่ใช้คาเชื่อมหรือคาซ้ากันบ่อย ๆ เพราะจะทาให้รายงานไม่น่าอ่าน ควรหาคาหรือสานวนอ่ืน ใช้แทนจะชว่ ยใหข้ ้อเขยี นไดใ้ จความสละสลวย เชน่ คาวา่ ก็ และ แลว้ หรอื เป็นต้น ๑๐. คาทับศพั ทท์ ีใ่ ช้กนั มานานและปรากฏในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานแล้วจะถือเป็นคาไทย ให้เขียนเป็นภาษาไทยโดยไม่ต้องกากับภาษาเดิม เช่น เซลล์ เอกซเรย์ แคลคูลัส เอนทรานซ์ คอมพิวเตอร์ ฟุตบอล อินเทอร์เนต็ เป็นต้น ๑๑. ถ้าเปน็ คาใหม่ ศัพทบ์ ญั ญัติ ศัพท์วิชาการท่ีเขียนทับศัพท์ ในการเขียนครั้งแรกให้กากับภาษาเดิม ไวด้ ว้ ยและไม่ตอ้ งกากับอีกเมื่อเขยี นคร้งั ต่อไป เช่น เอนจิเนียร์ (Engineer) ยเู รเนยี ม (Uranium) เปน็ ต้น ๑๒. ไม่ใช้คาในภาษาต่างประเทศท่ีมีคาในภาษาไทยใช้แทนได้ควรใช้คาในภาษาไทย เช่น คาว่า เปิดแอร์ ควรเขียนว่า เปิดเคร่อื งปรบั อากาศ สไลด์ ควรเขยี นวา่ ภาพนงิ่ เปน็ ตน้

๕๐เอกสารประกอบการสอน รายวชิ าภาษาไทย ๔ เลม่ ๑ ๑๓. การเขียนประโยค การเขียนประโยคในรายงานทางวิชาการ ควรเขียนเป็นประโยคสั้นๆ กะทัดรัด มีความหมายชัดเจนตรงตามท่ีต้องการจะส่ือ ลักษณะของประโยคท่ีดีคือจะต้องมีความสละสลวย และได้ในความชัดเจน ดังนั้นประโยคที่เขียนจะต้องสมบูรณ์ สามารถแสดงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเป็น ระเบียบถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และหลักการเขียนท่ีดี กล่าวคือต้องมีประธาน กริยา กรรมและ หรือ ส่วนขยาย นามาเรยี งลาดับกันใหไ้ ดค้ วามชัดเจน กระชบั และได้ความตอ่ เนอ่ื งเปน็ ลาดับกันต้ังแต่ต้นจนจบ ๑๔. การเขียนย่อหน้า เป็นข้อความหรือกลุ่มประโยคที่แสดงให้เห็นถึงสาระแนวคิด หรือใจความ สาคัญเรื่องใดเรื่องหน่ึงเพียงเรื่องเดียว ย่อหน้าจะประกอบด้วยประโยคท่ีเป็นสาระสาคัญหรือประโยคหลัก และมีประโยคขยายอื่น ๆ การเขียนย่อหน้าจะช่วยแสดงความสัมพันธ์ของเร่ือง และช่วยให้ผู้อ่านจับประเด็ น ได้ว่า ผู้เขียนรายงานจะนาเสนอเนื้อหาอย่างไร นอกจากน้ันความสาคัญอีกประการหนึ่งของย่อหน้า คือทาให้ ผอู้ ่านไดพ้ ักสายตา ย่อหน้าที่ดีน้ัน ควรมีความสมบูรณ์ กล่าวคือควรเขียนให้มีเน้ือหาสาระชัดเจน ไม่นอกเรื่อง และเขียนให้มีความเป็นเอกภาพ คือมีความคิดหรือประเด็นสาคัญเพียงประการเดียวและมีข้อความขยาย ท่ีเป็นเร่ืองเดียวกัน และนอกจากนั้นเม่ือเขียนย่อหน้าควรเรียบเรียงข้อความให้สัมพันธ์กัน ไม่กระโดดข้ามไป ข้ามมาท้ังภายในย่อหน้าเดียวกัน และระหว่างย่อหน้ากับย่อหน้า ผู้เขียนรายงานจะเร่ิมขึ้นย่อหน้าใหม่ เม่ือจะกล่าวถึงความคิด หรือสาระสาคัญอื่น ๆ ต่อไป หรือเมื่อต้องการยกตัวอย่าง และเม่ือผู้เขียนต้องการ แสดงให้ความแตกตา่ งของประเด็นท่ีตรงกนั ขา้ มหรือต้องการสรปุ ความคดิ ที่กล่าวมาแล้วในย่อหน้าก่อน ๑๕. การลาดับย่อหน้า การเรียบเรียงข้อความเน้ือหาให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน นอกจากจะต้องคานึงถึง ภายในแต่ละย่อหน้าแล้ว ผู้เขียนยังต้องคานึงเสมอว่าข้อความในย่อหน้าคิดกันจะต้องมีความเช่ือมโยงสัมพันธ์ กันเป็นไปตามลาดับสอดคลอ้ งกับโครงเรอ่ื งดว้ ย ๑๖. การเขยี นเลข จาเป็นจะต้องใชร้ ะบบในการเขียนให้เป็นระบบเดียวกันท้ังเล่มรายงาน ซ่ึงโดยปกติ เลขท่ีได้รับความนิยมในการเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าคือ เลขไทยและเลขอารบิก สาหรับรายงานที่ คานึงถึงความเป็นสากลหรือทางการ ควรใช้เลขอารบิก เนอื่ งจากเป็นเลขท่ไี ด้รบั การยอมรับในระดับสากล ๑๗. การจัดทารายงานจากการศึกษาค้นคว้าจาเป็นจะต้องคานึงถึงการอ้างอิงเอกสารประกอบ การศึกษาหรือการอ้างอิงถึงเนื้อหาท่ีนามากล่าวอ้างในรายงาน เนื่องจากถือเป็นการให้เกียรติผู้เขียนหรือ ผศู้ ึกษา ท้ังยงั เป็นการแสดงถึงการอ้างอิงข้อมูลเพ่ือสามารถสืบค้นเพิ่มเติมหรือเพิ่มความน่าเช่ือถือให้กับข้อมูล หรือผลการศกึ ษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook