36 1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล 2. ฝึกทกั ษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้ มาใช้เพือ่ ปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หา 3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น รกั การอ่านและเกิดการใฝร่ ู้อยา่ งต่อเนื่อง 4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมท้ังปลกู ฝังคณุ ธรรม คา่ นิยมที่ดีงามและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคไ์ ว้ในทกุ วิชา 5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนและ อำนวยความสะดวก เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังนผี้ สู้ อนและผเู้ รียนอาจเรยี นรู้ไปพร้อมกนั จากสื่อการเรียนการ สอนและแหลง่ วิทยาการประเภทต่าง ๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผปู้ กครอง และบุคคลในชมุ ชนทกุ ฝ่าย เพอื่ ร่วมกนั พัฒนาผู้เรียนตามศกั ยภาพ กล่าวโดยสรุป แนวทางในการจัดการเรียนรู้น้ัน สถานศึกษาจะต้องจัดการเรียนรู้ให้ สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจของผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการการเผชิญ สถานการณ์ การประยุกต์ความรู้มาใช้ จัดกิจกรรมให้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติ ผสมผสาน ความรู้ต่าง ๆ พร้อมท้ังปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและจัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนทุกเวลา ทุกสถานที่ สถานศึกษาต้องพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมผู้สอนจัดทำวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ ร่วมมือกับบุคคล องค์กร และผมู้ ีส่วนเก่ียวข้องร่วมจัดการเรยี นรู้ เพือ่ ให้ผู้เรียน เป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข ซ่ึงผู้บริหารต้องบริหารการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน คือ การวางแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ และ การปรับปรงุ และพฒั นาการจัดการเรียนรู้ จะส่งผลตอ่ ประสิทธภิ าพการบรหิ ารการจัดการเรยี นรู้ หลักการของการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2542, 10) กล่าวว่า การเรยี นรู้เป็นส่ิงสำคญั อย่างหน่ึงของชีวิต การ เรียน รู้จะ ช่วยให้ คน เร าส ามาร ถปรับ ตัวให้เข้ากั บสถาน ก าร ณ์ ท่ีเกิดข้ึน ใน ชีวิตห รือสามาร ถป รับ สิง่ แวดลอ้ มให้เข้ากับตวั เราได้อย่างเหมาะสม ดังน้ันคนเราจึงเรียนรอู้ ย่เู สมอและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดชวี ิต ด้วยเหตนุ ้ีเองนักจิตวิทยา อาจารย์ ตลอดจนผ้ทู ี่เกย่ี วขอ้ งในแวดวงของการศึกษา จึงให้ ความสนใจเร่ืองของการเรียนรู้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะชีวิตความเป็นอยู่และการประพฤติปฏิบัติ ของคนเราจะเป็นไปในรปู แบบใด ย่อมขน้ึ อยู่กับการเรียนรู้เป็นสำคัญ
37 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน (2546, 33-38) กล่าววา่ โดยทัว่ ๆ ไปแลว้ การ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ในสถานศึกษามีแนวทางปฏิบัติดังน้ี ส่งเสริมให้ครูจัดทำแผนการเรียนรู้ ตามสาระและหน่วยการเรยี นรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สง่ เสรมิ ใหค้ รจู ัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัด เนอื้ หาสาระและกจิ กรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรยี น ฝึกทกั ษะ กระบวนการ คิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา การ เรียนรู้จากประสบการณ์จริงและการปฏิบัติจริง การส่งเสริมให้รักการอ่าน และใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง การผสมผสานความรู้ต่าง ๆ ให้สมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ท่ีสอดคลอ้ งกับเนือ้ หาสาระกิจกรรม ทั้งน้ีโดยจัดบรรยากาศและสงิ่ แวดล้อมและแหลง่ เรียนรู้ ให้เอื้อต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้และ การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือเครือข่ายผู้ปกครองชุมชน ท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสม จัดให้มีการนิเทศการเรียน การสอนแก่ครูในกลุ่มสาระต่าง ๆ โดยเน้นการนิเทศที่ร่วมมือช่วยเหลือกันแบบกัลยาณมิตร เช่น นิเทศแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนร่วมกัน หรอื แบบอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม สง่ เสรมิ ให้มกี ารพัฒนาครู เพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนร่วมกันตามความเหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2547, 8-9) ได้เสนอแนะวิธีการพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ด้าน 1) พัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2) วิจัยและ พฒั นาการจัดการเรียนรูเ้ พ่ือให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ 3) ส่งเสริมนิสัยรัก การอา่ นและยกระดบั ความสามารถในการอ่าน 4) สรา้ งรูปแบบการจดั การศกึ ษาปฐมวัยและการจัด การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพื่อเป็นต้นแบบ 5) ส่งเสริมและพัฒนาด้านการศึกษาพิเศษโดยเนน้ รูปแบบการ จัดการเรียนร่วม 6) พัฒนาแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานศึกษา ประสานสถานประกอบการ ชุมชน เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ 7) พัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพ่ือรองรับการ ประเมินคุณภาพภายนอก นอกจากท่ีกล่าวมาขา้ งต้นแล้ว ไพรัช หงส์เทียบ (2544, 48-61) เสนอแนะกิจกรรมการเรยี น การสอนท่ีเป็นแบบและมีประสิทธภิ าพเปน็ การพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ มี 11 ข้ันตอน ดังน้ี 1. ตรวจสอบความรู้ข้ันพนื้ ฐานของผู้เรยี นและจดั กจิ กรรมปรับความพร้อมของผู้เรียน 2. เตรียมการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรขั้นพ้ืนฐานและจัดทำแผนการสอนท่ีเน้นผู้เรียน เป็นศูนยก์ ลาง 3. จัดการเรยี นการสนตามแผนการสอน เปน็ กระบวนการที่ผูส้ อนกบั ผูเ้ รียนมีปฏสิ ัมพันธ์กัน โดยตรง ซึ่งผู้สอนต้องสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ เกิดความรู้ ตามท่ีผู้สอนต้องการให้เกิดกับ ผ้เู รยี นตามแผนการสอนที่วางไว้ 4. ประเมนิ ผลการเรยี นการสอนตามแผนการสอนและนำผลการประเมนิ ไปพัฒนาผเู้ รียนและ การสอนของครู
38 5. รายงานความก้าวหน้าของการจัดการเรยี นการสอนอยา่ งมีระบบและต่อเนอ่ื ง 6. ทำวิจัยในช้ันเรยี น เพอื่ นำผลวจิ ยั มาใช้พัฒนาการเรยี นการสอน 7. จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนให้หลากหลายเหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียน 8. จัดกจิ กรรมการเรียนการสอนใหผ้ ู้เรียนไดฝ้ กึ ค้นคว้า สังเกต รวบรวมข้อมูลวิเคราะห์คิด อย่างหลากหลาย สร้างสรรค์และสามารถสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง 9. จัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทก่ี ระตนุ้ ให้ผู้เรยี นรู้จักศึกษาหาความรูแ้ ละแสวงหาคำตอบ ดว้ ยตนเอง 10. นำภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน เทคโนโลยแี ละสอื่ ท่เี หมาะสมมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจัดกิจกรรมการ เรยี นการสอน 11. การประเมินพฒั นาการของผู้เรยี นด้วยวธิ กี ารท่หี ลากหลายและต่อเน่อื ง โดยเนน้ การ ประเมนิ ตามสภาพจริง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2549, 45-51) กำหนดกระบวนการเรยี นรู้เพ่ือ พัฒนาผู้เรียน โดยใช้รูปแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ลักษณะ คือ 1) การเรยี นร้อู ย่างมีความสุข 2) การเรียนรูแ้ บบมีส่วนร่วม 3) การเรียนรู้เพ่ือพัฒนากระบวนการคิด 4) การเรียนรู้เพื่อพัฒนา สุขภาพด้านกฬี า 5) การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุขภาพของดา้ นการฝึกฝน กาย วาจา ใจ จากทฤษฎีการเรียนรู้ 5 ทฤษฎี ศูนย์พัฒนาการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแหง่ ชาติ (2541, 5-6) วิเคราะหเ์ ปน็ ตัวบง่ ช้พี ฤตกิ รรมเรียนรู้ของนกั เรียนและพฤติกรรมการ สอนของครูเป็นพฤติกรรมที่เกิดข้ึนก่อนดำเนินการ ระหว่างดำเนินการและหลังดำเนินการ ดังน้ี พฤตกิ รรมการเรียนของนักเรียน 9 ตัวบ่งช้ี ได้แก่ นักเรียนมปี ระสบการณต์ รงสัมพันธ์กบั ธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม นักเรียนฝึกปฏิบัติจนค้นพบความถนัดและวิธีการของตนเองนักเรียนทำกิจกรรม แลกเปล่ียนเรียนรู้จากกลุ่ม นักเรียนฝึกคิดอย่างหลากหลายและสร้างสรรค์จินตนาการ ตลอดจนได้ แสดงออกอย่างชดั เจนและมเี หตผุ ล นักเรียนได้รบั การเสริมแรงให้คน้ หาคำตอบและแก้ปญั หาทั้งด้วย ตนเองและร่วมด้วย นกั เรียนได้ฝึกค้นรวบรวมข้อมูลและสร้างสรรค์ความร้ดู ้วยตนเอง นักเรยี นเลือก ทำกิจกรรมตามความสามารถ ความถนัดและความ สนใจของตนเองอย่างมีความสุข นักเรียนฝึก ตนเองให้มีวินัยและรับผิดชอบในการทำงาน และนักเรียนฝึกประเมิน ปรับปรุงตนเองและยอมรับ ผอู้ น่ื ตลอดจนใฝ่หาความรอู้ ย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมการสอนของครู 10 ตัวบง่ ชี้ ไดแ้ ก่ ครเู ตรียมการสอนทั้งเนอื้ หาและวิธีการครูจัด ส่ิงแวดล้อมและบรรยากาศท่ปี ลุกเร้า จงู ใจและเสรมิ แรงใหน้ กั เรียนเกดิ การเรยี นรู้ครเู อาใจใสน่ กั เรียน เป็นรายบุคคลและแสดงความเมตตาต่อนักเรียนอย่างท่ัวถึง ครูจัดกิจกรรมและสถานการณ์ให้ นักเรียนได้แสดงออกและคิดอย่างสร้างสรรค์ ครูส่งเสริมให้นักเรียนฝึกคิด ฝึกทำและฝึกปรับปรุง ตนเอง ครสู ่งเสริมกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนร้จู ากกลุ่มพร้อมทั้งสังเกตส่วนดี และปรับปรุงส่วนด้อย
39 ของนักเรียน ครใู ช้สอ่ื การสอนเพ่ือฝึกการคิด การแก้ปัญหาและการค้นพบความรู้ ครใู ช้แหล่งการ เรียนรู้ที่หลากหลายและเช่ือมโยงประสบการณ์กับชีวิตจริง ครูฝึกฝนกริยามารยาทและวินัยตามวิถี วัฒนธรรมไทย และครูสังเกตและประเมนิ พฒั นาการของนักเรียนอยา่ งตอ่ เน่ือง จากวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้นจะพบว่า การ พฒั นากระบวนการเรียนรู้ น้ันถูกนำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรงุ การจัดการเรียนการสอนของครูเพื่อ เพ่ิมประสิทธภิ าพการจัดการเรียนการสอนและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เพราะการ พัฒนากระบวนการเรียนรู้เป็นการจัดกิจกรรมทางวิชาการท่ีสามารถนำไปสู่ การพัฒนาการจัด กจิ กรรมการเรยี นการสอนของครู ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ การวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทยี บโอนผลการเรียน การวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งท่มี ีความสำคัญ ในการนำมาซ่ึงคุณภาพการศึกษาของนักเรียน ถือว่าเปน็ เครอ่ื งมือที่สำคัญท่ีจะช่วยพัฒนาการศึกษา ระดบั ต่าง ๆ เพราะผลมาจากการวัดและการประเมนิ ผลการศึกษา สว่ นการเทียบโอนผลการศกึ ษานั้น เป็นการสร้างโอกาสให้กับนักเรียนผู้มีความต้องการศึกษาตามสถาบันต่าง ๆ ตามวาระและโอกาสท่ี แตกตา่ งกนั สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน (2545, 24-26) กำหนดหลกั สูตรการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรยี นร้ไู ว้ดงั น้ี การวัดและประเมินผล การเรียนรู้เป็นกระบวนการท่ีให้ผู้สอนใช้พัฒนาคุณภาพการเรียน เพราะจะช่วยให้ได้ข้อมูล สารสนเทศท่ีแสดงพัฒนาการความก้าวหนา้ และความสำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน รวมทงั้ ขอ้ มูลที่ จะ เป็ น ป ร ะ โย ช น์ ต่ อ ก ารส่ งเสริ ม ให้ ผู้ เรี ย น เกิ ดก าร พั ฒ น าแ ละ เรี ย น รู้อ ย่ างเต็ ม ตาม ศั ก ย ภ าพ สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องทำหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการวัดและ ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา เพื่อใหบ้ ุคลากรที่เก่ียวข้องทุกฝา่ ยถือปฏิบัติร่วมกันและเป็นไป ในมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้นการวัดและประเมินผลจึงต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย เน้นการปฏิบัติให้ สอดคล้องและเหมาะสมกบั สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน และสามารถดำเนนิ การ อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยประเมินความประพฤติ พฤติกรรมการ เรียน การร่วมกิจกรรมและผลงานจากโครงงานหรือแฟ้มสะสมผลงาน ผู้ใช้การประเมินระดับชั้น เรียนท่ีสำคัญคือผู้เรียน ผู้สอนและพ่อแม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย วิธีการ และค้นหาข้อมูลเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะสะท้อนให้เห็นภาพสัมฤทธิ์ผลของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ผู้เรียนจะทราบระดับความก้าวหน้า ความสำเร็จของตน ครูผู้สอนจะเข้าใจความต้องการ ของผูเ้ รียนแต่ละคนแตล่ ะกลุ่มสามารถให้ระดับคะแนนหรือจดั กลุ่มผู้เรียน รวมท้ังประเมินผลการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนของตนเองได้ ขณะท่ีพ่อแม่ ผู้ปกครองจะได้ทราบระดับความสำเรจ็ ของ
40 ผู้เรียนสถานศึกษาเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ สถานศึกษา การประเมินผลระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าด้านการ เรียนรู้เป็นรายชั้นปีและช่วงช้ัน สถานศึกษานำข้อมูลที่ได้น้ีไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง พฒั นาการเรียนการสอนและคุณภาพของผู้เรียน ให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้รวมท้งั การนำผล การประเมินรายช่วงชั้นไปพิจารณาตัดสินการเลื่อนช่วงช้ัน กรณีผู้เรียนไม่ผ่านมาตรฐานการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระต่าง ๆ สถานศึกษาต้องจัดให้มีการเรียนการสอนซ่อมเสริมและจัดให้มีการประเมินผล การเรียนรู้ด้วย บุญชู วลัยสเถียร (2544, 38) ให้แนวความคิดเกี่ยวกับการวัดและการประเมินเพ่ือพัฒนา ผู้เรียนว่า การวัดการประเมินผลมีบทบาทที่สำคัญย่ิงต่อกระบวนการจัดการเรียนการสอนของ โรงเรียนโดยพื้นฐานท่ีสำคัญท่ีสุด คือ ให้ข้อมูลสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจทาง การศึกษาหลายประการ และที่สำคัญที่สุด คือ เน้นเพ่ือการเรียนการสอนในห้องเรียน การ ตัดสินใจเก่ียวกับการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนในยุคปัจจุบัน ซึ่งระบบส่ือสารเทคโนโลยีต่าง ๆ มี ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ความต้องการท่ีจะพัฒนาผู้เรียนอันเป็นผลผลิตจากกระบวนการจัด การศึกษาให้เป็นผู้เรียนอันเป็นผลผลิตจากกระบวนการจัดการศึกษาให้เป็นผู้มีคุณภาพในการที่จะ ดำเนินการเปน็ ผนู้ ำแห่งการเปล่ียนแปลง การพฒั นาจึงจำเป็น ความต้องการปฏริ ูประบบประเมินผล เพ่อื เปน็ วิถีทจี่ ะนำไปสู่ความเปน็ เลศิ หรือมคี ณุ ภาพเป็นทย่ี อมรับ วัฒนาพร ระงบั ทกุ ข์ (2541, 63-68) มีความเห็นว่า การวดั และประเมนิ แนวใหม่สามารถท่ี จะวัดและประเมินความสามารถของผู้เรียนได้เหมาะสม และสอดคล้องกับวิธีการเดิมเป็นวิธีการ ประเมินท่ีสอดคล้องกับลักษณะการจัดการเรียนการสอนท่เี น้นผู้เรยี นเปน็ ศูนย์กลาง เพราะเป็นวีการ ทีส่ ามารถค้นหาความสามารถและความก้าวหนา้ ในการเรยี นรู้ที่แท้จริงของผู้เรียน และยังเป็นข้อมูล สำคัญที่สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดีด้วย แนวทางการ ประเมินท่ีสำคัญมี 3 แนวทาง คือ การประเมินจากสภาพจริง การประเมิน และการประเมินจาก แฟ้มสะสมผลงาน ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์, และคณะ (2542, 10) กล่าวว่า การวัดผลและการประเมินผลโดยใช้ แบบทดสอบแบบเดิม ๆ จึงไม่ได้วดั สภาพที่แท้จริงของผู้เรยี น ไม่สามารถประเมนิ กระบวนการและ ผลผลิตที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง รวมท้ังไม่สามารถช้ีให้เห็นพัฒนาการได้อย่างชัดเจน ซ่ึงผลสัมฤทธ์ิที่ แท้จริงจึงไม่ใช่การใช้เฉพาะแบบทดสอบเพียงอย่างเดียว การวัดผลและการประเมินผลท่ีจะให้ ครอบคลุมในทุก ๆ ด้านนนั้ ผู้สอนและผเู้ รยี นจะต้องร่วมกันประเมนิ ตามสภาพจรงิ สุวิทย์ มูลคำ (2547, 22-23) ให้ความหมายว่า การประเมินผลตามสภาพจริง หมายถึง การวัดผลและการประเมินผลกระบวนการการทำงานในด้านสมองหรอื ความคิดและจิตใจของผู้เรียน
41 อย่างตรงไปตรงมาตามสิ่งทผี่ ู้เรยี นกระทำ โดยพยายามตอบคำถามว่าผู้เรียนทำอยา่ งไรและทำไมจึง ทำอย่างนั้น การได้ข้อมูลว่า “เขาทำอย่างไร” และ “ทำไม” จะช่วยให้ผู้สอนได้ช่วยผู้เรียน พัฒนาการเรียนของผู้เรียนและการสอนของผู้สอน ทำให้การเรียนการสอนมีความหมายและทำให้ เกดิ ความอยากในการเรียนรตู้ ่อไป กล่าวโดยสรปุ การประเมินตามสภาพจริง เป็นการประเมินทีเ่ น้น การเรียนรู้ท่ีแท้จริงของผู้เรียน เพราะต้ังอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์ในชีวิตจริง โดยเน้นการ ปฏิบัติเปน็ สำคัญและตอ้ งมีความสัมพันธ์กับการเรยี นการสอน เนน้ การพฒั นาที่ปรากฏใหเ้ หน็ ใชผ้ ู้ที่ เก่ียวข้องในการประเมินหลายฝ่ายและเกิดข้ึนในทุกขณะเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนการเทียบโอนผลการ เรียน คือ การประเมินผลการเรียน ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของผู้เรียนท่ีศึกษามา จากสถาน ศึกษาอื่น หรือรูปแบบการศึกษาอื่น ให้เป็น ส่วน หนึ่งของผลการ เรียน ตามหลักสูตรของ สถานศึกษา กลา่ วสรุปไดว้ ่า การวดั ผลและประเมนิ ผลเป็นกระบวนการท่ีต่อเน่ืองกัน มคี วามสำคญั มาก ต่อการเรียนการสอนของนักเรียน เพราะจะเป็นการวัดว่านกั เรียนท่ีเรียนมาแล้ว มีความรู้มากน้อย เพียงใดจากท่ีเรยี นมาและเมื่อเทียบกับเกณฑ์ท่กี ำหนดไว้แล้ว นักเรียนผ่านเกณฑ์หรอื ไม่ ซง่ึ ภารกิจ ของผู้บรหิ ารโรงเรียนจะตอ้ งกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลการเรียนให้ชัดเจนจัด เครื่องมือในการประเมินให้เพียงพอ และให้มีคุณภาพเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่จะวัด โดยยึด เกณฑก์ ารประเมนิ ผลของทางราชการท่เี ก่ยี วขอ้ งเปน็ หลัก กรมวิชาการ (2547, 30-35) กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการประเมินผลการเรียนตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ เพ่ือนำผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการ เรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ โดยการนำผลการประเมินไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุง แก้ไข ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนโดยตรงและนำผลไปปรับปรุงแก้ไขการจัด กระบวนการเรียนรใู้ ห้มีประสิทธิภาพยง่ิ ขึ้น รวมท้ังนำไปใช้ในการพจิ ารณาตัดสินความสำเร็จทางการ ศึกษาของผู้เรียนอีกด้วย การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยการประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร กลุ่มสาระการเรยี นรู้ 8 กลุม่ ซงึ่ สถานศึกษา ควรดำเนินการประเมินผลในลักษณะตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปนี้ คือ การประเมนิ ผลก่อน การประเมินระหว่าง เรียน การประเมินเพ่ือสรุปผลการเรียน เป็นการประเมินเพ่ือสรุปผลการเรียนเพื่อมุ่งตรวจสอบ ความสำเร็จของผเู้ รียนเมอ่ื ผา่ นการเรยี นรู้ในชว่ งเวลาหนง่ึ หรือสิน้ สุดการเรียนปลายปี/ปลายภาคการ ประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ และการประเมินการอ่าน คิด วเิ คราะห์ และเขยี นสื่อความ สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์ (2546, 97–100) กล่าวว่า การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จำเปน็ ต้องมีเทคนิคตา่ ง ๆ เช่น การจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการมีเทคนิควิธกี ารจัดการและ ประเมินผลหลากหลายวิธี ครูผู้สอนสามารถเลือกวิธีใช้ตามความเหมาะสมกับเนื้อหาหรือรูปแบบ
42 การบูรณาการและเน่ืองจากการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการเป็นแบบผสมผสานสาระความรู้ ด้านต่าง ๆ เน้นการฝึกปฏิบัติตามกระบวนการ รวมทั้งการปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงามและ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ในทกุ กลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดและประเมินผลผู้สอนจึงต้องเลอื กใช้ให้ หลากหลาย และดำเนินการควบคู่กนั ไปในกระบวนการจัดการเรียนการสอน ทั้งน้ี เพ่อื ใหส้ ามารถ เก็บข้อมูลที่ต้องการวัดและประเมินผลผู้เรียนรู้ให้ได้ครบถ้วนทุกด้านให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่ คาดหวงั และมาตรฐานการเรยี นรู้ของหลกั สูตรวธิ ีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้แบบบรู ณาการ ได้แก่ การสังเกต การบันทึกประจำวัน การตอบปากเปล่า การเขียนคำตอบหรือความเรียงการ ประเมินตนเอง การประเมินกลุ่ม การสมั ภาษณ์เดี่ยว การสัมภาษณ์กลุ่ม การใช้แฟ้มสะสมผลงาน การให้คะแนนแบบรูบริค การสนองตอบ การใช้แบบทดสอบ ส่วนการเทียบโอนผลการเรียน ถือ เป็นการนำผลการเรียนซง่ึ เป็นความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของผู้เรียน ที่เกิดจากการศึกษาใน ระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศัยมาประเมินเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตาม หลัก สูตรใดห ลัก สูตรห น่ึ ง แน วดำเนิ น ก ารโอ น ผลก ารเรียน ให้ เป็ น ไป ตาม ระเบี ยบ กระทรวงศกึ ษาธิการว่าดว้ ยการเทียบโอน ผลการเรียน ดังน้ี 1. ผู้ขอเทียบโอนขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียน หรือนักศึกษาของสถานศึกษาใด สถานศึกษา หน่ึง โอนสถานศกึ ษาหนึง่ โดยสถานศกึ ษาดังกลา่ วดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนในภาคเรียนแรก ท่ขี ึ้นทะเบียนเป็นนกั เรียนหรือนักศกึ ษา ยกเวน้ กรณมี ีเหตุผลจำเป็น 2. จำนวนหมวดวิชา รายวิชา จำนวนหน่วยการเรียนท่ีจะรับเทียบโอนและอายขุ องผลการ เรียนที่จะนำมาเทียบโอน ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการของ สถานศึกษาทง้ั น้ี เม่ือเทยี บโอนแล้วผู้ขอเทียบโอนต้องมีเวลาเรียนอยใู่ นสถานศึกษาที่รบั เทียบโอนไม่ นอ้ ยกว่า 1 ภาคเรยี น 3. ในกรณีมีเหตุผลจำเป็นระหว่างเรียน ผู้เรียนสามารถแจ้งความจำนงขอไปศึกษาบาง รายวิชาในสถานศึกษาอ่ืน แล้วนำผลมาเทียบโอนได้ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหาร หลักสตู รและวชิ าการของสถานศกึ ษา 4. การเทียบโอนผลการเรียนให้ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน จำนวนไมน่ อ้ ยกวา่ 3 คน แตไ่ มเ่ กิน 5 คน 5. การเทียบโอนให้ดำเนินการ ดังนี้ 1) กรณีผูข้ อเทียบโอนมผี ลการเรียนมาจากหลักสูตร ตา่ ง ๆ ให้นำหมวดวิชา รายวิชาท่ีมีจดุ ประสงค์และเนื้อหาสอดคล้องกันไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 60 มา เทยี บโอนผลการเรียนได้ และพจิ ารณาให้ระดบั ผลการเรยี นให้สอดคลอ้ งกับหลักสูตรท่ีรับเทียบโอน 2) กรณีการเทียบโอนความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ ให้พิจารณาจากเอกสารหลักสูตร (ถ้ามี) โดย มีการประเมินด้วยเคร่ืองมือที่หลากหลาย และให้ระดับผลการเรียนตามเกณฑ์การประเมินผลการ เรียนของหลักสูตรท่รี ับเทยี บโอน จากท่ีกลา่ วมาท้ังหมด การวัดผลการประเมินผลและการเทยี บโอน
43 การศึกษา ถือว่าเป็นภารกิจอย่างหน่ึงที่สถานศึกษาจะต้องให้ความสำคัญ ซึ่งการวัดผล การ ประเมินผล และการเทียบโอนการศึกษา จะมคี ุณภาพและประสิทธิภาพได้นนั้ จะตอ้ งมีการจัดการ ที่เป็นระบบและกระบวนการปฏิบัติงานท่ีมีคุณภาพสามารถรับรองการประเมินภายในและการ ประเมินภายนอกได้ตามระบบการประกนั คุณภาพการศกึ ษา สำหรับรายละเอียดของการเทียบโอนน้ัน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550, 1-30) ให้รายละเอยี ดวา่ การเทียบโอนผลการศึกษา หมายถึง การนำผลการศึกษาและการเรียนรู้ท่ีเป็นความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการศึกษาท้ังในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยมาประเมินเข้าสู่ หลักสูตรระดับใดระดับหนึ่ง การเทียบโอนผลการศึกษาประกอบดว้ ย 1) การเทียบระดับการศึกษา และ 2) การเทียบโอนผลการเรียน การเทียบระดับการศึกษา หมายถึง การกำหนดความเท่าเทยี มกันของมาตรฐานการศึกษา ตามหลักสูตรในแต่ละระดับทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ หรอื การนำผลการเรียนรูท้ ี่ได้จาก การศึกษาตามอัธยาศัยมาประเมนิ เพอ่ื ใหไ้ ดห้ รอื สำเรจ็ ระดับการศกึ ษาระดบั ใดระดบั หน่ึง การเทียบโอนผลการเรียน หมายถึง การนำผลการเรียนรู้ซ่ึงเป็นความรู้ ทักษะ และ ประสบการณ์ของบุคคลทีเ่ กิดจากการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยที่ได้สั่งสมไว้ มา ประเมินเป็นสว่ นใดส่วนหน่ึงของหลกั สูตรในแต่ละระดับการศกึ ษา โดยให้มีการเทียบโอนผลการเรยี น ที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจาก สถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมท้ังจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือจากประสบการณ์การทำงาน นอกจากนร้ี ะเบียบสถานศึกษาวา่ ด้วยการประเมินผลการเรียนตาม หลักสูตรการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2544 ของสถานศึกษา ไดร้ ะบุสาระสำคญั สรุปได้ดังน้ี สถานศึกษาจัดทำระเบียบสถานศึกษาว่าด้วยการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐานพุทธศกั ราช 2544 จะระบุเร่ืองการเทียบโอนผลการเรียนไวเ้ ป็น 1 หมวด การเทียบโอน ผลการเรียน เป็นการนำผลการเรียนซ่ึงเป็นความรู้ทักษะและประสบการณ์ของผู้เรียนที่เกิดจาก การศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย มาประเมินเป็นส่วนหน่ึงของ การศกึ ษาตามหลักสตู รใดหลักสูตรหนึง่ แนวทางดำเนนิ การเทียบโอนผลการเรียนดำเนนิ การดังน้ี 1. ผูข้ อเทยี บโอนตอ้ งขน้ึ ทะเบียนเป็นนักศึกษาหรือนักเรยี นของสถานศึกษาใดสถานศึกษาหน่งึ 2. จำนวนสาระการเรียนรู้ รายวิชา จำนวนหน่วยกิต ท่ีจะรับเทียบโอนและอายุของผลการ เรียนท่ี จะนำมาเทยี บโอน ใหอ้ ยู่ในดุลยพินจิ ของสถานศึกษา เม่ือเทยี บโอนแล้วตอ้ งมีเวลาเรียนอยู่ใน สถานศึกษาท่ีจะรบั เทียบโอนไม่นอ้ ยกวา่ 1 ภาคเรยี น
44 3. การเทียบโอนผลการเรียนให้ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการการเทียบโอนผลการเรียน จำน วน ไม่น้อยกว่า 3 คน แ ต่ไม่เกิ น 5 คน แน วปฏิ บัติให้เป็ น ไปตามระเบี ยบ ขอ ง กระทรวงศึกษาธกิ ารที่กำหนดไว้แล้วสถานศึกษาจะตอ้ งนำผลการประเมินมาปรบั ปรงุ และพัฒนาระบบ บริหารจัดการเทียบโอนผลการเรียนในสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน โดยต้องดำเนินการบน พื้นฐานของข้อมูลสารสนเทศและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง สามารถแสดงระบบบริหาร จัดการเทยี บโอนผลการเรยี นของสถานศึกษา รูปแบบและวธิ ดี ำเนนิ งาน ผลการเรยี น/ผลการเรียนรู้ของผู้ขอเทียบโอนอาจเกิดจากการศกึ ษาในระบบ การศึกษานอก ระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย สำหรับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยสามารถ จำแนกออกเป็นการศึกษาในลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้แก่ การศึกษาตามหลักสตู รระยะสั้น หลกั สูตรเฉพาะ การศึกษาท่ีจดั โดยครอบครวั ศูนยก์ ารเรียน การฝึกฝีมือ รวมทั้งประสบการณ์การทำงานจากแรงงาน ไทยในประเทศและต่างประเทศเป็นต้น สามารถนำมาสรุปแนวทางการพิจารณาเทียบโอนผลการ เรียนเข้าส่กู ารศึกษาในระบบในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยมกี ารให้จำหน่าย การให้ผลการเรียน การบนั ทกึ ผลการเรียน และการคดิ ผลการเรียนเฉล่ยี ได้ ดังนี้ 1. การพิจารณาเทยี บโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบเขา้ สกู่ ารศึกษาในระบบ 2. การพจิ ารณาเทียบโอนผลการเรยี นจากการศึกษานอกระบบเข้าสกู่ ารศึกษาในระบบ 3. การพิจารณาเทียบโอนผลการเรียนจากการจัดการศึกษาโดยครอบครัวเขา้ สกู่ ารศึกษาใน ระบบ 4. การพิจารณาเทียบโอนผลการเรียนจากการจัดการศึกษาโดยศูนย์การเรียน การศึกษา หลักสูตรระยะสั้น หลักสตู รเฉพาะการฝึกอาชีพ ประสบการณ์การทำงานเข้าสู่การศึกษาในระบบ 5. การพิจารณาเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาตามหลักสูตรต่างประเทศเข้าสู่ การศกึ ษาในระบบ จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การวัดผลและประเมินผล และเทียบโอนการ เรียน หมายถึง การกำหนดกรอบระเบียบ แนวปฏิบัติเก่ียวกบั การวดั ผลและการประเมินผล การ นำผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นมาปรับปรงุ การเรยี นการสอนและการพฒั นาเครื่องมือวดั ผล การวจิ ยั เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา นกั วิชาการได้อธิบายถึงการวจัยเพอ่ื พัฒนาคุณภาพการศึกษา ไวห้ ลายทศั นะ ดงั เช่น พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2551, 24) กล่าวว่า การวิจัยในช้ันเรียน หมายถึง การวิจัยปฏิบัติการ ท่ีครู ไดแ้ สวงหาวิธีการหรือนวัตกรรม ทางเลือกในการแก้ไขปญั หาหรือพัฒนาการเรยี นรู้ของผู้เรียน เพอื่ ให้ เกิดประโยชนส์ ูงสุด
45 สวุ ิมล ว่องวานิช และ นงลักษณ์ วริ ัชชัย (2547, 21) กล่าวถึงการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ัน เรยี น คือ การวิจยั โดยครูผูส้ อนในช้ันเรยี น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกดิ ข้นึ ในชั้นเรียนและนำผลมาใช้ในการ ปรับปรุงการเรียนการสอน หรือส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น ท้ังนี้เพ่ือให้เกิด ประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยท่ีต้องทำอย่างรวดเร็วและนำผลไปใช้ได้ทันที สะท้อนข้อมูล เกีย่ วกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของตนเอง ตนเองและกลุ่มเพ่อื น ร่วมงานในโรงเรยี น มีโอกาสวิพากษ์ อภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแนวทางท่ีได้ปฏิบัติ และผลท่ีเกิดขึ้นเพื่อพัฒนาการ เรยี นรู้ของครูและผูเ้ รยี น กติ ติพร ปัญญาภิญโญผล (2549, 42) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารในช้ันเรียน หมายถึง การศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบและกระบวนการที่เช่ือถือได้โดยครู ซ่ึงทำพร้อม ๆ กับการปฏิบัติการ สอนด้วยการใช้วิธีการแก้ไขปัญหา มุ่งปรับปรุงเปล่ียนแปลงเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนใน ชัน้ เรยี นของตน ส่งผลตอ่ การพฒั นาวชิ าชพี ครแู ละปรับปรงุ ผลการเรียนรู้ของนักเรียน เกรียงไกร ปริธรรมมัง (2551, 31) ได้กล่าวว่า การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงเพ่ือให้เกิดนวัตกรรม หรือวิธีการใหม่ ๆ ในการพัฒนา คุณภาพผูเ้ รียน ปรบั ปรุงและพฒั นาการจดั การเรียนการสอนในชัน้ เรียนใหด้ ขี ึ้น เอมอร ผลบุภพ (2551, 14) กล่าวถึง การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การศึกษา หาความรู้ใหม่ ๆ โดยดำเนินการของครูผู้สอนและอาจรวมถงึ ครู นกั เรยี น ผูบ้ ริหารโรงเรียน สมาชิกใน ชมุ ชน เพือ่ ใช้แก้ปัญหาการเรียนการสอนในช้ันเรียน หรือเป็นความต้องการทจ่ี ะเปลี่ยนแปลงพัฒนา กจิ กรรมการเรียนการสอนให้ดีย่ิงขึ้น ซ่ึงความร้ใู หม่ ๆ ในท่ีนี้ เรียกวา่ นวัตกรรมการศึกษา ท้ังนเ้ี พ่ือใช้ พัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสดุ โดยเร่ิมจากการแก้ปญั หาเชิงระบบมีการวางแผนและ วางนโยบายในการพัฒนา และเสรจ็ สิน้ ทกี่ ารคิดค้นนวัตกรรมแก้ปญั หาได้ จากแนวคิดดังกล่าวทำให้พอสรุปได้ว่า การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัยท่ีดำเนินการ โดยครูผ้สู อน เพ่อื แก้ไขปญั หาท่ีเกิดจากกระบวนการเรียนการสอน มีจุดประสงค์เพ่ือพัฒนาศกั ยภาพ ของผู้เรียนโดยใช้นวัตกรรมท่ีมีความเหมาะสมกับผู้เรียน และมีความสัมพันธ์อย่างเป็นจริงกับปัญหา ความสำคัญของการวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา ชาตรี เกดิ ธรรม (2544,13-14) กลา่ วว่า การวิจยั ในชน้ั เรยี นมคี วามสำคญั ดังนี้ 1. เป็นการพัฒนาหลักสูตร และพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนด้วยกระบวนการวิจยั โดย การนำนวัตกรรม เทคนิคหรือวิธีการท่ีมีคุณภาพ ผ่านกระบวนการวิจัยท่ีน่าเช่ือถือได้มาแล้ว มาใช้ในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนโดยตรง อันจะมีผลให้การจัดการเรียนการสอนบร รลุผลตาม จดุ ประสงคท์ วี่ างไว้ 2. เป็นการพัฒนาวิชาชีพครใู ห้มีมาตรฐานยิ่งข้ึน และยังเป็นการแสดงถึงความก้าวหน้าทาง วิชาชพี
46 3. เป็นการเผยแพร่ความรู้จากการปฏิบัติจริง อันจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้บริหาร หรือ หนว่ ยงานทเี่ กีย่ วขอ้ งด้วย 4. เป็นการส่งเสริมสนับสนุนความก้าวหน้าด้านการวิจัยทางการศึกษา และสามารถนำการ วจิ ยั ไปใช้เป็นผลงานทางวิชาการ เพือ่ ขอกำหนดตำแหนง่ ให้สงู ขนึ้ ได้ 5. เป็นการสง่ เสริมหรอื พฒั นาผเู้ รยี นได้ตรงตามศักยภาพของผู้เรียนแตล่ ะคน กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ (2546,12) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการวิจัยเพื่อ พัฒนาคุณภาพการศึกษาไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ตามมาตรา 24 ขอ้ 5 ไว้ว่า ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรยี น และอำนวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวนการเรยี นรู้ ท้ังน้ีผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ ไป พร้อมกันจากสอื่ การเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ สุวิมล ว่องวานิช และ นงลักษณ์ วิรชั ชัย (2547, 14-15) ได้กล่าวถึงความสำคัญ ของการ วิจยั เพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษา ดงั นี้ 1. ให้โอกาสครูในการสร้างองค์ความรู้ทักษะการทำวิจัย การประยุกต์ใช้ การตระหนัก ถึง ทางเลือกทีเ่ ป็นไปได้ท่จี ะเปล่ยี นแปลงโรงเรยี นให้ดีข้ึน 2. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ นอกเหนือจากการเปล่ียนแปลงหรือสะท้อน ผลการทำงาน 3. เป็นประโยชน์ตอ่ ผูป้ ฏิบตั โิ ดยตรง เนื่องจากช่วยพัฒนาตนเองด้านวชิ าชีพ 4. ช่วยทำใหเ้ กิดการพฒั นาอยา่ งต่อเน่อื ง และเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการวจิ ยั ใน ท่ีทำงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กรเนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติ และการ แก้ปญั หา 5. เปน็ การวจิ ัยท่ีเกยี่ วข้องกบั การมีสว่ นรว่ มของผูป้ ฏิบัตใิ นการวจิ ัย ทำใหก้ ระบวนการวิจัย มี ความเป็นประชาธิปไตย ทำให้เกดิ การยอมรับในความรขู้ องผปู้ ฏบิ ตั ิ 6. ช่วยตรวจสอบวธิ ีการทำงานของครทู ่มี ปี ระสทิ ธิผล 7. ทำใหค้ รเู ปน็ ผู้นำการเปล่ียนแปลง กล่าวโดยสรุปได้ว่า ความสำคัญของการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา คือ การพัฒนา หลักสูตร และปรับปรุงวธิ กี ารปฏิบัติงาน พฒั นาคณุ ภาพการเรยี นการสอนด้วยการวิจยั พฒั นาวิชาชีพ ครู รวมถึงแสดงความกา้ วหน้าทางวิชาชีพครูดว้ ยการเผยแพรค่ วามรูท้ ี่ได้จากการปฏิบตั ิ และเป็น การ ส่งเสริมสนบั สนุนความกา้ วหน้าของการวิจยั ทางการศกึ ษา
47 กระบวนการและขัน้ ตอนในการวิจยั พัฒนาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน (2546, 35) กล่าวถึง แนวทางการปฏิบัติการ วิจยั เพือ่ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษา ดงั น้ี 1. ศึกษาวิเคราะห์ วิจัยการบริหารการจัดการและการพัฒนาคุณภาพงานวิชาการ ใน ภาพรวมของสถานศกึ ษา 2. สง่ เสรมิ ใหค้ รูศึกษา วเิ คราะห์ วิจัย เพอื่ พฒั นาคุณภาพการเรียนรู้ 3. ประสานความร่วมมือในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ตลอดจนการเผยแพร่ผลงาน การวิจัยกับสถานศกึ ษา บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบนั อน่ื สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน (2547, 6-16) กลา่ วถึงกระบวนการ วิจัยในช้ัน เรยี นวา่ ประกอบดว้ ย 5 ข้ันตอน คอื 1. การกำหนดปญั หาหรือเปา้ หมายของการวิจัย 2. การกำหนดวธิ ีการวจิ ยั 3. การรวบรวมข้อมลู 4. การวิเคราะห์ข้อมลู 5. การสรปุ และเขยี นรายงานการวิจยั สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน (2550, 36) ได้กล่าวถงึ บทบาทและ หน้าท่ขี อง สถานศกึ ษาในการวิจัยเพือ่ พัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศกึ ษา ดังนี้ 1. กำหนดนโยบายและแนวทางการใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และ กระบวนการทำงานของนกั เรียน ครู และผเู้ กี่ยวขอ้ งกบั การศกึ ษา 2. พัฒนาครูและนักเรียนให้มคี วามรู้เก่ียวกับการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการ วิจัย เป็นสำคัญในการเรียนรู้ที่ซับซ้อนข้ึน ทำให้นักเรียนได้ฝึกการคิด การจัดการ การหาเหตุผล ในการ ตอบปัญหา การผสมผสานความรแู้ บบสหวิทยาการ และการเรยี นร้ใู นปัญหาท่ตี นสนใจ 3. พัฒนาคุณภาพการศกึ ษาดว้ ยกระบวนการวิจยั 4. รวบรวมและเผยแพร่ผลการวิจัยเพื่อการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพการศึกษารวมทั้ง สนับสนุนให้ครูนำผลการวิจัยมาใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สถานศกึ ษา พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2551, 24) กล่าวว่า การวิจัยในช้ันเรียนเป็นการวิจัยปฏิบัติการที่มี วงจรการทำแบบ PAOR กลา่ วคือ 1. มกี ารวางแผนดำเนินงาน (plan) หรอื การวางแผนวิจยั 2. มีการลงมือปฏิบัติการ (action) โดยการดำเนินการวิจัยปฏิบัติการแก้ไขปัญหาพัฒนา ผเู้ รียน หรอื ทดลองตามแผนที่กำหนดไว้
48 3. มกี ารสงั เกตผล (observe) 4. มีการสะท้อนผลกลับ (reflect) ประภาพรรณ เส็งวงศ์ (2551, 11-12) กล่าวถึง กระบวนการปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน ไว้ ดังน้ี 1. การวเิ คราะหป์ ัญหา/ ความตอ้ งการในการพฒั นาการเรยี นรู้ 2. การวางแผนการจัดการเรียนรู้ 3. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 4. การประเมินผลการเรียนรู้ 5. การจัดทำรายงานผลการเรียนรู้ 6. การปรบั ปรงุ แกไ้ ขพฒั นาการการจดั การเรยี นรทู้ ุกข้ันตอนอยา่ งต่อเน่ือง กล่าวโดยสรุป การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา เป็นความสามารถในการจัดกิจกรรม การเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการวิจัยทเ่ี หมาะสม การแสวงหาวธิ กี าร แนวทาง หรือนวัตกรรม การศึกษา ที่หลากหลายในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน เพ่ือพัฒนาศักยภาพของผู้เรยี น ใช้การวิจัย เป็นส่วน หนึ่งของการแก้ปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเผยแพร่ผลงานการวิจัยทาง การศึกษากบั สถานศึกษา องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอืน่ ๆ การพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา ความหมายของสอ่ื การเรียนการสอนซึ่ง รัฐวฒุ ิชัย มาจิตตภ์ าสกร (2552, 52) กลา่ วว่า สื่อการเรยี นการสอน หมายถึง ตวั กลางท่เี ปน็ กระบวนการสอ่ื ความหมายระหวา่ งผู้สอนกับผูเ้ รยี น เป็น ตัวเร้า กระตุ้นและจูงใจ ให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ประหยัดเวลา และแรงงานในการ สอน ภรภัทร เฮ็งนิรันดร (2557, 37) ให้ความหมายของสื่อการเรียนการสอน คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่ใชใ้ นการเรียนการสอนเพ่อื ให้ผู้เรยี นได้รับความรูต้ ามจดุ มงุ่ หมาย ท่ีผู้สอนตง้ั ไว้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการที่ใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน เป็นส่ือกลางในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับ ความรูต้ ามจุดมุ่งหมายทีผ่ สู้ อนต้งั ไว้ ความหมายของนวตั กรรมการศึกษา พชิ ิต ฤทธ์ิจรูญ (2551, 3) ได้กล่าวถึง นวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอนว่า นวัตกรรมท่ี ผลติ ออกมาทางดา้ นการเรยี นการสอนมีจำนวนมาก แต่สามารถจำแนกประเภทได้ดังนี้ 1. นวัตกรรมประเภทผลิตภัณฑ์หรอื สิ่งประดษิ ฐ์ นวัตกรรมน้ีมีลักษณะเป็นสื่อที่ชว่ ย ในการ จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เร็วย่ิงขึ้น นวัตกรรมประเภทนี้ ได้แก่ ชุดการเรียน ชุดการสอน ชุดการเรียนการสอน แบบฝึกทักษะ ชุดการฝึก ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้
49 บทเรียนสำเร็จรูปแบบสื่อผสม บทเรียนโปรแกรม เกม นิทาน การ์ตูน เอกสารประกอบการเรียนรู้ เอกสารประกอบการเรียนการสอน เอกสารประกอบการสอน ฯลฯ 2. นวัตกรรมประเภทรูปแบบ เทคนิค วิธีการสอน นวัตกรรมประเภทน้ีเป็นการใช้ วธิ ีสอนหรือเทคนิคการสอนในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีนักการศึกษาได้คิดค้นเพ่ือพัฒนาการด้านการเรยี นรู้ ให้แก่ผู้เรยี นท้ังดา้ นความรู้ ทกั ษะ กระบวนการ และเจตคติ ซง่ึ มวี ิธีการสอนและเทคนิคการสอน เป็น จำนวนมาก ได้แก่ วิธีการสอนคิด วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ cippa model วัฏจักร การเรียนรู้แบบ 4 mat วิธีสอนแบบแนวพทุ ธวิธี วิธีสอนแบบบูรณาการ วิธีสอนโครงงาน วิธีสอนโดย ตงั้ คำถาม constructivism เปน็ ต้น 3. การศกึ ษาข้อจำกัดตา่ ง ๆ (constraints) ผู้พัฒนาวัตกรรมทางด้านการเรยี นการสอน ตอ้ ง ศึกษาข้อมูลของปัญหา และขอ้ จำกัดที่ใช้นวัตกรรมน้ัน เพ่อื ประโยชน์ในการนำไปใชไ้ ดจ้ รงิ 4. การประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม (innovation) ผู้จัดทำหรือพัฒนานวัตกรรมจะต้องมี ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ซ่ึงอาจนำของเก่ามาปรับปรุง ดัดแปลง ใช้ใน การแก้ไขปัญหา และทำให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน หรืออาจคิดค้นข้ึนมาใหม่ทั้งหมด นวัตกรรม ด้านการเรียนการสอนมรี ูปแบบแตกต่างกันข้ึนอยู่กับลักษณะปัญหา หรือวัตถุประสงค์ของ นวัตกรรม นั้น เช่น อาจมีลักษณะเป็นแนวความคิด หลักการ แนวทาง ระบบ รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ เทคนิค หรือส่งิ ประดษิ ฐ์ และเทคโนโลยี เป็นตน้ 5. การทดลองใช้ (experimentation) เม่ือคดิ ค้นหรือประดิษฐน์ วัตกรรมด้านการเรียน การ สอนแล้วต้องทดลองใช้นวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการประเมินผลปรับปรุงแก้ไข ผลการทดลองจะทำให้ได้ข้อมูลนำมาใช้ในการปรับปรุง และพัฒนานวัตกรรมต่อไป ถ้าหากมี การทดลองใช้นวตั กรรมหลายครัง้ ก็ยอ่ มมีความม่นั ใจในประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมนนั้ 6. การเผยแพร่ (dissemination) เมื่อมั่นใจว่านวัตกรรมที่สร้างข้ึนมีประสิทธภิ าพแลว้ ก็ สามารถเผยแพรใ่ หเ้ ป็นทร่ี จู้ ัก ดวงกมล สินเพ็ง (2553, 109) กล่าวถึงความหมายของนวัตกรรมการศึกษา คือ การกระทำหรือแนวคิดใหม่ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่นำมาใช้แก้ปัญหาการเรียนการสอน หรือการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงทัศนคติ แนวคิด และ พฤตกิ รรมไปในทางทพี่ ึงปรารถนา จันทร์ชลี มาพุทธ (2556, 109) ได้ให้ความหมายของคำว่านวัตกรรมการศึกษาไว้ว่า เป็น การนำความคิดใหม่ ๆ มาใช้ในการศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดแรงจูงใจในการ เรยี น และชว่ ยประหยัดเวลาในการเรียน เชน่ การใชค้ อมพิวเตอร์ชว่ ยสอน วีดิทัศน์ ส่ือหลายมติ ิ และ อนิ เทอรเ์ น็ต เป็นต้น
50 กล่าวสรุปโดยได้ว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง วิธีการใด ๆ หรือการกระทำใด ๆ ท่ีเป็น การกระทำใหม่หรือสิง่ ใหม่ท่ีมผี ู้คิดค้นข้ึน หรอื อาจจะเปน็ เพียงการปรับปรุงของเก่าให้ใหม่หรือ ดีข้ึน เพ่ือใชส้ ิ่งนน้ั ในการแก้ปัญหาหรอื ปรบั ปรุงการศกึ ษาใหม้ ีประสทิ ธภิ าพย่ิงขึ้น ความหมายของเทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษา กิดานันท์ มลทิ อง (2540, 6) กลา่ วว่า เทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา คอื การประยุกต์ เอาเทคนิค วธิ ีการ แนวความคิด วัสดุ อุปกรณ์ และส่ิงต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากเทคโนโลยีมาใช้ ในวงการศึกษา เพอ่ื พัฒนาระบบบริหารสถาบนั การศึกษาและชว่ ยในการเรียนการสอนดว้ ย จนั ทรช์ ลี มาพุทธ (2556, 107) ไดก้ ล่าวถงึ ความหมายของเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา คอื การ นำส่ิงต่าง ๆ รวมถึงวิธีการต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนหรือแก้ปัญหาการจัดการ เรียนการสอนให้มีประสทิ ธภิ าพมากท่ีสดุ ภรภัทร เฮ็งนิรันดร (2557, 38) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา คือ การนำ วสั ดุ อปุ กรณ์ และวิธกี ารต่าง ๆ มาใช้อยา่ งเปน็ ระบบ เพ่ือช่วยเพ่ิมประสทิ ธิภาพการศกึ ษา กล่าวโดยสรุปได้ว่า เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หมายถึง การนำความรู้ วัสดุ อุปกรณ์ วิธีการ หรือ แนวความคิดต่าง ๆ อันสืบเน่ืองมาจากเทคโนโลยีใช้ในการศึกษาอย่างเปน็ ระบบ เพ่ือแก้ปัญหา การศึกษาและพฒั นามีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน (2546, 16) กล่าวถึง แนวทางการปฏบิ ัติการ พฒั นาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยเี พือ่ การศึกษาไว้ ดังนี้ 1. ศึกษาวิเคราะห์ความจำเป็นในการใช้สื่อและเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอนและการ บริหารงานวิชาการ 2. ส่งเสริมให้ครูผลิต พัฒนาส่ือและนวัตกรรมการเรียนการสอน เพ่ือพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ใหส้ อดคล้องกับกระบวนการเรยี นการสอน 3. จัดทำจัดการสอื่ สิ่งที่มีอยใู่ นท้องถ่ินและเทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน และ พัฒนางานด้านวิชาการ 4. จัดทำจัดหาส่ือการเรยี นร้สู ำหรับการศกึ ษาค้นคว้าของผูเ้ รียน และเสริมความรขู้ องผูส้ อน 5. ศึกษาวิธีการเลือก และการใช้สื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม หลากหลาย และสอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบคุ คล ของ ผูเ้ รียน 6. ศึกษาวิธกี ารวิเคราะห์และประเมินคุณภาพมาตรฐานส่ือการเรยี นรู้ที่จัดทำขึ้นเอง และที่ เลือกนำมาใช้ประกอบการเรียนรู้ โดยมีการวิเคราะห์และประเมินสื่อการเรียนรู้ที่ใช้อยู่น้ัน อย่าง สมำ่ เสมอ
51 7. ประสานความร่วมมือในการผลิต จัดหา พัฒนา และการใช้สื่อ นวัตกรรม และ เทคโนโลยีเพ่ือการจัดการสอนและการพัฒนางานวิชาการกับสถานศึกษา บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอ่ืน 8. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการเกี่ยวกับสื่อ นวัตกรรม และ เทคโนโลยีเพอื่ การศกึ ษาเป็นระยะ ๆ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน (2550, 50) ได้กล่าวถึง บทบาท และหน้าท่ใี น การพัฒนาและใช้สอ่ื เทคโนโลยีเพ่อื การศึกษา ดังนี้ 1. จัดให้มีการร่วมกันกันกำหนดนโยบาย วางแผนในเรื่องการจัดหาและพัฒนา ส่ือการ เรยี นร้แู ละเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษาของสถานศึกษา 2. พัฒนาบุคลากรของสถานศึกษา ในเรื่องเก่ียวกับการส่ือการเรียนรู้และเทคโนโลยี เพ่ือ การศึกษา พร้อมท้งั ให้มีการจดั ตัง้ เครือข่ายทางวิชาการ ชมรมวิชาการ เพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้ ของ สถานศกึ ษา 3. พัฒนาและใช้สือ่ การเรยี นรู้และเทคโนโลยีทางการศึกษา โดยมุ่งเน้นการพัฒนา สื่อการ เรียนรู้และเทคโนโลยที างการศึกษาท่ใี ห้ข้อเท็จจริงเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกดิ ขึ้น โดยเฉพาะหา แหลง่ สอ่ื ท่เี สริมการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษาใหป้ ระสทิ ธภิ าพ 4. พัฒนาหอ้ งสมุดของสถานศกึ ษาให้เป็นแหล่งการเรียนรขู้ องสถานศึกษาและชุมชน 5. นิเทศติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในการจัดหา ผลิต ใช้ และ พฒั นาส่ือเทคโนโลยีทางการศกึ ษา ไชยยศ เรืองสุวรรณ ( 2533, 4-6) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาส่ือ นวัตกรรม และ เทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา ดังนี้ 1. ศึกษาวิเคราะห์ความจำเป็นในการใช้ส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษาและการบริหาร วชิ าการ 2. จัดทำแผนงาน โครงการ สนับสนุนส่งเสริมใหท้ กุ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ 3. จัดสรา้ งจัดหาสือ่ การเรียนการสอนเพ่ือใหผ้ เู้ รียนได้ใชแ้ ละศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเอง 4. ใหบ้ รกิ ารหอ้ งผลิตสอ่ื และหอ้ งสบื ค้นความรู้ บริการครูผู้สอน 5. จดั โครงการประกวดสอื่ และนวตั กรรมที่เป็นผลงานของครู 6. ส่งเสรมิ สนบั สนุนใหค้ รสู ง่ ชื่อนวตั กรรมเข้าประกวดแขง่ ขนั ในระดบั ตา่ ง ๆ 7. สนับสนุนให้ครูผลิต ใชส้ อื่ และรายงานผลการใช้ในรปู แบบการวิจัย 8. จัดทำทะเบียนขอ้ มูลสอื่ เทคโนโลยสี ารสนเทศของสถานศึกษาให้เปน็ ปัจจบุ นั 9. จัดทำระเบียบ แนวปฏิบัติเก่ียวกับการให้บริการสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการใช้ หอ้ งทใ่ี ห้บริการในการใช้สือ่ เทคโนโลยใี นการจดั การเรยี นรขู้ องกลุ่มสาระ ฯ
52 10. ใหบ้ ริการโสตทัศนปู กรณ์และสือ่ การเรยี นการสอนต่าง ๆ 11. ส่งเสริมและให้บริการการใชส้ ่ือเทคโนโลยีในการจัดการเรยี นรู้อย่างหลากหลาย 12. จัดอบรมและส่งเสริมบุคลากรในการผลิตสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีทั้งภายในและ ภายนอก 13. จัดหา ผลิตส่ือ นวัตกรรม อุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน และซ่อมบำรุง ให้อยู่ใน สภาพทใ่ี ช้งานได้ดี พรอ้ มจัดทำบัญชีไว้อย่างชัดเจน 14. ปฏิบตั งิ านอ่นื ๆ ตามท่ไี ดร้ บั มอบหมาย จากแนวคิดดงั กลา่ วขา้ งต้นกล่าวโดยสรุปได้วา่ การพัฒนาสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เป็น การศึกษาวิเคราะห์ ความจำเป็นในการผลิตส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยี การจัดหาส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลและพัฒนาส่ือ นวตั กรรม และเทคโนโลยี เพือ่ การศึกษา ดา้ นการพัฒนาแหล่งเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้และภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญท่ีจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ ได้อย่างรวดเร็ว เกิดความเข้าใจ เกิดความภูมิใจและสามารถสร้างความตระหนักแก่ผู้เรียนใน ส่ิงแวดลอ้ มท่ีอยู่รอบตัวไดอ้ ย่างดี เนาวรัตน์ ลิขติ วฒั นเศรษฐ (2544, 28-29) ไดใ้ หค้ วามหมายของแหล่งเรยี นรู้ คือ ถนิ่ ทอ่ี ยู่ บริเวณ บ่อเกิด แห่งท่ี หรือศูนย์รวมความรู้ ท่ีให้เข้าไปศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจและความ ชำนาญ ลกั ษณะของแหลง่ เรยี นรู้ มีดังนี้ 1) จัดบรรยากาศในแหล่งเรียนรู้ให้เปน็ สภาพจริง /เหมือน สภาพจริง 2) จัดทรัพยากรในแหล่งเรียนรู้ให้พอเพียง 3) ปรับสภาพของสถานที่เรียนให้ผู้เรียน เรียนด้วยตนเองให้มากท่ีสุด 4) จัดบริเวณโรงเรียนใหเ้ กิดแหลง่ เรียนรู้และแหล่งสนบั สนุนการเรียนรู้ 5) จัดศูนย์วิทยาการให้เป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย 6) มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้แหล่ง เรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 7) มีการร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชนดูแล สภาพแวดลอ้ มใหเ้ ปน็ แหล่งเรยี นรู้ท้ังภายในและภายนอก แหลง่ เรียนรู้ประเภทหอ้ งสมดุ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2556, 195) ได้ให้ความหมายของห้องสมุดว่า ห้องสมุด คือ สถานท่ีท่ีรวบรวมหนังสือ เอกสาร ส่ิงพิมพ์และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นแหล่งวิทยาการความรู้ ความเหน็ ของนกั วิชาการ นกั ปราชญ์ ชูศักรวิชญ์ แสนปัญญา (2546, 43-45) กล่าวว่า ห้องสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญและ สนองตอ่ การปฏิรปู การศกึ ษา เพราะห้องสมดุ สถานศึกษาเปน็ ส่วนหนึ่งของสถานศกึ ษาและเปน็ ส่วน หน่ึงของการศึกษา ที่มกี ารจัดประสบการณ์ท้ังมวลให้แก่เด็กตามการปฏิรปู การเรียนรู้และ หลักสูตร ใหม่ การดำเนินงานห้องสมุด ได้เสนอแนวดำเนินการดังนี้ 1) สถานศึกษาควรมีห้องสมุดเป็น
53 เอกเทศ เป็นห้อง/มุม อย่างใดอย่างหนึ่ง 2) วัสดุครุภัณฑ์ที่สำคญั ในห้องสมุด ควรมหี นังสือท่ัวไป หนังสือภาพการ์ตูน หนังสือ อ้างอิง เช่น พจนานุกรม สารานุกรม วารสารสำหรับเด็ก จุลสาร หน่วยงานต่าง ๆ กฤตภาค ผลงานรวมเล่มของผู้เรียน หนังสือพิมพ์ บอร์ดจัดนิทรรศการ โต๊ะ ช้ัน วางหนังสือ บัตรรายการ ฯลฯ 3) บุคลากร จะต้องมีคุณสมบัติโดยสรุป คือมีความรู้ทาง บรรณารักษ์ศาสตร์ รักการทำงานห้องสมุด มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ควรมีอาสาสมัครจากผู้เรียน หรือ บุคคลในท้องถ่ินมาช่วยงานห้องสมุด 4) กิจกรรมท่ีห้องสมุดควรจัด ได้แก่ เล่านิทาน เล่า เกร็ดความรู้ เกม แนะนำหนังสือ ทายปัญหา ทำหนังสอื จัดนิทรรศการ แนะนำงานอดิเรก จัด มุมสบาย ฯลฯ กิจกรรมเหล่าน้ีจัดตามโอกาสต่าง ๆ หรือจัดเป็นประจำตามเวลาท่ีแน่นอน เช่น จัดช่วงพักกลางวันของวันใดวันหนึ่ง ทุกสัปดาห์ 5) งานบริการ เช่น บริการให้ยืมแก่ผู้เรียน เออ้ื เฟื้อแกบ่ ุคคลในชมุ ชน งาน ประชาสมั พันธ์หอ้ งสมดุ ทง้ั ภายในและภายนอก ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2556, 198) ได้ให้แนวการจัดกิจกรรมอ่ืน ๆ เพื่อส่งเสริม การศกึ ษาคน้ คว้าและการอา่ น โดยห้องสมุดสามารถจัดทำกิจกรรมต่อไปน้ี 1) จัดนิทรรศการ ควร จัดเป็นประจำและผลัดเปล่ียนเวียนไป เช่น สัปดาห์การ์ตูน สัปดาห์หนังสือวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เพ่ือให้ห้องสมุดไดม้ ีความสวยงาม สะดุดตา มีชวี ิตชีวา รวมท้ังการจดั นิทรรศการในวันสำคัญ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันลอยกระทง เป็นต้น 2) จัดให้มีการประกวดการแต่ง การเขียนภาพ จากการอา่ นหนังสอื 3) จดั ให้มีการเล่นเกมและการทายปัญหาจากการอา่ นหนังสอื 4) จดั ให้มีการ เล่านิทาน และการวิพากษ์วิจารณ์หนังสือ 5) จัดอภิปราย ตอบปัญหา โดยเชิญผู้เรียนหรือ วทิ ยากรมาบรรยาย 6) จดั ประกวดเรียงความ นิทาน คำขวัญต่าง ๆ จากการอา่ นหนังสอื และจาก วันสาํ คัญ 7) การจัดการเลน่ ละคร หุ่นกระบอก หนังตะลงุ จากหนงั สอื วรรณคดี แหลง่ เรยี นรปู้ ระเภทภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ ช่อ สันธนพพิ ัฒน์ (2546, 42) กล่าวว่า ภมู ิปญั ญาไทย หมายถึง องคค์ วามรขู้ องชาวบ้าน หรือทกุ ส่ิงทุกอย่างที่ชาวบ้านกระทำขน้ึ จากสติปญั ญาความรู้ความสามารถของชาวบ้านเอง เพ่ือใชใ้ น การแกป้ ัญหาหรือการดำรงชีวติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับยคุ สมัย โดยมกี ระบวนการทางสงั คมสบื ทอดและ กลั่นกรองกันมายาวนาน อินทิรา หิรัญสาย (2545, 19) กล่าวว่า ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ความสามารถและ ทกั ษะแห่งการดำรงชวี ิต จากประสบการณ์ท่ีมนุษยเ์ ข้าใจจริง หรอื เคยผ่านกระบวนการของความคิด สรา้ งสรรค์ หรือการใชแ้ ก้ปญั หาให้เกิดผลสำเรจ็ มาแลว้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทยเป็นความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดจาก บคุ คล หรอื สถาบันตา่ ง ๆ ในท้องถน่ิ โดยมนี วัฒนธรรมเปน็ พ้ืนฐาน และได้รับอิทธิพลจากส่ิงแวดล้อม และความเช่ือเป็นความรู้ที่อยู่มานาน ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา มีลักษณะของการพ่ึงพาตนเอง ลักษณะของภูมิปัญญาท้องถนิ่ แบ่งออกเปน็ 2 ลักษณะ คือ 1) ลกั ษณะท่ีเป็นนามธรรม เปน็
54 โลกทศั น์ ชีวทัศน์ เปน็ ปรัชญาในการดำเนินชวี ิต เป็นเรื่องเกี่ยวกบั การเกดิ แก่ เจ็บ ตาย คณุ ค่า และความหมายของทุกส่ิงในชีวิตประจำวัน 2) ลักษณะท่ีเป็นรูปธรรม เป็นเรื่องเก่ียวกับเฉพาะด้าน ตา่ ง ๆ เช่น การทำมาหากิน การเกษตร หัตถกรรม ศิลปะ ดนตรี และอื่น ๆ บทบาทการมีส่วนร่วมในงานพฒั นาแหล่งเรยี นรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน (2546, 52) ได้กำหนดภารกจิ งานพัฒนาแหล่ง เรียนรู้ไว้ว่า ฝ่ายวิชาการ ต้องสำรวจแหล่งเรียนรู้ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทั้งใน สถานศึกษา ชุมชน ท้องถ่ิน ในเขตพ้ืนที่การศึกษา และเขตพื้นท่ีการศึกษาใกล้เคียง โดยจัดทำ เอกสารเผยแพร่แหล่งการเรียนรู้แกค่ รู สถานศกึ ษาอ่ืน บุคคล ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงาน และ สถาบันอื่นที่จัดการศึกษาในบริเวณใกล้เคียง พร้อมจัดตั้งและพัฒนาแหล่งการเรียนรวมท้ังพัฒนาให้ เกิดองค์ความรู้และประสานความร่วมมือสถานศึกษาอ่ืน บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันสังคมอ่ืนที่จัดการศึกษาในการจัดตั้ง ส่งเสริม พัฒนา แหล่งเรียนรู้ ที่ใช้ร่วมกัน มีการ ส่งเสริม สนับสนุนให้ครูใช้แหล่งเรียนรู้ท้ังในและนอกโรงเรียนในการจัดกระบวน การเรียนรู้โดย ครอบคลมุ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น ช่อ สันธนพิพัฒน์ (2546, 42) กล่าวถึงการนําภูมิปัญญาไทยกลับสู่การศึกษาสามารถจัด ได้โดยส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาในสถานศึกษา 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ โรงเรียน การศึกษานอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยการเปิดกว้างให้ท้องถ่ินเข้า มามีสว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษาในรูปของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพ่ือใหม้ ีส่วนร่วมใน การนำภูมปิ ัญญาไทยถ่ายทอดให้กับนักเรียน ท้ังด้านการจดั หลักสูตรทอ้ งถ่ินที่เกยี่ วกบั ภมู ิปัญญาไทย การใหค้ ำปรึกษาในแนวทางการจดั การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถ่ิน หรือ การนำบุคลากรท่ีมีความรู้ความสามารถในท้องถิ่นเข้ามาเป็นวิทยากรให้ความรู้กับนักเรียนในโอกาส ต่าง ๆ หรือการท่ีโรงเรียนนำองค์ความรู้ในท้องถ่ินเข้ามาสอนสอดแทรกในทุกเน้ือหาวิชา การนำ นักเรียนไปศึกษาและฝึกงานในสถานประกอบการหรือในบ้านของผู้รู้ และรวมถึงการนำนักเรียน สำรวจขอ้ มูลในท้องถน่ิ แล้วนำมาจัดการเรยี นการสอน เนาวรัตน์ ลิขิตวัฒนเศรษฐ์ (2544, 29) ได้กล่าวถึง บทบาทผู้บริหารกับแหล่งเรียนรู้ไว้ ดงั นี้ 1) กำหนดนโยบายส่งเสริมสนับสนุนการจัดหา จดั สร้างหรือพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ในสถานศึกษา 2) ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และประสบการณ์การจัดและการใช้แหล่งเรียนรู้ สถานศึกษา 3) สนับสนุนให้บุคลากรทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการนำเสนอผลงาน/นวัตกรรมท่ีเกิดจาก การใช้แหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา 4) กำกับ ติดตาม ดูแลและประเมินผล ระบบการจัดการเรียน การสอนโดยใช้แหล่งเรยี นรู้ในสถานศกึ ษาและสำหรบั ครูควรมีบทบาท ดังนี้ 1) เตรียมกิจกรรมการ เรยี นการสอนท่ีใช้แหล่งเรียนรู้รว่ มกับผ้เู รยี น 2) จดั สงิ่ แวดลอ้ มและบรรยากาศในแหลง่ เรยี นรูท้ ี่ จงู ใจและเสรมิ แรงให้เกดิ การเรยี นรู้
55 จากแนวคิดดังกลา่ วสามารถกล่าวโดยสรปุ ได้ว่า ด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ หมายถงึ การ สำรวจ จัดต้ัง ส่งเสริมพัฒนาแหล่งเรยี นรู้ จดั กระบวนการเรียนรู้การแสวงหาเครือข่ายการเรียนรู้ การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพฒั นาแหลง่ เรียนรู้และการพัฒนาหอ้ งสมุดโรงเรียน เปน็ ตน้ ด้านการนิเทศการศึกษา การนิเทศภายในสถานศึกษา หมายถึง “การส่งเสริมสนับสนนุ หรือใหค้ วามช่วยเหลือ ครู ในโรงเรยี นให้ประสบความสำเร็จในการปฏบิ ัตงิ านตามภารกิจหลัก คือ การสอนหรือการสร้างเสริม พัฒนาการของนักเรียนทุกดา้ น ท้ังทางรา่ งกาย สติปญั ญา จิตใจ อารมณ์ และสงั คมให้เต็มวัยและ ตามศกั ยภาพ โดยความร่วมมือของบคุ ลากรในโรงเรียน” และความสำคัญและความจำเป็นของการ นิเทศภายในสถานศึกษากำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษามีความจำเป็นต้องส่งเสริม สนับสนุนให้ครู ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพโดยการเพ่ิมพูนความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในการ ทำงาน เพอ่ื สร้างเสริมขวญั และกำลังใจแก่ครู ให้ครสู ามารถปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนของตนเองให้ดียิง่ ข้ึนอยู่เสมอ และตรงตามความตอ้ งการพัฒนาของนักเรียน ด้วยเทคนิควิธีท่ีมี ประสิทธิภาพย่ิงข้ึนหรือท่ีเรียกว่า ครูมืออาชีพ เคร่ืองมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษา ประสบความสำเร็จ คือการนิเทศภายในสถานศึกษาที่เป็นระบบและต่อเนื่องจะช่วยพัฒนาครูให้มี ความสามารถในการปรับปรุงการเรียนการสอนของตนเองให้ดียิ่งข้ึน (สำนักงานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแห่งชาติ, 2541, 43) และผู้บริหารสถานศึกษาควร จัดดำเนินการนิเทศภายใน สถานศึกษาดังน้ี 1. จดั ประชุมวางแผนการนิเทศภายในสถานศกึ ษา 2. สอบถามปญั หาเกย่ี วกับการปฏิบัตงิ านของครเู พอ่ื ช่วยเหลอื 3. จดั งบประมาณ วสั ดอุ ปุ กรณ์ ในการทำงานและการสอนอย่างเพยี งพอและทวั่ ถงึ 4. สงั เกตการสอนของครูอย่างเป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ 5. แจง้ ผลการสงั เกตการสอนแก่ครูทราบ 6. นำขอ้ มูลและผลการประเมินไปใช้ในการตดั สนิ ใจและปรบั ปรงุ งาน จากแนวคดิ ดังกลา่ วสามารถสรุปไดว้ า่ การนเิ ทศการศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเหลือ สนบั สนุนใหก้ ระบวนการบริหาร และกระบวนการเรยี นการสอนมีคุณภาพถงึ ระดับทพ่ี งึ ประสงค์ และ กระบวนการนิเทศการศึกษาก็มีขอบข่ายการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นการควบคุมมาตรฐานการศึกษา โดยตรง ทำให้ครูตระหนักถึงความสำคัญ และความจำเป็นในการพัฒนาผู้เรียนให้ตรงตามความ ต้องการพัฒนาครูสามารถปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเองให้ดีย่ิงขึ้นอยู่เสมอ และตรง ตามความต้องการพฒั นาของผู้เรียน ดว้ ยเทคนิควิธีที่มีประสทิ ธิภาพยิง่ ขึ้น และครูมีความพึงพอใจใน การปฏิบัติงาน การนิเทศการศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพ การศึกษาในสถานศึกษา ให้ครูมีความรู้ ความเขา้ ใจในหลกั สูตร สามารถจัดการเรยี นการสอนได้อย่าง
56 มีประสิทธภิ าพ รวมทั้งการบริหารจัดการ การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนและปัญหาอ่นื ๆ ท่สี ง่ ผล ตอ่ คุณภาพการศึกษา การแนะแนวการศกึ ษา ณัฐธนพล ปะจีน (2554, 97-68) กล่าวว่า การแนะแนวเป็นกระบวนการชว่ ยให้นกั เรยี นรู้จัก และเข้าใจตนเอง รู้จักสภาพแวดล้อม รอบตัว เพ่ือให้สามารถปรับตัวและดำรงอยู่ในสังคมได้อย่าง ถูกต้องและมีความสุข และส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาสูงสุดตามศักยภาพของแต่ละคนทุก ๆ ด้าน การแนะแนวเป็นส่วนท่ีจะส่งเสริม สนับสนุน กระตุ้น แนะนำช่วยเหลือให้ผู้เรียน สามารถนำข้อมูล ข่าวสาร กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล และแสวงหาความรู้มาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจทั้งการ แก้ปัญหา ปรับปรุงวิถีชีวิตและการงานเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการแนะแนว บทบาทของครูก็คือ เป็นผู้ที่เข้าไปส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการการเรียนรู้ต่าง ๆ นักแนะแนวก็คล้าย ๆ กัน ไม่แตกต่างกนั แตจ่ ะแตกตางกันทน่ี ักแนะแนวจะมีเจตนา เปา้ หมายเฉพาะเจาะจงวา่ จะเขา้ ไปสง่ เสริม ช่วยเหลือปรับปรงุ ตรงไหน นักแนะแนวที่ดีต้องจัด กระบวนการสร้างความพร้อมใหก้ ับผู้เรยี นเป็นนัก แนะแนวตนเองได้ ครูทุกคนเป็นครูแนะแนวได้ โดยเฉพาะครูประจำช้ัน นอกจากนี้ผู้บริหารก็มี บทบาทสำคัญ เช่นถ้าพ่อขับรถไม่เป็นไปตามกฎจราจร เดก็ ก็เข้าใจว่าเปน็ สิ่งท่ีถูกต้องเพราะทำให้พ่อ ได้ไปเร็ว เร่ืองบางเร่ืองจัดระบบดีในโรงเรียนอาจจะนำมาใช้ในสงั คมไม่ได้ เพราะในสังคมให้ตัวอย่าง ไม่ดีไม่ดี ถ้าท่านเป็นครูแนะแนว ก็อย่าคดิ คนเดียว ต้องคิดใหค้ นอื่นมาชว่ ยไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพ่ือน ฯลฯ ใช้ทุกฝ่ายให้เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการแนะแนวในแนวทางของการปฏิรูปการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติน้ัน บทบาทของการแนะแนวมีแต่จะเพ่ิมข้ึน แต่ต้องใช้ครู (resource person) มาช่วยเหลืองานแนะแนวการเรียนรู้ในอนาคตเป็นการเรียนรู้ในตัวบุคคล การ แนะแนวก็ต้องมุ่งช่วยเหลอื แนะแนวนักเรียนแต่ละคนให้สามารถใช้วิธีการแก้ปัญหาสังคมให้สามารถ ใชว้ ิธีการแกป้ ญั หาและพัฒนาตนเองได้ เต็มตามศกั ยภาพ สังคมในปัจจุบันมคี วามซบั ซ้อนไมเ่ รียบง่าย เหมือนสมัยก่อน การคมนาคมส่ือสาร รวดเร็วมาก เราไม่สามารถกักขงั เด็กไว้ที่ใดท่ีหนึ่งได้ ส่ือต่าง ๆ เขา้ มามีอทิ ธิพล ครูแนะแนวตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลอื นักเรียนในปกครองของตน ฐิตารยี ์ ไชยชิน (2556, 119) ไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการพฒั นาการบริหารงานวิชาการ ดา้ นการ แนะแนวการศึกษา คือ ควรจัดให้ระบบการแนะแนวทางวิชาการให้เป็นระบบ และเชื่อมโยงไปยัง ระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน และกระบวนการเรียนการสอนครูที่ปรึกษา ต้องมีบทบาทในการให้ดแู ล นกั เรียน รวมทงั้ เกบ็ รวบรวมข้อมูลนักเรียนเปน็ รายบุคคล เพ่ือชว่ ยให้ครไู ดเ้ ข้าใจนกั เรียนแตล่ ะคน ซึ่ง เปน็ แนวทางการป้องกันและแกไ้ ขปญั หาและส่งเสริมนักเรยี นได้ พัฒนาตามศักยภาพ การแนะแนวยัง ตอ้ งประสานงานและรว่ มมือในระหว่างบุคลากรทุกคนท่ีเก่ียวขอ้ งท้ังในและนอกโรงเรียน และควรมี การติดตามและประเมนิ ผลการจดั ระบบและ กระบวนการแนะแนวการศึกษาในสถานศกึ ษา
57 ชนม์ผศุตม์ พัฒพันธ์ (2557, 115) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการ ดา้ นการแนะแนวการศึกษา คือ ควรมีการติดตามประเมินผลการจัดระบบและ กระบวนการแนะแนว การศึกษาในสถานศึกษา รวมถึงจัดให้มีการอบรมให้ความร้แู ก่บุคลากร และควรมีการส่งเสริมให้ครู ใช้กระบวนการแนะแนว และนำมาบรู ณาการในการจัดการเรยี นการสอน รัชนีย์ สีหะวงษ์ (2558, 122) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการ ด้าน การแนะแนวการศึกษา คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการประสานงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ด้านการแนะแนวกับสถานศึกษาหรือเครือข่ายการแนะแนวภายในเขตพื้ นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศกึ ษาควรมีการจัดให้มีครูแนะแนวการศกึ ษาในโรงเรียน เพ่ือให้คำแนะนำกับนักเรียน ในด้านการศึกษาและอาชีพ และผู้บรหิ ารสถานศึกษาควรมีการติดตามผล ประเมินผล การจัดระบบ และกระบวนการแนะแนวการศึกษา สร้างระบบให้เข้าได้พบกับข้อมูลหรือแหล่งความรู้ท่ีเป็น ประโยชน์ ตรงน้ีเปน็ บทบาทสำคญั ของครูแนะแนว กล่าวโดยสรุปได้วา่ การแนะแนวการศึกษา หมายถึง กระบวนการทคี่ รใู ห้ความรู้ความเข้าใจ แก่นักเรียนทั้งในดา้ นเก่ียวกับการศึกษา การอาชีพ และด้านพฤติกรรมส่วนบุคคล ซึ่งทำให้ นักเรียน สามารถเลือกแนวทางการศกึ ษา อาชพี และปรับปรงุ พฤติกรรมของตน ได้เหมาะสมกับความถนัดและ ความสามารถทางสติปัญญาของตน ท้ังนี้เพ่ือเป็นการป้องกันความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาดในการ เรียนของนักเรยี น การพฒั นาระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา การประกันคุณภาพการศึกษา มีผลสืบเน่ืองในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2542 และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ท่ีได้กำหนดให้สถานศึกษาต้อง ได้รับ การประเมินคุณภาพการศึกษาทุกสถานศึกษา ความหมายของการประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง การบริหารจดั การและการดำเนินกิจกรรมตาม ภารกิจของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ ของผ้เู รยี นอยา่ งต่อเน่ือง สร้างความม่ันใจให้ผรู้ บั บริการ ทางการศึกษาท้ังผ้รู ับบริการโดยตรง ได้แก่ ผู้เรียน ผู้ปกครอง และผู้รับบริการทางอ้อม ได้แก่ สถานประกอบการ ประชาชน และสังคม โดยรวม (สำนักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา, 2547, 2) และยังกลา่ ววา่ การ ประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง การดำเนินการใด ๆ โดยอาศัยหลักการและวิธีการจัดการ คุณภาพอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความมันใจ ต่อผู้ปกครอง ชุมชน สังคม ในกรปฏิบัติหรือการ ดำเนินงานของสถานศกึ ษาตามพันธกิจที่ได้ รว่ มกันกำหนดไว้นั้น จะไดผ้ ลติ ของการศกึ ษาทีมคี ณุ ภาพ อนั พงึ ประสงค์ตามความคาดหวังของ ผ้ปู กครอง ชมุ ชน สังคม สัมฤทธิ์ กางเพ็ง (2544, 35) ได้ให้ความหมาย การประกันคุณภาพการศึกษาเป็น กระบวนการจัดการของผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษาท่ีจะรับประกันให้สังคมเชื่อมั่นว่าจะพัฒนาให้ ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ให้ครบถว้ นตามมาตรฐานคุณภาพที่ระบไุ ว้ในหลักสตู ร และตรงตามความม่งุ หวัง
58 ขอ งสังคมและชุมชน โดยยึดหลักการส ำคัญ 3 ประการ คือ การก ระจายอำน าจ (decentralization) การมีสว่ นร่วม (participation) และการควบคุมคุณภาพ (quality control) อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ และสุวรรณี มงคลรุ่งเรือง (2545, 46) กล่าวว่า การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถงึ กจิ กรรม แนวปฏิบัติ หรอื แผนงานท่ีได้จดั ทำขน้ึ อยา่ ง เป็น ระบบ หรือเปน็ กิจกรรมที่ไดว้ างแผนไว้ล่วงหน้า โดยมีเป้าหมายของกิจกรรมหรือการกระทำ ท่ีวาง ไว้คือ ผู้ใช้บริการจะไดร้ บั ผลผลิตท่ีมคี ุณภาพ กล่าวโดยสรปุ ไดว้ ่า การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง การดำเนนิ งานอย่างเปน็ ระบบ ตาม มาตรฐานการศึกษาท่ีกำหนด เพ่ือให้ผู้รับบริการมีความมั่นใจต่อสถานศึกษาในการบริหารจัด การศึกษาได้มาตรฐานและนำส่กู ารผลิตผูเ้ รยี นใหม้ คี ุณภาพ หลกั การและกระบวนการของประกันคุณภาพ สำนั ก วิชาก ารและม าตรฐาน ก ารศึก ษ า (2 54 9 , 3 -5) ได้ก ล่าวถึงห ลัก ก ารใน การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษามี 3 ประการ คือ 1) การกระจายอำนาจ 2) การเปิด โอกาสการมีส่วนรว่ มในการทำงาน 3) การแสดงภาระรับผดิ ชอบท่ีตรวจสอบได้ สำหรับระบบการ ประกันคุณภาพการศกึ ษา มีกระบวนการดำเนินการที่สมั พันธ์กนั 3 ประการ สรปุ ได้ดังนี้ 1. การพัฒนาคุณภาพ เป็นการดำเนินงานเพื่อพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาให้บรรลุถึงมาตรฐาน การศกึ ษาท่ีกำหนดไว้ หัวใจสำคญั ของการพัฒนาคุณภาพ คือ การสร้างจิตสำนึกให้ทกุ คนตระหนัก ถึงความจำเป็นของการทำงานเป็นกลุ่ม ทำงานอย่างมีระบบ และทุกคนต้องถือเป็น หน้าท่ีท่ีจะ ปรับปรุงการทำงานอย่างต่อเน่ือง จัดทำข้อมูลสารสนเทศในส่วนท่ีรบั ผิดชอบ ใช้ข้อมูล สารสนเทศ นั้นให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนางานเป็นประจำ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล และการจัด หมวดหมู่ ข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบ มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ มีการพัฒนาด้านปัจจัยให้สามารถใช้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ สรรหาให้เพียงพอ ดูแลรักษาให้ใช้ได้อยู่เสมอ และปลอดภัยในการใช้ ประการสำคัญคือ ต้องมีระบบและกลไกการปฏิบัติงานตามแผน รวมท้ังติดตามกำกับ การ ดำเนินงานอย่างจริงจงั และตอ่ เน่ือง 2. การติดตามตรวจสอบคุณภาพ เป็นการดำเนินงานเพ่ือช่วยเหลือ สนับสนุน กำกับ ตดิ ตามความก้าวหน้า และยืนยนั การพัฒนาคุณภาพการจดั การศึกษาของสถานศึกษาให้เป็นไปตาม เป้าหมายและบรรลตุ ามมาตรฐานท่ีกำหนด โดยการติดตามตรวจสอบคณุ ภาพสามารถดำเนนิ งาน ใน แตล่ ะระดบั ได้ดงั นี้ 2.1 การติดตามตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยสถานศึกษาตั้งคณะทำงานข้ึน เพ่ือรวบรวมข้อมูลสารสนเทศ การดำเนินงาน /โครงการ ตลอดปีการศึกษาทั้งด้านการพัฒนา คุณภาพผู้เรียน คุณภาพการจัดการเรียนการสอน คุณภาพการบริหารและการจัดการศึกษา และ ดา้ นพัฒนาชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้
59 2.2 การติดตามตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบสถานศึกษา เพื่อให้การส่งเสริมสนับสนุนและช่วยเหลือให้สถานศึกษา สามารถดำเนินการพัฒนาคุณภาพไปส่เู ป้าหมายตามมาตรฐานท่ีกำหนดไว้อยา่ งน้อย 1 ครั้ง ภายใน 3 ปี 2.3 การติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในภาพรวม ระดับประเทศ โดยหน่วยงานหลักท่ีรับผิดชอบ คือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อนำข้อมูลท่ีได้มาประกอบการกำหนดนโยบาย เพื่อส่งเสริมสนับสนุนและผลักดันให้สถานศึกษา พัฒนาคณุ ภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง กำหนดมาตรฐานเพ่ือยกระดบั คุณภาพ สถานศึกษาที่ไม่ผ่าน เกณฑ์ ส่งเสรมิ การมีส่วนร่วมระหว่างสถานศึกษาเพื่อเพ่ิมพนู ศักยภาพ สถานศึกษาใหบ้ ริหารและจัด การศึกษาไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี 3. การประเมินและรับรองคุณภาพการศึกษาเป็นการดำเนินงานเพื่อตรวจสอบผลการจัด การศึกษาของสถานศึกษา โดยแบ่งเป็น 2 สว่ นท่ีเกยี่ วข้องกัน ดังนี้ 3.1 การประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาจากการติดตามตรวจสอบคุณภาพของ สถานศึกษาในข้อ 2.1 สถานศึกษานำข้อมูลสารสนเทศมาประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการศกึ ษาท่ี กำหนด จัดทำรายงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษา รายงานต่อ คณะกรรมการสถานศึกษา ผ้ปู กครองชมุ ชน หนว่ ยงานต้นสังกัด และรายงานตอ่ สาธารณชน 3.2 การประเมนิ คุณภาพภายนอก จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพ การศึกษา (องค์การมหาชน) หรือหน่วยงานอื่นท่ีสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศึกษา (องค์การมหาชน) รับรอง บทบาทการมีส่วนร่วมในงานพัฒนาระบบประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษา ดังที่ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2543, 16) ได้กำหนดภารกิจงาน พัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ฝ่ายวิชาการต้องจัดระบบโครงสร้างองค์กรให้ รองรับการจัดระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และกำหนดเกณฑ์การประเมิน เป้าหมายความสำเร็จของสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษา และตัวชี้วัดของกระทรวง เป้าหมาย ความสำเร็จของเขตพ้ืนท่ีการศึกษา หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมนิ คุณภาพการศึกษา นอกจากนี้ควรมีการวางแผนการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาตามระบบ ประกนั คุณภาพการศกึ ษาใหบ้ รรลุผลตามเปา้ หมายความสำเรจ็ ของสถานศึกษาดำเนินการพฒั นางาน ตามแผนและติดตามตรวจสอบ และการประเมินคุณภาพภายในเพื่อปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานความร่วมมือกับสถานศึกษาและหน่วยงานอื่ นในการปรับปรุงพัฒน าระบบประกัน คุณภาพภายใน และการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ประสานงานกบั เขตพ้ืนที่การศึกษา เพอ่ื การประเมินคณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามระบบการ ประกันคุณภาพการศึกษาภายในเขตพื้นท่ีการศึกษาและประสานงานกับสำนักงานรับรองมาตรฐาน
60 การศึกษาและประเมินคุณภาพการศึกษาในการประเมินสถานศกึ ษาเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาอย่าง เป็นระบบและต่อเนื่อง การประกันคุณภาพกำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2542 ให้สถานศกึ ษาตอ้ งมีระบบการประกันคุณภาพการศึกษา เพ่ือเป็นกลไกสำคัญใน การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติ ดังน้ันทุกคนควรตระหนักและทำความเข้าใจถึงเรื่องของการ ประกันคุณภาพ ตง้ั แต่หลักการ กระบวนการ และแนวการดำเนนิ การประกนั คณุ ภาพของสถานศกึ ษา เพื่อให้การประกันคุณภาพของสถานศึกษาสามารถสรา้ งความมั่นใจแก่ผู้ที่มีส่วนได้สว่ นเสียในการจัด การศกึ ษา จากแนวคิดดังกล่าวสามารถกล่าวสรุปได้ว่า ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษา หมายถึง การพัฒนาคุณภาพของโรงเรียน โดยการจัดระบบโครงสร้างให้รองรับการ จัดระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การกำหนดเกณฑ์การประเมิน เป้าหมาย ความสำเรจ็ ของสถานศึกษา การวางแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาความรู้และทักษะ เกี่ยวกบั การประกนั คณุ ภาพ และการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศกึ ษาของโรงเรยี น ดา้ นการสง่ เสริมความรู้ทางวิชาการแกช่ มชน ความหมายของความรู้ซึ่ง ราชบณั ฑิตยสถาน (2546, 232) ให้ความหมายของความรวู้ า่ เป็น ความนาม สิ่งท่ีส่ังสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้ง ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ ความเข้าใจหรือสารสนเทศท่ีได้รับมาจากประสบการณ์ ส่ิงที่ ไดร้ ับมาจากการได้ยนิ ได้ฟงั การคิดหรอื การปฏิบัติ องคว์ ิชาในแต่ละสาขา เช่น ความรู้เรื่องเมอื งไทย ความรู้เรื่องสุขภาพ เป็นตน้ ความสำคัญของการส่งเสรมิ ความรู้ทางวชิ าการแก่ชุมชน สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน (2543, 1-2) ในหลักสตู รการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ได้อธิบายถึง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้บุคคลมีสิทธิ์เสมอกันในการรับการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน ไม่นอ้ ยกวา่ สิบสองปีอย่างทั่วถงึ และมี คุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจัดการศึกษาอบรมของรัฐต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กร ปกครองทอ้ งถ่ิน และชมุ ชน ประกอบกบั พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้ กำหนดให้การศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ เพ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการ ถา่ ยทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์ความก้าวหน้าทาง วิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากากรจัดสภาพแวดล้อม สังคมแห่งการเรียนรู้ และปัจจัย เกื้อหนุนให้บุคคลเกดิ การเรียนร้อู ย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคน ไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและ วฒั นธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยรู่ ว่ มกับผู้อืน่ ได้อย่างมีความสุข
61 สมชาย เทพแสง (2547, 10) ได้อธิบายทฤษฎีการบริหารและการจดั การคุณภาพโดยเน้น คุณภาพเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน มีองค์ประกอบ 5 ประการ หน่ึง ใน ทฤษฎีน้ีคือ ขอ้ ท่ี 3 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการจัดการคุณภาพถอื ว่ามนุษย์เป็น ทรพั ยากร ที่สำคัญต้องพัฒนา การพัฒนาจึงเร่ิมต้นท่ีมนุษย์ก่อน เรียกว่าสร้างคน ก่อนสร้างวัด เพราะถ้า มนุษย์ดีทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีไปด้วย การจัดการคุณภาพจึงส่งเสริมมนุษย์ให้ได้รับการพัฒนาทุกด้าน โดยอาศัยการใช้แรงจูงใจ การอบรมสัมมนาทุกด้าน การวางระบบการให้รางวัล เพ่ือจูงใจให้ บคุ ลากรในโรงเรียนนำศักยภาพมาพัฒนาตนเองใหเ้ กดิ ความเจริญกา้ วหน้าซ่ึงโรงเรียนควรจัดกิจกรรม สง่ เสริมให้บุคลากรท้ังครู เจ้าหน้าท่ีตา่ ง ๆ รวมทั้งนกั เรยี นและผู้ปกครอง ตลอดจน ชุมชน โดยถือ ว่าโรงเรียนเปน็ ศนู ยก์ ลางของชุมชนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แนวทางการสง่ เสริมความรู้ทางวิชาการแกช่ ุมชน อินทิรา หิรัญสาย (2545, 21) ได้กล่าวว่า ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาสังคมโดยให้ความสำคัญกับ ท้องถิ่นและผู้คนใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1) การใช้พื้นท่ีเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงปัญหา 2) การมี องค์กรในการปฏบิ ัติงาน 3) การมสี ่วนร่วมของประชาชน แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียนเปน็ คนดี คนเก่ง และ อยู่ ในสังคมอย่างมีความสุขได้น้ันต้องอาศัยโรงเรียนเป็นฐาน เป็นพื้นที่ เป็นเครื่องมือและเป็นแกนนำ สำคัญในการปฏิบัติงาน โดยร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ิน เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น เพ่ือ สง่ เสริมความเข้มแข็งใหก้ ับชุมชน โดยการจัดกระบวนการเรยี นรู้ภายในชุมชนมีการแสวงหา ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร รู้จักเลือกสรรภูมิปัญญาท้องถิ่น ซ่ึงมีบุคลากรหลากหลายอาชีพท่ีมี ความเก่ง ความสามารถ ตลอดจนวิทยาการตา่ ง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการ ของชุมชน ดังน้ัน การจัดการศึกษาจึงต้องดึงเอาภูมิปัญญาในศาสตร์ต่าง ๆ เข้าสู่โรงเรียนตลอดจนหาวิธีการ สนบั สนุนใหม้ กี ารแลกเปลี่ยนประสบการณ์พัฒนาระหวา่ งชุมชน สุพล วังสินธ์ุ (2545, 15) ได้อธิบายถึงยุทธวิธีการพัฒนาโรงเรียนท้ังระบบว่าการพัฒนา โรงเรียนท้ังระบบเพื่อปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญนั้นสามารถจำแนกเป็น 4 สว่ น หนึ่งในยุทธวธิ ดี ังกล่าว ส่วนท่ี 4 ระบถุ ึงการจัดกจิ กรรมชุมชนสัมพันธ์เป็นกิจกรรมที่บคุ ลากรใน โรงเรยี นจัดข้ึนเพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้ โดยให้ผู้ปกครอง ชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ เขา้ มามีส่วนรว่ ม ในกระบวนการทุกขั้นตอน และเป็นเคร่ืองมือสำคัญในการเชื่อมโยงการเรียนรู้ ระหว่างโรงเรียนและ ชุมชน มุ่งขยายการเรยี นร้สู ู่ชุมชนอยา่ งมสี ่วนร่วม สรุ วิทย์ วรรณไกรโรจน์ (2545, 73) ได้อธิบายถึงโครงการเรียนรอู้ อนไลน์แหง่ สวทช. พอ สรุปได้ว่า เป็นการนำเอาไอทีเข้ามาช่วยในเร่ืองการศึกษาได้อย่างไร โดยเน้นในเร่ือง E-Learning
62 และ ด้ว ยเท คโน โลยีท่ี เป ลี่ ยน แป ลงเร็วม าก เพ ราะ ฉะน้ั น รูป แบ บ ขอ งก ารเรียน รู้จึง เปลี่ยนแปลงไป เราสามารถท่ีจะเรียนทุกวิชาจากอินเทอร์เน็ต จะทำให้การเรียนเร็วขึ้น ทันสมัย ความรู้สามารถท่ีจะเลือกให้เหมาะสมกับบุคคลได้โดยง่าย สามารถติดต่อสื่อสารได้โดยงา่ ยจึงทำให้ เกดิ การร่วมมอื ในการศกึ ษากนั ไดง้ ่าย และมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรยี นรู้ (2543, 11) มาตรา 29 : บทบาทของผูม้ สี ว่ นเก่ียวขอ้ ง ใหส้ ถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กร เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น จัดกระบวนการ เรียนรู้ในชุมชน เพ่ือส่งเสริมความเข้มแขง็ ของชุมชน รวมทั้งหาวิธีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การ พฒั นาระหวา่ งชมุ ชน บทบาทการมสี ่วนรว่ มในงานส่งเสริมความรทู้ างวชิ าการแก่ชุมชน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2543, 40) ได้กำหนดภารกิจงานส่งเสริม ความรู้ทางวิชาการแก่ ชุมชน โดยฝ่ายวชิ าการต้องศึกษาสำรวจความตอ้ งการสนับสนุนงานวิชาการ แกช่ ุมชน โดยจัดใหม้ คี วามรู้ เสริมสร้างความคิดและเทคนิคทักษะทางวชิ าการเพ่ือการพัฒนาทักษะ วิชาชพี และคุณภาพชีวติ ของประชาชน ชมุ ชน ทอ้ งถิ่น มีการสง่ เสรมิ ให้ประชาชนในชมุ ชน ท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการของสถานศึกษาและที่จัดโดยบุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอื่นท่ีจัดการศกึ ษาโดยสง่ เสริมใหม้ ีการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ประสบการณ์ระหวา่ ง บคุ คล ครอบครัว ชุมชนและท้องถ่ิน การส่งเสริมความรู้ทางวิชาการแก่ชมุ ชน เปน็ ภารกิจหนึ่งของ โรงเรียน ดังนั้นฝ่ายงานบริหารวิชาการและฝ่ายสนับสนุนต่าง ๆ จึงต้องร่วมมอื กันจัดกิจกรรมท่ีจะ ส่งเสริมความรู้ต่าง ๆ โดยผ่านการศกึ ษาสำรวจความตอ้ งการการสนับสนนุ งานวิชาการแกช่ ุมชน เพ่ือ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนให้ได้มากท่ีสุด ซึ่งรูปแบบการส่งเสริมความรู้ทาง วิชาการสามารถจัดทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การให้มีความรู้ เสริมสร้างความคิด เทคนิค ทักษะทางวิชาการเพื่อการพัฒนาทักษะวิชาชีพหรือเพ่ือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนใน ชุมชน กล่าวโดยสรุปได้ว่า ด้านการส่งเสริมความรู้ทางวิชาการแก่ชุมชน หมายถึง การสำรวจ ความต้องการสนับสนุนวิชาการ การจัดให้ความรู้ เสริมสร้างความคิดและเทคนิค ทักษะของ วิชาการ เพื่อพัฒนาทักษะทางวิชาการ การส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง วชิ าการและการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ระหวา่ งบุคคล ครอบครวั และชมุ ชน จากการศึกษาวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการ แก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงาน สถานประกอบการและสถาบนั อ่ืนท่ีจดั การศึกษา พอสรุปได้ ว่า แนวทางดำเนนิ การทจ่ี ะทำให้เกดิ ผลสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศกึ ษาของโรงเรียนน้ัน โรงเรียนต้องดำเนินการในรูปของเครือขา่ ยการจดั การความรู้ การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในการจัด
63 การศึกษาของโรงเรียน การใช้วิธีการประชาสัมพันธ์จัดการให้ความรู้แก่ บุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงาน สถานประกอบการและสถาบันอ่ืน ดว้ ยการจัดนทิ รรศการใหค้ วามรู้ จัดการอบรมใหค้ วามรู้ และมกี ารประชมุ เพ่ือแลกเปลี่ยนเรยี นร้ซู ่ึงกันและกัน ผลการวิจัยทีย่ กมาอ้างอิงน้ี ช้ีใหเ้ ห็นว่า หากทุก ฝ่ายไม่ว่าจะเป็น บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบันอื่นที่จัด การศึกษา ได้ร่วมมือกันด้วยความจริงใจและเต็มใจแล้วน่าจะทำให้การดำเนินการจัดการศึกษาของ โรงเรียนมปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ขึน้ แนวทางการพัฒนาด้านการประสานความร่วมมือในการพฒั นาวิชาการกบั สถานศึกษา และองคก์ รอนื่ นภาพร พลอยบ้านแพ้ว (2555, 85) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒ นาการบริหาร งานวิชาการ ด้านการประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น คือ โรงเรียนควรมีการประสานความร่วมมือ ช่วยเหลือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งมีการสรา้ งเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนา วิชาการ กับองคก์ รต่าง ๆ ฐิตารีย์ ไชยชิน (2556, 120) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการ ด้านการประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอ่ืน คือ ควรมีการ ประสานความร่วมมือ ช่วยเหลือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาของรัฐ เอกชนและ องค์การ ปกครองส่วนท้องถน่ิ อีกทั้งมีการสรา้ งเครือข่ายความรว่ มมือในการพัฒนาวิชาการกับองค์กรต่าง ๆ ชนม์ผศุตม์ พัฒพันธ์ (2557, 115) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหาร งานวิชาการ ด้านการประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอ่ืน คือ ควรมีการสร้าง เครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาวชิ าการกับองค์กรต่าง ๆ ท้ังภายในประเทศ และต่างประเทศ และ ควรมีการสร้างเครือขา่ ยเพ่อื แลกเปลยี่ นเรยี นรู้และช่วยเหลอื กันในงานวิชาการ จากวรรณกรรมและงานวิจัยท่เี กยี่ วข้องกบั การประสานความร่วมมอื ในการพัฒนาวิชาการกับ สถานศึกษาอ่ืน ท่ีกล่าวมาข้างต้นแสดงถึงความสำคัญและความจำเป็นท่ีผู้บริหารสถานศึกษาต้อง ดำเนินการให้มีประสิทธิภาพเพ่ือให้การดำเนินการบริหารงานวชิ าการด้านการประสานความรว่ มมือ ในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น มีประสิทธิภาพและส่งผลต่อคุณภาพการจัดการศึกษาของ โรงเรียน แนวทางการพัฒนาด้านการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแกบ่ ุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงาน และสถาบันอนื่ ท่ีจดั การศึกษา งานส่วนนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญประการหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการให้แก่ หน่วยงานท่ีจัดการศึกษา เน่ืองจากว่าการศึกษาสามารถเช่ือมโยงได้ถึงกันหมด เพราะการศึกษามี รูปแบบที่แตกตา่ งกัน แล้วแต่วา่ หนว่ ยงานจะจัดรปู แบบการศึกษาเช่นไร แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ
64 ต้องการพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีคุณภาพ ซึ่งงานส่วนนี้กล่าวโดยภาพรวมก็คือ การสร้างองค์ ความรทู้ างด้านวิชาการให้แก่หน่วยงานตา่ ง ๆ นน่ั เอง นภาพร พลอยบ้านแพ้ว (2555, 85) กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหาร งานวิชาการ ดา้ นการส่งเสริมและสนับสนุนงานวชิ าการแก่บุคคล ครอบครวั องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอ่ืนท่ีจัด การศึกษา คือ โรงเรียนควรจัดทำสำรวจและศึกษาข้อมูลการจัดการศึกษา รวมท้ังความต้องการในการ สนับสนุนด้านวิชาการของบุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สนับสนุนการพัฒนางานวิชาการ และ พัฒนาคุณภาพผู้เรยี นในการจัดการศึกษา อีกท้ังจัดให้มี การแลกเปลี่ยนเรียนรใู้ นการจัดการศึกษาของ บคุ คล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน ฐิตารีย์ ไชยชิน (2556, 120) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการ ด้านการ ส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอ่ื น ท่ีจัด การศึกษา คือ โรงเรียนควรจัดทำสำรวจและศึกษาข้อมูลการจัดการศึกษา รวมท้ังความต้องการ ในการ สนับสนุนด้านวิชาการของบุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สนับสนุนการพัฒนา งานวิชาการ และพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในการจัดการศึกษา อีกท้ังจัดให้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ในการจัดการศึกษา ของบคุ คล ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงาน ชนม์ผศุตม์ พัฒพันธ์ (2557, 116) ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาการบริหาร งานวิชาการ ดา้ นการส่งเสริมและสนับสนุนงานวชิ าการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอื่นท่ีจัด การศึกษา คอื ควรส่งเสรมิ ให้ชุมชนเข้ามามีสว่ นรว่ มในกิจกรรมทางวิชาการ ของสถานศกึ ษา และควรมี การศกึ ษาสำรวจความตอ้ งการสนับสนนุ งานวิชาการแก่ชุมชน จากข้อมูลการบริหารงานวิชาการท้ัง 12 ด้านของโรงเรียนมัธยมศึกษา นั้นจะเห็นได้ว่า ผู้บริหารโรงเรียนมีความสำคัญย่ิงในการบริหารงานวิชาการดังกล่าวใน 12 ด้านนั้น ดังที่นักวิชาการ หลายท่านได้แสดงแนวคิดไว้หลากหลาย ท้ังน้ีก็เพ่ือให้การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนมีคุณภาพ มาตรฐานตามเกณฑ์ระดับชาติ ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตรงตามจุดหมายของหลักสูตรและมี ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนทส่ี ูงขึ้น 3. แนวคดิ เกย่ี วกับการบริหารจัดการเรียนรู้ส่ปู ระชาคมอาเซยี นของโรงเรียนมัธยมศึกษา 3.1 การบริหารจัดการเรียนรูส้ ปู่ ระชาคมอาเซียนของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ได้ดำเนินงานโครงการเก่ียวกับการจัดการ เรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ โครงการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนโดยคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วม โครงการเพือ่ พฒั นาใหม้ คี วามพรอ้ มและศกั ยภาพ ในการจัดการเรยี นรู้เก่ียวกับประชาคมอาเซยี น เป็น ศูนย์การเรียนรู้อาเซียนจำนวน 68 โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียน 3 รูปแบบ คือ 1) โรงเรียน Sister School จำนวน 30 โรงเรียน 2) โรงเรียน Buffer School จำนวน 24 โรงเรยี น 3) Asean Focus
65 School จำนวน 14 โรงเรียน ทั้งนี้มีโรงเรียนท่ีเป็นเครือข่าย มากกว่า 500 โรงเรียน โรงเรียนที่เข้า รว่ มโครงการดังกล่าวขณะนี้กำลังดำเนินการพัฒนาโรงเรียนสู่ประชาคมอาเซียน และจัดกิจกรรมใน โรงเรียนเพอ่ื สรา้ งความตระหนักเก่ยี วกับประชาคมอาเซียน ผลการดำเนินงานท่ีผ่านมาโรงเรียนได้จัดกิจกรรมหลากหลาย เช่น การเรียนรู้ผ่านสื่อ อปุ กรณ์ รปู ภาพ วีดิทัศน์ นิทรรศการ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการติดต่อส่ือสารกับโรงเรียนใน ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนทางส่ืออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อ ICT (Information Communication Technology) ซ่ึงกิจกรรมที่กล่าวมาเป็นการออกแบบและจัดประสบการณ์ให้โรงเรียนได้เปิดโอกาส ใหน้ ักเรียนในโรงเรยี นท่เี ปน็ ศูนย์อาเซียนและโรงเรียนเครอื ขา่ ยได้ลงมือปฏิบตั ิจรงิ ซึ่งเปน็ ไปตามแนว ทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง และมีกิจกรรมค่ายสร้างสรรค์ที่เน้นการ สรา้ งความตระหนักเร่อื งประชาคมอาเซยี น (สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2549, 2-3) ดงั ภาพประกอบที่ 3
66 เป้าหมายการพัฒนาสปู่ ระชาคมอาเซยี น Sister School (30 โรง) Buffer School (24 โรง) ASEAN Focus School (14 School สงั กัด สพฐ. - เปน็ โรงเรียนตน้ แบบการ - เปน็ โรงเรียนต้นแบบการ โรง) - ผู้บริหาร ครู และผูเ้ รียนมี พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่ พฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษาที่ - เป็นโรงเรียนตน้ แบบการ ความรู้ ความเขา้ ใจ และ เน้นอาเซียน เนน้ ภาษา เนน้ อาเซยี น เนน้ ภาษาเพื่อน พัฒนาการเรยี นรอู้ าเซยี น โดย ตระหนกั เกีย่ วกับอาเซียน องั กฤษ ICT ภาษาเพอื่ นบา้ น บา้ นพหุวฒั นธรรม การบรู ณาการในหลกั สตู ร - จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ - เป็นศนู ย์อาเซียนศึกษา - เป็นศูนย์อาเซียนศึกษา 2551 เนน้ การจัดกจิ กรรม เกี่ยวกับอาเซียน เผยแพร่ส่ือการเรยี นรู้เกยี่ วกบั เผยแพร่ส่ือการเรยี นรู้ และ พัฒนาผูเ้ รยี น และการจดั ทา - จดั กิจกรรมสรา้ งความรู้ อาเซียนสาหรบั ผ้บู รหิ าร ครู แหลง่ การเรียนรเู้ กยี่ วกับ หนว่ ยการเรียนรู้อาเซียนศกึ ษา ความเข้าใจและความ ผู้เรียน และชมุ ชนรวมทัง้ ผ้ทู ่ี อาเซยี นสาหรบั ผู้บริหาร ครู กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคม ตระหนักเกย่ี วกบั อาเซียน สนใจท่ัวไป ผู้เรียน และชุมชน รวมทั้งผทู้ ี่ ศกึ ษาฯ - มีมมุ มองอาเซียนศกึ ษาหรือ - จัดกจิ กรรมสรา้ งความรู้ สนใจทว่ั ไป - เปน็ ศนู ยอ์ าเซียนศึกษา เปน็ ศูนย์อาเซยี นศกึ ษา ความเข้าใจ และความ - จดั กิจกรรมสรา้ งความรู้ แหล่งการเรียนรู้เกีย่ วกับ ตระหนักเกีย่ วกับอาเซยี น ความเข้าใจ และความ อาเซียนในโรงเรียนและชมุ ชน - มโี รงเรียนเครอื ขา่ ยอย่าง ตระหนักเก่ียวกับอาเซียน น้อย 9 โรงเรยี น - มโี รงเรียนเครือข่ายอย่าง นอ้ ย 9 โรงเรียน ภาพประกอบที่ 3 เปา้ หมายการพฒั นาส่ปู ระชาคมอาเซียน ที่มา : สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549ก, 2) การดำเนินการนำแนวคิดการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในการ ดำเนนิ การจึงเนน้ ที่การผสานแนวคดิ ดงั กลา่ วเข้าไปในหลักสตู รสถานศกึ ษา ให้การทำงานท้ังหมดเป็น การทำงานปกติ กล่าวคือ จัดเป็น 1) รายวิชาพ้ืนฐาน 2) รายวิชาเพิ่มเติม และ 3) กิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน โดยเป็นการประกันผลได้ว่า ผู้เรียนมีคุณภาพตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดไว้ ขณะเดียวกันกเ็ ปน็ การเตรยี มการให้ผ้เู รียนมีความรู้ ทักษะกระบวนการ และเจตคติคา่ นิยมของพลเมอื งไทยท่มี คี วามร้คู วามเขา้ ใจและสามารถอยู่ในประชาคมอาเซยี นไดอ้ ย่าง ดี สำหรับโรงเรียน Sister School และ Buffer School อาจมีการพัฒนาทีผู้เรียนในส่วนการ เตรียมการสู่ประชาคมอาเซียนที่มคี วามเข้มขน้ ในเรอ่ื งของการใช้ภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสาร ซึ่งเป็น ภาษาของอาเซียน เร่ืองของการใช้ภาษาต่างประเทศที่สอง ท่ีเป็นภาษาเพ่ือนบ้าน รวมไปจนถึง การศึกษาเพ่ือความเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม นอกจากน้ียังมีระบบการส่ือการท่ีเป็น
67 เครอื ข่ายสังคมออนไลน์ (social network) ในการตดิ ตอ่ ส่ือสารและเรยี นรูร้ ่วมกนั ระหวา่ งโรงเรยี นกับ โรงเรียนอ่ืน ๆ ในประเทศในอาเซียน (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2549, 3) ดัง ภาพประกอบท่ี 4 ข้อมูลพ้นื ฐาน/บริบท หลกั สตู รสถานศึกษาทเ่ี นน้ อาเซยี น : ของโรงเรยี น Sister School/Buffer School หลกั สูตรแกนกลาง หลกั สตู รสถานศึกษา รายวชิ าพื้นฐาน Web การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน Sister School/ รายวชิ าเพ่ิมเตมิ Community พุทธศักราช 2551 Buffer School อาเซียน จุดเน้นของ Buffer กจิ กรรมพัฒนา School ภาษาเพ่ือน ผ้เู รียน จุดเน้นของ Sister บ้าน พหุวฒั นธรรม School ภาษาองั กฤษ ภาษา เพ่ือนบ้าน ICT พหุ วัฒนธรรม ภาพประกอบท่ี 4 แนวคิดการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน ท่ีมา : สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549ข, 3) 3.2 การติดตามผลการดำเนินงานเตรยี มความพร้อมในการเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซียน การดำเนินการเพอื่ พฒั นาการจดั การเรยี นรสู้ ่ปู ระชาคมอาเซียนจะประสบความสำเร็จและ บรรลุผลได้อย่างเปน็ รูปธรรม จะต้องมีการบรรลุผลการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ดังน้ี (สำนักวิชาการ และมาตรฐานการศึกษา, 2549, 17) 1. ดา้ นคุณภาพนกั เรียน คอื การบรรลุผลการดำเนินงานดา้ นความรู้ ทักษะ/กระบวนการ และเจตคติของนักเรยี นทมี่ ตี ่อประชาคมอาเซยี น
68 2. ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ คือ การบรรลุผลการดำเนินงานด้านคุณภาพ วชิ าการ และคุณภาพครู 3. ด้านการบริหารจัดการ คือ การบรรลุผลการดำเนินงานดา้ นคุณภาพของผู้บริหารและ ครู และการสง่ เสรมิ สนับสนุน 4. ข้อมูลพืน้ ฐานพ้ืนท่ีทำวิจยั สถานศกึ ษาสงั กดั สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม สถานศึกษาสงั กดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 9 จงั หวัดนครปฐม (สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 9, 2559, 27-31) มีจำนวน 29 โรงเรียน แบ่งตามเขต อำเภอ ดงั ตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 จำนวนโรงเรียน อำเภอ และขนาด ท่ี อำเภอ โรงเรียน ขนาด 1 ดอนตูม คงทองวิทยา ใหญ่ 2 ดอนตมู บา้ นหลวงวิทยา เลก็ 3 นครชัยศรี ง้ิวรายบุญมรี งั สฤษดิ์ เลก็ 4 นครชยั ศรี ภทั รญาณวิทยา กลาง 5 นครชัยศรี อบุ ลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลยั เลก็ 6 นครชัยศรี พลอยจาตุรจนิ ดา เล็ก 7 นครชัยศรี แหลมบัววทิ ยา เล็ก 8 นครชัยศรี เพ่มิ วทิ ยา เล็ก 9 เมอื งนครปฐม พระปฐมวิทยาลยั ใหญ่พิเศษ 10 เมอื งนครปฐม ราชนิ บี รู ณะ ใหญพ่ ิเศษ 11 เมอื งนครปฐม พระปฐมวิทยาลัย 2 กลาง 12 เมืองนครปฐม ศรวี ิชัยวิทยา ใหญ่ 13 เมอื งนครปฐม สระกะเทยี มวิทยาคม กลาง 14 เมอื งนครปฐม วดั หว้ ยจรเข้วิทยาคม ใหญ่
ตารางที่ 1 (ตอ่ ) โรงเรียน 69 โพรงมะเดอ่ื วทิ ยาคม ท่ี อำเภอ สิรนิ ธรราชวิทยาลยั ขนาด 15 เมอื งนครปฐม กำแพงแสนวทิ ยา กลาง 16 เมืองนครปฐม มธั ยมฐานบินกำแพงแสน ใหญพ่ เิ ศษ 17 กำแพงแสน ศาลาตกึ วทิ ยา ใหญ่ 18 กำแพงแสน บางเลนวิทยา ใหญพ่ เิ ศษ 19 กำแพงแสน บางหลวงวทิ ยา กลาง 20 บางเลน สถาพรวิทยา กลาง 21 บางเลน บัวปากท่าวิทยา เล็ก 22 บางเลน สามพรานวิทยา เล็ก 23 บางเลน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย เลก็ 24 สามพราน วดั ไร่ขิงวิทยา กลาง 25 สามพราน ปรดี ารามวทิ ยาคม กลาง 26 สามพราน รัตนโกสินทร์สมโภชฯ ใหญพ่ เิ ศษ 27 สามพราน กาญจนาภเิ ษกวิทยาลยั นครปฐม เลก็ 28 พทุ ธมณฑล ใหญ่ 29 พทุ ธมณฑล ใหญ่ หมายเหตุ สถานศกึ ษาท่ีมนี ักเรียนตัง้ แต่ 2,501 คนข้นึ ไป เป็นขนาดใหญ่พเิ ศษ นักเรยี นตั้งแต่ 1,501 -2,500 คน ขนาดใหญ่ นักเรียนระหวา่ ง 501-1,500 คน ขนาดกลาง นักเรียนไมเ่ กิน 500 คน เป็นขนาดเลก็
70 งานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง 1. งานวจิ ยั ในประเทศ เชาวนี นาโควงศ์ (2551, 98) ศึกษาสมรรถนะการปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียน การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ผลการศึกษาพบว่า สมรรถนะการ ปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ได้ตัวบ่งชี้ทั้งหมด 97 ตัวบ่งชี้ การวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงสำรวจสมรรถนะการปฏิบัติงานของครผู สู้ อนได้ 11 องค์ประกอบ ได้แก่องค์ประกอบ ด้านการพัฒนาผู้เรียน ด้านความรู้ความสามารถการจัดการเรียนรู้ ด้านจรรยาบรรณ ด้านการ ออกแบบการเรียนรู้ ด้านการบรหิ ารจัดการชั้นเรียน ด้านการบริการท่ีดี ด้านการพัฒนาการศึกษา พิเศษ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ ด้านการพัฒนาตนเอง และด้านการพัฒนาการ สอน มีน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.30-0.75 องค์ประกอบทั้งหมดสามารถอธิบายสมรรถนะ การปฏิบัติงานของครูผู้สอนในโรงเรียนการศึกษาพิเศษได้ร้อยละ 63.12 ผู้บริหารสถานศึกษาใน โรงเรียนการศึกษาพิเศษมีสมรรถนะการปฏิบัติงานแตกต่างจากผบู้ ริหารสถานศึกษาในโรงเรียนร่วม สังกดั สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดับ .01 ทง้ั หมด 10 องคป์ ระกอบยกเวน้ ด้านมงุ่ ผลสัมฤทธไิ์ มแ่ ตกตา่ งกัน ชาญชัย ฮวดศรี (2551, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยปัจจัยท่ีส่งผลต่อการประกันคุณภาพ การศึกษาของโรงเรียนระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ขอนแก่นเขต 1 ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการประกันคุณภาพการศกึ ษา โดยภาพรวมส่งผล ต่อการประกันคุณภาพการศึกษา อยใู่ นระดบั มาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ไดแ้ ก่ ด้านบุคลากร ด้านบรหิ ารและการจัดการ ด้านงบประมาณ ดา้ นทรพั ยากรและสิงแวดล้อม และด้านสารสนเทศ มีคา่ สัมประสิทธิ์สหสมั พันธพ์ หุคณู .73 มีอำนาจพยากรณร์ ้อยละ 54.00 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .01 ณฐมนวรรณ ศิริสุขชัยวุฒิ (2553, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของระบบ ประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ทีไ่ ดร้ บั การรับรองมาตรฐานการศกึ ษา ในเขตภาคเหนอื ตอนล่าง โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยต่าง ๆ มีการทดสอบความสัมพันธ์โครงสร้างเชงิ เส้นของ ปัจจัยและตรวจสอบอิทธิพลทางตรง ทางอ้อม และอิทธิพลรวมของปัจจัยท่ีส่งผลต่อคุณภาพของ ระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ท่ีได้รบั การรับรองมาตรฐานการศึกษาผลการวจิ ัย พบวา่ 1) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษาและคณุ ภาพของระบบประกัน คุณภาพภายในสถานศึกษา ภาพรวมตัวแปรปัจจัยต่าง ๆ มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ตัวแปร ปัจจัยด้านการบริหาร ปัจจัยด้านโครงสร้าง ปัจจัยด้านบุคลากร ปัจจัยด้านกระบวนการ ปัจจัยด้าน ทรัพยากร คุณภาพของระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา ตามลำดับ
71 งามสม ไชยวุธ (2553, บทคัดยอ่ ) ได้ทำการวิจยั ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองคก์ ารกับ ประสิทธภิ าพงานวิชาการของสถานศกึ ษา สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาพระนครศรีอยุธยาเขต 2 พบวา่ วฒั นธรรมองค์การมคี วามสมั พนั ธก์ บั ประสิทธิภาพงานวิชาการของสถานศกึ ษาอยา่ งมีนัยสำคัญ ทางสถติ ิทีระดับ .05 วินัยพงษ์ คำแหง (2553, 105) ได้ศึกษาปัจจัยการบริหารท่ีส่งผลต่อการประกันคุณภาพ ภายในของโรงเรยี นในสังกัดเทศบาล จังหวัดสงขลา ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยการบริหารท่ีส่งผล ต่อการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัดสงขลาในปัจจัยภายใน ด้าน บุคลากร ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านสภาพแวดล้อม ด้านโครงสร้างองค์การด้านวัฒนธรรมองค์กร ด้าน ภาวะผนู้ ำ และปัจจัยภายนอก ได้แก่ ด้านสังคม ด้านการเมืองดา้ นเทคโนโลยี อยใู่ นระดบั มาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในของ โรงเรยี นในสังกัดเทศบาล จังหวัดสงขลา พบวา่ มีความสัมพนั ธร์ ะหว่างกันทางบวกปานกลาง อยา่ งมี นัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดับ .05 3) หาปจั จัยท่ีเป็นตัวพยากรณ์ท่ีดี และสร้างสมการในการพยากรณ์ใน การทำนายการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในของโรงเรียนในสังกัดเทศบาล จังหวัด สงขลา พบวา่ ไดร้ ้อยละ 77 นิตยา กาญจนารักษ์ (2553, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยการบริหารท่ีส่งผลต่อกระบวนการ บริหารจัดการหลักสตู รสถานศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน สังกดั สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 1 ผล การศึกษา พบว่า 1) ระดับของปัจจัยการบริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับของ กระบวนการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยการบริหารกับกระบวนการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สังกัดสำนักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ปทุมธานี เขต 1 มี ปัจจัย คือ ด้านชุมชนและผู้ปกครอง ด้านวัสดุ หลักสตู ร และดา้ นผู้บรหิ าร ส่งผลกระทบต่อกระบวนการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาอย่างมีนยั สำคัญ ทางสถิติทีระดับ .05 โดยมีคา่ สัมประสทิ ธิ์การตดั สินใจ (R Square) = .074 สุรเดช คำวันดี (2553, บทคัดย่อ) ได้ศกึ ษาปจั จัยการบริหารทีส่งผลต่อการดำเนินการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษาของสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาชลบุรี เขต 3 ผล การศึกษาพบว่า ปัจจยั การบริหารโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้านพบวา่ ดา้ น นโยบายการบรหิ ารและการปฏิบตั ิกับดา้ นสภาพแวดล้อม อยใู่ นระดับมาก ส่วนด้านบุคคลและด้านส่ิง อำนวยความสะดวก อยู่ในระดับปานกลาง สำหรับการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมอื่ พิจารณารายดา้ น พบวา่ ดา้ นกำหนดความตอ้ งการจำเปน็
72 ของท้องถ่ิน ด้านการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง ด้านการจัดทำ คำอธบิ ายรายวชิ าหรือเน้ือหาหรือกจิ กรรม และด้านการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ คู่มอื ครูและสื่อมี การดำเนนิ การพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษาอยใู่ นระดับมาก ตามลำดบั ส่วนด้านการปรับปรงุ แกไ้ ขและ พัฒนาหลักสูตร กับด้านการศึกษาวิเคราะห์และจัดทำข้อมูลพ้ืนฐาน อยู่ในระดับปานกลางสำหรับ ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา คือ ปัจจัยด้านนโยบายการ บริหารและการปฏิบตั ิกบั ปัจจัยดา้ นบุคคล ประภัสรา เทพศาสตรา (2553, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยการบริหารท่ีส่งผลต่อการ บริหารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดโรงเรียนเทศบาล จังหวัดระยอง ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการบริหารของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดโรงเรียนเทศบาล จังหวัดระยอง โดยรวมและรายด้านอยใู่ นระดบั มาก 2) การบริหารงานโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานของผ้บู ริหารโรงเรยี น สังกัดโรงเรียนเทศบาล จังหวัดระยอง โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบริหารที่ ส่งผลต่อการบรหิ ารงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ของผู้บริหารโรงเรียน สังกดั โรงเรยี นเทศบาลจังหวัด ระยอง ได้แก่ ปัจจัยด้านการบริการและผลผลิต ด้านประสิทธิภาพทางการเงิน และด้านการบริหาร จัดการ พิศิษฎ์ แสงสุพิน (2553, 111) ศึกษาสมรรถนะหลกั ทางการบริหารของผู้บริหารสถานศกึ ษา ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรยี นขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามหาสารคาม เขต 3 ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มหาสารคาม เขต 3 มีสมรรถนะโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเรียงลำดับดังน้ี สมรรถนะด้านมุ่ง ผลสัมฤทธิ์ การทำงานเป็นทีม การบริการท่ีดี และการพัฒนาตนเอง ความสัมพันธร์ ะหว่างสมรรถนะ หลักของผู้บริหารสถานศึกษาและประสิทธิผลของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษามหาสารคาม เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางมีความสัมพันธ์ในทางบวกอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สมรรถนะหลักการบริหารที่เป็นตัวทำนายประสิทธิผลของโรงเรียน ขนาดเล็กมี 3 สมรรถนะคือ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง และการมุ่งผลสัมฤทธ์ิโดยมีค่า สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.51 มีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยท่ีเป็นบวกทุกค่ามีค่าอำนาจ การพยากรณร์ อ้ ยละ 26.10 สพุ จนีย์ พัดจาด (2554, 182-185) ได้ศกึ ษารูปแบบการบริหารงานเสริมสรา้ งสมรรถนะการ ปฏิบตั ิงานครูใหม่ในโรงเรียนสังกัดเทศบาล กลุ่มตวั อย่างท่ใี ช้คือ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ครูอาวุโส และ ครใู หม่ รวม 807 คน ผลการวิจัยพบวา่ ความตอ้ งการเกี่ยวกบั การเสรมิ สร้างสมรรถนะการปฏิบตั งิ าน ของครูใหม่ในสังกัดเทศบาลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายมาตรฐาน พบว่า ระดับ ความต้องการมากท่ีสุดในมาตรฐานท่ี 10 การร่วมมือกับผู้อ่ืนในชุมชนอย่างสร้างสรรค์ รูปแบบการ บริหารงานเสริมสรา้ งสมรรถนะการปฏิบตั งิ านครูใหมใ่ นโรงเรียนสงั กัดเทศบาล ประกอบดว้ ย
73 7 องค์ประกอบ คือ โครงสร้างคณะกรรมการเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานของครูใหม่ วัตถุประสงค์ของการบริหารงานเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานของครูใหม่ บทบาทของ คณะกรรมการ สมรรถนะการปฏบิ ัติงาน วธิ ีการสร้างเสริมสมรรถนะการปฏบิ ัติงาน งบประมาณ และ การกำกบั ตดิ ตามประเมนิ ผลโดยผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการ บริหารงานเสรมิ สรา้ งสมรรถนะการปฏิบตั งิ านของครใู หม่ในโรงเรยี นสงั กัดเทศบาลอยใู่ นระดับมาก ปัญญา แจ่มกังวาล (2554, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับ การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศกึ ษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาชลบรุ ี เขต 2 ผล การศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ชลบุรี เขต 2 โดยภาพรวม อยูใ่ นระดับมาก 2) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาชลบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบรหิ ารกับการ บริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาชลบุรี เขต 2 มี ความสัมพันธท์ างบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 อยใู่ นระดับสงู ทรงยศ แก้วมงคล (2555, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการ บริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศกึ ษา สงั กัดกรุงเทพมหานคร ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ โดยรวมของโรงเรียนดังกล่าวอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยระดับ นกั เรียน พบว่า พฤติกรรมการเรียนมีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิผลการบรหิ ารวิชาการของโรงเรยี น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนเจตคติต่อการเรียนไม่มีอิทธิพล 3) ปัจจัยระดับครูพบว่า วุฒิการศึกษาประสบการณ์การสอน คุณลักษณะ ครูและพฤติกรรมการสอนไม่มีอิทธิพลต่อค่าเฉล่ีย ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการรายห้องเรียน แต่วุฒิการศึกษาของครูมีอิทธิพลทางบวกต่อค่า สัมประสิทธิ์การถดถอยของพฤติกรรมการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 4) ปัจจัยระดับ ผู้บริหารพบว่า พฤติกรรมการบริหารด้านการเปน็ ผู้นำด้านพฤติกรรมการตัดสินใจและด้านพฤติกรรม การติดต่อส่ือสาร มีอิทธิพลทางบวกต่อค่าเฉล่ียประสิทธิผลการบริหารวิชาการรายโรงเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนประสบการณ์การบริหารและการฝึกอบรมทางการบริหารไม่มี อิทธิพลและ 5) จากผลการวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยได้เสนอโมเดลการวิเคราะห์พหุระดับของปัจจัยท่ีมี อทิ ธิพลตอ่ ประสิทธผิ ลการบรหิ ารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษา สงั กัดกรงุ เทพมหานครพรอ้ ม ทัง้ ให้ขอ้ เสนอแนะบางประการสำหรบั การกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปสกู่ ารปฏบิ ัติและการวจิ ัย ในอนาคต ธวัชชัย ธรรมคงทอง (2555, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน ประถมศึกษาในอำเภอแก่งหางแมว สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนทีการศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 ผลการศึกษาพบว่า ท้ังโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงอันดับคะแนนเฉล่ียจากมากไปหา น้อย ได้แก่ ดา้ นการพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ ด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายใน ด้าน
74 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา และด้าน การการนิเทศภายในโรงเรียน ตามลำดบั พรศ ทิวารัศชัย (2555, 47-48) ได้ศึกษาการเตรียมความพร้อมการบริหารจัดการใน ชั้น เรียนของครูโรงเรียนสัตหีบเขตฐานทัพเรือและเขตกองเรือยุทธการ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชนสู่ประชาคมอาเซียน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 97 คน ผลการศึกษาพบว่า การเตรยี มความพรอ้ มการบริหารจัดการในช้นั เรยี นของครูโรงเรียนสตั หีบเขตฐานทัพเรอื และเขตกอง เรอื ยุทธการ สังกัดสำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศึกษาเอกชนสู่ประชาคมอาเซียนโดยรวมและ รายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ องค์ประกอบทางกายภาพ องค์ประกอบทางด้านอารมณ์ แรงจูงใจ และบุคลิกภาพ องค์ประกอบด้านสติปัญ ญา และ องค์ประกอบด้านส่ิงแวดลอ้ ม ผลการเปรียบเทียบการเตรียมความพร้อมของการบรหิ ารจัดการในชั้น เรียนของครูโรงเรียนสัตหีบเขตฐานทัพเรือและเขตกองเรือยุทธการ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชนสู่ประชาคมอาเซียนจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า มีความ แตกตา่ งกัน ส่วนเพศและวุฒกิ ารศกึ ษาไมพ่ บความแตกต่างกัน วันวิสาข์ ศรีภูมิ (2556, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับ ประสทิ ธิผลงานวชิ าการของโรงเรยี น ในสังกัดสำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับของปัจจัยการบริหารทีส่งผลต่อประสิทธิผลงานวิชาการของ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมากพิจารณาแต่ละปัจจัยโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ปัจจัยด้านครู ด้าน สภาพแวดล้อมด้านผู้บริหาร และด้านงบประมาณ ตามลำดับ 2) ระดับของประสิทธิผลงานวิชาการ ของโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากและเม่ือพิจารณาแต่ละด้าน โดยเรียงลำดบั จากมากไปนอ้ ย ได้แก่ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการศึกษา ด้านการจัดการเรียนการสอนใน สถานศกึ ษา ดา้ นการพฒั นาหลักสูตรของสถานศึกษา ดา้ นนิเทศการศึกษาและด้านการพัฒนาสื่อและ ใช้ส่ือเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผล งานวิชาการของโรงเรยี นพบว่า สัมประสทิ ธ์ิสหสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปรพยากรณ์กับตัวแปรเกณฑ์มีค่า สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญท่ีระดับ .05 4) การสร้างสมการพยากรณ์ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ในสงั กัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษามหาสารคาม เขต 2 พบว่า ตัวแปรพยากรณ์ที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ได้แก่ ปัจจัย ด้านกระบวนการบริหาร ปัจจัยด้านงบประมาณ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม และปัจจัยด้านครู ตามลำดับ โดยมีคา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .838 มีค่าสัมประสิทธ์ิการปรับปรุงเท่ากับ . 697 มคี ่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานเท่ากบั . 334 และมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของการพยากรณ์ เทา่ กับ. 702 ซึงมีอำนาจการพยากรณ์ได้ร้อยละ 70.20
75 นงค์นุช สมุทรดนตรี (2556, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับ ประสทิ ธผิ ลการจดั การศึกษาของโรงเรยี นในเครืออักษรกรุป๊ จงั หวัดชลบรุ ี ผลการศกึ ษาพบว่า 1) ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของโรงเรียนในเครืออักษรกรุ๊ป จังหวัดชลบุรี โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนในเครืออักษร กรุ๊ปจังหวัดชลบุรี โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบริหารมีความสัมพันธ์ทางบวก กับประสิทธิผลการจัดการศึกษาของโรงเรียนในเครืออักษรกรุ๊ป จังหวัดชลบุรี อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิตทิ ี่ระดับ .05 ตรัยรัตน์ เนมียะวงค์ (2556, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยการบริหารงานวิชาการท่ีมี ความสัมพนั ธ์ต่อประสทิ ธผิ ลของสถานศึกษา สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 3 ผลการศกึ ษาพบว่า 1) ปัจจัยการบริหารงานวิชาการ โดยรวมและรายด้านทุกดา้ นอยู่ในระดับ มาก 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบริหารงานวิชาการมี ความสัมพันธ์ทางบวกกับกับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้ นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 4) ตัวแปรพยากรณ์ที่สามารถ พยากรณ์ประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สังกัดสำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 3 ได้แก่ การแนะแนวการศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพ ภายในและมาตรฐานการศึกษา การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา และการพัฒนาและใช้ส่ือ เทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา สามารถร่วมกันพยากรณ์ได้รอ้ ยละ 68.70 ณัฏภัทร เนอื งภา (2556, บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ ึกษาปจั จัยการบริหารทีสง่ ผลตอ่ ความพึงพอใจใน การปฏิบัติงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาร้อยเอ็ด เขต 1 ผล การศึกษา พบว่า ปจั จัยการบริหารของขา้ ราชการครู สงั กัดสำนกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษา ร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดบั มาก ความพึงพอใจในการปฏิบตั ิงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยการบริหารกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขต พ้ืนที่การศกึ ษาประถมศึกษาร้อยเอด็ มคี วามสัมพนั ธ์เชิงบวกอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 ณภทั ร ตันศรี (2556, บทคดั ย่อ) ได้ศึกษาปัจจัยการบรหิ ารท่ีสง่ ผลต่อการดำเนินงานวชิ าการ ของศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเลก็ สงั กดั องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจงั หวัดนครนายก ผลการวิจัยพบว่า 1) ปจั จัยการบริหารของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สงั กดั องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินมีคา่ เฉล่ียโดยรวมอยู่ใน ระดบั มาก เรยี งลำดับค่าเฉล่ียจากมากไปน้อย คอื ดา้ นสภาพแวดล้อม ด้านบคุ ลากร ด้านองค์กรและ ด้านนโยบายการบริหารและการปฏิบัติ 2) การดำเนินงานวิชาการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีค่าเฉล่ีย โดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไป นอ้ ย คอื การประเมินและรายงานผล การจัดการศึกษาปฐมวัย สำหรับกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะการ
76 จัดการชั้นเรียน การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กเล็ก มีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนการสร้าง ความสัมพันธ์กับบ้านและชุมชน การวิจัยในชั้นเรียนการดูแลเด็กเล็ก มีค่าเฉลียอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการบรหิ ารที่ส่งผลต่อการดำเนินงานวิชาการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ิน พบว่า ปัจจัยด้านนโยบายการบริหารและการปฏิบัติและปัจจัยด้านองค์กรส่งผลต่อการ ดำเนินงานวิชาการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดบั .05 สามารถพยากรณโ์ ดยภาพรวมได้รอ้ ยละ 49.20 จติ รลดา เจริญสุข (2556, บทคดั ย่อ) ไดศ้ กึ ษาประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียน ในเขตคุณภาพศรีมหาโพธิ์ สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 พบว่า ประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการโรงเรียนในเขตคุณภาพศรมี หาโพธิ์ โดยรวมและรายด้านอยู่ใน ระดับมาก เมือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการประกันคุณภาพ ภายในและมาตรฐานการศึกษา และ ดา้ นการส่งเสรมิ ชุมชนใหม้ คี วามเขม้ แขง็ ทางวชิ าการ กิตติศักดิ ศรีพารา (2556, บทคัดย่อ) ศึกษาภาวะความเป็นผูบ้ รหิ ารสถานศึกษามืออาชีพท่ี ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาตาก เขต 2 ผลการศึกษาพบว่า ภาวะความเป็นผู้บริหารสถานศึกษามืออาชีพของผ้บู ริหาร สถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประสิทธิภาพในการบริหารงานวิชาการ โดยภาพรวมอยู่ ในระดับมากภาวะความเป็นผู้บริหารสถานศึกษามืออาชีพมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพ ในการ บริหารงานวิชาการในเชิงบวกทุกดา้ น ภาวะความเปน็ ผู้บริหารสถานศึกษามอื อาชพี ด้านประสิทธิผล ของการบรหิ าร ด้านความพึงพอใจของผู้เก่ียวข้อง และด้านการมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน สามารถร่วมกัน ทำนายประสิทธภิ าพในการบริหารงานวิชาการได้ พงษ์เทพ สุขทนารักษ์ (2556, บทคัดย่อ ) ได้ศึกษาการบริหารงานวิชาการโรงเรียนใน สหวทิ ยาเขตบ้านบงึ สงั กดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาชลบรุ ี เขต 1 ผลการศกึ ษาพบว่า การบริหารงานงานวิชาการโรงเรียนในสหวิทยาเขตบ้านบึง สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาชลบุรี เขต1 โดยรวมและรายด้านอย่ใู นระดับมาก โดยเรียงลำดบั คา่ เฉล่ียจากมากไปหา นอ้ ย ตามลำดับ ได้แก่ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้ด้านการ นิเทศการเรียนการสอน และด้านการวดั ผลและประเมินผล ตามลำดบั พรนภา บุราณรมย์ (2560, บทคัดย่อ) ศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงาน วชิ าการ ในสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สงั กัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3 พบว่า 1) ความคดิ เห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษาและครผู ู้สอน เก่ยี วกับปจั จัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผล การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉล่ียจากสูงสุดลงมา คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาตนเอง การ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ การบริการที่ดี 2) ความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาและครูผู้สอน เก่ียว กับ
77 ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาข้ันพนื้ ฐาน โดยภาพรวมและรายดา้ นทุกด้านอยู่ใน ระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉล่ียจากสูงสุดลงมา คือ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนา หลักสูตร การนิเทศภายใน การประกันคุณภาพภายใน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ประสิทธิผลต่อการบริหารงานวิชาการกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการมีค่าสัมประสิทธ์ิ สหสัมพันธ์ในภาพรวม และรายด้านมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีส่งผลต่อประสิทธิผลต่อการ บริหารงานวชิ าการกับประสิทธิผล การบรหิ ารงานวิชาการในสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน สังกัดสำนักงาน เขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 3 มีคา่ สมั ประสิทธสิ์ หสัมพันธ์พหุคณู เท่ากับ .872 ซ่ึงมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์การทำนายร้อยละ 76.10 (R2 = .761) 2. งานวิจัยต่างประเทศ เชอรี และนีล (Cheri & Neal, 1993, อ้างถึงใน ราตรี สอนดี, 2559, 107) ได้ทำการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะที่หลากหลายขององค์การ ในด้านส่ิงแวดล้อม กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เป้าหมายขององค์การบรรยากาศขององค์การและระบบท่ีไม่เป็นทางการ กับประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพขององค์การกลุ่มตัวอย่างเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 172 โรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า วัฒนธรรมองค์การที่มีกรอบขอบเขตการปฏิบัติที่ปรากฏเด่นชัด จะมีผลต่อ ประสิทธิผลและประสิทธิภาพขององค์การ แตกต่างจากวัฒนธรรมองค์การทีมกี ารแบ่งแยกออกเป็น แต่ละประเทศ เปอร์กีย์ และสมิธ (Purkey & Smith, 1993, อา้ งถึงใน ราตรี สอนดี, 2559, 107) ได้ทำการ วิจัยโรงเรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาท่ีประสบความสำเรจ็ จำนวน 517 โรงเรยี น ผลการวิจยั พบวา่ โรงเรยี น ท่มี ีประสิทธภิ าพจะประกอบด้วย ตัวแปรด้านการจัดองคก์ ารและโครงสรา้ งการบริหาร คือ 1) ความ เป็นอิสระในการบริหารงาน (school site autonomy) 2) ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง (strong leadership)3) การมีความมั่นคงของทีมงาน (staff stability) 4) การวางแผนและการกำหนด เป้าประสงค์ในโครงการบริหารชัดเจน (planned and purposeful secondary program) 5) การ เปิดโอกาสในการพัฒนาบุคลากร (school-wide staff development) 6) การมีส่วนร่วมของ ผู้ปกครองและผู้ท่ีเกี่ยวข้อง (parent involvement and support) 7) การสนับสนุนจากชุมชน (district support) 8) ชุม ชน ยอม รับ คว าม สำเร็ จด้าน วิชาก าร (school-wide and public recognition of academic success) 9) การเพ่ิมเวลาการเรียนการสอน (maximized learning time) และตัวแปรด้านกระบวนการ คือ 1) การให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผนและการสร้าง ความสัมพั น ธ์ระห ว่างบุคลาก รใน องค์ก าร (Collaborative planning and goal collegial relationship) 2) การรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของชุมชน (A school-wide sense of community)
78 3) การกำหนดเป้าหมายท่ีชัดเจนและมีความคาดหวังสูง (Clear goals and high expectation) 4) การปรบั ปรงุ หอ้ งเรยี นและวนิ ัยในห้องเรยี น (improved classroom control and discipline) โบรฟี (Brophy, 2006, p . 171-A, อ้างถึงใน ราตรี สอนดี, 2559, 107) ได้ศึกษาการ ปฏิบัติงานการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษา เมืองฮาร์ทฟอท ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาท่ีพบมากที่สุด ในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษา คือ ดา้ นการพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยที างการศกึ ษา เปน็ เพราะว่าครูมีงานในหนา้ ทีหลายอย่าง นอกเหนือจากการสอนมีเวลาที่จะเตรียมจัดทำสื่อน้อย และไม่มีความชำนาญเรืองจัดหาส่ือจาก คอมพิวเตอร์ ทอมพ์สัน (Thompson, 2005, อ้างถึงใน วิระเวก สุขสุคนธ์, 2557, 80) ได้ศึกษาและ สรุปผลการประเมินสมรรถนะของผู้บรหิ ารสถานศึกษาว่า การประเมินผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาดำเนนิ การ ได้ยาก เน่ืองจากแต่ละสถานศึกษามีความแตกต่างตามสภาพแวดล้อม และบริบทของชุมชน สังคม จากผลการศึกษา เขาเสนอว่า การประเมินสมรรถนะของผู้บรหิ ารสถานศึกษาควรเป็นกระบวนการ ต่อเนื่องมากกว่าใช้การรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีการศึกษา หรือ การรายงานกิจกรรม โครงการ การประเมิน ควรมีการเก็บรวบรวมจากหลายแหล่งข้อมูลท่ีหลากหลาย เพ่ือใช้เป็นแนวทาง ในการพฒั นาวิชาชีพ โอเวน (Owen, 1970, อ้างถึงใน พงษ์อิสรา ประหยัดทรัพย์, 2557, 54) ศึกษาบทบาท วิสัยทัศน์และสมรรถนะของหัวหน้าภาควิชาในศตวรรษท่ี 21 ในวิทยาลัยชุมชน ในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา จำนวน 25 คน โดยการศึกษาเชิงคุณภาพการศึกษาพบว่า หัวหน้าภาควิชามีวิสัยทัศน์ 3 ประการ คือ 1) การสร้างโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) การปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลง และ 3) การปรบั ปรงุ การสนับสนุนองค์การในด้านบทบาทพบว่ามี 3 บทบาท คอื 1) การแสดงบทบาทการเป็น ทีม 2) การให้บริการ 3) การเป็นผู้นำหรือผู้จัดการ ส่วนในด้านสมรรถนะของหัวหน้าภาควิชาใน ศตวรรษที่ 21 ในวทิ ยาลัยชมุ ชนในมลรฐั โอไฮโอ สหรฐั อเมริกา พบวา่ หัวหน้าภาควิชาในอนาคตต้อง มีสมรรถนะ 4 ด้าน ดังนี้ 1) การสร้างสัมพันธภาพ 2) การสร้างนวัตกรรม 3) การจัดหาทรัพยากร สนับสนุนในการทำงาน 4) การนำและการจดั การ จากผลการวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง พบว่า มีปจั จัยที่หลากหลาย ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของ สถานศึกษา จงึ ไดท้ ำการศกึ ษาค้นคว้า เพื่อนำมาศึกษาวา่ มปี ัจจัยใดท่ีมคี วามสมั พันธ์ตอ่ ประสิทธิภาพ การบริหารงานวิชาการ ซึ่งผลที่ได้จะได้นำมาเป็นข้อมูลในการวางแผนและหาแนวทางในการพัฒนา ประสิทธภิ าพการบริหารงานวชิ าการต่อไปผู้วิจัยจงึ ศึกษาสมรรถนะหลักผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผล ต่อการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม
79 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั การวิจัยในคร้ังนี้ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการ บรหิ ารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 9 จังหวดั นครปฐม ซงึ่ ผู้วิจัยได้ดำเนนิ การตามขน้ั ตอน ดังนี้ 1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง 2. ตวั แปรท่ีศึกษา 3. เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวิจยั ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ ผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มัธยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2559 จาก 29 โรงเรียน (สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9, 2559, 27-31) จำแนกตามท่ีตั้งของอำเภอจำนวน 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครปฐม อำเภอกำแพงแสน อำเภอดอนตูม อำเภอนครชัยศรี อำเภอบางเลน อำเภอสาม พราน และอำเภอพุทธมณฑล ประกอบดว้ ย ผู้บรหิ าร 242 คน และครูจำนวน 1,456 คน รวม 1,698 คน กลมุ่ ตวั อย่าง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ได้แก่ ผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา มัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม จำนวน 45 คน และครูจำนวน 268 คน ได้จากการเปิดตาราง เครจซ่ีและมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970, 607-610, อ้างถึงใน พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2551, 176- 177) ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งช้ัน (stratified random sampling) ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 313 คน ดงั รายละเอยี ดในตารางที่ 2
80 ตารางท่ี 2 จำนวนประชากร และกลมุ่ ตัวอยา่ ง สงั กดั สำนักงานเขตพ้ืนทม่ี ธั ยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม ประชากร(คน) กลุ่มตวั อย่าง(คน) ผ้บู รหิ าร ครู อำเภอ รวม ผู้บรหิ าร ครู รวม เมอื งนครปฐม 56 558 614 กำแพงแสน 29 170 199 11 103 114 26 73 99 ดอนตมู 30 81 111 5 31 36 นครชยั ศรี 22 115 137 บางเลน 50 281 331 5 13 18 สามพราน 29 178 207 พทุ ธมณฑล 242 1,456 1,698 6 15 21 รวม 4 21 25 9 52 61 5 33 31 45 268 313 ตัวแปรที่ศกึ ษา ตวั แปรทใ่ี ช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม ซ่ึงมรี ายละเอยี ดดังนี้ 1. ตัวแปรต้น เปน็ ตวั แปรท่ีเก่ียวกับ สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งผู้วิจยั ใช้แนวคิด ของ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (2548, 46-51) ประกอบด้วย 4 ด้าน ดงั นี้ 1.1 การมงุ่ ผลสมั ฤทธิ์ (X1) 1.2 การบรกิ ารที่ดี (X2) 1.3 การพฒั นาตนเอง (X3) 1.4 การทำงานเป็นทีม (X4) 2. ตัวแปรตาม เปน็ ตวั แปรทเ่ี กยี่ วกับการบรหิ ารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา ซึง่ ผู้วจิ ยั ใช้ แนวคิดของ จากแนวคิดของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546, 33-38) กำหนดขอบขา่ ยงาน ด้านการบริหารวชิ าการในโรงเรียนมธั ยมศกึ ษาไว้ 12 งาน ซงึ่ ประกอบด้วย 2.1 การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา (Y1) 2.2 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (Y2) 2.3 การวดั ผล ประเมนิ ผลและการเทียบโอนผลการเรียน (Y3)
81 2.4 การวจิ ยั เพื่อพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา (Y4) 2.5 การพัฒนาส่อื นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พือ่ การศกึ ษา (Y5) 2.6 การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ (Y6) 2.7 การนเิ ทศการศกึ ษา (Y7) 2.8 การแนะแนวการศึกษา (Y8) 2.9 การพฒั นาระบบประกันคณุ คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา (Y9) 2.10 การส่งเสริมความรู้ดา้ นวิชาการแกช่ มุ ชน (Y10) 2.11 การประสานความร่วมมือในการพฒั นางานวิชาการกับสถานศึกษาอืน่ (Y11) 2.12 การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน เพื่อให้สำเร็จตามวตั ถุประสงค์ของโรงเรียน (Y12) เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 1. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั การวิจัยคร้ังน้ีใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือสำหรับเก็บข้อมูล จำนวน 1 ฉบับ แบ่ง ออกเป็น 3 ตอน มรี ายละเอียดดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเก่ยี วกับสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถามในสถานศึกษาจังหวัด นครปฐม ประกอบด้วย เพศ ตำแหน่งปัจจบุ ัน และประสบการณ์ทำงานในตำแหนง่ ปัจจบุ นั มีลักษณะ เป็นแบบตวั เลอื ก ตอนท่ี 2 เปน็ แบบสอบถามเกย่ี วกบั สมรรถนะหลกั ของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา แนวคดิ ของ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการและบคุ ลากรทางการศกึ ษา แปรยอ่ ยรวม 4 ตวั แปร ดังนี้ 1. การม่งุ ผลสัมฤทธ์ิ (x1) 2. การบรกิ ารทีด่ ี (x2) 3. การพัฒนาตนเอง (x3) 4. การทำงานเปน็ ทีม (x4) ตอนท่ี 3 เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับ การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม ตามแนวคิดของสำนักงาน คณะกรรมการขา้ ราชการและบุคลากรทางการศกึ ษา ตัวแปรยอ่ ยรวม 12 ตัวแปร ดงั นี้ 2.1 การพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา (Y1) 2.2 การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ (Y2) 2.3 การวัดผล ประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน (Y3) 2.4 การวิจยั เพื่อพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา (Y4)
82 2.5 การพฒั นาสื่อ นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา (Y5) 2.6 การพฒั นาแหล่งเรยี นรู้ (Y6) 2.7 การนิเทศการศึกษา (Y7) 2.8 การแนะแนวการศกึ ษา(Y8) 2.9 การพฒั นาระบบประกันคณุ คณุ ภาพภายในสถานศึกษา (Y9) 2.10 การส่งเสรมิ ความรูด้ ้านวิชาการแกช่ ุมชน (Y10) 2.11 การประสานความร่วมมือในการพฒั นางานวิชาการกบั สถานศึกษาอนื่ (Y11) 2.12 การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน เพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโรงเรียน (Y12) ลักษณะแบบสอบถามในตอนที่ 2 และตอนท่ี 3 เปน็ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับของ ลิเคิร์ท (Likert’s rating scale) โดยผู้วิจัยกำหนดค่าคะแนนของช่วงน้ำหนักเป็น 5 ระดบั มีความหมายดงั น้ี ระดับ 5 หมายถึง สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หรือการบริหารงานวิชาการของ สถานศกึ ษาอยู่ในระดับมากท่สี ดุ ใหม้ คี า่ น้ำหนกั เท่ากับ 5 คะแนน ระดับ 4 หมายถึง สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หรือการบริหารงานวิชาการของ สถานศกึ ษาอยใู่ นระดับมาก ให้มีค่าน้ำหนกั เท่ากบั 4 คะแนน ระดับ 3 หมายถึง สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หรือการบริหารงานวิชาการของ สถานศึกษาอยใู่ นระดบั ปานกลาง ให้มีค่าน้ำหนกั เท่ากบั 3 คะแนน ระดับ 2 หมายถึง สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หรือการบริหารงานวิชาการของ สถานศกึ ษาอยูใ่ นระดบั น้อย ใหม้ คี า่ นำ้ หนกั เทา่ กับ 2 คะแนน ระดับ 1 หมายถึง สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หรือการบริหารงานวิชาการของ สถานศึกษาอยู่ในระดบั น้อยท่สี ุด ให้มคี า่ น้ำหนกั เทา่ กบั 1 คะแนน 2. การสร้างและพฒั นาเครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั ผ้วู จิ ยั ได้ดำเนนิ การพัฒนาเครือ่ งมอื สำหรบั การวิจัย โดยมขี ้นั ตอนการดำเนนิ งานดังนี้ 1. ศึกษาวรรณกรรม หลักการ แนวคดิ และทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องจากหนงั สอื ตำรา เอกสาร และงานวิจยั ท่เี กย่ี วข้องกับสมรรถนะของผ้บู ริหารและประสทิ ธผิ ลของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา 2. นำข้อมูลท่ีได้จากการศึกษามาประมวล เพ่อื มากำหนดเป็นโครงสร้างเครือ่ งมือโดยขอ คำแนะนำจากอาจารยท์ ่ปี รึกษาวิทยานพิ นธ์ 3. สร้างแบบสอบถามโดยให้ครอบคลุมเนื้อหาเสนออาจารย์ท่ีปรึกษาตรวจสอบ เพื่อให้ ข้อเสนอแนะนำมาปรับปรุง
83 4. นำแบบสอบถามเสนอผู้เชี่ยวชาญเพ่ือตรวจสอบความเท่ียงตรงของเน้ือหา (content validity) เพ่ือปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อความสมบูรณ์และถูกต้องของเน้ือหาโดยให้เทคนิค IOC (index of item objective congruence) แล้วนำมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขอีกครงั้ 5. นำแบบสอบถามท่ีปรบั ปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้ (try out) กับสถานศึกษาในสังกัด สำนกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 9 ที่ไม่ใช่กลุม่ ตวั อย่าง จำนวน 15 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล สถานศกึ ษาละ 2 คน รวมเปน็ จำนวน 30 คน 6. นำแบบสอบถามทีไ่ ด้รบั คนื มาคำนวณหาค่าความเชอื่ มั่น (r e l i a b i l i t y) โดยใช้ สัมประสทิ ธแิ อลฟา (-coefficient) ตามวิธกี ารของครอนบาค (cronbach, 1978, 161 อา้ งถึงใน ศริ ชิ ยั พงษว์ ชิ ัย, 2550, 176) โดยมคี า่ ความเช่ือม่ันของแบบสอบถามทัง้ ฉบับ เทา่ กับ .97 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ผู้วิจัยดำเนิน ตามขน้ั ตอนดังต่อไปนี้ 1. ผู้วิจัยทำหนังสือถึงคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงเพื่อทำ หนังสือขอความอนุเคราะห์ไปยังผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มธั ยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม เพื่อออกหนงั สือแจง้ ขอความร่วมมือจากผู้อำนวยการสถานศึกษา ทเี่ ป็นตัวอยา่ งช่วยอนเุ คราะห์ตอบแบบสอบถามในการวจิ ัยครั้งน้ี 2. ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วจิ ยั ดำเนนิ การเกบ็ ข้อมูลและติดตามรวบรวมแบบสอบถามคืน จากสถานศึกษาต่าง ๆ ซ่ึงได้รับแบบสอบถามกลับคืนมา 311 ฉบับ จากทั้งหมด 313 ฉบับคิดเป็น ร้อยละ 100 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ิที่ใชใ้ นการวจิ ยั การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ในการวิจัยครั้งน้ี มีหน่วยการวิเคราะห์ (unit of analysis) คือ สถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษาเขต 9 จงั หวดั นครปฐม ประกอบดว้ ยผ้บู รหิ ารจำนวน 45 คน และครจู ำนวน 266 คน รวมทง้ั สิ้น 311 คน โดยผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืนมาจัดกระทำ ข้อมูลโดยมขี ัน้ ตอนดังนี้ 1. ตรวจสอบความสมบูรณข์ องขอ้ มูลที่ได้รบั คนื มา 2. จดั ระบบขอ้ มูล ตรวจรวบรวมคะแนนแบบสอบถามท่ีสมบรู ณ์ 3. นำข้อมูลไปคำนวณหาค่าสถิติ โดยใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูป
84 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย เพอ่ื ให้การวิเคราะหข์ ้อมลู ตรงตามข้อมูลวัตถุประสงคก์ ารวิจัย ในการวิจยั คร้งั น้ีได้ใชส้ ถติ ิ ในการวิเคราะห์ข้อมูลดงั นี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ซ่ึงถามรายละเอียด เก่ียวกับเพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งปัจจุบัน ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของ สถานศึกษาทป่ี ฏิบตั ิงานอยู่ ใช้คา่ ความถี่ (frequency) และคา่ รอ้ ยละ (percentage) 2. การวเิ คราะห์ระดับสมรรถนะหลักของผ้บู ริหารและการบรหิ ารงานวิชาการของผู้ บรหิ ารสถานศกึ ษาสปู่ ระชาคมอาเซียน ใชค้ า่ ค่าเฉลยี่ ( ) และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) สำหรบั แบบสอบถามตอนที่ 2 และ ตอนท่ี 3 ได้นำคา่ เฉลี่ยของน้ำหนักท่ีได้มาเทียบเคยี ง กบั เกณฑ์ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2552, 121) ไว้ดงั นี้ ค่าเฉล่ีย 4.51-5.00 หมายถึง สมรรถนะหลกั ของผ้บู รหิ าร หรือการบริหารงานวชิ าการ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษาอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด คา่ เฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถงึ สมรรถนะหลักของผู้บริหาร หรอื การบริหารงานวิชาการ ของผู้บริหารสถานศึกษาอยใู่ นระดับมาก ค่าเฉลย่ี 2.51-3.50 หมายถึง สมรรถนะหลักของผบู้ ริหาร หรือการบริหารงานวิชาการ ของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถงึ สมรรถนะหลักของผู้บรหิ าร หรือการบริหารงานวิชาการ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาอยู่ในระดบั นอ้ ย ค่าเฉลย่ี 1.00-1.50 หมายถงึ สมรรถนะหลักของผู้บรหิ าร หรือการบริหารงานวชิ าการ ของสถานศึกษาสูป่ ระชาคมอาเซยี นอยู่ในระดบั น้อยท่สี ดุ 3. การวเิ คราะห์สมรรถนะหลกั ของผูบ้ ริหารทส่ี ่งผลกับการบริหารงานวชิ าการของ ผู้บริหารสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียนสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัด นครปฐม ใช้การวเิ คราะห์การทดถอยพหคุ ูณแบบขนั้ ตอน (stepwise multiple regression)
85 บทที่ 4 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั การวิจยั เรอื่ งสมรรถนะหลักของผบู้ ริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสู่ ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐมครั้งนี้เปน็ การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะหลักของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม 2) ศึกษาการ บริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม 3) ศึกษาสมรรถนะหลักผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการ บริหารงานวิชาการสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9 จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ีได้แก่ ผู้บริหารและครูสังกัดสำนกั งานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 9 จังหวัดนครปฐม จำนวน 45 คน และครูผู้สอนจำนวน 268 คน ผูว้ ิจยั นำเสนอข้อมูลตามลำดับ ดงั ต่อไปน้ี 1. สัญลกั ษณท์ ่ีใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล 2. การวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สญั ลกั ษณ์ท่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู X แทน คา่ เฉล่ยี S.D แทน ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน N แทน จำนวนกล่มุ ตัวอยา่ ง t แทน ค่าสถิตทิ ใ่ี ชพ้ จิ ารณาความมนี ัยสำคัญจากการแจกแจงแบบ t (t- test) Sig แทน ระดับนัยสำคญั ทางสถิติ (significances) * แทน นัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 B แทน ค่าสมั ประสทิ ธ์ิ/การถดถอยของตัวพยากรณ์ในสมการทเี่ ขียนในรปู คะแนน ดิบBeta ( β) แทน ค่าสัมประสทิ ธิ์/การถดถอยแบบคะแนนมาตรฐาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177