Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจิตรา เงินบาท

วิจิตรา เงินบาท

Published by วิทย บริการ, 2022-07-06 02:10:29

Description: วิจิตรา เงินบาท

Search

Read the Text Version

82 เพลงประกอบเดก็ เป็นบทร้องร้อยกรอง / คาคล้องจอง หรือบทปลอบเด็กสาหรับร้องปลอบเด็กร้องไห้โยเย บ่อยให้เงียบ และเกิดความเพลิดเพลิน เพลงปลอบเด็กนี้ จะต้องไห้เด็กฟังอย่างเดียวหรืออาจทา ทา่ ทางประกอบดว้ ยกไ็ ด้ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ 1. เพลง ไก่กกุ๊ ๆไก่ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง \"กุ๊กๆ ไก่ ก๊กุ ๆ ไก่ เล้ยี งลกู จนใหญ่ ไม่มนี มใหล้ ูกกนิ ลูกรอ้ งเจี๊ยบๆ แมก่ เ็ รยี กไปค้ยุ ดนิ ทามาหากนิ ตามประสาไกเ่ อย\" 2. เพลง จนั ทร์เอย๋ จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง “จนั ทร์เอ๋ยจันทร์เจา้ ผูกมือนอ้ งขา้ ขอเงนิ ทองแดง ให้น้องข้าข่ี ใหน้ ้องข้านั่ง ขอช้างขอมา้ ขอเกา้ อ้ี ให้นอ้ งขา้ นอน ใหน้ อ้ งขา้ ดู ขอเตยี งตง่ั เล้ยี งนอ้ งขา้ เถิด ขอละคร ขอยายชู เลีย้ งตัวข้าเอง” ขอยายเกดิ เพลงเด็กเล่น เป็นบทรอ้ ยกรอง หรือบทร้องเลน่ ของเดก็ ทเ่ี ป็นบทกลอนสัน้ ๆ ทานองงา่ ย ใหไ้ ด้ร้องเล่นเพื่อ ความสนุกสนาน หรือร้องล้อเลียนหยอกล้อกัน เนื้อความบางส่วนอาจไม่มีความหมาย แต่มุ่งให้ จงั หวะคลอ้ งจอง และสมั ผัสทไ่ี พเราะเปน็ การสง่ เสรมิ ให้เด็กเรียนรู้คาศัพท์ทางภาษามากข้ึน และฝึก นสิ ัยในการจา ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้ 1. เพลงเปา่ ยิ้งฉบุ “แม่จา๋ ช่วยหนดู ้วย หนกู นิ กลว้ ยอยู่บนหลังคา ตกลงมาทายาหมอ่ ง ยส่ี บิ กล่องกไ็ มห่ าย ไปหาหมอ หมอไม่อยู่ ไปหาปู่ ปูเ่ ลน่ วา่ ว ไปหายาย ยายตาหมาก กระเด็นเขา้ ปาก อรอ่ ยจรงิ เอย้ ” 2. เพลง ฝนตกแดดออก นกกระจอกเข้ารัง ถ่อเรอื ไปดูหนงั “ฝนตกแดดออก รอ้ งกระจองอแง” แม่หมา้ ยใส่เสอื้ ท้งิ ลกู อย่ขู า้ งหลงั

83 บทรอ้ งประกอบการเล่น เป็นบทร้องที่เปน็ บทเพลง ทานอง บทกลอนสน้ั ๆทรี่ ้องประกอบการละเล่น เพลงส่วนใหญ่ท่ี ใช้ร้องจะให้จังหวะ ให้ความพร้อมเพรียงในการเล่นเกม เน้ือเพลงบางเพลงยังอธิบายถึงวิธีการเล่น ด้วย ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี 1. เพลงมอญซอ่ นผ้า “มอญซอ่ นผ้า ไว้โนน่ ไวน้ ้ี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงต๊กุ ตาอยู่ข้างหลัง ฉันจะตีกน้ เธอ” 2. เพลงโพงพาง ปลาเข้าลอด เข้าลอดโพงพาง” “โพงพางเอย ปลาตาบอด 3. เพลงจ้าจ้มี ะเขอื เปราะ กะเทาะหน้าแวน่ ” “จ้าจมี้ ะเขอื เปราะ ตาแทน่ ตน้ กุม่ อาบน้าท่าไหน พายเรืออกแอน่ เอาแปง้ ทไ่ี หนผดั สาวสาวหนมุ่ หนมุ่ เยยี่ มๆ มองๆ นกขนุ ทองรอ้ งเน้อ” อาบน้าทา่ วดั เอากระจกทีไ่ หนส่อง การละเลน่ นย้ี ังมีประโยชน์ในการออกกาลังกาย การเล่นรว่ มกันการออกเสียงภาษา การร้จู กั ชว่ ยเหลือกัน และเสริมสรา้ งความรู้สกึ สนุ ทรียจากสัมผสั คลอ้ งจองไพเราะด้วย เพลงเด็กแตง่ ขึน้ ใหม่ เป็นบทเพลงท่ีใช้ประกอบการสอนเด็กปฐมวัย เน้ือร้องมีความหมายแต่งข้ึนเพ่ือให้ สอดคลอ้ งกับหนว่ ยการเรยี นรทู้ าให้เด็กเข้าใจได้ง่าย สามารถทาท่าทางประกอบการร้องได้ จูงใจให้ เด็กรู้สึกสนุกสนานและเข้าร่วมกิจกรรมตา่ งๆ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี 1. เพลง เต่า เต่ามันมีส่ีขา “เตา่ เอ๋ยเตา่ มันทาหัวผลบุ ๆ โผล่ ๆ เต่ากระดองหนา สี่ตีนเดนิ มา มนั ดานา้ ผลุบ ๆ โผลๆ่ เตา่ เอ๋ยเต่า ว่ายน้าเริงรา่

84 2. เพลง อ่ึงอา่ ง มานั่งข้างโอง่ “อึง่ อา่ ง มาคอยกนิ มด มานัง่ โยง่ โยง่ เจ้าอย่าพดู ปด เด็กเอย๋ เปน็ เหยือ่ อ่งึ อา่ ง จะกลายเป็นมด มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง3. เพลง ด่มื นม “ดื่ม ๆ ๆ เรามาดมื่ ๆ นมกนั เถอะ ดม่ื แลว้ อย่าทาเลอะเทอะ ดื่มแล้วอย่าทาเลอะเทอะ ด่มื นมเยอะ ๆ ร่างกายแข็งแรง” การใชเ้ พลงกับเด็กปฐมวัย ก่อนเร่ิมกิจกรรมนั้นครูต้องเตรียมเด็กโดยเฉพาะกิจกรรมในวงกลมหรือกิจกรรมเสริม ประสบการณค์ รูอนุบาลสว่ นใหญ่ชอบใชเ้ พลงเป็นสอื่ ดงั นน้ั เพลงทใ่ี ช้ควรมีเน้ือหาสอดคล้องกับเร่ือง ทีจ่ ะเรยี น ท้ังยังเป็นการนาเข้าสบู่ ทเรยี นไดด้ ้วย การเลอื กเพลงสาหรับเด็กปฐมวยั เพลงของเดก็ ควรมีเน้อื ร้องง่ายๆ สั้นๆ คาซ้าๆ เสียงไม่สูงหรือต่าเกินไปทานองง่าย จังหวะ ชัดเจนไมช่ ้าหรือเร็วเกนิ ไป และควรเลอื กใหเ้ หมาะกับพัฒนาการเรียนรู้และความสามารถทางภาษา ของเดก็ โดยเดก็ เล็กอายุต่ากวา่ 3 ปี ควรเลือกบทร้องท่ีเป็นคาคล้องจองง่ายๆ ส่วนเด็กอายุ 3 ปีข้ึน ไป เน้อื รอ้ งอาจยาวข้นึ ได้ การเลือกเพลงให้เด็กนน้ั ต้องคานึงถึงความเหมาะสม ไม่ใช่เน้นความสนุก ตลกขบขัน เพลงตอ้ งเหมาะสมกบั เน้อื หา จงั หวะ และท่าทาง ไม่เร็ว ไมช่ ้า จดั สรรให้เหมาะสมกับ แตล่ ะเหตุการณ์ วธิ ีการแนะนาเพลงให้เดก็ การปลูกฝงั ความสนใจในเพลงให้กับเด็ก ควรเร่ิมต้นต้ังแต่เล็กโดยผู้ใหญ่ร้องเพลง หรือเปิด เพลงให้เด็กฟงั อยา่ งสมา่ เสมอ ในช่วงแรกเด็กจะสนใจจังหวะและเคลื่อนไหวรา่ งกายตามจังหวะ และ เริ่มจดจาเนื้อร้องในเพลงเม่ือได้ยินเพลงเดิมซ้าบ่อยๆ ในการแนะนาเพลงให้กับเด็กควรดาเนินการ ดังนี้ 1. นาเสนอเพลงท่ีมีเน้ือร้องส้ันๆ มีคาซ้าๆ และมีทานองง่าย โดยชักชวนให้เด็กฟังเพลง ด้วยกันก่อน เด็กชอบฟังเพลงซา้ ๆ 2. เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกตามความต้องการ เด็กจะร้องตาม ถูกหรือผิดควรให้โอกาส เดก็ ได้เรียนร้อู ยา่ งคอ่ ยเป็นค่อยไปด้วยความมั่นใจ 3. ฝกึ ใหเ้ ดก็ รูจ้ ักเคาะจงั หวะ เด็กมักมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียง จังหวะเพลง อาจให้เด็ก ปรบมอื ตามจังหวะ หรือเคาะเคร่อื งดนตรีโดยไม่คาดหวังความถกู ผิด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง85 การใช้เพลงประกอบการจดั กิจกรรม สานักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (2538 : 25) ได้กล่าวถึงการใช้เพลงท่ี เหมาะสมสาหรับเดก็ ไวด้ ังนี้ 1. เนื้อรอ้ งง่าย ๆ ใชค้ างา่ ย ๆ เพื่อให้เดก็ ฟังแลว้ เข้าใจเน้อื เรอ่ื งได้ 2. เน้อื เพลงส้ันพอสมควร ไม่ยาวเกินไปเพราะเด็กจะจายากและเบื่อหน่าย ถ้าเป็นเน้ือ เพลงยาวควรเปน็ เน้อื เร่อื งที่ครูรอ้ งใหเ้ ด็กฟงั แล้วให้เด็กเข้าใจความหมายในเนื้อเพลง เน้ือเพลงควร สอดแทรกคณุ ธรรมไวด้ ว้ ย 3. มที านอง หรอื ระดับเสียงไม่สงู หรือต่าจนเกินไป เพราะเด็กสว่ นมากไมส่ ามารถทาเสียง ต่ามาก ๆ ได้ เสยี งจะหายไปในลาคอ ยากแกก่ ารร้อง ถ้าเสียงสูงมาก ๆ เด็กก็ไม่สามารถร้องเสียง สูงได้ เด็กชอบรอ้ งเพลงท่มี ที านองไมเ่ ร็ว หรือชา้ มากเกนิ ไป 4. สามารถทาท่าทางประกอบได้ง่าย การสอนเพลงให้กับเด็กน้ัน มิได้มุ่งแต่จะให้ร้องได้ อย่างเดียว แตค่ วรจะมีการเคาะจงั หวะและการแสดงทา่ ทางประกอบด้วย สุกรี เจริญสุข (2541 : 24-26) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของเพลงท่ีเด็กชอบในการนามาใช้ ประกอบการสอนไว้ดงั น้ี 1. ตอ้ งเป็นเพลงที่ดี หมายถงึ องค์ประกอบของเพลงท่ีดี มเี สียงดี จังหวะดี ทานองเนื้อ รอ้ งดี 2. เพลงเด็กต้องมีคุณสมบัติของความไพเราะและร่าเริงแจ่มใส ใช้บันไดเสียงท่ีร่ าเริง (major) จงั หวะสนุกสนานเร้าใจ ลีลาและทานองเพลงท่ีสนุก มีคุณภาพเสียงของเคร่ืองดนตรีที่ดี มกี ารประสานเสียงท่ลี ะเอยี ด นาเอาธรรมชาตทิ ี่อยใู่ กลต้ วั เด็กมาใช้ใหม้ ากทสี่ ุด 3. เพลงเด็กเป็นเพลงที่มีความสดใสและจริงใจ (Fresh and Sincere) เพ่ือเพลงจะได้เข้า ไปรักษาความจริงและเสริมสร้างสิ่งท่มี ีอยแู่ ลว้ ในตัวเดก็ มาใชใ้ ห้มากทสี่ ดุ 4. ตอ้ งเปน็ เพลงที่มีการประสานเสียงที่ดี (Harmony) หมายความว่า มีความกลมกลืนกัน เป็นอันหนึ่งอันเดยี วกนั ลงตวั กัน สามคั คกี นั มีความคลอ้ งจองเกดิ ความไพเราะ เป็นตน้ จากทไี่ ด้กลา่ วมาขา้ งต้น การใชเ้ พลงสาหรบั เด็กที่นามาประกอบการสอนนั้น จะทาให้เด็ก ได้รับความเพลิดเพลิน ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้รับความรู้อย่างสนุกสนาน เพราะเป็นการ เรียนแบบปนเล่น เพลงสาหรับเด็กควรมีเน้ือร้องส้ัน ๆ ง่าย ๆ เพื่อให้เด็กฟังแล้วเข้าใจเนื้อร้องได้ เนือ้ เพลง ควรสอดแทรกคุณธรรมในเนื้อหาบทเรียนไว้ด้วย โดยครูอาจเป็นผู้แต่งเองเพื่อให้ได้บท เพลงทีต่ รงกับเนื้อหาการเรยี นการสอน หลักการใชเ้ พลงประกอบการจัดกิจกรรม ปิยกมล เปล่งอรุณ (2540 : 18-19) กลา่ วถึง หลักการของการใช้เพลงประกอบการสอน 5 ประการ คอื 1. ฝึกทักษะการสังเกต การจาแนกและจดจาเนื้อหาของเพลง ความแตกต่างของจังหวะ เครื่องดนตรี แล้วนามาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง ต่อจากน้ันจึงนาไปสู่การ พัฒนาการจดั ลาดบั

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง86 2. สร้างมโนภาพเกี่ยวกับเน้ือหาเร่ืองราวตามบทเพลงต่าง ๆ ให้เด็กเกิดความเข้าใจอย่าง รวดเร็วและสนกุ สนาน 3. พัฒนาเพิ่มพูนศัพท์และการใช้ภาษาให้กว้างขวางขึ้น เด็กสนุกกับการเล่นคาคล้องจอง หรือสร้างประโยคแลว้ นามารอ้ งเพลง 4. เด็กไดร้ ่วมรอ้ งเพลงและเต้นเปน็ หม่คู ณะ 5. กจิ กรรมทจี่ ะต้องสร้างมโนภาพแห่งตน เช่น เพลงท่ีให้เด็กร้องเกี่ยวข้องกับร่างกาย หรือ อวัยวะต่าง ๆ สอนให้รู้จักชื่อ หน้าท่ี ตาแหน่งอวัยวะในร่างกายด้วยการร้องเพลงและการ เคลื่อนไหวทาใหร้ ู้จักสว่ นตา่ ง ๆ เกิดความเข้าใจสาคัญของส่วนต่าง ๆ รู้ถึงการบังคับการเคล่ือนไหว ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการกระโดด การหมุน การโฉบ ถลา การส่ัน ให้สอดคล้องกับจังหวะ ดนตรีเพลง เป็นบทเศร้า สุข ขบขัน สดช่ืน ร่าเริง อึกทึก มีความหวังแตกต่างกัน จะช่วยให้ เดก็ เกิดความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ตนเอง ซึ่งจะนามาสมู่ โนภาพแหง่ ตนในทส่ี ุด เป็นตน้ วัตถปุ ระสงค์ของการใชเ้ พลงประกอบการจดั กจิ กรรม การรอ้ งเพลงเป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั องค์ประกอบหนึ่งในการจดั ประสบการณด์ นตรีใหก้ ับ เดก็ การร้องเพลงเป็นกิจกรรมท่คี วรมีทกุ วนั ในการใช้เพลงสาหรบั เด็กมวี ตั ถุประสงค์ดังน้ี 1. เพ่ือให้เดก็ ได้รับความเพลดิ เพลิน 2. เพอ่ื ใหเ้ ด็กได้รบั ความรูจ้ ากบทเรียน 3. เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการทัง้ 4 ด้าน ใหแ้ ก่เด็ก 4. เพอ่ื ใหค้ วามคดิ ริเรมิ่ แสดงนาประกอบเพลง 5. เพือ่ กลอ่ มเกลาให้มีนสิ ัยอ่อนโยน ละมุนละไม 6. เพอื่ ปลกู ฝงั นสิ ยั และพ้ืนฐานทางนาฎศิลป์และดนตรเี บอ้ื งตน้ ใหก้ ับเดก็ สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2538 : 21) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ ทว่ั ไปในการ ร้องเพลง ดังน้ี 1. เพ่อื ให้เดก็ ได้รบั ความเพลิดเพลิน ไมเ่ บ่ือหน่าย 2. เพ่ือใหเ้ ดก็ ได้รับความรูอ้ ย่างสนุกสนานเพราะเป็นการเรียนแบบปนเล่น 3. เพอื่ ส่งเสริมพฒั นาการทางด้านสังคมให้เด็กมีโอกาสปรับตัวเข้ากับผู้อื่นและร่วมงานกัน ได้ดี เกดิ ความสามคั คี 4. ใหเ้ ด็กเกดิ ความคิดรเิ รม่ิ ในการแสดงท่าทางประกอบ 5. เพ่อื กล่อมเกลาใหเ้ ด็กมีนิสยั ออ่ นโยน จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของการใช้เพลงประกอบการสอนมุ่งเน้น เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ได้รับความเพลิดเพลิน ไม่เบือ่ หน่าย ได้รับความรู้อย่างสนุกสนาน เพราะเป็นการเรียน แบบปนเล่น ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ให้แก่เด็กให้มีความคิดริเริ่มแสดงนาประกอบเพลง เพอ่ื กลอ่ มเกลาให้มนี สิ ัยออ่ นโยน ละมนุ ละไม เพ่อื ปลูกฝังนิสัยและพื้นฐานทางนาฎศิลป์และดนตรี เบือ้ งต้นให้กับเดก็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง87 การแต่งเพลงประกอบกจิ กรรมการเรียนรู้ การแตง่ เพลงสาหรับเดก็ หรือแต่งเพลงประกอบกิจกรรมการเรียนร้มู ขี น้ั ตอนตอ่ ไปน้ี 1. กาหนดแนวคิดใหช้ ดั เจนวา่ ต้องการสอนอะไร 2. เรียบเรยี งเป็นเน้อื เรื่องคร่าว ๆ กอ่ น ด้วยถ้อยคาส้นั ๆ เขา้ ใจง่าย 3. หาทานองท่ีคุ้นหู เช่น เพลงพ้ืนบ้าน เพลงไทยเดิม เพลงราวง เพลงโฆษณา หรือ แตง่ ทานองข้ึนเอง เปน็ ต้น 4. ลองบรรจุเนื้อรอ้ งลงตามทานองและจงั หวะ 5. แก้ไขปรับปรงุ เน้อื ร้องใหเ้ ข้าทานองจนเปน็ ทีน่ ่าพอใจ 6. มีความหมายดแี ละใหค้ วามร้สู ึกแก่เด็ก เพ่อื เป็นการสอดแทรกและปลูกฝังคติธรรมและ ลกั ษณะนิสัยท่ีดีต่าง ๆ ดงั นั้นการแตง่ เพลงประกอบการสอนแก่เด็ก ผู้แต่งควรกาหนดแนวคิดให้ชัดเจนว่าจะสอน อะไร มีเน้ือเพลงสั้น ๆ มีทานองและจังหวะให้เดก็ เกิดความสนุกสนานเพลดิ เพลิน ประโยชน์การนาเพลงมาใช้ประกอบการจดั กิจกรรม เพลงสามารถนามาใชเ้ ปน็ สื่อในการเรยี นรู้ และใชป้ ระโยชนอ์ ่ืนๆ ได้อกี มาย เพลงท่ีนามาใช้ ประกอบการเรียนการสอนและจัดกิจกรรมสาหรับเดก็ มีประโยชนด์ งั น้ี 1. ทาให้บรรยากาศในห้องเรยี นแจม่ ใส นา่ เรียน เรยี นด้วยความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ 2. ทาใหบ้ ทเรยี นท่ียากเขา้ ใจงา่ ยข้นึ ชว่ ยเรอื่ งความจา 3. ทาใหเ้ ดก็ ได้แสดงออกถงึ ความกล้าหาญ พัฒนาบุคลกิ ภาพ 4. ทาให้เดก็ มีสว่ นร่วมในบทเรียนมากขนึ้ 5. ทาให้เด็กมเี จตคติทด่ี ีตอ่ บทเรยี น ตอ่ ครูและตอ่ โรงเรยี น 6. สง่ เสรมิ การทางานเป็นกระบวนการกลุ่ม ฝึกความรับผดิ ชอบของเด็ก 7. สง่ เสริมประสบการณท์ กั ษะสมรรถภาพการใชภ้ าษาของเดก็ พัฒนาการกับการคดั เลือกบทเพลงสาหรับเดก็ ปฐมวยั การเลือกเพลงที่จะนามาใช้กับเด็กปฐมวัยมีความสาคัญอย่างย่ิงเพราะเพลงมีอิทธิพลต่อ จิตใจของเด็กเพลงบางเพลงอาจจะทาให้เด็กคกึ คกั อยากกระโดดโลดเต้น บางเพลงก็สนุกสนาน บาง เพลงกช็ วนให้เคลิบเคล้ิมอยากนอนหลับ ทั้งนี้อยู่ท่ีการจะเลือกเพลงมาใชให้เหมาะกับสถานการณ์ การคัดเลือกดนตรีและบทเพลงให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กวัยอนบุ าล มรี ายละเอยี ดดังน้ี ในช่วงระยะ 1 ปีแรก เด็กเริ่มมีการรับรู้เกี่ยวกับด้านจังหวะและทานองแล้ว จะเห็นได้ว่าถ้า ลองเปิดเพลงให้เด็กวัย 5 เดือนฟัง เด็กจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงเพลงท่ีได้ยินเม่ือเด็กอายุ ประมาณ 1 ปี พัฒนาการด้านการพูดเริ่มก้าวหน้าไป เด็กพยายามร้องเพลงโดยเลียนเสียงซ่ึงยังไม่เป็น ทานอง แต่เป็นสัญลักษณ์ที่บอกได้ว่าเด็กรับรู้และสนองตอบต่อดนตรี เด็กจะพยายามเล่นไปกับเพลง แต่ละจังหวะของการเล่นไม่เข้ากับจังหวะเพลง ส่ิงที่เด็กวัยนี้ชอบมากก็คือ เม่ือได้ยินเสียงเพลงมักขยับ เนื้อตวั ตามจังหวะเพลงเสมอ เด็กมักตอบสนองต่อเสียงร้องเพลงของคนไดด้ กี ว่าเสียงเคร่ืองดนตรี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง88 ในชว่ งปที ี่ 2 พัฒนาการด้านการพูดของเด็กมีมากข้ึน การเจริญเติบโตของอวัยวะ ต่าง ๆ ทาง ร่างกายมีมากขึ้นด้วย พัฒนาการทางดนตรีของเด็กวัยน้ีที่เห็นได้ชัดเจนว่าก้าวหน้าขึ้น กล่าวคือ ความสามารถในการร้องเพลง แม้จะร้องเพลงเพ้ียนเสมอ ๆ แต่จังหวะและเน้ือร้องมักถูกต้อง เด็กวัยน้ี มักร้องเพลงพร้อมท้ังเล่นไปด้วย การพยายามเคาะจังหวะหรือเล่นดนตรีให้เข้ากับจังหวะของสิ่งต่าง ๆ ทางดนตรี เช่น การร้องเพลงท่ีบางครั้งแต่งข้ึนเอง การเคาะจังหวะไปกับการร้องตามท่ีตนคิดขึ้นมา การเคลื่อนไหวรา่ งกายสว่ นต่าง ๆ เมื่อได้ยินเสียงเพลงเป็นส่ิงท่ีเด็กวัยนี้ยังกระทาอยู่เสมอ และมักทาท่า ต่าง ๆ ได้มากขนึ้ และดขี น้ึ เป็นลาดับ ย่างเข้าวัย 3 ขวบ พัฒนาเก่ียวกับด้านร่างกายมีมากขึ้นเป็นลาดับ การบังคับกล้ามเนื้อส่วน ต่าง ๆ ดีขึ้น พัฒนาข้ึน อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ควรคานึงถึงพัฒนาการของกล้ามเน้ือใหญ่ และกล้ามเน้ือเล็ก เพ่ือความเหมาะสม และช่วยพัฒนาการของกล้ามเน้ือท้ังสองลักษณะ การพูดเป็น เรื่องราวมากข้ึนเด็กเร่ิมพัฒนาการเก่ียวกับด้านความเป็นตัวของตัวเอง มีความคิดช่างซักถาม ในทาง ดนตรีเด็กสามารถร้องเพลงง่าย ๆ ได้อย่างถูกต้อง พัฒนาทางด้านจังหวะดีข้ึน การเคลื่อนไหวตาม จงั หวะดนตรีพัฒนามากขึน้ เร่ิมตบมอื เข้ากับจังหวะท่ีได้ยิน มีความสนใจมากขึ้นในการร้องเพลงหรือเล่น เครือ่ งดนตรตี ามความคิดของตนเอง เร่ิมพัฒนาแนวคิดเก่ียวกับองค์ประกอบดนตรี เช่น ดัง-เบา หรือ เร็ว-ช้า โดยการเคลอ่ื นไหวรา่ งกาย เด็กในวัยน้ีมักชอบร้องเพลง หรือเต้นให้ผู้ใหญ่ดู ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า เด็กเร่ิมพัฒนาความเปน็ ตวั ของตัวเอง เด็กในวัย 4 ขวบ มีพัฒนาการทางภาษามากขึ้น รู้จักศัพท์และการแสดงออกทางภาษามาก ขึน้ กระบวนการคิดลึกซงึ้ มากข้ึน ทางดา้ นรา่ งกายเจริญเติบโตขึ้น การทางานของระบบต่าง ๆ ดีขึ้น มี สมาธิมากขึ้น เริ่มเล่นกับเพ่ือน ๆ รอบข้าง ในทางดนตรีช่วงเสียงเริ่มกว้างข้ึน ด้านจังหวะพัฒนาดีขึ้น การร้องเพลงดีข้ึนสามารถร้องเพลงยาก ๆ ได้ เพราะเรียนรู้ศัพท์ต่าง ๆ มากขึ้น แต่การร้องเพลงเพี้ยน คงเป็นลักษณะท่ีพบได้ในเด็กวัยนี้ เด็กในวัยน้ีเริ่มตอบสนองต่อดนตรีลึกซึ้งมากข้ึน กล่าวคือ สามารถ แสดงความรูส้ ึกให้เข้ากับลักษณะเพลงได้ ยังชอบร้องเพลงและเต้นตามเสียงดนตรี การร้องเพลงไปตาม ความคดิ ของตนเองยงั มีอยเู่ ชน่ กัน วัย 5 ขวบเป็นระยะท่ีเด็กอยู่ในโรงเรียนอนุบาล พัฒนาการทางด้านสังคมเร่ิมขึ้นอย่าง ชัดเจนนอกเหนือไปจากพัฒนาการทางด้านร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ทางดนตรี เด็กได้รับ การสอนใหร้ ้องเพลง เคลอ่ื นไหวร่างกายกับเพ่ือน ๆ ในชน้ั เรยี น ซึ่งเดก็ จะต้องเรียนรู้ในการปรับตัว ให้เข้ากบั เพื่อน ๆ นอกเหนือไปจากการเรียนรู้ดนตรีเก่ียวกับการร้องเพลง การเคล่ือนไหวร่างกาย เป็นต้น เด็กในวัยนี้ชอบร้องเพลง และเลียนแบบบุคคลที่ตนชอบหรือเห็นบ่อย ๆ เสมอ สมาธิใน การฟังเพลงมมี ากขึน้ แตช่ อบร้องเพลงและเคลอ่ื นไหวมากกว่าการน่ังฟังเพลงนาน ๆ การร้องเพลง ถูกจังหวะมากข้ึน เสียงเพี้ยนน้อยลง แต่มักต้องฝึกร้องหลายคร้ังกว่าจะร้องได้ถูกต้อง แนวคิด เก่ียวกับองค์ประกอบดนตรพี ัฒนามากข้ึน เร่ิมรู้จักถึงระดับเสียงสูง-ต่า สั้น-ยาว เป็นต้น มีความ จาเป็นดา้ นจังหวะและเสยี งมากขึ้น สามารถจาจังหวะท่ีได้ยินได้แต่ต้องเป็นจังหวะที่ง่าย ๆ ไม่ยาก จนเกินไป ลักษณะดนตรีเป็นส่วนหน่ึงที่ช่วยเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ได้ เช่น จังหวะเร็ว เรา้ ใจ ช่วยกระตุ้นใหเ้ กิดการต่นื ตัว จงั หวะชา้ ช่วยใหเ้ กิดอาการผอ่ นคลาย เชน่ กันในเด็กวัยอนุบาล เม่อื ไดฟ้ ังเพลงทมี่ ีลกั ษณะท่ตี า่ งกัน ย่อมมีผลต่อพฤตกิ รรมของเขาไมท่ างใดก็ทางหน่ึง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง89 พิจิตต์ สวามิภักดิ์ (2532) กล่าวว่า การร้องเพลงพื้นบ้านในภาษาของเด็กเองนับว่าเป็น มรดกตกทอดทางภาษา ซึ่งประกอบข้ึนมาเป็น “ภาษาแม่ทางดนตรี” ซึ่งควรเป็นการเริ่มต้น การศึกษาดนตรีสาหรับทุกคน ในเพลงพ้ืนบ้านน้ันเป็นภาษาพูดและดนตรีเข้ากันเป็นอย่างดี การเนน้ พยางค์ของคาแตล่ ะคาในภาษาจะสะท้อนให้เห็นได้ในจังหวะและทานองของดนตรี ซึ่งเด็ก เล็ก ๆ ไม่เพียงแต่เรือ่ งทานองและคาร้องเท่านั้นแต่สามารถเข้าใจและออกเสียงภาษาของเขาได้คล่อง และชัดเจนขึน้ ทาใหเ้ ดก็ สานึกถงึ เอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมท่ีเป็นมรดกตกทอดสบื เน่อื งกนั มาแตอ่ ดีต การเลือกเพลงให้เดก็ นั้นต้องคานงึ ถงึ ความเหมาะสมด้วย ผู้ใหญ่จะต้องรู้ว่าในวัยเด็ก ส่ิงที่ จัดสรรให้เด็กนั้นต้องพอดีกับความเดียงสาของเด็ก ความสุขไม่ใช่เน้นที่ความสนุกและตลกขบขัน ความสุขที่ได้จากการรอ้ งเพลงดว้ ยกนั เป็นความซาบซ้ึงใจและอบอุ่น บทเพลงและบทกลอนท่ีให้เด็ก ชว่ ยสรา้ งภาพโลกที่สวยงามในการรบั รู้ หากเน้นแต่จังหวะสนุก แต่เนื้อหาและท่าทางไม่เหมาะกับ วยั เด็ก การแสดงออกของเด็กก็จะกลายเปน็ ทขี่ าขันของผูใ้ หญ่ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ท่ีวัยเด็กของเขา ไมไ่ ด้เขา้ ถงึ ความงามและความไพเราะจากการถ่ายทอดอันประณีตด้วยศิลปะที่มีอยู่ในตัวครู หากเสียงเพลงจะชว่ ยกลอ่ มใหจ้ ติ ใจของคนเราไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เข้าถึงความงดงามและ ความไพเราะได้ ครแู ละพอ่ แม่ก็น่าจะใช้เสียงเพลงเป็นการนาพาเด็กสู่ส่ิงที่ทาอยู่ในชีวิตประจาวันได้ ดว้ ย เชน่ รอ้ งเพลง เม่ือเวลาเกบ็ ของเลน่ ร้องเพลงเม่ือจะพาลูกข้นึ รถออกเดินทาง ร้องเพลงเม่ือ จะพาลูกเข้านอน ร้องเพลงเมื่อครูจะพาเด็กเดินแถว ฯลฯ เด็กจะเช่ือมโยงเพลงท่ีร้องกับส่ิงท่ีทา ไมต่ อ้ งอธบิ ายว่าจะทาอะไรกันต่อไป เด็กก็เข้าใจแล้วจากเพลงท่ีพาร้อง เพลงจึงต้องเหมาะสมกับ เน้ือหา จงั หวะ และทา่ ทาง ไม่เรว็ ไม่ชา้ จัดสรรใหเ้ หมาะสมกับแตล่ ะเหตกุ ารณ์ โชสก้ี (Chosky , 1981. อ้างถึงในธนาภรณ์ ธนิตย์ธีรพันธ์. 2547 : 38) กล่าวถึง แนว ปฏิบัติในการนากิจกรรมลีลา จงั หวะและการเคลอ่ื นไหวสู่หอ้ งเรียนปฐมวยั ดังน้ี 1. การเคลื่อนไหวรา่ งกายไปกับเสยี งเพลง เร่มิ ต้นจากการเคลื่อนไหวที่เป็นเพียงการแสดง ความรู้สึกหรือความเข้าใจ เช่น เม่ือร้องเพลงเก่ียวกับสัตว์นั้น ๆ เม่ือร้องเพลงเก่ียวกับลมพัดหรือ แสงแดดส่องก็โบกมือไปมา หรือเมื่อเอ่ยคาว่ารัก ก็โอบมือท้ังสองไขว้แนบกับอก สาหรับการ เคล่ือนไหวท่ีซับซ้อนขึ้นกวา่ นัน้ เชน่ การเคลอื่ นไหวประกอบการเลน่ เกม ซ่ึงมีการร้องเพลงคลอไป ด้วย และเม่ือมีการเดิน วิ่ง หรือทาท่าบางอย่างประกอบ เช่น รีรีข้าวสาร ในท่ีสุดก็จะเป็นการ เคล่ือนไหวทต่ี ้องเคลอื่ นทใ่ี หต้ รงกบั จังหวะ ซึ่งตอ้ งอาศัยทักษะการตอบสนองต่อจังหวะ ซ่ึงเป็นการ เคล่อื นไหวท่ยี ากทีส่ ดุ ในกระบวนการสอนดนตรี 2. การฝึกพัฒนาการของทักษะเกี่ยวกับจังหวะ ซ่ึงเกี่ยวโยงกับการเคลื่อนไหวร่างกายไปกับ เสียงเพลง จังหวะจากการเล่นเกม ก้าวเดินตามจังหวะ กระทืบเท้าตามจังหวะ เน้นการตบมือเป็น จังหวะหลกั ประกอบเพลง โดยมีจังหวะคงทต่ี ลอด หรือตบมือตามจังหวะของคาร้อง ซ่ึงมีจังหวะไม่คงท่ี คือ ถ้าคาร้องเปลี่ยนพยางค์ ก็ต้องตบมือหน่ึงครั้งตามพยางค์นั้น ๆ การตบมือตามที่ได้ยินจากครูหรือ เพื่อนนักเรียน การแต่งจังหวะด้วยการตบมือด้วยตนเอง เพื่อใหค้ นอ่ืนเลียนแบบบ้าง 3. การรู้จกั แยกความแตกต่างระหว่างจงั หวะเรว็ กบั จังหวะช้า เสียงเบากับเสียงดังเสียงสูง กับเสียงต่า การรู้จักน้าเสียงและสีสันของเสียง คือ รู้ว่าเสียงไหนเป็นเสียงของอะไรและให้ ความรูส้ กึ อยา่ งไรเปน็ การทาตนใหค้ ุน้ เคยกับคุณภาพของเสียงต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดอารมณ์เคลื่อนไหว ทางดนตรี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง90 4. การฝึกโสตประสาทและฝึกจาเพลง อันเป็นการฝึกท่ีจะทาให้สามารถคิดทานองเพลง และสามารถทจี่ ะถา่ ยทอดสงิ่ ท่ตี นเคยไดย้ นิ ได้ฟงั ออกมาได้ 5. การฝกึ ทักษะการฟังเพลง เพลงทเี่ หมาะสมท่จี ะใหเ้ ด็กฝกึ หัดอย่างใจจดจ่อเพ่ือให้เรียนรู้ และจาเพลงได้น้ัน นอกจากจะมีเพลงคลาสสิก ยังมีเพลงพ้ืนเมืองของชาติต่าง ๆ และที่สาคัญ สาหรับเด็กไทยก็คือ ควรจะได้ฟังและรู้จักเพลงไทยดี ๆ เพ่ือความภาคภูมิใจในศิลปะประจาชาติ และเพ่อื ความทรงจาเพลงอนั เป็นการรกั ษามรดกของชาติไว้ สรปุ ว่า หลกั การที่จะสอนให้เด็กฟังเพลงน้ัน ครูผู้สอนจะต้องหาอะไรบางอย่างจากเพลงท่ี จะสอนน้ันออกมาแนะนาให้เด็กได้รู้จักก่อน จากนั้นจึงให้ฟังเพลงทั้งหมด การสอนฟังเพลง คลาสสิกบางเพลงท่ีมีเร่ืองราวประกอบ ครูอาจเล่าเร่ืองประกอบ และขณะเปิดเพลงให้ฟังก็อาจ บรรยายว่าเสยี งเพลงที่กาลังดังอยู่ในขณะน้ันสัมพันธ์กับเร่ืองราวอย่างไร แต่วิธีท่ีเหมาะสมสาหรับ เดก็ เลก็ คือ ให้เด็กเคล่ือนไหวร่างกายหรือเล่นเกมประกอบเพลงท่ีเด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย ในทุก อิริยาบทอย่างสมดลุ สรปุ ทา้ ยบท วัยเด็กเป็นวัยแห่งการเรียนรู้และเลียนแบบ การเรียนรู้ของเด็กเป็นการเรียนผ่านจิตใต้ สานึก การจัดการศึกษาเพื่อเด็กจึงต้องคัดเลือกแต่ส่ิงท่ีดีงามให้แก่เด็ก การคัดเลือกดนตรีและบท เพลงให้เหมาะสมกับพฒั นาการ โดยเริม่ จากระยะ 1 ปแี รก เด็กเร่มิ มีการรับรู้เก่ียวกับด้านจังหวะ และทานองในช่วงปที ี่ 2 พัฒนาการทางดนตรีมคี วามชดั เจนมากข้ึน สามารถร้องเพลงได้ ย่างเข้า วัย 3 ขวบ สามารถร้องเพลงง่าย ๆ ได้อย่างถูกต้อง พัฒนาการทางด้านจังหวะดีข้ึน ในวัย 4 ขวบ พัฒนาการทางภาษามีมากขึ้น มีสมาธิ การร้องเพลงดี 5 ขวบ เด็กอยู่ในโรงเรียนอนุบาล เด็กจะเรียนรู้การปรับตัวกับเพื่อน นอกเหนือจากการเรียนรู้ดนตรี จะเห็นได้ว่าดนตรีและเพลงมี ความสาคัญกบั เด็กปฐมวยั มาก สามารถช่วยพัฒนาความเจริญเติบโตของเด็กในด้านต่าง ๆ การฟัง เพลงมาใช้ในการเรียนการสอน สามารถกล่อมเกลาให้เด็กเป็นคนดี เพลงที่นิยมนามาใช้กับเด็กมี หลายประเภท เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงเด็กเล่น บทร้องประกอบการเล่น เน้นเรื่องการใช้ จังหวะและมีจังหวะในการออกกาลังกายอีกด้วย ดังนั้นการใช้เพลงกับเด็กปฐมวัย จึงต้องมีการ เลือกเพลงที่เหมาะสมกับเด็ก มีเน้ือร้องส้ัน ๆ มีคาร้อง ทานองง่าย โดยหลักในการใช้เพลงคือ ฝกึ ทกั ษะการสังเกต เนื้อหาของเพลง ให้เด็กร่วมร้องเพลงและเต้น ฝึกสร้างมโนภาพแห่งตน การแต่ง เพลงจึงต้องกาหนดแนวคิดท่ีชัดเจนและมีความหมายดี ๆ ให้กับเด็ก หากครูมีการฟังเพลงมาใช้ ประกอบการสอน จะทาให้บรรยากาศในห้องเรียนแจ่มใส ฝึกการกล้าแสดงออก เด็กมีเจตคติที่ดีต่อ บทเรียน ต่อครู และต่อโรงเรียน หลักการท่ีจะสอนให้เด็กฟังเพลง ครูต้องแนะนาให้เด็กรู้จักก่อนเล่า เรอื่ งประกอบ ใหเ้ ด็กเคลื่อนไหวประกอบเพลง จะทาใหเ้ ดก็ เกิดมโนทัศน์ในบทเพลงไดง้ ่ายขึ้น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง91 คาถามท้ายบท 1. จงสรุปแนวคดิ เก่ียวกับการคัดเลือกดนตรีและเพลงให้เหมาะสมกับพฒั นาการของเด็ก 2. จงอธบิ ายความหมายของเพลงใหเ้ ข้าใจ 3. การจัดกิจกรรมเพลงมคี วามสาคัญอย่างไร 4. เพลงสาหรบั เดก็ สามารถแบ่งได้เป็นก่ีประเภทอะไรบา้ ง 5. บทรอ้ งประกอบการเลน่ มีลกั ษณะอยา่ งไรจงอธบิ าย 6. ผู้สอนมแี นวทางในการใช้เพลงกับเดก็ ปฐมวัยอยา่ งไร 7. จุดมุ่งหมายของการสอนเพลงสาหรับเด็กคืออะไร 8. จงอธิบายข้นั ตอนการแต่งเพลงประกอบกจิ กรรม 9. คณุ สมบตั ิของเพลงทีด่ ีสาหรับเดก็ ในการใช้ประกอบการสอนประกอบดว้ ยอะไรบ้าง 10. จงอธิบายการสอนดนตรใี นระดับปฐมวัยว่าควรมสี ่วนประกอบอะไรบา้ ง เอกสารอา้ งองิ คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2538). แผนการจัดประสบการณ์ช้ัน อนุบาลท่ี 1 เล่ม 1. พิมพค์ รง้ั 5 กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภาลาดพร้าว. จอหน์ สัน แอนด์ จอห์นสนั . ( ม.ป.ป.). รวมเรอ่ื งเยาว์... เลา่ สูก่ นั . สบื ค้นเมอ่ื 10 ตุลาคม 2564 จาก http://www.binidia.com/designinth/children/intro_t.html จกั รพนั ธ์ เพญ็ ศิร.ิ (2548). วันสนุ ทราภรณ์และ 25 ปีผูร้ ว่ มงาน. กรงุ เทพฯ : ศกั ด์โิ สภาพิมพ์. ณรทุ ธ์ สุทธจิตต์. (2541). การเรียนรู้เรือ่ งระดับเสยี งของเดก็ ปฐมวัย. กรงุ เทพฯ : ศนู ยว์ ิจยั การ สอน คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. _______ (2547). กจิ กรรมดนตรีสาหรับครู. กรุงเทพฯ : โครงการตาราและเอกสารทางวชิ าการ คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ดนู จรี ะเดชะกลุ . (2541). นันทนาการสาหรับเดก็ . กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช. ปิยกมล เปลง่ อรุณ. (2540). การเปรยี บเทยี บความคดิ สร้างสรรคข์ องเด็กปฐมวยั จากการทา กิจกรรมวาดรปู เปน็ กลุม่ กับเปน็ รายบคุ คลหลงั การทากจิ กรรมเคลื่อนไหวประกอบ เพลง. ศศม. (เทคโนโลยกี ารศึกษา). กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. พงึ จติ ต์ สวามภิ ักด์ิ. (2532). ดนตรีและการขบั รอ้ ง. วารสารครุศาสตร์ 8 (กรกฎาคม-ธนั วาคม) : 69-73. เยาวพา เดชะคุปต์. (2542). ดนตรแี ละกจิ กรรมเข้าจงั หวะสาหรับเดก็ ปฐมวัย. กรงุ เทพฯ : สานัก พิมพแ์ มค็ . ระลึก สทั ธาพงศ.์ (2549). เพลงค่ายพักแรม. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วมิ ลรัตน์ วมิ ลรตั นะกุล. (2547). การพฒั นาโปรแกรมสง่ เสรมิ ความสามารถทางการขบั ร้องของ ครูปฐมวยั ในการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ให้เดก็ อนุบาลโดยการประยกุ ต์ใชแ้ นวคิด ทางดนตรขี องโคดาย. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (ปฐมวัย) กรุงเทพฯ : บณั ฑติ วิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

92 สุกรี เจรญิ สุข. (2541). เพลงสาหรับเดก็ . กรุงเทพฯ : วิทยาลยั ดรุ ิยางคศ์ ิลป์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล. ________. (2541). เพลงเด็ก. วารสารเพ่อื การศึกษา. (เอกสารเผยแพร)่ . สมุ นา พานิช. (2541). การเตรยี มความพร้อมเดก็ . โรงเรียนอนบุ าลเมืองราชบุรี ราชบุร.ี อวยชยั ผกามาศ. (2544). เพลงประกอบการเรียนการสอนภาษาไทย. โปรแกรมวชิ าภาษาไทย. ภเู กต็ : สถาบันราชภัฏภูเก็ต. อารมณ์ สวุ รรณปาล. (2549). การเตรยี มความพร้อมดา้ นทักษะฝกึ อบรมครแู ละผเู้ ก่ยี วขอ้ งกบั การอบรมเลยี้ งดูเดก็ ปฐมวยั . นนทบรุ .ี กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมธิราช. อาไพ สจุ ริตกลุ .(2540).รายงานผลการวิจัยเร่อื งการพัฒนาหลกั การและวิธกี ารอบรมเล้ยี งดเู ดก็ ตามวถิ ชี ีวิตไทย. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

93 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 7 จานวนช่วั โมงทีส่ อน 8 สปั ดาหท์ ี่ 10-11 หัวขอเนอ้ื หาประจาบท 1. การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัย 2. แนวคิดพ้นื ฐานเกย่ี วกับการจดั ประสบการณสาหรับเดก็ ปฐมวยั 3. แนวทางการจดั ประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัย 4. หลกั การจัดประสบการณส์ าหรับเด็กปฐมวัย 5. ธรรมชาตแิ ละการแสดงออกของเดก็ ปฐมวัย 6. รปู แบบการจัดกิจกรรม ลีลา จงั หวะสาหรับเด็กปฐมวยั 7. ความสาคัญของลลี าและจงั หวะตอ่ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วัตถปุ ระสงคเชิงพฤตกิ รรม เมื่อผู้เรียนไดศกึ ษาบทเรียนน้ีแลว ผเู รียนสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปนี้ได้ 1. อธิบายแนวคิดพืน้ ฐานเกีย่ วกับการจดั ประสบการณสาหรบั เด็กปฐมวัย 2. อธบิ ายแนวทางและหลกั การจดั ประสบการณ์สาหรบั เด็กปฐมวยั 3. อธิบายธรรมชาตแิ ละการแสดงออกของเดก็ ปฐมวยั 4. วเิ คราะหร์ ปู แบบการจัดกจิ กรรม ลีลา จังหวะสาหรบั เด็กปฐมวยั 5. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของลลี าและจงั หวะต่อพฒั นาการเดก็ ปฐมวยั กิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมทากจิ กรรมเคลือ่ นไหวประกอบจังหวะ 2. แบ่งผู้เรียนเป็น 2 กลุ่มคิดท่าการเคล่ือนไหวอยู่กับที่และคิดท่าการเคล่ือนไหวแบบ เคล่ือนท่ี 3. ใหผ้ ูเ้ รียนร่วมสรุปทา่ ทใ่ี ชเ้ คล่ือนไหวท้งั หมด 4. ผูส้ อนสรุปเพมิ่ เติมเกยี่ วกับแนวทางและหลักการจดั ประสบการณ์สาหรับเดก็ ปฐมวยั 5. แบง่ ผ้เู รียน คิดทา่ การเคลอ่ื นไหวโดยการเลียนแบบสตั ว์ คน เคร่ีองยนต์ ธรรมชาติ 6. ผู้สอนสรุปเพ่มิ เตมิ เกี่ยวกบั รูปแบบการจดั กจิ กรรม ลีลา จงั หวะสาหรบั เดก็ ปฐมวยั 7. ผูเ้ รยี นศึกษาองค์ประกอบของกิจกรรมเคลอื่ นไหวสรปุ ความรูเ้ ป็น MIND MAP 8. ให้ผู้เรยี นศกึ ษาหลักการจัดกจิ กรรมเคลอ่ื นไหวโดยวิเคราะหห์ ลกั การสาคญั 1 ประเดน็ 9. ตอบคาถามท้ายบท

94 ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. เคร่อื งเคาะจงั หวะ 3. สมดุ บนั ทึก 4. เครอื่ งประกอบจังหวะ 5. กระดาษปรู๊ฟ 6. ปากกาเคมี การวดั ผลและการประเมินผล 1. การสังเกต 1.1 ผลจากการอภิปรายซักถามในกล่มุ ใหญ่ 1.2 ผลจากการอภิปรายรว่ มกนั ในกลุ่มยอ่ ย 1.3 การตงั้ คาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤติกรรม ความกระตือรอื รนในการทากิจกรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถูกต้องจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบทไี่ ดจากการทาแบบฝึกหัดทา้ ยบท 2.3 ตรวจคุณภาพผลงานท่ีมอบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง95 บทท่ี 7 การจดั กจิ กรรม ลีลา จังหวะ สาหรบั เด็กปฐมวยั การจัดกิจกรรมใหแกเด็กในระดับปฐมวัยโดยการจัดประสบการณ เปนการส่งเสริม พัฒนาการในทุก ๆด้านครูควรใหความสาคัญและคานึงถึงธรรมชาติของเด็กท้ังในดานพัฒนาการ เรียนรูและความ แตกตางระหวางบคุ คล โดยจดั กจิ กรรมทหี่ ลากหลายใหเดก็ พัฒนาทักษะพ้ืนฐาน ทุกดาน เพราะฉะนั้นการจัดกิจกรรมสาหรับเด็กปฐมวัย ควรสงเสริมใหเด็กมีสวนรวมหรือดาเนิน กิจกรรมใหมากท่ีสุด ครูเปนผูเตรียมเน้ือหาและประสบการณและรวมมือเพ่ือใหเด็กคนพบความรู ดวยตนเอง เด็กอายุ 4-5 ขวบ เร่ิมหัดเข้าสังคม กจิ กรรมลีลา จงั หวะ และการเคล่อื นไหวท่ีเหมาะสม ได้แก่ กจิ กรรมทที่ าร่วมกนั เป็นกลมุ่ เช่น ร้องเพลง เล่นเกมประกอบเพลง การแสดงละคร การ แสดงบทบาทสมมตุ ิ และบรรเลงดนตรีอย่างง่ายจัดโอกาสให้เด็กแต่ละคนได้มีโอกาสเรียนรู้เก่ียวกับ เสียงร้องเพลงและร่างกายของตนเอง เรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติและเสียงเคร่ืองดนตรีต่าง ๆ ด้วย การใหเ้ ดก็ ไดเ้ คลื่อนไหวร่างกายประกอบเพลง ไดใ้ ช้ภาษา บรรเลงเคร่ืองดนตรี และร้องเพลง เป็น การเปิดโอกาสให้เด็กได้สารวจตรวจตราในเร่ืองต่าง ๆ เช่น ตัวเขาเอง ธรรมชาติ หรือสารวจเสียง ต่าง ๆ จะเป็นพน้ื ฐานของเด็กดา้ นการแสดงออกทีด่ ขี ้ึนในอนาคต การจดั ประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัย ความหมายของการจดั ประสบการณ์ การจัดการเรียนการสอนสาหรับเด็กปฐมวัยเป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่ง หมายถงึ กระบวนการทจี่ ะทาให้เด็กได้รับความรู้มที กั ษะปฏิบตั แิ ละเหน็ สิง่ ต่างๆ ท่ีครูต้องการให้รู้โดย สอดคล้องกับลกั ษณะความใคร่รู้ใคร่เรียนของเด็กซึ่งลักษณะของประสบการณ์การเรียนรู้มีลักษณะ เฉพาะทีส่ าคญั ดังน้ี 1. เด็กต้องได้สัมผัสจับต้องโดยตรงด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ในชั้นเรียนหรือ นอกช้นั เรียน เปน็ รายบุคคลหรือรายกลมุ่ 2. เดก็ เปน็ ผู้ริเรม่ิ เปน็ ผู้เลอื กสิ่งท่ีตนเองต้องการเรียนร้ดู ้วยตนเอง 3. เน้อื หาหรือสาระท่ีเรียนร้มู ีความหมาย กลา่ วคอื เหมาะกบั อายุของเดก็ 4. ประสบการณก์ ารเรยี นรู้มีความตอ่ เนือ่ ง 5. สนับสนุนใหโ้ อกาสในการใชภ้ าษา การมีปฏิสัมพันธด์ ว้ ยการสอ่ื สาร 6. สร้างเสริมประสบการณ์ปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนเพื่อการแลกเปล่ียนประสบการณ์ และการ สร้างเสรมิ กจิ กรรมทางสงั คม 7. มกี ารสรุปแนวคิดและความร้จู ากกิจกรรม มีการสะท้อนการเรียนอย่างมีระเบียบวิธี และ มกี ารนาเสนอรว่ มด้วย สรุปได้ว่าการจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง การจัดเตรียมกิจกรรม สภาพแวดลอ้ มทงั้ ในหอ้ งเรียน นอกหอ้ งเรียน รวมทัง้ การการจัดหาส่ือวัสดอุ ุปกรณ์ต่างๆ ท่ีเหมาะสม ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองผ่านประสาททั้ง 5 ในการสืบค้นโดยตรง รวมท้ังส่งเสริมให้เด็กมี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง96 ปฏิสมั พนั ธ์กบั ผู้อืน่ เพือ่ แลกเปล่ียนประสบการณ์ ซึง่ จะทาให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาจนบรรลุวัตถปุ ระสงคท์ ่ีกาหนด ภาพที่ 7.1 การจัดประสบการณส์ าหรับเด็กปฐมวยั ทม่ี า : วิจติ รา เงนิ บาท (2563) ความสาคัญของการจดั ประสบการณ ดิวอี้ (Dewey) กลาววา การจัดประสบการณใหกับเด็กปฐมวัยมีความสาคัญมากในการ ฝกใหเด็กคิดแกปญหาการแสดงออกอยางอิสระ และสามารถนาความรูท่ีไดจากประสบการณน้ัน มาใชในการแกปญหารวมดวยเนื่องจากเดก็ ปฐมวัยกาลงั มพี ฒั นาการอยางรวดเรว็ ทั้งทางดานรางกาย อารมณจิตใจ สังคมและสติปญญา เด็กจะเรียนรูไดดีเม่ือการเรียนการสอนที่จัดใหกับเด็กเปน ประสบการณตรง แนวคดิ พื้นฐานเกี่ยวกบั การจัดประสบการณสาหรับเด็กปฐมวัย การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัยเป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะการบูรณาการผ่าน การเลน่ ด้วยการลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ โดยใชป้ ระสาทสัมผัสท้ังห้า เพ่ือให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงอย่าง หลากหลายเกิด การเรียนรู้ ได้พัฒนาท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา นกั การศึกษาไดส้ รปุ แนวคิดและทฤษฎีพน้ื ฐานในการจัดการศกึ ษาสาหรับเด็กปฐมวยั ดังนี้ ล็อค (Lock) มีความเห็นวาเด็กทารกน้ันเปรียบเสมือนผาขาว ประสบการณตาง ๆ และ สง่ิ แวดลอมจะมีความสาคญั อยางมากตอการเจริญเตบิ โตของเด็กทาใหเดก็ มีพัฒนาการทีแ่ ตกตางกัน สกินเนอร (Skinner) เช่ือวาพฤติกรรมของคนเราน้ัน เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ กับ ส่ิงแวดลอ้ มสามารถปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมน้นั ไดดวยตัวเสริมแรง ดงั น้ันในการสอน ครูสามารถนาเด็ก ไปสูพฤตกิ รรมหรอื การเรยี นรูท่ีตองการได รุสโซ (Rousseau) นักปรัชญาชาวฝร่ังเศส ซ่ึงเชื่อในพื้นฐานความดีในสัญชาติญาณของ มนษุ ยเราเปนนักวฒุ ภิ าวะนยิ มทมี่ ีความเหน็ วา ถาเราใหโอกาสเด็กเจริญเติบโตตามวิถีทางธรรมชาติ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง97 แลวเด็กจะพัฒนาไดเต็มศักยภาพ เพราะฉะนั้นพอแมหรือครูควรหลีกเล่ียงที่จะขัดขวางการ เจรญิ เติบโตตามธรรมชาติของเดก็ ไมบังคับเด็ก ฟรอยด (Freud) มีความเห็นวา อิทธิพลท่ีสาคัญที่สุดของพัฒนาการนั้นมาจากภายในตัว เด็ก ทงั้ ทางดานอารมณ สังคม สติปญญา และทางกาย กีเซล (Gesell) มคี วามเหน็ วา พัฒนาการของเด็กจะเปนไปตามธรรมชาติตามอายุของเด็ก เมื่อถึงวนั นน้ั เด็กจะแสดงพฤติกรรมตางๆ ไดโดยไมตองไปเรงหรือฝกเด็ก นักการศึกษาหรือพอแม ควรใหอิสระเด็กในการทากิจกรรมตางๆ ตามความสนใจ เพยี เจท (Piaget) นกั จิตวทิ ยาชาวสวิส ไดอธิบายถึงกระบวนการคิด และสรางความรูของ เดก็ หลักการทางทฤษฎพี ัฒนาการทางสติปญญาของเพยี เจทหลายประการทชี่ วยใหครูคิดสรางสรรค จดั กิจกรรมและประสบการณท่เี หมาะสมใหกบั เด็ก กลาวคอื 1. การเรยี นรูเปนกระบวนการที่อาศัยความกระตือรอื รน ทงั้ ทางรางกายและจิตใจของผูเรยี น 2. พัฒนาการแตละข้ันจะดาเนินไปตามลาดับข้ันตอนจะขามขั้นไมไดและดวยอัตราที่ แตกตา่ งกนั ในแตละบุคคล 3. ภาษาไมใชปจจยั ทท่ี าใหเดก็ เกิดการเรยี นรูและความคิดรวบยอดเพยี งอยางเดียว 4. พฒั นาการทางสตปิ ญญาของเด็ก สงเสรมิ ไดดวยการมีปฏิสัมพันธกับเด็กอื่น ผูใหญและ ส่งิ แวดลอมทางกายภาพ ดวิ อี้ (Dewey) ไดพัฒนาแนวคิดที่วาประสบการณสาหรบั เดก็ เกิดข้นึ ไดตองใชความคิดและ การลงมือปฏิบัติกจิ กรรมตางๆ ทดลองและคนพบดวยตนเอง ไมนิยมการสอนใหเด็กทองจา แตเช่ือ ในการใหอสิ ระเด็กไดสารวจ เลนในสงิ่ แวดลอมที่เต็มไปดวยกิจกรรมที่จะนาไปสูความสนใจของเด็ก ลักษณะการเรียนรูของเด็กนั้นจะเรียนส่ิงที่เด็กเก่ียวของดวยหรือตอเม่ือเด็กยอมรับดวยใจเขาเอง หรือสมัครใจทาเอง การท่ีเด็กจะเรียนมากนอยเพียงใดก็แลวแตวาสิ่งน้ันจะมีความสาคัญตอเด็ก เพยี งใด หรือเกี่ยวของมคี วามหมายเพียงใด หรอื เก่ียวของกบั สิ่งทีเ่ ด็กทราบอยูแลว แนวทางการจัดประสบการณส์ าหรับเด็กปฐมวัย การจดั ประสบการณ์สาหรับเดก็ ปฐมวยั ควรดาเนินการตามแนวทางดงั ต่อไปน้ี 1. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ และการทางานของสมองท่ี เหมาะสมกับอายุ วุฒภิ าวะ และระดบั พฒั นาการ เพือ่ ใหเ้ ดก็ ทกุ คนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศักยภาพ 2. จดั ประสบการณใ์ ห้สอดคล้องกบั แบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทา เรียนรู้ผ่าน ประสาทสัมผสั ท้งั ห้า ไดเ้ คลือ่ นไหว สารวจ เลน่ สงั เกต สืบค้น ทดลอง และคิดแกป้ ัญหาด้วยตนเอง 3. จัดประสบการณแ์ บบบรู ณาการ โดยบูรณาการท้งั กิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้ 4. จัดประสบการณ์ให้เด็กไดค้ ิดรเิ ริม่ วางแผน ตดั สินใจ ลงมือกระทา และนาเสนอความคิด โดยผู้สอนหรอื ผ้จู ัดประสบการณเ์ ปน็ ผู้สนับสนุน อานวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเดก็

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง98 ภาพท่ี 7.2 การจัดประสบการณ์แบบบรู ณาการ ทมี่ า : วจิ ติ รา เงนิ บาท (2563) 5. จัดประสบการณ์ใหเ้ ดก็ มีปฏิสมั พนั ธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อ การเรยี นรู้ในบรรยากาศท่อี บอุน่ มคี วามสุข และเรยี นรู้การทากจิ กรรมแบบรว่ มมอื ในลักษณะตา่ งๆ 6. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย และอยู่ในวิถี ชวี ิตของเด็ก สอดคล้องกบั บรบิ ทสงั คมและวัฒนธรรมท่แี วดลอ้ มเดก็ 7. จดั ประสบการณท์ ีส่ ง่ เสริมลกั ษณะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช้ชีวิตประจาวัน ตามแนวทาง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และการมีวินัย ให้เป็น สว่ นหนึง่ ของการจัดประสบการณ์การเรียนรูอ้ ย่างตอ่ เน่อื ง 8. จดั ประสบการณท์ ้ังในลักษณะทม่ี ีการวางแผนไว้ล่วงหนา้ และแผนท่เี กดิ ข้ึนในสภาพจริง โดยไม่ไดค้ าดการณไ์ ว้ 9. จัดทาสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็น รายบุคคล นามาไตร่ตรองเพ่ือใช้ให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาเด็กและการวจิ ัยในช้นั เรยี น 10. จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชน มีส่วนร่วมทั้งการวางแผน การ สนบั สนนุ สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ การเข้าร่วมกจิ กรรม และการประเมนิ พฒั นาการ หลักการจัดประสบการณ์สาหรับเดก็ ปฐมวยั ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับเด็กปฐมวัยนั้น ต้องคานึงถึงความสามารถ ความ เหมาะสมและความสนใจของเด็ก ดังน้ันหลักการจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัยควรมีลักษณะ ดังน้ี 1. กิจกรรมทจ่ี ัดตอ้ งตรงกบั ความสนใจ และเกิดความต้องการของเดก็ ตามวยั 2. กิจกรรม่ีจัดตอ้ งเป็นกิจกรรมท่ีทาเป็นรายบคุ คล กลมุ่ ย่อยและกลุม่ ใหญ่ 3. กจิ กรรมท่ีจดั ตอ้ งสมดลุ ระหว่างกจิ กรรมในหอ้ งเรยี นและนอกหอ้ งเรยี น 4. กจิ กรรมทจ่ี ดั ตอ้ งใชเ้ วลาทีเ่ หมาะสมกบั วัยและความสนใจของเดก็ ดังน้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง99 เด็กอายุ 3 ขวบ มีชว่ งความสนใจประมาณ 8 นาที เด็กอายุ 4 ขวบ มีชว่ งความสนใจประมาณ 12 นาที เด็กอายุ 5 ขวบ มชี ่วงความสนใจประมาณ 15 นาที 5. กจิ กรรมทจี่ ัดควรเนน้ สอ่ื ของจรงิ การสังเกต การสารวจ ค้นคว้า ทดลอง และปฏิสัมพันธ์ กับผู้ใหญ่ สรุปได้วา การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กนั้น ควรคานึงถึงความสามารถความเหมาะสม กบั วยั ของเด็ก และตอ้ งเป็นเรอื่ งทเี่ ด็กมคี วามสนใจ เป็นหลกั นาสิ่งทีเ่ ด็กต้องการจะเรียนรู้ในทุกด้าน มาลาดับความสาคัญของประสบการณ์ จัดให้เหมาะสม สอดคล้องกับพัฒนาการและชีวิตของเด็ก กิจกรรมที่นามาใช้ในการจัดประสบการณ์ควรมีวิธีจูงใจ เร้าความสนใจของเด็กไม่ให้ซ้าซาก ควรให้ เด็กเกดิ ความสนุกสนานเน้นการปฏบิ ตั ิ ได้รว่ มกจิ กรรมมากทส่ี ุดและเด็กเรียนรไู้ ด้อยางเตม็ ศกั ยภาพ ธรรมชาติและการแสดงออกของเดก็ ปฐมวัย เด็กปฐมวัยท่ีมีความสุขจะแสดงออกถึงความพึงพอใจ อบอุ่นใจในสิ่งต่างๆที่เขาได้รับ มี ใบหนา้ ทีย่ ิ้มแยม้ แจม่ ใส รู้สึกสนกุ สนานรา่ เรงิ กบั กิจกรรมต่างๆที่เด็กได้ทาหรือมีส่วนร่วม นอกจากน้ี เดก็ จะรู้จกั อารมณข์ องตนเองว่าเปน็ อย่างไรและสามารถควบคุมอารมณข์ องตนเองได้ เข้าใจและเห็น อกเห็นใจผอู้ น่ื เปน็ เดก็ ท่ยี อมรับกฎเกณฑ์ กตกิ า จากการฝึกและเรียนรู้ในเร่ืองระเบียบวินัย มีความ มงุ่ มนั่ มานะ อดทนต่อการทางาน ปรบั ตวั ตอ่ ปัญหาต่างๆได้ มองโลกในแง่ดแี ละกลา้ แสดงออก การแสดงออกเป็นสิ่งจาเป็นในชีวติ ประจาวนั ของเดก็ ปฐมวัย เด็กปฐมวัยแสดงออกในหลาย ลักษณะเช่น ย้ิม หัวเราะ ร้องไห้ ตบมือ กระโดดโลดเต้น ร้องราทาเพลง เล่น พูด การแสดงออก ดังกล่าวน้ีชี้ให้เห็นถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และความต้องการของเด็ก การแสดงออกของเด็ก ปฐมวัยเป็นวิธีการท่ีเด็กใช้ส่ือสารให้ผู้ใหญ่และผู้ใกล้ชิดกับเด็กเข้าใจความต้องการของเด็ก เด็ก ปฐมวัยควรไดร้ บั การสง่ เสรมิ ใหแ้ สดงออกได้อย่างเต็มที่ ในการส่งเสริมการแสดงออกนั้นจะเน้นการ แสดงออกท่ีพึงประสงค์ของเด็ก โดยใช้การฝึกพฤติกรรมการกล้าแสดงออก (Assertive Training) เป็นเทคนิคการปรบั พฤติกรรมที่พัฒนาขึน้ เพอื่ ช่วยให้บุคคลสามารถปรบั ตวั ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพใน การปฏสิ มั พันธก์ บั บคุ คลอ่ืนในสงั คม รูปแบบการจัดกิจกรรม ลีลา จงั หวะสาหรบั เดก็ ปฐมวัย เด็กปฐมวัยเปน็ ช่วงทม่ี ีการพัฒนาอย่างรวดเรว็ จากประสบการณ์การเรียนรู้ต่างๆท่ีเด็กได้รับ ประสบการณ์เหล่าน้ีจะฝังอยู่ใน โครงสร้างพื้นฐานของสมองของเด็กซึ่งมีกระบวนการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องการแสดงออกของเด็กปฐมวัยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้าน ต่างๆ ในขณะท่ีเด็กปฐมวัยกาลังพัฒนา จึงมีความสาคัญในการทาให้เด็กมีความสุข สอดคล้องกับ กระบวนการพัฒนาของสมองที่จะเปน็ แบบให้และได้รับกลบั คืนมา (serve and return) รปู แบบการ จดั กิจกรรม ลลี า จังหวะและการเคล่ือนไหวเป็นการฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออกของเด็กปฐมวัยนั้น ทาไดห้ ลายวธิ ดี ังนี้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง100 1. กิจกรรมละครสรา้ งสรรค์ ละครสร้างสรรค์เป็นรูปแบบของการเล่นสมมติที่ผ่านกระบวนการจัดเตรียมข้อมูลและวาง แผนการเล่นให้เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของผู้ร่วมกิจกรรม เพื่อให้ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถรับ ประโยชนส์ ูงสุดจากการเลน่ โดยที่ยังรกั ษาไว้ซึง่ ธรรมชาตขิ องการเล่นเอาไว้เป็นอยา่ งดี การเลน่ ละคร สร้างสรรค์นั้นจะต้องเล่นในสถานที่ที่ผู้ร่วมกิจกรรมรู้สึกปลอดภัย ไม่เครียด ไม่กังวล และสามารถ แสดงออกภายใต้เงอื่ นไขท่ีตกลงรว่ มกันอย่างเสรี โดยมุ่งประโยชน์ไปท่ีพัฒนาการของผู้ร่วมกิจกรรม เป็นหลัก จึงอาจกล่าวได้ว่ากิจกรรมละครสร้างสรรค์น้ันเป็นการเล่นบทบาทสมมติในแบบท่ีไม่เป็น ทางการ แทนที่จะมีนักแสดงแต่กลับมีผู้ร่วมกิจกรรม แทนท่ีจะมีผู้กากับการแสดงแต่กลับมีผู้นา กิจกรรมที่ช่วยอานวยความสะดวกในกระบวนการทั้งหมด ภาพท่ี 7.3 เดก็ ปฐมวยั แสดงละครสร้างสรรค์ ท่ีมา : . https://www.youtube.com/watch (2559) ความสาคญั ของละครสรา้ งสรรค์ การเลน่ ละครสรา้ งสรรค์มคี วามหมายตอ่ การเรยี นรูเ้ พราะเดก็ ได้กระทาได้คิดและได้ทดสอบ กระบวนการการเล่นละครสร้างสรรค์จึงถือเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย สามารถสรุป ความสาคัญของละครสร้างสรรค์ได้ดงั นี้ 1. กิจกรรมละครสร้างสรรค์ช่วยให้เด็กปฐมวัยมีความรู้ ความสามารถ มีความเชื่อมั่นใน ตนเอง ด้านการกล้าแสดงออก เพราะการจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เด็กได้แสดงออก อย่างอิสระตามจินตนาการและความคดิ สร้างสรรค์ 2. การจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ทากิจกรรมกลุ่ม ร่วมกัน เดก็ มีอสิ ระในการแสดงออกด้านความคดิ ทาใหเ้ ด็กสามารถปรบั ตวั เขา้ กับสภาพแวดล้อมได้ 3. เด็กปฐมวยั ได้มคี วามรู้ความสามารถด้านความภาคภูมใิ จในตนเอง เพราะการจัดกิจกรรม ละครสร้างสรรค์เปิดโอกาสให้เด็กได้ทากิจกรรมด้วยตนเองแสดงความสามารถได้เต็มที่ เมื่อเด็ก ประสบความสาเร็จเด็กเกดิ ความภาคภูมใิ จในตนเอง 4. การจัดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ทาให้เด็กปฐมวัยมีความรู้ด้านความเข้าใจตนเองเพราะ การจัดกิจกรรมละครสรา้ งสรรค์เปน็ กิจกรรมท่ีเปดิ โอกาสให้เด็กปฐมวยั มีอสิ ระในการแสดงออก และ เด็กสามารถทาในสิ่งท่ีตนชอบไดอ้ ยา่ งอสิ ระทาให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเองและความสนใจใน การเขา้ รว่ มกิจกรรม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง101 ประโยชน์ของละครสรา้ งสรรค์ ละครสร้างสรรคม์ คี ุณประโยชน์มากมายและละครสร้างสรรค์ยังเป็นแนวทางหน่ึงในการจัด ประสบการณ์การเรยี นรทู้ ช่ี ่วยพัฒนาคนให้สมบูรณ์ ทาให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้มีโอกาสพัฒนาด้านจิตใจ ร่างกาย สังคม และสติปัญญา เรียนรู้ที่จะคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ละครสร้างสรรค์ทาให้ ผู้เรยี นมีความสนุกสนานมคี วามเพลดิ เพลนิ ได้ฝกึ การใช้จินตนาการ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้ง ยังฝึกการคิดและเรียนรู้การแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ช่วยพัฒนามนุษย์ในด้านความสามารถหรือ ปญั ญาครบทง้ั 8 ด้านที่ช่วยพัฒนาคนให้สมบูรณ์มากยิ่งข้ึน และที่สาคัญคือยังคงธรรมชาติของการ เล่นของเด็กเอาไว้ โดยไม่เป็นการยัดเยียดความรู้มากจนเกินไป ไม่บังคับ ไม่ฝืน แต่เป็นการ สนุกสนานกบั กจิ กรรมร่วมกัน 2. กิจกรรมร้อง เล่น เต้นรา กจิ กรรม รอ้ ง เลน่ เตน้ รา คือ กจิ กรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ ซึ่งเป็นกิจกรรมหน่ึงที่ สาคญั ต่อพัฒนาการของเด็ก เพราะเด็กได้ใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางในการแสดงออกทางอารมณ์และ ความคิดสร้างสรรคต์ ามจังหวะ เสียงดนตรีและเสียงเพลงโดยการเคลื่อนไหวอยา่ งอิสระช่วยให้เด็กได้ เรยี นรกู้ ารเคลือ่ นไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพ่ือท่ีจะสามารถพัฒนาทักษะในการเคล่ือนไหวส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้นช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้เกิดความ ม่นั ใจในตนเอง เพราะเดก็ ได้แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และความเป็นตัวของตัวเองอย่าง อสิ ระ ซง่ึ สง่ ผลในการพฒั นาความมน่ั ใจในตนเองโดยมรี ายละเอียดของกิจกรรมดงั นี้ 1) การร้องเพลง การรอ้ งเพลงสามารถเสริมหลักการของการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะโดยการ บูรณาการเข้ากับกิจกรรมเสริมประสบการณ์เด็กจะได้เรียนเน้ือหาจากการร้องเพลง การเล่นเกม เป็นตน้ มจี ดุ ประสงค์เพือ่ ใหเ้ ดก็ ได้แสดงออกเพือ่ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เรียนรู้เกี่ยวกับ ภาษา และจังหวะการจัดกิจกรรมร้องเพลงสามารถนามาสร้างเป็นรูปแบบกิจกรรมการสอนมีกิจกรรมที่ สนุกสนาน พัฒนาให้เด็กได้ใช้สติปัญญา อารมณ์ ความรู้สึก สามารถสนับสนุนส่งเสริมทักษะทาง ภาษาด้านการอ่าน มีองค์ประกอบหลายอย่างท่ีมีความสัมพันธ์กัน อาทิ เช่น คาพูด (Speech) บทร้อง (Chant) และเพลง (Song) เป็นการฝึกปฏิบัติในเรื่องการอ่าน การท่องและการออกเสียง (ธวัชชัย นาควงษ์, 2542)การสอนให้เรียนรู้ในเรื่องของการร้องเพลงควรเร่ิมต้ังแต่วัยเด็ก เพ่ือการ ปลูกฝังให้เป็นคนทร่ี กั ในเสียงเพลงและเสียงดนตรีซ่ึงเป็นส่วนช่วยในการขัดเกลาจิตใจ ช่วยส่งเสริม พฒั นาการด้านอืน่ ๆ ให้กบั เด็กและมคี วามเหมาะสมตอ่ ชว่ งวยั มากที่สุด การสอนร้องเพลงให้แก่เด็กปฐมวัย ครูสามารถนามาสอนให้เด็กร้องได้ตลอดเวลาและ สมควรแก่โอกาสแมใ้ นเวลาหยุด พกั หรือนอนพักผอ่ น ครูกใ็ ห้เดก็ ฟังเพลงและดนตรีได้หรือในขณะท่ี เด็กทากิจกรรมต่าง ๆ เชน่ ในขณะที่ลา้ งมอื ถา้ มีเพลงเก่ียวกับการล้างมอื กค็ วรนามาร้อง เวลาพาเด็ก ออกไปเดินเล่นแล้วเห็นนกบินไปมาก็อาจจะร้องเพลงนกพูดคุยกันเรื่องนกหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดข้ึน เช่น เวลาฝนตกก็อาจจะร้องเพลงฝนการสอนให้เป็นธรรมชาติจะเป็นการช่วยให้เด็กพอใจ และสบายใจขนั้ ตอนการสอนเพลงและดนตรีสาหรับเด็กปฐมวัยเป็นเร่ืองท่ีสาคัญที่สามารถทาให้เด็ก เรยี นรู้ได้อยา่ งสนุกสนานครูจาเป็น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 102 ภาพท่ี 7.4 การสอนร้องเพลงใหแ้ กเ่ ด็กปฐมวยั ทม่ี า : https://www.gotoknow.org/posts/114091 จะต้องรู้ข้นั ตอนในการสอนเพลงและดนตรีทีถ่ กู ต้อง เด็กจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ตรงวัตถุประสงค์ โดย มีขั้นตอนในการสอนรอ้ งเพลงและดนตรีสาหรับเดก็ ปฐมวัยดงั นี้ 1. การเตรียมการสอนครูจะต้องเตรียมอุปกรณก์ ารสอนให้ตรงกบั จุดมงุ่ หมายที่จะสอน 2. การสอน 2.1 นาเข้าสบู่ ทเรียนดว้ ยการสนทนา 2.2 ร้องเพลงที่ต้องการสอนให้เด็กฟัง 1-2 เท่ยี ว 2.3 ร้องเพลงใหจ้ ังหวะและชักชวนเดก็ ให้ตบมอื เข้าจังหวะแล้วให้เด็กร้องเพลง ตามครูอีก 1-2 เทย่ี ว ถ้าเดก็ ร้องตามไมไ่ ด้ครทู อ่ งเนอื้ เพลงใหฟ้ งั ใหเ้ ดก็ ท่องตามทีละวรรค 2.4 ทาทา่ ประกอบตามเนื้อเพลงในขณะที่ร้องเพอ่ื ช่วยให้เด็กเนอื้ เพลงได้เร็วขนึ้ 2.5 อธิบายคาและความรูใ้ นเนื้อหาของเพลง 2.6 ใหเ้ ดก็ รอ้ งพรอ้ ม ๆ กับครู 3. ขั้นทบทวน 3.1 ให้เดก็ รอ้ งพร้อมกนั และทาทา่ 3.2 ใหเ้ ด็กรอ้ งเป็นกลมุ่ ย่อยหรือผลดั กนั รอ้ ง 3.3 ใหเ้ ด็กผลัดกนั ออกมาแสดงหนา้ ช้นั ทีละค่หู รือเดย่ี ว 3.4 เปดิ ภาพใหเ้ ดก็ ร้องตามและทาท่าทางประกอบ 4. ขัน้ สรปุ สนทนาซักถามและอธิบายเพิ่มเตมิ พอสรุปได้ว่า การสอนให้เด็กร้องเพลงให้มีประสิทธิภาพนั้นครูจาเป็นต้องรู้ข้ันตอนใน การสอนท่ีถูกต้องเพ่ือให้เด็กได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานเป็นลาดับข้ันตอนและบรรลุเป้าหมายและ วตั ถปุ ระสงค์

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง103 2) การเล่น การเลน่ เปน็ กิจกรรมที่เปน็ หวั ใจและมคี วามสาคัญเพราะเป็นการสนองความต้องการ ทางจิตใจ คือ เกิดความสนุกสนาน ขณะท่ีเด็กเล่นจะเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันด้วย เด็กจะ เรียนรู้ได้ดโี ดยผ่านประสบการณต์ รงท่ีเป็นรูปธรรม โดยใช้ประสาทสัมผัสท้ัง 5 และมีโอกาสพัฒนา ทักษะต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันด้วย การเล่นเป็นธรรมชาติของเด็ก และเป็นโอกาสที่เด็กจะได้ศึกษา ธรรมชาติรอบ ๆ ตวั ภาพที่ 7.5 การเล่นเปน็ ธรรมชาตขิ องเดก็ ทม่ี า : http://anubandamnoen.com/datashow_208816 ซ่ึงสิ่งเหลา่ นจี้ ะเพ่ิมพูนความรู้แกเ่ ดก็ โดยให้ร้วู ่ายังมีสิ่งใหม่ ๆ อีกมากมายรอบตัวที่จะต้องเรียนรู้อยู่ เสมอ การเล่นจะเป็นวิถที างนาเดก็ ไปสู่การมีชีวิตอย่างผู้ใหญ่ ประสบการณ์จากการเล่นของเด็ก จะ นาไปสู่การรับผิดชอบตัวเองสามารถช่วยให้จัดตัวเองเข้ากับสังคม และอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมี ความสขุ นอกจากน้กี ารเล่นยังชว่ ยในด้านพัฒนาการต่าง ๆ ของเดก็ กลา่ วคือ 1. ด้านร่างกาย การเล่นจะเสริมสร้างความแข็งแรงและพัฒนากล้ามเนื้อ เพราะ ขณะเล่นเด็กมกั เคลอื่ นไหวร่างกายทุกสว่ น จะทาให้กลา้ มเนือ้ ได้ทางานประสานกนั ได้ใช้พลังงาน 2. ด้านสังคม การเล่นทาให้เด็กรู้จักเหตุผล เรียนรู้การปรับตัวเข้ากับสังคม รู้จัก แบง่ ปันเห็นอกเห็นใจ การคอย และการแลกเปลี่ยน เพราะการเล่นบางอย่างต้องเล่นกับผู้อ่ืน ผู้เล่น จะต้องเคารพกติกาการเล่น มีความยุติธรรม รู้แพ้รู้ชนะ ดังน้ัน การเล่นจึงเป็นโอกาสที่จะฝึกให้เด็ก รจู้ ักเตรยี มตัว ปรบั ตวั ที่จะอยใู่ นสงั คมเมอ่ื เปน็ ผใู้ หญ่ 3. ดา้ นจิตใจและอารมณ์การเล่นจะทาให้เด็กได้รู้จักการค้นคว้า การแก้ปัญหา และช่วย ปรับอารมณ์การเล่นบางอย่างสามารถช่วยให้เด็กระบายอารมณ์จากความรู้สึกนึกคิดภายในออกมาเป็น การกระทา เชน่ เด็กทก่ี าลงั โกรธอาจระบายอารมณ์ด้วยการตีแบดมนิ ตนั เตะลูกบอล เปน็ ตน้ 4. ดา้ นศีลธรรม เดก็ จะเริม่ เรียนรู้เมื่อได้เล่นรวมกับผู้อื่น โดยสังเกตจากความพอใจ ความสนุกสนานหรือความโกรธ ซึ่งเกิดข้ึนกับตนเองหรือเพื่อน เช่น เมื่อตนเองถูกแย่งของจะรู้สึก โกรธ เด็กกจ็ ะเรยี นรู้ว่าการแยง่ ของเปน็ ส่ิงไม่ดีเป็นต้น ส่ิงเหล่านี้จะก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ความ รบั ผิดชอบ ความยุตธิ รรม และความซอื่ ตรงเมอื่ เติบโตในภายหน้า

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง104 5. ด้านการเรียนรู้ของเล่นต่างชนิดกันจะทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้และจินตนาการ ตา่ งกัน การกระโดด การเดินปลายเท้าทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในการเคลื่อนไหว การทรงตัว และ รู้จกั ควบคมุ จังหวะไมใ่ หล้ ้ม นอกจากนกี้ ารพดู และการเลียนแบบพฤติกรรมของบุคคลใกล้เคียงจะทา ใหเ้ ด็กเกดิ ประสบการณ์ การเล่นบทบาทสมมติเปนกิจกรรมหนงึ่ ทเ่ี ดก็ ไดแสดงอารมณ ทาทางตามสถานการณ หรือบทบาทท่ีสมมติขึ้น ผูเรียนไดแสดงออกท้ังคาพูดและทาทางโดยผูสอนสรางสถานการณสมมติ และบทบาทสมมตใิ หผเู รยี นไดลงมอื ปฏบิ ตั ติ ามทตี่ นคดิ วาจะเปนผูแสดงเกิดขออภิปรายเพื่อการเรียน รทู าใหเดก็ ไดมีโอกาสเลียนแบบตามความจรงิ เพอ่ื ใหเด็กไดเรยี นรูถึงความรูสึก อารมณ และเหตุผลที่ ตนเองไดสวมบทบาทเพื่อพัฒนาสูการปรบั พฤติกรรมของตนเองใหมปี ระสิทธภิ าพเมื่อพบสถานการณ ตางๆ และสามารถนาความรูสึกและพฤตกิ รรมมาใชในชีวติ ประจาวนั ได การเล่นบทบาทสมมติชวยสงเสรมิ ใหผูเรยี นเรียนรูเก่ียวกับตนเอง และผูอื่นมากยิ่งขึ้น เด็กมีโอกาสในการแสดงออก รูถึงสาเหตุของพฤติกรรมและทาใหผูเรียนพัฒนาความรูสึกเกี่ยวกับ ตนเองในทางท่ีดีตลอดจน มีความรูสึกที่ดีตอผูอื่นมากข้ึน และไดมีโอกาสฝกปฏิบัติพรอมปรับ พฤตกิ รรมใหถูก ตองเหมาะสมกบั การเรยี นหรือรวมทางานกบั ผูอืน่ และสามารถตัดสินใจแกปญหา ชีวิตประจาวนั ไดทาใหผเู รยี นรูสึกวาตนเองประสบความสาเรจ็ กลาแสดงออกมากย่ิงขึ้น 3) การเตน้ รา การเต้น คอื การเคลื่อนไหวร่างกายและการขยับตัวไปตามจังหวะเพลง มีการเต้นราท่ี หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การเต้นราหมู่ การเต้นแจ๊ด บัลเลย์ เต้นแท็ป บอลล์รูม ฟังก์ การ เต้นเบรกแดนซ์ หรือการเต้นแบบไทย เช่น การราวง การราฟ้อน การเต้นราแสดงถึงการมีความ แข็งแกร่งและความอ่อนแอในจังหวะท่ีเป็นไปตามเพลง แสดงถึงความโรแมนติด ความเป็น สภุ าพบุรษุ สุภาพสตรี และการมีวฒั นธรรม การเตน้ เป็นกจิ กรรมท่ีต้องอาศัยการจับจังหวะและการได้ยิน เพ่ือให้การเคลื่อนไหวของ เราสอดคล้องกับทานอง เม่อื หลาย 10 ปีที่แล้ว นักวิจัยจากแคนาดา อังกฤษ และอเมริกัน สามารถ บ่งช้ีได้ว่า ‘เซลล์ประสาท (nerve cell)’ ในสมองของมนุษย์ สามารถแยกแยะจังหวะ (beat) ออก จากเสียงเร้าภายนอกได้ เราจึงสัมผัสจังหวะของเสียงท่ีหูไม่จาเป็นต้องได้ยิน โครงข่ายการทางานนี้ เป็นทาให้เราคาดเดาจงั หวะครัง้ ตอ่ ไป (next beat) แม้เราจะไม่ไดย้ นิ เสยี งของมนั เลยก็ตาม ภาพที่ 7.6 การเตน้ ราของเด็กปฐมวยั ทมี่ า : https://www.youtube.com/watch

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง105 ดังนั้นเมอ่ื การเตน้ ตอ้ งอาศัยเซลล์ประสาทที่จับจังหวะได้ สมองสว่ นทคี่ วบคมุ การเคล่ือนไหว (motor cortex) เร่ิมส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อ (body muscles) ให้เคลื่อนไหวตาม จังหวะทเ่ี ซลล์ประสาทกะไดใ้ นเวลาเดียวกนั มนุษย์จึงมกี ารเขย่าขา กระทืบเท้า ดีดนิ้วไปตามจังหวะ ท่ไี ด้ยนิ ยิ่งทาได้ลงจงั หวะเทา่ ไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจทีไ่ ดเ้ ป็นส่วนหนง่ึ ของทานอง ความสาคญั ของลลี าและจงั หวะต่อพัฒนาการเดก็ ปฐมวัย จังหวะ (Rhythm) เป็นพื้นฐานในชีวิตของมนุษย์ เราจะพบกับจังหวะได้ในทุก ๆ วัฎจักร นบั ตัง้ แตก่ ารเกิดกลางคืน - กลางวัน, การมีฤดูกาลท้ัง 4 ฤดู, การข้ึน – ลงของน้า, การหายใจ, การ เตน้ ของหวั ใจ, การเดนิ สาหรับเด็กปฐมวัยการเคล่ือนไหวและการไม่อยู่นิ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งท่ี เราเห็นอยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวของเด็กที่มักพบอยู่เสมอ คือ การเคล่ือนไหวแบบช้ามาก ช้า ปานกลาง เรว็ และเร็วมาก ลลี าและจังหวะจงึ มคี วามสาคัญตอ่ พฒั นาการของเด็กในทุกดา้ นดงั น้ี 1. ความสาคัญตอ่ พฒั นาการดา้ นร่างกาย เมอ่ื เด็กได้ยินเสียงเพลงเด็กทุกคนชอบ และพอใจ ที่จะทาท่าทางประกอบไปด้วย เนื่องจากเด็กในระดับปฐมวัยชอบเปลี่ยนอิริยาบท ชอบการ เคลอ่ื นไหว กระโดดโลดเตน้ ไปตามจังหวะทว่ งทานองของเพลง ดังนั้น เพลงและดนตรีจึงสามารถใช้ เปน็ สิ่งเร้าเพอ่ื พัฒนาลลี า จงั หวะและการเคล่ือนไหว ทงั้ การเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหว แบบเคลื่อนท่ี การเคลื่อนไหวเพ่ือดนตรี การเคลื่อนไหวเพื่อนาฏศิลป์หรือการเต้นรา รวมทั้งพัฒนา กลา้ มเนอ้ื ใหญ่ กล้ามเน้ือเลก็ แขน ขา ลาตวั นวิ้ มอื และสว่ นต่างๆ ของรา่ งกายตามจงั หวะ 2. ความสาคญั ตอ่ พัฒนาการด้านอารมณ์และจติ ใจ เพลงและดนตรีช่วยพัฒนาอารมณ์ของ เดก็ ในแงก่ ารให้ความเพลิดเพลิน สนกุ สนาน สดชน่ื รา่ เรงิ ในวัยนี้เดก็ ยังยึดตัวเองเป็นศนู ย์กลาง อาจ ทาให้เด็กเกิดความขัดแย้งหรือสับสน จึงทาให้เด็กมีปัญหาในด้านอารมณ์และจิตใจ ดนตรีจะ สามารถชว่ ยบรรเทาหรอื ปรบั อารมณเ์ ด็กได้อย่างดี ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กได้แสดงออกตามความ ต้องการความรู้สึกและความสามารถ ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก ช่วยให้เด็กผ่อน คลายความเครยี ด ดังจะเห็นได้จากการสังเกต เวลาเด็กร้องเพลง เล่นกัน เด็กจะมีหน้าตายิ้มแย้ม เบกิ บาน แมเ้ ดก็ บางคนจะมีอารมณ์หงดุ หงิด แต่เม่ือได้ร้องราทาเพลงหรือได้ฟังเพลงสักครู่ก็จะค่อย คลายความไม่สบายใจลง เพราะความไพเราะของเพลง ลีลาและท่วงทานองเพลงจะช่วยกล่อม อารมณ์ของเดก็ ให้เพลดิ เพลนิ เป็นปกตไิ ดอ้ ยา่ งดี นอกจากน้แี ลว้ ดนตรียังพฒั นาอารมณ์ของเด็ก เกิด ความบันเทิงใจ เพลิดเพลิน เกิดจินตนาการกว้างไกล อารมณ์เยือกเย็น สุขุม รักสวยรักงาม เห็น คณุ ค่าของดนตรี รกั ในเสียงเพลง เสียงดนตรี จากการสัมผัสดนตรีอยู่ในโลกของดนตรี ไม่เกิดความ เหงา เห็นเสียงเพลง เสียงดนตรีเป็นเพ่ือน เด็กจะเกิดความนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น ไม่แข็งกระด้าง ไม่ เหน็ แก่ตวั มอี ารมณส์ นุ ทรยี ล์ ะเอยี ดอ่อน การพฒั นาทางอารมณ์ของเด็กจะได้รับการกล่อมเกลาไปที ละเล็กละน้อย จนมกี ารแสดงออกทางอารมณ์ท่ีเหมาะสม อันเปน็ ผลพวงจากดนตรีนน่ั เอง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง106 ภาพที่ 7.7 การแสดงออกทางอารมณ์ของเด็ก ท่มี า : วจิ ติ รา เงินบาท (2563) 3. ความสาคัญตอ่ พัฒนาการทางสังคม เป็นทที่ ราบกนั ดีว่า เด็กปฐมวยั เป็นเดก็ ที่ยดึ ตนเอง เป็นศูนยก์ ลาง (Egocentric) เดก็ จะสนใจตนเองมากกว่า ทาให้เด็กไม่คอ่ ยคิดถึงผู้อืน่ สิง่ ที่ควรแก้ไข ให้รูจ้ ักเอาใจผู้อืน่ แบ่งปันส่งิ ของ รว่ มเล่นกับเพ่ือน รู้จกั ชว่ ยเพ่ือน ๆ รู้จักใช้ถอ้ ยคาและกรยิ าอยา่ ง เหมาะสม รจู้ กั รกั และช่ืนชมและใหอ้ ภัยตอ่ กนั ซึง่ สง่ิ ดงั กล่าวสามารถใช้ดนตรเี ปน็ สอื่ เพราะดนตรีมี สว่ นช่วยโนม้ น้าวใหเ้ ดก็ อยากเรยี น อยากเลน่ หรอื ทากิจกรรมรว่ มกับเพ่อื น โดยทไ่ี ม่ตอ้ งมกี ารบงั คบั แต่ประการใด วิธหี นึ่งท่ีจะให้เด็กได้พัฒนาดา้ นสังคม คือ ให้เดก็ ไดร้ ่วมรอ้ งเพลงหรือทากิจกรรมทาง ดนตรี แสดงบท บาทตามดนตรี จนกระท่ังเด็กเกดิ ความซาบซงึ้ และเห็นคณุ คา่ เด็กจะพยายาม เลยี นแบบ ท้งั น้ี ครูและผเู้ กยี่ วข้องต้องคอยย้าและเตือนอยเู่ สมอ จนกระทัง่ เด็กไดพ้ ฒั นาพฤตกิ รรม ทางสงั คม เด็กท่ไี ด้รับการพฒั นาทางด้านสงั คมโดยใชด้ นตรีเปน็ สื่อ เดก็ จะเรียนรู้ถึงความเป็นไปของ สงั คมใกล้ตวั และสังคมรอบขา้ ง เด็กจะเป็นทรี่ กั ของสมาชิกและสังคม อยู่ในสังคมอยา่ งมคี วามสขุ สามารถปรับตวั ใหเ้ ข้ากับผอู้ ่นื ได้ รูจ้ ักพูดจา แสดงท่าทางเหมาะแกก่ าลเทศะ ทางานและเลน่ กบั ผ้อู ่ืน ไดด้ ี ยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผูอ้ ื่น ส่งิ เหลา่ นี้ ล้วนเปน็ สิง่ ท่เี กดิ จากการใชด้ นตรีเปน็ สอ่ื ในการ พฒั นาสงั คมของเดก็ ปฐมวัยโดยแท้ 4. ความสาคัญต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ และมโนคติกับเด็กในเร่อื งต่าง ๆ เชน่ ธรรมชาติศกึ ษา คณติ ศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา ฯลฯ และ เป็นการชว่ ยที่เดก็ พอใจ เดก็ เขา้ ใจและจดจาได้เอง โดยไม่ตอ้ งมกี ารบงั คับ เชน่ บทเพลงที่เกี่ยวกับลม ฝน แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลงและทาท่าเคล่ือนไหวเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ อาทิ ลีลาเลียนแบบ ท่าทางของสัตว์ ท่าทางของคน ลีลาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น ลีลา เลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือลีลาตามจินตนาการ ซึ่งเด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติ ของส่ิงเหล่านี้เพ่ิมข้ึน หรือในขณะท่ีเด็กร้องเพลงนับกระต่าย นับลูกแมว นับนิ้ว เด็กก็จะได้รับ ความคิดในเร่อื งการเพมิ่ - ลดของจานวน การเรียงลาดับท่ี ฯลฯ ซ่งึ พฒั นาการทางสติปัญญาของเด็ก ปฐมวยั จะเจริญงอกงามโดยอาศัยกจิ กรรม ต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดนตรีนับเป็นกิจกรรมท่ี มีความสาคัญย่ิงอย่างไรก็ตามดนตรีไม่ได้มีผลดีต่ออารมณ์ของคนเราเท่านั้นดนตรียังช่วยเพ่ิม สตปิ ญั ญา ชว่ ยให้เกิดการเรียนรู้ อยา่ งไรกต็ ามดนตรที ม่ี จี ังหวะชา้ อย่างเหมาะสม จะกระตุ้นให้เกิด คล่นื สมองท่ชี ่วยเรียบเรยี งความคิด การใชเ้ หตผุ ล มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ ตลอดจนทบทวนความจา ซงึ่ นาไปสูก่ ารเข้าใจตนเองและผ้อู ่ืน

107 สรปุ ทา้ ยบท การจดั ประสบการณส์ าหรับเดก็ ปฐมวัยเป็นกระบวนการที่จะทาให้เด็กได้รับความรู้มีทักษะ ปฏิบัติและเหน็ สิง่ ตา่ ง ๆ ทค่ี รตู อ้ งการให้รู้โดยสอดคล้องกับลักษณะความใคร่รู้ใคร่เรียนของเด็กการ จดั ประสบการณใหกับเดก็ ปฐมวัยมีความสาคัญมากในการฝกใหเด็กคดิ แกปญหาการแสดงออกอยาง อสิ ระ และสามารถนาความรูที่ไดจากประสบการณน้ันมาใชในการแกปญหารวมดวยโดยมีแนวคิด และทฤษฎพี น้ื ฐานในการจัดการศึกษาสาหรับเด็กปฐมวัย สาหรับแนวทางการจัดประสบการณ์ต้อง จัดให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ และการทางานของสมอง สอดคล้องกับการเรียนรู้ของเด็ก โดยบูรณาการท้ังกิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กและส่ือส่งเสริม ลกั ษณะนสิ ัยท่ดี ีโดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชน มีส่วนร่วมโดยหลักในการจัดประสบการณ์การ เรยี นร้สู าหรบั เด็กปฐมวยั น้ัน ต้องคานึงถงึ ความสามารถ ความเหมาะสมและความสนใจของเด็ก ใน ส่วนของรูปแบบการจัดกิจกรรม ลีลา จังหวะสาหรับเด็กปฐมวัยทาได้หลายวิธี อาทิ กิจกรรมละคร สรา้ งสรรค์ กิจกรรมรอ้ ง เล่น เต้นรา กิจกรรมดงั กล่าวส่งผลตอ่ พัฒนาการเดก็ ปฐมวยั ทัง้ ด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญาเพราะเป็นกิจกรรมที่เสริมการแสดงออกของเด็ก อยา่ งเหมาะสมและตอบสนองธรรมชาติของเด็กไดอ้ ย่างดี คาถามท้ายบท 1. จงสรุปความสาคัญของการจัดประสบการณ์ 2. จงอธบิ ายความหมายของการจดั ประสบการณ์ 3. จงยกตวั อย่างแนวคิดพ้นื ฐานเก่ียวกับการจดั ประสบการณสาหรบั เด็กปฐมวัย 4. การจดั ประสบการณ์สาหรบั เดก็ ปฐมวัย มีแนวทางการจัดอยา่ งไร 5 ในการจดั ประสบการณ์การเรยี นรสู้ าหรบั เด็กปฐมวัยมกี ารจดั ช่วงเวลาแตล่ ะชว่ งวัย อย่างไร 6. จงสรปุ ธรรมชาติและการแสดงออกของเดก็ ปฐมวัยมาพอสังเขป 7. รปู แบบการจัดกจิ กรรม ลีลา จังหวะสาหรบั เด็กปฐมวยั มกี ่ีรปู แบบอะไรบ้าง 8. จงสรุปความสาคญั ของละครสรา้ งสรรค์ 9. การสอนรอ้ งเพลงใหแ้ ก่เด็กปฐมวัยมีแนวทางในการสอนอย่างไร 10. จงอธบิ ายความสาคญั ของลีลาและจังหวะตอ่ พฒั นาการเด็กปฐมวัย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง108 เอกสารอา้ งอิง กรมวิชาการ,กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2561). คู่มอื หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศักราช 2560 สาหรับเดก็ อายุ 3-6 ปี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทยจากัด. กลุ ยา ตนั ติผลาชวี ะ. (2551). การจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ าหรบั เด็กปฐมวัย.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ มิตรสมั พนั ธ์กราฟฟิค. _______.(2551). รูปแบบการเรียนการสอนปฐมวัยศกึ ษา.กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ ิตรสัมพันธ์กราฟฟิค. โกมล ศรีทองสุข. (2563).“ละครสรา้ งสรรค์สู่การพัฒนาเดก็ ”.วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ปีที่ 24 ฉบบั ท่ี 2 (กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563) . ธนาภร สุขยิง่ .(2553). ผลของการจดั กิจกรรมละครสรา้ งสรรคท์ ่ีมีตอ่ ความเชื่อมัน่ ในตนเองของ เด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวยั ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ถา่ ยเอกสาร. นพวรรณ ศรวี งค์พานชิ . (2556). การส่งเสริมพัฒนาการ. ตาราพัฒนาการและพฤตกิ รรมเด็ก เลม่ 3 การดแู ลเดก็ สขุ ภาพดี. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : บริษัท บยี อนด์ เอ็นเทอรไ์ พรซ์ จากดั . บญุ ศิริ นยิ มทศั น์. (2561). การจัดกิจกรรม ร้อง เล่น เต้น รา สาหรับเด็กและเยาวชนในชุมชน ศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร. ผสุ ดี กฏุ อินทรแ์ ละจริ ะประภา บุณยนิตย.์ (2547). “การแสดงออกของเดก็ ปฐมวยั ”. ใน เอกสาร การสอนวชิ าวรรณกรรมและลลี าคดีระดับปฐมวัยศกึ ษา. (เล่มที่ 2, หน้า 5). พิมพ์คร้ังท่ี 6. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. ละออ ชุติกร. (2537). “เพลงและดนตรสี าหรบั เด็กปฐมวยั ” ใน เอกสารการสอนชุดวชิ าวรรณกรรม และลีลาคดีระดับปฐมวยั ศึกษาหน่วยท่ี 7. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สมโภชน์ เอ่ียมสภุ าษติ . (2550). ทฤษฎแี ละเทคนคิ การปรับพฤตกิ รรม = Theories and techniques in behavior modification. พิมพ์คร้ังที่ 6. กรงุ เทพมหานคร : ศูนย์ หนังสอื แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย สริ มิ า ภิญโญอนนั ตพงษ. (2538). แนวคิดสูแนวปฏบิ ัติ : แนวการจัดประสบการณปฐมวัยศึกษา. นนทบรุ ี : ดวงกมล. องคก์ าร อินทรมั พรรยแ์ ละวิญญู ทรพั ยะประภา. (2526). “กจิ กรรมสรา้ งเสริมลกั ษณะนิสัยเดก็ ปฐมวยั ด้านดนตรี”. ในเอกสารการสอนชุดวิชา การสรา้ งเสริมลกั ษณะนสิ ยั เดก็ ปฐมวัย หน่วยที่ 8-15. พมิ พค์ รั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั นวกนก. อุสา สุทธิสาคร. (2544). ดนตรพี ัฒนาปัญญา IQ อารมณ์ EQ. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั รักลกู แฟมิล่กี รุ๊ป จากัด. Musical Rhythm, Linguistic Rhythm, and Human Evolution Aniruddh D. Patel Music Perception : An Interdisciplinary Journal Vol. 24, No. 1 (September 2006), pp. 99-104

109 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 8 จานวนชั่วโมงท่สี อน 8 สัปดาห์ที่ 12-13 หัวขอเน้อื หาประจาบท 1. แนวคิดการจดั ประสบการณ์การเรียนรสู้ าหรับเด็กปฐมวยั 2. ความสาคัญของการบูรณาการ ลีลา จังหวะและการเคลอ่ื นไหวกับการเรียนรู้ 3. แนวทางการบรู ณาการ ลีลา จงั หวะและการเคลอื่ นไหวกับการเรียนรู้ 4. ลีลา จงั หวะและการเคล่อื นไหวกับการส่งเสรมิ พัฒนาการ 5. บทบาทครูในการจดั กิจกรรมลลี า จงั หวะและการเคล่ือนไหว 6. บทบาทผ้ปู กครองในการสง่ เสรมิ ลีลา จังหวะและการเคล่อื นไหวใหก้ บั เดก็ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วตั ถปุ ระสงคเชงิ พฤตกิ รรม เมอื่ ผูเ้ รยี นไดศึกษาบทเรยี นนแ้ี ลว ผเู รยี นสามารถแสดงพฤตกิ รรมตอ่ ไปนไี้ ด้ 1. อธบิ ายแนวคิดการจดั ประสบการณ์การเรียนรสู้ าหรบั เดก็ ปฐมวยั 2. วิเคราะห์ความสาคัญของการบรู ณาการ ลลี า จังหวะและการเคล่ือนไหวกบั การเรียนรู้ 3. อธบิ ายแนวทางการบรู ณาการ ลลี า จังหวะและการเคล่อื นไหวกบั การเรียนรู้ 4. ยกตัวอยา่ งบทบาทครใู นการจดั กิจกรรมลีลา จังหวะและการเคลื่อนไหว 5. ยกตัวอยา่ งบทบาทผ้ปู กครองในการสง่ เสริมลีลา จังหวะและการเคลื่อนไหวให้กบั เด็ก กจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. แบ่งกลมุ่ ย่อยศกึ ษาแนวคดิ การจดั ประสบการณ์การเรยี นรูส้ าหรบั เด็กปฐมวยั 2. สาธิตแนวทางการบรู ณาการ ลีลา จงั หวะและการเคลอื่ นไหวกบั การเรียนรู้ 3. ให้ผู้เรียนจับกล่มุ ศึกษาใบงาน 8.1 การสร้างเสรมิ พฒั นาการดา้ นต่างๆด้วยดนตรีและ จัดทาMind map 4. ผสู้ อนสรุปเพม่ิ เติมตามหวั ข้อทีร่ ะบุในบท 5. ดูคลิปวดี โิ อเก่ียวกับบทบาทครใู นการจัดกจิ กรรมลลี า จงั หวะและการเคล่อื นไหว 6. นักศึกษาสรปุ ประเด็นสาคัญในใบงาน 8.2 วเิ คราะหบ์ ทบาทครูในการจดั กิจกรรมลีลา จังหวะและการเคลื่อนไหว 5. จดั กจิ กรรมกลมุ่ สมั พันธใ์ ห้นกั ศึกษาแสดงบทบาทสมมุติบทบาทผู้ปกครองในการส่งเสรมิ ลลี า จังหวะและการเคล่ือนไหวให้กบั เด็ก 6. ตอบคาถามท้ายบท

110 สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. คลิปวดี โิ อ 3. ใบงาน 8.1 การสรา้ งเสริมพัฒนาการดา้ นต่างๆด้วยดนตรี 4. ใบงาน 8.2 วิเคราะหบ์ ทบาทครใู นการจัดกิจกรรมลลี า จงั หวะและการเคลือ่ นไหว 5. กระดาษปรฟู๊ 6. ปากกาเคมี การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. การสงั เกต 1.1 ผลจากการอภปิ รายซักถามในกลุ่มใหญ่ 1.2 ผลจากการอภิปรายรว่ มกนั ในกล่มุ ย่อย 1.3 การตั้งคาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤติกรรม ความกระตอื รอื รนในการทากจิ กรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถูกต้องจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบทีไ่ ดจากการทาแบบฝกึ หัดท้ายบท 2.3 ตรวจคณุ ภาพผลงานทีม่ อบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง111 บทที่ 8 การบรู ณาการ ลลี า จังหวะและการเคล่ือนไหว การบูรณาการถือว่าเป็นแนวทางหน่ึงของการสอน รวมทั้งเป็นปรัชญาในการสอนที่นา เนอื้ หาความรู้จากหลายวิชามาสัมพันธ์ท่ีจุดเดียวกัน (Focus) หรือหัวเรื่อง (Theme) เดียวกัน การ จัดประสบการณ์แบบบรู ณาการเป็นการจัดประสบการณ์ที่นาความรู้ ความคิดรวบยอด ทักษะ และ ประสบการณ์สาคัญทั้งมวลท่ีผู้เรียนจะได้รับในสาระการเรียนรู้ต่างๆ มาเช่ือมโยงผสมผสานเข้า ดว้ ยกนั อยา่ งมคี วามหมาย และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ซึ่งเป็นการขจัดความซ้าซ้อน ความไมส่ มั พนั ธ์ และความไมต่ ่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับปฐมวยั ซงึ่ เนน้ การพัฒนาโดยองค์รวม แนวคิดการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้สาหรับเด็กปฐมวัย สมองของเดก็ เล็กได้รับความสนใจในช่วงประมาณ 20 ปีท่ีผ่านมา เราได้เรียนรู้ว่าสมองถูก ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้ คาอธิบายเก่ียวกับเร่ืองของสมองของเด็กเล็กชี้ชัดว่าการเชื่อมต่อของ เซลส์สมองของเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เครือข่ายเซลส์สมองท่ีเชื่อมต่อกันน้ีมี ความสาคญั มากต่อการเรียนรู้ ประสบการณ์ตา่ งๆ ท่เี ดก็ ไดร้ บั จะถกู ป้อนเขา้ ส่สู มองของเด็ก และเป็น ตัวกระตนุ้ ให้เกดิ การเชือ่ มตอ่ ของเส้นใยประสาท เส้นใยประสาทและจุดเช่ือมต่อที่ทางานอยู่เสมอจะ มกี ารสรา้ งไขมันลอ้ มรอบ (Myelinization) ทาใหก้ ารเคลือ่ นไหวของกระแสไฟฟ้าในเส้นใยประสาท เปน็ ไปอย่างรวดเรว็ และมีประสิทธิภาพ และเป็นการป้องกันไม่ให้เครือข่ายเส้นใยประสาทถูกกาจัด ไป ดังนั้น การท่ีจะทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้ จึงต้องให้เด็กได้รับประสบการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม โดยการจัดการเรยี นรู้บนฐานของหลกั การเรยี นร้ขู องสมองและจติ ดังน้ี 1. สมองสามารถทางานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน (A parallel processor) และการ เรียนรู้เก่ียวข้องกับสรีระทั้งหมดของร่างกาย สมองทางานเป็นระบบซ่ึงเป็นองค์รวม (A whole system) จะไม่แยกเรียนรู้เฉพาะทีละส่วน การจัดการศึกษาจึงต้องไม่จัดโดยแยกเป็นส่วนๆให้ สอดคล้องกับธรรมชาติของมนษุ ย์ 2. ในชว่ งแรกของชีวิตสมองเติบโตอย่างรวดเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสมองเกิด จากการท่ีบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม มนุษย์แต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ดังนั้น ความสัมพนั ธ์ทางสงั คมจงึ มอี ทิ ธิพลต่อการเรยี นรู้ 3. มนุษย์มคี วามตอ้ งการพนื้ ฐานตามธรรมชาติในการค้นหาความหมายของสิ่งต่างๆ ดังนั้น จึงต้องตอบสนองตอ่ ความต้องการคน้ หาความหมายดว้ ยการได้สารวจและเรยี นรู้ส่ิงต่างๆ 4. สมองจะท้ังรับรู้และทาความเข้าใจรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่สมองจะสร้างและ แสดงออกด้วยรูปแบบของตัวเอง ดังนั้น การจัดการศึกษาจึงต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้กาหนด รูปแบบในการเรียนรแู้ ละทาความเขา้ ใจของตนเอง 5. อารมณ์มีผลต่อรูปแบบการเรียนรู้ อารมณ์และการเรียนรู้เป็นส่ิงท่ีแยกจากกันไม่ได้ ดังนนั้ บรรยากาศที่เหมาะสมจึงเอื้อให้เกิดการเรียนรู้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง112 6. สมองท้งั สองซกี จะทางานอยา่ งสัมพนั ธ์กนั ในทุกๆ กจิ กรรม ซึ่งทาใหเ้ ราได้รู้ว่าสมองจะทา การแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ และทาความเข้าใจโดยภาพรวม ดังนั้น การจัดการศึกษาที่ดีต้อง ตระหนกั ถึงข้อนี้ โดยการใหเ้ รยี นรูเ้ ปน็ ภาพรวมและสว่ นยอ่ ย 7. การเรียนรู้ประกอบด้วยจุดสนใจหลักและรับรู้ส่ิงต่างๆรอบตัวไปพร้อมๆ กัน ดังน้ัน ใน การจดั การศึกษาจงึ จาเป็นต้องใส่ใจตอ่ สิง่ แวดลอ้ มในการเรยี นร้ใู นทกุ แงม่ ุม 8. การเรียนรเู้ ป็นไปโดยท่เี กดิ ความตระหนักในสง่ิ ท่กี าลังเรียนรู้และไม่ไดต้ ระหนกั วา่ เกิดการ เรยี นรู้ การเรียนรู้อาจไม่ได้เกิดข้ึนอย่างทันทีแต่ต้องใช้เวลาที่ค่อยๆเกิดข้ึน ดังน้ัน การจัดการศึกษา จึงต้องออกแบบให้เอื้อให้ผู้เรียนได้ค่อยๆต่อเติมแนวคิด ทักษะ และประสบการณ์ จนกระทั่งเกิด ความเข้าใจและเรยี นรู้ 9. มนุษย์มีวิธีจัดระบบความจา 2 แบบท่ีสาคัญ คือ ระบบการจาเป็นมิติ และการท่องจา การเรยี นรทู้ มี่ คี วามหมายต่อผู้เรียนจะเกิดจากระบบความจาทั้งสองแบบนี้ ดังนั้น การเรียนรู้จะเกิด จากสิง่ ทม่ี คี วามหมายตอ่ ผเู้ รยี น 10. ในชว่ งต้นของชีวติ สมองจะมกี ารเตบิ โตอย่างรวดเร็วมากซ่งึ มลี ักษณะของ Hard wiring มกี ารสร้างเส้นใยประสาท และจุดเชื่อมตอ่ มากมาย ซึ่งมีช่วงของการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมในเรื่องต่างๆ (Windows of opportunity) แตอ่ ย่างไรก็ตาม สมองก็ไม่ได้จากัดหรือหยุดการเจริญเติบโต มนุษย์ จึงสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ดังน้ัน จึงควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ Windows of opportunity และส่งเสริมการเรียนร้ตู ลอดชีวิต 11. ความทา้ ทายจะชว่ ยกระตุน้ ใหต้ ้องการเรียนรู้ ส่วนความกลัวจะยับย้ังการเรียนรู้ ดังน้ัน การเรียนรจู้ ะเกิดขนึ้ ในบรรยากาศท่ปี ราศจากความกลวั และมีความท้าทายใหต้ อ้ งการเรยี นรู้ 12. มนุษยท์ ุกคนมีสมอง แต่สมองของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ซึ่งเกิดจากพันธุกรรมและ สงิ่ แวดลอ้ ม ดงั น้ัน แตล่ ะคนจงึ มแี บบแผนของการเรยี นรู้ (Learning Style) ความสามารถ และเชาว์ ปัญญาทแ่ี ตกต่างกนั ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้บนฐานขององค์ความรู้ดังกล่าวจึงเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีมีลักษณะ ดังน้ี 1. จัดการเรียนรู้โดยไม่แยกเป็นส่วนๆ ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของสมองมนุษย์ ซ่ึง สามารถทางานไดห้ ลายอยา่ งในเวลาเดียวกัน และการเรียนร้เู กยี่ วข้องกับสรีระท้งั หมดของรา่ งกาย 2. จัดการเรียนรู้โดยใหเ้ ด็กได้มปี ฏสิ มั พันธก์ บั สิง่ แวดล้อม เพราะการเปล่ียนแปลงต่างๆของ สมองเกิดจากความสัมพันธท์ างสังคม 3. จัดการเรียนรู้โดยตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติในการค้นหา ความหมายด้วยการใหเ้ ดก็ ไดส้ ารวจและเรียนรสู้ งิ่ ต่างๆ 4. จัดการเรยี นร้โู ดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้กาหนดรูปแบบในการเรียนรู้และทาความเข้าใจ ของตนเอง เนื่องจากสมองจะทงั้ รบั รู้และทาความเขา้ ใจรปู แบบต่างๆ ทเ่ี กิดขน้ึ แต่สมองจะสร้างและ แสดงออกด้วยรปู แบบของตัวเอง 5. จดั บรรยากาศท่ีเหมาะสมซึง่ เอ้ือให้เกิดการเรียนรู้ เนอ่ื งจากอารมณ์และการเรียนรู้เป็นสิ่ง ทแี่ ยกจากกนั ไมไ่ ดแ้ ละอารมณม์ ผี ลต่อรูปแบบการเรียนรู้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง113 6. จัดการเรยี นรทู้ ้งั การเรียนรู้ท่ีเป็นภาพรวมและที่เปน็ ส่วนย่อย เพอื่ ตอบสนองตอ่ ขอ้ ความรู้ ท่ีว่าสมองจะทาการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนๆ และทาความเข้าใจโดยภาพรวม สมองท้ังสองซีกจะ ทางานอยา่ งสัมพันธ์กันในทุกๆกจิ กรรม 7. จัดการเรียนรู้โดยใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ในทุกแง่มุม เพราะการเรียนรู้ของ สมองจะประกอบดว้ ยจุดสนใจหลักและรับรูส้ ่งิ ตา่ ง ๆรอบตัวไปพร้อมๆกนั 8. ออกแบบการจัดการเรียนรู้ซ่ึงเอื้อให้ผู้เรียนได้ค่อยๆ ต่อเติมแนวคิด ทักษะ และ ประสบการณ์ จนกระทงั่ เข้าใจและเกิดการเรยี นรู้ เพราะการเรียนรู้อาจเกิดข้ึนโดยท่ีตระหนักในส่ิงท่ี กาลังเรียนรู้ และไม่ได้ตระหนักว่าเกดิ การเรียนรู้ การเรยี นรู้อาจไม่ไดเ้ กดิ ขึน้ อยา่ งทันทีแต่ตอ้ งใช้เวลา ท่ีค่อยๆเกิดขึน้ 9. จัดการเรยี นรูจ้ ากส่ิงท่ีมีความหมายต่อผู้เรียน เน่ืองจากการเรียนรู้อย่างมีความหมายต่อ ผู้เรียนเป็นผลมาจากท้งั ระบบการจาเปน็ มิติและการท่องจา 10. จัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับหน้าต่างโอกาสของการเรียนรู้ ( Windows of opportunity) และสง่ เสรมิ การเรียนรู้ตลอดชีวิต 11. จัดบรรยากาศท่ีปราศจากความกลัว และมีความท้าทายให้ต้องการเรียนรู้ เนื่องจาก ความท้าทายจะช่วยกระตุ้นให้ต้องการเรยี นรู้สว่ นความกลวั จะยบั ยัง้ การเรยี นรู้ 12. จดั การเรียนรใู้ หเ้ หมาะสมกับความแตกต่างของเด็กเป็นรายบุคคล เน่ืองจากสมองของ แต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ซึง่ เกดิ จากพนั ธุกรรมและสงิ่ แวดล้อมท่ีแตกต่างกนั แนวคิดดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับ หลักการทางานของสมองเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ เป็น การจัด ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ เ่ี ดก็ มอี ิสระในการ เลือกเรียนตามความสนใจ และความสามารถ ได้ฝึกคิด วิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัติจริง และสร้างความรู้ด้วยตนเอง มีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้จาก บุคคลอ่ืน ได้ทากิจกรรมที่ท้าทายและเกิดความสาเร็จ ได้เรียนรู้ในบรรยากาศท่ีผ่อนคลาย อบอุ่น และยอมรับ และมีโอกาสนาความรูท้ ีเ่ รียนไปใชอ้ ย่างมคี วามหมาย ความสาคญั ของการบรู ณาการ ลีลา จังหวะและการเคลอื่ นไหวกบั การเรยี นรู้ การนากจิ กรรมดนตรีมาใชป้ ระกอบการเรียนการสอนเป็นวิธีการหรือส่ือหน่ึงที่จะมีส่วนทา ใหเ้ ดก็ ในระดับปฐมวัยเกดิ ความสนใจ สนุกสนาน เห็นคุณค่าตั้งใจและติดตามการเรียนการสอนวิชา อ่ืน ๆ ในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นสาระเน้ือหาตามแผนการจัดประสบการณ์ ทั้งกิจกรรมท่ีปรากฏใน ตารางกิจกรรมประจาวัน อันประกอบด้วย การเคล่ือนไหวและจังหวะ กิจกรรมสร้างสรรค์ การ เล่นตามมุม กิจกรรมเสริมประสบการณ์ การเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา กิจกรรมที่ไม่ปรากฎใน ตารางกจิ กรรมประจาวัน อาทิ การเลา่ นิทาน การร้องเพลง การท่องคาคล้องจอง การจัดทัศนศึกษา การปฏิบตั ิการทดลอง การเตรียมเด็กให้สงบ (การเก็บเด็ก) รวมทั้งแผนการจัดประสบการณ์ทั้ง 16 สัปดาห์ ในระดับปฐมวัยศึกษาของสานักงาน ซึ่งเราสามารถนากิจกรรมดนตรี เข้าแทรกหรือ บูรณาการแผนการจัดประสบการณด์ ังกล่าวข้างตน้ ได้เป็นอย่างดี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง114 การนาดนตรีมาใช้เป็นส่วนประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน บทประพันธ์เพลงที่มี ความไพเราะ มีรูปแบบทานองลีลาสมบูรณ์ จะให้ความซาบซึ้งและดารงไว้ซึ่งคุณค่าทางอารมณ์ สามารถจินตนาการเป็นภาพทมี่ คี วามหมาย การเรยี นรูท้ ่ีสมบูรณ์น้ัน ควรจะมีความสัมพันธ์เช่ือมโยง กันไดใ้ นรายวชิ าต่าง ๆ ดงั นนั้ จึงสามารถใชด้ นตรีเปน็ สอ่ื เชือ่ มโยงได้ กับวชิ าอ่ืน ๆ ซ่ึงมีความสัมพันธ์ ตอ่ กนั จะเป็นส่วนช่วยใหส้ ามารถจัดระบบที่เหมาะสม ภาพท่ี 8.1 การจดั กิจกรรม ลลี า จังหวะและการเคลือ่ นไหวในช้นั เรยี น ท่มี า : วิจติ รา เงนิ บาท (2563) กิจกรรมลีลา จังหวะและการเคล่ือนไหว เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของรา่ งกายอย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คาคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ หรืออุปกรณ์ อ่ืนๆมาประกอบการเคล่ือนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เด็กวัยน้ี ร่างกายกาลังอยใู่ นระหวา่ งพฒั นา การใช้สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกายยังไม่ผสมผสานหรือประสานสัมพันธ์ กันอย่างสมบูรณ์ การทากิจกรรมเคล่ือนไหวและจังหวะช่วยให้เด็กเรียนรู้จังหวะและควบคุมการ เคลือ่ นไหวของตนเองได้ สมองส่วนทรี่ ับผิดชอบหลักเกย่ี วกบั การจดั สมดลุ ของร่างกาย คือ สมองเล็ก หรือซีรีเบลล่ัม (Cerebellum) การกระตุ้นสมรรถนะของสมองส่วนน้ีจะส่งผลต่อการพัฒนา ความสามารถในด้านการรับข้อมูลจากส่ิงแวดล้อมไปด้วยพร้อมๆ กัน ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาท่ีดี ท่ีสดุ ในการพฒั นาทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ซ่ึงจะช่วยพัฒนาระบบความสัมพันธ์ของ ประสาทสมั ผสั เด็กต้องพฒั นาความสามารถในการใชต้ า มอื เทา้ และประสาทรับความรู้สึกต่างๆ ให้ สัมพันธ์กัน การเคล่ือนไหวร่างกายของเด็กเป็นการเตรียมสมรรถนะของร่างกายทุกส่วนเพื่อใช้ ประโยชนใ์ นการมชี ีวิตอยู่ และพร้อมกันน้ันการเคล่ือนไหวร่างกายก็พัฒนาความสามารถของสมอง อนั เป็นเครอ่ื งมือของการเรยี นรู้ไปดว้ ย

115 แนวทางการบรู ณาการ ลีลา จงั หวะและการเคล่ือนไหวกบั การเรยี นรู้ การนากิจกรรมดนตรีมาใช้ประกอบการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับบทเรียนสาหรับเด็ก ปฐมวัยนัน้ มีจดุ มุ่งหมายท่ีจะให้เด็กเรียนด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายวิชาที่เรียน เพราะ เป็นการได้รับความรู้จากบทเรียน คละเคล้าไปกับการเล่นโดยไม่รู้ตัว และจะช่วยส่งเสริมความรู้ ความเขา้ ใจ ความจาของเดก็ ไดด้ ขี น้ึ กิจกรรมการเรยี นการสอนทใ่ี ชด้ นตรีอาจทาไดด้ งั นี้ 1.ใช้ดนตรีเป็นเนื้อหาในการเรียนแล้วโยงไปหาวิชาอ่ืน ๆ เช่น ถ้าเพลงใดมีเน้ือหาที่บอก เรอ่ื งราวต่าง ๆ สมบูรณ์ในตัว ก็นาเพลงน้ันมาให้เด็กร้องและอธิบายข้อความตามเนื้อเพลง แล้วจึง โยงไปถงึ การเล่น การเล่าเร่ือง การเลา่ นิทาน การฝกึ ทกั ษะด้านอ่ืน ๆ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1) คณิตศาสตร์ เพลง แม่ไก่ แม่ไก่ออกไขว่ นั ละฟอง ไข่วันละฟอง ไข่วันละฟอง แมไ่ ก่ของฉันไขท่ ุกวัน 1 วนั ได้ไข่ 1 ฟอง (2 วัน ได้ไข่ 2 ฟอง ,3 วนั ได้ไข่ 3 ฟอง) เพลง ลูกแมว ลูกแมว 10 ตัว ท่ีฉนั เลย้ี งไว้ น้องขอใหแ้ บ่งไป 1ตวั ลูกแมว 10 ตัวก็เหลือน้อยลงไป นับดูใหม่เหลือลูกแมว 9 ตัว (8,7,6,5,4,3,2,1) 2) สังคม เพลง เลน่ กันดีดี เล่นกนั ดดี ี ต้องสามคั คเี ราเป็นเพอ่ื นกนั ของเล่นเราเลน่ ดว้ ยกัน เม่ือเลิกเลน่ พลันช่วยกนั เก็บเอย 3) ภาษาอังกฤษ I’m fine. I’m fine. เพลง Hello Hello! How are you? I’m fine. Hello! How are you? Hello! How are you? I hope that you are too.

4) ภาษา 116 เพลง อวยั วะ จับหวั คาง หู หวั ไหล่ จบั ไวๆ จบั จมกู จบั ตา จบั แขน จับขา แลว้ กจ็ ับสะดอื มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง5) วทิ ยาศาสตร์ เพลง รอบตัวเรา รอบตัวเราน้ันมีอากาศ มีอากาศอยูท่ ั่วไป คนพชื สัตว์ได้ใชห้ ายใจ อากาศมที ัว่ ไปรอบตวั เราเอย เพลง ฉันคอื เมฆ ฉันคือเมฆ ฉนั คอื เมฆ ลอยไปลอยมา อยบู่ นฟากฟ้า ลอยไปลอยมา ลอยมาลอยไป ฉนั เกิดขึน้ จากไอนา้ นอ้ ย ทล่ี อยขน้ึ บนนภา แล้วเจออากาศทีเ่ ย็นๆ ฉนั เย็นฉันจงึ เข้ามา เข้ามารวมตัวกัน มาผูกสมั พันธ์คอื เมฆ 2. ใชด้ นตรีเปน็ ส่วนประกอบใหส้ มั พันธก์ บั บทเรียน คอื เรยี นเรือ่ งใดเรื่องหน่ึงแล้วนาเพลงที่ สัมพันธ์กบั บทเรยี นเขา้ มาแทรก ซงึ่ การแทรกน้อี าจทาไดห้ ลายทาง เช่น ใช้ดนตรีเป็นการนาบทเรียน เพื่อทจ่ี ะเร้าใหเ้ ด็กเกดิ ความสนใจและกระตอื รอื รน้ อยากที่จะเรียน ควรใช้เพลงที่เกี่ยวกับการให้เด็ก คิดหรือให้ทาย เป็นต้นใช้ดนตรีแทรกตอนกลางบทเรียน บางคร้ังบทเรียนที่ค่อนข้างยาวเกินไป อาจ ทาใหเ้ ดก็ เบ่อื และมีสมาธิส้นั อาจใช้เพลงแทรกเพอื่ เปลีย่ นบรรยากาศ และเพ่ือให้เด็กเรียนด้วยความ สนกุ สนานย่งิ ขนึ้ ซึ่งเพลงทจี่ ะนามารอ้ งแทรกตอนกลางของบทเรียนนี้ ควรเป็นเพลงท่ีเดก็ รอ้ งเป็นมา ก่อน หรือเคยได้ฟังมาบ้างและเป็นเพลงทร่ี ้องง่าย ๆ ฉะนั้น ครจู ะตอ้ งเร่ิมสอนร้องเพลงใหม่ ทาใหค้ วามสนใจของเด็กมาอยู่ท่ดี นตรีหมด โดยที่ยัง สอนบทเรยี นไม่จบ นอกจากน้ี การนาดนตรีมาแทรกในบทเรียนยังช่วยได้มากในกรณีท่ีครูต้องการ เนน้ เนอ้ื หาใหเ้ ด็กเขา้ ใจและเหน็ ความสาคญั ย่งิ ขนึ้ ดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง117 เพลง ทางมา้ ลาย ลายๆ ดาขาว หางยาวนะจ๊ะพมุ่ พวง คนทง้ั ปวง เขาเรยี กทางข้ามถนน ลองทายซิวา่ อะไร เหตุใดไมม่ ใี นป่า เรานาช่อื สตั ว์มา ใชเ้ ปน็ ทางขา้ มถนน เราใช้เพอ่ื ข้ามถนน 3. ใชด้ นตรหี รือเพลงรอ้ งภายหลังบทเรียน ซึง่ เปน็ การทบทวนบทเรียนไปด้วย เช่น เม่ือเด็ก เรียนธรรมชาติศึกษาเรื่องสัตว์ต่าง ๆ ได้หัดฟังและเลียนเสียงร้องของสัตว์และชนิดของสัตว์ ซ่ึง แตกต่างกนั ไปแล้ว เพ่ือเป็นการทบทวนความจาให้แม่นยาย่ิงขึ้นว่าสัตว์ใดร้องอย่างใด ก็นากิจกรรม ทางดนตรีมาให้เดก็ รอ้ งหรือเลน่ เปน็ การสรุปบทเรียนได้อกี ทางหน่งึ เพลง ลูกสัตว์ ลกู เป็ดมันร้องก้าบกา้ บ ลูกไก่มันร้อง เจ๊ยี บ เจย๊ี บ ลูกหมาเห่า บ๊อก บ๊อก บ๊อก ลกู แมวก็ร้องเหมียวเหมียว ลกู หมูมนั ร้อง อู๊ด อู๊ด ลูกกบมนั ร้องอบ๊ อบ๊ ลูกนกรอ้ งจิ๊บ จิ๊บ จบิ๊ ลูกววั ก็ร้องมอมอ ในห้องเรียนระดบั ปฐมวยั การจดั กิจกรรมส่งเสริมทักษะทางการเคลอ่ื นไหวในเชิงปฏิบัติการ ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาของเด็กปฐมวัยครูจะไม่สอนทักษะเชิงวิชาการ จะไม่เป็นรูปแบบและ กฎเกณฑ์แต่เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความท้าทายให้เด็กฟังเสียงต่าง ๆ และให้เกิดทักษะการฟัง จาแนกเสียงต่าง ๆ เสียงช้า เร็ว ตามจังหวะดนตรี และกิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนโดยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ อย่างเหมาะสมกบั ระดบั พัฒนาการของเดก็ ด้วย ในการเลน่ เกมประกอบเพลง ดนตรี การเคลื่อนไหว ตามจังหวะ ช้า-เร็วการให้เด็กคิดท่าทางด้วยตนเอง จะช่วยให้เด็กก้าวไปสู่การพัฒนาการด้าน สติปญั ญา ความคิดสร้างสรรค์ และการแสดงออกอย่างมั่นใจการสง่ เสรมิ ให้เด็ก ๆ ได้มีประสบการณ์ เกี่ยวกบั การเคลอ่ื นไหว จึงเป็นสิง่ ที่จาเป็นอย่างยงิ่ ในการรอ้ งเพลงต่าง ๆ ซึง่ ส่วนมากจะเป็นการร้อง หมู่ เปน็ บางคร้งั จะเปิดโอกาสให้เด็กรอ้ งเพลงเดี่ยวบ้าง เพื่อเปน็ การพัฒนาทกั ษะของแตล่ ะบคุ คล ลลี า จงั หวะและการเคลื่อนไหวกบั การสง่ เสริมพัฒนาการ การเคล่ือนไหวและจังหวะมีความสาคัญและจาเป็นอยางย่ิงสาหรับมนุษย โดยเฉพาะใน สภาพความเปนอยูของมนษุ ยในสงั คมปจจุบันซึ่งเต็มไปดวยการตอสูด้ินรนควบคูไปกับความเจริญก าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม เพราะจะชวยใหบุคคลไดระบายออกทางความรูสึก ผอนคลาย ตึง เครียดทางรางกายและจิตใจไดดีสามารถพัฒนาปรับตัวด้านสังคมดีข้ึน และพรอมท่ีจะประกอบ กจิ วัตรในชีวติ ประจาวันไดอยางมีประสิทธิภาพและมีีชีวิตอย่างสุขสมบูรณในสังคมเปนอยางดี การ จดั กิจกรรมลีลา จงั หวะและการเคลอื่ นไหวสามารถบูรณาการการเรยี นรู้ได้และส่งเสริมพัฒนาการได้ หลากหลายสรปุ ได้ดังน้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง118 1. สรา้ งเสริมสขุ ภาพและพลานามยั ของเดก็ ปฐมวัย การเล่นเคร่ืองดนตรีหรือการร้องเพลงของเด็กน้ัน น่าจะไม่เพียงแต่นั่งร้องหรือขับ ร้องเท่านั้น แต่เด็กทุกคนชอบ และพอใจท่ีจะทาท่าทางประกอบไปด้วย เนื่องจากเด็กในระดับ ปฐมวัยชอบเปลี่ยนอิริยาบทชอบการเคล่ือนไหว กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะท่วงทานองของ เพลง ดังนั้น เพลงและดนตรีจึงสามารถใช้เป็นสิ่งเร้าเพื่อพัฒนาการเคลื่อนไหว ทั้งการ เคล่ือนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ การเคล่ือนไหวเพื่อดนตรี การเคล่ือนไหว เพื่อนาฏศิลป์หรือการเต้นรา รวมท้ังพัฒนากล้ามเน้ือใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก แขน ขา ลาตัว นิ้วมือ และส่วนต่างๆ ของร่างกายตามจังหวะ 2. สง่ เสริมทกั ษะทางภาษาของเดก็ ปฐมวยั ดนตรีช่วยให้เด็กรู้จักฟังและแยกความแตกต่างของระดับเสียง สูง ต่า ดัง ค่อย หนัก เบา แหลม ทมุ้ รู้จักแยกอตั ราจังหวะ ช้า ปานกลาง เร็ว ซง่ึ จะเปน็ พืน้ ฐานในการฟังคาพูดท่ีประกอบ ไปด้วยเสียงหนัก - เบา และเสียงวรรณยุกต์ทางภาษาที่แตกต่างกัน ดนตรีจะช่วยพัฒนาทักษะ ทางดา้ นต่าง ๆ อาทิ การเขียน การพดู การอา่ นออกเสยี งของเด็ก เพราะในขณะท่ีเด็กร้องเพลง เด็ก จะต้องรู้จักควบคุมการหายใจ รู้จักควบคุมการเคล่ือนไหวของกล้ามเนื้อท่ีใช้ในการพูด รู้จักจังหวะ ของคาพูด รู้จกั รปู ประโยคท่ีถูกต้อง และเด็กจะชอบเล่นกับคาพูด ซึ่งเป็นบทคล้องจองที่อยู่ในเพลง น้นั เน่ืองจากเพลงทุกเพลงจะตอ้ งมีเนอ้ื ร้องทสี่ ัมผัสกนั เช่น นกเอยนกน้อยน้อย เจ้าค่อยค่อยเคล่ือน คลอ้ ยมา คาว่านอ้ ยสมั ผัสกับค่อย ลักษณะของคาที่คล้องจองกันเช่นน้ี ทาให้เด็กสามารถจาเพลงได้ งา่ ยขึน้ ส่งิ ตา่ ง ๆ จะยงั ประโยชนต์ ่อการพัฒนาทกั ษะดา้ นภาษาให้กบั เดก็ ปฐมวยั ไดเ้ ปน็ อย่างดี 3. เสริมสร้างระเบียบวินัยและความพร้อมเพรยี งของเดก็ ปฐมวยั ดนตรสี ามารถเป็นสื่อทจี่ ะใหเ้ ด็กรักษาระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียง โดยวิธีนี้เป็นสิ่งที่ ทาได้โดยง่าย ซ่ึงจะทาให้ครู - อาจารย์ ผู้เก่ียวข้องไม่จาเป็นต้องเหน็ดเหน่ือย หรือ เค่ียวเข็ญบังคับ เช่น การใช้สัญญาณที่เป็นเสียงเพลงหรือดนตรีกับเด็กว่า ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณน้ีทุกคนจะต้องมาเข้าแถว สัญญาณเสียงน้ีทุกคนจะต้องหยุดเล่น สัญญาณนอน สัญญาณรับประทานอาหาร สัญญาณดื่มน้า ฯลฯ ซ่ึงอาจใช้สัญญาณเสียงที่เปน็ เสยี งดนตรี ง่าย ๆ เช่น นกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เสียงกลอง เสียงกรับ เสียง ฉิ่ง-ฉับ เสียงกระด่ิงส่ัน เป็นจังหวะหรือเสียงเพลงใดเพลงหน่ึง ซึ่งถ้าเด็กเข้าใจและเคยชินกับ สัญญาณเสียงทางดนตรเี หล่าน้ี เด็กจะปฏิบัติทุกอย่างได้ดีมีความพร้อมเพรียงกัน โดยท่ีครูหรือผู้อ่านเอง ไมต่ ้องเหนด็ เหนื่อยกับการทจ่ี ะตอ้ งคอยตะโกนบอกเดก็ อย่ทู กุ ระยะ ฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสื่อสาคัญอีกอย่าง หนึง่ ที่มีสว่ นช่วยพัฒนาระเบียบวนิ ยั รวมถึงความพร้อมเพรียงของเด็กปฐมวยั ได้อีกทางหน่งึ 4. ส่งเสริมการปลูกฝงั ความรกั ชาติบ้านเมอื งของเดก็ ปฐมวัย การปลูกฝงั ให้เดก็ เกดิ ความรักชาติบ้านเมืองเป็นส่ิงสาคัญที่จะต้องแทรกอยู่ในกิจกรรม ต่าง ๆ ส่ิงที่จะเป็นส่ือท่ีดีท่ีสุด คือ การใช้เพลงหรือดนตรี ทานองและจังหวะต่าง ๆ เป็นเคร่ืองช่วย กระตุน้ ส่งเสรมิ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เพลงที่มีจงั หวะเรา้ ใจ คกึ คัก สนกุ สนาน มีความหมายที่เกี่ยวกับ ความรักชาติ ความเสียสละเพ่ือชาติของวีรชนบรรพบุรุษ ตลอดจนตัวอย่างท่ีดีงามของผู้เสียสละ จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กเห็นคุณค่าและความสาคัญของประเทศชาติ เห็นความสาคัญของ บรรพบุรุษ ท่ีไดช้ ่วยกันป้องกันประเทศชาติ สิ่งเหล่าน้ี จะเป็นตัวปลูกฝังแทรกซึมความรักชาติบ้านเมือง ความ ภาคภมู ใิ จในถ่ินกาเนดิ ต่อไปในอนาคต โดยการใช้ดนตรีเปน็ สือ่ นาทางได้เปน็ อยา่ งดี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง119 5. ช่วยลดพฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ ปัญหาของเดก็ ปฐมวัย เพลงและดนตรีจะชว่ ยลดพฤตกิ รรมที่เปน็ ปญั หาบางอยา่ งของเด็กปฐมวัย เช่น เด็กท่ีไม่ กล้าแสดงออก ไมม่ ีความเชอื่ ม่ันในตนเอง เด็กที่ขี้อาย มีความก้าวร้าว ฯลฯ เราสามารถนากิจกรรม ทางดนตรเี ขา้ มาช่วยปรบั หรือแกไ้ ขพฤตกิ รรมดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ในการเรียนการสอนระดับ ปฐมวัย ดนตรีสามารถนามาปรับพฤติกรรม หรือเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่ง นักวชิ าการทางดนตรี เรยี กกนั ว่าดนตรบี าบดั อนั เปน็ วชิ าการแขนงหนึ่งที่มปี ระโยชน์มหาศาลต่อเด็ก โดยการประยุกต์กิจกรรมทางดนตรีหรือเพลงท่ีเลือกสรรเป็นอย่างดีมาใช้กับเด็ก โดยมุ่งท่ีจะให้ กิจกรรมทางดนตรีเป็นตัวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติ ความบกพร่องของเดก็ ในระหวา่ งท่มี ารับการบาบัดหรอื ศึกษาฟืน้ ฟู พฒั นาสมรรถภาพ ซึ่งเด็กเหล่านี้ อาจเป็นเด็กปญั ญาเลศิ เดก็ ทีม่ ีปัญหาทางการอ่าน เด็กปัญญาอ่อน เด็กท่ีมีปัญหาทางอารมณ์ เด็กที่มี ความบกพร่องด้านต่าง ๆ เด็กพิการ หรือเด็กพิเศษ ฯลฯ โดยการบาบัดด้วยดนตรีเป็นการเริ่มที่ตัว เด็กไมไ่ ด้เร่มิ จากดนตรี โดยการใช้เด็กเปน็ ศูนย์กลางของการบาบัด นักดนตรีบาบัดจะวินิจฉัยปัญหา ของเด็ก แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมทางดนตรีให้สอดคล้องกับความต้องการ ความบกพร่องหรือ ปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นราย ๆ ไป การบาบัดด้วยดนตรีของเด็กพิเศษเหล่าน้ี อาจทาเดี่ยวหรือ เปน็ กลุ่มกไ็ ด้ ทงั้ นี้เพ่อื ต้องการใหเ้ ด็กมพี ฒั นาการที่พงึ ประสงค์ ส่ิงสาคัญของการบาบัดดนตรีสาหรับ เด็กปฐมวัย จะเน้นการบาบัดดนตรีเป็นรายบุคคล ซ่ึงจะเร่ิมท่ีปัญหาและสภาพข้อบกพร่อง ความ ต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคนๆ การบาบัดด้วยดนตรีนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการบาบัดรักษาด้วย วิธีการหรือเครื่องมืออ่ืนๆ โดยมุ่งท่ีจะใช้กิจกรรมทางดนตรีเป็นสื่อกระตุ้นหรือเร้าให้เด็กได้มี พัฒนาการ ประสบความสาเร็จในการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมใหม่ อันเป็นส่งิ ที่พงึ ประสงค์ เปน็ ส่งิ ปกตใิ นชีวติ และวัยของเด็กแต่ละช่วงใหค้ งอยู่และพฒั นาการต่อไป 6. เสริมสร้างความสามารถทางคณิตศาสตร์ จากการค้นพบเร่ืองสมอง 2 ซีกของ โรเจอร์ สเปอร์ร่ี (Roger Sperry) ทาให้เขา ไดร้ บั รางวัลโนเบลในสาขาสรรี วิทยาและการแพทย์ เมื่อปี ค.ศ. 1981 สเปอร์รี่ค้นพบว่า สมองซีก ซา้ ยทาหนา้ ท่โี ดยส่วนใหญเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ความสามารถหลายดา้ นทงั้ คณติ ศาสตร์ ภาษา และความคิด ท่ีมรี ูปแบบซับซอ้ น เชน่ การแกป้ ญั หาในขณะทสี่ มองซีกขวาส่วนใหญจ่ ะเกย่ี วขอ้ งกับความสามารถ ดา้ นดนตรีและงานศลิ ปะ แต่โดยท่วั ไปการทางานของสมองทุกส่วนจะทางานร่วมกันและมีปฏิกิริยา ต่อกัน ไอน์สไตน์ กล่าวว่า ดนตรีมีส่วนช่วยขยายกระบวนการความคิดของเขา ทาให้เขามี ความลุ่มลึกในการใชช้ ว่ ยแก้ปญั หาทีพ่ ลิกแพลงต่าง ๆ เมื่อเขาจนปัญญาคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เขา จะไปเล่นดนตรี (ไอนส์ ไตนช์ อบเลน่ ไวโอลีน) จากน้ันจะเรม่ิ แก้ปัญหาท่ียุง่ ยากซับซ้อนได้ สาหรบั ดนตรีกับโมสาร์ท นักดนตรีและคีตกวีผู้มีชื่อเสียง เขาสามารถแต่งเพลงต้ังแต่ อายุ 4 ขวบ ก่อนเข้าเรียนหนังสือ เขาสนใจดนตรีเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้เข้าเรียนแล้ว สง่ิ หนงึ่ ทดี่ ึงดูดความสนใจของเขามากคอื วิชาคณติ ศาสตร์ เขาเรียนได้อย่างรวดเรว็ แมน่ ยา เมื่อไร ทม่ี ีเวลาวา่ ง หรอื ไมว่ า่ ทีไ่ หนพอจะเขียนได้ เขาจะขีดเขียนคานวณตามฝาผนัง ท่ีพ้ืนห้อง บนโต๊ะ เก้าอ้ี ฯลฯ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง120 รามานจู นั นักคณิตศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงชาวอินเดีย เกิดท่ีเมืองมัดราสทางใต้ของอินเดีย เป็นแถบทีอ่ ิทธพิ ลดนตรีแบบ Carnatic เข้ามามีส่วนในการดาเนินชีวิต และคาดว่าดนตรีประเภท น้ีน่าจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการคิดคานวณของเขา เนื่องจากดนตรีประเภทน้ีมี โครงสร้างท่ีมีความชัดเจน มีเงื่อนไขในตัวเองคล้ายคณิตศาสตร์ ซ่ึงอาจส่งผลต่อกระบวนการทาง ความคิดของรามานูจันท่ีชัดคม มีโครงสร้าง และปลูกฝังความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ให้แก่เขาต้ังแต่ เยาว์วัย 7. เสริมสรา้ งความสามารถทางดา้ นมิตสิ มั พนั ธ์ (Spatial Temporal Reasoning) ในปี ค.ศ. 1991 กอรด์ อน แอล. ซอว์ (Gordon L.Shaw) และคณะจากมหาวิทยาลัย California at Ervine ได้ทาการศึกษาพบว่า การฝึกดนตรีในเด็กทาให้ความสามารถทางมิติ สัมพันธ์ (Spatial Temporal Reasoning) เพิ่มข้ึน ซึ่งเป็นความสามารถในการจินตนาการแล้ว เช่ือมโยงให้เกดิ ภาพ ถ่ายทอดออกมาเป็นรปู ธรรมได้ ดงั เช่น การทางานของสถาปนกิ นกั ออกแบบ รวมถึงทักษะการกะระยะท่ีต้องใช้ท้ังสายตากับกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน เช่น การ เคล่ือนไหวของนักกีฬา ทักษะท้ังหมดนี้มีความจาเป็นและสาคัญต่อการเรียนคณิตศาสตร์และ วทิ ยาศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1997 ซอว์ได้ทดลองให้เดก็ ก่อนวัยเรยี นอายุ 3 ปี ฝึกเรียนเปียโน 6 เดือน ผลพบว่าเดก็ กลุ่มนี้มีพัฒนาการทางด้านมิติสัมพันธ์สูงกว่าเด็กในกลุ่มควบคุม (กลุ่มท่ีฝึกภาษาและ คอมพิวเตอร์) ถึง 30 % นอกจากการทดลองในคนแล้ว เราส์เซอร์ (Rauscher) นักวิจัย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ได้ทดลองให้หนูฟัง Mozart Sonata 12 ช่ัวโมงต่อวัน เป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน และ พบว่าหนูมีพัฒนาการทางด้านมิติสัมพันธ์ด้วยกล่าวคือหนู สามารถวงิ่ หาทางออกจากเขาวงกต (Spatial Maze) และทาได้ดีกว่าหนูในกลุ่มควบคุม เหตุผล ทนี่ ักวิจัยเลอื กเพลง Mozart Sonata ของโมสารท์ เพราะเป็นเพลงปลุกเร้าผู้ฟังให้ตื่นตัวที่จะฟัง ตัง้ แต่ต้นจนจบ เพลงนี้มีความสมดุลของเปียโน 2 ตัว ซึ่งทาให้ผู้ฟังมีแรงจูงใจฟังจากตัวหน่ึงสู่อีก ตัวหนงึ่ และเป็นเพลงท่มี อี งคป์ ระกอบของการแต่งเพลงดีมากเพลงหนึ่งท้ังในแง่โครงสร้างและการ เรยี บเรยี ง กลา่ วกันว่าโมสาร์ทแตง่ เพลงนใ้ี นใจจนจบ แล้วเขียนโนต้ ออกมาโดยไม่มีการแก้ไขเลย 8. สง่ เสริมพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของเด็กปฐมวยั ดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ และมโนคติกับเด็กในเรื่องต่าง ๆ เช่น ธรรมชาตศิ ึกษา คณิตศาสตร์ สังคมศกึ ษา สขุ ศึกษา ฯลฯ และเป็นการช่วยท่ีเด็กพอใจ เด็กเข้าใจและ จดจาได้เอง โดยไม่ต้องมีการบังคับ เช่น บทเพลงท่ีเกี่ยวกับลม ฝน แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลง และทาท่าเคล่ือนไหวเลียนแบบส่ิงต่าง ๆ อาทิ ลีลาเลียนแบบท่าทางของสัตว์ ท่าทางของคน ลีลา เลียนแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น ลลี า เลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือลีลาตามจินตนาการ ซ่ึงเด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เพ่ิมขึ้น หรือในขณะท่ีเด็ก รอ้ งเพลงนับกระตา่ ย นับลกู แมว นับนิว้ เด็กก็จะได้รบั ความคดิ ในเรื่องการเพ่มิ - ลดของจานวน การ เรียงลาดับที่ ฯลฯ ซ่ึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยจะเจริญงอกงามโดยอาศัยกิจกรรม ต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดนตรีนบั เปน็ กจิ กรรมที่มี ความสาคัญยิ่ง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง121 9. ส่งเสริมความคิดสรา้ งสรรค์ ใชด้ นตรสี อนความคิดสรา้ งสรรค์ในลักษณะของกระบวนการ ซึ่งจะเป็นจุดเร่ิมต้นของ การปลกู ฝังกระบวนการคิดใหแ้ กเ่ ด็ก เพราะการจะเลน่ ดนตรีให้ได้ดีสูงสุดตามความสามารถของแต่ ละบคุ คลนน้ั จะตอ้ งไดร้ บั การฝกึ ใหเ้ รียนรู้อย่างมขี ้นั ตอน หมายถึง เด็กได้สร้างสรรค์จากมาตรฐาน ของการเลน่ ดนตรี จากนัน้ เดก็ จะสามารถนามาใช้กับการทางานอ่ืน หรือการแก้ปัญหาในชีวิตด้วย รูปแบบกระบวนการท่ีรับการฝกึ ฝนจากดนตรี ใช้ดนตรีสอนให้รู้จักผลิตผลงานจากแนวคิดใหม่ ๆ เดก็ จะรู้สึกแตง่ เพลงเขียนเน้ือเพลง และสรา้ งทานองเพลงด้วยตนเอง รู้จักประเมินคุณภาพผลงาน ของตนเอง และปรบั ปรุงแกไ้ ขใหด้ ขี ึน้ ได้ ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะติดตัวเด็กไป สามารถนาไปใช้ในการ ดารงชีวติ ได้จะเห็นได้ว่าดนตรีมสี ว่ นเกี่ยวขอ้ งกบั ความคดิ สร้างสรรค์และครูผู้สอนมีบทบาทสาคัญใน การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้วยดนตรี เป็นผู้คอยกระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดและกล้า แสดงออกซึ่งเป็นการฝึกให้เด็กมีรูปแบบของตนเองและมีความเป็นตัวของตัวเอง เม่ือใดที่ฟังดนตรี เรามักรสู้ ึกเพลดิ เพลนิ กับความไพเราะของเสียง และเกดิ จนิ ตนาการตา่ ง ๆ เกี่ยวกับเสียงทั้งนี้เพราะ ผูป้ ระพันธเ์ พลงจะถา่ ยทอดอารมณ์ความรู้สกึ ของตนเองผา่ นเสยี งดนตรซี ึง่ มคี วามหมายต่างๆ 10. พัฒนาทางดา้ นเจตคติ ถา้ การเรยี นการสอนดนตรเี ปน็ ไปอย่างถูกต้องตามจุดประสงค์ ก็จะช่วยพัฒนาเจตคติ เก่ียวกับคุณค่าของดนตรีให้แก่ผู้เรียนได้มาก ผู้เรียนจะมีความคิดเห็นว่าดนตรีมีประโยชน์ใน ชีวิตประจาวัน จะทาให้ชีวิตมีความสุขอย่างสมบูรณ์ นอกจากน้ีเนื้อหาสาระของดนตรีทางด้าน วรรณคดีดนตรี ก็จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและเห็นความสาคัญของศิลปวัฒนธรรมทั้งของ ชาติตนและของชาติอื่น และรู้จกั เลอื กที่จะรับศิลปวฒั ธรรมอนั ดีงามได้อีกด้วย 11. สร้างเสรมิ ลักษณะนสิ ัยเด็กปฐมวัย ลกั ษณะนสิ ยั เป็นคุณลักษณะทม่ี ีอยู่ภายในตัวของแตล่ ะบุคคล แต่ละคนมีความแตกต่าง กนั ทาให้การแสดงออกของบุคคลแตกตา่ งกนั ไปด้วย เราสามารถใช้เพลงหรือดนตรไี ดด้ ังน้ี 1.พัฒนาทางด้านบุคลิกภาพ กิจกรรมและประสบการณ์ดนตรีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ แสดงออก ท้ังในด้านการรอ้ งเพลง การเคาะจงั หวะ การเล่นเคร่ืองดนตรี การเคล่ือนไหวร่างกาย ในลีลาจังหวะต่าง ๆ ตลอดจนในด้านการแสดง หากผู้เรียนได้แสดงออกอย่างสม่าเสมอ ก็จะเกิด ความเคยชินต่อการแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเป็นบุคคลท่ีเชื่อมั่นในตนเอง ยอมรบั สภาพความเป็นจริง โดยการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ สามารถแสดงออกต่อ หนา้ สาธารณชนได้อย่างไม่เคอะเขิน นอกจากน้ีการไดฝ้ กึ การเคลือ่ นไหวรา่ งกายและทาท่าทางอย่าง มีลีลา จังหวะก็จะช่วยให้เป็นผู้มีลักษณะคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงอีกด้วย ดังนั้นกิจกรรมและ ประสบการณด์ นตรจี ะนามาซึง่ บุคลิกภาพของผู้นาแก่ผเู้ รียนในท่สี ุด 2. พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์ การรอ้ งเพลง การฟังเพลง การแสดงท่าทางต่าง ๆ การ เล่นเครื่องดนตรีหรือการร่วมกิจกรรมดนตรีอ่ืน ๆ เป็นการสนองตอบความต้องการแสดงออก ทางด้านอารมณ์อย่างหนึ่ง หากกิจกรรมและประสบการณ์ดนตรีดังกล่าวเอื้ออานวยให้ผู้เรียนมี ความร้สู กึ สนกุ สนาน รู้สึกอบอุ่นจากการยอมรับของเพื่อน ๆ หรือครู ก็จะช่วยลดความวิตกกังวล ตามธรรมชาติลงได้ เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดหรืออารมณ์ขุ่นมัวหากผู้เรียนมีโอกาสร่วม กจิ กรรมประสบการณ์ดนตรีอย่างสม่าเสมอ ก็จะเป็นผ้ทู ่มี ีอารมณ์แจ่มใส สนุกสนานร่าเริง รู้จักวิธี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง122 ทจี่ ะผอ่ นคลายความตึงเครียด การพัฒนาของอารมณก์ ็จะเปน็ ไปในทางบวก นอกจากน้ันการได้ฝึก การแสดงอารมณ์ไปตามความรู้สึกของดนตรีทั้งโดยอิสระหรือตามแบบแผนที่กาหนด ผู้เรียนก็จะ เป็นผทู้ ี่สามารถควบคมุ อารมณ์ของตนเองในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้เปน็ อยา่ งดี 3. พัฒนาทางด้านสังคม การเข้าร่วมกิจกรรมและประสบการณ์ดนตรีกับบุคคลอื่น ๆ เป็นการฝึกให้ผู้เรียนเข้าใจในเรื่อง “กลุ่ม” เพราะจะเรียนรู้ว่า เม่ือไรตนจะเป็นผู้นากลุ่ม และ เม่อื ไรจะตอ้ งเปน็ ผ้ตู าม และควรทาตัวอย่างไรจึงจะสามารถเข้ากับคนอ่ืนได้ การให้ผู้เรียนผลัดกัน เปน็ ผู้ชมและผู้แสดง เป็นการฝึกให้รู้จักมารยาททางสังคม ในการให้เกียรติผู้อื่น รู้จักการยอมรับ ความสามารถของผูอ้ นื่ และพร้อมท่ีจะแสดงความสามารถของตนเองออกมาได้ เวลาเดียวกันเมื่อ เกิดความผิดพลาดก็พร้อมที่จะให้อภัยผู้อ่ืน หรือยอมรับความผิดของตนเองอย่างไม่กระดากอาย นอกจากนีก้ ารฝึกการร่วมบรรเลงหมู่ (ensemble) จะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นรู้จกั ปฏบิ ัติตนอย่างถูกต้องและ ครบถว้ น เหน็ คุณค่าของความพร้อมเพรยี ง และความสามคั คีของหมคู่ ณะ ซึ่งจะนาไปสูค่ วามเป็นผู้ มีระเบยี บวนิ ัยอันดีงามตอ่ ไป ภาพท่ี 8.2 การเข้าร่วมกจิ กรรมและประสบการณ์ทางดนตรี ทม่ี า : วจิ ิตรา เงินบาท บทบาทครใู นการจัดกิจกรรมลลี า จังหวะและการเคล่ือนไหว ครูปฐมวัยเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญในการจัดการเรียนรู้ บทบาทครูในการจัดการศึกษาที่ เนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญทพ่ี จิ ารณาจากกระบวนการสอนสรปุ ไว้ 3 ประการ คือ 1. บทบาทในการเตรียมการสอน ได้แก่ การเตรียมสาระการเรียนรู้ การจัดหาแหล่งเรียนรู้ และการวางแผนการสอน 2. บทบาทในการสอน ซ่ึงเกี่ยวข้องกับการสร้างบรรยากาศ การจัดสภาพแวดล้อมการ กระตุ้นเร้าผู้เรียน การอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามท่ีได้ ออกแบบไว้ 3. บทบาทในการประเมินผลการเรยี นร้ทู ่อี อกแบบไวใ้ ห้สอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงคท์ ตี่ ้องการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง123 ในการจัดกิจกรรมกิจกรรมลีลา จังหวะและการเคล่ือนไหวจะตองคานึงถึงตัวเด็ก การจัด กิจกรรมเน้นการเคลื่อนไหวให้เป นไปตามธรรมชาติของเด็กและเป ดโอกาสให เด็กได แสดง ความสามารถของตนเอง การสร้างบรรยากาศในหองเรียนจะชวยใหเด็กรูสึกอบอุนเพลิดเพลิน และ สนุกสนาน ครูจึงเป็นผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญอย่างย่ิงในการส่งเสริมให้เด็กได้แสดงออก รวมถึงส่งเสริม ความม่นั ใจใหแ้ ก่ตัวเดก็ ครคู วรมหี ลกั การในการจดั กจิ กรรม ดงั น้ี 1. ควรเร่มิ การเคลื่อนไหวทเี่ ปนอิสระไมควรมีระเบียบและวิธีการที่ยุงยากนัก เชน ใหเด็กได กระจายอยูภายในหองและการเคลื่อนไหวเปนธรรมชาตขิ องเดก็ 2. ครคู วรใหเดก็ ไดแสดงออกอยางอิสระ และเปนไปดวยความนึกคิดของเด็กเองซ่ึงจะเป็นน การสงเสริมใหเดก็ มีความคิดรเิ ร่มิ สรางสรรค 3. พยายามใชสิ่งของท่ีอยูใกลตัวเด็ก เศษวัสดุตาง ๆ เชน หนังสือพิมพเศษผา เศษเชือก ทอนไมเมลด็ พชื มาเปนอุปกรณในการเคล่ือนไหว 4. ครูกาหนดจังหวะสัญญาณนัดหมายในการเคลื่อนไหวตาง ๆ หรือเม่ือเปล่ียนทาหรือหยุด ให้เด็กไดทราบเมือ่ ทากิจกรรมทุกครั้ง 5. ควรสรางบรรยากาศอยางอสิ ระในหองที่จัดกจิ กรรมจะชวยใหผูเรียนรูสกึ อบอุนเพลิดเพลนิ 6. ครูไมควรบังคับเด็กในการเขารวมกิจกรรม เด็กที่ไมเขารวมกิจกรรมจะคอย ๆ เขามา รวมกิจกรรมเอง 7. หลงั จากท่ีเดก็ ไดทากิจกรรมออกกาลังกายเคล่ือนไหวรางกายแลว สิง่ สาคญั ที่เด็กไดเรียนรู อกี อยางหนง่ึ คือ การพกั ผอนหลงั จากการออกกาลงั กาย ครูอาจใหเดก็ นอนเลนโดยไมตองเคลือ่ นไหวชั่ว ครูหรือ ครอู าจเปนจังหวะชาๆทีส่ รางความรูสกึ ใหเด็กอยากพกั ผอน 8. ครูตองเตรียมจดั บทเรียนทุกคร้ังใหเปนท่ีนาสนใจ เกิดความสนุกสนานและทากิจกรรมนี้ ทกุ วัน วนั ละประมาณ 15 – 20 นาที จะเหน็ ไดวาหลกั การในการจัดกิจกรรมลีลา จังหวะและการเคล่ือนไหวน้ันจะตองคานึงถึง ตวั เด็กและเปดโอกาสใหเด็กไดแสดงความสามารถของตนเอง การสรางบรรยากาศในหองเรียนจะ ช่วยใหเดก็ รสู กึ อบอนุ เพลิดเพลนิ และสนกุ สนานพกั ผ่อน ดงั นั้นแนวคดิ การจัดกิจกรรมลีลา จังหวะ และการเคล่ือนไหว เป็นสิ่งจาเป็นต่อการพัฒนาเด็ก การสอนการเคล่ือนไหวและจังหวะให้แก่เด็ก ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้การตอบสนอง การเลียนแบบและการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมา ผสมผสานกบั ดนตรี โดยมีปัจจัยในการบูรณาการดนตรใี นหอ้ งเรียน 4 ประการ ได้แก่ ความสามารถ ดา้ นสติปัญญาและความฉลาด ความเชีย่ วชาญในการใช้ทักษะด้านร่างกาย พัฒนาการด้านอารมณ์ - จิตใจ พัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์ เหล่าน้ีนาไปสู่การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก มากข้ึน บทบาทผู้ปกครองในการส่งเสรมิ ลลี า จงั หวะและการเคลอ่ื นไหวให้กบั เดก็ การจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กปฐมวยั จาเป็นจะตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื จากผปู้ กครองดว้ ย พ่อแม่ จงึ ควรร้แู ละเข้าใจเก่ยี วกับการส่งเสริมลีลา จงั หวะและการเคล่ือนไหวในประเด็นสาคญั ดงั น้ี

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง124 1. การเรียนของเด็กจะผา่ นการเลน่ ดงั น้นั กจิ กรรมลีลา จังหวะและการเคลื่อนไหว จึงเป็น การพัฒนาการเรียนรขู้ องเดก็ ปฐมวยั จากการเล่นท่เี ปน็ ประโยชนเ์ ดก็ จะพัฒนาทกั ษะทางกายได้ เด็ก ตอ้ งปฏิบตั ิและเคล่ือนไหวด้วยตวั เด็กเองขณะที่เด็กได้ทากิจกรรมการเคล่ือนไหวและจังหวะ เด็กจะ ไดพ้ ฒั นาทกั ษะหลายทกั ษะทจ่ี าเปน็ ได้แก่ ทักษะทางสังคมได้ผูกมติ รกับผู้อื่น ทักษะชีวิตที่จะเรียนรู้ และเข้าใจสงิ่ รอบตวั ทกั ษะการคิดที่ได้คดิ และตัดสินใจ และทักษะทางกายในการเคล่อื นไหว เป็นตน้ 2. เดก็ มีความสุข ผ่อนคลาย เพราะได้เล่น ผู้ปกครองควรจัดกิจกรรมการเคล่ือนไหวและจังหวะ ให้ลูกเล่นที่บ้านได้ ในบรรยากาศครอบครัว พ่อ แม่ ลูก พ่ี น้อง ร่วมกิจกรรม พ่ อแม่ทาหน้าท่ี เช่นเดียวกับครู เช่น สนับสนุนให้เด็กคิดสร้างสรรค์ท่าทาง ตัดสินใจด้วยตนเอง ส่งเสริมให้เด็กกล้า แสดงออก 3. ผู้ปกครองร่วมมือกับครูพัฒนาเด็กได้หลายลักษณะ เช่น จัดหาสื่อ ส่ิงของ อุปกรณ์ใช้ ประกอบท่าทางการเคลื่อนไหวให้กับครู เป็นวิทยากรร่วมกิจกรรมกับครู เป็นต้น เด็กจะรู้สึกและ สัมผัสได้วา่ ทกุ คนให้ความสาคญั กับการทากจิ กรรมน้ี 4. กจิ กรรมลลี า จงั หวะและการเคลอ่ื นไหวเป็นกิจกรรมท่ีสามารถใช้ในการพัฒนาเด็กอย่าง มีความหมาย ท่นี อกจากเด็กจะได้เคลื่อนไหวทางกายแล้ว เด็กยังได้มีโอกาสเรียนรู้ทางสังคม ได้คิด ไดร้ บั การส่งเสริมให้ลดการยึดตนเป็นสาคัญ ครูและผู้ปกครองเป็นผู้ส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการโดย รว่ มมือจัดกจิ กรรมให้กบั เด็กบนพืน้ ฐานความเขา้ ใจต่อกนั สรุปทา้ ยบท การจัดประสบการณแ์ บบบรู ณาการเปน็ การจัดประสบการณ์ที่นาความรู้ ความคิดรวบยอด ทักษะ และประสบการณ์สาคัญทั้งมวลท่ีผู้เรียนจะได้รับในสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ มาเชื่อมโยง ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างมีความหมาย และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้แนวคิดการจัด ประสบการณ์การเรยี นรสู้ าหรบั เด็กปฐมวยั ต้องให้เด็กไดร้ ับประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดย การจัดการเรียนรบู้ นฐานของหลกั การเรยี นร้ขู องสมองและจิต การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเด็ก มีอสิ ระในการ เลอื กเรียนตามความสนใจ และความสามารถ ได้ฝกึ คิด วิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัติจริง และสร้างความรู้ด้วยตนเอง มีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้จากบุคคลอื่น ได้ทากิจกรรมท่ีท้าทาย และเกดิ ความสาเร็จ ไดเ้ รยี นร้ใู นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย อบอุน่ และยอมรับ และมโี อกาสนาความรู้ท่ี เรียนไปใช้อย่างมีความหมายในห้องเรียนระดับปฐมวัย การจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะทางการ เคล่ือนไหวในเชิงปฏิบัตกิ ารทเี่ หมาะสมต่อการพัฒนาของเด็กปฐมวัยครูจะไม่สอนทักษะเชิงวิชาการ จะไม่เปน็ รปู แบบและกฎเกณฑแ์ ต่เป็นกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีมีความท้าทายให้เด็กฟังเสียงต่าง ๆ และ ใหเ้ กิดทกั ษะการฟัง จาแนกเสียงตา่ ง ๆ เสียงชา้ เร็ว ตามจงั หวะดนตรี และกิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืนโดย ให้เดก็ ๆ ได้เรียนรู้อย่างเหมาะสมกับระดับพัฒนาการของเด็กการจัดกิจกรรมลีลา จังหวะและการ เคล่ือนไหวสามารถบูรณาการการเรียนรู้ได้และส่งเสริมพัฒนาการได้หลากหลาย เช่น สร้างเสริม สุขภาพและพลานามัย ส่งเสริมทักษะทางภาษา ระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียง การปลูกฝัง ความรักชาติบ้านเมือง ช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เสริมสร้างความสามารถทางคณิตศาสตร์ ความสามารถทางด้านมิติสัมพันธ์ ส่งพัฒนาการทางสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ สร้างเสริม ลกั ษณะนิสัยและพัฒนาทางด้านเจตคติ ใหก้ ับเด็กปฐมวยั ได้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง125 คาถามท้ายบท 1. จงสรปุ แนวคดิ สาคญั เกย่ี วกบั การเรียนรู้และการทางานของสมองของเดก็ ปฐมวัย 2. การจัดการเรยี นรู้บนฐานขององคค์ วามรู้ทเี่ ก่ียวกบั สมองสามารถจัดได้อยา่ งไรบ้าง 3. จงอธิบายถงึ ข้นั ตอนการนากิจกรรมดนตรมี าใช้ประกอบการเรยี นการสอน 4. การบรู ณาการ ลีลา จังหวะและการเคล่ือนไหวกบั การเรยี นรมู้ ีแนวทางอย่างไร 5. จงยกตวั อยา่ งการใช้ดนตรเี ป็นเนอื้ หาในการเรียนแลว้ โยงไปหาวิชาอน่ื ๆ 6. การใช้ดนตรเี ป็นสว่ นประกอบใหส้ มั พันธก์ บั บทเรียนสามารถทาได้อย่างไรจงอธบิ ายให้ชัดเจน 7. ลีลา จังหวะและการเคล่ือนไหวส่งเสริมภาษาใหก้ บั เด็กไดอ้ ยา่ งไร 8. เราสามารถใช้เพลงหรือดนตรใี นการพฒั นาทางด้านบคุ ลกิ ภาพ ใหก้ ับเดก็ ได้อย่างไร 9. จงสรปุ บทบาทของครูในการจดั กจิ กรรมลลี า จังหวะและการเคลอ่ื นไหว 10. ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมลีลา จงั หวะและการเคล่อื นไหวใหก้ ับเดก็ ได้อยา่ งไร เอกสารอ้างองิ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2564). คมู่ ือหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย พุทธศกั ราช 2560 สาหรับเด็กอายุ 3-6 ปี. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด. กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). นโยบาย : 2 การจัดการศึกษาปฐมวัย. สบื คน้ เม่ือ 17 กันยายน 2564 จาก http://www.reo3.moe.go.th/web/images/download คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ ( 2536 ). แนวการจัดการศึกษากอ่ นประถม. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์คุรสุ ภา. ทวศี กั ด์ิ สิริรตั นเ์ รขา. (2547). การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้เพือ่ สง่ เสริมพัฒนาการของเดก็ ปฐมวยั . สืบค้นเมอื่ 22 ธนั วาคม 2564จาก https://wbscport.dusit.ac.th. พรพิมล เวสสวัสดิ์. (2557). ผลของการจัดกจิ กรรมเคล่อื นไหวและจังหวะโดยใช้แนวคิดการเตน้ เชิงสรา้ งสรรคท์ ่ีมีตอ่ ความคิดสร้างสรรคข์ องเด็กอนบุ าล. วทิ ยานิพนธ.์ ค.ม.กรุงเทพฯ :, จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พวงทอง ไสวรรณ. (2530). กิจกรรมพลศึกษากบั เด็กปฐมวยั . ปรญิ ญานิพนธกศ.ม.(พลศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร. ละไม สีหาอาจ. (2551). การส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายของเดก็ ปฐมวยั โดยการจัดกิจกรรม เคล่อื นไหวเชงิ สรา้ งสรรค.์ ปรญิ ญานิพนธก์ ารศกึ ษามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทร วโิ รฒ. กรงุ เทพมหานคร. วรศกั ดิ์ เพียรชอบ. (2548). รวมบทความ หลักการ วธิ ีการสอนและการวัดเพอื่ ประเมนิ ผล ทางพลศกึ ษา.พิมพค์ รัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. วารณุ ี สกุลภารกั ษ์ ,วรรณอาภา หฤทยั งาม.(2562).ดนตรแี ละกิจกรรมเคลือ่ นไหวสาหรบั เดก็ ปฐมวยั .สืบค้นเม่ือ 10 ตุลาคม 2564, file:///C:/Users/USER/Downloads/211742- Article.

126 สาวติ รี พทุ ธนกุ ลู .(2564). กิจกรรมการเคลือ่ นไหว. สืบคน้ เม่ือ 12 ธันวาคม 2564 จาก https://sites.google.com/site/sawittree สทุ ศั น์ ภาคภูม.ิ (2562).การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ที่เหมาะสมสาหรบั เดก็ ปฐมวัย. สืบคน้ เม่ือ 22 ธันวาคม 2564 จาก https://www.kruupdate.com มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

127 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 9 จานวนชั่วโมงทีส่ อน 8 สปั ดาหท์ ี่ 14-15 หวั ขอเน้ือหาประจาบท 1. แผนการจัดประสบการณ์ 2. การออกแบบแผนการจัดประสบการณก์ ารเรยี นร้สู าหรบั เดก็ ปฐมวยั 3. แผนการจัดประสบการณ์ท่ดี ี 4. รปู แบบการเขียนแผนการจดั ประสบการณ์ลีลา จงั หวะและการเคล่ือนไหว 5. ส่ืออุปกรณ์และเคร่ืองประกอบจงั หวะสาหรับเดก็ 6. การวดั และประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 7. แนวปฏบิ ัตใิ นการวัดและประเมินพัฒนาการเดก็ ปฐมวัย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วตั ถุประสงคเชงิ พฤตกิ รรม เม่ือผเู้ รยี นไดศกึ ษาบทเรียนนี้แลว ผเู รยี นสามารถแสดงพฤตกิ รรมตอ่ ไปนไ้ี ด้ 1. อธิบายแผนการจัดประสบการณ์ลลี า จังหวะและการเคลือ่ นไหว 2. ออกแบบแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับเด็กปฐมวยั 3. เขียนแผนการจดั ประสบการณ์ลีลา จงั หวะและการเคล่ือนไหว 4. ยกตวั อยา่ งสอื่ อปุ กรณ์และเครอ่ื งประกอบจงั หวะสาหรับเดก็ 5. อธบิ ายการวดั และประเมนิ พัฒนาการของเด็กปฐมวัย กิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ศกึ ษาเอกสารประกอบการสอนบทที่ 9 2. นาเสนอตวั อยา่ งแผนการจัดประสบการณล์ ีลา จงั หวะและการเคลอ่ื นไหว 3. ให้ผเู้ รียนวเิ คราะห์แผนการจัดประสบการณ์ลีลา จังหวะและการเคลอ่ื นไหวแตล่ ะรปู แบบ 4. แบง่ กลมุ่ ยอ่ ยเขยี นแผนการจดั ประสบการณ์ลีลา จังหวะและการเคลื่อนไหว 5. ดูคลิปการจัดประสบการณ์ลีลา จงั หวะและการเคลื่อนไหว 6. ใหผ้ เู้ รียนสะท้อนผลการเรยี นรแู้ ละกาหนดประเดน็ การประเมนิ 7.ทากิจกรรมตามใบงานที่ 9 ประเมินพัฒนาการจากการดูคลิป 8. ฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารประเมินพฒั นาการเด็กปฐมวัยในสถานการณ์จรงิ ที่โรงเรียนสาธติ ฯ 9. ตอบคาถามท้ายบท

128 สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ตวั อย่างแผนการจัดประสบการณ์ลีลา จังหวะและการเคลอ่ื นไหว 3. แบบฟอรม์ แผนการจัดประสบการณล์ ีลา จังหวะและการเคลอื่ นไหว 4. คลปิ วดี ิโอ 5. ใบงานที่ 9 ประเมนิ พัฒนาการ การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. การสังเกต 1.1 ผลจากการอภปิ รายซกั ถามในกลมุ่ ใหญ่ 1.2 ผลจากการอภิปรายร่วมกันในกลุ่มย่อย 1.3 การตงั้ คาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤติกรรม ความกระตอื รือรนในการทากิจกรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถูกต้องจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบที่ไดจากการทาแบบฝกึ หัดทา้ ยบท 2.3 ตรวจคุณภาพผลงานท่มี อบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง129 บทที่ 9 แผนการจัดประสบการณ์ ลลี า จังหวะและการเคลอ่ื นไหว การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กนั้นเป็นส่ิงที่สาคัญมากเพราะการท่ีเด็กเรียนรู้จาก ประสบการณ์จะทาให้เด็กได้ความรู้และความเข้าใจขึ้นภายในตัวของเด็ก ด้วยการให้โอกาสลงมือ กระทาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ด้วยวิธีการปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือ ได้คิด แก้ปัญหา เกิด ประสบการณต์ รง ทาให้เด็กได้เข้าใจในส่งิ ท่ีเรียนรู้และวิธีการทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ดีย่ิงขึ้น อันส่งผล ต่อการพัฒนาท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา การจัดประสบการณ์ให้เด็กน้ันจึงเหมือน เปน็ พื้นฐานในการศกึ ษาเด็กใหร้ บั รู้ เข้าใจว่า การดาเนินชีวิตของตัวเองให้เป็นอยู่อย่างดี มีความสุข และเป็นปัจจัยท่ีดีต่อสังคมแผนการจัดประสบการณ์จึง มีความสาคัญทั้งครูและเด็ก เนื่องจากการ เรียนการสอนท่ีสมบูรณ์ท่ีสุดคือ การเตรียมการสอนของครู และความพร้อมของผู้เรียนเพื่อให้ กจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ีกาหนดข้ึนเป็นไปในทศิ ทางเดยี วกัน แผนการจดั ประสบการณ์ แผนการจัดประสบการณเปนเครอ่ื งมอื สาคญั ในการจัดกิจกรรมและประสบการณใหแกเด็ก ชวยใหผูสอนสามารถจัดประสบการณการเรียนรูสาหรับเด็กไดอยางราบร่ืนและมีประสิทธิภาพ ซ่ึง ส่งผลใหเด็กปฐมวัยเกิดแนวคิด ทักษะ ความสามารถ คุณลักษณะ คานิยม และความเขาใจอยาง เหมาะสมกับพัฒนาการไดรับประสบการณการเรยี นรูทส่ี มดุล สอดคลองกับจิตวิทยาพัฒนาการ และ มคี วามสุขในการเรียนรู ผูสอนทุกคนจึงจาเปนตองวางแผนการจัดประสบการณการเรียนรู เพ่ือให สามารถจัดประสบการณ ส งเสริมพัฒนาการของเด็กให บรรลุเป าหมายของหลักสูตรสถานศึกษา ปฐมวัย การออกแบบแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้สาหรบั เด็กปฐมวยั การจัดประสบการณ์ให้เด็กได้พัฒนาครบทุกด้าน บรรลุจุดมุ่งหมายตามหลักสูตรนั้น จาเป็นต้องวางแผนการจัดประสบการณ์ เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมร่วมกับเด็กได้อย่าง เหมาะสม และบรรลผุ ลตามจดุ หมายที่กาหนด การเขียนแผนการจัดประสบการณ์ท่ีสามารถนาไปใช้ ไดจ้ ริงและเกดิ ประโยชน์กบั เดก็ ปฐมวัยอย่างเต็มที่ ครจู ะตอ้ งสามารถตอบคาถามพ้นื ฐานต่อไปนี้ 1. วางแผนการจัดประสบการณส์ าหรับใคร ครตู อ้ งรู้จักเด็กที่ตนเองรับผิดชอบ รู้พัฒนาการ ตามวัย ความสนใจ ความถนัด ความสามารถ รวมทั้งรู้ว่าควรปรับปรุงและพัฒนาเด็กคนใดในเร่ือง ใดบา้ ง 2. ต้องการให้เด็กเรียนรู้อะไร ครูต้องรู้จุดหมายของการจัดประสบการณ์ ครูจึงควรศึกษา กอ่ นวา่ ทกั ษะ สาระการเรียนรู้ หรือประสบการณ์สาคัญใดที่จะจัดให้กับเด็ก แล้วจึงวางแผนการจัด กจิ กรรมต่อไป

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง130 3. เด็กจะเรียนรเู้ ร่อื งท่ตี อ้ งการให้เรียนร้ไู ดด้ ีท่ีสุดไดอ้ ยา่ งไร ครตู ้องร้จู กั คิดหาวิธีสอนและส่ือ เพ่ือช่วยใหเ้ ด็กเกดิ การเรยี นรไู้ ด้อยา่ งเต็มศกั ยภาพ 4. รู้ได้อย่างไรวา่ เด็กเกดิ การเรียนรู้หรอื ไม่ มากน้อยเพียงใด ครูตอ้ งรูว้ ิธปี ระเมินผล 5. สรา้ งและใช้เครอื่ งมอื ประเมินพฒั นาการและการเรยี นรู้ของเด็กปฐมวยั ทเ่ี หมาะสม ส่ิงสาคัญที่ควรคานึงถึงในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์สาหรับเด็กปฐมวัย คือ การ ออกแบบกิจกรรมตามหลักการทางานของสมอง การจัดการเรียนรู้แบบลงมือกระทา และแนวทาง การจัดประสบการณ์แบบ บูรณาการ ไม่ควรให้ความสาคัญกับการเขียนแผนการจัดประสบการณ์ มากเกินกว่าการจดั ประสบการณ์จรงิ สาหรับเดก็ เพราะแผนการจัดประสบการณ์ที่ดีย่อมนาไปสู่การ สอนที่ดี เมือ่ นาแผนการจดั ประสบการณ์ไปใช้ในการจัดกิจกรรมประจาวันให้แก่เด็กปฐมวัย ควรให้ ความสาคญั กับการสอนที่มีการการออกแบบการสอนไว้ล่วงหน้า หลังจากจัดประสบการณ์แล้วควร ทาบันทึกหลังสอน โดยบันทึก ผลสัมฤทธิ์ของเด็กตามจุดประสงค์ของการจัดประสบการณ์ การ ตอบสนองของผู้เรียนต่อการจัดประสบการณ์ ข้อสังเกตเกี่ยวกับส่ือ การออกแบบการจัด ประสบการณ์ และลักษณะการเรียนรู้ของเด็ก แล้วนาผลที่บันทึกน้ีมาใช้ในการปรับแผนการจัด ประสบการณใ์ นวันต่อ ๆ ไปให้สมบรู ณ์ยง่ิ ขนึ้ ขนั้ ตอนการจดั ทาแผนการจัดประสบการณ์ การจดั ทาแผนการจดั ประสบการณใ์ หบ้ รรลจุ ุดหมาย ควรดาเนินตามขั้นตอนตอ่ ไปน้ี 1. ควรศึกษาคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ข้อมูลพัฒนาการเด็ก เป็นตน้ 2. ออกแบบการจัดประสบการณ์ ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์ที่กาหนดไว้ในหลักสูตร สถานศึกษาปฐมวัย กาหนดหัวเรื่องเพ่ือใช้เป็นแกนกลางในการจัดประสบการณ์และกาหนด รายละเอียดของหน่วยการจัดประสบการณ์ โดยนามาจากการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้รายปีใน หลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั ดงั น้ี 2.1 กาหนดหัวเรื่องหรือชื่อหน่วยการจัดประสบการณ์ เพ่ือใช้ในการจัดประสบการณ์ โดยพิจารณาจากสาระท่ีควรเรียนรู้ หัวเร่ืองท่ีกาหนดควรมีลักษณะเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ ของเด็ก ตรงตามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก สอดคล้องกับสภาพและบริบทในการดาเนิน ชวี ติ ประจาวนั ของเดก็ การกาหนดหวั เรอื่ งสามารถทาได้ 3 วธิ ี ดังน้ี วธิ ที ่ี 1 ครเู ปน็ ผู้กาหนด ครจู ะเปน็ ผู้กาหนดหน่วยการจดั ประสบการณ์ โดยพิจารณา จากสาระการเรียนรู้ในหลักสตู รสถานศึกษาปฐมวยั และความสนใจของเดก็ วิธที ี่ 2 ครูและเด็กรว่ มกนั กาหนด ครจู ะกระตนุ้ ให้เดก็ แสดงความคิดเห็นแล้วนาเรื่อง ทสี่ นใจมากาหนดเป็นหน่วยการจดั ประสบการณ์ วิธีท่ี 3 เด็กเป็นผู้กาหนด ครูจะเปิดโอกาสให้เด็กเป็นผู้กาหนดหัวเรื่องได้ตามความ สนใจของเดก็ ครู สามารถนาหัวเรื่องหน่วยการจัดประสบการณ์ที่กาหนดไว้มาจัดทาเป็นกาหนดการจัด ประสบการณ์ประจาปีการศึกษา โดยคานึงถึงฤดูกาล แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน เทศกาล ประเพณี และวนั สาคญั ต่างๆ เพอ่ื เป็นการเตรยี มวา่ จะจัดประสบการณ์หัวเร่ืองใดในชว่ งเวลาใด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง131 2.2 กาหนดรายละเอียดของหน่วยการจัดประสบการณ์ ประกอบด้วย มาตรฐาน คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ตัวบ่งชี้ สภาพท่พี งึ ประสงค์จุดประสงค์การเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ท้ัง ประสบการณ์สาคัญและสาระท่ีควรเรียนรู้ ให้สัมพันธ์กันทุกองค์ประกอบ ซึ่งอาจยืดหยุ่นได้ตาม ความเหมาะสมกบั หวั เร่ือง พร้อมกาหนดเวลาเรียนของแต่ละหนว่ ยการจดั ประสบการณ์ 1-2 สัปดาห์ ตามความเหมาะสม ดงั ตวั อยา่ ง ภาพที่ 9.1 การกาหนดรายละเอียดของหน่วยการจัดประสบการณ์ ที่มา : วจิ ติ รา เงินบาท (2564) 2.2.1 กาหนดมาตรฐานคณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ตัวบง่ ชี้ สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ของหน่วยการ จดั ประสบการณ์ที่คาดว่าการจัดประสบการณในหน่วยนั้นๆ จะนาเด็กไปสู่สภาพที่พึงประสงค์ตาม วัยการกาหนดมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ และสภาพท่ีพึงประสงค์ ต้องครอบคลุม พฒั นาการท้ัง 4 ดา้ น 2.2.2 กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ซง่ึ เป็นพฤติกรรมท่ีต้องการให้เกิดกบั เดก็ เม่ือทากิจกรรม โดยพิจารณาจากสภาพที่พึงประสงค์แล้วปรับเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ท้ังน้ี การกาหนด จุดประสงค์การเรยี นรสู้ ามารถกาหนดใหส้ ัมพันธก์ บั สาระทีค่ วรเรยี นรูข้ องหน่วยการจัดประสบการณ์ หรอื ปรับให้สอดคล้องกับความสามารถในขณะนน้ั ของเดก็ และครอบคลมุ พฒั นาการทง้ั 4 ด้าน 2.2.3 สาระการเรียนรู้ กาหนดรายละเอียดของสาระการเรียนรู้ให้เข้ากับหัวเรื่องหน่วยการ จดั ประสบการณ์ การกาหนดสาระการเรียนรู้ต้องประกอบด้วย ประสบการณ์สาคัญและสาระท่ีควร เรียนรู้ ดงั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook