องค์ความรู้ สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
องค์ความรู้ ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ISBN 978-974-625-785-5 พิมพค์ รงั้ แรก กันยายน 2560 จัดพิมพ์โดย สถาบันวจิ ัยและพฒั นา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 98 หมู่ 8 ตาบลป่าปอ้ ง อาเภอดอยสะเกด็ จังหวัดเชยี งใหม่ ประเทศไทย 50220 โทรศพั ท์ : 0-5326-6516 #1011 โทรสาร : 0-5326-6522 บรรณาธกิ ารวชิ าการ ดร.กญั ญณัช ศิรธิ ญั ญา ผูอ้ านวยการ สถาบนั วิจัยและพฒั นา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา ปกและรปู เลม่ อรโุ ณทัย วรรณถาวร ประสานงาน สวลี วิละคา ศิวกร ธารพรศรี พมิ พท์ ี่ บลูฮาร์ท 8/14 ถนนสขุ สนั ต์ ตาบลสุเทพ อาเภอเมอื ง จังหวดั เชยี งใหม่ 50200 โทรศพั ท:์ 0-5321-6078 1 องคค์ วามรูส้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
สารบญั องค์ความรสู้ ู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม สารจากผอู้ านวยการสถาบนั วจิ ยั และพฒั นา 5 บทนา 7 1. การพัฒนาศกั ยภาพวสิ าหกิจชมุ ชนผ่านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจดั การ 11 2. การเพิ่มผลผลติ และคณุ ภาพข้าวโดยใช้เช้ือราไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ 25 3. เคร่อื งกลัน่ น้ามันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรบั อตุ สาหกรรมแปรรปู ผลติ ภณั ฑ์สมนุ ไพร 35 พ้นื บ้าน 4. การสง่ เสริมประสิทธภิ าพในการทางานของพนกั งานในโรงงานแป้งขนมจีนดว้ ย 49 อปุ กรณ์ทนุ่ แรงเพือ่ ลดความสญู เปลา่ ในกระบวนการทางาน 5. การเพมิ่ ประสทิ ธิภาพกระบวนการฝานเปลือกมะพร้าวน้าหอมด้วยเครอ่ื งฝานแบบ 61 กึ่งอตั โนมตั ิ 6. การพฒั นากระบวนการหยอดส้มล้มิ 71 7. การส่งเสริมอาชพี ชา่ งเชอื่ มใหแ้ ก่ชุมชน 83 8. การจดั การการขายสินคา้ แบบออนไลน์ 91 9. การสร้างโปรแกรมจาลองด้านวศิ วกรรมด้วยฟังก์ช่ัน GUI ของโปรแกรม MATALB 103 10. การอนบุ าลต้นกลา้ กลว้ ยจากการเพาะเล้ยี งเนอื้ เยือ่ เพอ่ื สร้างรายไดส้ ู่ชมุ ชน 117 11. การใช้กจิ กรรมบทบาทสมมตใิ นการพัฒนาความสามารถดา้ นการพดู ภาษาองั กฤษ 127 ของหมอนวดแผนโบราณ 2องคค์ วามร้สู ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
สารบญั องค์ความรูส้ ่ภู าคประชาชนและอุตสาหกรรม 12. การพัฒนาและการผลิตเฟอรน์ เิ จอร์ 141 13. การตดิ ตั้งและบารงุ รกั ษามอเตอรป์ ัม๊ น้าเซลลแ์ สงอาทิตย์เพอ่ื การเกษตร 155 14. เทคนคิ การตรวจสอบคณุ ภาพทางประสาทสมั ผสั สคู่ วามเป็นมอื อาชพี สาหรบั 169 อุตสาหกรรมกาแฟ 15. กระบวนการผลติ กระดาษจากใบตะไคร้ทเ่ี หลอื ทง้ิ จากการเกษตรสผู่ ลติ ภณั ฑ์ท่ี 183 เปน็ เอกลกั ษณ์ของชมุ ชน 16. การออกแบบด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ให้แกอ่ ตุ สาหกรรมวสิ าหกจิ ชมุ ชน 193 SMEs 17. เครือ่ งอดั ถงุ พลาสติกและเทคนคิ การคดั แยกประเภทถุงพลาสตกิ 203 18. การบรหิ ารจัดการสถาบนั การเงนิ ชมุ ชนสาหรบั ผูบ้ รหิ าร 217 3 องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
4องคค์ วามร้สู ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
5 องคค์ วามรูส้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
สารจากผู้อานวยการ สถาบันวจิ ัยและพฒั นา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล การวจิ ัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีความสาคัญอย่างย่ิงต่อการ พัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ ดว้ ยเป็นพ้ืนฐานสาคัญสาหรับท่ีจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ ดังน้ัน มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนาจึงได้ให้ความสาคัญต่อการสนับสนุน ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาโดยตลอด จนมีผลงานวิจัยที่แล้วเสร็จจานวนมากมาก อย่างไรกต็ ามผลงานวิจัยจานวนมากมายในประเทศไทย มักขาดการเชือ่ มโยงบูรณาการระหว่างผู้ผลิต ผลงานวจิ ัยและผปู้ ระกอบการภาคอตุ สาหกรรม จึงทาให้ผลงานวิจัยท้ังหลายไม่ได้ถูกนาไปใช้เพ่ิมขีด ความสามารถในการแขง่ ขันระดบั ประเทศไดเ้ ท่าทีค่ วร ดังนัน้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา จงึ ไดจ้ ัดทาโครงการ “การถ่ายทอดผลงานวิจัย ด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา สู่ภาคประชาชนและ อุตสาหกรรม” และนามาจัดทาเปน็ หนังสอื คูม่ อื “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชนและอุตสาหกรรม” ซึ่ง นอกจากจะมีข้อมูลกิจกรรมการถ่ายทอดองค์ความรู้และการบริการด้านวิชาการท่ีต่างๆ ท่ี สถาบันวิจัยและพฒั นาไดด้ าเนนิ การร่วมกับคณาจารย์ นักวิจัย ของมหาวิทยาลัยแล้ว ยังได้รวบรวม องคค์ วามรทู้ างด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ท่ีสามารถนาไปศึกษาและประยุกต์ใช้ เพ่ือ ยกระดบั ศกั ยภาพของผู้ประกอบการ อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีย่ิงขึ้น ต่อไปในอนาคต ซึง่ ดิฉันหวงั อย่างยิง่ วา่ ทา่ นผ้อู ่านจะไดใ้ ช้ประโยชนจ์ ากหนังสือคูม่ อื เล่มนี้ โอกาสนี้ ดฉิ นั ขอขอบพระคณุ คณาจารย์ นักวิจยั พนักงาน เจ้าหน้าท่ีและบุคลากรทุกท่าน ของ มหาวทิ ยาลยั ท่ไี ดเ้ หน็ดเหนอื่ ยตรากตรารว่ มกันมาโดยตลอด เพอื่ ผลิตผลงานวิจัยท่ีมีคุณภาพอันเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้ทุกท่านจง ประสบแตค่ วามสขุ ความเจริญตลอดไป อาจารย์ ดร.กัญญาณัช ศริ ิธญั ญา ผอู้ านวยการสถาบนั วจิ ยั และพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา 6องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
7 องคค์ วามรูส้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
บทนา องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม ภาคอตุ สาหกรรมมีบทบาทสาคัญตอ่ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยสัดส่วนมูลค่า ผลผลิตอุตสาหกรรมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รวมถึงมูลค่าการส่งออกสินค้า อุตสาหกรรมตอ่ มลู คา่ การสง่ ออกรวม มอี ัตราการขยายตวั เพมิ่ ข้นึ อยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า อุตสาหกรรมที่ตอ้ งใช้เทคโนโลยีระดบั กลางและสูง แตก่ ระนั้น ยังต้องมีการพึ่งพาการนาเข้า ช้ินส่วน องคป์ ระกอบ ทุนและเทคโนโลยีจากตา่ งประเทศในสดั ส่วนท่ีสูงเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่า ประเทศ ไทยยังขาดการสั่งสมองค์ความรู้ เพ่ือพัฒนาศักยภาพภายในให้สามารถต่อยอดองค์ความรู้ท่ีได้มา (Endogenous Efforts) ขาดการยกระดบั หว่ งโซแ่ ห่งคณุ คา่ (Value Chain) รวมถงึ ขาดการประสาน ความร่วมมอื กนั (Synergy) ด้วยนวัตกรรม องค์ความรู้ และเทคโนโลยี หนทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศอย่างยัง่ ยนื ในระยะยาวน้ัน จาเป็นต้องอาศัยการ ปฏิรูประบบการวิจัย รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เพื่อสร้างคุณค่า ด้วยนวัตกรรม องค์ความรู้ และเทคโนโลยี ตลอดจนเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ ทั้งศักยภาพของ อุตสาหกรรม รวมทงั้ แนวโนม้ และกระแสการเปลี่ยนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต อันจักเป็นพ้ืนฐาน ในการยกระดบั ศักยภาพของผปู้ ระกอบการใหด้ ยี ิ่งขึ้น และพร้อมต่อการแข่งขันในอนาคต มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในฐานะสถาบันอุดมศึกษา จึงต้องมีบทบาทสาคัญ ในการขับเคล่ือนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายน้ี ดังนโยบายข้อท่ี 2 ในแผนกลยุทธ์มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (พ.ศ.2557-2561) ซ่ึงได้กาหนดให้มีการพัฒนาด้านวิจัยและนวัตกรรม สร้างสรรค์ (Creativity for Innovation Solution) กล่าวคือ ให้มุ่งเน้นการพัฒนานักวิจัยที่มี ความสามารถเพ่ือส่งเสริมสนับสนุนการสร้างงานวิจัย สิงประดิษฐ์ นวัตกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อ ชุมชน ผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง เป็นที่ยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ และมีศักยภาพใน การสรา้ งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกจิ ส่ิงแวดล้อม ชุมชนและวัฒนธรรม ตลอดจนนาผลงานวิจัย ไปยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและนาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สถานประกอบการ รวมถึงภาคอตุ สาหกรรม 8องคค์ วามร้สู ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
ที่ผา่ นมา สถาบันวจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ ทาหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยทาวิจัยและพัฒนามาโดย ตลอด ทาใหม้ หาวิทยาลัยมีผลงานวิจัยในรูปแบบองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และ ผลงานสร้างสรรค์ในด้านศาสตร์ต่างๆ ที่สามารถถ่ายทอดและขยายผลสู่ภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรม โดยกลุม่ คณาจารย์ผู้วจิ ัยทีม่ คี วามเชยี่ วชาญ สถาบันวิจัยและพัฒนา ในฐานะหน่วยงานวิจัย จึงเห็นความสาคัญที่จะต้อง เดินหน้าสร้างความต่อเน่ือง ในการส่งเสริม สนับสนุน งานวิจัยถ่ายทอด ขยายผลด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ถึงกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ท้ังภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรม วิสาหกิจชมุ ชน วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม ฯลฯ โดยการนาผลงานวิจัยในรูปแบบ องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม หรือ สิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ ของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถ่ายทอดสู่ภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรม ซ่ึงไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือบูรณาการการ ทางานระหว่างมหาวิทยาลัยรว่ มกบั ภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็น การพัฒนาศักยภาพบุคลากร อาจารย์ และ นักศึกษา ในการเพิ่มพูนประสบการณ์การ ถ่ายทอดผลงานวจิ ัยใหก้ บั ภาคประชาชนและภาคอตุ สาหกรรม และจะยังผลให้ประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างความมั่นคงในการดารงชีวิต ขจัดความยากจน และพัฒนา เศรษฐกจิ ชุมชนอย่างย่ังยืนต่อไปได้ 9 องคค์ วามร้สู ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
10องคค์ วามรูส้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
11 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
การพัฒนาศกั ยภาพวสิ าหกิจ ชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการจัดการ 12องคค์ วามร้สู ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
การพฒั นาศักยภาพวสิ าหกิจชุมชนผา่ นการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจดั การ เพราพิลาส ประสิทธบิ์ ุรรี กั ษ์ ความเป็นมา แนวทางการพฒั นาวิสาหกิจชุมชน ถือเป็นแนวทางสาคัญหน่ึง ในการยกระดับ การพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้าทางด้านรายได้และความ ยากจน เนื่องจากวิสาหกิจชุมชนเป็นกระบวนการท่ีมุ่งเน้นกิจกรรมท่ีเกิดจาก ฐานทรพั ยากรภมู ปิ ญั ญาในชมุ ชน เน้นการผลิตข้ันพ้ืนฐานให้พอเพียงกับความ ต้องการของคนในชุมชน มุ่งให้เกิดการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แก่ชุมชน และมี ความสามารถในการจัดการหนี้สนิ ได้ ในพ้นื ทต่ี าบลแม่แฝกใหม่ อาเภอสันทราย จงั หวดั เชยี งใหม่ มกี ารทาเกษตรเป็น ส่วนใหญ่ ซึ่งในปี 2528 พระบาทเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 9 ได้ทรงนามัน ฝร่ังมาทดลองปลกู และทรงส่งเสรมิ ให้พัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจของเกษตรกรใน พื้นท่ี กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเจดีย์แม่ครัว ก่อต้ังข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2540 โดย การสนับสนุนของสานักงานเกษตรอาเภอสันทราย โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ สมาชิกมีรายได้เสริมในครัวเรือนให้กับครอบครัว โดยการนาผลผลิตทางการ เกษตรมาแปรรปู 13 องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ท้ังนี้ ในฤดูกาลผลิตมันฝร่ังหรือมันอาลูประมาณ หวั หน้าโครงการ เดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายนของทุกปี มักมี ผลผลิตออกมาปริมาณมาก ทาให้มันฝรั่งสดล้น เพราพลิ าศ ประสทิ ธบ์ิ ุรีรกั ษ์ ตลาดและบางส่วนบริษัทไม่รับซื้อ ทางกลุ่ม แม่บ้านได้นามันฝร่ังมาแปรรูปเป็นมันกัลยา คือ “มันฝร่ังตากแห้ง” และ “มันฝรั่งทอดกรอบ” จาหน่ายในหมู่บ้าน ต่อมาได้พัฒนาคุณภาพ และ ขยายตลาดออกสู่ชุมชนอื่น ซ่ึงมีการตอบรับท่ีดีใน ปจั จุบัน แต่ชุมชนยังขาดการบริหารจดั การทดี่ ี ดังน้ัน เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการทางานของ วิสาหกิจชุมชนดังกล่าว และเพื่อสร้างองค์ความรู้ ให้แก่ประชาชนในกลุ่มวิสาหกิจในชุมชน ให้ได้มี โอกาสในการพัฒนาการบริหารจัดการ โดยการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหาร จัดการหน่วยงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลล้านนา ในฐานะหน่วยงานภาครัฐท่ีจัดให้มี การเรียนการสอน การวิจัย บริการวิชาการแก่ สังคม จึงได้จัดให้มีโครงการพัฒนาศักยภาพ วิสาหกิจชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทางการจัดการ เพ่ือเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ให้แก่ประชาชนในระดบั วสิ าหกจิ ชมุ ชน ตอ่ ไป วัตถุประสงค์ เพื่อถ่ายทอดความรดู้ า้ นการบรหิ ารจดั การโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐาน เพือ่ สรา้ งองค์ความรู้ใหม่ให้แก่ประชาชนในระดบั วิสาหกิจชุมชน 14องคค์ วามรู้สภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
ความหมายของบญั ชคี รวั เรือน บญั ชีครวั เรอื น ประกอบกนั ด้วยคา 2 คา คอื การบญั ชี และ ครัวเรือน การบญั ชี คอื การจดบันทกึ รายการตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วกับการรบั —จ่ายเงิน และส่ิง ที่มีค่าเป็นเงินไว้ใน “สมุดบัญชี” อย่างสม่าเสมอ เป็นระเบียบ ถูกต้อง และ สามารถแสดงผลการดาเนินงานในระยะเวลาหนึง่ ได้ หนว่ ยครัวเรือน หมายถึง หน่วยเศรษฐกิจท่ีประกอบไปด้วยบุคคลตั้งแต่หน่ึง คนข้ึนไปท่ีอาศัยอยู่ด้วยกันภายในครอบครัว มีการตัดสินใจร่วมกัน ในการใช้ ทรัพยากร หรือปจั จยั ทางการเงิน เพ่อื ให้เกิดประโยชนแ์ ก่กลุ่มของตนมากที่สุด สมาชิกหน่วยครัวเรือนอาจทาหน้าที่ เป็นท้ัง ผู้ผลิต ผู้บริโภค และ เจ้าของ ปัจจัยการผลิตไปพร้อมๆกัน หน้าที่ท่ีสมาชิกในหน่วยครัวเรือนจะต้องทาก็คือ พยายามหารายได้ไว้สาหรับการจับจ่ายใช้สอย เพ่ือให้สมาชิกทุก ๆ คนใน ครวั เรือนไดร้ ับความพอใจสงู สดุ หรือได้รบั สวัสดกิ ารท่ดี ที ่ีสุด บัญชีครัวเรือน เป็นการนาการบัญชีมาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นเคร่ืองมืออย่าง หน่ึงของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ใช้สาหรับจดบันทึกรายการต่าง ๆ ที่ เก่ียวข้องกบั การรบั เงนิ - จ่ายเงนิ ประจาวนั เกิดขน้ึ ภายในครอบครัว รวมไปถึง การบนั ทกึ ข้อมลู ดา้ นอืน่ ๆ ของเราได้ดว้ ย เช่น บญั ชีทรพั ย์สนิ พนั ธพุ์ ชื พันธ์ุไม้ ในบ้านเราในชุมชนเรา บัญชีความรู้ความคิดของเรา บัญชีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้รู้ใน ชุมชนเรา บัญชีเด็กและเยาวชนของเรา บัญชีภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ ของเรา เป็นต้น หมายความว่า สิ่งหรือ เร่ืองราวต่าง ๆ ในชีวิตของเรา เรา จดบันทึกได้ทุกเรื่อง หากประชาชน ทุกคนจดบันทึกจะมีประโยชน์ต่อ ตนเ อง ครอ บครั ว ชุม ชนแล ะ ปร ะ เ ท ศ จ ะ เ ป็ นแ ห ล่ ง เ รี ย นรู้ ครอบครัวเรียนรู้ ชุมชนเรียนรู้ และ ประเทศเรยี นรู้ (พมิ พช์ นก, 2557) 15 องคค์ วามรูส้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
การพฒั นาศกั ยภาพวิสาหกจิ ชุมชนผา่ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสทิ ธบิ์ ุรรี กั ษ์ ข้นั ตอนการจัดทาบัญชีครัวเรือน สมดุ บัญชีรับ – จา่ ยในครัวเรอื น ใชบ้ ันทกึ รายรบั หรอื รายจ่ายทเ่ี กดิ ข้ึน ท้ังในครัวเรอื นและการประกอบอาชีพ ดังน้ี แบบฟอร์มการบนั ทกึ รายรบั วนั เดอื น ปี รายการ รายรบั รวมรายรับ ประกอบอาชีพ รายรับอนื่ ๆ แบบฟอร์มการบนั ทกึ รายจา่ ย รายจา่ ย รวม ประกอบอาชพี ในครวั เรอื น รายจา่ ย อาชพี สนิ ทรัพย์ อาหาร สาธารณปู โภค น้ามันรถ เบ็ดเตลด็ บตุ ร เงนิ กู้ อน่ื ๆ 16องคค์ วามรู้สภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การจดั ทาบัญชตี ้นทุนประกอบอาชพี ปลกู มนั สาปะหลงั แบบฟอร์มตน้ ทนุ ประกอบอาชีพ วัน รายการ อาชีพ...... อาชพี ...... อาชพี ...... ตน้ ทนุ ใน เดือน ปี รายได้ ตน้ ทนุ รายได้ ตน้ ทนุ รายได้ ต้นทนุ สนิ ทรพั ยถ์ าวร ช่อง “วัน เดือน ปี” เขียนวันที่ เดือน ปี พ.ศ. ท่ีมีรายการรับเงิน และรายการ จ่ายเงนิ ช่อง “รายการ” เขียนรายละเอยี ดของการรบั เงนิ และจ่ายเงินจากการประกอบ อาชีพ ช่อง “รายได้” เป็นรายรับจากการประกอบอาชีพของแต่ละอาชีพท่ีทา ช่อง “ต้นทุน” เป็นช่องรายจ่ายในการประกอบอาชีพแต่ละอาชีพที่ทา ช่อง “ลงทุนในสินทรพั ย์ถาวร” เป็นรายจา่ ยเพ่ือซ้ือ หรือ สร้างเคร่ืองใช้ท่ี ใชง้ านในการประกอบอาชีพได้หลายปีและมีราคาสูง รวมถึงลงทุนในการ ประกอบอาชพี เช่น ซอ้ื เครื่องพน่ ยา ซอื้ เคร่ืองสบู น้า เป็นต้น การบันทกึ ตน้ ทุนประกอบอาชีพปลูกมนั สาปะหลัง โดยปกตเิ กษตรกรตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการปลกู มนั สาปะหลงั ประมาณ 10 – 12 เดือน นับต้ังแต่เร่ิมเตรียมดินจนถึงเก็บ เก่ยี วผลผลติ เกษตรกรสามารถตัดต้นมัน สาปะหลังเก็บไว้ เพื่อใช้เป็นพันธ์ุสาหรับ ปลกู ในปตี อ่ ไป และอาจมีรายได้จากการ ขายต้นพนั ธุ์มันสาปะหลังให้กับเกษตรกร รายอน่ื ดว้ ย 17 องคค์ วามรูส้ ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การพัฒนาศกั ยภาพวสิ าหกจิ ชมุ ชนผ่านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสิทธบิ์ รุ รี กั ษ์ วธิ ีคดิ กาไร-ขาดทนุ จากการประกอบอาชพี ปลกู มนั สาปะหลงั การคิดกาไร – ขาดทุนจากการประกอบอาชพี ปลกู มนั สาปะหลัง ให้นายอดรวมรายได้ เปรียบเทยี บกับยอดรวมตน้ ทุน/ค่าใช้จา่ ย ดงั นี้ รายได้ ขายหวั มันสาปะหลัง ........................ บาท ขายต้นพันธ์มุ ันสาปะหลัง ......................... บาท รวมรายได้ ......................... บาท หกั ต้นทุน/คา่ ใชจ้ ่าย ค่าเช่าทดี่ ิน ........................... บาท ค่าไถเตรยี มดนิ ........................... บาท ค่าปุ๋ยและยาปราบศตั รูพืช ........................... บาท คา่ ต้นพันธุม์ ันสาปะหลัง ........................... บาท ค่าแรงงาน ........................... บาท ............................. ........................... บาท ดอกเบ้ียเงินกู้ ........................... บาท คิดคา่ แรงงานตนเอง ........................... บาท คดิ รายจ่ายสินทรัพย์ถาวรเฉล่ียต่อปี ........................... บาท รวมต้นทุน/คา่ ใชจ้ ่าย ........................... บาท หัก ปจั จัยการผลติ คงเหลอื .......................... บาท ............................ บาท กาไร(ขาดทนุ )จากการประกอบอาชีพปลูกมนั สาปะหลงั ............................ บาท วธิ ีคดิ กาไร-ขาดทุนจากการประกอบอาชพี ปลูกมันสาปะหลงั สินทรพั ย์ถาวรทเี่ กษตรกรซ้อื หรือ สรา้ งขึ้น ซึ่งบนั ทึกไวใ้ นช่อง “ลงทุนในสินทรัพยถ์ าวร” เกษตรกรต้องนามาคิดรายจ่ายสินทรพั ยถ์ าวรเฉลี่ยต่อปีตามอายุการใช้งาน เพือ่ นาไปรวม เป็นต้นทนุ ในการประกอบอาชพี วิธีการคิดรายจ่ายสนิ ทรพั ย์ถาวรเฉล่ยี ตอ่ ปี ใหน้ าจานวน เงินท่ีจ่ายซื้อสนิ ทรพั ยถ์ าวร หารดว้ ย อายุการใชง้ านของสินทรัพยถ์ าวรน้นั 18องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การบัญชเี พอ่ื วิสาหกิจชุมชนดา้ นตน้ ทนุ การผลิตมันฝร่ังทอดกรอบ การจาแนกต้นทุนตามส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ (เดชา อินเด, 2552) เป็นการจาแนก ประเภทต้นทุนตามสว่ นประกอบทส่ี าคญั ในการผลติ สนิ คา้ ซ่งึ ประกอบดว้ ย 1) ตน้ ทุนวัตถดุ ิบ เปน็ ส่วนประกอบท่สี าคัญในการผลิตสินค้า ต้นทุนที่เกี่ยวกับการใช้ วตั ถดุ บิ ในการผลติ สินคา้ 2) ต้นทุนค่าแรงงาน คือผลตอบแทนท่ีกิจการต้องจ่ายให้แก่คนงานหรือลูกจ้างที่ทา หน้าท่เี ก่ียวขอ้ งกับการผลติ 3) ค่าใช้จ่ายในการผลิต คือต้นทุนที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่ไม่ใช่ต้นทุนวัตถุดิบ ทางตรง และค่าแรงงานทางตรง แต่เป็นต้นทุนที่ทาให้การผลิตดาเนินไปได้ เป็น ค่าใช้จา่ ยต่างๆ ท่เี กดิ ดังนัน้ ต้นทนุ การผลิต = วัตถุดิบทางตรง + คา่ แรงงานทางตรง + คา่ ใช้จา่ ยในการผลิต ต้นทนุ การผลิตมนั ฝร่ังทอดกรอบ 3 แผนก ดังตอ่ ไปนี้ 1) แผนกจดั เตรียมและตดั แตง่ โดยทาการรบั ซื้อมันฝร่งั สดพนั ธุแ์ อตแลนตกิ ที่ตกเกรด จากเกษตร นามันฝรั่งสดมาแช่น้าและล้างทาความสะอาดด้วยถังล้างเพื่อล้างดิน โคลนออกด้วยนา้ สะอาด 3 รอบ ปอกเปลอื กของมนั ฝร่งั 2) แผนกทอด ทาการทอดในน้ามัน 10 นาที พอเหลืองตักข้ึนมาสะเด็ดน้ามัน นาใส่ ตะกรา้ หวายแลว้ นา ใส่เครอื่ งสะเด็ดน้ามัน นามันฝรั่งทอดใส่ถุงพลาสติกใสกันร้อน และถุงดาอีก 1 ชั้น แล้วนาใส่ถัง พลาสติก ปิดให้สนิท เพ่ือป้องกัน ความชน้ื และพน้ จากแสงแดด 3) แผนกสาเรจ็ รปู และบรรจุ ทาการอบ ด้วยความร้อนเพ่ือให้มันฝรั่งทอด กรอบปิดผนึกปากถุงบรรจุภัณฑ์ให้ สนิท พร้อมตรวจหบี ห่อ 19 องคค์ วามร้สู ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
การพัฒนาศกั ยภาพวิสาหกจิ ชมุ ชนผา่ นการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจดั การ เพราพลิ าส ประสทิ ธบิ์ รุ ีรกั ษ์ แผนกจดั เตรยี ม แผนก แผนก วัตถุดบิ ทอด สาเรจ็ รปู และ บรรจุภณั ฑ์ แบบฟอร์มตน้ ทนุ การผลิตมนั ฝรง่ั แปรรูป แบบฟอรม์ การคดิ ต้นทุนการผลติ มนั ฝรงั่ แปรรปู รายการ วัตถดุ ิบทางตรง คา่ แรงงานทางตรง คา่ ใชจ้ ่ายในการ รวม ปริมาณ ราคาตอ่ รวม จานวน อตั รา รวม ผลติ หน่วย ชม. ค่าแรง การขายและการประชาสัมพันธอ์ อนไลน์ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ขององค์กร ประกอบด้วยผู้ส่งสาร ข้อมูลหรือสาร ช่อง ทางการสือ่ สาร และผรู้ บั สาร ซ่ึงไม่วา่ จะสอ่ื สารดว้ ยวธิ กี ารใด ส่งิ ทตี่ อ้ งการคือผู้รับสาร ได้ขอ้ มูลท่ีถูกต้อง ครบถ้วนทันเวลา การสื่อสารด้วยส่ือดั้งเดิมอาจไม่รองรับกับความ ต้องการการสื่อสารของกลุ่มเป้าหมายได้ ดังน้ัน การใช้ส่ือสังคมออนไลน์เพ่ือการ ประชาสัมพันธ์จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกของการสื่อสารผ่านเทคโนโลยี (mediated communication) ซงึ่ มรี ปู แบบทีห่ ลากหลาย เหมาะสาหรบั การประชาสัมพันธใ์ นการ เลือกใช้เปน็ ชอ่ งทางการสื่อสาร จากหนังสือ The New Rules of Marketing and Public Relation ของ Deirdre Breakenridge (2008) และบทความของเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ (2553) ได้แบ่ง ประเภทของส่อื สงั คมออนไลน์ ขององคก์ รทีพ่ บในประเทศไทย ดังน้ี 20องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การขายและการประชาสัมพันธอ์ อนไลน์ การประชาสมั พนั ธผ์ า่ นบล๊อก (blog) ซึ่งมาจากคาเต็มว่า Weblog เป็นรูปแบบการ เขียนบทความของ องค์กร ลักษณะของบล็อกคือหน้าเว็บที่เจ้าของบล็อกสามารถ เพ่ิมเตมิ เนื้อหาใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา (กติกา สายเสนีย์, 2548) บล็อกโดยปกติโดยปกติ จะประกอบดว้ ยขอ้ ความ ภาพ ลิงค์ ซ่ึงบางคร้ังจะรวมส่ือต่าง ๆ เช่น เพลง หรือวิดีโอ ในหลากหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์คือบล็อกจะเปิดให้สิ่งที่ ผ่านเข้ามามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความท่ีเจ้าของบล็อก เขียน ซ่ึงทาให้ผู้เขียนสามารถโต้กลับได้โดยทันที ทั้งน้ีรูปแบบของบล็อกเพ่ือการ ประชาสมั พนั ธ์ สามารถแบ่งออกได้ 3 รปู แบบ ดังนี้ 1) Corporate Blog หรือบล็อกท่ีจัดทาขึ้นโดยบริษัท โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ สื่อสารขอ้ มลู ขา่ วสารขององค์กร และ สินค้าต่าง ๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ให้ง่าย ต่อการค้นหา ตรวจสอบ และ ทราบข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่ีมีผลต่อ องค์กร นอกจากนี้องค์กรสามารถใช้บล็อกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็น สาคญั ทางการตลาด 2) Micro Blogging หรือบล็อกขนาดเล็กท่ีมีลักษณะเป็นการโพสต์ข้อความส้ันๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษรและสามารถที่จะส่งข้อความน้ัน ๆ ไปยังโทรศัพท์มือถือ ของกลมุ่ ลกู ค้าได้โดยตรง โดยไม่จาเปน็ ตอ้ งเปดิ เขา้ ไปอา่ นในอินเตอร์เน็ตเหมือน บล็อกท่ัวไป ซ่ึงข้อความท่ีใช้ในการประชาสัมพันธ์น้ันจะเป็นข้อความที่แจ้งให้ ทราบว่า ‘คุณกาลังทาอะไรอยู่’ ‘มีส่ิงใดท่ีลูกค้าไม่ควรพลาด’ เช่น การ ประชาสมั พันธบ์ น Twitter 3) Blogger หรือบล็อกผู้เขียนอิสระ ซ่ึง มีผู้ติดตามเป็นจานวนมาก องค์กรจะ เชิญตัวผู้เขียนอิสระมาร่วมแถลงข่าว หรือให้ทดลองใช้สินค้าและบริการ และให้ผูเ้ ขียนมีอิสระเขียนข้อความใน เชิงสนบั สนนุ หรอื แนะนาสินคา้ 21 องคค์ วามร้สู ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การพัฒนาศกั ยภาพวิสาหกิจชมุ ชนผา่ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจัดการ เพราพลิ าส ประสิทธบ์ิ ุรีรกั ษ์ การประชาสมั พันธ์ผา่ นแหลง่ ข้อมูล (data/knowledge) ซ่ึงเวบ็ ไซต์ทีร่ วบรวม ข้อมูลความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ในลักษณะเนื้อหาอิสระ โดยมุ่งเน้นให้บุคคลที่มี ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ เป็นผู้เข้ามาเขียนหรือแนะนาไว้ ส่วนใหญ่มักเป็น นักวิชาการ นักวิชาชีพ หรือผู้เช่ียวชาญ ท่ีเห็นได้ชัดเจน คือ วิกิพีเดีย (Wikipedia) การดาเนินงานประชาสัมพันธ์สามารถนาข้อมูลขององค์มาเขียนลง ในวิกิพีเดีย เป็นการแนะนาองค์กร แนะนาวิสัยทัศน์ สินค้าและบริการ หรือ ข้อมลู สาคญั ๆ ทตี่ อ้ งการใหป้ ระชาชนทราบ เพ่ือเป็นการกระจายข้อมูลข่าวสาร ไปยังกลุ่มบุคคลอ่ืน ๆ ซ่ึงอาจไม่ได้เป็นกลุ่มลูกค้าหรือผู้มีส่วนเก่ียวข้องโดยตรง ด้วยต้นทุนทีต่ า่ อกี วธิ ีหนง่ึ การประชาสัมพนั ธ์ประเภทชุมชนออนไลน์ (community) เป็นเว็บท่ีเน้นการ ค้นหาเพื่อนใหม่ ๆ หรือตามหาเพื่อนเก่า ๆ เน้นการสร้าง Profile ของตนเอง โดยการใสร่ ูป ใส่ขอ้ มลู เพ่อื แสดงถงึ ความเปน็ ตัวตนของเราอีกทั้งยังมีลักษณะใน การแลกเปล่ียนเรื่องราว ถ่ายทอดประสบการณ์ร่วมกัน เช่น Facebook Google+ Tumblr หรือ Myspace สาหรับในยุคปัจจุบันท่ีนิยมใช้กันอย่าง แพร่หลายได้แก่ Facebook โดยการประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook เป็นการ ประชาสัมพันธ์ รูปแบบที่มักจะใช้หน้า Page หรือ Fan Page ซ่ึงเปรียบเสมือน หนา้ ตาของบริษัทบน Facebook มีการแสดงรูปภาพ สัญลักษณ์ หรือข้อความท่ี บ่งบอกความเปน็ ตัวตนของบริษัทได้อย่างชัดเจน อีกท้ังภายในตัว Facebook ยัง สามารถทจี่ ะบอกเลา่ เรื่องราวดี ๆ กิจกรรมรวมถงึ โปรโมชนั่ ของสินคา้ และบริการ ขององค์กรการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กร การ ประชาสัมพนั ธ์เพ่ือแกไ้ ขความเข้าใจผิด การประชาสัมพันธป์ ระเภทสอ่ื เว็บท่ีใช้ฝากหรือแบ่งปันไฟล์ประเภท Multi- media เช่น ภาพยนตร์ คลิปวดิ โี อ เพลง สาหรับเวบ็ ท่ีนิยมใชก้ ันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ YouTube เป็นเคร่ืองมือในการประชาสัมพันธ์ นอกจากจะนาวิดีโอมา เผยแพร่บนเว็บไซต์แล้ว องค์กรยังสามารถสมัครสมาชิกเพ่ือใช้เป็นช่องรายการ ขององค์กรได้ด้วย ส่งผลให้ผู้สนใจสามารถเข้ามาติดตามชมผ่านช่องรายการที่ องค์กรต้ังไว้ เมอ่ื มขี ้อมูลกรอพั เดตใหม่ ๆ กจ็ ะทาการส่งไปแจ้งท่ีสมาชิกให้ทราบ ทันที ถอื เป็นการเผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสารที่เป็นสาระสาคัญขององค์กรอีกช่องทาง หนงึ่ นา่ สนใจในยุคสังคมออนไลน์ 22องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
23 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
การพฒั นาศกั ยภาพวสิ าหกจิ ชุมชนผา่ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทางการจัดการ เพราพิลาส ประสิทธบ์ิ ุรรี กั ษ์ สอบถามขอ้ มลู เพิ่มเตมิ เพราพลิ าส ประสิทธบิ์ รุ ีรักษ์ คณะบริหารธุรกจิ และศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา เชียงใหม่ โทรศพั ท์ : 0-5392-1444 24องคค์ วามรู้สภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
25 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
การเพิ่มผลผลติ และคณุ ภาพข้าว โดยใช้เชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ 26องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
การเพิม่ ผลผลติ และคุณภาพข้าว โดยใช้เช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ จนิ นั ทนา จอมดวง ความเปน็ มา โรครากเน่า โคนเน่า และ เหี่ยว เป็นอาการที่พืชแสดงอาการเหี่ยวบางส่วนหรือท้ังต้น ใบเหลือง ร่วง ซ่ึงหากรากถูกทาลายไปมาก ต้นพืชจะเหี่ยวทั้งต้น โดยที่ยังเขียวอยู่ เพราะ รากส่วนท่ีเหลือมีน้อยมาก จนไม่เพียงพอที่จะดูดน้า และ อาหารไปเล้ียงลาต้นได้ และใน ท่ีสุด ตน้ พชื กจ็ ะแห้งตายไป โรครากเน่า โคนเนา่ และ เหยี่ ว มีสาเหตุเกิดจากเชื้อราท่ีอาศัย อยใู่ นดนิ 5 ชนิดท่ีพบในดนิ แปลงเพาะปลกู พืชทกุ หนแห่งท่ัวประเทศ ได้แก่ สเคลอโรเที่ยม (Sclerotium) ฟูซาเร่ียม (Fusarium) ไรซ็อกโทเนีย (Rhizoctonia) ไฟท็อฟทอร่า (Phytophthora) และ พิเที่ยม (Pythium) การกาจัดโรคสามารถทาได้โดยใช้เชื้อราที่มี ประสิทธภิ าพสูง เชน่ เชอ้ื ราไตรโคเดอรม์ าไวเรนส์ เช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ (Trichoderma virens) เป็นเชื้อราที่พบได้ตามธรรมชาติใน ดินท่ัวไปโดยเฉพาะดินท่ีมีอินทรีย์วัตถุสูง ไม่เป็นสาเหตุโรคในคน สัตว์ และพืช แต่ สามารถเข้าทาลายเชื้อราสาเหตุโรคพืชได้หลายชนิด ได้แก่ สเคลอโรเที่ยม รอล์ฟซิไอ (Sclerotium rolfsii) ฟูซาเรี่ยม (Fusarium sp.) ไฟทอฟทอร่า ( Phytophthora) ไรซอ็ กโทเนยี (Rhizoctonia) และพเิ ทย่ี ม (Pythium) 27 องคค์ วามรู้สภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
เชอื้ ราสาเหตโุ รคเหล่านี้อาศัยอยู่ในดินและเข้า หวั หน้าโครงการ ทาลายรากพืช ทาให้รากเสียหาย และมี ปรมิ าณรากนอ้ ยลงจงึ ทาใหด้ ูดน้า และ อาหาร จนิ นั ทนา จอมดวง ไปเล้ียงลาต้นได้น้อยลง พืชจึงเจริญเติบโตไม่ สมบูรณ์เต็มทแี่ ละอาจถึงขัน้ แหง้ เห่ียวจนยนื ต้น ตายไป การใส่เชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ลงไปในดินจะช่วยปกป้องรากพืช ลดการเกิด โรคเห่ียว ทาให้พืชเจริญเติบโตสมบูรณ์และ ใหผ้ ลผลติ สูงคณุ ภาพดี ทั้งน้ี สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ ดาเนินงานวิจัยเพ่ือประยุกต์ใช้เชื้อราไตรโค เดอร์มา ไวเรนส์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ต่อเน่ือง ถงึ ปัจจบุ ัน โครงการดังกล่าว สามารถคัดเลือกสายพันธุ์ เช้ือราท่ีมีประสิทธิภาพสูง และ ปัจจุบันได้ ถ่ายทอดวิธีการผลติ ใช้เชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา ไว เรนส์ แก่เกษตรกรเพื่อใช้ในการดูแลป้องกัน กาจัดโรค ท่ีเกิดจากเชื้อราสาเหตุโรคท่ีอาศัย อยู่ในพื้นดิน ซึ่งเป็นปัญหาในพืชหลายชนิด รวมทงั้ ข้าว วัตถปุ ระสงค์ เพ่อื ถ่ายทอดองค์ความรแู้ ละทกั ษะปฏบิ ตั ิในการผลติ และใช้เช้อื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ใหแ้ ก่เกษตรกรผปู้ ลกู ขา้ วเพ่ือช่วยเพิ่มผลผลติ และคณุ ภาพขา้ ว เพอื่ ฝกึ ปฏบิ ัติเกษตรกรในการคานวณตน้ ทุนการปลกู ขา้ วและประมาณการผลตอบแทน จากการปลูกข้าว 28องคค์ วามรูส้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ลักษณะของเชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ 1. เชื้อบริสทุ ธเ์ิ จริญบนอาหารพีดเี อ ในจานเล้ยี งเชือ้ 2 . ลั ก ษ ณ ะ เ ชื้ อ เ ม่ื อ ม อ ง ใ ต้ ก ล้ อ ง จุ ล ท ร ร ศ น์ มี ก า ร ส ร้ า ง หน่ ว ย ข ย า ย พั นธ์ุ ห รื อ ส ป อ ร์ เ ป็ นช่ อ ส ป อ ร์ รู ป ร่ า ง ก ล ม มี สเี ขียว 3. เส้นใยเช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ (ย้อมติดสีน้าเงิน) เจรญิ พนั รัดเส้นใย ของเชอ้ื ราสาเหตโุ รคพชื จุดเด่นของเชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ 1. มคี วามเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อราสาเหตุโรคพืช จึงไม่ทาลายเชื้อที่มีประโยชน์อ่ืน ๆ ที่อยู่ใน ดิน 2. ไมเ่ ปน็ สาเหตุโรคในคน พชื และสัตว์ ไม่กอ่ มลพิษในสภาพแวดล้อมจงึ มีความปลอดภยั 3. มีประสิทธิภาพสูงในการยับย้ังการเจรญิ และทาลายเช้อื ราในดนิ ท่ีเป็นสาเหตุโรครากเนา่ โคน เนา่ หรือเหี่ยว ใช้ได้ทัง้ ในพชื ผัก พืชไร่ ไม้ผล และไมด้ อกไมป้ ระดบั 4. สามารถอยู่รอดในดินได้เป็นระยะเวลานาน เจริญเพิ่มปริมาณได้ในดินท่ีมีอินทรียวัตถุสูง และความชื้นเหมาะสม จึงช่วยป้องกัน กาจัดโรคได้อยา่ งตอ่ เน่ือง 5. เติบโตง่ายในเมล็ดธัญพืชชนิดต่าง ๆ ในสภาพอณุ หภมู หิ ้อง สามารถผลิตเชื้อ ได้โดยไม่มีข้ันตอนยุ่งยากและมีต้นทุน ต่า เกษตรกรสามารถเรียนรู้วิธีการเพื่อ ผลติ เช้อื ใช้เองได้ 29 องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การเพมิ่ ผลผลติ และคณุ ภาพข้าวโดยใชเ้ ชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ จนิ ันทนา จอมดวง ลกั ษณะของเชอื้ ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ จากผลการวิจัยในปี 2556 พบว่า การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ช่วยเพ่ิม ผลผลิตและคุณภาพขา้ วได้ ชว่ ยปอ้ งกันรากข้าวไมใ่ ห้ถูกเชอ้ื ราสาเหตุโรคท่ีอยู่ ในดินเข้าทาลาย จึงทาให้รากดูดน้าและอาหารได้เต็มที่ ส่งผลให้ข้าว เจริญเติบโตดี แข็งแรง ต้านทานต่อโรคทางใบ และให้ผลผลิตสูงที่มี คุณภาพดี และจากการทดลองนาเชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ ไปหว่านในนา ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ปลูกที่จังหวัดสุรินทร์ในฤดูปลูกปี พ.ศ. 2558 และ 2559 โดยใช้เชื้อราในลกั ษณะทเี่ ป็นผลติ ภัณฑ์ชนิดเม็ด อัตรา 1 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านทั่วไปในแปลงนาท่ีไถพรวนเรียบร้อยแล้วพร้อมจะหว่านเมล็ดข้าว พบว่า ต้นข้าวเติบโตดีมาก มีการแตกกอและให้จานวนรวงมากกว่าแปลงท่ี ไม่ได้หว่านเชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ถึง 2-4 เท่า อีกท้ังให้จานวนเมล็ด มากกว่า เมล็ดมีความสมบูรณ์ จากการถอนต้นข้าวมาเปรียบเทียบกัน พบว่า ข้าวในแปลงที่หว่านเชื้อราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ มีจานวนราก มากกว่าและมีทรงต้นท่ีใหญ่กว่าข้าวในแปลงท่ีไม่ได้หว่าน เห็นความแตกต่าง ไดอ้ ยา่ งชัดเจน ข้ า ว พั น ธุ์ ข า ว ด อ ก ม ะ ลิ 1 0 5 จ า ก แปลงนาในจังหวัด สุรินทร์ ท้ังท่ีใช้และ ไม่ใช้ เช้ือราไตรโค เดอรม์ า ไวเรนส์ 30องคค์ วามรู้สูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
การผลิตเช้ือราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ไว้ใชเ้ อง 1 2 เกษตรกรสามารถเรยี นรู้วิธกี ารผลติ เช้อื ราไตรโคเดอร์มา ไวเรนส์ ไว้ 3 ใชเ้ อง ซึ่งเป็นวิธีทีป่ ระยุกตจ์ ากวิธกี ารต้นฉบบั ของรองศาสตราจารย์ 4 ดร. จิระเดช แจ่มสวา่ ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวธิ ีการ 5 อยา่ งง่ายในการผลิตเช้อื รา ดังนี้ 6 7 1. หุงข้าวดว้ ยหมอ้ ไฟฟ้า ใชข้ ้าวสาร 3 สว่ นต่อน้า 2 ส่วนโดย ปริมาตร จะไดข้ า้ วสกุ ที่ค่อนขา้ งแขง็ 2. ตกั ขา้ วขณะท่ียงั ร้อนจดั ใส่ถุงพลาสตกิ ทนร้อนขนาด 8X12 นิ้ว บรรจถุ งุ ละ 350 กรัม (3 ขีดคร่ึง) 3. พับปากถงุ เกลี่ยเมลด็ ขา้ วใหแ้ บนและวางถุงซ้อน ๆ เพือ่ ใหร้ อ้ น ระออุ ย่างนอ้ ยคร่ึงชั่วโมง จากนนั้ นาวางเรยี งเพ่ือรอใหเ้ ย็นลง ใหใ้ ช้หลังมือแตะบนถงุ ถา้ แตะไดโ้ ดยไมส่ ะดุ้งดงึ มือออก แสดงวา่ ใส่หัวเช้ือลงไปได้ ไมต่ ้องรอใหเ้ ย็นสนทิ 4. เตรยี มหวั เชอ้ื และจมุ่ ช้อนท่ีจะใชต้ กั หวั เช้อื ในแอลกอฮอล์ 70% เพ่ือฆา่ เช้ือทีต่ ิดอยู่บนช้อน 5. ตักหัวเช้ือและใสล่ งในถงุ ขา้ วสุก เขยา่ ไปมาให้หัวเช้อื กระจาย ท่ัวในถุงพรอ้ มบบี ขา้ วเพือ่ ให้ไมจ่ บั ตัวเป็นกอ้ น 6. ใชเ้ ขม็ หมุดเจาะรบู นถุงพลาสตกิ บรเิ วณใต้ยางรัดปากถุง ประมาณ 20-30 รู เพ่อื ใหม้ ีการระบายอากาศ 7. บ่มถุงข้าวทใี่ ส่หวั เช้ือแลว้ ในท่ี แหง้ และเยน็ เชอื้ ราจะเจรญิ ปก คลมุ ท่วั เมลด็ ข้าวมองเห็นเป็นสี เขยี วเขม้ ใช้เวลา 7 วนั หลงั บม่ นาไปใช้ป้องกันกาจัดโรคพืชได้ หรอื นาไปผึง่ ลมใหแ้ ห้งและเก็บ ไวใ้ ช้งาน 31 องคค์ วามรูส้ ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
การเพ่มิ ผลผลติ และคณุ ภาพข้าวโดยใชเ้ ชือ้ ราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ จินนั ทนา จอมดวง โรครากเน่า โคนเนา่ และเหีย่ ว การกาจัดโรคสามารถทาได้โดยใช้เช้ือราท่ีมีประสิทธิภาพสูง เช่น เช้ือราไตรโคเดอร์มาไว เรนส์ ดังน้ี สาหรับพชื ล้มลกุ เชน่ พรกิ มะเขอื เทศ ดาวเรือง มะลิ สตรอเบอร์รี่ ยาสูบ ถ่วั ลิสง ฯลฯ ให้ ใชเ้ ช้อื ราชนิดเมด็ อตั รา 2 กรมั (ครึ่งช้อนชา) ตอ่ เดือน หยอดหลมุ ก่อนหยอดเมล็ดหรือย้าย ต้นพนั ธ์ุลงปลูก โดยใชเ้ พยี งคร้งั เดยี วสามารถปอ้ งกันกาจดั โรคได้ตลอดฤดูปลูก (ระยะเวลา 6-8 เดอื น) ทงั้ นี้สาหรับพืชที่ได้ลงปลูกไปแลว้ (ไม่เกนิ 2 สัปดาห์) สามารถใช้เช้ือราชนิดผง อัตรา 80 กรมั ตอ่ นา้ 20 ลิตร ซงึ่ ผสมสารจับใบเพื่อให้ผงเชื้อกระจายตัวดีในน้า ใส่ถังพ่น สารนาไปพ่นดินให้ชมุ่ ทั่วบริเวณใตท้ รงพ่มุ เชอื้ ราจะซมึ ลงดินไปปอ้ งกันรากไม่ให้เชื้อสาเหตุ โรคเขา้ ทาลายรากได้ การใชเ้ ชื้อราเไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ พรอ้ มๆ กับการปลูกพืช ไม่ว่าจะ หยอดเมล็ดหรอื ย้ายต้นพันธหุ์ วั พันธลุ์ งปลูก จะใหผ้ ลดีท่ีสุด การใช้เนิ่นๆ จะมีประสิทธิภาพ ดีกวา่ การใช้ภายหลังเมือ่ พชื แสดงอาการโรคแลว้ สาหรบั ขา้ ว ใหห้ วา่ นเชอ้ื ราชนดิ เมด็ หลงั การไถพรวนดินในอตั รา 1 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านให้ สมา่ เสมอท่ัวแปลงนา จากนนั้ จึงย้ายปกั ดากลา้ ข้าว หรือหวา่ นเมลด็ พนั ธ์ุ หรือโยนกล้าพันธุ์ ข้าว โดยใช้ได้เพียงคร้ังเดียว สามารถป้องกันรากข้าวได้ตลอดฤดูปลูก จะส่งผลให้ต้นข้าว เติบโตดี ต้นสูง กอหนา ติดเมล็ดดี ได้ผลผลิตสูง คุณภาพดี ส่วนรากของต้นข้าว พบว่ามี ปริมาณมากกว่า ทาให้ดูดน้าและอาหารไปเล้ียงต้นไม้ได้มากเป็นผลให้มีจานวนต้นต่อกอ มากกว่า และไดจ้ านวนรวงต่อกอมากกว่าเป็นเทา่ ตวั สาหรับไม้ผล เช่น มะนาว ส้ม ทุเรียน ฯลฯ ให้หว่านเชื้อราชนิดเม็ดท่ัวบริเวณใต้ทรงพุ่ม อัตรา 50 กรัม (5 ช้อนแกง) ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร พวนดินให้กลบเม็ดเช้ือแล้วให้น้า ตามปกติ หรอื เลอื กใชผ้ งเช้อื ผสมนา้ อตั ราสว่ น 80 กรมั ต่อน้า 20 ลิตร พ่นให้ทั่วใต้ทรงพุ่ม ให้เช้อื ราซมึ ลงดนิ พ่นทุก 6 เดอื น ทั้งน้ีเชื้อราไตรโคเดอร์มาไวเรนส์ สามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิดท่ีมีปัญหาโรครากเน่าและ เห่ียวทีเ่ กิดจากเช้ือรา โดยใชร้ ่วมกับปยุ๋ หมัก ปยุ๋ ชีวภาพ ปุ๋ยสารเคมี แต่ห้ามใช้โดยการผสม กับสารเคมีกาจัดศัตรูพชื อย่างไรกต็ าม ในกรณที เ่ี กษตรต้องการพน่ สาเคมีกาจัดศัตรูพืชบน ตน้ พืช สามารถทาได้ปกติ เนอ่ื งจากละอองสารที่ร่วงลงดนิ มปี รมิ าณตา่ จึงไม่มผี ลตอ่ เช้อื 32องคค์ วามร้สู ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
33 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
การเพ่มิ ผลผลติ และคณุ ภาพข้าวโดยใชเ้ ชื้อราไตรโคเดอรม์ า ไวเรนส์ จนิ ันทนา จอมดวง สอบถามขอ้ มลู เพ่มิ เตมิ จนิ ันทนา จอมดวง สถาบันวิจยั เทคโนโลยเี กษตร มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โทรศพั ท์ : 0-5434-2550 34องคค์ วามร้สู ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
35 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
เทคโนโลยีเครอ่ื งกล่ันน้ามัน หอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอุตสาหกรรมแปรรูป สมุนไพรพน้ื บ้าน 36องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
เทคโนโลยีเครื่องกลนั่ น้ามันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรบั อตุ สาหกรรมแปรรปู สมุนไพรพน้ื บ้าน จริ พฒั นพ์ งษ์ เสนาบตุ ร ความเปน็ มา ในปัจจุบันนี้ มีความนิยมใช้น้ามันหอมระเหย เพ่ือใช้เป็นสารแต่งกลิ่นท่ังในอุตสาหกรรม อาหาร อตุ สาหกรรมยา เปน็ สว่ นผสมเพ่ือแตง่ กลน่ิ ในสินค้าอุปโภค เช่น ยาสีฟัน สบู่ แชมพู ผงซักฟอก น้ายาปรบั ผ้าน่มุ เปน็ ตน้ รวมทั้งอตุ สาหกรรมเคร่อื งสาอาง เช่น น้าหอม และสิ่ง ปรุงแต่งสาหรับผม ความต้องการใช้น้ามันหอมระเหยมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนเนื่องจากผู้บริโภค เร่มิ หันมาสนใจสนิ ค้าประเภทตกแตง่ กลิ่นจากสารสกัดจากธรรมชาตมิ ากขึน้ กว่าผลิตภัณฑ์ที่ ใชส้ ารตกแตง่ กลน่ิ สงั เคราะห์โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยา และเครื่องสาอาง และ มีการใช้ นา้ มนั หอมระเหยในหลากหลายผลิตภัณฑม์ ากขนึ้ และผลิตภณั ฑท์ ่ีมีการใช้นา้ มนั หอมระเหย เปน็ สว่ นประกอบ มแี นวโน้มเตบิ โตอยา่ งน่าจับตามอง ดังนั้น อาจารย์ และ นักศึกษา คณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ได้เล็งเห็นความสาคัญของน้ามันหอมระเหย จึงมี แนวคิดทาวิจัย เรื่อง การปรับปรุงประสิทธิภาพ ของเคร่ืองกลั่นน้ามันหอมระเหยจากพืช สมนุ ไพรพนื้ บ้านดว้ ยระบบคลู ล่งิ คอนเดนเซอร์ ของอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ้นื บ้าน 37 องคค์ วามรูส้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
คณาจารย์ได้ออกแบบและพัฒนาให้ใช้งานได้ หวั หนา้ โครงการ ง่ายจากการจาลองเครื่องสกัดแบบต่อเน่ือง (soxhlet extraction) แ ล ะ ใ ช้ ร ะ บ บ ก า ร จริ พฒั น์พงษ์ เสนาบตุ ร ควบแน่นใช้ระบบคูลล่ิงคอนเดนเซอร์ทดแทน การไหลวนของน้าที่มีโดยทั่วไป เคลื่อนย้าย สะดวก ซึ่งเหมาะกับการกล่ันพืชสมุนไพร พื้นบ้านที่ใช้ตัวทาละลายเป็นน้าสาหรับการ กล่ัน เช่น ไพล ตระไคร้หอม เปลือกมะกรูด และใบยูคาลิบตัส เป็นต้น จากน้ันยังได้นาเอา องค์ความรู้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเคร่ืองกล่ัน น้ามันหอมระเหย ให้กับชุมชนอื่นๆ โดยสาธิต การกลั่นน้ามันหอมระเหย และการแปรรูป น้ามันหอมระเหยเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปชุมชน เช่น สเปรย์ไล่ยุง ยาหม่อง และสบู่ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชนและสามารถ จดทะเบยี นเป็นผลติ ภัณฑส์ ินคา้ ชมุ ชนได้ วัตถปุ ระสงค์ เพ่ือถ่ายทอดเทคโนโลยีงานวจิ ยั ทางดา้ นเทคโนโลยกี ารกลน่ั นา้ มันหอมระเหยจากพชื สมนุ ไพรพืน้ บ้านให้กบั ชมุ ชนโดยเป็นแนวทางใหเ้ กิดการเสริมสร้างรายได้ เพ่ือพัฒนาศกั ยภาพความร้ดู า้ นงานวิจยั และการบริการวิชาการ ให้แก่ คณาจารย์ เจา้ หนา้ ที่ และชุมชน ให้เกิดเป็นนวัตกรรมทส่ี ามารถพัฒนาประเทศในอนาคต 38องคค์ วามรูส้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
วิธกี ลนั่ นา้ มนั หอมระเหย การกล่ันด้วยน้าร้อน (Water distillation & Hydro – distillation) เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดของ การกลน่ั น้ามันหอมระเหย การกลั่นโดยวิธีน้ี พื้นท่ี กล่ันต้องจุ่มในน้าเดือดทั้งหมด เช่น ใบไม้ กลีบ ดอกไม้อ่อนๆ ข้อควรระวังในการกลั่นโดยวิธีน้ีคือ พืชจะได้รบั ความรอ้ นไม่สม่าเสมอ ตรงกลางมักจะ ได้ความร้อนมากกว่าด้านข้าง จะมีปัญหาในการ ไหมข้ องตัวอย่าง กล่ินไหม้จะปนมากับน้ามันหอมระเหยและมีสารไม่พึงประสงค์ติด มาในน้ามันหอมระเหยได้ วธิ แี กไ้ ข คอื ใช้ไอน้า หรอื อาจใช้ คอยลไ์ อนา้ ปดิ จุ่มในหม้อ ต้ม แต่การใช้ คอยล์ไอน้า น้ีไม่เหมาะกับดอกไม้บางชนิด เพราะเมื่อกลีบดอกไม้ถูก คอยล์ไอน้า จะหดกลายเป็น มวลเหนียว จึงต้องใช้วิธีใส่ลงไปในน้า กลีบดอกไม้จะ สามารถหมุนเวียนไปอย่างอิสระในการกลั่น เปลือกไม้ก็เช่นกัน ถ้าใช้วิธีกล่ันด้วยน้า น้าจะซึมเข้าไปและนากล่นิ ออกมา หรือกลิ่นจะแพรก่ ระจายออกจากเปลือกไม้ได้ง่าย ข้ึน ดังนน้ั การเลือกใชว้ ธิ ีการกลั่นจงึ ขึน้ กบั ชนดิ ของพืชทนี่ ามากลั่นด้วย การกล่ันด้วยน้าและไอน้า (Water and steam distillation) การกลั่นโดยวิธีนี้ใช้ ตะแกรงรองของที่จะกลั่นให้เหนือระดับน้าใน หม้อกลั่น ต้มให้เดือด ไอน้าจะลอยตัวข้ึนไป ผ่านพืชหรอื ตวั อย่างที่จะกล่ัน ส่วนน้าจะไม่ถูก กับตัวอย่างเลย ไอน้าจากน้าเดือดเป็นไอน้าที่ อ่ิมตวั หรอื เรียกว่า ไอเปียกไม่ร้อนจัด เป็นการ กล่ันทีส่ ะดวกท่ีสดุ คณุ ภาพของน้ามนั ออกมาดกี ว่าวธิ ีแรก การกล่ันแบบนี้ใช้กันอย่าง กว้างขวางในการผลติ นา้ มนั หอมระเหยทางการค้า 39 องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
เทคโนโลยเี ครื่องกลนั่ น้ามันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอตุ สาหกรรมแปรรปู สมุนไพรพนื้ บ้าน จริ พฒั นพ์ งษ์ เสนาบตุ ร การกล่ันด้วยไอน้า (Direct steam distillation) วิ ธี นี้ ว า ง ขอ ง อ ยู่ บ น ตะแกรงในหม้อกล่ันซ่ึงไม่มีน้าอยู่เลย ไอนา้ ภายนอกท่ีอาจจะเป็นไอน้าเปียก ห รื อ ไ อ ร้ อ น จั ด แ ต่ ค ว า ม ดั น สู ง ก ว่ า บรรยากาศ สง่ ไปตามท่อใต้ตะแกรงให้ ไอผา่ นขึ้นไปถูกกับของบนตะแกรง ไอ น้าต้องมีปริมาณเพียงพอที่จะช่วยให้น้ามันแพร่ระเหยออกมาจากตัวอย่าง ตัวอย่างบางชนิดอาจใช้ไอร้อนได้ แต่บางชนิดก็ใช้ไอเปียก น้ามันจึงจะถูก ปล่อยออกมา ขอ้ ดขี องการกลน่ั วธิ นี ้ี คอื สามารถกล่ันได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเอา พืชใส่หม้อกลั่นไม่ต้องเสียเวลารอให้ร้อน ปล่อยไอร้อนเข้าไปได้เลย ปริมาณ ของสารที่นาเขา้ กลัน่ กไ็ ด้มาก ปรมิ าณทาใหไ้ ด้น้ามันหอมระเหยมาก การกลั่นทั้ง 3 วิธี ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาด้วยว่า การแพร่กระจายของน้ามัน หอมระเหยและน้าร้อยผา่ นเยอื่ บางๆของพืช การไฮโดรไลซ์สาร องค์ประกอบ ต่างๆเน่อื งจากสมั ผัสกบั น้าตลอดเวลา ตลอดจนการสลายตัวของสารในน้ามัน หอมระเหย อันเนื่องมาจากความร้อนถึงแม้ว่าก่อนนาพืชมากลั่นจะต้องหั่น หรือทาให้เซลล์แตกก่อน เพ่ือให้ได้น้ามันหอมระเหยออกมาจากเซลล์ได้ง่าย แตถ่ ึงกระน้ัน ก็ยงั มนี า้ มนั หอมระเหยบางส่วนทอ่ี ยู่ทผี่ วิ และถูกทาให้กลายเป็น ไออยา่ งรวดเรว็ ด้วยไอน้า แลว้ นา้ มนั ส่วนที่เหลือภายในจะออกมาสผู่ วิ ได้ โดย การซึมผ่านผนังบาง ๆ ของพืช และ จะดาเนินไปได้ดีท่ีอุณหภูมิสูง สารประกอบพวกเอสเทอร์จะถูกไฮโดรไลซ์ให้เป็นกรด และ แอลกอฮอล์ได้ ง่าย ดังนั้น เพื่อให้ได้น้ามันหอมระเหยท่ีมีคุณภาพดีที่สุด ควรกล่ันที่ อุณหภูมิต่าสุดเท่าท่ีจะทาได้ หากได้น้ามันน้อย ควรใช้อุณหภูมิสูงขึ้น ใช้ เวลาให้สั้นที่สุด การกล่ันจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ วัดอุณหภูมิและเวลา ให้อย่ใู นชว่ งทเ่ี หมาะสมท่สี ุด 40องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
อุปกรณ์ท่ีใช้ในการกลน่ั ในการกลัน่ น้ามันหอมระเหยท้งั 3 วธิ นี ้ี สามารถทาเองได้ อุปกรณ์ที่สาคัญสาหรับใช้ กล่ัน มี 2 อย่าง คอื หมอ้ กล่ัน (Still) และ เครื่องควบแนน่ (Condenser) หม้อกลั่น (Still) น้าหรือไอน้า จะสัมผัสกับพืชในภาชนะ ซ่ึงมรี ูปร่างท่งี า่ ยท่สี ดุ เปน็ ถังทรงกระบอก ทาด้วยเหล็กหรือ ทองแดง เส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหรือน้อยกว่าความสูง เลก็ นอ้ ย มีฝาเปิด – ปดิ ได้ ด้านบนมีท่อต่อสายรัดให้ไอน้า พาน้ามันหอมระเหยไปสู่เคร่ืองควบแน่น ถ้าเป็นการกลั่น แบบใช้น้าผสมไอน้า ตอ้ งมีตะแกรงวางตัวอย่างที่จะกล่ันให้ สูงกว่าก้นหม้อกล่ัน ส่วนการกล่ันด้วยไอน้า น้าจะถูกฉีด เข้าไปใต้ตะแกรงนั้น ก้นหม้อกลั่นจะต้องมีท่อก๊อกระบาย น้าท่กี ลน่ั ตวั ลงหม้อกลัน่ และฝาควรมีฉนวนหมุ้ กันความร้อนสญู หาย เครื่องควบแนน่ (Condenser) ส่วนผสมของ ไอน้าและน้ามันหอมระเหยท่ีออกมาจากหม้อ กลัน่ จะถูกส่งผ่านไปยังเครื่องควบแน่น ซึ่งจะ เ ป ล่ี ย น ไ อ น้ า แ ล ะ น้ า มั น ห อ ม ร ะ เ ห ย ใ ห้ เ ป็ น ของเหลว ลักษณะเป็น Coil ม้วนอยู่ใต้ถังท่ีมี น้าเย็นผ่านจากด้านล่าง สวนทางกับไอน้า และน้ามันหอมระเหย ท่ีนิยมอีกแบบหนึ่ง คือ ให้ไอน้าและน้ามนั หอมระเหยผ่านใน ท่อวัสดทุ ่ีเป็น Coil ควรใช้ทองแดง ผสมดบี ุก 41 องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
เทคโนโลยเี คร่ืองกลน่ั น้ามนั หอมระเหยขนาดเลก็ สาหรับอตุ สาหกรรมแปรรปู สมุนไพรพนื้ บา้ น จริ พฒั นพ์ งษ์ เสนาบตุ ร คอนเดนเซอร์ เมื่อไอสารความเย็นที่มีอุณหภูมิสูงความดันสูงออกจากเคร่ืองอัด แล้วจะเข้า คอนเดนเซอร์ซ่งึ ทาหน้าท่ีเปน็ ตวั ถ่ายเทความร้อนออกจากสารความเย็น ซึ่งสารความ เย็นนั้น รับความร้อนมาจากท่ี อีเวปอเรเตอร์ และ จากกระบวนการอัด การถ่ายเท ความรอ้ นให้กับไอสารความเยน็ น้ี จะมีการถา่ ยเทความรอ้ นจนไอสารความเย็นเปล่ียน สถานะเป็นของเหลวอีก โดยรูปแบบของคอนเดนเซอร์เป็นประเด็นสาคัญในการ ออกแบบซง่ึ แบ่งได้ 3 ประเภท คอื 1. ประเภทระบายความร้อนด้วยนา้ (Water Cooled Condensers) 2. ประเภทระบายความร้อนด้วยน้าและอากาศ (Evaporative Condensers) 3. ประเภทระบายความร้อนดว้ ยอากาศ (Air Cooled Condensers) จากประเภททั้งสามของคอนเดนเซอร์ทั้ง 2 แสดงลักษณะการถ่ายเทความร้อนออก จากคอนเดนเซอรเ์ พอ่ื ทาใหไ้ อสารความเย็นเปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว ดงั นี้ คอนเดนเซอรร์ ะบายความร้อนด้วยนา้ คอนเดนเซอร์ระบายความร้อนด้วยน้า (Water Cooled Condensers) ที่เห็นทั่วไปมี 3 แบบ คือ แบบทอ่ ซ้อนท่อ (Double Tube) โครงสร้างของคอนเดนเซอร์แบบท่อซ้อนท่อ ซึ่ง ท่อใหญ่เป็นส่วนนอกของระบบท่อคอนเดนเซอร์ จะเป็นท่อรับไอสารความเย็นที่มี อุณหภูมิสูงและความดันสูงจากเครื่องอัด (Compresser) โดยไอสารความเย็นจาก เครือ่ งอดั เข้าทางส่วนบนของทอ่ และออกทางส่วนล่างที่จัดตาแหน่งทางเข้าของไอสาร ความเย็นไว้ทางด้านบน เพราะขณะไอสารความเย็นเข้ามาในระบบท่อคอนเดนเซอร์ จะมกี ารถ่ายเทความรอ้ นเกดิ ขน้ึ และ ไอสารความเยน็ เรม่ิ เปลี่ยนสถานะกลายเป็นสาร ความเย็นเหลว อาศัยแรงดึงดูดของโลก สารความเย็นเหลวจะไหลลงสู่ท่ีต่า เม่ือไอ สารความเย็นถึงช่วงสุดท้ายของคอนเดนเซอร์ไอสารความเย็นจะเปล่ียนสถานะเป็น ของเหลวท้ังหมด และ ถูกดันโดยความดันท่ีมีในระบบของคอนเดนเซอร์ออกสู่ตัว ควบคุมปริมาณสารความเย็น 42องคค์ วามรูส้ ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
แบบขดท่อมีเปลอื กหุ้ม (Shell and Coil) ทาจากท่อเปลือยท่ีขดเป็นก้น หอยแลว้ บรรจุในถงั ทเ่ี ป็นเหมือนเปลือกตามโครงสร้างของคอนเดนเซอร์แบบ ขดทอ่ มเี ปลือกหุ้ม ไอสารความเย็นเข้าท่ีด้านบนของเปลือกของคอนเดนเซอร์ และ หลอมตัวเมื่อกระทบกับขดท่อท่ีมีน้าอุณหภูมิต่าไหลผ่าน ทั้งนี้สารความ เย็นเหลวท่ีตกสู่ด้านล่างของเปลือกจะถูกแรงดันท่ีมีในระบบดันส่งไปยังตัว ควบคุมปริมาณสารความเย็น ส่วนล่างของเปลือกซึ่งมีสภาพคล้ายถัง นอกจากเปน็ ตัวรับสารความเย็นเหลวท่ีเกิดจากการหลอมตัวแล้ว ยังทาหน้าที่ เหมือนถึงเก็บสารความเย็น (Receiver tank) ในกรณีที่ภาระ (load) ลดลง แล้วสารความเย็นในระบบใช้งานไม่หมดแล้วตัวควบคุมปริมาณสารความเย็น ปล่อยให้ปริมาณสารความเย็นสู่ระบบเคร่ืองทาความเย็นก็ไม่ควรมากเกินไป เพราะหากมสี ารความเย็นเหลือในถงั มาก หมายถงึ พ้นื ผวิ สัมผัสของขดท่อน้า หล่อเย็นท่ีบรรจุอยู่ภายในถังจะน้อยลง จะเป็นเหตุให้ภายในถังมีความดัน สูงข้ึน และ อณุ หภูมิสงู ขึน้ การตอ่ วงจรท่อน้าหลอ่ เยน็ มกั ใหม้ วี งจรแยกกัน 2 ชุด โดยขน้ึ อยูก่ บั ภาระของระบบเครอื่ งทาความเยน็ ว่ามากหรือน้อย คือ หาก ภาระของระบบมีมาก ปริมาณสารความเย็นที่จะใช้งานมีมากหมายถึงความ ร้อนของไอสารความเย็นทจี่ ะถา่ ยเทสนู่ ้าหล่อเยน็ มาก ปริมาณน้าหล่อเย็นท่ีใช้ กับคอนเดนเซอรย์ ่อมมาก ทง้ั น้วี งจรภายในของระบบน้าหล่อเย็นต้องต่อแบบ ขนาน ในทางตรงขา้ ม หากภาระน้อย วงจรภายในของระบบน้าหล่อเย็นจะ ต่อแบบอนุกรมก็ได้ ท้ังนี้เพ่ือเป็นการลดค่าใช้จ่ายขณะใช้งาน (Operating Cost) ลงการเลอื กขนาดของเครือ่ งทาความเย็นที่ใช้คอนเดนเซอร์แบบขดท่อมี เปลือกหุ้มน้ี โดยทั่วไปมักใช้กับงานที่ไม่โตนัก การใช้งานปกติมักไม่เกิน 10 ตัน การทาความสะอาดคอนเดนเซอร์แบบนี้ใช้วิธีผสมสารเคมีลงในน้าท่ีไหล ผา่ นท่อน้าหล่อเยน็ 43 องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
เทคโนโลยเี ครือ่ งกลน่ั นา้ มันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรบั อตุ สาหกรรมแปรรปู สมุนไพรพน้ื บา้ น จริ พฒั นพ์ งษ์ เสนาบตุ ร แบบทอ่ ตรงมีเปลอื กหมุ้ (Shell and Tube) คอนเดนเซอรแ์ บบนมี้ กั ใช้กับ งานเคร่ืองทาความเย็นขนาดใหญ่ต้ังแต่ขนาด 2 ตันขึ้นไปถึงมากกว่า 100 ตัน และความหนาของเปลือกหุ้มสาหรับเครื่องขนาดใหญ่อาจหนามากกว่า 10 เซนตเิ มตร (4 น้ิว) ถึงความหนาไม่น้อยกว่า 100 เซนติเมตร (40 น้ิว) ความยาวของท่อตรงท่ีใช้ระบายความร้อนจากไอสารความเย็นยาวต้ังแต่ 90 เซนติเมตร ถึง 6 เมตร จานวนและขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อขึ้นอยู่กับ เส้นผ่าศูนย์กลางของเปลือกหุ้ม ขนาดความโตของท่อตั้งแต่ 16 มิลลิเมตร (5/8 นิ้ว) ถึง 50 มิลลิเมตร (2 นิ้ว) แผ่นปิดหัว - ท้ายของท่อสามารถถอด เพอ่ื ทาความสะอาดท่อส่งน้าหล่อเย็นได้การใชง้ าน สาหรับคอนเดนเซอร์แบบ ท่อตรงมีเปลือกหุ้ม (Shell and Tube) มักใช้กับเคร่ืองทาความเย็นขนาด ใหญท่ ี่ใชแ้ อมโมเนยี (R-717) เปน็ สารความเย็น เหตุผลที่ใช้แอมโมเนียเป็น สารความเย็นเพราะราคาถูกเมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั สารความเยน็ ชนิดอ่นื อย่างไรก็ตามแอมโมเนียจัดอยู่ในประเภทสารชนิดระคายเคืองการใช้งานจึง ต้องให้ความระมัดระวังมากว่าสารความเย็นชนิดอ่ืนรูปแบบโครงสร้างของ คอนเดนเซอร์แบทอ่ ตรงมเี ปลอื กหมุ้ พจิ ารณาจะมที ่รี บั น้าหล่อเย็นอยู่ด้านบน มีอปุ กรณจ์ า่ ยน้าสาหรับแต่ละท่อเพ่ือให้น้าหล่อเย็นไปได้อย่างท่ัวถึงและมาก พอปกติไอสารความเย็นจะเขา้ ประมาณส่วนกลางของคอนเดนเซอร์ และสาร ความเย็นเหลวออกจากส่วนของคอมเดนเซอร์แล้วจึงเข้าอุปกรณ์ควบคุม ปรมิ าณสารความเยน็ ต่อไป คอนเดนเซอรร์ ะบายความรอ้ นดว้ ยน้าผสมอากาศ ค อ น เ ด น เ ซ อ ร์ แ บ บ ร ะ บ า ย ค ว า ม ร้ อ น ด้ ว ย น้ า แ ล ะ อ า ก า ศ ผ ส ม กั น น้ี (Evaporative Condensers) มีลักษณะการทางานคล้ายหอน้าเย็นแบบ ระบายความร้อนโดยวิธีกล แต่ท่ีดีกว่าคือ การระบายความร้อนโดยวิธีนี้ สามารถประหยดั นา้ ได้มากกว่า 44องคค์ วามร้สู ภู่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
คอนเดนเซอรร์ ะบายความร้อนด้วยน้าผสมอากาศ หลักการทางานของคอนเดนเซอรท์ ี่ระบายความร้อนด้วยนา้ และอากาศ จึงต้อง มีอ่างรับน้า (Water Tank) โดยป๊ัมมีหน้าที่ดูดน้าจากอ่างขึ้นสู่หัวฉีด (Spary nozzles) ดา้ นบน หัวฉีดจะฉีดฝอยนา้ ลงสู่ทอ่ ไอสารความเย็น ในขณะเดียวกัน พัดลมดดู อากาศ (Fan) จะทาหน้าท่ีดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่ภายในระบบ (Air in) เพือ่ เสริมการระบายความร้อนของท่อไอสารความเย็น อากาศท่ีถูกดูด เข้าสู่ระบบจะถูกส่งออกนอกระบบ หลังจากพาความร้อนติดไปด้วย และด้วย เหตุที่อากาศท่ีจะถูกส่งออกนอกระบบ ผ่านฝอยน้ามาก่อน จึงต้องมีอุปกรณ์ จับเมด็ น้า (Eliminators) ทีต่ ดิ ไปกบั อากาศ เพื่อเป็นการลดความสิ้นเปลืองน้า หลอ่ เยน็ แต่ทอี่ ่างรบั น้าก็มีท่อน้าเข้า หากต้องการน้าเพ่ิมเติม (Make – up water) สาหรบั ระบบ ส่วนการนาอากาศภายนอกเข้ามาใช้ในระบบสามารถ ทาได้ท้ังระบบดูดการทางานคอนเดนเซอร์แบบระบายความร้อนด้วยน้า และ อากาศ ซงึ่ เป็นระบบของ Trane ไอสารความเย็นท่ีมีอุณหภูมิสูง (Hot gas) เม่ือออกจากเคร่ืองอัดจะเข้าสู่ขดท่อคอนเดนเซอร์ เมื่อไอสารความเย็นได้รับ การถา่ ยเทความรอ้ นออก จนไอสารความเย็นเปล่ียนสถานะเป็นของเหลวแล้ว สารเหลวจะไหลไปสู่ถึงรับสารเหลว (Liquid Receiver) จากนั้นสารความ เย็นเหลวจะเคล่ือนไปตามท่อสารเหลว (Liquid line) ผ่านวาล์วเปิด – ปิด (Liquid shut – off valve) ผ่านท่ีกรอง (strainer) ผ่านวาล์วเปิด – ปิดท่ี ตัวควบคุมด้วยไฟฟ้า (Solenoid stop valve) ผ่านช่องกระจกมองสาร ความเย็น (Sight Glass) ผ่านตัวควบคุมปริมาณสารความเย็น ซึ่งวงจรท่อ เคร่ืองทาความเย็นชุดนี้ใช้ Thermostatic Expansion Valve (TEV) จาก TEV สารความเย็นเหลวจะถูกลด ความดันลงจนความดันท่ีมีในอีเว ปอเรเตอร์สอดคล้องกับอุณหภูมิใช้ งานของระบบ เม่ือสารความเย็น เ ห ล ว ดึ ง ดู ด ค ว า ม ร้ อ น จ า ก ภ า ร ะ มาแล้วสารเหลวก็จะเปลี่ยนสถานะ เป็นไอและไปตามท่อดูด (Suction line) สู่เครื่องอดั ตอ่ ไป 45 องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
เทคโนโลยเี ครื่องกลนั่ น้ามันหอมระเหยขนาดเลก็ สาหรบั อตุ สาหกรรมแปรรปู สมนุ ไพรพน้ื บา้ น จริ พฒั นพ์ งษ์ เสนาบตุ ร คอนเดนเซอร์ระบายความรอ้ นด้วยอากาศ สาหรับคอนเดนเซอร์ท่ีระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air Cooled Condensers) นั้น การเคลื่อนท่ีของอากาศเป็นการเสริมประสิทธิผลของการถ่ายเทความร้อน อาจเป็นได้ทั้งโดยธรรมชาติหรือโดยวิธีกล คือใช้พัดลมพัดผ่านหรือดูดผ่าน คอนเดนเซอร์ หากโดยอาศัยแรงลงตามธรรมชาติ ด้วยปริมาณลมที่พัดผ่าน คอนเดนเซอร์เพื่อพาความร้อนจากคอนเดนเซอร์ไปด้วยมีน้อย ขนาดของ คอนเดนเซอร์จึงจะต้องโตเพื่อเพ่ิมพื้นท่ีผิวถ่ายเทความร้อนออกสู่บรรยากาศด้วย เหตทุ ค่ี อนเดนเซอร์ท่ีอาศัยแรงลงธรรมชาติต้องมีขนาดใหญ่ เพราะประสิทธิภาพ การถ่ายเทความร้อนมีน้อย การใช้งานคอนเดนเซอร์แบบนี้จึงใช้กับงานเครื่องทา ความเย็นขนาดเล็ก เช่น ตู้เย็นขนาดเล็ก เครื่องทาน้าเย็น เป็นต้น รูปแบบของ คอนเดนเซอร์อาจเป็นแผง (Plate Surface) หรือเป็นแบบท่อครีบ (Finned Tubing) การ ในการกล่ันน้ามนั หอมระเหยจากพชื สมนุ ไพรพน้ื บ้าน มกี ระบวนการดงั น้ี 1. เตรียมเครื่องกลั่นน้ามันหอมระเหยจากสมุนไพรพื้นบ้านโดยระบบรวมคูลล่ิง คอนเดนเซอร์ 2. เตรยี มพชื สมุนไพรท่ีต้องการนามากลั่นน้ามันหอมระเหยหั่นพืชสมุนไพรมาล้าง แล้วนาไปชง่ั เพ่อื ใหไ้ ด้ปริมาณ 5 กิโลกรมั 3. นาพชื สมุนไพรท่ีชั่งมาหัน่ พอละเอยี ด 4. ใสพ่ ืชสมุนไพรทห่ี น่ั เสร็จลงไปในถังกล่ันน้ามันหอมระเหยและเติมน้า ¾ ของถัง แลว้ ปดิ ฝาถังกล่ันน้ามนั หอมระเหย 5. เริ่มเปิดแก๊สเพื่อทาการกลั่นน้ามันโดยที่เปิดแก๊สให้ได้ความร้อนที่เหมาะสมจน ทาใหเ้ กดิ เป็นไอนา้ ท่อี ณุ หภูมิ 100 องศาเซลเซยี ส 6. เปดิ ระบบคลู ลง่ิ คอนเดนเซอร์เพ่อื หมนุ เวยี นระบบการควบแนน่ 7. เตรยี มกรวยแยกสาหรับเกบ็ นา้ มันหอมระเหยจากพืชสมุนไพรพ้นื บ้าน 8. แยกน้ามันหอมระเหยออกจากน้าโดยการเปิดน้าออกก่อนแล้วเหลือส่วนที่เป็น น้ามันหอมระเหยไว้จากน้นั จึงค่อยปลอ่ ยน้ามันหอมระเหยลงมาเกบ็ ไว้ 46องคค์ วามรสู้ ูภ่ าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
47 องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชนและอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230