32 เอกสารอ้างอิง กมลพรรณ ชีวพนั ธศุ ร.ี (2545). สมองกับการเรยี นรู.้ (พิมพค์ รัง้ ท่ี 2). กรงุ เทพฯ. กานตร์ วี บุษยานนท.์ (2560). รูปแบบการสอนทส่ี อดคลอ้ งกบั การเรียนรู้ของสมอง (Brain- Targeted Model) กบั การพัฒนาสมองและการเรยี นรู.้ วารสารศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี, 12(2). ชนาธปิ พรกลุ . ( 2554). การสอนกระบวนการคดิ . กรงุ เทพฯ : วี.พรน้ิ ท. บอยอธิป. (2562). กลไกสมอง 2 ซกี กบั ความคิดสรา้ งสรรค์ของมนุษย์. สบื คน้ เมือ่ 25 กนั ยายน 2564, จาก https://www.blockdit.com/posts/5d88cf588796d712b0be4528 ยุวดา บญุ แจม่ . (2555). โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของระบบอวยั วะ. สบื ค้นเมอ่ื 26 กันยายน 2564, จาก https://sites.google.com/site/yuwada36/ ศนั สนีย์ ฉัตรคุปต์ และคณะ.(2544). การเรียนรูอ้ ย่างมคี วามสุข : สารเคมีในสมองกบั ความสุข และการเรียนรู.้ (พมิ พค์ ร้ังท่ี1). กรุงเทพฯ: สยามสปอร์ต ซินดิเคท. หมอชาวบา้ น(ม.ป.ป.). สมองและการเรยี นรู้. สืบค้นเมอ่ื 25 กนั ยายน 2564,จาก https://wwwsobkroo.com/articledetail.asp?id=761 อารี สณั หฉวี. (2550). ทฤษฎกี ารเรียนรขู้ องสมองสาหรบั พอ่ แม่ ครแู ละผู้บริหาร. กรงุ เทพฯ : มติ รสมั พนั ธ.์ OKMD.(ม.ป.ป.). รู้จกั สมองของเรา. สืบค้นเม่อื 25 กนั ยายน 2564,จาก https://www.okmd.or.th/bbl/articles/242 Yannawate Wittayakom school all rights reserved.(2546) ปัจจัยหลักในการพฒั นา ความสามารถทางสมอง สบื คน้ เมื่อ 25 กันยายน 2564,จาก ttps://www.nectec.or.th Caine, Renate N. & Caine, Geoffrey.(1990). 12 Principles for Brain–based Learning. Retrieved from https://www.nlri.org/wp-content/uploads/2014/04/12-B_M- NLPs_CM.pdf มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
33 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 3 จานวนชว่ั โมงท่สี อน 8 สัปดาหท์ ่ี 3-4 หวั ขอเนอ้ื หาประจาบท 1. ความหมายของการเคล่อื นไหว 2. ความสาคญั ของกจิ กรรมการเคลอื่ นไหวสาหรับเดก็ ปฐมวยั 3. ขอบขาย/เนอ้ื หา/กจิ กรรม 4. วธิ ีจัดกจิ กรรมการเคลอื่ นไหวสาหรับเดก็ ปฐมวัย 5. องคป์ ระกอบของการเคล่ือนไหว 6. ประโยชนข์ องกิจกรรมการเคลือ่ นไหวสาหรบั เด็กปฐมวัย 7. แนวการจัดกิจกรรมการเคลอื่ นไหวสาหรับเดก็ ปฐมวยั 8. บทบาทของครใู นการจดั กิจกรรมการเคลอื่ นไหว มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วัตถุประสงคเชงิ พฤติกรรม เม่ือผเู้ รียนไดศกึ ษาบทเรียนนแ้ี ลว ผเู รียนสามารถแสดงพฤตกิ รรมตอ่ ไปนไ้ี ด้ 1. ร้แู ละเขา้ ใจรูปแบบแนวทางและหลักการจัดกิจกรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะตามหลกั สตู ร 2. สรปุ ความคดิ รวบยอดเก่ยี วกับพัฒนาการการเคลื่อนไหวสาหรบั เด็กปฐมวัย 3. สามารถจดั กิจกรรมเคลือ่ นไหวและจังหวะตามหลกั สูตร 4. ตระหนักถึงความสาคญั ของการจดั กิจกรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะ 5. จัดกิจกรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะทกุ รปู แบบไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การ 6. ประยกุ ต์ความรไู้ ปใช้ในการจดั กจิ กรรมเคล่ือนไหวและจงั หวะใหก้ บั เด็กได้ กิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. ผสู้ อนตกลงสัญญาณกับผ้เู รียนในการเคล่ือนไหว 2. ให้ผ้เู รยี นหาพ้ืนทกี่ ระจายท่วั หอ้ งปฏบิ ตั ิการเคลือ่ นไหวตามบทบรรยาย 3. ให้ผเู้ รียนจบั คู่วิเคราะหก์ จิ กรรมท่ีปฏบิ ตั แิ ละสรุปข้นั ตอน 4. ผู้สอนสรุปประเดน็ การเรียนรเู้ ก่ยี วกับพัฒนาการการเคล่อื นไหวสาหรับเด็กปฐมวยั 5. แบ่งกลุ่มผู้เรยี น 4-5 คนปฏบิ ตั กิ ิจกรรมเคลื่อนไหวตาม ใบงาน 3.1 6. แตล่ ะกลมุ่ นาเสนอรปู แบบการเคลอื่ นไหวและสะทอ้ นการจัดกจิ กรรม 7. ผสู้ อนสรปุ รูปแบบ แนวทางและหลกั การจัดกิจกรรมเคลอ่ื นไหวตามหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย 8. ผเู้ รียนสรุปรูปแบบการจดั กิจกรรมเคล่ือนไหวและจังหวะตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และทาใบงาน 3.2 เขยี นขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมทส่ี นใจ 1 รูปแบบ 9. ผ้เู รียนตอบคาถามทายบท
34 สื่อการเรยี นการสอน 1. เครือ่ งเคาะจังหวะ 2. อุปกรณท์ าเสยี ง 3. แบบวเิ คราะห์ 4. Power point 5. ใบงาน 3.1 รูปแบบกจิ กรรมเคล่อื นไหว 6. ใบงาน 3.2 ข้นั ตอนการจัดกจิ กรรมเคล่อื นไหวและจังหวะตามหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั 6. เครอื่ งเคาะจงั หวะ 7. แบบบันทึก การวดั ผลและการประเมนิ ผล 1. การสงั เกต 1.1 ผลจากการอภิปรายซกั ถามในกลมุ่ ใหญ่ 1.2 ผลจากการอภปิ รายรว่ มกันในกลุ่มย่อย 1.3 การตงั้ คาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤติกรรม ความกระตอื รือรนในการทากจิ กรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถกู ตอ้ งจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบท่ไี ดจากการทาแบบฝกึ หดั ท้ายบท 2.3 ตรวจคุณภาพผลงานทีม่ อบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง35 บทท่ี 3 กจิ กรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะสาหรบั เด็กปฐมวยั กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะเป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อยา่ งอสิ ระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คาคล้องจอง จังหวะ และดนตรีที่ใช้ประกอบ ได้แก่ เสียงตบมือ เสยี งเพลง เสยี งเคาะไม้ เคาะเหล็ก รามะนา กลอง ฯลฯ มาประกอบในการเคล่ือนไหวเพื่อส่งเสริมให้เด็ก เกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมพัฒนาทางด้านร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเน้ือมัดใหญ่ เช่น แขน ขา ลาตัว และการประสานสัมพนั ธ์ของกล้ามเนือ้ ในส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ความหมายของการเคลือ่ นไหว กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เปนกิจกรรมท่ีจัดใหเด็กไดเคล่ือนไหวสวนตาง ๆ ของ รางกายอยางอสิ ระตามจังหวะ โดยใชเสยี งเพลง คาคลองจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณอ่ืน ๆ มาประกอบการเคลอื่ นไหวซงึ่ จังหวะและดนตรีท่ใี ชประกอบ ไดแก เสียงตบมือ เสียงเพลง เสียงเคาะ ไม เคาะเหล็กกรุงกริ๋ง รามะนา กลอง กรับ ฯลฯ มาประกอบการเคล่ือนไหวเพ่ือสงเสริมใหเด็ก เกิดจินตนาการความคิดสรางสรรค เด็กวัยน้ีรางกายกาลังอยใู นระหวางพัฒนาการใชสวนตาง ๆ ของรางกาย ยงั ไมประสานสัมพันธกนั อยางสมบรู ณ ความสาคญั ของกิจกรรมการเคลอ่ื นไหวและจงั หวะสาหรับเดก็ ปฐมวัย กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของ รา่ งกายอย่างอิสระตามจังหวะโดยใช้เสียงเพลง คาคล้องจอง จังหวะและดนตรีท่ีใช้ประกอบ ได้แก่ เสียงตบมือ เสียงเพลง เสียงเคาะไม้ เสียงเคาะเหล็ก รามะนา กลอง ฯลฯ มาประกอบในการ เคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมพัฒนาการทางด้าน รา่ งกาย โดยเฉพาะกลา้ มเน้ือมัดใหญ่ ได้แก่ แขน ขา ลาตัว และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ ต่าง ๆ การเคล่ือนไหวและจังหวะมีความสาคัญและจาเป็นอย่างมากสาหรับมนุษย์โดยเฉพาะใน สภาพสังคมปัจจุบันท่ีเต็มไปด้วยการต่อสู้และการแข่งขัน ทาให้คนมีความเครียดมากข้ึนการผ่อน คลายด้วยการเคล่ือนไหวหรอื การรอ้ งเพลงจะทาใหค้ นเราสามารถผ่อนคลาย สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ (2560 : 31) ได้อธิบายความสาคัญของ การเคล่ือนไหวไว้ ดังนี้ 1. เพือ่ พัฒนาอวยั วะทกุ สวนใหมคี วามสมั พันธกันอยางดใี นการเคล่อื นไหว 2. เพ่อื ฝกทักษะภาษา ฝกฟงคาส่งั และขอตกลง 3. เพ่ือใหเกดิ ความซาบซ้งึ และสนุ ทรยี ภาพในการเคล่อื นไหว 4. เพือ่ พฒั นาดานสงั คม การปรับตัวและความรวมมือในกลุม 5. เพ่อื ใหโอกาสเดก็ ไดแสดงออก และความคิดริเริ่มสรางสรรค 6. เพ่ือใหเกิดความสนุกสนาน ผอนคลายความตงึ เครยี ด 7. เพอ่ื ใหไดรับประสบการณ สนกุ สนาน รื่นเริงจากการเคล่อื นไหว และจังหวะแบบตางๆ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง36 ขอบขาย/เน้ือหา/กิจกรรม การเคลื่อนไหวเปน็ การนาทักษะการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของมนุษย์มาประกอบจังหวะ หรือเสยี งของดนตรเี ป็นการวางรากฐานการเคลื่อนไหวท่ีถูกต้อง การเคลื่อนไหวสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1. การเคลื่อนไหวแบบอย่กู ับที่ (Non Locomotor Movement) 2. การเคลือ่ นไหวแบบเคลื่อนที่ (Locomotor Movement) 3. การเคลอื่ นไหวประกอบอุปกรณ์หรอื วตั ถุ (The movement of a device or object) 1. การเคลือ่ นไหวแบบอยู่กับที่ (Non Locomotor Movement) การเคลื่อนไหวแบบอยู่กับท่ี หมายถึงการเคล่ือนไหวส่วนใดส่วนหน่ึงหรือหลาย ๆ ส่วน ของร่างกายพร้อมกันใหเ้ ข้ากับจงั หวะดนตรโี ดยร่างกายไม่เคลอื่ นหา่ งไปจากจุดเดิม เช่น 1.1 การก้มตัว (Bending) หมายถึง การงอพับข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกายที่จะทาให้ รา่ งกายสว่ นบนมาใกล้กับสว่ นลา่ ง 1.2 การยืดเหยียดตัว (Stretching) หมายถึง การเคลื่อนไหวที่ตรงกันข้ามกับการก้มตัว โดยพยายามยดื เหยียดทกุ ส่วนของร่างกายให้มากท่สี ดุ เท่าที่จะมากได้ ภาพที่ 3.1 การยดื เหยยี ดตวั (Stretching) ที่มา : https://m.facebook.com/Saengvitthaya.school/posts (2561) 1.3 การบิดตวั (Twisting) หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยการบิดลาตัวท่อนบนไป รอบๆ แกนตัว 1.4 การหมนุ ตวั (Turning) หมายถึง การหมุนตัวไปรอบๆ ร่างกายมากกว่าการบิดตัวซึ่ง เท้าตอ้ งหมนุ ตามไปดว้ ยข้างใดข้างหนงึ่ 1.5 การแกว่งหรือหมุนเหวี่ยง(Swinging) หมายถึง การเคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งโดย หมนุ รอบจุดใดจดุ หน่ึงให้เป็นรปู โคง้ หรือรปู วงกลมหรือแบบต้มุ นาฬิกา เช่น การแกวง่ แขน ขา ลาตวั 1.6 การเอียง (Swaying) หมายถึง การทาคล้ายกับการโยก ส่วนโค้งจะเป็นโค้งเข้าหาพ้ืน การเอียงแบบนไ้ี มร่ ู้สกึ ผอ่ นคลายเหมอื นกับการแกว่ง 1.7 การดัน (Pushing) หมายถึง การเคล่ือนไหวโดยการดัน มักจะเป็นการดันออกจาก รา่ งกายเชน่ การดันสง่ิ ของและการกดสง่ิ ของ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง37 1.8 การดึง (Pulling) หมายถึง การเคลือ่ นไหวท่ีตรงกนั ขา้ มกัน การดนั มกั จะเปน็ การดึง เขา้ หารา่ งกายหรอื ดึงไปในทิศทางใดทิศทางหนง่ึ โดยเฉพาะ 1.9 การสน่ั (Shaking) หมายถงึ การเคล่ือนไหวที่มีการส่ันสะเทือนของส่วนใดส่วนหนึ่ง ของรา่ งกายทกุ ส่วน ตวั อยา่ งเช่น ในการเตน้ รามีการจบั มอื เขยา่ หรอื การสน่ั ในการเต้น 2. การเคล่ือนไหวแบบเคลื่อนท่ี (Locomotor Movement) 2.1 การเดิน (Walking) หมายถึง การเคล่ือนท่ีด้วยการก้าวเท้าสลับกันไปทีละข้าง น้าหนักตัวเปล่ียนจากส้นเท้าไปยังปลายเท้า และในขณะที่เปลี่ยนน้าหนักตัวเท้าข้างใดข้างหนึ่ง จะตอ้ งอย่บู นพ้นื 2.2 การวิ่ง (Running) หมายถึง การเคลื่อนที่โดยการเปลี่ยนน้าหนักตัวจากเท้าหน่ึงไป ยงั อีกเทา้ หนง่ึ น้าหนกั ตัวตกที่ปลายเท้าโนม้ ตัวไปขาั งหนา้ เลก็ น้อยในขณะท่ีเปล่ียนน้าหนักตัวเท้าท้ัง สองไม่อยู่บนพืน้ 2.3 การกระโดด (Jumping) หมายถึง การสปริงตัวขึ้นจากพื้นด้วยเท้าข้างใดข้างหน่ึง หรอื ทัง้ สองขา้ งแลว้ ลงสูพ่ น้ื ดว้ ยเทา้ ทัง้ สองข้าง 2.4 การกระโดดเขย่ง (Hopping) หมายถึง การสปริงตัวขึ้นจากพื้นด้วยเท้าเดียวหรือ สองข้างแลว้ ลงสพู่ ้ืนด้วยเทา้ ขา้ งเดยี ว ภาพท่ี 3.2 การกระโดดเขยง่ (Hopping) ทีม่ า : https://www.banruk-nursery.com (2548) 2.5 การกระโจน (Leaping) หมายถงึ การกระโดดไปข้างหน้าด้วยเท้าข้างใดข้างหน่ึงแล้ว ลงสพู่ ้นื ดว้ ยเทา้ อีกข้างหนง่ึ ขณะลอยตวั อยู่กลางอากาศน้ันขาทัง้ สองข้างจะมลี ักษณะแยกจากกนั 2.6 การล่นื ไถล (Sliding) หมายถึง การกา้ วเท้าใดเท้าหนึ่งไปด้านข้างแล้วลากอีกเท้าหนึ่ง ชดิ ถ้าเคล่ือนทไี่ ปทางซ้ายกา้ วเท้าซ้ายลากเท้าขวามาชิด ถ้าเคลื่อนท่ีไปทางขวาก้าวเท้าขวาลากเท้า ซ้ายมาชิด 2.7 การกระโดดสลับเท้า (Skipping) หมายถึง การก้าวเท้ากระโดดด้วยเท้าหนึ่งแล้ว เปลยี่ นไปอกี ข้างหน่งึ สลับกัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง38 2.8 การควบม้า (Galloping) หมายถงึ การกา้ วเท้านาไปข้างหน้าแล้วลากเท้าหลังมาชิดใน จังหวะที่ต่อเนอ่ื งกัน จะตอ้ งใช้เท้าใดเท้าหน่งึ นาหนา้ 2.9 การทาสองกา้ ว (Two Step) หมายถงึ การก้าวเท้าใดเท้าหน่ึงไปข้างหน้าลากเท้าหลัง มาชิด พร้อมกับถ่ายน้าหนักตัวไปไว้ท่ีเท้าหลังแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า 1 ก้าว การก้าว 3 ก้าวใน 2 จงั หวะ(กา้ ว-ชดิ -กา้ ว) 2.10 การทาช็อททสิ (Schottische) หมายถึง การเดิน 3 ก้าวแล้วกระโดดเขย่งในจังหวะ ที่ 4 (กา้ ว-กา้ ว-กา้ ว-กระโดด) 2.11 การทาแกรพไวน์ (Grapevine) หมายถึง การเคลื่อนท่ีไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ถ้า ต้องการเคล่ือนท่ีไปทางซ้าย เริ่มโดยการก้าวเท้าซ้ายไปด้านข้าง นับ 1 ก้าวเท้าขวามาไข้วหลังเท้า ซา้ ย นบั 2 ก้าวเท้าซ้ายไปทางซ้าย นบั 3 กา้ วเทา้ ขวามาชิด นบั 4 (กา้ ว–ไขว้–กา้ ว– ชิด) 3. การเคล่อื นไหวประกอบอปุ กรณ์หรอื วัตถุ (The movement of a device or object) การเคลื่อนไหวประกอบอปุ กรณ์หรอื วตั ถุเป็นการทาให้เดก็ ได้มีการเคลื่อนไหวโดยใช้วัตถุ หรืออุปกรณ์อย่างใดอย่างหน่ึงมาประกอบ การใช้อุปกรณ์ประกอบน้ีจะช่วยทาให้เด็กได้มีการ พัฒนาการในด้านการทางานประสานกันระหว่างประสาทตา ประสาทเท้ากับมือและตาดีข้ึน ตามปกติแล้วเด็กจะมีความสนุกสนานกับการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์น้ีมาก ฉะน้ันครูควรจัด วัสดุอุปกรณ์หรือวัตถุอื่นๆที่จะสามารถให้เด็กได้ใช้ในการประกอบการเล่นหรือการเคลื่อนไหวนี้ให้ มากทสี่ ดุ อุปกรณ์ที่จัดหาได้ง่าย เช่น ถุงถ่ัว ลูกบอลขนาดต่างๆ เชือก ห่วงยางขนาดใหญ่หรือห่วง ยางธรรมดาเหล่าน้ี เป็นต้น ซ่ึงอุปกรณ์เหล่าน้ีจะเป็นอุปกรณ์ท่ีจะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้มี ประสบการณใ์ นการเคลอื่ นไหวไดอ้ ยา่ งดแี ละกวา้ งขวาง ภาพท่ี 3.3 การเคลือ่ นไหวประกอบริบบ้ินผา้ ทม่ี า : https://www.youtube.com/watch?v=cDR7RPC-mkY การเคลือ่ นไหวประกอบอุปกรณ์สามารถจาแนกลกั ษณะการเคล่ือนไหวโดยใช้อุปกรณไ์ ด้ดังนี้ 1. การทาให้วัตถุที่อยู่น่ิงเคลื่อนที่ เช่น การขว้างลูกบอล ตีวงล้อ กิจกรรมน้ีเด็กจะเป็น ผู้กระทากบั วตั ถุเป็นหลัก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง39 2. การหยุดวัตถุเคลอ่ื นท่ีเปน็ กิจกรรมของเดก็ ท่ีฝกึ ให้เด็กรับหรือหยุดวัตถุท่ีกาลังเคลื่อนท่ี มาหา เชน่ รบั ลูกบอล รับของท่ีโยนมา เป็นต้น 3. การเคลอื่ นทไ่ี ปพร้อมกับวัตถุ เช่น การอุ้มลูกบอลว่ิง การวิ่งโบกสายรุ้ง เป็นต้น สิ่งท่ี เด็กได้รับและเรยี นรจู้ ากกิจกรรมน้เี ป็นเร่อื งเกี่ยวกับการเขา้ ใจตนเองและผูอ้ น่ื มิตสิ ัมพนั ธ์ รวมถงึ การ วางตัว ภาพท่ี 3.4 การเคลือ่ นไหวกับลกู โปง่ ที่มา : https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id ข้อเสนอแนะสาหรับการใช้อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหว ควรมกี ารจัดหาไว้อย่างเพียงพอ มีขนาดเหมาะสมและใหค้ วามสัมพนั ธก์ ับการเคลอ่ื นไหวของเดก็ เพ่อื ที่จะกระตุ้นความคิด เพ่ิมความ สนุกสนานและทักษะการใช้อุปกรณ์ที่ถูกวิธีจะช่วยใหเด็กมีความคล่องแคล่วและควบคุมการ เคล่ือนไหวได้ดีขึ้น ดังนั้น การนาอุปกรณ์ต่างๆมาใช้ประกอบการเคลื่อนไหว จึงมีเป้าหมายสาคัญ เพ่อื ให้เด็กเกดิ การเรียนรู้ การชว่ ยเหลอื รู้จักการแกป้ ญั หา และเป็นผู้นาผู้ตามที่ดีจากการใช้อุปกรณ์ ต่าง ๆ สาหรับขอบขา่ ยของกิจกรรมการเคลื่อนไหวตามท่ีปรากฏในคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2560 มดี ังน้ี 1. กิจกรรมการเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน เปนกิจกรรมท่ีตองฝกทุกคร้ังกอนที่จะเร่ิมฝกกิจกรรม อ่ืนๆ ตอไป ลักษณะการจัดกิจกรรมมีจุดเนนในเร่ืองจังหวะและการเคลื่อนไหวหรือทาทางอยาง อสิ ระ การเคล่อื นไหวตามธรรมชาติของเด็ก มี 2 ประเภท คือ การเคล่ือนไหวอยูกับท่ี เชน ตบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเขา เคาะเทา เคลื่อนไหวมือและแขน มือและน้ิวมือ เทาและปลายเทา การ เคลอ่ื นไหวเคล่อื นท่ี เชน คลาน คืบ เดิน วิง่ กระโดดควบมา กาวกระโดด เขย่ง กาวชิด โดยกิจกรรม การเคลอื่ นไหวพื้นฐานอาจดาเนินการ ดงั นี้ 1.1 ใหเด็กทราบถึงขอตกลงรวมกันในการกาหนดสัญญาณและจังหวะ โดยผูสอนตอง ทาความเขาใจกับเดก็ กอนวา สญั ญาณนัน้ หมายถึงอะไร เชน 1) ใหจังหวะ 1 ครั้ง สม่าเสมอ แสดงวา ใหเด็กเดินหรือเคล่ือนไหวไปเรื่อยๆ ตาม จังหวะ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง40 2) ใหจังหวะ 2 ครั้งติดกัน แสดงวา ใหเดก็ หยุดการเคล่ือนไหว โดยเด็กจะตองหยุด นิ่งจรงิ ๆ หากกาลงั อยูในทาใด ก็ตองหยดุ น่ิงในทานนั้ จะเคลอ่ื นไหวหรอื เปลยี่ นทาไมได 3) ใหจังหวะรัว แสดงวา ใหเด็กเคลื่อนไหวอยางเร็ว หรือเคล่ือนท่ีเร็วขึ้น เชน การฝกการ เปนผนู าหรือผตู ามจะหมายถึงการเปล่ียนตาแหนง 1.2 เร่ิมต้นจากการเคลอ่ื นไหวแบบอยู่กับท่ีตอ่ เนือ่ งจากการตกลงสัญญาณเด็กยังน่ังอยู่ กบั ท่ี ฝึกการเรียนรู้จงั หวะโดยการทาท่าง่ายๆ เช่น ตบมือ โบกมือ หมุนหัวไหล่ บิดลาตัว สะบัดมือ ฯลฯ จากน้ันจึงให้เด็กลุกข้ึนยืนเคล่ือนไหวอยู่กับที่โดยเพิ่มการใช้อวัยวะ เช่น หมุนเข่า เขย่งปลาย เทา้ ยอ่ ยืด ตามสัญญาณและจังหวะ สลับ ช้า เร็วและหยุด ทาต่อเนื่อง ประมาณ 4-5 นาที จึงให้ เด็กหาพื้นท่ีสาหรับการเคล่ือนไหวแบบเคล่ือนที่โดยใช้ส่วนต่างๆของร่างกายให้มากที่สุด และ ขณะเดยี วกนั ตอ้ งคานงึ ถึงองคป์ ระกอบพืน้ ฐานในการเคลือ่ นไหว ซึ่งไดแ้ ก่ การใช้ร่างกายตนเอง การ ใช้พื้นทีบ่ รเิ วณ การเคล่ือนไหวอยา่ งมีอิสระ มรี ะดบั และทิศทาง 2. กิจกรรมการเคลือ่ นไหวที่สมั พันธกับเนื้อหา เปนกิจกรรมท่จี ดั ใหเดก็ ไดเคลื่อนไหวรางกาย โดยเนนการทบทวนเรอ่ื งทไ่ี ดรับรูจากกจิ กรรมอื่น และนามาสัมพันธกับสาระการเรียนรูหรือเรื่องอ่ืน ๆทเี่ ด็กสนใจ ไดแก 2.1 การเคล่ือนไหวเลียนแบบเปนการเคลื่อนไหวเลียนแบบส่ิงตาง ๆ รอบตัว เชน การเลียนแบบทาทางสัตว การเลียนแบบทาทางคน การเลียนแบบเครื่องยนตกลไกและเครื่องเลน และการเลยี นแบบปรากฏการณธรรมชาติ 2.2 การเคลื่อนไหวตามบทเพลง เปนการเคล่ือนไหวหรือทาทาทางประกอบเพลง เชน เพลงไก เพลงขามถนน เพลงสวัสดี 2.3 การทาทาทางกายบริหารประกอบเพลงหรือคาคลองจอง เปนการทาทาทางกาย บรหิ ารตามจังหวะและทานองเพลงหรือคาคลองจอง เชน เพลงกามือแบมือ เพลงออกกาลังกายรับ แสงตะวัน คาคลองจองฝนตกพราพรา 2.4 การเคลือ่ นไหวเชงิ สรางสรรค เปนการเคลื่อนไหวทใ่ี หเดก็ คดิ สรางสรรคทาทางขึ้นเอง หรอื อาจชี้นาดวยการปอนคาถามเคล่ือนไหวโดยใชอุปกรณประกอบ เชน หวงหวาย แถบผา ริบบิ้น ถุงทราย 2.5 การเคลื่อนไหวหรือการแสดงทาทางตามคาบรรยายหรือเร่อื งราว เปนการเคลื่อนไหว หรือแสดงทาทางตามจินตนาการจากเร่ืองราว หรือคาบรรยายทผ่ี ูสอนเลา 2.6 การเคลอื่ นไหวหรอื การแสดงทาทางตามคาสัง่ เปนการเคลอ่ื นไหวหรือทาทาทางตาม คาสง่ั ของครู เชน การจัดกลุมตามจานวน การทาทาทางตามคาสัง่ 2.7 การเคลอ่ื นไหวหรอื การแสดงทาทางตามขอตกลง เปนการเคล่ือนไหวหรือทาทาทาง ตามขอตกลงท่ีไดตกลงไวกอนเร่ิมกิจกรรม 2.8 การเคลื่อนไหวหรือการแสดงทาทางเปนผูนา ผูตาม เปนการเคลื่อนไหวหรือทาทา ทางจากความคดิ สรางสรรคของเดก็ เอง แลวใหเพอื่ นปฏิบตั ติ ามกจิ กรรม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง41 วธิ ีจดั กิจกรรมการเคลื่อนไหวสาหรับเดก็ ปฐมวยั การจดั กจิ กรรมการเคลื่อนไหวสาหรับเดก็ ปฐมวัยวิธจี ดั กิจกรรมดังน้ี 1. ควรเร่ิมจากการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ไม่ควรมีระเบียบ และวิธีการยุ่งยากนัก เช่น ให้ เด็กกระจายอยู่ภายในหอ้ งและเคล่ือนไหวไปตามธรรมชาตขิ องเด็ก 2. ให้เดก็ ได้แสดงออกดว้ ยตนเองอย่างอิสระ และเป็นไปตามความนึกคิดของเด็กเอง ซึ่งจะ เป็นการสง่ เสรมิ ให้เดก็ มีความคดิ รเิ ร่ิมสร้างสรรค์ แสดงความนึกคดิ ความรู้สกึ ตา่ ง ๆ 3. ครคู วรเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ คิดหาวธิ ีการเคลื่อนไหวเปน็ รายบคุ คล เป็นคู่ เป็นกลุ่มตามลาดบั 4. ใหเ้ ดก็ ไดแ้ สดงเลยี นแบบในเร่ืองตา่ ง ๆ เชน่ 4.1 กจิ กรรมตามธรรมชาติ เชน่ ตกปลา พายเรือ วา่ ยน้า การยก การแบกหาม ฯลฯ 4.2 ชวี ติ รอบตัวเด็ก เชน่ ชวี ิตในบ้าน ในโรงเรยี น ฯลฯ 4.3 ชีวติ สัตวต์ ่าง ๆ 4.4 ปรากฏการณธ์ รรมชาติ เช่น ลม ฝน พายุ ฯลฯ 4.5 ส่งิ ต่าง ๆ เช่น เรือ เคร่อื งบิน รถไฟ ฯลฯ 4.6 ความรสู้ กึ นกึ คดิ เชน่ หัวเราะ ร้องไห้ ตกใจ รกั เกลยี ด 4.7 เสียงต่าง ๆ เช่น เปาะแปะ ติ๊กต๊อก เป็นต้น กิจกรรมเหล่าน้ีครูจัดให้เด็กได้แสดง ออกเปน็ ทา่ ทางหรือการเคล่ือนไหว ดว้ ยอริ ิยาบถต่าง ๆ ภาพท่ี 3.5 เดก็ ทาทา่ เลียนแบบกระตา่ ย ที่มา : http://krathumlom.go.th/public/activity (2563) 5. พยายามใช้สง่ิ ของที่อยู่รอบตัวเดก็ เศษวสั ดตุ ่าง ๆ เช่น กระดาษ หนงั สอื พมิ พ์ เศษผ้าเศษ เชือก เขา้ มาชว่ ยในการเคลื่อนไหว 6. ควรกาหนดจังหวะ สัญญาณนดั หมายการเคลื่อนไหวต่าง ๆ หรือเม่ือเปล่ียนท่าหรือหยุด ใหเ้ ดก็ ทราบทกุ ครงั้ ที่ทากิจกรรม 7. สร้างบรรยากาศอิสระในห้องเรียนช่วยให้เด็กมีความรู้สึกอบอุ่น เพลิดเพลิน สบาย และ สนุกสนาน 8. ไมค่ วรบงั คับให้เด็กเขา้ ร่วมกิจกรรม เด็กท่อี ย่นู ิง่ ๆ ไม่กีค่ นจะค่อย ๆ เขา้ ร่วมกจิ กรรมเอง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง42 9. จัดให้มเี กมการเล่นบางคร้ังซึง่ จะชว่ ยให้เด็กสนใจมากข้ึน 10. หลังจากเด็กได้ทากิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายแล้ว ครูอาจจะเปิดเพลง จังหวะช้า ๆที่ สรา้ งความรู้สึกให้เด็กสงบ และอยากพักผ่อน หรืออาจแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่มผลัดกันทากิจกรรม เพ่ือเด็กจะได้พกั ผ่อนไปในตัว 11. เตรียมจัดกิจกรรมทุกครั้งให้เป็นที่น่าสนใจ สนุกสนาน และทากิจกรรมทุกวัน วันละ ประมาณ 15-20 นาที องคป์ ระกอบของการเคล่อื นไหว การเคล่ือนไหวและจังหวะมีบทบาทและสาคัญมากต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซ่ึงเด็กแต่ละคน จะต้องทราบว่าร่างกายของเขานั้นสามารถทาอะไรได้บ้าง เขาสามารถเคลื่อนไหวร่างกายไปได้ อยา่ งไร ไปในทิศทางใด จะต้องสัมพันธ์กับส่ิงใดหรือจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรท่ีจะช่วยให้เขาสามารถ เคลื่อนไหวอยา่ งสัมพนั ธ์กัน แนวคิดเกยี่ วกบั องคป์ ระกอบทีจ่ ะเปน็ รากฐานของการเคล่อื นไหว มดี งั น้ี 1. บริเวณพ้นื ที่ (Space) หมายถึง สถานที่ที่เด็กต้องการในการเคลื่อนไหว ซ่ึงโดยพื้นฐาน แลว้ จะตอ้ งเกยี่ วข้องกับสิง่ ต่อไปนี้ 1.1 บุคคลท่ีอยู่รอบตัวเด็กในขณะที่เด็กมีการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา ลาตัว ในขณะทเี่ ท้าอยู่กบั ท่ี 1.2 อุปกรณ์หรือวตั ถุอ่ืน ๆ ที่จะช่วยให้เด็กสามารถเคล่ือนไหวไปได้รอบ ๆ บริเวณพ้ืนท่ี ได้อย่างปลอดภัย 1.3 ทิศทาง (Direction) ได้แก่ การเคล่ือนไหวไปข้างหน้า การเคล่ือนไหวถอยหลังการ เคล่ือนไหวไปด้านข้าง การเคลื่อนไหวไปด้านบน การเคล่ือนไหวไปด้านล่าง การเคล่ือนไหวเป็น วงกลม การเคลือ่ นไหวแบบคดเค้ียว และการเคลอ่ื นไหวแบบบิดตวั เปน็ ต้น 1.4 ระดับของการเคล่ือนไหว ได้แก่ ระดับความสูงมาก ระดับความสูงปานกลาง และ ระดบั ต่า 1.5 ขนาด ไดแ้ ก่ บริเวณพน้ื ที่ทม่ี ีขนาดใหญ่ บรเิ วณพื้นทที่ ่มี ขี นาดเล็ก 2. เวลาที่ใช้ในการเคล่ือนท่ี หมายถึง ระดับความช้า - เร็วของการเคลื่อนไหว เช่น การ เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เคล่ือนไหวในระดับความเร็วปานกลาง เคล่ือนไหวในระดับความเร็วมาก เคลื่อนไหวอยา่ งเรยี บร้อยนม่ิ นวล เปน็ ตน้ 3. ความแรงของการเคลื่อนไหว หมายถึง ปรมิ าณหรอื จานวนของความแข็งแรง หรอื แข็งแกรง่ ท่ีต้องการเพ่ือการทเี่ คลือ่ นไหวเหมาะสมเชน่ เบามาก หนกั มาก แรงมาก ความอ่อนและ ความตึงตวั เปน็ ตน้ 4. การเปล่ียนทิศทางหรือท่าทางของการเคล่ือนไหว หมายถึง ลาดับขั้นการเปล่ียนแปลง ขั้นตอนของการเคล่ือนไหวอย่างหนึ่ง ไปสู่การเคลื่อนไหวอีกอย่างหน่ึงหรือการเปลี่ยนตาแหน่งทิศทาง จากสภาพการณ์หนึ่งไปสู่อีกสภาพการณ์หน่ึงน้ันเอง จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบของการเคล่ือนไหว นั้นประกอบด้วย บริเวณ พ้ืนที่ เวลา ความแรงของการเคลอ่ื นไหว และการเปลี่ยนแปลงทิศทาง หรือ ท่าทางของการเคลื่อนไหวสิง่ ต่าง ๆ เหลา่ นี้ เป็นองค์ประกอบท่ีเป็นรากฐานของการเคลอื่ นไหว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง43 ประโยชนข์ องกิจกรรมการเคล่ือนไหวสาหรบั เดก็ ปฐมวัย การเคลือ่ นไหวประกอบเพลงในระดบั ปฐมวยั นน้ั นอกจากการทีเ่ ดก็ ได้เคลอื่ นไหวเพ่ือพัฒนา ด้านร่างกายแล้วการคัดเลือกเพลงที่เหมาะสมกับวัยของเด็กและสอดคล้องกับการพัฒนาเด็กอย่าง รอบดา้ นเป็นสงิ่ สาคญั ไมย่ ิ่งหย่อนไปกว่ากัน การใช้เพลงประกอบกิจกรรมเคลื่อนไหวสามารถพัฒนา เดก็ ปฐมวัยไดด้ งั นี้ 1. การพัฒนาทางด้านร่างกายและสุขภาพพลานามัยของเด็ก เด็กมีโอกาสทาท่าทาง ประกอบและเคลื่อนไหวตามเน้อื เพลง เช่น เพลงแปรงฟัน เพลงอาบน้า เพลงดม่ื นม ฯลฯ 2. การพัฒนาทางดา้ นอารมณ์ ขณะท่ีเดก็ เข้ารว่ มกิจกรรมเคล่ือนไหวประกอบเพลง เด็กจะมี จติ ใจร่าเริงแจม่ ใส มีความสนุกสนาน คลายความตงึ เครียด 3. การพฒั นาทางด้านสังคม ช่วยใหเ้ ด็กมีความกล้าแสดงออกและม่ันใจในตนเอง เพลงเป็น สือ่ อย่างหน่งึ ทส่ี ามารถชกั จูงใหเ้ ดก็ ๆ และครมู คี วามสมั พนั ธ์ท่ีดตี ่อกัน เพลงบางเพลงเด็กต้อง ทาท่า ทางร่วมกัน ทาให้เด็กมคี วามใกล้ชดิ กันมากขึ้น 4. การพัฒนาทางด้านสติปัญญา เนื้อหาในเพลงที่ใช้ในการจัดกิจกรรมเคล่ือนไหวและ จังหวะชว่ ยใหเ้ ดก็ พัฒนาความสามารถในดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ 4.1 ด้านภาษา เม่ือเด็กทาท่าทางประกอบเพลง การที่จะสังเกตว่าเด็กเข้าใจเน้ือหา ความหมายของเนอื้ เพลงดูไดจ้ ากทา่ ทางท่ีเดก็ ทา 4.2 ด้านคณิตศาสตร์ เพลงช่วยให้เด็กไดจ้ ดจาเขา้ ใจเกี่ยวกับจานวนและความหมายของ คาบางคาทางคณติ ศาสตร์ เชน่ เพลงนกกระจบิ เพลงลกู แมว ฯลฯ 5. ดา้ นวิทยาศาสตร์และธรรมชาตศิ ึกษามเี พลงหลายเพลงที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติรอบ ๆตัว เด็ก เช่น เก่ียวกบั สัตว์ พืช ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อาทิ เพลง ทะเลแสนงาม เพลงธรรมชาติ เพลง นกน้อย เด็กจะสามารถเข้าใจธรรมชาตริ อบตัวจากเพลงเหล่านแี้ ละสามารถจดจาไดแ้ มน่ ยา แนวการจัดกจิ กรรมการเคลอ่ื นไหวสาหรับเด็กปฐมวยั การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวเป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกายการฝึกจังหวะ ทาให้เกิดการเรียนรู้ มีประสบการณ์ในการ เคล่ือนไหว ดงั ทนี่ ักการศกึ ษาได้เสนอแนวทางในการจัดกิจกรรมการเคล่ือนไหวให้ประสบผลสาเร็จ มี คุณค่า และไดร้ บั ความสนกุ สนาน ครูควรมีการวางแผนการจัดกิจกรรมที่ดี โดยเสนอข้ันตอนในการ จดั กิจกรรมการเคล่ือนไหว 3 ขน้ั ดังนี้ ขนั้ ท่ี 1 ขั้นอบอนุ่ ร่างกาย ทาไดโ้ ดยครูให้เดก็ เคล่ือนไหวร่างกาย เช่น เอียงคอ โยกหน้าโยก หลัง หมุนหัวไหล่ ให้เข้ากับจังหวะเพลง ในขั้นตอนนี้ครูอาจให้เด็กยืน อย่างอิสระไม่ต้องอยู่ในแถว หรอื อาจให้เดก็ เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนให้เขา้ กับจงั หวะเพลงได้ ขั้นท่ี 2 ข้นั ปฏิบตั ิตามคาสัง่ ข้ันน้ีเป็นการสอนตามที่ครูต้ังจุดหมายไว้ ซึ่งอาจจะเป็นเนื้อหา เกยี่ วกับการฟังสัญญาณ การใช้จนิ ตนาการ การเรยี นรจู้ งั หวะ การทรงตัว การบริหารรา่ งกาย โดยครู มีบทบาทในการพูด หรอื หาวธิ ีใหเ้ ด็กไดเ้ คลื่อนไหวรา่ งกายเพื่อพัฒนากล้ามเน้ือต่าง ๆ ขั้นการสอนน้ี สามารถใช้สื่อตา่ ง ๆ มาเป็นเครอื่ งเร้าและกระตนุ้ ใหเ้ ด็กเคลอ่ื นไหวได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง44 ข้ันที่ 3 เกมการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหว ทุกคร้ังควรจบลงด้วยกิจกรรมท่ีสนุกสนาน ประทับใจเด็ก กิจกรรมน้ันอาจมีการแข่งขันกันบ้าง กิจกรรมท่ีเหมาะสมควรเป็นเกม หรือการเล่น สนั้ ๆ ที่มีเกณฑห์ รอื กติกา สรุปได้วา่ การจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะเป็นกิจกรรมที่เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ใน บรรยากาศท่ีอบอุ่น ได้แสดงออกอย่างอิสระตามจินตนาการของเดก็ เอง ซ่งึ จะเป็นการส่งเสริมให้เด็ก มคี วามคดิ ริเร่มิ สรา้ งสรรค์ ครูมีการวางแผนการจดั กจิ กรรมท่ดี ีเขา้ ใจธรรมชาตขิ องเด็ก บทบาทของครใู นการจดั กิจกรรมการเคลอ่ื นไหว ครคู วรมีบทบาทในการจดั กจิ กรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะดังน้ี 1. สนับสนุนให้เด็กมีความคิดสรา้ งสรรค์ 2. ครูควรสรา้ งบรรยากาศที่จะช่วยให้เด็กมีความม่ันใจในการเล่น กล้าแสดงออก และมี ความสนกุ สนาน 3. ไมค่ วรชแี้ นะเดก็ ในเรื่องความคิดมากเกินไปแต่ควรพดู เสนอแนะเม่ือเดก็ บางคนยังคิดไมอ่ อก 4. การจดั กิจกรรมจะสิน้ สุดลง ครคู วรให้เด็กพกั ผ่อนอยู่นิ่ง ๆ อย่างน้อย 2 นาที โดยให้ เดก็ นัง่ หรอื นอนลงถ้าพ้ืนสะอาดให้เด็กอยู่ในท่านั่ง ไม่เคลื่อนไหวสักครู่จะเป็นการพักผ่อนหลังการ ออกกาลังกาย 5. ควรจดั กิจกรรมการเคล่อื นไหวและจงั หวะใหส้ ร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ น่าสนใจ มี สื่อทหี่ ลากหลาย วนั ละไมน่ อ้ ยกวา่ 15-20 นาที 6. ในระยะแรก ๆ ควรให้เด็กออกมารว่ มกิจกรรมทีละกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 10 นาที แต่ ในระยะต่อไปเม่ือเด็กเข้าใจสัญญาณกิจกรรมและเพ่ิมจานวนเด็กมากข้ึนครูอาจใช้กิจกรรมการ เคลอื่ นไหวและจังหวะสัมพันธ์กบั ทักษะทางคณติ ศาสตร์ เช่น เม่ือไดย้ ินสัญญาณ “หยุด” ครูส่ังให้ เด็กจบั กลุ่ม จานวน 3 คน สรุปท้ายบท กจิ กรรมเคลือ่ นไหวและจงั หวะ เปน็ กิจกรรมท่จี ดั ใหเ้ ด็กไดเ้ คลอื่ นไหวส่วนต่างๆของร่างกาย อย่างอิสระตามจังหวะ โดยใชเ้ สียงเพลง คาคลอ้ งจอง จังหวะ และดนตรีทใี่ ช้ประกอบ มาประกอบใน การเคล่ือนไหว เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมพัฒนาทางด้าน รา่ งกายกิจกรรมเคลอ่ื นไหวประกอบเพลงเกิดประโยชน์ในการพัฒนาเด็กทั้งส่ีด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญาอีกด้วย ครูและผู้ปกครองสามารถที่จะกระตุ้นและ เสริมสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ีโดยผ่านการทากิจกรรมนอกจากน้ีกิจกรรม เคล่ือนไหวและจังหวะยังเป็นกิจกรรมแรกของทุกวันท่ีเด็กปฐมวัยต้องมาโรงเรียนเพ่ือฝึกให้เด็กมี ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก (มือและแขน) กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (ขาและเท้า) ประกอบกับการส่งเสริม จนิ ตนาการและสติปัญญาผ่านการฟังความหมายของบทเพลงหรือคาสั่งต่าง ๆ ที่สนุกสนานภายใน ห้องเรียน ซงึ่ กิจกรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะสาหรับเด็กปฐมวยั จะมคี วามแตกตา่ งกนั ในรปู แบบแปลก ใหมต่ ามแตท่ ี่คุณครูกาหนดขน้ึ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง45 คาถามทา้ ยบท 1. กจิ กรรมการเคล่ือนไหวและจังหวะสาหรบั เด็กปฐมวัยมีความสาคญั อย่างไรจงอธิบายให้ชัดเจน 2. การเคลื่อนไหวสามารถแบ่งไดเ้ ป็นกีร่ ูปแบบอะไรบา้ ง 3. การเคลื่อนไหวแบบอยู่กบั ท่แี ตกตา่ งจากการเคลื่อนไหวแบบเคลือ่ นท่อี ยา่ งไร 4. จงยกตวั อยา่ งการเคลอ่ื นไหวแบบอยู่กับที่ มา 5 รปู แบบ 5. จงยกตัวอย่างการเคลือ่ นไหวแบบเคลื่อนที่ มา 5 รูปแบบ 6. จงอธบิ ายการเคลอ่ื นไหวประกอบอปุ กรณ์หรอื วตั ถุ 7. การเคลื่อนไหวประกอบอปุ กรณส์ ามารถจาแนกได้เป็นกล่ี ักษณะอะไรบ้าง 8. จงอธิบายขอบข่ายของกิจกรรมการเคล่ือนไหวตามท่ีปรากฏในคู่มือหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย พุทธศกั ราช 2560 9. การจดั กจิ กรรมการเคลอ่ื นไหวสาหรับเดก็ ปฐมวยั มีวธิ จี ดั กจิ กรรมอย่างไร 10. องค์ประกอบของการเคลอื่ นไหวมีอะไรบา้ งอธบิ ายพร้อมยกตวั อย่างประกอบใหช้ ดั เจน เอกสารอ้างองิ กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). คู่มอื หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช 2560. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสลาดพรา้ ว. จนั ทร์กฤษณา ผลววิ ฒั น์.(2556). การเรียนพเิ ศษสาหรับเดก็ ปฐมวยั . สืบคน้ เมอื่ 16 เมษายน 2561, จาก http://taamkru.com/webboard เทศบาลเมอื งกระท่มุ ล้ม.(2563). กิจกรรมเสรมิ สรา้ งประสบการณ์เรียนรเู้ ดก็ ปฐมวัย(กจิ กรรม เคลอื่ นไหว จังหวะ). สืบค้นเมือ่ 11 พฤศจกิ ายน 2564, จาก http://krathumlom.go.th/public/activity/ พชิ ิต ภูมจิ ันทร์และธงชัย มาศสพุ งศ(์ 2531). กจิ กรรมเขา้ จงั หวะ. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2 กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์โอเดยี นสโตร.์ โรงเรียนแสงวิทยา.(2561). เคล่ือนไหวตามคาส่ัง. สบื ค้นเมื่อ 10 ธันวาคม 2564,จาก https://m.facebook.com/Saengvitthaya.school วรศักด์ิ เพยี รชอบ. (2560). รายงานกิจกรรมกลางแจง้ สาหรับเด็กปฐมวยั . สืบค้นเมือ่ 10 มนี าคม 2560, เขา้ ถึงได้จาก http://ecedsec3.blogspot.com/2014/03/ _______. (2527). หลกั และวิธีสอนพลศึกษา. กรงุ เทพฯ. วฒั นาพานิช. สพุ ติ ร สมาหิโต. (2548). แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายทีส่ มั พนั ธ์กบั สุขภาพสาหรบั เดก็ ไทย อายุ 7-18 ปี. กรุงเทพฯ : พี.เอส.ปริน้ ท์. .
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบงึ 46
47 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 4 จานวนช่ัวโมงทส่ี อน 4 สัปดาห์ท่ี 5 หวั ขอเนอ้ื หาประจาบท 1. การสอนดนตรีตามแนวคิดของโคดาย (Kodaly Approach) 2. การสอนดนตรขี องดาลโครซ (Dalcroze Approach ) 3. การสอนดนตรีตามแนวคดิ ของออร์ฟ (Orff Schulwerk) 4. การสอนดนตรีของซูซูกิ (Suzuki Method) 5. การสอนดนตรีแบบมอนเตสซอรี (Montessori) 6. ทฤษฎที ี่เกย่ี วขอ้ งกบั กิจกรรมการเคล่อื นไหวสาหรบั เดก็ ปฐมวยั มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วตั ถปุ ระสงคเชงิ พฤติกรรม เม่อื ผ้เู รียนไดศึกษาบทเรยี นน้ีแลว ผเู รียนสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปนไี้ ด้ 1. สรปุ สาระสาคญั ของทฤษฎที างดนตรีและการเคล่ือนไหว 2. วเิ คราะห์โครงสรา้ งของทฤษฎที างดนตรีและการเคล่อื นไหว 3. เปรียบเทียบความเหมอื นและความแตกต่างของการสอนดนตรตี ามแนวคิดของนกั การศึกษาดา้ นดนตรี 4. บอกถึงการนาทฤษฎีทางดนตรีและการเคล่อื นไหวไปใช้ในการจดั กจิ กรรมใหก้ ับเด็ก ปฐมวยั กิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ให้ผเู้ รยี นร่วมกนั รอ้ งเพลงเดก็ และทาทา่ ประกอบ 2. เปิดเพลงที่มีจงั หวะสนกุ ใหผ้ เู้ รียนเคลอื่ นไหวและทาทา่ ตามบทเพลง 3. ผ้เู รยี นร่วมกันสรุปประเดน็ และสาระสาคัญของกิจกรรมท่ีปฏบิ ัติ 4. สรปุ เพิ่มเติมเก่ียวกบั การใช้เพลง การเคล่อื นไหวทส่ี ัมพันธ์กบั ทฤษฏีทางดนตรีสาหรบั เดก็ 5. แบง่ กลุม่ ศึกษาใบงาน 4 ทฤษฎีทางดนตรีและการเคล่อื นไหว และนาเสนอ 6. ผ้สู อนสรุปการนาทฤษฎีทางดนตรแี ละการเคล่ือนไหวไปใช้ในการจัดกิจกรรมให้กบั เด็ก ปฐมวัย 7. ผู้เรยี นสรุปผงั ความคิดทฤษฎที างดนตรีและการเคลอ่ื นไหว 8. ตอบคาถามท้ายบท
48 ส่อื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. เพลงเด็ก 3. เพลงประกอบการเคล่ือนไหว 4. ใบงาน 4 ทฤษฎีทางดนตรีและการเคล่ือนไหว 5. โนต๊ บ๊คุ การวัดผลและการประเมินผล 1. การสังเกต 1.1 ผลจากการอภปิ รายซักถามในกลมุ่ ใหญ่ 1.2 ผลจากการอภิปรายรว่ มกันในกลุ่มยอ่ ย 1.3 การต้งั คาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤติกรรม ความกระตอื รือรนในการทากจิ กรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถกู ตอ้ งจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบทีไ่ ดจากการทาแบบฝึกหัดท้ายบท 2.3 ตรวจคณุ ภาพผลงานท่มี อบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง49 บทท่ี 4 ทฤษฎที างดนตรแี ละการเคลื่อนไหว การศึกษาถึงแนวคิดทฤษฎีการสอนดนตรีและการเคล่ือนไหว ทาให้ทราบถึงประวัติของ เจ้าของทฤษฎี หลักทฤษฎีที่ใช้ และวิธีการใช้ทฤษฎีดังกล่าวกับผู้เรียน ทฤษฎีการสอนดนตรีที่ได้ นาเสนอนี้ เป็นทฤษฎีการสอนดนตรีท่ีนิยมใช้กันทั่วโลก จึงเป็นหลักพิจารณาในเบ้ืองต้นว่า ใน การศึกษาดนตรีต่างประเทศน้ันเน้นความสนใจในการพัฒนาศักยภาพดนตรีในเด็กอย่างมาก และ บางหลักสตู รก็ไมไ่ ดเ้ ริ่มตน้ เรยี นดนตรดี ว้ ยเครือ่ งดนตรโี ดยตรง แต่ใชก้ ารฟังเพลง การร้องเพลง และ การสร้างความรสู้ ึกรับรเู้ กย่ี วกบั เสยี งดนตรแี ละแสดงออกด้วยวิธีการต่าง ๆ เม่ือเด็กได้เกิดความรู้สึก ตอบสนองตอ่ เสยี งดนตรดี ีแลว้ ครูจึงเร่มิ เข้าส่กู ารบรรเลงเครอ่ื งดนตรี การสอนอา่ นโน้ต ฯลฯ ซึ่งเป็น ข้ันตอนการสอนท่ีเป็นธรรมชาติ ดังน้ัน เราจึงควรทาความเข้าใจว่า การเรียนดนตรีสาหรับเด็กนั้น บางทตี อ้ งใช้กจิ กรรมดนตรหี ลาย ๆ อย่างมาเป็นองค์ประกอบ ไม่ได้เริ่มด้วยการปฏิบัติเคร่ืองดนตรี โดยตรงทเี ดยี ว การสอนดนตรีตามแนวคิดของโคดาย (Kodaly Approach) โซลตาน โคดาย (ค.ศ. 1882 - 1967) เป็นผู้ประพันธ์เพลงคนสาคัญของฮังการี ซ่ึงใน ระยะเวลาต่อมาได้ทุ่มเทกาลังกายและกาลังความคิดท้ังหมดให้กับการพัฒนาการดนตรีศึกษาใน ประเทศฮังการี ซ่ึงเป็นแบบแผนมาจนถึงทุกวันน้ี วิธีการของโคดาย ได้ใช้เป็นรากฐานของการ สอนดนตรใี หเ้ ด็กชาวฮังการีท่วั ประเทศมาตั้งแต่ ปีค.ศ. 1945 จุดมงุ่ หมายของวิธีการน้ี คือ ต้องการ ใหช้ าวฮงั การีมีความรทู้ างดา้ นดนตรี สามารถอา่ นและเขียนภาษาดนตรี ( โนต้ ดนตรี ) ได้ในลักษณะ เดยี วกบั การอา่ นและการเขียนภาษาฮงั การี ในปจั จบุ ันวิธีการของโคดาย ได้รับการดัดแปลงเพ่ือใช้ ในประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลก ภาพท่ี 4.1 โซลตาน โคดาย ในทศวรรษที่ 1930 ที่มา : https://hmong.in.th/wiki/Zolt%C3%A1n_Kodaly (ม.ป.ป)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง50 หลกั การของโคดาย โคดายมีความคิดว่า ดนตรเี ปน็ ส่วนหนง่ึ ของเดก็ ทีม่ คี วามสาคญั และควรได้รับการพัฒนาใน ลักษณะเดียวกันกับภาษา หลักการสาคัญของวิธีการนี้ ได้แก่ การเริ่มสอนดนตรีให้กับเด็กต้ังแต่ เลก็ ๆ โดยใชเ้ พลงพ้ืนบ้านของฮังการเี ปน็ หลัก เช่นเดยี วกบั ประสบการณ์ทางดา้ นภาษาของเด็กควร ได้รับการฟังดนตรีก่อนท่ีจะแสดงออกในด้านการร้องหรือเล่น และหลังจากเด็กได้เรียนรู้ และมี ประสบการณ์ด้านดนตรีพอเพียงกิจกรรมทางด้านการอ่านและการเขียนภาษาดนตรีจึงเริ่มสอนได้ วิธีการนี้เน้นการอ่านโน้ตเพลงโดยใช้สัญลักษณ์จากภาษาลาติน ( แบบ ซอล - ฟา ) ประกอบกับ สญั ญาณมอื ภาพท่ี 4.2 สญั ญาณมอื แทนระดบั เสียงของโคดาย ทมี่ า : Narut, s (2010, p.74) วิธีการของโคดาย วิธีการสอนของโคดายเน้นการร้องเพลงเป็นหลัก จึงมีลักษณะเป็นระบบ ระเบียบ เป็น ขัน้ ตอนอย่างมาก มฉิ ะน้นั เด็กจะไม่สามารถร้องเพลงได้ ถ้านาเพลงที่ยากเกินไปกว่าความสามารถ ของเดก็ ท่ีจะร้องไดม้ าใช้ วิธกี ารน้เี ริ่มตน้ ด้วยแนวคิดที่ง่ายไมซ่ ับซ้อนก่อน ในระยะต่อมา แนวคิดท่ี ยากขน้ึ และซับซ้อนมากขึ้นจึงจะเข้ามามีบทบาท กล่าวคือ ใช้หลักการของการเรียนจากส่วนย่อย ไปสู่ส่วนใหญ่ แม้ว่าวิธีการน้ีจะใช้ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ และเคร่ืองประกอบจังหวะบางชนิดในการเรียน การสอน ในข้ันต่อมาสิ่งเหล่านี้มิใช่ส่วนสาคัญของวิธีการน้ี วิธีการน้ีมุ่งเน้นการร้องเพลงเป็นหลัก กล่าวคือ การร้องเพลงให้ถูกต้อง เสียงไม่เพ้ียน ความถูกต้องของระดับเสียง และการร้องโดย แสดงออกถึงอารมณ์ จะได้รับการเน้นเป็นสาคัญ สัญลักษณ์ของตัวโน้ตในระบบ ซอล - ฟา และ สัญญาณมือ ซ่ึงใช้แทนระดับเสียง ช่วยพัฒนาการร้องเพลง เพื่ อส่งเสริมพัฒนาการและ ประสบการณ์การรับรู้ในด้านโสตประสาทและด้านการอ่านโน้ตเพลง ในขณะท่ีวิธีการอ่ืน ๆ ที่ พัฒนาข้ึนมาในยุโรป ใช้ระบบ โด แทนเสียง C เท่านั้น วิธีการของโคดาย ให้โดเป็นโทนิค
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง51 เคลอื่ นท่ีไปตามระดับเสียงตา่ ง ๆ ในบนั ไดเสียงเมเจอร์และใช้ ลา ในลักษณะเดียวกันกับบันไดเสียง ไมเนอร์ ลักษณะที่ได้เปรียบเม่ือใช้วิธีการน้ี คือ เด็กจะอ่านโน้ตได้คล่องแคล่วในทุกบันไดเสียง เพราะในการเรียนการสอน ตัว \" โด \" อาจอยตู่ าแหน่งใด ๆ ในบนั ทัด 5 เส้นก็ได้ นอกจากนี้ โคดาย ยังคดิ ค้นระบบเสยี ง และตวั โน้ตแสดงจังหวะขน้ึ เพื่อใช้ในการพฒั นาเรอ่ื งจงั หวะโดยเฉพาะ กล่าวคือ เม่ือเริม่ เรยี นเกีย่ วกับจังหวะจะใช้ตัวโน้ตไม่มีหัว ยกเว้นตัวขาว และตัวกลม พร้อมท้ังกาหนดเสียง ต่าง ๆ แทนจังหวะ เพลงทใี่ ชใ้ นตอนเริ่มแรก คานึงถึงช่วงกว้างของทานอง เพราะเด็กมีช่วงเสียงท่ี จากดั และใช้เพลงทอ่ี ยู่ในบันไดเสียง 5 เสียง หรือเพนตาโทนิก คือ ประกอบด้วย โด เร มี ซอล ลา ส่วน ฟา และ ทีเร่ิมเรียนในระยะเวลาต่อมา เพราะสองระดับเสียงนี้เป็นครึ่งเสียงในบันไดเสียง เมเจอร์ ซ่ึงยากสาหรับเดก็ ในการร้อง ดังน้นั เพลงที่ใชใ้ นระยะแรกจึงเป็นเพลงง่าย ๆ ในระยะต่อมา เพลงยาก ๆ และเพลงอมตะจึงนามาใชส้ อนด้วย การสอนดนตรีตามแนวคิดของโคดายเป็นการสอนดนตรีท่ีมีความละเอียดอ่อน มีระบบ มี ขนั้ ตอนอยา่ งมากผสู้ อนดนตรีท่ีต้องการใช้การสอนดนตรีตามแนวคิดของโคดาย ควรได้มีการศึกษา เพ่อื ใหเ้ กิดความเข้าใจทถี่ ่องแท้ถึงหลักการ วิธีการ ตลอดจนรายละเอียดอ่ืน ๆ อย่างแท้จริง ในการ สอนดนตรตี ามแนวคิดของโคดาย ส่งิ หน่งึ ทส่ี าคัญมาก คือ บทเพลง เน่ืองจากการเรียนรู้ดนตรีเริ่มต้น จากการขับร้อง และการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ จากบทเพลงอย่างเป็นขั้นตอน ต่อเน่ืองกันไป ทาให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ มีเหตุผลเพ่ือนาหลักการเนื้อหาท่ีค้นพบมาสร้างสรรค์ในการ เรยี นรู้ดนตรี ดังน้นั จงึ สรปุ ได้ว่าแนวคิดทฤษฎีการสอนดนตรีที่สาคัญตามแนวคิดของโคดาย คือการเน้น การขับร้องเปน็ หลักโดยระดบั ปฐมวยั ใชก้ ารเคล่ือนไหวเป็นพ้ืนฐานสาคัญประกอบการร้องเพลงที่เน้น เพลงพ้ืนบ้านเป็นหลัก ต่อมาในช้ันท่ีสูงขึ้นการขับร้องจะเป็นกิจกรรมสาคัญท่ีใช้เป็นหลักในการ เรยี นรเู้ นอ้ื หาดนตรีซ่ึงผู้เรยี นสามารถพัฒนาความรู้ทางดนตรแี ละทกั ษะการรอ้ งเพลงได้เปน็ อยา่ งดี การสอนดนตรีของดาลโครซ (Dalcroze Approach ) เอมิล ชาคส์ ดาลโครซ (Emile Jaques Dalcroze , 1865 – 1950) ผู้ประพันธ์เพลง และนักดนตรีศึกษาชาวสวิส ดาลโครซมีหลักการสอนดนตรีโดยใช้การเคล่ือนไหวจังหวะเพ่ือ ตอบสนองต่อเสียงดนตรี ใช้ชื่อว่า “ยูริธึมมิก” (Eurhythmics) ซ่ึงเก่ียวข้องกับการตั้งใจฟังเสียง อย่างมสี มาธแิ ละตอบสนองตอ่ องค์ประกอบของดนตรงี า่ ย ๆ ในเรื่อง จงั หวะ ระดับเสียง ความดัง เบา ความยาวสนั้ นอกจากนั้นดาลโครซยังใช้หลักการสอนโซลเฟจ (Solfege) ซ่ึงเป็นการฝึกการ อ่านและการฟังเพ่ือจดจาระดับเสียงต่าง ๆ บนบรรทัดห้าเส้น รวมถึงกิจกรรมอิมโพร -ไวเซชั่น (Improvisation) ซง่ึ เป็นการปฏบิ ตั ิกิจกรรมทางดนตรีในทนั ทีทันใด โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ของ ผเู้ รียนเอง ซงึ่ ช่วยส่งเสรมิ พัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ตามพัฒนาการของเด็ก วิธีสอนตามแนวทาง ของดาลโครซนี้ได้ช้ีเด่นชัดว่ามีการให้ความสาคัญของการฝึกโสตประสาททางด้านต่าง ๆ เช่น จังหวะ ระดับเสียง ความแตกต่างของเสียง โดยใช้กิจกรรมการสอนยูริธึมมิก การสอนโซลเฟจ และการอิมโพร -ไวเซช่นั เปน็ สือ่ และมลี าดบั ขนั้ ตอนจากงา่ ยมาหายากตามพฒั นาการของเด็ก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง52 ดาลโครซมีความเช่ือว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่ในดนตรีสามารถทาให้เด็กเข้าใจได้โดยการ เคล่ือนไหวรา่ งกายไปตามความรู้สกึ ทไี่ ดฟ้ ังจากเสยี งขององคป์ ระกอบในดนตรีน้ัน ความเชื่อน้ีทาให้ เกิดการเรยี นรู้ดนตรีโดยการฟังและการเคลอ่ื นไหวประกอบดนตรีซ่งึ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างหูที่ได้ ยินกับร่างกายทไ่ี ด้รบั ความรู้สึกและมีการเคล่อื นไหวทีม่ กี ารตอบสนองตอ่ เสียงดนตรที าใหเ้ ด็กมีความ เข้าใจในดนตรีมากข้ึน สาหรับการเคลื่อนไหวของดาลโครซ จะเน้นการเคล่ือนไหวทางจังหวะที่ดี (Good Rhythmic Movement) โดยให้ความสาคัญกับการพัฒนาความรู้สึกในดนตรีด้วยการ เคล่ือนไหวร่างกาย ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดข้ึนจึงเป็นการพัฒนาความสามารถของ ผู้เรยี นแต่ละคนเปน็ หลักทาให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองเพราะมุ่งให้ผู้เรียนเห็นความสามารถของตนเองที่ แสดงออกดว้ ยการเคล่ือนไหวรา่ งกายในขณะเดยี วกนั ก็พฒั นาดา้ นจิตใจด้วย การสอนดนตรีตามแนวคิดของดาลโครซ การสอนดนตรตี ามแนวคิดของดาลโครซจะมลี กั ษณะ 3 ข้อ ดงั นี้ 1.ยูริธึมมิก (EuRhythmic) เป็นการเคลื่อนไหวทางจังหวะท่ีดี เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้ เก่ียวกับจังหวะดนตรีคานึงถึงอารมณ์เป็นสาคัญ ซ่ึงผู้เรียนสามารถแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ ออกมาในรูปของการเคล่ือนไหวทางร่างกายอย่างอิสระไปกับบทเพลงในบรรยากาศท่ีผ่อนคลาย ผ้เู รยี นสามารถเดนิ วิง่ กระโดดไปตามความรู้สึกท่ีมีตอ่ เสยี งดนตรี ผลของการเคลื่อนไหวน้ีจะนาไปสู่ การพัฒนาการรับรูแ้ ละตอบสนองตอ่ รายละเอียดต่างๆท่ีมีอยู่ในบทเพลง หลักสาคัญคือให้ผู้เรียนได้ ใชค้ วามคิดสร้างจินตนาการในการเคล่ือนไหวภายในใจตนเองโดยไม่ต้องแสดงออกเป็นท่าทางหรือ อาจใชค้ วามคิดสร้างเสียงดนตรขี ึ้นมาตามจินตนาการ 2.โซลเฟจ (Solfege)คอื การให้ผ้เู รียนได้เรยี นรู้ดนตรผี า่ นระบบตัวโน้ต แบบ ซอล - ฟา โดย ผู้เรยี นจะไดร้ บั การพัฒนาทกั ษะในด้านการฟัง โดยเฉพาะการฟังเสียง ดนตรีและการอ่านโน้ตเพลง จนเกิดความเข้าใจ ควบคู่ไปกับ การเคลื่อนไหวของร่างกายได้อย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงการ เคลอ่ื นไหวผ่านการจดจาของรา่ งกายเท่านั้น 3.อมิ โพรไวเซชัน (Improvisation) คอื การใช้เปียโน (Piano) เป็นเครื่องมือสาคัญ ในการ สอนทักษะทางดนตรีให้กับผู้เรียน โดยระหว่างการเรียน การสอน คุณครูผู้สอนจะเล่นเปียโนให้กับ ผู้เรียนได้ฟัง เพือ่ พัฒนาใหเ้ กดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ทางจังหวะ พรอ้ มกับพฒั นาความสามารถด้านการ สรา้ งสรรค์ทางดนตรี โดยผ่านการฝกึ หัดอยา่ งสม่าเสมอ และการใหส้ ญั ญาณ หรอื คาสงั่ เปน็ ระยะๆ สรุปแนวคิดของดาลโครซ จะมุ่งพัฒนาความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก ช่วยให้ ผู้เรียนมีความเข้าใจในตนเอง ผู้เรียนแต่ละคนเห็นความสาคัญและพัฒนาความสามารถในการ แสดงออกของตนทางการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเป็นข้ันตอนต่อเนื่องไปเป็นลาดับ ใน ขณะเดียวกันวิธีการนี้มุ่งเน้นพัฒนาการทางความคิดและจิตใจซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับการเคล่ือนไหว ร่างกายอารมณ์และความรู้สึกของผู้เรียน เป็นการพัฒนาการทางดนตรีในตัวผู้เรียน ซึ่งเป็นผล เน่ืองมาจากผลรวมของประสาทสัมผัสทางกาย ความสามารถทางปัญญา และความรู้สึกของผู้เรียน ทักษะและความเข้าใจทางดนตรีได้รับการพัฒนาโดยการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ต่าง ๆ ทางดนตรีโดยตลอด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง53 ภาพท่ี 4.3 เอมิล ชาคส์ ดาลโครซ ทมี่ า :https://www.geniomusicacademy.com (2556) การสอนดนตรตี ามแนวคดิ ของออร์ฟ (Orff Schulwerk Approach) คาร์ล ออร์ฟ (Carl Orff, 1895 – 1982) นักประพันธ์เพลงและนักดนตรีศึกษาชาว เยอรมนั ผ้คู ดิ คน้ วิธกี ารสอนดนตรีผ่านส่ือการสอนที่เป็นเคร่ืองดนตรีระนาด แต่หลักการสาคัญ ไมไ่ ดอ้ ย่ทู ่ีการทเ่ี ด็กเลน่ ดนตรีระนาดเปน็ อย่างเดยี ว แต่เป็นการจัดกิจกรรมและเน้ือหาท่ีสอดคล้อง กับพัฒนาการของเด็ก ออร์ฟ มีความเชื่อว่าดนตรีเบ้ืองต้นสาหรับเด็กนั้นควรเป็นดนตรีที่สามารถ แสดงออกได้โดยง่าย การสอนของเขารวมเอาดนตรี การเคลื่อนไหว และการพูดเข้าด้วยกัน ใน การปฏิบัติเขาได้เน้นเร่ืองจังหวะในการฝึกเบื้องต้น และกิจกรรมสร้างสรรค์อิสระโดยเป็นการร้อง เพลง การเคล่อื นไหว การเล่นเครือ่ งดนตรีระนาดที่มีระดับเสียงต่าง ๆ ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้จังหวะ ระดบั เสยี ง การอ่านโน้ต การประสานเสียง รูปแบบบทเพลง สีสันเสียง ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ สัญลกั ษณ์ดนตรไี ปพร้อม ๆ กนั ซึง่ เป็นการฝกึ โสตประสาททางดนตรดี ้านตา่ ง ๆ ด้วยการฟงั การร้อง และการบรรเลงเคร่อื งดนตรโี ดยตรง รปู แสดงเครื่องดนตรรี ะนาดของออรฟ์ ภาพท่ี 4.4 คาร์ล ออร์ฟ ท่ีมา : https://m.facebook.com/yamahaemporium (2559)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง54 หลกั การของออรฟ์ ออร์ฟได้เสนอหลักการทางดนตรีศึกษาไว้ว่า การเรียนการสอนดนตรีควรเร่ิมต้นจากเพลง และแนวคิดทางดนตรีท่งี า่ ยที่สดุ ไดแ้ ก่ แนวคิดเรอ่ื ง จงั หวะ โดยการเร่ิมต้นจากจังหวะของการพูด เพื่อนาไปสู่ความเข้าใจแนวคิดในเรื่องของระดับเสียงประโยคของดนตรี ลักษณะของเสียง และ ค่าตัวโน้ตต่าง ๆ ต่อไป การตบมือ การตบที่ตัก ( patchen ) การย่าเท้า การดีดน้ิวมือ การใช้ เคร่อื งประกอบจงั หวะของออรฟ์ เปน็ วิถทึ างนาไปสูก่ ารรับรเู้ รื่องจังหวะ จากจดุ นี้ผู้เรียนจะได้รับการ พัฒนาดา้ นการแสดงออกทางดนตรี ในวธิ ีการของ ออร์ฟ ความคิดสร้างสรรค์เป็นลักษณะท่ีสาคัญ และเน้นมากท่ีสดุ ดังนน้ั การสารวจส่ิงตา่ ง ๆ รอบ ๆ ตัว เพื่อนามาใช้ในการสร้างสรรค์ จัดว่าเป็น กุญแจสาคัญในวิธีการของ ออรฟ์ วิธีการพื้นฐานของออร์ฟ คือ การให้ผู้เรียนมีโอกาสสารวจและทดลองสิ่งต่าง ๆ ทางด้าน ดนตรโี ดยใช้การพูด การรอ้ งและการเคล่ือนไหวเป็นหลกั สาคัญ 1. การสารวจเก่ียวกับพื้นที่รอบ ๆ การเคล่ือนไหวเป็นพ้ืนฐานของวิธีการนี้ ผู้เรียน เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่า เบา - หนัก ลง - ข้ึน ใน - นอก เปน็ ตน้ ผเู้ รียนจะเรยี นรูเ้ กย่ี วกับตาแหนง่ ของร่างกายและการเคลื่อนไหวของตนโดยผู้สอนไมแ่ นะนา ส่ิงใด ๆ ใหก้ บั ผเู้ รียนเลย ผเู้ รียนจะเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง และพยายามแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขึ้นเอง 2. การสารวจเกี่ยวกับเสียง เร่ิมต้นจากการสารวจในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ผู้เรียน เรม่ิ เรียนรเู้ ก่ียวกบั เสียงตา่ ง ๆ และเสยี งดนตรใี นทส่ี ุด ผู้เรียนใช้เสียงพูดและเสียงร้องเพลง รวมทั้ง เสียงของเครื่องดนตรีในการเรยี นรูเ้ ก่ยี วกับคุณลกั ษณะของเสยี ง 3. การสารวจเกย่ี วกับรปู แบบของเพลง การเรียนรู้เร่ืองรูปแบบของเพลงที่เกิดขึ้นควบคู่ ไปกบั การเรียนรูเ้ รือ่ งพืน้ ท่ี และเสียง การเคล่อื นไหวและเสียงรวมเป็นรูปแบบของดนตรี กล่าวคือ จากการเคล่ือนไหวอย่างอิสระจะนาไปสู่การเต้นรา และจากเสียงจะนาไปสู่รูปแบบของบทเพลง เช่น บทนาเพลง ตวั บทเพลง และบทจบของเพลง สรุปได้ว่าวิธีการสอนดนตรีตามแนวคิดของออร์ฟ คือการสร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนดนตรี จากการได้ลงมือปฏิบัติต้ังแต่การเร่ิมต้นเรียนดนตรี ด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนที่เอื้อให้เด็ก สามารถเล่นดนตรีได้ตามความพร้อมของเด็ก ใช้ส่ิงที่อยู่กับตัวหรือรอบๆ ตัวท่ีคุ้นเคยและทาอย่าง เป็นธรรมชาติมาเป็นเคร่ืองมือในการเล่นดนตรี โดยทาอย่างตั้งใจให้เกิดความไพเราะและมี ความหมายทางดนตรี และส่ิงท่ีสาคัญท่ีสุดคือ เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ เพ่ือให้ เด็กมีพัฒนาการในการเรียนดนตรีอย่างสมบูรณ์ทั้งด้านทักษะ และมีความรู้ความเข้าใจใน องค์ประกอบของดนตรี อีกท้ังมคี วามสนุ ทรีย์ในความงดงามของดนตรีในฐานะท่ีเป็นงานศิลปะท่ีถูก สร้างสรรคข์ ้ึนดว้ ยความสามารถของมนุษย์ซึ่งรวมถึงความสามารถในตวั ของเขาเองดว้ ย การสอนดนตรขี องซูซกู ิ (Suzuki Approach) ชินอิชิ ซูซูกิ (Shinichi Suzuki, 1898 – 1998) นักการศึกษาและครูไวโอลินชาวญ่ีปุ่น เปน็ เวลากวา่ 50 ปมี าแลว้ ที่ซูซูกิพบความจรงิ เกย่ี วกับการเรียนภาษาแม่ของเด็กท่ัวโลกและได้นามา พัฒนาให้เข้ากับการเรียนดนตรี ซูซูกิได้สังเกตว่าเด็กสามารถพูดภาษาของตนเองได้ก่อนที่จะเรียน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง55 การอ่านและการเขียน เป็นเพราะการฟังและการเลียนแบบน่ันเอง ดังนั้นการฟังดนตรีต้นฉบับ การเลียนแบบครูและการทาซ้าบ่อย ๆ เด็กย่อมสามารถให้บรรเลงเคร่ืองดนตรีได้อย่างดี ซูซูกิได้ คดั เลือกบทเพลงในระดับตา่ ง ๆ ตามความยากงา่ ย ในวธิ กี ารเรยี นของซูซูกิ เด็กเรียนรู้สาระดนตรี ตา่ ง ๆ และการปฏิบตั ดิ นตรมี ากกวา่ เทคนิคตา่ ง ๆ การคดั เลือกบทเพลงในแบบฝึกหัดของซูซูกิ ซูซูกิ ได้นาเสนออย่างเป็นข้ันตอนและมีกระบวนการพัฒนา ต้องปฏิบัติด้วยความสม่าเสมอ มาตรฐาน ของบทเพลงฝึกมีการเตรียมความพร้อมในการเรียนดนตรีขั้นสูงขึ้น แม้ซูซูกิจะไม่ได้เน้นการฝึกโสต ประสาทในดา้ นตา่ ง ๆ เช่นเดยี วกับวธิ ขี องโคดาย ออรฟ์ และดาลโครซ แต่เมื่อพิจารณาถึงวิธีการ ของเขาแล้วจะพบว่ามีการเน้นขั้นตอนของการฟังเป็นพื้นฐานแรก จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนของการ ปฏบิ ตั เิ ครอื่ งดนตรี ซึง่ นับว่าเป็นการฝึกโสตประสาทและนามาปฏบิ ัตบิ นเคร่ืองดนตรีโดยตรง และ สามารถประเมินผลไดจ้ ากการเล่นเครอื่ งดนตรนี ั่นเอง ไปแสดงการเรยี นการสอนตามวธิ ีของซูซูกิ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของซูซูกิ (Suzuki Method) เป็นการสอนดนตรีที่สามารถ นามาจัดการเรียนรู้เพื่อปรบั ปรุงแก้ไขและนามาปรับใช้ในการพัฒนาทักษะทางดนตรีในด้านการขับ ร้องให้เหมาะสมกับนักเรยี นสาหรบั การจดั การเรยี นรใู้ นวชิ าดนตรแี นวคดิ ทฤษฎที ่นี ยิ มนามาใช้ คอื 1. หลักการสอนดนตรีโดยจดั ลาดับเนื้อหาและกจิ กรรมดนตรใี ห้สอดคลอ้ งกบั พฒั นาการของ เดก็ โดยมขี น้ั ตอนจากง่ายไปหายาก 2. หลักการสอนดนตรโี ดยใช้การเคลื่อนไหวจงั หวะเพอ่ื ตอบสนองต่อเสียงดนตรี 3. หลกั การสอนดนตรโี ดยจดั ลาดับเน้ือหาและกจิ กรรมดนตรีให้สอดคลอ้ งกับพฒั นาการของ เด็กโดยการรวมเอาดนตรีการเคลื่อนไหวและการพดู เข้าไว้ด้วยกนั 4. หลักการสอนดนตรีเช่นเดียวกับเด็กที่เรียนรู้ภาษาแม่ โดยเกิดจากการฟังและการ เลยี นแบบซ่งึ เป็นหลกั การสอนของ ดร.ชนิ อิชิ ซซู กู ิ หลกั การการสอนตามแนวคดิ ของซซู ูกิ หลักการสาคัญของการจัดการเรียนการสอนตามแนวคดิ ของซูซกู ิดงั น้ี 1. การจดั การเรยี นการสอนต้องคานึงว่า เด็กสามารถเรียนร้ภู าษาของตนได้ดีโดยไม่ต้องส่ัง สอนอยา่ งเปน็ ระบบ 2. สภาพแวดลอ้ มทีด่ ชี ว่ ยให้เดก็ มพี ัฒนาการดา้ นตา่ ง ๆ ดขี ึน้ 3. เวลาทเ่ี รียน ความถีใ่ นการฝึกฝน การจัดสภาพแวดลอ้ มทางดนตรใี ห้เดก็ เป็นส่ิงสาคญั 4. ความสามารถทเ่ี รียกว่า “เก่งหรืออัจฉรยิ ะ” ไม่ได้มีตดิ ตัวมาแตก่ าเนิด ตอ้ งอาศัยหลักการ เรียนรูอ้ บรมบม่ สอนและการพฒั นาเดก็ ทกุ คนสามารถเรยี นรู้และเป็นคนเก่งได้แต่อย่าทอดท้ิงให้เด็ก เติบโตตามยถากรรม 5. การเรยี นรู้โดยการฟังเป็นสิ่งจาเป็น การฟังเสียงดนตรีเพี้ยน ๆ จะทาให้การตอบสนอง เพ้ียนไปดว้ ย 6. การพฒั นาความสามารถของมนุษย์ใหด้ ีข้นึ สามารถทาได้โดยการฝึกฝน 7. เด็กเรียนรูจ้ ากตน้ แบบโดยการสังเกตและการเลยี นแบบ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง56 ภาพที่ 4.5 ชินอิชิ ซซู ูกิ ทม่ี า : https://www.gotoknow.org/posts/658203 รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนของซินอชิ ิ ซูซูกิ การจดั การเรยี นรู้ตามแนวคิดของซูซูกิ (Suzuki Method) เปน็ การสอนดนตรีรูปแบบหน่ึงที่ มคี วามน่าสนใจกบั การนามาประยุกต์ใชก้ ารสอนทักษะการปฏิบัติทางดนตรีด้านการขับร้องโดย ดร. ชินอิชิ ซูซูกิ ได้ให้ทัศนะไว้ว่านักร้องที่ดีต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการฝึกฝนการเปล่งเสียงร้อง (Vocalizations) เพ่ือท่ีจะพัฒนาให้เสียงที่ร้องมีความไพเราะทุกตัวโน้ตวิธีการจัดการเรียนรู้ทาง ดนตรปี ระกอบด้วย 4 ข้ันตอน คอื ขน้ั ทหี่ นงึ่ การฟงั (Listening) คอื การฟังเพลงแบบซ้า ๆ ข้ันท่ีสอง เลียนแบบ (Imitation) คอื การสังเกตและจดจาจากครทู ีเ่ ป็นต้นแบบ ขนั้ ที่สาม ทาซ้า (Reiteration) คือ การฝึกซอ้ มอยา่ งสมา่ เสมอ ฝกึ ซา้ จนเปน็ ธรรมชาติ ขนั้ ทสี่ ีจ่ ดจาฝงั ใจ (Memorize) คือ สามารถปฏบิ ัตดิ นตรีโดยเสียงไมเ่ พี้ยนถูกตอ้ งเหมาะสม ลกั ษณะการสอนดนตรีของซูซกู มิ ีดงั น้ี 1. ครูของซูซกู ิต้องเชอื่ วา่ ความสามารถทางดนตรที กุ ดา้ นสามารถพฒั นาไดใ้ นเดก็ ทกุ คน 2. การสอนดนตรีทด่ี ที ่สี ุดต้องเริ่มจากช่วงปฐมวัย 3. พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ต้องมสี ่วนร่วมในการเรยี นดนตรขี องเดก็ ด้วย 4. เดก็ ต้องเลน่ เคร่ืองดนตรีดว้ ยความรสู้ ึกวา่ เล่นงา่ ยก่อนการเรยี นโน้ตดนตรีและการอ่าน 5. เทคนคิ ตา่ ง ๆ ของการเล่นดนตรไี ดถ้ ูกบรรจใุ นบทเพลงอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน 6. บทเพลงต่าง ๆ ท่ีเด็กได้เรียนไปแล้วต้องได้รับการขัดเกลาและทบทวนอยู่เสมออย่าง เครง่ ครัด 7. เด็กควรได้แสดงออกบ่อย ๆ ทงั้ การแสดงเดีย่ วและเปน็ กลมุ่ สรปุ ได้วา่ การจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีตามแนวคิดของชินอิชิซูซูกิมีหลักการการสอนดนตรี โดยใช้แนวคิดเร่ือง “วิธีพูดตามแม่” (Mother-tonge method) ซ่ึงเน้นการสอนให้เด็กเล่นดนตรี ดว้ ยความจาจากการสาธิตของครจู ากนั้นเน้นการฝกึ ซ้อมทาซ้า ๆ จนเกดิ ความชานาญ เกิดความเป็น ธรรมชาติในการบรรเลงดนตรีแล้วจึงค่อยเรียนรู้การอ่านการเขียนโน้ตและหลักการทางดนตรี ภายหลัง โดยมีการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการ พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กและให้ ความสาคัญกับเวลาเรียนและความถ่ีในการฝึกฝน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นฟัง ขน้ั เลยี นแบบ ข้ันทาซ้า และขั้นจดจาฝังใจ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง57 การสอนดนตรแี บบมอนเตสซอรี (Montessori Approach) แพทย์หญิงมาเรยี มอนเตสซอรี ผู้วางแนวทางการสอนดนตรีแบบมอนเตสซอรี ได้ศึกษา และอาศยั หลักการนายแพทย์เอด็ เวริ ด์ เซอแกง (Edward Seguin) ผซู้ ง่ึ เป็นลูกศิษย์ของนายแพทย์ อิทาร์ด (Itard) ผู้ซ่ึงวางรากฐานวิชาแพทย์ศาสตร์เก่ียวกับการบาบัดโรคในหูโดยตรง (Otology) โดยนายแพทย์อิทาร์ดได้ฝึกเด็กหูหนวกและเป็นใบ้ให้สามารถฟังเสียงและพูดได้ โดยใช้ประสาท สมั ผสั ทุกประการเข้าชว่ ย แพทยห์ ญิงมาเรยี มอนเตสซอรี ได้ทาการสอนเดก็ ปญั ญาออ่ นใหส้ ามารถสอบผ่านประโยค ประถมศกึ ษาไดท้ กุ คน และไดป้ ระยกุ ต์วธิ ีการสอนนีม้ าใชใ้ นเดก็ เลก็ ธรรมดา และไดอ้ ุทิศเวลาตลอด ชีวิตในการสาธิตการสอนแบบ “มอนเตสซอรี” และเธอได้กล่าวว่างานของเธอเป็น A Scientific System of Education โดยแท้ ซึ่งทฤษฎีของเธอสอดคล้องกับผลงานวิจัยที่ เก่ยี วกบั พัฒนาการของเดก็ เช่น งานของพอี าเจต์, กีเซลล์, บรเู นอร์, เบาเออร์ ฯลฯ ย่อมเป็นการ อธิบายได้อย่างดีวา่ “มอนเตสซอรี” ไดผ้ ลดีในการส่งเสริมพฒั นาการของเด็กในช้นั เรียนแบบ “มอน เตสซอรี” มีการให้ความสาคัญของการแนะนาดนตรีต่อเด็ก ที่โรงเรียนตัวอย่าง (The Model Montessory School) แห่งกรุงเวียนนา ครูไดค้ ัดเลือกเพลงพืน้ เมืองและเพลงคลาสลิคจากประเทศ ทัว่ โลกเอาไวใ้ ชป้ ระกอบการเรยี นของเด็ก และใหโ้ อกาสในการฝึก ดังต่อไปน้ี 1. การฝกึ เพื่อใหเ้ ข้าใจ “จังหวะ” ของดนตรี โดยการฝกึ ทรงตัว การวิ่งเข้าจังหวะ เดินตาม จงั หวะ เคล่ือนไปตามกฎท่กี าหนดไว้ 2. การฝึกเพื่อ “เมตริก” ของดนตรี โดยให้เด็กมีความประทับใจในเสียงดนตรี( Musical Impressions ) ครูจะเลือกเพลงมาเป็นท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วเล่นซ้า ๆ ให้เด็กเคล่ือนไหวไปตาม จงั หวะด้วยทุกสว่ นของรา่ งกายไม่เฉพาะแต่มือและเทา้ เทา่ น้ัน เพอ่ื ให้เด็กได้คุ้นเคยกบั ดนตรี 3. การศกึ ษาความคลอ้ งจองและทานองดนตรี อาจใช้เครื่องดนตรีง่าย ๆ เช่น เคร่ืองเคาะ ต่างๆ เข้าไปประกอบโดยให้เด็กเล่นกันโดยเสรี ความสนใจในเด็กเกิดมาจากการได้ฟังเพลงซึ่งตน ชน่ื ชอบ แลว้ ลองมา “เลน่ ด้วยหู” จนพอไปได้ ส่วนความเข้าใจและความสามารถในการเล่นดนตรี นน้ั ได้รบั การสง่ เสรมิ จากการมีโอกาสไดจ้ บั เครอ่ื งดนตรีขนึ้ มาลองสร้างเสียงสูงต่า ซ่ึงประทับอยู่ใน ใจเดก็ ไดอ้ ยา่ งนา่ พิศวง 4. การเขียนและอ่านดนตรี โดยให้เด็กได้ฝึกโสตประสาทสังเกตความสูงต่าของเสียง และ ข้นั ต่อมาก็แทนตัวโน้ตด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขั้นสุดท้ายจึงแนะนาให้เด็กรู้ความหมายของโน้ต การ แนะนาดนตรีในเด็กของ “มอนเตสซอรี”จะเริ่มจากจังหวะความสอดคล้อง ต้องมาก่อนการเรียน อา่ นและเขียนตัวโนต้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง58 ภาพท่ี 4.6 แพทย์หญิงมาเรยี มอนเตสซอรี ทีม่ า : https://sites.google.com/site/krubenkindergarten กระบวนการของการเรียนรู้ของมอนเตสซอรีท่ีนามาใช้ในการเรียนการสอนดนตรีแก่เด็ก มี 3 ขน้ั ตอน คือ 1.Imitation การเลียนแบบ โดยมคี รเู ปน็ ตน้ แบบของเดก็ 2.Recognization การจดจา และการแยกแยะความแตกต่างของเสยี งทไ่ี ดฟ้ งั 3.Intonation การเปล่งเสียงรอ้ ง อย่างถูกตอ้ งเป็นการทดสอบข้ันสุดท้ายว่าเด็กมีความ เขา้ ใจและสามารถปฏิบัติได้ สรุปแนวคิดสาคัญของมอนเตสซอรี คือ การฝึกเพ่ือให้เด็กเข้าใจ “จังหวะ” ของดนตรี มี ความประทับใจในเสียงดนตรี รวมถึงการศึกษาความคล้องจองและทานองดนตรี โดยให้เด็กได้ฝึก โสตประสาทสงั เกตความสูงต่าของเสียง กระบวนการของการเรียนรู้ของมอนเตสซอรีที่นามาใช้ใน การเรยี นการสอนดนตรีแก่เด็ก มีหลกั สาคัญ 3 สว่ นคือ (1) Imitation การเลียนแบบ โดยมีครูเป็น ตน้ แบบของเด็ก (2) Recognization การจดจา และการแยกแยะความแตกต่างของเสียงที่ได้ฟัง (3) Intonation การเปล่งเสียงร้องอย่างถูกต้องเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายว่าเด็กมีความเข้าใจและ สามารถปฏบิ ัติได้ ทฤษฎีท่เี กยี่ วข้องกับกจิ กรรมการเคลอื่ นไหวสาหรับเดก็ ปฐมวัย พัฒนาการทางด้านร่างกาย เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในระยะวัยทารก เนื่องจากอัตราการเจรญิ ทางด้านร่างกายเปน็ ไปอย่างรวดเรว็ มาก เมอ่ื เทียบกับพัฒนาการด้านต่าง ๆ เมอ่ื เด็กโตเขา้ สู่ระยะปฐมวัย พัฒนาการดา้ นรา่ งกายจะปรากฏในรปู ของความสามารถ การใช้อวัยวะ ตา่ ง ๆ ของร่างกายได้ชัดเจนขึ้นท้ังทางด้านกล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเน้ือเล็ก และการประสานสัมพันธ์ ความสามารถของกล้ามเนื้อใหญ่ ได้แก่ การใช้ร่างกาย แขน ขา เช่น การเดิน การว่ิง กระโดด การ ปีนป่าย การทรงตัว เป็นต้น ส่วนความสามารถด้านกล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ ได้แก่ การใช้มือ การน่ัง การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา เช่น ลากเส้น วาดภาพ ป้ัน ตัด ฉีก แปะ ร้อยลกู ปัดเปน็ ต้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง59 ทฤษฎพี ัฒนาการด้านร่างกายเดก็ ปฐมวยั มผี กู้ ล่าวถงึ เอาไว้ ดงั น้ี 1. ทฤษฎีพัฒนาการด้านร่างกายของ Gesell Arnold (1964) ได้ศึกษาพัฒนาการด้าน ร่างกายของเดก็ ปฐมวยั และแบ่งพฤติกรรมออกเปน็ 4 ด้าน คอื 1.1 พฤติกรรมด้านการเคล่ือนไหว ได้แก่ ความสามารถทางร่างกายในด้านการ เคล่อื นไหวเป็นความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ พฤติกรรมส่วนนี้เก่ียวกับการเจริญของระบบ ประสาทส่วนกลาง เช่น ความสามารถในการยืน การเดิน การน่ัง การคืบ การคลาน การคว่า การกระโดด เปน็ ต้น 1.2 พฤติกรรมด้านการปรับตัวเป็นพฤติกรรมเก่ียวกับการประสานสัมพันธ์ ระหว่าง การใช้มอื และตา การถอื วตั ถุ การสารวจ และการจัดกระทาต่อวัตถุ เช่น การจัดกล่อง ลูกบาศก์การ วาดภาพ เปน็ ต้น 1.3 พฤติกรรมด้านการส่ือสาร การแสดงออกทางใบหน้า การใช้อวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ หรือศรี ษะ ถา่ ยทอดความคิด การออกเสียง การใช้ภาษาพูด รวมทั้งความเข้าใจจากการ สื่อสารของ ผูอ้ น่ื 1.4 พฤติกรรมทางด้านสังคมและส่วนตัว เก่ียวข้องกับการตอบสนองของเด็กต่อบุคคล อน่ื ในด้านวฒั นธรรมและสังคม แบบของพฤติกรรมในกลุ่มนี้ เช่น การเลี้ยงดู การฝึกขับถ่าย การยิ้ม การสนองตอ่ วตั ถุบางอยา่ ง เช่น กระจก 2. ทฤษฎีการเรียนร้ขู อง Thorndike (1913) กลา่ วถงึ ทฤษฎีการเรียนรขู้ อง Thorndike (Thorndike’s Law of Learning) ซ่งึ เนน้ การเรียนรทู้ ส่ี าคัญ ด้วยกฎ 3 ประการ คือ 2.1 กฎแหง่ ความพรอ้ ม (Law of Readiness) คือ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเม่ือเด็ก มีความพร้อมท้ังกายและใจเกี่ยวกับร่างกาย (Physical) เพื่อเป็นการเตรียมการใช้กล้ามเนื้อและ ระบบประสาทให้สัมพันธ์กัน (Co-ordination) และเพื่อเป็นการฝึกทักษะเก่ียวกับทางจิตใจ (Mental) เป็นความพร้อมทางด้านสมองหรือสติปัญญา และควรคานึงถึงความพร้อมในวัยต่าง ๆ ด้วยว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เป็นท่ีเชื่อกันว่าเด็กอายุ 6 ขวบ เป็นเด็กที่มีความพร้อมในการ ตอบสนองเพราะวัยน้ีมีเยื่อที่ทา ให้สมองทางานเมื่อเด็กมีความพร้อมท้ังทางร่างกายและจิตใจจะ สง่ ผลใหเ้ กิดการเรยี นรู้ที่ดยี ิง่ ขน้ึ ถือเปน็ เร่อื งสาคญั ในการสอนมากทีเดียว 2.2 กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) คือ เด็กจะเรียนรู้จากการกระทาซ้าๆ กัน หลาย ๆ คร้ัง นั้นเอง เก่ียวกับการเคล่ือนไหวและจังหวะเด็กจะเกิดทักษะในแบบต่าง ๆ ซึ่งทาให้ ระบบประสาทและกล้ามเนอื้ ทางานสัมพันธก์ นั ดี 2.3 กฎแห่งผล (Law of Effects) คือ เด็กจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นถ้าผลของการกระทาน้ัน เปน็ ไปในทางบวกหรอื ทางท่ดี ี ซงึ่ จะทาให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดทักษะทาให้เด็กมีความสนุกสนาน และความพอใจ 3. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget (1964) (Piaget Cognitive Development Theory) การให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่าง ๆ จะส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัย ซ่งึ อาศัยการรับรู้เป็นสื่อในการกระตุ้นทางความคิดของเด็กจาเป็นต้องให้เด็กได้มีโอกาสเคล่ือนไหว และสัมผสั ส่งิ ตา่ ง ๆ โดยให้เด็กได้สมั ผัสกบั วตั ถุทอี่ ยู่รอบตวั ซึง่ จะช่วยให้เดก็ เรยี นรู้ในสิ่งใหม่ ๆ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง60 จากขอ้ มูลท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมท่ีทาให้ เด็กเกิดการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ และการท่ีเด็กจะเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมทางสมองหรือ สติปญั ญา ซง่ึ ความพรอ้ มน้คี วรคานงึ ถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล สรุปทา้ ยบท ทฤษฎกี ารสอนดนตรีทไ่ี ดน้ าเสนอมาน้ี เป็นส่วนหน่งึ ของทฤษฎกี ารสอนดนตรีที่นิยมใช้กัน ไปทว่ั โลก ทาใหท้ ราบหลกั ทฤษฎที ี่ใชแ้ ละวธิ ีการใช้ทฤษฎีดังกล่าวของนักดนตรีศึกษาทั้ง 5 ท่าน คือ โคดาย (Kodaly) ออร์ฟ (Orff) ดาลโครซ (Dalcroze) มอนเตสซอรี (Montessori) และซูซูกิ (Suzuki) จึงเป็นหลักพิจารณาในเบื้องต้นว่า ในการศึกษาดนตรีต่างประเทศนั้นเน้นความสนใจใน การพัฒนาศักยภาพดนตรใี นเด็กเลก็ อยา่ งมาก และบางหลักสูตรก็ไม่ได้เร่ิมต้นเรียนดนตรีด้วยเคร่ือง ดนตรโี ดยตรง แตใ่ ช้การฟังเพลง การรอ้ งเพลง และการสร้างความรูส้ ึกรบั รู้เกี่ยวกับ เสียงดนตรีและ แสดงออกด้วยวิธีการต่าง ๆ เมื่อเด็กได้เกิดความรู้สึกตอบสนองต่อเสียงดนตรีดีแล้ว ครูจึงเริ่มเข้าสู่ การบรรเลงเครอื่ งดนตรี การสอนอา่ นโนต้ ฯลฯ ซึง่ เปน็ ขั้นตอนการสอนท่ีเป็นธรรมชาติ ดังนั้นจึง ควรทาความเขา้ ใจวา่ การเรียนดนตรีสาหรบั เดก็ เล็กนนั้ บางทีตอ้ งใชก้ จิ กรรมดนตรหี ลาย ๆ อย่างมา เปน็ องค์ประกอบรวม ไม่ได้เร่ิมด้วยการปฏิบัติเครื่องดนตรีโดยตรงทีเดียว จึงควรศึกษาแนวคิดของ ทฤษฎีการสอนก่อนว่ามีเป้าหมายอย่างไร เพื่อให้สามารถช่วยเด็กในการทากิจกรรมดนตรีต่าง ๆ ถกู ตอ้ งและได้รับประโยชนจ์ ากการเรยี นดนตรอี ยา่ งแทจ้ รงิ คาถามท้ายบท 1. จงสรปุ หลักการสาคญั ในการสอนดนตรตี ามแนวคดิ ของโคดายมาพอสังเขป 2. ดาลโครซมีความเช่อื ว่าเก่ยี วกับการสอนดนตรีสาหรับเด็กอย่างไร 3. การสอนดนตรีตามแนวคดิ ของดาลโครซจะมีกล่ี กั ษณะ อะไรบ้าง 4. จงสรปุ ความเชอ่ื เกีย่ วกับการสอนดนตรีตามแนวคิดออร์ฟ 5. ออร์ฟได้เสนอหลักการในการสอนดนตรีอยา่ งไร 6. การจัดการเรยี นรู้ในวชิ าดนตรตี ามแนวคดิ ทฤษฎที ่ซี ซู กู นิ ามาใช้คอื อะไรมีแนวคิดอย่างไร 7. หลกั การสาคญั ของการจัดการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของซซู กู ิมอี ะไรบา้ งอธบิ ายใหช้ ัดเจน 8. กระบวนการเรียนรู้ของมอนเตสซอรีที่นามาใช้ในการเรียนการสอนดนตรีแก่เด็กมีก่ี ข้ันตอนอะไรบา้ ง 9. จงอธิบายทฤษฎที เี่ ก่ียวข้องกับกิจกรรมการเคล่อื นไหวสาหรบั หรับเดก็ ปฐมวัยมาพอสังเขป 10. การเรยี นรู้ท่สี าคัญตามทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ อง Thorndike มอี ะไรบา้ งอธบิ ายใหช้ ัดเจน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง61 เอกสารอา้ งองิ ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2537). หลกั การของโคคายส่กู ารปฏิบตั ิ วิธีการด้านดนตรีศึกษาโดยการสอน แบบโคดาย. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. _______. (2541).จิตวิทยาการสอนดนตรี.(พมิ พค์ ร้งั ที่4).กรุงเทพมหานคร:จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ภมู รินทร์ ฝาชยั ภูม.ิ (2560). ผลการเรยี นร้ขู องนักเรียนท่ใี ช้ชดุ การฝกึ กีต้ารเ์ บื้องต้นตามแนวคิด ของซูซูกิในโรงเรียนดนตรวี รรณกานต์จังหวดั ขอนแกน่ . วิทยานิพนธ์มหาบัณฑติ . มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วาสนา อนั ทะมา(2554). รปู แบบการสอนแบบมอนเตสเซอร่ี. สบื คน้ เมื่อ 2 ธันวาคม 2564 จาก https://sites.google.com/site/krubenkindergarten/kar-sxb-baeb-mxn-tes-sx-ri วทิ ยา ไล้ทอง (2557). การสอนดนตรตี ามแนวคิดของออรฟ์ (Orff Schulwerk) : การสอนดนตรี แบบสร้างสรรค์ ในการประชมุ เชงิ ปฏิบัติการและสมั มนากลุ่มยอ่ ย ในงาน EDUCA 2014 (15 ตุลาคม 2557 หนา้ 4) กรงุ เทพฯ : EDUCA 2014. สิชฌน์เศก ยา่ นเดิม (2558) แนวคิดทฤษฎกี ารสอนดนตรี (Conceptual Theory Of Music Teaching . วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ปีท่ี 9 ฉบับที่ 2 กรกฏาคม – ธนั วาคม 2558 สกุ รี เจรญิ สุข. (2542). คมู่ ือการอบรมครูซูซูกแิ ละการเปน็ ครซู ซู ูกชิ ้นั ตน้ . นครปฐม : วทิ ยาลัย ดุริยางค์ศิลป์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. สนุ สิ า มาตรศรี.(2561).การสอนดนตรตี ามแนวทางของซูซูกิ. สืบค้นเม่ือ 2 ธันวาคม 2564 จาก https://www.gotoknow.org/posts/658203 เหนือดวง พลู เพิม่ . (2560). การจัดการเรียนรวู้ ิชาดนตรีตามแนวคดิ ของซูซกู ริ ่วมกบั การเรียนรู้ แบบร่วมมอื เพอื่ พัฒนาทักษะการขบั ร้องและความสามารถในการทางานเป็นทีมสาหรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพ : ธุรกจิ บัณฑติ . Narut Suthachit. (2010). Music teaching behavior. Bangkok, The Publisher of Chulalongkorn University. Asdawut Wongchaaum. (2559).บคุ คลสาคัญทางดนตรี. สบื คน้ เมอื่ 2 ธันวาคม 2564 จาก https://m.facebook.com/yamahaemporium/posts/485574874973182/ Wikipedia.(ม.ป.ป) Zoltán Kodályในทศวรรษที่ 1930. สบื ค้นเม่อื 15 ธนั วาคม 2564 จาก 1https://hmong.in.th/wiki/Zolt%C3%A1n_Kodaly Geniomusicacademy (2556). หลักสตู รและแนวทางการสอนดนตรีของ Dalcroze. สบื ค้นเมื่อ 2 ธนั วาคม 2564 จาก https://www.geniomusicacademy.com
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบงึ 62
63 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 5 จานวนช่วั โมงทส่ี อน 8 สัปดาห์ที่ 6-7 หวั ขอเนอื้ หาประจาบท 1. ความหมายของดนตรี 2. คณุ ค่าของดนตรี 3. คุณคา่ ของดนตรกี บั เดก็ ปฐมวยั 4. องค์ประกอบของดนตรี 5. บทบาทของครอบครัวกับการส่งเสริมความสามารถทางดนตรี 6. การจดั กจิ กรรมเพอ่ื ช่วยพัฒนาเด็กปฐมวยั ในดา้ นดนตรี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วัตถปุ ระสงคเชิงพฤตกิ รรม เม่อื ผู้เรยี นไดศึกษาบทเรยี นนี้แลว ผเู รยี นสามารถแสดงพฤตกิ รรมต่อไปน้ไี ด้ 1. บอกความหมายและคณุ ค่าของดนตรีกับเด็กปฐมวยั 2. วเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบของดนตรี 3. วิเคราะห์บทบาทของครอบครัวกับการส่งเสรมิ ความสามารถทางดนตรี 4. จดั กิจกรรมเพอื่ ช่วยพัฒนาเด็กปฐมวยั ในดา้ นดนตรี กิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. ผสู้ อนเปดิ เพลงบรรเลงและเพลงทีม่ เี นือ้ ร้องให้ผเู้ รียนรอ้ งพร้อมกนั 2. ให้ผู้เรยี นจบั คพู่ ดู คยุ เกี่ยวกบั ความหมายของดนตรี สมุ่ ถาม 2-3 คู่ 3. ผู้สอนสรุปเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมาย ความสาคญั และคุณค่าของดนตรี 4. แบง่ ผู้เรยี นเป็น 4-5 คน ศกึ ษาใบงาน 5 องคป์ ระกอบของดนตรี ให้กลมุ่ สง่ ตวั แทน นาเสนอ 5 ผ้สู อนสรุปประเด็นเสรมิ แนวคดิ สาคญั เกย่ี วกับองคป์ ระกอบของดนตรแี ละบทบาทของ ครอบครัวกับการส่งเสริมความสามารถทางดนตรี 6. ผสู้ อนเสรมิ กิจกรรมการเรียนร้เู รือ่ งจังหวะโดยการแบง่ ผูเ้ รียนเป็น 2 กลมุ่ น่ังเป็นวงกลม 7. ผู้สอนนาร้องเพลง “ เรารา่ เรงิ “ พรอ้ มสาธิตการทาจงั หวะโดยการปรบมือ 8. ใหผ้ เู้ รยี นร้องเพลงและฝกึ ทาจังหวะประกอบอปุ กรณ์โดยการสง่ อุปกรณไ์ ปทางขวามือให้ ลงจังหวะ 10. ให้ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มคิดเพลงใหม่และฝึกทาจังหวะประกอบอปุ กรณ์ด้วยตนเอง 11. ตอบคาถามท้ายบท
64 สื่อการเรยี นการสอน 1. เพลงบรรเลงและเพลงท่มี ีเนื้อรอ้ ง 2. เอกสาร 3. สมารท์ โฟน 4. เอกสารประกอบการสอน 5. เพลง “ เรารา่ เริง” 6. อปุ กรณป์ ระกอบจังหวะ 7. ใบงาน 5 องคป์ ระกอบของดนตรี การวดั ผลและการประเมินผล 1. การสังเกต 1.1 ผลจากการอภิปรายซักถามในกลมุ่ ใหญ่ 1.2 ผลจากการอภิปรายร่วมกนั ในกลุม่ ยอ่ ย 1.3 การตั้งคาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤตกิ รรม ความกระตอื รอื รนในการทากจิ กรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถูกตอ้ งจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบท่ไี ดจากการทาแบบฝึกหัดทา้ ยบท 2.3 ตรวจคณุ ภาพผลงานทม่ี อบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง65 บทที่ 5 ดนตรสี าหรบั เด็กปฐมวยั ดนตรีมีสว่ นสาคัญอย่างยงิ่ ในการท่ีจะวางรากฐานในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การสื่อ ความหรือการแสดงออก สาหรับในทางการศึกษาแล้วดนตรีนับเป็นส่ิงแวดล้อมอย่างหนึ่งของเด็ก ปฐมวัยท่ีมผี ลตอ่ พฒั นาการด้านตา่ ง ๆ ดนตรีจึงจัดเป็นประสบการณ์และกระบวนการเรียนรู้สาหรับ เด็กปฐมวัยทีส่ าคัญอยา่ งยงิ่ เพราะเปน็ วยั ทเ่ี หมาะสมท่ีจะให้เด็กทากิจกรรมทางดนตรี อีกทั้งปฐมวัย เปน็ วยั ท่ีเดก็ ต่ืนตัวพร้อมท่จี ะพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เป็นวัยท่ีเด็กเริ่มสนใจท่ีจะศึกษาความเป็นไป ตา่ ง ๆ เปน็ ชว่ งชวี ิตทีเ่ ดก็ มพี ัฒนาการดา้ นบคุ ลิกภาพ ความสมบูรณ์ของร่างกาย ชอบการเลียนแบบ ชอบการเคลือ่ นไหว ชอบเสยี งเพลงและดนตรี การเรยี นรู้ของเด็กวัยน้ีจึงเป็นการเน้นที่การฝึกทักษะ ในการแสดงออกมากกว่าการเรียน ดนตรีจึงเป็นศาสตร์ท่ีทาให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านของการเจริญเติบโต เพื่อเป็นพื้นฐานสาคัญในการพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและเป็นกาลัง สาคญั ในการพฒั นาประเทศ ความหมายของดนตรี พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน (2542 : 394) ได้กล่าวถึงความหมายของดนตรี ว่า หมายถึงเสยี งท่ีประกอบกันเป็นทานองเพลง เคร่อื งบรรเลงซึง่ มเี สียงดงั ทาให้รู้สึกเพลิดเพลินหรือเกิด อารมณ์รัก โศก หรือร่นื เรงิ เป็นต้น ไดต้ ามทานองเพลง กจิ กรรมดนตรี หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดนตรีควรใหประสบการณดาน ตาง ๆ เปนการใหเด็กเกิดทักษะดนตรีหลาย ๆดาน ทักษะดนตรีดังกลาวประกอบดวย การฟง การรองเพลง การอาน เขียนโนต การเคลอ่ื นไหวรางกาย การเลนเคร่อื งดนตรีและการคดิ สรางสรรค กิจกรรมตาง ๆ ทางดนตรที ่ีผูจัดกิจกรรมกาหนดขึ้น เพ่ือประโยชนในการเรียนรูดนตรีสาหรับผูรวม กิจกรรมดนตรี ทาใหเกดิ ความรูความเขาใจและทกั ษะดนตรี องคประกอบของกิจกรรมดนตรี ไดแก ผูจัดกจิ กรรม ผูดาเนินกิจกรรม ผูรวมกิจกรรม และลักษณะหรือรูปแบบของกิจกรรมดนตรีสาหรับ เด็กปฐมวัย หมายถงึ ดนตรที เ่ี ด็กแสดงออกตามความพร้อม การรับรู้และ ความสนใจของเด็กแต่ละ คน การแสดงออกของเด็กจะอาศัยสื่อบางอย่างได้แก่ เสียงร้อง อุปกรณ์เคร่ืองดนตรี หรือ การ เคลอื่ นไหวสว่ นตา่ งๆของรา่ งกาย ซึง่ การแสดงออกทางดนตรีของเด็กจะแสดงออกหลายรูปแบบเช่น การร้องเพลง การเคลื่อนไหวตามจังหวะตามทานอง และตามเน้ือร้องของเพลง รวมทั้งการเล่น อุปกรณ์เคร่ืองดนตรี และการสร้างสรรค์ทางดนตรี ครูเป็นบุคคลสาคัญและมีอิทธิพลในการ ช่วยเหลือเด็กให้เกิดความรักทางด้านดนตรีมีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมีความเจริญงอกงามทาง ดนตรี มีการพัฒนาการทางดนตรีและมีพฤติกรรมใหม่เกิดข้ึนอันเป็นผลจากการเรียนรู้ ซ่ึงผลการ เรยี นรนู้ ชี้ ่วยให้เดก็ มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่าง ๆ คือ 1. มที กั ษะทางดา้ นดนตรี 2. มคี วามช่ืนชมและรักในดนตรี 3. มคี วามเช่ือม่ัน กลา้ แสดงออก และอยากทดลองสิ่งใหม่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง66 คณุ ค่าของดนตรี ดนตรี เป็นศิลปะแห่งเสียงท่ีมนุษยชาติได้บรรจงสร้างสรรค์ข้ึนไว้ นับตั้งแต่ที่มนุษย์ได้ยิน เสียงจากธรรมชาติและพยายามลอกเลียนเสียง จนกระทั่งสร้างเสียงดนตรีขึ้นได้เสียงดนตรีอยู่คู่กับ มนุษย์มาโดยตลอดไม่ว่าชนชาติใด ภาษาใด ความเช่ือทางศาสนาใด ดนตรีสามารถเข้าไปอยู่ในวิถี ชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ อนั แสดงถงึ ความเจริญทางจิตใจและอารยธรรมของมนุษย์ ชนชาติ ตา่ ง ๆ ได้เปน็ อย่างดี นกั การศกึ ษาได้กลา่ วถงึ คุณค่าของดนตรไี วด้ ังนี้ 1. พฒั นาความคดิ สร้างสรรคด์ นตรีเป็นเรื่องของเสียงที่ไพเราะสร้างสรรคอ์ ยางพิถีพิถัน จาก มนุษย์ การฟงั ดนตรสี ามารถสรา้ งเสริมจนิ ตนาการของเด็กได้อยา่ งดี และการเรียนรู้ดนตรีสามารถใช้ กระบวนการสรา้ งสรรค์โดยการสรา้ งทานอง จังหวะง่ายๆ จนถึงการประพันธ์เพลงข้ันสูง สิ่งเหล่าน้ีมี กฎเกณฑแ์ ละต้องใช้พลงั สรา้ งสรรค์อย่างมาก 2. พัฒนาด้านอารมณ์ ความรู้สึก ดนตรี เป็นโสตศิลป์ ท่ีปลุกเร้าให้มนุษย์เกิดอารมณ์ ความรู้สกึ เหลา่ น้ี ทาใหม้ นุษย์เรยี นรู้และตอบสนองอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองได้เป็นอย่างดี เป็น ผลใหเ้ กิดพฒั นาการทางอารมณ์ความร้สู กึ ได้ 3. พัฒนาด้านภาษา เพลงร้องประกอบด้วยภาษาหลากหลายที่ได้รับการประพันธ์ไว้อย่าง ไพเราะ การเรยี นรดู้ ้วยการขบั ร้องเปน็ การช่วยพัฒนาการทางภาษาอย่างได้ผล 4. พัฒนาด้านร่างกาย การสนองตอบต่อดนตรีด้วยการเคล่ือนไหวลักษณะต่าง ๆ เป็น กิจกรรมทจ่ี าเปน็ อยางยิ่งสาหรบั เด็ก ซึ่งมผี ลโดยตรงตอ่ พัฒนาการด้านร่างกาย 5. พัฒนาด้านปัญญา ดนตรีเป็นเรื่องของวิชาการท่ีลึกซ้ึงมาก มีการศึกษาจนถึงระดับ ปริญญาเอก การเรยี นดนตรอี ยางถกู แบบแผนจงึ เป็นการพัฒนาด้านปัญญาอย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับ วชิ าการดา้ นอืน่ ๆ 6. พัฒนาความเป็นเอกัตบุคคล การแสดงออกทางดนตรีหรือการสนองตอบต่อดนตรีเป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกบความคิดการกระทาของแต่ละบุคคล การเรียนดนตรีจึงเป็นการพัฒนา ความเป็นเอกัตบุคคลอย่างถึงแก่น นอกจากนี้การเล่นดนตรีเป็นวงสามารถช่วยพัฒนาความเป็น องค์กรทม่ี เี อกลักษณไ์ ด้ด้วย 7. พัฒนาด้านสุนทรียดนตรีเป็นเรื่องสุนทรียของเสียง การเรียนรู้และมีประสบการณ์ทาง ดนตรี ท่ีดี ประทับใจ ทาให้ผู้ศึกษาเกิดพัฒนาการทางสุนทรียได้เป็นอย่างดี ทาให้ชีวิตของเด็ก สมบูรณข์ ้ึนเมอ่ื เป็นผใู้ หญ่ตอ่ ไปในวันขา้ งหน้า คุณคา่ ของดนตรีกบั เด็กปฐมวัย ดนตรี คือ ภาษาหนง่ึ ซึ่งใชถายทอดความรูสึก ท่ีภาษาในลักษณะอ่ืนไมสามารถถายทอดได แทนที่จะเปนคาพูดหรือทาทาง ดนตรีใชเสียงและจังหวะเปนสื่อในการถายทอดความรูสึกโดยนัย แหงภาษาท่ีคนส่ือสารกัน ดนตรีจึงเปนส่ิงท่ีเด็กควรเรียนรู เด็กแรกเกิดเร่ิมใหมไดยินเสียงตาง ๆ ท่ี เขาไมสามารถเขาใจได แมกระนั้นก็ตามภายในเวลาสองสามปใหหลังเด็กแรกเกิดเร่ิมมีความเขาใจ ภาษาที่ใช ส่ือสารและภาษาดนตรีกับบิดามารดาและผู ท่ีอยู ใกล ชิดจึงมีพัฒนาการทางดนตรีไ ด้ อยางมาก บคุ คลทั่วๆไปมกั รูสกึ วาดนตรีมีประโยชนตอเดก็
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง67 อยางไรก็ตามคงมนี อยคนท่ีเขาใจบทบาทของดนตรีกับเด็กปฐมวัยอยางแทจริง และแมวา บคุ คลบางคนทราบถึงการใหการศึกษาดานดนตรีกับเด็ก แตก็มีหนังสือไมก่ีเลมที่กลาวถึงดนตรีกับ เด็กปฐมวัย จึงเปนการสมควรอยางยงิ่ ทพี่ อแมควรท่ีจะมีความรูความเขาใจเก่ียวกับเรื่องนี้ เพ่ือประ โยชนในการจัดสภาพแวดลอม ต้ังแตอยูในครรภมารดาเมื่อหัวใจของทารกเร่ิมเตน การรับรูเรื่อง จงั หวะเริ่มมขี ึ้นโดยอัตโนมัติ ในราว 5 เดือน เม่ืออวัยวะเก่ียวกับการไดยินพัฒนาเต็มที่ ทารกเร่ิมได ยนิ เสยี งตางๆ ภาพท่ี 5.1 การฟงั เพลงของเด็กขณะอยใู่ นครรภ์ ท่มี า : https://www.amarinbabyandkids.com (2561) ในชวงน้ีถาพอแมเปดเพลงใหทารกในครรภฟง ยอมชวยใหเด็กมีพัฒนาการทางดนตรีได พอแมควรใหความสนใจในการสงเสริมพฒั นาการดานดนตรีของเด็ก โดยทั่วไปพอแมหรือผูดูแลเด็ก ในวยั น้ีมกั ใชดนตรีเพ่ือสนองจุดมุงหมายแตกตางกนั ออกไป เชน ใหกลอมเด็กเวลานอน ใชในการทา ใหบรรยากาศของการรับประทานอาหารดีข้ึน ใชในการฉลองวันเกิด หรืองานอ่ืน ๆ ใชในการทาให บรรยากาศการเรยี นหนงั สอื สนุกสนาน ใชในการถายทอดความรูสึกของเดก็ ผานการเคลื่อนไหว หรือ เขาจงั หวะประกอบเพลง ใชในการพัฒนาระบบการทางานของกลามเนื้อ ใชพัฒนาทักษะทางดาน การเขากลุมหรือดานสังคม และใชในการพัฒนาแนวคิดทางดนตรี เชน ชา เร็ว สูงต่า ดัง คอย เปน็ ตน้ ภาพที่ 5.2 แม่กล่อมทารกน้อยด้วยเสยี งเพลง ทม่ี า : https://www.amarinbabyandkids.com (2563)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง68 นักจิตวิทยาทางสังคมศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่า เคร่ืองดนตรี เสียงดนตรีนั้นมีคุณค่า ก่อให้เกิด ความสว่างแก่จิตใจ อีกทั้งยังก่อให้เกิดความสุข และก่อให้เกิดความผูกพัน รักใคร่อีกด้วย ท่ีสาคัญ ดนตรียงั เป็นตัวทจี่ ะใช้ในการเสริมสรา้ งพฒั นาการของเดก็ จงึ อาจกลาวไดวา การเรยี นรูดนตรีของเดก็ ในวัยนี้มีจุดมุงหมายท่ีสาคัญคอื ชวยใหเด็กรูซึ้งถึง คุณคาทางอารมณอันเน่ืองมาจากดนตรี เขาใจถึงรูปแบบของเสียงและจังหวะของดนตรีแสดงออก ทางดนตรตี ามความรูสกึ ที่เกดิ ข้ึน สนุกสนานไปกบั ดนตรี และไดสัมผัสกับความพึงพอใจทางสุนทรีย อนั เนื่องมาจากดนตรี องค์ประกอบของดนตรี องค์ประกอบของดนตรี คือ ส่วนสาคัญพื้นฐานที่ทาให้เกิดเป็นดนตรีขึ้น ท้ังน้ีจะกล่าวถึง องค์ประกอบของดนตรโี ดยรวม มิไดย้ ดึ เอาหลักเกณฑ์ของดนตรีใดเป็นมาตรฐาน องค์ประกอบของ ดนตรที ่สี าคัญประกอบไปดว้ ยปจั จยั เหล่านค้ี ือ เสียง ทานอง เสียงประสาน จังหวะ และรูปแบบของ ดนตรี อธิบายไดด้ งั น้ี 1. เสียง (Tone) เป็นการยากที่จะกล่าวหรือระบุได้ ว่าดนตรีเกิดข้ึนในช่วงเวลาใด ท้ังนี้ เน่ืองจากไม่สามารถหาหลักฐานมาอ้างอิงได้อย่างแน่ชัด จึงได้แต่เพียงสันนิษฐานและตั้งข้อสังเกต จากโบราณวัตถุหรือหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ อื่น ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน โดย สันนิษฐานตามหลักการและเหตุผล และคานึงถึงความเป็นไปได้มากที่สุด ข้อสันนิษฐานท่ีเกี่ยวกับ กาเนดิ ของดนตรมี ีดงั นี้ ลักษณะเสียงที่เรียกว่า Tone น้ันจะมีความแตกต่างไปจากเสียงที่มีความหมายว่า Noise เน่ืองจากลักษณะของการเกิดเสียงที่เรียกว่า Tone น้ันเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศอย่าง สม่าเสมอ ส่วนเสียงในความหมายว่า Noise น้ันเกิดจากการส่ันสะเทือนของอากาศท่ีไม่สม่าเสมอ เสียงดนตรีไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากการเป่า การร้อง การดีด หรือการสี จะเป็นลักษณะเสียงที่ เรียกวา่ Tone เพราะการสนั่ สะเทอื นเป็นไปอยา่ งสมา่ เสมอ เสียงประกอบไปด้วยคุณสมบัติสาคัญ 4 ประการคือ ระดับเสียง ความส้ันยาวของเสียง ความดังเบาของเสียง และสสี ันของเสียง ระดบั เสยี ง (Pitch) ระดับเสยี ง หมายถึง ความสูงต่าของเสียงในเชิงกายภาพ หากความถี่ ของการส่ันสะเทือนเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะทาให้เกิดเสียงสูง ถ้าความถ่ีของการส่ันสะเทือนเป็น ลักษณะช้า จะทาให้เกิดเสียงต่า หูของมนุษย์สามารถแยกเสียงตั้งแต่ระดับความถี่ของการ สนั่ สะเทอื น 16 ครง้ั / วินาที จนถึง 20,000 คร้ัง / วินาที ความสัน้ - ยาวของเสยี ง (Duration) เสียงดนตรีจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความ ส้ัน ยาวของเสียง กลา่ วคอื บางครง้ั เราจะได้ยนิ ลักษณะของการลากเสียงยาวๆ หรือบางคร้ังก็จะเป็น ลักษณะหว้ นๆ ส้ันๆ ความแตกต่างกันในลกั ษณะนเี้ รียกว่า ความสน้ั – ยาวของเสียง ความดัง - เบาของเสยี ง (Dynamics) เสียงดนตรจี ะมีความแตกตา่ งกนั ในเรื่องของความ ดัง - เบาของเสียงเชน่ กนั กลา่ วคือ บางครัง้ เราจะไดย้ ินการบรรเลงเพลงท่ีมีเสียงดัง อึกทึกครึกโครม ตรงกันข้ามบางครั้งก็จะได้ยินเสียงดนตรีที่นุ่มนวล หรือแผ่วเบา ลักษณะของการเกิดเสียงแบบน้ี เรยี กวา่ ความดัง - เบาของเสยี ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง69 ความดงั - เบาของเสียง อาจจะเกิดข้ึนในลักษณะเบาหรือดังข้ึนทันทีทันใด หรืออาจจะ เป็นลักษณะค่อยๆเบาลงหรือค่อยๆดังข้ึน ในดนตรีตะวันตกจะมีการบอกหรือแสดงเครื่องหมายไว้ อย่างชดั เจนวา่ จะตอ้ งบรรเลงอยา่ งไร 2. ทานอง (Melody) ทานองคอื การจดั เรียงของเสียงท่ีมีความแตกต่างกันของระดับเสียง และความยาวของเสยี ง โดยท่ัวไปดนตรีจะประกอบไปด้วยทานองซึ่งเป็นองค์ประกอบท่ีง่ายต่อการ จดจามาก ที่สดุ ทานองมหี ลายลกั ษณะแตกตา่ งกนั ออกไป 3. เสียงประสาน (Harmony) เสียงประสาน คือ องค์ประกอบของดนตรีที่เกิดขึ้นจากการ ผสมผสานของเสียงมากกว่าหน่ึงแนวเสียง เสียงประสานเป็นองค์ประกอบดนตรีที่สลับซับซ้อนกว่า จังหวะและทานอง แสดงถึงความประณีตในการประพันธ์ อย่างไรก็ตามในบางวัฒนธรรมอาจจะไม่ พบการประสานเสยี งของดนตรเี ลย เช่น ดนตรพี นื้ เมอื งหรือดนตรีพ้ืนบ้านที่มีความเรียบง่ายของการ ประพันธ์ ซึ่งเปน็ ดนตรีทีแ่ สดงถึงเอกลักษณ์ของตนเอง 4. จงั หวะ (Rhythm) จังหวะสามารถแบง่ ออกได้เปน็ ลักษณะสาคญั ดังนี้ อตั ราจังหวะ (Meter)โดยทวั่ ไปบทเพลงท่ีประพันธ์ข้ึนอย่าง มีระเบียบแบบแผนจะมีอัตรา จงั หวะท่ชี ัดเจน ความช้า - เรว็ ของจังหวะ (Tempo) ดนตรที กุ ชนดิ ในโลกจะมีความช้าเร็วของจังหวะเพลง เช่นเพลงท่ีใช้ประกอบการเต้นราเพื่อความสนุกสนาน ก็อาจจะมีจังหวะที่ค่อนข้างกระชับ รวดเร็ว ตรงกันข้ามกับเพลงที่ใช้กล่อมเด็ก ก็มีจังหวะท่ีค่อนข้างช้า เป็นเรื่องของเสียงท่ีเคลื่อนท่ีไปใน ช่วงเวลา ดังนั้นองค์ประกอบเร่ืองเวลาจึงเป็นส่วนสาคัญอีกส่วนหน่ึงของดนตรี ทางดนตรี องค์ประกอบเรอ่ื งเวลาประกอบไปด้วย ความเร็วของจังหวะ (Tempo) อัตราจังหวะ (Meter) และ จังหวะ (Rhythm) 5. รปู แบบ ดนตรที ี่ประพันธ์ข้ึนอย่างมี ระเบียบแบบแผน จะมรี ปู แบบท่ีคอ่ นข้างชัดเจน ซึ่ง ไดแ้ ก่ ดนตรที ป่ี ระพันธ์ขึ้นเพ่ือการฟงั ที่เรียกวา่ ดนตรีศลิ ป์ หรอื ดนตรชี นั้ สูงของแตล่ ะชาติ หรอื ดนตรี ประจาชาติ บทบาทของครอบครวั กับการส่งเสรมิ ความสามารถทางดนตรี การเลี้ยงลูกดว้ ยดนตรีนบั เปน็ วิธีหนงึ่ ทไี่ ด้รับความสนใจและเรม่ิ เปน็ ทนี่ ิยมมากขึ้นในปัจจุบัน มีงานวิจัยจานวนมากศึกษาถึงประโยชน์ของดนตรีต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ซ่ึงส่วนใหญ่ พบว่าการเลยี้ งลกู ด้วยการให้ทากิจกรรมทางดนตรี อย่างการร้องเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่ยัง เลก็ มีสว่ นชว่ ยเสรมิ พฒั นาการและทักษะความสามารถด้านต่าง ๆ ของเด็กได้มาก โดยมีแนวทางใน การส่งเสรมิ มดี งั น้ี 1. พยายามร้องเพลงต่าง ๆ กับเดก็ 2. อมุ้ เด็กและเคล่อื นไหวให้เขา้ กับจงั หวะเสียงดนตรี 3. อา่ นบทอาขยานหรอื คาคลอ้ งจอง ให้เด็กฟัง พยายามให้เด็กลองพูดตามเป็นวรรคให้ลง จงั หวะสมั ผัสตามบทกลอน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง70 4. ชช้ี วนใหเ้ ดก็ ฟงั และพดู ถงึ เสียงรอบ ๆ ตวั ท่ไี ด้ยนิ ถ้าเด็กโตขึ้นมีความเข้าใจมากขึ้น อาจ พูดคยุ ถงึ ลกั ษณะของเสยี ง เช่น ความดงั -คอ่ ย ความส้นั -ยาว เสยี งสูง-ตา่ 5. ชว่ ยเดก็ คดิ ประดษิ ฐ์เครื่องประกอบดนตรีง่าย ๆ และใหเ้ ด็กลองเลน่ ดว้ ยตวั เอง 6. เปิดเพลงที่มีเนื้อร้องและเพลงบรรเลงให้เด็กฟังจนจบเพลง โดยอธิบายถึงรูปแบบของ เพลงไปด้วย เพลงที่เปิดให้ฟังควรเป็นเพลงเด็ก เพลงไทยพื้นเมือง เพลงไทยสากล และเพลง นานาชาติ เพื่อใหเ้ ดก็ มปี ระสบการณใ์ นเพลงหลาย ๆ รูปแบบ 7. เล่านิทานเพลงหรือเรื่องราวที่เก่ียวข้องกับดนตรีที่สนุกสนานให้เด็กฟัง และอาจมี กจิ กรรม เลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ประกอบ เช่น การเคาะจังหวะ การฮัมทานองเพลง การร้องเพลง ซึ่งมี เนอ้ื หาสมั พันธก์ ับนทิ านหรือเรอ่ื งราวนน้ั ๆ 8. บันทึกเสียงหรือถา่ ยภาพประกอบกิจกรรมของเด็กและเปิดใหเ้ ดก็ ฟงั หรอื ชม 9. ชักจูงใจเด็กลองเลียนแบบท่าทางของสัตว์ สิ่งของ และการเคลื่อนไหวของคน พยายามให้เดก็ นกึ ถงึ ท่าทางหลาย ๆ แบบ 10. พ่อแม่อาจเรียนดนตรที ีเ่ ลน่ ได้ง่าย และฝกึ ซ้อมใหเ้ ด็ก 11. ถา้ มรี ายการดนตรีดี ๆ ควรเปิดให้เด็กดู อธิบายถึงลักษณะของดนตรี อาจอุ้มหรือให้ เด็กเคลอื่ นไหวกับจังหวะเพลง 12. เมื่อมีการสังสรรค์ในหมู่ญาติ ควรจัดกิจกรรมดนตรี เช่น ร้องเพลงร่วมกันหรือเล่น ดนตรีใหเ้ ดก็ มีสว่ นร่วม อย่างน้อยทส่ี ดุ กใ็ ห้เปน็ ผ้ดู หู รอื เตน้ ประกอบเพลง 13. พาเด็กไปชมการแสดงดนตรเี พ่ือใหม้ ีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมดนตรีและได้ประสบการณ์ทาง ดนตรี นอกจากนี้การเลน่ กลางแจ้งของเดก็ เชน่ การเล่นเครือ่ งเลน่ ในสนามเดก็ เลน่ ว่ิงเล่น เดิน เล่น เล่นเกมต่าง ๆ กับพ่อแม่ ญาติ หรือเพ่ือนฝูงบริเวณบ้าน พ่อแม่อาจร้องเพลงหรือเปิดเพลง บ้างเป็นบางคราว ให้เดก็ เลน่ เขา้ กบั จังหวะเพลง เชน่ พ่อแม่อาจแกวง่ ชงิ ช้าใหเ้ ข้ากบั จังหวะเพลงที่ ร้องหรอื ฟังอยูร่ วมถงึ การพาเดก็ ไปชมการแสดงดนตรหี รอื ดูการซ้อมดนตรี จะช่วยให้เด็กพัฒนาการ ทางดา้ นดนตรีและมเี จตคตทิ ดี่ กี บั ดนตรีด้วย ถา้ พ่อแม่ทราบถงึ วิธกี ารสอนดนตรขี องโรงเรียนอนุบาลทเี่ ด็กเรยี นอยจู่ ะช่วยส่งเสริมเด็กได้ดี ท้ังนี้โรงเรียนเป็นสถาบันท่ีมีส่วนพัฒนาการทางดนตรีของเด็กมาก การสอนดนตรีในโรงเรียนที่มี หลักเกณฑ์ ย่อมมีส่วนพัฒนาความสามารถของเด็กได้ดีกว่าโรงเรียนที่ไม่ได้เน้นการสอนอย่างถูก หลักเกณฑ์ พอ่ แม่ที่ส่งเสริมให้ลูกมีประสบการณ์ทางด้านดนตรี จะมีส่วนช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้าน ต่าง ๆ ดีข้ึน ได้แก่ พัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และ พัฒนาการทางดา้ นรา่ งกาย ซึ่งทาใหเ้ ด็กมคี วามสมบรู ณใ์ นทกุ ๆ ดา้ นตอ่ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน ความซาบซึ้งใน สุนทรยี ของดนตรี อีกท้ังการจัดสภาพแวดล้อมทางดนตรีให้เอื้ออานวยต่อการ เรียนรู้และพฒั นาการทางดนตรียอ่ มช่วยให้เด็กปฐมวัยมีพืน้ ฐานทางดนตรที ี่ม่นั คง ซึ่งเปน็ รากฐานใน การเรยี นดนตรีตอ่ ไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง71 การจดั กจิ กรรมเพือ่ ช่วยพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ในดา้ นดนตรี องค์ประกอบที่สาคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ได้ผลตรงตามวัตถุประสงค์ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ไดแ้ ก่ การเตรยี มตวั ของครู การจัดบรรยากาศ การเรียนการสอน อุปกรณ์ การเรียนการสอน กิจกรรมและประสบการณ์ การประเมินผล ซ่ึงองค์ประกอบแต่ละส่วนมี หลกั การและวิธกี ารดงั ตอ่ ไปน้ี คอื 1. การเตรยี มตัวของครู. การสอนดนตรีในระดับปฐมวัยเน้นการปูพ้ืนฐานทางดนตรีให้กับผู้เรียน โดยท่ัวไปครู สามารถทจ่ี ะทาการสอนได้ทกุ คน หากได้มกี ารเตรียมพรอ้ มในเรื่องตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1.1 การเตรยี มตวั ในระยะยาว ควรเตรยี มดงั น้ี คือ 1) ผู้สอนควรจะได้ศึกษาเอกสารต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับการสอนดนตรี เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของลักษณะวิชา จุดประสงค์การสอน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ฯลฯ ถ้าหากเป็นไปได้ก็ควรจะขอไปสังเกตการสอนตามท่ีต่าง ๆ หรือเข้ารับการอบรมในเรื่องวิธีสอน เปน็ ตน้ 2) ฝึกหดั เลน่ เคร่อื งดนตรีที่ครูจะใช้ประกอบการสอน ซึ่งอาจจะเปน็ กีต้าร์ เมโลเดีย้ น น้งิ หน่อง (Bellyra) หรือ ขลยุ่ เป็นต้น ทงั้ นี้ เพ่อื ใหส้ ามารถใช้ประกอบการสอนได้ตามสมควร 3) ฝึกหดั ร้องเพลงให้ถูกตอ้ งตามทานองและจงั หวะ ฝึกออกเสียงตามเสียงดนตรีสากล 4) วางแผนการจัดการเรียนการสอน โดยทาเปน็ โครงการสอนหรือกาหนดการสอน 5) จัดเตรียมเพลงและกิจกรรมที่จะใช้ในการสอน โดยทดลองฝึกหัดการสอนด้วย ตนเองหรอื ใหอ้ ืน่ ช่วยวิจารณ์ 6) จดั เตรียมสื่อการเรยี นการสอน ทงั้ จากการซอ้ื หาและการสร้างขึ้นเอง 1.2 การเตรยี มตัวในระยะสนั้ 1) กาหนดหัวขอ้ เรอ่ื งทีจ่ ะสอน โดยให้ครอบคลุมเน้ือหาในเรื่อง จังหวะ ทานอง และการประสานเสียง ท้งั นี้ ต้องเขา้ ใจความคดิ รวบยอดและจดุ ประสงค์ของการสอนดว้ ย 2) กาหนดกจิ กรรมและสอื่ การเรียนการสอนทเี่ หมาะสม 3) กาหนดวธิ กี ารประเมนิ ผล 4) จัดทาบนั ทกึ การสอน ซึ่งควรประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ คือ หัวข้อเรื่องที่ จะสอน ความคิดรวบยอด จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรมและประสบการณ์ อุปกรณ์การ เรยี นการสอน และวิธกี ารประเมินผล 2. บรรยากาศการเรยี นการสอน ครูผู้สอนจะต้องคานึงอยู่เสมอว่า ผ้เู รียนในระดับปฐมวยั ต้องการความรัก ความอบอุ่น และความสนุกสนานเพลิดเพลิน ดังน้ันบรรยากาศในการเรียนการสอนควรจัดให้ตอบสนองความ ต้องการของผู้เรียนดังกลา่ วดว้ ย ซงึ่ อาจจะกระทาไดด้ ังนี้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง72 2.1 จูงใจและปลูกฝังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ก่อน โดยจัดกิจกรรมให้ สอดคล้องกบั ความต้องการ การแสดงออก พัฒนาการทางรา่ งกาย อารมณ์ ตลอดจนความพร้อม ของผ้เู รยี นและท่ีสาคัญก็คือจะต้องทาให้เด็กเกิดความรู้สึกรักครู เพราะถ้าเด็กรักครูเด็กก็จะรักการ เรยี นรู้นนั้ ดว้ ย ภาพที่ 5.3 บรรยากาศในการเรยี นการสอน ที่มา : http://krathumlom.go.th (2563) 2.2 สร้างบรรยากาศในการเรียนให้สนุกสนานเพลิดเพลินและท่ีสาคัญท่ีสุด คือ ต้องจัด กจิ กรรมเพือ่ เปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นทุกคนไดแ้ สดงออกและรู้สึกว่าตัวเองประสบความสาเรจ็ 2.3 บุคลิกของครูผู้สอน อุปกรณ์หรือเครื่องเล่นที่ใหม่ มีส่วนช่วยดึงดูดความสนใจให้ ผเู้ รยี นเกิดความกระตือรือร้นทจี่ ะเรียน อนั เปน็ การสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นได้อย่างหนงึ่ 2.4 เด็ก ๆ ชอบฟังนิทาน อยากรู้อยากเห็นในเร่ืองต่าง ๆ และอยากแสดงออกในเร่ือง น้นั ดงั นน้ั การสอนแต่ละครั้งจึงควรจะมเี ร่ืองราวหรือนิทานที่เก่ียวข้องกับเพลงที่จะสอน รวมทั้ง ใหเ้ ดก็ ไดแ้ สดงบทบาทสมมตุ ิตามสาระของเรื่องราวหรอื นทิ านน้ัน ๆ ดว้ ย 3. อุปกรณ์การเรยี นการสอน จดุ ประสงค์ของการสอนดนตรใี นระดบั ปฐมวยั เน้นให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์พื้นฐาน ทางดนตรี ทัง้ ในด้านความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะ และด้านความรู้สึก ดังนั้นอุปกรณ์การเรียนการสอน ท่ีจะใช้เป็นเคร่ืองมือในการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ดนตรีจึงควรประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 3.1 อุปกรณ์การเรยี นการสอนท่สี าคัญ ก็คือ บทเพลง ซ่ึงควรจะมีทานองง่าย ๆ ส้ัน ๆ และมีเนื้อเรื่องทีเ่ ป็นเรือ่ งราวท่ีเกย่ี วข้องกบั ผ้เู รียน เชน่ เรื่องของธรรมชาติ ร่างกาย เร่ืองราวของ สตั วต์ ่าง ๆ ตลอดจนเรอื่ งลึกลับและตนื่ เตน้ เปน็ ต้น ผสู้ อนอาจจะนาทานองเพลงท่ีเด็ก ๆ คุ้นหูแล้ว มาใส่เนื้อรอ้ งเองหรือแตง่ ทานองและเนอื้ รอ้ งขึน้ ใหม่กไ็ ด้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง73 3.2 อุปกรณก์ ารเรยี นการสอนที่เป็นเครื่องเคาะจังหวะ เช่น กรับมือ กรับน้ิว เหล็ก สามเหลี่ยม ฉ่งิ ฉาบ กระพรวนมือ ลกู ซดั รามานา กลอง ฯลฯ เครื่องเคาะจังหวะนี้ สามารถ สร้างข้นึ ใช้เองโดยใชว้ สั ดุทม่ี ีอย่ใู นท้องถิ่น หรือวัสดุเหลือใช้ เช่น กะลา กระป๋องทราย กรับไม้ไผ่ กระพรวนทที่ าจากขวดนา้ อดั ลม เปน็ ต้น 3.3 เครื่องดนตรีท่มี ีเสียงแนน่ อน เช่น นง้ิ หน่อง (Bellyra) เมโลเดี้ยน ระนาด อังกะลุง ฯลฯ ภาพท่ี 5.4 เครอื่ งดนตรีสาหรบั เดก็ ท่มี า : https://sites.google.com/site/biebiwkongooo/ (2558) 3.4 อุปกรณ์การเรียนการสอนอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องบันทึกเสียง เทปเพลง แผนภูมิ รูปภาพต่าง ๆ หุ่นมอื หุ่นนิว้ หนา้ กาก ฯลฯ 4. กจิ กรรมและประสบการณ์ทางดนตรี ซึ่งแบ่งออกได้ดงั น้ี 4.1 กจิ กรรมและประสบการณ์เกย่ี วกบั จงั หวะ ภาพท่ี 5.5 กจิ กรรมและประสบการณ์ด้านดนตรี ทมี่ า : วิจิตรา เงินบาท (2563)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง74 ในการจัดกจิ กรรมและประสบการณ์การเรียนการสอนด้านดนตรีนั้น ส่วนมากจะเป็น กจิ กรรมและประสบการณ์ในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับจังหวะ ทานอง และการประสานเสียง แต่ละเรื่องมี วธิ กี ารจดั กิจกรรมไวด้ งั นี้ 1) ให้ผู้เรยี นสังเกตการเคลื่อนไหวของส่งิ แวดล้อมรอบตัว เช่น จังหวะการเดิน การ วงิ่ ของคนหรือสตั ว์ การแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา ฯลฯ 2) ฝึกทักษะผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของจังหวะ โดยใช้การทา ท่าทางตบมอื เคาะจังหวะ ใช้อวยั วะตา่ ง ๆ ของร่างกายทาจังหวะ เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะ ไดอ้ ยา่ งสอดคล้องและเหมาะสมกับลีลาของบทเพลง หรือ รูปแบบของจังหวะท่กี าหนดให้ 3) ฝึกการใช้ท่าราเบ้ืองต้นตามแบบนาฏศิลป์ประกอบลีลาของบทเพลง หรือรูปแบบ ของจังหวะทีก่ าหนดให้ เช่น การก้าวเทา้ กระดกเท้า จบี ต้ังวง เป็นตน้ 4) ฝึกให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเร่ืองความส้ัน-ยาว ของเสียงต่าง ๆ ความหนัก-เบาของ จังหวะ และมคี วามค้นุ เคยกับเพลงประเภท 2 จงั หวะ 3 จงั หวะ และ 4 จงั หวะ (2/4 , 3/4 และ 4/4) 4.2 กิจกรรมประสบการณเ์ กี่ยวกับทานอง 1) ฝกึ ใหผ้ ูเ้ รยี นเลียนเสยี งท่เี กิดขึน้ ตามธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม เช่น เสียงลมพัด เสยี งรอ้ งของสัตว์ ฯลฯ อันจะเป็นพน้ื ฐานสาคญั ทจ่ี ะทาใหผ้ ้เู รยี นสามารถออกเสียงตามเสียงดนตรีได้ ถูกตอ้ ง 2) ฝกึ ให้ผู้เรียนแยกความแตกต่างของระดบั เสียงสูง-ต่า ของเสยี ง 2 เสยี ง 3) ฝกึ การออกเสียงตามมาตราเสยี งของดนตรีสากลอย่างสม่าเสมอ ซ่ึงควรจะออก เสยี งตามเสยี งของเคร่อื งดนตรีทม่ี เี สียงตายตัว เช่น นว้ิ หน่อง เมโลเดีย้ น เพราะจะทาให้เกิดความ เคยชนิ กบั เสยี งดนตรีที่ถูกต้อง 4) จัดกิจกรรมใหผ้ ูเ้ รยี นไดม้ โี อกาสฟังเพลงและรอ้ งเพลงอย่างสมา่ เสมอ 5) ฝึกใหผ้ เู้ รยี นทาทา่ ทางอย่างง่าย ๆ ประกอบเพลง เพ่ือแสดงความแตกต่างของ ประโยคและวลขี องเพลง 6) ฝึกให้ผู้เรียนเข้าใจในเรื่องอารมณ์และลีลาของบทเพลงในแบบต่าง ๆ เช่น ออ่ นหวาน สนกุ สนานร่าเรงิ เศร้า องอาจ กล้าหาญ เปน็ ต้น ภาพที่ 5.6 การแสดงอารมณแ์ ละลีลาประกอบเพลง ที่มา : วิจติ รา เงนิ บาท (2563)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง75 4.3 กจิ กรรมและประสบการณเ์ กยี่ วกับการประสานเสยี ง 1) ฝกึ กิจกรรมการรว่ มบรรเลงหมู่ ซงึ่ เปน็ การฝกึ หดั เบ้ืองต้นเกยี่ วกับการประสาน เสียงท้ังน้ีเพราะในขณะท่ีผู้เรียนดาเนินกิจกรรมร่วมกันน้ัน ผู้เรียนแต่ละคนจะมีหน้าที่แตกต่างกัน ออกไป เช่น มหี น้าท่รี อ้ งเพลง ตบมือ เคาะจังหวะ เคลื่อนไหวร่างกายหรืออวัยวะต่าง ๆ ให้เข้า กับจังหวะ การปฏบิ ัตเิ คร่ืองดนตรีอยา่ งง่าย ๆ ตลอดจนการแสดงทา่ ทางประกอบ ซ่ึงต่างกม็ ีจุดร่วม อันหน่ึงอนั เดียวกนั ผเู้ รยี นจะมีโอกาสฝึกการฟงั แนวการบรรเลงของผู้อื่นหลาย ๆ แนวไปพร้อมกับ การปฏิบตั ใิ นแนวของตนเอง 2) ฝึกให้ผู้เรียนฟังเพลงท่ีบรรเลงด้วยวงดนตรีชนิดต่าง ๆ โดยแนะนาให้ผู้เรียน สังเกตส่วนที่เป็นทานองเพลงและส่วนทีเ่ ปน็ เสยี งประกอบ 3) ฝึกให้ผู้เรียนฟังเสียงของดนตรีแต่ละชนิด ท้ังในขณะที่บรรเลงเดี่ยว ๆ และ ในขณะท่ีบรรเลงอยู่ในวงดนตรี สรุปท้ายบท กิจกรรมดนตรีที่เหมาะสมสาหรับเด็กปฐมวัย คือ การทากิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่น ร้องเพลง เลน่ เกม และบรรเลงเคร่ืองดนตรีอย่างง่าย ดังน้ันเด็กปฐมวัยควรมีความสามารถในการแสดง คิดสร้างสรรค์ รู้คุณค่าของดนตรี ฟังเพลงและอธิบายได้ ในการจัดกิจกรรมดนตรีให้เด็กปฐมวัยน้ัน สิ่งที่ ควรปฏิบัติคือ พยายามร้องเพลงกับเด็ก อ่านบทอาขยาน ชวนให้เด็กฟังและพูด เปิดเพลงที่มีเน้ือร้อง เลา่ นิทานเพลง บันทึกเสียง เปิดรายการดนตรีให้ดู หรือพาชมการแสดงดนตรี ในการจัดกิจกรรมเพื่อ ช่วยพัฒนาเด็กปฐมวัยในด้านดนตรีมีหลักการในด้านการเตรียมตัวครูทั้งระยะยาวและระยะส้ัน เตรียม อุปกรณ์การสอนในการจัดประสบการณ์ดนตรีจะทาให้เด็กทากิจกรรมเกี่ยวกับจังหวะ ทานอง และการ ประสานเสียง การจัดกิจกรรมมีข้อเสนอแนะคือ การกาหนดเร่ืองที่สอนควรกาหนดจากโครงสร้างของ ดนตรี แนวคดิ เป็นแนวทางสรปุ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เป็นจุดประสงค์สาคัญของการสอน กิจกรรม และประสบการณ์จะต้องจัดให้สอดคล้องกับความคิดรวบยอด อุปกรณ์การเรียนการสอนต้องพร้อม สดุ ทา้ ยคือการประเมนิ ผล สามารถทาได้ท้งั รายบุคคลและรายกลุ่ม โดยการทดสอบ สมั ภาษณ์ เปน็ ตน้ คาถามทา้ ยบท 1. เม่อื เดก็ ปฐมวัยจบชน้ั เดก็ ควรมีความสามารถทางดนตรีในเรื่องใดบา้ ง 2. พฤติกรรมใดบา้ งทแ่ี สดงถงึ การรคู้ ณุ ค่าของดนตรี 3. จงยกตวั อยา่ งกจิ กรรมเก่ียวกับดนตรีทีผ่ ้ปู กครองสามารถสง่ เสริมด้านดนตรไี ด้ 4. ในการจัดกิจกรรมของดนตรี คุณครูสามารถเตรยี มตัวได้อย่างไร 5. กจิ กรรมทางดนตรคี วรมีบรรยากาศในการสอนอย่างไร 6. จงยกตวั อยา่ งอปุ กรณก์ ารเรยี นการสอนดนตรีที่ทา่ นรู้จกั 7. จงยกตัวอย่างประสบการณเ์ ก่ยี วกบั จงั หวะท่สี ามารถจดั กจิ กรรมใหก้ ับเดก็ ได้ 8. ประสบการณเ์ ก่ียวกับทานองสามารถจัดได้อยา่ งไร 9. ประสบการณเ์ กีย่ วกบั การประสานเสยี งจัดได้อย่างไร 10. จงสรปุ ข้อเสนอแนะเก่ยี วกบั การจดั กจิ กรรมทางดนตรีให้กบั เด็กปฐมวยั
76 เอกสารอา้ งองิ ณรุทธ สุทธจติ ต์. (2541). จิตวทิ ยาการสอนดนตร.ี กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พจฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย. ธวชั ชัย นาควงษ.์ (2543). การสอนดนตรีสาหรับเดก็ . กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. นภาพร ฟักม.ี (2552). ผลของกจิ กรรมดนตรีที่มีต่อความคดิ สรา้ งสรรคท์ างศลิ ปะของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษา ปีท่ี 5 โรงเรียนวัดยางสทุ ธาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร. ปรญิ ญานิพนธ กศ.ม. กรงุ เทพฯ : บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ . ถายเอกสาร. ราชบณั ฑิตยสถาน. (2546). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน. กรงุ เทพมหานคร : ราชบัณฑิตยสถาน. อสุ า สทุ ธิสาคร.(2544). ดนตรีพฒั นาการปญั ญา IQ อารมณ์ EQ. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์รักลกู แฟมลิ ่กี ร๊ฟุ จากัด. องคก์ าร อินทรัมพรรย์ และวญิ ญู ทรัพยะประภา. (2526). “กิจกรรมสร้างเสริมลักษณะนิสยั เดก็ ปฐมวยั ดา้ น ดนตรี. ในเอกสารประกอบการสอนชุดวิชา. การสร้างเสรมิ ลกั ษณะนสิ ัยระดับปฐมวัยศกึ ษา หน่วยที่ 8-5. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2 กรุงเทพฯ : บรษิ ัทนวกนก. แม่น้องเล็ก. (2561). ฟังเพลงตอนท้อง ช่วยลูกฉลาดจรงิ หรือ?. สืบคน้ เมื่อ 3 ตุลาคม 2564 จาก https://www.amarinbabyandkids.com แม่หยิงหยิง. (2563). 20 เนอ้ื เพลงกล่อมเด็กพัฒนาสมอง ช่วยลูกเรยี นรูเ้ ร็ว และอารมณ์ด.ี สืบค้นเมือ่ 18 ตุลาคม 2564. จาก https://www.amarinbabyandkids.com เทศบาลเมืองกระทุม่ ลม้ . (2563). กจิ กรรมเสริมสร้างประสบการณเ์ รียนรเู้ ด็กปฐมวัย (กจิ กรรมเคล่อื นไหว จังหวะ). สบื ค้นเมือ่ 19 ตุลาคม 2564 จาก http://krathumlom.go.th/public/activity กญั ยวรรณ ยนต์กลาง. (2558). ดนตรีกับพัฒนาการของเดก็ ปฐมวัย. สืบค้นเมือ่ 19 ตุลาคม 2564 จาก https://sites.google.com/site/biebiwkongooo/ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
77 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 6 จานวนชั่วโมงท่สี อน 8 สปั ดาห์ท่ี 8-9 หวั ขอเน้ือหาประจาบท 1. ความหมายและความสาคญั ของเพลง 2. เด็กปฐมวัยกับการรอ้ งเพลง 3. ประเภทของเพลงสาหรบั เดก็ ปฐมวัย 4. การใช้เพลงกบั เด็กปฐมวัย 5. การใชเ้ พลงประกอบการจดั กจิ กรรม 6. ประโยชน์การนาเพลงมาใชป้ ระกอบการจดั กจิ กรรม 7. การคดั เลือกบทเพลงสาหรับเดก็ ปฐมวยั 8. พัฒนาการกับการคัดเลือกบทเพลงสาหรบั เด็กปฐมวยั มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง วัตถุประสงคเชงิ พฤติกรรม เมือ่ ผเู้ รียนไดศกึ ษาบทเรยี นนี้แลว ผูเรียนสามารถแสดงพฤตกิ รรมตอ่ ไปนไี้ ด้ 1. บอกความหมายและความสาคญั ของเพลง 2. จาแนกประเภทของเพลงสาหรับเด็กปฐมวยั 3. ประยุกต์ใช้ความรู้เรือ่ งเพลงในการจดั กิจกรรมให้กบั เด็กปฐมวัย 4. ตระหนักถึงความสาคัญของเพลงทม่ี ีต่อเด็กปฐมวยั กจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท 1. สอนรอ้ งเพลง “บ้านของฉนั ” ตามขัน้ ตอนการสอนเพลง 2. ผูเ้ รียนทบทวนขน้ั ตอนการสอนและบอกสิง่ ที่ได้เรยี นร้จู ากการทากจิ กรรม 3. สรุปแนวคดิ สาคญั เกี่ยวกบั ลักษณะของเพลงทเ่ี หมาะกับเด็กปฐมวัย 4. ใหผ้ เู้ รยี นเลือกเพลงสาหรบั เดก็ ที่คนุ้ เคย 1 เพลงและบอกเหตุผลที่เลือก 5. ผู้สอนสรปุ การเลือกเพลงสาหรบั เด็ก และเพมิ่ เตมิ เก่ียวกับส่วนประกอบของเพลงเด็ก 6. แบ่งกลุ่มผู้เรียนมอบหมายกิจกรรมในใบงาน 6 ฝึกแต่งเพลงสาหรบั เด็กและฝกึ รอ้ ง 7. แต่ละกลุม่ นาเสนอ 8. ผูส้ อนเสรมิ ความรูเ้ พมิ่ เติมสิง่ ที่ควรคานงึ ในการแต่งเพลง 9. ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาเพลงเดก็ ปฐมวัยและฝกึ ร้องเพลงอัดคลปิ จานวน 30 เพลง 10. ตอบคาถามท้ายบท
78 ส่อื การเรยี นการสอน 1. เพลง “บา้ นของฉนั ” 2. ใบงาน 6 ฝกึ แต่งเพลงสาหรบั เด็ก 3. Power point 4. สมารท์ โฟน 5. แบบบันทกึ 6. เอกสารประกอบการสอน การวดั ผลและการประเมินผล 1. การสังเกต 1.1 ผลจากการอภิปรายซกั ถามในกล่มุ ใหญ่ 1.2 ผลจากการอภิปรายรว่ มกนั ในกลุ่มยอ่ ย 1.3 การตงั้ คาถามและตอบคาถาม 1.4 พฤตกิ รรม ความกระตือรอื รนในการทากิจกรรม 2. การตรวจผลงาน 2.1 ตรวจสอบความถูกต้องจากการนาเสนอ 2.2 ตรวจคาตอบที่ไดจากการทาแบบฝึกหัดท้ายบท 2.3 ตรวจคณุ ภาพผลงานทม่ี อบหมาย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง79 บทท่ี 6 เพลงสาหรบั เด็กปฐมวัย เดก็ วัยแรกเกิดถงึ 6 ปี เป็นวัยทเี่ ด็กเรียนรู้จากการเลียนแบบ ซ่งึ การเลียนแบบนี้มิใช่เป็น การเลียนแบบอย่างผิวเผินเพียงแต่ท่าทางหรือที่กาหนด แต่เป็นการเลียนแบบลึกลงไปถึงอารมณ์ ความรสู้ ึกนึกคดิ สิ่งท่ีเด็กเลยี นแบบในช่วงนีจ้ ะฝงั ลึกลงไปในเด็กและจะหล่อหลอมทั้งร่างกายและจิต วิญญาณ การเรียนรู้ของเด็กเป็นการเรียนรู้โดยผ่านจิตใต้สานึก เพราะฉะน้ันส่ิงท่ีเด็กเรียนรู้ไปจะ ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย กิริยาท่าทาง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดโดยไม่รู้ตัวและฝังแน่นไปจนโต การจัดการศึกษาเพ่ือเด็กจึงต้องคัดเลือกแต่ส่ิงที่ดีงามให้แก่เด็กและปกป้องเด็กจากส่ิงที่จะทาลาย ความบริสุทธ์ิไร้เดียงสา ซึ่งเป็นความดีงามที่ติดตัวมา เช่นเดียวกันในการคัดเลือกดนตรีและบท เพลงในการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กจงึ ตอ้ งมคี วามละเอยี ดลออเหมาะสมกับพัฒนาการของ เด็กในชว่ งน้ี ความหมายและความสาคัญของเพลง ความหมายของเพลง จักรพันธ์ สัทธาพงศ์ (2549 : 12) ให้ความหมายของเพลงว่า บทเพลงเป็นบทประพันธ์ท่ีมี ทงั้ คารอ้ งและทานองเพลง ระลา สทั ธาพงศ์ (2549 : 12) ใหค้ วามหมายของเพลงว่า เพลง หมายถึง สาเนียงการขับ ร้องซ่ึงมีจังหวะและทานองหรือเสียงทานองดนตรี สุมนา พานิช (2541 : 21) กล่าวว่า บทเพลง หมายถึง บทประพันธ์ที่มีทานองใช้ขับร้อง หรือมีดนตรีประกอบ เป็นศิลปวฒั นธรรมทม่ี ีคณุ ค่าของชาติ เพราะเป็นสิ่งจรรโลงใจทาให้เกิดอารมณ์ คล้อยตาม สรุปได้ว่า เพลง คือ บทประพันธ์ท่ีมีท้ังคาร้องและทานองเพลงจากความรู้สึกนึกคิดของ มนษุ ยก์ ่อใหเ้ กิดอารมณ์คลอ้ ยตาม เป็นสือ่ ภาษาสากลที่ชว่ ยในการส่ือสารให้ผู้รับได้เข้าใจถึงอารมณ์ ความรสู้ ึก เนื้อหา ซ่ึงสามารถใชแ้ ทนภาษาพูดของผสู้ ่อื สารได้ ความสาคญั ของเพลง อารมณ์ สวุ รรณปาล (2549 : 31) กลา่ วถงึ ความสาคญั ของการจดั กจิ กรรมเพลงไว้ดังน้ี 1. สามารถสร้างเสรมิ ใหเ้ ด็กเกดิ ความเพลิดเพลนิ 2. สามารถสรา้ งเสรมิ พฒั นาการด้านสงั คมจากการรว่ มกิจกรรม 3. สามารถกลอ่ มเกลาใหเ้ ดก็ เปน็ คนดี มจี ติ ใจที่ออ่ นโยน 4. สามารถปลกู ฝงั ให้เดก็ รกั เพลงและดนตรี 5. สามารถเป็นสอ่ื ในการเรยี นรเู้ รือ่ งตา่ ง ๆ ดนู จิระเดชากุล (2541 : 110 อ้างถึงใน Hammond,1672) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน กล่าวถึงคุณค่าของเพลงบทเพลงและเสียงดนตรีท่ีมีผลต่อพัฒนาการของเด็กในด้านต่าง ๆ สรุปได้ ดังน้ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง80 1. ดา้ นร่างกาย เสียงเพลงและดนตรจี ะกระตนุ้ ให้เด็กมีการเคลื่อนไหวท่ีเข้ากับจังหวะ เช่น การเตน้ การกระโดด การสไลด์ การควบมา้ และแสดงท่าทางตา่ ง ๆ 2. ด้านโสตประสาท เด็กจะฝึกหัดฟังเสียงเพลง เสียงดนตรี รู้จักแยกแยะเสียงร้องและ เสียงเครอื่ งดนตรตี า่ ง ๆ และพยายามทจ่ี ะร้องตาม 3. ดา้ นอารมณ์ เสียงเพลงและเสียงดนตรี สามารถขับกล่อมเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเด็ก เพราะเสยี งดนตรีเปน็ ท้ังศิลป์และศาสตร์ที่มคี วามนุม่ นวล สามารถลดความรู้สึกก้าวร้าวทางอารมณ์ ของเดก็ ลดความเครยี ด ความถนดั ของระบบประสาทได้ด้วย 4. ดา้ นสติปัญญา เสียงเพลงและดนตรีเป็นส่ิงที่จะช่วยเสริมสร้างความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ เมอ่ื เดก็ ไดย้ นิ เสยี งกจ็ ะสามารถสร้างจินตนาการการมองเห็นภาพ บางคร้ังเราอาจเคยถูกเด็กถามว่า เพลงน้นั หมายถงึ อะไร แสดงว่าเด็กเกดิ ความคดิ รเิ รม่ิ มีการอยากร้ถู ึงความหมายของเพลง 5. ดา้ นสังคม เสยี งเพลงและเสียงดนตรีเป็นพ้ืนฐานแห่งส่ือทางสังคมของเด็ก การท่ีเด็กได้ ร้องเพลง และร่วมกิจกรรมทางดนตรกี ับกลุม่ หรอื หมคู่ ณะในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เด็กได้มีโอกาสเข้า สังคม ไดพ้ บปะรจู้ กั กับผู้อ่ืน นาไปสู่แนวทางการอยู่รว่ มกันในสถาบนั สังคมท่ดี ีได้ ณรทุ ธ์ สทุ ธจติ ต์ (2547 : 128-129) กล่าวสรุปถึงความสาคัญของดนตรีสาหรับเด็กไว้ว่า ดนตรีมีคุณค่าในการพัฒนาการเรียนรู้ด้านอ่ืน ๆ เช่น ในด้านความคิดสร้างสรรค์ ทานองและ จังหวะ จะช่วยให้เดก็ รซู้ ้งึ ถึงความสวยงาม แสดงอารมณ์ให้เด็กคดิ ค้น ทดลองและแสดงออกโดยใช้ กจิ กรรมดนตรเี ป็นส่อื ด้านสตปิ ญั ญาและภาษาดนตรีทาให้เด็กคิดและเข้าใจเก่ียวกับเรื่องของเสียง พัฒนาการรับรู้และสามารถเชื่อมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันและใช้ภาษาเป็นส่ือในการอธิบาย ความรสู้ กึ ที่มตี ่อดนตรี ซึ่งจะทาให้เด็กมีพัฒนาการด้านการใช้ภาษามากข้ึน การทเ่ี ดก็ ไดร้ อ้ งเพลงได้ เลน่ เครือ่ งดนตรี ไดเ้ คล่ือนไหวเปน็ จงั หวะจะชว่ ยให้เด็กไดพ้ ัฒนาทัง้ ทางร่ายกายและจติ ใจ ควบคู่ไป กับความคิดทางวิชาการด้านอน่ื ๆ ซง่ึ คณุ คา่ ในด้านนี้จดั วา่ เปน็ ดา้ นทสี่ าคัญที่สดุ สรปุ ไดว้ า่ เพลงนั้นมีความสาคัญสามารถชว่ ยพฒั นาความเจริญเติบโตของเด็กในด้านต่าง ๆ เสยี งและดนตรมี ีอทิ ธิพลตอ่ การแสดงออกและการตอบสนองของเดก็ รวมถึงมีผลต่อพัฒนาการด้าน ต่าง ๆ ของเด็กท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ดังน้ันการนาเพลงมาใช้ในการ เรียนการสอนสามารถกล่อมเกลาให้เป็นคนดี มีจิตใจอ่อนโยนและให้ความสนใจในเนื้อหาที่กาลัง เรยี นได้ เดก็ ปฐมวยั กบั การรอ้ งเพลง ครูต้องร้วู ่าความสามารถในการร้องเพลงของเด็กเกิดขึ้นเม่ือไหร่ ก่อนท่ีเด็กจะร้องออกมา เป็นเพลงนั้น เด็กได้ยินอะไรบ้าง เด็กเล็ก ๆ ส่งเสียงออกมาเป็นภาษาธรรมชาติ เสียงอ้อแอ้ของ เด็กเม่ือแรกเกดิ เขา้ กันดีกับเสยี งแรกท่ไี ด้ยนิ ซึ่งอาจเป็นเสียงที่คุณยายกล่อมหลาน คุณแม่กล่อม ลกู เพียงแค่ เอเอ้......อึม้ ..........และเสยี งสระตา่ ง ๆ จนถึงวัยหัดพูดเป็นคา ๆ เสียงเหล่าน้ีเป็นเสียง ของการส่ือสารและการบอกความหมายออกมาจากตัวเด็ก แต่เสียงร้องเพลงเป็นเสียงที่ได้มาจาก การฟงั ซ่ึงมาจากภายนอกตัวเด็ก การจะให้เด็กร้องเพลงต้องใส่ใจเร่ืองการฟังของเด็ก เด็กจึงจะ สามารถร้องเพลงได้ ความสามารถในการฟังต้องดี ถ้าผู้ใหญ่เป็นคนท่ีชอบร้องเพลง และเป็นคน
81 อารมณ์ดอี ยู่แล้ว เราร้องเพลงเสมอื นเป็นส่วนหนง่ึ ของชีวิต เด็กจะเคยชินกับเสียงร้องเพลงและซึม ซับความเปน็ คนอารมณ์ดขี องเรา จวบจนสมบรู ณ์ด้วยวยั เดก็ ขน้ั แรก คือ วัยเปลี่ยนฟันน้านมเมื่อ อายุราว 6 ขวบกว่า เสียงเพลงของเราจะอยู่ในเน้ือในตัวของเด็ก เด็กจะเป็นคนชอบเสียงเพลง ชอบรอ้ ง ชอบฮัมเพลงอย่างท่ีเราเป็น แต่เสียงร้องของเด็กจะเปล่งออกมาจากการเลียนแบบเสียง ร้องทไ่ี ด้ยิน การเปลง่ เสยี งรอ้ งเพลงของเดก็ ส่วนใหญ่จะไม่ตรงกับเสียงร้องของครูหรือพ่อแม่ เสียง ของเด็กจะเป็นเสียงสูง ๆ ต่า ๆ แต่เสียงที่ออกมาจากตัวเด็กก็เป็นระนาบเดียว เสียงร้องเพลงที่ ถกู ตอ้ งตรงกับทานองจะปรับชดั ขึ้นเมื่อเด็กเขา้ สวู่ ยั ชน้ั ประถมไปแลว้ ไมว่ ่าผลของการรอ้ งเพลงในวัย เด็กจะเป็นอย่างไร ขอให้ผู้ใหญ่และเด็กมีความสุขท่ีได้ร้องเพลงด้วยกันก็เพียงพอกับโอกาสดี ๆ ท่ีมี ร่วมกนั แลว้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ประเภทของเพลงสาหรับเดก็ ปฐมวัย เพลงเด็กมหี ลายประเภทและหลายลักษณะตงั้ แต่ในอดีตจนปัจจุบัน ทั้งท่ีมีมาแต่เดิมและมี การแต่งขึ้นใหม่สาหรับร้องเล่นทั่วไป เพ่ือทาให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งยังเป็นการ อนรุ กั ษภ์ ูมิปัญญาไทย ซ่งึ แบง่ ได้ดงั นี้ เพลงกล่อมเดก็ เปน็ บทรอ้ ยกรองหรือบทกลอนสาหรับกล่อมเด็กส่วนใหญ่มีเนื้อหาบรรยายชีวิต และความ เปน็ อยู่ที่สะท้อนถึงความเอ้ืออาทร รักใคร่ผูกพันท่ีแม่มีต่อลูก ท่ีลูกน้อยสามารถรับรู้ได้ และยังเป็น การสอนภาษา เพื่อให้ลูกออกเสียงต่าง ๆ ได้เร็วข้ึน ซ่ึงจะพบเน้ือหาของเพลงแตกต่างกันไปตาม ท้องถิ่น เพลงกล่อมเด็กมักแฝงปรัชญาคาสอนไว้อย่างแยบคาย ให้คนได้คิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกท่ี ตอ้ งใหค้ วามรกั ดังตวั อย่างต่อไปนี้ 1. เพลงกลอ่ มเดก็ ภาคอสี าน สหิ มกไข่มาหา \"แมไ่ ปไร่ สิหาปลามาป้อน\" แม่ไปนา 2. เพลงกล่อมเดก็ ภาคกลาง ไขไ่ ว้ใหแ้ มก่ าฟกั “กาเหว่าเอย คดิ ว่าลกู ในอุทร ไปคาบเอาเหยื่อมาป้อน แม่กาก็หลงรกั คาบเอาขา้ วมาเผอื่ ซ่อนเหยื่อมาใหก้ ิน” ถนอมไว้ในรังนอน “อ้ายแมวหง่าวเอย ตัวมนั ยาวไม่น้อย เด็กนอนไม่หลบั มากินตบั เสียหนอ่ ยหนึ่งเถิด อา้ ยแมวหงา่ วเอย”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171