บ้านป่าตาล อ�ำเภอหางดง บ้านกอยก่อ ผู้วิจัย จึงมีแนวคิดในการน�ำผลของโครงการ นกะ๊ อำ� เภอสนั ทราย จงั หวดั เชียงใหม่ เปน็ อกี ชุมชน วิจัยเร่ือง “การพัฒนาเน้ือดินสีเพ่ือเลียนแบบสีผิว หนึ่งท่ียังคงมีการผลิตตุ๊กตาดินเผา เป็นตุ๊กตาดิน ของมนุษย์ ส�ำหรับใช้ในการผลิตตุ๊กตาเซรามิก” เผาที่ใช้อุณหภูมิในการเผาท่ีไม่สูงมากนัก สีผิวของ ความร้จู ากการวจิ ยั มาบรู ณาการรว่ มกันระหว่างชมุ ชน เน้ือดินจะเป็นสีส้มแดง มีการตกแต่งแต้มสีผิวด้วย กับชุมชน อันจะเป็นการสร้างเครือข่ายชุมชน และเกิด สีน�้ำพลาสติกเพ่ือให้ตุ๊กตามีสีผิวท่ีสดใสสวยงาม การพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ ครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาพน้ื บา้ นในวงกวา้ ง รปู แบบของตกุ๊ ตานน้ั ได้ถา่ ยทอดเอาอารมณข์ องเด็กซึง่ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจของชุมชน มีความน่ารักน่าชังอยู่ในตัว และได้เก็บเอาท่วงท่าของ ในอนาคตได้ อีกท้ังยังสามารถน�ำองค์ความรู้ท่ีได้น�ำ ตกุ๊ ตาทมี่ เี อกลกั ษณข์ องตกุ๊ ตาในแตล่ ะเชอ้ื ชาตทิ ง้ั เอเชยี ไปถ่ายทอดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา และยุโรปเพื่อใช้ในการต้ังช่ือของตุ๊กตาดินเผาในแต่ละ พ้ืนบ้านในชุมชนอ่ืน เช่น บ้านห้วยทราย จ.เชียงใหม่ ตัวซงึ่ มหี ลากหลายใชเ้ ปน็ จดุ ขายไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ศูนย์ตุ๊กตา อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และแหล่งผลิต มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนาภาคพายพั เคร่ืองปั้นดินเผาพื้นบ้านแหล่งอ่ืน ๆ ในประเทศได้ อัน ได้เห็นความส�ำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนดัง จะเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถพัฒนา กลา่ ว อกี ทงั้ ยงั ถอื เปน็ ภารกจิ หนงึ่ ของมหาวทิ ยาลยั ฯ ใน สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนผู้ผลิต อันจะท�ำให้ การบริการวิชาการส่ชู มุ ชน จึงไดส้ นับสนนุ งบประมาณ เศรษฐกิจระดับรากหญ้าดีขึ้น ส่งให้เศรษฐกิจภาพรวม ในการดำ� เนนิ งานโครงการวจิ ยั เรอ่ื ง “การพฒั นาเนอ้ื ดนิ ของประเทศดีข้นึ ตามในอนาคตได้ สีเพื่อเลียนแบบสีผิวของมนุษย์ ส�ำหรับใช้ในการผลิต ตุ๊กตาเซรามิก” ปีงบประมาณ 2554 ซ่ึงได้ด�ำเนินงาน ตามโครงการเปน็ ทแ่ี ล้วเสรจ็ โดยมผี ลสรุปของการวจิ ยั วตั ถุประสงค์ คือ ผลจากการศึกษาได้เน้ือดินสีสำ� หรับตุ๊กตาเซรามิก ไทย ท่ีมีสีผิวของคนโซนเอเชียและยุโรป ท่ีสามารถเผา 1. เพอื่ ศกึ ษาผลของการทดลองเนอื้ ดนิ เลยี นแบบสผี วิ ได้ในอุณหภูมิที่สูงและมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ มนษุ ย์ สำ� หรับท�ำเน้ือตุก๊ ตาเซรามิก ความต้องการของผบู้ รโิ ภค และตามความตอ้ งการของ ผู้ผลิตสามารถปรับใช้ในการข้ึนรูป ในทุกกระบวนการ 2. เพ่อื ลดต้นทุนของวตั ถุดบิ ผลิตเซรามิก สามารถพัฒนาดินท้องถิ่นให้มีคุณสมบัติ 3. เพื่อพัฒนาตกุ๊ ตาเซรามิกไทย 4. เพอ่ื เพิ่มมลู ค่าในตวั ผลติ ภัณฑ์ 5. เพือ่ น�ำผลการทดลองไปใช้อยา่ งยั่งยืน ท่ีดีมากข้ึน เพื่อลดต้นทุนในการใช้วัตถุดิบทดแทนจาก ต่างประเทศ สามารถพัฒนามาตรฐานตุ๊กตาเซรามิก ไทย, สามารถเพิ่มมูลค่าในตัวผลิตภัณฑ์ได้ เพ่ือนำ� ไป สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และผลจากการวิจัยดังกล่าว ท�ำให้เกิดแนวคิดร่วมกับชุมชนในการพัฒนาต่อยอด ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน โดยมงุ่ เนน้ ดา้ นการตกแตง่ ดว้ ยวธิ กี าร ตา่ ง ๆ เพื่อเพม่ิ มูลค่าของผลติ ภณั ฑ์ให้มคี ุณภาพสงู ข้นึ มคี วามคงทน มคี วามหลากหลายเพอื่ เปน็ ทางเลอื กหนง่ึ ให้กับผ้บู ริโภค 49 “องค์ความร้สู ภู่ าคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
วิธีดำ� เนนิ การ 1.ศึกษาและทบทวนข้อมูลเบ้ืองต้นท่ีเกี่ยว เพื่อศึกษาถึงความเหมาะสมกับเนื้อดินสีท่ีได้ เช่น ข้อง ทุกชนิดที่ใช้ในการผลิตงานเคร่ืองปั้นดินเผาร้าน สามารถได้เน้อื ดินสโี ดยการเทียบสีจากสผี วิ ของคนโซน กอยก่อนกะ เช่น วัตถุดิบท่ีใช้ในการข้ึนรูป เครื่องมือ เอเซียและยุโรป เป็นต้น โดยบันทึกผลการทดลองเพื่อ อปุ กรณ์ ทีใ่ ช้ในการขนึ้ รูป ชนิดต่าง ๆ รปู แบบเตาเผา เป็นข้อมลู ประกอบการพจิ ารณา กระบวนการในการเผาเตา การจดั วางชนิ้ งานในเตาเผา 4.การทดลองหาสูตรเนื้อดินสีของตุ๊กตาเซรามิ ทางเดนิ ลมรอ้ นในการเผา และอ่นื ๆ ที่เกยี่ วข้อง เพ่อื กที่ต้องการ และกระบวนการผลิตของชุมชน โดยการ เปน็ ขอ้ มูลสำ� หรับการวิเคราะหใ์ นการท�ำวิจัย ศึกษาจากเอกสารวิชาการ เอกสารอ้างอิงท่ีเกี่ยวข้อง 2.ศึกษาเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ใช้ในการขึ้นรูป โดย กับเน้ือดินสีของตุ๊กตาเซรามิก และน�ำสูตรท่ีมีความ เฉพาะเนื้อดินที่ใช้ในการขึ้นรูป เตาท่ีใช้ในการเผา เหมาะสม 1-5 สูตรน�ำมาทดลองพัฒนาสูตรเนื้อดินสี อุณหภูมิในการเผา การตกแต่งผลิตภัณฑ์โดยมีราย ของตกุ๊ ตาและผลติ ภณั ฑ์ โดยพจิ ารณาจากลกั ษณะทาง ละเอียดการศกึ ษา ดงั นี้ กายภาพโดยทว่ั ไป เชน่ สขี องเนอ้ื ดนิ การหดตวั ของเนอ้ื 2.1.เน้ือดินท่ีใช้ในการขึ้นรูป น�ำเนื้อดินท่ีใช้ใน ดิน สีของตุ๊กตาที่ต้องการ อุณหภูมิในการเผา การยืน ปัจจุบัน ทดลองทดสอบทางกายภาพ เช่นการทดสอบ ไฟ โดยบนั ทกึ ผลการทดลองเพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู ประกอบการ การหดตัวของเนื้อดินก่อนและหลังเผา สีของเน้ือดิน พิจารณา ก่อนและหลังเผา ความแข็งของเนื้อดินก่อนและหลัง 5.น�ำเน้ือดินสี ท่ีทดลองเผาได้ตรงกับความ เผา การดดู ซมึ นำ�้ ของเนื้อดนิ โดยทดลองเผาที่อณุ หภูมิ ต้องการแล้ว น�ำมาบดผสมตามอัตราส่วน และน�ำไป ต่าง ๆ เช่นน�ำสูตรผสมเน้ือดินท่ีได้ไปเผาท่ีอุณหภูมิ ทดลองสร้างเป็นช้ินงานท่ีชุมชนผลิตข้ึน น�ำชิ้นงานไป 900°C, 1000°C, 1150°C , 1200°C และ 1230°C ผา่ นกระบวนการเผาในอณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสม โดยทำ� การ บรรยากาศในการเผา OF และ RF เปน็ ข้อมลู เบื้องต้น ทดลองเผาในชุมชน ในสภาพการผลิตช้ินงานจริงตาม ในการวเิ คราะหห์ าคณุ สมบตั ทิ เ่ี หมาะสมกบั การผลติ ของ วิถีชีวิตปกติ เพ่ือเก็บข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องท้ังหมด ปัญหา ชุมชน และเปน็ ขอ้ มลู ในการพิจารณาพัฒนาเน้อื ดินสที ี่ ทเี่ กิดขนึ้ จากการผสมสตู รเนอื้ ดนิ กระบวนการเผา เพอ่ื เหมาะสำ� หรับการผลิตต๊กุ ตาเซรามกิ โดยบันทกึ ผลการ น�ำมาแก้ปัญหาท่ีอาจจะเกิดข้ึนได้ จัดวางแนวทางการ ทดลองเพ่ือเป็นขอ้ มูลประกอบการพจิ ารณา แก้ปัญหา 2.2.เตาและอุณหภมู ทิ ใี่ ช้ในการเผา โดยศึกษา 6. ปฏิบัติการแก้ปัญหาในประเด็นต่างๆที่ จากศกั ยภาพทีช่ ุมชนมีอยู่ เชน่ รูปแบบเตาที่ใช้ เกยี่ วขอ้ งตามแนวทางทไี่ ดว้ างไว้ เชน่ สเี นอ้ื ดนิ ของตกุ๊ ตา ในการเผา อุณหภูมิที่ใช้ในการเผา วิธีการเผา เชื้อ ไมต่ รงตามสตู ร เนอ้ื ดนิ สไี ดไ้ มท่ วั่ ผลติ ภณั ฑ์ เปน็ ตน้ โดย เพลิงในการเผา ระยะเวลาในการเผา เป็นต้น เพ่ือเป็น ศกึ ษาจากเอกสารวชิ าการท่ีเก่ียวข้อง ข้อมูลเบ้ืองต้นในการหาเคลือบที่เหมาะสมกับเตาและ 7.ทดลองทดสอบตามประเดน็ การแก้ไข น�ำผล อุณหภมู ใิ นการเผา การแกไ้ ข ไปปฏิบตั ิในสถานการณจ์ ริงกบั ชุมชนอกี คร้งั 3.ทดลองน�ำสูตรเนื้อดินสี ที่พัฒนาแล้ว น�ำ เพ่ือสรุปผลการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง มาบดผสมตามอัตราส่วนในตารางสามเหล่ียม และ 8. ประเมินผลการทดลองสรุปรายงานผลการ น�ำช้ินงานไปผ่านกระบวนการเผาในอุณหภูมิต่าง ๆ วจิ ยั ตอ่ ชุมชน เช่น อุณหภูมิ 900°C, 1000°C, 1150°C , 1200°C 9. สรปุ ผลการท�ำโครงการ และ 1230°C บรรยากาศในการเผา OF และ RF “องค์ความรสู้ ่ภู าคประชาชน” 50มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ผลจากการวิจยั เนื้อดนิ สตี ุก๊ ตา สูตรท่ี 2 สูตรที่ 1 ดนิ ดำ� แม่รมิ ดนิ ดำ� แมร่ มิ ดินแดงม่อนเขาแก้ว ดินเหลืองเหมอื งกรงุ ดินขาวล�ำปาง ดนิ ขาวลำ� ปาง ชดุ ทดลองที่ 1 ส่วนผสมของเน้อื ดินเหลอื งเหมอื งกุง เผาที่อุณหภมู ิ 900 Cํ ในบรรยากาศ OF ผวิ ขาวเหลอื งอมชมพู สตู รที่ 13,14,19,20,26,27,34,35 สีสว่ นใหญท่ ีไ่ ดส้ ผี ิวเนือ้ มนษุ ย์ คือ ผวิ ขาวเหลอื งอมชมพู ชุดทดลองท่2ี ส่วนผสมของเน้อื ดินเหลืองเหมอื งกงุ เผาที่อุณหภูมิ 900 Cํ ในบรรยากาศ RF ผิวขาวอมเหลอื ง สตู รท่ี 29,38,42,59 ผิวน�ำ้ ผงึ้ สตู รท่ี 37,46,47,57 สีส่วนใหญ่ทีไ่ ด้สีผิวเน้อื มนุษย์ คือ สผี วิ นำ้� ผ้ึงและขาวอมเหลอื ง ชดุ ทดลองท่ี 3 สว่ นผสมของเน้อื ดินมอ่ นเขาแกว้ เผาทอี่ ณุ หภูมิ 900 ํC ในบรรยากาศ OF ผวิ ขาวเหลืองอมชมพู สตู รที่ 10,15,19,21,25,26,33,34 สสี ว่ นใหญท่ ่ีได้สีผวิ เนือ้ มนุษยจ์ ะไดส้ ีส้มเขม้ ไล่นำ้� หนักไปจนถึงเหลืองอมขาวไม่มสี ผี ิวสองสี และด�ำคลำ�้ แทน ชดุ ทดลองท่ี 4 สว่ นผสมของเนื้อดินมอ่ นเขาแกว้ เผาท่ีอุณหภมู ิ 900 Cํ ในบรรยากาศ RF ผวิ ขาวเหลอื งอมชมพู สตู รท2ี่ 4,32,40,41,50,51,61,62 ผิวนำ�้ ผึง้ สูตรที่11,12,17,18 สสี ว่ นใหญท่ ไี่ ดส้ ีผิวเนอ้ื มนษุ ย์ มีสผี วิ ขาวเหลอื งอมชมพู และสีผิวขาวอมเหลอื ง ชุดทดลองที่ 5 ส่วนผสมของเนอ้ื ดินเหลอื งเหมืองกุง เผาที่อณุ หภมู ิ 1000 Cํ ในบรรยากาศ OF ผิวขาวเหลืองอมชมพู สตู รท1่ี 3,19,26 สผี ิวขาวนำ้� ผึง้ สูตรที่34,43,53 สสี ว่ นใหญ่ท่ีได้สผี วิ เนอ้ื มนษุ ย์เป็นขาวเหลอื งอมชมพแู ละสผี ิวขาวน�้ำผง้ึ ชดุ ทดลองท่ี 6 สว่ นผสมของเนอ้ื ดินเหลอื งเหมอื งกงุ เผาทอี่ ณุ หภมู ิ 1000 Cํ ในบรรยากาศ RF สผี วิ ขาวอมเหลอื ง สตู รที่16,23,31,40 สีผวิ ขาวน้ำ� ผงึ้ สูตรท่ี 29,37,38,46 สีสว่ นใหญท่ ไ่ี ด้สีผวิ เน้ือมนุษย์ มสี ีผิวขาวอมเหลอื งและสีผิวขาวน�ำ้ ผ้ึง 51 “องค์ความรู้สภู่ าคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ชดุ ทดลองท่ี 7 สว่ นผสมของเนื้อดนิ มอ่ นเขาแกว้ เผาท่อี ณุ หภูมิ 1000 ํC ในบรรยากาศ OF ผิวขาวเหลอื งอมชมพ ู สตู รท่ี 14,15,19,20,26,27,34,35 สสี ว่ นใหญท่ ไ่ี ด้สีผวิ เนือ้ มนษุ ย์ได้ผิวขาวเหลอื งอมชมพู ชดุ ทดลองที่ 8 สว่ นผสมของเนอ้ื ดินมอ่ นเขาแก้ว เผาทอ่ี ณุ หภมู ิ 1000 Cํ ในบรรยากาศ RF ผวิ ขาวอมเหลือง สูตรท่ี 12,13,18,19,25 ผิวน้ำ� ผ้ึง สตู รท่ี 11,17,24 สีสว่ นใหญท่ ไ่ี ด้สผี วิ เน้ือมนษุ ย์ มีสีผิวขาวอมเหลอื งและสผี ิวขาวน�้ำผึง้ ชุดทดลองที่ 9 สว่ นผสมของเนอ้ื ดินเหลืองเหมอื งกงุ เผาท่ีอุณหภมู ิ 1150 Cํ ในบรรยากาศ OF ผิวขาวอมเหลอื ง สตู รที2่ 6,27,34,35,43,44,53,54, ผวิ น้�ำผง้ึ สูตรท1ี่ 8,25,33,42 สีสว่ นใหญ่ทไ่ี ดส้ ผี วิ เนอ้ื มนษุ ย์ มสี ีผวิ ขาวอมเหลอื งและสผี ิวขาวน�้ำผ้ึง ชุดทดลองท่ี 10 ส่วนผสมของเนอ้ื ดินเหลอื งเหมอื งกงุ เผาทอี่ ุณหภมู ิ 1150 Cํ ในบรรยากาศ RF ผิวด�ำ สตู รท2่ี 2,27,28,29,30,46,47,56 สีสว่ นใหญ่ที่ไดส้ ผี วิ เนือ้ มนษุ ย์ มีสผี ิวดำ� ชุดทดลองท่ี 11 ส่วนผสมของเนื้อดนิ ม่อนเขาแกว้ เผาท่อี ณุ หภมู ิ 1150 Cํ ในบรรยากาศ OF ผวิ ขาวอมเหลอื ง สูตรที1่ 4,20,27,35,44 ผวิ น�้ำผ้งึ สูตรท1ี่ 9,26, 34 สีส่วนใหญท่ ี่ไดส้ ผี ิวเน้ือมนษุ ย์จะมีขาวอมเหลอื ง และผวิ สองสหี รือสีน�้ำผ้งึ ชดุ ทดลองท่ี 12 ส่วนผสมของเนือ้ ดินม่อนเขาแกว้ เผาทอี่ ณุ หภมู ิ 1150 ํC ในบรรยากาศ RF ผวิ นำ�้ ผงึ้ สตู รที่15 ผวิ คล�้ำ,ผิวแทน สตู รท่4ี 1,50 ผิวดำ� สตู รที2่ 2,23,30, 55,56 สีสว่ นใหญท่ ไ่ี ดส้ ผี ิวเนอ้ื มนุษย์ มีสผี วิ ด�ำ ชุดทดลองท่ี 13 สว่ นผสมของเน้อื ดินเหลอื งเหมอื งกงุ เผาทอ่ี ุณหภมู ิ 1200oC ในบรรยากาศ OF ผวิ ขาวเหลอื ง สูตรที1่ 9,26,34,43,53 ผวิ น้ำ� ผง้ึ สตู รที่ 25,33,42,52 ผวิ คล�้ำ,ผิวแทน สูตรท่ี 22,23,29,30,31 ผวิ ด�ำ สูตรท่5ี 6 สีส่วนใหญ่ทไ่ี ด้สีผิวเนอ้ื มนษุ ย์ มีสีผวิ ขาวอมเหลือง สีผวิ นำ�้ ผึ้ง สผี วิ คล้�ำ “องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชน” 52มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ชุดทดลองที่ 14 สว่ นผสมของเน้อื ดนิ เหลอื งเหมืองกงุ เผาที่อุณหภมู ิ 1200 ํC ในบรรยากาศ RF ผิวคล�ำ้ , ผิวแทน สูตรท่ี16,23,31,40,50,61,62 ผวิ ด�ำ สูตรท่ี 46,47,56,57,58 สสี ่วนใหญ่ที่ได้สีผวิ เนอื้ มนษุ ย์ มสี ีผิวดำ� และ สีผิวคลำ้� ชุดทดลองที่ 15 ส่วนผสมของเนื้อดินมอ่ นเขาแกว้ เผาที่อุณหภมู ิ 1200 ํC ในบรรยากาศ OF ผิวขาวอมเหลือง สตู รที4่ ,8,13,19 ผวิ คล�ำ้ ,ผวิ แทน สตู รท1ี่ 7,24,32,41 สีสว่ นใหญท่ ี่ไดส้ ผี วิ เนอ้ื มนุษย์ของเนอ้ื ดินออกผิวขาวอมเหลอื ง,ผวิ สองสแี ละคลำ้� แทน ชุดทดลองท่ี 16 ส่วนผสมของเนอื้ ดนิ มอ่ นเขาแกว้ เผาทอ่ี ณุ หภูมิ 1200 Cํ ในบรรยากาศ RF ผิวคล�้ำ,ผิวแทน สตู รที่17,18,24,25,32,33,41,42 ผิวดำ� สตู รท2ี่ 2,23,30,31,39,40 สสี ่วนใหญท่ ่ไี ด้สีผิวเนอ้ื มนุษย์ มสี ผี วิ คล้ำ� และสีผิวดำ� ชดุ ทดลองท่ี 17 ส่วนผสมของเนื้อดนิ เหลืองเหมืองกงุ เผาท่ีอุณหภูมิ 1230 ํC ในบรรยากาศ OF ผวิ คล�ำ้ ,ผวิ แทน สตู รท2่ี 2,29,30,37,38,47,48 สสี ่วนใหญ่ทไี่ ดท้ ี่ไดส้ ีผวิ เนอ้ื มนุษยค์ ือผิว สคี ลำ�้ แทน ชุดทดลองท่ี 18 สว่ นผสมของเนอ้ื ดนิ เหลืองเหมืองกงุ เผาที่อณุ หภูมิ 1230 ํC ในบรรยากาศ RF สผี ิวด�ำ สตู รท่3ี 7,46,56 สสี ว่ นใหญท่ ไ่ี ดท้ ่ไี ดส้ ีผิวเนื้อมนุษยค์ อื สผี ิวด�ำ ชุดทดลองท่ี 19 สว่ นผสมของเนือ้ ดนิ ม่อนเขาแก้ว เผาทอี่ ุณหภูมิ 1230 ํC ในบรรยากาศ OF ผิวคล�ำ้ ,ผิวแทน สตู รที่16,17,23,24,31,32 สีสว่ นใหญท่ ี่ไดส้ ผี ิวเน้อื มนษุ ยค์ อื สี ผวิ คลำ�้ แทน ชดุ ทดลองที่ 20 ส่วนผสมของเนือ้ ดินม่อนเขาแกว้ เผาท่ีอุณหภมู ิ 1230 Cํ ในบรรยากาศ RF ผิวด�ำ สูตรท่2ี 9,37,38,46,50 สีส่วนใหญ่ท่ีไดส้ ีผวิ เนื้อมนษุ ยค์ อื สีผวิ ด�ำ 53 “องค์ความร้สู ่ภู าคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
วธิ ีการคำ� นวณสตู รดิน จากตารางสามเหล่ียม ให้คำ� นวณตามลกู ศร เช่น สูตรที่ 18 ใชด้ นิ ขาว 50 ใชด้ ินด�ำ 20 และใช้ดินแดง 30 คือดนิ ทกุ สตู รตอ้ งรวมกันแล้วให้ได้ 100 ตวั อย่างสูตร ดนิ เหลืองเหมืองกุง สีผิวขาวอมชมพู ชุดทดลองที่1 สูตรที่ 13 เผาอณุ หภมู ิ 900 °C บรรยากาศ OF ดนิ ดำ� 20% ดนิ เหลืองเหมอื งกงุ 20% ดินขาว 60% “องค์ความรู้สภู่ าคประชาชน” 54มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ชดุ ท่ี 5 สูตรที่ 13 เผาอุณหภมู ิ 1000 °C ชดุ ทดลองท่ี 5 สูตรท่ี 19 เผาอุณหภมู ิ 1000 °C บรรยากาศ OF บรรยากาศ OF ดินด�ำ 20% ดินดำ� 50% ดินเหลืองเหมืองกุง 20% ดินเหลืองเหมอื งกงุ 20% ดนิ ขาว 60% ดินขาว 30% ตวั อยา่ งสูตร ดินแดงมอ่ นเขาแกว้ สผี วิ ขาวอมชมพู ชดุ ทดลองท่ี 3 สตู รที่ 34 เผาอุณหภูมิ 900 °C บรรยากาศ OF ดินด�ำ 50% ดินแดงมอ่ นเขาแกว้ 20% ดินขาว 30% 55 “องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ชุดท่ี 4 สูตรท่ี 24 เผาอุณหภมู ิ 900 °C ชุดท่ี 7 สูตรที่ 14 เผาอุณหภูมิ 1000 °C บรรยากาศ RF บรรยากาศ OF ดินด�ำ 20% ดนิ ดำ� 30% ดินแดงมอ่ นเขาแก้ว 40% ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 10% ดนิ ขาว 40% ดินขาว 60% ตัวอย่างสูตร ดินเหลอื งเหมืองกงุ สผี ิวขาวอมเหลือง ชุดทดลองที่2 สูตรท2ี่ 9เผาอณุ หภมู ิ 900 °C บรรยากาศ RF ดินดำ� 0% ดินเหลอื งเหมอื งกงุ 70% ดนิ ขาว 30% “องค์ความรู้สูภ่ าคประชาชน” 56มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ชุดท่ี 9 สูตรที่ 26 เผาอณุ หภมู ิ 1150 °C ชดุ ท่ี 13 สูตรที่ 19 เผาอุณหภมู ิ 1200 °C บรรยากาศ OF บรรยากาศ OF ดนิ ด�ำ 40% ดินด�ำ 30% ดินเหลอื งเหมืองกุง 20% ดินเหลอื งเหมืองกุง 20% ดินขาว 40% ดนิ ขาว 50% ตวั อยา่ งสตู ร ดินแดงม่อนเขาแก้ว สผี วิ ขาวอมเหลือง ชดุ ทดลองท่ี 4 สูตรที่ 11 เผาอุณหภมู ิ 900 °C บรรยากาศ RF ดินดำ� 0% ดินแดงม่อนเขาแก้ว 40% ดินขาว 60% 57 “องคค์ วามร้สู ภู่ าคประชาชน” มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ชดุ ที 8่ สตู รท่ี 12 เผาอณุ หภูมิ 1000 °C ชดุ ที่ 11สตู รท่ี14 เผาอณุ หภูมิ 1150 °C บรรยากาศ R บรรยากาศ OF ดินดำ� 10% ดินดำ� 30% ดนิ แดงม่อนเขาแกว้ 30% ดนิ แดงมอ่ นเขาแกว้ 10% ดนิ ขาว 60% ดินขาว 60% ตัวอยา่ งสตู ร ดนิ เหลอื งเหมอื งกุง สผี วิ ขาวน้ำ� ผึ้ง ชดุ ทดลองที 2่ สูตรที่ 37 เผาอณุ หภมู ิ 900 °C บรรยากาศ RF ดินด�ำ 0% ดินเหลืองเหมอื งกุง 80% ดนิ ขาว 20% “องค์ความรูส้ ่ภู าคประชาชน” 58มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ชุดที่ 5 สูตรที่ 34เผาอุณหภมู ิ 1000 °C ชุดที่9สูตรที่ 18 เผาอุณหภมู ิ 1150 °C บรรยากาศ OF บรรยากาศ OF ดนิ ดำ� 50% ดนิ ด�ำ 20% ดินเหลอื งเหมืองกงุ 20% ดินเหลืองเหมืองกุง 30% ดินขาว 30% ดินขาว 50% ตัวอย่างสตู ร ดนิ แดงม่อนเขาแกว้ สีผวิ ขาวน้�ำผง้ึ ชุดทดลองท่ี 8 สตู รที่ 11เผาอุณหภูมิ 1000 °C บรรยากาศ RF ดินดำ� 0% ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 40% ดินขาว 60% 59 “องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ชุดที่ 11 สูตรที่ 19 เผาอณุ หภูมิ 1150 °C ชุดท่ี 13สตู รท่ี 25 เผาอุณหภมู ิ 1200 °C บรรยากาศ OF บรรยากาศ OF ดินด�ำ 30% ดินดำ� 30% ดนิ แดงม่อนเขาแกว้ 20% ดนิ แดงมอ่ นเขาแก้ว 30% ดินขาว 50% ดนิ ขาว 40% ตัวอยา่ งสตู ร ดินเหลอื งเหมอื งกุง สีผิวคล�้ำ หรอื สีผวิ แทน ชดุ ทดลองที่14 สูตรที่16เผาอุณหภมู ิ 1200 °C บรรยากาศ RF ดนิ ด�ำ 0% ดนิ เหลอื งเหมอื งกงุ 50% ดนิ ขาว 50% “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชน” 60มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ชดุ ท1ี่ 7 สูตรท่ี 22 เผาอุณหภมู ิ 1230 °C ชุดที1่ 7สูตรที่ 29 เผาอณุ หภูมิ 1230 °C บรรยากาศ OF บรรยากาศ OF ดนิ ด�ำ 0% ดนิ ด�ำ 50% ดนิ เหลอื งเหมอื งกุง 60% ดนิ เหลอื งเหมืองกงุ 20% ดินขาว 40% ดนิ ขาว 30% ตวั อยา่ งสูตร ดินแดงมอ่ นเขาแก้ว สีผิวคลำ้� หรอื สผี ิวแทน ชดุ ทดลองท่ี 12 สูตรที่ 41 เผาอณุ หภมู ิ 1150 °C บรรยากาศ OF ดินด�ำ 40% ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 40% ดนิ ขาว 20% 61 “องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ชุดท่ี 16สูตรท่1ี 7 เผาอุณหภมู ิ 1200 °C ชดุ ท่ี 19สตู รที่ 16เผาอณุ หภมู ิ 1230 °C บรรยากาศ RF บรรยากาศ OF ดินดำ� 10% ดินดำ� 0% ดนิ แดงมอ่ นเขาแกว้ 40% ดนิ แดงมอ่ นเขาแก้ว 50% ดินขาว 50% ดนิ ขาว 50% ตวั อย่างสตู ร ดินเหลอื งเหมืองกุง สีผวิ ดำ� ชุดทดลองท1่ี 0 สตู รที่ 22 เผาอุณหภูมิ 1150 °C บรรยากาศ RF ดนิ ด�ำ 0% ดินเหลอื งเหมอื งกงุ 60% ดินขาว 40% “องค์ความรสู้ ภู่ าคประชาชน” 62มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ชุดที่ 14 สูตรท่ี 46 เผาอุณหภูมิ 1200 °C ชุดที่ 18 สูตรที่ 37 เผาอุณหภมู ิ 1230 °C บรรยากาศ RF บรรยากาศ RF ดนิ ด�ำ 0% ดินดำ� 50% ดินเหลอื งเหมืองกุง 90% ดนิ เหลืองเหมืองกงุ 20% ดนิ ขาว 10% ดินขาว 30% ตัวอย า่ งสตู ร ดินแดงม่อนเขาแก้ว สีผวิ ดำ� ชุดทดลองท่ี 12 สูตรท่ี 22 เผาอุณหภมู ิ 1150 °C บรรยากาศ RF ดินดำ� 0% ดินแดงม่อนเขาแก้ว 60% ดนิ ขาว 40% 63 “องค์ความรูส้ ภู่ าคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ชดุ ที่ 16 สตู รที่ 22 เผาอุณหภมู ิ 1200 °C ชดุ ท่ี 20 สตู รที่ 29 เผาอุณหภูมิ 1230 °C บรรยากาศ RF บรรยากาศ RF ดินด�ำ 0% ดินด�ำ 0% ดนิ แดงมอ่ นเขาแก้ว 60% ดนิ ขาว 40% ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 70% ดินขาว 30% ข้นั ตอนการผลิตตุก๊ ตาจากเน้อื ดินสี 1. เลอื กสตู รสดี ินทีต่ ้องการผลติ ตุก๊ ตาจากตารางสามเหลยี่ ม โดยสตู รนัน้ ต้องรวมกนั ใหไ้ ด้ 100 % 2.เตรียมดินส�ำหรับขึ้นรูปช้ินงาน โดยการน�ำดินผงแต่ละชนิดท่ีท�ำการบดและร่อนเรียบร้อยแล้วมาช่ัง ปริมาณตามสูตร จากนน้ั นำ� ดนิ ทไ่ี ดน้ ำ� มาผสมรวมกนั ใสน่ ำ�้ พอประมาณแลว้ นวดใหเ้ ขา้ กนั เปน็ กอ้ นสำ� หรบั ขนึ้ รปู ดว้ ยวธิ อี ดั ภาพแสดงการผสมสูตรเนื้อดินโดยกวนผสมใหเ้ ข้ากันและทำ� หลมุ แชน่ ้�ำใหเ้ นื้อดินดูดซมึ น้ำ� เขา้ ไป “องค์ความร้สู ่ภู าคประชาชน” 64มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
ภาพแสดงการปั้นดนิ เป็นกอ้ นแล้วนวดดนิ ใหเ้ ข้ากนั 3. สรา้ งต้นแบบด้วยดินเหนยี วหรอื ปนู ปลาสเตอร์ 65 “องค์ความรู้ส่ภู าคประชาชน” มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
4. ถอดแมพ่ มิ พป์ ูนปลาสเตอรจ์ ากต้นแบบดนิ เหนียว ตดั แบ่งต้นแบบเพอ่ื ใหง้ ่ายในการถอดแม่พิมพ์ แลว้ จงึ กำ� หนดจ�ำนวนพิมพโ์ ดยขดี แบ่งพิมพไ์ ม่ใหต้ ดิ ล็อค ใช้ดินด�ำกัน้ ตามเส้นทีข่ ีดแบ่งพิมพ์ไวโ้ ดยใหห้ ่างจากต้นแบบประมาณ 3 เซนตเิ มตร แล้วใช้เหล็กขดู ทำ� คีย์ล๊อคพมิ พ์ “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชน” 66มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ผสมปูนปลาสเตอรก์ วนให้เข้ากนั แลว้ ใช้แปรงทาเกบ็ รายละเอียดบนต้นแบบแล้วพอกปนู ใหม้ คี วามหนาตามตอ้ งการโดยให้มี ความหนาประมาณ 3 เซนติเมตรจากตน้ แบบ หลังจากปูนแข็งตัวแล้วเอาดินออกแต่งขอบพิมพ์ใช้ดินก้ันพิมพ์อีกชิ้นตามที่แบ่งแม่พิมพ์ไว้ ท�ำคีย์ล็อค แล้วทาน�้ำสบู่ด้านที่เป็น ปนู ปลาสเตอรเ์ พือ่ กน้ั ไมใ่ ห้ปนู ปลาสเตอร์ตดิ กัน 67 “องคค์ วามร้สู ู่ภาคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
พอกปูนใหค้ รบตามพมิ พท์ ี่แบ่งไวห้ ลังจากน้ันแต่งพิมพ์ให้สวยงาม ปาดแตง่ ขอบดา้ นขา้ งแลว้ ใชม้ ดี คอ่ ยๆงดั ขยบั พมิ พ์ออกทลี ะชน้ิ หลงั จากนั้นเอาดินออกแลว้ ทำ� ความสะอาดแม่พมิ พ์ 5.นำ� ดนิ ทน่ี วดแลว้ ขึน้ รูปชน้ิ งานโดยการอัดลงในแบบพมิ พ์ “องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชน” 68มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
6. เมื่ออดั ขึน้ รปู เสรจ็ แล้วทิ้งไว้สักครู่แลว้ แกะแม่พมิ พอ์ อก 7. เชอื่ มต่อส่วนประกอบต่างๆแลว้ ตกแต่งรายละเอยี ดต่างๆของตุ๊กตา 8. ทง้ิ ไว้ใหแ้ หง้ หรือเข้าเตาอบแลว้ น�ำไปเผาตามอุณหภูมิและบรรยากาศการเผาตามท่กี �ำหนดไว้ 69 “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ตัวอย่างช้ินงานส�ำเร็จจากเน้ือดินสีเลียนแบบสีผิวเน้ือมนุษย์ สีผิวขาวเหลือง อมชมพู 900°C OF สูตรท่ี15 0% ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 40% ดนิ ด�ำแมร่ มิ 60% ดนิ ขาวลำ� ปาง ภาพท่ี 45 แสดงชิน้ งาน900°C บรรยากาศ OF ได้สผี วิ ขาวเหลอื งอมชมพู 1000°C OF สตู รที่20 ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 10% ดินดำ� แมร่ มิ 40% ดนิ ขาวลำ� ปาง 50% ภาพท่ี 46 แสดงชนิ้ งาน1000°C บรรยากาศ OF ไดส้ ีผวิ ขาวเหลืองอมชมพู “องค์ความรสู้ ู่ภาคประชาชน” 70มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ตวั อยา่ งชน้ิ งานสำ� เรจ็ จากเนอื้ ดนิ สเี ลยี นแบบสผี วิ เนอ้ื มนษุ ย์ สผี วิ ขาวอมเหลอื ง 900°C RF สูตรที่ 40 ดินแดงมอ่ นเขาแก้ว 50% ดนิ ดำ� แม่ริม 30% ดินขาวลำ� ปาง 20% ภาพที่ 47 แสดงชิ้นงาน900°C บรรยากาศ RF ไดส้ ีผิวขาวอมเหลอื ง 900°C OF สูตรที่ 35 10% ดนิ แดงม่อนเขาแกว้ 60% 30% ดินด�ำแม่ริม ดนิ ขาวล�ำปาง ภาพที่ 48 แสดงช้ินงาน1150°C บรรยากาศ OF ได้สีผิวขาวอมเหลือง 71 “องคค์ วามรสู้ ู่ภาคประชาชน” มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
ตัวอย่างชน้ิ งานส�ำเร็จจากเนือ้ ดนิ สีเลียนแบบสีผวิ เนือ้ มนษุ ย์ สผี วิ นำ�้ ผ้ึง 900°C RF สตู รที่ 16 ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 50% ดนิ ด�ำแม่ริม % ดินขาวล�ำปาง 50% ภาพที่ 49 แสดงชิน้ งาน900°C บรรยากาศ RF ได้สผี ิวนำ�้ ผง้ึ ตวั อยา่ งชนิ้ งานสำ� เรจ็ จากเนอื้ ดนิ สเี ลยี นแบบสผี วิ เนอื้ มนษุ ย์ สผี วิ คลำ�้ หรอื สแี ทน 1200°C OF สตู รท1่ี 2 ดนิ แดงม่อนเขาแก้ว 30% ดนิ ด�ำแม่รมิ 10% ดินขาวลำ� ปาง 60% ภาพที่ 50 แสดงชิ้นงาน1200°C บรรยากาศ OF ไดส้ ผี ิวคล�ำ้ หรือสีแทน “องคค์ วามรูส้ ภู่ าคประชาชน” 72มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
ตวั อยา่ งชิน้ งานส�ำเรจ็ จากเนอื้ ดนิ สีเลียนแบบสผี ิวเน้ือมนษุ ย์ สผี ิวด�ำ ภาพท่ี 51 แสดงชิ้นงาน1200°C บรรยากาศ RF ไดส้ ีผวิ ดำ� 1200°C RF สตู รท่ี 23 1200°C RF สตู รที่ 22 60% ดนิ แดงม่อนเขาแกว้ 50% ดนิ เหลอื งเหมอื งกุง % ดนิ ด�ำแมร่ ิม 10% ดนิ ดำ� แมร่ มิ ดนิ ขาวล�ำปาง 40% ดินขาวลำ� ปาง 40% ภาพท่ี 52 แสดงภาพรวมสีผวิ ด�ำ สผี วิ คล้�ำแทน สผี ิวนำ้� ผึ้ง สีผวิ ขาวอมเหลือง สผี วิ ขาวเหลืองอมชมพู 73 “องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การติดตามประเมนิ ผลโครงการ 1.ประเมนิ จากสูตรเนอ้ื ดนิ สีตกุ๊ ตาเซรามกิ ที่ชมุ ชนสามารถนำ� ไปใช้ในการผลติ งานได้ 2.ประเมินจากความหลากหลายของ ผลิตภัณฑ์ชุมชน 3.ประเมนิ จากชุมชนตอ่ ชมุ ชน และนกั ศกึ ษา ผลท่คี าดวา่ จะไดร้ บั ผลผลติ (output) 1. ได้ผลงานวิจัยเนื้อดินสีตุ๊กตาเซรามิกที่ชุมชน สามารถนำ� ไปใช้ในการผลิตงานได้ 2. ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีความหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกใหก้ ับผบู้ ริโภค 3. ได้บูรณาการองค์ความรู้ระหว่างชุมชนต่อชุมชน รวมทั้งการเรยี นการสอน ผลลัพธ์ (outcome) 1. น�ำผลงานวิจัยและพัฒนาเน้ือดินสีตุ๊กตาเซรามิก ส า ม า ร ถ ถ ่ า ย ท อ ด เ ท ค โ น โ ล ยี ใ ห ้ กั บ ผู ้ ผ ลิ ต เครื่องปั้นดินเผาพ้ืนบ้าน โอทอปกอยก่อนกะและ ชมุ ชนตุ๊กตาบ้านป่าตาล 2. ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนมคี วามหลากหลาย อนั จะเปน็ การ เพิม่ มูลคา่ ใหก้ บั ผลติ ภัณฑ์ชุมชน 3. มหาวิทยาลัยฯ นักศึกษา ชุมชนต่อชุมชน ได้ บูรณาการองค์ความรู้ระหว่างกันจะเป็นการสร้าง เครือขา่ ยใหก้ ว้างขวางมากย่ิงข้นึ 6.3 ผลกระทบท่ีเกิดข้นึ (impact) 1. ผลจากการถ่ายทอดเทคโนโลยี งานวิจัยวิจัย และพัฒนาเนื้อดินสีตุ๊กตาเซรามิกสู่ชุมชน ชุมชน สามารถน�ำไป ผลิตงานเพื่อการพาณิชย์ และสามารถพัฒนาต่อยอดเองได้ภายหลังเสร็จ สิ้นโครงการ 2. ผลิตภัณฑช์ ุมชนมคี วามหลากหลาย สามารถเพิม่ มูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน และเพิ่มส่วนแบ่ง ทางการตลาดชุมชนได้ 3. เกิดเครือขา่ ยชมุ ชนทีก่ ว้างขวางมากย่งิ ขึ้น รวมทง้ั นักศกึ ษาได้เรียนรู้จากการปฏบิ ัตจิ รงิ “องคค์ วามรู้สู่ภาคประชาชน” 74มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
75 “องค์ความรู้สูภ่ าคประชาชน” มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ค�ำถามยอดฮิตคู่คดิ มติ รชุมชน ถาม : ดนิ ทีม่ ที รายผสมอยู่สามารถขน้ึ รูปดว้ ยการ ถาม : ดนิ ทมี่ ีทรายปนสามารถผลติ ตกุ๊ ตาเซรามิก อัดจากแมพ่ ิมพ์ไดห้ รอื ไม่ ? ไดห้ รือไม่ ? ตอบ : ได้ แต่อายุการใช้งานของพิมพ์น้ันจะส้ันลง ตอบ : ได้ แตถ่ า้ เผาในอณุ หภมู สิ งู ทรายจะหลอมตวั เกดิ เพราะเมด็ ทรายท�ำให้แม่พมิ พ์สึกไดเ้ รว็ เปน็ จุดๆ ทำ� ใหเ้ กิดต�ำหนใิ นช้นิ งานได้ ถาม : สตู รเนอ้ื ดนิ สตี กุ๊ ตาทไี่ ดส้ ามารถน�ำไปขนึ้ รปู ถาม : ชิ้นงานตุก๊ ตาตัวใหญ่ทำ� ไมต้องผา่ นการอบ ดว้ ยการหลอ่ ได้หรอื ไม่ฦฃ ? ก่อนเผาทกุ ครง้ั ? ตอบ : ได้ แต่ต้องดูปริมาณของดินแต่ละสูตร หากใช้ ตอบ : เพราะงานช้ินใหญน่ ้นั ต้องให้แหง้ สนทิ ก่อนการ สูตรท่ีมีดินแดงและดินด�ำมากกว่าดินขาวจะท�ำให้ดิน เผา มิเช่นนนั้ เวลาเผาอาจท�ำให้ชิ้นงานแตกเสยี หายได้ มีความหนืดสูงเพราะมีความเหนียวมาก ต้องใช้ระยะ เวลาในการหล่อนาน ถาม : การทำ� พมิ พต์ กุ๊ ตาเซรามกิ นนั้ ใชต้ น้ แบบจาก ไม้ ได้หรอื ไม่ ? ตอบ : ไดแ้ ตต่ อ้ งใชแ้ บง่ พมิ พไ์ มใ่ หต้ ดิ ลอ๊ คและใชน้ �้ำสบู่ และวาสลนี ทาเพื่อใหแ้ มพ่ ิมพ์ไม่ตดิ กับตน้ แบบ “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชน” 76มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
สอบถามองคค์ วามรเู้ พิ่มเติม สถานท่ีติดต่อ : สาขาเทคโนโลยีเซรามกิ คณะศลิ ปกรรมและ สถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา ถ.ห้วยแกว้ ต.ชา้ งเผอื ก อ.เมือง เชยี งใหม่ โทรศพั ท์ 053-414250 โทรสาร 053-414253 หรอื ตดิ ตอ่ โดยตรงท่ี : อ.ธานี อดศิ ัยพัฒนะกลุ โทรศพั ท์ 086-7289007 E- mail:[email protected] 77 “องค์ความรสู้ ู่ภาคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
องคค์ วามร้เู พ่ือการเผยแพร่ การซอ่ มบำ� รงุ เครือ่ งจักร กลทางการเกษตร และ เครือ่ งยนต์เล็ก
องค์ความรูเ้ พื่อการเผยแพร่ การซ่อมบำ� รุงเคร่ืองจักรกลทางการเกษตร และเครือ่ งยนต์เล็ก ทม่ี าและวัตถปุ ระสงค์ ต�ำบลแม่วินมีลักษณะเป็นภูเขาสูงประชาชนในพ้ืนท่ีส่วนใหญ่ท�ำการ เกษตรกรรมโดยได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชเมืองหนาว ซ่ึงจะมีพ้ืนที่ท�ำการ เกษตรเปน็ ลกั ษณะเปน็ ทล่ี าดชนั และเปน็ พน้ื ทหี่ า่ งจากอำ� เภอแมว่ างและตำ� บล บา้ นกาดประมาณ50 กโิ ลเมตรและเสน้ ทางในการสนั จรเปน็ ไปอยา่ งยากลำ� บาก เกษตรกรในพนื้ ทใ่ี หญไ่ ดน้ ำ� เครอ่ื งจกั รกลเกษตรเขา้ มาทดแทนแรงงานและเพมิ่ ผลผลิต เคร่ืองจักรกลเกษตรส่วนใหญ่ที่เกษตรเครื่องจักรกลเกษตรขนาดเล็ก ท่ีเกษตรกรสามารถหาซื้อได้ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สูงนักถ้าเกษตรกรได้รับการ ถ่ายทอดความรู้และเทคนิคในการซ่อมบ�ำรุงก็สามารถซ่อมบ�ำรุงด้วยตัวเองได้ ดังน้ันทางกลุ่มงานบริการวิชาการและงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลลา้ นนาจงึ เลอื กเปน็ พนื้ ทเี่ ปา้ หมายในการเผยแพรง่ านวจิ ยั และเทคนคิ การ ซ่อมบ�ำรงุ “องคค์ วามรสู้ ภู่ าคประชาชน” 80มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
วิธีการถา่ ยทอดความรู้ ถ่ายทอดหลักการพน้ื ฐานเก่ียวกับเครือ่ งยนต์ ชนดิ ของเครือ่ งยนต์ ส่วนประกอบต่างๆของ เครือ่ งยนต์ กลวตั รของเครอ่ื งยนต์ 1.เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน เคร่อื งยนตเ์ ผาไหมภ้ ายใน ดงั รปู ที่ 1 ได้แก่เครอ่ื งยนต์ท่สี ามารถเปล่ยี นพลงั งานความร้อน อนั เกดิ จากการเผาไหมข้ องเชอ้ื เพลงิ ภายในกระบอกสบู มาเปน็ พลงั งานกลได้ เครอ่ื งยนตด์ งั กลา่ วน้ี ได้แก่ เคร่อื งยนตแ์ กส๊ โซลนี เครือ่ งยนตแ์ กส๊ เหลว เคร่อื งยนต์ดเี ซล และเครอ่ื งยนต์โรตาร่ีเป็นต้น เคร่อื งยนต์เผาไหม้ภายในมวี ธิ ีการจำ� แนกออกไดเ้ ปน็ 3 วิธี คือ 1. เครอ่ื งยนตจ์ ำ� แนกตามระบบระบายความรอ้ น (classification by cooling) 2. เครอ่ื งยนต์จำ� แนกตามจงั หวะการทำ� งาน (classification by cycle) 3. เครื่องยนต์จ�ำแนกตามลักษณะการใช้เช้ือเพลงิ (classification by fuel) 1.1 เครื่องยนต์จ�ำแนกตามระบบระบายความรอ้ น เคร่ืองยนตส์ ามารถจ�ำแนกออกตามระบบระบายความรอ้ นไดเ้ ป็น 2 ชนิด คอื 1. เครือ่ งยนตร์ ะบายความร้อนดว้ ยอากาศ (air cooled engine) 2. เครื่องยนต์ระบายความร้อนดว้ ยของเหลว (liquid cooled engine) 1.2เคร่ืองยนตจ์ ำ� แนกตามลักษณะการใช้เช้อื เพลิง เคร่อื งยนต์สามารถจำ� แนกออกตามลกั ษณะการใชเ้ ช้อื เพลงิ ได้เปน็ 3 ชนิด คือ 1. เคร่ืองยนตแ์ ก๊สโซลีน (gasoline engine) 2. เครอ่ื งยนตแ์ ก๊สเหลว (liquified petroleum gas engine) 3. เคร่ืองยนตด์ ีเซล (diesel engine) 81 “องค์ความรสู้ ู่ภาคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
2.ส่วนการถอดประกอบของเคร่อื งยนต์ 2.1 การเตรียมเครอ่ื งยนต์ 1. ใช้ลมเป่าท�ำความสะอาดเครื่องเอาฝุ่นผงคราบ ตา่ งๆออกและสว่ นท่สี กปรกมาก ๆใหล้ ้างด้วยนำ�้ 2. ถ่ายน้�ำมันเคร่ืองออกจากเคร่ืองให้หมดโดยคลาย น๊อตทีท่ อ้ งอา่ งเครื่องยนต์ 3. ถา่ ยนำ�้ มนั เชอื้ เพลงิ ออกจากถงั บรรจนุ ำ้� มนั เชอื้ เพลงิ 2.2 การถอดส่วนประกอบภายนอก ถังน�้ำมัน ฝาครอบเครอื่ งต่างๆ 1. ถอดถงั นำ้� มนั ถอดสายนำ�้ มนั ทตี่ อ่ ไปยงั คารบ์ เู รเตอร์ ออก คลายนอ๊ ตใตถ้ งั นำ�้ มนั ทง้ั 4 ตวั ออกถงึ ถงั นำ้� มนั ข้ึน 2. คารบ์ เู รเตอร์ ถอดนอ๊ ตยดึ คารบ์ เู รเตอรข์ นาด 10 mm พรอ้ มถอดคั่นเรง่ และชุดลอ็ คขา กาวานา 3. หม้อพักไอเสีย ใช่น�้ำมันเคร่ืองหยอดท่ีน๊อตท่อพัก ไอเสียแล้วคลายน๊อตยึดหม้อพักไอเสียออกแล้วจึง ถอดหมอ้ พักไอเสยี ออก 2.2.1 การถอดฝาสบู 1. คลายนอ๊ ตฝาสูบโดยเรมิ่ จากนอ๊ ตตัวกลางแลว้ มา คลายตวั ดา้ นขา้ งโดยให้ขนั น๊อตตัวท่อี ย่ตู รงข้าม กันโดยขนั ไลต่ ามหมายเลขที่แสดงดงั รูปโดยคลาย น๊อตเร่มิ จากหมายเลข็ 1-7 2. ถอดนอ๊ ตออกให้หมดทกุ ตวั 3. ใชค้ อ้ นพลาสตกิ เคาะเบารอบ ๆฝาสบู เพอื่ ใหฝ้ าสบู ขยบั ตวั 4. ถอดฝาสบู ออกมาท�ำความสะอาดลา้ งแลว้ เป่าให้ แหง้ “องค์ความรสู้ ่ภู าคประชาชน” 82มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
2.3เทคนิคการถอดลอ้ ชว่ ยแรง 1. .ถอดพดั ลมและมเู่ ลย่ ส์ ตารท์ เครื่องออก 2. ใชข้ าลอกลอ้ ชว่ ยแรงแลว้ คลายนอ๊ ต ยดึ ลอ้ ชว่ ยแรง ออกมาโดยตอ้ งจบั เครอื่ งและตวั ลอกลอ้ ชว่ ยแรงให้ มน่ั ถา้ ไมม่ ขี ายดึ ลอ้ ชว่ ยแรงอาจจะใชไ้ ขควงลอ๊ กลอ้ ชว่ ยแรงกับตัวเสอื้ สูบได้แต่เสื้อสูบอาจเสียหายได้ 3. ใส่ตัวลูกดูดสามขาดึงล้อช่วยแรงออกด้วยการขัน นอตขาลกู ดดู ให้เสมอกนั ท้ังสามตัว 4. ขันน๊อตลกู ดูดเพื่อดึงเอาลอ้ ชว่ ยแรงออกมา 5. ถา้ ไมอ่ อกใหใ้ ชค้ อ้ นทหี่ วั นอตลกู ดดู ซกั สอง-สามครง้ั เป็นการกระตนุ้ ใหล้ ้อช่ายแรงขยับตัว 83 “องค์ความรสู้ ู่ภาคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
2.4 การถอดแหวนลกู สูบ 1. ใหค้ ลายนอ๊ ตทีก่ ้านสบู ออก 2. ถอดประกบั กา้ นสบู โดยดทู ปี่ ระกรบั ลกู สบู วา่ มเี ครอื่ งหมายหรอื ไมถ่ า้ ไมม่ ใี หท้ ำ� เครื่องหมายโดยอาจใช่ไขควง หรือใบเลื่อยทำ� เครื่องหมายขีดไว้เพื่อกันการ ใส่กลบั ดา้ น 3. ดนั ลูกสบู ออกทางด้านบนตวั เครอ่ื ง • แหวนลูกสบู ประกอบแหวนอยู่สามตัวดว้ ยกัน • แหวนอดั ตวั ที่ 1 และ 2 เปน็ แหวนอดั ทำ� หนา้ ทใี่ นการบอ็ คไมใ่ หเ้ กดิ ชอ่ งวา่ ง ให้อากาศไหลย้อนลงมายังห้องเครือ่ ง • สว่ นตัวที่ 3 เป็นแหวนน้ำ� มนั ทำ� หนา้ ที่ปอ้ งกันน้�ำมนั ไม่ใหเ้ ข้าไปยงั ห้องเผา ไหม้ 2.5 วธิ ีการประกอบแหวนลูกสูบ 1. ท�ำความสะอาดแหวนลกู สบู และลูกสูบ 2.จัดปากแหวนให้อยูใ่ นทศิ ทางตรงกันข้ามโดยเฉพาะแหวนอดั 3.ใชล้ านรดั แหวน รัดแหวนใหแ้ นบกบั ตัวลกู สบู 4.ค่อยๆ ใส่ลกู สูบลงไปโดยใหม้ ารค์ ทห่ี วั ลูกสบู ชไ้ี ปที่ด้านท่มี วี าลว์ “องค์ความรสู้ ูภ่ าคประชาชน” 84มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
2.6 เทคนิคการถอดประกอบคาร์บูเรเตอร์ 1. เม่ือถอดสกร2ู ตัวออกแลว้ ใชม้ อื คลายฝาครอบลกู เรง่ ออก แลว้ ถอดสายน้�ำมนั สดี �ำ ในรปู ออก ถ้ามนี ำ้� มันอยใู่ นถังใหเ้ ตรยี มภาชนะรองรบั น�้ำมนั รปู ท่ี 1. ฝาครอบลกู เร่ง รปู ที่ 2. ลูกเรง่ และเข็มลูกเรง่ 2.เมอ่ื เปดิ ฝาลกู เรง่ ออกมาจะเหน็ ลกู เรง่ มสี ปรงิ ดนั อยู่ ดา้ นลา่ งของลกู เรง่ จะเปน็ เขม็ ลกู เร่งท่มี ลี ักษณะเรียวปลายดา้ นหนึ่งโตและคอ่ ยๆเรยี วเล็กลง รูปที่ 3. หางปลาถา่ ยน้�ำมันออกจากคาร์บเู รเตอร์ รปู ที่ 4. วาลว์ปดิ เปดิ น�ำ้ มัน 85 “องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชน” มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
หมนุ กรูปกี ผีเสอื้ หรือสกรูหางปลาไว้ถา่ ยน�้ำมนั ออกจากคารบ์ ูเรเตอร์ รูปท่ี 5.ซีลวาวล์ปิดเปดิ น�ำ้ มัน รปู ท่ี 6. รปู ท่ี 7. หอ้ งลูกลอย รปู ที่ 8. ลูกลอย รปู ท่ี 9. ชดุ ควบคมุ ปรมิ าณน�ำ้ มนั รปู ท่ี 10. นมหนู เมอ่ื ถอดชนิ้ สว่ นตา่ งๆ ของคารบ์ เู รเตอรอ์ อกมาหมดแลว้ ใหใ้ ชแ้ ปลงและน้�ำมนั ทำ� ความสะอาดใหห้ มดแลว้ ใชล้ มเปา่ ใหแ้ ห้ง สนทิ แล้วประกอบกลับเข้าทเี่ ดมิ “องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชน” 86มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
อาการและวธิ กี ารปรบั • ค่อยๆเร่งเครื่อง ถ้าเคร่ืองมีอาการส�ำลัก มีน�้ำมันพ่นออกปากคาร์บูฯมาก เคร่ืองดับ น้�ำมันท่วมลดนมหนู เมนลง 2-3 เบอร(์ เบอรล์ ะ10) • ถ้าสตารท์ เครอ่ื งไมต่ ิด ถ้าติดตอ้ งใช้โช้คตลอดเวลา ให้เพมิ่ นมหนเู มนอีก 1-2 เบอร์ ตดิ เครื่องได้แล้ว • อุ่นเครอื่ งสักหน่อย เรง่ เครอื่ ง 2-3คร้ังแลว้ บดิ สุด • เรง่ วอด เครื่องดับ ก่อนดบั มนี �ำ้ มนั พน่ ออกปากคารบ์ ูฯมาก ลดนมหนลู ง 2 เบอร์ การปรับเซค็ นมหนเู ดนิ เบา ต้ังเดนิ เบาให้รอบต่ำ� สดุ เทา่ ที่จะทำ� ได้(หา้ มปรบั สกรูอากาศ) • ปรับจนสุดรอบเครื่องไม่ต่�ำ เครื่องไม่ยอมดับ เวลาเร่งเบาๆมีอาการส�ำลัก ใหล้ ดนมหนเู ดินเบาลง 1 รอบ • เคร่ืองเร่งเดินเบาไม่ได้ แต่ไม่มีอาการส�ำลักเร่งเคร่ืองได้ เพ่ิมนมหนูเดินเบา 0.5 เบอร์ • เมอื่ นมหนเู ดนิ เบาได้ที ให้ขันสกรอู ากาศเข้า0.5 รอบ (น้�ำมันจะหนานิดๆ สตารท์ ติดง่าย) อาการเมอื่ นมหนเู ดนิ เบาไดท้ ปี่ รบั เดนิ เบาสดุ เทา่ ทจ่ี ะท�ำได้ เมอ่ื ขนั สกรอู ากาศ เขา้ รอบเครอื่ งจะคอ่ ยๆสงู ขนึ้ ๆเมอื่ ถงึ จดุ จดุ หนงึ่ เครอ่ื งจะส�ำลกั (หนามาก)รอบจะคอ่ ยๆ ต่�ำลงจนอาจดับขันสกรูอากาศสุดแล้วคลายออก 1.5 รอบ แล้วค่อยๆคลายออกรอบ เครื่องจะสูงข้ึนตามเสียงเครื่องจะครางแรงไม่ส�ำลักสามารถเร่งเคร่ืองต่อได้ไม่ดับเม่ือ คลายออกถงึ จดุ จุดหนึ่ง เครอื่ งจะวอดจนอาจดบั นน่ั คืออาการทนี่ มหนเู ดนิ เบาได้ที่ ส�ำหรับผู้ท่ีเคยเห็นช่างปรับสกรูอากาศแล้วบิดคันเร่ง เร่งสุด แล้วก็ปรับ เข้าปรับออกอยูน่ ัน่ แหละ 87 “องค์ความร้สู ูภ่ าคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
ค�ำถามยอดฮิตคคู่ ดิ มติ รชมุ ชน เคร่ืองยนตเ์ บนซนิ เอนกประสงค์ 1.อาการเคร่ืองยนต์สตาร์ทติดยากเครื่อง 3.อาการ สตาร์ไม่ติดเน่ืองจากหัวเทียนบอดหัว ยนต์กนิ น้�ำมนั เคร่ือง เทียนไม่มีประกายไฟ สาเหตุ สาเหตุ 1. หวั เทยี นสกปรกเกดิ การลงกราวทห่ี วั เทยี นทำ� ให้ ไฟไมม่ า 1. เกดิ จากแหวนลกู สบู สกึ หรอึ หมดอายกุ ารใหง้ าน 2. หนา้ ทองขาวช�ำรดุ 2. การไม่เติมนำ�้ มันท่ีกรองอากาศที่เป็นกรองแบบ 3. ชดุ CDI ช�ำรุด 4. ชดุ กำ� เนดิ ไฟฟ้าชำ� รุด เปียกท�ำให้ฝุ่นละอองเข้าไปในห้องเผาไหม้แล้ว 5. สายหัวเทยี นชำ� รดุ เขา้ ไปขดั ทก่ี ระบอกสบู การแก้ไข 1. เปลยื่ นชดุ กำ� ลงั อดั ( ลกู สบู ,แหวลกู สบู ,กระบอก การแก้ไข สูบ ) 2. เติมนำ้� มนั ทีก่ รองอากาศ 1. เปลย่ี นหวั เทยี นใหมห่ รอื ทำ� การลา้ งและตงั้ ระยะ เข้ยี วใหม่ 2. ปรับตง้ั หน้าทองขาวใหม่ด้วยปรับต้ังระยะห่าง 2.อาการ เครอื่ งยนตส์ ตารไ์ มต่ ดิ เครอื่ งเรง่ หน้าทองขาวเท่ากับขนาดความหนาของใบ ไม่ข้ึน(เนื่องจากคารบ์ ูเรเตอร์) เลอ่ื ย สาเหตุ 3. ทำ� การซ่อมหรือเปล่ยี นชุด CDI เกดิ จากการอดุ ตนั ในสายทอ่ ระบบสง่ จา่ ยนำ�้ มนั 4. เปลยี่ นชดุ กำ� เนิดไฟฟ้าใหม่ หรือนมหนูตันจากการเติมน�้ำมันที่สกปรกเข้าไปในถัง 5. เปลย่ี นสายหัวเทียนและปลกั หัวเทยี น นำ�้ มันเช้อื เพลิง 4.อาการ เครอื่ งยนตร์ อ้ น นำ�้ มนั เดอื ดเครอ่ื งทำ� งาน การแกไ้ ข อยแู่ ลว้ ดบั ไปเฉย ๆ ถอดคาร์บูเรเตอร์ออกมาล้างท�ำความสะอาด และเป่าลมตามรูต่างๆให้ไม่มีสิ่งสกปรกติดไปกีดคว้าง สาเหตุ ทางเดินน้�ำมนั 1. เกิดจากการอุดตันท่ีครีบระบายความร้อนของ เครื่องยนต์ 2. ใบพัดลมท่ีลอ้ ช่วยแรงเสียหาย 3. ไมไ่ ส่แผ่นบงั คบั อากาศทบี่ นฝาสบู “องคค์ วามรู้สูภ่ าคประชาชน” 88มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
เครอ่ื งยนตเ์ ครอ่ื งตัดหญา้ 1.อาการ เครื่องยนตส์ ตาร์ทตดิ ยาก เคร่อื ง 3.เคร่ืองยนตส์ ตาร์ทตดิ แล้วเครือ่ งยนต์ไมม่ ีก�ำลงั เร่งไม่ขึน้ (เนือ่ งจากคารบ์ เู รเตอร)์ สาเหตุ สาเหตุ เกิดจากมีส่ิงสกปรกมาอุดตันในสายท่อระบบ 1. หัวเทยี นบกพร่อง ส่งจ่ายน�้ำมันหรือนมหนูตัน จากการเติมน�้ำมันที่มีส่ิง 2. ไสก้ รองอากาศอดุ ตนั สกปรกเจอื ปน 3. กระบอกสูบหรอื แหวนลูกสบู สึกหรอ การแกไ้ ข การแก้ไข ถอดคาร์บูเรเตอร์ออกมาล้างท�ำความสะอาด 1. เปลยี่ นหวั เทยี นใหมห่ รอื ท�ำการลา้ งและตง้ั และเป่าลมตามรูต่างๆให้ไม่มีสิ่งสกปรกติดไปกีดคว้าง ระยะเขีย้ วใหม่ ทางเดินน้�ำมัน 2. ถอดไส้กรองอากาศมาท�ำเป่าท�ำความ สะอาดหรือเปลี่ยนใหม่ 3. เปลย่ี นแหวนลกู สบใหม่ 2.อาการเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ตดิ เนอ่ื งหวั เทยี นบอด(หวั เทยี นไมม่ ปี ระกายไฟ) สาเหตุ 1. หัวเทียนสกปรกเกิดการลงกราวที่หัวเทียน ทำ� ใหไ้ ฟไม่มา 2. หนา้ ทองขาวช�ำรุด 3. ชุด CDI ช�ำรุด 4. ชุดก�ำเนิดไฟฟา้ ช�ำรุด 5. สายหวั เทียนช�ำรดุ การแก้ไข 1. เปล่ียนหัวเทียนใหม่หรือท�ำการล้างและตั้ง ระยะเข้ียวใหม่ 2. ทำ� การซอ่ มหรือเปลย่ี นชุด CDI 3. เปลย่ี นชุดก�ำเนิดไฟฟา้ ใหม่ 4. เปลย่ี นสายหวั เทยี นและปลักหวั เทียน 89 “องค์ความรู้สู่ภาคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
เครือ่ งยนตด์ ีเซล 1.อาการ เคร่ืองยนต์สตาร์ทติดยาก เคร่ืองยนต์กินน้�ำมันเคร่ือง ควันขาว เคร่ืองไม่มี 2.เครือ่ งยนตไ์ มไ่ ดใ้ ช้มานานหลายปีเครอ่ื ง กำ� ลังอดั ยนตส์ ตาร์ทติดยาก สาเหตุ สาเหตุ 1. เกิดจากแหวนลูกสูบสึกหร่อหมดอายุการ เกิดจากแหวนลกู สบู หดตัว ใหง้ าน การแก้ไข 2. การไม่เติมนำ้� มันที่กรองอากาศท่ีเป็นกรอง 1. ถอดมาท�ำความสะอาด 2. หรอื ผสมน�้ำมนั เครอ่ื ง+น้�ำมนั ดเี ซล+น้�ำมนั แบบเปยี กทำ� ใหฝ้ นุ่ ละอองเขา้ ไปในหอ้ งเผา เบ็นซิลในอัตราส่วน 1:1:1 ใส่ลงไปใน ไหม้แลว้ เข้าไปขัดท่กี ระบอกสูบ การแกไ้ ข ท่อไอดีประมาณ 5 cc เพ่ือท�ำไห้เกิดการ 1. การสตาร์เคร่ืองในช่วงแรกให้ใส่น�้ำมัน ชะลา้ งคราบท่แี หวนอัด ท่ีท่อไอดีเพ่ือให้น�้ำมันไปเพิ่มก�ำลังอัดใน กระบอกสบู 2. เติมน้ำ� มนั ทีก่ รองอากาศ 3. เปล่ืยนชุดก�ำลังอัด ( ลูกสูบ,แหวน ลกู สูบ,กระบอกสูบ ) “องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชน” 90มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
สอบถามองคค์ วามรู้เพิม่ เติม สถานทต่ี ิดต่อ : สาขาวิศวกรรมเคร่ืองกล คณะวศิ วกรรมศาสตร ์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา เชียงใหม่ ถ.หว้ ยแกว้ ต.ชา้ งเผือก อ.เมือง เชียงใหม่ หรือติดต่อโดยตรงท่ี : อ.สมาน ดาวเวยี งกัน โทรศัพท์ 086-7309253 E-mail : [email protected] อ. กมั ปนาท แสงสวุ รรณ โทรศัพท์ 085-7149509 E-mail : kp_nat@ hotmail.com 91 “องคค์ วามรสู้ ่ภู าคประชาชน” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
องค์ความรเู้ พอื่ การเผยแพร่ การผลิตถ่ัวเนา่ จาก หัวเชอ้ื Bacillus subtilis เพือ่ ใช้ในการผลิต เครอ่ื งแกงอนิ ทรีย์
องค์ความรเู้ พอื่ การเผยแพร่ การผลิตถั่วเนา่ จากหวั เช้อื Bacillus subtilis เพื่อใช้ในการผลิตเครอ่ื งแกงอินทรีย์ วตั ถปุ ระสงค์และทมี่ า ถว่ั เหลอื งหมกั หรอื ทค่ี นในภาคเหนอื ของประเทศไทยเรยี กกนั วา่ “ถว่ั เนา่ ” เปน็ อาหาร พื้นเมืองชนิดหนึ่งท่ีเป็นเอกลักษณ์บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของชาวล้านนา และนิยมบริโภค อย่างแพร่หลายเป็นเวลานาน ถั่วเน่าจัดเป็นอาหารสุขภาพท่ีเป็นแหล่งของสารอาหารใน กลุ่มโปรตีน ท่ีมีต้นทุนการผลิตต่�ำ การย่อยโปรตีนในถ่ัวเหลืองโดยโปรติเอสท่ีสร้างจาก เชือ้ Bacillus subtilis (บาซลิ ลสั ซับทิลสิ ) ใหม้ ีหนว่ ยที่เล็กลง ได้แก่ เปบไทด์ และกรด อะมิโน จะช่วยในการดูดซึมไปใช้ประโยชนข์ องร่างกาย เป็นคณุ คา่ ทางโภชนาการท่เี พ่มิ ขึน้ เสรมิ อยใู่ นผลติ ภณั ฑ์ นอกจากนน้ั ยงั ชว่ ยเพม่ิ รสชาตใิ นการบรโิ ภค และสามารถนำ� ไปใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบทเ่ี พม่ิ รสชาตใิ หก้ บั อาหารไดอ้ กี ดว้ ย เนอื่ งจากกระบวนการผลติ ถวั่ เนา่ แบบพนื้ บา้ นเปน็ การหมกั โดยอาศยั เช้ือจากส่ิงแวดล้อม จึงอาจมีการปนเปอ้ื นของจุลนิ ทรีย์ท่กี ่อโรค นอกจากนกี้ ารหมกั ในรปู แบบดงั กลา่ วมกั ไมม่ คี วามสมำ่� เสมอในแงข่ องคณุ ภาพผลติ ภณั ฑใ์ น แตล่ ะครั้งของการผลิต แนวทางหน่งึ ที่จะชว่ ยให้ผลติ ภัณฑ์ถวั่ เนา่ มีคุณภาพสม่�ำเสมอ และ ลดการปนเปือ้ นของจุลินทรียก์ อ่ โรคคอื การหมกั โดยใชห้ วั เช้อื บรสิ ทุ ธิ์ และปรับปรงุ กรรมวธิ ี การผลติ ถัว่ เนา่ ให้ถกู สุขลกั ษณะ ผลิตภัณฑ์มมี าตรฐาน และค�ำนงึ ถึงหลกั การผลิตอาหาร ปลอดภยั ทงั้ น้ี ผลติ ภณั ฑถ์ ว่ั เนา่ ทไ่ี ดน้ ส้ี ามารถนำ� ไปใชป้ ระกอบอาหาร สามารถนำ� ไปใชใ้ น การผลติ เครอื่ งแกงอนิ ทรีย์ ซง่ึ เหมาะส�ำหรับผบู้ รโิ ภคทม่ี คี วามใสใ่ จ ต้องการรกั ษาสขุ ภาพ และต้องการความสะดวกสบายในการปรุงอาหาร หรือผู้บริโภคกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเจ ท่ีสามารถใช้ถั่วเน่าท่ีผลิตด้วยเชื้อจุลินทรีย์บริสุทธิ์ ทดแทนกะปิท่ีท�ำจากกุ้ง ท�ำให้ได้รับ รสชาติของความเขม้ ขน้ ของอาหารใกลเ้ คียงกบั อาหารโดยท่ัวไป “องค์ความรู้สภู่ าคประชาชน” 94มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ความรทู้ วั่ ไปเรอ่ื งอาหารหมัก อาหารหมัก มีความเป็นมาเร่ิมต้นจากการ จุลินทรีย์ท่ีใช้ในการหมัก การควบคุม การท�ำเพ่ือบริโภคกันในครัวเรือน จากความต้องการ กระบวนการหมกั วธิ หี นงึ่ ในปจั จบุ นั คอื การเตมิ จลุ นิ ทรยี ์ ของผู้บริโภคท�ำให้เกิดอุตสาหกรรมครอบครัว ในขณะ เร่ิมต้นเพ่ือใช้เป็นหัวเช้ือหรือกล้าเช้ือ (inoculum หรือ ที่อาหารหมักบางชนิดมีการพัฒนาการผลิตจนเป็น starter) ซ่ึงการเติมหัวเชื้อมีท้ังการใช้เชื้อบริสุทธ์ิสาย อตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ เชน่ การผลติ ซอี ว๊ิ มโิ ซะ สาเก พันธุเ์ ดียว หรือเชอ้ื บริสุทธ์แิ บบผสม การเติมอาจเตมิ ของประเทศญ่ีปุ่น การผลิตเบยี ร์จากข้าวโพดและขา้ ว ลงไปพร้อมกนั ในตอนเร่มิ หมกั หรอื อาจมกี ารเติมแบบ ฟา่ งของประเทศแอฟรกิ าใต้ เปน็ ตน้ ซง่ึ การผลติ อาหาร ตามลำ� ดบั ในอตุ สาหกรรมการหมกั จลุ นิ ทรยี ท์ ใี่ ชเ้ ปน็ หวั หมักในระดับอุตสาหกรรมจ�ำเป็นที่จะต้องควบคุมการ เชือ้ มีความส�ำคัญ ดังนี้ ผลิตและคุณภาพของอาหารหมักให้มีความปลอดภัย 1. การหมกั เกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว และมีอตั รา มคี วามสม�ำ่ เสมอและไดค้ ณุ ภาพมาตรฐาน เพราะเมอ่ื การหมกั เร็ว ใดที่ผลิตภัณฑ์เคร่ืองดื่มเกิดปัญหาความไม่ปลอดภัย 2. เกิดความสม่�ำเสมอของการหมัก และได้ และการผลติ ที่ไม่มีคุณภาพ ก็จะสร้างความสูญเสยี แก่ ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพท่ีเหมือนเดิมในแต่ละ บรษิ ทั เสอ่ื มเสยี ชอ่ื เสยี ง และลดความเชอ่ื ถอื สนิ คา้ ของ ครั้งของการหมัก ผู้บริโภค โดยปัจจัยท่ีควรค�ำนึงถึงในการควบคุมการ 3. ลดความเส่ียงจากการเน่าเสียของจุลินทรีย์ หมกั อาหาร คือ วัตถุดิบที่ใชใ้ นการผลติ จลุ นิ ทรยี ท์ ี่ใช้ ปนเป้ือนท่ีไมต่ อ้ งการ ในการหมัก และสภาวะของการหมกั 4. สามารถควบคมุ คณุ ภาพทางประสาทสมั ผสั ของผลิตภัณฑ์ได้ค่อนข้างดี โดยการคัด วัตถดุ บิ ท่ใี ชใ้ นการผลิต เป็นสงิ่ สำ� คญั อย่าง เลือกสายพันธุจ์ ลุ ินทรยี ์ท่ีใช้ในการหมกั หนึ่งที่จะมีผลต่อคุณภาพของอาหารหมัก ซึ่งวัตถุดิบ สภาวะของการหมกั เปน็ สง่ิ สำ� คญั ทต่ี อ้ งคำ� นงึ ท่ีใช้ในการผลิตอาหารหมักได้มาจากทั้งพืชและสัตว์ ถึงในการผลิตอาหารหมัก สภาวะของการหมักอาหาร แหล่งวัตถดุ บิ จากพชื เชน่ ผักและนำ�้ ผัก ผลไมแ้ ละ แต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไปขึ้นกับชนิดของวัตถุดิบ น้�ำผลไม้ เมล็ดธัญพชื เมล็ดถั่ว เปน็ ตน้ แหลง่ วตั ถุดบิ ชนิดการหมักแบบธรรมชาติหรือการหมักแบบที่มีการ จากสัตว์ เช่น นำ�้ นมจากสตั ว์ตา่ งๆ เนื้อจากสัตว์ชนิด เตมิ จลุ นิ ทรยี ์ เมแทบอลซิ มึ ของจลุ นิ ทรยี ใ์ นกระบวนการ ตา่ งๆ เชน่ เน้อื ปลา ไข่ เปน็ ต้น บางครง้ั อาหารหมัก หมักอาหาร อุณหภูมิในการหมัก การให้อากาศ และ ชนดิ หนง่ึ อาจใชแ้ หลง่ วตั ถดุ บิ ทง้ั จากพชื และสตั วใ์ นการ ความเปน็ กรดดา่ งของอาหารหมกั เป็นตน้ หมัก 95 “องค์ความรูส้ ู่ภาคประชาชน” มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ความหมายของอาหารหมกั อาหารหมัก คือ อาหารที่จุลินทรีย์ใช้สับสเตรทหรือวัตถุดิบเริ่มต้นเปล่ียนเป็น ผลติ ภัณฑท์ มี่ นุษยบ์ รโิ ภคได้ เปน็ ผลติ ภัณฑไ์ มเ่ ป็นพิษ มกี ล่ิน รสชาติ และเนอ้ื สมั ผัสที่พงึ พอใจของผู้บริโภค การเปลีย่ นแปลงดังกลา่ วเกดิ ข้นึ จากการที่เอนไซม์จากจุลนิ ทรยี ์ ไดแ้ ก่ อะไมเลส โปรติเอส ไลเปส ยอ่ ย โพลีแซคคาไรด์ โปรตีน และไขมันทเ่ี ป็นสว่ นประกอบ อาหารนน่ั เอง แตถ่ า้ เอนไซมย์ อ่ ยสบั เสตรทแลว้ เกดิ เปน็ ผลติ ภณั ฑท์ ม่ี กี ลน่ิ หรอื รสชาตไิ มเ่ ปน็ ที่พึงประสงค์ ท�ำให้เกิดผลิตภณั ฑ์ทเี่ ปน็ พษิ ก่อใหเ้ กดิ โรคกับมนุษย์ อาหารดังกล่าวก็จดั เปน็ อาหารทเี่ นา่ เสยี ดงั นนั้ จงึ อาจสรปุ บทบาทของการหมกั ทม่ี ตี อ่ กระบวนการแปรรปู อาหาร ได้ 5 ประการ คือ 1. เพ่ิมความหลากหลายของกลิ่น รสชาติ และเนอื้ สัมผสั ของอาหาร 2. การหมักเป็นวิธีการถนอมอาหารที่ส�ำคัญอย่างหน่ึง เน่ืองจากกรดแลคติก กรดอะซติ กิ แอลกอฮอล์ สภาวะความเปน็ ดา่ งในระหวา่ งกระบวนการหมกั ทเ่ี พมิ่ ขน้ึ หรอื ลดลง หรอื การหมกั ทใี่ ชค้ วามเขม้ ขน้ ของเกลอื สงู จะชว่ ยยดื อายกุ ารเกบ็ รักษาของอาหาร 3. จลุ นิ ทรยี ท์ ใี่ ชใ้ นการหมกั ชว่ ยเพม่ิ คณุ คา่ ทางโภชนาการของอาหารหมกั โดยชว่ ย ทำ� ใหก้ ารย่อยเกดิ ได้ง่ายขน้ึ เชน่ เนยแขง็ ที่ได้จากกระบวนการหมกั นม 4. มีคุณสมบัติของการเป็นอาหารเฉพาะทาง เช่น เป็นแหล่งของจุลินทรีย์ โพรไบโอติก หรือสารอาหารที่มีคุณสมบัติในการเป็นอาหารเฉพาะทางเพ่ิมขึ้น เช่น วิตามนิ และสารต้านอนมุ ูลอสิ ระ เปน็ ตน้ 5. ชว่ ยลดความเปน็ พิษของอาหารเมอ่ื ผา่ นข้นั ตอนของการหมัก 6. ลดระยะเวลาและความตอ้ งการพลงั งานของการแปรรปู อาหาร ในกระบวนการหมักอาหารจะมีจุลินทรีย์ที่เข้ามาเก่ียวข้องจากหลายแหล่ง คือจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ จุลินทรีย์ปนเปื้อน และจุลินทรีย์ที่มีการเติมลงไปเพื่อทำ� หน้าท่ี หมกั อาหาร จลุ ินทรีย์ท่ีใช้ผลิตอาหารหมกั มที งั้ แบคทเี รีย ยีสต์ และรา จุลินทรยี เ์ หล่านจี้ ะ สรา้ งเอนไซมท์ ที่ �ำหน้าท่เี ปลี่ยนแปลงสารอาหาร การเปลย่ี นแปลงทางชวี เคมนี ี้จะสง่ ผลให้ เกดิ การเปลยี่ นแปลงของอาหารหมักในดา้ น ลกั ษณะเนอ้ื สัมผัส กลน่ิ รส คณุ คา่ ทางอาหาร และความเปน็ พษิ ของอาหาร กระบวนการเปลยี่ นทางชวี เคมขี องเอนไซมท์ สี่ รา้ งจากจลุ นิ ทรยี ์ จึงข้ึนอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของวัตถุดิบที่ใช้หมัก ชนิดและกิจกรรมของเอนไซม์ใน จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับการหมัก ชนิดและสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ที่ใช้ และสภาวะท่ีใช้ใน การหมกั เป็นตน้ ซงึ่ การเปลย่ี นแปลงทางเคมขี องอาหารสว่ นใหญเ่ กิดจากจลุ นิ ทรียใ์ ชส้ าร อาหารในลกั ษณะตา่ งๆ “องคค์ วามรู้ส่ภู าคประชาชน” 96มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา
ถั่วเน่า….“อาหารหมกั คุณค่าทางโภชนาการสงู จากถว่ั เหลือง” ถ่ัวเหลืองหมักหรือที่คนในภาคเหนือของประเทศไทยเรียกกันว่า “ถั่วเน่า” เป็นอาหารพ้ืนเมืองชนิดหน่ึง ท่ีเป็นเอกลักษณ์บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของชาวล้านนา และยังนิยมบริโภคอย่างแพร่หลายเป็นเวลานาน ปัจจุบัน กระบวนการผลติ ยงั คงเปน็ แบบพน้ื บา้ นโดยอาศยั ภมู ปิ ญั ญาของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ กลา่ วคอื หลงั จากแชถ่ วั่ เหลอื งทง้ิ ไว้ หนง่ึ คนื กท็ ำ� การนง่ึ หรอื ตม้ ถว่ั ใหส้ กุ จากนน้ั ทง้ิ ไวใ้ หถ้ ว่ั สะเดด็ นำ้� และเยน็ ตวั ลง จงึ นำ� ไปบรรจไุ วใ้ นตะกรา้ หรอื ภาชนะ ทม่ี ใี บตองปรู องไว้คลมุ ถว่ั ดว้ ยใบตองอกี ครง้ั และทง้ิ ไวใ้ หเ้ กดิ การหมกั ประมาณ3-4วนั กจ็ ะไดถ้ วั่ เนา่ ทจ่ี ะนำ� ไปปรงุ รส และแปรรปู เพอ่ื ขายตอ่ ไป แตเ่ นอื่ งจากกระบวนการผลติ เปน็ การหมกั โดยอาศยั เชอื้ จากสงิ่ แวดลอ้ มซง่ึ เปน็ เชอ้ื ผสม (mixed cultures) บางครง้ั อาจมกี ารปนเปอ้ื นของจลุ นิ ทรยี ก์ อ่ โรคกเ็ ปน็ ได้ นอกจากนี้ การหมกั ในรปู แบบดงั กลา่ ว มกั ไมม่ คี วามสม่�ำเสมอในแงข่ องคณุ ภาพผลติ ภณั ฑใ์ นแตล่ ะครง้ั ของการผลติ แมจ้ ะหมกั จากแหลง่ เดยี วกนั กต็ าม แนวทางหนงึ่ ทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ ลติ ภณั ฑถ์ ว่ั เนา่ มคี ณุ ภาพสม่�ำเสมอและลดการปนเปอ้ื นของจลุ นิ ทรยี ก์ อ่ โรคคอื การหมกั โดยใช้หวั เชื้อบรสิ ุทธ์ิ (pure culture starter) จากผลงานวจิ ยั คณะวิจยั ของดร.เทอรล์ าบี จากมหาวิทยาลยั กานา เรื่องการเตมิ หวั เช้ือบรสิ ุทธิ์ Bacillus subtilis (บาซลิ ลัส ซบั ทิลิส) สายพนั ธ์บุ รสิ ทุ ธท์ิ ่ีคัดแยกไดใ้ นอาหารหมักจาก ถว่ั เหลอื ง ท�ำใหเ้ พมิ่ ประสทิ ธิภาพการย่อยของถั่วดีขนึ้ และผทู้ ดสอบชมิ ประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสของ อาหารหมักถ่วั เหลอื งดว้ ยการหมกั แบบเตมิ หวั เชอ้ื บรสิ ทุ ธ์ิ มากกว่าวธิ ีพ้นื บา้ นทไี่ ม่มีการเตมิ เชอ้ื บริสุทธิ์ ดร.ไพโรจน์ วงศ์พุทธิสิน จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ท�ำการศึกษาวิจัยคัดเลือกเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis MR 10 (บาซลิ ลสั ซับทลิ สิ สายพันธุ์ เอ็มอาร์ 10) ซง่ึ เป็นสายพนั ธุ์ที่เหมาะสมในการหมกั จาก ถวั่ เน่า จากการศกึ ษาคณุ สมบัตขิ อง Bacillus subtilis MR 10 สายพนั ธุ์ดังกลา่ ว พบวา่ สามารถผลติ เอนไซม์ยอ่ ย โปรตีนได้สูง ผลิตเอนไซม์ย่อยโพลิแซคคาไรด์ที่ไม่ใช่แป้ง (non-starch polysaccharides; NSPs) ได้สูง ได้แก่ เบต้า-แมนนาเนส ไซลาเนส และเซลลูเลส และยังผลิตเอนไซม์ไฟเตสเพ่อื ยอ่ ยกรดไฟติกในเมล็ดถั่วเหลืองได้อีก ด้วย ซ่ึงเอนไซม์เหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้กับถั่วเหลือง แล้วยังช่วยลดผลของสารขัดขวาง โภชนะ (antinutritional factors; ANFs) ท่มี อี ยู่ในถั่วเหลอื งไดอ้ กี ดว้ ย ยกตัวอยา่ งเชน่ เบตา้ -แมนแนน กรดไฟติก โอลิโกแซคคาไรด์กลุ่มราฟฟโิ นส (raffinose family oligosaccharides; RFOs) เป็นตน้ นอกจากนีเ้ ชอ้ื สายพนั ธ์ุ ดงั กลา่ วกผ็ า่ นการทดสอบความเปน็ พษิ ตอ่ เซลลส์ ตั ว์ (cytotoxicity) มาเปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ยแลว้ ดงั นน้ั จงึ มน่ั ใจในความ ปลอดภัยเมื่อจะน�ำไปใชผ้ ลติ หวั เชื้อ B. subtilis ส�ำหรบั หมักถ่ัวเน่าเพ่ือผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสำ� หรบั บรโิ ภค ถั่วเน่าเป็นอาหารหมักจากถ่ัวเหลือง จัดเป็นอาหารสุขภาพท่ีเป็นแหล่งของสารอาหารในกลุ่มโปรตีน ที่มีต้นทุนการผลิตต�่ำ การย่อยโปรตีนในถั่วเหลืองโดยโปรติเอสท่ีสร้างจากเชื้อ B. subtilis ให้มีหน่วยท่ีเล็กลง ไดแ้ ก่ เปบไทด์ และกรดอะมิโน จะช่วยในการดดู ซมึ ไปใช้ประโยชนข์ องร่างกาย เป็นคณุ คา่ ทางโภชนาการท่ีเพม่ิ ข้นึ เสริมอยใู่ นผลติ ภณั ฑ์ นอกจากน้นั ยังชว่ ยเพ่มิ รสชาติในการบริโภค และสามารถน�ำไปใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบท่ี เพ่มิ รสชาตใิ ห้กบั อาหารได้อกี ดว้ ย กระบวนการผลิตถว่ั เนา่ โดยใชห้ ัวเชอ้ื บรสิ ุทธ์ิของ B. subtilis จะสามารถชว่ ย ควบคมุ คณุ ภาพของถว่ั เนา่ ให้ ความสมำ่� เสมอได้ ทงั้ ยงั ลดการปนเปอ้ื นของเชอื้ กอ่ โรคบางชนดิ ได้ สง่ ผลใหผ้ บู้ รโิ ภค เกดิ ความมนั่ ใจทจี่ ะบรโิ ภคมากขน้ึ อนั จะนำ� ไปสกู่ ารพฒั นาตอ่ ยอดเชงิ พาณชิ ย์ ดงั จะเหน็ ตวั อยา่ งไดจ้ ากผลติ ภณั ฑ์ ถั่วหมักเทมเป้ของอินโดนีเซีย ท่ีมีการพัฒนากระบวนการผลิตโดยชาวยุโรปและวางขายทั่วไปในซุปเปอร์มาเก็ท หรือถั่วหมักนัตโต้ของประเทศญ่ีปุ่นก็เป็นตัวอย่างท่ีดีในการวิจัยและพัฒนาอาหาร ดร.นิอร โฉมศรี และคณะ จากสถาบนั วจิ ยั เทคโนโลยเี กษตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยลี า้ นนา จงึ ไดท้ �ำการศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ ง การเตรยี มหวั เชอื้ B. subtilis แห้ง ที่เหมาะสม เพ่ือใชใ้ นการผลิตถัว่ เนา่ โดยคำ� นงึ ถงึ หลกั การผลิตอาหารปลอดภัย โดยปรบั ปรงุ กรรมวิธีการผลิตถั่วเน่าให้ถูกสุขลักษณะและให้ผลิตภัณฑ์มีมาตรฐาน ซ่ึงเป็นการพัฒนาและยกระดับการผลิต อาหารพน้ื บ้าน ท�ำใหอ้ าหารหมกั พน้ื บ้านมีคณุ ภาพดี เป็นทย่ี อมรับของผ้บู ริโภค ท�ำใหผ้ บู้ ริโภคมีความต้องการ และมนั่ ใจในการบริโภค ซงึ่ จะทำ� ให้ถว่ั เนา่ เปน็ ที่รู้จกั ของผูบ้ รโิ ภคในวงกว้างย่งิ ข้ึน และก่อให้เกิดการสร้างรายได้ ให้กบั กลมุ่ ผปู้ ระกอบการทตี่ ้องผลิตหวั เชือ้ ถว่ั เน่า และกลุ่มผูป้ ระกอบการผลติ ถั่วเน่า 97 “องคค์ วามรู้สูภ่ าคประชาชน” มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
การท�ำหัวเช้ือถั่วเนา่ แหง้ การท�ำหัวเชื้อ Bacillus subtilis (บาซิลลัส ซบั ทิลสิ ) แบบแหง้ เพ่อื ใชใ้ นการผลิตถ่ัวเน่า มีขั้นตอน การทำ� ดงั แสดงในภาพที่ 1 ทำ� โดย ถ่ายหวั เชือ้ บริสุทธิ์ บาซิลลัส ซับทิลิส ท่ีเพาะเลี้ยงบนจานเพาะเล้ียงเชื้อ ในหอ้ งปฏบิ ัติการ ใส่ในถั่วเหลืองทีผ่ า่ นการนึง่ ฆ่าเชอ้ื ท่ี อณุ หภมู ิ 121 องศาเซลเซียส นาน 15 นาที น�ำไปบ่ม ในตบู้ ม่ เชอื้ ทอ่ี ณุ หภมู ิ 37 องศาเซลเซยี ส นาน 1-2 วนั นำ� ไปอบแหง้ ในตู้อบ ทอ่ี ณุ หภมู ิ 55-60 องศาเซลเซยี ส นานประมาณ 15 ช่ัวโมง บดให้ละเอียด กจ็ ะไดห้ ัวเช้ือ ถวั่ เน่าแห้ง เพื่อใช้ในการผลิตถ่ัวเน่า เกรด็ ความรู้ หัวเช้ือแห้ง 1 กรัม มีจุลินทรีย์ประมาณหน่ึง พันลา้ นเซลล์ ข้อควรระวัง การผลิตหัวเชื้อแห้ง ต้องท�ำโดยอาศัยเทคนิค ปลอดเชื้อ เพ่ือป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ ไมต่ อ้ งการ ภาพท่ี 1 ขนั้ ตอนการท�ำหัวเช้ือถั่วเน่าแหง้ จาก แบคทีเรีย Bacillus subtilis การเกบ็ รกั ษาหัวเชื้อถั่วเนา่ แหง้ ควรเก็บไว้ในภาชนะปิดสนิท เก็บไว้ในที่แห้ง ไม่ควรเก็บโดนแสง หรอื เก็บไว้ในท่ชี ้นื สามารถเก็บไว้ ทอี่ ณุ หภมู หิ อ้ งได้ หรอื อาจเกบ็ ไวใ้ นตเู้ ยน็ สามารถเกบ็ หวั เชื้อแห้งไว้ไดน้ านอยา่ งน้อย 6 เดือน “องค์ความรสู้ ภู่ าคประชาชน” 98มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178