จะเป็นพษิ กับพชื ได้ ในทางกลับกนั ถา้ ปลอ่ ยให้ค่า pH สงู เกนิ กวา่ 7 เป็นระยะเวลาติดตอ่ กัน 2 - 3 วัน จะสง่ ผลตอ่ การดูดซึมธาตุอาหารพืช เช่น ฟอสฟอรัส, เหลก็ , แมงกานสี โดยค่า pH ที่เหมาะสมคอื 5.8 - 6.3 ตารางแสดงปริมาณความเข้มข้นของธาตุอาหารพืช ในคา่ pH ระดบั ตา่ งๆ (คา่ pH ท่สี มบรู ณท์ ส่ี ุดตอ่ ปริมาณธาตอุ าหารคือ 6.25) การตรวจสอบค่า Ec ค่า EC (Electric Conductivity) คา่ EC คือ ค่าเหนย่ี วนากระแสไฟฟา้ ในของเหลว ในการปลูกไฮโดรโปนิกสห์ มายถงึ ปรมิ าณแรธ่ าตุที่ ละลายอยู่ในของเหลว โดยปกตนิ ้าบรสิ ุทธ์ิจะมคี ่านากระแสไฟฟา้ ต่าหรือมีคา่ เป็นศนู ย์ แตเ่ ม่อื มีการเตมิ สารละลาย ตา่ งๆ ลงในในนา้ นั้นจะทาให้คา่ สารละลาย หรือค่านากระแสไฟฟา้ ในนา้ นนั้ ๆ สงู ขนึ้ ดว้ ย พืชแตล่ ะชนดิ จะมคี วาม ตา้ นทานต่อค่า EC หรือ (ความเขม้ ขน้ ของธาตุอาหารพชื ) ทไี่ มเ่ ท่ากัน ทั้งน้ี ขนึ้ อยู่กบั สายพันธุ์, อายุของพชื และ สภาพแวดลอ้ มในการปลูกขณะน้ันดว้ ย หากเราใช้คา่ EC ไมเ่ หมาะสมกบั พืช แล้วจะท้าใหพ้ ชื นั้นเจริญเติบโตไม่ เปน็ ปกติ หรือขาดความสมบรู ณไ์ ด้ ปัจจยั ที่เปน็ ตัวกาหนดค่า EC คอื 1. ชนิดและสายพนั ธพ์ุ ืช กล่าวคือ พชื ต้องอาศัยการคายน้าทางใบเพื่อให้เกดิ แรงดนั ท่รี ากพืชเพ่ือให้น้าที่ ผสมธาตอุ าหารซึมผ่านจากรากไปยังสว่ นต่างๆ ของพชื ได้ หากคา่ EC สงู กว่าค่ามาตราฐาน ของพชื ชนดิ น้ันๆ พืช จะไมส่ ามารถนาพานา้ ทมี่ ธี าตอุ าหารไปยงั ส่วนตา่ งๆ ของพืชได้ สง่ ผลให้พืชเจริญเตบิ โตไดไ้ ม่ดี และเกดิ ขาดธาตุ อาหารต่างๆ ได้ 2. อายุของพืช กล่าวคือ พืชในแต่ละชว่ งอายจุ ะมี การใชธ้ าตุอาหารไมเ่ ท่ากนั โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ชว่ ง ของการเจรญิ เติบโต ดงั น้ี 2.1 ช่วงต้นเกลา้ : ชว่ งสัปดาหแ์ รกของการเจรญิ เตบิ โต เมอ่ื พืชงอกออกจากเมลด็ พืชจะใช้ 92
พลงั งานและอาหารจากใบเล้ียงเป็นหลกั ทาใหก้ ารกาหนดคา่ EC ในชว่ งสัปดาหแ์ รกนี้ จะอยทู่ ปี่ ระมาณ 30-50 % ของคา่ EC ในพืชชนิดน้ันๆ และจะเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ ในสปั ดาห์ตอ่ ไป 2.2 ชว่ งเจริญเตบิ โต : ชว่ งสัปดาห์ที่ 3 เป็นตน้ ไป ชว่ งน้ี เป็นช่วงที่พืชตอ้ งการใช้พลงั งานและ ธาตอุ าหารสูงมาก เพือ่ ใช้ในการสรา้ งส่วนต่างๆ ของใบ, ล้าตน้ , ดอก โดยจะใช้ธาตุอาหารประมาณ 80 - 100% ของคา่ EC ในพชื ชนดิ น้ันๆ 2.3 ชว่ งขยายพันธ์ุ : เป็นช่วงทพ่ี ืชผา่ นการเจรญิ เติบโตอย่างเต็มทม่ี าแลว้ พืชได้ทาการสะสม อาหารและพลงั งานมาไวอ้ ย่างเตม็ ทแี่ ล้ว พืชจะเร่ิมใชธ้ าตุอาหารใหมน่ ้อยลง โดยเฉลย่ี จะอยู่ท่ีประมาณ 50 - 70% ของค่า EC ในพืชชนดิ นั้นๆ 3. สภาพอากาศและฤดกู าล หากช่วงเวลาดงั กล่าวมปี ัจจยั ท่ีทาใหพ้ ชื ตอ้ งคายน้าสูง เชน่ แสงแดดจัด, อากาศร้อน พชื จาเป็นต้องมีการดดู ซึมน้ามากขนึ้ เพือ่ นามาชดเชยนา้ ท่ีสูญเสียไป หากมีการใช้คา่ EC ทส่ี งู ในช่วง เวลาดงั กลา่ วแล้ว พืชจะนาน้าไปชดเชยน้าท่ีเสยี ไปไดล้ าบาก เราจึงเหน็ พืชเหี่ยวเฉาในช่วงเวลาที่อากาศรอ้ นและ แสงแดดจัด ดังนั้นชว่ งเวลาท่อี ากาศร้อนมากๆ และแสงแดดแรงเกินไปเราตอ้ งปรับลดค่า EC ลง พร้อมกบั ลด กิจกรรมการคายน้าของพืชลง เช่น พรางแสง, เสปรย์นา้ เพ่อื ลดอุณหภมู ิลง ค่ามาตราฐานสาหรับน้าทจี่ ะนามาใช้ ในการปลกู พืชไฮโดรโปนกิ ส์ จะต้องมีคา่ เร่มิ ตน้ ก่อนใส่ป๋ยุ ไม่เกนิ 0.3 ms/cm หากค่าเกินจะทาให้มีข้อจากดั ใน การใสธ่ าตอุ าหารพืช (ใสธ่ าตอุ าหารพืชได้นอ้ ยลง) เพราะกังวลว่าค่า EC จะเกนิ กว่าทีพ่ ชื นั้นๆ จะรบั ได้ จนกระทบ ตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืชได้ น้าที่เหมาะสมที่สดุ ในการนามาใชใ้ นการปลกู พชื ไฮโดรฯ ได้แก่ น้าฝน, นา้ ประปา ส่วนภูมภิ าคและประปานครหลวง ฯลฯ เน่ืองจากมีคา่ EC ตา่ และเป็นแหล่งนา้ ท่ีประหยดั ส่วนน้าที่ไมแ่ นะนามาใช้ ในการปลูก เชน่ น้าบาดาล เน่ืองจากสว่ นใหญ่น้าบาดาล จะมีคา่ EC สูง แล้วยงั มี แคลเซียมคาบอเนท (หินปูน) สาเหตุของความกระดา้ งในน้า ทาให้ปยุ๋ ตกตะกอนไดง้ ่าย หากไม่สามารถหาน้าไดจ้ ากแหล่งดงั กลา่ วจรงิ อาจจะ ต้องมกี ารบา้ บดั ด้วยวิธีกรองเพื่อลดค่าสารละลายในน้าลงก่อนเพอ่ื ให้มคี า่ EC อยใู่ นระดบั ทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะนามา ปลูกพชื ได้ โดยวธิ กี ารกรองตอ้ งใชเ้ คร่ืองกรองท่สี ามารถกรองสารละลายในนา้ ได้ เช่น ระบบกรอง Reverse Osmosis (R.O.) หรอื การกรองดว้ ยระบบกรอง Softener ดว้ ยสารกรอง Resin เปน็ ต้น ค่า EC และ pH ของพชื แต่ละชนดิ ชนิดพชื คา่ EC ค่า pH กลว้ ย 1.8 - 2.2 5.5 - 6.5 กวางต้งุ ใบ, กวางตงุ้ ดอก, ฮอ่ งเต้ 1.5 - 2.5 6.0 - 7.0 กะหลา่ ดอก 1.5 - 2.0 6.5 - 7.0 กะหลา่ ปล,ี กะหล่าดาว 2.5 - 3.0 6.5 - 7.0 ขา้ วโพดหวาน 1.6 - 2.4 6.0 แครอท 1.6 - 2.0 6.3 เซอลารี่ 1.8 - 2.4 6.5 แตงกวา 1.7 - 2.5 5.5 93
ชนดิ พชื ค่า EC คา่ pH แตงกวาซูกินี 1.8 - 2.4 6.0 แตงโม 1.8 - 2.4 5.8 ถว่ั 2.0 - 4.0 6.0 บลอคเคอรี่ 2.8 - 3.5 6.0 - 6.8 บลเู บอรี่ 1.8 - 2.0 4.0 - 5.0 บาเซลิ , โหระพา 1.0 - 1.6 5.5 - 6.0 บที รูท 1.8 - 5.0 6.0 - 6.5 ผักขม 1.8 - 2.3 6.0 - 7.0 พาสเลย์ 0.8 - 1.8 5.5 - 6.0 ฟกั ทอง 1.8 - 2.4 5.5 - 7.0 มะเขอื เทศ 2.0 - 4.0 6.0 - 6.8 มะเขือม่วง 2.5 - 3.5 6.0 เมลอ่ น 2.0 - 2.5 6.0 - 6.8 เรดชิ , หัวไชเท้า 1.6 - 2.2 6.0 - 7.0 วอเตอร์เครส 0.4 - 1.6 6.5 - 6.8 สตรอเบอร่ี 1.8 - 2.2 6.0 - 6.8 สลดั 1.1 - 1.7 6.0 - 7.0 สะระแหน่, มิ น 2.0 - 2.4 5.5 - 6.0 สบั ปะรด 2.0 - 2.4 5.5 - 6.5 เสาวรส 1.6 - 2.4 6.5 หนอ่ ไมฝ้ รง่ั 1.4 - 1.8 6.0 - 6.8 เอ็นไดว์, ชิโคลี่ 2.0 - 2.4 5.8 - 6.5 การสังเคราะห์แสง การสงั เคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) เปน็ กระบวนการสาคัญท่พี ืชสเี ขียว ซ่ึงมรี งควัตถุพวกคลอโรฟลิ ลเ์ ป็นตัวนาพลังงานแสงเปลยี่ นเป็น พลงั งานเคมีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างอาหารจากโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์และน้า ไปเปน็ คาร์โบไฮเดรตคอื นา้ ตาลหรอื แป้ง รวมทั้งการปลดปล่อยออกซิเจนออกมา ปจั จัยทีม่ ีผลต่อการสงั เคราะห์แสง แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื 94
1. ปจั จัยเก่ียวกับพืช หมายถึง ชนดิ ของพืช สภาพทางสรรี วทิ ยาของพชื เชน่ ในใบพืชทีอ่ ่อนหรือแก่เกนิ ไปพบว่าความสามารถ ในการสังเคราะหแ์ สงต่า ใบทีอ่ ่อนเกนิ ไปการพฒั นาของคลอโรฟิลล์ยังไมเ่ ตม็ ท่ี ส่วนใบท่ีแก่เกนิ ไปจะมีการสลายตวั ของรงควตั ถใุ นคลอโรพลาสต์ การสญู เสียโครงสรา้ งทีส่ าคญั นี้ มผี ลทาให้อตั ราการสงั เคราะหแ์ สงลดลง 2. ปัจจัยเกีย่ วกับสงิ่ แวดล้อม ได้แก่ 2.1 แสง เปน็ สง่ิ จาเป็นอย่างยิ่งเพราะการสังเคราะหแ์ สงเปน็ การใช้พลังงานจากแสงมาสรา้ งเป็นอาหาร และเก็บสะสมพลงั งานนั้นไว้ในอาหารท่ีสรา้ งข้ึน พลังงานธรรมชาตทิ ่พี ืชได้รบั คอื พลังงานจากแสงแดด เราอาจใช้ แสงจากไฟฟา้ หรอื ตะเกียงกไ็ ด้ แต่สูแ้ สงแดดไมไ่ ด้ พชื แตล่ ะชนดิ มีความตอ้ งการความเข้มของแสงไมเ่ ทา่ กนั ถา้ ความเข้มของแสงมากเกนิ จุดอ่ิมตัวแสง อาจทาให้ใบไหมเ้ กรียมตายได้ ถา้ ปริมาณความเขม้ ของแสงตา่ พืชกจ็ ะมี อตั ราการสงั เคราะห์แสงต่า แตพ่ ืชไมส่ ามารถลดอตั ราการหายใจให้ต่าลงไปด้วย จะทาให้พืชไม่เจริญและตายได้ ในที่สดุ 2.2 อณุ หภูมิ พชื แต่ละชนดิ มชี ว่ งอณุ หภมู ิในการสังเคราะหท์ ตี่ ่างกนั ตั้งแต่ 5-40 องศาเซลเซียส พชื เขต รอ้ นอณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสมอยใู่ นชว่ งทค่ี ่อนข้างสูง ส่วนพืชเขตอบอ่นุ หรอื เขตหนาวจะทาการสงั เคราะหแ์ สงได้ดใี น อุณหภมู ิค่อนขา้ งตา่ ถา้ อุณหภูมิสงู หรือตา่ เกนิ ไปมผี ลต่อการทางานของเอนไซม์ในปฏิกริ ยิ า 2.3 ปริมาณก๊าซในบรรยากาศ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) เปน็ กา๊ ซทมี่ ผี ลตอ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง ใน สภาพที่มแี สงและอุณหภมู พิ อเหมาะอัตราการสงั เคราะห์แสงจะขึ้นกบั ปรมิ าณคารบ์ อนไดออกไซด์ ถา้ เพมิ่ ปริมาณ ความเขม้ ข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ให้สูงขึ้น จะมีผลทาให้อัตราการสังเคราะห์แสงเพม่ิ ขึ้นจนถึงจุดอม่ิ ตัว พืชจะ ไม่เพ่มิ อัตราการสงั เคราะหแ์ สงอีก 2.4 ธาตุอาหาร การขาดธาตอุ าหารมผี ลต่ออตั ราการ สังเคราะห์ด้วยแสงท้ังทางตรงและทางอ้อม แมกนเี ซียมและไนโตรเจน เป็นธาตทุ ีส่ าคัญในองค์ประกอบของคลอโรฟลิ ล์การขาดสารเหล่านี้ ทาใหพ้ ืชมอี าการ ใบเหลอื งซีดท่ีเรยี กว่า คลอโรซสิ เนื่องจากใบขาดคลอโรฟลิ ล์ 2.5 ปรมิ าณนา้ ท่พี ืชได้รับ นา้ เป็นแหล่งของอิเลก็ ตรอนท่ีใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงเม่ือพชื ขาดนา้ อัตราการสงั เคราะหแ์ สงจะลดลงนอกจากนี้ นา้ มีผลตอ่ การปดิ เปดิ ของปากใบ ซึ่งมผี ลกระทบต่อการแพรก่ ระจาย 95
ของก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์เขา้ ไปในใบ ถา้ สภาพขาดน้าปากใบจะปดิ เพ่อื ลดการคายนา้ ทาใหข้ าดแคลนก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นการสงั เคราะหแ์ สง เทคโนโลยี (Technology) (1) สืบค้นขอ้ มลู ไฮโดรโปนกิ ส์ (2) เลอื กใชว้ ัสดอุ ุปกรณท์ ี่เหมาะสมและหาไดง้ า่ ย (3) การประชาสัมพันธ์และการตลาด วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) (1) การออกแบบรางปลูกผัก (2) ออกแบบผลติ ภัณฑใ์ ห้เหมาะสมกบั ตลาดทส่ี ง่ สินค้า (3) การออกแบบแพ็คเก็ตให้เหมาะสมกบั ตลาด คณิตศาสตร์ (Mathematics) (1) คานวณโครงสรา้ งของรางปลกู ผักและระยะหา่ งของแตล่ ะตน้ (2) คานวณต้นทุนผลผลิต และการจาหน่ายผลิตภัณฑ์ (3) การคดิ เปอร์เซ็นต์ความคุ้มคา่ ในการลงทุน 96
ใบความรู้สาหรับผู้รับบรกิ าร เร่ือง การปลกู ผักไฮโดรโปนกิ สม์ ืออาชพี วัตถปุ ระสงค์ เมอ่ื ส้ินสดุ แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรนู้ ี้ แล้ว ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายปจั จัยท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการเจรญิ เติบโตของผกั ไฮโดรโปนิกส์ 2. อธบิ ายทดลองปลกู ผักไฮโดรโปนิกสต์ ามข้ันตอนและวิธีการปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ 3. อธบิ ายความเช่อื มโยงหลกั การของสะเตม็ ในการปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์ เน้ือหา 1. ปัจจยั ทีเ่ ก่ียวข้องกับการเจรญิ เตบิ โตของผักไฮโดรโปนิกส์ 2. ขั้นตอนและวิธกี ารปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์ 3. ความเชือ่ มโยงหลักการของสะเต็มในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ วสั ดุ อปุ กรณ์ 1. รางปลกู 2. ถว้ ยปลกู 3. วัสดปุ ลูก 4. ปยุ๋ A B 5. ปม๊ั น้า 6. เมล็ดผักสลดั 7. เครือ่ งวัดค่า pH 8. เคร่อื งวดั ค่า EC 9. ถาดเพาะ 10. ถว้ ยตวง 11. ถงั ผสมปุ๋ย 12. ม้งุ กนั แมลง 13. ไมบ้ รรทัด 14. ตลบั เมตร 15. สายวดั ตัว 16. กระดาษบรฟุ๊ 17. ปากกาเคมี 97
ใบความรู้ เรอ่ื ง การปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์มืออาชีพ ปจั จัยที่เกย่ี วข้องกบั การเจริญเติบโตของผักไฮโดรโปนิกส์ ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ 1. ปัจจัยทางดา้ นพนั ธุกรรม ยีน (gene) เปน็ ตัวกาหนดลักษณะการเจรญิ เตบิ โตของพชื ไมว่ า่ จะเป็นสว่ นของราก ล้าตน้ ก่งิ กา้ น ใบ ตลอดจนดอกและผล การสะสมมวลชวี ภาพได้มากนอ้ ยเพียงใดข้ึนอยกู่ ับพันธุกรรมของพืชเอง พนั ธพุ์ ชื ที่จะใชก้ ับ การปลกู พชื ด้วยวิธไี ฮโดรโปนกิ สโ์ ดยเฉพาะยงั ไมม่ หี รือมนี ้อยมาก 2. ปัจจยั ทางดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม 2.1 แสง ตามธรรมชาติพืชจะใช้แสงอาทิตย์เปน็ แหล่งพลงั งาน เพ่ือทาให้เกดิ กระบวนการสังเคราะห์แสงทีใ่ บ หรือ ส่วนทีม่ ีสเี ขยี ว โดยมีคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซ่ึงเป็นรงควัตถสุ ีเขยี วชนดิ หนึง่ ท่มี ีหนา้ ทเี่ ป็นตัวรบั แสงเพื่อ เปลีย่ นก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และนา้ (H2O) เปน็ กลโู คส (C6H12O6) และก๊าซออกซเิ จน (O2) พชื ที่ปลูกใน บา้ นหรือเรือนทดลอง อาจใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าทดแทนแสงอาทิตยไ์ ด้แตก่ เ็ ปน็ การสิ้นเปลืองและไม่สมบรู ณ์ เมือ่ เปรียบเทียบกบั แสงธรรมชาติ 2.2 อากาศ พชื จาเป็นตอ้ งใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ท่ีมีอยปู่ ระมาณ 0.033 เปอรเ์ ซ็นต์ ในบรรยากาศในการ ผลติ กลโู คส (C6H12O6) ซง่ึ เปน็ สารอนิ ทรียเ์ รมิ่ ต้น เหตกุ ารณท์ พ่ี ืชจะขาดคาร์บอนไดออกไซด์ เปน็ ไปได้ยาก เนือ่ งจากมแี หล่งคารบ์ อนไดออกไซดอ์ ย่างเหลอื เฟือ เช่น การเผาไหมเ้ ช้ือเพลิงจากโรงงานและรถยนต์ ตลอดจน การผลิตไฟฟา้ เป็นตน้ สว่ นก๊าซออกซิเจน (O2) พืชตอ้ งการเพอ่ื ใชใ้ นกระบวนการหายใจ (Respiration) เพอ่ื เปลย่ี นพลังงานแสงอาทติ ยซ์ ึ่งถกู เกบ็ ไวใ้ นรปู พลังงานเคมี ในรปู ของน้าตาลกลโู คสและสามารถให้เป็นพลงั งานเพ่อื ใชใ้ นการขบั เคล่ือนกระบวนการเมตาโบลซิ มึ (Metabolism) ตา่ งๆ การหายใจของส่วนเหนอื ดินของพชื มักไมม่ ี ปัญหา เพราะในบรรยากาศมอี อกซิเจนเปน็ องคป์ ระกอบอยู่ถึง 20 เปอรเ์ ซ็นต์ สาหรับรากพืชมักจะขาดออกซเิ จน โดยเฉพาะการปลูกพชื ไรด้ ินดว้ ยเทคนิคการปลูกด้วยสารละลาย (Water Culture หรือ Liquid Culture) จาเปน็ 98
ต้องให้ออกซิเจนในจานวนท่ีเพียงพอต่อความต้องการของพชื การให้ออกซเิ จนแก่รากพืชจะให้ในรปู ของ ฟองอากาศท่ีแทรกอยู่ในสารละลายธาตอุ าหารพืช ซงึ่ ให้โดยใชเ้ ครื่องสูบลม หรือการใชร้ ะบบนา้ หมุนเวียน 2.3 นา้ คุณภาพนา้ เปน็ เรอ่ื งสาคญั มากเรอื่ งหน่งึ การปลูกพืชเพียงเลก็ น้อยเพือ่ การทดลองจะไม่มปี ญั หาแตก่ าร ปลกู เป็นการคา้ จะตอ้ งพจิ ารณาเรอื่ งของน้ากอ่ นอนื่ หากใชน้ ้าคุณภาพไมด่ ีทั้งองค์ประกอบทางเคมแี ละความ สะอาด จะก่อให้เกิดความลม้ เหลว นา้ เปน็ ตวั ประกอบท่ีสาคญั โดยจะถกู นาไปใช้ 2 ทาง คือ 1. ใช้เปน็ องคป์ ระกอบของพืช พชื มีน้าเปน็ องค์ประกอบประมาณ 90-95 เปอรเ์ ซน็ ตโ์ ดยน้าหนกั พชื ใชน้ ้า เพ่ือกอ่ ใหเ้ กดิ กจิ กรรมทม่ี ปี ระโยชน์ 2. ใชเ้ ปน็ ตวั ทาละลายธาตุอาหารพืชใหอ้ ยใู่ นรปู ไอออนหรือสารละลายธาตอุ าหารพืชโมเลกุลเลก็ เพอื่ ให้ รากดูดกินเข้าไป ปกติน้าประปาถือว่าใชไ้ ด้ แต่สาหรบั การทดลอง มักใช้น้ากลัน่ หรือนา้ ประปาที่ท้ิงใหค้ ลอรนี หมด ไป แหลง่ ของน้าที่ดีสุด สาหรับการปลกู พชื ไร้ดินเชงิ พาณิชย์ คือ นา้ ฝนหรือน้าจากคลองชลประทาน วสั ดุปลกู ผกั แบบไฮโดรโปนิกส์ 2.4 วัสดปุ ลูก วสั ดปุ ลกู หมายถงึ วัตถุ (material) ต่างๆ ท่ีเลือกสรรมา เพ่ือใช้ปลูกพืชและทาให้ต้นพชื เจรญิ เตบิ โตได้ เป็นปกติ วัสดุดังกล่าวอาจเป็นชนิดเดยี วกนั หรอื หลายชนดิ ผสมกนั ชนิดของวสั ดุปลกู อาจเป็นอนิ ทรียว์ ัตถกุ ็ได้ โดยทั่วไปวัสดปุ ลกู จะมบี ทบาทตอ่ การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตพืช 4 ประการ ได้แก่ ก. คา้ จนุ ส่วนของพืชทอี่ ยเู่ หนอื วสั ดุปลกู ให้ตั้งตรงอยูไ่ ด้ ข. เกบ็ สารองธาตอุ าหารพชื ค. กกั เก็บนา้ เพื่อเปน็ ประโยชน์ต่อพืช ง. แลกเปล่ยี นอากาศระหวา่ งรากพืชกับบรรยากาศเหนอื วสั ดุปลกู การปลกู พืชไรด้ นิ ด้วยเทคนคิ วสั ดปุ ลกู (Substrate Culture) วสั ดุปลกู พชื นับวา่ มีความสาคัญย่งิ วัสดุ ปลูกอาจจะเปน็ วสั ดอุ นนิ ทรีย์ (Inorganic media) เช่น ทราย กรวด หนิ ภูเขาไฟ เปอรไ์ ลท์ (Perlite) เวอร์มิควิ ไลท์ (Vermiculite) และรอ็ กวลู (Rockwool) เป็นตน้ หรอื วสั ดุอินทรีย์ (Organic media) เช่น ขเี้ ลื่อย ขุย มะพรา้ ว เปลอื กไมแ้ ละแกลบ เป็นต้น วัสดุปลูกควรมีอนภุ าคสม่าเสมอ ราคาถกู ปราศจากพิษ และศัตรูพชื และ 99
เปน็ วัสดุทีห่ างา่ ยในท้องถน่ิ นั้น ในญ่ปี ุ่นสว่ นใหญ่จะใชแ้ กลบเป็นวสั ดุปลกู แตแ่ กลบจะมีรพู รนุ มากจงึ ไมด่ ดู ซบั น้า ควรเก็บไวร้ ะยะหน่งึ หรอื ผสมกบั วัสดอุ ื่นทีก่ กั เกบ็ นา้ ได้ เช่น ขุยมะพรา้ ว ความสามารถในการอุม้ นา้ ของวัสดปุ ลูก เปน็ คุณสมบตั ิอยา่ งหนึง่ ท่ีมีผลต่อการเจรญิ เติบโตของพืช เพราะเกย่ี วข้องกบั สดั สว่ นของอากาศและน้า ในชอ่ งว่าง ที่เหมาะสม วัสดุปลกู ทเี่ ปน็ ของแข็ง สามารถจาแนกตามทม่ี าและแหลง่ กาเนิดของวสั ดุได้ดังต่อไปน้ี 1. วัสดปุ ลกู ทีเ่ ปน็ อนนิ ทรยี ส์ าร เชน่ - วัสดุทเ่ี กิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ เชน่ ทราย ก้อนกรวด หนิ ภูเขาไฟ หนิ ซลี ท์ ฯลฯ - วัสดุทผ่ี ่านขบวนการโดยใชค้ วามรอ้ น ทาให้วัสดุเหลา่ น้ี มีคุณสมบัตเิ ปลีย่ นไปจากเดมิ เชน่ ดนิ เผา เม็ดดินเผา ทีไ่ ด้จากการเผาเมด็ ดินเหนยี วท่อี ณุ หภูมสิ งู 1,100 องศาเซลเซยี ส ใยหนิ ที่ได้จากการหลอมหิน ภูเขาไฟที่ทา้ ใหเ้ ปน็ เส้นใยแล้วผสมด้วยสารเลซนิ เปอร์ไลท์ ท่ีได้จากทรายท่มี ีต้นกาเนิดจากภูเขาทอี่ ุณหภมู ิสงู 1,200 องศาเซลเซียส เวอร์มคิ ูไลท์ (vermiculite) ทไี่ ด้จากการเผาแร่ไมก้าท่อี ุณหภมู ิสงู 800 องศาเซลเซียส เปน็ ตน้ - วัสดุเหลอื ใชจ้ ากโรงงานอตุ สาหกรรม เช่น เศษจากการทาอฐิ มอญ เศษดนิ เผาจากโรงงาน เครอ่ื งปั้นดนิ เผา 2. วัสดปุ ลูกที่เป็นอนิ ทรีย์สาร เช่น วัสดุทเ่ี กิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เช่น ฟางข้าว ขุยและเส้นใยมะพร้าว แกลบและขเี้ ถ้า เปลือกถั่ว พีท หรอื วสั ดุเหลือใชจ้ ากโรงงานอุตสาหกรรม เชน่ ชานอ้อย กากตะกอนจากโรงงาน นา้ ตาล วัสดเุ หลือใช้จากโรงงานกระดาษ 3. วัสดสุ ังเคราะห์ เช่น เม็ดโฟม แผ่นฟองนา้ และเส้นใยพลาสตกิ ลักษณะของวัสดุปลูกที่ดี ภาพรวมใน การเลือกใช้วัสดปุ ลูกให้คานงึ ถงึ คือ ต้องสะอาด และทาความสะอาดงา่ ย มคี วามแขง็ แรง มีคณุ สมบัติทางกายภาพ ที่ดี เชน่ ไม่ทรดุ ตัวง่าย ถา่ ยเทน้าและอากาศได้ดมี ีคณุ สมบัตทิ ี่เหมาะสมทางเคมี เช่น ระดับของความเปน็ กรดดา่ ง ไมม่ ีสารทาลายรากพชื เป็นวสั ดุทส่ี ามารถเพาะเมล็ดได้ทกุ ขนาดและทกุ ประเภท ควรเป็นวสั ดุท่ีมรี าคาถกู ที่ สามารถหาได้ในทอ้ งถิน่ และไม่ก่อให้เกดิ ปัญหาต่อสงิ่ แวดล้อม 2.5 สารละลายธาตุอาหารพชื ธาตอุ าหารท่ีพืชต้องการในการเจริญเติบโตและให้ผลผลติ มีทั้งหมด 16 ธาตุ ซึง่ 3 ธาตุ คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซเิ จน ไดจ้ ากน้าและอากาศ และอีก 13 ธาตุ ไดจ้ ากการดดู กนิ ผา่ นทางราก ท้ัง 13 ธาตุแบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่ม ตามปรมิ าณทพ่ี ชื ต้องการ คอื ธาตุอาหารที่พชื ตอ้ งการเปน็ ปริมาณมากและธาตุอาหารทีพ่ ืช ตอ้ งการเป็นปริมาณนอ้ ย ก. ธาตอุ าหารท่พี ชื ตอ้ งการเป็นปริมาณมาก (macronutrient elements) ไนโตรเจน (N) พชื สามารถดดู กนิ ไนโตรเจนได้ท้ังในรูปของแอมโมเนยี มไอออน (NH4+)และไนเตรท ไอออน (NO3-) ซึ่งไนโตรเจนส่วนใหญใ่ นสารละลายธาตอุ าหารพืชจะอยูใ่ นรูปไนเตรทไอออนเพราะถา้ มี แอมโมเนยี มไอออนมากจะเป็นอันตรายตอ่ พชื ได้ สารเคมีท่ีให้ไนเตรทไอออน คอื แคลเซียมไอออน และ โปแตสเซียมไนเตรท นอกจากนี้ ยังอาจไดจ้ ากกรดดินประสิว (HNO3-) ทีใ่ ชใ้ นการปรบั ความเป็นกรดด่างของ สารละลายธาตอุ าหารพืช ฟอสฟอรสั (P) ในการปลูกพืชไร้ดิน พืชตอ้ งการธาตฟุ อสฟอรัสไม่มากเทา่ กบั ไนโตรเจน และโปแตสเซยี ม ประกอบกับไมม่ ีปญั หาในเรอื่ งความไม่เปน็ ประโยชนข์ องฟอสฟอรัสเหมอื นในดิน พืชจงึ ได้รบั ฟอสฟอรัสอยา่ งเพียงพอ รูปของฟอสฟอรัสทพี่ ชื สามารถดูดกนิ ไดค้ อื mono-hydrogenphosphate ion (HPO4- 2) สว่ นจะอยู่ในรูปใดมากกว่ากนั ข้ึนอยูก่ ับความเป็นกรดด่างของสารละลายในขณะน้ัน 100
โปแตสเซียม (K) รูปของโปแตสเซยี มท่ีพชื ดูดกินได้ คือ potassium ion (K+) โปแตสเซยี มทม่ี ีมากเกนิ พอ จะไปรบกวนการดูดกนิ แคลเซยี มและแมกนเี ซียม สารเคมีที่ให้โปแตสเซียม คอื potassuimnitrate และ potassium phosphate แคลเซยี ม (Ca) รปู ของแคลเซียมท่ีพชื ดดู กนิ ไดค้ ือ calcium ion (Ca+2) แหลง่ Ca+2 ทดี่ ีที่สุด คือ calcium nitrate เนื่องจากละลายง่าย ราคาไม่แพงและยังใหธ้ าตไุ นโตรเจนด้วย แคลเซยี มทมี่ มี ากในสารละลาย ธาตุอาหารพชื จะไปรบกวนการดูดกนิ โปแตสเซียมและแมกนเี ซยี ม ในน้าตามธรรมชาตจิ ะมแี คลเซียมอยู่ปรมิ าณ หน่งึ การเตรยี มสารละลายธาตุอาหารพชื จงึ ควรคิดแคลเซยี มในนา้ ดว้ ยจะไดไ้ มเ่ กิดปัญหาในการมแี คลเซียมมาก เกนิ ไป แมกนเี ซียม (Mg) รปู ของแมกนเี ซียมทีพ่ ืชดูดกินได้คือ magnesium ion (Mg+2) สารเคมีทใ่ี ห้ แมกนเี ซียมคือ magnesium sulfate (MgSO4) ในน้าธรรมชาตจิ ะมีแมกนเี ซียมอยู่ดว้ ย ฉะนั้นในการเตรียม สารละลายธาตุอาหารพชื จึงควรคานงึ ถงึ ด้วย แมกนเี ซียมทม่ี มี ากเกินพอในสารละลายจะไปรบกวนการดดู กนิ ธาตุ โปแตสเซียมและแคลเซียม กามะถัน (S) รปู ของกามะถันที่พชื สามารถดูดกนิ ได้ คอื sulfate ion (SO4-2) พบว่าไมค่ อ่ ยมี ปญั หาการ ขาดกามะถันในระบบการปลูกพชื ไรด้ นิ เพราะพชื ตอ้ งการกามะถันในปริมาณน้อย และจะได้รบั จากสารเคมพี วก เกลอื ซลั เฟตของ K, Mg, Fe, Cu, Mn และ Zn เปน็ ตน้ ข. ธาตอุ าหารทีพ่ ืชต้องการเป็นปริมาณนอ้ ยหรือจลุ ธาตุ (micronutrient elements) โบรอน (B) การแสดงอาการขาดธาตโุ บรอนของพืชพบเห็นไดย้ ากเนือ่ งจากพชื ตอ้ งการในปรมิ าณน้อย ซึ่ง ในนา้ ธรรมชาติก็มีโบรอนอย่ดู ว้ ย สารเคมีท่ีให้ borate ion (BO3-3) ซง่ึ พชื สามารถดูดกนิ ได้ คือ boric acid (H3BO3) สังกะสี (Zn) รปู ที่พชื สามารถดูดกนิ ไดค้ อื zinc ion (Zn+2) ซึ่งได้จาก zinc sulfate (ZnSO4) หรือ zinc chloride (ZnCl2) ทองแดง (Cu) สารเคมที ่ีให้ Copper ion (Cu+2) คือ copper sulfate (CuSO4) หรอื copperchloride (CuCl2) เหล็ก (Fe) พืชดดู กนิ ในรปู Fe+2 หรอื Fe+3 สารเคมีทใ่ี ห้ธาตุเหลก็ ทีม่ รี าคาถูกท่ีสดุ คือ ferrous sulfate (FeSO4) ซึง่ ละลายนา้ ได้ง่าย แต่ก็จะตกเป็นตะกอนไดเ้ รว็ จึงต้องควบคมุ สภาพความเป็นกรดดา่ งของ สารละลาย เพื่อหลกี เลี่ยงปัญหาเหล่าน้ี โดยการใชเ้ หลก็ ในรูปคีเลต (Fe-chelate) ซง่ึ เปน็ สารเกดิ จากการทา ปฏกิ ิริยาระหวา่ งเหล็กและสารคีเลต ซึง่ เปน็ สารประกอบอนิ ทรยี ์ เหล็กคีเลต เปน็ สารประกอบเชงิ ซ้อน สามารถคง ตัวอยใู่ นรูปสารละลายธาตุอาหารพชื และพืชดูดกินได้ เหลก็ คเี ลตทนี่ ิยมใชก้ นั อย่ใู นรปู ของ EDTA หรอื EDDHA แมงกานสี (Mn) มลี กั ษณะเหมือนกบั เหล็กคือ ความเปน็ ประโยชนข์ องแมงกานีส จะถูก ควบคมุ โดย ความเปน็ กรดด่าง ถ้าสารละลายธาตุอาหารพืชมีลักษณะด่าง ความเปน็ ประโยชนข์ องแมงกานีสจะลดลง manganese ion (Mn+2) ซ่งึ เป็นรปู ท่ีพชื สามารถดดู กนิ ได้ จะไดจ้ ากสารเคมี manganese sulfate(MnSO4) หรือ manganese chloride (MnCl2) โมลิบดินัม (Mo) รูปท่ีพชื สามารถดูดกนิ ไดค้ ือ molybdate ion (MoO4-2) ซ่ึงได้จากสาร sodium molybdate หรอื ammonium molybdate 101
คลอรนี (Cl) ในน้าจะมีคลอรีนในรูปของคลอไรด์ (chloride ion (Cl-) ซึ่งเปน็ รปู ทพี่ ชื จะนาไปใช้ ประโยชนเ์ จือปนอยดู่ ว้ ย จากการเตรียมสารละลายธาตุอาหารพืชจะได้คลอไรดจ์ ากสารเคมี potassium chloride รวมทั้งจากจุลธาตบุ างธาตุที่อย่ใู นรูปของสารประกอบคลอไรด์ ถา้ สารละลายมี Cl- มากเกินพอ จะไปมี ผลยับยั้งการดดู กนิ anions ตวั อนื่ เชน่ nitrate (NO3-) และซัลเฟต (SO4-2) การควบคมุ ความเป็นกรดด่าง (pH) และคา่ การนาไฟฟ้า (EC) ของสารละลายธาตอุ าหารพืช การรกั ษาหรือควบคมุ ความเป็นกรดดา่ ง และค่าการนาไฟฟ้าในสารละลายอาหารนี้ เพอื่ ใหพ้ ืชสามารถดูด ใชป้ ุย๋ หรือสารอาหารพชื ได้ดี และเพอ่ื ให้ปริมาณสารอาหารแก่พชื ตามที่ตอ้ งการ 1. การรกั ษาหรอื ควบคุม pH เนอ่ื งจากค่าความเปน็ กรดดา่ งในสารละลายจะเป็นค่าทบ่ี อกให้ทราบถงึ ความสามารถของรากทีจ่ ะ ดดู ธาตุอาหารตา่ งๆ ท่ีอยู่ในสารละลายธาตุอาหารพชื ได้ ปกติแล้วควรรกั ษาค่าความเป็นกรดด่างที่ 5.8-7.0 เพราะ เป็นค่าหรอื ช่วงทีธ่ าตุอาหารพชื ต่างๆ สามารถคงรูปในสารละลายทพี่ ชื นาไปใชไ้ ด้ดี คา่ ความเปน็ กรดดา่ งในสารละลายธาตอุ าหารพชื เปลย่ี นแปลงได้หลายสาเหตุ เช่น การเปลยี่ นแปลง เนอ่ื งจากการท่รี ากพืชดูดธาตุอาหารในสารละลายธาตุอาหาร แลว้ พชื ปลดปลอ่ ยไฮโดรเจน (H+) และไฮดรอกไซด์ (OH-) จากรากสู่สารละลายธาตอุ าหารพชื ท้าให้ pH เปล่ียนแปลงไป เช่น - ประจุไฟฟ้าลบ หรอื แอนไอออน (anions) เชน่ ไนเตรท (NO3-), ซลั เฟต (SO4- -), ฟอสเฟต (PO4- - -) แล้วจะปลดปลอ่ ยไฮดรอกไซด์ (OH-) สสู่ ารละลายธาตอุ าหาร - ประจไุ ฟฟ้าบวก หรือแคตไอออน (cations) เช่น แคลเซยี ม (Ca++), แมกนเี ซียม (Mg++),โปแตสเซยี ม (K+), แอมโมเนยี ม (NH4+) แลว้ จะปลดปลอ่ ยไฮโดรเจน (H+) สสู่ ารละลายธาตอุ าหารปกติแล้วธาตุอาหารใน สารละลายธาตุอาหารพชื มีประจุไฟฟา้ บวกหรอื แคตไอออนมากกว่าค่าของประจุไฟฟา้ ลบหรอื แอนไอออนแล้ว ค่าความเปน็ กรดดา่ งจะลดลง ในขณะทีก่ ารดูดกินแอนไอออนมากกว่าแคตไอออนจะเพิ่มความเป็นกรดด่างใน สารละลายธาตุอาหารพชื สาหรบั การใหธ้ าตุอาหารบางชนิดทพี่ ืชตอ้ งการใชใ้ นปรมิ าณมาก คอื ธาตุไนโตรเจน (Nitrogen, N) ซึ่งมกี ารให้ทั้ง 2 รปู แบบ คอื ในรูปแบบของประจลุ บในสารอาหารในรูปของไนเตรส (NO3-) และ ในรูปแบบของประจบุ วกในสารอาหารในรูปของแอมโมเนยี ม (NH4+) นั้น ต้องพิจารณาถงึ อตั ราส่วนของสารน้ี ให้ ดีเพราะจะมอี ิทธพิ ลต่อการเปลยี่ นแปลงของความเปน็ กรดดา่ งและการใชป้ ระโยชนข์ องพชื มาก การปรับเพื่อลดหรอื เพมิ่ คา่ ความเป็นกรดด่างน้ัน สามารถทาได้โดยเติมสารลงไปในสารละลายธาตุอาหาร พืช เชน่ 1.1 การปรับเพอ่ื ลดค่าความเป็นกรดดา่ ง โดยการเติมสารใดสารหนึ่งต่อไปนี ลงไปในสารละลาย ธาตุ อาหารพชื เช่น Sulfuric acid (H2SO4) หรอื Nitric acid (HNO3) หรือ Hydrochloric acid (HCl) หรอื Acetic acid 1.2 การปรบั เพ่ือเพม่ิ คา่ ความเป็นกรดดา่ ง ให้สงู ข้ึน ทาโดยการเตมิ สารใดสารหน่งึ ต่อไปนี้ ลงไปใน สารละลายธาตุอาหารพชื เช่น Potassium hydroxide (KOH) หรอื Sodium hydroxide (NaOH) หรือ Sodium bicarbonate หรือ Bicarbonate of soda (NaHCO3) 102
ลักษณะรากผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ Hydroponics 2. การควบคมุ คา่ การนาไฟฟา้ (Electrical Conductivity) เน่อื งจากป๋ยุ ท่ีละลายในนา้ ที่คา่ ของอิออน (ion) ท่ีสามารถให้กระแสไฟฟ้าทีม่ ีหนว่ ยเปน็ โมท์ (Mho) แต่ ค่าของการนากระแสไฟฟ้านี้ ค่อนขา้ งน้อยมาก จึงมีการวัดเปน็ คา่ ทม่ี หี น่วยเปน็ มิลลโิ มท์/เซนตเิ มตร (milliMhos/cm) อนั เป็นค่าท่ีไดจ้ ากการวัดการนากระแสไฟฟา้ จากพ้ืนที่หน่งึ ควิ บิกเซนติเมตรของสารอาหาร การวดั ค่าการนาไฟฟา้ จะทาให้เราทราบเพียงค่ารวมของการนาไฟฟ้าของสารละลายธาตุอาหารพชื (คือนา้ กับป๋ยุ ที่ เปน็ ธาตอุ าหารพืชท้ังหมดในถังท่ใี ส่สารอาหารท้ังหมด) เทา่ นั้น แต่ไม่ทราบค่าของสัดส่วนของธาตุอาหารใดธาตุ อาหารหนึง่ ท่ีอยู่ในถัง ท่อี าจเปลี่ยนไปตามเวลาเนื่องจากพชื น้าไปใช้หรอื ตกตะกอน ดังน้ันหลงั จากมกี ารปรับค่าการนาไฟฟ้าไปได้ระยะหน่ึงแลว้ จึงควรเปลยี่ นสารละลายในถังใหม่ เปน็ ระยะๆ โดยเฉพาะประเทศทม่ี อี ากาศร้อนอย่างประเทศไทย ควรเปลยี่ นสารละลายใหมเ่ ปน็ ระยะๆ เช่น ทุก 3 สัปดาห์ ซง่ึ การเปล่ียนสารละลายธาตอุ าหารพืชแต่ละคร้ังก็หมายถงึ การเสียค่าใช้จ่ายเพม่ิ ข้ึน ปกติแลว้ ควรรักษาค่าการนา ไฟฟ้าของสารอาหารระหวา่ ง 2.0-4.0 มิลลิโมท์/เซนตเิ มตร (milliMhos/cm) การเปลย่ี นแปลงค่าการนาไฟฟา้ ของสารละลาย แมว้ ่าปกตแิ ลว้ ควรรักษาคา่ การนาไฟฟา้ ของสารอาหารระหว่าง 2.0-4.0 มิลลิโมท/์ เซนติเมตร (milliMhos/cm=mMhos/cm) 1 (mMho/cm) = 1Millisiemen/cm (mS/cm) 1 Millisiemen/cm (mS/cm) = 650 ppm ของความเข้มขน้ ของสารละลาย (salt) ปกตแิ ลว้ ความเข้มข้นของสารอาหารควรอย่ใู นชว่ ง 1,000-1,500 ppm เพ่ือให้แรงดันออสโมติกของ กระบวนการดดู ซมึ ธาตอุ าหารของรากพืชได้สะดวกคา่ การนาไฟฟ้าจะแตกตา่ งกนั ไปตามชนดิ ของพชื ระยะการ เติบโต และความเขม้ ของแสง เชน่ คา่ การนาไฟฟา้ ท่ีตา่ คือ (1.5-2.0 mMho/cm) เหมาะสมตอ่ การปลูกแตงกวา ค่าการนาไฟฟา้ ทีส่ งู คอื (2.5-3.5 mMho/cm) เหมาะสมต่อการปลกู มะเขอื เทศ คา่ การนาไฟฟ้า (1.8-2.0 mMho/cm) เหมาะสาหรบั การปลกู ผกั และไม้ดอกไม้ประดบั ทัว่ ไป ค่าการนาไฟฟา้ จะแตกต่างกันไปตามระยะการเจรญิ เติบโตและความแข็งแรงของต้นพืช เพราะค่า การนา ไฟฟ้าที่สูงจะยบั ย้ังการเจรญิ เตบิ โตของพชื คา่ การนาไฟฟ้าทตี่ ่าจะเหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตทางลาตน้ กอ่ นการ 103
ใหผ้ ล (Vegetative growth) และสูงขึ้นเมื่อพชื ให้ผลผลติ (Reproductive growth) ดังนั้นการปลูกพืชท่ใี ห้ผล ผลติ เชน่ มะเขือเทศควรค้านงึ ถงึ ข้อนี้ ดว้ ย นอกจากนี ค่าการนาไฟฟา้ น้ี จะแตกต่างกนั ไปตามความเข้มขน้ ของแสง เช่น กลา่ วคอื ถ้าแสงมีความ เข้มขน้ มาก พชื ต้องการสารละลายท่ีมีความเข้มข้นน้อยลง คอื พืชจะดดู น้ามากกวา่ ธาตอุ าหาร การเปล่ียน สารละลายใหม่ เน่ืองจากการวดั ค่าการนาไฟฟ้า จะทาให้เราทราบเพยี งค่ารวมของการนาไฟฟา้ ของสารอาหารคือ นากบั ธาตุอาหารท้ังหมดในถงั ทใี่ ส่สารละลายธาตุอาหารพชื เท่าน้ัน แตไ่ มท่ ราบคา่ ของสดั สว่ นของธาตอุ าหารแต่ละ ชนิดทีเ่ ปลย่ี นไปตามเวลาทใี่ ห้ เนอ่ื งจากธาตอุ าหารบางธาตุพชื นาไปใช้น้อยจึงเหลือสะสมในสารอาหาร (เช่น โซเดยี มและคลอรนี ) ซงึ่ จะมผี ลทา้ ให้ความเป็นประโยชนห์ รอื องค์ประกอบของสารละลายตัวอนื่ ๆ เปลยี่ นแปลงไป หรือ ตกตะกอน ดงั นั้น จึงควรเปลีย่ นสารละลายในถงั ใหม่เปน็ ระยะๆ โดยเฉพาะประเทศทมี่ อี ากาศรอ้ นอยา่ งประเทศไทย ควรเปล่ียนสารละลายใหม่เป็นระยะ เช่น ทุก 3 สัปดาหก์ ารรักษาหรือควบคมุ คา่ ความเปน็ กรดดา่ ง และคา่ การนา ไฟฟ้าในสารละลายธาตอุ าหารพชื น้ี สามารถกระทาโดยใช้แรงงานหรือใชร้ ะบบควบคมุ แบบอัตโนมัติก็ได้ ข้นั ตอนและวธิ กี ารปลกู ผกั ไฮโดรโปนิกส์ ปลกู พืชไมใ่ ชด่ ิน การปลูกพชื โดยไมใ่ ชด้ นิ จะมกี ารจัดการอยู่ 2 ส่วน ไดแ้ ก่ ในสว่ นของพชื และส่วนของสารละลายธาตุอาหาร การจัดการพืช ความสาเร็จของ การผลติ อยู่ท่ีความแข็งแรงและความสมบรู ณ์ของต้นกลา้ เพราะจะทาใหพ้ ืชสามารถ เจรญิ เตบิ โตและตั้งตัวไดเ้ รว็ วิธีการเพาะกลา้ มีอยูด่ ว้ ยกันหลายวิธี เชน่ การเพาะกล้าในถว้ ยเพาะแบบสาเร็จรูป โดยใช้ เพอรไ์ ลท์ และ เวอร์มคิ ไู ลท์ เปน็ วสั ดุท่ีใชเ้ พาะ, การเพาะกลา้ ในแผน่ ฟองนา้ สว่ นมากจะนยิ มปลกู ในรูป ของแผน่ โฟม และ การเพาะกล้าในวัสดุปลูก ซง่ึ ใช้วัสดุที่ได้จากทั้งในและตา่ งประเทศ เช่น เวอรม์ ิคไู ลท์ หิน ฟอสเฟต เพอร์ไลท์ ขยุ มะพรา้ ว แกลบ ข้ีเถา้ แกลบ หินกรวด ทราย เปน็ ตน้ ท้ังนี้ ขน้ึ อย่กู บั ระบบท่ีใชป้ ลกู การ 104
จัดการดา้ นสารละลาย ในสารละลายธาตุอาหารท่ีใช้ปลูกพืชจาเป็นตอ้ งมีการควบคมุ ค่า pH และ EC ของสารละลายเพอ่ื ให้พืช สามารถดูดปยุ๋ หรอื สารละลายธาตอุ าหารได้ดี ตลอดจนตอ้ งมกี ารควบคมุ อณุ หภูมิและออกซิเจนในสารละลาย ธาตอุ าหาร การรกั ษาหรือควบคุมค่า pH ของสารละลายธาตุอาหารพชื ค่า pH หมายถงึ ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของสารละลายธาตอุ าหารพืช สาเหตุท่ตี ้องมกี ารควบคมุ pH เพอ่ื ใหพ้ ชื สามารถดูดใชป้ ุ๋ยหรือสารอาหารได้ดี เพราะคา่ ความเป็นกรดเป็นดา่ งในสารละลายจะเป็นค่าท่ีบอกให้ ทราบถงึ ความสามารถของปยุ๋ ท่ีจะอยใู่ นรูปที่พืชสามารถดดู ธาตอุ าหารตา่ งๆ ที่มอี ย่ใู นสารละลายธาตุอาหารพชื ได้ ถา้ คา่ pH สูงหรอื ต่าเกนิ ไป อาจทาใหเ้ กิดการตกตะกอน หากสารละลายธาตอุ าหารพืชมีความเปน็ กรดมากเกนิ สามารถปรับ โดยใช้โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ (KOH) โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) หรอื แอมโมเนยี มไฮดรอก-ไซด์ (NH4OH) หากสารละลายธาตุอาหารมีความเปน็ ดา่ งมากเกิน สามารถ ปรบั โดยเติมกรดซัลฟรู กิ (H2SO4) กรดไนตรกิ (HNO3) กรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) กรดฟอสฟอริก (H3PO4) หรือ กรดอซติ ิก (CH3COOH) เครือ่ งมือที่ใช้วดั คา่ ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ ง คือ pH meter กอ่ นใช้ควรปรบั เคร่ืองมือให้มคี วามเท่ียงตรง ก่อน โดยใช้นา้ ยามาตรฐานหรือที่เรียกว่า “สารละลายบฟั เฟอร์มาตรฐาน” (Buffer Solution) การควบคุมค่า EC ของสารละลายธาตอุ าหารพืช ชนิดของพชื ระยะการเตบิ โต ความเข้มของแสง และขนาดของถงั ท่ีบรรจุสารอาหารพืช สภาพภมู ิอากาศ ก็มผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลงค่า EC เน่ืองจาก โดยท่ัวไปเมื่อพืชยงั เลก็ จะมีความตอ้ งการ EC ทตี่ ่า และจะเพม่ิ มากขึ้น เมอ่ื พชื มีความเจรญิ เติบโตท่ีมากข้ึน และพืชแต่ละชนดิ มีความต้องการค่า EC แตกตา่ งกัน เช่น ผกั สลดั มีความต้องการสารละลายธาตุอาหารที่มีค่า EC ระหว่าง 0.5 – 2.0 mS/cm แตงกวา มีความต้องการสารละลายธาตุอาหารท่ีมคี า่ EC ระหว่าง 1.5 – 2.0 mS/cm ผักและไมด้ อก มีความต้องการสารละลายธาตอุ าหารที่มีค่า EC ระหวา่ ง 1.8 – 2.0 mS/cm มะเขือเทศ มคี วามตอ้ งการสารละลายธาตุอาหารท่ีมคี ่า EC ระหว่าง 2.5 – 3.5 mS/cm แคนตาลปู มคี วามตอ้ งการสารละลายธาตอุ าหารทมี่ ีค่า EC ระหวา่ ง 4 – 6 mS/cm เครื่องมือที่ใช้วดั ค่าการนาไฟฟ้า (Electrical Conductivity) เรียกว่า EC meter ก่อนใช้ควรปรบั ความ เทยี่ งตรงเสียก่อน โดยปรบั ท่ีปมุ่ ของเคร่อื งในสารละลายมาตรฐาน ซ่งึ คา่ ทีว่ ดั ไดจ้ ะเปล่ียนแปลงไปตามอณุ หภมู ิ ของสารละลาย กลา่ วคือ ยิง่ สารละลายมีอุณหภมู ิสูงข้ึน คา่ EC กจ็ ะสงู ขน้ึ ตามด้วย Hydroponics 105
ความเช่อื มโยงหลกั การของสะเต็มในการปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์ วทิ ยาศาสตร์ (Science) ธาตุอาหาร ธาตอุ าหารพชื เปน็ สงิ่ จาเปน็ สาหรับการเจรญิ เติบโตของพืช ประกอบด้วย 17 ธาตุ ได้แก่ คาร์บอน, ไฮโดรเจน, ออกซเิ จน, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซยี ม, แคลเซียม, แมกนีเซียม, กามะถัน, เหล็ก, แมงกานสี , สงั กะสี, ทองแดง, โบรอน, โมลบิ ดีนมั , คลอรีน และนเิ กลิ แบ่งเป็น มหธาตุ 9 ธาตุ (macronutrient elements) หรือธาตุอาหารมหพั ภาค คือ ธาตุอาหารทพี่ ืชตอ้ งการในปริมาณมาก และขาดไม่ได้ โดยมีความเข้มขน้ ของธาตุ อาหารโดยนา้ หนักแหง้ เมอ่ื พืชเจรญิ เตบิ โตเต็มวัยสูงกว่า 500 มลิ ลิกรมั /กิโลกรมั ได้แก่ คารบ์ อน, ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ซึง่ ได้จากนา้ และอากาศ ส่วนไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม, แคลเซยี ม, แมกนเี ซยี ม และ กามะถนั พืชไดจ้ ากดนิ ในบางคร้ัง มหธาตจุ ะกล่าวถึงเพยี ง 6 ธาตุ ไม่นบั รวมคาร์บอน, ไฮโดรเจน และออกซิเจน ทไ่ี ด้จากน้า และอากาศ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน, ฟอสฟอรสั , โปแตสเซยี ม, แคลเซียม, แมกนีเซยี ม และกามะถัน โดย แบง่ เป็น 2 กลุ่ม คอื 1. กลุม่ ธาตอุ าหารหลัก (primary nutrient elements) 3 คือ ธาตอุ าหารพืชท่ตี อ้ งการในปรมิ าณมาก 3 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั และโพแทสเซยี ม 2. กล่มุ ธาตอุ าหารรอง (secondary nutrient elements) คือ ธาตุอาหารท่ีพชื ตอ้ งการในปริมาณนอ้ ย กวา่ กวา่ กลุ่มแรก 3 ธาตุ ไดแ้ ก่ แคลเซียม แมกนีเซยี ม และกามะถนั จุลธาตุ 8 ธาตุ (micronutrient elements) คือ ธาตอุ าหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อย โดยที่มีความเข้มขน้ ของธาตอุ าหารโดยนา้ หนกั แห้ง เมือ่ พืชเจรญิ เตบิ โตเตม็ วยั ตา่ กว่า 100 มลิ ลกิ รมั /กิโลกรมั ไดแ้ ก่เหล็ก, แมงกานสี , สังกะสี, ทองแดง, โบรอน, โมลบิ ดนี ัม, คลอรีน และนิเกิล สาหรบั ธาตนุ เิ กิล เพ่ิงจะมกี ารรวมเข้าเปน็ ธาตทุ ี่ 8 โดยมี การศึกษา พบวา่ นกิ เกิลเป็นองคป์ ระกอบสาคัญของเอนไซมย์ รู ีเอส ทท่ี าหน้าที่กระตุ้นปฏิกิรยิ าไฮโดรไลซิสยเู รยี ให้ เปน็ แอมโมเนีย และคารบ์ อนไดออกไซด์ และท้าหน้าท่สี าคัญในการสรา้ งสารประกอบอนิ ทรยี ไ์ นโตรเจน นอกจากน้ัน พืชบางชนิดยังตอ้ งการธาตอุ าหารอื่นๆอีก เชน่ โคบอลท์ (CO), โซเดยี ม (Na), อะลูมิเนยี ม (Al), แวนาเดียม (Va), ซิลิเนยี ม (Se), ซิลกิ อน (Si) และอนื่ ๆ เรียก ธาตุอาหารกล่มุ เหล่านี ว่า beneficial element 106
ธาตอุ าหารหลกั 1. ไนโตรเจน ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบของพชื ประมาณรอ้ ยละ 18 และปริมาณไนโตรเจนกว่าร้อยละ 80-85 ของ ไนโตรเจนทั้งหมดที่พบในพชื จะเปน็ องคป์ ระกอบของโปรตีน รอ้ ยละ 10 เป็นองคป์ ระกอบของกรดนวิ คลอี ิก และ รอ้ ยละ 5 เปน็ องค์ประกอบของกรดอะมิโนทีล่ ะลายได้ โดยท่ัวไป ธาตุไนโตรเจนในดนิ มักขาดมากกว่าธาตอุ ื่น โดย พืชนาไนโตรเจนทมี่ าใชผ้ ่านการดูดซึมจากรากในดินในรูปของเกลือไนเตรท (NO3-) และเกลอื แอมโมเนียม (NH4+) ธาตไุ นโตรเจนในดินมกั สญู เสียไดง้ า่ ยจากการชะลา้ งในรูปของเกลือไนเตรท หรือเกดิ การระเหยของ แอมโมเนีย ดังน้ัน หากต้องการใหไ้ นโตรเจนในดินท่เี พียงจงึ ตอ้ งใส่ธาตุไนโตรเจนลงไปในดนิ ในรูปของปุย๋ นอกจากนี้ พืชยังได้รับไนโตรเจนจากการสลายตวั ของอนิ ทรยี วตั ถุ และการแปรสภาพของสารอนิ ทรีย์โดยจุลนิ ทรีย์ ในดนิ รวมถงึ การไดร้ ับจากพชื บางชนิด เชน่ พชื ตระกลู ถ่ัว ที่มีไรโซเบียมช่วยตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศ ความ ต้องการธาตุไนโตรเจนของพชื ขึ้นกบั หลายปจั จัย อาทิ ชนดิ ของพชื อายุของพืช และฤดูกาล หน้าท่ี และ ความสาคัญต่อพืช 1. ทาให้พืชเจริญเติบโต และตั้งตัวได้เรว็ โดยเฉพาะในระยะแรกของการเจริญเตบิ โต 2. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบ และลาต้น ทาให้ลาตน้ และใบมสี ีเขยี วเขม้ 3. สง่ เสรมิ การสรา้ งโปรตีนให้แกพ่ ชื 4. ควบคมุ การออกดอก และติดผลของพืช 5. เพิม่ ผลผลิตใหส้ งู ขึ้น โดยเฉพาะพชื ทใี่ ห้ใบ และลาต้น 2. ฟอสฟอรสั ฟอสฟอรสั ในดนิ มกั มีปรมิ าณทไี่ มเ่ พยี งพอกับความตอ้ งการของพืชเชน่ กนั เนอ่ื งจากเปน็ ธาตทุ ถี่ กู ตรงึ หรือเปล่ียนเปน็ สารประกอบได้ง่าย สารเหล่าน้ี มักละลายนา้ ได้ยาก ทาให้ความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรสั ต่อ พชื ลดลง ฟอสฟอรสั ที่พบในพชื จะในรปู ของฟอสเฟตไอออนทีพ่ บมากในทอ่ ลาเลยี งนา้ เมล็ด ผล และในเซลลพ์ ืช โดยทาหนา้ สาคญั เก่ียวกบั การถ่ายทอดพลงั งาน เป็นวตั ถุดบิ ในกระบวนการสรา้ งสารตา่ งๆ และควบคุมระดับ ความเปน็ กรด-ด่าง ของกระบวนการลาเลียงนา้ ในเซลล์ การนาฟอสฟอรสั จากดินมาใช้ พืชจะดูดฟอสฟอรสั ในรปู 107
อนุมลู ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (H2PO4-) และไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-) ปริมาณสารทั้งสองชนดิ จะมากหรอื นอ้ ยข้ึนกบั คา่ ความเปน็ กรด-ด่างของดิน ดนิ ที่มสี ภาพความเปน็ กรด ฟอสฟอรัสจะอยู่ในรปู ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน(H2PO4-) หากดินมสี ภาพเปน็ ด่าง ฟอสฟอรสั จะอยใู่ นรปู ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-) แตส่ ารเหลา่ นี้ ในดนิ มกั ถกู ยดึ ดว้ ยอนภุ าคดนิ เหนียว ทาใหพ้ ชื ไมส่ ามารถนาไปใชไ้ ด้ รวมถงึ รวมตวั กับ ธาตุอ่นื ในดนิ ทาใหพ้ ชื ไม่สามารถนามาใช้ประโยชนไ์ ด้ เชน่ ในสภาพดินท่ีเปน็ เบส และเปน็ กรดจัดท่ีมีแรธ่ าตุ และ สารประกอบอ่ืนมากฟอสเฟตจะรวมตวั กับไอออนประจบุ วก และลบของธาตุ และสารประกอบเหล่าน้ัน กลายเป็น เกลอื ทีไ่ มล่ ะลายน้าทาให้พืชนาไปใชไ้ ดน้ ้อย ดงั น้ัน ในสภาพดนิ ที่เป็นกลาง พืชจะนาฟอสเฟตไอออนมาใช้ ประโยชนไ์ ดด้ ีกวา่ โดยทวั่ ไปพชื จะต้องการฟอสฟอรัสประมาณ 0.3-0.5 เปอรเ์ ซน็ ตโ์ ดยน้าหนักแห้ง เพ่ือใหก้ าร เจริญเติบโตทางใบเป็นปกติ แตห่ ากไดร้ บั ในปริมาณสงู กว่า 1 เปอร์เซน็ ตโ์ ดยน้าหนกั แหง้ จะเกิดความเป็นพิษต่อ พืช หนา้ ท่ี และความสาคญั ตอ่ พชื 1. ส่งเสริมการเจรญิ เติบโตของราก ทั้งรากแก้ว รากฝอย และรากแขนง โดยเฉพาะในระยะแรกของการ เจรญิ เตบิ โต 2. ชว่ ยเรง่ ใหพ้ ืชแก่เรว็ ชว่ ยการออกดอก การติดผล และการสรา้ งเมลด็ 3. ช่วยใหร้ ากดดู โปแตสเซยี มจากดินมาใชเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้มากข้ึน 4. ช่วยเพม่ิ ความตา้ นทานตอ่ โรคบางชนดิ ทาใหผ้ ลผลิตมีคุณภาพดี 5. ชว่ ยให้ลาต้นแขง็ แรง ไม่ล้มงา่ ย 6. ลดผลกระทบที่เกิดจากพชื ได้รับไนโตรเจนมากเกนิ ไป 3. โปแตสเซียม โดยทัว่ ไป โพแทสเซยี มกระจายอยู่ดนิ ช้ันบน และดนิ ช้ันลา่ งในปริมาณที่ไม่แตกตา่ งกัน โพแทสเซียมเปน็ ธาตุท่ีจาเปน็ สาหรับพืชเหมอื นกับธาตฟุ อสฟอรัส และธาตไุ นโตรเจน พืชจะดดู โพแทสเซียมจาก ดินในรปู โพแทสเซยี มไอออน โพแทสเซียมเปน็ ธาตทุ ล่ี ะลายนาไดด้ ี และพบมากในดินทว่ั ไป แตส่ ่วนใหญจ่ ะรวมตัว กบั ธาตอุ ่ืนหรือถกู ยึดในชั้นดนิ เหนียว ทาใหพ้ ืชน้าไปใชไ้ มไ่ ด้ การเพ่ิมปรมิ าณโพแทสเซยี มในดินจะเกิดจากการ สลายตัวของหินเปน็ ดินหรือปฏิกิรยิ าของจลุ นิ ทรยี ์ในดินท่พี ชื สามารถนาไปใชไ้ ด้ โพแทสเซยี มท่เี ปน็ องค์ประกอบ ของพชื พบมากในสว่ นยอดของตน้ ปลายราก ตาขา้ ง ใบอ่อน ในใจกลางลาต้น และในทอ่ ลาเลียงอาหาร โดยทั่วไป ความตอ้ งการโพแทสเซยี มของพชื อย่ใู นช่วง 2-5 เปอร์เซน็ ต์ โดยน้าหนักแหง้ บทบาทสาคัญของ โพแทสเซยี ม คือ ช่วยกระตุ้นการทา้ งานของเอนไซม์ ชว่ ยในกระบวนการสรา้ งแปง้ ชว่ ยใน กระบวนการสงั เคราะห์แสง ควบคุมศักย์ออสโมซีส ช่วยในการล้าเลยี งสารอาหาร ช่วยรักษาสมดลุ ระหว่างกรด และเบส หนา้ ที่ และความสาคญั ต่อพชื 1. สง่ เสริมการเจรญิ เติบโตของราก ทา้ ให้รากดูดน้า และธาตุอาหารได้ดีขึ้น 2. จ้าเปน็ ตอ่ การสร้างเน้ือผลไม้ การสรา้ งแปง้ ของผล และหวั จึงนยิ มใหป้ ุ๋ยโพแทสเซยี มมากในระยะเร่ง ดอก ผล และหัว 3. ช่วยให้พืชต้านทานการเปลยี่ นแปลงปริมาณแสง อุณภูมหิ รอื ความชื้น 4. ช่วยให้พชื ต้านทานตอ่ โรคตา่ งๆ 5. ชว่ ยเพ่มิ คณุ ภาพของพชื ผกั และผลไม้ ทาให้พืชมีสสี ัน เพม่ิ ขนาด และเพม่ิ ความหวาน 6. ช่วยปอ้ งกนั ผลกระทบจากที่พชื ได้รบั ไนโตรเจน และฟอสฟอรัสมากเกินไป 108
การตรวจสอบคา่ PH ค่า pH (Potential of Hydrogen ion) ค่า pH ในความหมายของการปลูกพชื ไร้ดนิ คือคา่ ความเปน็ กรด-เบส ของสารละลาย (น้าผสมธาตอุ าหารท่ีใชใ้ น การปลูกพืช) โดยค่า pH จะมีชว่ งการวดั อย่ทู ่ี 1 - 14 โดยจะนับคา่ ท่ี 7 เปน็ กลาง กล่าวคือ หากวดั ค่าได้ต่ากวา่ 7 แสดงวา่ ของเหลวน้ันเป็นกรด หากวดั ได้สูงกว่า 7 ข้ึนไปแสดงวา่ เป็นเบส สาหรับการปลูกพืชด้วยนา้ น้ันค่า pH มี ส่วนสาคัญเปน็ อยา่ งมากสาหรบั การทาปฏิกิริยาทางเคมกี ับธาตอุ าหารที่ใชเ้ ล้ียงพชื โดยธรรมชาติน้าท่ีมีความเป็น กรดจะทาให้ธาตอุ าหารพืชละลายตัวไดด้ ี และพืชสามารถดูดซึมไปใช้งานไดอ้ ยา่ งสะดวก แตถ่ า้ หากน้าทีใ่ ช้ผสม ธาตอุ าหารพืชมคี วามเป็นเบสสูงจะทาให้ธาตอุ าหารพชื ตกตะกอนจนพืชไมส่ ามารถดูดซึมไปใชง้ านได้ ดงั น้ัน การ ปรับคา่ pH ผู้ปลูกจะต้องปรบั ใหอ้ ยู่ในระดับทีเ่ หมาะสมกับอายุการปลูกและชนดิ ของพืชน้ันๆ ด้วย โดยปกตคิ ่า pH ทใี่ ช้ในการปลูกพืชจะมีค่าอยู่ในช่วง 5.5 - 7.0 แตค่ ่าที่ดีท่สี ุดต่อการละลายตวั ของธาตุอาหารพืชจะอยูท่ ี่ 5.8 - 6.3 การปลูกพชื ด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์น้ันจะมีการกาหนดค่า pH ของการปลกู พชื เปน็ 2 ระยะ คอื ระยะท่ี 1 (ระยะเจรญิ เติบโต) อยูใ่ นช่วงวันที่ 1 - 28 กาหนดค่า pH อยทู่ ่ี 5.8 - 6.5 ระยะท่ี 2 (ระยะสร้างผลผลิต) อยใู่ นช่วงวนั ท่ี 29 ขึ้นไป กาหนดค่า pH อยทู่ ่ี 6.5 - 7.0 การลดคา่ pH นิยมใช้ กรดไนตรกิ (Nitric Acid) มสี ูตรทางเคมี คือ (HNO3) ซงึ่ กรดชนิดน้ีเม่อื ผสมกบั นา้ จะแตกตวั เป็นอนุมูลยอ่ ย เป็นไนโตรเจน ซ่ึงเป็นธาตอุ าหารหลักของพชื และกรดท่นี ิยมใช้อีกชนิดหนึง่ คอื กรด ฟอสฟอริก (Phosphoric Acid) มีสูตรทางเคมี คือ H3PO4 ซึ่งกรดชนดิ น้ีเม่ือผสมกับน้าจะแตกตวั เป็นอนมุ ูลย่อย เปน็ ฟอสฟอรสั ซึ่งเปน็ ธาตอุ าหารหลกั ของพชื เช่นกัน การใช้กรดทั้งสองชนิดนี้จงึ มผี ลพลอยไดจ้ ากการปรับลดค่า pH แลว้ ยังไดธ้ าตุอาหารพชื เพิม่ ขึ้นมาในระบบอกี ด้วย การเพิ่มค่า pH นยิ มใช้ โพแทสเซียมคารบ์ อเนต (Potassium Carbonate) หรอื โพแทสเซยี มไฮดรอกไซต์ (Potassium Hydroxide) ซง่ึ เคมีท้ัง 2 ชนิดนี้ เม่อื ผสม กบั น้าจะแตกตัวเป็นอนุมลู ยอ่ ย ไดโ้ พแทสเซยี ม ซึ่งเปน็ ธาตอุ าหารหลักของพืชเชน่ กนั ข้อควรระวังในการปรบั คา่ pH การปรับคา่ pH คอ่ ยปรบั ดว้ ยความระมดั ระวงั และค่อยปรับลดลง อยา่ ปรับค่า pH ให้ตา่ เกนิ กวา่ 4 จะ ทาใหร้ ากพชื ไดร้ ับอันตรายจากการกัดกร่อนของกรด จนทาให้รากพืชอ่อนแอ และเชื้อโรคเขา้ ทาลายได้งา่ ยข้ึน ค่า pH ทีต่ ่าเกินไปยงั สง่ ผลให้ความเขม้ ข้นของธาตเุ หล็กในระบบปลกู มสี ูงข้ึน ถา้ ธาตเุ หล็กในระบบปลกู มีมากเกนิ ไป 109
จะเปน็ พิษกบั พชื ได้ ในทางกลบั กนั ถา้ ปล่อยให้คา่ pH สูงเกินกวา่ 7 เปน็ ระยะเวลาตดิ ตอ่ กัน 2 - 3 วัน จะส่งผลตอ่ การดูดซมึ ธาตอุ าหารพชื เช่น ฟอสฟอรสั , เหลก็ , แมงกานสี โดยค่า pH ท่ีเหมาะสมคือ 5.8 - 6.3 ตารางแสดงปริมาณความเข้มข้นของธาตอุ าหารพืช ในคา่ pH ระดับต่างๆ (ค่า pH ท่สี มบรู ณ์ทส่ี ดุ ตอ่ ปริมาณธาตอุ าหารคือ 6.25) การตรวจสอบคา่ Ec คา่ EC (Electric Conductivity) คา่ EC คอื คา่ เหน่ยี วนากระแสไฟฟา้ ในของเหลว ในการปลูกไฮโดรโปนกิ ส์หมายถึงปริมาณแรธ่ าตุที่ ละลายอยใู่ นของเหลว โดยปกตินา้ บริสุทธิ์จะมคี า่ นากระแสไฟฟา้ ตา่ หรอื มคี ่าเป็นศนู ย์ แต่เมอ่ื มกี ารเตมิ สารละลาย ต่างๆ ลงในในนา้ น้ันจะทาใหค้ า่ สารละลาย หรือค่านากระแสไฟฟา้ ในน้านน้ั ๆ สงู ขนึ้ ด้วย พืชแต่ละชนดิ จะมีความ ตา้ นทานต่อคา่ EC หรือ (ความเขม้ ข้นของธาตอุ าหารพืช) ทีไ่ มเ่ ท่ากนั ทั้งน้ี ขนึ้ อยู่กับสายพนั ธุ์, อายุของพืช และ สภาพแวดล้อมในการปลูกขณะน้ันด้วย หากเราใช้ค่า EC ไม่เหมาะสมกับพชื แล้วจะท้าให้พชื น้ันเจริญเติบโตไม่ เปน็ ปกติ หรอื ขาดความสมบูรณ์ได้ ปัจจยั ที่เปน็ ตัวกาหนดค่า EC คอื 1. ชนิดและสายพันธุพ์ ชื กล่าวคือ พืชตอ้ งอาศยั การคายน้าทางใบเพอื่ ให้เกิดแรงดันท่รี ากพชื เพอื่ ให้น้าที่ ผสมธาตอุ าหารซมึ ผ่านจากรากไปยงั ส่วนต่างๆ ของพชื ได้ หากคา่ EC สูงกวา่ ค่ามาตราฐาน ของพชื ชนิดน้ันๆ พืช จะไมส่ ามารถนาพาน้าที่มธี าตุอาหารไปยังสว่ นตา่ งๆ ของพืชได้ สง่ ผลให้พืชเจริญเติบโตได้ไมด่ ี และเกิดขาดธาตุ อาหารตา่ งๆ ได้ 2. อายขุ องพชื กล่าวคือ พชื ในแต่ละช่วงอายจุ ะมี การใช้ธาตอุ าหารไม่เทา่ กนั โดยจะแบ่งออกเปน็ 3 ช่วง ของการเจรญิ เตบิ โต ดังนี้ 2.1 ช่วงต้นเกลา้ : ชว่ งสปั ดาห์แรกของการเจรญิ เตบิ โต เม่ือพชื งอกออกจากเมลด็ พืชจะใช้ 110
พลงั งานและอาหารจากใบเลี้ยงเป็นหลัก ทาใหก้ ารกาหนดค่า EC ในช่วงสปั ดาหแ์ รกนี้ จะอยู่ท่ปี ระมาณ 30-50 % ของคา่ EC ในพืชชนิดนั้นๆ และจะเพมิ่ ขึ้นเร่ือยๆ ในสปั ดาห์ตอ่ ไป 1.2 ชว่ งเจรญิ เตบิ โต : ช่วงสปั ดาห์ที่ 3 เปน็ ตน้ ไป ช่วงนี้ เปน็ ช่วงที่พชื ตอ้ งการใชพ้ ลังงานและ ธาตุอาหารสูงมาก เพื่อใชใ้ นการสรา้ งส่วนต่างๆ ของใบ, ล้าตน้ , ดอก โดยจะใช้ธาตุอาหารประมาณ 80 - 100% ของคา่ EC ในพชื ชนิดนั้นๆ 1.3 ชว่ งขยายพันธุ์ : เป็นช่วงท่ีพชื ผ่านการเจรญิ เติบโตอย่างเต็มทม่ี าแล้วพชื ได้ทาการสะสม อาหารและพลงั งานมาไวอ้ ย่างเต็มท่แี ลว้ พืชจะเริ่มใช้ธาตอุ าหารใหม่น้อยลง โดยเฉลย่ี จะอยทู่ ี่ประมาณ 50 - 70% ของคา่ EC ในพืชชนดิ นั้นๆ 3. สภาพอากาศและฤดูกาล หากชว่ งเวลาดังกล่าวมปี จั จยั ที่ทาให้พชื ต้องคายน้าสูง เชน่ แสงแดดจดั , อากาศร้อน พชื จาเปน็ ตอ้ งมกี ารดดู ซมึ น้ามากขน้ึ เพือ่ นามาชดเชยนา้ ท่ีสญู เสียไป หากมีการใช้คา่ EC ทสี่ งู ในช่วง เวลาดังกล่าวแล้ว พชื จะนานา้ ไปชดเชยนา้ ที่เสยี ไปได้ลาบาก เราจงึ เหน็ พืชเห่ยี วเฉาในช่วงเวลาที่อากาศร้อนและ แสงแดดจัด ดังน้ันชว่ งเวลาทอี่ ากาศรอ้ นมากๆ และแสงแดดแรงเกินไปเราตอ้ งปรับลดค่า EC ลง พรอ้ มกบั ลด กจิ กรรมการคายนา้ ของพชื ลง เช่น พรางแสง, เสปรย์น้า เพอื่ ลดอณุ หภูมิลง ค่ามาตราฐานสาหรบั น้าท่ีจะนามาใช้ ในการปลูกพืชไฮโดรโปนิกส์ จะตอ้ งมีค่าเริ่มตน้ ก่อนใสป่ ยุ๋ ไมเ่ กิน 0.3 ms/cm หากค่าเกินจะทาให้มีข้อจากัดใน การใส่ธาตุอาหารพชื (ใสธ่ าตอุ าหารพืชได้นอ้ ยลง) เพราะกงั วลว่าคา่ EC จะเกินกว่าทีพ่ ชื นั้นๆ จะรบั ได้ จนกระทบ ต่อการเจรญิ เติบโตของพืชได้ นา้ ที่เหมาะสมท่ีสดุ ในการนามาใชใ้ นการปลูกพืชไฮโดรฯ ได้แก่ น้าฝน, นา้ ประปา สว่ นภูมิภาคและประปานครหลวง ฯลฯ เนอ่ื งจากมีค่า EC ตา่ และเป็นแหล่งน้าท่ีประหยดั สว่ นนา้ ที่ไม่แนะนามาใช้ ในการปลกู เชน่ นา้ บาดาล เนอื่ งจากสว่ นใหญน่ ้าบาดาล จะมีคา่ EC สงู แลว้ ยังมี แคลเซียมคาบอเนท (หินปูน) สาเหตุของความกระด้างในน้า ทาให้ปุ๋ยตกตะกอนได้งา่ ย หากไมส่ ามารถหาน้าไดจ้ ากแหลง่ ดังกล่าวจริงอาจจะ ตอ้ งมกี ารบา้ บดั ดว้ ยวธิ กี รองเพือ่ ลดค่าสารละลายในน้าลงกอ่ นเพอ่ื ให้มีค่า EC อยใู่ นระดับท่ีเหมาะสมที่จะนามา ปลกู พชื ได้ โดยวธิ กี ารกรองตอ้ งใชเ้ คร่ืองกรองท่สี ามารถกรองสารละลายในนา้ ได้ เช่น ระบบกรอง Reverse Osmosis (R.O.) หรือการกรองด้วยระบบกรอง Softener ดว้ ยสารกรอง Resin เปน็ ต้น คา่ EC และ pH ของพืชแตล่ ะชนิด ชนิดพชื คา่ EC ค่า pH กล้วย 1.8 - 2.2 5.5 - 6.5 กวางตุ้งใบ, กวางตุ้งดอก, ฮ่องเต้ 1.5 - 2.5 6.0 - 7.0 กะหล่าดอก 1.5 - 2.0 6.5 - 7.0 กะหล่าปล,ี กะหล่าดาว 2.5 - 3.0 6.5 - 7.0 ข้าวโพดหวาน 1.6 - 2.4 6.0 แครอท 1.6 - 2.0 6.3 เซอลารี่ 1.8 - 2.4 6.5 แตงกวา 1.7 - 2.5 5.5 111
ชนิดพชื คา่ EC คา่ pH แตงกวาซูกนิ ี 1.8 - 2.4 6.0 แตงโม 1.8 - 2.4 5.8 ถว่ั 2.0 - 4.0 6.0 บลอคเคอรี่ 2.8 - 3.5 6.0 - 6.8 บลเู บอรี่ 1.8 - 2.0 4.0 - 5.0 บาเซิล, โหระพา 1.0 - 1.6 5.5 - 6.0 บที รูท 1.8 - 5.0 6.0 - 6.5 ผักขม 1.8 - 2.3 6.0 - 7.0 พาสเลย์ 0.8 - 1.8 5.5 - 6.0 ฟักทอง 1.8 - 2.4 5.5 - 7.0 มะเขอื เทศ 2.0 - 4.0 6.0 - 6.8 มะเขอื มว่ ง 2.5 - 3.5 6.0 เมลอ่ น 2.0 - 2.5 6.0 - 6.8 เรดชิ , หวั ไชเท้า 1.6 - 2.2 6.0 - 7.0 วอเตอร์เครส 0.4 - 1.6 6.5 - 6.8 สตรอเบอรี่ 1.8 - 2.2 6.0 - 6.8 สลัด 1.1 - 1.7 6.0 - 7.0 สะระแหน่, มิ น 2.0 - 2.4 5.5 - 6.0 สบั ปะรด 2.0 - 2.4 5.5 - 6.5 เสาวรส 1.6 - 2.4 6.5 หนอ่ ไม้ฝรั่ง 1.4 - 1.8 6.0 - 6.8 เอ็นไดว์, ชโิ คลี่ 2.0 - 2.4 5.8 - 6.5 การสงั เคราะห์แสง การสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) เป็นกระบวนการสาคญั ทีพ่ ชื สีเขยี ว ซ่ึงมีรงควัตถพุ วกคลอโรฟิลลเ์ ป็นตัวนาพลังงานแสงเปล่ยี นเป็น พลังงานเคมีมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนใ์ นการสรา้ งอาหารจากโมเลกุลของคารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ ไปเปน็ คารโ์ บไฮเดรตคือนา้ ตาลหรือแปง้ รวมท้ังการปลดปล่อยออกซิเจนออกมา ปจั จัยทมี่ ีผลตอ่ การสังเคราะห์แสง แบ่ง ได้ 2 ประเภท คอื 112
1. ปัจจยั เกย่ี วกบั พืช หมายถงึ ชนดิ ของพชื สภาพทางสรีรวทิ ยาของพชื เช่น ในใบพืชท่ีอ่อนหรือแก่เกินไปพบว่าความสามารถ ในการสังเคราะหแ์ สงต่า ใบท่ีอ่อนเกนิ ไปการพัฒนาของคลอโรฟิลลย์ งั ไม่เต็มที่ ส่วนใบที่แก่เกินไปจะมีการสลายตัว ของรงควตั ถใุ นคลอโรพลาสต์ การสญู เสยี โครงสร้างทส่ี าคัญน้ี มีผลทาให้อตั ราการสงั เคราะหแ์ สงลดลง 2. ปจั จัยเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ 2.1 แสง เป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่งิ เพราะการสงั เคราะหแ์ สงเป็นการใช้พลงั งานจากแสงมาสรา้ งเป็นอาหาร และเก็บสะสมพลงั งานนั้นไว้ในอาหารท่สี ร้างข้ึน พลงั งานธรรมชาตทิ ีพ่ ชื ได้รบั คือพลังงานจากแสงแดด เราอาจใช้ แสงจากไฟฟา้ หรือตะเกียงกไ็ ด้ แต่สแู้ สงแดดไม่ได้ พืชแตล่ ะชนดิ มีความตอ้ งการความเข้มของแสงไม่เทา่ กนั ถ้า ความเข้มของแสงมากเกินจุดอม่ิ ตวั แสง อาจทาให้ใบไหม้เกรียมตายได้ ถ้าปรมิ าณความเข้มของแสงตา่ พืชกจ็ ะมี อตั ราการสังเคราะห์แสงต่า แตพ่ ชื ไมส่ ามารถลดอตั ราการหายใจให้ต่าลงไปดว้ ย จะทาใหพ้ ชื ไมเ่ จริญและตายได้ ในท่ีสุด 2.2 อุณหภูมิ พชื แต่ละชนิดมีชว่ งอุณหภูมิในการสังเคราะห์ท่ตี า่ งกนั ต้ังแต่ 5-40 องศาเซลเซียส พชื เขต รอ้ นอุณหภมู ิทเ่ี หมาะสมอยใู่ นช่วงที่ค่อนข้างสงู ส่วนพชื เขตอบอุน่ หรอื เขตหนาวจะทาการสังเคราะห์แสงได้ดใี น อุณหภูมคิ อ่ นขา้ งตา่ ถา้ อุณหภูมิสูงหรอื ต่าเกินไปมผี ลต่อการทางานของเอนไซมใ์ นปฏกิ ิรยิ า 2.3 ปริมาณกา๊ ซในบรรยากาศ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) เป็นกา๊ ซท่ีมผี ลตอ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง ใน สภาพที่มแี สงและอุณหภูมิพอเหมาะอตั ราการสงั เคราะห์แสงจะข้ึนกับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเพิ่มปริมาณ ความเข้มขน้ ของคารบ์ อนไดออกไซดใ์ หส้ ูงขึ้น จะมีผลทาให้อตั ราการสงั เคราะห์แสงเพ่ิมข้ึนจนถึงจุดอ่ิมตวั พชื จะ ไมเ่ พม่ิ อตั ราการสังเคราะหแ์ สงอีก 2.4 ธาตุอาหาร การขาดธาตุอาหารมผี ลตอ่ อตั ราการ สงั เคราะห์ด้วยแสงทั้งทางตรงและทางออ้ ม แมกนีเซยี มและไนโตรเจน เปน็ ธาตทุ สี่ าคญั ในองค์ประกอบของคลอโรฟลิ ลก์ ารขาดสารเหล่านี้ ทาใหพ้ ืชมอี าการ ใบเหลืองซีดท่ีเรยี กว่า คลอโรซิส เนื่องจากใบขาดคลอโรฟิลล์ 2.5 ปริมาณน้าท่ีพชื ไดร้ ับ น้าเป็นแหล่งของอเิ ลก็ ตรอนทีใ่ ช้ในกระบวนการสงั เคราะห์แสงเมอื่ พชื ขาดน้า อัตราการสังเคราะหแ์ สงจะลดลงนอกจากน้ี น้ามีผลต่อการปดิ เปิด ของปากใบ ซึง่ มผี ลกระทบตอ่ การแพรก่ ระจาย 113
ของกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดเ์ ข้าไปในใบ ถ้าสภาพขาดนา้ ปากใบจะปดิ เพ่อื ลดการคายนา้ ทาใหข้ าดแคลนก๊าซ คาร์บอนไดออกไซดใ์ นการสังเคราะหแ์ สง เทคโนโลยี (Technology) (1) สืบคน้ ข้อมลู ไฮโดรโปนิกส์ (2) เลอื กใช้วัสดอุ ุปกรณท์ ่ีเหมาะสมและหาได้ง่าย (3) การประชาสัมพันธแ์ ละการตลาด วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) (1) การออกแบบรางปลูกผกั (2) ออกแบบผลิตภัณฑใ์ หเ้ หมาะสมกบั ตลาดที่สง่ สินค้า (3) การออกแบบแพ็คเก็ตให้เหมาะสมกบั ตลาด คณติ ศาสตร์ (Mathematics) (1) คานวณโครงสร้างของรางปลูกผกั และระยะหา่ งของแต่ละตน้ (2) คานวณต้นทนุ ผลผลติ และการจาหนา่ ยผลิตภัณฑ์ (3) การคิดเปอร์เซ็นต์ความคมุ้ ค่าในการลงทุน 114
ใบกจิ กรรม เรือ่ ง การปลกู ผกั ไฮโดรโปนิกส์มอื อาชพี วัตถปุ ระสงค์ เมื่อสิ้นสุดแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร้นู ้ีแลว้ ผู้รบั บริการสามารถ 1. อธบิ ายปจั จยั ท่เี กย่ี วข้องกับการเจริญเตบิ โตของผักไฮโดรโปนกิ ส์ 2. อธิบายทดลองปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ตามข้ันตอนและวิธีการปลูกผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ 3. อธิบายความเช่อื มโยงหลักการของสะเต็มในการปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ เนื้อหา 1. ปัจจัยที่เกีย่ วขอ้ งกบั การเจรญิ เติบโตของผักไฮโดรโปนกิ ส์ 2. ข้ันตอนและวิธีการปลกู ผกั ไฮโดรโปนิกส์ 3. ความเชื่อมโยงหลกั การของสะเต็มในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ คาชี้แจง รายละเอียดการปลกู ผักไฮโดรโปนิกสม์ ืออาชพี 1. แบง่ กลุ่มผู้รบั บริการออกเปน็ กลุม่ ๆ ละ 5-10 คน 2. แจกอปุ กรณใ์ หก้ ับผรู้ บั บรกิ ารแต่ละกลุ่ม (รางปลูก/ถ้วยปลกู / วสั ดุปลกู /ปยุ๋ A B/ป๊ัมน้า/เมล็ดผกั สลัด/ เครอ่ื งวัดคา่ pH/เครือ่ งวัดค่า EC /ถาดเพาะ/ถว้ ยตวง/ถังผสมปุ๋ย มงุ้ กันแมลง/ไมบ้ รรทดั /ตลับเมตร/สายวัดตวั / กระดาษบรุ๊ฟ/ปากกาเคมี) 3. ให้ผรู้ ับบริการแต่ละรว่ มกนั วเิ คราะหส์ ถานการณ์ทก่ี าหนด “ในชุมชนแห่งหน่งึ เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม มี พ้ืนทที่ ีเ่ ปน็ ดินจานวนน้อย มคี วามตอ้ งการในการปลกู ผักไวเ้ พอื่ บรโิ ภคและจาหน่าย ควรเลอื กวธิ ีการปลูกผัก อย่างไร จงึ ทาใหไ้ ดผ้ ลผลติ สูงและผกั มีคุณภาพ” 4. ให้ผรู้ บั บริการแตล่ ะกลุ่มวางแผนการออกแบบโครงสร้างของรางปลูกผกั ตามสถานการณท์ กี่ าหนด และ วาดแบบรา่ งลงในกระดาษบรฟุ๊ วาดรูปโครงสร้างของรางปลูก 115
5. ให้ผูร้ บั บริการแตล่ ะกลุม่ ปฏิบัตกิ ารปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ ตามแบบรา่ งของแต่ละกลมุ่ 6. ให้แต่ละกลมุ่ วเิ คราะหค์ วามเช่ือมโยงสะเตม็ กับการปลูกผกั ไฮโดรโปนิกส์ เขยี นลงในกระดาษบรุ๊ฟ 6.1 เขียนชอ่ื กิจกรรม 6.2 วาดรปู ภาพ 6.3 หาความเชือ่ มโยง STEM (ใชห้ ลกั การใดเข้ามาเกี่ยวข้อง) • S = .................................................................. • T = .................................................................. • E = .................................................................. • M= .................................................................. 7. ผู้จดั กิจกรรมสุ่มคดั เลือกกลมุ่ ผู้รบั บริการออกมานาเสนอผลงาน 2-3 กลมุ่ 8. ผ้จู ัดกิจกรรมและผ้รู ับบรกิ ารแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และสรุปส่ิงทไ่ี ด้เรยี นรรู้ ่วมกนั 116
ฐานการเรยี นรู้ท่ี 5 เรือ่ ง กระดาษสร้างรายได้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ่ี 5 เรอื่ ง กระดาษสร้างรายได้ จานวน 3 ชัว่ โมง 117
แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 5 เร่ือง กระดาษสรา้ งรายได้ เวลา 3 ชั่วโมง แนวคิด กระดาษ เป็นวัตถุแผน่ บาง ๆ โดยทามาจากใยเปลือกไม้ ฟาง เศษผ้า และอาจมีส่วนผสมอย่างอน่ื ๆ กระดาษมีประโยชนม์ ากมาย เช่น การประดิษฐ์ดอกไมก้ ระดาษ กระดาษห่อของขวญั กระดาษลูกฟกู สาหรับทา กลอ่ ง กระดาษชาระ เป็นต้น การประดษิ ฐด์ อกไม้จากกระดาษสามารถนาไปประกอบอาชพี ในอนาคตหรอื เป็น อาชพี เสรมิ และสามารถนาไปใช้งานในโอกาสต่าง ๆ ได้ ซึง่ เป็นอาชพี ท่ตี ้องอาศยั ความรพู้ น้ื ฐานเกี่ยวกับรปู ทรง และรปู รา่ งทางเรขาคณิต แกนสมมาตร รวมถึงการประมาณการประดิษฐ์ดอกไมต้ ่าง ๆ มรี ปู ทรงและรปู ร่างและ วธิ ีการในการออกแบบทมี่ คี วามยากงา่ ยแตกต่างกนั เชน่ การประดิษฐด์ อกกุหลาบ ดอกพดุ ซอ้ น ดอกมะลิ เปน็ ตน้ นามาประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตประจาวนั วัตถปุ ระสงค์ เม่ือส้ินสุดแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้นแ้ี ลว้ ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธบิ ายรปู เรขาคณติ และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ 2. ประดษิ ฐด์ อกไม้กระดาษ เน้ือหา 1. รูปเรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ 1.1 รูปร่างและรปู ทรงเรขาคณิต 1.2 แกนสมมาตร 2. ประดิษฐ์ดอกไมก้ ระดาษ 2.1 การออกแบบดอกไมป้ ระดิษฐ์ 2.2 ลักษณะของกระดาษท่ีนามาประดิษฐ์ดอกไม้ แผนผงั ความเช่ือมโยงระหว่าง สะเต็มกับเนือ้ หาทเี่ รยี นรู้ S : วทิ ยาศาสตร์ T : เทคโนโลยี E : วศิ วกรรมศาสตร์ M : คณิตศาสตร์ - การดัดกลีบดอก - ความคดิ สรา้ งสรรค์ - กระบวนการออกแบบ - การวดั - การติดกลีบดอก - การใช้ทรพั ยากร เชงิ วิศวกรรม (การ - การตดั อย่างคุ้มคา่ ออกแบบรูปทรง - รูปเรขาคณติ ดอกไม้) 118
ขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันตอนท่ี 1 กิจกรรมการเรยี นรู้ประสบการณท์ างวทิ ยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผู้จัดกจิ กรรมทักทายและแนะนาตนเองกบั ผูร้ บั บริการ และชีแ้ จงวัตถปุ ระสงค์ของฐานการ เรยี นรู้ท่ี 5 เรอ่ื ง กระดาษสรา้ งรายได้ ไดแ้ ก่ (2) อธิบายรูปเรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ (3) ประดษิ ฐ์ดอกไม้กระดาษ 2. ผูจ้ ัดกจิ กรรมซกั ถามประสบการณ์เดมิ ของผู้รบั บริการเกีย่ วกบั เรอ่ื งทีจ่ ะเรียนรโู้ ดยสุ่มผ้รู บั บรกิ าร จานวน 3-5 คน ตามความสมัครใจใหต้ อบคาถาม จานวน 3 ประเด็นดังน้ี ประเดน็ ท่ี 1 “อาชีพใดท่ีตอ้ งใช้ความรูร้ ูปทางเรขาคณติ ” ประเด็นที่ 2 “รจู้ กั การประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษหรอื ไม่” ประเด็นท่ี 3 “การประดษิ ฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษควรใชล้ กั ษณะกระดาษแบบใด” 3. ผจู้ ัดกจิ กรรมและผรู้ ับบริการ แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น และสรปุ ผลการเรยี นรูร้ ว่ มกัน 4. ผู้จดั กิจกรรมเชือ่ มโยงประสบการณ์เดิมของผ้รู ับบริการกับเนือ้ หาการเรียนรู้ เรอื่ ง การประดษิ ฐ์ ดอกไม้กระดาษ โดยบรรยายเรอื่ ง การประดษิ ฐด์ อกไม้กระดาษ ตามใบความรขู้ องวทิ ยากร เร่อื ง การประดษิ ฐ์ ดอกไมก้ ระดาษ หลงั จากน้ันเชื่อมโยงการบูรณาการสะเต็มศึกษากบั เน้ือหาทเ่ี รียนรู้ ตามใบความร้ขู องผจู้ ดั กิจกรรม เรือ่ ง การเช่อื มโยงสะเต็มศกึ ษากับการประดิษฐด์ อกไม้ ดังน้ี 4.1 Science (วิทยาศาสตร์) (1) การดัดกลีบดอก (2) การติดกลีบดอก 4.2 Technology (เทคโนโลยี) (1) ความคิดสร้างสรรค์ (2) การใช้ทรัพยากรอย่างคมุ้ ค่า 4.3 Engineering (วิศวกรรมศาสตร์) (1) กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม (การออกแบบรูปทรงดอกไม้) 4.4 Mathematics (คณติ ศาสตร์ (1) การวดั (2) การตดั (1) รูปเรขาคณิต 5. ผจู้ ดั กจิ กรรมแจกใบความรู้สาหรับผรู้ ับบริการ เร่ือง การประดษิ ฐ์ไม้จากกระดาษใหผ้ ้รู ับบรกิ ารศกึ ษา หลงั จากน้นั ผจู้ ัดกิจกรรมและผ้รู บั บรกิ ารแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ และสรุปผลการเรยี นรรู้ ่วมกัน 119
ข้ันตอนที่ 2 กิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ท่ที ้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผจู้ ดั กิจกรรมเชอ่ื มโยงเนื้อหาในขน้ั ตอนที่ 1 เรื่อง รูปเรขาคณิต แกนสมมาตร และการนา ประยกุ ตใ์ ช้กับการออกแบบดอกไม้ โดยกาหนดสถานการณ์ให้ผรู้ ับบริการประดิษฐด์ อกไม้จากกระดาษ กล่มุ ละ 3 ดอก ไว้ติดฉากสาหรับถ่ายรปู โดยในการแข่งขนั ครั้งนี้ เป็นการแขง่ ขนั การออกแบบการประดษิ ฐ์ดอกไมจ้ าก กระดาษ โดยมีข้อกาหนดวา่ จะตอ้ งเป็นดอกไม้กระดาษขนาดใหญ่ และมีความสวยงาม เหมาะสม ถูกใจ คณะกรรมการ จงึ จะชนะการแข่งขนั คร้งั น้ี” หลงั จากน้นั ให้ผรู้ ับบรกิ ารออกแบบดอกไม้ และลักษณะของ กระดาษท่ีนามาประดิษฐ์ดอกไม้ ตามใบกจิ กรรมของผ้รู ับบรกิ าร พรอ้ มทง้ั เตรยี มวัสดอุ ุปกรณ์ใหก้ ับผูร้ ับบริการใน การปฏบิ ตั กิ จิ กรรม (กระดาษสี/กรรไกร/ดนิ สอ/กาวซลิ โิ คน/ปืนกาวซิลโิ คน) 2. ใหผ้ เู้ ข้ารับบริการตั้งประเด็นขอ้ สงสยั ในกระบวนการหรือหลกั การทีเ่ กี่ยวข้อง รวมไปถงึ การ ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจรงิ 3. ผ้จู ัดกิจกรรมและผรู้ บั บริการแลกเปลย่ี นความคิดเห็นและสรุปผลการเรยี นรู้ร่วมกนั 4. ผู้รับบรกิ ารแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลงาน ซ่ึงอาจนาเสนอโดยใช้โปสเตอร์และชนิ้ งานทีป่ ระดิษฐ์ แลว้ ทงั้ นต้ี อ้ งนาเสนอในประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้ ประเดน็ ท่ี 1 วธิ ีการออกแบบและขนาดของดอกไม้ และจานวนกระดาษท่ใี ช้ ประเด็นท่ี 2 ขน้ั ตอนการออกแบบ แนวคิดสรา้ งสรรค์ ประเด็นท่ี 3 ปญั หาและอปุ สรรคทเ่ี กิดขึ้นระหวา่ งการทางาน และแนวทางในการแกไ้ ข ขั้นตอนท่ี 3 กจิ กรรมการสรุปผลการนาวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ในชวี ิตประจาวนั (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ใหผ้ ้รู บั บริการตอบคาถามโดยสุ่มผรู้ บั บรกิ าร จานวน 3 – 5 คน ตามความสมัคร ใจให้ตอบคาถาม ในประเดน็ “ท่านจะนาความรู้ เร่ือง การประดษิ ฐ์ดอกไม้จากกระดาษ ไปประยกุ ตใ์ ช้ ในชวี ติ ประจาวัน อยา่ งไร” 2. ผจู้ ัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการสรปุ ร่วมกัน สือ่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ และแหลง่ เรยี นรู้ 1. ใบความรู้สาหรับผู้จัดกจิ กรรม เรอ่ื ง รปู เรขาคณิตและแกนสมมาตร 2. ใบความรู้สาหรับผู้จัดกจิ กรรม เร่อื ง การประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ 3. ใบความรู้สาหรบั ผ้รู ับบรกิ าร เร่อื ง รูปเรขาคณิตและแกนสมมาตร 4. ใบความรู้สาหรบั ผูร้ บั บรกิ าร เรอื่ ง การประดิษฐ์ดอกไม้จากกระดาษ 5. ใบกิจกรรม เร่ือง การประดษิ ฐ์ดอกไม้จากกระดาษ 6. วัสดอุ ปุ กรณ์ ไดแ้ ก่ 6.1 กระดาษ เช่น กระดาษสา กระดาษสโี ปสเตอร์สองหน้า กระดาษอืน่ ๆ 6.2 กรรไกร 6.3 ดนิ สอ 120
6.4 ปืนกาวซิลิโคน 6.5 กาวซิลิโคนแท่ง 6.6 กาวลาเท็กซ์ 7. หนงั สอื รปู แบบดอกไม้ การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตการณ์มสี ว่ นร่วมของผรู้ ับบริการ 2. ช้ินงาน/ผลงาน 3. ความคุ้มค่า 4. การนาเสนอ 5. ทักษะและความคิดสร้างสรรค์ 121
บันทึกผลหลงั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลการใชแ้ ผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. จานวนเนื้อหากบั จานวนเวลา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล ...................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. การเรยี งลาดบั เนอื้ หากบั ความเข้าใจของผูร้ ับบรกิ าร เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 3. การนาเข้าสบู่ ทเรยี นกบั เนอ้ื หาแต่ละหวั ขอ้ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 4. วธิ กี ารจัดกิจกรรมการเรียนรกู้ บั เนือ้ หาในแตล่ ะขอ้ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตผุ ล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 5. การประเมินผลกับวัตถปุ ระสงค์ในแต่ละเนื้อหา เหมาะสม ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล ...................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ผลการเรยี นรขู้ องผู้รบั บริการ ............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรูข้ องผจู้ ดั กจิ กรรม ............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ขอ้ เสนอแนะ .................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 122
ใบความรสู้ าหรับผจู้ ดั กิจกรรม เรือ่ ง รปู เรขาคณติ และแกนสมมาตร รูปเรขาคณิต 1. ความหมาย 1.1 รปู เรขาคณิตสองมิติ 1.1.1 แบง่ ตามลักษณะของด้าน หรอื ขอบของรปู นน้ั เชน่ รูปสามเหล่ยี ม รูปสี่เหล่ียม รูปหลายเหลี่ยม หรือ รูปวงกลม เป็นตน้ 1.2 รปู เรขาคณติ สามมติ ิ 1.2.1 เป็นรปู เรขาคณติ ทรงสามมิติท่มี ีฐานหรอื หนา้ ตัดเป็นรปู ทรงต่าง ๆ เชน่ รปู ทรงกระบอก รปู ทรงกลม รูปพรี ะมดิ รปู ปรซิ มึ รปู กรวย เปน็ ต้น 2. ชนดิ รูปเรขาคณติ สองมติ ิ 2.1. รูปสามเหล่ยี ม มีด้าน 3 ด้าน มมี มุ 3 มมุ 2.2. รปู ส่ีเหลย่ี ม มดี ้าน 4 ด้าน มมี มุ 4 มุม 2.3. รปู ห้าเหลี่ยม มดี ้าน 5 ด้าน มมี ุม 5 มุม 2.4. รปู หกเหลย่ี ม มีด้าน 6 ด้าน มีมมุ 6 มมุ 2.5. รูปแปดเหล่ียม มดี ้าน 8 ดา้ น มีมุม 8 มุม 3. ชนิดรปู เรขาคณติ สามมติ ิ 3.1. รูปทรงกระบอก 3.1.1. ทรงกระบอก เป็นรปู เรขาคณิตสามมติ ทิ มี่ ีฐานสองฐานเป็นรูปวงกลมท่เี ทา่ กันทุก ประการและอยบู่ นระนาบท่ีขนานกัน และเมื่อตดั รปู เรขาคณิตสามมิตนิ ัน้ ดว้ ยระนาบทข่ี นานกบั ฐานแลว้ จะได้ หนา้ ตัดเป็นวงกลมทเ่ี ท่ากันทุกประการกนั ฐานเสมอ ดา้ นขา้ งเป็นผวิ เรยี บโค้งสว่ นต่าง ๆ ของทรงกระบอก 3.2. รปู ทรงกลม 3.2.1. ทรงกลม เปน็ รปู เรขาคณิตสามมิติที่มีด้านขา้ งเปน็ ผวิ โคง้ เรยี บ และจุดทุกจุดบน ผิวโคง้ อยู่ห่างจากจดุ คงที่จุดหนง่ึ เปน็ ระยะเทา่ กนั เรียกจดุ คงท่วี า่ จดุ ศนู ย์กลางของทรงกลมเรียกระยะทเ่ี ทา่ กนั วา่ รศั มีของทรงกลม 3.3. รปู พรี ะมิด 3.3.1. พีระมิด เป็นรูปเรขาคณิตสามมิติทีม่ ีฐานเปน็ รปู เหลีย่ มใด ๆ มยี อดแหลมท่ไี ม่อยู่ บนระนาบเดียวกนั กบั ฐาน และหน้าทุกหน้าเปน็ รูปสามเหลี่ยมที่มีจดุ ยอดรว่ มกันทย่ี อดแหลมนัน้ การเรียก ชอื่ พีระมดิ จะเรียกตามรูปฐานของพรี ะมิด 3.4. รูปปรซิ มึ 3.4.1. ปริซมึ เปน็ รูปเรขาคณิตสามมติ ิทม่ี หี น้าตดั (ฐาน) ท้งั สองข้างเป็นรูปหลายเหล่ยี ม ท่เี ทา่ กันทุกประการหนา้ ตดั (ฐาน) ท้งั สองอยู่ในระนาบทขี่ นานกัน มหี น้าข้างเปน็ รปู ส่เี หล่ียมมุมฉาก การเรยี กช่ือ ปรซิ ึมจะเรียกตามรปู หนา้ ตัดของปรซิ มึ สว่ นต่าง ๆ ของปรซิ มึ 123
3.5. กรวย 3.5.1. กรวย เปน็ รูปเรขาคณิตสามมิตทิ ่ีมฐี านเปน็ รูปวงกลม มยี อดแหลมท่ไี ม่อยู่ใน ระนาบเดยี วกันกบั ฐาน และเส้นที่ต่อระหวา่ งจดุ ยอดกบั จุดใด ๆ บนขอบของฐานเป็นส่วนของเส้นตรงดด้านขา้ ง เป็นผวิ โค้งเรยี บระมิ ส่วนตา่ ง ๆของกรวย ข้อแตกตา่ งของพรี ะมิดกับกรวย คือ- ฐาน พรี ะมิดฐานรปู หลายเหลี่ยม กรวยฐานรปู วงกลม 4. การเขียนรปู เรขาคณิตสามมิติ 4.1. รูปทรงกระบอก 4.1.1. ขั้นท่ี 1 เขยี นวงรีแทนหนา้ ตัดที่เปน็ วงกลม และเขียนส่วนของเสน้ ตรงสองเส้น แสดงส่วนสูงของทรงกระบอก 4.1.2. ขั้นที่ 2 เขียนวงรีที่มขี นาดเท่ากบั วงรีท่ีใช้ในข้ันที่ 1 แทนทีว่ งกลมซึ่งเปน็ ฐานของ ทรงกระบอกและเขียนเส้นประแทนเส้นทบึ ตรงสว่ นที่ถกู บงั 4.2. รูปกรวย 4.2.1. ขน้ั ที่ 1 เขยี นวงรแี ทนหน้าตดั ทีเ่ ปน็ วงกลม 4.2.2. ขน้ั ท่ี 2 เขยี นส่วนของเสน้ ตรงสองเส้นแสดงสูงเอยี ง มาพบกันที่จุดยอดแหลม ของกรวยท่ไี มอ่ ยู่ระนาบเดียวกบั ฐาน 4.3. รปู ทรงพีระมิด 4.3.1. ข้ันที่ 1 เขียนวงรแี ทนหน้าตัดทีเ่ ปน็ วงกลม 4.3.2. ขน้ั ที่ 2 กาหนดจุดบนวงรีเพื่อใชเ้ ปน็ จุดยอดของสีเ่ หลยี่ ม กาหนด 4 จดุ 4.3.3. ขั้นที่ 3 เขียนส่วนสูงของพีระมดิ จากจดุ ยอดลงมาบนจุดทง้ั สี่ ที่กาหนดไว้ท่ี ขน้ั ที่ 2 4.3.4. ข้ันท่ี 4 เข่ยี นส่วนของเส้นตรงเชื่อมจุดทงั้ 4 จดุ บนวงรี ใหเ้ ปน็ รูปส่ีเหลย่ี ม จะได้ รปู พรี ะมิด 4.4. รูปปรซิ ึม 4.4.1. ข้ันท่ี 1 เขียนรปู สี่เหลีย่ มมมุ ฉาก 1 รปู 4.4.2. ขั้นท่ี 2 เขยี นรูปสี่เหลีย่ มมมุ ฉากขนาดเทา่ กนั กบั รปู ในขน้ั ท่ี 1 อีก 1 รูป ใหอ้ ยู่ใน ลกั ษณะทขี่ นาน กันและเหล่อื มกนั ประมาณ 30 องศา 4.4.3. ขน้ั ที่ 3 ลากสว่ นของเส้นตรงเชือ่ มตอ่ จดุ ให้ไดท้ รงส่ีเหล่ยี มมมุ ฉาก 4.4.4. ข้นั ท่ี 4 เขียนเส้นประแทนด้านทีถ่ กู บัง รปู รา่ งและรปู ทรงเป็นสว่ นประกอบของเสน้ ทสี่ าคญั ทีน่ าไปใชใ้ นการออกแบบ 1. รูปรา่ ง ( Shape ) หมายถึงเสน้ รอบนอก (Out Line) ของวตั ถทุ ี่เรามองเห็น ซ่ึงเป็นลกั ษณะ 2 มติ ิ มคี วามกว้างและความยาว ไม่มคี วามหนาหรอื ความลึกนาไปใชใ้ นงานออกแบบ 2 มิติ รูปร่างแบ่ง ออกเปน็ 3 ประเภทคอื 1.1 รปู ร่างตามธรรมชาติ (Natural Shape) หมายถึง รปู ร่าง ทเี่ กิดขน้ึ เองตามธรรมชาตทิ ี่เราได้ พบเห็นกันอยทู่ ุกวัน เชน่ คน สตั ว์ พืช เปน็ ตน้ 124
1.2 รปู ร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) หมายถงึ รูปร่างท่มี นุษยส์ รา้ งขนึ้ มโี ครงสร้าง แน่นอน เชน่ วงกลม สามเหล่ยี ม สีเ่ หลี่ยม เปน็ ต้น 1.3 รูปรา่ งอิสระ (Free Shape) หรอื เรียกอีกอยา่ งหนงึ่ ว่า Abstract shape หมายถงึ รูปรา่ งท่ีไม่ มโี ครงสรา้ งแนน่ อนถกู เปลีย่ นแปลงให้งา่ ยข้ึน หรือตดั ตอนให้ผิดเพ้ยี นไปจากความจริงอาจจะขยายขึน้ ตดั ทอน ดัดแปลง เพ่ือให้เกดิ ความแปลกใหม่ เช่น รูปร่างของใบไม้ ก้อนเมฆ ถงุ เท้า เป็นตน้ 2. รปู ทรง (Form) หมายถึง ลกั ษณะของวตั ถุทีเ่ รามองเหน็ เป็นรปู 3 มติ ิ คือมคี วามกวา้ ง ความยาว และ ความหนา หรือความลึก เรามองไม่เห็นเสน้ ขอบของวัตถุ แตเ่ ราเห็นรูปได้จากความลึกของเสน้ สี แสง และเงา ถา้ วัตถนุ ั้นมีปรมิ าตรเราจะเห็นเปน็ รูป 3 มิติ รปู ทรงแบ่งได้เปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 รูปทรงจากธรรมชาติ (Natural Form) หมายถงึ รูปทรงทเ่ี กดิ จากสิง่ มชี วี ิตในธรรมชาติ เช่น คน สัตว์ พชื โดยการนามาถา่ ยทอดเปน็ งานศิลปะในลกั ษณะ 3 มิติ รูปทรงประเภทน้ีจะใหค้ วามรู้สึกมชี ีวติ 2.2 รปู ทรงเรขาคณิต (Geometrical Form) หมายถึง รปู ทรงทีม่ นษุ ยส์ รา้ งข้นึ ดว้ ยเคร่อื งมือ ได้แก่ รปู ทรงสามเหล่ียม รูปทรงส่เี หลยี่ ม รปู ทรงกลม เปน็ ต้น รูปทรงเหล่าน้ีจะแสดง ความกวา้ ง ความยาวและ ความหนาหรอื ความลึก มคี วามเปน็ มวลหรือมปี ริมาตร 125
2.3 รูปทรงอสิ ระ (Free form) รปู ทรงอิสระ หมายถงึ รปู ทรงท่เี กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ หรอื มนุษย์สรา้ งขึน้ ไม่มีโครงสร้างเป็นมาตรฐานแน่นอนเหมือนรปู ทรงเรขาคณติ หรือรูปทรงจากสิ่งมชี ีวิต ไดแ้ ก่ รปู ทรง ของกอ้ นหิน กอ้ นกรวด ดนิ หยดน้า กอ้ นเมฆ เปลวไฟ คลน่ื น้า คลนื่ ทราย รูปปนั้ ภาพเขยี นเป็นต้น รูปทรงอิสระของสัตว์ รปู ทรงอสิ ระของกอ้ นหนิ แกนสมมาตร รูปสมมาตร คอื รปู ทเ่ี มือ่ เราพับครึง่ แลว้ แตล่ ะข้างของรูปทบั กันพอดี ซึง่ ตรงกลางของรูปทเ่ี ปน็ รอยพับ เรียกว่า \"แกนสมมาตร\" แกนสมมาตร คอื เสน้ ที่แบ่งรูปออกเปน็ สองขา้ ง และสามารถพับรูปท้งั สองมาทบั กนั พอดี รปู เรขาคณติ ที่มแี กนสมมาตร - รูปสเ่ี หลี่ยม มแี กนสมมาตร 4 แกน - รปู สามเหล่ียมดา้ นเท่า มแี กนสมมาตร 3 แกน - รปู สามเหลย่ี มด้านไม่เท่า มแี กนสมมาตร 1 แกน - รปู 6 เหลียม มีแกนสมมาตรมากว่า 4 แกน - รปู วงกลม มแี กนสมมาตรมากกว่ารปู ใด ๆ - รปู ดาว มแี กนสมมาตร 1 แกน - รูปหวั ใจ มแี กนสมมาตร 1 แกน 126
ตัวอย่างรูปภาพแกนสมมาตร 127
ใบความรูส้ าหรบั ผูจ้ ดั กิจกรรม เร่อื ง การประดษิ ฐ์ดอกไม้กระดาษ งานประดษิ ฐ์กระดาษ หมายถึง การนากระดาษท่ีมอี ยมู่ าจดั ทาใหม่ให้มลี ักษณะรปู ทรงท่ีสวยงาม มี คุณค่าในทางศิลปะ และเกิดประโยชนใ์ ชส้ อย ดว้ ยวธิ กี ารตดั ฉีก กรดี พับ สาน ปัน้ หรือวธิ อี ่นื ๆ ตามความถนดั ของผปู้ ระดษิ ฐ์ แลว้ นาไปใชป้ ระโยชน์ โดยคานงึ ถึงความเหมาะสมกับงานน้นั ๆ ดว้ ยงานประดิษฐจ์ าก กระดาษ ลักษณะของงานประดษิ ฐ์กระดาษโดยทั่วไป งานประดษิ ฐ์กระดาษน้ันมวี ธิ ีการสร้างมากมายหลายแบบ เชน่ การตัดกระดาษ การพบั กระดาษ การประดบั การปนั้ กระดาษ การปะตดิ ด้วยรปู ภาพ งานสานดว้ ยกระดาษ การประดษิ ฐ์กระดาษดว้ ยวธิ กี ารตัดกระดาษ วิธีการตัดกระดาษ มี 3 แบบ คือ 1. การตัดแบบอิสระ เป็นวธิ ีการตัดแบบซา้ ยขวาไมเ่ ท่ากนั การตดั แบบนีม้ กั ไม่มีการเขยี นรปู ก่อนตดั ให้ตดั ได้ตามชอบใจ ซงึ่ คอ่ นขา้ งยากสาหรบั เดก็ ๆ ที่จะฝึกทกั ษะการใช้กรรไกร 2. การตดั จากแบบ คือ การตดั ตามรูปภาพหรอื ตัดตามภาพท่ีวาดแบบไว้กอ่ น เช่น รูปคน ตน้ ไม้ ผลไม้ โดย การตดั ตามรอยเส้นของรปู แบบที่รา่ งไว้ ซึง่ จะได้รปู แบบท่แี นน่ อนชัดเจน สามารถตดั ส่วนท่ีมีความละเอยี ดได้มาก 3. การตดั แบบพับซ้อนเปน็ ช้นั ๆ วิธนี ้ีอนั ดบั แรกต้องเตรียมกระดาษเปน็ รปู วงกลมหรอื สี่เหลยี่ มแล้วพบั กระดาษซอ้ นกนั เปน็ ชน้ั ๆ แบบแกนสมมาตร เขียนรปู แล้วตดั ตามรอยเสน้ ทร่ี ่างภาพไว้ คล่ีกระดาษออกจะได้รูป ซา้ ๆ กนั และมีขนาดเทา่ ๆ กนั เป็นวธิ ที ี่ค่อนข้างยากสักหน่อย การเตรยี มตัวก่อนปฏิบัตงิ านตดั กระดาษ กระดาษทใี่ ช้ในการตดั กระดาษท่ใี ชม้ ีหลายชนิด เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษหอ่ ของขวัญ กระดาษสโี ปสเตอร์อย่างออ่ น และกระดาษสอี ่ืนๆ ที่อ่อนและเหนียว ถ้าใชก้ ระดาษหนาจะตัดยาก เม่อื ตัดออก มาแล้วจะไมส่ วยงาม ยกเวน้ ผู้ทม่ี ีความชานาญในการตดั กระดาษ ส่วนกระดาษทีม่ เี นือ้ บางจนเกนิ ไปกไ็ ม่สะดวก ในการตัด อาจทาใหฉ้ กี ขาดงา่ ยและรูปทรงไม่ค่อยอยตู่ วั 128
วัสดุอุปกรณท์ ใี่ ช้ ได้แก่ กรรไกร มีด ดินสอ ยางลบ วงเวยี น เครือ่ งเจาะกระดาษเปน็ รู เชอื กหรือด้าย กาว หรอื แป้งเปียก และกระดาษสีตา่ งๆ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ หมายถึง สิ่งประดิษฐข์ ้ึนจากวสั ดุมลี กั ษณะคลา้ ยรูปรา่ งดอกไม้ ที่ถกู ผลติ ขึน้ มาจาก แรงงานฝมี อื มนษุ ย์ เครือ่ งจกั ร หรืออุปกรณ์การผลิต โดยมีการใช้วัตถุดบิ การผลติ จากธรรมชาติ หรือวัตถุดบิ ทเ่ี กิด จากสังเคราะห์มาผลติ โดยผา่ นขั้นตอนการประดษิ ฐ์ ดดั แปลง อบ ยอ้ ม เผา เคลือบสารเคมี รวมทงั้ ทาการตกแตง่ ตัดตอ่ เติม เพอื่ กอ่ ให้เกดิ ความสวยงาม โดยดอกไม้ท่ปี ระดิษฐ์ขึ้นมาอาจจะมคี วามเหมอื นหรือไม่เหมือนธรรมชาติก็ ได้ข้ึนกบั วตั ถปุ ระสงค์การใช้งาน โดยคุณสมบัติของดอกไม้ประดษิ ฐท์ ่ีสาคัญคือ มีความคงทน งา่ ยต่อการ เคล่ือนย้ายและดูแลรักษา มีความสวยงาม สามารถนาไปใชใ้ นการประดับในโอกาสต่าง ๆ การประดิษฐ์ดอกไมด้ ้วยฝมี อื มนุษย์เป็นศิลปะท่ีมีความละเอยี ดอ่อน มุ่งหวงั ที่จะดารงความงดงามตาม ธรรมชาติของดอกไมใ้ หค้ งอยู่ ไม่รว่ งโรย เหย่ี วเฉา การทาดอกไม้ประดิษฐ์ จงึ เรม่ิ ต้นท่ีการใช้ความสังเกต ศกึ ษา คน้ ควา้ รปู ลกั ษณะ สีสนั ตามธรรมชาติ ของดอกไม้แตล่ ะชนิด แต่ละประเภท แลว้ ถา่ ยทอดการทาออกมาเป็น ดอกไม้ประดษิ ฐ์ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ อาจถือได้ว่าเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของบางชนชาติ ทมี่ ีการสบื ทอดการ ประดษิ ฐด์ อกไมม้ ายาวนาน ดอกไม้ประดษิ ฐ์ นัน้ ตอ้ งทาโดยมือคน 100% ซ่ึงจะทาให้เกิดความสวยงามถงึ ขดี สดุ ในปจั จุบันนค้ี นรนุ่ หลังไดร้ บั การสืบทอดการทาดอกไม้ประดิษฐ์มาจากรุ่นบรรพบรุ ษุ ซงึ่ สืบทอดตอ่ กนั มาหลายชั่วอายุคน หัวดอกไม้ ต่าง ๆ ท่ีประดิษฐ์ข้นึ มาทาใหเ้ กิดธุรกจิ ขายสง่ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์หลายเจ้า ซึ่งความเกา่ แก่ยาวนาน และ เป็นศาสตร์ที่ น่าสนใจ โดยผทู้ ่ีศกึ ษานน้ั จาเปน็ จะต้องมคี วามสนใจเปน็ พเิ ศษโดยแท้จรงิ ตอ้ งทาการ คน้ คว้า ศึกษา หาความรใู้ น ด้านดอกไมป้ ระดิษฐ์ให้มากที่สดุ ซึ่งหาสอนไดย้ าก เพราะ เป็นวิชาชพี เฉพาะ และ คนรนุ่ ใหม่นน้ั ให้ความสนใจกัน น้อย แตห่ ากสามารถนาไปทาในขั้นวิชาชพี แลว้ เป็นงานที่รายไดด้ ที เี ดยี ว หากฝีมือดีออกแบบไดเ้ ก่ง โอกาศรวยก็ มาก ซง่ึ ขนั้ ตอนการทาดอกไม้ประดษิ ฐ์น้นั ก็มหี ลากหลายขน้ั ตอนมาก แต่ละสานกั กส็ อนไม่เหมือนกัน ทาใหเ้ ป็น 129
เสน่หอ์ ยา่ งมากของวงการน้ี รวมไปถงึ วัตถดุ บิ ท่แี ต่ละโรงงานก็ต่างกนั ดไี ม่เหมอื นกัน ขายสง่ ดอกไมป้ ระดิษฐเ์ ปน็ ธุรกิจใหญ่ในปัจจุบนั ไปแลว้ เพราะ หวั ดอกไมป้ ระดิษฐ์นั้นมาแรงมากในเวลานี้ ก็ขอให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจวชิ าชพี ดอกไมป้ ระดิษฐ์กนั หนอ่ ยอยา่ ละเลยหรือดถู ูก ดอกไมป้ ระดิษฐค์ ืออะไร ทาไมตอ้ งมี ดอกไมป้ ระดิษฐ์ เปน็ สิง่ ที่มนุษยส์ รา้ งข้ึน เพ่อื ทดแทนดอกไมส้ ด หรือ ดอกไมจ้ ริง ซึง่ จะสรา้ งมาให้ คล้ายคลงึ กับดอกไมจ้ รงิ มากที่สดุ ซึ่งวตั ถุดิบท่ใี ช้น้ัน มที ั้ง ย้อม อบ ดดั แปลงสี ทัง้ จากผ้า หรอื ดอกไม้จริง ซึง่ มา หลากหลายวิธมี าก ซ่ึงเอกลกั ษณ์ท่ีเดน่ ชัดของมนั คือ มีความคงทน ถาวร ไมเ่ สีย หรอื เนา่ น้นั เอง ทาใหเ้ หมาะกบั นาไปใชง้ านไดห้ ลากหลายรปู แบบ ดอกไมป้ ระดิษฐน์ น้ั สืบทอดกนั มาอยา่ งยาวนาน ซงึ่ มนษุ ย์นนั้ ไดเ้ ริ่มค้นคว้า ดดั แปลง พัฒนามาโดยตลอด โดยปจั จุบันถึงขนาดมีโรงเรยี นสอนประดิษฐด์ อกไมป่ ระดิษฐ์ขึน้ มา เพอื่ เปน็ แนวทาง อาชีพแก่คนรุน่ ตอ่ ๆ ไป รวมทั้งธรุ กิจดอกไม้ประดิษฐ์นน้ั เรมิ่ เติบโตข้ึน ทาให้เกดิ การขายส่งเปน็ โรงงานใหญโ่ ต ซงึ่ ไดพ้ ัฒนาประยกุ ตไ์ ปถึง การผลติ หัวดอกไม้ เพอ่ื การใชง้ านในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ พวงหรีดตามงานศพ จะใช้ดอกไม้ ประดิษฐ์กนั มากข้นึ เพราะ ใช้งานง่าย ไม่เหย่ี วเฉา รวมถึงไม่มีแมลงมาเกาะใหร้ าคาญ รวมไปถึงหวั ดอกไมต้ ่าง ๆ ทม่ี กั จะนิยมเอาไปประดับบนรา่ งกายของคนเรา หรอื ส่งิ ของ ทาให้เจา้ ธรุ กจิ ในตลาดนีเ้ ติบโตข้นึ มาก จากเมือ่ กอ่ น ขายกันเล็ก ๆ ขายปลกี ปัจจุบัน ทุกวนั น้เี กดิ การขายสง่ กนั อยา่ งลน้ หลาม ทาให้ธรุ กจิ เกดิ โตมาก ซึ่งหากจะมองไป ถงึ อนาคต ธรุ กิจดอกไม้ประดษิ ฐน์ ้นั ยังตอ้ งเติบโตอีกมาก เพราะ ความตอ้ งการทม่ี ากขึ้นตามงานต่าง ๆ ทัง้ งานแต่ง งานฉลอง งานสงั สรรค์ และ อน่ื ๆ อกี มาก วตั ถดุ ิบอปุ กรณ์หลัก ๆ ทีม่ กั จะใช้ในการประดษิ ฐ์ดอกไม้ประดษิ ฐ์ หรอื หวั ดอกไม้ เช่น ผา้ ออรแ์ กนซา ผ้ามัสลนิ ผ้าแพรเยอ่ื ไม้ ผา้ กามะหย่ี ผ้าฝา้ ย ผา้ สักหลาดหลาก ๆ หลายชนิด และ ผา้ อน่ื ๆ อกี มาก รวมไปถึงกระดาษชนิดตา่ ง ๆ เช่น กระดาษสา กระดาษย่น รวมไปถึง กระดาษอื่น ๆ อกี มาก ซ่งึ ปัจจุบนั กระดาษน้นั เกิดให้หลากหลายชนดิ สามารถนามาใช้ในงานดอกไม้ประดิษฐไ์ ดม้ าก ซ่งึ งานฝีมอื ในปจั จบุ ัน ทัง้ ใน และ นอกหลักสูตรของเมอื งไทย จะตอ้ งมีหลกั สูตรดอกไมป้ ระดิษฐ์ หรอื การประดษิ ฐ์หวั ดอกไม้ควบคกู่ นั ไป เพื่อพฒั นาทรัพยากรบุคคลใหก้ ้าวสู่วิชาชพี อยา่ งยั่งยนื ความรูท้ ่ัวไป การประดษิ ฐ์ดอกไม้เปน็ ศิลปะอยา่ งหนึ่งทีผ่ ปู้ ระดษิ ฐจ์ ะตอ้ งเป็นผ้ทู ี่มีความรักในศิลปะด้านน้ีเน่อื งจาก เป็นงานทีต่ ้องใช้ความพยายาม อดทน รักความสะอาด และเป็นคนช่างสังเกต เนือ่ งจากดอกไม้มีอยทู่ ัว่ ไป การ ประดิษฐด์ อกไมส้ ามารถประดษิ ฐไ์ ด้จากวัสดตุ ่าง ๆ หลายอยา่ ง เช่น ประดิษฐจ์ ากผา้ กระดาษ เปลือกข้าวโพด เปลอื กหอย เกล็ดปลา รังไหม ฯลฯ ท่ีสามารถประดษิ ฐเ์ ปน็ ดอกไม้ชนิดเดยี วกันได้ แต่ในใบความรู้น้ีผู้จัดทา ประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ การ แบง่ กลุม่ ของดอกไมส้ ามารถแบ่งกลุ่มไดห้ ลายรูปแบบ แบง่ กลุม่ ดอกไมเ้ ป็น 4 กลมุ่ ใหญๆ่ คอื - ดอกไม้กลีบลา คือ ดอกไมท้ ี่มีลกั ษณะกลีบชนั้ เดยี ว - ดอกไมก้ ลบี ซอ้ น คือ ดอกไม้ท่ีมลี ักษณะกลีบซอ้ นกนั ตงั้ แต่ 2 ชนั้ ขึน้ ไป - ดอกไมท้ รงกระบอก คือ ดอกไมท้ มี่ ีรูปทรงกระบอกข้นึ ไปกอ่ นจึงมกี ลบี ดอกบานทีส่ ว่ นปลายดอก - ดอกกลว้ ยไม้ คอื ดอกไม้ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากดอกไม้ชนิดอน่ื ๆ 130
ประโยชน์ของดอกไมป้ ระดิษฐ์ ขอ้ ดขี องดอกไม้ประดิษฐ์ หรอื ดอกไม้ปลอมสรา้ งมาเพอื่ ใช้แทนดอกไมท้ ่เี ป็นธรรมชาติ ซง่ึ ไม่ตอ้ งคานงึ ถงึ สภาพอากาศ ดอกไมป้ ระดิษฐ์เท่านั้นทจ่ี ะสามารถช่วยให้มดี อกไม้อยา่ งทต่ี ้องการ ช่วยประหยัดค่าใชจ้ า่ ย ประโยชน์ของดอกไม้มีประโยชน์ตอ่ ไปน้ี 1. เปน็ การใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์ 2. มีความภมู ิใจในผลงานของตน 3. มรี ายได้จากผลงาน 4. มคี วามคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ผลงานใหม่ๆ 5. เปน็ การฝกึ ใหร้ จู้ กั สงั เกตสง่ิ รอบ ๆ ตวั และนามาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ 6. เป็นอาชีพเสริมได้ 131
ใบกจิ กรรม เรือ่ ง การประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ วัตถปุ ระสงค์ เมือ่ สิน้ สุดแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้นีแ้ ลว้ ผู้รับบรกิ ารสามารถ 1. อธิบายรูปเรขาคณติ และแกนสมมาตรในการทากระดาษสรา้ งรายได้ 2. ประดิษฐด์ อกไม้กระดาษ เนอ้ื หา 1. รูปเรขาคณิต และแกนสมมาตรในการทากระดาษสร้างรายได้ 1.1 รปู ร่างและรูปทรงเรขาคณิต 1.2 แกนสมมาตร 2. ประดิษฐด์ อกไมก้ ระดาษ 2.1 การออกแบบดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ 2.2 ลักษณะของกระดาษท่ีนามาประดษิ ฐ์ดอกไม้ คาชี้แจง ให้ผู้รับบริการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการประดิษฐด์ อกไมจ้ ากกระดาษ ซึ่งมีเง่ือนไขว่าตอ้ งเป็นดอกไมก้ ระดาษ ขนาดใหญ่ ที่สวยงามและเหมาะสมกบั ฉากสาหรับถา่ ยรูป ดงั ต่อไปน้ี 1. ออกแบบดอกไม้ประดิษฐจ์ ากกระดาษ 2. การประดิษฐด์ อกไม้จากกระดาษ 3. ปญั หาหรอื อุปสรรคอน่ื ๆ ทีพ่ บมอี ะไรบ้าง 4. แนวทางการปรบั ปรงุ แก้ไขปัญหาและอปุ สรรคทาได้อย่างไร 132
1. ออกแบบดอกไม้ประดษิ ฐจ์ ากกระดาษ โดยวาดแบบรปู ของดอกไมช้ นดิ ใดก็ได้ จานวน 3 ดอก และระบุ รายละเอยี ด เชน่ ชอื่ ชนิดดอกไม้ ความยาวและความกว้างของกลบี ดอก จานวนกลบี ดอก เกสรของ ดอกไม้ 1. ช่อื ดอก...................................... รปู แบบกลบี ดอก 2. ชอ่ื ดอก...................................... รูปแบบกลีบดอก 3. ชอ่ื ดอก...................................... รปู แบบกลีบดอก 133
2. ผรู้ บั บรกิ ารประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากกระดาษ ตามเงอื่ นไขท่ีกาหนดไว้ และนาชนิ้ งานท่ปี ระดิษฐเ์ สรจ็ แล้วไป ติดทีฉ่ ากสาหรบั ถ่ายรูปทีไ่ ด้จัดเตรยี มไวแ้ ลว้ ตวั อยา่ งรปู ทรงฉากสาหรบั ถ่ายรูป 3. ปญั หาหรืออุปสรรคอืน่ ๆ ท่ีพบ มอี ะไรบ้าง ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 4. แนวทางการปรบั ปรุงแกไ้ ขปญั หาและอปุ สรรคทาได้อย่างไร ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................…………………………………………………………………………………………………………… 134
ใบความร้สู าหรบั ผู้รบั บริการ เรื่อง รปู เรขาคณิตและแกนสมมาตร รูปเรขาคณิต 1. ความหมาย 1.1 รปู เรขาคณิตสองมติ ิ 1.1.1 แบ่งตามลักษณะของดา้ น หรอื ขอบของรปู น้นั เช่น รูปสามเหลยี่ ม รปู ส่ีเหลยี่ ม รูปหลายเหลี่ยม หรอื รปู วงกลม เป็นต้น 1.2 รูปเรขาคณิตสามมิติ 1.2.1 เป็นรปู เรขาคณติ ทรงสามมิติทม่ี ีฐานหรอื หน้าตดั เปน็ รูปทรงต่าง ๆ เช่น รปู ทรงกระบอก รปู ทรงกลม รปู พีระมดิ รปู ปรซิ ึม รูปกรวย เป็นต้น 2. ชนดิ รปู เรขาคณิตสองมิติ 2.1. รูปสามเหล่ียม มีด้าน 3 ด้าน มีมมุ 3 มมุ 2.2. รูปสี่เหลีย่ ม มีดา้ น 4 ด้าน มมี ุม 4 มมุ 2.3. รปู ห้าเหลี่ยม มีด้าน 5 ดา้ น มมี ุม 5 มมุ 2.4. รูปหกเหลยี่ ม มีด้าน 6 ด้าน มมี ุม 6 มุม 2.5. รูปแปดเหลี่ยม มีด้าน 8 ด้าน มมี ุม 8 มุม 3. ชนดิ รูปเรขาคณิตสามมติ ิ 3.1. รูปทรงกระบอก 3.1.1. ทรงกระบอก เปน็ รูปเรขาคณิตสามมติ ทิ ่ีมีฐานสองฐานเป็นรปู วงกลมทเ่ี ท่ากนั ทุก ประการและอยูบ่ นระนาบทีข่ นานกนั และเมือ่ ตดั รูปเรขาคณิตสามมิตนิ ้ันดว้ ยระนาบท่ขี นานกับฐานแล้ว จะได้ หนา้ ตัดเปน็ วงกลมท่เี ท่ากนั ทุกประการกนั ฐานเสมอ ด้านขา้ งเปน็ ผวิ เรยี บโคง้ สว่ นต่าง ๆ ของทรงกระบอก 3.2. รปู ทรงกลม 3.2.1. ทรงกลม เป็น รูปเรขาคณิตสามมิติทม่ี ดี า้ นขา้ งเปน็ ผิวโคง้ เรยี บ และจุดทกุ จุดบน ผิวโค้งอยูห่ ่างจากจุดคงท่ีจุดหน่งึ เป็นระยะเท่ากนั เรยี กจุดคงทว่ี า่ จุดศนู ย์กลางของทรงกลมเรยี กระยะที่เท่ากันวา่ รศั มขี องทรงกลม 3.3. รูปพีระมดิ 3.3.1. พีระมิด เป็นรูปเรขาคณิตสามมิตทิ ่ีมีฐานเปน็ รูปเหล่ียมใด ๆ มยี อดแหลมที่ไม่อยู่ บนระนาบเดียวกนั กับฐาน และหน้าทุกหนา้ เป็นรูปสามเหลยี่ มท่มี ีจดุ ยอดร่วมกันท่ยี อดแหลมน้นั การเรียก ชื่อ พีระมดิ จะเรียกตามรปู ฐานของพีระมดิ 3.4. รปู ปรซิ ึม 3.4.1. ปรซิ ึม เป็นรปู เรขาคณติ สามมิติทม่ี หี น้าตัด(ฐาน) ทงั้ สองขา้ งเป็นรูปหลายเหล่ียม ท่เี ทา่ กนั ทกุ ประการหน้าตดั (ฐาน) ท้ังสองอยใู่ นระนาบทีข่ นานกัน มีหน้าขา้ งเป็นรปู ส่เี หลย่ี มมุมฉาก การเรียกช่ือ ปรซิ ึมจะเรียกตามรปู หนา้ ตดั ของปริซมึ สว่ นต่าง ๆ ของปริซึม 135
3.5. กรวย 3.5.1. กรวย เป็นรปู เรขาคณิตสามมิติที่มฐี านเปน็ รูปวงกลม มียอดแหลมท่ไี ม่อยู่ใน ระนาบเดยี วกันกบั ฐาน และเสน้ ที่ต่อระหวา่ งจดุ ยอดกบั จดุ ใด ๆ บนขอบของฐานเปน็ สว่ นของเส้นตรงดด้านขา้ ง เป็นผวิ โค้งเรยี บระมิ ส่วนตา่ ง ๆของกรวย ข้อแตกตา่ งของพีระมิดกับกรวย คือ- ฐาน พีระมิดฐานรปู หลายเหลี่ยม กรวยฐานรปู วงกลม 4. การเขียนรปู เรขาคณิตสามมติ ิ 4.1. รูปทรงกระบอก 4.1.1. ขั้นท่ี 1 เขยี นวงรีแทนหน้าตดั ทเ่ี ปน็ วงกลม และเขียนส่วนของเส้นตรงสองเส้น แสดงส่วนสูงของทรงกระบอก 4.1.2. ขั้นที่ 2 เขียนวงรที ี่มขี นาดเท่ากบั วงรีท่ีใช้ในขน้ั ท่ี 1 แทนทีว่ งกลมซึ่งเปน็ ฐานของ ทรงกระบอกและเขียนเส้นประแทนเสน้ ทบึ ตรงสว่ นท่ถี ูกบงั 4.2. รูปกรวย 4.2.1. ขน้ั ท่ี 1 เขยี นวงรแี ทนหนา้ ตัดทเ่ี ป็นวงกลม 4.2.2. ขน้ั ที่ 2 เขยี นสว่ นของเสน้ ตรงสองเส้นแสดงสงู เอียง มาพบกนั ที่จุดยอดแหลม ของกรวยท่ไี มอ่ ยู่ระนาบเดียวกบั ฐาน 4.3. รปู ทรงพีระมดิ 4.3.1. ข้ันท่ี 1 เขียนวงรีแทนหน้าตัดทีเ่ ปน็ วงกลม 4.3.2. ขน้ั ที่ 2 กาหนดจุดบนวงรีเพอ่ื ใชเ้ ปน็ จุดยอดของส่เี หลยี่ ม กาหนด 4 จดุ 4.3.3. ขั้นที่ 3 เขียนส่วนสงู ของพีระมิดจากจดุ ยอดลงมาบนจุดทัง้ สี่ ท่กี าหนดไว้ท่ี ขน้ั ที่ 2 4.3.4. ข้ันท่ี 4 เขยี่ นส่วนของเส้นตรงเช่ือมจุดทงั้ 4 จดุ บนวงรี ใหเ้ ปน็ รูปสี่เหลย่ี ม จะได้ รปู พรี ะมิด 4.4. รูปปรซิ ึม 4.4.1. ข้ันท่ี 1 เขียนรปู ส่ีเหลยี่ มมุมฉาก 1 รปู 4.4.2. ขั้นท่ี 2 เขียนรูปส่ีเหลี่ยมมุมฉากขนาดเท่ากนั กับรปู ในข้ันท่ี 1 อีก 1 รูป ใหอ้ ยู่ใน ลกั ษณะทขี่ นาน กันและเหล่อื มกนั ประมาณ 30 องศา 4.4.3. ขน้ั ที่ 3 ลากสว่ นของเส้นตรงเชือ่ มตอ่ จดุ ให้ไดท้ รงส่เี หล่ียมมมุ ฉาก 4.4.4. ข้นั ท่ี 4 เขยี นเสน้ ประแทนด้านท่ถี กู บัง รปู รา่ งและรปู ทรงเป็นสว่ นประกอบของเส้นทส่ี าคัญ ทีน่ าไปใชใ้ นการออกแบบ 2. รูปรา่ ง ( Shape ) หมายถงึ เส้นรอบนอก (Out Line) ของวตั ถทุ ี่เรามองเห็น ซ่ึงเปน็ ลกั ษณะ 2 มติ ิ มคี วามกว้างและความยาว ไม่มคี วามหนาหรอื ความลกึ นาไปใช้ในงานออกแบบ 2 มิติ รูปร่างแบ่ง ออกเปน็ 3 ประเภทคอื 1.1 รปู ร่างตามธรรมชาติ (Natural Shape) หมายถึง รปู รา่ ง ที่เกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาตทิ ี่เราได้ พบเห็นกันอยทู่ ุกวัน เชน่ คน สัตว์ พืช เปน็ ต้น 136
1.2 รปู ร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) หมายถงึ รูปร่างท่มี นุษยส์ รา้ งขนึ้ มโี ครงสร้าง แน่นอน เชน่ วงกลม สามเหล่ยี ม สีเ่ หลี่ยม เปน็ ต้น 2.3 รูปรา่ งอิสระ (Free Shape) หรอื เรียกอีกอยา่ งหนงึ่ ว่า Abstract shape หมายถงึ รูปรา่ งท่ีไม่ มโี ครงสรา้ งแนน่ อนถกู เปลีย่ นแปลงให้งา่ ยข้ึน หรือตดั ตอนให้ผิดเพ้ยี นไปจากความจริงอาจจะขยายขึน้ ตดั ทอน ดัดแปลง เพ่ือให้เกดิ ความแปลกใหม่ เช่น รูปร่างของใบไม้ ก้อนเมฆ ถงุ เท้า เป็นตน้ 2. รปู ทรง (Form) หมายถึง ลกั ษณะของวตั ถุทีเ่ รามองเหน็ เป็นรปู 3 มติ ิ คือมคี วามกวา้ ง ความยาว และ ความหนา หรือความลึก เรามองไม่เห็นเสน้ ขอบของวัตถุ แตเ่ ราเห็นรูปได้จากความลึกของเสน้ สี แสง และเงา ถา้ วัตถนุ ั้นมีปรมิ าตรเราจะเห็นเปน็ รูป 3 มิติ รปู ทรงแบ่งได้เปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 รูปทรงจากธรรมชาติ (Natural Form) หมายถงึ รูปทรงทเ่ี กดิ จากสิง่ มชี วี ิตในธรรมชาติ เช่น คน สัตว์ พชื โดยการนามาถา่ ยทอดเปน็ งานศิลปะในลกั ษณะ 3 มิติ รูปทรงประเภทน้ีจะใหค้ วามรู้สึกมชี ีวติ 2.2 รปู ทรงเรขาคณิต (Geometrical Form) หมายถึง รปู ทรงทีม่ นษุ ยส์ รา้ งข้นึ ดว้ ยเคร่อื งมือ ได้แก่ รปู ทรงสามเหล่ียม รูปทรงส่เี หลยี่ ม รปู ทรงกลม เปน็ ต้น รูปทรงเหล่าน้ีจะแสดง ความกวา้ ง ความยาวและ ความหนาหรอื ความลึก มคี วามเปน็ มวลหรือมปี ริมาตร 137
2.3 รูปทรงอสิ ระ (Free form) รปู ทรงอิสระ หมายถงึ รปู ทรงท่เี กดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ หรอื มนุษย์สรา้ งขึน้ ไม่มีโครงสร้างเป็นมาตรฐานแน่นอนเหมือนรปู ทรงเรขาคณติ หรือรูปทรงจากสิ่งมชี ีวิต ไดแ้ ก่ รปู ทรง ของกอ้ นหิน กอ้ นกรวด ดนิ หยดน้า กอ้ นเมฆ เปลวไฟ คลน่ื น้า คลนื่ ทราย รูปปนั้ ภาพเขยี นเป็นต้น รูปทรงอิสระของสัตว์ รปู ทรงอสิ ระของกอ้ นหนิ แกนสมมาตร รูปสมมาตร คอื รปู ทเ่ี มือ่ เราพับครึง่ แลว้ แตล่ ะข้างของรูปทบั กันพอดี ซึง่ ตรงกลางของรูปทเ่ี ปน็ รอยพับ เรียกว่า \"แกนสมมาตร\" แกนสมมาตร คอื เสน้ ที่แบ่งรูปออกเปน็ สองขา้ ง และสามารถพับรูปท้งั สองมาทับกนั พอดี รปู เรขาคณติ ที่มแี กนสมมาตร - รูปสเ่ี หลี่ยม มแี กนสมมาตร 4 แกน - รปู สามเหล่ียมดา้ นเท่า มแี กนสมมาตร 3 แกน - รปู สามเหลย่ี มด้านไม่เท่า มแี กนสมมาตร 1 แกน - รปู 6 เหลียม มีแกนสมมาตรมากว่า 4 แกน - รปู วงกลม มแี กนสมมาตรมากกว่ารปู ใด ๆ - รปู ดาว มแี กนสมมาตร 1 แกน - รูปหวั ใจ มแี กนสมมาตร 1 แกน 138
ตัวอย่างรูปภาพแกนสมมาตร 139
ใบความรสู้ าหรบั ผู้รบั บริการ เรอื่ ง การประดษิ ฐ์ดอกไม้กระดาษ งานประดษิ ฐก์ ระดาษ หมายถงึ การนากระดาษท่ีมีอยู่มาจดั ทาใหม่ให้มีลักษณะรปู ทรงท่ีสวยงาม มี คณุ ค่าในทางศิลปะ และเกดิ ประโยชน์ใช้สอย ดว้ ยวธิ ีการตดั ฉกี กรดี พบั สาน ปั้น หรือวิธอี ื่น ๆ ตามความถนัด ของผูป้ ระดิษฐ์ แลว้ นาไปใช้ประโยชน์ โดยคานึงถึงความเหมาะสมกบั งานนั้น ๆ ดว้ ยงานประดษิ ฐจ์ าก กระดาษ ลักษณะของงานประดษิ ฐ์กระดาษโดยทั่วไป งานประดษิ ฐก์ ระดาษนัน้ มวี ิธีการสร้างมากมายหลายแบบ เช่น การตัดกระดาษ การพับกระดาษ การประดบั การปั้นกระดาษ การปะติดดว้ ยรูปภาพ งานสานด้วยกระดาษ การประดิษฐ์กระดาษด้วยวธิ กี ารตัดกระดาษ วิธีการตัดกระดาษ มี 3 แบบ คอื 1. การตดั แบบอสิ ระ เปน็ วิธกี ารตดั แบบซ้ายขวาไมเ่ ท่ากนั การตดั แบบนี้มกั ไมม่ ีการเขยี นรปู ก่อนตัด ใหต้ ดั ไดต้ ามชอบใจ ซ่ึงคอ่ นข้างยากสาหรบั เดก็ ๆ ท่ีจะฝึกทักษะการใช้กรรไกร 2. การตดั จากแบบ คอื การตดั ตามรูปภาพหรอื ตัดตามภาพทีว่ าดแบบไวก้ อ่ น เชน่ รูปคน ต้นไม้ ผลไม้ โดย การตดั ตามรอยเส้นของรปู แบบทีร่ า่ งไว้ ซึง่ จะไดร้ ปู แบบท่แี น่นอนชัดเจน สามารถตัดสว่ นทม่ี ีความละเอยี ดไดม้ าก 3. การตัดแบบพับซ้อนเป็นช้นั ๆ วธิ นี ้อี นั ดับแรกต้องเตรยี มกระดาษเปน็ รูปวงกลมหรอื สีเ่ หล่ียมแล้วพับ กระดาษซ้อนกนั เปน็ ช้ันๆ แบบแกนสมมาตร เขียนรปู แลว้ ตดั ตามรอยเส้นทีร่ ่างภาพไว้ คล่กี ระดาษออกจะไดร้ ปู ซา้ ๆ กัน และมขี นาดเทา่ ๆ กัน เปน็ วิธที ีค่ อ่ นขา้ งยากสักหนอ่ ย การเตรียมตัวกอ่ นปฏิบัติงานตดั กระดาษ กระดาษท่ใี ช้ในการตัด กระดาษท่ีใชม้ ีหลายชนดิ เชน่ กระดาษหนงั สือพิมพ์ กระดาษหอ่ ของขวัญ กระดาษสีโปสเตอรอ์ ยา่ งออ่ น และกระดาษสอี ืน่ ๆ ที่อ่อนและเหนียว ถ้าใช้กระดาษหนาจะตัดยาก เมอื่ ตดั ออก มาแลว้ จะไมส่ วยงาม ยกเว้นผทู้ ม่ี ีความชานาญในการตัดกระดาษ ส่วนกระดาษท่ีมีเน้ือบางจนเกินไปก็ไม่สะดวก ในการตดั อาจทาใหฉ้ ีกขาดงา่ ยและรปู ทรงไม่คอ่ ยอยู่ตัว 140
วัสดุอุปกรณท์ ใี่ ช้ ไดแ้ ก่ กรรไกร มีด ดินสอ ยางลบ วงเวยี น เครื่องเจาะกระดาษเปน็ รู เชอื กหรือด้าย กาว หรอื แป้งเปียก และกระดาษสตี า่ งๆ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ หมายถึง สง่ิ ประดษิ ฐข์ ้ึนจากวสั ดมุ ลี กั ษณะคล้ายรปู รา่ งดอกไม้ ที่ถกู ผลติ ขนึ้ มาจาก แรงงานฝมี อื มนษุ ย์ เครือ่ งจกั ร หรอื อปุ กรณ์การผลติ โดยมีการใช้วัตถุดบิ การผลติ จากธรรมชาติ หรือวตั ถุดบิ ทเ่ี กิด จากสงั เคราะห์มาผลติ โดยผ่านขั้นตอนการประดษิ ฐ์ ดดั แปลง อบ ยอ้ ม เผา เคลือบสารเคมี รวมทงั้ ทาการตกแตง่ ตัดตอ่ เติม เพอื่ กอ่ ให้เกดิ ความสวยงาม โดยดอกไมท้ ่ปี ระดิษฐ์ขึ้นมาอาจจะมคี วามเหมอื นหรือไม่เหมือนธรรมชาติก็ ได้ข้ึนกบั วตั ถปุ ระสงค์การใช้งาน โดยคุณสมบัตขิ องดอกไมป้ ระดษิ ฐท์ ่ีสาคญั คือ มีความคงทน งา่ ยต่อการ เคล่ือนย้ายและดูแลรักษา มีความสวยงาม สามารถนาไปใชใ้ นการประดบั ในโอกาสต่าง ๆ การประดิษฐ์ดอกไมด้ ้วยฝีมือมนษุ ย์เป็นศิลปะท่ีมีความละเอยี ดอ่อน มุ่งหวงั ที่จะดารงความงดงามตาม ธรรมชาติของดอกไมใ้ หค้ งอยู่ ไมร่ ่วงโรย เห่ียวเฉา การทาดอกไม้ประดิษฐ์ จึงเรม่ิ ต้นที่การใช้ความสังเกต ศกึ ษา คน้ ควา้ รปู ลกั ษณะ สีสนั ตามธรรมชาติ ของดอกไม้แตล่ ะชนิด แต่ละประเภท แลว้ ถา่ ยทอดการทาออกมาเป็น ดอกไม้ประดษิ ฐ์ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ อาจถอื ได้วา่ เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของบางชนชาติ ทมี่ ีการสบื ทอดการ ประดิษฐด์ อกไมม้ ายาวนาน ดอกไม้ประดษิ ฐ์ นน้ั ต้องทาโดยมือคน 100% ซ่ึงจะทาให้เกิดความสวยงามถงึ ขดี สดุ ในปัจจบุ ันนค้ี นรนุ่ หลังไดร้ บั การสืบทอดการทาดอกไม้ประดษิ ฐม์ าจากรุ่นบรรพบรุ ษุ ซงึ่ สืบทอดตอ่ กนั มาหลายชั่วอายุคน หัวดอกไม้ ต่าง ๆ ท่ีประดิษฐ์ข้นึ มาทาให้เกดิ ธรุ กจิ ขายสง่ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์หลายเจ้า ซงึ่ ความเกา่ แก่ยาวนาน และ เป็นศาสตร์ที่ น่าสนใจ โดยผทู้ ่ีศกึ ษานน้ั จาเปน็ จะต้องมีความสนใจเปน็ พเิ ศษโดยแท้จรงิ ตอ้ งทาการ คน้ คว้า ศึกษา หาความรใู้ น ด้านดอกไมป้ ระดิษฐ์ให้มากที่สุด ซ่ึงหาสอนได้ยาก เพราะ เป็นวิชาชพี เฉพาะ และ คนรนุ่ ใหม่นั้นให้ความสนใจกัน น้อย แตห่ ากสามารถนาไปทาในขั้นวิชาชพี แลว้ เปน็ งานที่รายไดด้ ที เี ดยี ว หากฝีมอื ดีออกแบบไดเ้ ก่ง โอกาศรวยก็ มาก ซง่ึ ขนั้ ตอนการทาดอกไม้ประดษิ ฐน์ ั้นก็มีหลากหลายขน้ั ตอนมาก แต่ละสานกั กส็ อนไม่เหมือนกัน ทาใหเ้ ป็น 141
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202