Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่-1-แนวคิดชีวิต-การวางแผน-การวางแผนชีวิต รวม

บทที่-1-แนวคิดชีวิต-การวางแผน-การวางแผนชีวิต รวม

Published by srcmbu2533, 2022-06-22 09:37:30

Description: บทที่-1-แนวคิดชีวิต-การวางแผน-การวางแผนชีวิต รวม

Search

Read the Text Version

การวางแผนชีวิต ดร.บานชื่น นักการเรียน

บทที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกบั ชวี ติ -การวางแผน-การวางแผนชวี ติ การวางแผนชวี ิตเปน็ สิ่งจำเปน็ เพราะเป็นการกำหนดเป้าหมายในชวี ิตใหช้ ัดเจน เป็นเสมือน แผนที่นำทางให้ถึงจุดหมายที่วางไว้ เพราะในปัจจุบันน้ีมีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบต่อการ ดำเนินชีวติ ทำให้การดำเนินชีวติ มีอุปสรรค จึงจำเป็นทีจ่ ะตอ้ งมีการวางแผนชีวิต เพื่อจะได้เข้าใจและ หาแนวทางท่ีถูกต้องในการดำเนินชีวิตให้บรรลุเป้าหมายท่ีวางไว้ ซึ่งสาระสำคัญในบทนี้ ได้รวบรวม จากเอกสารตา่ ง ๆ ท้งั ท่ีเป็นสอ่ื ส่ิงพิมพ์ และส่ืออินเตอร์เน็ต มรี ายละเอียดดงั นี้ 1.1 แนวคดิ เกีย่ วกับชีวิต 1.2 แนวคิดเกย่ี วกับการวางแผน 1.3 แนวคิดเกี่ยวกับการวางแผนชวี ิต 1.4 สรุป 1.1 แนวคดิ เกี่ยวกับชีวิต 1.1.1 ความเป็นมาของการกำเนิดชีวิต เรารู้กันมานานแล้วว่าโลกมีอายุประมาณ 4,600 ลา้ นปี แต่ตราบเท่าทุกวันน้ีก็ยังไม่มี ใครทราบอย่างถ่องแม้ว่า ส่ิงมีชีวิตอุบัติข้ึนบนโลกเปน็ คร้ังแรกได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังไมท่ ราบ ชัดเจนว่า ชีวิตที่สามารถกินอาหาร เจริญเติบโต สืบพันธ์ุและวิวัฒนาการนั้น มีขั้นตอนหรือความ เปน็ มาอย่างไร ซึง่ F. Woyle และ N.C. Wickramsinghe ได้เคยคดิ วา่ ขณะดาวหางหรอื อุกกาบาตพุ่ง ผา่ นโลก ฝุ่นและละอองดาวเหล่านี้มีอนิ ทรีย์โมเลกลุ เช่น คาร์บอน ออกซิเจน และแอมโมเนีย ดังนั้น เวลาสะเก็ดดาวพุ่งมากระทบโลก ชวี ิตบนโลกจึงจุติ และ F. Crick เคยคิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวท่มี ีอารย ธรรมและวิทยาการลึกล้ำมาเยี่ยมเยือนโลก แล้วปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตจากดวงดาวที่เขาอาศัยอยู่ให้ แพร่หลายกระจายพันธ์ุไปบนโลก แต่คำถามสำหรับการอธิบายเช่นน้ีจะทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า โครงสร้างสัตว์และมนุษยต์ ่างดาวเหลา่ นั้นเป็นเช่นไร หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดว่า ขณะเมื่อโลกมีอายุได้ 1,000 ล้านปี บรรยากาศของโลกยุคนั้นแตกต่างจากบรรยากาศของโลกปัจจุบันมากคือบรรยากาศโลกในอดีตมี ไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และแอมโมเนีย แต่ไม่มีออกซิเจนบริสุทธิ์เลย ในเม่ือสิ่งมีชวี ิตตัวแรก เป็นสัตว์เซลล์เดยี วทม่ี ีลกั ษณะคลา้ ยจลุ ินทรีย์ เมอ่ื จุลินทรยี เ์ หลา่ นี้เจริญเติบโตและกลายพันธ์ุ มันจะมี ความสามารถสังเคราะห์อาหารได้และหาอาหารน้ันมันจะปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมา ออกซิเจนที่ เกิดข้นึ จะไปทำลายและแทนท่ีแก๊สดกึ ดำบรรพ์หมด ทำให้มันเปน็ แกส๊ สำหรับส่ิงมชี ีวิตใชก้ ารดำรงชีวิต ตั้งแต่นนั้ มา เมื่อไม่นานมานี้เอง R. Kobayashi แห่ง Yokohama National University ได้เสนอ ความคิดว่า รังสคี อสมกิ และรังสอี ื่น ๆ จากการระเบดิ ของดวงอาทิตย์เป็นตวั การสำคัญท่ีช่วยจุดชนวน ของชีวิตบนโลก เขาอธิบายว่า อนุภาคพลังงานสูงจากอวกาศอันไกลโพ้นเวลาพุ่งเข้ากระทบ บรรยากาศโลก จะสามารถเปลี่ยนแก๊สในบรรยากาศเป็นโมเลกุลของกรด amino และ nucleic ได้ ซ่งึ โมเลกุลเหล่านีเ้ ปน็ องคป์ ระกอบท่ีจำเป็นต่อสิง่ มชี ีวติ ทกุ ชนิด

2 เพื่อทดสอบความคิดน้ี Kobayashi ได้ยิงอนุภาคโปรตอนพลังงานสูงผ่านแก๊สผสมท่ี ประกอบด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจน และไอน้ำ หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เขาตรวจ พบโมเลกุลของกรด amino มากมาย อีกท้ังยังได้พบกรด aspatic, sarcosine, glycine, alamine, aminobutylic และอ่ืน ๆ อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลของสิ่งมชี ีวิตท้ังสนิ้ ส่วนนกั วิทยาศาสตร์ของ ญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งมคี วามคิดเห็นขัดแยง้ กับความคดิ น้ี โดยเขาเชอ่ื ว่า ชีวิตมไิ ด้มกี ำเนิดครัง้ แรกในอากาศ แต่ชีวิตอุบัติข้ึนครั้งแรกในทะเล เพราะทะเลมีแร่กำมะถันมากมาย T. Rimoto แห่ง University of Education แห่งเมืองนาระ ได้แสดงให้เห็นว่าเวลาเขาผสมแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ สารประกอบ แอมโมเนีย ฟอร์มัลดีไฮด์ และแมกนีเซียมคลอไรด์เข้าด้วยกันแล้ว ผลิตผลท่ีได้จะมีโมเลกุลของ สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ปฏิกิริยาชีวิตท่ีเขาพบน้ีเกิดได้ที่อุณหภูมิปกติ และแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์นั้นก็มี มากมายตามรอยรา้ วในท้องทะเลลึกอยูแ่ ล้ว ชีวิตมีกำเนิดบนโลกได้อย่างไร คำถามนี้เราอาจจะไม่มีวันรู้คำตอบท่ีสมบูรณ์ แต่ ความคิดต่าง ๆ ท่กี ล่าวมาข้างต้นเป็นเร่อื งท่ีนักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถยี งกันอยู่และหาข้อยุติไม่ได้ จะ อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่า ความพยายามท่ีจะรู้ประวัติและลำดับข้ันตอนจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตสู่ ความมชี วี ิต และความเปน็ ชวี ิตน้นั ซับซ้อนมาก เหล่านีเ้ ป็นคำถามทีท่ า้ ทายชีวติ ของมนษุ ย์จริง ๆ1 กำเนดิ ชีวิตตามทัศนะของนักวทิ ยาศาสตร์ ชีวิตเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยพ่อแม่ (ส่ิงที่มีชีวิตอยู่ก่อนแล้ว) ทำให้เกิดชีวิตใหม่ การสร้าง หนว่ ยใหมข่ องชีวติ เรียกวา่ การสบื พันธุ์ ซึง่ มี 2 แบบคือ การสบื พันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ เช่น การใช้กิ่ง ปักชำ การแตกหนอ่ ของกล้วย การแบ่งเซลล์ของบักเตรี และการสืบพันธ์ุแบบใชเ้ พศ เช่น มนุษยต์ ้อง อาศัยพ่อแม่ให้กำเนิดชีวิตโดยฝ่ายพ่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ เรียกว่าอสุจิ ฝ่ายแม่สร้างเซลล์สืบพันธ์ุ เรียกว่า ไข่ ไข่ท่ีถูกผสมโดยอสุจิเรียกว่า ไซโกท ไซโกทนี้จะฝังตัวไว้กับเยื้อหุ้มหนังมดลูก และ เจริญเติบโตขนึ้ เป็นตัวอ่อนตามลำดับ เมื่อครบ 9 เดือน ก็คลอดออกมาเปน็ ทารกและเจริญเติบโตข้ึน เปน็ เด็ก เปน็ หนุ่มสาว พร้อมที่จะสร้างชีวติ ใหมต่ ่อไป ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ หลายชนิด และอวัยวะต่าง ๆ เหล่าน้ี ประกอบดว้ ยเซลล์ชนดิ ต่าง ๆ อีกมากมายหลายชนดิ แต่ละชนิดประกอบดว้ ยเซลล์ของแต่ละชนิดเป็น จำนวนมากมกี ารคำนวณพบวา่ เซลล์ในรา่ งกายมนษุ ยม์ ีจำนวนถงึ 5 หมื่นลา้ นเซลล์ ความยาวของเส้นโลหิตในร่างกายมนษุ ย์ ถ้าจบั มาเรยี งต่อกนั จะมคี วามยาวถึง 50,000 กิโลเมตรความยาวของเส้นปราสาท เม่ือนำมาเรียงต่อกนั เข้ายาวถงึ 25,000 กโิ ลเมตร โครงสร้างของรา่ งกายมนุษยป์ ระกอบดว้ ย ส่ิงเหลา่ นีค้ ือ 1) กระดกู 206 ทอ่ น 2) กลา้ มเนอ้ื 792 มดั 3) สมองผูช้ ายหนกั ประมาณ 1,380 กรมั 4) สมองผหู้ ญิงหนกั ประมาณ 1,250 กรมั 5) เลือดจะมปี ระมาณ 7 - 8 % ของน้ำหนกั ร่างกายหรือประมาณ 5 - 6 ลติ ร 1<https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/july8/lifearth.htm> (สบื ค้นข้อมูลเมื่อวันท่ี 20 สงิ หาคม 2561)

3 6) นำ้ มีประมาณ 2/3 ของนำ้ หนักรา่ งกาย 7) โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั เกลอื แร่ วติ ามิน ฯลฯ สว่ นประกอบต่าง ๆ เหลา่ นีป้ ระกอบขน้ึ เปน็ เรอื นรา่ งกายของมนษุ ย์2 กำเนดิ ชีวติ ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา ชีวิตในทัศนะพระพทุ ธศาสนาเกิดโดยอาศัยกระบวนการทางปฏจิ จสมุปบาท คือ อาศัย เหตุปจั จัยเชื่อมโยงกันโดยไม่ขาดสาย ในมหาสีหนาทสูตร พระพทุ ธองคต์ รัสประเภทกำเนดิ ของสัตวไ์ ว้ 4 ประการ คือ3 1) สัตวท์ ี่เกิดจากเปลอื กฟองไข่ เรียกวา่ อัณฑชะ 2) สตั ว์ที่เกดิ จากครรภ์ เรียกว่า ชลาพุชะ 3) สตั วท์ เ่ี กิดในปลาเน่า ในเถา้ ไคล เรียกวา่ สงั เสทชะ 4) สัตว์ทีเ่ กิดผดุ ขน้ึ เต็มตัว เชน่ เทวดา สตั วน์ รก เรียกวา่ โอปปาติกะ ส่วนการเกิดในโลกของมนุษย์ เช่น การเกิดของคนและสัตว์ ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นเช้ือ ให้ ด้วยการผสมพนั ธุ์ อาศยั ธรรมชาติ อาศัยอาหาร ตามนัยอภธิ รรมกล่าวไวว้ า่ การเกิดเป็นมนษุ ยเ์ ร่ิม ตั้งแต่มีปฏิสนธิวิญญาณ ซ่ึงเกิดข้ึนต่อจากจุติจิตในมรณาสันนวิถี อันเป็นดวงจิตสุดท้ายต่อจากชาติ ก่อน ตายจากชาติก่อนแล้วเกิดทันที ไม่มีระหว่างคั่น ปฏิสนธิจิตน้ีแหละเป็นส่วนหน่ึงในการเริ่มต้น ของชีวิต 3 อย่างคือ 1) บดิ ามารดาอยู่รว่ มกนั 2) มารดามรี ะดู (ไข่พร้อมท่จี ะสืบพนั ธ์ุ) 3) คนั ธัพพะ (มปี ฏิสนธจิ ิตหรือปฏิสนธวิ ิญญาณมาอาศัย)4 กระบวนการเจริญเติบโตของมนุษย์ในครรภ์ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในอินทกสูตร โดยลำดบั เปน็ 5 ขน้ั ตอนในแต่ละสปั ดาห์ ดังน้ี5 สัปดาห์ท่ี 1 เป็นกลละ เป็นน้ำใส มีลักษณะเป็นเมือก เป็นจุดเร่ิมต้นแห่งการเจริญ เติบโต สปั ดาห์ที่ 2 เป็นอพั พทุ ะ มีลักษณะเปน็ เมอื กทขี่ นุ่ ข้น สัปดาห์ท่ี 3 เป็นเปสิ มลี กั ษณะแดง สปั ดาหท์ ่ี 4 เป็นฆนะ มีลักษณะเปน็ กอ้ นคอ่ ย ๆ แข็งตัวข้ึน สัปดาห์ท่ี 5 เปน็ ปัญจสาขา มลี ักษณะเปน็ ปุ่ม 5 ปุม่ คอื ปมุ่ ศรษี ะ 1ปมุ่ ปุ่มแขน 2 ปุ่ม ปมุ่ ขา 2 ปมุ่ จากน้ันก็จะพัฒนาไปส่กู ารเปน็ รูปร่างจนมผี ม ขน เล็บ เป็นตน้ ตามมา 2<https://www.baanjomyut.com/library_2/chivit/03.html> (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 20 สงิ หาคม 2561) 3ม.ม.ู 12/169- 4ม.ม.ู 12/452/- 5สํ.ส. 15/803/-

4 สรุปได้ว่า กำเนิดชีวิตน้ันมีทั้งแนวคิดในด้านวิทยาศาสตร์และหลักการในทาง พระพุทธศาสนา ซ่ึงประกอบขึ้นด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและจิตใจ เกิดเป็นชีวิตและพัฒนาการ อย่างตอ่ เนื่องจนแตกสลายไปในที่สุด และวนเวยี นอยู่ในสังสารวฏั ตราบเทา่ ท่ียงั ไม่หลดุ พน้ 1.1.2 ความหมายของชีวติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายไว้ว่า ชีวิต หมายถึง ความเป็น ตรงขา้ มกับความตาย6 พทุ ธทาสภิกขุ ได้กล่าวถึงชีวติ ในมุมมองท่ีแตกต่างกันว่า “เร่ืองของชีวิตคืออะไรน้ี มนั ก็มี หลายแง่หลายมุม, ถ้ามองในแง่วัตถุชวี ิตก็มคี วามหมายอย่างหนึ่ง ถา้ มองในแง่จิตใจก็มีความหมายอีกอยา่ ง หน่ึง ถ้ามองในแง่ธรรมะสูงสุด มันก็มีความหมายอีกอย่างหน่ึง แต่เราก็เอาความหมายธรรมดา ๆ นี่ว่า ชีวติ คอื ความทยี่ งั ไม่ตาย ยงั มชี ีวติ อยู่ นี้มนั คอื อะไร ? ดว้ ยคำถามต่อไปอีกวา่ เพ่อื อะไร ? เพอื่ ทำอะไร ?7 ชีวิต คือ สถานะท่ีแยกส่ิงมีชีวิตหรืออินทรีย์ออกจากสิ่งไม่มีชีวิตหรืออนินทรีย์และ สิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว ส่ิงมีชีวิตเติบโตผ่านกระบวนการสันดาป การสืบพันธุ์และการปรับตัวต่อการ เปล่ียนแปลงในสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดสามารถพบได้ในชีวมณฑลของโลก ซ่ึง พระพุทธศาสนามองสง่ิ ท้ังหลายรวมท้ังชีวติ และสิง่ อน่ื ๆ วา่ เปน็ สิ่งที่เกิดจากการมีส่วนประกอบต่าง ๆ มารวมกันเข้า และมีความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เก่ียวเน่ืองและความอิง อาศยั กนั นี้ นับว่าเป็นคุณสมบตั ิสำคญั เพราะเป็นสิ่งท่ีทำให้ชีวติ ดำรงอยู่และดำเนินไปได้ หมายความ วา่ ถ้าจะให้มีชีวิตเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดำเนินต่อไปได้ ส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่าน้ันจะต้องไม่ใช่สัก แต่ว่ามา “กองรวม” กันอยู่ โดยไม่มีความเกี่ยวเนื่องแบบอิงอาศัยกนั เท่าน้นั แต่ต้องมีความเชื่อมโยง และถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกนั อยา่ งเหมาะสมด้วย โดยเหตุที่ชีวติ เกิดข้ึน ดำรงอยู่ และดำเนินไปได้ เพราะอาศัยการประกอบกันเข้าของส่วนต่าง ๆ ดังกล่าวมา พระพุทธศาสนาจึงถือวา่ ตัวตนท่ีแทจ้ ริง ของสิ่งท่ีเรียกวา่ ชีวิตนัน้ “ไมม่ ี” เพราะ ประการแรก ตวั ส่ิงที่ถอื ว่าเป็นชีวติ นั้น มาจากการรวมกันของ ส่วนประกอบต่าง ๆ และ ประการท่ีสอง แม้ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มารวมกันเข้าเป็นชีวิตน้ันเอง แต่ ละส่วนก็เป็นผลมาจากการมีส่วนประกอบอื่น ๆ มารวมกันเข้าเช่นเดียวกัน ดังน้ัน สิ่งที่เราเรียกว่า สว่ นประกอบแต่ละสว่ นนั้น แท้จริงแล้วกไ็ ม่ได้มีตัวตนของมันจริง ๆ เปน็ แต่เพียงการประกอบกนั เข้า อย่างเหมาะสมของส่วนต่าง ๆ เท่านั้น ถา้ จะอุปมาชีวติ ในทัศนะเช่นนี้ ก็คงเหมือนกับส่ิงที่เราเรียกว่า “รถ” ซึ่งเกิดจากการนำเอาส่วนประกอบต่าง ๆ หลายส่วนมารวมกันเข้า โดยที่แต่ละส่วนมีความ เกย่ี วเนอื่ งเชอ่ื มโยงกนั และทำงานสมั พันธก์ นั เปน็ ระบบ การดำรงอยขู่ องความเป็น “รถ” และการทำ หน้าที่ของมัน ข้ึนอยู่ท้ังกับส่วนประกอบหรือช้นิ ส่วนต่าง ๆ และขึ้นอยู่กับลักษณะของความสัมพันธ์ ต่อกันของส่วนประกอบเหล่าน้ันด้วย เม่ือใดท่ีเราแยกเอาส่วนประกอบท้ังหมดออกจากกัน สิ่งท่ี 6ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ศริ วิ ฒั นาอินเตอรพ์ ริน้ ท์ จำกดั (มหาชน), 2556), หนา้ 383. 7<https://www.baanjomyut.com/library_2/chivit/index.html> (สืบค้นข้อมูลเม่ือ วันท่ี 20 สิงหาคม 2561)

5 เรียกว่า “รถ” ก็ไม่มี มีแต่ส่วนประกอบแต่ละส่วนเท่าน้ัน ซึ่งก็ไม่ใช่ “รถ” และส่วนประกอบแต่ละ ส่วนนนั้ เล่ากม็ ีส่วนประกอบยอ่ ยของมนั อกี 8 ส่ิงมีชีวิต น้ันประกอบด้วย ปัจจัย 5 อย่าง ซ่ึงรวมเรียกปัจจัยเหล่าน้ีว่า ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ คือ รา่ งกาย หรืออวัยวะต่าง ๆ ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น สุข ทุกข์ ร้อน หนาว อบอุ่น สบาย เม่ือยล้า ชอบ ไม่ชอบ เฉย ๆ เป็นต้น การจดจำ ความคิด ความรู้ การตัดสินใจ และ สัญชาติญาณ และประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น การมองเห็น ได้กลิ่น ได้ยิน รู้ รส เปน็ ตน้ 9 สรุปได้ว่า ชีวิต คือ สถานะที่แยกส่ิงมีชีวิตหรืออินทรีย์ออกจากส่ิงไม่มีชีวิต ส่ิงมีชีวิต เติบโตผา่ นกระบวนการสันดาป การสบื พันธุ์และการปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงในสภาพแวดลอ้ ม ซึ่ง พระพุทธศาสนามองส่งิ ท้งั หลายรวมทงั้ ชีวติ และส่ิงอน่ื ๆ วา่ เป็นสง่ิ ที่เกดิ จากการมีสว่ นประกอบต่าง ๆ มารวมกันเข้า และมีความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องและความอิง อาศัยกนั นี้ นับว่าเปน็ คณุ สมบตั ิสำคัญ เพราะเป็นสง่ิ ทท่ี ำให้ชีวิตดำรงอยู่และดำเนินไปได้ 1.1.3 พฒั นาการของชวี ิต พฒั นาการของชวี ติ มนุษย์ มกี ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาการในชว่ งวัยตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปนี้ 1) วัยทารก ก. พัฒนาการด้านร่างกาย ในระยะแรกคลอดทารกจะมีน้ำหนักตัวลดลง แต่เมื่อ ปรบั ตวั ได้ดีขนึ้ นำ้ หนักจะเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกเกดิ ถงึ 6 เดือน หลังจาก 6 เดอื นไปแล้วอัตรา การเพิ่มของน้ำหนักจะลดลง ความสูงจะเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ การเคล่ือนไหวของทารกในระยะแรกคลอด ทารกจะไม่สามารถควบคุมการเคล่ือนไหวของกล้ามเน้ือได้ การเคล่ือนไหวเป็นไปในลักษณะปฏิกิริยา สะท้อน เช่น การดูด การกางน้ิวเท้าเมื่อถูกลบู เท้าเบา ๆ การผวาเมื่อได้ยินเสียงดัง ๆ เป็นต้น ปฏิกิริยา สะท้อนนี้จะหายไปเมื่อทารกอายุประมาณ 6 เดือน เนื่องจากกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เร่ิมพัฒนาสมบูรณ์ แข็งแรงขึ้น โดยการพัฒนาของกล้ามเน้ือจะเริ่มจากศีรษะ ลำตัว แขนขา และนิ้วตามลำดับ สัดส่วนและ ขนาดร่างกายส่วนต่าง ๆ ของทารก ในระยะแรกเกิด จะเป็นลักษณะศีรษะโต กว่าลำตัว เม่ืออายุได้ 1 ปี ศีรษะกับลำตัวจะมีขนาดเท่ากัน จนกระทั่งอายุ 5 ปี ลำตัวจึงจะโตกว่าศีรษะ การทำงานของอวัยวะ ต่าง ๆ จะเริ่มพัฒนาขึ้นเร่ือย ๆ หลงั จากการคลอดออกมา เช่น การทำงานของต่อมเหงอ่ื เพื่อช่วยปรับ อุณหภูมิของร่างกาย ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ได้แก่ การรู้รส การได้กล่ิน การได้ยิน และการเห็น จะ พัฒนาขึ้นจนช่วยให้เดก็ แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้ดีข้ึนเป็นลำดับ ระบบย่อยอาหารพัฒนาดีข้ึน โดยทารกจะ เร่มิ กินอาหารที่มคี วามขน้ และ แขง็ ขึ้นเร่ือย ๆ จนสามารถกนิ อาหารได้เหมอื นผู้ใหญ่ ข. พัฒนาการทางอารมณ์ ในระยะแรกคลอดทารกจะมีอาการตื่นเต้น ไม่แจ่มใส และชื่นบานสลับกันไป ซึ่งแยกได้ลำบาก ต่อมาอารมณ์จะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นตามวุฒิภาวะและการ 8ชาย โพธิสติ า, “ชีวติ และความตายในทัศนะของพทุ ธศาสนา”, <http://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/AnnualConference/ConferenceII/Article/Article05.htm> (สืบค้นขอ้ มลู เมื่อวันที่ 20 สงิ หาคม 2561) 9พฒุ ิวงศ์ บุษบวรรษ, “ชีวิตคืออะไร”, <http://www.polyboon.com/stories/story000084.html> (สืบค้นขอ้ มลู เม่ือวันที่ 20 สิงหาคม 2561)

6 เรียนรอู้ าการทแ่ี สดงออกทางอารมณ์ของทารกวัยน้ี ทำให้เห็นไดว้ า่ ทารกวัยน้อี ารมณ์โกรธ กลัว อจิ ฉา ริษยา อยากรู้อยากเห็น ดีใจ และรัก เช่น การส่งเสียงร้องเมื่อไม่พอใจ การถอยหนีหรือการร้องเม่ือ เห็นคนแปลกหน้า การเรียกร้องความสนใจเม่ือผู้ใหญ่ให้ความสนใจน้องท่ีเกิดใหม่หรือคนอื่น ๆ มากกว่าตนเอง การร้ือคน้ สิง่ ของต่าง ๆ การหัวเราะโอบกอดพอ่ แม่หรอื คนทค่ี ุ้นเคย เป็นตน้ ค. พัฒนาการทางสังคม หลังจากที่ทารกคลอดได้ 2-3 สัปดาห์ จะเร่ิมมีปฏิกิริยา ตอบสนองต่อเสียงท่ีคุ้นหู เช่น เสียงของแม่หรือคนเล้ียง พออายุได้ 6 เดือน ทารกจะเริ่มแยกคนท่ี คนุ้ เคยกับคนท่ีแปลกหน้าได้ การได้รับการเลี้ยงดูท่ีอบอุ่น ค่อยเป็นคอ่ ยไปและได้รบั ความสนุกสนาน ไปดว้ ยจะทำใหม้ ปี ฏิกริ ิยาท่ีดกี ับคนแปลกหน้า ง. พัฒนาการทางสติปัญญา พฒั นาการทางสติปัญญาของทารกมีความสัมพันธ์กับ คุณภาพของประสาทสัมผัสกบั การรับรู้และการเคล่ือนไหว เพราะกลไกเหลา่ นที้ ำให้ทารกสามารถรับรู้ รู้และตอบสนองต่อส่ิงเร้าต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ความสมบูรณ์ของอวัยวะท่เี ก่ียวข้องกับการได้ยิน ทำให้ทารกสามารถเปล่งเสียงได้ถูกต้องและนำไปสู่การพัฒนาการทางการพูด การจดจำและรู้ ความหมายของคำตา่ ง ๆ ไดม้ ากยิง่ ข้นึ วยั ทารกเป็นวัยท่ีเจรญิ เติบโตจนเห็นการเปลี่ยนแปลงไดอ้ ย่างชัดเจน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ทารกจะสามารถปรับตัวเข้ากับบุคคลและสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ได้อย่าง รวดเร็วแต่ทารกยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จึงต้องการการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรัก ความนุ่มนวล อ่อนโยนจากผู้เลี้ยงดูทารกที่ได้รับความรกั ความอบอุ่นเพียงพอ จะเรียนรู้สง่ิ แวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว มี ทัศนคติทดี่ ีตอ่ บุคคลทว่ั ๆ ไป ซ่ึงเปน็ รากฐานท่ีสำคญั ของการมีบุคลิกภาพที่ดีในช่วงวัยต่อ ๆ ไป 2) วยั เดก็ วัยเดก็ ตอนต้นหรือวยั กอ่ นเข้าเรียน ก. พฒั นาการทางร่างกาย วัยนี้อัตราการเจรญิ เติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด สัดส่วน ของร่างกายจะเปล่ยี นจากลักษณะของทารกอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแขนและขาจะยาวออกไป ศรี ษะจะ ได้ขนาดกับลำตัว ไหล่กว้าง มือและเท้าใหญข่ ึ้น โครงกระดกู แขง็ ขึ้น กลา้ มเน้ือเตบิ โตและแข็งแรงข้ึน ในตอนปลายในการเคลอื่ นไหวส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายได้ดีขึน้ เชน่ รจู้ ักกินข้าว แต่งตวั ใส่รองเท้าและ อาบน้ำ หวีผมได้เอง ในระยะ 3-4 ปี จะเริ่มเดินได้อย่างมั่นคง ต่อจากน้ันก็จะสนใจการวิ่ง กระโดด หอ้ ยโหน ในระยะนจี้ ึงสามารถหัดถบี จกั รยานสามลอ้ กระโดดเชือกและการฝึกการรำไดแ้ ลว้ เป็นตน้ ข. พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยนี้มักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดโมโหง่าย โมโหร้ายอย่างไม่มีเหตุผล มักขัดขืนและด้ือรั้นต่อพ่อแมอ่ ยู่เสมอ เม่ือเด็กได้คบค้าสมาคมกับเพ่ือน ๆ อาการดังกลา่ วจะค่อย ๆ หายไป นอกจากนั้นยังข้ึนอยูก่ ับอารมณ์เลี้ยงดูของพอ่ แม่เปน็ สำคัญอีกด้วย เดก็ วัยนี้มกั แสดงอาการโกรธด้วยการร้องไห้ ทุบตสี ิ่งกีดขวาง ท้งิ ตัวลงนอน ถ้ารสู้ ึกตวั ก็จะวง่ิ หนี หลบ ซ่อนตัว เด็กบางคนที่มีน้องใหม่อาจอิจฉาน้องก็จะแสดงออกคล้าย ๆ กับเวลาเด็กโกรธหรืออาจมี พฤติกรรมถอยกลับไปเหมือนตอนยงั เลก็ อยู่ เช่น ปัสสาวะรดทีน่ อน เป็นต้น ลักษณะเด่นอีกอยา่ งของ เด็กวัยนี้ คือ เดก็ มักจะต้ังคำถามเกีย่ วกับสิ่งต่าง ๆ และมีคำถามต่อเน่ืองไปเรื่อย ๆ ซ่ึงเป็นลักษณะที่ แสดงให้เห็นถึงความฉลาดของเด็กวัยน้ี นอกจากน้ีเด็กได้รับการตอบสนองความต้องการอย่าง สม่ำเสมอจะเป็นเด็กอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส หัวเราะและย้ิมง่าย และมักแสดงความรักอย่างเปิดเผย ดว้ ยการโอบกอด

7 ค. พฒั นาการด้านสังคม เด็กวัยนเ้ี รมิ่ รูจ้ ักคบเพื่อนและเล่นกับเพ่ือนได้ดีขน้ึ เด็กเริ่ม ร้จู ักกากรปรบั ตัวใหเ้ ข้ากับเพ่ือน ๆ ซงึ่ จะแสดงออกโดยการให้ความร่วมมือ การยอมรบั ฟัง การแสดง ความเป็นผู้นำ เด็กจะเร่ิมรู้จักการแข่งขันเม่ืออายุประมาณ 4-5 ปี เป็นต้นไป โดยเฉพาะการแข่งขัน ระหวา่ งกลุ่ม เด็กที่มีพี่น้องหลายคนมักจะทะเลาะเบาะแว้งกัน สาเหตุมักมาจาการแย่งของเล่นและ ลักษณะดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไปเมื่อเด็กเติบโตข้ึน ความกล้าแสดงออกทางการคบเพื่อนหรือการ พูดจาของเด็กขึ้นอยู่กบั การเลีย้ งดทู างครอบครัวมาก นั่นคอื ถ้าภายในครอบครวั มคี วามสัมพันธ์ที่ดตี ่อ กัน เด็กมักจะรู้สึกกล้าและมีความม่ันคงในการเข้าสังคมนอกบ้าน เป็นต้น นอกจากน้ัน เด็กวัยน้ียัง ชอบรวมกลุ่มกบั เพศเดียวกนั และมกั เปลี่ยนเพอื่ นเลน่ ไปเรอ่ื ย ๆ ง. พัฒนาการทางสติปัญญา ในวัยนี้เด็กจะรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ เพ่ิมขึ้นมากและเข้าใจ ความหมายของคำเหล่านั้นได้ดี เด็กจะแสดงความฉลาดของตนเองออกมาโดยการพูดโต้ตอบกับผู้ ใกลช้ ดิ ซ่ึงเร่อื งที่พูดกม็ กั จะเป็นเรอ่ื งของตนเองและคนที่เข้าไปเกี่ยวขอ้ งกับตน เด็กวยั นจ้ี ะมคี วามจำดี และในชว่ งปลายวัยถา้ ได้รบั การฝกึ หดั ใหอ้ า่ นและเขียนหนังสอื เด็กกส็ ามารถจะทำไดด้ ีดว้ ย วัยเขา้ เรยี น ก. พัฒนาการทางร่างกาย ในช่วงวยั น้ีอัตราการเจริญเติบโตจะลดน้อยลงเล็กน้อย แต่ยังเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายของเด็กจะขยายออกทางส่วนสูงมากกว่าส่วนกว้าง ลำตัวแบน แขนยาวออก อวัยวะย่อยอาหารและระบบหมุนเวียนของเลือดเจริญเกือบเต็มที่ แต่หัวใจยังเจรญิ ช้า กว่าอวัยวะเหล่าน้ัน มีฟันแท้ข้ึนแทนฟันน้ำนมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฟันหน้ามักขึ้นก่อนฟันกรามโผล่พ้น เหงือกขน้ึ มาเพ่ือเป็นตัวกันให้ฟันหน้าซี่อ่นื ๆ ขึ้นถูกต้องตามตำแหน่งของมนั สมองมีนำ้ หนักสูงสุด มี กระดูกขอ้ มือ 6-7 ช้ิน ยังไม่เจริญเต็มท่ี ลักษณะของตายังไม่เจริญสงู สุด สายตายังเป็นสายตายาวอยู่ การเคลื่อนไหวประสานกันไม่ดีเต็มท่ี เพราะพัฒนาการของกล้ามเน้ือไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อตาของ เด็กหญิงมักจะพัฒนาได้เร็วกว่าเด็กชาย เด็กวัยน้ีมีพลังมากจึงไม่อยู่นิ่ง ชอบทำกิจกรรมและชอบทำ อย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยมีความระมัดระวังมากนัก ทำให้ประสบอุบัติเหตุบ่อย ๆ ต่อมาเม่ือเด็กอายุอยู่ ในช่วง 9-10 ปี การเจริญเติบโตจะมีฟันเข้ียวที่ 1 และเข้ียวท่ี 2 ข้ึน เม่ือเด็กมีอายุ 10 ปีข้ึนไป การ เจรญิ เตบิ โตจะเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งส่วนสูงและน้ำหนัก เดก็ หญิงจะโตกว่าเดก็ ชาย ทั้งด้านร่างกาย และวุฒิภาวะ ประมาณ 1-2 ปี โดยพบว่าเด็กหญิงจะปรากฏลักษณะเพศข้ันที่สองข้ึนเร่ือย ๆ ได้แก่ ตะโพกผายออก ทรวงอกเจริญเติบโตและเปล่ียนแปลงไป จึงมักทำอะไรงุ่มง่าม เก้งก้าง นอกจากน้ี เด็กหญิงจะเริ่มมีประจำเดือนระหว่างอายุประมาณ 11-12 ปี ส่วนเด็กชายไหล่กว้างข้ึน มือและเท้า ใหญ่ข้ึน เริม่ มีการหล่งั อสจุ ิระหว่างอายุ 12-16 ปี ซง่ึ เป็นการแสดงวา่ วุฒิภาวะทางเพศเรม่ิ เจริญเต็มที่ ข. พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์มาก เพราะ เด็กจะปรับตัวจากสภาพแวดล้อมเดิมที่บ้านไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ท่ีโรงเรียน อารมณ์กลัวจะ เปล่ียนไปจากการกลวั ส่ิงท่ีไมม่ ีตัวตน สัตว์ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ มากลวั ส่งิ ที่เกิดขึ้นไดจ้ รงิ เช่น กลัวความอดอยาก กลัวไม่มีเพ่ือน กลัวเรียนไม่ดี เป็นต้น นอกจากนี้ เด็กวัยนี้ยังต้องการเป็นท่ีหนึ่ง หรอื เปน็ คนแรก ต้องการแสดงตนให้เป็นท่ชี ่ืนชมของหมคู่ ณะ เด็กวยั นจี้ ะมีสำนึกว่าการอยู่รว่ มกับคน อ่นื เดอื ดร้อนและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ในชว่ งปลายของวัยนี้ คือชว่ งอายุประมาณ 10-12 ปี เด็ก จะเปลย่ี นวิธีแสดงอารมณ์โกรธจากการต่อสู้เป็นการโต้ตอบด้วยคำพูด สิ่งท่ีเด็กวัยน้ีกลัวมากที่สุดคือ กลัวการไม่เป็นท่ียอมรับของกลุ่ม ไม่ต้องการเด่นหรือด้อยกว่าคนอ่ืน เด็กจะมีการเปล่ียนแปลงทาง

8 ความรู้สึกเร็วและง่าย จนบางคร้ังทำให้รู้สึกขัดแย้งทางอารมณ์ขึ้น ในระยะการเปลี่ยนแปลง ความ กลัวจะคอ่ ยเปลย่ี นเปน็ ความกงั วลในเร่ืองรปู ร่างของตน อยากเปน็ คนแข็งแรงและสวยงาม กงั วลวา่ จะ เกดิ อนั ตรายกบั ตนเองและครอบครัว เป็นตน้ ค. พัฒนาการด้านสังคม เม่ือเด็กเร่ิมต้นไปโรงเรียน อาจมีปัญหาในการคบเพ่ือน บ้าง ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับประสบการณ์ของเด็ก แต่เม่ือได้อยู่ร่วมและเล่นกีฬากับเพ่ือนๆ เด็กจะค่อย ๆ ยอมรับฟังและยอมทำตามความคิดของคนอื่น เด็กชายจะชอบกิจกรรมที่ได้เคล่ือนไหวท้ังตัว ส่วน เด็กหญิงจะชอบกิจกรรมท่ีไม่ค่อยใช้กำลัง ในระยะตอนปลายของวัยน้ี เด็กจะให้ความสำคัญกับกลุ่ม มาก จะรู้จกั เป็นเจ้าของและซ่อื สัตยต์ ่อกลุ่ม เลือกคบเพ่ือนท่ีมีอารมณ์คล้ายคลงึ กันและต้องการเพ่อื น ทีไ่ ว้ใจได้ ชอบเล่นกบั เพอื่ นเป็นหมู่มากกว่าเล่นกับวตั ถุ เด็กชายชอบเล่นกีฬาท่ีใชก้ ล้ามเน้ือและกฬี าท่ี มีกฎเกณฑ์ เด็กหญิงชอบเล่นอยู่กับเพ่ือนสนิท 2-3 คน และเนื่องจากเด็กหญิงมีการเจริญเติบโตเร็ว กว่าเด็กชาย จงึ เริม่ สนใจเพื่อนต่างเพศเร็วกว่า รูจ้ กั แตง่ ตวั มากขนึ้ และสนใจเรอ่ื งราวของเดก็ ชาย ง. พัฒนาการทางสติปัญญา ในระหว่างวัย 7 ปี พฒั นาการทางภาษาของเด็กเจริญ เรว็ ขึ้นรวดเร็ว รู้คำศัพท์เพ่มิ มากขึน้ ใช้ภาษาพูดแสดงความคิดความรูส้ ึกได้อยา่ งดี ความรสู้ กึ ทางดา้ น จริยธรรมเริม่ พัฒนาการในระยะนี้ มีความรับผิดชอบไดบ้ ้างแล้ว เร่ิมสนใจส่ิงถูกสิ่งผิด สนใจเรื่องราว ต่าง ๆ แต่ยังมีมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงความจริงอาจหยิบส่ิงของของผูอ้ ื่นมาโดยไม่ได้ตั้งใจจะขโมยมาก็ ได้ เมื่อพ้นระยะนี้เด็กจะมีประสบการณ์ใหม่เพิ่มขึ้นเน่ืองจากมีสิ่งยั่วยุให้มีกิจกรรมทางสมองหลาย ประการ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ และภาพการ์ตูน เป็นต้น ซ่ึงกลายเป็นสว่ นสำคัญของเด็กวัย 8 ปี เดก็ จะชอบการอา่ นมาก โดยเฉพาะเรื่องเก่ียวกับสัตว์ เร่ืองเด็ก เรื่องการผจญภยั และตลกขบขัน วัยน้ีเข้าใจเร่ืองเวลาดีขน้ึ สามารถเข้าใจความสมั พันธ์ระหว่างเวลากับกิจวัตรประจำวันได้ เช่น รู้เวลา กินอาหาร รู้เวลาโรงเรียนเข้า รู้เวลานอน แต่มีความรับผิดชอบที่จะนอนเองหรือต่ืนเอง เข้าใจการ ประหยัด เช่น เก็บเงินค่าขนมท่ีตนเองอยากได้ ความสนใจของเด็กจะเปล่ียนแปลงไปตามวัยได้ เช่นเดียวกบั ความสามารถดา้ นอื่น ๆ เดก็ วยั น้จี ะสนใจส่ิงแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่มีสีสันสะดดุ ตา สนใจสัตว์ เลี้ยง ภาพระบายสี ในช่วงปลายของเด็กวยั นี้เด็กจะเปลี่ยนความสนใจเป็นเรอื่ งเก่ียวกับการผจญภัย วทิ ยาศาสตร์ เรื่องท่ีเกิดขึ้นจริงและเรื่องของเด็กวัยเดียวกัน พัฒนาการทางสติปัญญาที่เห็นได้ชัดคือ จินตนาการสูงข้ึน เพราะได้รับรากฐานจากการอ่าน มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ คิดท่ีจะทำและ ประดิษฐส์ ่งิ ตา่ ง ๆ ทัง้ ท่ีเป็นงานอดิเรกและกิจกรรมในช้ันเรียน สิ่งสำคัญอีกประการหน่ึงคือเด็กวัยนี้จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ดังนั้น นอกจากบรรยากาศท่ีดีในครอบครัวแล้ว โรงเรียนก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ถ้าเด็กเร่ิมเข้า โรงเรียนด้วยท่าทีหรือทัศนคติทดี่ ี รักโรงเรียน รักครู เด็กก็จะรักการเรียนและมักจะเรียนหนังสือได้ดี พ่อแม่จึงควรสร้างทัศนคติที่ดีต่อโรงเรยี นและครูให้แก่เดก็ ตง้ั แต่กอ่ นพาลูกไปเข้าโรงเรยี นและครกู ็ควร เข้าใจความรู้สึกของเด็กแต่ละคนและจัดบรรยากาศในโรงเรียนให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น มีความ ปลอดภยั มากทส่ี ดุ 3) วยั รุน่ ก. พัฒนาการด้านร่างกาย วัยรุ่นจะมีอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายอยา่ งรวดเร็ว มาก อวัยวะเพศทั้งภายนอกและภายในเจริญเติบโตเกือบเต็มที่แล้ว มีการเจริญเติบโตและพัฒนาเข้าสู่ วุฒิภาวะทางเพศคือมีความพร้อมท่ีจะเป็นพ่อเป็นแม่คนได้แล้ว ท้ังน้ี เพราะต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ผลิต

9 ฮอร์โมนซึ่งทำให้ร่างกายเจริญเติบโต โดยเฉพาะส่วนสูงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ใน ตอนต้น ๆ เด็กหญิงจะมีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กชายและจะเท่ากันเมื่ออายุย่างเข้าช่วงปลาย ๆ ลักษณะ ทางเพศภายนอกปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น คือในเพศหญิงจะมีเต้านมขยายใหญ่ เอวคอดลง สะโพกผาย มีขนที่อวัยวะเพศ มีประจำเดือนครั้งแรก ในเพศชายเสียงห้าวข้ึน ไหล่ขยายกว้าง มีกล้ามเน้ือเป็นมัด ๆ ปรากฏใหเ้ หน็ อณั ฑะสามารถผลิตอสุจไิ ดแ้ ล้ว ข. พัฒนาการทางอารมณ์ วัยรุ่นเป็นช่วงที่มีอารมณ์รุนแรงและแปรเปล่ียนได้ง่าย เช่น ในขณะทม่ี ีอารมณ์ร่าเริงอยู่ จู่ ๆ ก็อาจซึมเศร้าหรือหงุดหงดิ โกรธง่ายเม่ือถูกขัดใจ และมักแสดง อาการก้าวร้าว โดยปกติวัยนี้เป็นวัยที่รา่ เริงและจะทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจด้วยความสุข ถ้า เม่ือใดไม่มีอิสระที่จะทำอะไรได้ตามใจก็มักเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เด็กวัยรุ่น จะมีความคิดเป็นของ ตนเอง และรู้สึกวา่ ตนเองโตเป็นผูใ้ หญ่แล้วจงึ อยากทำอะไรตามความต้องการของตนเอง ทำให้มักเกิด ความขดั แยง้ กบั ผ้อู นื่ ไดบ้ อ่ ย ๆ ค. พัฒนาการทางสังคม ในช่วงวัยรุ่นนี้ เด็กมกั จะชอบแยกตัวอยู่ตามลำพังเมื่ออยู่ ในครอบครวั เพราะตอ้ งการความอิสระสว่ นสงั คมภายนอกเด็กจะมีเพ่ือนท้ังสองเพศและกล่มุ เพอื่ นจะ เลก็ ลง การคบเพ่อื นของวยั รุน่ จะมีเหตุผลมากขึ้น ชอบทำตัวเลียนแบบบคุ คลอ่นื ท่ีตนเองชืน่ ชอบ เช่น การแต่งกายตามอย่างดาราหรือนกั ร้องที่ตนชอบ บางครง้ั ชอบทำตัวแปลก ๆ เพ่อื เรยี กรอ้ งความสนใจ เมอ่ื เข้าสูช่วงปลายของวยั จะเร่ิมต้องการความตวั ของตัวเองมากขน้ึ อิทธิพลของกลุ่มเพื่อนจะน้อยลง รู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเองและเริ่มมีพฤติกรรมท่ีแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เชน่ ด่ืมเหล้า เทย่ี วกลางคนื คบเพือ่ นต่างเพศ เป็นตน้ ง. พัฒนาการทางสติปัญญา วัยรุ่นเป็นวัยท่ีมีความคิดเป็นนามธรรมมากขึ้น รู้จัก สังเกตและปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง ต้องการทำอะไรด้วยตนเองเพื่อหาประสบการณ์ สนใจ เรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ กล้าท่ีจะลองถูกลองผิด จึงทำให้มีการพัฒนาทางด้านสติปัญญากว้างมากข้ึน เพราะ เด็กได้ลงมือทำเอง ได้พบกับปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง และถ้าทำสำเร็จเด็กก็จะรู้สึก ภาคภูมิใจ วัยน้ีเด็กจะมีเหตผุ ลมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแสดงความรู้สึกของตนเองให้ ผู้อ่นื เขา้ ใจ รู้จักสงั เกตความคิดและความรสู้ กึ ของผู้อ่นื ที่มีต่อตนเอง 4) วัยผูใ้ หญ่ วยั ผู้ใหญ่ คือ ช่วงอายุ 20-60 ปี ในชว่ งต้นของวัยจะมพี ัฒนาการทางด้านร่างกาย อย่างเต็มทีแ่ ตใ่ นชว่ งท้ายของวยั หรอื ท่ีเรียกวา่ วยั ทอง รา่ งกาย จะเร่ิมเสื่อมสภาพลง ในวัยผู้ใหญ่ จะ มกี ระบวนการคิดที่ซบั ซ้อนมากข้นึ เร่ิมรู้จกั คดิ ไตรต่ รองมากข้ึน คนในวัยน้ีมีบทบาทหนา้ ที่ของพ่อแม่ ทำให้มีความรับผิดชอบมากข้ึนและเมื่อถึงช่วงท้ายของวัย อาจกังวลกับความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตได้ จนทำให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ วัยผู้ใหญต่ อนตน้ ก. พัฒนาการทางร่างกาย บุคคลในวัยผใู้ หญ่ตอนต้นมีการพัฒนาทางรา่ งกายอยา่ ง เต็มท่ีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ร่างกายสมบูรณ์ มีการพัฒนาความสูงมาจากวัยรุ่นและจะมีความสูง ที่สุดในวยั ผูใ้ หญ่ตอนต้นน้ี รวมท้งั กล้ามเนื้อและเนื้อเย่อื ไขมัน มกี ารพัฒนาอยา่ งเต็มที่เชน่ กัน เมอ่ื เพศ ชายอายุประมาณ 20 ปี ไหล่จะกวา้ ง มีการเพิ่มขนาดของต้นแขนและมีความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ มากขึ้น ในเพศหญิงเต้านมและสะโพกมีการเจริญเต็มท่ี ในวัยน้ีร่างกายจะมีพลัง คล่องแคล่วว่องไว

10 การรับรตู้ ่าง ๆ จะมีความสมบูรณ์เต็มท่ี เช่น สายตา การได้ยิน ความสามารถในการดมกล่ิน การลิ้ม รส จนกระทั่งเข้าสูว่ ัยกลางคนความสามารถตา่ ง ๆ เหล่านี้จะลดลง ข. พัฒนาการด้านอารมณ์ วัยผู้ใหญ่จะมีการควบคุมอารมณ์ได้ดีข้ึน มีความม่ันคง ทางจิตใจดีกวา่ วยั รนุ่ คำนึงถึงความรู้สึกของผ้อู ่ืน รสู้ ึกยอมรับผู้อ่นื ได้ดีขึ้น มีพัฒนาการดา้ นอารมณ์รัก ได้ในหลายรูปแบบ เช่น รักแรกพบ หรือรักแบบโรแมนติก ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นนี้จะมีความรู้สึก แตกต่างจากในวัยรุ่น โดยจะมีความรู้สึกท่ีจะปรารถนาใช้ชีวติ คู่ด้วยกัน มีการใช้กลไกทางจิตชนิดฝัน กลางวัน การเก็บกดนอ้ ยลง แตจ่ ะใชก้ ารตอบสนองดว้ ยเหตผุ ลท้ังกบั ตนเองและผอู้ ืน่ มากขน้ึ ค. พัฒนาการด้านสังคม วัยผู้ใหญ่ตอนต้นอยู่ในข้ันพัฒนาการขั้นท่ี 6 คือความ ใกล้ชิดสนิทสนมหรอื การแยกตัว สังคมของบุคคลวัยนี้คอื เพ่ือนรัก คู่ครอง บุคคลจะพัฒนาความรัก ความผูกพัน แสวงหามิตรภาพที่สนิทสนม หากสามารถสร้างมิตรภาพได้มั่นคง จะเป็นผู้ใหญ่ที่มี ความสัมพันธก์ ันอย่างไว้เน้ือเช่ือใจและนบั ถือซ่ึงกันและกัน ตรงข้ามกบั ผใู้ หญ่ที่ไมส่ ามารถสรา้ งความ สนิทสนมจริงจังกับผู้หน่ึงผู้ใดได้จะมคี วามร้สู ึกอ้างว้างเดยี วดาย หรือเป็นคนที่หลงรกั เฉพาะตนเอง วัย นี้จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเพอื่ นร่วมวัยลดลง จำนวนสมาชิกในกลุม่ เพ่อื นจะลดลง แต่สัมพันธภาพใน เพ่ือนที่ใกล้ชิดหรือเพื่อนรกั ยังคงอยู่และจะมีความผกู พันกันมากกว่าความผูกพันในลักษณะของคู่รัก และพบว่ามักเป็นในเพื่อนเพศเดียวกัน การสัมพนั ธ์กบั บคุ คลในครอบครัวจะเพมิ่ ขนึ้ เนื่องจากเปน็ วัย ทเ่ี ริม่ ใช้ชีวติ ครอบครวั กับคู่ของตนเอง และเกดิ การปรบั ตวั กับบทบาทใหม่ ง. พัฒนาการทางสติปัญญา วัยผู้ใหญ่มีพัฒนาการทางความคิดสติปัญญาอยู่ใน ระดับสูงที่สุดของพัฒนาการ มีความสามารถทางสติปัญญาสมบูรณ์ที่สุดคือคุณภาพของความคิดจะ เป็นระบบ มีความสัมพันธ์กันและมีความคิดรูปแบบนามธรรม ผู้ใหญ่จะมีความคิดเปิดกว้าง ยืดหยุ่น มากขึ้น และรู้จักจดจำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ ทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี และได้มีผู้สำรวจศึกษาหลายคนที่เห็นว่าความคิดของผู้ใหญ่ นอกจากจะเป็นความคิดในการแก้ไข ปัญหาแลว้ ยังมลี กั ษณะของความคดิ สรา้ งสรรค์และค้นหาปัญหาด้วย การปรับตวั กับบทบาทใหม่ (1) ชีวิตการทำงาน เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นบุคคลส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงของ การศึกษาระดับอุดมศึกษา หรือใกล้ท่ีจะสำเร็จการศึกษา จะมีการวางแผนในการเลือกอาชีพ ประกอบอาชีพที่ตนมีความรัก ความพึงพอใจในงาน และการได้พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมกับ ตนเอง ย่อมทำให้ชวี ิตการทำงานมีความสุข มีความพร้อมที่จะปรบั ตัวกับเพื่อนร่วมงาน และพร้อมที่ จะเผชญิ ปญั หาและการแกไ้ ขปัญหาตอ่ ไป (2) ชีวิตคู่ ในวยั รุ่นอาจเริ่มต้นการมีสัมพันธภาพกับเพ่ือนต่างเพศจนพัฒนามาเป็น ความรักในวัยผู้ใหญ่ หรือบางคนเร่ิมต้นมีความสนใจเร่ืองความรักอย่างจริงจัง สร้างสัมพันธภาพกับ คนต่างเพศรูปแบบถาวรในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยมีลักษณะคิดที่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน อยากที่จะ สร้างครอบครัวใหม่ เม่ือบุคคลสองคนตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกันจึงต้องมีการปรับตัวกับบทบาทใหม่ท่ี เกิดข้ึน ได้แก่ บทบาทของการเป็นสามีหรือภรรยา มีความรับผิดชอบในบทบาทใหม่ที่ตนได้รับ โดย การเป็นสามีที่ดี ภรรยาท่ีดี มีความรักความเอาใจใส่ซ่ึงกันและกัน มีความอดทน ร่วมกัน ประคับประคองชีวิตคู่ รวมท้ังให้การดูแลครอบครัวเดิมของแต่ละคน ในระยะแรกของการใช้ชีวิตคู่

11 อาจต้องมีการปรับตัวอย่างมากจนกระทั่งปรับตัวได้ดี ชีวิตคู่ก็จะมีความสุขและจะส่งเสริมให้ชีวิตใน ด้านอน่ื มคี วามสุขดว้ ย (3) บทบาทการเป็นบิดามารดา ผู้ใหญ่ตอนต้นมีความปรารถนาท่ีจะเป็นผู้มี ความสามารถในการปกป้อง ดูแลผู้ที่อ่อนแอกว่า เมื่อมีชีวติ คู่จงึ มีความต้องการที่จะมีบุตรเพื่อทำหน้าท่ี ดังกล่าวประกอบความต้องการท่ีจะมีทายาท เม่ือมีบุตรชีวิตครอบครัวจะต้องมกี ารปรับเปลย่ี นบทบาท อีกครั้งโดยการเพ่ิมเติมบทบาทของการเป็นบิดามารดาโดยเฉพาะในผู้หญิงท่ีเมื่อแต่งงานแล้วแยก ครอบครัวออกจากครอบครัวเดิมของตน หรือการเป็นครอบครัวเด่ียวภายหลังการแต่งงาน การทำงาน นอกบ้านกับการเพ่ิมหน้าที่ของการเป็นมารดาอาจทำให้ประสบกับความยากลำบากในการปรับตัวใน ระยะแรก สามีจึงจำเป็นต้องมีบทบาทในการเป็นผู้ช่วยมารดาในการเลี้ยงดูบุตร การมีบุตรนี้ทำให้ทั้ง สามีและภรรยาไดม้ กี ารเรียนรถู้ งึ ความรกั อีกชนิดหน่งึ คอื ความรักท่มี ีแต่การให้โดยไม่หวังสิง่ ใดตอบแทน (4) ชวี ิตโสด ในสงั คมปัจจบุ นั พบวา่ มคี นจำนวนไมน่ ้อยมคี วามสขุ กับชีวิตโสดซึ่งอาจ มสี าเหตุมาจากการอุทิศเวลาให้กับงาน มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างมาก ไม่ต้องการท่ีจะมีชีวิตคู่ หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการมีชีวิตคู่ คนโสดต้องมีการปรับตัวเช่นกันเนื่องจากกลุ่มเพ่ือนสนิทตั้งแต่ใน วัยรุ่น เพื่อนร่วมงานมักมีครอบครัว คนโสดจึงต้องหาเพื่อนใหม่ท่ีเป็นโสดเช่นเดียวกัน ต้องมีการ ปรบั ตวั กบั เพอ่ื นใหม่ หรือเล้ยี งสัตวเ์ ล้ียงเพื่อเปน็ เพ่ือนและตอบสนองความต้องการที่จะปกปอ้ ง ดแู ลผู้ ท่อี อ่ นแอกว่านนั่ เอง (5) ปัญหาที่พบในวัยนี้คือปัญหาสุขภาพ เนื่องมาจากลักษณะการดำรงชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ การด่ืมเหล้า การรับประทานอาหารไขมันสูง ไม่มีกากใยอาหาร วิธีการจัดการกับ ความเครียดที่ไม่เหมาะสมและการตัดสินปัญหาด้วยการใช้อาวุธ สิ่งเหล่านี้บั่นทอนสุขภาพเป็นอย่าง มาก และนำไปสู่โรคทเ่ี กิดจากพฤตกิ รรมสุขภาพ เช่น โรคถุงลมโปง่ พอง โรคกลา้ มเน้ือหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็ง รวมทั้งการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ การใช้อาวุธปืน เป็นต้น ประกอบกับในวัยนี้มีการปรับ บทบาทใหม่อย่างมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเป็นปัญหาท่ีเกิดจากการไม่สามารถปรับเข้าสู่บทบาทใหม่ เช่น มีปัญหาในการทำงาน มีปัญหากับเพ่ือนร่วมงาน การเปลี่ยนงาน การผิดหวังในความรัก การ ส้ินสุดการหมั้น การสมรส ความผดิ หวงั จากการแท้งบตุ ร ความผิดหวงั เกีย่ วกับเพศของบตุ ร เปน็ ตน้ วัยกลางคน วัยกลางคน คือช่วงอายุ 40 - 60 ปี เป็นช่วงระยะเวลาท่ียาวนาน ในการกำหนด บคุ คลเข้าสู่วัยกลางคนนั้น มักจะพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดข้ึนในช่วงอายุเหล่านี้มากกว่าจะพิจารณา จากอายปุ กตจิ ริง ๆ ก. พัฒนาการทางร่างกาย ในวยั กลางคนน้ี ทง้ั เพศชายและเพศหญงิ ร่างกายจะเริ่ม มีความเสอื่ มถอยในเกอื บทกุ ระบบของรา่ งกาย ผิวหนังจะเรม่ิ เห่ียวยน่ หยาบ ไมเ่ ตง่ ตึง ผมเร่ิมรว่ งและ มสี ีขาว น้ำหนักตัวเพ่ิมข้ึนจากการสะสมไขมันใต้ผวิ หนังมากขึ้น ระบบสัมผัส ได้แก่ ความสามารถใน การมองเห็นเปล่ียนแปลงส่วนใหญ่สายตาจะยาวขึ้น บางคนจะมีอาการหูตึงเนื่องจากความเสือ่ มของ เซลล์ การลิ้มรสและการได้กลิ่นเปลยี่ นแปลงไป อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ผนังเส้นเลือด หัวใจ ปอด ไต และสมอง มีความเสอ่ื มลงเช่นกัน ข. พฒั นาการทางอารมณ์ ในบุคคลท่ีประสบกับความสำเร็จในชีวติ การทำงานจะมี อารมณ์มั่นคง รจู้ ักการให้อภัย ไม่เหน็ แก่ประโยชน์ส่วนตน มีความพึงพอใจในชีวิตท่ีผ่านมา ลักษณะ

12 บุคลกิ ภาพค่อนขา้ งคงที่ บางคนจะมีอารมณเ์ ศรา้ จากการที่บุตรเริ่มมคี รอบครัวใหม่ การสญู เสียบุคคล อนั เปน็ ทีร่ กั เชน่ บิดา มารดา หรือคสู่ มรส หรอื ผดิ หวังจากบุตร เปน็ ต้น ค. พัฒนาการทางสังคม วัยกลางคนอยู่ในขั้นพัฒนาการข้ันท่ี 7 คือการบำรุง ส่งเสริมผู้อนื่ หรอื การพะวงเฉพาะตน บคุ คลทีม่ ีพัฒนาการอยา่ งสมบูรณใ์ นวัยนี้ จะแบ่งปัน เผือ่ แผ่ เอ้ือ อาทรตอ่ บุคคลอ่ืน ๆ โดยเฉพาะกบั บุคคลท่ีเยาว์วัยกว่า สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ก่อให้เกดิ ความปลาบ ปลื้มใจ เห็นคณุ ค่าของตนเอง สงั คมของบุคคลในวัยกลางคนส่วนใหญค่ ือทท่ี ำงานและบ้าน กลมุ่ เพอ่ื น ทสี่ ำคญั ได้แก่ เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนบา้ นใกลเ้ คียง ความสัมพันธใ์ นครอบครัวเป็นในลักษณะเฝ้าดู ความสำเร็จในการศึกษา และความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงานของบุตร ในบุคคลท่ีเป็นโสดกลุ่ม เพอ่ื นทีส่ ำคัญคือเพ่ือนสนทิ ที่ผูกพนั ตงั้ แตใ่ นวัยรุน่ หรือวัยผู้ใหญต่ อนตน้ ระยะปลายของวัยนี้ ส่วนใหญ่ เข้าสู่วัยใกล้เกษียณอายุการทำงาน บางคนสามารถปรับตัวได้ดี บางคนไม่สามารถปรับตัวได้ รู้สึก ทอ้ แท้ รู้สึกตัวเองด้อยคุณคา่ อาจมอี าการซมึ เศรา้ ง. พัฒนาการทางสติปัญญา ในระยะวัยกลางคนนี้จะมีพัฒนาการทางสติปัญญา ใกล้เคียงกับในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีความคิดเป็นเหตุผล รู้จักคิดแบบประสานข้อขัดแย้งและความ แตกต่าง จะสามารถรบั รสู้ ่ิงท่เี ปน็ ข้อขัดแย้งต่าง ๆ ได้อยา่ งรวดเร็ว มีความอดทนและมคี วามสามารถ ในการจัดการกับข้อขัดแย้งนั้น ๆ ดังน้ันจึงมีความเข้าใจเร่ืองการเมือง เล่นการเมือง รู้จักจัดการกับ ระบบระเบยี บของสงั คมและรู้จักจดั การกับเรือ่ งความสมั พันธร์ ะหว่างบุคคลอยา่ งมวี ฒุ ภิ าวะ การปรับตัวกับการเปลย่ี นแปลง (1) วิกฤติชีวิตครอบครัว ปัญหาการหย่าร้าง เมื่อเกิดวิกฤติชีวิตครอบครัวและไม่ สามารถแก้ปัญหาได้มักจะมีการหย่าร้างตามมา การหย่าร้างเป็นภาวะเครียดระดับสูงมาก และเป็น เรื่องของความสูญเสียอย่างรุนแรงถึงขั้นเป็นภาวะวิกฤตทางอารมณ์ ในครอบครัวที่ไม่มีบุตรปัญหา จากการหย่าร้างอาจไม่เกิดขึ้นเลย หรือเกิดขึ้นน้อยมากอาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับการเงนิ การหย่าร้าง ของครอบครัวที่มีบุตรมักจะพบปัญหาผทู้ ่ีจะดูแลบุตรต่อไป บตุ รอาจเปน็ ทีต่ ้องการของทั้งบิดามารดา กรณนี ้จี ะมกี ารตกลงกนั ไม่ได้เน่อื งจากความตอ้ งการทจ่ี ะเลีย้ งดบู ุตรของทั้งบิดามารดา บุตรที่บิดาและ มารดาไม่ตอ้ งการจะมีปญั หาตกลงกนั ไม่ไดเ้ ชน่ กัน สำหรับบุตรท่เี ป็นทต่ี ้องการของฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงจะ สามารถตกลงกันได้ อย่างไรก็ตามปญั หาท่ีเกิดข้นึ คือความรู้สึกของเด็กที่บดิ ามารดาแยกจากกัน การมี ครอบครัวใหม่ที่ขาดบิดาหรือมารดา และอาจเป็นครอบครัวใหม่ที่มีบุคคลอ่ืนทำหน้าที่บทบาทแทน บดิ าหรอื มารดาของตน จะสง่ ผลกระทบต่อจิตใจของเด็กอย่างมาก (2) วัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนจะมีการเปลี่ยนแปลง ทางด้านรา่ งกายอันเน่ืองมาจากการเปลยี่ นแปลงของระดบั ของฮอร์โมนในรา่ งกาย อาการทีพ่ บไดบ้ อ่ ย คือผิวหนังบริเวณลำตัวและใบหน้าแดง ปวดศีรษะ เนือ่ งมาจากเสน้ เลอื ดทผี่ ิวหนังขยายตัว อ่อนเพลีย เจบ็ ตามข้อต่าง ๆ หัวใจเต้นแรง เป็นต้น และอาจมีสาเหตุจากความวิตกกงั วลเรื่องกลัวสามีจะทอดท้ิง ไม่มีความสุขทางเพศ จึงพบว่ามีการเปล่ียนแปลงทางอารมณ์ร่วมด้วย ท่ีพบได้บ่อยคือโรคเศรา้ ในวัย ต่อ มอี าการเจา้ อารมณ์ อารมณเ์ ปลี่ยนแปลงงา่ ย หงุดหงดิ ตื่นเตน้ ตกใจงา่ ย (3) วยั เปล่ียนชีวิตในเพศชาย เม่ืออายปุ ระมาณ 45 - 50 ปี จะมีอาการเชน่ เดียวกับ ผู้หญิง เช่น รู้สึกหงุดหงิด โกรธง่าย ฉุนเฉียว คิดเล็กคิดน้อย เนื่องจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลด จำนวนลง ทำใหส้ มรรถภาพทางเพศของชายค่อย ๆ ลดลงด้วย ส่งผลให้มีความกลัวว่าตนเองกำลังจะ

13 หมดสมรรถภาพทางเพศ กลัวความสามารถทางเพศจะลดลง เกดิ เป็นความกังวลเก่ียวกับตนเอง เช่น อ้วน หน้าท้องใหญ่ ผมบางลง เหน่ือยง่าย หมดแรงเร็ว ปวดเม่ือยกล้ามเน้ือ เป็นต้น บางรายจะ สามารถปรับตัวและยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงได้ ในบางรายจะแสวงหายาต่าง ๆ เช่น ไวอะกร้า เพื่อให้เพิ่มความมั่นใจใหก้ ับตนเอง (4) การเตรียมตัวเป็นผู้สูงอายุ เม่ือเข้าสู่ในระยะปลายของวัยกลางคน ใกล้ เกษียณอายกุ ารทำงาน บุคคลจะเร่ิมเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ในบางคนแม้อายุตามปีปฏิทินจะเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ แล้ว แต่ด้วยการดูแลร่างกายท่ีดีมาตั้งแต่ในวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ตอนต้น และวัยกลางคน จะทำให้การ เปลยี่ นแปลงดา้ นความเสื่อมของร่างกายปรากฏให้เห็นน้อยมาก หรือล่าช้าออกไปอีกหลายปี ด้านจิตใจ ก็เช่นกัน บางคนยังดูกระฉับกระเฉง สดช่ืนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมตัวทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจเพ่ือเข้าสูว่ ัยผสู้ งู อายุอย่างมีคุณภาพตอ่ ไป การเตรียมตวั เป็นผ้สู ูงอายุ ควรปฏิบตั ติ นดังนี้ (4.1) สุขภาพกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมกับภาวะสุขภาพ และ เหมาะสมกับภาวะการมโี รคประจำตัว เชน่ โยคะ การวิ่งเหยาะ ฯลฯ การออกกำลงั กายเป็นประจำอยู่ เสมอจะทำให้กล้ามเนอื้ มีการทำงานยดื หยุน่ ตวั อยเู่ สมอ กล้ามเน้ือหวั ใจแข็งแรงขึ้น ถ้าไม่ได้ออกกำลัง กายทำให้กลา้ มเนื้อลีบ เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ การพักผ่อนอย่างเต็มท่ีและมีคุณภาพคอื การ นอนหลับอย่างเพียงพอ เหมาะสมกบั ความต้องการของรา่ งกาย เฝ้าระวังปัญหาสขุ ภาพหรือเอาใจใส่ สังเกตอาการผิดปกตขิ องโรคประจำตัวปฏบิ ัตติ ามคำแนะนำของแพทย์ (4.2) สุขภาพจิต มีความเข้าใจและมีการเตรียมจิตใจเพ่ือยอมรับความ เปลยี่ นแปลงที่จะเกิดข้ึนในชีวติ มกี ารเตรียมเรอ่ื งการเงนิ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เรอ่ื งที่อยู่อาศัย และการใช้ ชวี ิตตอ่ ไปในวัยผู้สงู อายุ รู้จักการทำจติ ใจใหเ้ ป็นสุข ปล่อยวางในเรอื่ งที่ตนเองไมส่ ามารถจัดการได้อีก ต่อไป เช่น การดำเนินชีวิตของบุตรหลาน เข้าร่วมกิจกรรมของการเตรียมพร้อมในการเข้าสู่วัย ผู้สูงอายุต่าง ๆ เชน่ เข้าฟังบรรยายพิเศษเร่ือง การเตรียมตัวเขา้ สู่วัยเกษียณอายุ เข้าร่วมโครงการวัย ทอง เป็นต้น 5) วยั สูงอายุ ก. การเปล่ียนแปลงทางด้านร่างกาย เซลล์ต่าง ๆ เร่ิมตายและมีเซลล์ใหม่เกิด ทดแทนได้น้อยและเช่ืองช้า รา่ งกายสึกหรอ บคุ ลกิ ภาพเสยี เช่น หลงั โกง ผมหงอก ฟันหลุดร่วง ตาฝ้า ฟาง หูตึง ผิวหนังเหี่ยวย่น กล้ามเน้ือหย่อนยาน บางรายมือเท้าสั่น การทรงตัวไม่ดี ถ้ามีการเจ็บป่วย จะรักษาลำบากกว่าวัยอ่ืน แม้หายจากโรคแลว้ ถึงจะบำรุงอยา่ งไร ก็เจริญได้ไม่เหมือนเดมิ ข. การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นอารมณ์ บคุ คลวยั น้ีมกั จะชอบบ่น อารมณ์ไมค่ งท่ี โกรธ ง่าย แต่บางรายใจดี ทัง้ นีข้ ึน้ อยกู่ บั สิ่งแวดล้อม สังคม และประสบการณ์ท่ผี า่ นมา และขึ้นอยู่กับสภาพ เศรษฐกิจในครอบครัวด้วย ความพอใจของคนวัยชราเป็นจำนวนมากเกิดจากมิตรภาพและการได้มี โอกาสช่วยเหลือ การบรจิ าคเงนิ เพอื่ สาธารณะกุศลต่าง ๆ ค. การเปล่ียนแปลงทางด้านสังคม บุคคลวัยนี้ส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องวัด ธรรมะ การ ทำบุญ บางรายสละเพศเข้าสู่บรรพชิตอีกคร้ัง อย่างไรก็ตาม บางรายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจบังคับให้ ไม่สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้ ต้องหาเล้ียงชีพหรือได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กเล็ก ๆ จึง กลายเปน็ ท่ีพึ่งและเพื่อนเล่นของลูกหลาน มคี วามสขุ และเพลิดเพลินไปกับลูกหลานตวั เล็ก ๆ

14 ง. พัฒนาการทางด้านสตปิ ัญญา บุคคลวัยน้ีมักจะมีความคิดอ่านท่ดี ี สุขมุ รอบคอบ แต่ขาดความคิดริเร่ิม มักยึดถือหลักเกณฑ์ที่ตนเองเช่ือ หลงลืมง่าย ความจำเลอะเลือน ทำให้ ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เปน็ ไปได้ยากมากวยั ชราเป็นวยั ท่สี ่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายค่อย ๆ เส่อื มลงไปตามเวลา สมองเรม่ิ เส่ือมโทรมอวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ กล้ามเน้ือ ออ่ นเหลวและถูกแทนที่ด้วยไขมัน ความแขง็ แรง กำลังวังชาลดน้อยถอยลง แต่ในด้านความสามารถ ทางด้านจิตใจอาจจะมีการพัฒนาข้ึนเรื่อย ๆ เช่น มีความสขุ ุม รอบคอบขึ้น จิตใจเยอื กเยน็ ดังนั้น ถ้า หากลูกหลานเข้าใจถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนวัยชรา และปฏบิ ัตติ ่อคนชราอย่างเหมาะสม ก็จะช่วย ให้คนชรารู้สึกว่าตนเองยังมีคณุ ค่าอยแู่ ละผลท่ีจะคืนกลับสู่ลูกหลานคอื การมีที่พ่ึงทางใจที่อบอุ่นและ จริงใจ สำหรับคนวัยชราเองก็ควรจะศึกษาหาแนวทางปฏิบัติให้เหมาะสมกับวัยชราของตนเอง เช่น การหากิจกรรมท่ีสอดคลอ้ งกับชวี ติ บางรายส่ิงแวดล้อม10 ปจั จยั ทีม่ ผี ลต่อการเจริญเตบิ โตและพัฒนาการของมนุษย์ การเจริญเติบโตและพัฒนาการถือว่าเปน็ สิ่งที่ควบค่กู บั วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษยซ์ ึ่ง มีอิทธิพลมาจากพันธุกรรม หรือเชื้อชาติ อันเป็นลักษณะติดตัวมาแต่กำเนิด และอิทธิพลท่ีมาจาก สิ่งแวดล้อม เช่น ส่ิงแวดลอ้ มทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ภาวะโภชนาการ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในครอบครัว ฯลฯ การเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของแต่ละช่วงวัยถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อ รูปแบบของวิถีการดำเนินชีวิตในอนาคต ซึ่งพบว่ามีปัจจัยต่าง ๆ หลายประการท่ีส่งผลต่อการ เจรญิ เติบโตและพัฒนาการของทกุ ช่วงวัย ได้แก่ พันธุกรรม เช้ือชาติ ภาวะโภชนาการ ความสัมพันธ์ ของบุคคลในครอบครัว ระดับเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว ขนบธรรมเนียมประเพณี และ วฒั นธรรม สภาพแวดล้อมทางอารมณ์ การเจ็บปว่ ย และฤดกู าล การเจริญเติบโตและพัฒนาการ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ือง ตลอดชีวิตของคนเรา ซึ่งเป็นการเปล่ียนแปลงในด้านของโครงสร้าง ความสามารถ ทักษะในการทำ หน้าท่ีท้ังในส่วนของร่างกายและจิตใจ ตลอดจนการปฏิสมั พันธ์กับบุคคลอ่ืน ๆ รอบข้าง โดยจะเกิดขึ้น อย่างต่อเนื่องเป็นขั้น ๆ จากระยะหน่ึงไปสู่อีกระยะหน่ึง มีการเพิ่มขึ้นของขนาด มีลักษณะใหม่ ๆ เกิดข้นึ ในขณะเดยี วกันมีการพฒั นาความสามารถทางความคิดท่ีจะแกป้ ัญหาต่าง ๆ ไดด้ ีขึ้น นอกจากน้ี ยังพบว่าพัฒนาการยังรวมไปถึงการสร้างสัมพันธภาพกบั บุคคลอ่ืนด้วย แต่ ในขณะ เดยี วกนั พัฒนาการเอง กม็ ีความหมายรวมถงึ การเปลี่ยนแปลงในลักษณะเส่ือมถอยได้เชน่ กัน ปจั จยั ภายในทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ การเจริญเตบิ โตและพัฒนาการของมนษุ ย์ 1) พนั ธุกรรม หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะตา่ ง ๆ จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน เป็น การสืบเนื่องลักษณะต่าง ๆ ท่ีเป็นลักษณะประจำตัว ทำให้มนุษย์มีลักษณะบางอย่างท่ีแตกต่างกัน ออกไปพันธุกรรมจึงเป็นเครื่องกำหนดขอบเขตลักษณะและความสามารถของบุคคลได้ ซ่ึงโดยท่ัวไป แล้วลกั ษณะการถา่ ยทอดทางพันธุกรรมแบง่ ออกเป็น 2 ทาง คอื 10<https://sites.google.com/site/ann5481136701/bth-thi2phathnakar-khxng- mnusy-tam-way/2-1kar-ceriy-teibto-laea-phathnakar-khxng-mnusy-ni-way-tang> (สืบค้น ข้อมลู เม่ือวันท่ี 20 สิงหาคม 2561)

15 1.1) ลักษณะทางกาย ได้แก่ สัดส่วนของร่างกาย รูปลักษณะทางกาย กลุ่มเลือด เพศ ความผิดปกติและโรคที่ถ่ายทอดทางพันธกุ รรม 1.2) ลักษณะทางสติปัญญา การถ่ายทอดพันธุกรรมด้านสตปิ ัญญาหรือความสามารถ ของสมองนั้น เชื่อว่ามีเกิดข้ึนได้ โดยพบวา่ เด็กท่ีเกิดในตระกูลที่มรี ะดับสติปัญญาตำ่ จะมีเชาวน์ปัญญา ต่ำไปด้วย แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะพบว่าอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม การกระตุ้น และการเพิ่มโอกาสในการ เรยี นรู้ของเดก็ ในกลมุ่ ทด่ี อ้ ยโอกาส ทำใหเ้ กิดพฒั นาการทางดา้ นสติปัญญาเพ่ิมมากขนึ้ ไดเ้ ช่นกัน 2) พื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจ อารมณ์น้ันเป็นผลเนื่องมาจากพันธุกรรมและปัจจัย แวดล้อมภายนอกประกอบกับในบุคคลท่ีมพี ้ืนฐานทางอารมณ์ที่ม่ันคง จะทำให้มีพัฒนาการทางด้าน ต่าง ๆ ได้ดีข้ึน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสังคม บุคลิกภาพ ทางด้านจิตวิญญาณ รวมถึงทางด้านร่างกาย ดว้ ย พบว่ามารดาท่ีมกี ารฟังเพลงเบา ๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ จะทำให้บตุ รที่เกิดมามีอารมณ์ดี และมี พฒั นาการทางด้านต่าง ๆ ทเ่ี ป็นไปด้วยดี ปจั จยั ภายนอกที่มีอิทธิพลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของมนษุ ย์ 1) สภาพแวดล้อมทางสังคม เป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและ พัฒนาการของมนุษย์ในทุกด้าน โดยท่ีสภาพแวดล้อมทางสังคมน้ันรวมถึงวัฒนธรรม และ ขนบธรรมเนยี มประเพณีตลอดจนวถิ ีชวี ติ ท่ีบคุ คลต้องเผชิญอยูด่ ้วย หากบคุ คลท่ีตอ้ งอยู่ในสภาพสงั คม ทไ่ี มเ่ หมาะสม เช่น อยู่ในสงั คมแออดั หรอื อยู่ในครอบครัวท่แี ตกแยก ก็ย่อมท่จี ะทำให้การเจริญเตบิ โต และพฒั นาการทางด้านตา่ ง ๆ ไมส่ ามารถดำเนินไปตามขนั้ ตอนท่ีควรจะเปน็ ได้ 2) การอบรมเลี้ยงดขู องผู้ปกครอง สัมพนั ธภาพภายในครอบครวั เป็นสิ่งท่ีมคี วามสำคัญ อย่างมากต่อพัฒนาการของมนุษย์ โดยเฉพาะในวัยแห่งการค้นหา คือ วัยทารก วัยเด็ก รวมถึงวัยรุ่น ครอบครัวที่มกี ารอบรมเล้ียงดูอย่างดี มีความเข้าอกเข้าใจในตัวเด็ก ก็จะทำให้เดก็ สามารถท่ีจะเติบโต เปน็ ผูใ้ หญท่ ่ีมีความพรอ้ ม และมีวฒุ ิภาวะท่ีเหมาะสมในการดำรงชีวติ ตอ่ ไป ในปัจจบุ ันสภาพแวดล้อม ทางสังคมเกดิ การเปลย่ี นแปลงมาก จงึ จำเป็นอยา่ งยง่ิ ท่คี รอบครัวจะตอ้ งมบี ทบาทมากขึน้ ในการอบรม เล้ียงดูและสร้างความเข้าใจ ตลอดจนรู้เท่าทันความเปลย่ี นแปลงทางสังคม เพ่ือปอ้ งกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกดิ ขนึ้ เชน่ ปัญหาการมัว่ อบายมุขของวยั รนุ่ ปัญหาการมเี พศสมั พันธก์ ่อนวัยอันควร เปน็ ต้น 3) อาหารท่ีบริโภค ในปัจจุบัน พบว่า เรื่องของโภชนาการมีความสำคัญต่อการ เจริญเติบโต และพัฒนาการอยา่ งมาก โดยเฉพาะในด้านร่างกาย ซึง่ แตเ่ ดมิ มคี วามเชือ่ ว่าพันธุกรรมจะ เป็นตัวกำหนดว่ามนุษย์จะมีการเจริญเติบโตเป็นอย่างไรเป็นหลัก หากแต่ในปัจจุบัน พบว่า การมี ภาวะโภชนาการที่ดี มีการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมแก่ความต้องการของร่างกาย จะทำให้ มนุษยม์ ีการเจริญเตบิ โตมากขน้ึ ได้ เช่น ชาวญ่ีปุ่น ซ่ึงในยคุ สงครามโลกคร้งั ที่ 2 ตัวเลก็ กวา่ คนไทย แต่ ในปัจจุบันสูงใหญ่กว่าคนไทยมาก เนื่องจากมีการปรับปรุงรูปแบบของอาหารท่ีบริโภค เน้นภาวะ โภชนาการท่เี หมาะสม เปน็ ตน้ 4) การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ เป็นภาวะท่ีเป็นตัวขัดขวางทำให้การเจริญเติบโตและ พัฒนาการต่าง ๆ เกิดการหยุดชะงัก ทั้งในลักษณะช่ัวคราวหรือถาวร การเจ็บป่วยหรือการเกิด อุบัติเหตุ อาจทำให้เกิดความพิการทางร่างกาย ซ่ึงจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ป่วย และส่งผล กระทบต่อสังคมรอบข้างด้วยผลกระทบเหล่านี้จะกระทบเป็นลูกโซ่ จนในท่ีสุดจะส่งผลต่อการ

16 เจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ดังน้ันบุคคลท่ีควรมีความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพของ ตนเองไม่ใหเ้ จบ็ ป่วย และไม่ประมาทจนเปน็ สาเหตทุ จ่ี ะทำใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หตไุ ด้11 จากแนวคิดดังกล่าวมาแล้วนี้ จึงสรุปได้ว่า พัฒนาการของชีวิตมนุษย์มีการเปล่ียนแปลงมา ตามลำดับตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุ ซ่ึงมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยอาศัยปัจจัยท้ังภายใน ได้แก่ พันธุกรรมและพ้ืนฐานทางอารมณ์ จิตใจ และปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางสังคม การอบรมเล้ียงดูของผู้ปกครอง อาหาร การเจ็บป่วยหรอื อุบตั ิเหตุ 1.2 การวางแผน 1.2.1 ความหมายของการวางแผน การวางแผนคอื การท่ีผู้บริหารต้องตดั สนิ ใจลว่ งหน้าวา่ จะทำอย่างไร กำหนดเป้าหมาย ระยะส้นั และระยะยาวของหนว่ ยงาน และการวางกรอบแนวทางในการกระทำดงั กลา่ วน้ี ผบู้ ริหารตอ้ ง พยากรณ์เหตกุ ารณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตพจิ ารณาถงึ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกจิ สังคมและการเมือง เช่น แผนงานที่วางไว้เพื่อภาวะเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองไม่อาจนำไปใช้ได้ในทางปฏิบัติในภาวะเศรษฐกิจท่ี ตกตำ่ ซึ่งนกั วิชาการได้กล่าวถึงการวางแผนไว้ดังนี้ รูสเซลล์ แอล. อโครฟฟ์ (Russell L. Ackoff) ได้กล่าวว่า การวางแผน คือ การ กำหนดรูปแบบของอนาคตตามทตี่ ้องการพร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏบิ ตั ิ เพ่อื ให้บรรลวุ ัตถุประสงค1์ 2 คูนท์ซ์ และ คนอื่น ๆ (Koontz and others) ได้กล่าวว่า การวางแผนเป็นการ พจิ ารณาและกำหนดแนวทางปฏบิ ัติงานให้บรรลุเป้าหมายท่ีปรารถนา เปรียบเสมือนสะพานเชอ่ื มโยง ระหว่างปัจจุบันกับอนาคต เป็นการคาดการณ์ส่ิงท่ียังไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น การวางแผนจึงเป็น กระบวนการทางสติปัญญาที่พิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติงาน มีรากฐานการตัดสินใจตาม วัตถุประสงค์ ความรู้และการคาดคะเนอย่างใชด้ ุลพนิ ิจ13 จอร์จ อาร์. เทอร์รี (Ceorge R. Terry) ได้กล่าวว่า การท่ีจะดำเนินงานให้ประสบ ผลสำเร็จตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก่อนการดำเนินงานจะต้องมีการวางแผนอย่าง เหมาะสมเสยี ก่อน ซ่ึงหมายความวา่ ควรใช้กำลังปัญญาก่อนท่ีจะใช้กำลังกายลงมือปฏิบัติงานนั้นเอง ความสำคัญของการวางแผน อาจสรุปไดด้ งั นี้ 1) การวางแผนมีความสำคัญเท่ากบั การทำ 2) การวางแผนอาจชว่ ยใหผ้ บู้ ริหารพน้ จากความลม้ เหลว 11<https://sites.google.com/site/ann5481136701/bth-thi2phathnakar-khxng- mnusy-tam-way/2-2paccay-thi-mi-phl-tx-kar-ceriy-teibto-laea-phathnakar-khxng- mnusy> (สบื คน้ ขอ้ มลู เมอื่ วนั ที่ 20 สงิ หาคม 2561) 12พรรณี ประเสริฐวงษ์ และวีรนารถ มานะกิจ, การจัดหน่วยงานและการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยรามคำแหง, 2533), หนา้ 37. 13พยอม วงศ์สารศรี, หน่วยงานและการจัดการ, (กรงุ เทพฯมหานคร : สำนักพมิ พ์สุภา, 2537), หนา้ 64.

17 3) การวางแผนช่วยให้ผู้บริการมีความหวังที่จะได้ผลงานท่ีถูกต้องและใกล้เคียงกับ แผนการทว่ี างไว้ 4) การวางแผนทำใหเ้ กดิ ความเชื่อมโยง 5) การวางแผนไม่เพยี งแต่เป็นการหาคำตอบให้แกป่ ัญหาแต่ละปญั หาแตย่ ังเปน็ วิธีการ หรอื แนวทางใหม่สำหรับดำเนนิ การดว้ ย 6) การวางแผนชว่ ยให้การดำเนนิ งานเปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ 7) การวางแผนชว่ ยลดตน้ ทุกการปฏบิ ตั ิงาน14 ธงชัย สันติวงษ์ ได้กล่าวว่า การวางแผน คือ การเชื่อมโยงตัวเราจากท่ีเป็นอยู่ใน ปัจจุบันไปสู่จุดหมายท่ีต้องการจะไปถึง การวางแผนจึงเป็นกระบวนการคิดวิเคราะห์ เพ่ือพิจารณา วัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยมีการคาดคะเนปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดข้ึนและทำการพัฒนาหาวิธีการ แก้ไขเอาไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้โดยจะต้องมีการคิดพิจารณารายละเอยี ดส่ิงที่ต้องทำว่า ต้องทำอะไร เมื่อไร พร้อมกับระบุผลสำเร็จต่าง ๆ ท่ีต้องการจะนำกิจการมุ่งไปสู่วัตถุประสงค์ตามท่ีได้ตั้งเอาไว้ การ วางแผนจึงเปรียบเสมือนเป็นการจัดทำพิมพ์เขียวหรือคล้ายแผนท่ีนำทางท่ีหน่วยงานจะนำมาใช้เพื่อ กา้ วไปข้างหน้า และไดก้ ลา่ วถงึ ความสำคัญของการวางแผนไว้ 5 ประการ คือ 1) การวางแผนช่วยให้สามารถระบุเป้าหมายผลสำเร็จ หรือผลงานท่ีต้องการออก มาได้ อย่างชัดเจน น่ันคือ การระบุผลงานท่ีวัดด้วยตัวเกณฑ์ต่าง ๆ จะสามารถกำหนดขึ้นมาได้ พร้อมกับ แผนงานและกำหนดเวลาการทำงานตามแผน ซึ่งจะช่วยใหผ้ ู้บริหารและหัวหน้างานทุกระดับทราบถึงส่ิง ทีต่ ้องการทำให้สำเร็จลลุ ่วงไป ทเ่ี ปน็ ผลงานรวมของหน่วยงานและผลงานยอ่ ย ๆ ของแผนกต่าง ๆ ดว้ ย 2) การวางแผนช่วยในการกำหนด และระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องทำโดยการ แบ่งแยกให้ชัดเจนว่าใครรับผิดชอบต้องทำอะไร ด้วยเหตุผลใด และต้องทำเมื่อไร ซ่ึงจะช่วยให้ สามารถเช่อื มโยงและรวบรวมกจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่กี ระทำโดยหลาย ๆ ฝา่ ยใหเ้ ข้ากนั ไดใ้ นเวลาเดียวกนั ก็ สามารถหลกี เลยี่ งปญั หาการทำงานท่ีซ้ำซอ้ นกนั หรือการเกีย่ งงานกนั ใหห้ มดสิ้นไป 3) การวางแผนช่วยให้กิจการสามารถมีนโยบายท่ีชัดเจน ท่ีจะนำมาใช้เป็นเครอ่ื งชี้นำ และประสานการทำงานของบคุ คลฝา่ ยต่าง ๆ ซ่ึงต่างฝ่ายต่างกแ็ ยกกันรบั ผิดชอบทำการตัดสินใจแกไ้ ข ปัญหาในหนา้ ทีง่ านของตน 4) การวางแผนช่วยให้มีการคาดคะเนปัญหาท่ีอาจเกิดข้ึนล่วงหน้า และทำการป้องกัน หรือแก้ไขก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้น และยังสามารถระดมและประสานทรัพยากรและกิจกรรมท่ี จำเป็นต่างๆ ท้ังทางด้านบุคลากร เคร่ืองจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบ ให้มีความพร้อมเพื่อเตรียมไว้รับกับ ปญั หา รวมทั้งยงั สามารถมอบหมายให้มีการดำเนนิ การให้ลุลว่ งไปตามเวลาที่กำหนดด้วย 5) การวางแผนช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้วิธีการควบคุมที่คล่องตวั และเหมาะสมโดย สามารถใช้วธิ ีการควบคุมแต่ส่วนน้อยเท่าที่จำเป็นจะให้งานสำเร็จผลลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนต้ี ้องอาศัย 14พรรณี ประเสริฐวงษ์ และวีรนารถ มานะกิจ, การจดั หน่วยงานและการบริหาร, อ้างแล้ว, หน้า 39.

18 แผนงานต่าง ๆ คือวัตถุประสงค์ นโยบาย และแผนงานเป็นเครื่องกำกับ ซ่ึงสอดคล้องกับพฤติกรรม ของบุคคลที่ตอ้ งการใหค้ วบคมุ ในเปา้ หมายและหลักการ15 เสถียร เหลืองอร่าม กล่าวว่า การวางแผน คือ การเลือกวิถีทางในอนาคตจาก ทางเลือกหลาย ๆ ทาง ทางสำหรับที่จะให้กิจกรรมท้ังหมด หรือเฉพาะการวางแผนดำเนินไปตามวิถี น้ัน การวางแผนเป็นการตัดสินใจว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร จะให้ใครทำ และมีวิธีทำอย่างไร การ วางแผนจึงเป็นการกระทำกิจกรรมไปส่วู ัตถปุ ระสงค์ทีเ่ ลอื กไว้โดยวธิ ที ถี่ กู หลักทส่ี ดุ 16 พนัส หนั นาคินทร์ เช่ือว่า การบริหารเปน็ การกระทำข้ันแรกของการบรหิ าร เป็นการ เลือกวธิ ีปฏิบัติจากแนวความคิดต่างๆ จึงจะนำไปสู่การกระทำจริง เปน็ การตัดสินใจล่วงหน้าวา่ จะทำ อะไร เมื่อไร ด้วยวิธีการอย่างไร และจะให้ใครทำอะไร การวางแผนจึงเป็นการกำหนดล่วงหน้าในการ ที่จะใชก้ ำลงั คนกำลงั ทรพั ยท์ ่มี อี ยหู่ รือคาดวา่ จะมเี พอื่ เชอ่ื มโยงสิง่ ที่มอี ย่แู ลว้ กบั ส่งิ ที่ต้องการ17 สรุปได้ว่า การวางแผน หมายถึง การบอกวัตถุประสงค์ และวิธีการที่ดที ี่สุดทีจ่ ะบรรลุ วตั ถุประสงค์ รวมท้ังทรัพยากรและกำลังคนท่ีต้องใชก้ ารวัดความก้าวหน้าของงานการวางแผนจึงเป็น กระบวนการคิดวเิ คราะห์ เพอ่ื พิจารณาวตั ถุประสงค์ท่ตี ้องการ โดยมีการคาดคะเนปัญหาต่าง ๆ ที่อาจ เกิดขึ้นและทำการพฒั นาหาวธิ กี ารแก้ไขเอาไว้ล่วงหนา้ 1.2.2 องคป์ ระกอบของการวางแผน โดยความหมายหรือคำจัดความของการวาแผน จะสังเกตได้ว่าการวางแผนมี สว่ นประกอบท่ีได้รับการแจงโดยนัยไว้อย่างชัดเจน เช่น ระบถุ ึงวิธีการดำเนนิ งานในการใช้ทรัพยากร การเลือกแนวทางเพื่อการปฏบิ ตั งิ าน และการกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ของแผน เป็นต้น การวางแผนที่ดนี ั้น จะต้องประกอบด้วยองคป์ ระกอบท่ชี ัดเจนและมีความต่อเน่ืองกัน เป็นลำดับ ท้ังน้ีเพื่อให้ผู้ใช้แผนมีความเข้าใจและปฏิบัติตามแผนได้โดยง่าย แอคคอฟฟ์ (Rusell L. Ackoff) จำแนกองค์ประกอบของแผนและการวางแผนไว้ดังนี้ 1) จุดหมาย (Ends) เป็นองค์ประกอบท่ีแสดงถึงวัตถุประสงค์ ความมุ่งหวัง หรือ จดุ มุ่งหมายของแผนที่ได้กำหนดขนึ้ โดยอาจชี้สภาพปัญหาหรอื ความเป็นมาหรอื ภูมิหลงั ที่ต้องทำให้มี การวางแผน และรวมถงึ ประโยชน์ท่ีจะเกดิ ข้ึนจากการวางแผนน้ัน 2) วิธีการ (Means) เปน็ องคป์ ระกอบทแ่ี สดงถึงการนำขอ้ มลู มาวิเคราะห์ แล้วกำหนด เป็นทางเลือกไว้หลายทางเลือก เพ่ือนำไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุถึงจุดหมายท่ีได้กำหนดไว้แล้วเป็น องค์ประกอบแรก 15ธงชัย สันติวงษ์, หน่วยงานและการบริหาร, พิมพ์ครั้งที่ 8, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ภาพพจน์, 2536), หนา้ 36-37. 16เสถียร เหลืองอรา่ ม, การจัดหน่วยงานและการปฏิบัติงาน, (กรุงเทพมหานคร : แพร่พิทยา, 2525), หนา้ 294. 17พนัส หันนาคินทร์, หลักการบริหารโรงเรียน, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, 2524), หนา้ 21.

19 3) ทรัพยากร (Resources) เป็นองค์ประกอบท่ีแสดงถึงประเภท ปริมาณ และ คุณภาพของทรัพยากรเช่น คน เงิน วัสดอุ ุปกรณ์ และวธิ ีการทจ่ี ะตอ้ งจดั สรรใหก้ ับวิธีกรหรือทางเลือก ทีไ่ ดก้ ำหนดไว้ 4) การนำแผนไปใช้ (Implementation) เป็นองค์ประกอบท่ีระบุถึงวิธีการหรือการ ตัดสินใจเพ่ือเลือกเลือกทางเลือกหรือแนวทางที่ดีท่ีสุดในการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนและ วตั ถุประสงค์ของแผนซงึ่ ได้กำหนดไว้ทางเลือกในการดำเนนิ งานจะต้องมีลักษณะที่ประหยดั และให้ผล ประโยชน์ที่เหมาะสม จึงจะถอื ว่าเปน็ ทางเลอื กและการดำเนนิ งานทีด่ ี 5) การควบคุม (Control) เป็นองค์ประกอบที่แสดงถึงการตรวจสอบและการ ประเมินผลการดำเนินงานของแผนว่าเป็นไปด้วยดีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด มีปัญหาอุปสรรค อย่างไรบ้าง และมกี ารปรบั ปรงุ หรือหาทางปรับปรงุ แก้ไขอย่างไร การควบคมุ จะตอ้ งเป็นไปทุกขั้นตอน ทุกระยะการดำเนินงานและเป็นไปอยา่ งตอ่ เนือ่ ง18 สตรอบ (Joseph T. Straub) อธิบายถึงองค์ประกอบท่ีมีผลต่อความสำเร็จของแผน โดยชี้ให้เห็นว่า องค์การทุกองค์การเมื่อกำหนดแผนงานข้ึนแล้ว ต่างมุ่งหวังที่จะทำให้แผนงานนั้น บรรลุถงึ ความสำเร็จตามที่ปรารถนา ซึ่งปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ ความสำเร็จของแผนได้แก่ การจัดทำแผนหรือ รา่ งแผนไวอ้ ยา่ งรอบคอบ การชีแ้ จงแผนเพอื่ ให้เกิดความเข้าใจ การปรบั แผนใหย้ ดื หยุ่นเพือ่ ให้สามารถ ดำเนินการได้ การนำแผนไปใช้และการควบคุมการดำเนินงานของแผน แต่ละปัจจัยหรือแต่ละ องค์ประกอบมรี ายละเอียดดังนี้ 1) การจัดร่างทำงานแผน (Design) หมายถึง การจัดร่างแผนงานให้มีรายละเอียดท่ี สามารถดำเนินการได้โดยบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า แผนงานนั้นเป็นแผนอะไร ต้องการทำอะไร ทำอยา่ งไร ใครเป็นผ้รู บั ผิดชอบที่จะต้องทำ และแผนงานนน้ั จะเร่มิ ทำเมอ่ื ใดและทไี่ หน 2) การช้ีแจงแผน (Communication) เม่ือแผนได้รับกรจัดทำหรือร่างข้ึนเป็นท่ี เรียบร้อยแล้ว แผนน้ันจะต้องได้รับการชี้แจงให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและเข้าใจโดยละเอียด การ ชแ้ี จงแผนใหเ้ ปน็ ท่เี ขา้ ใจ ย่อมทำให้แผนนัน้ ไดร้ ับการยอมรับ การสนับสนุน และงา่ ยต่อการปฏิบัติ 3) การปรับแผน (Flexibility) เมื่อแผนได้ถูกช้ีแจงให้ผู้เก่ียวข้องได้รับทราบแล้ว หาก ปรากฏว่าเกิดการวิพากษ์วิจารณ์และผู้เกี่ยวข้องได้ชี้ให้เห็นถึงความบกพร่อง หรือมีการท้วงติง เสนอแนะ หรือคาดว่าจะมีปญั หาเกดิ ข้ึน แผนน้ันจะต้องไดร้ ับการปรับปรงุ หรือให้มกี ารยืดหยุ่นในการ นำไปใช้ เพราะหากไม่ปรับแผนให้มีความยืดหยุ่นแล้ว จะเป็นสาเหตุอย่างสำคัญทำให้แผนเกิดความ ล้มเหลว อนั จะกอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หายแกห่ น่วยงานได้ 4) การนำแผนไปใช้ (Implementation) เม่ือแผนได้รบั การปรับปรงุ แล้ว แผนก็จะถูก นำไปใช้ปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลตามท่ีประสงค์ อย่างไรก็ดีแผนจะบรรลุถึงความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ฝา่ ยบริหารจะต้องใหก้ ารสนับสนุนท้ังกำลงั คน กำลังทรัพย์ และรวมถึงกำลังใจของผบู้ รหิ ารเองอย่าง ต่อเน่อื ง 18<https://www.gotoknow.org/posts/459524> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันท่ี 10 กรกฎาคม 2561)

20 5) การควบคุมแผน (Control) เมื่อแผนนำไปใช้แลว้ ทกุ ฝา่ ยท่ีเก่ียวขอ้ งจะตอ้ งติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลว่าการดำเนินงานตามแผนในแต่ละข้ันตอนมีปัญหาอุปสรรคใด ๆ หรือไม่ หากพบปัญหาจากจดุ หน่ึงจุดใดในกระบวนการ ปญั หานั้นจะต้องได้รับการแก้ไขโดยทนั ท่วงที รวมท้ัง จะต้องรบั ฟงั ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อปรบั ปรุงการดำเนนิ งานของแผนให้ดยี ง่ิ ขนึ้ อน่ึงในทางปฏบิ ัติองค์ประกอบของการวางแผนอาจมีรายละเอียดและส่ิงปลีกยอ่ ยอีก มาก ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับระดับหรอื ขนาดและตลอดจนประเภทของแผน ประกอบกับความพยายามของผู้ วางแผนที่จะทำให้การวางแผนน้ันง่ายต่อการทำความเข้าใจและการนำไปใช้ จึงได้แยกย่อยแต่ละ องค์ประกอบออกไปอีกเพ่ือให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ในเรื่องของจุดมุ่งหมายอาจแยกแยะออกเป็น จดุ มุ่งหมายทั่วไป และจดุ มุ่งหมายเฉพาะ เปน็ ตน้ 19 สรุปได้ว่า การวางแผนมีองค์ประกอบท่ีสำคัญหลายประการ คือ จุดหมายของการ วางแผน วิธีการในการวเิ คราะห์ข้อมูล การกำหนดทางเลือกในการวางแผน การจัดสรรทรัพยากรในการ วางแผน การสนับสนุนการทำแผนไปใช้ และการควบคุมประเมินผลการปฏิบัติตามแผน หรือการ วางแผนประกอบดว้ ยการจัดร่างทำแผน การชแี้ จงแผน การปรับแผน การนำไปใช้ และการควบคุมแผน 1.2.3 ประเภทของแผน แผนจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก และแต่ละประเภทยังแบ่งเป็นแผนย่อยอีก หลายชนดิ ดงั จะกลา่ วตอ่ ไปน้ี 1) แผนประจำ (Standing Plan) หมายถึง แผนซึ่งมีระยะเวลาในการใช้เป็น เวลานาน อาจยาวนานเท่ากับอายุของหน่วยงานเอง เป็นแผนซ่ึงเป็นแนวคิดอย่างหยาบ ๆ ที่ไม่มี รายละเอียดในการดำเนินงานมากนัก แผนงานประจำจำแนกออกเป็น นโยบาย (Policy) มาตรการ (Procedures) และขอ้ บงั คับ (Rules) นโยบาย (Policy) หมายถึง แนวทางท่ีกำหนดข้ึนเพ่ือให้เป็นทิศทางในการ ปฏิบัติงานหรอื การตัดสินใจ การกำหนดนโยบายของหน่วยงานใดหน่วยงานหน่ึงจะต้องเกิดจากการ วเิ คราะหว์ ตั ถุประสงคท์ ัง้ หมดของหนว่ ยงานนนั้ มาตรการ (Procedures) หมายถึง การดำเนินงานตามลำดับข้ันท่ีได้กำหนดไว้ เพ่ือให้บรรลุถึงความสำเร็จของความต้องการ หรอื โครงการหนึ่งโครงการใดโดยเฉพาะ ฉะนั้นจึงอาจ กลา่ วได้วา่ การกระทำกค็ ือตัวบง่ ชวี้ ่าทำอยา่ งไร นโยบายจงึ บรรลุตามท่ีตอ้ งการ ข้อบงั คับ (Rules) หมายถงึ แนวทางทก่ี ำหนดขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้บุคคล ได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดตามลักษณะของงาน เช่น ข้อบังคับให้สวมหมวกในขณะทำงานก่อสร้าง เป็นต้น อย่างไรก็ดี แต่ละชนิดของแผนงานประจำแม้จะต้องนำไปใช้ด้วยระบบเวลา ยาวนาน แต่ละชนิดของแผนประเภทนี้มีความยืดหยุ่นแตกต่างกันไป กล่าวคือ นโยบายจะสามารถ ยืดหย่นุ ไดม้ าก สว่ นข้อบงั คับจะไมย่ ืดหยุ่นหรอื ยดื หยุ่นได้น้อยมาก 2) แผนงาน (Programs) หมายถึง แผนซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพ่ือใช้ดำเนินการให้บรรลุ ถงึ งานหน่ึงงานใด ตามภารกิจขององคก์ าร เช่น โรงเรียนแบ่งภารกิจออกเปน็ งานการจดั การเรียนการ 19เร่อื งเดยี วกัน.

21 สอน งานการสร้างความสัมพันธ์กบั ชมุ ชน งานการบริหารกิจการนกั เรียน และอนื่ ๆ ซึ่งแตล่ ะงานจะ ประกอบด้วยกิจกรรมย่อย ๆ หลายกิจกรรม ดังนั้นการกำหนดแนวทางให้แต่ละกิจกรรมย่อย ดำเนินงาน เรยี กว่า “แผนงาน” แผนงานอาจมอี ายรุ ะหวา่ ง 1 – 5 ปี โครงการ (Projects) หมายถึง แผนซึง่ ถูกกำหนดขนึ้ เพ่ือใช้ดำเนินการใหบ้ รรลุถึง กจิ กรรมใดกิจกรรมหนึ่งของแผนงาน โครงการจะมีรายละเอียดชัดเจนและอายอุ าจมชี ่วงอายุระหว่าง 1 – 3 ปี แผนงบประมาณ (Budget Plan) แผนชนิดน้ีเป็นทั้งแผนและเครื่องมือการ ควบคุมแผน โดยปกติแผนงบประมาณจะเป็นส่วนหน่ึงของโครงการเสมอ แผนชนิดน้ีมีอายุสั้นที่สุด อาจเป็นเดือน หรอื ไมเ่ กินหน่งึ ปถี ้าถือตามระบบงบประมาณของประเทศไทย สรุปได้ว่าแผนเฉพาะกิจหรือแผนใช้คร้ังเดียวจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนประจำเสมอ เพราะแผนประจำจะบอกทิศทางการดำเนินงานอย่างกว้าง ๆ ขององค์การ ซง่ึ ผู้บรหิ ารองคก์ ารจะตอ้ ง สร้างแผนปฏบิ ัตกิ ารหรอื แผนเฉพาะกจิ ขนึ้ มารองรับแผนประจำเหล่านน้ั 1.2.4 กระบวนการวางแผน การวางแผนเป็นระบบหรือกระบวนการในการดำเนินการกับข้อมูล ทั้งระบบหรือ กระบวนการประกอบด้วยข้อมูลใส่เข้า กิจกรรมท่ีปฏิบัติต่อข้อมูล ผลท่ีได้รับ และข้อมูลส่วนท่ี ย้อนกลบั สว่ นสำคัญของกระบวนการวางแผน คอื 1) การสร้างสมมติฐานในอนาคตโดยอาศัยพลังภายนอก พลังภายในองค์การและ แนวโน้มท่ีมีอทิ ธิพลตอ่ องคก์ าร 2) การกำหนดวัตถุประสงค์ระยะยาวซ่งึ ระบุให้เห็นถงึ จุดมุ่งหมายท่ัวไปของบุคคลและ ขององคก์ าร 3) การพัฒนากลยุทธ์ซ่ึงจะทำให้องค์การบรรลุถึงวัตถุประสงค์ได้ดีท่ีสุด โดยใช้พลัง ภายนอกและภายในอย่างมปี ระสิทธภิ าพมากท่สี ุด 4) การกำหนดเป้าหมายระยะปานกลางซงึ่ จะชเี้ ฉพาะความปรารถนาท่ีจะให้องค์การ บรรลุถึงความสำเรจ็ ตามเวลาทไ่ี ด้ระบหุ รือกำหนดไว้ 5) การกำหนดรายการปฏิบัติงานเพ่ือให้การจัดสรรทรัพยากรมีความเหมาะสมเพียง พอท่ีจะใหก้ ารดำเนินงานบรรลุถึงเป้าหมาย 6) การสนบั สนนุ แผน 7) การปฏิบัติการกับกลุ่มข้อมูลย้อนกลับ เพ่ือให้ผลของการสนับสนุนแผนสามารถ เปรียบเทียบได้กบั เปา้ หมาย และวัตถุประสงค์ทไี่ ดก้ ำหนดไว้กอ่ นแล้ว20 การวางแผนเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหน่ึงของการบริหาร และเป็นกระบวนการ ท่ามีลักษณะของความเป็น “ศาสตร์” และความเป็น “ศิลป์” ผู้ที่บริหารพึงต้องมีความเข้าใจและมี ทักษะ มีความชำนาญในการนำไปใช้ จึงจะทำให้การบริหารงานบรรลุถึงวัตถุประสงค์และมี ประสทิ ธิภาพอย่างแท้จรงิ ทีก่ ล่าวว่าการวางแผนเป็นศาสตร์ เพราะการวางแผนมอี งคค์ วามรู้ เปน็ การ 20<https://www.gotoknow.org/posts/459524> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 10 กรกฎาคม 2561)

22 เฉพาะผู้ที่บริหารและนักวางแผนจะต้องเรียนรู้ ส่วนการวางแผนเป็นศิลป์ เพราะการวางแผนเมื่อ กำหนดขึ้นแล้วการนำไปปฏบิ ัตหิ รือนำไปใช้นนั้ ผูบ้ ริหารจะตอ้ งใช้เทคนคิ วธิ ีการต่าง ๆ อย่างมาก เพื่อ ผลักดันให้ทรัพยากรทกุ ชนิดที่ตอ้ งใชใ้ นแผนได้ทำงานตามหน้าทข่ี องมัน และในขณะเดียวกันผู้บรหิ าร หรือผู้ใช้แผนจะต้องผสมผสานปัจจัยและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้แผนทั้งแผนหรือ โดยส่วนใหญ่ของแผนสามารถดำเนินการได้โดยจะต้องพยายามปรับแผนและสภาพแวดล้อมให้ สอดคล้องกันตลอดเวลา การวางแผนเป็นกระบวนการที่เก่ียวกับปัจจุบันและอนาคต กล่าวถือ ผลที่ปรากฏใน ปัจจุบันสืบเนื่องมาจากวางแผนในอดีต และผลที่จะปรากฏในอนาคตนั้นสืบเน่ืองไปจากแผนท่ีได้ กระทำในปัจจุบันท่ีดีในอดีต เช่น ครูล้นงานเพราะผลิตครูออมามากเกินความจำเป็น ท้ัง ๆ ท่ีอัตรา การเกิดของเด็กลดลงหรือบัณฑิตต้องตกงานเพราะแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและกำลังคนไม่เป็นไป ตามเป้าหมายอยา่ งแท้จริงหรอื กรงุ เทพ ฯ ต้องประสบกบั มลภาวะเป็นพษิ เปน็ ต้น ความสำเร็จใด ๆ จะเกดิ ข้ึนไดย้ ่อมต้องอาศัยส่ิงที่เรียกว่า “ทรัพยากร” (Resources) ซึ่งหมายถึง เงิน (Money) วัสดุอุปกรณ์ (Materials) กำลังคน (Human power) เวลา (Time) พลังงาน (Energy) และอื่น ๆ บุคคลหรือองค์การจะไมส่ ามารถกระทำสิ่งใด ๆ ได้สำเร็จ หรือบรรลุถึง วตั ถปุ ระสงคถ์ ้าปราศจากการใชจ้ า่ ยทรพั ยากร การวางแผนเปน็ การตัดสินใจเพอื่ การจดั สรรทรพั ยากร ขององคก์ ารใหก้ ารดำเนนิ งานขององค์การบรรลุวตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดไว้ การวางแผนเป็น “กระบวนการ” (Process) ซึ่งปรากฏด้วยกิจกรรม (Activity) ท่ี จะต้องกระทำกันอย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับให้เข้าได้กับข้อมูลท่ีได้รับทั้งท่ีเป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) และข้อมูลที่มาจากกระบวนการและระบบอื่น การวางแผนสำหรับองค์หนึ่งองค์กรใด มิใช่การะทำเพียงคร้ังเดียวแล้วหยุดหรือเลิกแล้วกันไป แต่เป็นกระบวนการที่จะต้องกระทำอย่าง ต่อเน่ือง โดยให้สอดคลอ้ งกับความเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ ขึ้นทง้ั ภายนอกและภายในองค์การ และบางส่วน ของแผนอาจจะต้องมีการทบทวนใหม่ถ้าผลท่ีเกิดข้ึนขาดความสมบูรณ์หรือเป็นผลที่ไม่เป็นไปตาม เปา้ หมายทค่ี าดคิดไว้ การวางแผนเป็นกระบวนการท่ีเกี่ยวข้องกับการใส่ข้อมูล (Inputs) ทรัพยากร (Resources) และข่าวสาร (Information) ต่าง ๆ เข้าไป และมีตัวการ (Processor) กระทำกับ ทรัพยากรและขอ้ มูลเหล่านั้น และปรากฏเป็นผล (Outputs) ออกมาในลักษณะต่าง ๆ ข้อมูลอันเกิด จากผลหรอื ทเ่ี รียกวา่ ข้อมลู ย้อนกลับ (Feedback) จะถกู นำไปเปรียบเทยี บกบั มาตรฐาน (Standards) ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ (Objectives) หรือไม่ ถ้าการเปรียบเทียบมีผลเป็นที่ไม่พอใจ ข้อมูลท่ีใส่ เข้าไป และตัวการในการกระทำขอ้ มลู จะตอ้ งไดร้ ับการปรบั ปรงุ หรือเปล่ียนแปลง21 สรุปได้ว่า กระบวนการวางแผนจึงเป็นศาสตร์ในการกำหนดและเป็นศิลป์ในการ นำไปใช้ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกบั การตดั สินใจจัดสรรทรพั ยากรหลายชนดิ ในปัจจบุ ันเพ่ือให้การ ดำเนินงานขององค์การประสบกับความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ในอนาคต หรือการวางแผนเป็น กระบวนการกำหนดทางเลือกในการดำเนินงานในอนาคต เพ่ือให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ขององค์การ โดยวิธีการที่ให้ผลเป็นไปตามมาตรฐาน หรือใกล้เคียงกับมาตรฐานหรือวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ 21เรื่องเดียวกัน.

23 อย่างเหมาะและเพียงพอ รวมท้ังระบุถึงวธิ ีการท่ีจะได้มาซงึ่ ทรพั ยากรที่จำเป็นเหลา่ น้ันด้วย ดังน้นั การ วางแผนมีความสำคญั และมีค่าต่อองค์การท้ังทีเ่ ป็นองค์การขนาดใหญ่และองคก์ ารขนาดเล็ก 1.2.5 ประโยชนข์ องการวางแผน 1) การวางแผนเป็นการกำหนดหรือกรอบการดำเนินงานขององค์การเพื่อให้การ ดำเนินงานบรรลุวัตถปุ ระสงค์ 2) การวางแผนมีสว่ นในการลดขอ้ ผดิ พลาดในการดำเนนิ งานมากข้ึน 3) การวางแผนช่วยใหแ้ ตล่ ะแผนกรขู้ อบขา่ ยและหน้าทขี่ องตนเอง 4) การวางแผนช่วยลดปัญหาการทำงานท่ซี ้ำซอ้ นกัน 5) การวางแผนในการปฏิบัติงานสามารถทำให้การทำงานทำได้เร็วข้ึน คือ ประหยัด เวลาและประหยดั ทรพั ยากรอกี ด้วย 6) การวางแผนชว่ ยให้เกิดกระบวนการควบคุมท่ีดีและชัดเจนในแนวทางท่ีทกุ คนควร ปฏิบตั ิ 7) การวางแผนการดำเนินงานที่ดีสามารถสร้างข้อได้เปรียบในด้านการแข่งขันกับ คแู่ ข่ง 8) การวางแผนมีส่วนชว่ ยให้ผบู้ ริหารต้องมีการพัฒนากระบวนการคิด การมองการณ์ ไกลตลอดเวลา เพื่อนำพาใหอ้ งคก์ ารบรรลวุ ัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององคก์ าร 9) การวางแผนทำให้เกิดการระดมสมองจากผู้บริหารหลาย ๆ ฝ่าย ซึ่งจากการพูดคุย ปรึกษาหารือกนั ทำให้เกดิ มนุษยสัมพันธท์ ดี่ ีตอ่ กนั 10) การวางแผนคือการระดมทางความคิด ในทางอ้อมเราอาจจะได้ผู้บริหารหน้าใหม่ ที่มีวสิ ยั ทัศน์ท่กี ว้างไกล22 1.2.6 ลกั ษณะของแผนทด่ี ี 1) แผนที่ดตี ้องสามารถยดื หยุน่ และปรบั ไดต้ ามสภาพแวดลอ้ มทีเ่ ปลี่ยนไป 2) แผนทีด่ ตี ้องชัดเจน ง่ายตอ่ การนำไปปฏิบตั ติ อ่ พนักงานทุกคนในองคก์ าร 3) ก่อนจะเป็นแผนท่ีดีนั้น ข้อมูลที่นำมาใช้ในการสร้างแผนต้องเป็นข้อมูลท่ีเป็นจริง และเชื่อถือได้และผา่ นการวเิ คราะห์และพจิ ารณามาเปน็ อย่างดี 4) แผนที่ดีต้องสามารถนำไปปฏิบัติและเกิดท้ังประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อ องค์การ 5) แผนที่ดีต้องสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในขณะเดียวกนั ก็ต้องตง้ั อยู่ บนรากฐานแห่งการปฏบิ ตั ิจรงิ ได้23 สรปุ ไดว้ ่า การวางแผนนัน้ มีประโยชน์ทั้งในดา้ นการบริหารและด้านการปฏิบตั ิ เพ่ือให้ งานสำเร็จลลุ ่วงไปได้ด้วยดีตามวัตถปุ ระสงค์ที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งการวางแผนที่ดีนั้นจะต้องรอบครอบรัดกุม มีความยดื หยุ่น ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และมปี ระสิทธิภาพเช่ือถือได้ 22<http://203.158.184.2/elearning/Management/unit502.htmhttp://203.158.184 .2/elearning/Management/unit502.htm> (สืบคน้ ข้อมูลเมอ่ื วันท่ี 10 กรกฎาคม 2561) 23เรื่องเดยี วกนั .

24 1.3 การวางแผนชวี ิต 1.3.1 ความหมายของการวางแผนชวี ิต การวางแผนชีวิต คือ การกำหนดเป้าหมายของชีวิตในด้านต่าง ๆ การวางแผนชีวิตเป็น กระบวนการนำไปสู่วัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ โดยมีแนวทางที่แน่นอน ซ่ึงประกอบด้วยหลักการ และเหตุผล ทีม่ ีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผนชีวติ ของบุคคลจะช่วยให้บคุ คลปฏิบัติตามแนวทางหรือกรอบท่ีวางไว้ ซงึ่ เปรยี บเสมือนพิมพเ์ ขียวของการสร้างบ้านก็ว่าได้ เพราะเม่ือช่างกอ่ สร้างได้ดพู ิมพ์เขยี วแล้วก็ลงมือทำ การก่อสร้างบ้านได้ตามแผนที่วางไว้ ฉะนั้นการวางแผนชีวิตจึงมีความสำคัญอย่างมาก การตระเตรียม ชีวิตเพ่ือนำไปสู่ความสำเร็จหรือเป้าหมายท่ีวางไว้ การวางแผนชีวิตเป็นกระบวรการบริหารจัดการไว้ ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร ทำเม่ือไร ใครเป็นคนทำ และจะใช้วสั ดุอปุ กรณ์อะไรบ้าง งบประมาณ เท่าไร ซ่ึงเป้าหมายแนวทางสำหรับปฏิบัติให้สำเร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้ ทำให้ บุคคลเกิดความม่ันใจท่ีจะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้มีการวางแผนชีวิตไว้ เหมือนกับชีวิตขาดเปา้ หมายและอาจพบปัญหามากมาย ทำให้ชีวิตไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ท่กี ำหนด ไว้ ไม่ได้ผลเท่าที่ควรท้ังท่ีมีการวางแผนไว้อย่างดี ในบางครั้งเรากำหนดเป้าหมายและแผนของชีวิตไว้ เป็นอย่างดีแล้วแต่ก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ มีอุปสรรคเกิดข้ึนจนได้ แต่เราก็สามารถ ตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วว่าท่ีเราปฏิบัติน้ันมีขั้นตอนไหนผิดไปจากแผนที่กำหนดไว้ การวางแผนหรือ การกำหนดเป้าหมายของชีวิตก็ยังทำให้เราสามารถตรวจสอบเร่ืองที่ผิดพลาดได้ง่ายว่าที่ผิดพลาดน้ัน เกิดจากสาเหตุหรือข้ันตอนใด และทำให้สามารถหาแนวทางแก้ไขได้ทัน ดังน้ัน การดำเนินชีวิตให้อยู่ อย่างมคี วามสุขหรือประสบความสำเร็จในชวี ิตจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดเป้าหมาย และวางแผนชีวิตไว้ ล่วงหน้า ชีวิตจึงจะมีความสุขการวางแผนชีวิต คือ การกำหนดเป้าหมายของชีวิตในด้านต่าง ๆ การ วางแผนชีวิตเป็นกระบวนการนำไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยมีแนวทางที่แน่นอน ซ่ึงประกอบด้วย หลักการ และเหตุผลท่ีมีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผนชีวิตของบุคคลจะช่วยให้บุคคลปฏิบัติตาม แนวทางหรือกรอบที่วางไว้ ซ่ึงเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของการสร้างบ้านก็วา่ ได้ เพราะเม่ือชา่ งก่อสร้าง ได้ดูพิมพ์เขียวแล้วก็ลงมือทำการก่อสร้างบ้านได้ตามแผนที่วางไว้ ฉะนั้นการวางแผนชีวิตจึงมี ความสำคัญอย่างมาก การตระเตรียมชีวิตเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จหรือเป้าหมายท่ีวางไว้ การวางแผน ชีวิตเป็นกระบวรการบริหารจัดการไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร ทำเมื่อไร ใครเป็นคนทำ และ จะใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง งบประมาณเท่าไร ซ่ึงเป้าหมายแนวทางสำหรับปฏิบัติให้สำเร็จตาม เป้าหมายและวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้ ทำให้บุคคลเกิดความม่ันใจที่จะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไป อย่างต่อเน่ือง หากไม่ได้มีการวางแผนชีวิตไว้เหมือนกับชีวิตขาดเป้าหมายและอาจพบปัญหามากมาย ทำให้ชีวิตไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไม่ได้ผลเท่าท่ีควรท้ังท่ีมีการวางแผนไว้อย่างดี ใน บางคร้ังเรากำหนดเป้าหมายและแผนของชีวิตไว้เป็นอย่างดีแล้วแต่ก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ มอี ุปสรรคเกิดขนึ้ จนได้ แต่เราก็สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วว่าที่เราปฏิบัตินั้นมขี ั้นตอนไหนผดิ ไป จากแผนท่ีกำหนดไว้ การวางแผนหรือการกำหนดเป้าหมายของชีวิตก็ยังทำให้เราสามารถตรวจสอบ เร่ืองท่ีผิดพลาดได้ง่ายว่าท่ีผิดพลาดน้ันเกิดจากสาเหตุหรือขั้นตอนใด และทำให้สามารถหาแนว

25 ทางแก้ไขได้ทัน ดังน้ัน การดำเนินชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุขหรือประสบความสำเร็จในชีวิตจึง จำเปน็ ตอ้ งมีการกำหนดเป้าหมาย และวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้าชีวิตจงึ จะมีความสุข24 1.3.2 การวางแผนเป้าหมายชีวิต การวางแผนเป้าหมายชีวิต คือ การต้ังเป้าหมายชีวิตของบุคคลที่ได้วางแผนไว้ด้วย วิธีการท่ีเหมาะสมเพ่ือการนำตนเองไปสู่เป้าหมายของชีวิตในอนาคต เป็นการวางเป้าหมายไว้ว่า จะต้องต้ังตวั สรา้ งฐานะใหไ้ ด้ ด้วยการเรยี นให้จบ ประกอบอาชีพที่สุจริตไม่ผดิ กฎหมายไม่ผดิ ศลี ธรรม ซ่งึ การวางเป้าหมายในชวี ิตของแต่ละบุคคลแตกตา่ งกัน ไปเพ่ือให้การดำเนินชีวติ มคี ุณภาพ ดังน้ี การ วางแผนเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยที่ดีไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ การวางแผนเกี่ยวกับการศึกษา การ วางแผนเก่ียวกับอาชีพในอนาคต เม่ือเรียนสำเร็จ อยากประกอบอาชีพ เช่น แพทย์ วิศวกร ตำรวจ ทหาร นักธุรกิจ เกษตรกรรม ชาวนา ชาวไร่ เป็นต้น การวางแผนเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายแต่ละเดือน ในชีวิตประจำวัน การวางแผนท่ีจะปฏิบัติ ความดี ดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบศีลธรรม การวางแผน เกยี่ วกับการสรา้ งครอบครัวในอนาคต เป็นต้น ก าร ว าง แผ น เพื่ อ เป้ าห ม าย ชี วิ ต ใน อ น าคต เป็ น ส่ิ ง จ ำเป็ น ท่ี บุ ค ค ล ทุ ก ค น ต้ อ งให้ ความสำคัญในการรู้จักวางแผนชีวิตของตนเองอย่างมีขั้นตอน มีวิธีการท่ีเหมาะสมกับสถานะของ บคุ คลแล้วพยายามดำเนินการโดยการปฏิบัติทุกวิถีทางท่ีจะนำพาชีวิตใหป้ ระสบความสำเรจ็ แต่หาก เมื่อ ดำเนิน ชีวิตตามกร อบ ที่มีการ วางแผน แล้วเกิ ดปั ญ หาและ อุ ปสรร คบุ คคลน้ัน ก็ สามารถห า จุดบกพร่องทีเ่ กดิ ขึ้นมาพิจารณาและทบทวนขั้นตอน เพื่อแก้ไข พฒั นา ปรบั ปรงุ ให้ชีวติ ของบคุ คล มี คณุ ภาพ และเกิดประสิทธิภาพในการดำเนนิ ชวี ติ ให้มคี วามสขุ ท้ังกาย จิต สังคม และวญิ ญาณ ทัง้ องค์ รวม หากทุกชวี ิตมีการวางแผนเพ่ือเป้าหมายของชีวิต ยอ่ มจะส่งผลให้ประสบกับผลสำเรจ็ ในชีวติ เป็น แนน่ อน ในทางตรงข้าม หากบุคคลใดชีวิตขาดการวางแผนในทุก ๆ เรื่อง ดงั กล่าว เช่น การศึกษาเล่า เรียน การใช้จ่ายเงนิ ทองในชวี ิตประจำวัน เป็นต้น ย่อมส่งผลกระทบต่อชวี ิตให้ไม่ ประสบผลสำเร็จใน การศึกษา และมปี ญั หาทางดา้ นเศรษฐกิจ เปา้ หมายชีวิตของบุคคลแบ่งได้ 3 ระดบั คอื 1) การวางแผนเป้าหมายชีวิตข้ันต้น เป็นการวางแผนต้ังเป้าหมายของชีวิตโดยมุ่งมั่น ฝึกฝนตนเอง ให้บรรลุเป้าหมายของชีวิต ว่าจะต้องเรียนให้จบ มีอาชีพ มีฐานะท่ีดีให้ได้ ด้วย องค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ทำตัวเป็นปัญหา ไม่ผิดกฎหมาย และ ตัง้ เป้าหมายวา่ จะประกอบอาชีพอะไร เช่น ครู พยาบาล ตำรวจ ทหาร ชาวนา หรอื อื่น ๆ กไ็ ด้ ขอให้ เป็นอาชพี ทส่ี ุจรติ 2) การวางแผนเป้าหมายชีวติ ขัน้ กลาง เปน็ การต้ังเป้าหมายของชีวิตวา่ ต้องพยายามตั้ง ตัวและสร้างฐานะของตนเอง มีชีวิตคู่ มีชีวิตครอบครัว มีลูกให้ดีในชีวิตนี้ ไม่ย่อท้อ รู้จักการสร้าง คณุ คา่ ให้ชีวิต ด้วยการขยัน ต้งั ใจทำความดี เอ้ืออาทร มีเมตตาตอ่ ผ้อู ่นื ซึ่งเป็นเป้าหมายชวี ิตสงู สุด 3) การวางแผนเป้าหมายชีวิตขั้นสูงสุด เป็นการตั้งเป้าหมายของชีวิตที่เป็นประโยชน์ อย่างยิ่งต่อตนเอง และบุคคลอ่ืน คือการต้ังใจดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน 24<http://th49.ilovetranslation.com/ANs5pENBr4A=d/> (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 20 สงิ หาคม 2561)

26 หน้าท่ี การงาน ชีวิตครอบครัว และตั้งใจปฏิบัติธรรมทุกรูปแบบ โดยการตั้งใจทำความดี หมั่นให้ทาน รักษาศลี ฝึกสมาธิเพอ่ื ใหจ้ ิตใจผ่องใส เกดิ ปัญญา เพื่อรกั ษาเป้าหมายของชีวิตใหม้ นั่ คง ในทุก ๆ ดา้ น25 1.3.3 ขั้นตอนการวางแผนชวี ติ เมื่อมนุษย์ต้องการความสุข และได้กำหนดเป็นเป้าหมายสำคัญของการดำรงชีวิตอยู่ ประเด็นกค็ ือ จะทำอยา่ งไร จึงจะให้ความสุขนั้นดำรงอยูค่ กู่ บั ตนได้นานที่สุด ทำอยา่ งไรจึงจะให้วตั ถุที่ แสวงหามา ทำให้ตนเองมีความสุขมากและนานที่สุด ทำอย่างไรจึงจะให้ความเบิกบานจากความ แสวงหาวัตถุอยู่กับอยู่กับตนเองได้นานท่ีสุด มนุษย์จึงหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ และการรู้จัก วางแผนชีวิต ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สดุ ในการได้คำตอบจากคำถามต่าง ๆ เขา้ กัน การวางแผนชีวิต จะประกอบดว้ ยข้นั ตอนที่สำคญั 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรยี มการ คอื การเตรยี มตนเองให้พร้อมต่อการแสวงหาวัตถุ และพรอ้ มต่อการ สะสมรักษาวัตถุที่จะก่อให้เกิดความสุขทั้งกายและใจของตนเอง ซึ่งการเตรียมตนน้ัน ก็จะหมายถึง การเติมเต็มความรู้ให้กับตนเอง การคบหรือการเรียนรู้จากแหล่งดี ๆ ที่เราเรียกว่า กัลยาณมิตร อาจจะเป็นบุคคลท่ีเป็นปราชญ์ เป็นบุคคลท่ีรอบรู้ คนฉลาด หรืออาจจะเป็นหนังสือดี ๆ สื่อดี ๆ สภาวะแวดล้อมที่ดี ๆ ได้ทั้งสิ้น ท่จี ะทำให้เราเองมีโอกาสตกั ตวงความรู้ ความฉลาดมาใส่ตัวเราเองให้ มากท่ีสุด เรียกว่า ขั้นปริยัติ (การเรยี นรู้) ซง่ึ ตัวช้วี ัดก็คือ ประกาศนียบัตร หลักฐานการจบการศึกษา ปรญิ ญาบัตร ฯลฯ 2) ข้ันปฏิบัติการ คือ ข้ันตอนของการประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้เตรียมการไว้อย่างดี แสวงหาวัตถุ (ทรัพย์) ไดอ้ ยา่ งชาญฉลาด ซงึ่ จะพสิ ูจนไ์ ด้จากความรู้สึกเปน็ อสิ ระ มคี วามกลา้ หาญ เบิก บาน รา่ เรงิ ต่อการได้วัตถุนน้ั ตลอดเวลา และสามารถแสดงออกมาได้ทั้งกายและวาจาได้ เรยี กวา่ ข้ัน ปฏบิ ัติ ท่มี ีตวั ชีว้ ดั คอื ผลของการใช้วาจา และผลของการประพฤติแสดงออก 3) ข้ันการประเมินผล คือ ขั้นตอนของการเข้าใจ ความแจ่มแจ้งต่อความแสวงหาวัตถุ ว่าเป็นความถูกต้อง ชอบธรรม และยุติธรรม สามารถตอบคำถามได้ว่า วัตถุท่ีได้มาน้ัน วิเคราะห์ สังเคราะห์ไดว้ ่า ผังความสขุ มาให้ไดจ้ ริง และเปน็ ความสุขท่ีไดจ้ ากการคดิ การใช้เหตผุ ล มคี วามเขา้ ใจ แจ่มแจ้งว่าวัตถุที่ได้มานั้น สามารถสะสมและแบ่งปันให้ผู้อ่ืนในทางท่ีเป็นประโยชน์ได้อย่างแท้จริง เรียกวา่ เปน็ ข้ันตอนของการเข้าใจเขา้ ถงึ ทเี่ รยี กว่า ขนั้ ปฏเิ วธ ในการวางแผนให้ขัน้ ตอนตา่ ง ๆ ในการสร้างความสขุ ให้เกดิ ขึ้น หลักในการสร้างกลไก แห่งความสขุ คอื จะสร้างความสุขได้อย่างไรนน้ั ทงั้ ความสุขทางกาย และทางใจท่มี นุษย์ต้องการ จะมี กลไกในการวางแผน โดยมีตัวเราเองเป็นตัวแปรสำคัญ กล่าวคือ มนุษย์จะต้องสร้างตนเองให้มี ความคิดท่ีถูกตอ้ งต่อการแสวงหาความสุข ดังนี้ 1) สร้างความพอใจ ยินดีต่อภารกิจ พันธะ งานที่ได้มอบหมายมองทุกส่ิงให้เป็นไปได้ ส่ิงทเี่ ป็นปญั หาจะมีทางออก และแก้ไขไดเ้ สมอ 25<http://www.warin.ac.th/tweb/wallapa/07.htm> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 20 สิงหาคม 2561)

27 2) มีความอดทนบากบ่ัน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค สร้างความคิดเชิงบวกให้เกิดขึ้นในใจ โดยคิดตลอดเวลาว่า ศัตรู คือ กำลังใจ อุปสรรค คือ อาจารย์ ที่มีบุญคุณต่อเรา ให้เรายืนหยัดอยู่ได้ เพ่ือเอาชนะ 3) สร้างความมีจิตแน่วแน่ เป็นหนึ่ง มีการวางแผนในการดำเนินชีวิตท่ีเหมาะสม ถูกตอ้ ง และชอบธรรม เป็นการวางแผนทสี่ ามารถปฏบิ ัติได้ 4) สร้างนิสัยของการเป็นผรู้ ู้จัก ไตร่ตรอง ทดลอง ทดสอบ วัตถุและความลำเอียง จน สามารถสร้างปัญหาใหเ้ กิดข้นึ ในตนให้ได้26 โดยสรุปแล้ว การวางแผนชีวิตเป็นกลไกในการสร้างความสุขของมนุษย์น้ัน ก็คือ การ สรา้ งตวั มนษุ ย์เอง ใหค้ ดิ พูด และทำในส่งิ ท่เี ปน็ ประโยชน์ ดงั นัน้ ในการสร้างตวั มนุษย์ กจ็ ะเร่ิมตน้ ด้วย การสร้างกายให้พร้อม และสิ่งท่ีตามมาก็คือ ความพร้อมในจิตใจ หลักในการปฏิบัติเพ่ือให้เกิดกลไก แหง่ ความสขุ ให้เกิดข้ึน มนุษย์ควรจะ 1) แสวงหาความรู้ท่ีจะกอ่ ให้เกิดการพัฒนาไปสปู่ ัญญา โดยการอา่ น ฟัง เขยี นส่งิ ทด่ี ีมี ประโยชน์ 2) ฝึกตนเองให้มีคุณภาพแข็งแรง โดยออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ สร้าง วินยั ใหก้ บั ตนเอง โดยการปฏิบัตงิ านสม่ำเสมอเป็นนิสยั และรักษาสขุ ภาพดว้ ยการปอ้ งกนั มากกวา่ การ รกั ษาพยาบาล 1.3.4 วิธกี ารวางแผนชวี ิต การควบคุมหรือวางแผนชีวิตของตัวเองนั้นถือว่าเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของชีวิต เลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการตัดสินใจในส่ิงทีต่ ัวเองตอ้ งการ และมองหาว่าสงิ่ ใดสำคัญต่อตัวเรา รวมถึง วางแผนที่จะทำตามเป้าหมายที่ต้ังไว้จนทำให้สามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่ จึงมีวิธีการ วางแผนชวี ติ ที่จะไดส้ ามารถทำตามเป้าหมายและความต้องการของตัวเองได้ ดงั นี้ 1) ทำวสิ ยั ทัศนข์ องตัวเองให้ชัดเจน 1.1) ดูว่าอะไรคือส่ิงที่มีความหมายสำหรับตัวเอง การวางแผนให้ชีวิตตัวเองนั้น อาจจะเป็นงานท่ีดูน่ามึนงง เพราะเวลาที่จะวางแผนให้ชีวิต มักจะมีด้านต่าง ๆ มากมายของชีวิตท่ีต้อง เอามาพิจารณาหรือตัดสนิ ใจ และเพื่อที่จะไดไ้ อเดียว่าตวั เองอยากจะให้อนาคตเปน็ แบบไหน มันจะช่วย ได้มากหากใช้เวลาสักพกั ค้นหาว่าอะไรคือสิ่งทมี่ ีความหมายสำหรับเราและสามารถท่ีจะมาเติมเต็มให้กับ ชวี ติ ได้ ซึง่ กม็ คี ำถามบางประเภทที่จะชว่ ยให้คดิ ได้ว่าตวั เราเองอยากจะใหช้ วี ติ เป็นไปในทิศทางไหน 1.2) สร้างคำกล่าวเชิงวิสัยทัศน์เพ่ือนำมาใช้เป็นแนวทางให้กับตัวเอง เม่ือได้ ถามตัวเองและวิเคราะห์ตัวเองจนรู้แล้วว่าสิ่งใดมีความหมายสำหรับตัวเราบ้าง ให้เขียนคำตอบของ ตวั เองลงกระดาษด้วยรูปแบบของประโยคทเี่ ป็นคำกล่าวเชิงวิสัยทัศน์ที่สามารถนำมาใช้เป็นแนวทาง ให้กบั ตัวเองได้ โดยให้เขียนคำกล่าวเหล่าน้ันให้ดูเหมอื นกับวา่ เป็นเรื่องท่ีเกิดข้นึ ในปัจจุบัน ราวกับว่า 26<http://www.academic.nu.ac.th/content_view.php?n_id4 7 &img=2 &action= view> (สืบคน้ ขอ้ มลู เมือ่ วนั ที่ 20 สงิ หาคม 2561)

28 ได้ทำส่ิงเหล่าน้ันสำเร็จแล้ว27 เนื่องจากการวางแผนให้ชีวิตตัวเองในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วน้ัน อาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่สามารถใช้ประโยคคำกล่าวเหล่าน้ีมาเป็นหลักการหรือ แนวทางให้กับตัวเอง ในขณะท่ีกำลังพยายามท่ีจะรา่ งแผนชีวติ ให้ตัวเองอยู่ และจำไว้เสมอว่าไม่วา่ จะ เป็นงาน สถานท่ี หรือเป้าหมายอะไรก็แล้วแต่ มันมักจะมีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ตราบใดท่ี วสิ ัยทศั นท์ ่ีเป็นแนวทางของเราหรือส่ิงที่สำคัญทีส่ ดุ สำหรบั เรายงั อยใู่ นขั้นตอนของการทำให้สำเรจ็ อยู่ 1.3) ค่อย ๆ ทำไปอยา่ งชา้ ๆ แผนของเราอาจจะไมเ่ ปน็ ไปอย่างราบร่ืนนัก เพราะ ไมค่ ่อยมีอะไรเกิดข้ึนตามทีไ่ ดว้ างแผนหรอื คาดการณไ์ ว้ และชวี ิตน้นั กม็ กั จะเตม็ ไปด้วยเสน้ โคง้ ทศิ ทาง ทีส่ ลับสับเปล่ียน และโอกาสใหม่ ๆ มากมาย นอกจากน้ีชวี ิตกย็ ังเต็มไปด้วยความลม้ เหลวเช่นกัน แต่ นนั่ กไ็ ม่ได้หมายความวา่ จะต้องยอมแพ้ เพราะฉะน้ัน เตรียมตวั ใหพ้ ร้อมทีจ่ ะลงมอื ทำไปทีละกา้ ว และ เรียนรจู้ ากการกระทำและประสบการณท์ ่ีไดม้ าในขณะทก่ี ำลังเดนิ ทางเขา้ ใกล้เป้าหมาย 1.4) เตรียมพร้อมท่ีจะสรา้ งโอกาสใหต้ วั เอง ในบางทีอาจจะยังไม่เจองาน สถานท่ี หรือโอกาสท่ียอดเยี่ยม ซ่ึงถ้านี่เป็นปัญหาท่ีกำลังมีอยู่ จะต้องสร้างโอกาสพวกนั้นให้กับตัวเอง แม้ว่า บางทีการทำแบบนั้นจะไม่ใช่ส่วนหน่ึงของแผนเดิมก็ตาม ซ่ึงการทำความเข้าใจว่าอาจจะต้องทำ เป้าหมายให้เป็นจริงด้วยตัวเองในขณะท่ีกำลังวางแผนชีวติ นั้น จะช่วยทำให้ได้เตรียมใจพรอ้ มรับกับ การเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ทเี่ กิดขึน้ ในขณะท่ีกำลังเดนิ ทางเข้าสเู้ ป้าหมาย28 2) สร้างแผนชีวติ ใหต้ ัวเอง 2.1) เขียนแผนชีวิตออกมา แผนชีวิต คือ แผนท่ีมีหลักการและถูกเขียนออกมา เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งสามารถนำไปใช้เพ่ือวางแผนให้กับด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นใน เรอ่ื งของอาชพี การงาน สถานที่ ๆ อาศัยอยู่ คนท่ีเกย่ี วข้องด้วย และวิธีการใช้เวลาของตัวเอง ซ่ึงการ เขียนแผนชีวิตน้ันจะช่วยทำให้สามารถระบุได้ว่ามีด้านไหนของชีวิตตัวเองบ้างท่ีต้องการจะ เปลี่ยนแปลง หรือต้องการท่ีจะทำให้บรรลุเป้าหมาย แผนชีวิตอาจจะช่วยทำให้มองเห็นชีวิตตัวเอง ในทางท่ีแตกต่างออกไป และการได้เห็นมุมต่าง ๆ ของส่ิงเหล่าน้ันจากแผ่นกระดาษอาจจะช่วย จดั ลำดบั ความสำคญั และปรบั ปรงุ ไอเดยี ต่าง ๆ ของตัวเองได้ การเขียนแผนชีวติ ของตัวเองลงกระดาษ น้ัน อาจจะช่วยให้มองเห็นเป้าหมายต่าง ๆ ที่มีความคล้ายกัน และมองเห็นความต้องการท่ีตัวเองมี หรือแกไ้ ขปรบั ปรงุ ส่ิงท่ไี ม่เหมาะหรือไมเ่ ข้ากบั แผนชวี ติ ของตัวเองได้ 2.2) ดูว่าต้องการจะปรับเปล่ียนส่วนไหนของชีวิตตัวเอง การมีแผนชีวิตของ ตัวเองนั้นไม่ได้หมายความว่า จะต้องเปล่ียนแปลงทุกด้านของชีวิตไปซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่จริง ๆ แล้ว มันหมายถึงจดุ เริ่มต้นท่ีจะเปล่ียนแปลงส่ิงตา่ ง ๆ ต่างหาก ซึ่งบางทีอาจจะมีหลายดา้ นในชีวิตท่ีพอใจ แล้ว เช่น สถานท่ี ๆ อาศัยอยู่ แต่กอ็ าจจะยังมีบางด้านของชีวิตที่ต้องการจะปรับเปลย่ี น เช่น การหา อาชีพท่ีตรงใจของตัวเองมากกว่าเดิม และนอกจากนี้ก็อาจจะมีอีกหลายด้านของชีวิตที่ต้องการจะ 27<http://contextcoaching.org/how-to-write-a-life-plan/> (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 23 สงิ หาคม 2561) 28<http://www.forbes.com/sites/actiontrumpseverything/2013/01/13/how-to- plan-your-life-when-you-cant-plan-your-life/#44690d78c1da> (สืบค้นข้อมูลเมื่อวันที่ 23 สงิ หาคม 2561)

29 วางแผน แต่ถา้ หากอยากจะเร่มิ ต้นปรับเปลยี่ นบางอย่าง ให้พยายามเลอื กสว่ นทดี่ ูสำคญั สำหรับตัวเรา ที่สุดมา 1 อย่างก็พอ ตัดสินใจว่าด้านไหนของชีวิตท่ีต้องการจะเร่ิมต้นปรับเปลี่ยน เช่น อาชีพ กลุ่ม สังคม งานอดิเรก หรอื อื่น ๆ ซ่ึงตัวอย่างของด้านต่าง ๆ ในชีวิตท่ีอาจจะอยากเปลี่ยนก็อาจจะมีท้ังใน ด้านการงาน การศึกษา หรือรายได้และการวางแผนทางการเงิน หรืออาจจะเป็นในด้านของทัศนคติ มมุ มองชีวิต การสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ หรือเป้าหมายของการพักผ่อน หรือไม่ก็อาจจะเป็นในด้านของ ครอบครัวและเพื่อน การวางแผนสำหรับลูก ๆ การสนับสนุนทางสังคมที่มีอย่างแน่นหนา หรือการ เป็นอาสาสมัครให้กบั กิจกรรมทม่ี ุ่งเนน้ การชว่ ยเหลือคนอ่ืน หรือบางทีก็อาจจะเปา้ หมายด้านร่างกาย และสขุ ภาพก็ได้ 2.3) รวบรวมแรงสนับสนุนและข้อมูลต่าง ๆ การมีเครือข่ายสนับสนุนหรือมีคน คอยช่วยน้ันเป็นสิ่งท่ีสำคัญมาก เม่ือใดก็ตามที่กำลังพยายามท่ีจะปรับเปล่ียนชีวิตตัวเอง ซ่ึงส่วนหนึ่ง ของการวางแผนปรับเปล่ียนชีวิตก็คือ ต้องรู้ว่าใครท่ีจะสามารถขอความช่วยเหลือหรือขอการ สนับสนุนเมื่อต้องเจอกับความยากลำบาก ดังน้ัน บอกกับคนที่สนิทที่สุดเกี่ยวกับแผนชีวิต และบอก กับพวกเขาว่าต้องการจะปรบั เปล่ียนอะไร โดยให้เขียนลิสต์ชื่อคนรู้จักท่ีคดิ ว่าตัวเองสามารถพ่ึงพาได้ หากต้องเจอกับอุปสรรคบางอย่าง รวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกับสิ่งที่จะปรับเปลีย่ นในชวี ิตใหเ้ ยอะทส่ี ดุ เท่าที่ จะทำได้ โดยให้ลองฟังเรื่องราวความสำเร็จจากคนอื่น หรือมีส่วนร่วมในกลุ่มที่มีเป้าหมายในการ พฒั นาตนเองและพัฒนาความสำเร็จ และถามคนอ่ืน ๆ ว่าพวกเขาใช้วิธีการอะไรในการวางแผนหรือ ปรบั เปลี่ยนชีวิต และถามพวกเขาว่าตวั เราเองควรจะเตรียมการตั้งรบั ต่ออปุ สรรคแบบไหนไว้ 2.4) วิเคราะห์แหล่งข้อมูลและวางแผนการแต่ละข้ัน สำหรับแผนชีวิตบางแผน และการปรับเปล่ียนในบางสงิ่ บางอย่างนั้น จำเป็นต้องมีแหล่งข้อมูลเพ่ือทีจ่ ะได้เร่ิมต้นทำแผนการแต่ ละขั้นให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ ซ่ึงบางทีอาจจะต้องซ้ือหนังสือ ตั้งงบประมาณ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรืออาสาช่วยคนอื่น ๆ และนอกจากน้ีอาจจะต้องหาวิธีท่ีจะเอาชนะอุปสรรคบางอุปสรรคด้วย ซ่ึง หลังจากที่ได้วิเคราะห์แลว้ ว่าตัวเองต้องการที่จะเริ่มต้นจากตรงไหนบ้าง ให้วางแผนขน้ั ตอนต่าง ๆ ท่ี จะนำพาไปยงั แผนชวี ติ อย่างท่ีตง้ั ใจไว้ 2.5) รับมือเม่ือชีวิตไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การวางแผนชีวิตน้ันเป็นวิธีที่ดี ในการสรา้ งความชัดเจนให้กบั สิ่งท่ีตัวเองต้องการ แต่ก็มีบ่อยครั้งท่ีเราไม่สามารถคาดเดาชวี ิตได้ และ มันก็ไมย่ อมเป็นไปตามแผนท่ีวางไว้ ดังนั้น จำเปน็ ต้องฝึกทกั ษะการรับมอื เอาไว้ จะไดม้ ีความสามารถ ในการรับมือกบั สิ่งที่ผดิ พลาดและต้ังต้นเดินทางเข้าหาเปา้ หมายอีกครงั้ ได้29 3) ตัง้ เป้าหมาย 3.1) เรยี นรคู้ วามสำคัญในการตัง้ เป้าหมาย การวางเป้าหมายเป็นทักษะสำคัญที่ คนทีป่ ระสบความสำเร็จหลายคนนำมาใช้ในการสร้างแรงผลกั ดนั ให้กับตัวเอง การตั้งเปา้ หมายน้นั จะ เปิดโอกาสให้โฟกัสอยู่กับการทำงานบางอย่างให้สำเร็จ ในขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้สามารถจัด ระเบยี บสิ่งต่าง ๆ ทีต่ อ้ งใช้เพื่อท่ีจะทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จได้ 29<http://www.humanstress.ca/stress/trick-your-stress/steps-to-instant-stress- management.html> (สบื คน้ ขอ้ มลู เมอ่ื วันท่ี 23 สิงหาคม 2561)

30 3.2) ใช้วิธีการต้ังเป้าหมายแบบ SMART การต้ังเป้าหมายน้ันเป็นวิธีที่ดีท่ีจะช่วย สง่ เสริมแผนชีวิต และทำให้สามารถทำเป้าหมายหรือก้าวตา่ ง ๆ ให้มีความเฉพาะเจาะจง (S = specific) สามารถวัดผลได้ (M = measurable) สามารถทำให้บรรลุผลได้ (A = assignable) ต้งั อยู่บนพนื้ ฐานของ ความเป็นจริง (R = realistic) และมีขอบเขตของเวลา (T = time bound) ซ่ึงการใช้วธิ ีการต้ังเป้าหมาย แบบ SMART เพ่ือทีจ่ ะได้เขา้ ใจวา่ อยู่ใกล้หรอื ไกลจากเปา้ หมายแค่ไหนแล้วนัน้ ถือว่าเป็นสิ่งสำคญั ในการ วางเปา้ หมาย 3.3) ทำเป้าหมายใหเ้ ป็นรปู ธรรม มีบางวธิ ที ่คี ุณสามารถใช้เพอื่ ทำให้เปา้ หมายเป็น รูปธรรมและเกิดขึ้นจริงได้ ซึ่งวิธีก็คือ ให้เขียนเป้าหมายลงบนกระดาษเปล่า ด้วยวธิ ีนี้จะสามารถทำ เป้าหมายให้ดูสมจริงได้มากกว่าการที่เก็บเป้าหมายพวกนั้นเอาไว้ในหัว และที่สำคัญให้ดูด้วยว่าทำ เป้าหมายเหล่าน้ันให้มีความเฉพาะเจาะจงหรือยัง เพราะถ้าหากอยากจะสร้างเป้าหมายให้ชีวิตตาม หลกั SMART ควรจะมเี ป้าหมายทม่ี ีความเฉพาะเจาะจงเอาไวด้ ้วย30 สรุปได้ว่า การวางแผนชีวิตนั้นคือการกำหนดเป้าหมายในชีวิตด้านต่าง ๆ โดยแบ่ง ออกเป็น 3 ระดับ คือ ขั้นต้น ข้ันกลาง และขั้นสูง แบ่งออกเป็น 3 ข้ันตอน คือ ขั้นเตรียมการ ข้ัน ปฏิบัติการ และข้ันประเมินผล และมีวิธีในการวางแผนชีวิต คอื การทำวิสัยทัศน์ของตัวเองให้ชัดเจน สร้างแผนชีวิตให้ตัวเอง และตั้งเป้าหมายให้จดั เจน เพอื่ สรา้ งความสุขใหเ้ กิดข้ึนทง้ั ทางกายและทางใจ ดว้ ยการแสวงหาความรู้เป็นเบอ้ื งต้น และฝึกฝนตนเองอยา่ งสม่ำเสมอ 1.4 สรปุ ชีวิต คือ สถานะท่ีแยกสิ่งมีชีวิตหรืออินทรีย์ออกจากสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตเติบโตผ่าน กระบวนการสันดาป การสืบพันธ์ุและการปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงในสภาพแวดล้อม ซ่ึง พระพุทธศาสนามองส่ิงทงั้ หลายรวมท้ังชีวติ และสงิ่ อื่น ๆ วา่ เป็นสิ่งที่เกดิ จากการมีสว่ นประกอบต่าง ๆ มารวมกันเข้า และมีความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองและความอิง อาศัยกนั น้ี นับว่าเปน็ คุณสมบัติสำคญั เพราะเปน็ สิง่ ที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่และดำเนนิ ไปได้ พัฒนาการของชีวิตมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับต้ังแต่วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัย ผ้ใู หญ่ และวัยสูงอายุ ซ่ึงมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญา โดยอาศัยปัจจัย ทงั้ ภายใน ไดแ้ ก่ พันธกุ รรมและพื้นฐานทางอารมณ์ จติ ใจ และปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อม ทางสงั คม การอบรมเล้ยี งดูของผ้ปู กครอง อาหาร การเจบ็ ปว่ ยหรืออบุ ัตเิ หตุ การวางแผนเป็นการบอกวัตถุประสงค์ และวิธีการที่ดีที่สุดท่ีจะบรรลุวัตถุประสงค์ รวมทั้ง ทรัพ ยากรและกำลังคนที่ต้องใช้การวัดความก้าวหน้าของงาน การวางแผนจึงเป็นกระบวนการคิด วเิ คราะห์ เพ่ือพิจารณาวัตถุประสงค์ท่ีต้องการ โดยมกี ารคาดคะเนปัญหาต่าง ๆ ท่ีอาจเกิดขึ้นและทำ การพัฒนาหาวิธกี ารแกไ้ ขเอาไว้ล่วงหนา้ การวางแผนชีวิตเป็นการวางแผนเพื่อให้มีชีวิตท่ีดี มีความสุข มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้าน สุขภาพกาย สุขภาพจิต สังคมวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเศรษฐกิจ เป็นการกำหนด เป้าหมายในชีวิตด้านต่าง ๆ โดยแบง่ ออกเปน็ 3 ระดบั คอื ขัน้ ต้น ข้ันกลาง และขั้นสงู แบ่งออกเปน็ 3 30<https://www.mindtools.com/page6.html> (สืบค้นข้อมลู เมอ่ื วนั ที่ 23 สิงหาคม 2561)

31 ข้ันตอน คือ ขั้นเตรียมการ ข้ันปฏิบตั กิ าร และขั้นประเมนิ ผล และมีวิธใี นการวางแผนชีวติ คือ การทำ วสิ ยั ทศั น์ของตัวเองใหช้ ดั เจน สร้างแผนชีวติ ให้ตัวเอง และต้ังเป้าหมายให้จดั เจน เพ่ือสร้างความสุขให้ เกิดข้นึ ทงั้ ทางกายและทางใจดว้ ยการแสวงหาความรเู้ ปน็ เบื้องตน้ และฝึกฝนตนเองอยา่ งสมำ่ เสมอ ปัญหาประจำบทที่ 1 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ชีวติ คืออะไร 2. พัฒนาการของชวี ิตมนุษย์ มกี ารเจริญเตบิ โตและพัฒนาการในก่ีช่วงวัย คือชว่ งวยั ใดบ้าง 3. ให้นักศึกษาแสดงคิดเห็นว่า ในปัจจัยท้ัง 2 ประการ คือ ปัจจัยภายใน ได้แก่ พันธุกรรม กบั ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางสังคม ปจั จยั ใดมีผลต่อพัฒนาการของชีวติ มนุษย์มากกว่า กัน เพราะเหตใุ ด 4. การวางแผนคืออะไร 5. ทำไม จึงต้องมีการวางแผนชีวิต 6. เป้าหมายชีวิตของบุคคลแบง่ ได้เปน็ กี่ระดบั คืออะไรบ้าง 7. ขัน้ ตอนการวางแผนชีวิตมีกี่ขนั้ ตอน คอื อะไรบ้าง 8. ใหน้ กั ศกึ ษาทำวสิ ัยทัศนข์ องตวั เองให้ชัดเจน 9. ใหน้ กั ศึกษาสร้างแผนชีวิตใหต้ ัวเอง 10. ใหน้ กั ศึกษาต้ังเป้าหมายชีวติ ของตวั เอง บรรณานกุ รมประจำบทท่ี 1 พนัส หนั นาคนิ ทร.์ หลกั การบริหารโรงเรยี น. (2524). กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช. พรรณี ประเสริฐวงษ์ และวีรนารถ มานะกิจ. (2533). การจัดหน่วยงานและการบริหาร. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพส์ ำนักพมิ พ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. พยอม วงศ์สารศรี. หนว่ ยงานและการจดั การ. (2537). กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพส์ ภุ า. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ศริ ิวฒั นาอนิ เตอร์พริ้นท์ จำกัด (มหาชน). <https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/july8/lifearth.htm> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันท่ี 20 สิงหาคม 2561) <http://www.humanstress.ca/stress/trick-your-stress/steps-to-instant-stress- management.html> (สืบคน้ ข้อมูลเมื่อวันท่ี 23 สิงหาคม 2561) <https://www.mindtools.com/page6.html> (สืบคน้ ขอ้ มูลเมือ่ วนั ที่ 23 สงิ หาคม 2561) <https://www.baanjomyut.com/library_2/chivit/index.html> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันท่ี 20 สิงหาคม 2561) ชาย โพธิสิตา, “ชวี ติ และความตายในทัศนะของพทุ ธศาสนา”,

32 <http://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/AnnualConference/ConferenceII/Article/Article05.htm> (สบื คน้ ขอ้ มูลเม่อื วันท่ี 20 สงิ หาคม 2561) พฒุ วิ งศ์ บุษบวรรษ, “ชวี ติ คืออะไร”, <http://www.polyboon.com/stories/story000084.html> (สบื ค้นข้อมลู เม่อื วนั ท่ี 20 สงิ หาคม 2561) <https://sites.google.com/site/ann5481136701/bth-thi2phathnakar-khxng-mnusy-tam- way/2-1kar-ceriy-teibto-laea-phathnakar-khxng-mnusy-ni-way-tang> ( สื บ ค้ น ขอ้ มูลเมอ่ื วนั ท่ี 20 สิงหาคม 2561) <https://sites.google.com/site/ann5481136701/bth-thi2phathnakar-khxng-mnusy-tam- way/2-2paccay-thi-mi-phl-tx-kar-ceriy-teibto-laea-phathnakar-khxng-mnusy> (สืบค้นขอ้ มลู เมื่อวนั ที่ 20 สงิ หาคม 2561) <https://www.gotoknow.org/posts/459524> (สบื ค้นขอ้ มูลเมอ่ื วนั ท่ี 10 กรกฎาคม 2561) <https://www.gotoknow.org/posts/459524> (สืบคน้ ขอ้ มูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561) <http://203.158.184.2/elearning/Management/unit502.htmhttp://203.158.184.2/elearn ing/Management/unit502.htm> (สบื ค้นข้อมลู เมอ่ื วันท่ี 10 กรกฎาคม 2561) <http://th49.ilovetranslation.com/ANs5pENBr4A=d/> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันท่ี 20 สิงหาคม 2561) <http://www.warin.ac.th/tweb/wallapa/07.htm> (สืบคน้ ข้อมูลเม่อื วนั ท่ี 20 สิงหาคม 2561) <http://www.academic.nu.ac.th/content_view.php?n_id=4 7 &img=2 &action=view> (สบื ค้นข้อมูลเมื่อวนั ท่ี 20 สิงหาคม 2561) <http://contextcoaching.org/how-to-write-a-life-plan/> (สืบค้นข้อมูลเม่ือวันที่ 23 สิงหาคม 2561) <http://www.forbes.com/sites/actiontrumpseverything/2013/01/13/how-to-plan-your- life-when-you-cant-plan-your-life/#44690d78c1da> (สืบ ค้น ข้อ มูลเมื่ อ วัน ที่ 2 3 สิงหาคม 2561)

บทท่ี 2 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการวางแผนชวี ติ กบั ความสขุ อยา่ งยงั่ ยืน การวางแผนชีวิตเป็นการกำหนดเป้าหมายของชีวิตในด้านต่าง ๆ เป็นกระบวนการนำไปสู่ วตั ถปุ ระสงคท์ ี่วางไว้ โดยมแี นวทางที่แน่นอน ซง่ึ จะช่วยให้บุคคลปฏิบัติตามแนวทางหรือกรอบที่วางไว้ ซ่ึงเปรยี บเสมือนพิมพ์เขียวของการสร้างบ้านก็ว่าได้ เพราะเมอื่ ชา่ งกอ่ สร้างได้ดพู ิมพ์เขียวแล้วก็ลงมือทำ การก่อสร้างบ้านได้ตามแผนที่วางไว้ ฉะนั้น การดำเนินชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุขอย่างยั่งยืนหรือ ประสบความสำเร็จในชีวิตจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้า จะทำให้ชีวิตมีความสุข ดังน้ัน การวางแผนชวี ติ กับความสุขอย่างย่ังยืนจึงมคี วามสัมพนั ธเ์ กย่ี วข้องกนั อยา่ งหลกี เล่ียงไมไ่ ด้ ปัจจุบันการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มักจะนิยมกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา ประเทศ คือ การนำพาประเทศไปสูภ่ าวะความรำ่ รวย ความมั่งค่งั และความทันสมัย โดยใช้เกณฑช์ ว้ี ัด ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นแนวทางการพัฒนา มีการใช้เงินงบประมาณ กลไกของภาครัฐ และภาคเอกชนเปน็ เครือ่ งมือในการบริหารจดั การ โดยมองถงึ “รายได้” ที่เปน็ ตวั เงิน ผลิตภัณฑ์มวล รวมของประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ผลทไ่ี ด้จากกระบวนการพัฒนา จะเป็นเสมือน สิ่งที่บ่งบอกถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของการพัฒนาประเทศ แต่อีกแนวคิดหนึ่งใช้ความสุข มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Happiness : GDH) เป็นสิ่งบ่งชี้ความเจริญก้าวหน้าหรือ ความอยูด่ กี นิ ดีของคนในประเทศ 2.1 แนวคดิ เก่ยี วกับความสขุ 2.2 ดัชนชี ีว้ ดั ความสขุ ในพระพทุ ธศาสนา 2.3 วิธีการสรา้ งความสขุ ในพระพุทธศาสนา 2.4 การวางแผนชีวติ กับความสุขอยา่ งยั่งยนื 2.5 สรปุ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับความสขุ 2.1.1 ความหมายของความสุข พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ใหค้ วามหมายไว้ว่า ความสุข หรือ สขุ คอื ความสบายกายสบายใจ1 พระราชบัญญัติสุขภาพ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ ได้ระบุไว้ว่า “สุขภาพ” หมายความว่า ภาวะของมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล “ปัญญา” หมายความว่า ความรู้ทั่ว รู้เท่าทันและความเข้าใจ อยา่ งแยกได้ในเหตผุ ลแหง่ ความดี ความชั่ว ความมีประโยชน์ และความมีโทษ ซง่ึ นำไปสู่ความมีจิตอัน ดีงามและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่2 1ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ศริ ิวัฒนาอินเตอรพ์ ริ้นท์ จำกัด (มหาชน), 2556), หน้า 383. 2ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ 124/ตอนท่ี 16 ก/หนา้ 1/19 มีนาคม 2550

34 วิกิพิเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายไว้ว่า “สุข” เป็นหัวข้อที่ผู้นับถือ พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหาเพื่อให้ได้พบกับเสรีภาพและการ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง การสอนของพระพุทธศาสนาใช้หลักธรรมที่เรียกกันว่ามรรค หรือ หนทาง 8 ประการในการดบั ทกุ ขเ์ พอ่ื นิพพาน สุขสงู สดุ สามารถมีไดด้ ว้ ยการเอาชนะตัณหาทุกรูปแบบ ส่วนสขุ จากทรัพย์สนิ หรอื ความม่ันคงในชีวิตและการมีมิตรภาพที่ดกี ็เปน็ ทย่ี อมรบั ว่าเป็นเป้าหมายที่มี คุณคา่ สำหรับบคุ คลทวั่ ไป3 สรุปได้ว่า ความหมายของความสขุ นน้ั ไม่ใช่มีเพียงในระดับปัจเจกชนเท่าน้ัน แต่จะต้อง ให้ครอบคลุมทั้งในระดับปัจเจกชนและในระดับสังคมคือคนในสังคมทัง้ หมดต้องมีภาวะทีส่ มบรู ณ์ทงั้ ทางกาย ทางจิต โดยใช้ปญั ญา ใหร้ ้เู ทา่ ทันและความเขา้ ใจอย่างแยกได้ในเหตุผลแหง่ ความดี ความช่ัว 2.1.2 ลทั ธิสขุ นยิ มในปรัชญาตะวนั ตก ลัทธิสุขนิยม (Hedonism) หมายถึง “ทรรศนะที่ถือว่าสุขารมณ์ (Pleasure) เป็นสิ่ง ประเสริฐที่สุดหรือเป็นความดีสูงสุดของชีวิต ทรรศนะนี้สอนให้บุคคลมุ่งแสวงหาความสุขทางผัสสะ หรือความสขุ สบายหรอื โลกิยสขุ ในชีวติ ปัจจุบันน้ี”4 ลทั ธิสุขนยิ มแบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ 1) ลัทธิสุขนิยมแบบอาตมะ (Egoistic Hedonism) คือลัทธิที่ถือว่า ความสุขของ ปัจเจกชน (the pleasure of the individual) เป็นความดสี ูงสุดของชีวติ มนษุ ย์ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นผู้สนับสนุนลัทธิสุขนิยมแบบอาตมะ ตาม ทรรศนะของ ฮอบส์แล้ว มนุษย์แสวงหาแต่ความสุขของตนเองเท่านั้น มนุษย์จึงเป็นผู้เห็นแก่ตัวโดย ประการท้ังปวง ภาษิตทางปรัชญาศีลธรรมของฮอบส์ คือ โดยธรรมชาติแล้ว มนษุ ย์เหน็ แก่ตวั และเป็น ปฏิปักษ์ต่อกัน (Men are by nature self-seeking and hostile toward each other.)5 ดังน้ัน ความเออ้ื เฟ้ือเผอื่ แผ่และความเมตตากรุณามใิ ชเ่ ป็นอารมณ์ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจรงิ ๆ เลย แต่ เปน็ ความรักตนทป่ี ลอมแปลงเขา้ มา 2) ลัทธิสุขนิยมแบบสาธารณะ (Altruistic Hedonism) หรือลัทธิประโยชน์นิยม (Utilitarianism) คือลัทธิที่ถือว่า ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบุคคลจำนวนมากที่สุด (the greatest happiness of the greatest number) เป็นความดีสงู สดุ ของชีวิตมนุษย์ เจเรมี เบนธัม (Jeremy Bentham) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนลัทธิประโยชน์นิยมเชิง ปริมาณ ได้กล่าวว่า เมื่อบุคคลจะลงมือกระทำการใด ๆ ควรจะคิดคำนวณคา่ ของความสุขหรอื ความ ทกุ ขเ์ สยี กอ่ น ค่าดังกลา่ วนั้นจะมากหรอื น้อยในตวั ของมนั เองย่อมข้ึนอย่กู ับเงอื่ นไข 7 ประการ คือ (1) ความเขม้ ข้น (Intensity) (2) ความยาวนานของระยะเวลา (Duration) 3<https://th.wikipedia.org/wiki/ความสุข> (สบื คน้ ขอ้ มลู เมือ่ วันที่ 24 มีนาคม 2563) 4ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (กรงุ เทพมหานคร : บริษทั อมรนิ ทร์ พรนิ้ ติ้ง กรุ๊พ จำกัด, 2532), หน้า 47. 5Albert Avey, E., Handbook in the History of Philosophy, (New York : Barnes & Noble, INC., 1962), p. 133.

35 (3) ความแน่นอนหรอื ความไม่แนน่ อน (Certainty or Uncertainty) (4) ความใกล้หรือความไกล (Propinguity or Remoteness) (5) ความอุดมสมบรู ณ์ (Fecundity) หรอื โอกาสทค่ี วามรู้สกึ อย่างเดียวกันจะเกิดขึ้น ตามมา กล่าวคือถา้ เปน็ ความสุขก็จะเกิดความสุขตามมา ถา้ เป็นความทุกข์ก็จะเกดิ ความทุกข์ตามมา อีก (6) ความบริสุทธิ์ (Purity) หรือโอกาสที่ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามไม่เกิดขึ้นตามมา กลา่ วคอื ถ้าเป็นความสุขก็จะไม่เกิดความทกุ ข์ตามขึน้ มา ถา้ เป็นความทกุ ขก์ จ็ ะไม่มีความสขุ ตามข้ึนมา (7) ขอบเขต (Extent) หมายถึงความสุขหรือความทุกข์ ซ่ึงครอบคลมุ หรือมีผลไปถึง บุคคลจำนวนหน่งึ จอห์น สจว๊ ต มิลล์ (John Stuart Mill) ซ่งึ เป็นผสู้ นบั สนุนลัทธิประโยชน์นิยมเชิง คุณภาพ ได้ปรับปรุงลัทธิประโยชน์นิยมเสียใหม่ โดยถือว่า ความสุขที่สิ่งต่าง ๆ ได้ให้นั้น มีความ แตกต่างทางคุณภาพด้วย เขาบอกว่า คนที่กล่าวหาว่า ลัทธิประโยชน์นิยมลดคนลงไปเสมอสัตว์น้ัน เข้าใจผิด เลยตีค่ามนุษย์ด้อยลงไป มิลล์กล่าวว่า “คำกล่าวหานี้ตั้งอยู่บนข้อสมมติที่ว่า มนุษย์ไม่ สามารถที่จะรู้จักความสุขอื่นใด นอกจากความสุขที่สุกรมีได้ ความพอใจแบบสัตว์ไม่อาจสนอง ความสุขของมนุษย์ได้ มนุษย์มีสมรรถนะที่มีระดับสูงกว่าความอยากของสัตว์ และเมื่อได้รู้จักใช้ สมรรถนะเหล่านคี้ ร้งั หนงึ่ แลว้ ก็จะไม่ถอื ว่าสง่ิ ใดเป็นความสุข นอกจากสิง่ น้ัน จะสนองความพอใจของ สมรรถนะเหล่าน”้ี คำว่า “สมรรถนะ” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอินทรีย์ ( Faculty) หมายถึง ความสามารถบางอย่างในตัวมนษุ ย์ ที่ทำให้มนุษย์ได้รู้จักความสุขอะไรได้บางอยา่ ง ซึ่งสัตว์รูจ้ ักไมไ่ ด้ เพราะไม่มีสมรรถนะหรืออินทรีย์กค็ ือจิตใจนั่นเอง ซึ่งจิตใจนีเ้ องทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ ทำให้ มนุษย์รู้จักความสุขที่เกิดจากการใช้ปัญญา จากความรู้สึก จากจินตนาการ และจากการสำนึกทาง ศีลธรรม ซ่ึงมคี ่าสงู กว่าความสุขท่เี กดิ จากประสาทสัมผัส แตเ่ นอื่ งจากสัตว์ไม่มีสมรรถนะเหมอื นมนุษย์ ดังนัน้ สัตวจ์ งึ ไม่สามารถรจู้ กั ความสุขต่าง ๆ ดังกลา่ วได้ สรปุ ได้ว่า ความสุขท่ีลัทธิสุขนยิ มในปรัชญาตะวนั ตกได้เสนอไวน้ นั้ มีท้ังความสุขซ่ึงเป็น ความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจของปัจเจกชน และความสุขของคนหมู่มาก ทั้งในเชิง ปริมาณ ซึ่งความสุขครอบคลุมหรือมีผลไปถึงบุคคลจำนวนหนึ่ง ทั้งในเชิงคุณภาพ ซึ่งมนุษย์มี สมรรถนะหรอื อินทรียก์ ็คอื จิตใจนน่ั เอง ทำให้มนษุ ยแ์ ตกต่างจากสัตว์ ทำให้มนุษย์รู้จักความสุขที่เกิด จากการใชป้ ัญญาได้ 2.1.3 ความสุขในพระพุทธศาสนา ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหานับตั้งแต่ในสมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ในทาง พระพุทธศาสนาได้มกี ารกลา่ วถงึ ความสุขในหลากหลายระดับ ดงั นี้ สขุ 2 1. กายกิ สขุ (ความสุขทางกาย) 2. เจตสิกสุข (ความสุขทางใจ)6 6องฺ.ทกุ . 20/315/101.

36 ความสขุ ทางจติ ใจจะเกดิ ข้ึนได้อย่างยง่ั ยืน จะตอ้ งฝึกฝนอบรมใน 2 ส่วน คอื 1. สมถภาวนา (การฝกึ อบรมจติ ใหเ้ กิดความสงบ, การฝึกสมาธ)ิ 2. วิปัสสนาภาวนา (การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามเป็นจริง, การเจริญ ปญั ญา) สขุ 2 1. คิหสิ ขุ (ความสุขของชาวบา้ น) 2. บรรพชติ สขุ (ความสุขของนักบวช)7 สขุ 2 1. สามิสสขุ (ความสุขอิงอามิส, ความสขุ อาศัยเหย่อื ล่อ, ความสขุ จากวตั ถคุ ือกามคุณ) 2. นริ ามสิ สขุ (ความสุขไมอ่ งิ อามิส, ความสขุ ไม่ตอ้ งอาศัยเหยือ่ ล่อ, ความสขุ ปลอดโปร่ง เพราะใจสงบ หรอื ไดร้ ูแ้ จง้ ตามเป็นจรงิ )8 สุข 3 1. สามิสสุข (ความสุของิ อามิส, ความสขุ อาศยั เหยอื่ ล่อ, ความสุขทางเนอื้ หนงั ) 2. นิรามิสสุข (ความสุขไม่อิงอามสิ ท่านหมายถึง ความสขุ ในฌาน 3 ช้นั ตน้ ) 3. นิรามิสตรสุข (ความสุขยิ่งกว่านริ ามิสสุข ท่านหมายถึง ความสุขโสมนัสที่เกิดข้นึ แก่ พระขีณาสพผพู้ จิ ารณาจิตซ่งึ หลดุ พน้ แลว้ จากราคะ โทสะ และโมหะ)9 สขุ 3 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กลา่ วแบ่งความสขุ ออกเป็น 3 ระดับ ดงั นี้10 1. ด้านรูปธรรมท่ีตามองเห็นหรือได้เห็นกับตา คือ การมีสุขภาพดี การมีทรัพย์สินเงิน ทอง การมีอาชีพการงานเปน็ หลักเป็นฐาน การมียศ มีฐานะ มีตำแหน่งเป็นท่ียอมรับในสังคม มีมิตร สหายบริวาร และการมีชีวิตครอบครัวท่ีดี 2. ด้านนามธรรมท่ตี ามองไม่เหน็ คอื เร่ืองของคุณธรรมความดีงาม การมีความสุขที่เกิด จากความม่นั ใจในคณุ ค่าของชีวิต การได้บำเพ็ญประโยชน์ชว่ ยเหลอื เก้ือกูลเพ่อื นมนุษย์ มคี วามศรัทธา ในส่งิ ดีงามเป็น หลักของจติ ใจ และการมปี ญั ญาที่ทำให้รูจ้ ักการปฏบิ ัติต่อสิ่งรอบข้างหรอื คนรอบข้างอ ยางถูกต้องเหมาะสม และแก้ ไขปญั หาต่าง ๆ ทีเ่ กิดขนึ้ ได้ ทำให้มชี วี ิตความเป็นอย่ทู ีด่ ี 3. ด้านนามธรรมข้ันโลกุตตระที่อยู่ในทางธรรม คือ ความเป็นผู้มีจิตใจทีเ่ ป็นอิสระดว้ ย ความรู้เท่าทันต่อสิ่งทั้งหลาย รู้และเข้าใจถึงความเป็นไปของโลกและชีวิตตามความเป็นจริงจนไม่ หวั่นไหวเมื่อมีสิ่งใดมากระทบ วางใจและปฏิบัติได้ถูกต้องตามเหตุปัจจัย ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไป ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นโดยไม่เข้ามากระทบกระทั่งบีบคั้นจิตใจ เป็นผู้ที่มีความสุขกับตนเอง ตลอดเวลา ถือวา่ มีชวี ติ ท่ีสมบรู ณ์ 7อง.ฺ ทกุ . 20/309/100. 8องฺ.ทุก. 20/313/101. 9สํ.สฬ. 18/450-2/293. 10<http://www.etheses.rbru.ac.th/pdf-uploads/thesis-170-file06-2016-02-09-11- 00-42.pdf> (สบื ค้นขอ้ มูลเม่ือวันท่ี 24 มีนาคม 2563)

37 สรุปได้ว่า ความสุขนั้นมีหลากหลายระดับ ทั้งที่เป็นความสุขทางกาย ความสุขทางใจ ความสุขของชาวบ้าน ความสุขของนักบวช ความสุขอิงอามิส ความสุขไม่อิงอามิส ความสุขด้าน รูปธรรมที่ตามองเห็นหรอื ได้เห็นกับตา เช่น การมีสุขภาพดี การมีทรัพย์สินเงินทอง การมีอาชีพการ งานเป็นหลกั เปน็ ฐาน ความสุขดา้ นนามธรรมที่ตามองไมเ่ ห็น เชน่ เรือ่ งของคณุ ธรรมความดงี าม ความ เปน็ ผ้มู จี ติ ใจทีเ่ ป็นอิสระด้วยความรู้เท่าทนั ตอ่ สงิ่ ทง้ั หลาย ร้แู ละเขา้ ใจถงึ ความเป็นไปของโลกและชีวิต ตามความเป็นจรงิ 2.2 ดัชนีชี้วัดความสุขตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา ตัวชี้วัด (KPIs) เป็นดัชนีหรือหน่วยวัดความสำเร็จของการปฏิบัติงานที่กำหนดขึ้น โดยเป็น หน่วยวัดที่แสดงผลสัมฤทธิ์ของงาน และสามารถแยกแยะความแตกต่างของผลการปฏิบัติงานได้ ความหมายของแต่ละคำ มดี งั นี้ Key หมายถึง สำคญั ที่สุดในกลุม่ Performance หมายถงึ ทำส่งิ ใดส่งิ หน่ึงไดด้ ีแคไ่ หน บรรลุ สำเร็จแค่ไหน Indicator หมายถึง ตวั วัดหรอื คุณค่าทใ่ี ห้แกส่ ิง่ ใดส่ิงหน่งึ ตัวชว้ี ัดความสขุ ตามแนวทางพระพุทธศาสนาเป็นดัชนีวดั ความสุขที่เกิดขนึ้ โดยใหค้ รอบคลุมท้ัง ท่ีเกดิ ขึน้ ในระดับปัจเจกชน และในระดบั สงั คม มดี งั นี้ 2.2.1 วัดจากความปลอดภัยทั้งแกต่ ัวเองและสังคม : ใช้หลักเบญจศลี เบญจธรรม (ความ ปลอดภยั ทัง้ แก่ตัวเองและสงั คม) ดชั นชี ว้ี ัดความสุขนปี้ ระเมนิ ได้จากความปลอดภยั ท้งั แกต่ ัวเองและสงั คม โดยการใช้หลัก เบญจศีลเบญจธรรม ดังน้ี11 1) ความปลอดภัยในชีวิต หมายถึง ทุกคนเว้นจากการเบียดเบียน การทำร้ายร่างกาย และการฆ่าผู้อื่น มี เมตตาและกรุณา คือความรักใคร่ปรารถนาให้มีความสุขความเจริญ และความ สงสารคดิ ช่วยใหพ้ ้นทุกข์ตอ่ ผอู้ น่ื 2) ความปลอดภัยในทรพั ย์สิน หมายถึง ทกุ คนเว้นจากการลักขโมยทรัพยส์ ินของผอู้ ืน่ มี สัมมาอาชีวะ คอื การหาเล้ียงชีพในทางสจุ รติ 3) ความปลอดภัยทางเพศ หมายถงึ ทกุ คนเวน้ จากการละเมิดความสัมพนั ธ์ทางเพศกับ สามีหรือภรรยาหรือ ชาย หญิงทีม่ ีเจ้าของและไม่อนุญาตให้ลว่ งละเมิดได้ มีกามสังวร (ความสังวรใน กาม, ความสำรวมระวงั รจู้ ักยบั ย้งั ควบคมุ ตนในทางกามารมณ์ ไม่ให้หลงใหลในรปู เสียง กล่นิ รส และ สมั ผัส) 4) ความปลอดภัยจากการกล่าวคำเท็จ หมายถึง ทุกคนเว้นจากการโกหก หลอกหลวง ตุ้มตุ๋น มีสจั จะ คือความสตั ย์ ความซือ่ ตรง การพดู ความจรงิ การไมห่ กั รานประโยชน์ผอู้ ่นื 5) ความปลอดภัยจากการทำร้ายตัวเอง หมายถึง ทุกคนเว้นจากสุราและสิ่งมึนเมาทุก ชนดิ รวมท้ังยาเสพติดดว้ ย แมก้ ารดืม่ สรุ าและของมึนเมาบางชนิดอาจจะไม่ผิดกฎหมายอาญา แต่การ ดื่มสุรามาก ๆ ก็มักจะนำไปสู่การก่ออาชญากรรมไดเ้ หมือนกัน มีสติสัมปชัญญะคือการระลึกได้และ 11ที.ปา. 11/286/247.

38 การรตู้ ัวอย่เู สมอ คือ ฝกึ ตนใหเ้ ปน็ คนร้จู กั ย้ังคิด รู้สึกตัวเสมอวา่ สง่ิ ใดควรทำ และไมค่ วรทำ ระวงั มิให้ เปน็ คนมวั เมาประมาท 2.2.2 วัดจากความสมานฉนั ท์ : ใชห้ ลักสาราณยี ธรรม 6 (ธรรมเปน็ เหตุใหร้ ะลกึ ถึงกนั ) ดัชนีชี้วัดความสุขนี้ประเมินได้จากความพอใจร่วมกัน, ความพร้อมใจกัน, ความเห็น พอ้ งกันของคนในสงั คม โดยการใชห้ ลักสาราณยี ธรรม 6 ดงั น้ี12 1) การทำด้วยเมตตา (เมตตากายกรรม) 2) การพดู ด้วยเมตตา (เมตตาวจีกรรม) 3) คดิ ด้วยเมตตา (เมตตามโนกรรม) 4) การทแ่ี ต่ละคนตา่ งช่วยเหลอื เก้อื กูลกนั ” (สาธารณโภคี) 5) การท่ีทกุ คนประพฤตปิ ฏิบตั ติ นอยู่ในกรอบกติกาโดยเท่าเทียมกนั (สลี สามัญญตา) 6) การที่ต่างคนต่างพยายามปรบั ความคิดความเห็นของตนใหถ้ ูกต้องลงรอยเดียวกัน (ทฎิ ฐสิ ามญั ญตา) 2.2.3 วดั จากความพอเพยี งทางวตั ถุทีเ่ สพ : ใชห้ ลกั คหิ สิ ุข 4 (สุขของชาวบา้ น 4) เรื่องเศรษฐกจิ เปน็ อีกปจั จยั หน่งึ ที่จะสร้างความสุขใหแ้ ก่มนุษย์ท่วั ไปและเป็นดัชนีชี้วัด ความสุขของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในโลกเน้นไปที่ เศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด เป็นเศรษฐกิจที่ปลุกเร้าความโลภท่ีเป็น สาเหตุสำคัญของปัญหาทางสังคมในหลายเรื่อง ที่สำคัญเศรษฐกิจแบบนี้ไม่สามารถทำให้คนเข้าถึง ความสขุ ที่แทจ้ ริงได้ รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มาตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 โดยทรงมพี ระราชดำริวา่ ดว้ ยเศรษฐกิจพอเพียงตอนหนง่ึ ว่า “...การพัฒนาประเทศจำเปน็ ต้องทำตามลำดบั ข้นั ตอ้ งสรา้ งพนื้ ฐานคือ ความพอมี พอ กิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตาม หลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขนั้ ที่สูงขึ้นโดยลำดบั ต่อไป...” พ ร ะ พ ุ ทธศาสนาได้ เสนอ หลั ก การเก ี่ ยว กั บเศรษฐกิ จที่ เป็น ดั ชนี ชี้ วั ดความสุข คือ ความสุขทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรยี กตามหลกั การว่า คหิ สิ ขุ หมายถงึ ความสขุ ของชาวบา้ น มี 4 ประการ ดังน้ีสุขของคฤหัสถ์ หรือ คิหิสุข หรือ กามโภคีสุข 4 (สุขของชาวบ้าน, สุขที่ชาวบ้านควรพยายาม เข้าถึงใหไ้ ด้สมำ่ เสมอ, สุขอนั ชอบธรรมทผ่ี ู้ครองเรอื นควรม)ี ดงั น้ี13 1) อัตถิสุข คือความสุขเกิดจากความมีทรัพย์ คือ ความภูมิใจ เอิบอิ่มใจว่า ตนได้โภค ทรัพย์มาดว้ ยน้ำพกั นำ้ แรงความขยันหมน่ั เพยี รของตนและโดยชอบธรรม 2) โภคสขุ คอื ความสขุ เกิดจากการใช้จา่ ยทรพั ย์ คือ ความภมู ิใจ เอิบอ่ิมใจว่า ตนได้ใช้ ทรพั ยท์ ีไ่ ด้มาโดยชอบน้ัน เล้ียงชีพ เลีย้ งผู้ควรเลย้ี ง และบำเพญ็ ประโยชน์ 12ท.ี ปา. 11/317/257. 13องฺ.จตุกฺก. 21/62/90.

39 3) อนณสขุ คอื ความสุขเกิดจากความไม่เป็นหน้ี คอื ความภูมใิ จ เอิบอิ่มใจ ว่าตนเป็น ไท ไม่มหี นี้สินติดคา้ งใคร 4) อนวัชชสุข คือความสุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ คือ ความภูมิใจ เอิบอิ่มใจ ว่าตนมีความประพฤติสจุ รติ ไม่บกพร่องเสยี หาย ใคร ๆ ติเตยี นไมไ่ ด้ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ บรรดาความสุข 4 อย่างน้ี อนวชั ชสุข มีค่ามากที่สดุ 2.2.4 วัดจากปจั จัยสนับสนนุ คุณภาพของชวี ติ : ใช้หลักสปั ปายะ 7 หลักสัปปายะ 7 คือสิ่งที่เหมาะกัน สิ่งที่เกื้อกูล ช่วยสนับสนุนในการเข้าถึงความสุข ประกอบไปด้วยปัจจัยทางธรรมชาติ ปัจจัยทางวัตถุ และปัจจัยทางบุคคลรอบข้าง เป็นดัชนีชี้วัด ความสขุ ของคนในสงั คมได้ มดี งั น้ี14 1) อาวาสสัปปายะ คือที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม เช่น ไม่พลุกพล่านจอแจ และเป็นที่อยู่ อาศยั ทีถ่ กู สขุ ลักษณะ 2) โคจรสัปปายะ คือแหลง่ ท่หี าอาหาร เคร่อื งอปุ โภคบรโิ ภค ท่ีหาได้สะดวก อยู่ไมใ่ กลไ้ ม่ ไกลเกินไป ไมข่ าดแคลน 3) ภสั สสัปปายะ คอื การพดู คยุ ที่เหมาะสม พดู แต่พอประมาณ พูดความจรงิ ไม่หักราน ประโยชน์ผู้อนื่ 4) ปคุ คลสปั ปายะ คือบคุ คลทีเ่ หมาะสม เชน่ มที า่ นผู้ทรงคณุ ธรรม ทรงภมู ปิ ญั ญาเป็นที่ ปรึกษาให้คำแนะนำทีถ่ ูกต้อง 5) โภชนสัปปายะ คืออาหารที่ดีมีประโยชน์ พอเพียงแก่ความต้องการของร่างกาย เก้อื กูลตอ่ สุขภาพ 6) อุตุสัปปายะ คือดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่ดี เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อน เกนิ ไป ไม่มมี ลภาวะ เปน็ ตน้ 7) อิริยาปถสัปปายะ คืออิริยาบถที่เหมาะกัน เป็นการออกกำลงั กายอย่างเหมาะสมใน สัดสว่ นทใ่ี ห้ผลดีต่อสุขภาพ อยู่เป็นประจำ 2.2.5 วดั จากความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ : หลกั โภคอาทยิ ะ 5 (ประโยชน์ท่คี วร ถอื เอาจากการมีหรือครอบครองโภคทรัพย์) บุคคลในสงั คมเม่อื มีกินมใี ชค้ อื มเี ศรษฐกิจดีแลว้ ถอื เป็นหลกั สำคัญที่จะต้องให้ปนั เผื่อแผ่ แกค่ นอื่น หลกั โภคอาทิยะ 5 (ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากการมีหรือครอบครองโภคทรัพย์) เป็นดัชนีช้ี วัดความสุขของคนในสังคมได้ มดี ังน้ี15 1) เลีย้ งตวั มารดาบิดา บตุ รภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข 2) บำรงุ มิตรสหายและผรู้ ว่ มกจิ การงานใหเ้ ป็นสขุ 3) ให้รักษาทรัพย์ไว้ให้พ้นจากภัยต่าง ๆ คือ อัคคีภัย อุทกภัย ซึ่งเป็นภัยที่เป็นไปโดย ธรรมชาติ โจรภัย ราชภยั และภยั ทีเ่ กิดแตท่ ายาทผู้ไม่เป็นทร่ี กั ซงึ่ เปน็ ภัยที่มาจากบคุ คล 4) ทำพลี 5 อย่าง 14วิสุทธฺ ิ. 1/161. 15องฺ.ปญฺจก. 22/41/48.

40 4.1) ญาตพิ ลี สงเคราะห์ญาติ 4.2) อติถิพลี ต้อนรบั แขก 4.3) ปพุ พเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผูล้ ่วงลบั 4.4) ราชพลี บำรงุ ราชการด้วยการเสียภาษอี ากรเปน็ ตน้ 4.5) เทวตาพลี ถวายเทวดา คอื สักการะบำรุงหรอื ทำบญุ อุทิศสิ่งท่เี คารพบูชา ตาม ความเช่อื ถอื 5) อปุ ถัมภบ์ ำรุงสมณพราหมณผ์ ู้ประพฤติดีปฏบิ ตั ิชอบ ดังน้นั เมอ่ื บคุ คลในสังคมมกี ินมีใชแ้ ลว้ จงึ สง่ ผลทจี่ ะต้องใหป้ ันเผื่อแผ่แก่คนอ่ืน ท้ังที่เป็น คนรอบขา้ ง ผู้มาเยอื น สมณชพี ราหมณ์ผู้ประพฤตดิ ีปฏบิ ตั ชิ อบในพระวนิ ัย ตลอดจนบำรุงราชการด้วย การเสียภาษอี ากร เป็นต้น 2.2.6 วดั จากความสัมพันธ์ทางสงั คม : หลักทศิ 6 บุคคลประเภทตา่ ง ๆ ในสถาบนั ทางสงั คมตอ้ งเกย่ี วขอ้ งสัมพนั ธ์กัน ดจุ ทศิ ท่ีอยู่รอบตวั หลักทศิ 6 เปน็ ดัชนชี ี้วดั ความสุขของคนในสังคมได้ ดงั นี้16 1) สถาบนั ครอบครัว สามี-ภรรยา พึงปฏิบตั ิหนา้ ท่ตี ่อกันใหถ้ ูกต้อง คือ ก. หนา้ ท่ีท่สี ามพี ึงปฏิบตั ิต่อภรรยา (1) ยกยอ่ งให้เกยี รตสิ มฐานะทเี่ ปน็ ภรรยา (2) ไมด่ หู ม่ิน (3) ไมน่ อกใจ (4) มอบความเปน็ ใหญ่ในงานบา้ น (5) หาเครอื่ งแตง่ ตวั มาให้เปน็ ของขวญั ตามโอกาส ข. หนา้ ทที่ ีภ่ รรยาพึงปฏิบัตติ อ่ สามี (1) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย (2) สงเคราะห์ญาตมิ ิตรท้ัง ๒ ฝา่ ยดว้ ยดี (3) ไม่นอกใจ (4) รักษาทรัพยส์ มบัติทห่ี ามาได้ (5) ขยนั ชา่ งจัดช่างทำ เอางานทุกอยา่ ง บดิ ามารดา-บุตรธิดา พงึ ปฏิบตั หิ นา้ ทตี่ อ่ กนั ให้ถกู ต้อง คือ ก. หน้าทท่ี ่บี ดิ ามารดาพึงปฏบิ ัติต่อบตุ รธดิ า (1) หา้ มปรามปอ้ งกันจากความช่วั (2) ดูแลฝึกอบรมให้ตั้งอยใู่ นความดี (3) ให้ศึกษาศิลปวิทยา (4) เป็นธุระในเรอื่ งจะมีคู่ครองที่สมควร (5) มอบทรัพย์สมบัติให้เม่ือถงึ โอกาส 16ที.ปา. 11/199-204/203-206.

41 ข. หน้าท่ที ่ีบุตรธดิ าพงึ ปฏิบัติตอ่ บดิ ามารดา (1) ทา่ นเล้ยี งเรามาแล้ว เล้ยี งท่านตอบ (2) ชว่ ยทำกจิ ธรุ ะการงานของทา่ น (3) ดำรงวงศ์สกลุ (4) ประพฤตติ นให้เหมาะสมกบั ความเปน็ ทายาท (5) เมอ่ื ท่านลว่ งลบั ไปแลว้ ทำบญุ อทุ ิศให้ท่าน 2) สถาบันการศกึ ษา ครูอาจารย์-ศษิ ย์ พงึ ปฏิบตั หิ น้าท่ีตอ่ กนั ให้ถูกตอ้ ง คอื ก. หน้าทที่ คี่ รอู าจารย์พงึ ปฏบิ ตั ติ อ่ ศิษย์ (1) แนะนำฝกึ อบรมใหเ้ ป็นคนดี (2) สอนใหเ้ ข้าใจแจ่มแจง้ (3) สอนศิลปวทิ ยาใหส้ ิน้ เชิง (4) สง่ เสริมยกยอ่ งความดงี ามความสามารถให้ปรากฏ (5) สร้างเครื่องค้มุ ภัยในสารทศิ คอื สอนฝึกศิษย์ให้ใช้วชิ าเล้ยี งชีพได้จรงิ และรู้จัก ดำรงตนดว้ ยดี ทจี่ ะเป็นประกนั ให้ดำเนินชีวิตดงี ามโดยสวัสดี มคี วามสขุ ความเจรญิ ข. หน้าทท่ี ่ีศษิ ยพ์ งึ ปฏิบัตติ ่อครูอาจารย์ (1) ลกุ ตอ้ นรบั แสดงความเคารพ (2) เขา้ ไปหา เพ่ือบำรงุ รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ เปน็ ต้น (3) ฟังด้วยดี ฟงั เป็น รู้จักฟงั ให้เกดิ ปัญญา (4) ปรนนบิ ตั ิ ชว่ ยบริการ (5) เรยี นศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจงั ถอื เป็นกจิ สำคญั 3) สถาบันสงั คม มติ ร-มิตร พงึ ปฏบิ ตั ิหน้าทีต่ ่อกันให้ถกู ต้อง คอื ก. หน้าทท่ี ม่ี ติ รพงึ ปฏบิ ัติตอ่ มิตร (1) เผ่อื แผ่แบง่ ปนั (2) พูดจามีน้ำใจ (3) ช่วยเหลอื เก้ือกลู กัน (4) มตี นเสมอ ร่วมสุขรว่ มทุกขด์ ว้ ย (5) ซือ่ สตั ย์จริงใจ ข. หนา้ ท่ีทม่ี ติ รพึงปฏบิ ัตติ ่อมติ ร (1) เมอื่ เพอ่ื นประมาท ชว่ ยรักษาป้องกนั (2) เม่ือเพ่ือนประมาท ชว่ ยรกั ษาทรัพยส์ มบัตขิ องเพอ่ื น (3) ในคราวมีภยั เป็นทพี่ ่ึงได้ (4) ไม่ละท้งิ ในยามทุกขย์ าก (5) นับถอื ตลอดถึงวงศ์ญาตขิ องมิตร นายจ้าง-ลูกจา้ ง พึงปฏบิ ัติหนา้ ทตี่ อ่ กันใหถ้ ูกต้อง คอื

42 ก. นายจา้ งพงึ ปฏบิ ัติต่อลูกจ้าง (1) จัดงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลงั เพศ วัย ความสามารถ (2) ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่ (3) จดั สวสั ดิการดี มชี ว่ ยรกั ษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เปน็ ตน้ (4) มอี ะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้ (5) ใหม้ ีวนั หยุด และพักผ่อนหยอ่ นใจ ตามโอกาสอนั ควร ข. ลกู จา้ งพึงปฏิบัตติ ่อนายจา้ ง (1) เรมิ่ ทำงานกอ่ น (2) เลกิ งานทีหลงั (3) เอาแต่ของท่นี ายให้ (4) ทำการงานให้เรยี บร้อยและดยี ิ่งขึน้ (5) นำความดีของนายงานและกจิ การไปเผยแพร่ 4) สถาบนั ศาสนา พระสงฆ์-ชาวบา้ น พึงปฏบิ ตั ิหน้าท่ีต่อกันใหถ้ ูกตอ้ ง คือ ก. หนา้ ท่ที ่พี ระสงฆ์พึงปฏิบตั ิต่อชาวบา้ น (1) หา้ มปรามสอนใหเ้ ว้นจากความชวั่ (2) แนะนำสั่งสอนใหต้ ั้งอยู่ในความดี (3) อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี (4) ใหไ้ ดฟ้ งั ไดร้ สู้ ่ิงทย่ี ังไม่เคยร้ไู ม่เคยฟงั (5) ช้ีแจงอธบิ ายทำส่งิ ที่เคยฟังแล้วให้เขา้ ใจแจ่มแจง้ (6) บอกทางสวรรค์ สอนวิธดี ำเนนิ ชีวติ ใหป้ ระสบความสขุ ความเจริญ ข. หน้าท่ที ี่ชาวบา้ นพึงปฏบิ ัตติ อ่ พระสงฆ์ (1) จะทำส่งิ ใด ก็ทำดว้ ยเมตตา (2) จะพูดสิ่งใด กพ็ ูดดว้ ยเมตตา (3) จะคดิ สง่ิ ใด ก็คดิ ดว้ ยเมตตา (4) ตอ้ นรบั ด้วยความเต็มใจ (5) อปุ ถัมภ์ดว้ ยปัจจยั ๔ หลักทิศ 6 เป็นคำสอนที่มุ่งเน้นให้คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อกัน เพราะ เป็นหลักการเกยี่ วกบั ความประพฤติในการอย่รู ว่ มกนั ระหว่างบุคคลในสังคม และความสมั พันธ์ ทเ่ี หมาะสมกับสภาพแวดล้อม เพื่อใหก้ ารดำรงชวี ิตและการดำเนินกิจการต่าง ๆ รวมทั้งการจัดสภาพ ความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อย เกื้อกูลแก่ชีวิต กิจการของบุคคล และหมู่ชนในสังคม ให้ สามารถกระทำและดำเนินไปอย่างดีงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป รวมถึงสามารถบรรลุสู่จุดหมายสูงสุดของชีวิต ตามที่ตนเอง ครอบครวั และสังคมได้กำหนดไว้ สรปุ ได้ว่า ตวั ช้ีวัดความสุขตามแนวทางพระพุทธศาสนา ทัง้ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในระดับปัจเจกชนและใน ระดบั สังคม ใชห้ ลักธรรมต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ใชห้ ลักเบญจศีลเบญจธรรม เพ่ือเป็นตัวชี้วัดความสุขท่ีเกิดจาก ความปลอดภัยทัง้ แกต่ ัวเองและสังคม ใช้หลกั สาราณียธรรม 6 (ธรรมเปน็ เหตใุ ห้ระลึกถึงกนั ) เพื่อเป็น

43 ตัวชี้วัดความสุขที่เกิดจากความสมานฉันท์ ใช้หลักคิหิสุข 4 (สุขของชาวบ้าน 4) เพื่อเป็นตัวชี้วัด ความสขุ ท่เี กิดจากความพอเพียงทางวัตถทุ ี่เสพ ใชห้ ลักสปั ปายะ 7 เพ่อื เป็นตวั ชี้วดั ความสุขที่เกิดจาก ปัจจัยสนับสนุนคุณภาพของชีวิต ใช้หลักโภคอาทิยะ 5 (ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากการมีหรือ ครอบครองโภคทรัพย์) เพอื่ เปน็ ตัวชว้ี ดั ความสุขท่ีเกิดจากความม่ันคงทางสังคมและเศรษฐกิจ และใช้ หลักทศิ 6 เพอื่ เป็นตวั ชี้วดั ความสุขทเี่ กดิ จากความสมั พนั ธท์ างสงั คม 2.3 วธิ กี ารสรา้ งความสุข บญุ ในแง่หน่งึ หมายถึงความสุข ดงั ข้อความทป่ี รากฏในเมตตาสตู รว่า “ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอ ทั้งหลาย อย่ากลัวบุญเลย คำว่า “บุญ” น้ี เป็นชื่อแห่งความสุข ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่า พอใจ”17 ดังน้นั วธิ ีการสรา้ งความสขุ ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ดงั นี้18 1) ทานมัย (วธิ ีการสร้างความสขุ ดว้ ยการให้ปันสิง่ ของ) 2) สีลมยั (วธิ กี ารสรา้ งความสขุ ดว้ ยการรักษาศีลหรือประพฤตดิ ี) 3) ภาวนามัย (วธิ ีการสรา้ งความสขุ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนาคอื ฝึกอบรมจิตใจ) 4) อปจายนมยั (วิธีการสร้างความสุขด้วยการประพฤติออ่ นน้อม) 5) เวยยาวจั จมัย (วธิ ีการสร้างความสขุ ด้วยการชว่ ยขวนขวายรับใช)้ 6) ปตั ติทานมยั (วธิ กี ารสร้างความสุขด้วยการเฉล่ียสว่ นแห่งความดีใหแ้ ก่ผูอ้ นื่ ) 7) ปตั ตานโุ มทนามัย (วิธกี ารสร้างความสุขดว้ ยการยินดใี นความดขี องผ้อู ่นื ) 8) ธัมมัสสวนมยั (วธิ กี ารสรา้ งความสุขด้วยการฟังธรรมศกึ ษาหาความรู้) 9) ธมั มเทสนามยั (วธิ กี ารสร้างความสุขดว้ ยการสั่งสอนธรรมใหค้ วามรู)้ 10) ทฏิ ฐชุ ุกัมม์ (วธิ ีการสร้างความสขุ ดว้ ยการทำความเหน็ ใหต้ รง) ข้อ 4 และขอ้ 5 จัดเข้าในสีลมัย; 6 และ 7 ในทานมัย; 8 และ 9 ในภาวนามยั ; ขอ้ 10 ได้ท้ัง ทาน ศลี และภาวนา สรปุ ได้ว่า วิธีการสรา้ งความสุขดังกล่าวน้ีสามารถทำไดใ้ นชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดประโยชน์ ท้งั แกต่ นเอง คือการใหป้ ันสิง่ ของเพอ่ื การกำจัดความตระหน่ีทีม่ ีอยู่ในใจ การฝึกอบรมจติ ใจใหส้ งบ ให้ เขา้ ถึงความเป็นจริงของชวี ิต จนไม่หวั่นไหวเม่อื มสี ง่ิ ใดมากระทบ วางใจและปฏบิ ัติได้ถูกต้องตามเหตุ ปัจจัย การฟังธรรมศึกษาหาความรู้ ตลอดจนกระทั่งการพยายามทำความเห็นให้ตรง และสังคม คือ การประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ การช่วยขวนขวายรับใช้ การเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น การ ยนิ ดีในความดีของผ้อู น่ื และการสง่ั สอนธรรมให้ความรู้ เป็นหลกั การท่ีคนในสังคมจะต้องมีเพื่อรักษา ไว้ซ่ึงความสุข 17ข.ุ ธ. 25/22/366. 18ที.อ. 3/246.

44 2.4 การวางแผนชีวิตกบั ความสขุ อย่างยงั่ ยืน การดำเนินชวี ิตให้อยู่อย่างมีความสุขหรือประสบความสำเร็จในชีวิตจึงจำเปน็ ต้องมีการวางแผน ชีวติ ไวล้ ว่ งหน้า ในดา้ นตา่ ง ๆ คือ การศึกษา การทำงาน การมคี รอบครัว ฯลฯ การวางแผนชวี ิตก็ยังทำ ให้เราสามารถตรวจสอบเร่ืองท่ีผิดพลาดได้ง่ายว่าท่ผี ิดพลาดน้ันเกิดจากสาเหตุหรือขั้นตอนใด และทำให้ สามารถหาแนวทางแกไ้ ขได้ทัน ดงั น้ันการวางแผนชวี ติ จะประกอบดว้ ยข้นั ตอนทีส่ ำคัญ 3 ขน้ั ตอน คือ 1) ขั้นเตรียมการ คือ การเตรียมตนเองให้พร้อมต่อการแสวงหาวัตถุ และพร้อมต่อการสะสม รักษาวตั ถทุ ี่จะก่อให้เกดิ ความสุขทัง้ กายและใจของตนเอง ซ่งึ การเตรียมตนนัน้ กจ็ ะหมายถงึ การเติม เต็มความรู้ให้กับตนเอง การคบหรือการเรียนรู้จากแหล่งดี ๆ ที่เราเรียกวา่ กัลยาณมิตร เรียกว่า ขั้น ปรยิ ตั ิ (การเรยี นร)ู้ ซ่ึงตวั ช้ีวดั กค็ ือ ประกาศนยี บัตร หลกั ฐานการจบการศึกษา ปริญญาบตั ร ฯลฯ 2) ขัน้ ปฏบิ ตั ิการ คอื ข้นั ตอนของการประยุกต์ใช้ความรู้ทีไ่ ด้เตรียมการไวอ้ ยา่ งดี แสวงหาวัตถุ (ทรัพย์) ได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะพิสูจนไ์ ด้จากความรู้สึกเป็นอสิ ระ มีความกล้าหาญ เบิกบาน ร่าเรงิ ต่อการได้วัตถุนั้นตลอดเวลา และสามารถแสดงออกมาได้ทั้งกายและวาจาได้ เรียกวา่ ขั้นปฏิบัติ ที่มี ตวั ชี้วัดคอื ผลของการใช้วาจา และผลของการประพฤติแสดงออก 3) ขั้นการประเมินผล คือ ขั้นตอนของการเข้าใจ ความแจ่มแจ้งต่อความแสวงหาวัตถุ ว่าเป็น ความถูกต้อง ชอบธรรม และยุติธรรม สามารถตอบคำถามได้ว่า วัตถุที่ไดม้ านั้น วิเคราะห์สังเคราะห์ ไดว้ ่า ผงั ความสขุ มาใหไ้ ด้จริง และเป็นความสุขที่ได้จากการคิด การใช้เหตุผล มคี วามเขา้ ใจ แจ่มแจ้ง ว่าวัตถุท่ีได้มานนั้ สามารถสะสมและแบ่งปนั ใหผ้ ู้อน่ื ในทางท่เี ปน็ ประโยชน์ไดอ้ ย่างแท้จรงิ เรียกวา่ เป็น ข้นั ตอนของการเข้าใจเขา้ ถงึ ทเ่ี รียกวา่ ข้ันปฏเิ วธ การวางแผนชวี ติ เพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายชีวติ ใน 3 ระดับ คือ 1) การวางแผนเป้าหมายชีวิตขั้นต้น เป็นการวางแผนตั้งเป้าหมายของชีวิตโดยมุ่งมั่น ฝึกฝน ตนเอง ให้บรรลุเป้าหมายของชีวิต ว่าจะต้องเรียนให้จบ มีอาชีพ มีฐานะที่ดีให้ได้ ด้วยองค์ประกอบ ต่าง ๆ เช่น การประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ทำตัวเป็นปัญหา ไม่ผิดกฎหมาย และตั้งเป้าหมายว่าจะ ประกอบอาชพี อะไร เชน่ ครู พยาบาล ตำรวจ ทหาร ชาวนา หรืออ่ืน ๆ ก็ได้ ขอใหเ้ ป็นอาชพี ท่ีสจุ รติ 2) การวางแผนเป้าหมายชีวิตขัน้ กลาง เป็นการตัง้ เปา้ หมายของชีวิตว่าตอ้ งพยายามต้ังตัวและ สร้างฐานะของตนเอง มีชีวิตคู่ มีชีวิตครอบครัว มีลูกให้ดีในชีวิตนี้ ไม่ย่อท้อ รู้จักการสร้างคุณค่าให้ ชีวติ ด้วยการขยัน ตัง้ ใจทำความดี เอ้ืออาทร มเี มตตาต่อผูอ้ ่ืน ซง่ึ เป็นเป้าหมายชีวติ สงู สุด 3) การวางแผนเป้าหมายชีวิตขั้นสูงสุด เป็นการต้ังเป้าหมายของชีวิตท่ีเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อ ตนเอง และบุคคลอื่น คือการตั้งใจดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน หน้าที่ การ งาน ชีวติ ครอบครัว และตงั้ ใจปฏิบตั ิธรรมทุกรูปแบบ โดยการตง้ั ใจทำความดี หมัน่ ให้ทาน รกั ษาศลี ฝึก สมาธเิ พื่อให้จติ ใจผ่องใส เกิดปญั ญา เพอ่ื รกั ษาเป้าหมายของชีวติ ให้มน่ั คง ในทกุ ๆ ดา้ น สรปุ ไดว้ ่า การวางแผนชวี ิตทำให้มีการดำเนินชีวิตอยู่อย่างมีความสุขหรือประสบความสำเร็จใน ชีวิต ประกอบไปด้วยขั้นเตรียมการ ซึ่งตัวชี้วัดก็คือ ประกาศนียบัตร หลักฐานการจบการศึกษา ปรญิ ญาบตั ร ฯลฯ ข้ันปฏิบตั กิ าร ซึ่งตวั ชว้ี ดั คือผลของการใช้วาจา และผลของการประพฤติแสดงออก และขั้นการประเมินผล ซงึ่ ตวั ชวี้ ดั คอื ผลของการเข้าใจเขา้ ถงึ ชีวิต รแู้ ละเขา้ ใจถงึ ความเป็นไปของโลก และชีวิตตามความเป็นจริงจนไม่หวั่นไหวเมื่อมีสิ่งใดมากระทบ วางใจและปฏิบัติได้ถูกต้องตามเหตุ ปัจจัย ให้บรรลุเป้าหมายชีวิต คือขั้นต้น เป็นเรื่องการศึกษา อาชีพ เป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ ขั้นกลาง

45 เป็นเรื่องการมคี รอบครัว ขน้ั สงู สุด คือการปฏิบตั ิธรรมทกุ รูปแบบ โดยการต้งั ใจทำความดี หม่ันให้ทาน รักษาศลี ฝกึ สมาธเิ พ่ือใหจ้ ิตใจผ่องใส เกิดปัญญา เป็นเร่ืองทางศาสนา 2.5 สรุป การวางแผนชีวิตเป็นการวางแผนเพื่อให้มีชีวิตที่ดี มีความสุข มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้าน สุขภาพกาย สขุ ภาพจิต สังคมวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเศรษฐกจิ สามารถดำรงตนให้ เป็นประโยชนท์ ้งั ต่อตนเองและสังคม เพอ่ื ใหถ้ ึงจดุ หมายปลายทางตามที่มงุ่ หวังเอาไว้ ซ่ึงประกอบไป ดว้ ยการนำชีวติ สู่จดุ หมายเพือ่ ประโยชนใ์ นปัจจบุ นั ประโยชน์ในอนาคต และประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ความสุขนั้นมีหลากหลายระดับ ทั้งที่เป็นความสุขทางกาย ความสุขทางใจ ความสุขอิงอามิส ความสุขไม่อิงอามิส ความสุขด้านรูปธรรมทีต่ ามองเห็นหรือได้เห็นกับตา เช่น การมีสุขภาพดี การมี ทรัพย์สินเงนิ ทอง การมีอาชีพการงานเป็นหลักเป็นฐาน ความสุขด้านนามธรรมที่ตามองไม่เห็น เช่น เรื่องของคุณธรรมความดงี าม ความเป็นผู้มจี ิตใจทีเ่ ป็นอิสระด้วยความรู้เท่าทันต่อสิ่งทั้งหลาย รู้และ เข้าใจถึงความเป็นไปของโลกและชีวติ ตามความเป็นจริง ตวั ชีว้ ดั ความสขุ ตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา ทั้งทเี่ กดิ ข้นึ ในระดับปจั เจกชนและในระดับสังคม ใช้หลักธรรมตา่ ง ๆ ได้แก่ หลักเบญจศีลเบญจธรรม หลักสาราณียธรรม 6 (ธรรมเป็นเหตุให้ระลกึ ถึง กัน) หลักคิหิสุข 4 (สุขของชาวบ้าน 4) หลักสัปปายะ 7 หลักโภคอาทิยะ 5 (ประโยชน์ที่ควรถือเอา จากการมหี รือครอบครองโภคทรัพย)์ และหลักทิศ 6 วิธีการสร้างความสุข ทำให้เกดิ ประโยชน์ท้ังแก่ตนเอง คือการใหป้ นั ส่งิ ของเพ่ือการกำจัดความ ตระหนี่ท่ีมอี ยใู่ นใจ การฝึกอบรมจิตใจให้สงบ ใหเ้ ข้าถงึ ความเป็นจริงของชีวิต จนไม่หว่ันไหวเมื่อมีส่ิง ใดมากระทบ วางใจและปฏิบัติได้ถกู ต้องตามเหตปุ ัจจยั การฟงั ธรรมศกึ ษาหาความรู้ ตลอดจนกระทั่ง การพยายามทำความเห็นให้ตรง และสังคม คือการประพฤตอิ ่อนน้อมตอ่ ผู้ใหญ่ การช่วยขวนขวายรับ ใช้ การเฉลีย่ สว่ นแห่งความดใี หแ้ ก่ผ้อู ืน่ การยนิ ดใี นความดขี องผู้อน่ื และการส่งั สอนธรรมให้ความรู้ การวางแผนชีวิตทำให้มีการดำเนินชีวิตอยู่อย่างมีความสุขหรือประสบความสำเร็จในชีวิต ประกอบไปดว้ ยขน้ั เตรียมการ ข้นั และข้ันการประเมนิ ผล ให้บรรลุเปา้ หมายชวี ติ คือข้ันตน้ เป็นเรื่อง การศึกษา อาชีพ เป็นเรื่องทางเศรษฐกิจ ขั้นกลาง เป็นเรื่องการมคี รอบครัว ขั้นสูงสุด คือการปฏิบัติ ธรรมทุกรปู แบบ โดยการตัง้ ใจทำความดี หม่ันใหท้ าน รักษาศีล ฝกึ สมาธิเพอ่ื ให้จิตใจผ่องใส เกิดปัญญา เปน็ เร่ืองทางศาสนา ปญั หาประจำบทที่ 2 จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้ 1. ใหน้ ักศึกษาวจิ ารณ์การใช้ความสุขมวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Happiness : GDH) เป็นสิ่งบง่ ชี้ความเจริญก้าวหน้าหรอื ความอยู่ดีกินดีของคนในประเทศ แทนผลิตภัณฑ์มวลรวม ของประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ซ่งึ เปน็ ตวั เงนิ 2. ความสุขของคนหมู่มากในเชิงปริมาณมีความแตกต่างกับความสุขของคนหมู่มากในเชิง คณุ ภาพอย่างไร 3. ในทางพระพทุ ธศาสนาได้มกี ารกล่าวถงึ ความสขุ ไวอ้ ยา่ งไรบ้าง ยกตวั อยา่ ง

46 4. ใช้หลักเบญจศีลเบญจธรรม ทำให้ตัวเราและสังคมมีความสุขทีเ่ กิดจากความปลอดภยั ได้ อยา่ งไร 5. ใช้หลักสาราณียธรรม 6 (ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน) ทำให้สังคมมีความสุขที่เกิดจาก ความสมานฉันท์ได้อยา่ งไร 6. ใช้หลักสัปปายะ 7 ทำให้สังคมมีความสุขที่เกิดจากปัจจัยสนับสนุนคุณภาพของชีวิตได้ อย่างไร 7. ทานมยั คอื วิธีการสร้างความสขุ ดว้ ยการใหป้ นั สงิ่ ของ ทำให้ตัวเรามีความสุขไดอ้ ย่างไร 8. ภาวนามัย คือ วิธีการสร้างความสุขด้วยการเจริญภาวนาคือการฝึกอบรมจิตใจ ทำให้ตัว เรามีความสุขได้อยา่ งไร 9. ทฏิ ฐุชกุ ัมม์ คือ วธิ ีการสรา้ งความสุขด้วยการทำความเหน็ ให้ตรง ทำใหต้ วั เรามีความสุขได้ อย่างไร 10. การวางแผนชวี ติ ที่เป็นไปตามข้นั ตอนตา่ ง ๆ ทำให้คนเรามีความสขุ อย่างยัง่ ยืนได้อยา่ งไร บรรณานกุ รมประจำบทที่ 2 มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (2556). กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท ศริ วฒั นา อนิ เตอรพ์ ร้ินท์ จำกัด (มหาชน). ราชบัณฑิตยสถาน. (2532). พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาอังกฤษ-ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั อมรินทร์ พร้นิ ติง้ กรุ๊พ จำกดั . ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124/ตอนท่ี 16 ก/หน้า 1/19 มนี าคม 2550 Albert Avey, E. (1962). Handbook in the History of Philosophy. New York : Barnes & Noble, INC. <https://th.wikipedia.org/wiki/ความสุข> (สืบคน้ ขอ้ มูลเมื่อวันท่ี 24 มนี าคม 2563) <http: / / www. etheses. rbru. ac. th/ pdf- uploads/ thesis- 170- file06- 2016- 02- 09- 11- 00- 42.pdf> (สบื คน้ ข้อมลู เมอ่ื วนั ท่ี 24 มนี าคม 2563)

บทท่ี 3 การวางแผนชวี ติ ดา้ นการศึกษา การศึกษาเป็นกิจกรรมพื้นฐานของมนุษย์ในสังคม และสังคมจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีการ ถ่ายทอดส่ิงต่าง ๆ จากคนรุ่นเก่าไปสู่คนร่นุ ใหม่ ตลอดจนให้มีการปฏิบัติตามที่กลุ่มคาดหวังไว้ แต่ละ สังคมจึงจำเป็นต้องมีการอบรมสั่งสอนสมาชิกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงทำให้การศึกษาในฐานะเป็น วฒั นธรรมอย่างหนึง่ ของมนษุ ย์ เปน็ กลไกหลักในการพัฒนากำลงั คนใหม้ ีคุณภาพ เป็นเครอื่ งมือพัฒนา มนุษย์ท้ังทางร่างกาย จติ ใจ สตปิ ัญญาและทกั ษะวิชาชพี เพื่อใหส้ ามารถดำรงชีวิตอยรู่ ว่ มกับบุคคลอื่น ในสังคมได้อย่างเป็นสขุ ชีวิตที่มีการศึกษา ย่อมมีสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการปรับตัวและสัมพันธ์กับ ส่ิงแวดลอ้ มตามธรรมชาติและทางสังคม จนถึงขนาดท่ีสามารถปรับสงิ่ แวดล้อมให้เปน็ ประโยชน์แก่ตัว ได้1 ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นกิจกรรมของชีวิต โดยชีวิต และเพื่อชีวิต และทำไปเพือ่ ประโยชน์แกช่ ีวิต น่ันเอง 3.1 แนวคดิ การจดั การศึกษา 3.2 ความหมายของการศึกษา 3.3 ความมงุ่ หมายของการศกึ ษา 3.4 องคป์ ระกอบของการศึกษา 3.5 หน้าทีข่ องสถาบันการศกึ ษา 3.6 การวางแผนชวี ิตกบั การศึกษา 3.7 สรปุ 3.1 แนวคิดการจดั การศกึ ษา แนวคิดการจัดการศึกษาเป็นเบื้องต้นของการพิจารณาการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ โดย พิจารณาจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560- 2579 และทัศนะของนกั วชิ าการทางการศึกษาแนวพุทธท่ไี ด้ใหไ้ ว้ พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ไดร้ ะบุถึงการจดั การศึกษาให้ยึดหลักดงั นี้2 1. เป็นการศึกษาตลอดชวี ติ สำหรบั ประชาชน 2. ให้สังคมมีส่วนรว่ มในการจัดการศึกษา 3. การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรูใ้ หเ้ ปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนือ่ ง แนวคิดการจัดการศกึ ษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ยึดหลกั การตอ่ ไปนี้3 1พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ปรัชญาการศึกษาของไทยภาคพุทธธรรม : แกนนาํ การศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ผลธิ ัมม์, 2556), หน้า 8. 2ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 116 ตอนที่ 74 ก 19 สงิ หาคม 2542, หน้า 4. 3สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2560), หนา้ 76-77.

48 1. หลักการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) เป็นการจัดการศึกษาเพื่อให้ ประชาชนทุกคน ทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กปฐมวัย วัยเรียน วัยทำงาน และผู้สูงวัยมีโอกาสในการศึกษา และการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต เพ่อื ใหแ้ ตล่ ะบุคคล ได้พฒั นาตามความพร้อมและความสามารถให้บรรลุขีด สูงสุด มีความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ในการดำรงชีวิต และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคม รวมทั้งมีสมรรถนะในการทำงานเพื่อการประกอบอาชีพตามความถนัดและความสนใจ สอดคล้องกบั ความต้องการของตลาดงานและการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ 2. หลักการจัดการศึกษาเพื่อความเท่าเทียมและทัว่ ถึง (Inclusive Education) เป็นการจัด การศึกษาสำหรับผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียน กลุ่มปกติ กลุ่มด้อยโอกาสที่มีความ ยากลําบากและขาดโอกาสเนื่องด้วยสภาวะทางเศรษฐกิจและภูมิสังคม ซึ่งรัฐต้องดูแลจัดสรร ทรพั ยากรทางการศกึ ษาสนับสนนุ ผู้เรียนกลุม่ นี้ให้ได้รับการศึกษาตามศกั ยภาพและความพร้อมอย่าง เทา่ เทยี ม 3. หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เป็นการพัฒนาผู้เรียนใหม้ ีความรอบรู้ มีทกั ษะท่ีพร้อม รับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอก โดยยึดหลักความ พอประมาณ ที่เป็นความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืน มี การตดั สนิ ใจที่มีเหตุผล และมีภูมคิ ้มุ กนั ท่ีดใี นตวั ซึ่งเปน็ การเตรียมตัวใหพ้ รอ้ มรับผลกระทบ และการ เปลย่ี นแปลงด้านตา่ ง ๆ 4. หลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคม (All for Education) การจัดการศึกษา อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธภิ าพใหก้ ับประชาชนทกุ คน เป็นพันธกิจทต่ี ้องอาศัยการมีส่วนร่วมของ สงั คมทกุ ภาคส่วน แนวคดิ การจดั การศึกษาของพระพทุ ธศาสนายดึ หลกั การดังนี้4 1. มลี กั ษณะเปิดท่ัวไป ไมเ่ ลอื กชน้ั วรรณะ ไมไ่ ดจ้ ำกัดเฉพาะบุรุษหรอื สตรเี พศ ท้งั นีเ้ นอ่ื งด้วย มนุษยท์ ุกคนมีขอ้ บกพรอ่ งในตัวเอง การศึกษาจงึ เป็นเครื่องมือในการให้ขอ้ มูลและวิธีการสำหรับการ กำจดั ความทกุ ข์และสรา้ งความสมบรู ณ์ของมนษุ ย์ 2. มีลักษณะเลง็ ประโยชน์ ท้ังประโยชน์ปจั จุบัน ประโยชน์อนาคตและประโยชนอ์ ย่างดี และ เลง็ ความสขุ ท้งั ความสุขท่ีองิ วตั ถุและไม่องิ วตั ถุ 3. มีท้ังเพือ่ ประโยชนต์ นเอง (อตั ตัตถะ) และประโยชนผ์ ูอ้ ่ืน (ปรัตถะ) 4. มีลกั ษณะเปน็ การพฒั นาท้ังรา่ งกายและจติ ใจ 5. มีลักษณะเป็นกระบวนการเพ่มิ พูนความรู้และประสบการณ์ตามลำดบั 4วิจิตร เกิดวิสิษฐ์, “ปรัชญาการศึกษาของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท”, วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบณั ฑติ , (บณั ฑติ วทิ ยาลัย : จฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลัย), 2520, หน้า 129-131.

49 พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กลา่ วถึงการจัดการศึกษาแนวพุทธไว้ว่า มี 2 ระดบั ดงั น้ี5 ระดับที่ 1 คอื ระดบั รูปแบบ หมายความว่า มนุษยท์ ่ีอยู่ในสังคมหรือชมุ ชนอันใดอันหนง่ึ ย่อม มีวถิ ชี วี ิตท่ีสบื ทอดกนั มาโดยวฒั นธรรม โดยสมั พนั ธ์กับสงิ่ แวดล้อมต่าง ๆ ซงึ่ ลงตัวตามที่สังคมน้ันเขา ถอื ว่าดี ระดบั ที่ 2 คอื ตวั แท้ตวั จริง ได้แก่ ความเป็นจรงิ ตามธรรมดาของธรรมชาติท่ีอยู่ลึกลงไปอีกที หนง่ึ ซ่งึ อนั น้นั เปน็ ของกลาง ไมข่ น้ึ ตอ่ ประเทศชาติหรอื วัฒนธรรมไหนท้งั สิน้ โดยเฉพาะเร่ืองสัมมาชีพ เปน็ เรอ่ื งใหญข่ องสงั คมมนุษย์ อาชพี ทุกอย่างมขี ึ้นเพอ่ื จุดหมายในการแกปัญหาชีวติ สังคมและเพื่อการ สร้างสรรค์อย่างใดอย่างหน่งึ การจดั การศกึ ษารูปแบบโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธเปน็ การจดั สภาพทกุ ๆ ดา้ น เพือ่ สนบั สนุนให้ผเู้ รยี น พฒั นาอยา่ งบูรณาการ โดยสง่ เสริมให้เกดิ ความเจริญงอกงามตามลกั ษณะดงั น้ี6 1. การอยู่ใกล้คนดใี กล้ผรู้ ู้ มคี รูอาจารย์ดี มีขอ้ มูล มสี อ่ื ทีด่ ี ถกู ต้องเหมาะสม 2. มีหลักสตู ร การเรยี นการสอนทีด่ ี 3. มีกระบวนการคิดวเิ คราะหพ์ ิจารณาหาเหตุผลทด่ี ี 4. ความสามารถนำความรู้ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้ถกู ต้องเหมาะสม สรปุ ไดว้ ่า การจัดการศกึ ษามีท้ังระดบั สัจธรรม เปน็ ตัวหลกั การที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตามธรรมดาของธรรมชาติ และระดับจริยธรรม เป็นรูปแบบจะต้องจัดให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม ตามที่สังคมนั้นเขาถอื ว่าดี โดยมลี กั ษณะเปิดท่วั ไป เป็นการจดั การศึกษาเพอื่ ปวงชน มีข้อมูล มีสื่อท่ีดี ถูกตอ้ งเหมาะสม ฝึกฝนให้มีกระบวนการคิดวเิ คราะหพ์ ิจารณาหาเหตุผลทดี่ ี ทำใหส้ ามารถนำความรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชวี ติ ได้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม 3.2 ความหมายของการศกึ ษา คำว่า “การศึกษา” คือ สิกฺข ในภาษาบาลี แปลว่า ยึดมั่นในความรู้ (วิชฺโช ปาทาเน) คำว่า เสขะ คือผู้ท่ียังตอ้ งศึกษา ยงั ไม่สน้ิ ทุกขอ์ ย่างส้นิ เชิง อเสขะ คอื ผ้ทู จ่ี บการศึกษา สิ้นทุกข์แล้ว หมายถึง พระอรหนั ต์ แต่ทา่ นยังต้องศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม เพ่ือส่ังสอนผอู้ ่นื อกี ตอ่ ไป และคำวา่ สิปปะ คือ ส่ิงท่ี ต้องศกึ ษา กล็ ้วนมรี ากศัพทว์ ่า สิกฺข เหมอื นกนั 7 คำวา่ “การศกึ ษา” คอื ศิกฺษา ในภาษาสันสกฤต มีรากศพั ท์วา่ ศกฺ แปลว่า สามารถ เมือ่ กลาย รูปมาเป็นศพั ท์ว่า ศกิ ฺษา จงึ หมายถึง 1. การเลา่ เรยี น, การแสวงหาความรู้ 2. ความปรารถนาท่จี ะเปน็ ผูส้ ามารถกระทำส่ิงใดสิ่งหน่งึ ได้ 5พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), สู่การศึกษาแนวพุทธ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2546), หน้า 124,135. 6มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, โรงเรียนวิถีพุทธ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2547), หนา้ 82-83. 7หลวงเทพดรุณานุศิษฏ์, ธาตุปฺปทีปิกาหรอื พจนานุกรมบาลี-ไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรง พมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, 2540), หนา้ 405.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook