Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ย้อนรอยกรุงเก่ากาญจนบุรี

ย้อนรอยกรุงเก่ากาญจนบุรี

Published by Rattanagorn Putiaek, 2021-09-06 05:20:08

Description: ย้อนรอยกรุงเก่ากาญจนบุรี

Search

Read the Text Version

จงั หวดั กาญจนบรุ ี ยก้อรนุงรเกอ่าย ณ กาญจนบุรี



ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี ท่ปี รกึ ษา พระราชรัตนวมิ ล ทีป่ รึกษาเจ้าคณะจังหวดั กาญจนบรุ ี พระราชวิสทุ ธิเมธ ี เจา้ คณะจังหวัดกาญจนบรุ ี พระราชวิสทุ ธาภรณ ์ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี พระมหาวิสูตร วิสุทธฺ ปิ ญฺโญ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบรุ ี นายจรี ะเกยี รติ ภูมสิ วัสดิ์ ผวู้ ่าราชการจงั หวดั กาญจนบุรี นายรังสรรค์ รัศมีฤกษ์เศรษฐ ์ นายกองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั กาญจนบรุ ี ดร. ณรงคเ์ ดช รตั นานนท์เสถยี ร อธกิ ารบดมี หาวิทยาลยั ราชภฏั กาญจนบุรี นายพิสนั ต์ จันทร์ศลิ ป์ วฒั นธรรมจงั หวดั กาญจนบรุ ี บรรณาธกิ าร ฟอ้ น เปรมพนั ธ์ุ สมชาย แสงชยั ศรยี ากลุ บรรณาธกิ ารภาพ ประพฤต ิ มลิผล กองบรรณาธกิ าร อาจารยป์ รัชญา เหลืองแดง ภาคภมู ิ พนั ธุวาสิฏฐ์ ธนณฎั ฐ์ นิพัฒธกาญจน์ ยทุ ธนา จ�ำ ปาทอง จิตติมาพร นิลมัย

5ย้อนรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี

คำ�นำ� ก าญจนบรุ เี ปน็ จงั หวดั ทมี่ พี นื้ ทต่ี ดิ ตอ่ กบั ประเทศเพอ่ื นบา้ นดา้ นทศิ ตะวนั ตก ในอดตี จึงเป็นเมืองหน้าด่านท่ีพม่าและกรุงศรีอยุธยาใช้เป็นเส้นทางผ่านการเดินทัพและ การสู้รบตลอดมา เมืองกาญจนบรุ ีเกา่ ท่ีทา่ เสา แมจ้ ะยงั คงปรากฏโบราณสถานทีแ่ สดงถึง ความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตไม่มากนัก เพราะตกอยู่ในสภาพเมืองร้างถูกทอดทิ้งมาเป็น เวลาเนนิ่ นานเกือบ ๓๐๐ ปี แต่จากการทีค่ ณะทำ�งานไดเ้ รมิ่ ออกสำ�รวจวดั เก่า ๆ เมอื่ หลายปีท่ผี า่ นมา จึงพบว่า วดั ทม่ี โี บราณสถานสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยามอี ยจู่ �ำ นวนมาก กระจายตวั อยตู่ ามชมุ ชนเกา่ ทวั่ ไป โดยเฉพาะตลอดรมิ ฝั่งลำ�น้าํ ทวนแมน่ ํ้าสายส�ำ คญั ในอดตี ทง้ั สาย จะมวี ัดทม่ี โี บราณสถาน สมัยอยธุ ยาอยเู่ ป็นจำ�นวนมาก หนังสือ “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” พิมพ์เผยแพร่เป็นส่วนหน่ึงของโครงการ ช่ือเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายท่ีจะนำ�เสนอเรื่องราวความเป็นมาของโบราณสถานสมัยอยุธยา ในกาญจนบุรีอย่างส้ัน ๆ เท่าท่ีจะศึกษาค้นคว้าได้ทั้งจากข้อมูลของกรมศิลปากรที่บันทึก สนั นิษฐานไว้ และจากเอกสารของนักประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิน่ ต�ำ นานค�ำ บอกเล่า โดยเนน้ การเลา่ เรอื่ งผา่ นภาพเปน็ ส�ำ คญั เพอ่ื เปน็ สอื่ กระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความสนใจใครเ่ รยี นรแู้ ละเขา้ ไป ชมของจรงิ ในโอกาสอนั ควรต่อไป ส่วนชุมชนเองก็จะได้ใช้ข้อมูลในหนังสือน้ีเป็นคู่มือพื้นฐานในการบอกเล่ากับคนใน ชุมชนกันเองและผู้จะมาเยี่ยมเยือนในอนาคต และใช้เป็นส่วนหน่ึงของการสร้างความ ตระหนักรู้ ภาคภูมิใจและสำ�นึกรักบ้านเกิดแก่เยาวชนของชุมชนท้องถิ่นและพัฒนา ตอ่ ยอดเป็นองค์ความรู้เชอ่ื มโยงกบั อัตลักษณด์ า้ นอนื่ ๆ ของชมุ ชน 6 ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

ขอบขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กาญจนบุรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และอีกหลายภาคส่วนท่ีเห็นความ สำ�คัญของประวัตศิ าสตร์ ประเพณี วิถี วฒั นธรรมอนั เป็นรากเหง้าของคนในชุมชนท้องถ่นิ และชว่ ยสนบั สนุนเสรมิ ตอ่ จนท�ำ ใหเ้ กดิ มกี จิ กรรมน้ีข้นึ เรื่องราวที่ปรากฏในหนังสือน้ี เป็นส่วนหน่ึงของ “ภูมิบ้าน ภูมิเมืองกาญจน์” ที่จะ สื่อสารบอกถึงความเป็นเมืองกาญจน์ แผ่นดินที่มี “ภูมิ” อันอุดมด้วยมีสิ่งท่ีน่าภาคภูมิใจ และควรบอกเล่ามากมาย ดังท่เี นาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีศิลปินลูกบ้านทวนได้ถักถ้อย รอ้ ยค�ำ ดว้ ยภาษาเชงิ กวีไว้ ดังน้ี ภูมศิ าสตร ์ ภูมิทัศน์ ภมู ปิ ระวัติ ภมู ิธรรม ภูมไิ ผท ภมู ใิ จน�ำ ตำ�นานเนอื ง ภูมิเมอื งกาญจน์ อยา่ งไรก็ด ี หากจะมีขอ้ ผิดพลาดใด ๆ เกดิ ข้ึนในหนงั สือนี้ ในนามของบรรณาธกิ าร ตน้ ฉบบั ขอไดร้ บั ข้อชแ้ี นะจากท่านผรู้ ู้ และขอน้อมรับผดิ ชอบด้วยความเคารพ บรรณาธิการ 7ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

สารบญั ๑ กาญจนบุรี เมืองหน้าด่านสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา 11 ๒ โบราณสถาน ในบรเิ วณเมอื งกาญจนบุรี (เก่า) 17 วัดขุนแผน หรือวดั กาญจนบุรี 20 วัดนางพิม หรอื วดั ทา่ เสา หรือวัดกาญจนบรุ เี กา่ 21 วดั ป่าเลไลยก์ 23 วัดแม่หม้ายเหนือ 27 วัดแมห่ ม้ายใต ้ 28 ๓ โบราณสถานสำ�คัญ สมัยกรุงเก่าในจังหวดั กาญจนบุร ี 29 ๑. วดั เขาเมง็ อมรเมศร์ 33 ๒. วดั มโนธรรมาราม หรอื วดั นางโน 37 ๓. วัดบา้ นถํา้ 43 ๔. วัดอนิ ทาราม (วัดหนองขาว) 47 ๕. วดั ใหญด่ งรัง หรือวัดส้มใหญ่ 51 ๖. เจดยี ์ยทุ ธหตั ถ ี 55 ๗. พระปรางค์วัดทานกัณฑ ์ 59

๘. วดั บา้ นทวน 61 ๙. วัดบา้ นนอ้ ย 65 ๑๐. วดั เขาจำ�ศลี 69 ๑๑. วดั พังตร ุ 73 ๑๒. วัดเบญ็ พาด 79 ๑๓. วดั ลาดขาม 85 ๑๔. วัดขา้ วเบา 87 ๑๕. วัดวงั กมุ่ 91 ๑๖. เจดยี ์รา้ งบนเขาเล็ก 95 ๑๗. วดั หว้ ยกระเจา 99 ๑๘. วัดเขารกั ษ์ 101 ๑๙. วัดโบสถ์ (รา้ ง) 105 ๒๐. วดั สระกระเบือ้ ง 109 ๒๑. วัดโบสถส์ ระจกิ ดา่ น (วดั โบสถ์เกา่ ) 112 ๔. ปจั ฉิมบท 117

10 ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

กาญจนบุรี เมืองหน้าด่านสมัยกรุงศรีอยุธยา 11ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

ภูมทิ ศั น์เมืองกาญจนบุรีเกา่ ท่ีมา httpwww.thaiheritage.netnationoldcitykanchanaburi4.htm.jpg 12 ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบุรี

แผนทเ่ี มืองเก่า เ มืองกาญจนบุรี (เก่า) หรือเมือง ราว พ.ศ. ๑๓๕๐ เมืองกาญจนบรุ ี (เก่า) ทา่ เสา เปน็ เมอื งหนา้ ดา่ นชายแดน ตั้งอยู่ที่บ้านท่าเสา บนฝั่งซ้ายของแม่น้ํา ด้านตะวันตก เป็นเมืองสำ�คัญในด้านการ แควใหญ่ มลี ำ�ตะเพนิ อย่ทู างดา้ นทศิ เหนือ สงครามระหว่างไทยกับพม่า เมืองท่าเสา ใกลเ้ ขาชนไก่ ตำ�บลลาดหญ้า อำ�เภอเมอื ง ต้ังอยู่บนเส้นทางการเดินทัพ ดังน้ัน การ กาญจนบรุ ี สงครามกับพม่าเกือบจะทุกคร้ังในสมัยน้ัน เมอื งท่าเสาจะต้องเป็นที่รบั ศึกหรือเสน้ ทาง นอกจากน้ี เมอื งกาญจนบรุ ยี งั ปรากฏ ผ่านในการสงคราม ชื่อในตำ�นานเสภาเร่ือง “ขุนช้าง ขุนแผน” เป็นเรื่องราวที่เกิดข้ึนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตำ�นานพงศาวดารเหนือ กล่าวว่า ตอนตน้ นา่ จะตรงกบั รชั สมยั พระรามาธบิ ดี พญากงเป็นผู้สร้างเมืองกาญจนบุรีข้ึนเมื่อ ท ี่ ๒ (พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒) หรอื ทเี่ รยี กกนั 13ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

จุดที่หว้ ยลำ�ตะเพนิ ไหลมาบรรจบแควใหญท่ ีท่ า่ เสา วา่ “พระพนั วษา” พลายแกว้ เปน็ ลกู ของขนุ กัน ลักษณะของการต้ังเมืองเหมาะแก่ ไกร เช้ือสายตระกูล “พลาย” กับนางทอง ยุทธศาสตร์ในสมัยน้ันอย่างยิ่ง ด้วยเป็น ประศรี ซึ่งมีถ่ินฐานย่านเหย้าอยู่ท่ีท่าเสา ท่ีซอกเขาที่สกัดพม่าที่ยกทัพมาทางด่าน เขาชนไก่ เมืองกาญจนบรุ ี เจดีย์สามองค ์ มุง่ จะไปตีเมืองสุพรรณและ อยุธยาจำ�เป็นต้องตีเมืองกาญจนบุรีให้ได้ ผังเมืองกาญจนบุรีมีลักษณะเป็น เสยี กอ่ น (วรวธุ สวุ รรณฤทธ,ิ์ ๒๕๔๕ : ๗๕) เนินดินรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๑๘๐ เมตร ยาวประมาณ ๓๖๐ เมตร มี จากหลักฐานซากโบราณสถานใน ปอ้ ม ๔ มุมเมอื งก่อด้วยดินและหนิ ทบั ถม เขตเมืองกาญจนบุรี (เก่า) จากการศึกษา 14 ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

15ปอ้ มเมอื ง ๑ อยบู รเิ วณหลงั โรงเรียนวัดกาญจนบุรเี กา่ ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

ภาพวดั ขุนแผน ของ วรวธุ สุวรรณฤทธ ์ิ (วรวธุ สวุ รรณฤทธิ,์ ไลยก์ วัดมอญ และวดั อนิ เดยี และมตี ลาด ๒๕๔๕ : ๗๕) พบว่ามีวัดร้าง ๗ วัด ซึ่ง นางทองประศรี กรมศลิ ปากรไดข้ น้ึ ทะเบยี น มีช่ือเรียกภายหลังว่า วัดขุนแผน วัดขุน เป็นโบราณสถานเม่ือ วันท่ี ๘ มีนาคม ไกร วัดนางพิมพ์ วัดแม่หม้าย วัดป่าเล พ.ศ. ๒๔๗๘ และมีการบูรณะในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๓๓ 16 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

โบราณสถาน ในบริเวณเมืองกาญจนบุรี (เก่า) 17ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

โบราณสถาน ในบริเวณเมอื งกาญจนบรุ ี (เก่า) โบราณสถานที่สำ�คัญในเขตเมือง กาญจนบุรี (เก่า) ที่นำ�เสนอในโครงการ “ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุร”ี มีดงั น้ี 18 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

19ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

วัดขุนแผน หรือวดั กาญจนบุรี วั ด ขุ น แ ผ น เ ป็ น วั ด ร้ า ง มี อาณาเขตกว้างขวาง มีซากพระปรางค์ องค์ใหญ่ รูปคล้ายปรางค์ในสมัยอยุธยา ต้ังอยู่ใกล้สระนํ้าโบราณ ซึ่งมีนํ้าขังตลอด ปี มีปลาชมุ มาก ไมม่ ีใครกล้าทำ�อนั ตราย เรียกกันว่าสระระฆัง ถัดจากปรางค์ไป ทางทิศเหนอื ประมาณ ๒๐๐ เมตร มฐี าน อโุ บสถ เจดยี ์ มณฑปตง้ั อยตู่ ดิ ตอ่ กนั มแี นว กำ�แพงยาวล้อมอยู่บางส่วน กล่าวกันว่า ขุนแผนภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง กาญจนบรุ ี มบี รรดาศกั ดเ์ิ ปน็ พระสนุ ทรฦๅชยั เป็นผู้สร้างวัดนี้ สระระฆงั 20 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

วดั นางพมิ หรอื วัดทา่ เสา หรือวัดกาญจนบุรเี กา่ ตั้งอยู่ในบริเวณเมืองกาญจนบุรี (เก่า) เดิมเป็นวัดร้างสร้างในสมัยอยุธยา เล่ากันมาว่า นางพิมเป็นผู้สร้าง ภายใน วัดมีซากเจดีย์เก่าทรงกลมฐานตํ่าและซาก ก�ำ แพง นอกจากนี ้ พระพุทธรูปศิลาทราย สีแดงขนาดใหญ่ท่ีวัดร้างแห่งน้ีได้ถูกชลอ โยกย้ายไปเป็นพระประธานในอุโบสถ วัดสำ�คัญ ๆ หลายวัดในเขตอำ�เภอเมือง กาญจนบุรี ได้แก่ วัดเทวสังฆาราม วัด ถาวรวราราม (วัดญวน) และวัดศรีอุปลา ราม (วดั หนองบวั ) ปจั จบุ นั ยงั มพี ระพทุ ธรปู 21ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

หลวงพ่อประทานโชค เสมาสมยั อยุธยา สมยั อยุธยาอยู่ท่ีวัดนางพิมจ�ำ นวน ๒ องค์ คือหลวงพ่อประทานโชค ท่ีประดิษฐานอยู่ ในมณฑปของวัด กับพระพุทธรูปอีกองค์ หน่ึงที่ประดิษฐานอยู่ในศาลาการเปรียญ ของวัด อาจารย์จวน เจา้ อาวาสรปู แรกวดั กาญจนบุรีเก่า จากเอกสารของกรมการศาสนา พึ่ ง ป ร า ก ฏ ใ น ท ะ เ บี ย น ก า ร ต้ั ง วั ด เ มื่ อ 22 ย้อนรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี พ.ศ. ๒๓๖๐ ต่อมาพระอาจารย์จวน เ จ้ า อ า ว า ส รู ป แ ร ก ไ ด้ บู ร ณ ะ เ ป็ น วั ด ท่ี มี พระสงฆ์ ให้ช่ือวัดว่า “วัดท่าเสา” เพ่ือให้ สอดคล้องกบั ช่อื หมบู่ ้าน และท่านได้บรู ณ- ปฏิสังขรณ์เสนาสนะเพื่อใช้เป็นที่พักสงฆ์ และบ�ำ เพ็ญกุศล ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑

วัดป่าเลไลยก์ เดิมเป็นวัดร้าง อยู่ติดกับทางหลวง พระเศยี รขาด ส่วนพระอุระ (อก) ถกู เจาะ แผ่นดินสายกาญจนบุรี-เข่ือนศรีนครินทร์ จ น เ ป็ น ช่ อ ง ต ล อ ด อ ง ค์ พ ร ะ ดู เ ห มื อ น ถู ก ใกล้กับเขาชนไก่ ห่างจากวัดขุนแผน ผ่าอก ชาวบ้านจึงเรียกว่า “พระผ่าอก” ประมาณ ๑ กโิ ลเมตร สรา้ งในสมัยอยธุ ยา ตอ่ มามกี ารบรู ณะซอ่ มแซมจนเปน็ พระปาง มสี ง่ิ ส�ำ คัญคอื พระพทุ ธรปู อุโบสถเกา่ หกั ป่าเลไลยก์ดงั ปัจจบุ นั พงั เกอื บหมดแลว้ นอกจากนย้ี งั มซี ากเจดยี ์ วิหาร กับพระพุทธรูปปูนป้ัน สมัยอยุธยา จากขอ้ มลู ของกรมศลิ ปากร ระบสุ รปุ ๑ องค์ แตช่ �ำ รดุ ว่า โบราณสถานวัดป่าเลไลยก์ ประกอบ ดว้ ย มณฑปประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปางปา่ มีเรื่องเล่าว่า พระพุทธรูปปางป่า เลไลยก ์ ถดั จากมณฑปมวี หิ ารรปู สเ่ี หลย่ี ม เลไลยก์องค์ปัจจุบัน เดิมเป็นพระพุทธรูป ผนื ผา้ สว่ นดา้ นหลงั วหิ ารเปน็ เจดยี ท์ รงกลม ปางมารวชิ ัย แต่ถกู นกั หาของเกา่ ท�ำ ลาย ขนาดใหญ่ สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ เจดยี ป์ ระธาน 23ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

24 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

25ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

ของวัด ด้านข้างเป็นเจดีย์รายเหลือเพียง สว่ นฐาน โบราณสถานทงั้ หมดตงั้ อยภู่ ายใน เขตกำ�แพงแก้ว วัดป่าเลไลยก์ เป็นช่ือท่ีตั้งข้ึนใหม่ ในสมัยที่พระอาจารย์จวน อดีตเจ้าอาวาส วัดนางพิม มาเป็นผู้นำ�ในการบุกเบิกเมือง ท่าเสา เมื่อช่วงปี พ.ศ.๒๔๖๗ โดยต้ังเป็น ชอ่ื โบราณสถานทกุ แหง่ ตามชอ่ื ในวรรณคดี เร่อื งขนุ ช้าง-ขนุ แผน 26 ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี 26ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

วดั แม่หมา้ ยเหนอื กรมศิลปากรดำ�เนินการขุด ด้านหลัง มีกำ�แพงแก้วล้อมรอบโบราณ ศึกษาทางโบราณคดีครั้งแรกเม่ือปี พ.ศ. สถานทั้งหมดไว้ ส่วนของฐานวิหารจาก ๒๕๓๓ และร่วมกับองค์การบริหารส่วน การขุดศึกษาทางโบราณคดี พบว่า มีการ จังหวัดกาญจนบุรี ดำ�เนินการอนุรักษ์และ ก่อสร้างทับซ้อนกันอย่างน้อย ๒ สมัย พฒั นาอกี คร้งั เม่ือ พ.ศ. ๒๕๕๒ ท้ังยังเศษกระเบื้องเผามุงหลังคาและตะปู โลหะสำ�หรับยึดโครงสร้างไม้เข้าไว้ด้วยกัน ข้อมูลวัดแม่หม้ายเหนือ กรม ทำ�ให้สันนิษฐานได้ว่า วิหารวัดแม่ม่าย ศิลปากรระบุวา่ โบราณสถานวดั แมห่ มา้ ย เหนอื กอ่ อฐิ ถอื ปนู มหี ลงั คาเปน็ เครอ่ื งไมม้ งุ เหนือ หันหน้าไปทางทิศตะวันตกหาลำ�- ดว้ ยกระเบือ้ งดนิ เผา ตะเพนิ ประกอบดว้ ยวหิ ารอย่ทู างดา้ นหนา้ และเจดีย์ทรงกลมเป็นประธานของวัดทาง 27ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

วัดแม่หมา้ ยใต้ จากข้อมูลของกรมศิลปากรระบุว่า ทับกันอยา่ งนอ้ ย ๒ สมยั ซึง่ สมยั หลงั พบ เป็นโบราณสถานหันหน้าไปทางทิศตะวัน ว่า มีการทำ�ฐานวิหารแอ่นโค้งคล้ายท้อง ออก โดยมกี �ำ แพงแกว้ ลอ้ มรอบโบรารสถาน สำ�เภา อย่างที่นิยมกันในช่วงสมัยอยุธยา ท้ังหมดเข้าไว้ในพ้ืนที่เดียวกัน ประกอบ ตอนปลาย ด้านทิศเหนือมีฐานเจดีย์ราย ด้วย เจดีย์ราย ๒ องค์ ด้านหน้าเหลือ ทรงกลม ด้านหลังวิหารมีเจดีย์ทรงกลม เพียงเฉพาะส่วนฐาน ถัดไปเป็นเจดีย์ทรง และเจดยี ย์ อ่ มมุ ไมส้ บิ สองขนาดเลก็ อยทู่ าง ปรางคข์ นาดเล็ก วิหารเป็นทรงส่ีเหลย่ี มผนื ด้านข้างทิศเหนอื ผ้า โดยพบวา่ ฐานวิหารมีการกอ่ สร้างซ้อน 28 ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

โบราณสถานส�ำ คัญ สมัยกรุงเก่าในจังหวัดกาญจนบุรี 29ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

30 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

โบราณสถานส�ำ คญั สมยั กรุงเกา่ ในจงั หวัดกาญจนบุรี จากการลงพื้นท่ีเพื่อสำ�รวจวัดเก่า อำ�เภอท่าม่วง) วัดสระแก้ว (อยู่ท่ีใกล้ที่ สมัยอยุธยาในจังหวัดกาญจนบุรี พบ วา่ การอ�ำ เภอพนมทวน) เป็นตน้ และวดั ว่า จังหวัดกาญจนบุรีมีวัดหรือโบราณ ท่ียงั มพี ระภกิ ษจุ �ำ พรรษาอย ู่ เช่น วัดคงคา สถานเก่าถึงสมัยอยุธยาจำ�นวนมาก แต่ วัดหนองโรง (อยูท่ ี่ ตำ�บลหนองโรง อำ�เภอ หนังสอื “ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบุร”ี พนมทวน) โบราณสถานเก่าถูกบูรณะจน นี้ จะนำ�เสนอเฉพาะวัดท่ีมีคนรู้จักไม่มาก แทบจะไมเ่ ห็นรอ่ งรอยแล้ว วดั เหลา่ นก้ี ็จะ นัก ส่วนวัดสมัยอยุธยาท่ีมีชื่อเสียงเป็นที่ ไม่ถูกน�ำ เสนอในหนงั สือนี้ รู้จักกันดีอยู่แล้ว อย่างวัดพระแท่นดงรัง ซ่ึงต้ังอยู่ อำ�เภอท่ามะกา และวัดไชย วัดที่ทางคณะผู้สำ�รวจนำ�เสนอใน ชุมพลชนะสงคราม ซ่ึงต้ังอยู่ที่อำ�เภอเมือง โครงการนี้ จึงเป็นสถานที่ท่ีน่าจะได้รับ กาญจนบุร ี มไิ ดน้ �ำ มาเสนอในโครงการนี้ พฒั นาตอ่ ยอดใหเ้ ปน็ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทาง ประวัตศิ าสตร์และวฒั นธรรมในอนาคต ที่ อย่างไรกด็ ี ยังมีวัดทั้งทเ่ี ป็นวัดร้างท่ี นอกเหนือจากวัดในเขตเมืองกาญจนบุรี ไม่มีสภาพเป็นวัดหลงเหลืออยู่ เช่น วัดราง (เก่า) ประกอบด้วยวัดใน ๕ อำ�เภอ จั่น วัดโบสถ์ (อยู่ใกล้ ๆ กับวัดอินทาราม จำ�นวน ๒๑ วัด ดงั น้ี 31ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี

32 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๑. วัดเขาเม็งอมรเมศร์ องค์ ส่วนฐานเป็นฐานบัวคว่ําบัวหงาย ๓ ฐาน ในผงั เพ่ิมมมุ ส่วนกลางเป็นองคร์ ะฆงั วดั เขาเมง็ อมรเมศร์ ตง้ั อยเู่ ลขที่ ๑๓๔ เพิ่มมุม เหนือข้ึนไปเป็นองค์บัลลังก์เจดีย์ บ้านเขาเม็ง ถนนอู่ทอง หมู่ที่ ๑๓ ตำ�บล และส่วนยอดเป็นบัวทรงคลุ่มที่มีลักษณะ ปากแพรก อำ�เภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัด ไม่ค่อยประณีต สันนิษฐานว่าเป็นการ กาญจนบรุ ี ทด่ี นิ ตง้ั วดั มเี นอ้ื ที่ ๓๕ ไร่ ๑ งาน ซ่อมแซมในภายหลังของคนในพนื้ ท่ี ๖๔ ๗/๑๐ ตารางวา หลักฐานเอกสารช้ินแรกท่ีปรากฏ ช่ือวัดเขาเม็ง คือแผนที่โบราณสมัยต้น รัตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลท่ี ๑-๓ ท่ีสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพบในพระบรมมหาราชวัง และทรงนำ� มาเผยแพร่ (ดังภาพ) ดังนน้ั วดั เขาเม็งจึง นา่ จะเปน็ สถานทท่ี างยทุ ธศาสตรก์ ารรบมา ตั้งแตป่ ลายสมัยอยุธย เล่ากันว่า วัดเขาเม็งเป็นสถานท่ีใช้ เป็นหอสังเกตการณ์ข้าศึกในสมัยโบราณ และยังพบโบราณสถานเก่าแก่สมัยอยุธยา ได้แก่ เจดีย์เพ่ิมมุมตั้งอยู่บนยอดเขา ๒ 33ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

34 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

ทศั นียภาพโดยรอบ มองจากยอดเขาเม็ง 35ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี

จากหลักฐานของกรมการศาสนา ระบุว่า วัดเขาเม็งอมรเมศร์ ขึ้นทะเบียน เป็นวัดเม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๐ เดิมเป็นท่ีพัก พระสงฆช์ อื่ วัดเขาเม็ง ต่อมานายใบ สวสั ดิ์ ลาภ ได้ยกท่ีดินให้สร้างวัดและมีพระครู กาญจนปัญญาคม เป็นผู้ดำ�เนินการสร้าง อุโบสถและเสนาสนะต่างๆ เพ่ิมข้ึน ยอด เขาเม็งนอกจากมมี ณฑปทงี่ ดงาม มีวิหาร ท่ีที่คณะสงฆ์อนัมนิกายเคยใช้เป็นที่ปฏิบัติ ศาสนกิจ และเป็นสถานท่ีอีกแห่งหน่ึงท่ี สามารถข้ึนไปชมทัศนียภาพอันงดงามของ เมอื งกาญจนบรุ โี ดยสะดวก 36 ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

๒. วดั มโนธรรมาราม หรอื วดั นางโน วัดมโนธรรมาราม เดิมมีชื่อว่า วัด จึงได้กลับถ่ินฐานเดิมและบูรณะซ่อมแซม นางโน เปน็ วดั รา้ ง ปจั จบุ นั มเี นอื้ ทปี่ ระมาณ วดั มเี รอ่ื งเลา่ วา่ “นางโน” เปน็ คนส�ำ คญั ใน ๓๐ ไร่ ด้านฝ่ังตะวันตกของวัดติดลำ�นํ้า การมาบรู ณะ เนอ่ื งจากนางได้เคยบนบาน แม่กลอง เขตตำ�บลม่วงชุม อำ�เภอท่าม่วง กับพระนอนในวัด ว่าหากตนรอดพ้นจาก จังหวดั กาญจนบุรี สนั นษิ ฐานกนั ว่า เดิมที พม่าได้ จะมาเป็นผู้บูรณะวัดข้ึนใหม่ จึง วดั นี้มีความเจรญิ รุง่ เรืองมากอ่ น แต่ครัง้ เป็นสาเหตุให้ชาวบ้านเรียกว่า “วัดนางโน” เกดิ สงครามไทยกบั พมา่ ชาวบา้ นจงึ อพยพ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น “วัดมโน- หลบหนไี ปทอี่ น่ื วดั จงึ ตกอยใู่ นสภาพเปน็ วดั ธรรมาราม” รา้ งเช่นเดยี วกับอกี หลาย ๆ วัดในเขตเมือง กาญจนบุรี คร้ันสงครามสงบลง ชาวบ้าน โบราณสถานสมัยอยุธยาท่ีสำ�คัญท่ี วัดนางโน ดังน้ี 37ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี

38 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

39ย้อนรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

พระปรางค์ มขี นาดกว้าง ๖ เมตร สงู ๒๐ เมตร ยอดตรงกลางองค์ชำ�รดุ พระพทุ ธไสยาสน์ เปน็ พระนอนกอ่ อิฐปูนปั้น ขนาดยาวประมาณ ๑๓ เมตร สูง ๔ เมตร ด้านหลังถูกเจาะต้ังแต่พระ เศียรจรดพระบาท บางตอนมีรอยถูกซ่อม ในภายหลัง ฝมี อื ชา่ งอยุธยา 40 ย้อนรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบุรี

นักวรรณคดีสมัยหลัง เช่ือกันว่า วัดมโนธรรมารามหรือวัดนางโน ซ่ึงอยู่ห่างจากวัด บ้านถํ้าลงไปทางทิศใต้ ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร (ซึ่งหมายถึงวัดใต้ตามวรรณคดีเร่ือง ขุนช้าง ขุนแผน) เป็นสถานท่ีท่ีขุนแผนใช้เป็นที่ปลุกเสกกุมารทองในตำ�นานเรื่องขุนช้าง ขนุ แผน ในขณะทแี่ ตเ่ ดมิ มกั เชอ่ื กนั วา่ ขนุ แผนยา่ งกมุ ารทองทโี่ บสถว์ ดั ใต้ หรอื วดั ไชยชมุ พล ชนะสงคราม บางคนก็เชื่อว่า ขุนแผนย่างกุมารทองท่ี ถํ้าขุนแผน ซึ่งอยู่ท่ีบ้านหนองบัว (ใกล้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี) ดังบทเสภาตอนหม่ืนหาญเกณฑ์บ่าวไพร่ตาม รอยเลอื ดทเี่ ป้ือนอยตู่ ามยอดหญ้ามาจนพบ ดังนี้ “ถือหอกดาบง้าวทวนล้วนศาสตรา ทั้งปืนยามดี ตรีกระบกี่ รชิ ธนูหน้าไม้ใสย่ าพษิ จำ�เริญรอยโลหติ ติดตามไป เห็นโลหติ ตดิ หญ้ามาหา่ งห่าง ตรงทางปา่ ตดั เข้าวัดใต้ เหน็ ประตูวหิ ารลน่ั ดาลใน ยอ่ งเขา้ ไปมองดตู ามรดู าล” (เสภาขุนช้าง ขนุ แผน) 41ยอ้ นรอยกรงุ เก่า ณ กาญจนบรุ ี

42 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๓. วัดบ้านถ้าํ ก็ดี เป็นของยุคสมัยสุโขทัยทั้งส้ิน ส่วน พระพุทธรูปหินทรายหลายองค์ในถ้ําเป็น ตั้งอยู่ท่ี ตำ�บลเขาน้อย อำ�เภอ ของอยูใ่ นยุคอยุธยาและอ่ทู อง ท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นวัดเก่า แก่ แต่ปรากฏในทะเบียนการต้ังวัดของ ใบพัทธสีมาที่พระยาอนุมานราชธน กรมการศาสนา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระยา พบและสันนิษฐานไว้ ปัจจุบันน่าจะ อนมุ านราชธน สมยั ทด่ี �ำ รงต�ำ แหนง่ อธบิ ดี สูญหายไปแล้ว อุโบสถหลังเก่ามีการ กรมศิลปากร ได้เคยเดนิ ทางมาสำ�รวจวัตถุ บูรณะใหม่เป็นอาคารทรงจัตุรมุข ทางวัด โบราณที่วัดบ้านถ้ํา สันนิษฐานว่า วัดน้ี ได้นำ� ลูกนิมิตหินทรายที่ฝังไว้แต่เดิมมา สร้างในสมัยสุโขทัยและอยุธยาติดต่อกัน ประดิษฐานไว้ทั้ง ๘ ทิศโดยรอบ แทน เพราะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ท่ีเป็นประธาน ตำ�แหน่งใบเสมา ในถ้ําก็ดี ใบพัทธสีมาอุโบสถเก่าของวัด 43ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

เจดยี ว์ ดั บา้ นถา้ํ ดา้ นหนา้ ของวดั มี ๒. เจดีย์ทรงเครื่อง องค์ระฆังทรง เจดยี ข์ นาดไมใ่ หญน่ กั อยกู่ ลมุ่ หนง่ึ จากการ กลม สว่ นฐานเป็นฐาไนเพ่ิมมมุ ๑๒ สว่ น ศกึ ษาลวดลายทางสถาปตั ยกรรมแลว้ นา่ จะ กลางทำ�เป็นบัวทรงคลุ่มรองรับองค์ระฆัง เปน็ ศลิ ปะสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรป์ ระกอบดว้ ย ทรงกลม สว่ นยอดมบี ลั ลงั กส์ เ่ี หลย่ี มตอ่ ดว้ ย บวั คลุ่มเถาและปลียอด ๑. เจดีย์ทรงปราสาทยอด ส่วน ฐานประกอบดว้ ยฐานสงิ ห์ ๑ ฐานและฐาน ๓. เจดยี ท์ รงเครอ่ื งองคร์ ะฆงั เพม่ิ มมุ บัวควํ่าบัวหงาย ๑ ฐาน ส่วนกลางทำ�เป็น สว่ นฐานเปน็ ฐานบวั ควา่ํ บวั หงายในผงั เพม่ิ เรอื นธาตเุ จาะชอ่ งประตสู เ่ี หลยี่ ม ทงั้ ๔ ดา้ น มุม ส่วนกลางเปน็ บวั ทรงคลุ่ม ทเี่ พมิ่ มมุ รับ ตกแตง่ ดว้ ยการเขยี นสลี ายดอกไมแ้ ละลาย กบั สว่ นฐาน เหนอื บวั ทรงคลมุ่ เปน็ องคร์ ะฆงั ก้านขด ตัวเรอื นธาตุและฐานอยู่ในผังเพ่ิม เพ่ิมมุม ประดับลายปูนป้ันลักษณะคล้าย มุม ถัดขึ้นไปเป็นกรอบซุ้มทรงสามเหลี่ยม กรอบซุ้มทรงสามเหลี่ยมท้ัง ๔ ด้าน ส่วน หน้าจ่ัวประดับปูนป้ันลายดอกไม้พรรณ ยอดมบี ัลลงั ก์ส่ีเหล่ียมเพ่มิ มมุ ต่อดว้ ยก้าน พฤกษา ส่วนยอดมีลักษณะเป็นองค์ระฆงั ฉตั รบวั ฝาละมี บวั ทรงคลมุ่ เถาและปลยี อด สี่เหลี่ยม ต่อด้วยบัลลังก์ส่ีเหล่ียม บัวทรง คลุม่ และปลยี อด เหนอื สดุ ปลายยอดมีเมด็ บา้ นถาํ้ ตามต�ำ นานเสภาเรอื งขนุ ชา้ ง น้ําค้างรปู ทรงดอกบวั ตูม ขุนแผน ว่ากันว่าเป็นสถานถ่ินพำ�นักของ 44 ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

หม่นื หาญ หรอื นายเดชกระดูกดำ� พ่อของ เปน็ ปมป่มุ ไปทว่ั ทั้งกายตน นางบัวคลี่เป็นที่มาของการย่างลูกกรอกที่ อยปู่ ืนยืนยงคงอาวุธ วัดใต้ กลอนเสภากล่าวหมื่นหาญชุมโจร เหยียบสะดุดขวากปกั กห็ กั ป่น ใหญ่แห่งบ้านดงขี้เหล็กใต้วัดบ้านถํ้าตอน มีทหารตัวดียส่ี ิบคน หนึ่งว่า ล้วนอยู่ยงคงทนทกุ คนไป” (เสภาขุนช้างขุนแผน) “จะกลา่ วถึงนายเดชกระดูกด�ำ วดั บา้ นถา้ํ มตี �ำ นานเรอ่ื งอภนิ หิ ารของ อยบู่ า้ นถํา้ ตง้ั กองเป็นซอ่ งใหญ่ “หลวงพอ่ ทอง” เจา้ อาวาสรปู แรกทมี่ าสรา้ ง ไดเ้ ป็นท่ีหม่นื หาญชาญชยั วัดที่เชิงเขาบ้านถํ้า ตำ�นานเมืองลับแล ท่ี เปน็ หัวไม้มฝี มี ือเลือ่ งลือชา ลกู ชายเศรษฐคี นหนงึ่ น�ำ มาฝากใหบ้ วชเปน็ สูงเกอื บสศี่ อกตากลอกโพลง สามเณร เพอ่ื รบั ใชห้ ลวงพอ่ ทองและถกู นาง หนวดโง้งงอนปลายท้งั ซ้ายขวา ยักษ์ที่เฝ้าถํ้าฆ่า เศรษฐีจึงสร้างอุทิศให้กับ ขอบตาแดงฉาดดงั ชาดทา ลูกชายของตนเอง เนอื้ แนน่ หนงั หนาดูนา่ กลัว ผมหยกิ หยกั ศกอกเปน็ ขน ทรหดอดทนมใิ ช่ชวั่ ปลกุ เสกเครอ่ื งฝงั ไว้ทัว่ ตวั ประเพณีตักบาตรเทโวที่วัดบ้านถ้าํ เมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๓ 45ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบรุ ี

46 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี

๔. วัดอินทาราม (วดั หนองขาว) วดั อนิ ทาราม เปน็ วดั เกา่ แก ่ วา่ กนั วา่ สรา้ งเมอื่ วนั ท ี่ ๓๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๒๐ หลังจากหมดภัยสงครามระหว่างไทยกับ พม่า จนทำ�ให้เสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ ๒ ใหก้ บั พมา่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๐ วดั อนิ ทาราม สรา้ งในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ครองกรงุ ธนบรุ ี แต่เดมิ ชาวบ้านเรยี กตาม ชื่อหมู่บ้านว่า “วัดหนองหญ้าขาว” ต่อมา กรอ่ นเป็น “วัดหนองขาว” ตามล�ำ ดบั 47ยอ้ นรอยกรงุ เกา่ ณ กาญจนบรุ ี

48 ยอ้ นรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี เจดีย์วัดรางจ่นั

ใ น รั ช ส มั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ วัดหนองขาวนอกจากวิหารหลวง พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๔ แหง่ พ่อป่าเลไลยก์แล้ว ยังมีพระปรางค์สูง กรงุ รตั นโกสนิ ทร ์ ไดเ้ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ มา ประมาณ ๙ เมตร ลกั ษณะของพระปรางค์ เมอื งกาญจนบรุ ี เพอ่ื ทรงนมสั การพระแทน่ ท่ีเห็นในปัจจุบันคงได้รับการบูรณะจาก ดงรัง แล้วเสด็จมาประทับแรม ณ บ้าน กลุ่มคนในพื้นท่ีในช่วงรัตนโกสินทร์ตอน หนองขาวด้วย ตน้ สว่ นฐานประกอบดว้ ยชดุ ฐานบวั ควาํ่ บวั หงาย ๓ ฐานในผังเพิม่ มุม ๒๐ ถัดขน้ึ ไปทำ� ชุมชนบริเวณน้ีเป็นชุมชนเก่าแก่แต่ เปน็ เรอื นธาตุทัง้ ๔ ด้าน มีซุ้มประตปู ระดับ สมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่ใกล้ ๆ วัดอินทาราม ด้วยกระเบ้ืองเคลือบเป็นลายพญานาค หลายวัด ได้แก่ ชุมชนบ้านดอนกระเด่ือง ยอดปรางคแ์ บง่ เปน็ ๗ ชน้ั ประดับดว้ ยกลีบ วัดส้มใหญ่ หรือวัดส้มดงรัง โดยเฉพาะ ขนนุ เหนือสุดเปน็ รปู บัวคลมุ่ ทเ่ี ปน็ ทรงโดม วัดรางจั่น (ร้าง) ซึ่งยังคงปรากฏเจดีย์ สูงและนพศูลโลหะ ยอ่ มมุ ไม้สิบสอง 49ยอ้ นรอยกรุงเกา่ ณ กาญจนบรุ ี

50 ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook