45 ส่งผลต่อความสมดุลในระบบอวยั วะต่างๆ หากเราตอ้ งการมีสุขภาพดี สิงสาํ คญั ประการหนึงคือทาํ ความเขา้ ใจ ต่อกลไกการทาํ งานต่างๆ ในร่างกาย ลกั ษณะทางชีวภาพทีบ่งบอกถงึ การเป็นมนุษย์ คือ ลกั ษณะทางกายและชีวภาพ ซึงมีโครงสร้างซบั ซอ้ น โดยเริมจากระดบั โมเลกลุ เซลล์ เนือเยอื และอวยั วะ โครงสร้างทุกระดบั รวมกนั เรียกว่าระบบอวยั วะ ระบบการ ทาํ งานของอวยั วะต่างๆภายในร่างกายลว้ นเป็ นเรืองน่าพิศวง โดยธรรมชาติไดม้ ีการจดั ระบบต่างๆขึนอยา่ งมี ระเบียบ ไดแ้ ก่ ระบบห่อหุม้ ร่างกาย ระบบโครงกระดูก ระบบกลา้ มเนือ ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบต่อม ไร้ท่อ ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขบั ถ่าย ระบบสืบพนั ธุ์ มีการทาํ งานประสานกันอย่าง อตั โนมตั ิ ดงั นนั จึงควรเรียนรู้ให้เขา้ ใจเพือรู้วิธีดูแลรักษาใหด้ าํ รงประสิทธิภาพการทาํ งานของอวยั วะต่างๆ เหลา่ นนั ใหส้ ามารถใชป้ ระโยชน์อยา่ งสูงแก่ชีวิตของเราใหน้ านทีสุดเท่าทีจะเป็นไปได้ (นาํ พร อินสิน, 2555) สิงมชี ีวติ จะดาํ รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งต่อเนือง ในสภาพแวดลอ้ มลกั ษณะต่างๆไดน้ นั จะตอ้ งขึนอยกู่ บั กลไกหลาย ประการทีเกิดขึนในร่างกาย จะตอ้ งเกิดการขบั ถา่ ยของเสียเพือขจดั สิงทีเป็นพษิ หรือสิงทีร่างกายไม่ตอ้ งการออก สู่ภายนอก จะตอ้ งมีการควบคุมอณุ หภูมิในร่างกายใหอ้ ยใู่ นระดบั ทีเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม ตอ้ งมีการสร้าง ภมู ิคุม้ กนั เพือต่อตา้ นเชือโรคทีผา่ นเขา้ สู่ร่างกาย ดว้ ยเหตุนีร่างกายจะตอ้ งมีการควบคุมสิงต่อไปนีใหอ้ ยใู่ นสภาพ สมดุล คือ นาํ ของเสีย เกลือแร่ กรด ด่างไอออนสาร อุณหภูมิและภูมิคุม้ กันสิงแปลกปลอม (นาํ พร อินสิน, 2555) ภาวะสภาพแวดล้อมภายในคงที (Homeostasis) นาํ พร อนิ สิน (2555) กลา่ ววา่ ภาวะสภาพแวดลอ้ มภายในคงที หมายถึง ความพยายามทีจะทาํ ให้เกิด ความสมดุลของสิงต่างๆในร่างกาย เพอื ใหร้ ่างกายอยใู่ นสภาพปกติ ซึงจะเกิดขึนไดจ้ ะตอ้ งอาศยั กลไกต่างๆใน ร่างกายควบคุมดงั เช่น เมอื เลือดมยี เู รียเพิมขึน จะเป็ นกลไกกระตุน้ ใหไ้ ตกรองยเู รียออกมากบั ปัสสาวะเพิมขึน หรือ เมอื ร่างกายเสียเลอื ด ปริมาณเลือดในร่างกายยอ่ มนอ้ ยลง ทาํ ใหอ้ ตั ราการไหลของเลือดออกจากหวั ใจลดลง และความดนั เลอื ดก็ตาํ ลงดว้ ย แต่ร่างกายมีกลไกหลายอยา่ งทีพยายามรักษาความดนั เลือดนีใหใ้ หอ้ ย่ใู นระดบั ปกติหรือใกลเ้ คียงกบั ระดบั ปกติได้ อีกทงั พยายามเพิมปริมาณเลือดในร่างกายใหส้ ูงขึน และกลไกการปรับตวั แบบทีเกิดขึนทนั ทีขณะเสียเลือดการปรับตวั ของร่างกายในทนั ทีทีเสียเลือดนนั เป็ นการแกป้ ัญหาเฉพาะหน้า เพอื ใหอ้ วยั วะสาํ คญั ของร่างกายยงั คงไดร้ ับเลอื ดไปเลยี งทีพอเพยี ง เพือใหร้ ่างกายมชี ีวิตอยไู่ ด้ เป็นตน้
46 4. แนวคดิ เกยี วกบั ความพงึ พอใจ ความหมายของความพงึ พอใจ มีนกั การศึกษาและนกั วชิ าการหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายความพงึ พอใจไวด้ งั นี หลุย จาํ ปาเทศ (2533) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความตอ้ งการ (Needs) ทีไดบ้ รรลุเป้ าหมาย พฤติกรรมทีแสดงออกมาก็จะมีความสุข สงั เกตไดจ้ ากคาํ พดู และการแสดงออก ชรินี เดชจินดา (2535) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด หรือทศั นคติของบุคคลทีมีต่อ สิงหนึงสิงใด หรือ ปัจจยั ทีเกียวขอ้ ง ความรู้สึกพอใจจะเกิดขึนเมอื ความตอ้ งการของบุคคลไดร้ ับการตอบสนอง หรือบรรลจุ ุดมุ่งหมายในระดบั หนึง ความรู้สึกดงั กล่าวจะลดลงและไม่เกิดขึน หากความตอ้ งการหรือจุดหมาย นนั ไม่ไดร้ ับการตอบสนอง ศิริพร รักษว์ งษแ์ ละคณะ (2536) ไดก้ ล่าวสรุปความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกในทางบวก หรือ ความรู้สึกในทางทีดีต่อสิงต่างๆ ทีทาํ ใหค้ วามตอ้ งการของบุคคลไดร้ ับการตอบสนองทงั ดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม และความเชือทีเหมาะสม สุภาลกั ษณ์ ชยั อนันต์ (2540) ไดใ้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจไวว้ ่า ความพึงพอใจเป็ นความรู้สึก ส่วนตวั ทีรู้สึกเป็นสุขหรือยนิ ดีทีไดร้ ับการตอบสนองความตอ้ งการในสิงทีขาดหายไปหรือสิงทีทาํ ให้เกิดความ ไม่สมดุล ความพึงพอใจเป็นสิงทีกาํ หนดพฤติกรรมทีจะแสดงออกของบุคคล ซึงมีผลต่อการเลือกทีจะปฏิบตั ิใน กิจกรรมใดๆ นนั ดิเรก ฤกษห์ ร่าย (2543) ยงั ใหค้ วามหมายไวว้ ่า ความพึงพอใจคือทศั นคติทางบวกของบุคคลทีมีต่อสิง ใดสิงหนึง ซึงจะเปลยี นแปลงไปเป็นความพึงพอใจในการปฏบิ ตั ิต่อสิงนนั Morse (1953) ไดแ้ สดงความเห็นไวว้ ่า ความหมายของความพงึ พอใจ หมายถงึ การลดความเครียดของผู้ ทาํ งานใหน้ อ้ ยลง ทงั นีเพราะธรรมชาติของมนุษยน์ ันมีความตอ้ งการถา้ ความตอ้ งการนันไดร้ ับการตอบสนอง ทงั หมดหรือบางส่วน ความเครียดจะนอ้ ยลงความพอใจจะเกิดขึน และในทางกลบั การถา้ ความตอ้ งการไม่ไดร้ ับ การตอบสนอง ความเครียดและความไม่พอใจจะเกิดขึน Smith (1966) ไดก้ ล่าวไวว้ ่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกของแบบของมนุษย์ คือความรู้สึกในทางบวก และความรู้สึกในทางลบ ซึงความรู้สึกทางบวกเป็ นความรู้สึกทีเกิดขึน แลว้ จะทาํ ให้เกิดความสุข ซึงความสุข ทางบวกและความรู้สึกทางลบ จะเป็นความรู้สึกทีสลบั ซบั ซอ้ น และมีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ ง สลบั ซบั ซอ้ นซึงระบบความสมั พนั ธข์ องความรู้สึกนีเรียกวา่ ระบบความพึงพอใจ โดยความพึงพอใจจะเกิดขึน เมอื ระบบความพงึ พอใจมีความรู้สึกทางบวกมากกว่าทางลบ สิงทีทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกพึงพอใจของมนุษยม์ กั จะ ไดแ้ ก่ทรัพยากร หรือสิงเร้า การวเิ คราะห์ระบบความพอใจคือ การศกึ ษาวา่ ทรัพยากรหรือสิงเร้าแบบใดเป็ นสิงที
47 ตอ้ งการทีจะทาํ ใหเ้ กิดความพึงพอใจและความสุขแก่มนุษยค์ วามพอใจจะเกิดไดม้ ากทีใดเมือมีทรัพยากรทุกอยา่ ง ทีเป็นทีตอ้ งการครบถว้ น Good (1973) ใหค้ วามหมายของความพึงพอใจไวว้ ่า หมายถงึ คุณภาพ สภาพหรือระดบั ความพอใจ ซึง เป็นผลจากความสนใจต่างๆ และทศั นคติของบุคคลทีมตี ่อสิงใดสิงหนึง จากความหมายขา้ งตน้ สามารถสรุปไดว้ า่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรู้สึกทีดี หรือ ทศั นคติทางบวก ของบุคคลทีมตี ่อสิงนนั ๆ ซึงมผี ลต่อการเลอื กทีจะปฏบิ ตั ิในกิจกรรมใดๆ ดงั นันความพึงพอใจในการเรียน จึง เป็นความรู้สึกหรือทศั นคติทีดีของผเู้ รียน ทีมีต่อการเรียนหรือร่วมปฏิบตั ิหรือไดร้ ับมอบหมายใหป้ ฏบิ ตั ิและเป็ น ความรู้สึกทีเกิดขึนเมอื ผเู้ รียนไดร้ ับผลสาํ เร็จตามจุดม่งุ หมายในการเรียน ลกั ษณะของความพงึ พอใจ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2539) ไดแ้ บ่งลกั ษณะของความพงึ พอใจเป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1. ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกในทางบวกของบุคคลต่อสิงใดสิงหนึง 2. ความพึงพอใจเกิดจากการประเมินความแตกต่างระหว่างสิงทีคาดหวงั กับสิงทีได้รับจริ งใน สถานการณ์หนึง 3. ความพึงพอใจเปลียนแปลงไดต้ ลอดเวลาตามปัจจยั แวดลอ้ มและสถานการณ์ทีเกิดขึน ทฤษฎที เี กยี วข้องกบั ความพงึ พอใจ ผเู้ รียนจะเกิดความพงึ พอใจมากนอ้ ยเพียงใด ขึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายประการ เช่นแรงจูงใจ ซึงเป็ นปัจจยั หนึงทีกระตุน้ ให้เกิดพฤติกรรมทีมีจุดมุ่งหมาย ดังนนั ความพึงพอใจจึงเกียวขอ้ งสัมพนั ธ์ กบั ปัจจยั อืนๆ ซึงมี นกั วชิ าการไดพ้ ฒั นาทฤษฎีทีอธิบายไวห้ ลายทฤษฎีดงั นี องคป์ ระกอบของความพงึ พอใจ และอธิบายความระหว่างความพึงพอใจ ธีรวิทย์ ฉายภมร (2545) ไดส้ รุปถึงทฤษฎีแสวงหาความพอใจว่า บุคคลพอใจจะกระทาํ สิงใดๆ ทีให้ ความสุขและจะหลีกเลียงไม่กระทาํ สิงทีเขาจะไดร้ ับความทุกขห์ รือความลาํ บาก อาจแบ่งประเภทความพอใจ กรณีนีได้ 3 ประเภท คือ 1. ความพอใจดา้ นจิตวิทยา (Psychological hedonism) เป็ นทรรศนะของความพอใจว่ามนุษยโ์ ดย ธรรมชาติแลว้ ตอ้ งแสวงหาความสุขส่วนตวั หรือหลกี เลยี งจากความทุกขใ์ ด ๆ 2. ความพอใจเกียวกบั ตนเอง (Egoistic hedonism) เป็ นทรรศนะของความพอใจว่ามนุษยจ์ ะพยายาม แสวงหาความสุขส่วนตวั ไมจ่ ะจาํ เป็นวา่ การแสวงหาความสุขจะตอ้ งเป็นธรรมชาติของมนุษยเ์ สมอไป
48 3. ความพอใจเกียวกับจริยธรรม (Ethical hedonism) ทรรศนะนีถือว่ามนุษยแ์ สวงหาความสุขเพือ ประโยชนข์ องมวลมนุษย์ สงั คมทีตนเป็นสมาชิกอยู่ และจะเป็นผไู้ ดร้ ับผลประโยชน์นีผหู้ นึงดว้ ย Michael Beer (1965) ไดใ้ หค้ วามหมายของความพงึ พอใจไวว้ า่ เป็นทศั นคติของคนทีมีต่อสิงใดสิงหนึง 1. V มาจากคาํ ว่า Valance หมายถงึ ความพงึ พอใจ 2. I มาจากคาํ วา่ Instrumentality หมายถงึ สือ เครืองมอื วิธีทางนาํ ไปสู่ความพงึ พอใจ 3. E มาจากคาํ Expectancy หมายถงึ ความคาดหวงั ภายในตวั บุคคลนนั ๆ ซึงบุคคลมคี วามตอ้ งการและ มคี วามหวงั ในหลายสิงหลายอยา่ ง ดงั นนั จึงตอ้ งกระทาํ ดว้ ยวิธีหนึงวิธีใด เพือตอบสนองความตอ้ งการหรือสิงที คาดหวงั เอาไว้ ซึงเมือไดร้ ับการตอบสนองแลว้ ตามทีตงั ความหวงั หรือคาดหวงั เอาไว้ บุคคลนนั ก็จะไดร้ ับความ พงึ พอใจ และในขณะเดียวกนั ก็จะคาดหวงั ในสิงทีสูงขึนไปเรือย ๆ ซึงอาจจะแสดงในรูปสมการได้ ดงั นี แรงจูงใจ = ผลของความพงึ พอใจ + ความคาดหมาย ซึงหมายถงึ แรงจูงใจของบุคคลใดบุคคลหนึง ต่อการกระทาํ สิงใดสิงหนึง เช่น ต่อการประเมินผลงาน ขององคก์ รทีเกียวกบั ชีวติ ความเป็นอยขู่ องตน หรือแรงจงู ใจทีบุคคลจะเขา้ ไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์กร ใดจะเป็นผลทีเกิดจากทศั นคติองคก์ ร หรือการทาํ งานขององคก์ รนนั รวมกนั ความคาดหวงั ทีเขาคาดหมายไว้ ถา้ มที ศั นคติทีดีต่อองคก์ ร ต่อผลงานขององคก์ ร และไดร้ ับการตอบสนองทงั รูปธรรมและนามธรรมเป็ นไปตามที คาดหมายไว้ แรงจงู ใจทีจะมีความรู้สึกพึงพอใจกจ็ ะสูง แต่ในทางกลบั กนั ถา้ มที ศั นคติในเชิงลบต่องาน และการ ตอบสนองไมเ่ ป็นไปตามทีคาดหวงั ไวแ้ รงจงู ใจทีจะมคี วามรู้สึกพึงพอใจก็จะตาํ ไปดว้ ย นอกจากนี ความพึงพอใจจะมีส่วนสมั พนั ธก์ นั กบั ทฤษฎีเกียวกบั หลกั ความตอ้ งการของมนุษย์ (Human needs) และการจูงใจ (Motivation) เป็นอยา่ งมาก ซึงไดม้ นี กั ทฤษฎีและนกั วชิ าการหลายท่านไดก้ ล่าวไว้ ดงั นี ทฤษฎีลาํ ดบั ขนั ความต้องการ (Needs-hierarchy theory) Maslow (1970) ไดค้ ิดคน้ ทฤษฎีการจูงใจทีได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากโดยทฤษฎีดงั กล่าว ตงั สมมติฐานวา่ มนุษยเ์ รามีความตอ้ งการ 5 ขนั เรียงตามลาํ ดบั จากความตอ้ งการขนั ตาํ สุดไปถึงขนั สูงสุด และ กลา่ วว่ามนุษยเ์ ราจะถกู จูงใจใหแ้ สดงพฤติกรรม ซึงจะส่งผลใหเ้ กิดความพงึ พอใจในความตอ้ งการขนั ตาํ สุดก่อน เมือไดร้ ับการตอบสนองแลว้ มนุษยเ์ รากจ็ ะแสวงหาความตอ้ งการขนั สูงขึนไปเรือยๆ เรียงตามลาํ ดบั ขนั ดงั นี 1. ความตอ้ งการทางร่างกาย เป็ นความตอ้ งการขนั มูลฐานของมนุษย์ และเป็ นสิงจาํ เป็ นทีสุดในการ ดาํ รงชีวติ ไดแ้ ก่ อาหาร อากาศ ทีอยอู่ าศยั เครืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความตอ้ งการพกั ผอ่ นและความตอ้ งการทาง เพศ 2. ความตอ้ งการความปลอดภยั เป็นความรู้สึกทีตอ้ งการความมนั คงปลอดภยั ในชีวิตทงั ในปัจจุบนั และ อนาคต ซึงรวมถึงความกา้ วหนา้ และความอบอุน่ ใจ
49 3. ความตอ้ งการทางสงั คม เมอื ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกาย และความปลอดภยั ไดร้ ับการตอบสนอง แลว้ ความตอ้ งการทางสังคมก็จะเริ มเป็ นสิงจูงใจทีสาํ คญั ต่อพฤติกรรมของบุคคล เป็ น ความตอ้ งการทีจะให้ สงั คมรับตนเขา้ เป็นสมาชิก ไดร้ ับการยอมรับจากคนอนื ๆ ไดร้ ับความเป็นมติ ร และความรักจากเพือนร่วมงาน 4. ความตอ้ งการทีจะมีฐานเด่นหรือมีชือเสียง ความตอ้ งการทางดา้ นนีเป็ นความตอ้ งการระดบั สูงที เกียวกบั ความอยากเด่นในสงั คม ตอ้ งการใหบ้ ุคคลอืนยกยอ่ งสรรเสริญ รวมถึงเชือมนั ในตวั เอง ในเรืองความรู้ ความสามารถ ความเป็นอสิ รเสรีภาพ 5. ความตอ้ งการทีจะไดค้ วามสาํ เร็จตามความนึกคิด เป็นความตอ้ งการระดบั สูงสุดซึงเป็นความตอ้ งการ ทีอยากจะใหเ้ กิดความสาํ เร็จในทุกสิงทุกอยา่ งตามความนึกคิดของตนเอง ทฤษฎแี รงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ (Achievement Theory) McClelland (1961 อา้ งถึงใน ปัณฑิตพนั ธุ์ พึงจิตร, 2550) ไดเ้ สนอแนวคิดเกียวกบั แรงจงู ใจ ซึงเขาเชือวา่ ความตอ้ งการทงั หลายไดม้ าจากการเรียนรู้และการถ่ายทอดทางวฒั นธรรม ไดม้ กี ารแบ่งความตอ้ งการออกเป็น 3 ประเภท ซึงความตอ้ งการของแต่ละบุคคลจะเป็นตวั จูงใจใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมของตนออกมาเพือทีตนจะได้ มีความพงึ พอใจในสิงนนั 1. ความตอ้ งการความสาํ เร็จ (Need for achievement : nACH) เป็นความตอ้ งการทีจะสมั ฤทธิผล คือเป็น ความตอ้ งการทาํ สิงใดสิงหนึงมีมาตรฐานทีดีทีสุด ตอ้ งการมีความภาคภูมิใจในความสาํ เร็จ ซึงจะทาํ ให้บคุ คล พยายามปรับปรุงตนเองใหด้ ีขึนเพอื ใหเ้ กิดความสาํ เร็จโดยเฉพาะอยา่ งยงิ ในงานทียากและมีลกั ษณะทา้ ทาย 2. ความตอ้ งการความสมั พนั ธ์ (Need for affiliation : nAFF) ในการสงั สรรคท์ างสงั คมพบปะบุคคลอืน สร้างความสมั พนั ธท์ างสงั คม เพอื มีงานร่วมกนั ทาํ จะไดร้ ับความสาํ เร็จและไดร้ ับการยอมรับจากเพือนร่วมงาน 3. ความตอ้ งการอาํ นาจ (Need for Power : nPow) เป็นความตอ้ งการทีจะมีอาํ นาจและตาํ แหน่งหนา้ ทีทีมี อิทธิพลเหนือคนอนื เพอื ทีจะทาํ ใหค้ นอนื มีพฤติกรรมตามทีตนเองตอ้ งการหรือเป็ นความตอ้ งการทีจะมีอาํ นาจ ในการบงั คบั คนอนื ทฤษฎีของ Victor Vroom (1964 อา้ งถึงใน นฤมล สงั ขส์ ุนทร, 2552)ไดใ้ ห้ความหมายของความพึง พอใจว่า เกิดจากการทีบุคคลนนั ๆ เขา้ ไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือเขา้ ไปรับรู้แลว้ พอใจ โดยความหมายของ ความพงึ พอใจสามารถแทนความหมายของทศั นคติได้ ซึงบางทีเรียกว่า V.I.E. เนืองจากมีองค์ประกอบทีสาํ คญั คือ V มาจากคาํ วา่ Valence หมายถึง ความพึงพอใจ I มาจากคาํ ว่า Instrumentality หมายถงึ สือเครืองมอื
50 E มาจากคาํ ว่า Expectancy หมายถึง ความคาดหวงั ภายในตวั บุคคลนันๆ บุคคลมีความตอ้ งการและมี ความคาดหวงั ในหลายสิงหลายอย่าง ดงั นันจึงต้องกระทาํ ดว้ ยวิธีใดวิธีหนึง เพือตอบสนองความตอ้ งการ ความหวงั ในสิงทีคาดไว้ ซึงเมือไดร้ ับการตอบสนองตามทีตังความหวงั ไวแ้ ลว้ นนั บุคคลก็จะไดร้ ับความพึง พอใจและขณะเดียวกนั กจ็ ะคาดหวงั ในสิงทีสูงขึนไปเรือยๆ การวดั ความพงึ พอใจ ภณิดา ชยั ปัญญา (2541) ไดก้ ล่าวสรุปไวว้ า่ การวดั ความพึงพอใจนนั สามารถทาํ ไดห้ ลายวธิ ีดงั ต่อไปนี 1. การใชแ้ บบสอบถาม โดยผอู้ อกแบบสอบถาม ตอ้ งการทราบความคิดเห็นซึงสามารถกระทาํ ไดใ้ น ลกั ษณะกาํ หนดคาํ ตอบใหเ้ ลือก หรือตอบคาํ ถามอสิ ระ คาํ ถามดงั กลา่ ว อาจถามความพอใจในดา้ นต่าง ๆ เพือให้ ผตู้ อบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกนั มกั ใชใ้ นกรณีทีตอ้ งการขอ้ มลู กลมุ่ ตวั อยา่ งมาก ๆ วิธีนีนบั เป็นวิธีทีนิยมใช้ กนั มากทีสุดในการวดั ทศั นคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใชม้ าตรวดั ทศั นคติ ซึงทีนิยมใชใ้ นปัจจุบนั วิธีหนึง คือ มาตราส่วนแบบลเิ คิร์ท ประกอบดว้ ยขอ้ ความทีแสดงถงึ ทศั นคติของบุคคลทีมีต่อสิงเร้าอยา่ งใดอยา่ งหนึงทีมี คาํ ตอบทีแสดงถึงระดบั ความรู้สึก 5 คาํ ตอบ เช่น มากทีสุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทีสุด 2. การสมั ภาษณ์ เป็นวิธีการทีผวู้ ิจยั จะตอ้ งออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมีการเตรียมแผนงาน ล่วงหนา้ เพือใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทีเป็นจริงมากทีสุด 3. การสังเกต เป็ นวิธีวดั ความพึงพอใจ โดยการสงั เกตพฤติกรรมของบุคคลเป้ าหมายไม่ว่าจะแสงด ออกจากการพดู จา กริยา ท่าทาง วธิ ีนีตอ้ งอาศยั การกระทาํ อยา่ งจริงจงั และสังเกตอย่างมีระเบียบแบบแผน วิธีนี เป็นวธิ ีการศึกษาทีเก่าแก่ และยงั เป็นทีนิยมใชอ้ ยา่ งแพร่หลายจนถงึ ปัจจุบนั หทยั รัตน์ ประทุมสูตร (2542) ไดก้ ล่าวสรุปถึงการวดั ความพึงพอใจ ว่า เป็ นเรืองทีเปรียบเทียบไดก้ บั ความเขา้ ใจทวั ๆไป ซึงปกติจะวดั ไดโ้ ดยการสอบถามจากบุคคลทีตอ้ งการจะถามมีเครืองมือทีตอ้ งการจะใชใ้ น การวจิ ยั หลายๆ อยา่ ง อยา่ งไรกด็ ีถึงแมว้ ่าจะมีการวดั อยหู่ ลายแนวทางแต่การศึกษาความพึงพอใจอาจแยกตาม แนวทางวดั ได้ 2 แนวคิดตามความคิดเห็นของซาลซี นิคคค์ ริสเทนส์ กล่าวคือ 1. วดั จากสภาพทงั หมดของแต่ละบุคคลเช่นทีทาํ งาน ทีบา้ นและทุกๆ อยา่ งทีเกียวขอ้ งกบั ชีวิตการศกึ ษา ตามแนวทางนีจะไดข้ อ้ มลู ทีสมบรู ณ์แต่ทาํ ใหเ้ กิดความยงุ่ ยากกบั การทีจะวดั และเปรียบเทียบ 2. วดั ไดโ้ ดยแยกออกเป็นองคป์ ระกอบ เช่นองคป์ ระกอบทีเกียวกบั งาน การนิเทศงานเกียวกบั นายจา้ ง
51 5. งานวจิ ยั ทเี กยี วข้อง งานวจิ ยั ทเี กยี วข้องบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-learning) จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ต่างๆ ทีเกียวขอ้ งกบั การเรียนอีเลริ ์นนิง พบงานวิจยั ต่างๆ ดงั นี จินตวีร์ คลา้ ยสังข์ และประกอบ กรณีกิจ (2552) ไดน้ าํ เสนอการจดั การเรียนรู้แบบอีเลิร์นนิงทีบูรณาการการ จดั การเรียนรู้ทีเนน้ ใหผ้ เู้ รียนเป็ นผสู้ ร้างความรู้ดว้ ยตนเอง เช่น การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็ นหลกั (Problem- Based Learning) และ การเรียนรู้โดยใช้โครงการเป็ นหลกั (Project-Based Learning) โดยมีรายละเอียด โดยสงั เขปดงั ต่อไปนี การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นหลกั เป็นการเรียนทีใชป้ ัญหาเป็ นพืนฐานในการเขา้ ถึงจุดมุ่งหมายของการ เรียน โดยผสู้ อนเสนอสถานการณ์ปัญหาใหผ้ เู้ รียนคน้ ควา้ หาวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาหรือสร้างความรู้ขึนดว้ ยตนเอง โดยเนน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความตอ้ งการทีจะแสวงหาความรู้เพือแกป้ ัญหาและทาํ งานร่วมกนั เป็นทีม โดยผสู้ อนเป็นผู้ อาํ นวยความสะดวกในการเรียน มี 7 ขนั ตอน ไดแ้ ก่ (1) การเตรียมความพร้อม โดยผสู้ อนอธิบายขนั ตอนการ เรียน การประเมินผล และเครืองมือการสือสารบนออนไลน์ต่างๆ ผ่านเว็บไซต์รายวิชา (2) นาํ เสนอปัญหา ผเู้ รียนศึกษาสถานการณ์ปัญหา และคาํ ถามนาํ บนเว็บ เพือเป็ นแนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาในสถานการณ์ที ผสู้ อนนาํ เสนอไว้ (3) ระบุและวเิ คราะห์ปัญหา ผเู้ รียนประชุมกลุ่มในห้องสนทนา (Chat room) เพือระบุปัญหา สาเหตุของปัญหา วิเคราะห์ปัญหา และกาํ หนดสมมติฐาน แลว้ ส่งใหผ้ สู้ อนทางอเี มล์ (4) สร้างประเดน็ การเรียนรู้ และคน้ ควา้ ขอ้ มลู ผเู้ รียนร่วมกนั กาํ หนดประเด็นในการเรียน โดยวิเคราะห์ว่าตอ้ งศึกษาความรู้ใดเพิมเติมทงั แหลง่ ขอ้ มลู ทีเป็นเอกสาร และแหลง่ ขอ้ มลู บนเวบ็ ไซตท์ ีผสู้ อนจดั เตรียมไวใ้ ห้ (5) สงั เคราะห์และทดสอบขอ้ มลู ผเู้ รียนร่วมกนั วิเคราะห์ขอ้ มลู ทีไดค้ น้ ควา้ มา เพือทดสอบสมมติฐานทีไดต้ งั ไว้ โดยศึกษาจากคาํ ถามทีผูส้ อน กาํ หนดไวใ้ นกระดานอภิปราย (6) สรุปหลกั การและแนวคิดจากการแกป้ ัญหา โดยผเู้ รียนร่วมกนั สรุปหลกั การ ความรู้ และแนวคิดจากการแกป้ ัญหาโดยใชห้ อ้ งสนทนาหรือกระดานอภิปราย แลว้ ส่งให้ผสู้ อนทางไปรษณีย์ อิเลก็ ทรอนิกส์ และ (7) ขนั การประเมนิ ผล ผสู้ อนประเมนิ ผลงานของผเู้ รียน โดยตดั สินผลบนพืนฐานของการมี ส่วนร่วมของผเู้ รียนและผลงาน ตลอดจนการใหข้ อ้ มูลป้ อนกลบั แก่ผเู้ รียนโดยใชไ้ ปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์ ห้อง สนทนา หรือกระดานอภิปราย การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงการเป็นหลกั เป็นการเรียนรู้ทีส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ และลงมือปฏิบตั ิ ดว้ ยตนเองตามความสนใจ ความถนดั และความสามารถของผเู้ รียน ภายใตก้ ารดูแลและให้คาํ แนะนาํ จาก ผสู้ อน เพือใหไ้ ดค้ าํ ตอบหรือผลงานทีมีคุณค่า ทงั นี Jung, Jun and Gruenwald (2001, อา้ งถึงในจินตวีร์ คลา้ ย สงั ข์ และประกอบ กรณีกิจ (2552) ไดน้ าํ เสนอรูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบโครงการโดยใชเ้ ว็บเป็ นฐาน ดงั นี (1) การเตรียมความพร้อม โดยผสู้ อนจดั เตรียมขอบเขตของโครงการ ซึงเป็นสารสนเทศทีจาํ เป็นสาํ หรับผเู้ รียนที จะจดั ทาํ โครงการภายใต้ขอบเขตทีกาํ หนด ตลอดจนเตรียมแหล่งขอ้ มูล และคาํ ถามนํา โดยนาํ เสนอไวบ้ น
52 เวบ็ ไซตร์ ายวิชา (2) กาํ หนดหวั ขอ้ ผเู้ รียนศึกษาขอบเขตโครงการบนเวบ็ คน้ หาแหล่งขอ้ มูลจากเว็บไซต์ต่างๆ และแลกเปลียนขอ้ มูลกบั สมาชิกในกลุ่ม แลว้ กาํ หนดหวั ขอ้ โครงการของกลุ่ม (3) วางแผนโครงการ ผเู้ รียน วางแผนการจดั ทาํ โครงการ โดยระบุกิจกรรมสถานทีในแต่ละขนั ตอน และตารางการดาํ เนินการ ตลอดจน กาํ หนดบทบาทหน้าทีของสมาชิกในกลุ่ม แลว้ นาํ เสนอบนเวบ็ ไซต์ของรายวิชา (4) คน้ ควา้ และเตรียมการ นาํ เสนอ ผเู้ รียนคน้ ควา้ เพอื ใหไ้ ดค้ วามรู้ เช่น การสัมภาษณ์ผเู้ ชียวชาญผ่านอีเมล์ การคน้ ควา้ ขอ้ มูลบนเว็บไซต์ การสงั เกต การทดลอง การลงพนื ที และทาํ แบบสาํ รวจบนเว็บ ตลอดจนแลกเปลียนประสบการณ์และความรู้ ใหมก่ บั เพอื น ในการอภิปรายสามารถทาํ ไดท้ งั แบบประสานเวลา และไม่ประสานเวลา เช่น แชท หรือกระดาน อภิปราย เป็นตน้ จากนนั ผเู้ รียนเตรียมการนาํ เสนอโดยใชก้ ารวาดภาพ การระบายสี การเขียน การใชไ้ ดอะแกรม แผนภูมิ แผนภาพ และแผนที ซึงแสดงให้เห็นถึงความรู้ใหม่ทีไดร้ ับ (5) ขนั นาํ เสนอผลงาน ผเู้ รียนจดั ทาํ รายงาน การนาํ เสนอ เวบ็ เพจ และรูปภาพ ทีแสดงใหเ้ ห็นถงึ ผลของกิจกรรมของโครงการ ตลอดจนการสะทอ้ น ความคิดเกียวกบั ผลงานของตนเอง แลว้ นาํ เสนอบนเว็บ (6) ขนั ประเมินผล ผสู้ อนประเมินกระบวนการของ โครงการ และตดั สินผลบนพืนฐานของการมสี ่วนร่วมของผเู้ รียนและผลงาน ตลอดจนการใหข้ อ้ มลู ป้ อนกลบั แก่ ผเู้ รียนโดยใชไ้ ปรษณียอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ หอ้ งสนทนา หรือกระดานอภิปราย นอกจากนี มีงานวจิ ยั เกียวกบั การเรียนอีเลิร์นนิงโดยใชว้ ิธีการสอนแบบต่างๆ ทีเป็ นทีนิยม ไดแ้ ก่การ ประยกุ ตใ์ ชว้ ิธีการสอนแบบอภิปราย วธิ ีการสอนแบบสถานการณ์จาํ ลอง วธิ ีสอนดว้ ยอีเลิร์นนิงประเภทเกม วิธี สอนโดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน มีรายละเอยี ดโดยสงั เขปในแต่ละวธิ ีการสอนดงั นี Bliuc, Ellis, Goodyear and Piggott (2010) ศึกษาสาํ รวจประสบการณ์ของผเู้ รียน ในการเรียนแบบ อภิปราย แบบเห็นหน้าและออนไลน์ ในวิชารัฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลยั Australian University โดยศึกษา ความสมั พนั ธร์ ะหว่างแง่มุมทีสาํ คญั ของการเรียนของผเู้ รียน โดยมุ่งเน้นไปที ความเขา้ ใจในสิงทีผเู้ รียนเรียน วธิ ีการในการเรียน และผลลพั ธท์ างการเรียน ผลการวิจยั พบว่า การบูรณาการทีเหมาะสมระหว่างความเขา้ ใจฯ กบั การเรียนแบบเห็นหนา้ และออนไลน์นนั จะทาํ ใหเ้ กิดความสาํ เร็จทางการเรียนไดม้ ากขึน ดว้ ยการออกแบบ วิชาซึงช่วยทาํ ให้ผเู้ รียนได้พฒั นาความเขา้ ใจ ในสิงทีเรียน และวิธีการเรียนแบบอภิปรายแบบเห็นหน้า และ ออนไลน์ จะสามารถรับประกนั คุณภาพของการเรียนได้ อนิรุทธ์ สติมนั สุรพล บุญลอื และทิพยร์ ัตน์ สิทธิวงศ์ (2551) ไดศ้ ึกษาผลการจดั การเรียนการสอนบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบใชป้ ัญหาเป็ นฐานทีมีต่อการเรียนรู้แบบนาํ ตนเองและผลสมั ฤทธิทางการเรียนของ นกั ศกึ ษาระดบั อุดมศึกษา ผลการวจิ ยั พบวา่ (1) รูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตแบบ ใชป้ ัญหาเป็ นฐาน ทีพฒั นาขึน ได้รูปแบบขันตอนหลกั 5 ขันและ 16 องค์ประกอบย่อย การประเมินจาก ผเู้ ชียวชาญอยใู่ นระดบั เหมาะสมมากและการหาประสิทธิภาพของบท เรียนไดเ้ ท่ากบั 80.22/84.22 (2)ผลสมั ฤทธิ ทางการเรียนก่อนเรียนกบั หลงั เรียนจากกิจกรรมการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบใชป้ ัญหาเป็ น
53 ฐาน พบว่าหลงั เรียนแตกต่างกบั ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .01 (3) ผลสมั ฤทธิทางการเรียนหลงั เรียนของกลุ่มทดลองกบั กลุม่ ควบคุม พบวา่ แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิทีระดบั .01 (4) การเปรียบเทียบ คุณลกั ษณะการเรียนรู้แบบนาํ ตนเองในกลุ่มทดลองก่อนเรียนกบั หลงั การเรียน พบว่าแตกต่างกนั อย่างไม่มี นยั สาํ คญั ทางสถติ ิและคุณลกั ษณะการเรียนรู้แบบนาํ ตน เองหลงั เรียนกลุ่มทดลองเปรียบเทียบกบั กลุ่มควบคุม พบวา่ ทงั 2 กลุ่มแตกต่างกนั อยา่ งไมม่ ีนยั สาํ คญั ทางสถิติ และ (5) ความพงึ พอใจของนกั ศกึ ษาทีมีต่อการเรียนการ สอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบ ใชป้ ัญหาเป็ นฐาน เรือง กฎหมายและจริยธรรมในการใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศ อยใู่ นระดบั มากเมอื พจิ ารณาองคป์ ระกอบต่างๆ ของการเรียนแบบอีเลิร์นนิงนีแลว้ จะพบวา่ การเรียน ในลกั ษณะนีมีความยืดหยุ่นสูงสาํ หรับผูส้ อนในการบูรณาการเทคโนโลยีและสือสารการศึกษาเข้าไปใน กระบวนการเรียนการสอน และยงั ลดขอ้ จาํ กดั ของความพยายามทีจะใชเ้ ทคโนโลยที ีมีอยู่ ในเรืองของการ ออกแบบเฉพาะตวั เพือให้เหมาะสมกบั ผเู้ รียนรายบุคคลมากทีสุด ดงั ตวั อย่างเช่นการเรียนการสอนแบบอีเลิร์ นนิงหรือออนไลนเ์ ต็มรูปแบบทีเนน้ ในเรืองของการเรียนการสอนทีไม่มีขอ้ จาํ กดั ของเวลาและสถานที การลด ช่องวา่ งในการติดต่อสือสารระหวา่ งกนั ทงั กบั ผสู้ อนและผเู้ รียนและผเู้ รียนดว้ ยกนั เอง อีกทงั จากคุณประโยชน์ ของเวบ็ 2.0 เทคโนโลยที ีใชใ้ นการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงทาํ ใหเ้ กิดสงั คมการเรียนรู้ออนไลน์ ทีผเู้ รียนได้ เกิดการเรียนรู้ ใฝ่ รู้ ตระหนักรู้ การสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง ตลอดจนทกั ษะการคิดมากยิงขึน ผา่ นสารสนเทศ ต่างๆ ทีผสู้ อนและผเู้ รียนไดร้ ่วมกนั สร้างขึนในสงั คมแห่งการเรียนรู้ออนไลน์ ถนอมพร เลาหจรัสแสง และ อุไรวรรณ หาญวงค์ (2550) ไดศ้ ึกษาผลของการบูรณาการเทคโนโลยี อี เลิร์นนิงประเภทเกมในชนั เรียน มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พือศึกษาผลของการบูรณาการเทคโนโลยีอีเลิร์นนิงเพือ พฒั นา ศกั ยภาพของครูทีเขา้ ร่วมโครงการ ปรับเปลยี นการเรียนการสอนของผสู้ อนในโรงเรียนทีเขา้ ร่วมโครงการ และ ส่งเสริมการเปลียนแปลงดา้ นการศึกษาอย่างเป็ นระบบ ผลการดาํ เนินการวิจยั พบว่า ครูมีการเปลียนแปลง พฤติกรรมการสอน มีการจดั กระบวนการเรียนรู้ทีหลากหลาย สามารถบูรณาการเทคโนโลยีในชนั เรียน อาํ นวย ความสะดวกแก่นกั เรียน มกี ารพฒั นาตนเองในดา้ นการแลกเปลียนการเรียนรู้ และความร่วมมือในการทาํ งาน นกั เรียนมีการพฒั นาดา้ นการคิด เช่น การคิดเป็นระบบ คิดวางแผน คิดตดั สินใจ คิดแกป้ ัญหา เกิดการเรียนรู้ดว้ ย ตนเอง มีความกระตือรือร้น และเรียนรู้อยา่ งมคี วามสุข ผปู้ กครองมีปฏิสัมพนั ธก์ บั โรงเรียนมากขึน ผบู้ ริหารมี มุมมองต่อการบูรณาการเทคโนโลยอี เี ลิร์นนิงกวา้ งขึน ตลอดจนใหก้ ารส่งเสริมและสนับสนุนการบูรณาการอี เลิร์นนิงในชนั เรียน และพบผลทางดา้ นลบ ไดแ้ ก่ ครูใชเ้ วลาในการเตรียมการสอนนาน จาํ นวนนกั เรียนในชนั มาก ครูคนเดียวดแู ลไมท่ วั ถึง และผปู้ กครองไม่เขา้ ใจการบูรณาการอีเลิร์นนิงประเภทเกมในชนั เรียน วิไลพร สุตนั ไชยนนท์ (2546) ไดว้ ิจยั เกียวกบั การปฏสิ มั พนั ธข์ องสถานการณ์ปัญหาทีนาํ เสนอบนเวบ็ และการสนบั สนุนการเรียนในการเรียนการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็ นหลกั ทีมีต่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณของ นกั ศกึ ษาทนั ตแพทย์ โดยการศึกษาและทดลองปฏิสมั พนั ธท์ ีเกิดจากสถานการณ์ปัญหาทีนาํ เสนอบนเวบ็ เป็ น
54 ภาพประกอบคาํ บรรยายและขอ้ ความ และการสนบั สนุนการเรียนสองรูปแบบ คือ แบบมีติวเตอร์และไม่มีติว เตอร์ ทีมตี ่อการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณของนกั ศึกษาทตั แพทย์ ผลการวจิ ยั พบว่า (1) ไม่พบปฏิสัมพนั ธ์ระหว่าง สถานการณ์ปัญหาและการสนบั สนุนการเรียนต่อค่าเฉลยี ของการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ (2) สถานการณ์ปัญหาที นาํ เสนอบนเวบ็ คือ ภาพประกอบคาํ บรรยาย และขอ้ ความในการเรียนการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็นหลกั ไมม่ ีความ แตกต่างกนั ในการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ (3) การสนนั สนุนการเรียนมีติวเตอร์ กบั ไม่มีติวเตอร์ ในการเรียนการ สอนโดยใชป้ ัญหาเป็นหลกั ไมม่ ีความแตกต่างกนั ในการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ โดยทงั หมดไม่ส่งผลต่อการคิด อยา่ งมวี ิจารณญาณอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิทีระดบั 0.5 งานวจิ ยั ทเี กยี วข้องกบั การเรียนการสอนบนเวบ็ Garrison (1996) ทาํ การทดลองทีแสดงใหเ้ ห็นวา่ นกั เรียนทีไดร้ ับการส่งเสริมใหใ้ ชท้ กั ษะการคิดขนั สูง ในการแกป้ ัญหา โดยกล่มุ ทดลองไดร้ ับการส่งเสริมกระบวนการคิดขนั สูงโดยการชีนาํ โดยใชก้ ารเรียนการสอน บนเวบ็ ทีนาํ เสนอปัญหา ผลการวิจยั พบว่า นกั เรียนใชเ้ ทคนิคการคิดขนั สูงในการแกป้ ัญหา นกั เรียนสนุกกบั การ ใชค้ อมพวิ เตอร์ และมแี รงจูงใจในการมีส่วนร่วม Curtis และ Lawson (1999) ศึกษาถึงปฏสิ มั พนั ธใ์ นการเรียนรู้ร่วมกนั บนเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ของนิสิต ในระดบั อุดมศึกษาวา่ ปฏิสมั พนั ธท์ ีเกิดขึนจะมีคุณภาพและประสิทธิภาพในการเรียนรู้เป็นอยา่ งไร ซึงศกึ ษาจาก กิจกรรมการเรียนโดยดูจาก การปฏิบตั ิงานทีมอบหมาย การอภิปราย การร่วมมือในการเรียน เน้นการศึกษา ปฏิสมั พนั ธจ์ ากการเรียนในแบบไม่ประสานเวลา ผลการวิจยั พบวา่ พฤติกรรมการวางแผน การมีส่วนร่วม และ การคน้ หาขอ้ มลู เกิดขึนเฉลยี อยใู่ นระดบั เดียวกนั แต่การมีปฏสิ มั พนั ธก์ บั สงั คมอยใู่ นระดบั ตาํ นักเรียนสามารถ ใช้ e-mail และ Bulletinboard ในการทาํ งานร่วมกนั ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปรากฏว่านักเรียนชอบใชก้ าร สนทนาแบบไมป่ ระสานเวลา มากกว่าแบบประสานเวลา ถึงแมว้ ่าจะตอ้ งมีการตกลงนดั หมายกนั ในเรืองเวลา ส่วนในดา้ นความรู้สึกลกึ ๆ ของนกั เรียน พบว่า เป็นการลาํ บากใจทีจะตอ้ งสือสารกบั คนทีไมร่ ู้จกั และไมเ่ คยพบ หนา้ และมีปัญหาเรือง ความล่าชา้ ในการสือสารข้อมลู แต่ทาํ ให้เกิดความไวว้ างใจกนั และกนั ในการร่วมกนั ทาํ งานกลมุ่ อีกทงั สามารถพฒั นาทกั ษะในการทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ืน Butler (1996 อา้ งถึงใน สมปอง เพชรโรจน,์ 2549) ศกึ ษาการใชเ้ วบ็ ในการสนับสนุนการเรียนการสอน ดว้ ยกรณีศกึ ษาโดยยกสงั เคราะหก์ รอบแนวคิดโครงสร้างในการใชเ้ วบ็ ในการเรียนการสอนในหอ้ งเรียนทีไดจ้ าก การรวบรวมกรณีศึกษาหลายๆกรณี นาํ มาสรุปเป็ นกรอบแนวคิดในการใชเ้ วิล์ดไวด์เว็บในการสอนด้วย กรณีศกึ ษาเป็น 3 แนวทาง คือ
55 1. เวบ็ เป็นเครืองมอื สาํ หรับนาํ ขอ้ มลู ภายนอกเขา้ สู่หอ้ งเรียน คือ การนาํ ขอ้ มลู จากแหล่งขอ้ มลู ภายนอกเขา้ สู่หอ้ งเรียนแบบทางไกล ไดแ้ ก่ การรวบรวมขอ้ มลู ทวั ไปเกียวกบั หวั เรืองทีเรียน การประชุมทางไกล กบั กลมุ่ อืน การเขา้ ไปในเหตุการณ์ต่างๆทีสนใจ 2. เวบ็ เป็นเครืองมอื สนบั สนุนกิจกรรมภายในหอ้ งเรียน คือ การจดั การขอ้ มลู และจดั กิจกรรม ในหอ้ งเรียน ไดแ้ ก่ การสนบั สนุนการบริหารโครงการต่างๆของนกั เรียน เช่น การปฐมนิเทศ การจดั ทาํ โครงการ การประชุมปรึกษาหารือจากแหล่งทรัพยากรต่างๆ 3. เว็บ เป็ นเครืองมือเปิ ดห้องเรียนสู่โลกภายนอก ไดแ้ ก่ การติดต่อสือสารกบั นักเรียนใน สถาบนั อนื ๆคุยกบั ผสู้ อนและผเู้ ชียวชาญภายนอกสถาบนั วรางคณา หอมจนั ทน์ (2542) ไดศ้ ึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งโปรแกรมการเรียนการสอนผา่ นเว็บแบบ เปิ ดและปิ ด ทีมตี ่อผลสมั ฤทธิทางการเรียนวิชาภาษาองั กฤษของนกั เรียนชนั มธั ยมศึกษาปี ที 2 กลุ่มตวั อย่างคือ นกั เรียนโรงเรียนอสั สมั ชญั ธนบุรี จาํ นวน 80 คน โดยแบ่งเป็นนกั เรียนกลุม่ สูง และตาํ ผลการวจิ ยั พบวา่ นักเรียน ทีเรียนดว้ ยโปรแกรมการเรียนการสอนผ่านเว็บแบบเปิ ดและปิ ดมีผลสัมฤทธิทางเรียนไม่แตกต่างกนั และ นกั เรียนทีมีระดบั ผลสมั ฤทธิทางการเรียนต่างกนั เมือเรียนดว้ ยโปรแกรมการเรียนการสอนผา่ นเว็บ มีผลสัมฤทธิ ทางการเรียนแตกต่างกนั อยา่ งมนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 สนั ทดั ทองรินทร์ (2542) ได้ศึกษาเรืองปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างบุคลิกภาพ รูปแบบของปฏิสมั พนั ธ์และ ระดบั ของปฏิสัมพนั ธ์ทางการเรียนโดยใช้การประชุมทางคอมพิวเตอร์ทีมีต่อสัมฤทธิผลทางการเรียนของ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พบว่าไม่มีปฏิสัมพนั ธ์ในการเรียนระหว่างลกั ษณะบุคลิกภาพ รูปแบบการ ปฏิสมั พนั ธแ์ ละระดบั ปฏสิ มั พนั ธใ์ นการเรียน ลกั ษณะบุคลิกภาพแสดงตวั และแบบเก็บตวั มีสัมฤทธิผลทางการ เรียนทีไมแ่ ตกต่างกนั รูปแบบของปฏิสมั พนั ธ์ในการเรียนของการเรียนแบบ 2 คนต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครือง มี สมั ฤทธิผลทางการเรียนสูงกวา่ นกั เรียน 1 คนต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครือง ระดบั ของปฏิสัมพนั ธใ์ นการเรียน ระดบั โตต้ อบและระดบั แลกเปลยี นไมม่ คี วามแตกต่างกนั แต่มีความแตกต่างกนั ทีระดบั กา้ วหนา้ บุญชู บุญลิขิตศริ ิ (2548) ไดศ้ ึกษาผลของรูปแบบการปฏิสมั พนั ธ์ทางการเรียนในการฝึ กอบรมโดยใช้ เกมเป็ นฐานบนเวบ็ ทีมีต่อผลสัมฤทธิทางการเรียน ของบุคลากรศูนยฝ์ ึ กอบรมและควบคุมระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ โดยรูปแบบการปฏิสมั พนั ธ์ทางการเรียนในการฝึ กอบรมโดยใชเ้ กมเป็ นฐานบนเว็บ 2 รูปแบบ ประกอบดว้ ย รูปแบบการปฏสิ มั พนั ธท์ างการเรียนแบบนกั เรียนกบั เนือหา และรูปแบบปฏิสมั พนั ธท์ างการเรียน แบบนักเรียนกับผสู้ อน ผลการวิจยั พบว่า ผเู้ ขา้ รับการฝึ กอบรมโดยใชเ้ กมเป็ นฐานบนเว็บ ทีมีรูปแบบการ ปฏิสมั พนั ธท์ างการเรียนแบบนกั เรียนกบั ผสู้ อน มีผลสมั ฤทธิทางการเรียนสูงกว่าแบบนกั เรียนกบั เนือหา
56 งานวจิ ยั ทีเกยี วข้องความพงึ พอใจ รัตนา ทูลกลาง (2546) ไดท้ าํ การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิและความพึงพอใจในการเรียนวิชานิทาน พืนบา้ น ตามหลกั สูตรทอ้ งถนิ ของนกั เรียน ชนั มธั ยมศึกษาปี ที 3 ระหวา่ งการใชบ้ ทเรียนวดี ิทศั น์ รูปแบบละครที ใชภ้ าษาถินกบั ภาษากลาง มีจุดมุ่งหมายเพือพฒั นาบทเรียนวีดิทศั น์รูปแบบละครวิชานิทานพืนบา้ น และเพือ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิและความพงึ พอใจในการเรียน วชิ านิทานพนื บา้ นตามหลกั สูตรทอ้ งถิน ของนักเรียนชนั มธั ยมศึกษาปี ที 3 ระหว่างการใชบ้ ทเรียนวดี ิทศั น์รูปแบบละครทีใชภ้ าษาถินกบั ภาษากลาง ผลการศึกษา พบว่า 1. บทเรียนวดี ิทศั นร์ ูปแบบละครทีใชภ้ าษากลาง และ บทเรียนวีดิทศั น์รูปแบบละครทีใชภ้ าษาถิน มีคุณภาพอยู่ ในระดับดี 2. นักเรียนทีเรียนจากบทเรียนวีดิทศั น์รูปแบบละครทีใช้ภาษากลางและภาษาถิน มีผลสัมฤทธิ ทางการเรียนไม่แตกต่างกนั ทีระดบั นยั สาํ คญั .05 3. นักเรียนทีเรียนจากบทเรียนวีดิทศั น์รูปแบบละครทีใช้ ภาษากลางและภาษาถิน มีความพึงพอใจในการเรียนไมแ่ ตกต่างกนั ทีระดบั นยั สาํ คญั .05 และมีความพงึ พอใจใน การเรียนอยใู่ นระดบั มากทงั สองรูปแบบ สมหมาย เปี ยถนอม (2551) ไดว้ ิจยั เรือง ความพึงพอใจของนักศึกษาในการได้รับการบริการจาก มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม มีวตั ถุประสงคเ์ พือทราบความรู้สึกของนักศึกษาในการไดร้ ับการบริการจาก มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม โดยแบ่งออกเป็น 3 ดา้ น คือ 1) การบริการดา้ นวิชาการ ไดแ้ ก่การบริการในดา้ น การลงทะเบียนเรียน (การลงทะเบียนเรียน การเปลียนรายวิชา การเพิม – ถอนรายวิชาเรียน) การขอคาํ ร้อง เกียวกบั งานวิชาการ การติดตามผลการเรี ยน 2) การบริการดา้ นกิจการนักศึกษาไดแ้ ก่ การบริการเรื อง ทุนการศึกษา การจดั กิจกรรมต่าง ๆ การจดั แข่งขนั กีฬา และ 3) การบริการดา้ นอาคารสถานที ได้แก่ การใช้ หอ้ งเรียน การใชห้ อ้ งนาํ – หอ้ งสว้ ม การใชส้ นามกีฬา ผลการวิจยั พบว่า1. การบริการดา้ นวิชาการ อย่ใู นระดบั ปานกลาง ค่าระดบั ความพงึ พอใจเป็น 3.24(จากคะแนนเต็ม 5) โดยเรียงจากมากไปหาน้อย คือ การลงทะเบียน เรียน (3.30) การขอคาํ ร้องเกียวกบั งานวิชาการ (3.23) และการติดตามผลการเรียน (3.19)2. การบริการดา้ น กิจการนกั ศึกษา อยใู่ นระดบั ปานกลาง ค่าระดบั ความพงึ พอใจเป็ น3.28 โดยเรียงจากมากไปหานอ้ ย คือ การจดั กิจกรรมต่าง ๆ (3.30) การจดั แข่งขนั กีฬา (3.30) และทุนการศกึ ษา (3.22)3. การบริการดา้ นอาคารสถานที อยใู่ น ระดบั ปานกลาง ค่าระดบั ความพึงพอใจเป็ น3.02 โดยเรียงจากมากไปนอ้ ย คือ การใชห้ อ้ งเรียน (3.34) การใช้ หอ้ งนาํ – หอ้ งสว้ ม (สุขา) (2.89)และการใชส้ นามกีฬา (2.83) กาญจนา ภูริปัญญวานิช (2552) ไดศ้ ึกษาเรือง การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิทางการเรียนและความพึง พอใจของนกั เรียนทีเรียนดว้ ยบทเรียนแบบ e-Learning โดยใช้โปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุดการ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา หน่วยวยั ใสวยั เรา หนุ่มสาวสดชืน ของนกั เรียนชัน มธั ยมศกึ ษาปี ที 6 ผลการวิจยั พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนแบบ e-Learning โดยใชโ้ ปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานทีกาํ หนดไวค้ ือร้อยละ80 2. ผลสมั ฤทธิ
57 ทางการเรียนหลงั เรียนเฉลียของบทเรียนแบบ e-Learning โดยใชโ้ ปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุดการ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง มคี ะแนนเฉลียสูงกวา่ ก่อนเรียน ซึงแตกต่างกนั อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิติที .01 3. ผลสมั ฤทธิ ทางการเรียนหลงั เรียนเฉลียของกลุม่ ทีเรียนดว้ ยบทเรียนแบบ e-Learning โดยใชโ้ ปรแกรม Moodle สูงกวา่ กลุ่ม ทีเรียนดว้ ยบทเรียนแบบชุดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซึงแตกต่างกนั อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิติที .01 4. ความพึง พอใจของนกั เรียนทีมตี ่อการเรียนดว้ ยบทเรียนแบบ e-Learning โดยใชโ้ ปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุด การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เฉลยี ของผเู้ รียนทงั สองกลุ่มอยใู่ นระดบั มาก
58 บทที 3 วธิ ีดําเนินการวจิ ยั การวิจยั เรืองนีเป็ นการวิจยั และพฒั นา (Research and Development) มีวตั ถุประสงค์เพือพฒั นาสือ บทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ โดยมีการออกแบบงานวิจยั การ กาํ หนดประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง เครืองมอื ทีใชใ้ นการวิจยั วิธีดาํ เนินการวิจยั การเก็บรวบรวมขอ้ มูล และการ วเิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั ต่อไปนี ขนั ตอนในการดาํ เนนิ การวจิ ยั ดังนดี ังต่อไปนี 1. ศึกษาเอกสารตาํ ราบทความงานวิจยั ทงั ในและต่างประเทศเกียวกบั หลกั การพืนฐานและทฤษฎีที เกียวขอ้ งกบั การเรียนดว้ ยสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ และ ความพึงพอใจของผเู้ รียนโดยมีขนั ตอนดงั นี 1) ศกึ ษาหลกั ของการใชส้ ือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 2) การออกแบบบทเรียน ประกอบดว้ ย 2.1) การวิเคราะหเ์ นือหา (content analysis) ในขนั นีเป็นการวเิ คราะห์คาํ อธิบายรายวชิ า “กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย”์ แผนการเรียนการสอน เพือ การจดั ลาํ ดบั เนือหา และเลอื กสือทีจะนาํ มาประกอบบทเรียน 2.2) กาํ หนดวตั ถุประสงคข์ องบทเรียน (objective) เพอื กาํ หนดสิงทีคาดหวงั เมือผเู้ รียน เรียนจบบทเรียนแลว้ อยา่ งเป็นรูปธรรม 2.3) กาํ หนดเนือหาและกิจกรรม (content and activity) จะประกอบไปดว้ ยภารกิจของ การกําหนดเนือหา กิจกรรมการเรียน และแนวคิดตามวัตถุประสงค์ทีตังไว้ ปฏิบตั ิการจดั ลาํ ดบั เนือหา กาํ หนดความสมั พนั ธ์ของเนือหาภายในบทเรียนและ ระหวา่ งบทเรียน 2.4) การกาํ หนดวธิ ีการนาํ เสนอ (scenario) เป็นการระบุวิธีการนาํ เสนอทงั ในภาพรวม ของบทเรียนและในแต่ละหน่วย 3) การสร้างภาพร่าง ของบทเรียนเป็นขนั ของการเขียนแบบแผนของบทเรียนแต่ละบท ซึงจะ ประกอบดว้ ยเนือหา รายละเอียดดา้ นตวั หนงั สือ ภาพ เสียง ความเชือมโยงของส่วนต่าง ๆ ในบทเรียน 4) การสร้างบทเรียน ดาํ เนินการสร้างบทเรียนตามทีออกแบบไว้ 5) ทดลองใชบ้ ทเรียนกบั ผเู้ รียน
59 6) การตรวจสอบและประเมินคุณภาพบทเรียน จะประกอบไปดว้ ย 6.1) ตรวจสอบคุณภาพเบืองตน้ โดยผวู้ ิจยั 6.2) ประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนจากการทดสอบ ก่อนและหลงั การเรียน 6.3) สาํ รวจความพงึ พอใจของผเู้ รียนต่อบทเรียน 2. การกาํ หนดประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 3. เครืองมอื ทีใชใ้ นการวิจยั 4. การสร้างเครืองมือทีใชใ้ นการวิจยั 5. การทดลองและการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 6. การวิเคราะห์และนาํ เสนอขอ้ มลู 1. ศึกษาและสังเคราะห์ข้อมูล ทีเกียวขอ้ งกบั การวจิ ยั ไดแ้ ก่ 1.1 ศกึ ษาขอ้ มลู ทีเกียวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบขนั ตอนและบทบาทของผทู้ ีเกียวขอ้ งกบั การเรียนดว้ ยสือ บทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1.2 ศกึ ษาขอ้ มลู ทีเกียวขอ้ งกบั กายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ เพือใชใ้ นการออกแบบ เครืองมอื ทีใชค้ วบค่กู บั กระบวนการเรียน 1.3 ศึกษาทฤษฎีทีเกียวขอ้ งกบั ความพึงพอใจของผเู้ รียนเพอื ใชใ้ นการออกแบบเครืองมือประเมินความ พงึ พอใจของผเู้ รียน 2. การกาํ หนดประชากรและกล่มุ ตวั อย่างในการวจิ ยั 2.1 ประชากรทใี ช้ในการวจิ ยั กลมุ่ ประชากรเป้ าหมายทีใชใ้ นการวจิ ยั ครังนี คือ นิสิต วิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ปี การศึกษา 2555 จาํ นวน 1,310 คน 2.2 กล่มุ ตวั อย่างในการวจิ ยั การวจิ ยั ครังนีกาํ หนดใหเ้ ป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง โดยจะใชน้ ิสิตชนั ปี ที 2 ทีศกึ ษารายวชิ ากายวิภาค ศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ ในภาคเรียนที 1 ปี การศกึ ษา 2555 จาํ นวน 46 คน
60 แบบแผนการวจิ ยั รูปแบบการทดลองทีใชใ้ นการวจิ ยั เป็นการทดลองโดยใชแ้ บบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนกบั กลุ่ม เดียว (One group Pretest-Posttest Design) (ลว้ น สายยศ, 2538) Pretest Treatment Posttest O1 X O2 เมอื O1 หมายถงึ การทดสอบก่อนเรียน X หมายถึง การเรียนดว้ ยสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ : กายวภิ าคศาสตร์และ สรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ O2 หมายถงึ การทดสอบหลงั เรียน 3. เครืองมอื ทใี ช้ในการวจิ ยั เครืองมือทีใชใ้ นการดาํ เนินการวจิ ยั ครังนี มี 2 ประเภท คือ 3.1 เครืองมอื ทีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ 3.1.1 แบบประเมนิ สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ 3.1.2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของผเู้ รียน 3.1.3 แบบทดสอบผลสัมฤทธิทางการเรียน เป็ นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จาํ นวน 40 ขอ้ ทีมีการหาค่าความเทียงตรงตามเนือหา (IOC) ค่าความยากง่าย ( p ) ค่าอาํ นาจจาํ แนก ( r ) และค่า ความเชือมนั ทงั ฉบบั เพอื ใชใ้ นการวดั ความรู้ก่อนเรียน และหลงั เรียน 3.2 เครืองมอื ทใี ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ 3.2.1 แผนการจดั การเรียนรู้ ทีมีรูปแบบการเรียนดว้ ยสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ : กายวิภาคศาสตร์และ สรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ 3.2.2 สือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ : กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ สาํ หรับ นิสิตระดบั ปริญญาตรี วิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ เครืองมอื ทีผวู้ จิ ยั ไดส้ ร้าง ขึน โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาํ เร็จรูป ใชเ้ วลาในการเรียน 4 คาบ คาบละ 60 นาที
61 4. การสร้างเครืองมอื ทีใช้ในการวจิ ยั เครืองมอื ทีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. แบบประเมินสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ : กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ มี ขนั ตอนดงั นี 1.1 ศึกษาเอกสารเกียวกับหลักการแนวคิดวิธีการสร้างแบบประเมินรูปแบบสือบทเรี ยน อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ซึงใชส้ ือหลายชนิดผสมผสานกนั เพือใหก้ ารเรียนการสอนมปี ระสิทธิภาพมากทีสุด 1.2 วิเคราะห์ และสังเคราะห์ กาํ หนดวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะของการประเมินรูปแบบสือบทเรียน อิเลก็ ทรอนิกส์ 1.3 สร้างแบบประเมนิ รูปแบบสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบของมาตรประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ในส่วนของการแสดงความเห็นและคาํ ถามแบบปลายเปิ ดในส่วนของขอ้ เสนอแนะ การประเมนิ ความเหมาะสมของรูปแบบสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์โดยใชเ้ กณฑด์ งั นี คะแนนเฉลยี 4.51-5.00 หมายถึงมคี วามเหมาะสมระดบั มากทีสุด คะแนนเฉลยี 3.51-4.50 หมายถึงมีความเหมาะสมระดบั มาก คะแนนเฉลีย 2.51-3.50 หมายถงึ มีความเหมาะสมระดบั ปานกลาง คะแนนเฉลยี 1.51-2.50 หมายถึงมคี วามเหมาะสมระดบั นอ้ ย คะแนนเฉลยี 1.00-1.50 หมายถึงมคี วามเหมาะสมระดบั นอ้ ยทีสุด โดยจากการประเมินใช้เกณฑ์ยอมรับของรูปแบบสือบทเรี ยนอิเล็กทรอนิกส์ในระดบั ความ เหมาะสมระดบั มากขึนไป 2. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของผ้เู รียน มีขนั ตอนการดาํ เนินการสร้างดงั นี 2.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทีเกียวขอ้ งกบั การใชง้ านสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ : กายวิภาค ศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ จากนนั รวบรวมขอ้ มูลเพือเป็ นแนวทางในการกาํ หนดประเด็นในการ ประเมนิ ความพึงพอใจของผเู้ รียน 2.2 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของผเู้ รียนและเกณฑก์ ารแปลความหมายของคะแนน จากนนั นาํ แบบประเมินความพึงพอใจของผเู้ รียนทีสร้างขึนไปให้ผเู้ ชียวชาญ 3 ท่านพิจารณาความสอดคลอ้ ง ของความพึงพอใจทีคาดว่าจะจะไดร้ ับ มาทาํ การวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการหาค่า IOC (IOC: item objective congruence) เพือนาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข
62 ในการพจิ ารณาความสอดคลอ้ งของความพึงพอใจนนั ใหผ้ เู้ ชียวชาญจาํ นวน 3 ท่าน ประเมินให้ คะแนนคาํ ถามแต่ละขอ้ โดยพจิ ารณาความสอดคลอ้ งของขอ้ คาํ ถามกบั เนือหา ดงั นี ใหค้ ะแนน +1 สาํ หรับขอ้ ทีแน่ใจวา่ สอดคลอ้ ง ใหค้ ะแนน 0 สาํ หรับขอ้ ทีไมแ่ น่ใจ ใหค้ ะแนน -1 สาํ หรับขอ้ ทีแน่ใจวา่ ไม่สอดคลอ้ ง ทาํ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยการหาค่า IOC (IOC: item objective congruence) โดยมีการใชส้ ูตร คาํ นวณ ดงั นี (ณัฎฐภรณ์ หลาวทอง, 2548) IOC R N เมือ IOC คือ ความสอดคลอ้ งของแบบประเมนิ ความพึงพอใจของผเู้ รียน R คือ ผลรวมของคะแนนจากผเู้ ชียวชาญทงั หมด N คือ จาํ นวนผเู้ ชียวชาญ เกณฑ์ทีใชใ้ นการพิจารณา คือ ขอ้ คาํ ถามทีมีค่า IOC ตงั แต่ 0.5 ขึนไป เป็ นขอ้ คาํ ถามทีใชไ้ ด้ ส่วนขอ้ คาํ ถามทีมคี ่า IOC ตงั แต่ 0.49 ลงมา เป็นขอ้ คาํ ถามทีตอ้ งปรับปรุงหรือตดั ออก 2.3 จากการนาํ แบบประเมินความพึงพอใจของผเู้ รียนให้ผเู้ ชียวชาญตรวจสอบ และมีค่าดชั นี ความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบประเมนิ ความพงึ พอใจของผเู้ รียน มคี ่าเท่ากบั 0.79 นาํ ขอ้ เสนอแนะมาปรับปรุง แกไ้ ข ตรวจทานความครอบคลมุ ของขอ้ คาํ ถาม ความชดั เจนความเหมาะสมของภาษานาํ มาปรับปรุงแกไ้ ขตาม คาํ แนะนาํ ของผเู้ ชียวชาญ 3. แบบทดสอบผลสัมฤทธิทางการเรียน มขี นั ตอนดงั นี 3.1 ศึกษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู จากเอกสารเกียวกบั วิธีการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ ทางการเรียนและการประเมนิ ผลเกียวกบั รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ 3.2 วิเคราะห์เนือหาสาระและวตั ถุประสงค์เกียวกับรายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา พนื ฐานของมนุษย์ 3.3 สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิทางการเรียนรายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา พืนฐานของมนุษย์ โดยมีขอ้ สอบจาํ นวน 60 ขอ้ เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก มเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนนคือ ตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ หรือไมต่ อบให้ 0 คะแนน
63 3.4 นาํ แบบทดสอบทีปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปให้ผเู้ ชียวชาญทางดา้ นการเรียนการสอนรายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ จาํ นวน 3 ท่าน ซึงมีประสบการณ์ตรวจความตรงตามเนือหา (Content Validity) และความเหมาะสมของสาํ นวนภาษา แลว้ นาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข 3.5 นาํ แบบทดสอบไปทดลองใชก้ บั ตวั แทนทีไม่ใช่กลมุ่ ตวั อยา่ ง ทีมลี กั ษณะคลา้ ยคลึงกบั กลุ่ม ตวั อยา่ ง จาํ นวน 30 คน ซึงไมใ่ ช่กลมุ่ ตวั อยา่ งประชากร จากนนั นาํ คะแนนทีไดม้ าวิเคราะหข์ อ้ มลู เพือหาค่าความ เทียง (Reliability) ของแบบวดั โดยใชส้ ูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสนั ซึงมีเกณฑ์ว่า ค่าความเทียงตอ้ งมีค่า ตงั แต่ 0.60 ขึนไป รวมทงั หาค่าความยาก (Difficulty) และค่าอาํ นาจจาํ แนก (Discrimination) ของแบบทดสอบ ผลสมั ฤทธิทางการเรียน โดยมเี กณฑว์ ่า ค่าความยาก (p) ตอ้ งอยรู่ ะหว่าง 0.20 - 0.80 และค่าอาํ นาจจาํ แนก (r) มี ค่า 0.20 ขึนไป ซึงไดผ้ ลการวเิ คราะหค์ ุณภาพขอ้ สอบดงั นี ค่าความเทียง มคี ่า 0.93 ค่าความยาก มีค่า 0.27 – 0.80 ค่าอาํ นาจจาํ แนก มีค่า 0.20 – 0.70 3.6 นาํ แบบทดสอบผลสมั ฤทธิทางการเรียนรายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของ มนุษย์ ทีไดร้ ับการปรับปรุงไปทดลองใชจ้ ริง เครืองมอื ทใี ช้ในการทดลอง 1. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของ มนุษย์ มีขนั ตอนดงั นี 1.1 ศึกษาหลกั สูตร จุดมุ่งหมายของหลกั สูตร จุดประสงคร์ ายวิชา และขอบข่ายของเนือหาวิชา 1.2 ศึกษารายละเอยี ดเนือหาทีจะนาํ มาสร้างแผนการจดั การเรียนรู้ 1.3 วิเคราะหจ์ ุดประสงคก์ ารเรียนรู้ จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนการสอน และ กระบวนการคิด จากเนือหาวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ เขียนแผนจดั การเรียนรู้ให้ ครอบคลุมเนือหา 1.4 ศกึ ษากระบวนการจดั การเรียนการสอนแบบผสมผสาน 1.5 นาํ แผนการเรียนรู้วชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ ทีผวู้ จิ ยั สร้างขึนไป ใหอ้ าจารยท์ ีปรึกษาตรวจพจิ ารณาความสอดคลอ้ งตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และความตรงตามเนือหาหลกั สูตร เพอื ใหข้ อ้ เสนอแนะแลว้ นาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข ซึงจากการวิเคราะห์ดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของจุดประสงค์ เนือหาตามหลกั สูตร มีค่าเฉลียเท่ากบั 0.73
64 เมอื ปรับปรุงแกไ้ ขแผนการจดั การเรียนรู้ให้ตรงและสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคแ์ ละเนือหาแลว้ จึงนําแผนการจดั การเรียนรู้ดงั กล่าวไปให้ผูเ้ ชียวชาญดา้ นการจัดการเรียนการสอนบนเว็บแบบผสมผสาน จาํ นวน 3 ท่าน ตรวจสอบความสอดคลอ้ งของขนั ตอนการจัดกิจกรรมจดั การเรียนการสอนบนเว็บแบบ ผสมผสาน จากการวิเคราะห์ค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของขนั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนบน เวบ็ แบบผสมผสาน มีค่าเท่ากบั 0.91 2. สือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ มีขนั ตอนดงั นี 2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และขนั ตอนของการเรียนบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และกายวิภาค ศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษยจ์ ากเอกสารและงานวิจยั ทีเกียวขอ้ ง โดยใชแ้ นวคิดเบืองตน้ ของ Soller, Goodman, Linton and Gaimani (1994) Bernard M., Rubacava and St-Pierre (2000) เป็ นกรอบในการพฒั นา เวบ็ ไซต์ 2.2 วิเคราะห์ ออกแบบสร้างผงั งาน โครงสร้างของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ ตงั แต่จุดเริ มตน้ ของการใชบ้ ทเรียนจนถึงเรียนจบบทเรียนว่ามีเครืองมือ และวิธีการอย่างไร ดว้ ยการสังเคราะห์ให้มีความ สอดคลอ้ งกบั แผนการจดั การเรียนรู้ และตรงตามวตั ถุประสงคข์ องบทเรียน 2.3 นาํ Storyboard ทีไดจ้ ดั ทาํ ขึน ใหผ้ เู้ ชียวชาญตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความเหมาะสมต่าง ๆ และใหค้ าํ แนะนาํ เพอื พจิ ารณาปรับปรุงแกไ้ ขในเบืองตน้ แลว้ นาํ มาสร้างสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ ตามทฤษฎี และขอ้ คน้ พบต่าง ๆในงานวิจยั ในการพฒั นาเวบ็ ไดใ้ ชโ้ ปรแกรมทีหลากหลายในส่วนต่าง ๆ ดงั นี 2.3.1) การจัดรูปแบบ และเนือหา การตกแต่งงานกราฟิ กต่าง ๆ ภายในเว็บใช้ โปรแกรม Moodle, Adobe Flash CS6, Adobe photoshop CS6 และ Adobe Illustator CS6 2.3.2) การสร้างอนิเมชนั (Animation) ใชโ้ ปรแกรม Adobe Flash CS6 และ Adobe Illustator CS6 ในการพฒั นา 2.4 นาํ สือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ทีสร้างขึน ใหผ้ เู้ ชียวชาญ 3 ท่านประเมิน ประเมินบทเรียน โดยตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ความเหมาะสมของการใชบ้ ทเรียน จากนนั นาํ คาํ แนะนาํ ของผเู้ ชียวชาญไปปรับปรุง แกไ้ ขบทเรียน ซึงจากผลการพจิ ารณาของผเู้ ชียวชาญไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะดงั นี ก. ควรเพิมเติมแหล่งเรียนรู้ภายนอก โดยมกี ารเชอื มโยงลงิ คค์ วามรู้ขา้ งนอกทีทนั สมยั ข. ผลป้ อนกลบั นอกจากใหค้ ะแนนแลว้ ควรมสี ญั ลกั ษณ์บอกดว้ ยว่าถกู ตอ้ ง หรือไมถ่ กู ตอ้ ง ค. ค่าเฉลยี ของการประเมินเวบ็ โดยรวมอยทู่ ี 4.43 อยใู่ นระดบั มาก
65 2.5 เมือสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเกณฑ์ของผเู้ ชียวชาญแลว้ จึงนําบทเรียนไปทดสอบหา ประสิทธิภาพสือ 3 ขนั ตอน กบั นิสิตทีมีคุณสมบตั ิใกลเ้ คียงกับกลุ่มตวั อย่าง ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซึงมรี ายละเอียดดงั นี 80 ตวั แรก หมายถงึ คะแนนรวมเฉลียของกลุ่ม (Class mean) โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ตวั หลงั หมายถึง ร้อยละของผเู้ รียนทีบรรลวุ ตั ถุประสงคแ์ ต่ละขอ้ ของสือเกณฑ์มาตรฐานทีเป็ น เกณฑย์ อมรับกนั โดยทวั ไป ไดก้ าํ หนดว่า ใหผ้ เู้ รียนเมือเรียนแลว้ มีความคาดเคลือนหรือขอ้ ผิดพลาดไดไ้ ม่เกิน ร้อยละ 5 โดยเทียบกบั เกณฑด์ งั นี (พิสุทธา อารีราษฎร์, 2550: 153-156) ร้อยละ 95-100 หมายถงึ บทเรียนมปี ระสิทธิภาพดีเยยี ม (Excellent) ร้อยละ 90-94 หมายถงึ บทเรียนมีประสิทธิภาพดี (Good) ร้อยละ 85-89 หมายถึง บทเรียนมีประสิทธิภาพดีพอใช้ (Fair Good) ร้อยละ 80-84 หมายถึง บทเรียนมปี ระสิทธิภาพพอใช้ (Fair) ตาํ กว่าร้อยละ 80 หมายถงึ ตอ้ งปรับปรุงแกไขบทเรียน (Poor) รายละเอยี ดและผลการทดสอบการหาประสิทธภิ าพสือ มีดงั นี ขันที 1 ทดสอบแบบหนึงต่อหนึง (One-on-one testing)โดยทดสอบกบั นิสิตชนั ปี ที 2 ทีเป็ นกลุ่ม ตวั แทนตวั อยา่ งโดยเลือกผเู้ รียนทีมีระดบั ผลการเรียนระดบั สูง ปานกลาง และตาํ จาํ นวน 3 คน โดยมีวิธีการ ปฏบิ ตั ิเช่นเดียวกบั การทดลองจริงทุกประการ โดยผวู้ จิ ยั จะสงั เกตปัญหาระหว่างการทดสอบ สมั ภาษณ์การเขา้ ใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ หาขอ้ ขดั ขอ้ งและทาํ การจดบนั ทึกเพือนาํ มาปรับปรุงแกไ้ ข ขนั ที 2 ทดสอบกล่มุ เลก็ (Small group testing) นาํ สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ ทีไดร้ ับการปรับปรุง แลว้ ใหน้ ิสิตชนั ปี ที 2 โดยเลอื กผเู้ รียนทีมรี ะดบั ผลการเรียนระดบั สูง ปานกลาง และตาํ จาํ นวน 9 คน เรียนกบั สือ บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ สงั เกตพฤติกรรมและปัญหาในการเขา้ เรียน สัมภาษณ์ปัญหาการเขา้ เรียน และนาํ ผล คะแนนการทาํ แบบทดสอบมาวเิ คราะห์ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครืองมอื ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 จากนนั นาํ มาวเิ คราะหป์ ัญหาและปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องทีเกิดขึน ขันที 3 ทดลองกบั กลุ่มใหญ่ (Large group testing) นาํ บทเรียนคอมพิวเตอร์การสอนบนระบบ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตรายวิชาระบบการจัดการฐานขอ้ มูลทีปรับปรุงแลว้ ไปทดลองกับนิสิตทีมีคุณสมบตั ิ ใกลเ้ คียงกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยมีวิธีการปฏิบตั ิเช่นเดียวกบั การทดลองจริงทุกประการ จากนนั นาํ ผลคะแนนการทาํ แบบทดสอบมาวเิ คราะห์ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครืองมือตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 เช่นเดียวกบั ขนั ที 2
66 5. การทดลองและการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 5.1 สถานทีทาํ การวจิ ยั วทิ ยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ 5.2 วธิ ีเกบ็ รวบรวมข้อมูล 5.2.1 ขนั เตรียมการก่อนทดลอง 1. การเตรียมความพร้อมให้กบั ผเู้ รียนในดา้ นการใชค้ อมพิวเตอร์บนเครือข่าย โดย แบ่งเป็นการใชต้ วั อุปกรณ์ และโปรแกรมทีตอ้ งใชใ้ นกิจกรรมการเรียน รวมถึงเครืองมือในการสือสาร ใชก้ าร อบรม 3 ชวั โมง 2. การเตรียมความพร้อมทางทกั ษะในการเรียนรู้ร่วมกนั ใหแ้ ก่ผเู้ รียน อนั ไดแ้ ก่ ทกั ษะ การสือสารระหว่างบุคคล ทกั ษะการสร้างกลุ่มหรือการจดั กลุ่ม ทกั ษะในการเสาะแสวงหาขอ้ มลู ทกั ษะการ แกป้ ัญหาและความขดั แยง้ ทกั ษะการนาํ เสนอ ใชเ้ วลาอบรม 3 ชวั โมง 5.2.2 ขนั การทดลอง 1. ใหผ้ เู้ รียนทาํ แบบทดสอบก่อนเรียนเป็นรายบุคคล โดยใชเ้ พือวดั ความรู้ความเขา้ ใจ ในเนือหาก่อนการเรียน 2. ใหผ้ ูเ้ รียนในแต่ละกลุ่มดาํ เนินการเรียนบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามกิจกรรมที กาํ หนดไวใ้ ห้ ในการเรียนแบบผสมผสานนนั ผสู้ อนทาํ การสอนเป็นเวลา 8 ชวั โมง โดยคิดเป็นการเรียนผา่ นเวบ็ ร้อยละ 50 การเรียนในชนั เรียน ร้อยละ 50 ของเวลาเรียนทงั หมด โดยดาํ เนินการสอนในชนั เรียนสลบั กบั การ เรียนผา่ นเว็บ แบบละประมาณ 4 ชวั โมง โดยในแต่ละหัวขอ้ ผสู้ อนจะทาํ การสอนเนือหาในชนั เรียนก่อน 1 ชัวโมง หลงั จากนันผูเ้ รียนจะเข้าไปศึกษาบทเรียนบนเว็บทีผสู้ อนจัดเตรียมไว้ ผูเ้ รียนจะศึกษาเนือหา ทาํ แบบทดสอบ การเรียนดว้ ยตนเองตามหวั ขอ้ ทีผสู้ อนกาํ หนดไว้ ในส่วนของการสนทนาผา่ นหอ้ งสนทนาในชนั เรียนนัน ผูส้ อนจะคอบควบคุม และร่วมสนทนาด้วย เพือให้การสนทนาได้ประโยชน์มากทีสุด ในหัวขอ้ การบา้ น แบบฝึ กหัด และแบบทดสอบนัน ผูเ้ รียนสามารถไปศึกษา และทาํ ต่อใหเ้ สร็จทีบา้ นได้ ในการทาํ กิจกรรมต่าง ๆ ทังในชนั เรียน และผ่านเวบ็ นัน มีการกาํ หนดคะแนนให้ผเู้ รียนไดร้ ู้ถึงผลการทาํ กิจกรรมของ ตนเอง เพือเป็ นการกระตุน้ และเป็ นกาํ ลงั ใจในการศึกษาบทเรียนเท่านัน ผสู้ อนจะไม่นาํ ผลคะแนนทีไดม้ า รวบรวม และวเิ คราะหผ์ ลในการวจิ ยั
67 5.2.3 ขนั หลงั การทดลอง 1. ให้ผเู้ รี ยนทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนเป็ นรายบุคคลเพือนําไปเปรี ยบเทียบกับ แบบทดสอบก่อนเรียน เพอื ศึกษาสมั ฤทธิทางการเรียน 2. นาํ แบบทดสอบมาตรวจใหค้ ะแนน และนาํ คะแนนทีไดม้ าวิเคราะห์ขอ้ มลู ทางสถิติ ต่อไป พร้อมทงั นาํ ประเมินความพึงพอใจของผเู้ รียน มาวิเคราะห์ขอ้ มูลทางสถิติ เพือนาํ ผลมาใชป้ ระกอบการ วิจยั 6. การวเิ คราะห์และนาํ เสนอข้อมูล 1. สถิติทีใชค้ าํ นวณหาคุณภาพของเครืองมือ 1.1 การหาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบ คาํ นวณจากสูตรดงั นี ( บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 84) P= R N เมอื P แทน ค่าความยากง่ายของขอ้ ทดสอบ R แทน จาํ นวนนกั เรียนทีตอบถกู N แทน จาํ นวนนกั เรียนทงั หมด ขอบเขตของค่า P และความหมาย 0.81 – 1.00 เป็นขอ้ สอบทีง่ายมาก 0.61 – 0.80 เป็นขอ้ สอบทีค่อนขา้ งง่าย (ใชไ้ ด)้ 0.41 – 0.60 เป็นขอ้ สอบทียากง่ายพอเหมาะ (ดี) 0.21 – 0.40 เป็นขอ้ สอบทีค่อนขา้ งยาก (ใชไ้ ด)้ 0.00 – 0.20 เป็นขอ้ สอบทียากมาก 1.2 การหาค่าอาํ นาจจาํ แนกของแบบทดสอบ โดยใชส้ ูตรดงั นี ( ลว้ น สายยศ, 2543 : 186) R = HL N เมือ R แทน ค่าอาํ นาจจาํ แนกของขอ้ สอบ H แทน จาํ นวนคนในกล่มุ สูงทีตอบถกู L แทน จาํ นวนคนในกล่มุ ตาํ ทีตอบถกู N แทน จาํ นวนคนในกลุ่มใดกลุ่มหนึง
68 ขอบเขตของค่า r และความหมาย 0.40 ขึนไป อาํ นาจจาํ แนกสูง คุณภาพดีมาก 0.30- 0.39 อาํ นาจจาํ แนกปานกลาง คุณภาพดี 0.20- 0.29 อาํ นาจจาํ แนกค่อนขา้ งตาํ คุณภาพพอใช้ 0.00- 0.19 อาํ นาจจาํ แนกตาํ คุณภาพใชไ้ ม่ได้ 1.3 การหาค่าความเชือมนั ของแบบทดสอบโดยใชส้ ูตร KR – 20 โดยมีสูตรดงั นี ( ลว้ น สาย ยศ, 2538: 197 -198) rt n 1 pq n 1 S 2 t N X2 S 2 X2 t N2 เมอื rt แทน สมั ประสิทธิของความเชือมนั ของแบบทดสอบทงั ฉบบั N แทน จาํ นวนขอ้ ของแบบทดสอบ P แทน สดั ส่วนของผเู้ ยนทีทาํ แบบทดสอบขอ้ นนั ถกู กบั ผเู้ รียนทงั หมด q แทน สดั ส่วนของผเู้ ยนทีทาํ แบบทดสอบขอ้ นนั ผดิ กบั ผเู้ รียนทงั หมด St2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนสอบทงั ฉบบั N แทน จาํ นวนผเู้ รียน 2. การวิเคราะห์ค่าเฉลีย ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลียของระดบั ความพึงพอใจของ ผเู้ รียน 2.1 ค่าเฉลีย ( X ) คาํ นวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 105) X =X คะแนนเฉลยี ผลรวมคะแนนทงั หมดในกลุม่ N จาํ นวนนกั เรียนในกล่มุ ตวั อยา่ ง เมอื X แทน X แทน N แทน
69 2.2 ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน (S.D) คาํ นวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 106) S.D. = N x2 ( x)2 N (N 1) เมือ S.D. แทน ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนนในกลมุ่ x2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกาํ ลงั สอง N แทน จาํ นวนนกั เรียนในกลมุ่ ตวั อยา่ ง 3. การวิเคราะหห์ าประสิทธิภาพของบทเรียน การคาํ นวณหาประสิทธิภาพของบทเรียนตามเกณฑ์ 80/80 สามารถหาโดยใชส้ ูตร E1 / E2 ดงั นี (พิสุทธา อารีราษฎร์, 2550: 154 -155) E1 = X A x100 N E2 = Y B x100 N เมอื E1 แทนคะแนนเฉลียของผเู้ รียนทงั หมดจากการทาํ แบบฝึกหดั หรือแบบทดสอบ ระหวา่ งเรียนจากบทเรียน E2 แทนคะแนนเฉลียของผเู้ รียนทงั หมดจากการทาํ แบบฝึกหดั หรือแบบทดสอบ หลงั การเรียน X แทนคะแนนทีไดจ้ ากการทาํ แบบฝึกหดั หรือแบทดสอบระหวา่ งเรียนของ ผเู้ รียนแต่ละคน Y แทนคะแนนทีไดจ้ ากการทาํ แบบทดสอบหลงั การเรียนของผเู้ รียนแต่ละคน A แทนคะแนนเต็มของแบบทดสอบหรือแบบฝึกหดั ระหว่างเรียน B แทนคะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหรือแบบฝึกหดั หลงั เรียน N แทนจาํ นวนผเู้ รียนทงั หมด
70 4. การวเิ คราะหค์ ่าเฉลีย ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลียของคะแนนในการทาํ แบบวดั ผลสมั ฤทธิทางการเรียนก่อนเรียน และหลงั เรียน โดยใชส้ ถิติ t-test (Dependent Samples) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 112) สูตร t-test (Dependent) T= D N D2 D2 N 1 เมือ T แทน ค่าสถติ ิทีจะใชเ้ ปรียบเทียบกบั ค่าวิกฤต D แทน ค่าผลต่างระหวา่ งค่คู ะแนน N แทน จาํ นวนกลุ่มตวั อยา่ ง แทน ผลรวม
71 บทที 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล การวิจยั นีเป็ นการวิจยั และพฒั นา (Research and Development) สือบทเรียน รายวิชากายวิภาคศาสตร์ และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคด์ งั นี 1. เพือจดั ทาํ สือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e–learning) รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของ มนุษย์ นาํ เสนอผา่ นระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพือศกึ ษาผลสมั ฤทธิทางการเรียนของนิสิตวิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คมทีเรียนผา่ นสือบทเรียน อิเลก็ ทรอนิกส์ (e-learning) รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ 3. เพอื ศึกษาความพึงพอใจของนิสิต วทิ ยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ที มตี ่อการใชบ้ ทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ (e–learning) รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั ไดก้ าํ หนดสญั ลกั ษณ์ทีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ดงั นี N แทน จาํ นวนกลมุ่ ตวั อยา่ ง X แทน ค่าคะแนนเฉลยี S.D. แทน ค่าความเบียงเบนมาตรฐาน * แทน มีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 1. การตรวจสอบเพอื ประเมนิ ประสิทธภิ าพของสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และ สรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ เพือตรวจสอบคุณภาพของสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐาน ของมนุษย์ โดยการทดลอง 3 ครัง เพือทดสอบสมมติฐาน ทีกลา่ ววา่ สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าค ศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ทีผวู้ ิจยั ไดพ้ ฒั นาขึนมีประสิทธิภาพ โดยมีความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคะแนน ทีไดจ้ ากการทาํ แบบฝึกหดั ระหวา่ งบทเรียน กบั คะแนนทีไดจ้ ากการทาํ แบบฝึกหดั หลงั เรียน เมือนาํ ผลคะแนนที ไดม้ าเปรียบเทียบและหาประสิทธิภาพไดต้ ามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏพร้อมผลการวเิ คราะห์ ดงั นี ผลการทดลองครังที 1 ทดลองใชส้ ือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์กบั ผเู้ รียนแบบเดียว จาํ นวน 3 คน เป็ นการทดลองเพือศึกษาข้อบกพร่ อง ปัญหา อุปสรรค รวมถึงข้อจํากัดต่างๆของสือบทเรี ยน อเิ ลก็ ทรอนิกส์ นอกจากนียงั เป็นการทดสอบความเขา้ ใจของผทู้ ดลองต่อสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ทีผวู้ ิจยั สร้าง ขึน โดยใหน้ ิสิตทีเป็นกล่มุ ตวั อยา่ งที 1 จาํ นวน 3 คน ทดลองเรียนสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาค ศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ จาํ นวน 4 หน่วยการเรียน
72 ผวู้ ิจยั ไดท้ าํ การเก็บขอ้ มลู เพือตรวจสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ในเบืองตน้ โดยมีผลการทดลอง ดงั นี ตาราง 1 การหาประสิทธิภาพของสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษย์ การทดลองครังที 1 หน่ ว ย ก า ร แบบฝึ กหดั ระหว่างหน่วยการเรียน แบบทดสอบหลงั เรียน ประสิทธิภาพ เรียนรู้ที E1/ E2 คะแนนเตม็ ค่าเฉลีย E1 คะแนนเตม็ คา่ เฉลีย E2 1 (n=3) (n=3) 80.00/83.33 2 81.67/80.00 3 10 8.00 80.00 10 8.33 83.33 83.33/83.33 4 80.00/86.67 รวม 10 8.17 81.67 10 8.00 80.00 81.25/83.33 10 8.33 83.33 10 8.33 83.33 10 8.00 80.00 10 8.67 86.67 40 32.50 81.25 40 33.33 83.33 จากตาราง 1 ในการทดลองครังที 1 การหาประสิทธิภาพของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทงั 4 หน่วยการเรียน ปรากฏว่า ผลคะแนนรวมของการทาํ แบบฝึกหดั ระหว่างหน่วยการเรียนเป็น 98 คะแนน จากคะแนนเตม็ 120 คะแนน (หน่วยการเรียนละ 10 คะแนน จาํ นวน 4 หน่วยการเรียน จาํ นวนผทู้ ดลอง 3 คน รวมทงั สิน120 คะแนน) มีค่าเฉลีย 32.50 คิดเป็ นร้อยละ 81.25 ซึงสูงกว่าค่า E1 ตามเกณฑ์ 80 ทีกาํ หนด และคะแนนรวมของการทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนเป็น 100 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 120 คะแนน มีค่าเฉลีย 33.33 คิดเป็นร้อยละ 83.33 ซึงสูงกว่าค่า E2 ตามเกณฑ์ 80 ทีกาํ หนดไว้ จาก ค่า E1/ E2 ของการทดลองครังที 1 พบว่ามีประสิทธิภาพ 81.25/83.33 จึงสรุปไดว้ ่าสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทีผวู้ ิจยั สร้างขึนมีประสิทธิภาพเป็ นไปตามเกณฑท์ ี กาํ หนด กล่มุ ทดลองไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะ สาํ หรับความเหมาะสมของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาค ศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ ในเรืองตวั อกั ษรทีใชย้ งั ไมค่ ่อยชดั เจน ควรเปลยี นรูปแบบตวั อกั ษรใหม่ การคาํ นวณยงั มีความผิดพลาดในเรืองของคะแนนเมือเรียนจบในแต่ละบท รวมทงั ผลป้ อนกลบั ยงั ไม่ค่อย น่าสนใจ ซึงผวู้ ิจยั ไดน้ าํ ขอ้ เสนอแนะไปปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่องให้เหมาะสม และไดเ้ พิมคาํ อธิบายทีชดั เจน ไวใ้ นช่วงตน้ ของแต่ละบทเรียนเพอื ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจกติกาการเรียนมากขึนก่อนนาํ ไปใชใ้ นการทดลองครังที 2
73 ตาราง 2 การหาประสิทธิภาพของสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษย์ การทดลองครังที 2 เป็นการทดลองใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ เพือศึกษาความเหมาะสมของบทเรียนในแต่ละดา้ น เพือนําผลการทดสอบวดั ผลสัมฤทธิทางการเรียนและ คะแนนการทดสอบแบบฝึกหดั ระหวา่ งเรียน ไปวเิ คราะห์หาประสิทธิภาพแลว้ ไดต้ ามเกณฑท์ ีกาํ หนดไวห้ รือไม่ ก่อนนาํ ไปใชจ้ ริง โดยนาํ ไปใชก้ บั กลมุ่ ทดลองที 2 จาํ นวน 9 คน โดยมีผลการทดลอง ดงั นี หน่วยการ แบบฝึ กหดั ระหว่างหน่วยการเรียน แบบทดสอบหลงั เรียน ประสิทธิภาพ เรียนรู้ที E1/ E2 คะแนนเตม็ ค่าเฉลีย E1 คะแนนเตม็ ค่าเฉลีย E2 1 (n=9) (n=9) 83.33/91.11 2 85.56/89.44 3 10 8.33 83.33 10 9.11 91.11 84.44/90.56 4 83.33/91.67 รวม 10 8.56 85.56 10 8.94 89.44 84.17/90.69 10 8.44 84.44 10 9.06 90.56 10 8.33 83.33 10 9.17 91.67 40 33.67 84.17 40 36.28 90.69 จากตาราง 2 ในการทดลองครังที 2 การหาประสิทธิภาพของสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทงั 4 หน่วยการเรียน ปรากฏว่า ผลคะแนนรวมของการทาํ แบบฝึกหดั ระหว่างหน่วยการเรียนเป็น 303 คะแนน จากคะแนนเตม็ 360 คะแนน (หน่วยการเรียนละ 10 คะแนน จาํ นวน 4 หน่วยการเรียน จาํ นวนผทู้ ดลอง 9 คน รวมทงั สิน360 คะแนน) มคี ่าเฉลีย 33.67 คิดเป็ นร้อยละ 84.17 ซึงสูงกว่าค่า E1 ตามเกณฑ์ 80 ทีกาํ หนด และคะแนนรวมของการทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนเป็น 327 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 360 คะแนน มคี ่าเฉลยี 36.28 คิดเป็นร้อยละ 90.69 ซึงสูงกว่าค่า E2 ตามเกณฑ์ 80 ทีกาํ หนดไว้ จาก ค่า E1/ E2 ของการทดลองครังที 2 พบว่ามีประสิทธิภาพ 84.17/90.69 จึงสรุปไดว้ ่าสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทีผวู้ ิจยั สร้างขึนมีประสิทธิภาพเป็ นไปตามเกณฑท์ ี กาํ หนด กลุ่มทดลองที 2 ไดใ้ ห้ขอ้ เสนอแนะเพิมเติม สําหรับความเหมาะสมของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ในเรืองของการเพิมเติมแหล่งเรียนรู้ภายนอก โดยมี การเชือมโยงลงิ คค์ วามรู้ขา้ งนอกทีทนั สมยั และผลป้ อนกลบั นอกจากให้คะแนนแลว้ ควรมีสัญลกั ษณ์บอกดว้ ย ว่าถูกต้อง หรื อไม่ถูกต้อง ซึงผู้วิจัยได้นําข้อเสนอแนะไปปรับปรุ งแก้ไขข้อบกพร่ องของสือบทเรี ยน อิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ให้เหมาะสม ก่อนนาํ ไปใชใ้ นการ ทดลองครังที 3
74 ตาราง 3 การหาประสิทธิภาพของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของ มนุษย์ การทดลองครังที 3 เป็นการทดลองใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ เพือศึกษาความเหมาะสมของบทเรียนในแต่ละด้าน เพือนาํ ผลการทดสอบวดั ผลสัมฤทธิทางการเรียนและ คะแนนการทดสอบแบบฝึกหดั ระหว่างเรียน ไปวิเคราะหห์ าประสิทธิภาพแลว้ ไดต้ ามเกณฑท์ ีกาํ หนดไวห้ รือไม่ ก่อนนาํ ไปใชจ้ ริง โดยนาํ ไปใชก้ บั กลุ่มทดลองที 3 จาํ นวน 20 คน โดยมีผลการทดลอง ดงั นี หน่วยการ แบบฝึ กหดั ระหว่างหน่วยการเรียน แบบทดสอบหลงั เรียน ประสิทธิภาพ เรียนรู้ที E1/ E2 คะแนนเตม็ ค่าเฉลีย E1 คะแนนเตม็ ค่าเฉลยี E2 1 (n=20) (n=20) 81.00/84.00 2 80.00/91.00 3 10 8.10 81.00 10 8.40 84.00 89.00/96.00 4 92.00/93.00 รวม 10 8.00 80.00 10 9.10 91.00 85.50/91.00 10 8.90 89.00 10 9.60 96.00 10 9.20 92.00 10 9.30 93.00 40 34.20 85.50 40 36.40 91.00 จากตาราง 3 ในการทดลองครังที 3 การหาประสิทธิภาพของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทงั 4 หน่วยการเรียน ปรากฏว่า ผลคะแนนรวมของการทาํ แบบฝึกหดั ระหวา่ งหน่วยการเรียนเป็น 684 คะแนน จากคะแนนเตม็ 800 คะแนน (หน่วยการเรียนละ 10 คะแนน จาํ นวน 4 หน่วยการเรียน จาํ นวนผทู้ ดลอง 20 คน รวมทงั สิน 800 คะแนน) มคี ่าเฉลีย 34.20 คิดเป็นร้อยละ 85.50 ซึงสูงกวา่ ค่า E1 ตามเกณฑ์ 80 ทีกาํ หนด และคะแนนรวมของการทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนเป็น 728 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 800 คะแนน มีค่าเฉลยี 36.40 คิดเป็นร้อยละ 91.00 ซึงสูงกว่าค่า E2 ตามเกณฑ์ 80 ทีกาํ หนดไว้ จาก ค่า E1/ E2 ของการทดลองครังที 3 พบว่ามีประสิทธิภาพ 85.50/91.00 จึงสรุปไดว้ ่าสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทีผวู้ ิจยั สร้างขึนมีประสิทธิภาพเป็ นไปตามเกณฑ์ที กาํ หนด
75 2. เพือเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของสือบทเรียน อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ เพือศึกษาผลสัมฤทธิทางการเรี ยนของนิสิ ตวิทยาลัยนวัตกรรมสือสารสังคม มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวโิ รฒ เมือใชส้ ือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ เพือทดสอบสมมติฐานทีกล่าววา่ ผลสมั ฤทธิทางการเรียนของนิสิตทีใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ มีคะแนนเฉลยี หลงั ใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์สูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 การวิเคราะห์ผวู้ ิจยั ไดใ้ หน้ ิสิตกลุ่มตวั อย่าง จาํ นวน 46 คน ทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน จาํ นวน 4 หน่วย การเรียน เพือตรวจสอบพืนความรู้ก่อนทีจะเขา้ สู่บทเรียน และทาํ การทดสอบหลงั เรียน ภายหลงั การเรียนจบใน แต่ละหน่วยการเรียน จากนนั นาํ ผลทีไดม้ าวิเคราะห์หาค่าเฉลีย และส่วนเบียงเบนมาตรฐาน เพือนาํ มาใชเ้ ป็ น เกณฑใ์ นการเปรียบเทียบผลการเรียนระหว่างก่อนและหลงั เรียน โดยใชก้ ารทดสอบค่าที (t-test) ดงั แสดงใน ตาราง ตาราง 4 เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งผลสมั ฤทธิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียน ผลสมั ฤทธิทางการเรียน NX S.D. t Sig. แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลงั เรียน 46 12.09 3.319 -36.557 .000* 46 33.13 3.697 *sig < .05 จากตาราง 4 สามารถสรุปไดว้ ่า ผลการวิเคราะห์ค่าเฉลีย ( X ) ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ เปรียบเทียบค่าเฉลียของคะแนนในการทาํ แบบวดั ผลสมั ฤทธิทางการเรียนก่อนเรียน และคะแนนในการทาํ แบบ วดั ผลสมั ฤทธิทางการเรียนหลงั เรียนพบว่า นิสิตกลุ่มตวั อย่างมีคะแนนเฉลียหลงั ใช้สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ สูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 แสดงวา่ เป็นไปตามสมมติฐานทีกาํ หนดไวว้ ่าผลสมั ฤทธิทางการเรียนของนิสิตทีใช้สือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ มีคะแนนเฉลียหลงั ใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์สูง กว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิทีระดบั .05
76 3. การศึกษาความพึงพอใจของนิสิต วิทยาลัยนวัตกรรมสือสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วโิ รฒ ทมี ตี ่อการใช้สือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ ตาราง 5 แสดงความพึงพอใจของนิสิต วิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ทีมีต่อ การใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ความพึงพอใจ ค่าเฉลีย S.D. ระดบั (N = 46) ความพงึ พอใจ ด้านรูปแบบการเรียนการสอน 4.35 0.72 มาก 1. ระยะเวลาทงั หมดทีใชใ้ นการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนนี 4.13 0.57 มาก 2. ระยะเวลาของแต่ละกิจกรรมในรูปแบบการเรียนการสอน 4.28 0.79 มาก 3. รูปแบบการเรียนการสอนนีนาํ เทคโนโลยมี าใชไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี 4.15 0.74 มาก 4. บรรยากาศในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4.50 0.52 มาก 5. สามารถเขา้ เรียนไดต้ ลอดเวลา 4.30 1.09 มาก 6. สามารถทบทวนเนือหาไดต้ ลอดเวลา 4.75 0.62 มากทีสุด ด้านการนําเสนอเนือหา 4.45 0.67 มาก 1. คาํ อธิบายเขา้ ใจง่ายและชดั เจน 4.42 0.52 มาก 2. ลาํ ดบั การนาํ เสนอเนือหาเป็นลาํ ดบั ขนั ตอน 4.92 0.41 มากทีสุด 3. ปริมาณเนือหาในแต่ละบทเรียนมคี วามเหมาะสม 3.75 1.14 มาก 4. การดาํ เนินเรืองมคี วามน่าสนใจ 4.67 0.38 มากทีสุด 5. แบบทดสอบมีความเหมาะสม สามารถประเมนิ ผลไดท้ นั ที 4.50 0.88 มาก ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ของบทเรียนและเวบ็ ไซต์ 4.31 0.68 มาก 1. ความน่าสนใจโดยรวมของบทเรียน 4.33 0.45 มาก 2. โสตทศั นูปกรณ์อาํ นวยความสะดวกในการเรียนรู้ 3.68 0.98 มาก 3. การติดต่อสือสารระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผดู้ แู ลระบบ 4.20 0.77 มาก 4. การเขา้ สู่เวบ็ ไซตไ์ ดร้ วดเร็ว 4.42 0.52 มาก 5. เนือหามคี วามชดั เจน อา่ นง่าย เขา้ ใจง่าย 4.58 0.72 มากทีสุด 6. ความสะดวกรวดเร็วในการเชือมโยงเวบ็ เพจในแต่ละหนา้ 4.04 1.17 มาก 7. การใหข้ อ้ มลู ป้ อนกลบั รวดเร็ว ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย 4.75 0.45 มากทีสุด 8. การดาํ เนินเนือหามีความกระชบั ไมส่ บั สน 3.75 0.87 มาก 9. ความเหมาะสมของตวั หนงั สือ และภาพ 4.50 0.52 มาก
77 ความพึงพอใจ ค่าเฉลีย S.D. ระดบั 10. ความเหมาะสมของกราฟิ ก (N = 46) ความพึงพอใจ ผลเฉลยี รวม 4.83 0.39 มากทีสุด 4.37 0.69 มาก จากตารางที 5 กลุ่มตวั อย่างทีเป็ นนิสิตวิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสังคม จาํ นวนทงั สิ น 46 คน ทีเรียน รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษยต์ ่อสือบทเรียนอีเล็กทรอนิกส์ มีความพึงพอใจใน ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก มีค่าเฉลียที 4.37 เมือพจิ ารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ดา้ นรูปแบบการเรียนการสอน มคี วามพึงพอใจในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก มีค่าเฉลียที 4.35 เมือพิจารณา เป็นรายขอ้ พบว่า ความพงึ พอใจสูงทีสุด คือ สามารถทบทวนเนือหาไดต้ ลอดเวลา มีค่าเฉลยี ที 4.75 รองลงมา คือ บรรยากาศในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มคี ่าเฉลียที 4.50 ดา้ นการนาํ เสนอเนือหา มีความพึงพอใจในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก มคี ่าเฉลียที 4.45 เมือพิจารณาเป็ นราย ขอ้ พบว่า ความพึงพอใจสูงทีสุด คือ ลาํ ดบั การนาํ เสนอเนือหาเป็นลาํ ดบั ขนั ตอน มีค่าเฉลียที 4.92 รองลงมา คือ การดาํ เนินเรืองมีความน่าสนใจ มีค่าเฉลียที 4.67 ดา้ นกิจกรรมการเรียนรู้ของบทเรียนและเวบ็ ไซต์ มคี วามพึงพอใจในภาพรวมอย่ใู นระดบั มาก มีค่าเฉลียที 4.31 เมือพิจารณาเป็ นรายขอ้ พบว่า ความพึงพอใจสูงทีสุด คือ ความเหมาะสมของกราฟิ ก มีค่าเฉลียที 4.83 รองลงมา คือ การใหข้ อ้ มลู ป้ อนกลบั รวดเร็ว ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย มคี ่าเฉลยี ที 4.75
78 บทที 5 สรุปผล อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ การวิจยั เรืองนีเป็ นการวิจยั และพฒั นา (Research and Development) มีวตั ถุประสงค์เพือพฒั นาสือ บทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์: กายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ เพือใหน้ ิสิตสามารถเรียนรู้ไดอ้ ยา่ ง ต่อเนือง และมีอิสระในรูปแบบการเรี ยนรู้ด้วยตนเอง ทังนีจุดมุ่งหมายทีสําคัญคือการได้สือบทเรี ยน อิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทีมีประสิทธิภาพและตรงกบั ความ ตอ้ งการของผเู้ รียน วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั การวจิ ยั เพือพฒั นาสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ มวี ตั ถปุ ระสงคด์ งั นี 1. เพอื จดั ทาํ สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ (e–learning) รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของ มนุษย์ นาํ เสนอผา่ นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพือศกึ ษาผลสมั ฤทธิทางการเรียนของนิสิตวิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสังคมทีเรียนผ่านสือบทเรียน อิเลก็ ทรอนิกส์ (e-learning) รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ 3. เพอื ศึกษาความพงึ พอใจของนิสิต วิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ที มตี ่อการใชบ้ ทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e–learning) รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ สมมตฐิ านการวจิ ยั บทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e–learning) รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ทีผวู้ ิจยั ไดพ้ ฒั นาขึน มีประสิทธิภาพ โดยมีความสมั พนั ธร์ ะหว่างคะแนนทีไดจ้ ากการทาํ แบบฝึกหดั ระหว่างบทเรียน กบั คะแนนทีไดจ้ ากการทาํ แบบฝึกหดั หลงั เรียน เมือนาํ ผลคะแนนทีไดม้ าเปรียบเทียบและหาประสิทธิภาพไดต้ าม เกณฑ์ 80/80 เครืองมอื ทใี ช้ในการวจิ ยั เครืองมอื ทีใชใ้ นการดาํ เนินการวจิ ยั ครังนี มี 2 ประเภท คือ 1. เครืองมอื ทีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ 1.1 แบบประเมนิ สือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 1.2 แบบประเมินความพงึ พอใจของผเู้ รียน
79 1.3 แบบทดสอบผลสมั ฤทธิทางการเรียน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด 4 ตวั เลือก จาํ นวน 40 ขอ้ ทีมีการหาค่าความเทียงตรงตามเนือหา (IOC) ค่าความยากง่าย ( p ) ค่าอาํ นาจจาํ แนก ( r ) และค่าความ เชือมนั ทงั ฉบบั เพอื ใชใ้ นการวดั ความรู้ก่อนเรียน และหลงั เรียน 2. เครืองมอื ทใี ช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ 2.1 แผนการจดั การเรียนรู้ ทีมีรูปแบบการเรียนดว้ ยสืออิเล็กทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และ สรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ 2.2 สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ สาํ หรับนิสิต ระดบั ปริญญาตรี วิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ เครืองมือทีผวู้ ิจยั ไดส้ ร้างขึน โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาํ เร็จรูป ใชเ้ วลาในการเรียน 4 คาบ คาบละ 60 นาที วธิ ีดาํ เนนิ การวจิ ยั ผวู้ จิ ยั ไดก้ าํ หนดขนั ตอนในการดาํ เนินการวิจยั และพฒั นาสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ดงั นี ขนั ตอนที 1 การสร้างและพฒั นาสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษย์ ขนั ตอนที 2 การตรวจคุณภาพของเครืองมอื ทีใชใ้ นการวจิ ยั ขนั ตอนที 3 การทดลองใชบ้ ทเรียนและการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ขนั ตอนที 1 การสร้างและพฒั นาสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ ผวู้ จิ ยั ไดแ้ บ่งขนั ตอนในการสร้างและพฒั นาสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา พนื ฐานของมนุษย์ ตามขนั ตอนดงั นี 1. ศึกษาเอกสารตาํ ราบทความงานวิจยั ทงั ในและต่างประเทศเกียวกบั หลกั การพืนฐานและทฤษฎีที เกียวขอ้ งกบั การเรียนดว้ ยสือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ และ ความพงึ พอใจของผเู้ รียนโดยมีขนั ตอนดงั นี 1) ศึกษาหลกั ของการใชส้ ือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 2) การออกแบบบทเรียน ประกอบดว้ ย 2.1) การวเิ คราะหเ์ นือหา (content analysis) ในขนั นีเป็นการวิเคราะห์คาํ อธิบายรายวิชา “กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย”์ แผนการเรียนการสอน เพือ การจดั ลาํ ดบั เนือหา และเลอื กสือทีจะนาํ มาประกอบบทเรียน
80 2.2) กาํ หนดวตั ถุประสงคข์ องบทเรียน (objective) เพอื กาํ หนดสิงทีคาดหวงั เมอื ผเู้ รียน เรียนจบบทเรียนแลว้ อยา่ งเป็นรูปธรรม 2.3) กาํ หนดเนือหาและกิจกรรม (content and activity) จะประกอบไปดว้ ยภารกิจของ การกําหนดเนือหา กิจกรรมการเรียน และแนวคิดตามวัตถุประสงค์ทีตังไว้ ปฏิบตั ิการจดั ลาํ ดบั เนือหา กาํ หนดความสมั พนั ธข์ องเนือหาภายในบทเรียนและ ระหว่างบทเรียน 2.4) การกาํ หนดวิธีการนาํ เสนอ (scenario) เป็นการระบุวิธีการนาํ เสนอทงั ในภาพรวม ของบทเรียนและในแต่ละหน่วย 3) การสร้างภาพร่าง ของบทเรียนเป็นขนั ของการเขียนแบบแผนของบทเรียนแต่ละบท ซึงจะ ประกอบดว้ ยเนือหา รายละเอียดดา้ นตวั หนังสือ ภาพ เสียง ความเชือมโยงของส่วนต่าง ๆ ในบทเรียน 4) การสร้างบทเรียน ดาํ เนินการสร้างบทเรียนตามทีออกแบบไว้ 5) ทดสอบการทาํ งานของโปรแกรม 6) จดั เกบ็ โปรแกรมทงั หมดไวใ้ นแผน CD-R 7) จดั ทาํ คู่มือประกอบการใชบ้ ทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 8) พฒั นาสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ ขนั ตอนที 2 การตรวจคุณภาพของเครืองมอื ทีใช้ในการวจิ ยั ผวู้ ิจยั ไดแ้ บ่งขนั ตอนในการตรวจคุณภาพของเครืองมือทีใชใ้ นการวิจยั สืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากาย วิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ ตามขนั ตอนดงั นี 1. การตรวจสอบคุณภาพของสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของ มนุษย์ โดยสร้างแบบประเมินคุณภาพของสือ โดยผเู้ ชียวชาญ เพือประเมินหาคุณภาพของสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ในดา้ นความเหมาะสมและความสอดคลอ้ งของสือ ก่อนนาํ ไปใช้ 2. การตรวจสอบคุณภาพของแบบวดั ผลสัมฤทธิของสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ โดยผเู้ ชียวชาญเพือหาความเชือมนั ของแบบทดสอบ ความยากง่าย และอาํ นาจ จาํ แนกของแบบทดสอบ ทังนีเพือเป็ นการตรวจสอบว่าแบบทดสอบทีนําไปใช้มีคุณภาพและสอดคลอ้ ง วตั ถปุ ระสงค์
81 3. การตรวจสอบคุณภาพของแบบสาํ รวจความพึงพอใจของผเู้ รียนทีมีต่อสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวิชา กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ ในขันตอนการสร้างแบบสํารวจ การตรวจสอบความ เหมาะสมของแบบสาํ รวจ และการตรวจสอบความเชือมนั ของแบบสาํ รวจโดยผเู้ ชียวชาญ ขันตอนที 3 การทดลองใช้บทเรียนและการวเิ คราะห์ข้อมลู ผวู้ ิจยั แบ่งขนั ตอนการทดลองใชบ้ ทเรียนและการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ตามวตั ถุประสงคท์ ีตงั ไว้ คือ การ ตรวจสอบประสิทธิภาพสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ การ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสมั ฤทธิทางการเรียนก่อนและหลงั การใชส้ ือของผเู้ รียน และการสาํ รวจ ความพงึ พอใจของผเู้ รียน ทีมีต่อการใชส้ ืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษย์ โดยมีรายละเอยี ดดงั นี 1. การตรวจสอบคุณภาพของสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษย์ เป็นขนั ตอนการดาํ เนินการหาประสิทธิภาพของสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา พืนฐานของมนุษย์ เพือใหไ้ ดต้ ามเกณฑ์ 80/80 โดยนาํ สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ทีสร้างขึนไปทดลองใชก้ บั กลุ่มตวั แทน ตัวอย่างซึงได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม จํานวน 32 คน ภาคเรี ยนที 1 ปี การศึกษา 2555 มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวโิ รฒ ทีตอ้ งศกึ ษาการใชอ้ นิ เตอร์เน็ต รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์โดย แบ่งกลุม่ เป็นกล่มุ ขนาดต่างกนั ไดแ้ ก่ กล่มุ ผเู้ รียนแบบเดียว จาํ นวน 3 คน การทดลองกบั กลุ่มผเู้ รียนแบบกลุ่ม ย่อย จาํ นวน 9 คน และการทดลองกบั ผเู้ รียนภาคสนาม จาํ นวน 20 คน ตามลาํ ดบั และใชแ้ บบทดสอบวดั ผล สมั ฤทธิทางการเรียนและแบบฝึกหดั ภายในบทเรียนเป็นเครืองมอื ทีใชใ้ นการหาประสิทธิภาพ 2. การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบผลสมั ฤทธิของสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาค ศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ เพอื เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งผลสมั ฤทธิทางการเรียนก่อนและ หลงั การใชส้ ือ โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากคะแนนการทาํ แบบทดสอบก่อนและหลงั การเรียนของกลมุ่ ตวั อยา่ ง จาํ นวน 46 คน 3. การสาํ รวจความพึงพอใจของผเู้ รียนทีมีต่อสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และ สรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษย์ เพือตรวจสอบความเหมาะสมของบทเรียนว่าสามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการ ของผเู้ รียนไดต้ รงตามจุดประสงคห์ รือไม่ ผเู้ รียนมีความพงึ พอใจต่อบทเรียนมากหรือนอ้ ยเพียงใด โดยเก็บขอ้ มลู กลุ่มตวั อยา่ ง จาํ นวน 46 คน ซึงเก็บขอ้ มลู หลงั จากสินสุดการเรียนการสอนโดยใชส้ ืออิเลก็ ทรอนิกส์
82 สรุปผลการวจิ ยั จากการดาํ เนินการวิจยั และพฒั นาสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวภิ าคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของ มนุษย์ ตามขนั ตอนทีไดว้ างแผนไว้ สามารถสรุปผลการวิจยั ไดด้ งั นี 1. การตรวจสอบคุณภาพของสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐาน ของมนุษยท์ ีผวู้ จิ ยั สร้างขึน จากผลการวจิ ยั เชิงทดลอง จาํ นวน 3 ครัง พบว่า การทดลองครังที 1 สือบทเรียน อิเล็กทรอนิกส์มีประสิทธิภาพเท่ากบั 81.25/83.33 การทดลองครังที 2 สือบทเรี ยนอิเล็กทรอนิกส์มี ประสิทธิภาพเท่ากบั 84.17/90.69 และการทดลองครังที 3 สือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์มีประสิทธิภาพเท่ากบั 85.50/91.00 และเป็นไปตามสมมติฐานทีตงั ไว้ 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรียนของนิสิตชนั ปี ที 2 วิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสังคม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ เมือใชส้ ือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพืนฐานของ มนุษย์ จากผลการวิจยั พบว่า ในแต่ละหน่วยการเรียนและรวมหน่วยการเรียนทงั หมด นิสิตในกลุ่มตวั อย่างมี คะแนนเฉลียหลงั ใชส้ ือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์สูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 3. การสาํ รวจความพึงพอใจของผเู้ รียนทีมีต่อสือบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์: กายวิภาคศาสตร์และ สรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์ จากผลการวจิ ยั พบว่า ผเู้ รียนมีความพึงพอใจต่อสืออย่ใู นเกณฑร์ ะดบั มาก และ พบว่าผเู้ รียนมีความพึงพอใจระดับมากในทุก ๆ ดา้ น โดยมีคะแนนรวมเรี ยงจากมากไปน้อย ไดแ้ ก่ ดา้ น กิจกรรมการเรียนรู้ของบทเรียนและเว็บไซต์ ดา้ นการนําเสนอเนือหา และดา้ นรูปแบบการเรียนการสอน ตามลาํ ดบั อภิปรายผล จากการดาํ เนินการวจิ ยั และพฒั นาสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพนื ฐานของ มนุษย์ เป็ นการจดั การเรียนรู้เพือให้นิสิตสามารถเรียนรู้ไดต้ ลอดเวลา สามารถทบทวนเนือหาทีเรียน และ ประเมินผลการเรียนของตนเองจากการทาํ แบบทดสอบ พร้อมไดผ้ ลป้ อนกลบั ทนั ที ซึงจากการวิจยั สามารถ อภิปรายผลได้ ดงั นี 1. การตรวจสอบคุณภาพของสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษย์ทีผวู้ ิจัยสร้างขึน จากผลการวิจัยเชิงทดลอง จาํ นวน 3 ครัง พบว่า บทเรียนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.25/83.33, 84.17/90.69 และ 85.50/91.00 ตามลาํ ดบั ซึงเป็นไปตามสมมติฐานทีตงั ไว้ ทงั นีสามารถอภิปรายได้ ว่า สืออิเล็กทรอนิกส์ทีใชน้ ันเป็ นสือทีมีคุณภาพ เอือต่อการพฒั นาคุณภาพผเู้ รียน โดยเน้นผูเ้ รียนเป็ นสาํ คญั สนองความแตกต่างในความสามารถ ส่งเสริมการเรียนรู้จากการปฏิบตั ิจริง ช่วยให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้และพฒั นา ความสามารถไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ นื อยา่ งต่อเนือง ซึงมีผลต่อการเกิดพฤติกรรมทีพึงประสงค์
83 ตามทีผสู้ อนไดต้ งั ไว้ (เขมณัฏฐ์ มิงศิริธรรม, 2552) สอดคลอ้ งกบั Mager (1975) กล่าวถึงองค์ประกอบทีดีของ วตั ถุประสงคก์ ารเรียนว่ามี 3 ประการ คือ จะตอ้ งบ่งบอกพฤติกรรมชดั เจน บ่งบอกสภาพแวดลอ้ มและพฤติกรรม ทีทาํ ใหเ้ กิดเงือนไขนนั และเกณฑใ์ นการประเมินพฤติกรรมนนั ๆ เพอื ใหค้ รูสามารถประเมินผลหลงั การสอนว่า นกั เรียนรู้หรือไม่ ซึงจะช่วยใหค้ รูประเมนิ ผลหลงั การสอนวา่ นกั เรียนเรียนรู้หรือไม่ เนืองจากวตั ถุประสงคเ์ ชิง พฤติกรรมเป็ นสิงทีช่วยสือความหมายใหก้ บั ผเู้ รียนทราบว่า ครูตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้อะไรบา้ งหลงั จากจบ บทเรียนแลว้ และผสู้ อนก็ทราบว่าผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากการสังเกตการเปลียนพฤติกรรมของผเู้ รียน (กนกพร ฉนั ทนารุ่งภกั ดิ, 2548) 2. จากการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิทางการเรียนของนิสิตวิทยาลยั นวตั กรรมสือสารสังคม มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ เมือใชส้ ืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษย์ โดย เปรียบเทียบระหวา่ งผลสมั ฤทธิทางการเรียนก่อนและภายหลงั การเรียน จากผลการวิจยั พบวา่ ในแต่ละหน่วยการ เรียนและรวมหน่วยการเรียนทงั หมด นิสิตในกลุ่มตวั อย่างมีคะแนนเฉลียหลงั ใชส้ ืออิเลก็ ทรอนิกส์สูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทีระดบั .05 ซึงเป็ นไปตามสมมติฐานทีตงั ไว้ ทังนีสามารถอภิปรายได้ว่า ผลสมั ฤทธิทางการเรียนทีเกิดขึน เกิดจากการออกแบบสืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา พืนฐานของมนุษยท์ ีมีเนือหาและรูปแบบการนาํ เสนอทีสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รียน โดยการสร้าง ความรู้โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเป็ นการเรียนทีเปิ ดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้โดยไม่จาํ กดั ตอ้ งอยแู่ ต่เพียง หอ้ งเรียน (สถานที) หรือเวลา (ผเู้ รียนผสู้ อนไม่จาํ เป็นตอ้ งอยพู่ ร้อมกนั ) สามารถเขา้ ถงึ ผเู้ รียนกลุ่มใหญ่แต่มคี วาม เฉพาะเป็ นรายบุคคลได้ สามารถออกแบบใหน้ ่าสนใจ มีประสิทธิภาพดว้ ยคุณสมบตั ิของเทคโนโลยใี หค้ วาม ยดื หยนุ่ แก่ผเู้ รียน (ใจทิพย์ ณ สงขลา, 2548) การจดั การเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตถือไดว้ ่าเป็ นการเรียนรูปแบบใหม่ทีใชเ้ ครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นช่องทางในการถา่ ยทอดเนือหา เป็นเครืองมอื ในการเขา้ ถงึ ขอ้ มูลข่าวสารและเป็ นเครืองมือในการสร้างองค์ ความรู้ ส่งเสริ มการเรี ยนร่วมกัน มีบทบาทในการสร้างแรงจูงใจให้ผเู้ รียนใฝ่ รู้ตลอดเวลา พัฒนาทักษะ กระบวนการคิด อีกทงั ยงั พฒั นาความมีวินยั ในตนเองและการรับรู้ความสามารถของตนเอง (Beisser, 2000; Sage, 2000; เขมณัฏฐ์ มิงศิริธรรม, 2552) ซึงสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ Curtis และ Lawson (1999) ศึกษาถึง ปฏิสมั พนั ธใ์ นการเรียนรู้ร่วมกนั บนเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ของนิสิตในระดบั อุดมศึกษาว่า ปฏิสมั พนั ธท์ ีเกิดขึน จะมีคุณภาพและประสิทธิภาพในการเรียนรู้เป็นอยา่ งไร ซึงศกึ ษาจากกิจกรรมการเรียนโดยดูจาก การปฏิบตั ิงาน ทีมอบหมาย การอภิปราย การร่วมมือในการเรียน เนน้ การศึกษาปฏิสมั พนั ธจ์ ากการเรียนในแบบไม่ประสาน เวลา ผลการวิจยั พบว่า พฤติกรรมการวางแผน การมีส่วนร่วม และการคน้ หาขอ้ มูล เกิดขึนเฉลียอยใู่ นระดับ เดียวกนั แต่การมีปฏิสัมพนั ธ์กบั สงั คมอยใู่ นระดบั ตาํ นกั เรียนสามารถใช้ e-mail และBulletinboard ในการ
84 ทาํ งานร่วมกนั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ แต่ปรากฏว่านักเรียนชอบใชก้ ารสนทนาแบบไม่ประสานเวลา มากกว่า แบบประสานเวลา ถงึ แมว้ า่ จะตอ้ งมีการตกลงนดั หมายกนั ในเรืองเวลา ส่วนในดา้ นความรู้สึกลกึ ๆ ของนกั เรียน พบวา่ เป็นการลาํ บากใจทีจะตอ้ งสือสารกบั คนทีไมร่ ู้จกั และไม่เคยพบหนา้ และมปี ัญหาเรือง ความล่าชา้ ในการ สือสารขอ้ มลู แต่ทาํ ใหเ้ กิดความไวว้ างใจกนั และกนั ในการร่วมกนั ทาํ งานกลมุ่ อกี ทงั สามารถพฒั นาทกั ษะในการ ทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ืน และงานวิจยั ของ Butler (1996) ศึกษาการใชเ้ วบ็ ในการสนบั สนุนการเรียนการสอนดว้ ย กรณีศกึ ษาโดยยกสงั เคราะห์กรอบแนวคิดโครงสร้างในการใชเ้ วบ็ ในการเรียนการสอนในหอ้ งเรียนทีไดจ้ ากการ รวบรวมกรณีศึกษาหลายๆกรณี นาํ มาสรุปเป็นกรอบแนวคิดในการใชเ้ วิลด์ ไวดเ์ วบ็ ในการสอนดว้ ยกรณีศึกษา เป็ น 3 แนวทาง คือ 1) เว็บเป็ นเครื องมือสําหรับนาํ ข้อมูลภายนอกเข้าสู่ห้องเรียน คือ การนาํ ข้อมูลจาก แหลง่ ขอ้ มลู ภายนอกเขา้ สู่หอ้ งเรียนแบบทางไกล 2) เป็ นเครืองมือสนับสนุนกิจกรรมภายในหอ้ งเรียน คือ การ จดั การข้อมูลและจัดกิจกรรมในห้องเรียน และ 3) เป็ นเครืองมือเปิ ดห้องเรียนสู่โลกภายนอก ได้แก่ การ ติดต่อสือสารกบั ผเู้ รียนในสถาบนั อืน ๆ คุยกบั ผสู้ อนและผเู้ ชียวชาญภายนอกสถาบนั จากเหตุผลทีกล่าวมานัน สามารถสรุปไดว้ ่าสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และ สรีรวิทยาพนื ฐานของมนุษยท์ าํ ใหผ้ เู้ รียนมผี ลสมั ฤทธิทางการเรียนทีดีขึน 3. จากการสาํ รวจความพึงพอใจของผเู้ รียนทีมีต่อสืออิเล็กทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และ สรีรวทิ ยาพืนฐานของมนุษย์ พบว่า ผเู้ รียนมคี วามพงึ พอใจต่อสืออยใู่ นเกณฑร์ ะดบั มาก และพบวา่ ผเู้ รียนมคี วาม พึงพอใจระดบั มากในทุกๆดา้ น โดยมีคะแนนรวมเรียงจากมากไปน้อย ไดแ้ ก่ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ของ บทเรียนและเวบ็ ไซต์ ดา้ นการนาํ เสนอเนือหา และดา้ นรูปแบบการเรียนการสอน ตามลาํ ดบั ซึงสอดคลอ้ งกบั กาญจนา ภูริปัญญวานิช (2552) ไดศ้ กึ ษาเรือง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรียนและความพึงพอใจของ นักเรียนทีเรียนดว้ ยบทเรียนแบบ e-Learning โดยใชโ้ ปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุดการเรียนรู้ดว้ ย ตนเอง สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนกั เรียนชนั มธั ยมศึกษาปี ที 6 ผลการวิจยั พบว่า ความพึง พอใจของนกั เรียนทีมตี ่อการเรียนดว้ ยบทเรียนแบบ e-Learning โดยใชโ้ ปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุด การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เฉลียของผเู้ รียนทงั สองกลุ่มอยใู่ นระดบั มาก จึงสามารถอภิปรายไดว้ ่า สืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของมนุษยม์ ีผลทาํ ให้ผูเ้ รียนมีความสนใจการเรียนมากขึน ตอบสนองต่อการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และเรียนรู้อย่างเป็ นอิสระ สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของ กนกพร ฉันทนา รุ่งภกั ดิ (2548) กล่าวว่า การเรียนการสอนบนเวบ็ แบบผสมผสาน ทาํ ให้ผเู้ รียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ เนืองจากเป็ นสิงทีแปลกใหม่ เป็ นสือการเรียนการสอนทีผเู้ รียนทุกคนไดม้ ีโอกาสเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรียนรู้ ซึงแตกต่างจากการเรียนการสอนในชนั เรียนปกติ จึงส่งผลให้ผเู้ รียนทีไม่ค่อยมีโอกาส แสดงออกในการเรียนการสอนในชนั เรียนปกติ มีส่วนร่วมในการจดั การเรียนการสอนมากขึน
85 ข้อเสนอแนะ จากการดาํ เนินการวจิ ยั เพอื พฒั นาสืออิเลก็ ทรอนิกส์ รายวชิ ากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาพืนฐานของ มนุษยใ์ นครังนี ผวู้ จิ ยั มขี อ้ เสนอแนะดงั นี ข้อเสนอแนะในการนําผลวจิ ยั ไปใช้ 1. การนาํ รูปแบบทีพฒั นาขึนไปใชใ้ นการเรียนการสอน ผสู้ อนควรมีการกระตุน้ ให้ผเู้ รียนทุกคนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนใหม้ ากทีสุด 2. เพือเป็ นประโยชน์ในการนาํ รูปแบบการเรียนบนเว็บไปใช้ จะตอ้ งมีการปรับปรุงหรือประยุกต์ รูปแบบให้เหมาะสมกบั เนือหาวิชานัน ๆ และสอดคลอ้ งกับการเรียนการสอนทีตอ้ งการยึดผเู้ รียนเป็ นสาํ คญั ขนั ตอนต่าง ๆ สามารถปรับเปลียนใหม้ ีความยืดหยุ่นกบั เนือหาและระยะเวลา แต่ไม่ควรเกิน 1-2 สัปดาห์ เนืองจากการทาํ กิจกรรมเป็ นการเรียนทีเน้นเทคโนโลยีสารสนเทศเป็ นฐาน ผสู้ อนและผเู้ รียนจะตอ้ งมีทกั ษะ ความสามารถทางคอมพวิ เตอร์และการใชบ้ ริการบนอินเทอร์เน็ต หากไมม่ คี วามชาํ นาญอาจทาํ ใหเ้ กิดความล่าชา้ ในการเรียนรู้ 3. ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะตอ้ งมีความเร็วทีเพียงพอสาํ หรับเขา้ ถึงขอ้ มลู ไฟล์ขนาดใหญ่ การ ดาวนโ์ หลดขอ้ มลู และการโตต้ อบทีทนั ต่อกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการเขา้ สืบคน้ ขอ้ มลู เวบ็ ไซต์ และกิจกรรมที ตอ้ งเชือมต่อ หากขาดช่วงหรือเกิดขอ้ ขดั ขอ้ งจะทาํ ใหเ้ กิดการใชง้ านไม่ราบรืนได้ ข้อเสนอแนะสําหรับการวจิ ยั ครังต่อไป 1. ในการวิจยั ครังนี ผวู้ ิจยั ไดเ้ ปรียบเทียบผลสมั ฤทธิอย่างเดียว ในการวิจยั ครังต่อไป อาจลองพฒั นา รูปแบบการพฒั นาผเู้ รียนใหส้ อดคลอ้ งกบั กระแสการปรับเปลยี นทางสงั คมทีเกิดขึนในศตวรรษที 21 เช่น ทกั ษะ ในการสือสาร ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ 2. ควรมกี ารพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์การสอนบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในรายวิชาอืน ๆ ของ นิสิตวทิ ยาลยั นวตั กรรมสือสารสงั คม มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒต่อไป 3. ควรมกี ารทดลองใชร้ ูปแบบนีกบั นิสิตทีมีผลสมั ฤทธิทางการเรียนแตกต่างกนั เพือนาํ มายนื ยนั ความ เป็นไปไดข้ องรูปแบบการเรียนแบบนี 4. ควรมกี ารศกึ ษารูปแบบของสิงแวดลอ้ มหรือการจดั สิงแวดลอ้ มทีเอือต่อการเรียนเชิงบูรณาการ เช่น การเรียนรู้ร่วมมอื กบั การเรียนรู้ร่วมกนั และเออื ต่อการส่งเสริมการเรียนตามทกั ษะทางปัญญา
86 รายการอ้างองิ กนกพร ฉนั ทนารุ่งภกั ดิ.(2548).การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนบนเวบ็ แบบผสมผสานด้วยการเรียนการ สอนแบบร่ วมมือในกล่มุ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนชันประถมศึกษาตอนปลาย.วทิ ยานิพนธ์ ปริญญามหาบณั ฑิต. สาขาวชิ าโสตทศั นศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . กาญจนา ภรู ิปัญญวานิช. (2552). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียน ทีเรียนด้วยบทเรียนแบบ e-Learning โดยใช้โปรแกรม Moodle และบทเรียนแบบชุดการเรียนรู้ ด้วย ตนเอง สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา หน่วยวยั ใสวัยเรา หนุ่มสาวสดชืน ของนักเรียน ชัน มธั ยมศึกษาปี ที 6. โรงเรียนชะอาํ คณุ หญิงเนืองบุรี สาํ นกั งานเขตพนื ทีการศกึ ษาเพชรบรุ ีเขต 2. เขมณัฏฐม์ ิงศิริธรรม.(2552). การพัฒนารูปแบบการเรียนบนเวบ็ เชิงบรู ราการระหว่างการเรียนแบบร่ วมมอื กบั การเรียนร่วมกันเพือส่งเสริมการเรียนด้วยการนาํ ตนเองของนักศึกษาระดบั ปริญญาบณั ฑิต คณะ ศึกษาศาสตร์ . วทิ ยานิพนธป์ ริญญาดุษฎีบณั ฑติ . สาขาวชิ าเทคโนโลยแี ละสือสารการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . จินตวรี ์ คลา้ ยสงั ข์ และ ประกอบ กรณีกจิ . (2552). Pedagogy-based Hybrid Learning: จากแนวคิดสู่การปฏิบตั ิ. วารสารครุศาสตร์ . ปี ที 38 ฉบบั ที 1 (กรกฎาคม-ตุลาคม 2552). หนา้ 93-108. จินตวรี ์ คลา้ ยสงั ข.์ (2554). การพฒั นารูปแบบการเรียนอีเลิร์ นนิงแบบผสมผสานศาสตร์ การสอนตามแนวทาง คอนสตรัคติวิสต์ด้วยเครืองมอื ทางปัญญาเพือเสริมสร้ างการสร้ างความรู้ของผ้เู รียนในระดบั อดุ มศึกษา. กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . (อยใู่ นระหว่างดาํ เนินการวจิ ยั ) จินตวรี ์ คลา้ ยสงั ข.์ (2553). โครงการวิจัยรูปแบบเวบ็ ไซต์และรูปแบบบทเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์ทีเหมาะสมสาํ หรับ การเรียนการสอนแบบอีเลริ ์ นนิงในระดับอดุ มศึกษา. สาํ นกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. จินตวรี ์ คลา้ ยสงั ข.์ (2553). โครงการวิจัยผลของการเรียนแบบผสมผสานทีใช้คอร์ สแวร์ ในรูปแบบทีต่างกันทีมี ต่อผลสัมฤทธิทางการเรียนรู้ในผ้เู รียนระดับบณั ฑิตศกึ ษาทีมรี ะดบั ความสามารถทางการเรียนรู้ต่างกนั ในรายวิชาโปรแกรมการเรียนการสอนผ่านเวบ็ ขนั นาํ . ทนุ วิจยั คณะครุศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . จินตวรี ์ คลา้ ยสงั ข.์ (2553). เอกสารประกอบการสอนวิชาการออกแบบเวบ็ ไซต์อีเลิร์ นนิง. หลกั สูตรผ้เู ชียวชาญ อีเลริ ์ นนิง. โครงการมหาวทิ ยาลยั ไซเบอร์ไทย สาํ นกั งานคณะกรรมการอุดมศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ. จินตวรี ์ คลา้ ยสงั ข.์ (2553). เอกสารประกอบการสอนวิชาการออกแบบคอร์ สแวร์ อีเลิร์ นนิง. หลกั สูตรผ้เู ชียวชาญ อีเลริ ์ นนิง. โครงการมหาวทิ ยาลยั ไซเบอร์ไทย สาํ นกั งานคณะกรรมการอุดมศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ.
87 จินตวรี ์ มนั สกลุ . (2551). รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบอีเลิร์ นนิงในระดับอุดมศึกษา. วารสาร ครุศาสตร์ ปี ที 37 ฉบบั ที 3. จินตวรี ์ มนั สกลุ . (2552). เอกสารประกอบการบรรรยายเรือง“รูปแบบการสอนเชิงบรู ณาการในระบบ Hybrid”. ณ มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย วนั ที 25 มนี าคม 2552 จินตวรี ์ มนั สกลุ . (2551). อีเลิร์ นนิงกบั การศึกษาไทยในยคุ ICT: การประยกุ ต์ใช้กระดานสนทนาอิเลก็ ทรอนิกส์ ร่ วมกับแนวคิดหมวกความคิดหกใบ. ในพมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ รัชนีกร หงสพ์ นสั ปราวณี ยา สุวรรณณัฐ โชติ บรรณาธิการ, ประมวลบทความกลยทุ ธพ์ ฒั นาการคิด: ภมู คิ ุม้ กนั ตนเอง. 141-158. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั พฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ. จินตวรี ์ มนั สกุล. (2551). โครงการการสังเคราะห์รูปแบบ เทคนิค วิธีการ กระบวนการ นวตั กรรมการจัดการ เรียนรู้เพือพัฒนาการคิดของผ้เู รียนระดับการศึกษาขนั พืนฐานทังในประเทศและต่างประเทศ(ช่วงขนั ที 2. ศนู ยพ์ ฒั นาการเรียนรู้และวชิ าชีพครู คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ร่วมกบั สาํ นกั งาน คณะกรรมการการศึกษาขนั พนื ฐาน จินตวรี ์ มนั สกุล. (2550). เอกสารประกอบการสอนวิชาโปรแกรมการเรียนการสอนผ่านเวบ็ ขนั นาํ . คณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . (เอกสารอดั สาํ เนา) ใจทิพย์ ณ สงขลา. (2547). การออกแบบการเรียนการสอนบนเวบ็ ในระบบการเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ใจทิพย์ ณ สงขลา. (2548).การออกแบบระบบการเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์. เอกสารคาํ สอน รายวชิ า 2708795. คณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . (อดั สาํ เนา) ชรินี เดชจินดา. (2535). ความพึงพอใจของผ้ปู ระกอบการต่อศูนย์กาํ จัดกากอตุ สาหกรรมแขวงแสมดาํ เขต บางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาสงั คมศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา สิงแวดลอ้ ม บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล. ฐิติชยั รักบาํ รุง. (2555). การเรียนรู้แบบผสมผสาน.วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั มหาสารคาม. ปี ที 9 ฉบบั ที 1 (16). (มกราคม-มิถนุ ายน). นฤมล สงั ขส์ ุนทร. (2552). พฤติกรรม และความพึงพอใจของนักศึกษามหาวิทยาลยั เชียงใหม่ทีมตี ่อการ เรียนการสอนในระบบอีเลิร์ นนิง (E-learning). รายงานในกระบวนวิชา 751409 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2542). คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน. กรุงเทพฯ: วงศก์ มล โปรดกั ชนั . ถนอม เลาหจรัสแสง. (2545). หลักการออกแบบและการสร้ างเว็บเพือการเรี ยนการสอน (Designing E- Learning). เชียงใหม:่ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่
88 นาํ พร อินสิน. (2555). บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเตอร์ เนต เรือง ร่ างกายของเรา. เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson6.php. คน้ เมือ วนั ที 31 พฤษภาคม 2555. บุญชู บุญลิขิตศิริ. (2548). ผลของรูปแบบการปฏิสัมพนั ธ์ทางการเรียนในการฝึ กอบรมโดย ใช้เกมเป็ นฐานบนเว็บทีมีต่อผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนของบุคลากรศูนย์ฝึ กอบรมและควบคุมระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร. วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต, สาขาวชิ าโสตทศั นศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ปัณฑิตพันธุ์ พึงจิตร. (2550). พฤติกรรมและความพึงพอใจของนักเรี ยนทีมีต่อการจัดบรรยากาศและ สิงแวดล้อมในโรงเรี ยน สังกัดสาํ นักงานเขตพืนทีการศึกษาพระนครศรี อยุธยา เขต 2. ปริญญา บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิตสาขาการจดั การทวั ไปมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา. ภนิดา ชัยปัญญา. (2541). ความพึงพอใจของเกษตรต่ อกิจกรรมไร่ นาสวนผสมภายใต้โครงการปรั บ โครงสร้ างและระบบการผลิตการเกษตรของจังหวัดเชียงราย.วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาส่งเสริมการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. รัตนา ทูลกลาง. (2546). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ และความพึงพอใจในการเรี ยนวิชานิทานพืนบ้าน ตาม หลักสูตรท้องถิน ของนักเรียน ชันมธั ยมศึกษาปี ที 3 ระหว่างการใช้บทเรียนวีดิทัศน์ รูปแบบละคร ทีใช้ ภาษาถินกับภาษากลาง. ปริ ญญาครุ ศาสตรมหาบัณฑิต เทคโนโลยีและสือสารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา. วรางคณา หอมจันทร์. (2542). ผลของโปรแกรมการเรี ยนการสอนผ่านเว็บแบบปิ ดและเปิ ด และระดับ ผลสัมฤทธิทางการเรียนทีมตี ่อผลสัมฤทธิทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนมัธยมศึกษาปี ที 2. วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต, สาขาวชิ าโสตทศั นศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . วิชุดา รัตนเพยี ร. (2542). การเรียนการสอนบนเวบ็ ขนั นาํ . คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . วิชุดา รัตนเพยี ร. (2545). การเรียนการสอนบนเวบ็ ชันนาํ . กรุงเทพฯ. ภาควชิ าโสตทศั นศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . วรี ะ ไทยพานิช. (2551). การเรียนการสอนบนเวบ็ . วารสารวิจัยรามคาํ แหง. (11)2, กรกฎาคม-ธนั วาคม. ศิริพร รักษว์ งษ์และคณะ. (2536). ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนการสอนในวิชาปัญหาสุขภาพ. กรุงเทพฯ : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. สมปอง เพชรโรจน์. (2549). การนาํ เสนอรูปแบบการเรียนการสอนบนเวบ็ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบสอบ เพือการแก้ปัญหาเชิงสร้ างสรรค์ เรืองภาวะมลพิษทางอากาศ สาํ หรับนิสิตปริญญาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต. สาขาวิชาโสตทศั นศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั .
89 สนั ทดั ทองรินทร์. (2542). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพ รูปแบบของปฏิสัมพันธ์และระดับของปฏิสัมพันธ์ ในการเรียนโดยใช้การประชุมทางคอมพิวเตอร์ ทีมผี ลต่อสัมฤทธิผลทางการเรียนของนักศึกษาระดับ บัณฑิตศึกษา. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาดุษฎีบณั ฑิต, สาขาวชิ าเทคโนโลยแี ละสือสารการศกึ ษา คณะครุ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั สุจิตรา เขียวศรี. (2550). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบสอบเวบ็ วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้การช่วย เสริมศักยภาพเพือพฒั นาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนมธั ยมศึกษาตอนต้น. วทิ ยานิพนธด์ ษุ ฎีบณั ฑิต. สาขาวิชาโสตทศั นศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สุภาลกั ษณ์ ชยั อนนั ต.์ (2540). ความพึงพอใจของเกษตรกรทีมีต่อโครงการส่งเสริมการปลกู มะเขือเทศแบบมี สัญญาผกู พันในจังหวัดลาํ ปาง. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม.,มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ สุรศกั ดิ ปาเฮ.(2555). ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที 21.สืบคน้ เมอื 18 ธนั วาคม 2555, จาก http://www.addkutec3.com. สาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2553). แผนพฒั นาการศึกษาแห่งชาติ.สืบคน้ เมอื 8 เมษายน 2555, จากhttp://www.sobkroo.com/img_news/file/A24973701.pdf หทยั รัตน์ ประทุมสูตร.(2542). ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของพยาบาลโรงพยาบาลชุมชนจังหวดั พิษณุโลก. วิทยานิพนธก์ ศ.ม., มหาวทิ ยาลยั นเรศวร . หลยุ จาํ ปาเทศ. (2533). จิตวิทยาสัมพนั ธ์. พมิ พค์ รังที 2. กรุงเทพฯ : สามคั คีสาสน์ . Ally, M. (2005). Foundations of education theory for online learning. In T.Anderson and F. Ellloumi. (eds.). Theory and practice of online learning. Retrieved 18 December 2012, from: http://www.cde.athabascau.ca/online_book. Beisser, S.R. (2000). Constructivist learning environment inviting computer technology for problem solving: New junctures for female student. Dissertation Abstracts International 6 (8) (February). Curtis, D.,and Lawson, M. (1999). Collaborative online learning: An exploratory case study. Proceedings HERDSA Annual International Conference. Melbourne, 12-15 July 1999. Retrieved 4 March 2012, from: http://www.herdsa.org.au/vic/cornerstones/ pdf/Curtis2.PDF. Garrison, S.J. (1996). Influence of metacognitive prompting on Learning within computer mediated problem sets. Doctoral Dissertation.Vanderbilt University. Dissertation Abstracts International. 57, 8 (February 1997) : 3390. Good, C.V. (1973). Dictionary of education. 3 rd ed. New York: McGraw-Hill.
90 Jonassen, D.H. (2007). Engaging and supporting problem solving in online learning. Online Learning Communities. 109-127. Retrieved 18 December 2012, from: http://books.google.com/books. Khan, B. H. (1997).Web-based instruction. Englewood Cliffs, NJ: Educational Technology Publications. Hannafin, M., Land, S. & Oliver, K. (1999). Open Learning Environments: Foundations, Methods, and Models, In: Instructional-Design Theories and Models: A New Paradigm of Instructional Theory. In C.M. Reigeluth (Ed.), Vol. 2, pp. 215-239. Hannum, W. (1910). Web based instruction lessons. [On-Line]. Available: http://www.soe.unc.edu/edci111/8- 100/index_wbi2.htm Huang, R. & Zhou, Y. (2005). Designing blended learning focused on knowledge category and learning activities. In Bonk, C. J. & Graham, C. R. (2006). The handbook of blended learning. San Francisco, CA: Pfeiffer. Mader, Sylvia S. (2004). Human Biology 4th. ed. : USA, Wm. C. Brown Communication Inc. Mager, R. (1975).Preparing Instructional Objectives (2nd Edition). Belmont, CA: Lake Publishing Co. Maslow, Abraham H. (1970). Motivation and Personality. 2nd ed. New York : Harper & Row Publishers Inc. Michael Beer. (1964 ). Human resource Management : a general manager’s perspective: text and case. New York : Free Press, Mohamed Ally. (2005). Mobile Learning. Athabasca University, Canada Morse,N.C. (1953). Satisfactions in the white-collar Job. New Your:arnopress. Partnership for 21st Century Skills.(2012). Framework for 21st Century Learning. Retrieved 18 December 2012, from: http://www.21st Centuryskills.org.pdf. Sage, S. (2000).A natural fit: problem-based learning and technology standards. Learning and Learning with Technology. 28: 6-12. Smith, H.C. (1966). Psychology of Industrial Behavior. New York: McGraw - Hill Book.
91 ภาคผนวก
92 ภาคผนวก ก. ตวั อย่างสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์: กายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์
93 ตวั อย่างสือบทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์: กายวภิ าคศาสตร์และสรีรวทิ ยาพนื ฐานของมนุษย์
94
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114