Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมเล่มค่ายสะเต็มอาชีพ

รวมเล่มค่ายสะเต็มอาชีพ

Published by bbo_ chaleawkit, 2021-05-17 07:01:14

Description: รวมเล่มค่ายสะเต็มอาชีพ

Search

Read the Text Version

น้า น้าเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์เนื่องจากในส่ิงมีชีวิตทุกชนิดมีน้าเป็นส่วนประกอบ มากกวา่ ครึง่ หนึง่ ของน้าหนกั ตัวน้าเปน็ ส่วนประกอบส่วนใหญ่ภายในเซลล์ช่วยละลายสารอาหารต่างๆชว่ ยลาเลียง สารอาหารสารเคมีรวมทงั้ แร่ธาตุต่างๆระหวา่ งเซลล์และน้ายงั ช่วยลดอุณหภูมภิ ายในต้นพชื อกี ดว้ ย 1.2 ธาตอุ าหารของต้นออ่ นทานตะวัน ในจานวนธาตุอาหารท่ีพืชจาเป็นต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซ่ึงมีอยู่ 16 ธาตุน้ัน มี 3 ธาตุ ท่พี ชื ได้มาจากอากาศและนา้ คือ คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซเิ จน (O) สว่ นอกี 13 ธาตนุ ั้น พชื ต้อง ดูดดึงขึ้นมาจากดิน ซ่ึงธาตุเหล่าน้ีได้มาจากการผุพังสลายตัวของส่วนที่เป็นอนินทรียวัตถุและอินทรียวัตถุหรือ ฮิวมัสในดนิ สามารถแบ่งตามปรมิ าณทีพ่ ชื ต้องการใช้ได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ มหธาตุ และจุลธาตุ (1) มหธาตุ (macronutrients) มหธาตุหรือธาตุอาหารท่ีพืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ที่ได้มาจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซยี ม (K) แคลเซยี ม (Ca) แมกนีเซยี ม (Mg) และกามะถนั (S) แบ่งได้เปน็ 2 กลุ่ม 42

(1.1) ธาตุอาหารหลกั หรือ ธาตุปยุ๋ ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรสั (P) โพแทสเซยี ม (K) เน่ืองจากสาม ธาตุนพ้ี ืชต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะไดร้ ับจากดินไมค่ ่อยเพียงพอกบั ความตอ้ งการ ตอ้ งชว่ ยเหลอื โดยใส่ปุ๋ย อยู่เสมอ (1.2) ธาตอุ าหารรอง ได้แก่ แคลเซยี ม (Ca) แมกนเี ซยี ม (Mg) และกามะถนั (S) เป็นกลุม่ ท่พี ชื ต้องการใช้ ในปรมิ าณทน่ี ้อยกวา่ และไมค่ ่อยมีปัญหาขาดแคลนในดินทัว่ ๆไปเหมือนสามธาตแุ รก (2) จลุ ธาตุ หรือ ธาตุอาหารเสรมิ (micronutrients) จุลธาตุหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณน้อย มีอยู่ 7 ธาตุ ได้แก่ เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลบิ ดินัม (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรนี (Cl) ไม่วา่ จะเป็นธาตอุ าหารในกลุ่ม มหธาตุหรือจลุ ธาตุ ต่างก็มคี วามสาคญั และจาเปน็ ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของ พืชไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะความจรงิ แล้ว ธาตุทุกธาตุมีความสาคัญต่อการดารงชีพของพืชเท่าๆกัน จะต่างกนั แต่ เพียงปริมาณที่พืชต้องการเท่าน้ัน ดังนั้นพืชจึงขาดธาตุใดธาตุหนึ่งไม่ได้ หากพืชขาดธาตุอาหารแม้แต่เพียงธาตุ เดยี ว พชื จะหยุดการเจริญเติบโต แคระแกรน็ ไมใ่ ห้ผลผลติ และตายในทส่ี ดุ หน้าทขี่ องธาตอุ าหารพืชเสรมิ ธาตุอาหารพืชแต่ละชนิดมีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันไปและถ้าพืชได้รับธาตุ อาหารไม่เพียงพอต่อความตอ้ งการก็จะแสดงอาการทีแ่ ตกตา่ งกนั ตามแตช่ นิดของธาตอุ าหารท่ีขาดแคลนน้ัน ไนโตรเจน มหี นา้ ทเี่ ป็นสว่ นประกอบของโปรตนี ชว่ ยให้พืชมสี เี ขยี ว เร่งการเจริญเตบิ โตทางใบหากพืช ขาดธาตนุ ้จี ะแสดงอาการใบเหลืองใบมขี นาดเล็กลง ลาตน้ แคระแกรน็ และใหผ้ ลผลิตต่า ฟอสฟอรสั มีหน้าท่ีช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของรากควบคุมการออกดอก ออก โพแทสเซียม ผลและการสร้างเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตุน้ีระบบรากจะไม่เจริญเติบโตใบแก่จะเปลี่ยนจากสี เขยี วเป็นสมี ่วงแลว้ กลายเปน็ สนี ้าตาลและหลุดร่วงลาต้นแกร็นไมผ่ ลิดอกออกผล เป็นธาตุทชี่ ่วยในการสงั เคราะห์น้าตาลแปง้ และโปรตีน สง่ เสริมการเคลอ่ื นย้ายน้าตาลจาก ใบไปสูผ่ ลช่วยให้ผลเติบโตเร็วและมีคุณภาพดชี ่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานตอ่ โรคและแมลง บางชนดิ ถ้าขาดธาตุน้พี ชื จะไม่แข็งแรงลาต้นออ่ นแอ ผลผลิตไม่เตบิ โตมีคณุ ภาพต่า สไี มส่ วย รสชาตไิ มด่ ี 43

กามะถัน เปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ของกรดอะมิโนโปรตีน และวติ ามนิ ถ้าขาดธาตุนีท้ ั้งใบบนและใบล่างจะ มีสีเหลืองซีดและต้นอ่อนแอ แคลเซียม เป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการแบ่งเซลล์การผสมเกสร การงอกของเมล็ดพืชขาดธาตุนใ้ี บท่ี แมกนีเซยี ม เจริญใหม่จะหงกิ งอตายอดไม่เจริญ อาจมีจดุ ดาทเ่ี สน้ ใบรากส้ัน ผลแตก และมคี ุณภาพไมด่ ี ทองแดง เป็นองค์ประกอบสาคัญของคลอโรฟิลล์ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโนวิตามิน ไขมัน และ เหล็ก แมงกานีส นา้ ตาลทาใหส้ ภาพกรดด่างในเซลลพ์ อเหมาะและชว่ ยในการงอกของเมล็ดถ้าขาดธาตุน้ีใบ แก่จะเหลืองยกเว้นเสน้ ใบ และใบจะรว่ งหลน่ เร็ว ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์การหายใจ การใช้โปรตีนและแป้งกระตุ้นการทางานของ เอนไซม์บางชนดิ ถา้ พืชขาดธาตนุ ้ี ตายอดจะชะงักการเจรญิ เติบโตและกลายเป็นสีดาใบอ่อน เหลอื ง และพชื ทงั้ ตน้ จะชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์มีบทบาทสาคัญในการสังเคราะห์แสงและหายใจถ้าขาด ธาตนุ ้ใี บอ่อนจะมีสขี าวซีดในขณะท่ีใบแก่ยังเขียวสด ช่วยในการสังเคราะห์แสงและการทางานของเอนไซม์บางชนิดถ้าขาดธาตุน้ีใบอ่อนจะมีสี เหลืองในขณะทเ่ี ส้นใบยังเขียวตอ่ มาใบทม่ี ีอาการดงั กล่าวจะเห่ยี วแล้วรว่ งหลน่ 44

โมลบิ ดินัม ชว่ ยให้พชื ใชไ้ นโตรเจนให้เป็นประโยชน์และเก่ียวขอ้ งกับการสังเคราะหโ์ ปรตีนถ้าขาดธาตุน้ี สังกะสี พืชจะมีอาการคล้ายขาดไนโตรเจนใบมีลักษณะโค้งคล้ายถ้วยปรากฏจุดเหลืองๆ ตามแผ่น ใบ ช่วยในการสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซินคลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตุนี้ใบอ่อนจะมีสี เหลืองซีดและปรากฏสีขาวๆประปรายตามแผ่นใบ โดยเส้นใบยังเขียวรากส้ันไม่เจริญ ตามปกติ 1.3 การสังเคราะหแ์ สง ความสาคญั ของการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง พืชสีเขียวมีบทบาทสาคัญมากต่อส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดบนพื้นโลก รวมทั้งมนษุ ย์เราด้วย เพราะเป็นจุดเรม่ิ ตน้ ของการใช้พลังงาน โดยการนาพลังงานแสงมาเปล่ียนเป็นพลังงานเคมีในรูปของอาหารเก็บไว้ในรูปของเนื้อเย่ือ ได้แก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมัน พลังงานเหลา่ น้ีจะถ่ายทอดไปสู่สัตว์และคนท่กี นิ พชื และสัตว์เปน็ อาหาร นอกจากนี้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื ยังได้แกส๊ ออกซเิ จนและไอนา้ ซึ่งจะถูกปล่อยออกจากใบสู่ อากาศส่วนพืชในน้าก็ปลอ่ ยออกซิเจนสู่แหลง่ น้า สัตว์ทงั้ ในนา้ และบนบกไดน้ าแก๊สออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการ หายใจ กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชตอ้ งใชแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้าเป็นสารตัง้ ตน้ ในปฏิกริ ยิ า ดังนนั้ พืชสีเขียวจึงมีประโยชน์ช่วยลดปรมิ าณของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ท่ีเกิดจากกิจกรรมของมนษุ ย์ ซ่ึงเป็นสาเหตุ ของภาวะโลกรอ้ น ดังนั้นจึงกล่าวไว้ว่ากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเป็นกระบวนการที่มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการ ดารงอยู่ของส่งิ มีชวี ิตทุกชนดิ บนโลกใบนี้ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืช น้าตาลเป็นสารชนิดแรกท่ีพืชสร้างขึ้นได้เองก่อนท่ีจะเปลี่ยนรูปไปเป็นแป้งและสารอื่นๆ ต่อไป กระบวนการสรา้ งน้าตาลของพืชเราเรียกว่า กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) ซ่งึ พชื ตอ้ งอาศัย ปัจจยั หลายอยา่ งในกระบวนการนี้ ปัจจัยที่พชื ใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง ปัจจัยสาคัญที่พชื จาเป็นตอ้ งนาไปใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ไดแ้ ก่ 1) คลอโรฟิลล์ มอี ยูใ่ นคลอโรพลาสต์ 2) แสง คลอโรฟลิ ล์จะดดู ซับพลังงานแสงเข้ามาในใบพืช 3) แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ พชื จะรับเข้ามาทางปากใบที่เปิดในเวลากลางวัน 45

4) น้า รากพชื จะดดู นา้ ข้ึนมาแล้วลาเลียงตอ่ ไปยังใบโดยผ่านทางลาตน้ พืช จากปัจจัยท่ีใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงดังกล่าว แสดงว่ากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงตามธรรมชาติ จะเกิดขนึ้ ในชว่ งเวลาทม่ี แี สงเท่านน้ั คือ ช่วงเวลากลางวนั โดยใชแ้ สงจากดวงอาทิตย์ สิ่งท่ีเกิดข้นึ จากกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง พืชต้องการแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละนา้ เป็นสารตั้งตน้ ในการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยมคี ลอโรฟิลล์ และแสง เป็นตัวกระตุ้น ผลิตภัณฑท์ ไ่ี ด้ คือ นา้ ตาลกลโู คส และ แกส๊ ออกซเิ จน ซึ่งสามารถเขยี นปฏิกริ ิยาทีเ่ กดิ ขน้ึ ไดด้ ้วยสมการเคมีท่ีเรยี กว่า สมการการสงั เคราะหด์ ้วยแสง ดงั นี้ 6CO2 + 6H2O แสง C6H12O6 + 6O2 + 6H2O แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ นา้ คลอโรฟลิ ล์ นา้ ตาลกลโู คส แกส๊ ออกซเิ จน นา้ ในใบพืชท่ีมีสีอื่น เช่น สีแดง สีเหลอื ง หรอื สีน้าตาล เช่น ใบโกสน หรือใบฤาษีผสมกม็ ีคลอโรฟิลลอ์ ยู่ แต่ เนอื่ งจากมีปรมิ าณคลอโรฟิลลน์ อ้ ย จงึ ทาให้มองเหน็ สีเขียวไดไ้ ม่ชัดเจน แต่ใบพืชเหล่านย้ี ังสามารถสรา้ งอาหารได้ เช่นกัน สว่ นใบพืชทกี่ ลายพนั ธ์ุเปน็ สขี าวจะไมส่ ามารถสร้างอาหารได้ หากกลายพนั ธ์ุหมดทัง้ ต้นจะเรยี กวา่ พชื เผือก ซง่ึ ตน้ พืชจะมีสีขาวท้ังตน้ และมีชีวติ อย่ไู ดไ้ ม่นาน เช่น ขา้ วโพดเผือก จะไม่สามารถเจริญเตบิ โตจนออกฝกั ได้ 46

1.4 ปัจจยั ทีม่ ผี ลกระทบตอ่ การเจริญเติบโตของต้นอ่อนทานตะวัน ปจั จัยท่มี ีผลตอ่ การเจริญเติบโตของพืช แสงแดด พชื จาเปน็ ต้องใช้แสงแดดในการสร้างอาหารหรอื ท่ีเรียกว่า กระบวนการสงั เคราะห์ด้วย แสง จากกระบวนการน้ีจะได้อาหารของพืช คือ น้าตาลกลูโคส ซึ่งพืชอาจเก็บไว้ในรูปของ แป้ง นอกจากน้ียังได้น้าและแก๊สออกซิเจนเป็นผลพลอยได้ที่สาคัญอย่างย่ิงต่อมนุษย์และ สัตว์ แรงโนม้ ถ่วงของโลก แรงโน้มถว่ งของโลกมผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื โดยลาตน้ จะมีการเจรญิ เตบิ โตต้านแรง โน้มถว่ งของโลก ส่วนรากจะมกี ารเจรญิ เตบิ โตตามแนวแรงโนม้ ถว่ งของโลก อากาศ ในอากาศมีแก๊สออกซิเจนเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 20 แก๊สออกซิเจนเป็น ส่ิงจาเป็นต่อการดารงชีวิตของพืช เน่ืองจากกระบวนการหายใจท่ีเกิดขึ้นภายในเซลล์พืช เป็นกระบวนการท่ีแก๊สออกซิเจนรวมตัวกับน้าตาลกลูโคส เพื่อให้ได้พลังงานมาใช้ในการ ทางานของเซลลพ์ ืช น้า น้าเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับส่ิงมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์เนื่องจากในส่ิงมีชีวิตทุกชนิดมีน้า เ ป็น ส่วนประกอบมากกว่าคร่ึงหน่ึงของน้าหนักตัวน้าเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ภายในเซลล์ ช่วยละลายสารอาหารต่างๆช่วยลาเลียงสารอาหารสารเคมีรวมท้ังแร่ธาตุต่างๆระหว่าง เซลล์และน้ายังช่วยลดอุณหภูมิภายในต้นพืชอกี ด้วย แร่ธาตุ ในการเจริญเติบโตของพืชแร่ธาตุช่วยในการทางานของระบบต่างๆให้ดาเนินไปได้ด้วยดี เม่ือพืชขาดแร่ธาตุบางชนิดจะมีผลทาให้การเจริญเติบโตของพืชผิดปกติซึ่งสังเกตได้จาก ลักษณะของลาต้นใบดอกและผลจะมีลักษณะผิดปกติแร่ธาตุหลักท่ีพืชต้องการได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กามะถัน (S) แร่ธาตุที่พืชต้องการในปริมาณรองลงมาเช่นเหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) 47

2.การเพาะเมลด็ ตน้ ออ่ นทานตะวนั 2.1 วัสดุอุปกรณท์ ใ่ี ช้ในการเพาะตน้ อ่อนทานตะวนั 2.1.1 กะละมงั 2.1.2 ผ้าขนหนูหรอื กระสอบป่าน 2.1.3 ถาดเพาะ 2.1.4 ชน้ั วาง 2.1.5 ตาข่ายกรองแสง 2.1.6 ตาชง่ั 2.1.7 หวั ฉดี น้า 2.1.8 กระชอนตกั เมล็ด 2.1.9 ดินปลูก 2.1.10 เมล็ดทานตะวนั แบบดาและแบบลาย 2.1.11 มีดหรือกรรไกร 2.1.12 ถุงบรรจุ 2.1.13 ไม้บรรทัด 2.1.14 ตลบั เมตร 2.1.15 สายวัด 2.2 ขนั้ ตอนในการเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน ขั้นตอนที่ 1 นาเมลด็ แช่น้า 4-6 ชม. ระหว่างแชจ่ ะมฟี องอากาศซึ่งเกดิ จากนา้ เข้าไปในเมล็ดครับ หลังจากนน้ั เทนา้ ออก ขน้ั ตอนที่ 2 นาเมล็ดบม่ ในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทกุ ๆ 5 ชม. ให้คนกลับไปกลับมา เมล็ดจะเร่ิมงอกเปน็ ตมุ่ ๆ ดงั ภาพ แสดงวา่ เร่ิมเพาะไดแ้ ล้ว ใหเ้ รานาดินใส่ถาดทเ่ี ตรยี มไว้ 48

ข้นั ตอนที่ 3 โรยเมลด็ ลงดนิ โดยไม่ใหห้ นา หรอื บางจนเกินไป ขัน้ ตอนท่ี 4 โรยดินกลบบาง ๆ และรดน้าพอชุ่ม ขั้นตอนที่ 5 นาถาดมาซอ้ นกนั ประมาณ 1 คืน หลังจากนนั้ ใหน้ าถาดออกมารดนา้ ตามปกติ ข้นั ตอนที่ 6 แยกถาดออกไวใ้ นร่ม รดนา้ วันละ 2 ครัง้ เช้า-เยน็ 49

ขน้ั ตอนท่ี 7 เขา้ ส่วู ันท่ี 3 รดนา้ ต่อวนั ละ 2 คร้งั เช้า-เยน็ พอประมาณ ขนั้ ตอนท่ี 8 เขา้ สวู่ ันที่ 4 รดนา้ บาง ๆ เพ่ือให้ดินหลดุ จากใบ สามารถเร่มิ เก็บเมล็ดทต่ี ิดใบออกได้ รดน้าเชา้ -เยน็ ต่อ ขน้ั ตอนท่ี 9 เขา้ สู่วนั ที่ 5 รดนา้ ตอ่ เช้า-เยน็ พอประมาณ ข้นั ตอนที่ 10 เข้าสูว่ นั ท่ี 6-7 รดนา้ เชา้ -เย็นปกติ และนาออกมารับแสงในวนั ทีจ่ ะตัด ต้นจะเร่ิมเขียว สามารถตัดได้ ในวันท่ี 6-7 หรอื มากกวา่ กไ็ ดค้ รบั แลว้ แต่ความยาวของต้น 50

ใบความรู้สาหรบั ผู้จัดกิจกรรม เร่ือง การเช่อื มโยงสะเตม็ ศึกษากับการเพาะต้นออ่ นทางตะวัน สะเต็มศึกษา คือ แนวทางการจัดการศึกษาท่ีบูรณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนาความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมท้ังการพัฒนา กระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การดาเนินชีวิต และการทางาน ชว่ ยนักเรยี นสร้างความเชื่อมโยง ระหว่าง 4 สหวทิ ยาการ กบั ชีวติ จริงและการทางาน การจดั การเรยี นรู้แบบสะเต็มศกึ ษาเปน็ การจดั การเรียนรทู้ ี่ไม่ เน้นเพียงการท่องจาทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ แต่เป็นการสร้างความเข้าใจทฤษฎีหรอื กฏ เหล่านั้นผ่านการปฏิบัติใหเ้ ห็นจริงควบคู่กับการพัฒนาทักษะการคิด ต้ังคาถาม แก้ปัญหาและการหาข้อมูลและ วเิ คราะหข์ ้อคน้ พบใหมๆ่ พร้อมท้งั สามารถนาข้อคน้ พบนัน้ ไปใช้หรือบูรณาการกับชีวิตประจาวันได้ การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มมลี ักษณะ 5 ประการได้แก่ (1) เป็นการสอนท่ีเน้นการบูรณาการ (2) ช่วยนักเรียนสร้างความเช่ือมโยงระหว่างเน้ือหาวิชาท้ัง 4 กับชีวิตประจาวันและการทาอาชีพ (3) เน้นการ พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 (4) ท้าทายความคิดของนักเรียน และ (5) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความ คิดเห็น และความเข้าใจที่สอดคล้องกับเน้ือหาท้ัง 4 วิชา จุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็ม ศึกษา คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักและเห็นคุณค่าของการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณติ ศาสตร์ และเห็นว่าวิชาเหล่านัน้ เป็นเรือ่ งใกล้ตวั ที่สามารถนามาใช้ได้ทุกวัน สาหรับการเชอื่ มโยงสะเต็มศึกษากบั การเพาะต้นอ่อนทางตะวนั มีดงั น้ี Science (วิทยาศาสตร์) (1) การใหธ้ าตอุ าหาร ธาตุอาหารหลักทพี่ ืชต้องการเป็นอยา่ งมาก คือ ธาตไุ นโตรเจน(Nitrogen,N) ฟอสฟอรัส (Phosphorus,P) และ โพแทสเซียม(Potassium,K) แต่สภาพดนิ นั้นเมอื่ ปลูกพชื ไปแลว้ รนุ่ หนึ่ง แนน่ อนธาตอุ าหารหลกั เหล่านี้ ยอ่ มลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ หากไม่ช่วยเหลือโดยการใส่ธาตุอาหารหลกั คือปุ๋ยเคมีอย่เู สมอ สภาพดินยอ่ มเส่อื มจนไมส่ ามารถทาการเพาะปลูก สาเรจ็ ไดผ้ ลดี อีกทง้ั สง่ิ ท่ีพืชต้องการรองลงมา คือ แคลเซียม(Ca) แมกนีเซยี ม(Mg) และกามะถัน(s) ซง่ึ ธาตอุ าหารรอง เหล่านพี้ ชื ต้องการในปรมิ าณทนี่ อ้ ยกว่า N P K จงึ ทาใหด้ ินไมอ่ ยูใ่ นสภาพขาดแคลนธาตอุ าหารรอง แตถ่ ้าใชด้ นิ เพาะปลกู ไปนานๆ ธาตุอาหารรองก็อาจจะหมดไปไดเ้ หมอื นกัน โดยพชื จะแสดงอาการผดิ ปกติออกมา ทาใหเ้ รา ทราบว่า “พชื ขาดธาตุอาหารใด” นอกจากนพี้ ืชยงั ต้องการธาตอุ าหารเสริมอกี ด้วย เพยี งแตต่ ้องการน้อยมากแตข่ าดมันไม่ไดเ้ ลยสักอยา่ ง คอื เหลก็ (Fe) แมงกานีส(Mn) โบรอน(B) โมลิบดีนัม(MO) ทองแดง(CU) สงั กะส(ี ZN) คลอรีน(Cl) ซึ่งธาตุอาหารเสรมิ เหลา่ น้ีมักจะมใี นดนิ เกือบทุกแหง่ 51

(2) การใช้กระบวนการสังเคราะหแ์ สง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เป็น กระบวนการสร้างอาหารของพืชสีเขียว โดยมี คลอโรฟิลลท์ าหน้าทด่ี ูดพลงั งานแสงจากดวงอาทติ ยแ์ ล้วเปลยี่ นสารวัตถุดบิ คอื นา้ และแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ใหเ้ ปน็ น้าตาลกลูโคส น้า และ แกส๊ ออกซิเจน (3) การเจริญเตบิ โตของพชื การเจรญิ เติบโตของพืช หมายถึง การท่พี ืชมกี ารเพม่ิ ความสงู เพ่มิ ขนาด และ มกี ารเปล่ียนแปลงอวัยวะ ต่างๆ ไปตามขน้ั ตอนของพืชนน้ั ๆ เกณฑ์การวัดการเจริญเติบโตของพืช โดยการวัดความสูงของพืช การนับจานวนโครงสร้างท่ีเพิ่มข้ึน การเปลีย่ นแปลงของโครงสร้างพชื และการวดั นา้ หนกั แห้งซ่ึงจดั เป็นเกณฑก์ ารวดั การเจริญเตบิ โตท่ดี ีท่สี ุด ปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการเจริญเติบโตของพืช ไดแ้ ก่ อากาศ นา้ แสง แรธ่ าตุ และอณุ หภูมิ 52

Technology (เทคโนโลยี) (1) การเลอื กใชว้ สั ดุ การเลือกวสั ดทุ ี่ใชส้ าหรบั เพาะเมลด็ ทานตะวนั การเลือกวสั ดทุ ่ใี ชส้ าหรบั เพาะเมล็ดทานตะวนั ควรเลือกให้เหมาะสมกบั สถานที่ ปริมาณในการเพาะต้น อ่อนทานตะวัน หากเราต้องการเพาะต้นอ่อนทานตะวันในปริมาณมาก ควรเลือกวัสดุที่ใช้ท่ีมีขนาดใหญ่ขึ้น และ เลือกวัสดุที่มีอายุการใช้งานได้นาน และสามานากลับมาใช้ใหม่ได้ และมีราคาไม่แพงมาก ส่วนวัสดุอื่น ๆ ท่ีใช้ใน ขั้นตอนเพาะต้นอ่อนทานตะวนั ควรเลอื กให้เหมาะกบั ปริมาณท่เี ราเพาะต้นออ่ นทานตะวัน การเลอื กวัสดทุ ี่ใชส้ าหรับบรรจตุ น้ ออ่ นทานตะวนั การเลอื กวัสดุที่ใชส้ าหรับบรรจุต้นอ่อนทานตะวันเปน็ หน้าตาของผลิตภัณฑ์ ถา้ เราเลือกใช้วสั ดบุ รรจุภัณฑ์ ที่สวยงามกจ็ ะเพม่ิ มูลคา่ ของตัวสนิ คา้ ได้ และเป็นวสั ดุทีย่ ่อยสะลายได้งา่ ย สงผลตอ่ มลพิษทางอากาศนอ้ ยทสี่ ุด (2) การเลือกช่องทางการจาหน่าย 53

ชอ่ งทางการจัดจาหนา่ ยทางตรง ช่องทางการจัดจาหนา่ ยทางออ้ ม ขอ้ ดี ขอ้ ดี 1.ทราบความตอ้ งการลกู ค้าได้ดี 1.สนิ คา้ กระจายได้อยา่ งกว้างขวาง 2. สินค้าถงึ มือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว 2. มผี มู้ าชว่ ยรับความเส่ียงในการถือครองสินคา้ 3.ขายสนิ คา้ ไดใ้ นราคาถกู 3.ประหยดั เวลาและค่าใช้จา่ ย ข้อเสยี ขอ้ เสยี 1.กระจายสินค้าไมท่ ว่ั ถงึ 1.ทราบข้อมลู ทางการตลาดเกยี่ วกบั ผบู้ รโิ ภคนอ้ ย 2.เสียคา่ ใชจ้ ่ายในการขนส่ง 2. ราคาสินค้าจะสงู 3. ผู้ผลติ จะตอ้ งรบั ภาระเกี่ยวกบั สนิ คา้ คงเหลอื (3) การแปรรปู ผลิตภัณฑ์ ในปจั จุบนั ต้นอ่อนทานตะวนั ได้รบั ความนยิ มเป็นอยา่ งมาก จน สามารถนาไปแปรรูปเป็นชาชงดม่ื ร้อนๆ ยกตัวอยา่ ง เชน่ ไรค่ ณุ ลงุ ท๊อป ต้นอ่อนทานตะวนั ออแกนิค ได้นาต้นออ่ นทานตะวนั มาแปรรปู เป็นชา ทานตะวนั โดยมีกลิ่นหอมเยา้ ยวนใจ ไม่แพ้กลน่ิ ชาใด มาพรอ้ มกับ ประโยชนม์ ากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามนิ บี โอเมกา 6 โอเมกา 9 คณุ สมบตั ิของน้ามนั ทานตะวนั จะยงั อยู่ครบ เพราะใช้วธิ ีอบแห้ง นา้ มัน ในต้นจะไม่ระเหยไปกบั นา้ สามารถชงทานทานเช้า-เย็น ช่วยลดนา้ ตาล ในเส้นเลือดได้ 54

#ข้นั ตอนการแปรรูป 1.นาตน้ อ่อนมาตากแดดจนแหง้ (สามารถนาตน้ ที่ไม่สวยมาทาได้ แต่ไมค่ วรเปน็ ตน้ ท่ตี ิดโรค โคนเน่า ใบเนา่ ) 2.นาต้นออ่ นที่ตากแดดแห้งแล้วมาเขา้ เครื่องอบ อบจนแหง้ กรอบ 3.นามาเขา้ เครอื่ งป่ันให้เปน็ ผง 4.นาบรรจุซองชา ทานเอง หรอื แพ็คขายจาหนา่ ย Engineering (วิศวกรรมศาสตร)์ (1) การออกแบบบรรจภุ ณั ฑ์ บรรจุภัณฑ์ : เป็นศาสตรอ์ นั ดบั ตน้ ๆ ท่อี ยคู่ ูม่ นุษยม์ าตั้งแตย่ ุคดึกดาบรรพ์ ประกอบกับการยงั ชีพด้วยการ ประกอบอาหารรวมถึงการคิดค้นภาชนะถนอมอาหาร การปกป้องสินค้าให้อยู่ในสภาพที่ดี ดังน้ันเพ่ือให้สินค้าอยู่ ในสภาพที่ดีไม่ไดร้ ับความเสียหายระหว่างการขนส่ง จึงต้องมีการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์หลายลักษณะเพื่ออานวย ความสะดวก รักษาคุณภาพ และความปลอดภยั (2) การออกแบบพน้ื ท่ี การออกแบบพ้ืนที่การเพาะตน้ ออ่ นทางตะวันในแนวตง้ั แนวคิดหลกั ของการจัดสวนแนวตั้งทวั่ ไปนัน้ เกิดขึน้ จากการออกแบบที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในพื้นทนี่ อ้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งกับวิถีชีวติ คนเมืองในปัจจุบัน ท่ี ตอ้ งมองหาวิธใี ชส้ อยประโยชนอ์ ย่างสงู สดุ จากพ้นื ทที่ ่ีมีอยู่อย่างจากัด ผสมผสานกบั แนวคดิ สว่ นตัวทวี่ า่ ขยะท่ีใครๆ ทงิ้ มา หรือ ของทถ่ี ูกละเลยวางทงิ้ ไวอ้ ยา่ งไมม่ ใี ครสนใจ บางอย่างนั้นยงั มปี ระโยชนแ์ ฝงอย่แู ละสามารถเปลี่ยนเป็น ส่ิงใหม่ได้ ด้วยเคล็ดลับในการออกแบบง่ายๆ เพียงแค่สังเกตจุดเด่นของวัสดุนั้น แล้วนามาประดิษฐ์ต่อยอดให้ สอดคล้องกับประโยชนก์ ารใชง้ านของมัน จากนน้ั จึงเพ่มิ ไอเดียลงไป เชน่ กรวยกรอกนา้ ทม่ี รี สู าหรบั ระบายนา้ ไดด้ ี เม่ือนามาเรียงต่อกันในแนวตั้ง ก็จะสามารถรดน้าให้ท่ัวถึงได้ง่ายๆ จากการรดเพียงคร้ังเดียว ถื อเป็นการใช้ ประโยชน์จากจุดเด่นของวัสดุนั้นอย่างเต็มที่ แถมยังได้สิ่งใหม่ที่มีคุณค่า ต่างไปจากเดิม” ผกั ท่เี หมาะสาหรับการปลกู แบบสวนแนวต้งั ลักษณะน้ี ไดแ้ ก่ ผักเคร่ืองปรงุ สาหรับโรยหน้าอาหาร และผักทานยอดหรือใบ อาทิ ต้นหอม ผักชี ข้ึนฉ่าย ต้นอ่อนผักบุง้ ต้นออ่ นทานตะวัน ผักวอเตอร์เครสหรอื ผักสลดั นา้ 55

Mathematics (คณติ ศาสตร์) (1) การคานวณหาตน้ ทุน/กาไร การคดิ ต้นทนุ หมายถงึ วิธีการคดิ คานวณว่า ในการผลติ และขายสินค้าชิน้ หน่งึ ๆ หรอื ขายบรกิ ารอย่างหน่ึงๆ นั้น เราต้องเสียเงินไปมากน้อยเท่าใด โดยท่ัวไปต้นทุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้นทุนทางตรงและต้นทุน ทางออ้ ม ต้นทุนทางตรง หมายถึง ราคาของสิ่งของที่นามาใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการโดยเฉพาะ ได้แก่ ต้นทุน เกีย่ วกับวัตถดุ บิ และตน้ ทนุ เกี่ยวกับคา่ แรง ต้นทุนทางอ้อม หมายถึง ต้นทุนส่วนอน่ื ๆ ท่ีมีความจาเป็นต่อการประกอบธุรกิจ ได้แก่ ค่าน้า ค่าไฟฟ้า ค่า เช้อื เพลิง ค่าใช้จ่าย ในการขาย เปน็ ตน้ ต้นทนุ ทางตรง + ต้นทนุ ทางออ้ ม = ต้นทนุ รวม งบกาไรขาดทุน เป็นงบการเงินที่แสดงผลการดาเนินงานของกิจการในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง เช่น รอบปี บัญชี โดยจะแสดงรายได้ ค่าใชจ้ ่าย และ กาไรหรือขาดทนุ สุทธิ ชว่ ยใหผ้ ู้ใช้ทราบวา่ ผลกาไรหรือขาดทนุ ของกิจการ น้นั มาส่วนใด เพื่อปรับปรุงการดาเนินงาน และ คาดการณผ์ ลการดาเนินงานในอนาคต การตั้งราคาขาย การกาหนดราคา การกาหนดราคาสินค้ามีมากมายหลายแบบ แต่สิ่งท่ีสาคัญท่ีสุด ต้องคานึงถึง คือ ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อสามารถ ซ้ือได้ และราคาต่าสุดที่จะได้เงินทุนคืนมา โดยทั่วไปนิยมต้ังราคาขายเพ่ิม จากต้นทุนผลิตประมาณ 20-30 เปอรเ์ ซ็นต์ เมล็ดทานตะวัน 1 กิโลกรัมสามารถเพาะเป็นต้นอ่อนทานตะวันได้ถึง 2.5-8 กิโลกรัมข้ึนอยู่กับพันธุแ์ ละการ เลย้ี งดู ซ่งึ เมล็ดทานตะวัน 1 กโิ ลกรมั จะมีราคาอย่ทู ปี่ ระมาณ 150-250 บาท โดยราคาตามทอ้ งตลาดในตอนน้ี ต้น อ่อนทานตะวันท่ี 1 ขีด จะมีราคาอยู่ท่ีประมาณ 15-30 บาท และเม่ือคิดเป็น 1 กิโลกรัมแล้ว ก็จะสามารถทาเงนิ ให้เราได้ถงึ 150-300 บาท (2) ระยะเวลาในการเพาะ ระยะเวลาในการเพาะต้นอ่อนทานะตนั ท่จี ะเจรญิ เตบิ โตพอตดั เกบ็ ได้จะอยู่ประมาณ 5-7 วนั ดงั ตอ่ ไปนี้ 56

(3) การชัง่ /การวดั การชัง่ เครื่องชงั่ และหน่วยท่ใี ช้ในการชง่ั เครื่องช่ัง เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้บอกน้าหนักสิ่งของ เคร่ืองช่ังมีหลายชนิด ซ่ึงมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปกับ น้าหนักส่ิงของที่จะช่ัง ดังน้ัน จาต้องเลือกเครื่องชั่งให้เหมาะสมกับส่ิงของท่ีจะช่ัง ดังนั้น จึงต้องเลือกเครื่องชั่งให้ เหมาะสมกบั สิ่งของท่ีจะชั่ง หน่วยทใ่ี ช้ในการช่งั คอื กิโลกรมั (กก.) และกรัม(ก.) ซ่งึ เป็นหนว่ ยท่ีใชใ้ นการบอกนา้ หนกั การเลือกเคร่ืองชัง่ ใหเ้ หมาะสมกับสง่ิ ของท่จี ะชงั่ - เครอื่ งชง่ั ยา ใช้ชง่ั ยาสมนุ ไพร แร่ธาตุขนาดเลก็ สารเคมี - เครอื่ งชัง่ สปริง ใชช้ ง่ั สิง่ ของทม่ี นี า้ หนกั ไม่มาก เชน่ ผัก ผลไม้ เนอื้ สัตว์ - เครอ่ื งชั่งน้าหนกั ตวั ใช้ชงั่ น้าหนกั ตัว - เคร่ืองชงั่ แบบตุม้ เลือ่ น ใช้ชัง่ ส่ิงของทม่ี นี า้ หนกั มากๆ เชน่ ข้าวสาร หรอื นา้ ตาลทรายเปน็ กระสอบ การชัง่ และการอา่ นน้าหนกั จากเครอ่ื งช่งั ก่อนช่ังสิ่งของบนเครอื่ งชั่งต้องช้ีไปที่ตัวเลข 0 เสมอ เมื่อวางสิ่งของที่จะช่ังแล้ว เข็มจะเคลื่อนท่ีไปยังตัวเลขท่ี เทา่ กับน้าหนกั ของสิง่ ของนั้น เช่น ถ้าเขม็ ชไ้ี ปทเ่ี ลข 2 แสดงวา่ ของส่งิ น้ันมีนา้ หนัก 2 กโิ ลกรมั กิโลกรัม กรัม ขดี กิโลกรัม กรัม และขีด เป็นหนว่ ยท่ใี ชบ้ อกน้าหนักในการชั่ง ซ่งึ มีความสัมพนั ธก์ นั ดงั นี้ นา้ หนกั 1 กโิ ลกรมั เทา่ กบั 1,000 กรมั น้าหนัก 100 กรัม เทา่ กับ 1 ขีด นา้ หนัก 10 ขีด เท่ากบั 1 กโิ ลกรมั การวดั การวัด ถือว่าสาคัญมากในทางวิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็นตัวชีวัดความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ได้เลย ทีเดียว เพราะการที่เราจะเข้าใจธรรมชาติได้ดีเท่าไรนน้ั ขน้ึ อยู่กับว่าเราจะวัดปริมาณของธรรมชาตินน้ั ๆได้ดีเท่าไร นั่นเอง 57

การเลอื กใชเ้ คร่ืองมือและการเลอื กวิธีการในการวดั ปริมาณทางวิทยาศาสตรน์ น้ั มีดงั น้ี 1.เลือกใชเ้ คร่อื งมือที่เหมาะกับขนาดของส่ิงท่ีจะวดั เช่น จะวัดส่วนสงู กต็ ้องใช้ไมเ้ มตร จะแมน่ ยากวา่ การ วัดด้วยไม้บรรทัด เพราะถา้ วัดดว้ ยไม้บรรทัดจะตอ้ งวัดต่อกนั หลายครั้งจะทาใหเ้ กดิ ความคลาดเคล่อื นขึ้นได้มาก 2.ต้องวัดซ้ากนั หลายครั้งแลว้ นามาหาค่าเฉลย่ี เนอ่ื งจากการวัดแต่ละครงั้ ต้องมคี วามคลาดเคลื่อนขึ้นเสมอ แต่ถ้าเราทาการวดั หลายครง้ั แลว้ มาเฉลีย่ กัน ค่าท่ไี ด้จะนา่ เชื่อถือมากข้ึน 3.เคร่ืองมือท่ีวัดต้องไม่ส่งผลไปเปล่ียนแปลงวัตถุที่วัด เช่น ถ้าเราวัดอุณหภูมิน้าแก้วหน่ึงความร้อนที่เสยี ไปให้ปรอทท่ีเราใช้วัดไมม่ ีผลต่อการวัด แต่ถ้าเราวัดส่ิงท่ีมีปริมาณน้อยๆ เช่นหยดน้า ความร้อนท่ีเสียให้ปรอทถอื ว่ามีขนาดมากเมือ่ เทียบกบั ความรอ้ นทั้งหมดของหยดนา้ จงึ ไม่สามารถเอาปรอทไปวดั โดยตรงได้ตอ้ งอาศยั วิธีอื่นที่ ดีกว่า 58

ใบความรู้สาหรบั ผู้รับบรกิ าร เรือ่ ง การเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน 1.ความร้เู บ้ืองตน้ เก่ยี วกบั ตน้ ออ่ นทานตะวนั 1.1 ชนดิ ของเมล็ดดิน น้า ทใ่ี ชใ้ นการเพาะ เมล็ดทานตะวันมแี บบสดี า และแบบลาย แตเ่ มลด็ ทานตะวนั ถกู แบ่งเป็น 4 แบบ (1) เมลด็ ทานตะวันแบบดาใหญ่ มีลายออ่ นๆ นิยมนามาทาเมล็ดทานตะวนั ค่วั หรืออบแห้งขาย เมลด็ แบบ นีเ้ หมาะสาหรบั แทะเมลด็ รบั ประทาน ในไทยไมน่ ยิ มปลูก พบมากในประเทศจนี (2)เมล็ดทานตะวนั แบบดาจมั โบ้ เมล็ดกลม นามาปลูกตน้ อ่อนจะใหต้ ้นออ่ นที่อวบใหญ่ ได้น้าหนักมาก แต่ รสชาติดีดอ้ ยกว่าเมลด็ ลายและค่อนข้างเหนยี ว (3) เมล็ดทานตะวนั แบบดาขนาดกลาง ให้ต้นอ่อนทอี่ วบ (4) เมล็ดทานตะวันแบบลาย ได้ต้นอ่อนท่ีผอมเรียวยาว รสชาติดี และไม่เหนียวท่ีสาคัญเมล็ดลายจะมี นา้ มนั ทานตะวันมากกว่าแบบอนื่ ซง่ึ นา่ จะให้ประโยชน์มากกว่าด้วย 59

ประเภทของดนิ เป็นดินที่มีเน้อื ละเอยี ด ในสภาพดนิ แหง้ จะแตกออกเป็นก้อนแขง็ มาก เม่ือเปยี กน้า แล้วจะมีความยดื หยนุ่ สามารถปัน้ เป็นกอ้ นหรือคลงึ เป็นเสน้ ยาวได้ เหนยี ว ดินเหนยี ว เหนอะหนะติดมือ เป็นดินท่ีมกี ารระบายนา้ และอากาศไมด่ ี แต่สามารถอ้มุ นา้ ดูด ยึด และแลกเปลย่ี นธาตอุ าหารพืชไดด้ ี เหมาะทีจ่ ะใช้ทานาปลูกขา้ วเพราะเก็บนา้ ได้ นาน เป็นดินที่เนื้อดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือในสภาพดินแห้งจะจับกันเป็นก้อนแข็ง พอประมาณ ในสภาพดินชื้นจะยืดหยุ่นได้บ้าง เมอื่ สมั ผสั หรือคลงึ ดินจะรู้สกึ นุ่มมือแต่ อาจจะรสู้ กึ สากมืออยู่บ้างเล็กน้อย เม่ือกาดินให้แน่นในฝ่ามอื แลว้ คลายมือออก ดินจะ จับกันเป็นก้อนไม่แตกออกจากกนั เป็นดนิ ทีม่ กี ารระบายนา้ ไดด้ ีปานกลาง จดั เป็นเน้ือ ดินท่ีมคี วามเหมาะสมสาหรับการเพาะปลกู ดินทราย เป็นดินที่มีอนุภาคขนาดทรายเป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่าร้อยละ85 เน้ือดินมีการ เกาะตัวกันหลวมๆ มองเห็นเป็นเม็ดเด่ียวๆ ได้ ถ้าสัมผัสดินท่ีอยู่ในสภาพแห้งจะรู้สึก สากมือ เม่ือลองกาดินที่แห้งนี้ไวใ้ นอุ้งมือแล้วคลายมือออกดินกจ็ ะแตกออกจากกนั ได้ แต่ถ้ากาดินที่อยู่ในสภาพช้นื จะสามารถทาให้เป็นก้อนหลวมๆ ได้ แต่พอสมั ผสั จะแตก ออกจากกนั ทนั ที ทั่วไปมีอยู่หลายสูตรให้เลือกใช้ แนะนาว่าเลือกถุงที่บอกวัตถุดิบไว้ข้าง ๆ ดีกว่า ปกติแล้วพรรณไมแ้ ต่ละชนดิ ต้องการวัสดปุ ลกู ไม่เหมอื นกนั เช่น ไมด้ อกไม้ประดับ ทั่วไปชอบดินที่มีความร่วนซุยสูง หากใช้สาหรับเพาะกล้าต้องเก็บความชื้นและ ระบายน้าได้ดี ส่วนแคคตัสและไม้อวบน้า ดินต้องมีความโปร่งระบายน้าและ อากาศไดด้ ี สว่ นใหญด่ นิ ถงุ ทีว่ างขายมักมีความรว่ นซยุ แต่มธี าตุอาหารนอ้ ย 60

นา้ น้าเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับส่ิงมีชีวิตท้ังพืชและสัตว์เนื่องจากในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีน้าเป็นส่วนประกอบ มากกวา่ ครง่ึ หนึ่งของนา้ หนกั ตัวน้าเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ภายในเซลล์ช่วยละลายสารอาหารต่างๆช่วยลาเลียง สารอาหารสารเคมีรวมทง้ั แร่ธาตุตา่ งๆระหวา่ งเซลล์และน้ายงั ชว่ ยลดอณุ หภูมภิ ายในตน้ พืชอีกด้วย 1.2 ธาตุอาหารของตน้ ออ่ นทานตะวนั ในจานวนธาตุอาหารที่พืชจาเป็นต้องใช้เพ่ือการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซึ่งมีอยู่ 16 ธาตุนั้น มี 3 ธาตุ ที่พชื ได้มาจากอากาศและนา้ คอื คารบ์ อน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซเิ จน (O) สว่ นอีก 13 ธาตนุ น้ั พืชตอ้ ง ดูดดึงข้ึนมาจากดิน ซึ่งธาตุเหล่าน้ีได้มาจากการผุพังสลายตัวของส่วนท่ีเป็นอนินทรียวัตถุและอินทรียวัตถุหรือ ฮิวมสั ในดิน สามารถแบ่งตามปริมาณที่พชื ตอ้ งการใช้ได้ เปน็ 2 กล่มุ คอื มหธาตุ และจุลธาตุ (2) มหธาตุ (macronutrients) มหธาตุหรือธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ท่ีได้มาจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรสั (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนเี ซยี ม (Mg) และกามะถัน (S) แบ่งไดเ้ ปน็ 2 กลุ่ม(1.1) ธาตุ อาหารหลกั หรือ ธาตุปยุ๋ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรสั (P) โพแทสเซียม (K) เนื่องจากสามธาตุนีพ้ ืชตอ้ งการใช้ ในปริมาณมาก แต่มักจะไดร้ บั จากดินไม่ค่อยเพยี งพอกับความต้องการ ต้องชว่ ยเหลือโดยใสป่ ๋ยุ อย่เู สมอ 61

(1.2) ธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซยี ม (Mg) และกามะถัน (S) เป็นกลุ่มทีพ่ ืชตอ้ งการใช้ในปริมาณ ทนี่ ้อยกวา่ และไมค่ ่อยมปี ัญหาขาดแคลนในดินทวั่ ๆไปเหมือนสามธาตุแรก (2) จุลธาตุ หรอื ธาตุอาหารเสรมิ (micronutrients) จุลธาตุหรือธาตุอาหารท่ีพืชต้องการใช้ในปริมาณน้อย มีอยู่ 7 ธาตุ ได้แก่ เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลบิ ดนิ มั (Mo) ทองแดง (Cu) สงั กะสี (Zn) และคลอรนี (Cl) ไม่ว่าจะเป็นธาตุอาหารในกล่มุ มหธาตหุ รอื จลุ ธาตุ ต่างกม็ ีความสาคญั และจาเปน็ ตอ่ การเจริญเตบิ โตของ พืชไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะความจรงิ แล้ว ธาตุทุกธาตุมีความสาคัญตอ่ การดารงชีพของพืชเท่าๆกัน จะต่างกนั แต่ เพียงปริมาณท่ีพืชต้องการเท่าน้ัน ดังน้ันพืชจึงขาดธาตุใดธาตุหนึ่งไม่ได้ หากพืชขาดธาตุอาหารแม้แต่เพียงธาตุ เดียว พชื จะหยุดการเจรญิ เตบิ โต แคระแกรน็ ไม่ใหผ้ ลผลิตและตายในทส่ี ดุ หน้าทขี่ องธาตุอาหารพืชเสรมิ ธาตุอาหารพืชแต่ละชนิดมีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันไปและถ้าพืชได้รับธาตุ อาหารไม่เพยี งพอต่อความต้องการก็จะแสดงอาการทแ่ี ตกตา่ งกนั ตามแตช่ นดิ ของธาตอุ าหารท่ีขาดแคลนนัน้ ไนโตรเจน มีหน้าทเ่ี ปน็ ส่วนประกอบของโปรตีนชว่ ยใหพ้ ชื มีสเี ขียว เรง่ การเจริญเติบโตทางใบหากพืช ขาดธาตนุ ้ีจะแสดงอาการใบเหลอื งใบมขี นาดเลก็ ลง ลาตน้ แคระแกร็นและให้ผลผลติ ต่า ฟอสฟอรัส มีหน้าท่ีช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของรากควบคุมการออกดอก ออก ผลและการสร้างเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตุน้ีระบบรากจะไม่เจริญเติบโตใบแก่จะเปลี่ยนจากสี เขยี วเป็นสมี ่วงแลว้ กลายเปน็ สีนา้ ตาลและหลดุ รว่ งลาตน้ แกร็นไมผ่ ลิดอกออกผล โพแทสเซียม เป็นธาตุที่ชว่ ยในการสังเคราะหน์ ้าตาลแปง้ และโปรตีน สง่ เสรมิ การเคล่อื นย้ายนา้ ตาลจาก แคลเซียม ใบไปสู่ผลช่วยให้ผลเติบโตเร็วและมีคุณภาพดชี ่วยให้พชื แขง็ แรง ตา้ นทานตอ่ โรคและแมลง บางชนิดถา้ ขาดธาตนุ ้ีพืชจะไมแ่ ขง็ แรงลาต้นอ่อนแอ ผลผลติ ไม่เติบโตมีคณุ ภาพต่า สีไมส่ วย รสชาตไิ ม่ดี เป็นองค์ประกอบที่ช่วยในการแบ่งเซลล์การผสมเกสร การงอกของเมล็ดพืชขาดธาตุนี้ใบท่ี เจริญใหมจ่ ะหงกิ งอตายอดไม่เจรญิ อาจมจี ุดดาท่ีเส้นใบรากสนั้ ผลแตก และมคี ณุ ภาพไม่ดี 62

กามะถนั เปน็ องค์ประกอบสาคญั ของกรดอะมโิ นโปรตีน และวติ ามนิ ถา้ ขาดธาตนุ ีท้ งั้ ใบบนและใบลา่ งจะ มีสีเหลอื งซดี และตน้ อ่อนแอ แมกนเี ซียม เป็นองค์ประกอบสาคัญของคลอโรฟิลล์ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโนวิตามิน ไขมัน และ ทองแดง นา้ ตาลทาให้สภาพกรดดา่ งในเซลลพ์ อเหมาะและช่วยในการงอกของเมล็ดถา้ ขาดธาตุน้ีใบ เหล็ก แมงกานีส แกจ่ ะเหลืองยกเวน้ เส้นใบ และใบจะร่วงหลน่ เร็ว โมลบิ ดินัม สังกะสี ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟลิ ล์การหายใจ การใช้โปรตีนและแป้งกระตุ้นการทางานของ เอนไซม์บางชนดิ ถ้าพืชขาดธาตุน้ี ตายอดจะชะงกั การเจริญเติบโตและกลายเป็นสีดาใบอ่อน เหลอื ง และพชื ทงั้ ตน้ จะชะงกั การเจริญเติบโต ช่วยในการสังเคราะห์คลอโรฟิลล์มีบทบาทสาคัญในการสังเคราะห์แสงและหายใจถ้าขาด ธาตนุ ี้ใบออ่ นจะมีสีขาวซีดในขณะท่ใี บแกย่ งั เขยี วสด ช่วยในการสังเคราะห์แสงและการทางานของเอนไซม์บางชนิดถ้าขาดธาตุน้ีใบอ่อนจะมีสี เหลืองในขณะท่เี ส้นใบยังเขียวต่อมาใบทม่ี อี าการดงั กลา่ วจะเหย่ี วแลว้ รว่ งหลน่ ช่วยใหพ้ ชื ใช้ไนโตรเจนให้เปน็ ประโยชน์และเก่ียวข้องกับการสงั เคราะหโ์ ปรตนี ถ้าขาดธาตุนี้ พืชจะมีอาการคล้ายขาดไนโตรเจนใบมีลกั ษณะโคง้ คลา้ ยถ้วยปรากฏจุดเหลืองๆตามแผ่นใบ ช่วยในการสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซินคลอโรฟิลล์ และแป้ง ถ้าขาดธาตุน้ีใบอ่อนจะมีสี เหลืองซีดและปรากฏสีขาวๆประปรายตามแผ่นใบ โดยเส้นใบยังเขียวรากส้ันไม่เจริญ ตามปกติ 63

1.5 การสังเคราะห์แสง ความสาคญั ของการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง พืชสีเขียวมีบทบาทสาคัญมากต่อส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดบนพื้นโลก รวมทั้งมนษุ ย์เราด้วย เพราะเป็นจุดเริม่ ต้น ของการใช้พลังงาน โดยการนาพลังงานแสงมาเปล่ียนเป็นพลังงานเคมีในรูปของอาหารเก็บไว้ในรูปของเน้ือเยื่อ ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน พลังงานเหลา่ นี้จะถา่ ยทอดไปสสู่ ัตวแ์ ละคนที่กนิ พชื และสตั ว์เป็นอาหาร นอกจากน้ีกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพชื ยังได้แก๊สออกซิเจนและไอนา้ ซึ่งจะถูกปล่อยออกจากใบสู่ อากาศส่วนพืชในน้าก็ปลอ่ ยออกซิเจนสู่แหล่งน้า สตั วท์ ้ังในนา้ และบนบกไดน้ าแก๊สออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการ หายใจ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืชต้องใชแ้ ก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละนา้ เปน็ สารตั้งตน้ ในปฏิกิริยา ดังนนั้ พืชสีเขียวจึงมีประโยชนช์ ่วยลดปรมิ าณของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ที่เกิดจากกิจกรรมของมนษุ ย์ ซ่ึงเป็นสาเหตุ ของภาวะโลกรอ้ น ดังนั้นจึงกล่าวไว้ว่ากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเป็นกระบวนการที่มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการ ดารงอยขู่ องสงิ่ มชี ีวติ ทกุ ชนดิ บนโลกใบน้ี กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช น้าตาลเป็นสารชนิดแรกที่พืชสร้างข้ึนได้เองก่อนที่จะเปลี่ยนรูปไปเป็นแป้งและสารอ่ืนๆ ต่อไป กระบวนการสรา้ งนา้ ตาลของพืชเราเรียกว่า กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) ซึ่งพืชต้องอาศัย ปจั จยั หลายอยา่ งในกระบวนการนี้ ปัจจยั ท่พี ชื ใช้ในกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง ปจั จยั สาคญั ทพ่ี ชื จาเป็นต้องนาไปใช้ในกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง ไดแ้ ก่ 1) คลอโรฟลิ ล์ มอี ย่ใู นคลอโรพลาสต์ 2) แสง คลอโรฟิลลจ์ ะดูดซับพลังงานแสงเข้ามาในใบพืช 3) แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ พืชจะรับเขา้ มาทางปากใบทเ่ี ปดิ ในเวลากลางวัน 4) น้า รากพืชจะดดู น้าขึ้นมาแลว้ ลาเลยี งตอ่ ไปยังใบโดยผา่ นทางลาต้นพืช จากปัจจัยที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงดังกล่าว แสดงว่ากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงตามธรรมชาติ จะเกิดขึน้ ในช่วงเวลาทีม่ ีแสงเทา่ นัน้ คือ ชว่ งเวลากลางวันโดยใช้แสงจากดวงอาทติ ย์ 64

สิ่งทเี่ กดิ ขึน้ จากกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง พืชต้องการแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ เปน็ สารตงั้ ต้นในการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยมคี ลอโรฟลิ ล์ และแสง เปน็ ตัวกระตุ้น ผลิตภัณฑท์ ไี่ ด้ คอื นา้ ตาลกลโู คส และ แก๊สออกซิเจน ซงึ่ สามารถเขยี นปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึ้น ไดด้ ว้ ยสมการเคมีท่ีเรยี กวา่ สมการการสังเคราะหด์ ้วยแสง ดงั นี้ 6CO2 + 6H2O แสง C6H12O6 + 6O2 + 6H2O แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ นา้ คลอโรฟลิ ล์ น้าตาลกลโู คส แกส๊ ออกซเิ จน นา้ ในใบพชื ที่มีสีอื่น เช่น สีแดง สเี หลอื ง หรือสนี า้ ตาล เชน่ ใบโกสน หรือใบฤาษีผสมก็มคี ลอโรฟลิ ล์อยู่ แต่ เน่ืองจากมีปรมิ าณคลอโรฟลิ ล์น้อย จงึ ทาใหม้ องเห็นสเี ขียวไดไ้ ม่ชดั เจน แต่ใบพชื เหล่านยี้ งั สามารถสร้างอาหารได้ เชน่ กัน ส่วนใบพชื ทีก่ ลายพนั ธุ์เป็นสขี าวจะไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้ หากกลายพนั ธ์ุหมดทัง้ ต้นจะเรยี กว่า พืช เผอื ก ซ่ึงต้นพชื จะมสี ีขาวท้งั ต้นและมชี วี ติ อยู่ไดไ้ ม่นาน เชน่ ข้าวโพดเผอื ก จะไม่สามารถเจริญเตบิ โตจนออกฝักได้ 1.6 ปัจจยั ทม่ี ีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นออ่ นทานตะวนั ปจั จยั ที่มีผลต่อการเจริญเตบิ โตของพชื แสงแดด พชื จาเปน็ ต้องใชแ้ สงแดดในการสร้างอาหารหรอื ท่ีเรยี กว่า กระบวนการสังเคราะห์ด้วย แสง จากกระบวนการน้ีจะได้อาหารของพืช คือ น้าตาลกลูโคส ซ่ึงพืชอาจเก็บไว้ในรูปของ แป้ง นอกจากนี้ยังได้น้าและแก๊สออกซิเจนเป็นผลพลอยได้ที่สาคัญอย่างยิ่งต่อมนุษย์และ สัตว์ แรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงโนม้ ถ่วงของโลกมีผลต่อการเจริญเตบิ โตของพชื โดยลาตน้ จะมีการเจรญิ เติบโตตา้ นแรง โนม้ ถ่วงของโลก ส่วนรากจะมีการเจริญเตบิ โตตามแนวแรงโนม้ ถ่วงของโลก 65

อากาศ ในอากาศมีแก๊สออกซิเจนเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 20 แก๊สออกซิเจนเป็น ส่ิงจาเป็นต่อการดารงชีวิตของพืช เน่ืองจากกระบวนการหายใจท่ีเกิดข้ึนภายในเซลล์พืช เป็นกระบวนการท่ีแก๊สออกซิเจนรวมตัวกับน้าตาลกลูโคส เพ่ือให้ได้พลังงานมาใช้ในการ ทางานของเซลล์พืช นา้ น้าเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับส่ิงมีชีวิตท้ังพืชและสัตว์เน่ืองจากในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีน้า เ ป็น ส่วนประกอบมากกว่าครึ่งหน่ึงของน้าหนักตัวน้าเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ภายในเซลล์ ช่วยละลายสารอาหารต่างๆช่วยลาเลียงสารอาหารสารเคมีรวมทั้งแร่ธาตุต่างๆระหว่าง เซลลแ์ ละน้ายงั ชว่ ยลดอณุ หภูมภิ ายในตน้ พืชอีกด้วย แรธ่ าตุ ในการเจริญเติบโตของพืชแร่ธาตุช่วยในการทางานของระบบต่างๆให้ดาเนินไปได้ด้วยดี เม่ือพืชขาดแร่ธาตุบางชนิดจะมีผลทาให้การเจริญเติบโตของพืชผิดปกติซ่ึงสังเกตได้จาก ลักษณะของลาต้นใบดอกและผลจะมีลักษณะผิดปกติแร่ธาตุหลักที่พืชต้องการได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กามะถัน (S) แร่ธาตุท่ีพืชต้องการในปริมาณรองลงมาเช่นเหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu) 2.การเพาะเมลด็ ตน้ อ่อนทานตะวนั 2.1 วัสดุอปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นการเพาะต้นออ่ นทานตะวนั 2.1.1 กะละมงั 2.1.2 ผ้าขนหนูหรือกระสอบปา่ น 2.1.3 ถาดเพาะ 2.1.4 ชัน้ วาง 2.1.5 ตาขา่ ยกรองแสง 2.1.6 ตาชง่ั 2.1.7 หวั ฉดี นา้ 2.1.8 กระชอนตักเมลด็ 2.1.9 ดนิ ปลกู 2.1.10 เมลด็ ทานตะวนั แบบดาและแบบลาย 2.1.11 มีดหรือกรรไกร 2.1.12 ถุงบรรจุ 66

2.1.13 ไม้บรรทัด 2.1.14 ตลับเมตร 2.1.15 สายวดั 2.2 ขัน้ ตอนในการเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน ข้นั ตอนที่ 1 นาเมลด็ แช่น้า 4-6 ชม. ระหวา่ งแช่จะมีฟองอากาศซึ่งเกิดจากนา้ เข้าไปในเมล็ดครบั หลังจากน้นั เทนา้ ออก ข้ันตอนท่ี 2 นาเมล็ดบม่ ในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทกุ ๆ 5 ชม. ให้คนกลบั ไปกลับมา เมลด็ จะเริ่มงอกเป็น ตมุ่ ๆ ดงั ภาพ แสดงวา่ เริม่ เพาะไดแ้ ล้ว ให้เรานาดินใส่ถาดที่เตรยี มไว้ ข้นั ตอนที่ 3 โรยเมล็ดลงดนิ โดยไม่ให้หนา หรือบางจนเกนิ ไป ข้ันตอนท่ี 4 โรยดินกลบบาง ๆ และรดนา้ พอชมุ่ 67

ขน้ั ตอนท่ี 5 นาถาดมาซ้อนกนั ประมาณ 1 คืน หลังจากนัน้ ให้นาถาดออกมารดน้าตามปกติ ขั้นตอนที่ 6 แยกถาดออกไว้ในร่ม รดนา้ วนั ละ 2 ครง้ั เชา้ -เย็น ขั้นตอนที่ 7 เขา้ สวู่ ันท่ี 3 รดนา้ ต่อวนั ละ 2 คร้ัง เชา้ -เย็น พอประมาณ ข้นั ตอนที่ 8 เข้าสวู่ นั ที่ 4 รดนา้ บาง ๆ เพอ่ื ให้ดนิ หลดุ จากใบ สามารถเรม่ิ เก็บเมล็ดที่ติดใบออกได้ รดน้าเช้า -เยน็ ต่อ 68

ขน้ั ตอนที่ 9 เข้าสวู่ นั ท่ี 5 รดนา้ ตอ่ เชา้ -เย็น พอประมาณ ขนั้ ตอนท่ี 10 เข้าสู่วนั ท่ี 6-7 รดนา้ เช้า-เย็นปกติ และนาออกมารับแสงในวนั ที่จะตดั ตน้ จะเริ่มเขยี ว สามารถตัดได้ ในวันที่ 6-7 หรือมากกว่าก็ไดค้ รับ แลว้ แต่ความยาวของต้น 69

ใบกจิ กรรมสาหรับผรู้ ับบริการ เร่อื ง การเพาะต้นอ่อนทานตะวนั วตั ถุประสงค์ เมื่อสน้ิ สุดแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร้แู ลว้ ผูร้ ับบรกิ ารสามารถ 3. อธิบายความรูเ้ บอื้ งต้นเกีย่ วกับการเพาะต้นออ่ นทานตะวนั 4. อธิบายและทดลองการเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน เน้ือหา 3. ความรู้เบ้ืองต้นเกยี่ วกบั ตน้ ออ่ นทานตะวนั 3.1 ชนดิ ของเมล็ดดนิ นา้ ทใ่ี ช้ในการเพาะ 3.2 ธาตุอาหารของต้นออ่ นทานตะวนั 3.3 การสงั เคราะหแ์ สง 3.4 ปัจจยั ที่มีผลกระทบตอ่ การเจรญิ เติบโตของตน้ ออ่ นทานตะวนั 4. การเพาะเมลด็ ตน้ ออ่ นทานตะวนั 2.1 วสั ดอุ ุปกรณ์ท่ีใช้ในการเพาะต้นอ่อนทานตะวนั 2.2 ขั้นตอนในการเพาะต้นอ่อนทานตะวนั คาชแ้ี จง ให้ผู้รับบริการปฏิบัติกจิ กรรมอธิบายและทดลองการเพาะต้นอ่อนทานตะวันจากวัสดุอปุ กรณ์ท่ีจัดเตรยี ม ไว้ให้ พรอ้ มท้งั ตอบคาถาม บันทึกข้ันตอนการเพาะ และผลการทดลองการเจริญเติบโตของตน้ อ่อนทานตะวนั ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ 1. ชนดิ ของเมลด็ ต้นออ่ นทานตะวนั ทเี่ ลือกใช้ในการเพาะ เพราะอะไรจึงเลือกเมล็ดชนิดแบบนี้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ปจั จัยทมี่ ีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตของต้นอ่อนทานตะวนั ได้แก่อะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….... 3. จงลาดับข้ันตอนในการเพาะตน้ ออ่ นทานตะวัน พรอ้ มทัง้ ระบุปัญหาระหวา่ งการทดลองเพาะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………........................................ ........................................................................................................................................................... 70

4. จงระบแุ นวทางการแก้ปญั หาระหว่างการทดลองเพาะตน้ อ่อนทานตะวัน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………….……………. 5. จงบนั ทึกผลการเจริญเติบโตของตน้ ออ่ นทานตะวันใน 1 สปั ดาห์ โดยวดั จากขนาดความสงู ของตน้ อ่อน ทานตะวนั พร้อมทงั้ สรปุ ผลการทดลองเพาะตน้ ออ่ นลงในตารางตอ่ ไปน้ี ชนดิ ของเมลด็ ผลการเจรญิ เติบโตของต้นอ่อนทานตะวัน (ซม.) วนั ที่ 1 วนั ท่ี 2 วนั ที่ 3 วนั ท่ี 4 วนั ที่ 5 วันที่ 6 วนั ท่ี 7 แบบที่ 1 ............ แบบที่ 2 ............ สรุปผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………. 71

ฐานการเรียนรทู้ ี่ 4 เรอ่ื ง การปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์มอื อาชพี ประกอบดว้ ย แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นท่ี 4 เรื่อง การปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์มอื อาชพี จานวน 3 ช่วั โมง 72

แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ 4 เรอ่ื ง การปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์มอื อาชพี เวลา 3 ชั่วโมง แนวคิด การปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ เปน็ การปลกู ผักโดยไม่ใชด้ นิ แตใ่ ช้น้าทม่ี ธี าตุอาหารละลายอยู่ ซงึ่ นับเปน็ วธิ ีการ ใหมใ่ นการปลกู ผกั เน่อื งจากประหยัดพ้ืนท่ี และไม่ปนเปื้อนกบั สารเคมีต่างๆ ในดนิ ใหไ้ ดผ้ กั ทีส่ ะอาดเปน็ อาหาร และขายเพื่อสรา้ งรายได้ นอกจากนี้ การปลูกผกั ไรด้ นิ ยังสามารถควบคุมสภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกบั การ เจรญิ เติบโตของผกั ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง จงึ ทาให้ผลผลิตและคุณภาพของผกั ทปี่ ลกู แบบไรด้ ินสงู กว่าการปลูกผักในดิน ปรมิ าณของผลผลิตใหไ้ ดต้ รงกบั ความตอ้ งการของตลาดมากยิ่งข้ึน ดว้ ยเหตุนี้การปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์ สามารถ เพ่มิ ประสทิ ธิภาพผลผลติ ทางการเกษตร และเป็นทางเลือกหน่งึ ในอาชีพ วตั ถปุ ระสงค์ เมื่อสิ้นสุดแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้นู ้ีแล้ว ผู้รับบริการสามารถ 1. อธบิ ายปัจจยั ท่เี กีย่ วข้องกับการเจริญเตบิ โตของผักไฮโดรโปนกิ ส์ 2. อธิบายทดลองปลกู ผักไฮโดรโปนิกสต์ ามข้ันตอนและวิธกี ารปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์ 3. อธิบายความเชื่อมโยงหลักการของสะเต็มในการปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ เน้ือหา 1. ปัจจยั ที่เกยี่ วข้องกับการเจรญิ เตบิ โตของผกั ไฮโดรโปนิกส์ 2. ข้ันตอนและวิธีการปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ 3. ความเช่อื มโยงหลกั การของสะเตม็ ในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ 73

การเช่ือมโยงระหว่างสะเตม็ ศกึ ษากับเนื้อหาท่ีเรยี นรู้ แผนผงั สะเตม็ สอู่ าชพี “การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์มืออาชีพ” 74

ข้ันตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นตอนท่ี 1 กจิ กรรมการเรยี นรูป้ ระสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ (S : Science Experience Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายและแนะนาตนเองกบั ผู้รบั บริการ รวมทั้งชี้แจงวตั ถุประสงคข์ องฐานการเรียนรทู้ ี่ 4 เรือ่ ง การปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์มืออาชีพ ได้แก่ (1) อธิบายปัจจยั ท่ีเกย่ี วข้องกับการเจรญิ เติบโตของผักไฮโดรโปนิกส์ (2) อธิบายทดลองปลูกผกั ไฮโดรโปนิกสต์ ามขั้นตอนและวิธกี ารปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ (3) อธบิ ายความเช่อื มโยงหลกั การของสะเตม็ ในการปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ 2. ผูจ้ ดั กิจกรรมซักถามประสบการณเ์ ดิมของผูร้ ับบริการเก่ยี วกับเรอื่ งท่ีจะเรยี นรู้ โดยสมุ่ ผ้รู บั บริการ จานวน 3 - 5 คน ตามความสมัครใจ ใหต้ อบคาถาม จานวน 3 ประเด็น ดังน้ี ประเดน็ ท่ี 1 “ท่านคิดวา่ การเจรญิ เตบิ โตของผักไฮโดรโปนิกส์ เก่ยี วขอ้ งกับอะไรบา้ ง” ประเดน็ ท่ี 2 “ทา่ นรู้จักขั นตอนและวิธกี ารปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์หรอื ไม่” ประเด็นที่ 3 “ท่านรู้จักสะเตม็ ศกึ ษากบั การปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์หรือไม”่ 3. ผูจ้ ัดกิจกรรมและผูร้ บั บริการแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นและสรุปผลการเรยี นรู้รว่ มกัน 4. ผจู้ ัดกิจกรรมเช่อื มโยงประสบการณ์เดมิ ของผรู้ ับบริการกบั เนื้อหาการเรยี นรู้ เร่อื ง การปลูกผักไฮโดรโป นกิ ส์ โดยบรรยาย เรอื่ ง การปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์ ตามใบความรู้ของวทิ ยากร เร่ือง การปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ หลังจากน้ัน เช่ือมโยงการบรู ณาการสะเต็มศกึ ษากบั เนื้อหาทเ่ี รยี นรู้ ตามใบความรู้ของวทิ ยากร เรอื่ ง การเชอ่ื มโยง สะเต็มศึกษากับการปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ ดังนี้ 4.1 วทิ ยาศาสตร์ (Science) (1) ธาตุอาหาร (2) การตรวจสอบค่า PH (3) การตรวจสอบค่า Ec (4) การสงั เคราะหแ์ สง 4.2 เทคโนโลยี (Technology) (1) สืบคน้ ขอ้ มลู ไฮโดรโปนกิ ส์ (2) เลือกใช้วสั ดุอปุ กรณ์ท่เี หมาะสมและหาไดง้ า่ ย (3) การประชาสมั พนั ธแ์ ละการตลาด 4.3 วศิ วกรรมศาสตร์ (Engineering) (1) การออกแบบรางปลกู ผกั (2) ออกแบบผลิตภัณฑใ์ ห้เหมาะสมกบั ตลาดทส่ี ง่ สนิ ค้า (3) การออกแบบแพค็ เก็ตให้เหมาะสมกบั ตลาด 4.4 คณติ ศาสตร์ (Mathematics) (1) ค้านวณโครงสร้างของรางปลกู ผกั และระยะห่างของแต่ละต้น (2) ค้านวณต้นทนุ ผลผลิต และการจ้าหนา่ ยผลิตภัณฑ์ (3) การคิดเปอรเ์ ซน็ ตค์ วามคุ้มค่าในการลงทุน 75

5. ผู้จัดกิจกรรมแจกใบความรู้สาหรับผูร้ ับบริการ เรอื่ ง การปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ หลงั จากนั้น ผูจ้ ัด กิจกรรม และผ้รู ับบรกิ ารแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นและสรปุ ผลการเรยี นรู้ร่วมกัน ขั้นตอนที่ 2 กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรท์ ี่ท้าทาย (C : Challenge Learning Activity) 1. ผู้จัดกิจกรรมเชอ่ื มโยงเน้ือหาในขน้ั ตอนท่ี 1 เร่ือง การปลกู ผักไฮโดรโปนิกส์ โดยกาหนดสถานการณใ์ ห้ ผู้รบั บริการ “ในชมุ ชนแห่งหนง่ึ เป็นพ้ืนทอี่ ตุ สาหกรรม มีพื้นท่ีทเี่ ป็นดินจานวนนอ้ ย มีความตอ้ งการ ในการปลกู ผัก ไวเ้ พอ่ื บรโิ ภคและจาหนา่ ย ควรเลอื กวิธกี ารปลูกผักอยา่ งไร จึงทาให้ไดผ้ ลผลติ สูงและผกั มีคณุ ภาพ” หลังจากน้ัน ใหผ้ ู้รบั บรกิ ารวางแผนและปฏิบัตกิ ารปลกู ผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ ตามใบกิจกรรม ของผรู้ ับบรกิ าร พร้อมท้ังเตรียมวสั ดุ อุปกรณ์ใหก้ ับผรู้ บั บรกิ ารในการปฏบิ ัติกิจกรรม (รางปลกู /ถ้วยปลกู / วสั ดปุ ลูก/ป๋ยุ A B/ปมั๊ น้า/เมล็ดผกั สลัด/ เคร่อื งวัดคา่ pH/เครื่องวดั คา่ EC /ถาดเพาะ/ถ้วยตวง/ถังผสมปุ๋ย ม้งุ กนั แมลง/ไมบ้ รรทัด/ตลับเมตร/สายวัดตัว/ กระดาษบรุ๊ฟ/ปากกาเคมี) 2. ใหผ้ เู้ ข้ารับบรกิ ารต้ังประเด็นข้อสงสยั ในกระบวนการหรือหลกั การท่ีเกยี่ วข้อง รวมไปถงึ การประยกุ ตใ์ ช้ ในชวี ติ จรงิ 3. ผจู้ ดั กิจกรรมสุ่มคดั เลอื กกลมุ่ ผู้รบั บริการออกมานาเสนอผลงาน 4. ผู้จัดกิจกรรมและผรู้ บั บริการแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ และสรุปผลการเรยี นรู้ร่วมกัน ขน้ั ตอนท่ี 3 กิจกรรมการสรุปผลการนาวิทยาศาสตรไ์ ปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั (I : Implementation Conclusion Activity) 1. ให้ผู้รับบริการตอบคาถามโดยสมุ่ ผู้รับบริการ จานวน 3-5 คน ตามความสมัครใจ ให้ตอบคาถามใน ประเดน็ “ท่านจะนาความรู้ เร่อื ง การปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์ ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจ้าวนั ได้อยา่ งไร” 2. ผู้จัดกิจกรรมและผู้รับบริการสรุปส่งิ ที่ได้เรยี นรรู้ ว่ มกัน ส่อื วัสดุอุปกรณ์ และแหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้สาหรับผู้จดั กิจกรรม เรือ่ ง การปลกู ผักไฮโดรโปนกิ สม์ อื อาชพี 2. ใบความรู้สาหรับผู้รับบริการ เรื่อง การปลูกผกั ไฮโดรโปนิกส์มืออาชีพ 3. ใบกิจกรรม เร่อื ง การปลูกผักไฮโดรโปนิกสม์ ืออาชพี 4. วัสดอุ ปุ กรณ์มีดังนี้ 1. รางปลกู 2. ถ้วยปลกู 3. วสั ดปุ ลูก 4. ปุ๋ย A B 5. ปมั๊ นา้ 6. เมลด็ ผกั สลดั 7. เครอื่ งวดั ค่า pH 76

8. เครอื่ งวดั คา่ EC 9. ถาดเพาะ 10. ถว้ ยตวง 11. ถังผสมปุย๋ 12. มุ้งกันแมลง 13. ไม้บรรทดั 14. ตลับเมตร 15. สายวัดตวั 16. กระดาษบรุ๊ฟ 17. ปากกาเคมี การวดั และประเมนิ ผล 1. สงั เกตกระบวนการมีสว่ นรว่ ม ไดแ้ ก่ อภปิ ราย ตอบคาถาม 2. ช้ินงาน/ผลงาน 77

บนั ทึกผลหลังการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการใชแ้ ผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. จานวนเนอ้ื หากับจานวนเวลา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบุเหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. การเรียงลาดบั เน้ือหากับความเข้าใจของผู้รับริการ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. การนาเขา้ ส่บู ทเรียนเนอื้ หาแต่ละหัวข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. วธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้กบั เนอ้ื หาในแต่ละข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. การประเมินผลกบั วตั ถปุ ระสงค์ในแต่ละเน้อื หา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม ระบเุ หตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลการเรียนรแู้ ละผรู้ บั บรกิ าร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรขู้ องผูจ้ ัดกิจกรรม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 78

ใบความรู้สาหรบั ผจู้ ดั กจิ กรรม เรอ่ื ง การปลูกผักไฮโดรโปนกิ สม์ อื อาชพี วัตถุประสงค์ เม่ือส้ินสุดแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรนู้ ี้ แลว้ ผู้รับบริการสามารถ 1. อธบิ ายปัจจัยทเ่ี กย่ี วข้องกับการเจรญิ เติบโตของผักไฮโดรโปนกิ ส์ 2. อธิบายทดลองปลกู ผกั ไฮโดรโปนิกส์ตามข้ันตอนและวิธกี ารปลกู ผกั ไฮโดรโปนิกส์ 3. อธบิ ายความเช่อื มโยงหลักการของสะเตม็ ในการปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์ เน้ือหา 1. ปัจจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกับการเจรญิ เตบิ โตของผกั ไฮโดรโปนิกส์ 2. ขั้นตอนและวิธีการปลูกผักไฮโดรโปนกิ ส์ 3. ความเชื่อมโยงหลักการของสะเตม็ ในการปลกู ผักไฮโดรโปนกิ ส์ วัสดุ อุปกรณ์ 1. รางปลกู 2. ถว้ ยปลูก 3. วสั ดปุ ลูก 4. ป๋ยุ A B 5. ปัม๊ นา้ 6. เมล็ดผักสลดั 7. เครื่องวดั ค่า pH 8. เครอื่ งวัดคา่ EC 9. ถาดเพาะ 10. ถ้วยตวง 11. ถงั ผสมปยุ๋ 12. มุ้งกนั แมลง 13. ไมบ้ รรทัด 14. ตลับเมตร 15. สายวัดตวั 16. กระดาษบรฟุ๊ 17. ปากกาเคมี 79

ใบความรู้ เรอ่ื ง การปลูกผกั ไฮโดรโปนกิ ส์มอื อาชพี ปจั จัยที่เกย่ี วขอ้ งกบั การเจริญเตบิ โตของผักไฮโดรโปนกิ ส์ ผกั ไฮโดรโปนิกส์ 1. ปัจจัยทางด้านพนั ธกุ รรม ยีน (gene) เปน็ ตวั กาหนดลักษณะการเจริญเติบโตของพชื ไมว่ า่ จะเปน็ ส่วนของราก ลา้ ต้น ก่งิ กา้ น ใบ ตลอดจนดอกและผล การสะสมมวลชวี ภาพได้มากนอ้ ยเพยี งใดข้ึนอยูก่ ับพนั ธกุ รรมของพชื เอง พนั ธพุ์ ชื ที่จะใชก้ ับ การปลกู พชื ด้วยวิธไี ฮโดรโปนิกสโ์ ดยเฉพาะยงั ไม่มหี รือมนี ้อยมาก 2. ปัจจัยทางดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม 2.1 แสง ตามธรรมชาติพืชจะใชแ้ สงอาทิตยเ์ ปน็ แหล่งพลังงาน เพ่ือทาให้เกิดกระบวนการสงั เคราะห์แสงทใ่ี บ หรือ ส่วนทมี่ ีสีเขยี ว โดยมีคลอโรฟลิ ล์ (Chlorophyll) ซ่ึงเป็นรงควัตถุสีเขียวชนดิ หน่ึงทีม่ หี นา้ ทีเ่ ป็นตัวรบั แสงเพ่ือ เปลีย่ นก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และน้า (H2O) เปน็ กลโู คส (C6H12O6) และกา๊ ซออกซเิ จน (O2) พชื ทีป่ ลูกใน บ้านหรอื เรอื นทดลอง อาจใชแ้ สงสว่างจากไฟฟา้ ทดแทนแสงอาทิตย์ได้แตก่ ็เป็นการส้ินเปลอื งและไม่สมบูรณ์ เมือ่ เปรียบเทยี บกบั แสงธรรมชาติ 2.2 อากาศ พืชจาเป็นตอ้ งใชก้ ๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ท่ีมีอยปู่ ระมาณ 0.033 เปอร์เซ็นต์ ในบรรยากาศในการ ผลติ กลูโคส (C6H12O6) ซงึ่ เปน็ สารอินทรีย์เริ่มตน้ เหตุการณ์ทพ่ี ืชจะขาดคารบ์ อนไดออกไซด์ เปน็ ไปได้ยาก เน่ืองจากมีแหล่งคารบ์ อนไดออกไซดอ์ ยา่ งเหลือเฟือ เช่น การเผาไหมเ้ ช้ือเพลงิ จากโรงงานและรถยนต์ ตลอดจน การผลิตไฟฟา้ เปน็ ตน้ ส่วนก๊าซออกซเิ จน (O2) พืชตอ้ งการเพอ่ื ใช้ในกระบวนการหายใจ (Respiration) เพ่อื เปล่ยี นพลังงานแสงอาทติ ยซ์ ่งึ ถูกเกบ็ ไว้ในรูปพลงั งานเคมี ในรูปของนา้ ตาลกลโู คสและสามารถให้เป็นพลงั งานเพ่อื ใช้ในการขับเคล่ือนกระบวนการเมตาโบลซิ มึ (Metabolism) ต่างๆ การหายใจของสว่ นเหนอื ดนิ ของพชื มักไมม่ ี ปัญหา เพราะในบรรยากาศมอี อกซิเจนเป็นองคป์ ระกอบอยู่ถึง 20 เปอรเ์ ซน็ ต์ สาหรบั รากพชื มกั จะขาดออกซเิ จน โดยเฉพาะการปลกู พืชไร้ดนิ ดว้ ยเทคนิคการปลูกด้วยสารละลาย (Water Culture หรือ Liquid Culture) จาเปน็ 80

ต้องให้ออกซิเจนในจานวนท่ีเพียงพอต่อความต้องการของพชื การให้ออกซเิ จนแก่รากพชื จะให้ในรปู ของ ฟองอากาศท่ีแทรกอยู่ในสารละลายธาตอุ าหารพชื ซงึ่ ให้โดยใชเ้ ครื่องสูบลม หรือการใช้ระบบนา้ หมุนเวยี น 2.3 นา้ คุณภาพนา้ เปน็ เรอ่ื งสาคญั มากเรอื่ งหน่งึ การปลูกพืชเพียงเลก็ น้อยเพือ่ การทดลองจะไมม่ ปี ญั หาแตก่ าร ปลกู เป็นการคา้ จะตอ้ งพจิ ารณาเรอื่ งของน้ากอ่ นอนื่ หากใชน้ ้าคุณภาพไมด่ ีทั้งองคป์ ระกอบทางเคมแี ละความ สะอาด จะก่อใหเ้ กิดความลม้ เหลว น้าเปน็ ตวั ประกอบท่ีสาคญั โดยจะถกู นาไปใช้ 2 ทาง คือ 1. ใช้เป็นองคป์ ระกอบของพืช พชื มีน้าเปน็ องค์ประกอบประมาณ 90-95 เปอรเ์ ซน็ ตโ์ ดยน้าหนกั พชื ใชน้ ้า เพ่ือกอ่ ใหเ้ กดิ กจิ กรรมทม่ี ปี ระโยชน์ 2. ใชเ้ ป็นตวั ทาละลายธาตุอาหารพืชใหอ้ ยใู่ นรปู ไอออนหรือสารละลายธาตอุ าหารพืชโมเลกุลเลก็ เพอื่ ให้ รากดูดกินเข้าไป ปกติน้าประปาถือวา่ ใชไ้ ด้ แต่สาหรบั การทดลอง มักใช้น้ากลัน่ หรือน้าประปาที่ท้ิงใหค้ ลอรนี หมด ไป แหลง่ ของน้าที่ดีสุด สาหรับการปลกู พืชไร้ดินเชงิ พาณิชย์ คือ นา้ ฝนหรือน้าจากคลองชลประทาน วสั ดุปลกู ผกั แบบไฮโดรโปนิกส์ 2.4 วัสดปุ ลูก วสั ดปุ ลกู หมายถงึ วัตถุ (material) ต่างๆ ท่ีเลือกสรรมา เพ่ือใช้ปลูกพืชและทาให้ต้นพชื เจริญเตบิ โตได้ เป็นปกติ วัสดุดังกล่าวอาจเป็นชนิดเดียวกันหรอื หลายชนดิ ผสมกนั ชนิดของวสั ดุปลกู อาจเป็นอนิ ทรียว์ ัตถกุ ็ได้ โดยทั่วไปวัสดปุ ลูกจะมบี ทบาทตอ่ การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตพืช 4 ประการ ไดแ้ ก่ ก. คา้ จนุ ส่วนของพืชทอี่ ยเู่ หนอื วสั ดุปลกู ให้ตั้งตรงอยูไ่ ด้ ข. เกบ็ สารองธาตอุ าหารพชื ค. กกั เก็บนา้ เพื่อเปน็ ประโยชน์ตอ่ พืช ง. แลกเปล่ยี นอากาศระหว่างรากพืชกับบรรยากาศเหนอื วสั ดุปลกู การปลกู พืชไรด้ นิ ด้วยเทคนิควสั ดปุ ลกู (Substrate Culture) วสั ดุปลกู พืชนบั วา่ มีความสาคัญย่งิ วัสดุ ปลูกอาจจะเปน็ วสั ดอุ นนิ ทรีย์ (Inorganic media) เช่น ทราย กรวด หนิ ภูเขาไฟ เปอร์ไลท์ (Perlite) เวอร์มิควิ ไลท์ (Vermiculite) และรอ็ กวลู (Rockwool) เป็นตน้ หรอื วสั ดุอินทรีย์ (Organic media) เช่น ขเี้ ลื่อย ขุย มะพรา้ ว เปลอื กไมแ้ ละแกลบ เป็นตน้ วัสดุปลูกควรมีอนภุ าคสม่าเสมอ ราคาถกู ปราศจากพิษ และศัตรูพชื และ 81

เป็นวสั ดุทห่ี างา่ ยในทอ้ งถิ่นน้ัน ในญ่ปี นุ่ สว่ นใหญจ่ ะใชแ้ กลบเปน็ วัสดปุ ลกู แตแ่ กลบจะมีรพู รุนมากจึง ไม่ดูดซบั น้า ควรเกบ็ ไว้ระยะหนึ่ง หรอื ผสมกบั วัสดุอน่ื ท่กี ักเกบ็ น้าได้ เช่น ขยุ มะพร้าว ความสามารถในการอมุ้ นา้ ของวสั ดปุ ลูก เป็นคุณสมบัติอย่างหน่ึงทม่ี ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืช เพราะเกี่ยวข้องกับสัดสว่ นของอากาศและน้า ในชอ่ งวา่ ง ท่ีเหมาะสม วัสดุปลกู ทเ่ี ปน็ ของแข็ง สามารถจาแนกตามท่ีมาและแหลง่ กาเนดิ ของวัสดุไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ 1. วัสดปุ ลกู ทเี่ ปน็ อนินทรีย์สาร เชน่ - วสั ดุท่เี กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ เชน่ ทราย กอ้ นกรวด หินภูเขาไฟ หินซลี ท์ ฯลฯ - วสั ดุท่ผี า่ นขบวนการโดยใช้ความร้อน ทาให้วัสดุเหล่าน้ี มคี ุณสมบัตเิ ปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ดนิ เผา เม็ดดนิ เผา ที่ได้จากการเผาเม็ดดนิ เหนยี วท่อี ุณหภมู สิ ูง 1,100 องศาเซลเซียส ใยหนิ ทไ่ี ด้จากการหลอมหิน ภเู ขาไฟทที่ า้ ให้เป็นเสน้ ใยแลว้ ผสมด้วยสารเลซนิ เปอร์ไลท์ ที่ได้จากทรายท่ีมีต้นกาเนดิ จากภเู ขาท่ีอุณหภมู สิ งู 1,200 องศาเซลเซยี ส เวอร์มคิ ไู ลท์ (vermiculite) ท่ีได้จากการเผาแรไ่ มก้าท่ีอุณหภูมิสงู 800 องศาเซลเซยี ส เป็นตน้ - วัสดุเหลอื ใชจ้ ากโรงงานอตุ สาหกรรม เช่น เศษจากการทาอิฐมอญ เศษดินเผาจากโรงงาน เคร่ืองปน้ั ดินเผา 2. วสั ดุปลกู ทเี่ ป็นอนิ ทรยี ์สาร เช่น วัสดุท่เี กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฟางขา้ ว ขุยและเสน้ ใยมะพรา้ ว แกลบและขเี้ ถ้า เปลือกถั่ว พีท หรอื วัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรม เชน่ ชานออ้ ย กากตะกอนจากโรงงาน น้าตาล วัสดุเหลือใช้จากโรงงานกระดาษ 3. วัสดสุ ังเคราะห์ เช่น เม็ดโฟม แผ่นฟองน้า และเส้นใยพลาสติกลักษณะของวัสดุปลูกที่ดี ภาพรวมใน การเลือกใชว้ ัสดุปลกู ให้คานึงถึง คือ ต้องสะอาด และทาความสะอาดง่าย มคี วามแข็งแรง มีคณุ สมบัตทิ างกายภาพ ทด่ี ี เชน่ ไม่ทรดุ ตวั ง่าย ถ่ายเทน้าและอากาศได้ดีมีคุณสมบตั ทิ ี่เหมาะสมทางเคมี เชน่ ระดับของความเปน็ กรดดา่ ง ไมม่ ีสารทาลายรากพืช เปน็ วสั ดุทีส่ ามารถเพาะเมล็ดได้ทกุ ขนาดและทุกประเภท ควรเป็นวสั ดทุ ่มี รี าคาถูกท่ี สามารถหาได้ในท้องถิ่น และไม่ก่อใหเ้ กดิ ปญั หาต่อส่งิ แวดลอ้ ม 2.5 สารละลายธาตุอาหารพืช ธาตอุ าหารท่ีพชื ต้องการในการเจรญิ เติบโตและให้ผลผลิต มีทั้งหมด 16 ธาตุ ซ่งึ 3 ธาตุ คอื คารบ์ อน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ได้จากน้าและอากาศ และอีก 13 ธาตุ ไดจ้ ากการดดู กินผ่านทางราก ท้ัง 13 ธาตแุ บ่ง ออกเป็น 2 กลมุ่ ตามปริมาณท่พี ชื ต้องการ คือ ธาตุอาหารท่ีพชื ตอ้ งการเป็นปริมาณมากและธาตุอาหารทพี่ ชื ตอ้ งการเปน็ ปรมิ าณนอ้ ย ก. ธาตอุ าหารท่ีพืชตอ้ งการเปน็ ปริมาณมาก (macronutrient elements) ไนโตรเจน (N) พืชสามารถดดู กนิ ไนโตรเจนได้ท้ังในรูปของแอมโมเนียมไอออน (NH4+)และไนเตรท ไอออน (NO3-) ซงึ่ ไนโตรเจนสว่ นใหญใ่ นสารละลายธาตุอาหารพืชจะอยใู่ นรปู ไนเตรทไอออนเพราะถา้ มี แอมโมเนียมไอออนมากจะเป็นอนั ตรายตอ่ พชื ได้ สารเคมีทใ่ี หไ้ นเตรทไอออน คือ แคลเซยี มไอออน และ โปแตสเซยี มไนเตรท นอกจากนี้ ยังอาจได้จากกรดดนิ ประสวิ (HNO3-) ท่ใี ชใ้ นการปรับความเปน็ กรดด่างของ สารละลายธาตุอาหารพืช ฟอสฟอรัส (P) ในการปลูกพืชไร้ดิน พืชต้องการธาตฟุ อสฟอรัสไม่มากเทา่ กับไนโตรเจน และโปแตสเซยี ม ประกอบกบั ไมม่ ีปญั หาในเรอื่ งความไมเ่ ปน็ ประโยชน์ของฟอสฟอรสั เหมือนในดนิ พืชจึงได้รบั ฟอสฟอรสั อย่างเพยี งพอ รปู ของฟอสฟอรัสท่ีพืชสามารถดดู กนิ ได้คือ mono-hydrogenphosphate ion (HPO4- 2) สว่ นจะอย่ใู นรูปใดมากกว่ากันขึ้นอย่กู ับความเป็นกรดด่างของสารละลายในขณะนั้น 82

โปแตสเซียม (K) รปู ของโปแตสเซียมท่ีพืชดูดกินได้ คือ potassium ion (K+) โปแตสเซียมท่ีมมี ากเกิน พอ จะไปรบกวนการดดู กินแคลเซยี มและแมกนเี ซียม สารเคมีทใี่ หโ้ ปแตสเซยี ม คือ potassuimnitrate และ potassium phosphate แคลเซยี ม (Ca) รูปของแคลเซียมทพี่ ชื ดดู กินได้คือ calcium ion (Ca+2) แหล่ง Ca+2 ท่ดี ีทีส่ ุด คือ calcium nitrate เนื่องจากละลายง่าย ราคาไมแ่ พงและยังให้ธาตไุ นโตรเจนด้วย แคลเซียมท่มี มี ากในสารละลาย ธาตุอาหารพชื จะไปรบกวนการดดู กินโปแตสเซียมและแมกนเี ซียม ในน้าตามธรรมชาตจิ ะมีแคลเซียมอยปู่ รมิ าณ หนง่ึ การเตรียมสารละลายธาตุอาหารพืชจึงควรคิดแคลเซยี มในนา้ ดว้ ยจะไดไ้ มเ่ กิดปญั หาในการมแี คลเซยี มมาก เกินไป แมกนเี ซียม (Mg) รปู ของแมกนเี ซยี มทพ่ี ชื ดูดกินได้คอื magnesium ion (Mg+2) สารเคมีที่ให้ แมกนีเซียมคอื magnesium sulfate (MgSO4) ในน้าธรรมชาติจะมีแมกนเี ซยี มอยดู่ ว้ ย ฉะน้ันในการเตรียม สารละลายธาตอุ าหารพืชจงึ ควรคานึงถึงดว้ ย แมกนีเซียมที่มมี ากเกินพอในสารละลายจะไปรบกวนการดูดกนิ ธาตุ โปแตสเซียมและแคลเซียม กามะถัน (S) รปู ของกามะถันทพี่ ชื สามารถดูดกนิ ได้ คือ sulfate ion (SO4-2) พบว่าไม่ค่อยมี ปญั หาการ ขาดกามะถันในระบบการปลกู พืชไร้ดนิ เพราะพชื ต้องการกามะถันในปรมิ าณน้อย และจะไดร้ บั จากสารเคมพี วก เกลือซัลเฟตของ K, Mg, Fe, Cu, Mn และ Zn เปน็ ต้น ข. ธาตอุ าหารท่พี ืชต้องการเปน็ ปรมิ าณน้อยหรอื จลุ ธาตุ (micronutrient elements) โบรอน (B) การแสดงอาการขาดธาตุโบรอนของพืชพบเห็นไดย้ ากเนื่องจากพชื ต้องการในปรมิ าณนอ้ ย ซึง่ ในน้าธรรมชาติกม็ ีโบรอนอยดู่ ว้ ย สารเคมีท่ีให้ borate ion (BO3-3) ซึง่ พืชสามารถดูดกินได้ คอื boric acid (H3BO3) สังกะสี (Zn) รูปทีพ่ ืชสามารถดดู กนิ ได้คอื zinc ion (Zn+2) ซงึ่ ได้จาก zinc sulfate (ZnSO4) หรือ zinc chloride (ZnCl2) ทองแดง (Cu) สารเคมีท่ีให้ Copper ion (Cu+2) คือ copper sulfate (CuSO4) หรอื copperchloride (CuCl2) เหล็ก (Fe) พืชดดู กินในรูป Fe+2 หรือ Fe+3 สารเคมีท่ใี ห้ธาตเุ หลก็ ท่ีมีราคาถูกท่ีสดุ คือ ferrous sulfate (FeSO4) ซึง่ ละลายน้าไดง้ ่าย แต่กจ็ ะตกเปน็ ตะกอนไดเ้ รว็ จึงต้องควบคมุ สภาพความเปน็ กรดดา่ งของ สารละลาย เพือ่ หลกี เลี่ยงปัญหาเหล่าน้ี โดยการใชเ้ หลก็ ในรูปคเี ลต (Fe-chelate) ซงึ่ เปน็ สารเกิดจากการทา ปฏิกริ ยิ าระหวา่ งเหลก็ และสารคีเลต ซงึ่ เป็นสารประกอบอนิ ทรีย์ เหล็กคเี ลต เปน็ สารประกอบเชิงซอ้ น สามารถคง ตวั อยใู่ นรปู สารละลายธาตอุ าหารพชื และพชื ดูดกินได้ เหล็กคเี ลตที่นิยมใช้กันอยูใ่ นรูปของ EDTA หรือ EDDHA แมงกานสี (Mn) มีลักษณะเหมอื นกบั เหลก็ คือ ความเป็นประโยชนข์ องแมงกานสี จะถูก ควบคมุ โดย ความเป็นกรดดา่ ง ถ้าสารละลายธาตุอาหารพืชมลี ักษณะด่าง ความเปน็ ประโยชน์ของแมงกานีสจะลดลง manganese ion (Mn+2) ซึง่ เปน็ รูปท่ีพืชสามารถดดู กินได้ จะได้จากสารเคมี manganese sulfate(MnSO4) หรือ manganese chloride (MnCl2) โมลิบดนิ มั (Mo) รูปที่พชื สามารถดดู กินได้คือ molybdate ion (MoO4-2) ซงึ่ ไดจ้ ากสาร sodium molybdate หรอื ammonium molybdate 83

คลอรีน (Cl) ในน้าจะมีคลอรีนในรปู ของคลอไรด์ (chloride ion (Cl-) ซ่งึ เปน็ รปู ท่ีพืชจะนาไปใช้ ประโยชนเ์ จอื ปนอยดู่ ว้ ย จากการเตรียมสารละลายธาตอุ าหารพืชจะได้คลอไรดจ์ ากสารเคมี potassium chloride รวมทั้งจากจลุ ธาตุบางธาตุทอี่ ยูใ่ นรูปของสารประกอบคลอไรด์ ถ้าสารละลายมี Cl- มากเกนิ พอ จะไปมี ผลยับย้ังการดดู กนิ anions ตัวอ่ืน เช่น nitrate (NO3-) และซัลเฟต (SO4-2) การควบคุมความเปน็ กรดด่าง (pH) และค่าการนาไฟฟา้ (EC) ของสารละลายธาตุอาหารพืช การรักษาหรอื ควบคมุ ความเปน็ กรดด่าง และค่าการนาไฟฟ้าในสารละลายอาหารน้ี เพื่อใหพ้ ืชสามารถดดู ใช้ปุ๋ยหรอื สารอาหารพืชได้ดี และเพอ่ื ใหป้ ริมาณสารอาหารแกพ่ ชื ตามทตี่ อ้ งการ 1. การรักษาหรือควบคุม pH เนื่องจากค่าความเปน็ กรดดา่ งในสารละลายจะเป็นค่าทบ่ี อกให้ทราบถงึ ความสามารถของรากท่จี ะ ดดู ธาตุอาหารตา่ งๆ ท่ีอยู่ในสารละลายธาตุอาหารพชื ได้ ปกตแิ ลว้ ควรรักษาค่าความเป็นกรดด่างที่ 5.8-7.0 เพราะ เปน็ ค่าหรอื ชว่ งท่ีธาตุอาหารพชื ตา่ งๆ สามารถคงรูปในสารละลายทพ่ี ืชนาไปใช้ได้ดี คา่ ความเปน็ กรดด่างในสารละลายธาตุอาหารพืชเปล่ยี นแปลงไดห้ ลายสาเหตุ เช่น การเปล่ยี นแปลง เนือ่ งจากการทีร่ ากพืชดดู ธาตุอาหารในสารละลายธาตุอาหาร แล้วพชื ปลดปล่อยไฮโดรเจน (H+) และไฮดรอกไซด์ (OH-) จากรากสู่สารละลายธาตอุ าหารพืชทา้ ให้ pH เปล่ียนแปลงไป เช่น - ประจุไฟฟา้ ลบ หรือแอนไอออน (anions) เช่น ไนเตรท (NO3-), ซัลเฟต (SO4- -), ฟอสเฟต (PO4- - -) แล้วจะปลดปลอ่ ยไฮดรอกไซด์ (OH-) สู่สารละลายธาตุอาหาร - ประจไุ ฟฟา้ บวก หรอื แคตไอออน (cations) เชน่ แคลเซยี ม (Ca++), แมกนีเซยี ม (Mg++),โปแตสเซียม (K+), แอมโมเนยี ม (NH4+) แล้วจะปลดปล่อยไฮโดรเจน (H+) สู่สารละลายธาตุอาหารปกติแล้วธาตุอาหารใน สารละลายธาตุอาหารพชื มปี ระจไุ ฟฟา้ บวกหรอื แคตไอออนมากกวา่ ค่าของประจุไฟฟา้ ลบหรือแอนไอออนแลว้ ค่าความเป็นกรดดา่ งจะลดลง ในขณะที่การดดู กนิ แอนไอออนมากกว่าแคตไอออนจะเพิม่ ความเป็นกรดดา่ งใน สารละลายธาตุอาหารพชื สาหรับการให้ธาตอุ าหารบางชนดิ ท่ีพชื ต้องการใชใ้ นปริมาณมาก คือ ธาตุไนโตรเจน (Nitrogen, N) ซ่ึงมีการให้ท้ัง 2 รปู แบบ คอื ในรูปแบบของประจุลบในสารอาหารในรปู ของไนเตรส (NO3-) และ ในรูปแบบของประจุบวกในสารอาหารในรูปของแอมโมเนยี ม (NH4+) นั้น ต้องพจิ ารณาถงึ อัตราสว่ นของสารน้ี ให้ ดีเพราะจะมีอิทธิพลตอ่ การเปลี่ยนแปลงของความเป็นกรดดา่ งและการใช้ประโยชน์ของพชื มาก การปรบั เพื่อลดหรอื เพิม่ ค่าความเป็นกรดด่างน้ัน สามารถทาได้โดยเติมสารลงไปในสารละลายธาตอุ าหาร พชื เชน่ 1.1 การปรบั เพอ่ื ลดค่าความเปน็ กรดดา่ ง โดยการเติมสารใดสารหนง่ึ ตอ่ ไปนี ลงไปในสารละลาย ธาตุ อาหารพืช เช่น Sulfuric acid (H2SO4) หรือ Nitric acid (HNO3) หรือ Hydrochloric acid (HCl) หรือ Acetic acid 1.2 การปรบั เพ่ือเพมิ่ คา่ ความเป็นกรดด่าง ให้สงู ข้ึน ทาโดยการเติมสารใดสารหนึง่ ต่อไปนี้ ลงไปใน สารละลายธาตอุ าหารพืช เชน่ Potassium hydroxide (KOH) หรือ Sodium hydroxide (NaOH) หรอื Sodium bicarbonate หรอื Bicarbonate of soda (NaHCO3) 84

ลกั ษณะรากผกั ไฮโดรโปนกิ ส์ Hydroponics 2. การควบคุมค่าการนาไฟฟา้ (Electrical Conductivity) เนอ่ื งจากปุ๋ยท่ลี ะลายในนา้ ทค่ี า่ ของอิออน (ion) ที่สามารถให้กระแสไฟฟ้าทีม่ หี น่วยเป็นโมท์ (Mho) แต่ คา่ ของการนากระแสไฟฟ้าน้ี คอ่ นขา้ งนอ้ ยมาก จงึ มกี ารวัดเปน็ คา่ ทม่ี ีหน่วยเป็นมิลลโิ มท์/เซนติเมตร (milliMhos/cm) อันเปน็ ค่าที่ได้จากการวัดการนากระแสไฟฟ้าจากพื้นที่หน่งึ ควิ บกิ เซนติเมตรของสารอาหาร การวดั คา่ การนาไฟฟา้ จะทาให้เราทราบเพยี งคา่ รวมของการนาไฟฟ้าของสารละลายธาตุอาหารพืช (คอื นา้ กบั ป๋ยุ ท่ี เป็นธาตอุ าหารพชื ทั้งหมดในถังทใี่ ส่สารอาหารท้ังหมด) เท่านั้น แต่ไม่ทราบค่าของสดั สว่ นของธาตอุ าหารใดธาตุ อาหารหนึ่งท่ีอยู่ในถัง ท่อี าจเปลี่ยนไปตามเวลาเนื่องจากพชื นา้ ไปใชห้ รอื ตกตะกอน ดงั นั้นหลังจากมกี ารปรบั ค่าการนาไฟฟา้ ไปได้ระยะหนง่ึ แล้วจงึ ควรเปลยี่ นสารละลายในถงั ใหม่ เป็นระยะๆ โดยเฉพาะประเทศทม่ี อี ากาศรอ้ นอยา่ งประเทศไทย ควรเปล่ียนสารละลายใหมเ่ ปน็ ระยะๆ เชน่ ทกุ 3 สปั ดาห์ ซง่ึ การเปล่ยี นสารละลายธาตุอาหารพืชแต่ละครั้งกห็ มายถงึ การเสียคา่ ใช้จา่ ยเพ่มิ ขึ้น ปกตแิ ล้วควรรกั ษาค่าการนา ไฟฟา้ ของสารอาหารระหวา่ ง 2.0-4.0 มิลลโิ มท/์ เซนติเมตร (milliMhos/cm) การเปล่ยี นแปลงคา่ การนาไฟฟ้า ของสารละลาย แม้ว่าปกตแิ ลว้ ควรรกั ษาคา่ การนาไฟฟา้ ของสารอาหารระหวา่ ง 2.0-4.0 มิลลโิ มท์/เซนติเมตร (milliMhos/cm=mMhos/cm) 1 (mMho/cm) = 1Millisiemen/cm (mS/cm) 1 Millisiemen/cm (mS/cm) = 650 ppm ของความเขม้ ขน้ ของสารละลาย (salt) ปกตแิ ล้วความเขม้ ขน้ ของสารอาหารควรอยูใ่ นช่วง 1,000-1,500 ppm เพ่ือให้แรงดนั ออสโมตกิ ของ กระบวนการดูดซึมธาตุอาหารของรากพชื ได้สะดวกค่าการนาไฟฟ้าจะแตกตา่ งกันไปตามชนิดของพชื ระยะการ เติบโต และความเขม้ ของแสง เช่น ค่าการนาไฟฟ้าทีต่ า่ คอื (1.5-2.0 mMho/cm) เหมาะสมต่อการปลกู แตงกวา คา่ การนาไฟฟ้าที่สูงคือ (2.5-3.5 mMho/cm) เหมาะสมต่อการปลกู มะเขือเทศ คา่ การนาไฟฟา้ (1.8-2.0 mMho/cm) เหมาะสาหรับการปลูกผกั และไม้ดอกไม้ประดบั ทว่ั ไป ค่าการนาไฟฟา้ จะแตกต่างกันไปตามระยะการเจรญิ เตบิ โตและความแขง็ แรงของต้นพืช เพราะคา่ การนา ไฟฟา้ ที่สูงจะยบั ย้ังการเจริญเตบิ โตของพืช ค่าการนาไฟฟ้าท่ีต่าจะเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตทางลาตน้ กอ่ นการ 85

ให้ผล (Vegetative growth) และสงู ข้ึนเมอื่ พืชให้ผลผลติ (Reproductive growth) ดังน้ันการปลกู พืชทีใ่ ห้ผล ผลิตเชน่ มะเขือเทศควรค้านงึ ถึงขอ้ นี้ ด้วย นอกจากนี ค่าการนาไฟฟา้ นี้ จะแตกต่างกันไปตามความเข้มขน้ ของแสง เชน่ กลา่ วคอื ถ้าแสงมีความ เข้มข้นมาก พืชตอ้ งการสารละลายท่มี ีความเข้มข้นน้อยลง คอื พืชจะดดู นา้ มากกว่าธาตอุ าหาร การเปลีย่ น สารละลายใหม่ เน่อื งจากการวดั ค่าการนาไฟฟา้ จะทาให้เราทราบเพยี งค่ารวมของการนาไฟฟา้ ของสารอาหารคือ นากบั ธาตอุ าหารท้ังหมดในถังทใี่ ส่สารละลายธาตุอาหารพชื เท่าน้ัน แต่ไมท่ ราบค่าของสัดสว่ นของธาตุอาหารแต่ละ ชนิดท่เี ปลย่ี นไปตามเวลาทใี่ ห้ เนอื่ งจากธาตุอาหารบางธาตุพืชนาไปใช้นอ้ ยจึงเหลือสะสมในสารอาหาร (เชน่ โซเดยี มและคลอรนี ) ซง่ึ จะมผี ลท้าให้ความเป็นประโยชน์หรือองค์ประกอบของสารละลายตวั อน่ื ๆ เปล่ียนแปลงไป หรอื ตกตะกอน ดังนั้น จึงควรเปลีย่ นสารละลายในถงั ใหม่เปน็ ระยะๆ โดยเฉพาะประเทศทีม่ อี ากาศรอ้ นอยา่ งประเทศไทย ควรเปล่ียนสารละลายใหม่เปน็ ระยะ เชน่ ทกุ 3 สัปดาห์การรักษาหรอื ควบคมุ ค่าความเปน็ กรดด่าง และค่าการนา ไฟฟ้าในสารละลายธาตุอาหารพืชน้ี สามารถกระทาโดยใชแ้ รงงานหรอื ใช้ระบบควบคุมแบบอตั โนมตั ิกไ็ ด้ ข้นั ตอนและวธิ ีการปลูกผกั ไฮโดรโปนิกส์ ปลกู พืชไม่ใชด่ ิน การปลูกพชื โดยไม่ใช้ดิน จะมีการจัดการอยู่ 2 ส่วน ไดแ้ ก่ ในสว่ นของพืช และส่วนของสารละลายธาตอุ าหาร การจัดการพชื ความสาเรจ็ ของ การผลิตอยู่ที่ความแข็งแรงและความสมบูรณ์ของตน้ กล้า เพราะจะทาใหพ้ ืชสามารถ เจริญเตบิ โตและตั้งตวั ได้เร็ว วิธกี ารเพาะกล้ามีอยูด่ ว้ ยกนั หลายวิธี เชน่ การเพาะกล้าในถ้วยเพาะแบบสาเร็จรูป โดยใช้ เพอร์ไลท์ และ เวอรม์ คิ ไู ลท์ เปน็ วสั ดุท่ใี ชเ้ พาะ, การเพาะกลา้ ในแผน่ ฟองน้า ส่วนมากจะนิยมปลูกในรปู ของแผน่ โฟม และ การเพาะกลา้ ในวัสดุปลกู ซึ่งใช้วัสดทุ ่ีไดจ้ ากทั้งในและตา่ งประเทศ เช่น เวอรม์ คิ ูไลท์ หิน ฟอสเฟต เพอรไ์ ลท์ ขยุ มะพร้าว แกลบ ข้ีเถ้าแกลบ หนิ กรวด ทราย เป็นต้น ท้ังน้ี ขนึ้ อยู่กบั ระบบท่ีใช้ปลกู การ 86

จดั การดา้ นสารละลาย ในสารละลายธาตอุ าหารท่ีใชป้ ลูกพชื จาเป็นต้องมีการควบคุมค่า pH และ EC ของสารละลายเพ่ือใหพ้ ืช สามารถดูดปยุ๋ หรือสารละลายธาตอุ าหารได้ดี ตลอดจนต้องมีการควบคุมอุณหภมู ิและออกซเิ จนในสารละลาย ธาตอุ าหาร การรกั ษาหรือควบคุมค่า pH ของสารละลายธาตุอาหารพืช คา่ pH หมายถึง คา่ ความเป็นกรดเป็นดา่ งของสารละลายธาตุอาหารพืช สาเหตุท่ีต้องมกี ารควบคุม pH เพอ่ื ให้พืชสามารถดดู ใชป้ ๋ยุ หรอื สารอาหารไดด้ ี เพราะค่าความเปน็ กรดเปน็ ด่างในสารละลายจะเป็นคา่ ท่ีบอกให้ ทราบถึงความสามารถของปุ๋ยท่ีจะอยู่ในรปู ทพ่ี ชื สามารถดดู ธาตอุ าหารตา่ งๆ ที่มีอยู่ในสารละลายธาตุอาหารพืชได้ ถา้ ค่า pH สูงหรือต่าเกินไป อาจทาให้เกิดการตกตะกอน หากสารละลายธาตุอาหารพืชมคี วามเป็นกรดมากเกนิ สามารถปรบั โดยใชโ้ พแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ (KOH) โซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) โซเดียมไบคารบ์ อเนต (NaHCO3) หรอื แอมโมเนียมไฮดรอก-ไซด์ (NH4OH) หากสารละลายธาตุอาหารมีความเป็นด่างมากเกิน สามารถ ปรับโดยเตมิ กรดซลั ฟรู ิก (H2SO4) กรดไนตริก (HNO3) กรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) กรดฟอสฟอรกิ (H3PO4) หรือ กรดอซติ กิ (CH3COOH) เคร่อื งมือที่ใชว้ ัดคา่ ความเปน็ กรดเป็นด่าง คือ pH meter กอ่ นใช้ควรปรบั เคร่ืองมือใหม้ คี วามเท่ียงตรง กอ่ น โดยใชน้ ้ายามาตรฐานหรือทีเ่ รยี กว่า “สารละลายบฟั เฟอรม์ าตรฐาน” (Buffer Solution) การควบคมุ ค่า EC ของสารละลายธาตอุ าหารพืช ชนดิ ของพืช ระยะการเติบโต ความเข้มของแสง และขนาดของถังท่ีบรรจุสารอาหารพืช สภาพภมู อิ ากาศ ก็มีผลต่อการเปลีย่ นแปลงค่า EC เนอ่ื งจาก โดยท่ัวไปเมือ่ พืชยงั เลก็ จะมีความตอ้ งการ EC ทต่ี ่า และจะเพ่ิมมากข้ึน เม่อื พืชมคี วามเจริญเติบโตท่ีมากขึ้น และพชื แต่ละชนดิ มคี วามตอ้ งการค่า EC แตกตา่ งกัน เชน่ ผักสลัด มีความต้องการสารละลายธาตุอาหารท่มี ีค่า EC ระหวา่ ง 0.5 – 2.0 mS/cm แตงกวา มีความตอ้ งการสารละลายธาตุอาหารท่ีมีค่า EC ระหว่าง 1.5 – 2.0 mS/cm ผกั และไมด้ อก มีความต้องการสารละลายธาตุอาหารทม่ี ีค่า EC ระหว่าง 1.8 – 2.0 mS/cm มะเขือเทศ มีความต้องการสารละลายธาตุอาหารทมี่ ีค่า EC ระหว่าง 2.5 – 3.5 mS/cm แคนตาลปู มคี วามตอ้ งการสารละลายธาตอุ าหารทม่ี คี า่ EC ระหวา่ ง 4 – 6 mS/cm เคร่อื งมือทีใ่ ชว้ ดั ค่าการนาไฟฟ้า (Electrical Conductivity) เรยี กว่า EC meter ก่อนใช้ควรปรับ ความ เที่ยงตรงเสียก่อน โดยปรับท่ปี มุ่ ของเครอ่ื งในสารละลายมาตรฐาน ซึ่งค่าท่ีวัดได้จะเปล่ยี นแปลงไปตามอุณหภูมิ ของสารละลาย กลา่ วคอื ยงิ่ สารละลายมีอุณหภมู ิสงู ข้ึน ค่า EC กจ็ ะสูงขน้ึ ตามดว้ ย Hydroponics 87

ความเชือ่ มโยงหลักการของสะเต็มในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ วิทยาศาสตร์ (Science) ธาตุอาหาร ธาตุอาหารพชื เปน็ สิง่ จาเปน็ สาหรบั การเจรญิ เติบโตของพืช ประกอบด้วย 17 ธาตุ ไดแ้ ก่ คารบ์ อน, ไฮโดรเจน, ออกซเิ จน, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรสั , โปแตสเซยี ม, แคลเซียม, แมกนเี ซียม, กามะถัน, เหล็ก, แมงกานีส, สังกะสี, ทองแดง, โบรอน, โมลิบดนี มั , คลอรีน และนเิ กิล แบ่งเป็น มหธาตุ 9 ธาตุ (macronutrient elements) หรอื ธาตอุ าหารมหัพภาค คือ ธาตอุ าหารทีพ่ ืชตอ้ งการในปริมาณมาก และขาดไม่ได้ โดยมีความเขม้ ข้นของธาตุ อาหารโดยนา้ หนักแห้ง เมอ่ื พืชเจริญเติบโตเตม็ วัยสงู กวา่ 500 มิลลิกรัม/กโิ ลกรมั ได้แก่ คารบ์ อน, ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ซงึ่ ได้จากน้า และอากาศ ส่วนไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซยี ม, แคลเซียม, แมกนีเซียม และ กามะถนั พชื ไดจ้ ากดนิ ในบางคร้ัง มหธาตุจะกล่าวถึงเพยี ง 6 ธาตุ ไมน่ บั รวมคาร์บอน, ไฮโดรเจน และออกซเิ จน ทไี่ ดจ้ ากน้า และอากาศ ได้แก่ ไนโตรเจน, ฟอสฟอรสั , โปแตสเซยี ม, แคลเซยี ม, แมกนเี ซยี ม และกามะถนั โดย แบ่งเปน็ 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มธาตอุ าหารหลกั (primary nutrient elements) 3 คอื ธาตุอาหารพืชทต่ี อ้ งการในปริมาณมาก 3 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซยี ม 2. กลมุ่ ธาตุอาหารรอง (secondary nutrient elements) คอื ธาตุอาหารท่ีพชื ต้องการในปรมิ าณน้อย กว่ากวา่ กลุม่ แรก 3 ธาตุ ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม แมกนีเซยี ม และกามะถนั จลุ ธาตุ 8 ธาตุ (micronutrient elements) คอื ธาตุอาหารท่พี ืชต้องการในปริมาณนอ้ ย โดยทมี่ ีความเข้มข้น ของธาตุอาหารโดยน้าหนักแห้ง เมื่อพชื เจรญิ เตบิ โตเต็มวัยตา่ กว่า 100 มลิ ลิกรมั /กโิ ลกรมั ได้แกเ่ หล็ก, แมงกานสี , สงั กะสี, ทองแดง, โบรอน, โมลิบดนี ัม, คลอรนี และนเิ กลิ สาหรบั ธาตนุ เิ กิล เพง่ิ จะมกี ารรวมเข้าเป็นธาตุท่ี 8 โดยมี การศกึ ษา พบวา่ นกิ เกลิ เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของเอนไซมย์ รู เี อส ท่ีทาหน้าท่กี ระตุ้นปฏกิ ริ ยิ าไฮโดรไลซิสยูเรยี ให้ เป็นแอมโมเนยี และคาร์บอนไดออกไซด์ และทา้ หน้าทีส่ าคัญในการสร้างสารประกอบอนิ ทรียไ์ นโตรเจน นอกจากนั้น พืชบางชนิดยังต้องการธาตุอาหารอนื่ ๆอีก เชน่ โคบอลท์ (CO), โซเดยี ม (Na), อะลมู ิเนียม (Al), แวนาเดียม (Va), ซิลเิ นียม (Se), ซิลิกอน (Si) และอนื่ ๆ เรยี ก ธาตุอาหารกลุ่มเหลา่ นี ว่า beneficial element 88

ธาตอุ าหารหลัก 1. ไนโตรเจน ไนโตรเจนเปน็ องค์ประกอบของพชื ประมาณรอ้ ยละ 18 และปริมาณไนโตรเจนกว่าร้อยละ 80-85 ของ ไนโตรเจนทั้งหมดที่พบในพชื จะเป็นองคป์ ระกอบของโปรตีน รอ้ ยละ 10 เป็นองค์ประกอบของกรดนวิ คลีอิก และ ร้อยละ 5 เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโนที่ละลายได้ โดยทวั่ ไป ธาตุไนโตรเจนในดนิ มกั ขาดมากกว่าธาตุอ่นื โดย พืชนาไนโตรเจนทม่ี าใชผ้ ่านการดดู ซึมจากรากในดินในรปู ของเกลือไนเตรท (NO3-) และเกลอื แอมโมเนียม (NH4+) ธาตไุ นโตรเจนในดินมกั สญู เสียไดง้ า่ ยจากการชะลา้ งในรปู ของเกลอื ไนเตรท หรือเกิดการระเหยของ แอมโมเนยี ดังน้ัน หากตอ้ งการให้ไนโตรเจนในดินท่เี พียงจงึ ต้องใสธ่ าตุไนโตรเจนลงไปในดนิ ในรูปของปุ๋ย นอกจากน้ี พืชยงั ไดร้ บั ไนโตรเจนจากการสลายตัวของอินทรียวัตถุ และการแปรสภาพของสารอินทรียโ์ ดยจุลนิ ทรีย์ ในดิน รวมถงึ การไดร้ บั จากพชื บางชนิด เช่น พชื ตระกูลถวั่ ทมี่ ไี รโซเบยี มช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ความ ตอ้ งการธาตุไนโตรเจนของพชื ข้ึนกบั หลายปัจจยั อาทิ ชนิดของพชื อายขุ องพืช และฤดกู าล หน้าท่ี และ ความสาคญั ต่อพชื 1. ทาใหพ้ ืชเจรญิ เตบิ โต และต้ังตวั ไดเ้ ร็ว โดยเฉพาะในระยะแรกของการเจริญเติบโต 2. ส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โตของใบ และลาต้น ทาใหล้ าต้น และใบมีสีเขียวเขม้ 3. สง่ เสรมิ การสรา้ งโปรตีนให้แก่พชื 4. ควบคมุ การออกดอก และติดผลของพืช 5. เพม่ิ ผลผลิตให้สงู ขึ้น โดยเฉพาะพืชท่ใี ห้ใบ และลาตน้ 2. ฟอสฟอรสั ฟอสฟอรสั ในดินมกั มปี รมิ าณที่ไมเ่ พยี งพอกับความต้องการของพืชเชน่ กนั เน่อื งจากเปน็ ธาตทุ ี่ถกู ตรงึ หรอื เปลี่ยนเป็นสารประกอบได้ง่าย สารเหล่าน้ี มักละลายน้าได้ยาก ทาใหค้ วามเปน็ ประโยชน์ของฟอสฟอรสั ต่อ พืชลดลง ฟอสฟอรสั ท่ีพบในพชื จะในรูปของฟอสเฟตไอออนที่พบมากในท่อลาเลยี งนา้ เมลด็ ผล และในเซลล์พชื โดยทาหนา้ สาคญั เกีย่ วกบั การถ่ายทอดพลังงาน เปน็ วัตถุดิบในกระบวนการสรา้ งสารตา่ งๆ และควบคมุ ระดับ ความเป็นกรด-ด่าง ของกระบวนการลาเลียงนา้ ในเซลล์ การนาฟอสฟอรัสจากดนิ มาใช้ พชื จะดูดฟอสฟอรัสในรูป 89

อนมุ ลู ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (H2PO4-) และไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-) ปรมิ าณสารทั้งสองชนดิ จะมากหรือน้อยขึ้นกับค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน ดนิ ท่ีมสี ภาพความเป็นกรด ฟอสฟอรัสจะอยู่ในรูป ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน(H2PO4-) หากดินมสี ภาพเป็นดา่ ง ฟอสฟอรสั จะอยใู่ นรปู ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-) แต่สารเหลา่ นี้ ในดินมกั ถูกยึดด้วยอนภุ าคดินเหนียว ทาให้พชื ไมส่ ามารถนาไปใชไ้ ด้ รวมถงึ รวมตวั กับ ธาตุอื่นในดนิ ทาใหพ้ ืชไม่สามารถนามาใช้ประโยชนไ์ ด้ เชน่ ในสภาพดนิ ท่ีเป็นเบส และเปน็ กรดจัดท่ีมแี รธ่ าตุ และ สารประกอบอ่นื มากฟอสเฟตจะรวมตัวกบั ไอออนประจบุ วก และลบของธาตุ และสารประกอบเหล่านั้น กลายเป็น เกลือทีไ่ มล่ ะลายน้าทาให้พืชนาไปใช้ไดน้ ้อย ดังนั้น ในสภาพดนิ ท่เี ป็นกลาง พชื จะนาฟอสเฟตไอออนมาใช้ ประโยชน์ไดด้ กี วา่ โดยทว่ั ไปพืชจะต้องการฟอสฟอรสั ประมาณ 0.3-0.5 เปอรเ์ ซ็นต์โดยน้าหนักแหง้ เพ่ือใหก้ าร เจริญเติบโตทางใบเปน็ ปกติ แต่หากได้รับในปริมาณสงู กวา่ 1 เปอรเ์ ซ็นตโ์ ดยน้าหนักแหง้ จะเกดิ ความเป็นพิษต่อ พืช หนา้ ที่ และความสาคญั ต่อพชื 1. สง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตของราก ท้ังรากแกว้ รากฝอย และรากแขนง โดยเฉพาะในระยะแรกของการ เจริญเตบิ โต 2. ช่วยเร่งให้พืชแก่เร็ว ช่วยการออกดอก การตดิ ผล และการสร้างเมลด็ 3. ชว่ ยให้รากดูดโปแตสเซียมจากดินมาใช้เป็นประโยชนไ์ ด้มากข้ึน 4. ชว่ ยเพิ่มความตา้ นทานต่อโรคบางชนิด ทาให้ผลผลิตมีคุณภาพดี 5. ช่วยใหล้ าตน้ แขง็ แรง ไม่ล้มง่าย 6. ลดผลกระทบที่เกิดจากพืชไดร้ ับไนโตรเจนมากเกินไป 3. โปแตสเซยี ม โดยทัว่ ไป โพแทสเซยี มกระจายอยู่ดินช้ันบน และดินช้ันล่างในปริมาณทไ่ี มแ่ ตกตา่ งกัน โพแทสเซยี มเป็นธาตุท่จี าเป็นสาหรบั พชื เหมือนกับธาตุฟอสฟอรสั และธาตไุ นโตรเจน พชื จะดูดโพแทสเซียมจาก ดินในรปู โพแทสเซยี มไอออน โพแทสเซยี มเป็นธาตุทีล่ ะลายนาไดด้ ี และพบมากในดนิ ท่วั ไป แต่สว่ นใหญจ่ ะรวมตัว กบั ธาตุอื่นหรือถูกยึดในช้ันดินเหนยี ว ทาใหพ้ ืชน้าไปใช้ไม่ได้ การเพิม่ ปรมิ าณโพแทสเซยี มในดนิ จะเกิดจากการ สลายตวั ของหินเปน็ ดินหรือปฏกิ ิริยาของจุลินทรีย์ในดนิ ท่พี ชื สามารถนาไปใชไ้ ด้ โพแทสเซยี มทีเ่ ปน็ องค์ประกอบ ของพชื พบมากในส่วนยอดของตน้ ปลายราก ตาขา้ ง ใบออ่ น ในใจกลางลาตน้ และในท่อลาเลียงอาหาร โดยทว่ั ไป ความตอ้ งการโพแทสเซียมของพชื อย่ใู นชว่ ง 2-5 เปอรเ์ ซน็ ต์ โดยน้าหนักแห้ง บทบาทสาคัญของ โพแทสเซียม คือ ช่วยกระตุ้นการทา้ งานของเอนไซม์ ชว่ ยในกระบวนการสรา้ งแปง้ ช่วยใน กระบวนการสงั เคราะห์แสง ควบคมุ ศักย์ออสโมซีส ชว่ ยในการล้าเลียงสารอาหาร ชว่ ยรักษาสมดลุ ระหว่างกรด และเบส หนา้ ที่ และความสาคัญต่อพชื 1. สง่ เสรมิ การเจรญิ เติบโตของราก ทา้ ใหร้ ากดดู น้า และธาตุอาหารไดด้ ีขึ้น 2. จ้าเปน็ ต่อการสร้างเน้ือผลไม้ การสรา้ งแปง้ ของผล และหัว จึงนยิ มให้ปุ๋ยโพแทสเซียมมากในระยะเร่ง ดอก ผล และหัว 3. ชว่ ยใหพ้ ชื ต้านทานการเปลีย่ นแปลงปริมาณแสง อุณภูมหิ รือความช้ืน 4. ช่วยใหพ้ ืชต้านทานตอ่ โรคต่างๆ 5. ชว่ ยเพมิ่ คณุ ภาพของพชื ผัก และผลไม้ ทาให้พืชมสี สี ัน เพิม่ ขนาด และเพม่ิ ความหวาน 6. ชว่ ยป้องกันผลกระทบจากท่พี ืชไดร้ ับไนโตรเจน และฟอสฟอรัสมากเกนิ ไป 90

การตรวจสอบค่า PH ค่า pH (Potential of Hydrogen ion) คา่ pH ในความหมายของการปลูกพืชไร้ดนิ คือค่าความเปน็ กรด-เบส ของสารละลาย (น้าผสมธาตุอาหารท่ใี ช้ใน การปลกู พืช) โดยคา่ pH จะมีชว่ งการวัดอยู่ที่ 1 - 14 โดยจะนบั ค่าท่ี 7 เป็นกลาง กลา่ วคอื หากวัดค่าได้ต่ากวา่ 7 แสดงวา่ ของเหลวนั้นเป็นกรด หากวัดได้สงู กวา่ 7 ข้ึนไปแสดงวา่ เปน็ เบส สาหรบั การปลกู พืชด้วยน้าน้ันคา่ pH มี สว่ นสาคญั เปน็ อย่างมากสาหรบั การทาปฏิกริ ยิ าทางเคมีกบั ธาตุอาหารทใี่ ชเ้ ล้ียงพืช โดยธรรมชาตนิ า้ ที่มคี วามเป็น กรดจะทาใหธ้ าตอุ าหารพชื ละลายตัวได้ดี และพืชสามารถดูดซึมไปใช้งานได้อยา่ งสะดวก แตถ่ า้ หากน้าท่ีใช้ผสม ธาตอุ าหารพชื มีความเปน็ เบสสูงจะทาใหธ้ าตอุ าหารพืชตกตะกอนจนพืชไมส่ ามารถดดู ซึมไปใชง้ านได้ ดงั น้ัน การ ปรบั ค่า pH ผู้ปลูกจะตอ้ งปรับใหอ้ ยู่ในระดับที่เหมาะสมกับอายกุ ารปลูกและชนิดของพืชนั้นๆ ด้วย โดยปกตคิ ่า pH ที่ใช้ในการปลูกพชื จะมีค่าอยู่ในช่วง 5.5 - 7.0 แต่ค่าท่ีดีทส่ี ุดต่อการละลายตวั ของธาตุอาหารพืชจะอยทู่ ่ี 5.8 - 6.3 การปลูกพืชดว้ ยระบบไฮโดรโปนกิ ส์นั้นจะมกี ารกาหนดค่า pH ของการปลกู พชื เปน็ 2 ระยะ คอื ระยะท่ี 1 (ระยะเจริญเติบโต) อยใู่ นช่วงวันท่ี 1 - 28 กาหนดคา่ pH อย่ทู ี่ 5.8 - 6.5 ระยะที่ 2 (ระยะสร้างผลผลิต) อยู่ในชว่ งวันท่ี 29 ขึ้นไป กาหนดค่า pH อยทู่ ี่ 6.5 - 7.0 การลดคา่ pH นิยมใช้ กรดไนตริก (Nitric Acid) มีสูตรทางเคมี คอื (HNO3) ซงึ่ กรดชนิดนี้เม่อื ผสมกบั นา้ จะแตกตัวเปน็ อนุมลู ย่อย เป็นไนโตรเจน ซ่งึ เปน็ ธาตุอาหารหลกั ของพชื และกรดทน่ี ิยมใชอ้ ีกชนดิ หนงึ่ คือ กรด ฟอสฟอรกิ (Phosphoric Acid) มีสตู รทางเคมี คือ H3PO4 ซ่ึงกรดชนิดน้ีเมอื่ ผสมกบั นา้ จะแตกตัวเป็นอนุมูลยอ่ ย เป็นฟอสฟอรัส ซงึ่ เป็นธาตุอาหารหลักของพชื เชน่ กัน การใช้กรดท้ังสองชนดิ น้ีจงึ มีผลพลอยไดจ้ ากการปรบั ลดค่า pH แลว้ ยงั ได้ธาตอุ าหารพชื เพิม่ ข้ึนมาในระบบอีกดว้ ย การเพิ่มค่า pH นิยมใช้ โพแทสเซียมคาร์บอเนต (Potassium Carbonate) หรอื โพแทสเซียมไฮดรอกไซต์ (Potassium Hydroxide) ซึง่ เคมีท้ัง 2 ชนดิ น้ี เมื่อผสม กบั นา้ จะแตกตวั เปน็ อนมุ ูลย่อย ได้โพแทสเซียม ซ่ึงเป็นธาตอุ าหารหลกั ของพชื เช่นกนั ข้อควรระวังในการปรับค่า pH การปรบั คา่ pH คอ่ ยปรับดว้ ยความระมัดระวัง และค่อยปรบั ลดลง อย่าปรบั ค่า pH ให้ตา่ เกินกวา่ 4 จะ ทาให้รากพืชได้รบั อนั ตรายจากการกัดกร่อนของกรด จนทาให้รากพืชอ่อนแอ และเช้ือโรคเขา้ ทาลายได้งา่ ยขึ้น ค่า pH ทต่ี ่าเกินไปยงั ส่งผลให้ความเขม้ ข้นของธาตเุ หลก็ ในระบบปลูกมสี ูงขึ้น ถ้าธาตุเหลก็ ในระบบปลกู มีมากเกนิ ไป 91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook