ภาพ ๑๐๑ ครูช่างไดเ้ ขยี นภาพนรก เปน็ วนั นรกเปิด เปรต เดรจั ฉาน ภตู ผีวญิ ญาณก็เหน็ ทงั้ พระพุทธเจา้ สวรรค์ มนุษย์ และเทวดาด้วยเช่นกนั ๑๐๑ ภาพ ๑๐๒ ครูช่างเขยี นภาพสวรรค์ โดยใชต้ ้นกลั ปพฤกษ์ เปน็ สญั ลักษณบ์ ง่ ชี้ และมผี ู้ตักบาตรพระพุทธเจ้า อยูใ่ กลก้ ับตน้ กลั ปพฤกษ์ ๑๐๒ 101จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
จะอยอู่ ยา่ งมคี วามสขุ สมบรู ณ์ ซง่ึ เปน็ อดุ มคตขิ องคนไทย ยุคก่อนรับอารยธรรมตะวันตก ท่ีผู้คนทุกชนช้ันท�ำบุญ ตกั บาตร ปฏบิ ตั ภิ าวนาเพอ่ื บรรลนุ พิ พาน หรอื ไมก่ ไ็ ปเกดิ ในโลกอนั อดุ มสมบรู ณ์ยงิ่ ของยุคพระศรีอารยิ ์ ในจิตรกรรมวันที่พระพุทธเจ้าใช้พุทธานุภาพเปิดโลก ให้เห็นซ่ึงกันและกันน้ี จึงเป็นวันท่ีสัตว์ทั้งปวงท่ีสุดจน มดด�ำมดแดง เมอื่ ไดเ้ ห็นพระศาสดาแลว้ ล้วนปรารถนา ท่จี ะเข้าถึงพุทธภมู ิทง้ั สนิ้ (ดภู าพ ๙๘-๑๐๒ บนผนังชอ่ งที่ ๑๓) อา่ นรายละเอยี ดพทุ ธประวตั ติ อนนใ้ี นปฐมสมโพธกิ ถา ปรจิ เฉทท่ี ๒๔ เทโวโรหนปริวรรต ๓๑. ปาลิไลยก์ การแตกแยกของคณะสงฆ์ในเมืองโกสัมพี ท�ำให้ พระพทุ ธเจา้ ตอ้ งเสดจ็ มาระงบั การววิ าท ใหป้ รองดองกนั แต่คณะสงฆ์ไม่ยอมเชื่อฟัง พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไป จ�ำพรรษาท่ี ๑๓ ในป่าเพียงล�ำพัง โดยมีช้างคอยรับใช้ และมลี ิงตัวหน่งึ น�ำน�ำ้ ผง้ึ มาถวาย (ภาพ ๑๐๓) โปรดสังเกต ครูช่างได้วาดภาพธรรมชาติทะเล้นอยู่ ไม่สุขของลิง ให้โลดเต้นจนลิงตัวหน่ึงโดนไม้เสียบก้น และวาดภาพผู้ชายโก้งโค้งก้มยกแถบของภาพท่ีไม่เสมอ กันไวด้ ว้ ย ชว่ ยนำ� สายตาและเป็นทกั ษะในการแก้ปญั หา การเหลื่อมกันของแถบกรอบภาพได้เป็นอย่างดี (ดูภาพ ๑๐๓ บนผนงั หุ้มกลองดา้ นบน ตรงข้ามพระประธาน) มกี ารกลา่ วถงึ พทุ ธประวตั ติ อนพระพทุ ธเจา้ จำ� พรรษา ในปาลไิ ลยบรรพต อยใู่ นปฐมสมโพธกิ ถา ปรจิ เฉทที่ ๒๔ เทโวโรหนปริวรรต ภาพ ๑๐๓ การแตกแยกของคณะสงฆใ์ นเมอื งโกสัมพี ทำ� ใหพ้ ระพุทธเจา้ ตอ้ งเสดจ็ มาระงบั การววิ าท แตค่ ณะสงฆ์ไมย่ อมเช่ือฟัง พระพุทธเจ้าจงึ เสด็จไปจ�ำพรรษาท่ี ๑๓ ในป่ าเพียงล�ำพัง โดยมีชา้ งคอยรบั ใช้ และมีลิงตวั หน่งึ น�ำน้�ำผง้ึ มาถวาย ๑๐๓ 102 | จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม
103จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
๓๒. พญามารทูลอญั เชญิ ใหป้ รินิพพาน ในพรรษากาลที่ ๔๕ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจ�ำพรรษาที่บ้านเวฬุคาม เมืองเวสาลี ระหวา่ งนน้ั พระอาการประชวรกำ� เรบิ หนกั พระองคท์ รงใชอ้ ทิ ธบิ าทภาวนาขม่ ทกุ ขเวทนาเปน็ ระยะ และพระองคไ์ ดต้ รสั ถอ้ ยคำ� สำ� คญั คือ “ตถาคตไดแ้ สดงธรรมท้งั หมดแลว้ ไม่มอี ะไรใน ก�ำมอื อาจารยแ์ ลว้ ” ครนั้ ออกพรรษา พระองค์เสด็จออกจากเมอื งเวสาลี ได้ทรงหยุดเหลยี วมองกรุงเวสาลีเป็น คร้ังสุดท้าย หลงั จากนน้ั ไม่นาน พญาวสวัตตีมารกไ็ ดม้ าสู่ส�ำนกั ของพระองค์ มาทูลอัญเชิญ พระองค์ให้ปรินิพพาน พระศาสดาทรงใคร่ครวญแล้วพบว่า บัดนี้สาวกของพระองค์ ๑๐๔ ภาพ ๑๐๔-๑๐๕ พญาวสวัตตมี ารมาสู่สำ� นกั ของพระพุทธเจ้า เพ่ือทูลอัญเชิญ พระองคใ์ ห้ปรนิ พิ พาน พระศาสดาทรงใคร่ครวญแลว้ พบวา่ บดั นี้สาวกของพระองค์ พุทธบรษิ ทั ส่ีไดต้ ัง้ ม่นั เข้มแขง็ แลว้ พระองคจ์ งึ รบั อาราธนาพญามาร ปลงพระชนมายุสังขาร อีก ๓ เดอื น จกั ปรินพิ พาน ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา แคว้นมลั ละ ๑๐๕ 104 | จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม
พทุ ธบรษิ ทั ส่ี คอื ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า ไดต้ ง้ั มน่ั เขม้ แขง็ แลว้ พระองคจ์ งึ รบั อาราธนา พญามาร ปลงพระชนมายุสงั ขาร อกี ๓ เดือน จกั ปรนิ พิ พาน ณ สาลวโนทยาน กรุงกสุ นิ ารา แคว้นมลั ละ (ดูภาพ ๑๐๔ และ ๑๐๕ บนผนงั ช่องท่ี ๑๓) อา่ นรายละเอยี ดพทุ ธประวัตติ อนนใ้ี นปฐมสมโพธิกถา ปริจเฉทท่ี ๒๖ มหานพิ พานสูตร ปรวิ รรต ๓๓. เรม่ิ ประชวร จากนนั้ พระพทุ ธองคไ์ ดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ พรอ้ มพระภกิ ษสุ งฆเ์ ปน็ อนั มาก ไปยงั กรงุ ปาวา แควน้ มัลละ ไปประทบั ในสวนมะมว่ งของนายจนุ ทะ ไดท้ รงเสวยสุกรมทั วะอาหารรสเอมโอช ทีน่ ายจนุ ทะถวาย พระอาพาธก็กำ� เริบ ลงพระโลหติ พระพทุ ธองค์เสดจ็ ออกจากเมืองปาวาพรอ้ มเหล่าภิกษุสาวก มงุ่ ไปทเ่ี มืองกุสนิ ารา เสด็จ ไปไมไ่ กลก็ทรงตอ้ งการเสวยน�ำ้ อยา่ งยงิ่ ทรงใช้พระอานนท์ไปตักน�้ำดม่ื มาให้ แตพ่ ระอานนท์ ภาพ ๑๐๖ พไปรตะกัพนุท้ำ� ธดเจ่มื า้มทารใหงใ้ ชแพ้ต่พระรอะาอนานนทน์ท์ กราบทูลวา่ ขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่มเพ่ิงผ่านแม่น้ำ� ไป น้ำ� ยังขุน่ อยูม่ าก กระท่ัง พระพุทธเจา้ รับส่ังเปน็ ครงั้ ท่ีสาม วา่ พระองคก์ ระหายน้ำ� มาก ใหพ้ ระอานนทไ์ ปตกั น้ำ� มาใหฉ้ นั พระอานนท์ถือบาตรลงไปตกั น้�ำ และพบว่ากระแสน้�ำขุ่นนนั้ กลับใส ไดใ้ นทนั ที จึงเอาบาตรตกั น้ำ� มาถวายพระพุ ทธเจา้ ๑๐๖ 105จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม |
ภาพ ๑๐๗ พระพุทธเจา้ เสดจ็ ต่อไปยงั กกุ กุฏนที เหลา่ ภิกษุสาวกลงอาบ ช�ำระกายผลดั ผ้าในแม่น้�ำ พระพุทธองค์ตรสั ใหป้ ูลาดท่ีประทับ และตรสั อีกวา่ ตถาคตล�ำบากกายจะไสยาสน์ ๑๐๗ ๑๐๘ ภาพ ๑๐๘ จากนนั้ พระองค์ไดเ้ สด็จพระราชด�ำเนิน ด้วยความอดทนอุตสาหะต่อไปยังเมอื งกสุ ินารา 106 | จติ รกรรมวัดเทวสังฆาราม
กราบทลู วา่ ขบวนเกวยี น ๕๐๐ เลม่ เพงิ่ ผา่ นแมน่ ำ�้ ไป นำ้� ยงั ขนุ่ อยมู่ าก แตใ่ นทสี่ ดุ พระพทุ ธเจา้ ก็ได้รับสั่งเป็นคร้ังที่สามว่าพระองค์กระหายน�้ำมาก ให้พระอานนท์ไปตักน�้ำมาให้ฉันระงับ ความกระวนกระวาย พระอานนท์ถอื บาตรลงไปตักน้�ำในแมน่ �้ำท่ีขบวนเกวียนเพิ่งผ่านไป ไดพ้ บวา่ กระแสนำ้� ขุ่น นน้ั กลบั ใสไดใ้ นทนั ที จงึ เอาบาตรตกั น้�ำมาถวายพระพุทธเจา้ (ภาพ ๑๐๖) พระพุทธเจ้าได้เสด็จต่อไปยังกุกกุฏนที เหล่าภิกษุสาวกลงอาบช�ำระกายผลัดผ้าในแม่น�้ำ พระพุทธองค์ตรัสให้ปูลาดที่ประทับ และตรัสอีกว่า ตถาคตล�ำบากกายจะไสยาสน์ (ภาพ ๑๐๗) จากนั้นพระองค์ได้เสด็จพระราชด�ำเนินด้วยความอดทนอุตสาหะต่อไปยังเมืองกุสินารา (ภาพ ๑๐๘) ในการเสด็จไปปรนิ ิพพานที่เมืองกุสนิ ารานน้ั ทรงมเี หตุผล ๓ ประการ คอื เพ่อื ตรสั พระ ธรรมเทศนามหาสุทสั สนสตู ร เพือ่ โปรดพระสาวกองค์สดุ ทา้ ย คือทา่ นสุภัททปรพิ าชก และ เพือ่ ไม่ใหเ้ กิดสงครามแย่งชิงพระบรมธาตุ (ดูภาพ ๑๐๖-๑๐๘ บนผนงั ช่องท่ี ๑๓ ด้านขวาของพระประธาน) อา่ นรายละเอยี ดพทุ ธประวัติตอนน้ใี นปฐมสมโพธกิ ถา ปริจเฉทที่ ๒๖ มหานิพพานสูตร ปริวรรต ๓๔. ประชวรพระนพิ พาน พระพทุ ธเจา้ ตรัสให้พระอานนท์เขา้ ไปยังเมอื งกสุ ินารา ไปแจ้งกษัตริยม์ ลั ลราชวา่ พระองค์ จะเข้าสู่พระปรินิพพานที่สาลวโนทยาน พระอานนท์รับพุทธฎีกาแล้วเข้าไปที่เมืองกุสินารา (ภาพ ๑๐๙-๑๑๑) แจง้ เหตแุ กก่ ษตั รยิ ม์ ลั ลราชทงั้ หลาย เหลา่ กษตั รยิ ไ์ ดร้ บั สาร ตา่ งเสยี พระทยั ปริเวทนายิ่งนัก ด้วยความร้สู กึ เหมือนดวงประทีปแก้วแสงสวา่ งของโลกจะดบั สูญลงฉะนั้น เหล่ากษัตริย์มัลลราชชวนกันเสด็จออกจากพระนคร โดยมีพระอานนท์น�ำทางไปยัง สาลวโนทยาน เพอื่ เฝา้ นมัสการพระพทุ ธเจ้าในวนั เสดจ็ ปรนิ พิ พาน (ภาพ ๑๑๒) ในวนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ใกลป้ รนิ พิ พาน ไดม้ นี กั บวชผจู้ ารกิ ไป นามวา่ สภุ ทั ทปรพิ าชก ไดม้ าขอ เข้าเฝ้าฯ พระพุทธเจ้า พระอานนท์เห็นว่าพระพุทธเจ้าก�ำลังล�ำบากกายหนัก จึงออกมาท่ี ประตพู ร้อมพระสาวกห้ามปรามสภุ ัททปริพาชกถึง ๒-๓ ครง้ั (ภาพ ๑๑๓) พระพทุ ธเจา้ ได้ทรงฟงั เสียงเจรจา จึงตรัสแกพ่ ระอานนท์วา่ อนุญาตให้สุภทั ทปริพาชกเข้า มาในมา่ นเพอื่ ฟงั ธรรม และสภุ ทั ทปรพิ าชกกไ็ ดท้ ลู ขอบรรพชา พระพทุ ธเจา้ ตรสั ใหพ้ ระอานนท์ บวชสุภัททปริพาชกเป็นพระภิกษุในวาระน้ัน นับเป็นปัจฉิมสาวก (สาวกคนสุดท้ายที่ทัน เห็นพระพุทธเจ้า) พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกพระกรรมฐานให้พระสุภัททภิกษุภาวนา และ พระสุภัททภิกษุก็ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ในคืนน้ันก่อนท่ีพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน (ภาพ ๑๑๔) 107จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม |
๑๐๙ ภาพ ๑๐๙-๑๑๑ พระพุทธเจา้ ตรสั ใหพ้ ระอานนทเ์ ขา้ ไปยงั เมืองกุสินารา ไปแจ้งกษัตริย์มลั ลราชวา่ พระองคจ์ ะเขา้ สู่พระปรนิ พิ พาน ท่ีสาลวโนทยาน พระอานนท์รบั พุทธฎีกาแล้วเข้าไปท่ีเมอื งกุสนิ ารา ๑๑๐ ๑๑๑ 108 | จติ รกรรมวัดเทวสังฆาราม
ยิ่งใกล้เวลาปรินิพพาน พระอานนท์ย่ิงเศร้าโศก และได้หลบไปร้องไห้ เพราะเกรงว่าถ้า รอ้ งไหใ้ กลพ้ ระพทุ ธเจา้ พระองค์จะไมม่ ีพระทัยผาสกุ (ภาพ ๑๑๕) เมื่อพระพทุ ธเจา้ โปรด ประทานโอวาทแก่พระภกิ ษสุ าวก พระองคไ์ ม่เห็นพระอานนท์ จึงตรสั ใช้พระภกิ ษสุ งฆใ์ ห้ไป ตามพระอานนทม์ า แล้วทรงปลอบโยนพระอานนทใ์ ห้ภมู ิใจท่ีไดเ้ ป็นพทุ ธอปุ ฏั ฐาก และตรัส บอกดว้ ยวา่ พระอานนทจ์ ะสน้ิ กเิ ลส บรรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ตเ์ มอื่ กระทำ� การปฐมสงั คายนา (ดภู าพ ๑๐๙-๑๑๕ บนผนงั ชอ่ งท่ี ๑๔ ด้านขวาของพระประธาน) โปรดพิจารณา จิตรกรรมพระพุทธเจ้าบรรทมอยู่บนแท่นหินใกล้เสด็จปรินิพพานดังท่ี ปรากฏอยู่ในภาพ ๑๑๔ น้ี ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์แสนประเสริฐ ปานเนยี ม ไดต้ ัง้ ขอ้ สงั เกตไวว้ ่า ภาพแท่นหินท่ีประทับของพระพุทธเจ้าซึ่งครูช่างวาดไว้นี้ มีลักษณะคล้ายมากกับพระแท่น ดงรังของ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ท่ีคาดว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาสมัยพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ (ภาพ ๑๑๖-๑๑๗) อ่านรายละเอียดพทุ ธประวตั ิตอนนใ้ี นปฐมสมโพธิกถา ปริจเฉทท่ี ๒๖ มหานิพพานสตู ร ปริวรรต ๑๑๓ ภาพ ๑๑๒ เหล่ากษตั รยิ ม์ ลั ลราชชวนกันเสด็จออก จากพระนคร โดยมีพระอานนท์น�ำทาง ไปยังสาลวโนทยาน เพ่อื เฝ้านมัสการ พระพุทธเจ้าในวันเสด็จปรนิ ิพพาน ภาพ ๑๑๓ ในวันท่พี ระพุทธเจา้ ใกลป้ รินพิ พาน สภุ ทั ทปรพิ าชกไดม้ าขอเข้าเฝ้าฯ พระพุทธเจา้ พระอานนทเ์ หน็ วา่ พระพุทธเจา้ กำ� ลงั ล�ำบากกายหนกั จึงออกมาท่ปี ระตู พร้อมพระสาวกห้ามปรามสภุ ัททปรพิ าชก ถงึ ๒-๓ ครงั้ ๑๑๒ 109จติ รกรรมวัดเทวสังฆาราม |
110 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
๑๑๔ ภาพ ๑๑๔ พระพุทธเจา้ ตรสั แกพ่ ระอานนท์ว่า อนญุ าตให้สภุ ัททปริพาชก เขา้ มาในมา่ นเพ่อื ฟังธรรม และสุภทั ทปรพิ าชกก็ได้ทลู ขอ บรรพชา พระพุทธเจ้าตรสั ให้พระอานนท์บวชสภุ ทั ทปรพิ าชก เปน็ พระภิกษุในวาระนนั้ นบั เปน็ ปัจฉิมสาวก (สาวกคนสดุ ทา้ ย ท่ที ันเห็นพระพุทธเจา้ ) และพระสภุ ัททภกิ ษุก็ได้บรรลธุ รรม เปน็ อรหนั ตใ์ นคืนนนั้ กอ่ นท่ีพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรนิ ิพพาน ๑๑๕ ภาพ ๑๑๕ ย่ิงใกลเ้ วลาปรนิ พิ พาน พระอานนท์ย่งิ เศรา้ โศก และได้หลบไปรอ้ งไห้ เพราะเกรงวา่ ถ้ารอ้ งไห้ ใกล้พระพุทธเจา้ พระองค์จะไมม่ ีพระทยั ผาสุก 111จิตรกรรมวัดเทวสงั ฆาราม |
๑๑๖ ภาพ ๑๑๖-๑๑๗ พระแท่นดงรังของ อ.ทา่ มะกา จ.กาญจนบุรี (ภาพโดยประพฤติ มลผิ ล) ๑๑๗ ๓๕. ถวายพระเพลงิ พุทธสรรี ะ เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เหล่ากษัตริย์มัลละได้เตรียมท่ีถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ และจัดให้มีมหรสพบูชา แต่ในวันท่ีเจ็ด พวกกษัตริย์มัลละจะถวาย พระเพลิง แตไ่ มส่ �ำเร็จ จุดไฟไมต่ ดิ พระอนรุ ทุ ธะบอกวา่ เพราะเทวดาให้รอพระมหากัสสปะ เดนิ ทางมาถงึ ให้ไดก้ ราบพระบรมศพกอ่ น ขณะทพี่ ระมหากสั สปเถรเจา้ กำ� ลงั นำ� คณะเดนิ ทางมา ทกุ คนยงั ไมร่ เู้ รอื่ งการปรนิ พิ พานของ พระพทุ ธองค์ แตใ่ นระหวา่ งทาง พระมหากสั สปะไดพ้ บอาชวี กผหู้ นงึ่ เดนิ ถอื ดอกมณฑารพมา จากเมอื งกุสินารา ท่านก็ไดท้ ราบเหตวุ ่าพระพทุ ธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว (ภาพ ๑๑๘) เน่ืองด้วยเพราะดอกมณฑารพจะร่วงเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงมาสู่ครรภ์พระมารดา แล กาลเมอ่ื ประสตู ิ แลกาลออกสมู่ หาภเิ นษกรมณ์ แลกาลอภสิ มั โพธิ แลตรสั เทศนาพระธรรมจกั ร แลกระทำ� พระยมกปาฏหิ ารยิ ์ แลกาลเสดจ็ ลงมาจากเทวโลก แลกำ� หนดปลงพระชนมายสุ งั ขาร พระมหากัสสปะจงึ ไดซ้ ักถามอาชวี ก และไดร้ ู้แจง้ วา่ พระพทุ ธองคด์ ับขนั ธปรินิพพานไปแลว้ 112 | จิตรกรรมวัดเทวสงั ฆาราม
๑๑๘ ภาพ ๑๑๘ ขณะท่ีพระมหากสั สปเถรเจ้ากำ� ลงั น�ำคณะเดินทางมา ทกุ คนยงั ไมร่ ู้เร่ือง การปรินพิ พานของพระพุทธองค์ แตใ่ นระหว่างทาง พระกัสสปะได้พบ อาชีวกผู้หน่ึงเดินถอื ดอกมณฑารพมาจากเมอื งกสุ นิ ารา ท่านก็ได้ ทราบเหตุวา่ พระพุทธเจา้ ปรินิพพานไปแลว้ ภาพ ๑๑๙ ๑๑๙ ครัน้ คณะของพระกสั สปะได้ทราบข่าว ภิกษุ ปุถุชนก็เสยี ใจมาก มพี ระสภุ ทั ทะผู้บวชตอนแก่ คนเดยี วท่ดี ีใจ ไม่เศรา้ โศก กล่าววา่ ดแี ล้ว พวกเราพ้นจากอ�ำนาจของพระพุทธเจา้ แล้ว ต่อไปจะทำ� อะไร ๆ ก็ไมม่ ใี ครต่อว่า ครนั้ คณะของพระมหากสั สปะไดท้ ราบขา่ ว ภิกษปุ ุถชุ นกเ็ สยี ใจมาก พระอรหันตป์ ลงธรรม สงั เวช มีพระสุภทั ทะผูบ้ วชตอนแกค่ นเดียวท่ีดใี จ ไมเ่ ศร้าโศก กล่าวว่า ดแี ล้ว พวกเราพ้นจาก อ�ำนาจของพระพุทธเจา้ แลว้ ตอ่ ไปจะท�ำอะไร ๆ กไ็ มม่ ใี ครต่อว่า (ภาพ ๑๑๙) ณ พระเมรพุ ระพทุ ธเจา้ มที ง้ั มลั ลกษตั รยิ แ์ ละพระสงฆ์ ฝา่ ยพทุ ธจกั รและอาณาจกั รมาเฝา้ โดยพรอ้ มเพรยี ง และมีมหรสพต่าง ๆ ในงานพระบรมศพพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หนงั ใหญ่ โขนโรง ใหญ่ วงป่ีพาทยเ์ คร่อื งห้า ไต่ลวดรำ� แพน ซงึ่ ก็คือภาพเสมอื นมหรสพในงานพระศพเจ้านาย สยามยคุ ๑๐๐ กวา่ ปกี ่อน ทีค่ รชู า่ งบันทกึ ไว้ (ภาพ ๑๒๐) เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึง ก็ได้ถวายอัญชลีท�ำประทักษิณ อธิษฐานจิตขอให้ พระบาททัง้ สองขา้ งของพระพทุ ธองค์ออกมาจากหีบพระศพดว้ ยเถิด พระพทุ ธองคก์ ไ็ ดท้ รงแสดงปาฏหิ ารยิ ด์ ว้ ยการเหยยี ดพระบาทออกมานอกหบี พระบรมศพ พระมหากสั สปะจึงแสดงความเคารพด้วยการกม้ ศีรษะลงไปเชด็ ทพ่ี ระบาท จากนน้ั พระบาท 113จิตรกรรมวัดเทวสงั ฆาราม |
ภาพ ๑๒๐ ณ พระเมรุพระพุทธเจา้ มที งั้ มัลลกษตั รยิ ์และพระสงฆ์ ฝ่ ายพุทธจักรและอาณาจกั ร มาเฝ้าฯ โดยพร้อมเพรยี ง และมีมหรสพตา่ ง ๆ ในงานพระบรมศพพระพุทธเจ้า ทงั้ หนังใหญ่ โขนโรงใหญ่ วงป่ีพาทย์เคร่อื งหา้ ไต่ลวดรำ� แพน ซ่ึงกค็ อื ภาพเสมอื น มหรสพในงานพระศพเจ้านายสยามยุค ๑๐๐ กว่าปีกอ่ น ท่ีครูช่างบันทกึ ไว้ 114 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
ก็กลับเข้าไปดังเดิม สามารถจุดไฟถวายพระเพลิงพระบรมศพของ พระพทุ ธเจา้ ได้ (ภาพ ๑๒๑) (ดภู าพ ๑๑๘-๑๒๑ บนผนงั ชอ่ งที่ ๑๔) อา่ นรายละเอียดพทุ ธประวัติตอนนใี้ นปฐมสมโพธกิ ถา ปรจิ เฉท ๑๒๐ ท่ี ๒๗ ธาตวุ ิภชั นปรวิ รรต จติ รกรรมพทุ ธประวตั บิ นผนงั พระอโุ บสถวดั เทวสงั ฆาราม ไดเ้ ลา่ เรอ่ื งราวสน้ิ สดุ อยทู่ กี่ ารถวายพระเพลงิ พทุ ธสรรี ะ บนผนงั ชอ่ งที่ ๑๔ น้ีเอง สำ� หรบั ผสู้ นใจเนอื้ หาเรอื่ งราวของพทุ ธประวตั ติ อ่ จากนี้ สามารถ ค้นคว้าได้จากหนังสือปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระ มหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส ภาพ ๑๒๑ ๑๒๑ พระมหากัสสปะถวายอัญชลที �ำประทกั ษิณ อธษิ ฐานจิตขอให้ พระบาททงั้ สองขา้ งของพระพุทธองค์ออกมาจากหีบพระศพ 115จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม | พระพุทธองค์กไ็ ด้ทรงแสดงปาฏิหารยิ ์ด้วยการเหยยี ดพระบาท ออกมานอกหบี พระบรมศพ พระมหากัสสปะจึงกม้ ศรี ษะลงไป เชด็ ท่ีพระบาท จากนนั้ พระบาทกก็ ลับเขา้ ไปดังเดิม สามารถจุ ดไฟ ถวายพระเพลงิ พระบรมศพของพระพุทธเจา้ ได้
116 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
117จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
118 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
๓ ภาพชีวติ ในจิตรกรรมวัดเหนอื 119จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม |
จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆารามท่เี ขียนขึ้นในสมัยรชั กาลท่ี ๕ น้ี แม้เนอ้ื หาหลัก จะเปน็ เร่อื งของพุทธประวัติในภาคสว่ นตา่ ง ๆ ตงั้ แต่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินพิ พาน แต่ละขนั้ แตล่ ะบท แต่ละตอน เขยี นไวอ้ ยา่ งละเอียดงดงามย่ิง หากในภาพหลักเหล่าน้ี กไ็ ดม้ ี “ภาพกาก” ลว้ นกำ� ลังใกล้เลยลบั หากเม่ือไดร้ ับทราบถงึ หรือภาพวิถีชีวิตชาวบ้าน บันทึกความจริง วิถีต่าง ๆ ท่ีแต่ละท่าน แต่ละกลุ่มชน มา ความเป็นไปของผู้คนกาญจนบุรี ท่ีครูช่าง บอกเล่าให้เราฟัง นั้นท�ำให้ชีวิตวันวานอัน จติ รกรไดพ้ บเหน็ ในยคุ สมยั ของการสรา้ งงาน สลวั รางอยใู่ นจติ รกรรมวดั เหนอื มคี วามแจม่ ปรากฏอยู่ด้วย ชัดขนึ้ ภาพกากเหล่านี้ได้ท�ำหน้าท่ีฉายแสดงให้ ผ่านค�ำบอกเล่าของแต่ละท่าน แต่ละ เหน็ ถงึ ชวี ติ ชาวบา้ นบนแผน่ ดนิ นเ้ี มอื่ รอ้ ยกวา่ กลมุ่ ชน ในวาระนี้ ปกี อ่ น ทย่ี งั เชอ่ื มโยงมาถงึ สภาพความเปน็ ไป ของคนเฒ่าเมืองกาญจน์ยุคปัจจุบัน ท่ีบัดน้ี ล่องเรอื ขายของ จิตรกรรมวัดเหนือมีภาพชาวบ้านพายเรือ ท่ามกลางเรือใหญ่ล่องล�ำน�้ำ ครูช่างได้บันทึก ภาพชีวิตเดินทางค้าขายท�ำมาหากินของคนกาญจนบุรียุคร้อยกว่าปีก่อนไว้ในงานจิตรกรรม ฝาผนังอย่างแจ่มชดั อันชวนใหค้ ้นหาความรูเ้ พิ่มเตมิ ว่า ชาวบ้านเมืองกาญจน์ พวกเขาเคยใช้ ชวี ิตล่องเรือ ซ้อื หาสินค้า ขายของ อยูต่ ามแมน่ ้�ำแควน้อย-แควใหญ่กันมาอยา่ งไร โชคดที คี่ นเคยลอ่ งเรอื คา้ ขายยงั มชี วี ติ อยถู่ งึ วนั น้ี คณุ ยายอทุ ศิ รตั นกสุ มุ ภ์ เกดิ ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ อายุ ๘๘ ปี เคยมีถิ่นฐานขนของทางเรือค้าขายอยู่ที่ อ.ทองผาภูมิตลอดหลายสิบปี โดย คุณยายอุทศิ ได้ทบทวนความจำ� ให้ฟังวา่ “สมัยก่อนฉนั อยทู่ องผาภูมิ ยุคน้ันชาวบา้ นยา่ นน้ันไมไ่ ดป้ ลกู ผกั เขาเป็นคนงานเหมืองแร่ ซะมาก ตอนเปน็ สาว ฉนั ยงั ตอ้ งลงมาซอ้ื ผกั ซอ้ื ของสดจากเมอื งกาญจนข์ น้ึ ไปขาย ฉนั มาทาง เรือตามแม่น�้ำแควน้อยจากหน้าเมืองกาญจน์ถึงทองผาภูมิ-ท่าขนุน ลงมาซื้ออาหารของกิน ของใช้ ผักนซี้ ้อื หลายอยา่ ง มที ั้งผกั กาด แตงกวา คะน้า ถั่วฝกั ยาว ต้นหอม ผกั ชี พริก ซ้อื หมดทกุ อย่าง อาหารการกินกพ็ วกไข่ ปลาเค็ม สบู่ น�ำ้ มนั ก๊าด ถา่ นไฟฉาย ข้ไี ต้ ตอนนัน้ ยงั ไมม่ ผี งชูรส ฉนั ไม่ไดข้ ายหมอ้ ดินเผา ไม่ขายถา่ น ชาวบา้ นใช้ฟืน ฟืนมีมาก ถา่ นไมจ่ �ำเป็น “ตอนลงมาซอื้ ของน่ะ ฉันมีลกู อ่อนอายไุ ด้ ๕-๖ เดือน ตอนน้ลี กู อายุ ๖๙ ปี ก็เกอื บ ๗๐ ปี กอ่ น คิดดูเถอะมนั นานแค่ไหน 120 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
๑๒๒ 121จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม |
๑๒๓ “เรือที่ฉันอาศัยล่องมาเป็นเรือกระแชง ต่อขึ้นมาล�ำใหญ่ ๆ มีเรือยนต์ลากไป เรือยนต์มี คนขบั ๑ คน คนคอยดนู น่ั นี่อกี ๑ คน สมัยก่อนนี้ หนา้ แลง้ ใชเ้ วลาไปกลับแต่ละเท่ียว ๑๕ วนั ถา้ เปน็ หนา้ น้ำ� ไมถ่ งึ อาทิตยก์ ็จัดการได้เรยี บร้อย เดือนหน่ึงอย่างน้อยตอ้ งมา ๑ คร้ัง “บางคร้ังมีเรือไปส่งของ ไม่ต้องล่องมาเองก็มี บางคร้ังก็เป็นเรือแร่ เรือขนของ ขนแร่ วลุ แฟรม ขนจากเหมืองปลิ ็อก อำ� เภอทองผาภูมิ เขา้ ไปท่ีเมืองกาญจน์ มีทั้งเรือใหญ่ เรือเลก็ ให้เราติดเรือไปได้ ถ้าไปเรอื ใหญจ่ ะไปเรือเหมอื งแร่ เราจ่ายคา่ โดยสารให้ แล้วแต่เราจะให้เขา ถ้าของมากกเ็ ที่ยวละ ๑๐๐-๒๐๐ บาท “เวลาลงมาซอ้ื ของ ฉนั จะเขยี นหนังสอื สง่ั ไว้กอ่ น ฝากเรือลงมา ท่รี า้ นคา้ จะมจี บั กงั ขนส่ง เอาของท่ีส่ังไว้ลงเรือให้ ฉันไม่จ�ำเป็นต้องลงมาเองทุกครั้ง ร้านค้าพรรคพวกกันช่วยดูแล สนิ ค้าให้ 122 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
“สามีฉันก็อยู่เรือ ค้าขายทางเรือ เขาส่งของให้พวกเหมืองแร่ปิล็อกท่ีท�ำวุลแฟรมแถว ทองผาภมู ิ พวกคนแถวปิลอ็ กจะมเี น้ือสัตวป์ ่า เก้ง กวาง จากในปา่ ไข่เตา่ จากพม่า กงุ้ พม่า ก็ดว้ ย สามีฉันรับของพวกนี้จากปิลอ็ กล่องเรือลงไปขายในเมืองกาญจน์ “ไขเ่ ตา่ น่ะเคยเห็นไหม ลูกกลม ๆ เอามาลวก แลว้ ยำ� ซอยหอม พริก มะนาว น�้ำปลา นดิ หน่อย กินเปล่า ๆ ไมไ่ ดก้ นิ กับขา้ ว อร่อยมาก มนั แผล็บ อรอ่ ยมาก ๆ “ไข่เต่าลกู ละ ๕-๖ บาท ราคาไมถ่ ูกนะ ตอนนัน้ ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กว๋ ยเต๋ยี วที่ทองผาภมู ิ ยงั ราคาแพงกว่าในเมือง ชามละ ๓ บาทบ้าง ๕ บาทก็มี กว๋ ยเต๋ยี วแพงสดุ ถึงจะเท่าไขเ่ ตา่ ๑ ลกู ไขเ่ ตา่ เปน็ ของดี ของแพง กนิ อรอ่ ย ราคาแพงกวา่ กว๋ ยเตี๋ยว ๒ เท่า เรากย็ ังกนิ กนั อรอ่ ย มาก ๆ ทง้ั ทเ่ี ทยี บแลว้ กว๋ ยเตย๋ี วหมทู องผาภมู ริ าคาแพง ยงั ถกู กวา่ ไขเ่ ตา่ สมยั นน้ั ไมม่ ขี า้ วแกง ขาย มขี ายแต่กว๋ ยเตยี๋ วหมู ราคาแพงกวา่ ในเมอื งเยอะ “หมูท่ีทองผาภมู ิเป็นหมูบา้ น ตัวด�ำ พุงย้อย หลงั แอน่ ฆา่ ทีท่ องผาภูมิ เวลาเตรียมฆา่ จะมี คนมาเรถ่ ามกอ่ นวา่ ใครจะเอาเทา่ ไหร่ สง่ั กนั ไวใ้ หเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ ถงึ ฆา่ หมไู กช่ าวบา้ นเลย้ี งและ ฆา่ กนิ ทีท่ องผาภมู ิ แตผ่ ักไมไ่ ด้ปลูก ตอ้ งเอามาจากตลาดเมืองกาญจน์ “ผกั ทเี่ ราเอาข้นึ ไปขาย ตอ้ งขายราคาสงู เทา่ ตัวน้นั แหละถงึ จะคุม้ อาศัยขนของทางเรอื ได้ อยา่ งเดียว “ไขท่ ี่กนิ กันเปน็ ไข่เป็ด เอามาจากตลาดเมืองกาญจน์ ใส่ในลงั ไมป้ ระมาณ ๕๐๐ ฟอง ตอ้ ง ใชส้ องคนยก ปลาแหง้ กม็ พี วกปลาจวดไมม่ หี วั สง่ เปน็ ทอด ๆ มาจากเพชรบรุ ี คนสมทุ รสงคราม เอามาขายที่ตลาดเมืองกาญจน์ ปลาจวดเค็มมาก คนไทยไมช่ อบกนิ แตค่ นลาว มอญ พมา่ พวกใช้แรงงานจะชอบกินปลาจวด ปลาจวดขายไดก้ บั คนพวกนี้ ๑๒๔ ภาพ ๑๒๒-๑๒๖ จิตรกรรมวดั เทวสังฆารามมีภาพชาวบ้านพายเรอื ท่ามกลางเรอื ใหญล่ ่องลำ� น้�ำ ครูช่างไดบ้ นั ทกึ ภาพ ชีวิตเดนิ ทางค้าขายทำ� มาหากินของคนกาญจนบุรี ยุครอ้ ยกวา่ ปีกอ่ นไวใ้ นงานจิตรกรรมฝาผนงั อยา่ งแจ่มชัด 123จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
124 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
๑๒๕ 125จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม |
“แลว้ ยงั มเี รือเกลือ กะปิ น้ำ� ปลา ของคนสมทุ รสงครามขนมาส่งท่ตี ลาดเมอื งกาญจน์ เขา ลอ่ งเรอื มาออกทางอัมพวา แม่กลอง ข้ึนมากาญจนบุรี มาเข้าแควนอ้ ย อย่างเกลือนเี้ ราซ้อื เปน็ เกวียน เขาขนเกลอื ใสเ่ รือมาล�ำใหญ่ ๆ เวลาซื้อจะให้คนโกย ก่เี กวียนก็วา่ กันไป เกวียน ละ ๑๐๐ ถงั เปน็ ถงั ขา้ วกลมๆ ใชโ้ กยเกลอื สว่ นนำ้� ตาลนะ่ เปน็ นำ�้ ตาลมะพรา้ ว ใสป่ บ๊ี สงั กะสี ปีบ๊ ละ ๓๐ กโิ ลฯ ฉนั ไม่ทนั ยคุ หมอ้ ตาล “น้ำ� ปลาจะอยใู่ นไห มาเปน็ ไห มที ั้งไหเล็ก ไหใหญ่ ไหใหญ่จะเท่ากับไหเล็ก ๒ ไห แลว้ ท่ี เราต้องซอ้ื ไปขายก็ยงั มีชอ้ นสงั กะสี ชามสงั กะสี พวกนี้ซ้อื จากตลาดเกา่ ในเมืองกาญจน์ แถว ตลาดสระ ๘ มุม ตอนนถ้ี มไปแล้ว “ข้าวสารกต็ ้องซอ้ื จากเมอื งกาญจน์ ซอ้ื ไปเปน็ กระสอบปา่ น กระสอบละ ๑๐๐ กโิ ลฯ มที ง้ั ขา้ วเจา้ ขา้ วเหนยี ว ฉนั รบั ยาไปขายดว้ ยบา้ ง ไปเอาจากรา้ น ‘รกั ไทยโอสถ’ ยาทเ่ี อาไปมยี าเดก็ โปลิโอเม็ดเล็กใหญ่ ยาเพนนิซิลิน แล้วยังมีพวกสบู่ตรานกแก้ว สบู่ไลฟ์บอยสีแดง สบู่ลักส์ แฟ้บซักผา้ เปน็ ซอง ๆ แชมพูซ้ือเป็นซอง ๆ ไป พวกสบกู่ รดซนั ไลต์กอ้ นเหลือง ๆ กเ็ อาไป ตอ้ งมไี วข้ าย คนต้องใชซ้ กั ผ้า ตอนน้ันยงั ไม่มีผา้ อนามัย “ของท้งั หมดฉันส่ังใหไ้ ปสง่ ที่บ้านฉัน เปน็ รา้ นขายของชำ� ในทองผาภมู ิ ชอื่ ร้าน ‘สริ ินทพิ ย์’ ช่อื นีเ้ ป็นชอื่ ลกู สาวฉัน ก่อนนช้ี าวบา้ นเรียกช่อื ว่าร้าน ‘พี่ทิศ’ บา้ ง ‘นา้ ทิศ’ บา้ ง “ในชว่ งเริ่มเข้ามาค้าขายเตม็ ตัว ตอนมีลกู อ่อนน้นั ฉนั เพ่ิงอายไุ ด้ ๒๐ ตน้ ๆ ใช้เรือกระแชง ลำ� ใหญ่ เปน็ ของคนรับส่งของ เราอาศัยจ้างเขา แลว้ แต่ของมากของน้อย แตล่ ะเท่ียวไม่เทา่ กนั ๑๒๖ 126 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
“ตอนนั้นทองผาภูมิมีคนค้าขายแบบฉันประมาณ ๕ เจ้า อาศัยเดินทางเมืองกาญจน์- ทองผาภมู ิ ข้ึนลงทางเรือตลอด เพราะยงั ไมม่ ที างรถไปถึง “พอฉนั กบั สามีส่งลูกเรยี นจบกนั หมด เราก็อพยพมาอย่บู ้านในเมืองกาญจน์ เราเพง่ิ กลับ มาอยกู่ นั ทีใ่ นเมืองนีต้ อนอายุ ๖๐ กวา่ ๆ เพงิ่ ประมาณ ๒๐ กวา่ ปกี ่อนน้ีเอง” (ภาพ ๑๒๒-๑๒๖) ฟงั แลว้ กน็ กึ ถงึ ภาพเรอื กระแชง ประทนุ แผงหลงั คาโคง้ คลมุ ไวห้ ลบแดดฝนทค่ี รชู า่ งเขยี นไว้ ในจิตรกรรมวัดเหนอื ครูช่างยงั เขียนภาพคณุ ป้าใส่เครื่องแบบชาวบ้านหญงิ ภาคกลางภาคใต้ ท่ีมีผวั แล้วยคุ น้นั คือ นุง่ ผ้าโจงกระเบน เปลือยทอ่ นบน ปล่อยนมยานโตงเตง สวมหมวกงอบ ก�ำลังโยกถ่ออยู่หน้าประทุนเรือ ด้านหลังน่าจะเป็นลูกชายมากกว่าผัวแก่ เพราะหนุ่มดูอายุ น้อย แต่งตัวดีเหมือนคนท�ำงานเสมียนส�ำนักราชการ เขาก�ำลังโยกถ่อโยกแจวไปด้วยกันกับ คณุ ป้า ในเรอื กระแชงล�ำเดียวกัน ดูภาพจิตรกรรมล่องเรือกระแชงสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่วัดเหนือ แล้วมาฟังเรื่องเล่าล่องเรือ กระแชงคา้ ขายของยายอทุ ศิ ทท่ี ำ� มาตง้ั แตส่ มยั รชั กาลที่ ๘ จนเลกิ ไปในแผน่ ดนิ รชั กาลท่ี ๙ เปน็ ภาพ-เร่ืองตอ่ เน่อื งยาวนานร้อยกว่าปี ชวี ิตในจติ รกรรมกเ็ หมอื นผุดพร่างออกมาปรากฏใหเ้ ห็นตรงหนา้ ใหม้ องลึกเข้าไปในวันวาน ที่บัดน้ลี อ่ งเรือวัดเหนือมใิ ชเ่ พยี ง “ภาพผ่าน” หากเปน็ บนั ทกึ ผา่ นภาพ ทจี่ ารกึ เรอ่ื งเลา่ ของยายอทุ ศิ แมค่ า้ ทางเรอื เมอื งกาญจน-์ ทองผาภมู ิ ใหก้ ลบั มามีชวี ิตอมตะอยู่ในประวัตศิ าสตร์คำ� บอกเลา่ ชาวบา้ นของแผ่นดินเมอื งกาญจน์ ชมรมเลี้ยงววั ในจิตรกรรมฝาผนังวัดเทวสังฆาราม บริเวณภาพพุทธประวัติตอนนางสุชาดากวน ขา้ วมธปุ ายาส ใตล้ งไป จติ รกรไดเ้ ขยี นภาพววั ไวเ้ ปน็ จำ� นวนมากถงึ รว่ ม ๒๐ ตวั มที ง้ั ววั ตวั สดี ำ� ขาว น�้ำตาล แดง เป็นวัวอยู่ตามป่าเขา มีเสือแอบโขดหินยืนจ้อง ถัดไปไม่ไกล ยังมีภาพ ชายหนุ่ม ๒ คน จับวัว รดี นมวัว รองนมววั เปน็ ภาพววั กลางปา่ เขา ทค่ี รชู า่ งเขยี นภาพววั ไวจ้ ำ� นวนมาก ราวจะบนั ทกึ ความเปน็ ไปของ ชวี ิตชาวบ้านเมืองกาญจนย์ ุคร้อยกว่าปีก่อน ท่านเจ้าคุณพระกิตติสุวัฒนาภรณ์ หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม มานั่งอยู่ท่ีหน้า ภาพเขียนน้ี จึงสบโอกาสถามท่านเกี่ยวกับเรื่องราวของวัวเมืองกาญจน์ โชคดียิ่งที่หลวงพ่อ รู้เรือ่ งวัวเป็นอยา่ งดี เพราะกอ่ นบวช ท่านเคยเป็นเด็กเลีย้ งวัวมาก่อน ท่านเจา้ คุณพระกิตตฯิ เกิดเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ที่ ต.ดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ท่านบวชเม่อื อายไุ ด้ ๒๑ ปี โดยกอ่ นหนา้ นน้ั ในชีวิตของเดก็ เลยี้ งวัวเมืองพนมทวน ท่านได้ บอกเล่าความทรงจ�ำจากวันวาน อนั ชว่ ยท�ำให้ภาพจิตรกรรมฝูงวัวบนฝาผนังวดั เหนอื ท่เี ขียน ไวเ้ มอื่ รอ้ ยกวา่ ปกี อ่ นดจู ะมชี วี ติ แจม่ ชดั ขน้ึ มา ใหเ้ ราไดเ้ หน็ บรรดาววั ๆ ทง้ั ววั ขาว ววั ดำ� ววั แดง 127จติ รกรรมวัดเทวสงั ฆาราม |
128 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
๑๒๗ วัวน้�ำตาล เหมือนก�ำลังกินหญ้า ป่ายปีน โขดหิน กระโดดโลดคกึ ออกมาจากรอยสลัว รางของวันวาน จากความร�ำลึกของท่าน เจ้าคณุ พระกิตตฯิ ที่ทบทวนช่วงชีวติ ของการ เปน็ เดก็ เลีย้ งววั ให้คนรุน่ หลังไดร้ บั ฟังดงั นี้ “ที่บ้านฉันท�ำนาท�ำไร่ ปลูกข้าวฟ่าง มนั เทศ ขา้ วโพด พริก ตอนเด็ก ๆ ฉันต้อง เด็ดพริกขาย ในทุ่งนา ข้าวท่ีปลูกเป็นข้าว เหลืองอ่อน คนแถบน้ีใชว้ วั ท�ำนา เราเลีย้ งววั ทกุ บ้าน อาศัยเหมาแรง ๓-๔ เจ้า ไปชว่ ยกัน ไถนาหน้านา จะต้องออกจากบ้านตั้งแต่ หัวรุ่ง นาอยู่ไกลบ้าน ต้องเอาวัวไปท้องทุ่ง ตีสี่เราไปถึงที่นาพอดี พอตีห้าฟ้าสางก็เร่ิม ไถนา ใช้วัวคู่เอาแรงกัน ที่บ้านฉันมีวัวอยู่ ๓-๔ คู่ “พอตะวนั สาย ทบี่ า้ นจะเอาข้าวมาส่ง ใส่ ปิ่นโต ใส่หม้อห้ิวกันมา ถึงแปดโมงเช้าหยุด ไถ มาล้อมวงกินข้าว กินเสร็จก็ไถนาต่อไป จนถึงราวเก้าโมงครึ่งถึงสิบโมงกว่า ๆ แดด แรงขึ้นเรื่อยก็ต้องหยุดพัก เอาวัวไถนาไป เลี้ยงตามไร่ยาสูบท่ีเราปลูกไว้ขาย แถว กาญจนบรุ ีน้ี เดิมปลกู ยาสูบมากตามทางไป บ่อพลอย หนองเตียน ยาสูบเมืองกาญจน์ มีช่ือเสียง คนชอบกนั มาก “บา้ นฉนั ปลกู ยาสูบดว้ ย ท�ำไร่ดว้ ย ท�ำนา ดว้ ย เมอื งกาญจน์ววั เยอะ ไวไ้ ถนาด้วย เลน่ ววั ลานดว้ ย ทบ่ี า้ นฉนั เองสมยั กอ่ นมวี วั ๓๐๐- ๔๐๐ ตัว วัวในฝูงเราตั้งช่ือไว้ด้วย อย่างช่ือ ไอ้ป้ายนี้ เพราะหนา้ มันเป็นจดุ ไอท้ องแดงก็ สีแดงสวย พวกน้เี ป็นววั ชดุ ไถนา ตอนหลังก็ ขายไป คนมาซ้อื ไปเป็นพ่อพนั ธ์ุ “การฝึกวัวไถนาต้องจับมันมาเทียมแอก ตวั ไหนไมเ่ ดนิ เราใชป้ ฏกั แทงมนั ตวั ไถนาเปน็ แลว้ เราไว้ดา้ นขวา เปน็ วัวตวั ใน วัวตวั ไถไม่ 129จิตรกรรมวัดเทวสงั ฆาราม |
เป็นเอาไว้ด้านนอก ถ้าวัวดื้อ มันนอนไม่ยอมเดิน ต้องตีต้องแทงด้วยปฏัก ถ้าจะส่ังให้มัน เลี้ยวขวาหรือเลย้ี วซา้ ย ใชก้ ระตุกเชือกเอา ถ้าจะให้เลีย้ วซา้ ยต้องกระตุกเชอื กตวั ใน ถ้าจะให้ เลีย้ วขวาต้องกระตุกสนั่ เชือกตัวนอก ถ้าจะให้เดนิ หน้าตอ้ งเขย่าเชือก “เชอื กนเี้ ราเอาสนตะพาย รอ้ ยจมกู ววั ไวใ้ ชบ้ งั คบั มนั จะไดส้ ง่ั มนั เดนิ เลย้ี วซา้ ยขวาไดต้ ามใจ เวลาไถนา “วัวไถนา เราต้องท�ำใหม้ นั เชื่องด้วยการตอน วิธตี อนจะเอาเชอื กพันข้วั ไขว่ ัว รดั ใหแ้ น่น ให้ ข้วั ช�้ำ แลว้ เอาไม้ทบุ ข้วั ไขแ่ รง ๆ ทุบเตม็ แรง ใช้ไพลทาจะไดไ้ มอ่ ักเสบ ชาวบา้ นท�ำมาแบบน้ี พอตอนแลว้ ววั จะอว้ น ไมไ่ ปตดิ สดั แตเ่ รากต็ อ้ งเวน้ ววั ลกั ษณะดบี างตวั ไว้ ไมต่ อน จะไดไ้ วท้ ำ� พ่อพนั ธ์ุ “ววั ทไี่ มเ่ คยเทียมเกวียน เอามาเทียมมันจะกระโดด จนบางทเี กวียนควำ่� มนั ตืน่ ลอ้ เกวียน ต้องเขยา่ เชือกให้รดั คอวัวจนมนั ไปตอ่ ไม่ได้ ววั ถึงจะหยุดตน่ื “เริ่มเอาวัวลงนาจะทำ� ต้งั แตป่ ลายแล้ง จะเอาวัวไถดะพลกิ แผ่นดนิ ไว้ พอฝนลงกล็ งไถแปร “เมืองกาญจนเ์ ลีย้ งวัวไว้ไถนา ถ้าเป็นเมอื งชยั นาทแค่ใกล้ ๆ กันนี้ เขาเลีย้ งควาย สว่ นใหญ่ ใชค้ วายไถนา ไม่ได้ใช้ววั ววั เล้ยี งยากกวา่ ควาย แล้ววัวยังตา่ งจากควายอีกอย่างหนง่ึ ด้วย วัว ถึงเวลาเย็นมันเดนิ กลับคอกเอง วัวมีสัญชาตญาณกลับบา้ นถูก แต่ควายไม่มี ควายต้องตอ้ น มนั กลับ “กอ่ นปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ววั ตัวละ ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท พอหนา้ ฝนไถนาเสร็จ ต้องพาวัวไป เลี้ยงท่ีอ่ืน ไม่ง้ันมันจะลงกินข้าวในนาชาวบ้าน ตอนเด็ก ๆ จนวัยรุ่นฉันมีหน้าที่เลี้ยงวัว คอยเฝา้ วัวไมใ่ ห้ไปกินขา้ วในนาคนอืน่ วัวท่ีบา้ น ๓๐๐-๔๐๐ ตัวน้ี ฉนั ต้องตอ้ นมันไปเลย้ี งตาม ปา่ เขา ไมเ่ คยมเี สอื ลงมากวน เมอื่ กอ่ นเมอื งกาญจนแ์ ถวยอดเขาพระราด ถำ�้ ขนุ ไกร เคยมเี สอื ชมุ แต่ตอนฉนั เลยี้ งวัว ไม่ค่อยมีเสอื แล้ว สงบไปแล้ว “ฉันเคยหลงป่าตอนอายุ ๑๗-๑๘ ปี พาวัวไปเลย้ี งในปา่ ปลอ่ ยวัวเข้าปา่ ไปกับววั เข้าปา่ ลกึ ไปเรื่อย แล้วปล่อยวัวขึ้นเขาให้มนั หากนิ เอง ตามใจมัน พอมืด กลับบา้ นไมถ่ ูก แต่ววั พาฉนั กลับบ้านถูก “เวลาเรยี กววั ลงมาจากเขา ตอ้ งตบมอื แลว้ ‘กรวิ ’ ภาษาชาวบา้ นคอื สง่ เสยี งเรยี ก ออกเสยี ง ‘เฮิ้ว ๆ’ จะมวี วั ตัวนำ� พาวัวตัวอนื่ ๆ เดนิ มารวมกันตรงที่ดอน มาหาเรา แล้วพาเราเดนิ กลบั บ้าน มดื มาเรากลับบา้ นไมถ่ กู อาศยั เดินตามวัวไปนน้ั แหละถงึ ออกมาจากป่า กลบั บา้ นได้ “ตอนยังไม่บวช อายุหนุ่มมาก ๆ ฉันเลี้ยงวัวอยู่แถวเขาสอยดาว พนมทวน เขาพลอย แถบน้ันเป็นป่าลึก เรียก ‘ดงไส้ขาด’ ไล่วัวผ่านเข้าไปจะเป็นดงทึบ ท่ีเรียกดงไส้ขาด เพราะ ปา่ ดบิ ลกึ ขนาดหมายงั หวิ ไสข้ าดได้ แตว่ วั มนั อยไู่ ด้ มนั ไมก่ ลวั ยงั ไงววั กก็ ลบั บา้ นถกู ไมม่ หี ลง “เวลาเล้ียงวัวเปน็ ฝูง เราตอ้ งสังเกตดว้ ยว่า ตวั ไหนเปน็ หัวหนา้ ตัวอน่ื เวลาเรากริว ส่งเสยี ง ‘เฮ้ิว ๆ’ ตัวไหนมันนำ� ตัวอ่นื ลงมา นนั้ แหละหวั หนา้ ฝูง เราจะตอ้ งเอากระดงึ ไปผูกคอมนั ให้ มันใสก่ ระดึง การจะดใู หร้ วู้ า่ ววั ตัวไหนเปน็ หวั หนา้ เราดจู ากทีม่ ันเดินน�ำตวั อ่นื มนั จะน�ำไป โน่นนี่ ในฝงู ววั จะมีทั้งตวั ผู้ ตวั เมีย วัวตัวนำ� มนั จะพาตัวอน่ื ๆ ไปท่ีโนน่ ท่นี ี่ แต่ละฝงู แต่ละรนุ่ 130 | จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม
๑๒๘ จะมีววั ตัวน�ำของมัน ถ้าเราหลงปา่ เราจะไปบังคับวัวใหเ้ ดินไปเรื่อยตามใจเราไมไ่ ด้ เพราะววั มันจะกลบั บา้ น เราแค่อาศยั เดนิ ตามวัวไป เดีย๋ วมนั กพ็ าเรากลบั บ้านเอง อยา่ งป่าทบึ ๆ มดื เยน็ เรามองไมเ่ ห็นทาง หลงวกวนกลับไม่ถูก แบบนน้ั นะ่ ต้องปลอ่ ยตามใจวัว เดยี๋ วมนั พาเรา กลับบา้ นถกู เอง ไม่ตอ้ งไปส่ังมัน สั่งกไ็ มไ่ ด้ วัวไปของมนั เอง “ก่อนบวชฉันเป็นเด็กเลี้ยงวัว ท�ำหน้าที่เลี้ยงวัว พาวัวไปไกลจากบ้านเป็น ๑๐ กิโลฯ เด็กหนุ่มในหมู่บ้านไปตั้งชมรมเล้ียงวัวอยู่บนภูเขา หน้าน้�ำท่วมเราต้องพาวัวขึ้นเขาไปเล้ียง เราไปต้ังชมรม ๓-๔ เจ้าอยู่รวมกัน เอาหม้ออะลูมิเนียมข้ึนไป หุงข้าวใช้ฟืน ก้นหม้องี้ด�ำปี๋ เอาข้าว เกลือ พริก น�้ำปลาขึน้ เขา ไปหุงข้าวกินเอง กบั ข้าวอืน่ ไปหาเอาขา้ งหน้า ไปจับปลา ดกั กระรอก เกบ็ ยอดไม้ หนอ่ ไมก้ นิ เอง 131จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม |
“หนา้ น้ำ� ทว่ มท่พี าวัวข้นึ เขาไปตง้ั ชมรมเล้ียงววั นี้ เปน็ ชว่ งฤดูจิ้งจอกหอน หมาจิ้งจอกเป็น หมาปา่ หนา้ แหลม ๆ ขนสนี �้ำตาล หางเป็นพวง มนั อยู่กัน ๓-๔ ตวั ก็มี เป็นฝูงกม็ ี มันหอน เสยี งดังน่ากลวั “แล้วบนเขาช่วงนก้ี เ็ ปน็ หน้าตน้ ไข่เตา่ ออกลกู เคยเห็นไหม ลูกไขเ่ ต่าเป็นลกู ไม้สีเหลอื ง ๆ สกุ หวาน กินอรอ่ ย ต้นไขเ่ ตา่ เป็นไมป้ า่ ตน้ ไม่สงู อย่ตู ามตนี เขา ปหี น่ึงออกลูกครั้งเดยี วในช่วง หน้าฝน “แล้วช่วงข้ึนเขาเล้ียงวัว พวกเราท่ีไปต้ังชมรมจะไปเก็บเห็ดโคน เห็ดรวก เห็ดเผาะมากิน ฉันจ�ำไดว้ า่ ตอนเลี้ยงววั เราไปเก็บเห็ดมาต้มกินจนเบ่ือ” (ภาพ ๑๒๗-๑๒๙) ภาพ ๑๒๗-๑๒๙ จิตรกรรมฝาผนงั วดั เทวสังฆาราม บรเิ วณภาพพุทธประวตั ติ อนนางสุชาดา กวนขา้ วมธุปายาส ใต้ลงไป จติ รกร ไดเ้ ขยี นภาพวัวไวเ้ ปน็ จำ� นวนมากถึง ร่วม ๒๐ ตัว เปน็ ววั อยูต่ ามป่ าเขา มเี สอื แอบโขดหินยืนจ้อง ถดั ไปไม่ไกล ยังมภี าพชายหนุม่ ๒ คน จบั วัว รดี นมววั รองนมวัว ๑๒๙ คนปา่ ม่าเหมยี่ ว จติ รกรรมวัดเทวสงั ฆารามทีพ่ เิ ศษมาก ๆ อกี ชดุ หนึง่ คือภาพคนปา่ “มา่ เหมย่ี ว” ทค่ี รชู า่ ง เขยี นไว้บนผนงั โบสถถ์ ึง ๓ คู่ คนปจั จบุ ันไมร่ ้จู ัก “ม่าเหม่ยี ว” กันแลว้ ชมพมู่ ่าเหมยี่ วลกู สีแดงกำ�่ เกอื บด�ำน่ะพอรจู้ ักอยู่ บ้าง แต่คนป่าม่าเหม่ียว คืออะไร ? อยู่ตรงไหน ? ดูจะมีน้อยคนนักท่ีเคยสังเกตเห็น “ม่าเหมี่ยว” 132 | จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม
แล้วมา่ เหมีย่ วคืออะไร ? คำ� วา่ “ม่าเหมยี่ ว” มีปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฉบบั ไทย-ไทย ของ อ.เปล้อื ง ณ นคร ที่ให้ ความหมายของม่าเหมย่ี วในฐานะของคนปา่ ผมู้ ีลักษณะเฉพาะไว้วา่ “ชื่อคนป่าดงพวกหนง่ึ กล่าวกนั วา่ เปน็ พวกไม่มสี ะบ้าหัวเขา่ ” นามมา่ เหมี่ยวไม่ได้มอี ย่แู ตใ่ นพจนานกุ รมฉบบั ตา่ ง ๆ เทา่ นน้ั หากในวนั วาน มา่ เหมี่ยวยงั เคยปรากฏโฉม ปรากฏนามอยู่ในวรรณคดีหลายเรื่อง ที่รู้จักกันดีก็คือสังข์ทอง บทพระราช นิพนธ์ของในหลวงรัชกาลท่ี ๒ ในตอนท้าวสามนตใ์ ห้ลกู เขยหาปลาหาเน้อื มีกล่าวถงึ ลกู เขย ทั้งหกครำ�่ ครวญถงึ การตรากตรำ� ลำ� บากของตนเทียบกบั ม่าเหมีย่ ว ในชนดิ ที่ “เมอ่ื นน้ั เขยใหญท่ ง้ั หกตกประหมา่ แกลง้ ทลู เลยี้ วลดปดพอ่ ตา แตเ่ ชา้ ขา้ กไ็ ปไมเ่ ชอื นแช ลง ตีอวนฉุดลากที่ปากลัด ปากเป้ากัดจมูกลูกเป็นแผล ในแม่น�้ำล�ำคลองท้ังสองแคว ไม่มีปลา เลยแตส่ ักตวั เดยี ว สทู้ นแดดแผดร้อนไปยงั คำ่� จนตวั ลอกออกด�ำเหมือนมา่ เหมยี่ ว อตุ สา่ ห์ บกุ ขน้ึ บกรกเร้ียว ไปได้ปลาหน่อยเดียวทใี่ นบึง ไม่เคยพบเคยเหน็ เลยเชน่ น้ี ชะรอยผโี ขมดมนั โกรธขึ้ง ให้ปวดหวั มวั ตาหน้าตงึ แทบจะไม่มาถงึ ทา้ วไท” และในสังข์ทอง ตอนพระสังข์ตีคลี ท้าวสามนต์หัวเราะย้ิมเยาะพระสังข์ ด้วยอารมณ์ ประมาณ “เมือ่ น้ัน ท้าวสามนตห์ ัวเราะเยาะยม้ิ อยู่ เออราวกบั ใครเขาไม่รู้ ร�ำคาญหูจ้จู ไ้ี ปทีเดียว ขนื จะให้ไปดูลูกเขยเงาะ มันสิเหมาะหนักหนาเหมือนม่าเหมี่ยว อย่าอวดโอ้โป้ปดลดเลี้ยว พระอินทร์มาเขียวเขียวไม่เช่ือเลย แล้วตรัสกับเสนานินทาเมีย ตะแก่เสียจริตผิดแล้วเหวย รูปทองท่ไี หนเล่าเฝ้าชมเชย เงาะเงยนา่ เกลียดขีเ้ กยี จไป” “ม่าเหม่ยี ว” ท่ีรัชกาลที่ ๒ ทรงเอย่ เปรียบไว้ แน่ ๆ คอื ตัวด�ำ และดู “บ้าน ๆ” เล่อล่าเป็น ท่สี ุดเลยล่ะกระมงั ส่วนกวีสุนทรภู่เคยกล่าวถึง “ม่าเหมี่ยว” ไว้ในบทละครพระอภัยมณี ตอนที่สังฆราช บาทหลวงเผาเมืองลงั กา ดังบทกลอนที่ว่า “เหลา่ คนปา่ มา่ เหม่ยี วเทีย่ วเป็นฝงู บ้างอ้มุ จูงลกู เต้าเลียบเขาเขิน” ส่วนในนริ าศอเิ หนาของท่านสุนทรภู่ ก็มกี ารกลา่ วถึงม่าเหมย่ี วไว้ดงั น้ี “อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์ ปีกเหมือนครุฑครีบเท้ามีเผ้าผม พวกม่าเหมี่ยวเท่ียวเดิน เนินพนม ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน เหล่าลเมาะเงาะป่าคุลาอยู่ เท่ียวกินปูเปี้ยว ป่าผลาผล สิงโตต่ืนยืนหยัดสบัดตน เห็นผู้คนโผนข้ามล�ำเนาเนิน ฝูงมฤคถึกเถ่ือนเที่ยว เกล่ือนกลุ้ม เป็นคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน เห็นกวางทองย่องเย้ืองช�ำเลืองเดิน เหมือนน้อง เชิญพานผ้าประหม่าเมียง” และในบทเหก่ ลอ่ มพระเจ้าลูกเธอ เรื่องกากี ทกี่ ลา่ ววา่ เป็นผลงานของสนุ ทรภู่ ได้เลา่ ถึง ม่าเหม่ยี วไว้ว่า “คนปา่ ทงั้ มา่ เหม่ยี ว ก็จงู กันเทีย่ วดุม่ เดนิ ลอยลมชมเพลนิ พนมเนนิ แนวธาร” มา่ เหมยี่ วจงึ หมายถงึ คนเถอื่ นคนปา่ ตวั ดำ� เดนิ อมุ้ ลกู จงู หลานอยตู่ ามปา่ ดบิ ดงลกึ หนา้ ตา 133จติ รกรรมวัดเทวสงั ฆาราม |
ก็คงบ้านนอกทะเล่อทะล่า ไม่ต่างจากรูป เจ้าเงาะสามีสุดรักของนางรจนา ท่ีถูกท้าว สามนต์ถีบกระเด็นให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่กับ ลกู สาวแถวชายป่า ด้วยสภาพเช่นน้ี ดงั นน้ั เม่อื มกี ารกลา่ วถงึ ม ่ า เ ห ม่ี ย ว ใ น ว ร ร ณ ค ดี ห รื อ ป ร า ก ฏ ภ า พ ม่าเหม่ียวในจิตรกรรม จุดประสงค์หน่ึงก็ เพ่ือบรรยายลากโยงให้เห็นว่าเป็นเขตป่าเขา โขดเหินห่างไกล สุดขอบฟ้าป่าหิมพานต์น้ัน ดว้ ยกระมงั ในจติ รกรรมไทย ทง้ั จติ รกรรมในสมดุ ไทย จิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วิหาร จิตรกรรม บริเวณคอสองในศาลาการเปรียญ เราได้พบ ภาพ “คนปา่ มา่ เหมย่ี ว” นงุ่ ใบไม้ หลากหลาย กิริยา ปรากฏทั่วไปทั้งในเขตภาคกลาง กรุงเทพฯ--ธนบุรี ม่าเหมี่ยวเก่าแก่ที่สุดมีอยู่ใน “แผนท่ี โบราณ: แสดงภาพสัตว์ชนิดต่าง ๆ และ คนปา่ ในป่าหิมพานต”์ ซงึ่ เปน็ ส่วนหนึ่งของ สมดุ ภาพไตรภูมิ เล่มคัดลอกจากสมัยธนบรุ ี ม่าเหม่ียวไกลสุดที่ได้พบน้ันข้ามฝั่งน�้ำโขง ไปอยู่ที่โบสถ์วัดสีสะเกด นะคอนเวียงจัน ประเทศลาว ครูช่างลาวเขียนไว้ช่วงสมัย รัชกาลที่ ๒ ของประเทศไทย ส ่ ว น วั ด ท า ง เ ห นื อ ข อ ง เ มื อ ง ไ ท ย ก็ มี มา่ เหมยี่ วเชน่ กนั เปน็ จติ รกรรมฝาผนงั อยตู่ รง ซอกประตูทางเข้าวิหารลายค�ำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ ภาพ ๑๓๐ หนุ่มม่าเหม่ยี วยนื พิงโขดผา ถอื ช่อดอกไม้หรอื ลูกไม้ สแี ดง ๆ ไปฝากสาว สาวม่าเหม่ยี วยืนออ้ ยอ่งิ ชมา้ ยตา ย่นื มือมารบั ดวงหน้าอาบอารมณล์ ะมุนละไม ๑๓๐ 134 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
135จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
แต่ชุมนุมม่าเหม่ียวท่ีชุกชุมมาก ๆ น้ันอยู่ในวัดเขตภาคกลางของไทย ครูช่างเขียนกันมา ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ แสดงอากัปกิริยาต่าง ๆ ดังเช่น พ่อแม่ลูกม่าเหมี่ยวที่วัดสุทัศน์ เทพวราราม ผวั เมยี ม่าเหมี่ยวเดนิ ป่าอยดู่ ้วยกันทวี่ ัดบวรนิเวศ ฝั่งธนบรุ ี พเิ ศษยิ่งกวา่ คือมกี ระทง่ั งานปนู ปนั้ หนุม่ สาวม่าเหมี่ยวในปา่ หมิ พานต์ท่หี นา้ บัน วิหารวัดไทร จิตรกรรมม่าเหมี่ยวท่ีวัดราชสิทธาราม วัดทองธรรมชาติ วัดทองนพคุณ วดั เปาโรหติ ย์ สว่ นวดั นายโรงนนั้ พอ่ มา่ เหมยี่ วกำ� ลงั กนิ แตงโมอรอ่ ยบนั เทงิ ใจ ใหล้ กู นอ้ ยชะเงอ้ หาอยากกนิ แตงโมด้วย ในเขตภาคกลางนี้ ม่าเหมี่ยวยังเดินทางไกลไปปรากฏอยู่ท่ีวัดก่ิงแก้ว จ.สมุทรปราการ วดั มว่ ง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยธุ ยา วัดหนองโนเหนอื อ.เมืองฯ จ.สระบุรี วัดสมุหประ- ดิษฐาราม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี วัดโบสถ์ รมิ น�้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี ส่วนภาคตะวนั ออก เราก็ได้พบม่าเหมี่ยวอยใู่ นจิตรกรรมวดั ไผ่ลอ้ ม จ.จันทบุรี จติ รกรรม พระบฏวัดบา้ นแลง จ.ระยอง ภาคตะวันตกมีม่าเหมี่ยวอยู่ที่คอสอง ศาลาการเปรียญวัดเกาะ จ.เพชรบุรี จิตรกรรม ม่าเหม่ียวท่วี ัดหนอ่ พุทธางกรู และวัดประตูสาร จ.สุพรรณบรุ ี แต่เดด็ สุดคือม่าเหมย่ี วในจติ รกรรมฝาผนงั วดั เทวสงั ฆาราม จ.กาญจนบรุ ี ม่าเหมี่ยวท่ีวัดเหนือแห่งน้ี ครูช่างวาดไว้ถึงสามคู่ชู้ชม เบียดแทรกอยู่ในภาพพุทธประวัติ ใหด้ ูแล้วรืน่ รมย์ใจ จนหวั เราะก้กั ๆ อยา่ งยัง้ ไม่ทนั กลั้นไมไ่ หว ภาพ ๑๓๑ หนมุ่ สาวม่าเหม่ยี วท�ำในส่งิ ชอบ ๆ อยูต่ รง ชายป่ า เขาคงไม่คดิ วา่ ประเจิดประเจ้ออะไร อุตสา่ ห์หลบไปทำ� ส่ิงชอบ ๆ อยู่ในป่ าลกึ ดันมีคนทะล่งึ ไปแอบดจู นได้ ๑๓๑ 136 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
๑๓๒ ภาพ ๑๓๒ หนุม่ สาวม่าเหม่ยี วช่วยเก็บหาของป่ า ล่าสัตว์ จงึ ไดแ้ บก ลกู ขนุนหรอื ทุเรียน กับลากหางตวั เหย้ี ไปเปน็ อาหาร ม่าเหมีย่ วคู่แรกนัน้ น่ารกั มาก หนุ่มมา่ เหมีย่ วยนื พงิ โขดผา ถือช่อดอกไมห้ รือลูกไมส้ แี ดง ๆ ไปฝากสาว สาวมา่ เหม่ียวยืนอ้อยอิ่งชมา้ ยตา ยื่นมือมารับ ดวงหน้าอาบอารมณล์ ะมุนละไม (ภาพ ๑๓๐) จากนน้ั ถดั ไปยงั ผนงั อกี ฟาก ดแู ลว้ พจิ ารณาไมถ่ กู วา่ เปน็ มา่ เหมยี่ วคเู่ ดมิ หรอื ไม่ แตห่ นมุ่ สาว ม่าเหมย่ี วทำ� ในสิ่งชอบ ๆ อย่ตู รงชายปา่ เขาคงไม่คิดว่าประเจิดประเจอ้ อะไร เหมอื นจะดา่ เอาดว้ ยซ้ำ� วา่ อีพวกตาผี มาเลง็ แล มาแอบดูชวี ิตสว่ นตัวของเขา อุตส่าห์หลบไปท�ำส่ิงชอบ ๆ อยู่ในป่าลึก ดันมีคนทะลึ่งไปแอบดูจนได้ ในขณะท่ีเขาท้ังคู่เล่นบทอีโรติก ชนิดไม่ย่ีหระว่า ผปี า่ เทวดา หรือใครหนา้ ไหนจะมาจ้องตาถลนแลดกู จิ กรรมสว่ นตวั ของพวกเขา (ภาพ ๑๓๑) เหน็ แล้วออกจะพศิ วง ครชู า่ งเขียนภาพวัดเหนือดูจะมีอารมณ์หวอื หวา ชวนยิ้มชวนขำ� ได้ เหลอื ร้ายซะจรงิ ๆ จากน้นั หน่มุ สาวมา่ เหม่ียวค่นู ค้ี งเร่ิมต้ังครอบครัวแลว้ กระมัง เขาอยดู่ ้วยกัน ชว่ ยเก็บหา ของป่า ล่าสัตว์มาเป็นภักษาหาร จึงได้แบกลูกขนุนหรือทุเรียนอะไรสักอย่าง กับลากหาง ตัวเห้ยี ไปเปน็ อาหาร (ภาพ ๑๓๒) 137จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
138 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
๑๓๓ ภาพม่าเหม่ียวเดินลากตัวเห้ียมาเช่นนี้ แสดงชดั วา่ คนปา่ มา่ เหมยี่ วตอ้ งใชไ้ ฟเปน็ แลว้ เพราะเห้ยี หนังหนามาก มีดคม ๆ ยังเฉอื น หนงั เหย้ี แทบไมเ่ ขา้ หมารมุ กดั เหยี้ ยงั ขยำ้� ฟดั หนังเห้ียไม่มีทะลุ ถ้าจะกินเห้ีย จะต้องจับ ยา่ งไฟใหห้ นงั เกรยี มกอ่ น ถงึ จะถลกหนงั เหย้ี เอาเน้ือมากนิ ได้ ดงั นัน้ มา่ เหมยี่ วต้องเป็นคนปา่ ทร่ี จู้ กั การ จดุ ไฟ ใชไ้ ฟเปน็ แล้วอย่างแน่นอน ถงึ ลา่ เหย้ี มายา่ งไฟถลกหนงั เพอ่ื ใช้เปน็ ภกั ษาหารได้ และกับภาพม่าเหม่ียววัดเหนือน้ี ยังเป็น หลักฐานยืนยันอย่างหนักแน่น ถึงการที่ พจนานุกรมภาษาไทยหลายฉบับบอกไว้ว่า ม่าเหมย่ี วไมม่ ีสะบ้าเข่านัน้ ไมเ่ ป็นความจริง มา่ เหมย่ี ววดั เหนอื มสี ะบา้ เขา่ แน่ หากอยาก จะงอเข่าเพ่ือท�ำกิจกรรมชอบ ๆ ม่าเหมี่ยว วัดเหนือก็งอเข่าได้คล่องแคล่ว ไม่มีเก้อเขิน แขง้ ขัดใด ๆ จิตรกรรมท่ีได้เห็นจากวัดเหนือ บอกเล่า ความจริงให้ไดร้ ับทราบเช่นนั้น กัญชาวัดเหนอื เมืองกาญจนบุรีก็มีภาพสูบกัญชากับ เขาด้วย เป็นหลักฐานบ่งชัดว่า ชาวบ้านที่น่ี ชนช้ันทุกระดับของเมืองกาญจนบุรี ได้เคย ใช้กัญชาอย่างเป็นปกติในชีวิตประจ�ำวัน เพราะมีภาพการสูบกัญชาปรากฏอยู่ท้ัง วดั เทวสงั ฆาราม (วดั เหนอื ) และวดั ไชยชมุ พล ชนะสงคราม (วดั ใต้) ภาพ ๑๓๓-๑๓๖ งานจติ รกรรมสสี ันสดใส ฝีมือครูช่างสมยั รัชกาลท่ี ๕ ของวัดเหนอื ปรากฏภาพนกั สทิ ธ์แิ ละวทิ ยาธรกำ� ลังซดเหลา้ สูบกญั ชาด้วยอุปกรณ์ “ตุง้ ก่า” อยา่ งเพลดิ เพลนิ หวั ใจ 139จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม |
แตส่ ิ่งพิเศษกวา่ พื้นทอี่ ่นื กค็ ือ จิตรกรรมสูบกัญชาของเมืองกาญจนบรุ ี ภาพท่บี นั ทึกไวม้ ิใช่ เร่ืองของมนุษย์ แตเ่ ปน็ คนธรรพ์ นักสิทธ์ิ วทิ ยาธร กำ� ลังเมามนั กบั การลอ่ กัญชา งานจิตรกรรมสีสนั สดใส ฝีมอื ครูช่างสมัยรัชกาลที่ ๕ ของวดั เหนอื ได้ปรากฏภาพนกั สทิ ธ์ิ (ผู้ส�ำเร็จไสยเวท ดวงจิตฝึกฝนสมถภาวนาในทางของฤษี) วิทยาธร (ผู้ทรงภูมิความรู้ ในดวงจติ แสวงหาความรสู้ ายวชิ าการ) ทงั้ นกั สทิ ธว์ิ ทิ ยาธรกำ� ลงั ซดเหลา้ สบู กญั ชาดว้ ยอปุ กรณ์ “ตุง้ ก่า” อย่างเพลิดเพลนิ หัวใจ (ภาพ ๑๓๓-๑๓๖) ท้ังสองภาพนี้อยู่ด้านหลังพระประธานและด้านข้างพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า ของวดั เหนอื ๑๓๔ ๑๓๕ สำ� หรับวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) พระอุโบสถหลงั เกา่ สรา้ งประมาณสมยั รัชกาล ที่ ๓ แหงนดเู พดานโบสถ์ จะพบภาพจติ รกรรมงดงามทีค่ รชู า่ งเขียนไว้ มที ัง้ ภาพเทวดา ภาพ พระราหูอมจันทร์ ภาพชาดก และในภาพพรหมนารทชาดกท่ีปรากฏอยู่บนเพดานโบสถ์ หลงั เกา่ น้ี ทางซา้ ยมอื ขา้ งหวั เขา่ ของพรหมนารทฤษี ครชู า่ งไดเ้ ขยี นภาพนกั สทิ ธว์ิ ทิ ยาธรผหู้ นงึ่ มือเงือ้ ง่าถอื หมอ้ ต้งุ ก่า อุปกรณ์สำ� คัญในการใชส้ ูบกญั ชา (ภาพ ๑๓๗-๑๓๘) กาญจนบุรีจึงเป็นบ้านเมืองส�ำคัญท่ีมีหลักฐานปรากฏชัดอยู่ท้ังวัดเหนือและวัดใต้ว่า คนธรรพ์ นักสทิ ธ์ิ วทิ ยาธรของบา้ นเมอื งน้ี นิยมสบู กัญชาอยา่ งย่ิง 140 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
๑๓๖ วฒั นธรรมการใชก้ ญั ชาจงึ มใิ ชเ่ ปน็ เพยี งเรอื่ งของชาวบา้ นรา้ นตลาดทวั่ ๆ ไปเทา่ นนั้ แตก่ าร ที่นักสิทธิ์ คนธรรพ์ วิทยาธรในจิตรกรรมวัดเหนือ-วัดใต้ ต่างสูบกัญชาให้เห็นอย่างโล่งโจ้ง โจง่ แจ้ง นับเปน็ หลกั ฐานส�ำคัญอันบันทึกโลกในวนั วานให้เห็นมาถึงบัดนีว้ ่า ชนช้นั ปัญญาชน อนั ไดแ้ กผ่ ปู้ ฏบิ ตั ทิ างจติ ศลิ ปนิ บณั ฑติ นกั วชิ าการ ของสงั คมกาญจนบรุ ี ตา่ งเคยใชก้ ญั ชากนั มาเปน็ ปกติ ในชวี ิตประจ�ำวนั ในเรอื่ งคนกาญจนบรุ เี อากญั ชาทไ่ี หนมาใชเ้ มอื่ ๑๐๐ กวา่ ปกี อ่ น, นกั สทิ ธ์ิ วทิ ยาธร คนธรรพ์ ในจิตรกรรมวัดเหนือได้กัญชามาจากพ้ืนที่ไหน ในเมืองส่วนไหน, กัญชาเคยมีปลูกอยู่ใน บา้ นชอ่ งผู้คนโดยปกตหิ รอื ไม,่ คณุ บญุ ส่ง จันทรส์ ่องรศั มี เกิดทีท่ ่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เลา่ ให้ฟงั ถึงสงิ่ ที่ประสบเมื่อราว ๔๐-๕๐ ปกี อ่ น เกย่ี วกับการปลูกกญั ชาวา่ “กญั ชาเปน็ พืชผดิ กฎหมาย สมัยก่อนญาติ ๆ ผมแอบปลูกอยูท่ ่ีจังหวดั นครปฐม ในพื้นที่ ไรอ่ ้อย เราจะมองเหน็ ริมทางเป็นดงออ้ ย แต่ข้างในเปน็ กัญชา ผมอย่กู บั ญาติท่นี นั่ จ�ำไดว้ ่า กญั ชาปลกู มากในนครปฐม คนจะปลกู กันแถวหนองงูเหลือม ทางไปกำ� แพงแสน ในไร่กัญชา 141จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม |
เมืองนครปฐม ผมไปตัดต้นกัญชามาตาก มาซอย มันนานมากแลว้ ต้ังแต่ผมยงั เปน็ หนมุ่ ๆ ผมจ�ำไดว้ ่าในเมอื งกาญจนบุรี คนไมค่ อ่ ยปลกู กญั ชา ไม่เหน็ ปลกู กัญชาในเมอื งกนั เลย” แม้คุณบุญส่งจะเล่าให้ฟังว่า ในเขตเมืองกาญจนบุรีไม่ค่อยมีการปลูกกัญชา แต่ไม่ได้ หมายความว่าคนในเขตกาญจนบุรีในอดีตจนถึงปัจจุบันจะไม่ได้ปลูกกัญชา หรือไม่มีพันธุ์ กัญชาชนดิ ดี เพราะเมอ่ื ปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๒ น้ี คนชาตพิ นั ธ์ุกะเหรย่ี งชายแดนตะวนั ตกใน เขต อ.ศรสี วสั ด์ิ จ.กาญจนบรุ ี ไดบ้ อกเลา่ ถงึ ผคู้ นในหมบู่ า้ นของตนไดป้ ลกู เสพ และใชป้ ระโยชน์ กัญชาในทางยา ทางสุขภาพมายาวนาน ดังข้อมูลทไี่ ด้พูดคยุ และบันทกึ มาว่า “ที่ชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี คนกะเหร่ียงบ้านผมจะปลูกกัญชาพันธุ์ ‘ช้างเผือก’ เป็น พันธุ์พ้นื บา้ น เรยี กเป็นภาษากะเหร่ียงว่าพันธ์ุ ‘ชอ่ งวา’ ลักษณะตน้ ใหญ่มาก เปน็ พนั ธเ์ุ ก่าแก่ ดัง้ เดมิ มาตงั้ แตร่ ุน่ ปยู่ า่ ข้ึนดใี นทชี่ น้ื อากาศหนาวมาก ๆ ๑๓๗ 142 | จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม
“คนกะเหรี่ยงโบราณจะปลูกกัญชาพร้อม มาช่วยบำ� รงุ ดิน ถา้ อยากให้ข้าวใหก้ ญั ชางาม กันไปกับข้าวไร่ ในฤดูฝนราวเดือน ๗-๘ มาก ๆ มที ไี่ ปโกยขค้ี า้ งคาวจากในถำ�้ มาใสล่ ง ลงเม็ดพร้อมข้าวไร่ เราใช้กัญชาช่วยป้องกัน บา้ ง เพลี้ยไม่ให้ลงข้าว ไม่ให้เพล้ียกินข้าวเป็น ใบแดง คนกะเหรี่ยงปลูกกัญชาพร้อมข้าวไร่ “คนกะเหรี่ยงรุ่นเก่าเขาปลูกกัญชาไม่มาก มาแต่โบราณ อาศัยกัญชาช่วยดูแลข้าว แต่ ปลกู แซมขา้ วไวก้ นั เพลยี้ เราปลกู แค่ ๔-๕ ตน้ เดมิ ขา้ ว ๑ ไร่ จะปลกู กญั ชาแซมไป ๒๐-๓๐ ตน้ ก็ได้กะหล่ีมาสูบเพียงพอตลอดปีแล้ว ถ้า ตอ่ มาผิดกฎหมาย เรากย็ งั ตอ้ งหลบ ๆ ปลูก ปลูกเยอะถงึ ๒๐-๓๐ ต้นนั้นน่ะ ได้กะหลเ่ี ป็น กัญชาในขา้ วไร่ไว้กันเพล้ยี แตแ่ อบ ๆ ปลกู กระสอบเลย” จ�ำนวนนอ้ ยลงมาก กัญชาท่ีคนกะเหร่ียงชายแดนกาญจนบุรี “คนกะเหรี่ยงบ้านผมมีปลูกกัญชาพันธุ์ ปลูกแซมต้นข้าวไว้กันเพล้ียลงต้นข้าว ใช้ท�ำ ฝอยทอง อันนี้เรียกชื่อตามภาษาไทยกลาง ยารักษาสุขภาพ และใช้สูบบันเทิงอารมณ์นี้ พันธุ์น้ีค�ำกะเหรี่ยงไม่มีเรียก รุ่นปู่ย่าไม่มี ท�ำกันมาหลายร้อยปีแล้ว และน่าจะได้ใช้ กัญชาพันธุ์นี้ แล้วยังมีพันธุ์ก้านยาวอีกด้วย ท่ัวไปเป็นปกตอิ ยใู่ นบ้านเมืองกาญจนบรุ ี ดงั ที่คนในหมู่บ้านใช้ปลูก แต่กะหลี่ (ดอก) มหี ลกั ฐานปรากฏอยใู่ นภาพจติ รกรรมการสบู ไม่ดก ออกกะหลห่ี า่ ง ๆ เมด็ มาก กัญชาของชนช้ันสูง อย่างนักสิทธ์ิ คนธรรพ์ วทิ ยาธร ในจติ รกรรมฝาผนงั โบสถเ์ กา่ ของวดั “กัญชาที่ปลูกกับขา้ วไรน่ ้ี เราไมใ่ สป่ ุ๋ย ขา้ ว เทวสังฆารามนเ้ี อง ก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ย อาศัยแต่ข้ีเถ้าเผาไร่ที่ค้างอยู่ ภาพ ๑๓๗-๑๓๘ บนเพดานโบสถห์ ลังเก่าของ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) มภี าพพรหมนารทชาดก ซ่ึงทางซา้ ยมอื ข้างหวั เข่าของ พรหมนารทฤษี ครูช่างได้เขียน ภาพนกั สทิ ธ์วิ ทิ ยาธรผู้หน่ึง มือเง้อื งา่ ถือหมอ้ ตุ้งก่า อุปกรณส์ ำ� คญั ในการใช้ สูบกัญชา ๑๓๘ 143จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม |
ชวี ิตคนจนี จิตรกรรมวัดเหนือมีภาพคนจีนแทรกปนอยู่หลากหลาย ดังเช่น สาวไทยนั่งสางผมให้ หนุ่มจีน เตรียมถักเปียให้ (ภาพ ๑๓๙ และ ๑๔๐) ตามประเพณีนิยมของหนุ่มจีนแมนจู ราชวงศ์ชิง (พ.ศ. ๒๑๗๙-๒๔๕๕) ราชวงศส์ ดุ ทา้ ยที่ปกครองประเทศจนี แลว้ บงั คบั ให้ชายจนี ชาวฮน่ั ต้องโกนผมไวเ้ ปียแบบจนี แมนจูต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๑๘๘ เป็นตน้ มา หนุ่มจีนที่เข้ามาเมืองไทยสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัชกาลท่ี ๕ ยุคของครูช่างท่ีวาดภาพ จิตรกรรมในพระอุโบสถวัดเทวสังฆาราม จึงยังมีทรงผมโกนหัวไว้เปียอยู่ทั่วไป ดังท่ีปรากฏ ในภาพ หนุม่ จนี ผมเปียน่งั รอเมียไทยออกลกู กบั หมอต�ำแย (ภาพ ๑๔๑-๑๔๓) หนุ่มจนี ไวเ้ ปยี น่ังเบิกบานหยอกล้อกับหมสู่ าวไทย (ภาพ ๑๔๔) ๑๓๙ ภาพ ๑๓๙-๑๔๐ จติ รกรรมวดั เหนือมีภาพคนจีนแทรกปนอยู่ หลากหลาย ดงั เช่น สาวไทยน่ังสางผมให้ หนมุ่ จีน เตรียมถกั เปียให้ ตามประเพณนี ยิ ม ของหนมุ่ จีนแมนจู 144 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม ๑๔๐
๑๔๑ ภาพ ๑๔๑-๑๔๓ หนุม่ จีนท่เี ขา้ มาเมอื งไทยสมัยอยุธยาจนถงึ สมัยรชั กาลท่ี ๕ ยังมที รงผมโกนหวั ไวเ้ ปีย อยู่ท่ัวไป ดังท่ปี รากฏในภาพ หนมุ่ จีนผมเปีย น่งั รอเมยี ไทยออกลกู กบั หมอตำ� แย ๑๔๓ ๑๔๒ ภาพ ๑๔๔ หนุม่ จีนไวเ้ ปียน่ังเบิกบาน ๑๔๔ หยอกลอ้ กับหมู่สาวไทย 145จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม |
หนุ่มจีนไวเ้ ปยี โอโ้ ลมปฏโิ ลมสาวไทย (ภาพ ๑๔๕) การไวเ้ ปยี ของหนมุ่ จนี นพ้ี บเหน็ ทวั่ ไปในแผน่ ดนิ สยามตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยามาจนถงึ สมยั รชั กาล ที่ ๖ ยาวนานไปถงึ กอ่ นสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ จนแม้ราชวงศช์ ิงจะสนิ้ อำ� นาจปกครองประเทศ ไปแลว้ แตห่ น่มุ จีนแมนจใู นแผ่นดินสยามก็ยงั ไว้เปยี กนั อยูป่ ระปราย ตามประเพณีนยิ มของ จนี แมนจู ทค่ี อ่ ย ๆ เส่ือมสญู ลม้ หายตายจากไปพรอ้ มคนรุน่ เกา่ แตถ่ งึ กระน้นั ในช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๔ แรกเรมิ่ ท่ี อ.ลอ้ ม เพ็งแก้ว มารับราชการท่ี รร.ฝึกหัดครูเพชรบุรี จ.เพชรบุรี อ.ล้อมก็ยังร�ำลกึ ความหลงั ให้ฟงั วา่ ได้ทันเหน็ หนุม่ จีนไวเ้ ปีย ยาวถงึ สะโพก ขายของอยูก่ ลางตลาดเมืองเพชรบุรี นอกจากภาพหนุ่มจีนไว้เปียในผนังอุโบสถของวัดเหนือแล้ว เรายังพบภาพคตินิยมทาง เทวปรัชญา ศาสนาของคนจีนปรากฏอยู่ในอุโบสถแห่งน้ี ดังท่ีมีภาพเทพเจ้าจีนอยู่กลาง หม่เู มฆดว้ ยเชน่ กนั คือภาพของเง็กเซยี งฮ่องเต้ เจา้ แม่ซหี วงั หมู่ (ภาพ ๑๔๖) และยังมีภาพ “เห้งเจีย” ที่คนจีนนับถือเป็นเทพเจ้า (ภาพ ๑๔๗) และผนังฝั่งตรงข้าม ข้างแขนซ้ายของพระประธาน ครูช่างก็ได้เขียนภาพ “ตือโป้ยก่าย” ตัวละครส�ำคัญในไซอ๋ิว ไวด้ ้วยเชน่ กนั (ภาพ ๑๔๘) และยังมีภาพศาลเจ้าจีน พร้อมเคร่ืองเซ่นไหว้ (ภาพ ๑๔๙ และ ๑๕๐) อยู่ในภาพ พุทธประวัติ อันเป็นการร่วมบูชาของศาลเจ้าชาวจีน ในงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสของ เจา้ ชายสทิ ธัตถะและพระนางยโสธราพิมพาอยู่อกี ด้วย ๑๔๕ ภาพ ๑๔๕ หนุม่ จีนไวเ้ ปียโอ้โลม ปฏิโลมสาวไทย 146 | จิตรกรรมวดั เทวสังฆาราม
ภาพ ๑๔๖ นอกจากภาพหนุ่มจนี ไว้เปียแล้ว เรายงั พบภาพ คตนิ ิยมทางเทวปรชั ญา ศาสนาของคนจีน ปรากฏอยู่ในอุโบสถวัดเหนอื เช่น ภาพของ เงก็ เซียงฮอ่ งเตแ้ ละเจ้าแมซ่ ีหวงั หมู่ ๑๔๖ ภาพ ๑๔๗ ภาพ “เห้งเจยี ” ท่คี นจนี นับถอื เปน็ เทพเจ้า ภาพ ๑๔๘ ๑๔๘ ผนังฝ่ังตรงขา้ ม ขา้ งแขนซา้ ยของพระประธาน คส�ำรคูช่ัญางใกน็ไไดซเ้อข๋วิยี ไนวภ้ดา้วพยเช“่นตกอื นัโป้ยกา่ ย” ตวั ละคร 147จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม | ๑๔๗
๑๔๙ 148 | จิตรกรรมวัดเทวสังฆาราม
ภาพ ๑๔๙-๑๕๐ มีภาพศาลเจ้าจีน พร้อมเคร่อื งเซ่นไหว้ อยู่ในภาพพุทธประวัติ อันเปน็ การร่วม บูชาของศาลเจ้าชาวจีน ในงานพระราช พธิ อี ภิเษกสมรสของเจา้ ชายสิทธตั ถะ ๑๕๐ และพระนางยโสธราพิมพา ท้ังจีนไว้เปีย เง็กเซียงฮ่องเต้ เจ้าแม่ซีหวังหมู่ กับตัวละครส�ำคัญในไซอ๋ิว ทั้งเห้งเจียและ ตอื โปย้ กา่ ย กระทง่ั ศาลเจา้ จนี พรอ้ มเครอื่ งเซน่ ไหว้ กไ็ ดม้ าอวดโฉมอยบู่ นฝาผนงั พระอโุ บสถ วัดเหนือ มายาวนานร้อยกว่าปีแล้ว แสดงถึงคตินิยมของคนจีน ทั้งตัวตนที่เป็นมนุษย์กับ เทพเจา้ ทน่ี บั ถอื อยา่ งเขม้ แขง็ มาก ในสงั คมชาวบา้ นกาญจนบรุ กี บั สงั คมของครชู า่ งผสู้ รา้ งสรรค์ ผลงานภาพชดุ นีข้ ึ้นมา ฝรง่ั ตา่ งชาติ นอกจากคนจีนแล้ว จิตรกรรมวัดเหนือยังมี “ฝรั่งต่างชาติ” อวดโฉมอยู่ในพุทธประวัติ อีกด้วย นับแต่ต้นเร่ือง ในงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายสิทธัตถะ และพระนางยโสธราพิมพา ครูช่างก็ได้วาด “วงแตรฝรงั่ ” นักดนตรี ๔ นาย ตีกลอง เป่าป่ี เป่าแตร อยู่หน้าประตูพระราชวัง ซึ่ง อ.ฐานิสร์ พรรณรายน์ ครูดนตรี รร.วัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) อ.เมืองฯ จ.เพชรบุรี ให้ความรู้ว่า เคร่ืองดนตรีฝร่ังในภาพเป็นเครื่อง ประโคมเวลาเสดจ็ พระราชดำ� เนิน (ภาพ ๑๕๑ และ ๑๕๒) โปรดสังเกต แตรฝร่ังที่ครูช่างวาดไว้น้ัน เรียกอีกช่ือหนึ่งว่า “แตรล�ำโพง” มีลักษณะปาก บานคล้ายดอกลำ� โพง ในกฎมณเฑยี รบาลเรยี กวา่ “แตรลางโพง” ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลท่ี ๑ เรยี กกันว่า “แตรวลิ นั ดา” ฝรงั่ เปดิ เรอ่ื งตน้ ภาพพทุ ธประวตั ใิ นจติ รกรรมวดั เหนอื จงึ เรมิ่ จากการประโคมดนตรรี บั เสดจ็ ในงานพระราชพิธอี ภิเษกสมรสอย่างครึกครนื้ ชน่ื บานอารมณ์ 149จติ รกรรมวดั เทวสังฆาราม |
ภาพ ๑๕๑-๑๕๒ ๑๕๒ ในงานเฉลมิ ฉลองพระราชพธิ อี ภิเษกสมรสของ เจา้ ชายสทิ ธัตถะและพระนางยโสธราพมิ พา ครูช่าง กไ็ ด้วาด “วงแตรฝร่ัง” นักดนตรี ๔ นาย ตีกลอง เป่ าป่ี เป่ าแตร อยู่หน้าประตูพระราชวัง ๑๕๑ ๑๕๓ ภาพ ๑๕๓ อลงุยป่า้งาฝสบรา่ังยสมๆัยรเัชลกี้ยงาลหทม่ีา๕ตัวโใตชเช้ปีวน็ ติ ทอ่ีคยุ้นู่ใตนาเมอืคงรไูชท่ายง จงึ ไดเ้ อามาวาดภาพไว้ ภาพ ๑๕๔ ทหารฝร่ังมาน่งั เล่นด่ืมเคร่อื งด่มื ๑๕๔ สบายอารมณช์ ่ืนอกช่ืนใจ 150 | จติ รกรรมวดั เทวสงั ฆาราม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184