Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อมลรดา รงค์ทอง

อมลรดา รงค์ทอง

Published by วิทย บริการ, 2022-07-11 01:33:51

Description: อมลรดา รงค์ทอง

Search

Read the Text Version

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 96 เอกสารอ้างอิง กญั ญาณัฐ ทบั แปลง. (2560). นวตั กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพกลุ่มวัยโดยใชภ้ มู ิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นตำบล นครไทย. กลุ่มงานบริการปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนครไทยจังหวัด พษิ ณุโลก. จักรพนั ธ์ เพช็ รภมู ิ. (2560). พฤติกรรมสุขภาพ แนวคดิ ทฤษฎี และการประยกุ ตใ์ ช้. พษิ ณุโลก: สำนกั พมิ พ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. จกั รพันธ์ เพช็ รภูมิ และคณะ. (2558). แนวทางการปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมการจำหน่ายผลิตภณั ฑ์ยาสบู ให้ เยาวชนของผู้ประกอบการร้านค้าปลกี ในชุมชนชนบทของจังหวัดพจิ ิตรด้วยชุมชนปฏิบัติการด้านการ เรยี นรู้. วารสารพยาบาลและสขุ ภาพ, 9(1), 147-161. จารโุ ส สุดครี ี. (2558). รปู แบบการพฒั นาองคก์ รชมุ ชนแบบยัง่ ยืน. วารสารเทคโนโลยีภาคใต.้ 8(2), 9-16. ณิชาพร ศรนี วล และคณติ เขียววชิ ัย. (2562). การพฒั นารปู แบบการจัดการตนเองดา้ นนวตั กรรมสุขภาพเพ่ือ เสริมสร้างความเข้มแขง็ ของชมุ ชน. อินทนิลทกั ษณิ สาร. 14(1), 93-119. บุญยง เกย่ี วการคา้ . (2561). เอกสารประกอบการสอนชดุ วชิ าการส่งเสริมสขุ ภาพ การตรวจประเมิน และการ บำบดั โรคเบื้องตน้ . นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. ประไพจิตร ชมุ แวงวาปี. (2553). สขุ ศกึ ษาและพฤติกรรมศาสตร์. ขอนแก่น: วทิ ยาลยั สาธารณสขุ สิรินธร จังหวัดขอนแกน่ . ปาหนัน พิชยภิญโญและคณะ. (2558). ปจั จยั จำแนกพฤตกิ รรมสุขภาพและภาวะสุขภาพของผู้ป่วย โรคเบาหวานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูง ของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด. สถาบันวิจัย ระบบสาธารณสขุ . พชั รินทร์ สิรสิ ุนทร. (2554). การพัฒนาสงั คมเชิงสรา้ งสรรค์ โอกาส และวกิ ฤตในประชาคมอาเซียน. พษิ ณโุ ลก: ภาควิชาสังคมวทิ ยาและมานุษยวิทยา คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ยทุ ธนา หอมเกตุ. (2560). ความพรอ้ มของชุมชนในการประเมินผลกระทบด้านสขุ ภาพโดยชมุ ชน เพื่อการ พัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ กรณีศึกษาชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยที่กำลัง ดำเนนิ การก่อสรา้ งโรงไฟฟ้าชวี มวล. ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์. เรมวล นนั ทศ์ ภุ วฒั น์ และคณะ. (2555). ศกึ ษาการพฒั นาระบบสขุ ภาพชมุ ชน โดยชมุ ชน เพอ่ื ชมุ ชน: กรณศี กึ ษาชมุ ชนตำบลไชยสถาน. พยาบาลสาร, 39(2), 144-156. วนั เพญ็ ผลิศร และ นสี วสี น์ ดิษฐสวรรค์. (2562). การพัฒนาระบบสาระสนเทศสำหรับส่งเสรมิ ผลิตภัณฑข์ ้าว เพื่อสุขภาพของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปุ๋ยหมักอินทรี ย์ชีวภาพบ้านหนองคุ้มจังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารวชิ าการมหาวทิ ยาลยั ฟาร์อีสเทอรน์ . 13(2), 102-117.

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 97 ศิรวิ รรณ มุลิ. (2563). ปจั จยั ท่มี ีความสมั พนั ธ์กบั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั การติดเช้ือวณั โรคของบคุ ลากรที่ ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ติดตามเยี่ยมผู้ป่วยวัณโรคที่บ้าน ในจังหวัดชลบุรี. สำนกั งานสาธารณสุขจงั หวดั ชลบรุ ี. สุเทพ พลอยพลายแก้ว และคณะ. (2556). การพฒั นารปู แบบการดแู ลสุขภาพตนเองของชุมชนจงั หวดั ลพบุรี วารสารพยาบาลทหารบก. 14(1), 61-70. สมใจ วินิจกุล. (2550). อนามัยชมุ ชนกระบวนการวินิจฉยั และแกป้ ัญหา. กรุงเทพฯ: พันนพี บั ลชิ ช่ิง. Becker, M.H., & Maiman, L.A. (1975). The health Belief Model: Origins and Correlation in Psychological Theory. Health Education Monography, 2. winter: 336-385. Christine M Porter. (2558). Revisiting Precede–Proceed: A leading model for ecological and ethical health promotion. Division of Kinesiology and Health, College of Health Sciences, University. 6, 753-764. Diane Dolezel. (2019). Big Data Analytics in Healthcare: Investigating the Diffusion of Innovation. Perspectives in Health Information Management. 9(1), 58-102. Erikson, C. (2002). Learning and knowledge production for public health: A review of approaches to evidenced-based health. Sc and J Public Health, 28, 298-308. Farbod Ebadifard Azar. (2018). Effect of educational intervention based on PRECEDE- PROCEED model combined with self-management theory on self-care behaviors in type 2 diabetic patients. Diabetes & Metabolic Syndrome. 12(6), 1075-1078. Green, Lawrence. W. & Kreuter, Marshall. W. (1999). Health Promotion Planning an Educational and Ecological Approach. n.p. Green, L. W. & Kreuter, M.W. (1991). Health Promotion Planning An Educational and Environment Approach. California: Mayfield Publishing. Green, L.W., Krueter , M.W. (1980). Health Education Planning: A Diagnostic Approach. California Mayfield Publishing Company. Lauren Gibson. (2564). Preventive care practices to address health behaviors among people living with mental health conditions: A survey of Community Managed Organizations. Preventive Medicine Reports. 23(2), 95-101. Rod Ward. (2013). The application of technology acceptance and diffusion of innovation models in healthcare informatics. Healthcare Management Forum. 10(1), 35-38. Rogers, E. M. (1962). Diffusion of innovations. New York: Free. Rogers, E. M. (1995). Diffusion of innovations (3rd ed.). New York: Free.

98 Rogers, E. M. (2003). Diffusion of innovations (5th ed.). New York: Free. Rothman. (2001). Approaches to Community Intervention. In Rothman, J., Erlich, J.L., Tropman, J.E. ( eds) , Strategies of Community Intervention. Itasca, III.: Peacock Publishers. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 99 บทท่ี 7 ทฤษฎีและแบบจำลองพฤตกิ รรมสขุ ภาพอื่น ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ ง 1. แบบแผนการส่งเสริมสขุ ภาพ (Health Promotion Model) แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1982 โดย Nola J. Pender ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ ทางการพยาบาล โดยดัดแปลงจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ( Social Learning Theory: SLT) ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการความรู้หรือความคิดที่ส่งผลให้บุคคลแสดงพฤติกรรมท่ี ส่งผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นมิติของบุคคลที่มีต่อสภาพแวดล้อมที่ทำให้มีสุขภาพดี รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมจากปัจจัยภายใน ของบุคคล และทฤษฎีคุณค่าความคาดหวัง (Expectancy value theory) นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ ข้อค้นพบจากงานวิจัยตา่ ง ๆ เกีย่ วกับการส่งเสรมิ สขุ ภาพรว่ มดว้ ย แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพมีโครงสรา้ งทสี่ ำคัญ 3 ปัจจยั คือ 1. ปัจจัยด้านความรู้และการรับรู้ของบุคคล ซึ่งเป็นกระบวนการแรกของการสร้างจูงใจและมีผล โดยตรงในการแสดงพฤตกิ รรมสง่ เสรมิ สุขภาพและการคงไวซ้ งึ่ พฤติกรรมนนั้ ของบุคคล ประกอบดว้ ย - การรับรู้ความสำคัญของสุขภาพ คือ การที่บุคคลเล็งเห็นความสำคัญของภาวะสุขภาพของตนเอง แล้วแสวงหาขอ้ มลู เพ่อื ใช้ในการแสดงพฤตกิ รรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพทสี่ ่งผลดีต่อสุขภาพของตนเอง - การรับรกู้ ารควบคมุ สุขภาพ คอื ความรูส้ กึ ความเชือ่ การคาดคะเนของบุคคลวา่ การแสดงพฤติกรรม สุขภาพของบุคคลมีอิทธิพลต่อการควบคุมสุขภาพซึ่งเป็นความเชื่ออำนาจภายในตนเอง หรือบุคคลที่มีความ เชื่อว่าสขุ ภาพของตนเองเปน็ ผลมาจากสภาพแวดล้อมหรือจากผ้อู ื่น ซง่ึ เป็นความเช่ืออำนาจภายนอก และผู้ท่ีมี ความเชื่ออำนาจภายในตนเองมีแนวโน้มว่าจะแสดงพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพมากกว่าผู้ที่มีความเชื่ออำนาจ ภายนอก - การรับรู้ความสามารถแห่งตน คือการที่บุคคลเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองในการกระทำ พฤติกรรมสง่ เสริมสขุ ภาพไดป้ ระสบความสำเร็จ - การรับรู้นิยามของสุภาพ คือการให้ความหมายหรือคำจำกัดความของสุขภาพจะส่งผลต่อการแสดง พฤติกรรมสุขภาพ เช่น บุคคลที่ทราบความหมายว่าการมีสุขภาพดี คือการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย ทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ก็จะเริ่มปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเกิดความ เจ็บป่วย ซึ่งบุคคลที่รับรู้นิยามของสุขภาพแตกต่างกันก็จะส่งผลต่อรูปแบบพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ ที่แตกตา่ งกนั ด้วย - การรับรู้ภาวะสุขภาพของตนเอง เป็นปัจจัยสำคัญในการแสดงพฤติกรรมสุขภาพ หากบุคคล มีประสบการณ์ในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพแล้วรับรู้ว่าตนเองมีภาวะสุขภาพดี ก็จะส่งเสริมให้เกิดการรับรู้ คณุ ค่าของการมีสุขภาพดี ส่งเสรมิ ให้มีความถีใ่ นการปฏบิ ัตเิ พม่ิ ขนึ้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 100 - การรบั รู้ประโยชน์ของพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ การคาดคะเนผลลัพธ์ดา้ นท่ีเป็นประโยชน์ต่อภาวะ สขุ ภาพของตนเองทเี่ กิดขึ้นจากการแสดงพฤติกรรมการสง่ เสรมิ สุขภาพ - การรับรู้อุปสรรคของการกระทำ คือการคาดคะเนผลลัพธ์สิ่งที่เป็นปัญหา เป็นสิ่งกีดขวาง เป็นตัวยับย้ัง การเกดิ แสดงพฤติกรรมส่งเสรมิ สขุ ภาพ เชน่ ความยงุ่ ยาก การเสยี เวลา การเสียค่าใช้จ่าย 2. ปัจจยั เสริม 3. การมสี ่วนร่วมในพฤตกิ รรมส่งเสริมสขุ ภาพ ต่อมาได้มีการปรับปรุงแบบแผนนี้ ในปี ค.ศ. 1996 และปี ค.ศ. 2006 เนื่องจากมีข้อค้นพบที่ได้ จากงานวจิ ยั โดยมโี ครงสรา้ งทสี่ ำคัญ 3 ปจั จยั คอื 1. ปจั จยั สว่ นบุคคลและประสบการณ์ของบุคคล (Individual characteristic and experience) 2. พฤตกิ รรมเฉพาะ การรับรู้ และความชอบของบุคคล (Behavior-specific cognition and effect) 3. การแสดงพฤตกิ รรม (Behavior outcome) 1. ปัจจัยส่วน บุค ค ลแ ละประสบการณ ์ของบุค ค ล ( Individual characteristic and experience) ปัจจัยส่วนบุคคล หมายถึง คุณลักษณะเฉพาะของบุคคลที่มีความแตกต่างกันของแต่ละบุคคล และสง่ ผลตอ่ สุขภาพ ซ่งึ มีสาเหตุจากปัจจัยหลายประการ ประกอบดว้ ย 1) ปัจจัยด้านชีววิทยา หมายถึง ปัจจัยที่ติดตัวตั้งแต่กำเนิดของบุคคล เป็นปัจจัยทางด้านร่างกาย ทีไ่ ม่สามารถเปล่ยี นแปลงไดโ้ ดยงา่ ยหรือไมส่ ามารถเปลี่ยนแปลงไดเ้ ลย ได้แก่ อายุ เพศ พันธกุ รรม คา่ ดัชนีมวลกาย ความจุของปอด ความแขง็ แรงของร่างกาย 2) ปัจจยั ดา้ นจติ วิทยา หมายถงึ ปัจจัยทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับความรู้สกึ ความเชอ่ื ความคดิ ทัศนคติ การรับรู้ แรงจงู ใจของบุคคล 3) ปัจจัยด้านสังคม หมายถึง ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยที่พฤติกรรมหนึ่งมีความสัมพันธ์ กับบุคคลอื่น ๆ ในสังคม มีกระบวนการ กฎเกณฑ์ ข้อตกลง เป็นบรรทัดฐานในการอยู่รวมกัน ได้แก่ สถานะทางสงั คมและเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การศกึ ษา เชือ้ ชาติ สัญชาติ ประสบการณ์ของบุคคล หมายถึง พฤติกรรมเดิมที่เคยทำในอดีตของบุคคลแล้วส่งผลโดยตรงกับ การปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ หากเคยกระทำพฤติกรรมแล้วเกิดผลดีในด้านใดด้านหนึ่งก็จะมีอิทธิพล ตอ่ การกระทำพฤติกรรมน้ันซำ้ จนเกิดเป็นนิสยั โดยเฉพาะพฤติกรรมส่งเสรมิ สุขภาพ เชน่ ผ้ทู ี่เคยออกกำลังกาย แล้วมีรูปร่างและสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย ก็จะยอมรับที่จะทำพฤติกรรมการออกกำลังกายซ้ำ แต่ในทางกลับกัน หากมีประสบการณ์ที่ไม่ดี ก็จะทำให้บุคคลหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการกระทำพฤติกรรมนั้นซำ้ เช่น ผู้ที่เคยได้รบั บาดเจบ็ จากการออกกำลังกายก็จะหลีกเลีย่ งการออกกำลงั กาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 101 2. พฤติกรรมเฉพาะ การรับรู้ความสามารถแห่งตน และความชอบของบุคคล (Behavior- specific cognition and effect) พฤติกรรมเฉพาะของบุคคลจะเกิดจากความชอบ ความคิด การรับรู้ของแต่ละบุคคล ประกอบด้วย กลมุ่ ตัวแปรการรบั รู้ และกลุม่ ตวั แปรทม่ี อี ทิ ธิพล 1. กล่มุ ตวั แปรการรับรู้ ไดแ้ ก่ - การรับรู้ประโยชน์ของการกระทำ คือการคาดคะเนผลลัพธ์ด้านที่เป็นประโยชน์ต่อภาวะสุขภาพ ของตนเองที่จะเกิดขึ้นจากการแสดงพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ และส่งผลให้เกิดแนวโน้มที่จะกระทำ อยา่ งตอ่ เนื่อง - การรับรู้อุปสรรคของการกระทำ คือการคาดคะเนผลลัพธ์สิ่งที่เป็นปัญหา เป็นสิ่งกีดขวาง เป็นอปุ สรรคทีย่ บั ย้งั การเกิดแสดงพฤติกรรมส่งเสริมสขุ ภาพ เชน่ ความย่งุ ยาก การเสียเวลา การเสยี ค่าใช้จ่าย - การรับรู้ความสามารถแห่งตน คือความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองในการกระทำพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการรับรู้อุปสรรคของการกระทำ หากมีการรับรู้ความสามารถแห่งตนสูงกว่า จะส่งผลใหก้ ารรับรู้อปุ สรรคของการกระทำนอ้ ยลง แลว้ ส่งผลใหแ้ สดงพฤติกรรมส่งเสรมิ สขุ ภาพ - ความชอบของบุคคล คือบุคคลจะมีการแสดงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความชอบของตนเอง ซงึ่ การกระทำที่เก่ยี วข้องกับความชอบจะมีอทิ ธิพลต่อการรับรู้ความสามารถแห่งตน น่นั คอื บคุ คลที่มีความรู้สึก ชอบมากก็จะรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถมาก และในขณะเดียวกัน หากมีการรับรู้ความสามารถแห่งตนน้อย ก็จะส่งผลตอ่ ความรู้สึกชอบกระทำพฤติกรรมน้อยลงเชน่ กัน 2. กล่มุ ตัวแปรที่มีอทิ ธพิ ล ไดแ้ ก่ - อิทธิพลของกลุ่มอ้างอิง เป็นความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ หรือเจตคติของบุคคลรอบข้างที่ส่งผล ต่อพฤติกรรมของบุคคล ประกอบด้วย แรงสนับสนุนทางสังคม ทั้งด้านอารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านวัตถุ สิ่งของ ทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การเลียนแบบพฤติกรรมจากตัวแบบผ่านการสังเกต บรรทัดฐานหรือแนวทางการปฏิบัติที่ได้รับอิทธิพลมาจากบุคคลรอบข้างที่มีความสำคัญ เช่น สมาชิก ในครอบครัว เพือ่ น ผู้บงั คบั บญั ชา เพือ่ นบ้าน แพทย์หรอื บุคลากรสาธารณสขุ เปน็ ตน้ - อิทธิพลจากบริบท สถานการณ์ หรือเงื่อนไขที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล เป็นความคิด ความรู้สึก ความเชื่อของบุคคลต่อบริบทรอบข้างหรือสถานการณ์ภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการ แสดงพฤติกรรมของบุคคลทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งอิทธิพลที่ส่งเสริมให้บุคคลเกิดการแสดงพฤติกรรม หรือขดั ขวางการแสดงพฤตกิ รรม

102 3. การแสดงพฤติกรรม (Behavior outcome) บุคคลจะมีการแสดงออกถึงพฤติกรรมส่งเสริม สุขภาพ โดยขนึ้ อยู่กบั 1. ความตั้งใจแสดงพฤติกรรม เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความมุ่งมั่น มีการวางแผนและหาวิธีการปฏิบัติ เพอื่ แสดงพฤตกิ รรมส่งเสรมิ สุขภาพ 2. การแสวงหาทางเลือก คือการแสวงหาพฤติกรรมที่เป็นทางเลือกสำหรับบุคคลที่อยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการควบคุมตนเอง เช่น สภาพการทำงาน ภาระหน้าที่ ตัวอย่างการแสวงหา พฤตกิ รรมส่งเสรมิ สุขภาพ เชน่ หากสภาพการทำงานทำให้ไม่สามารถมเี วลาออกกำลังกาย ก็ใช้การขนึ้ ลงบันได แทนการใชล้ ฟิ ท์ หรือการรับประทานผลไมเ้ ปน็ อาหารวา่ งแทนขนมหวาน 3. การแสดงพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ คือผลลัพธ์สุดท้ายของแบบแผนการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็น ผลลพั ธท์ พี่ งึ ประสงค์ และอาจส่งผลให้บุคคลมสี ขุ ภาพดไี ด้ การใชป้ ระโยชนจ์ ากแบบแผนการสง่ เสริมสุขภาพ การใช้ประโยชน์จากแบบแผนการส่งเสริมสุขภาพ มุ่งให้เกิดประโยชน์ 3 ด้าน ได้แก่ (บุญยง เกี่ยว การค้า, 2561) 1. การนำเสนอแนวคดิ ตา่ ง ๆ ทีใ่ ช้ในการอธิบายการเกิดพฤตกิ รรมสง่ เสริมสขุ ภาพอย่างเปน็ ลำดบั 2. การสร้างสมมติฐานในการทดสอบเบอื้ งตน้ 3. การผสมผสานผลทไี่ ด้จากงานวจิ ยั ใหเ้ ปน็ หมวดหมู่ สามารถเขยี นแผนภาพของแบบแผนการสง่ เสรมิ สขุ ภาพได้ ดังนี้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

แผนภาพของแบบแผนการสง่ เสริมสขุ ภาพ 103 พฤตกิ รรมเฉพาะ การแสดงพฤติกรรม การรบั รคู้ วามสามารถแห่งตน และความชอบของบคุ คล ลกั ษณะส่วนบุคคล และประสบการณ์ส่วนบคุ คล มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทมี่ า: บญุ ยง เกีย่ วการคา้ , 2561 ดดั แปลงจาก Pender, N.J., Murdaugh. C.L. & Parsons, M.A. 2006: 50.

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 104 ตวั อย่างงานวจิ ัยทีใ่ ชแ้ บบแผนการส่งเสริมสขุ ภาพ เกวลิน ชื่นเจริญสุข และสมพร เนติรัฐกร (2563) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการดำเนินการสร้างเสริม สุขภาพแนวใหม่สำหรับโรงพยาบาล โดยประยุกต์ใช้แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่ม ตัวอย่างมีพฤติกรรมสุขภาพดีกว่าก่อนเข้ารับบริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value <0.001) และจากการประเมินน้ำหนักและเส้นรอบเอวของกลุ่มตัวอย่างลดลง มีสมรรถภาพทางร่างกายด้านความจุ ของปอด ความอ่อนตัว และสมรรถภาพการใช้ออกซิเจนสูงสุดดีข้ึนกวา่ ก่อนเข้ารับบริการอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (P-value <0.05) ทั้งในกลุ่มรับบริการเชิงรับและเชิงรุก ทั้งนี้ผู้เข้ารับบริการสร้างเสริมสุขภาพแนวใหม่ ทั้งกลุ่มรับบริการเชิงรับและเชิงรุกมีความพึงพอใจต่อการรับบริการสร้างเสริมสุขภาพแนวใหม่ในระดับมาก ร้อยละ 90.0 และ 75.0 ตามลำดับ และผู้ให้บริการมีปัญหาต่อการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพแนวใหม่ เพยี งเลก็ น้อยเทา่ นน้ั สุนทร ยนต์ตระกูล (2559) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนกลุ่มเสี่ยง เบาหวานในหน่วยบริการปฐมภูมิ ภายใต้การขับเคลื่อนของระบบสุขภาพอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเบาหวานมีคา่ เฉลี่ยด้านความรู้ และการรับรู้เพิ่มสูงขึน้ รวมถึง ระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าเฉลี่ยลดลงกว่าก่อนการดำเนินการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) ประเภทภาคีเครือข่ายพบว่าค่าเฉลี่ยด้านบทบาทการมีส่วนร่วม และความพึงพอใจของภาคีเครือข่ายเพิ่มข้ึน อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิ (p <0.05) สุดารัตน์ พรหมฝาย (2555) ศึกษารูปแบบรายการวิทยุเพื่อส่งเสริมสุขภาพประชาชน ตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่าประชาชนตำบลออนใต้ส่วนใหญ่ได้รับความรู้เกี่ยวกับ การส่งเสริมสุขภาพจากรูปแบบประเภทสปอตวิทยุเพื่อสุขภาพมากที่สุด แสดงว่ารูปแบบรายการวิทยุ เพื่อสุขภาพสามารถเปน็ ส่ือที่ใหค้ วามรู้เกีย่ วกับสุขภาพได้มากกว่าที่สุด เนอ่ื งจากเป็นรูปแบบท่ีใช้ภาษากระชับ ชัดเจน เข้าใจง่าย มีคำคล้องจอง และมีเพลงประกอบ จึงเป็นเหตุผลสว่ นใหญ่ที่ประชาชนได้รบั ข้อมลู เกี่ยวกบั สุขภาพได้ง่าย สามารถนำเอาผลการศึกษาที่ได้มาใช้ปรับปรุงรูปแบบรายการให้ตรงความต้องการของสมาชิก ในชมุ ชนมากยิ่งข้นึ ตลอดจนการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านสขุ ภาพของคนในชุมชน Tugba Karatas (2021) ศึกษาผลของโปรแกรมที่ประยุกต์ใช้แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพ ของ Pender ต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจ ดำเนินศึกษาในกลุ่มตัวอย่างกลุ่ม ทดลองที่ได้รับโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพโดยประยุกต์ใช้แบบการส่งเสริมสุขภาพของ Pender ที่มีการติดตามผล และประเมินผลเป็นเวลา 12 สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแล พฤติกรรมสุขภาพตามปกติ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมดังกล่าวมีการรับรู้ด้านสุขภาพ การรับรู้ความสามารถของตนเองในการออกกำลังกาย การรับรู้ประโยชน์/อุปสรรคของการออกกำลังกาย

105 ผลที่เกิดจากการออกกำลังกาย ความถี่และเวลาในการออกกำลังกายสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยยสำคัญ ทางสถิตริ ะดับที่ 0.001 Lusk SL (2011) ศึกษาการใช้แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพเพื่อเป็นแบบจำลองเชิงสาเหตุ ของพฤติกรรมการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันการได้ยินของพนักงาน จำนวน 645 คน ผลการศึกษาพบว่าการใช้ แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพเป็นทฤษฎีที่เหมาะสมในการนำมาใช้เป็น แบบจำลองเชิงสาเหตุในคาดการณ์ พฤติกรรมการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันการได้ยินของพนักงาน ผลการศึกษาพบว่าการรับรู้ สามารถทำนาย พฤติกรรมการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันการได้ยินของพนักงานได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านประเภทของงาน และปจั จยั ดา้ นสถานการณ์ มีผลโดยตรงตอ่ พฤตกิ รรมการสวมใสอ่ ปุ กรณป์ อ้ งกนั การได้ยนิ ของพนกั งาน สรปุ แบบแผนการส่งเสรมิ สุขภาพ แบบแผนการส่งเสริมสุขภาพพัฒนาขึน้ ในปี ค.ศ. 1982 โดย Nola J. Pender โดยดดั แปลงจากทฤษฎี การเรียนรู้ทางสังคม ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการความรู้หรือความคิดที่ส่งผลให้บุคคลแสดงพฤติกรรม ที่ทำให้มีสุขภาพดี ซึ่งเป็นมิติของบุคคลที่มีต่อสภาพแวดล้อมที่ทำให้มีสุขภาพดี และการควบคุมพฤติกรรม จากปัจจัยภายในของบุคคล และทฤษฎีคุณค่าความคาดหวัง (Expectancy value theory) นอกจากน้ี ยังมีการวิเคราะห์ข้อค้นพบจากงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพร่วมด้วย โดยมีโครงสร้างที่สำคัญ 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยส่วนบุคคลและประสบการณ์ของบุคคล พฤติกรรมเฉพาะ การรับรู้ และความชอบ ของบุคคล และการแสดงพฤติกรรม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 106 2. การตลาดเชิงสังคม การตลาดเชิงสังคมพัฒนาขึ้นใน ค.ศ. 1970 โดย Philip Kotler และ Gerald Zaltman แนวคิด สำคัญคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติและการสร้างพฤติกรรมของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่เปลี่ยนจากการ มุ่งเน้นด้านธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว มาให้ความสำคัญกับการตลาด เชิงสังคมที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการมีสุขภาพดีของบุคคล ซึ่งเป็นเครื่องมือ สำคญั ในการพัฒนาและสง่ เสรมิ สขุ ภาพของคนในสงั คมอยา่ งย่งั ยืน มีนกั วิชาการหลายทา่ นไดใ้ ห้ความหมายหรอื คำจำกดั ความของการตลาดเชิงสังคมไว้ ดงั นี้ Alan Andreasen (1995) ได้ให้ความหมายว่าการตลาดเชิงสังคมคือกระบวนการประยุกต์ใช้เทคนิค การตลาดในการวิเคราะห์ วางแผน ดำเนินการ และประเมินผลโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยน หรือสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมสุขภาพของผู้บริโภคในเชิงธรุ กจิ Bill Smith (2006) กำหนดความหมายของการตลาดเชิงสังคมว่าเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ ทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อผู้บริโภคอย่างเปน็ ประโยชน์ทางสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนทางการเงิน Philip Kotler, Nancy Lee และ Michael Rothschild (2006) กล่าวว่าการตลาดเชิงสังคม คือกระบวนการประยุกต์หลักการและเทคนิคทางการตลาดเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่มีปร ะโยชน์ต่อสังคม เชน่ สภาพแวดลอ้ มในชมุ ชนทมี่ ีความปลอดภัย การสาธารณสขุ จากการให้ความหมายการตลาดเชิงสังคมข้างต้น ผู้เขียนจึงสรุปความหมายของการตลาดเชิงสังคม คือกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมโดยประยุกต์ใช้เทคนิคในเชิงธุรกิจมาใช้ในการวิ เคราะห์ การวางแผน การดำเนินการ และประเมินผล ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพ ของคนในสงั คมอย่างยง่ั ยนื แนวคดิ หลกั ของการตลาดเชงิ สงั คม ประกอบดว้ ยหลักการสำคญั 5 ด้าน ไดแ้ ก่ (บญุ ยง เก่ียวการค้า, 2561) 1. การใหค้ วามสำคญั กับพฤติกรรมของผู้บรโิ ภค (Focusing on behavior) แผนงาน โครงการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ที่ผู้ประกอบการนำเสนอในการตลาดเชิงสังคม ควรให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้บริโภค โดยเน้นท่ีการส่งเสริมพฤติกรรม ทีพ่ งึ ประสงค์ของบุคคล กลมุ่ บุคคล หรือองคก์ ร โดยมีแหลง่ ทรัพยากรท่ผี ู้บริโภคเหล่าน้ันต้องการหรือพึงพอใจ ราคาจบั ตอ้ งได้ สามารถเข้าถึงได้ ได้แก่ สินคา้ ประเภทผลิตภณั ฑ์ดา้ นสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย เครอื่ งวัดความดนั โลหิต ถุงยางอนามัย ประเภทบริการด้านสุขภาพ เช่น การให้คำปรึกษา การให้บริการทางการแพทย์ การให้สุขศึกษา การส่อื สารดา้ นความปลอดภยั การรณรงค์เกย่ี วกบั โครงการสขุ ภาพตา่ ง ๆ เพื่อบรรลวุ ัตถุประสงคค์ อื ผ้บู ริโภคมี พฤติกรรมสขุ ภาพทีเ่ หมาะสม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 107 2. การใหค้ วามสำคัญกบั ประโยชนข์ องผู้บรโิ ภค (Prioritizing consumer benefit) การตลาดเชิงสังคมมีคุณสมบัติที่สำคัญคือประกอบการต้องมุ่งเน้นทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการค้าเพียงอย่างเดียว โดยให้ความสำคัญกับความต้องการ ความพึงพอใจ ความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทั้งด้านการมีสุขภาพดี การสร้างทัศนคติที่ดีต่อการแสดงพฤติกรรมสุขภาพ ที่พึงประสงค์ การสื่อสารที่ทำให้เกิดความปลอดภัย หรือทำให้เกิดการรับรู้ด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรม สขุ ภาพท่ีเหมาะสมของผ้บู ริโภค รวมถงึ การให้ความสำคญั กับสิ่งแวดล้อมท่ไี มม่ มี ลภาวะต่าง ๆ 3. การให้ความสำคัญกบั มุมมองทางการตลาด (Maintaining a market perspective) คือการทำให้มุมมองทางการตลาดยังคงอยู่ในการตลาดเชิงสังคม ประกอบด้วย การตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภค การสื่อสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค เช่น ประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ราคาท่ีสามารถเข้าถึงได้ วิธีการใช้ที่ไม่ยุ่งยากและเป็นประโยชน์ และวธิ ีการเขา้ ถงึ หรอื ชอ่ งทางการจดั จำหน่าย การมโี ปรโมชั่นเพือ่ กระตนุ้ และสง่ เสรมิ การขาย เพือ่ ใหผ้ ู้บริโภค เกิดความสนใจ สามารถจำผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ และสามารถเข้าถึงได้ หรือมีงานวิจัยเพื่อวิเคราะห์ ความต้องการ ความคาดหวัง และความพึงพอใจของผู้บริโภค เพื่อปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ แผนงาน หรอื โครงการ ให้เหมาะสมกับกลมุ่ ลูกค้าเพิม่ มากขึ้น 4. การผสมผสานทางการตลาด (Determining marketing mix) เป็นการตลาดเชิงสังคมที่มีลักษณะเหมือนกับการตลาดเชิงธุรกิจ โดยมีกลยุทธ์ที่นักการตลาดใช้ ในการกระตุ้นการขายโดยใช้ตัวแปรที่ปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคมากทีส่ ุด เพื่อให้เกิดการ ซือ้ ผลิตภัณฑห์ รือบริการ ซง่ึ ตวั แปรเหลา่ นค้ี อื สว่ นผสมการตลาด (Marketing Mix หรอื 4Ps) ประกอบด้วย - ผลติ ภัณฑห์ รอื บรกิ าร (Product) - การกำหนดราคา (Price) - ช่องทางการจัดจำหนา่ ย (Place) - การส่งเสรมิ การขายหรอื การสอื่ สารเกยี่ วกับผลติ ภัณฑ์ (Promotion) 5. การแบง่ กลุ่มเปา้ หมาย (Using audience segmentation) คือการแบ่งกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเป้าหมายของผลิตภัณฑ์หรือบริการของการตลาดเชิงสังคมออกเป็น กลุ่มย่อย เพื่อให้การตลาดเชิงสังคมมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น เนื่องจากสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของผู้บริโภคในกลุ่มย่อย ได้แก่ สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ค่านิยม การรับรู้ ระดบั การศกึ ษา วัฒนธรรมและประเพณี และพฤติกรรมสขุ ภาพ ทำให้สามารถขายสนิ ค้าหรือบริการนนั้ ได้ หากพิจารณาการตลาดเชิงสังคมแล้วคือการประยุกต์ใช้การตลาดเชิงธุรกิจในการวิเคราะห์ เพื่อวางแผน ดำเนินการ และประเมินผล ที่มุ่งเน้นประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก เป็นการเสริมพลังอำนาจ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคม ซึ่งจะแตกต่างกับการตลาดเชิงธุรกิจที่มุ่งเน้น

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 108 การแสวงหากำไรหรือผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ประกอบการ โดย Andreasen และ Drumwright ได้สรุป ความแตกต่างของการตลาดเชงิ สงั คมกบั การตลาดเชงิ ธรุ กจิ ไว้ดงั นี้ 1. ลักษณะขององค์กรของการตลาดเชิงสังคมจะเป็นแบบไม่แสวงหาผลกำไร แต่การตลาดเชิงธุรกิจ ม่งุ เน้นการแสวงหากำไรที่เป็นตัวเงิน 2. จดุ มงุ่ หมายในการดำเนินการของการตลาดเชิงสังคมคือเพ่ือประโยชนข์ องสังคมหรือส่วนรวมเป็นหลัก ในขณะที่การตลาดเชิงธรุ กิจมุ่งเนน้ การแสวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตัว 3. เป้าหมายด้านพฤติกรรมของการตลาดเชิงสังคมต้องใช้ระยะเวลานานในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แบบค่อยเป็นค่อยไปและอาศัยการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย แต่การตลาดเชิงธุรกิจจะใช้เวลาสั้น เนือ่ งจากมกี ารปรบั ให้ตรงกบั ความต้องการของกลุ่มเปา้ หมาย และมกี ารตดั สินใจตามลำดับข้นั ตอน 4. การวัดความสำเร็จของการตลาดเชิงธุรกิจสามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรมคือวัดจากผลกำไร หรือ สดั ส่วนในการครองตลาด แตค่ วามสำเรจ็ ของการตลาดเชิงสังคมเปน็ นามธรรม สามารถวดั ไดย้ าก ขัน้ ตอนการดำเนนิ งานของการตลาดเชิงสงั คม ประกอบดว้ ย (บญุ ยง เก่ยี วการค้า, 2561) 1. การวิเคราะหป์ ญั หา (Identify problem) เป็นขั้นตอนที่ใช้เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความจำเปน็ ในการทำการตลาดเชิงสังคม เช่น การวิเคราะห์ ปัญหาว่าในปัจจุบันคนไทยมีปัญหาเรื่องโรคเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การรณรงค์การตลาดเชิงสังคม ต้องมีการศึกษาข้อมูลทั้งในระดับสังคม ชุมชน จนถึงระดับบุคคล เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่าง ชัดเจน แล้วจึงทำการวิจัยเพือ่ ศึกษาปัจจยั ภายในและปัจจัยภายนอก รวมถึงสภาพแวดล้อมและบรบิ ทท่สี ่งผล ต่อการแสดงพฤตกิ รรมท่ีส่งผลตอ่ การเกดิ โรคเร้ือรงั ของผบู้ รโิ ภคซ่ึงเป็นกลุ่มเปา้ หมายต่อไป 2. การดำเนนิ การวจิ ัย (Conduct Research) เมื่อวิเคราะห์ปัญหาแล้ว จึงดำเนินการวิจัยเพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรม ของผู้บริโภค ทั้งการรับรู้ เจตคติ การประเมินค่า แรงจูงใจ และพฤติกรรม ซึ่งจะนำไปใช้ในการแบ่งกลุ่ม เป้าหมายเป็นกลุ่มย่อยที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เพื่อให้การตลาดเชิงสังคมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจาก สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของผู้บริโภคในกลุ่มย่อย รวมถึงการใช้ วิธีการสื่อสารหรือการรณรงค์เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคกลุ่มย่อยนี้ในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ การวิจัยยังทำให้ทราบถึงอุปสรรคในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และข้อค้นพบหรือผลที่ได้ จากการวจิ ัยเหล่านจี้ ะนำไปใชใ้ นการวางแผน กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ กลยทุ ธห์ รอื กจิ กรรมท่นี ำไปใช้ในการตลาด เชิงสงั คม รวมถึงการประเมินผลทีส่ อดคล้องกบั ผ้บู รโิ ภคที่เปน็ กลุ่มเปา้ หมายได้อีกด้วย 3. การพฒั นากลยุทธข์ องการตลาดเชงิ สงั คม (Develop strategy) เป็นขั้นตอนการรวบรวมผลการเรียนรู้หรือผลที่ได้จากการวิจัยมาใช้สร้างสรรค์แผนงาน โครงการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ แล้วนำหลักการและเทคนิคทางการตลาดเพื่อประยุกต์ใช้เพื่อปรับส่วนผสม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 109 ทางการตลาด (Marketing Mix หรือ 4Ps) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ (Product) การกำหนดราคา (Price) ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) การส่งเสริมการขายหรือการสื่อสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Promotion) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ให้เหมาะสม กับผ้บู รโิ ภคทเี่ ปน็ กลุ่มเป้าหมาย และเงินทนุ 4. การดำเนินการตลาดเชงิ สงั คม (Implement tactics) ขั้นตอนในการดำเนินการตลาดเชิงสังคมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยมกี รอบระยะเวลาท่ีแนช่ ัด มีการดำเนนิ การรว่ มกับการประยุกต์ส่วนผสมทางการตลาด ได้แก่ การเผยแพร่ ข้อมูล การสื่อสารผลิตภัณฑ์ การโฆษณา การสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรงผ่านช่องทางต่าง ๆ การให้ข่าว การประชาสัมพันธ์ตา่ ง ๆ 5. การวัดผลลพั ธท์ ่เี กิดจากการดำเนินการตลาดเชิงสังคม (Measure Outcome) คือการกำกับและประเมินผล เพื่อติดตามนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาปรับปรุงในช่วงระหว่าง การดำเนินการ มักใช้วิธีการเชิงคุณภาพ และการประเมินผลคือการวัดผลเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาสรุปความสำเร็จว่าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ และการประเมินผลลัพธ์ หรอื ผลกระทบที่เกิดจากการดำเนนิ การ มกั ใชว้ ิธีการเชงิ ปริมาณ ตวั อยา่ งงานวิจัยทป่ี ระยกุ ตใ์ ช้การตลาดเชงิ สงั คม จฬุ ารตั น์ แสงอรณุ (2564) ศกึ ษาการพัฒนาแบบจำลองธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ จากเห็ดเย่อื ไผ่ ผลการวจิ ัยพบว่าตลาดอาหารเพ่ือสขุ ภาพมีการเตบิ โตสูงขนึ้ และอาหารท่ีผู้บริโภคให้ความนิยม คืออาหารโปรตีนทางเลือกจากพืชและผู้บริโภคส่วนใหญ่คือกลุ่มวัยมิลเลนเนียล เบบี้บูมเมอร์ ด้านทัศนคติ ของผู้บริโภคตอ่ ผลิตภณั ฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจากเห็ดเยื่อไผ่อยู่ในระดับปานกลาง ผลิตภณั ฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ จากเห็ดเยื่อไผ่ที่วิเคราะห์ได้มี 4 ประเภท ได้แก่ เครื่องดื่มเห็ดเยื่อไผ่เข้มข้น เห็ดเยื่อไผ่ตุ๋นสำเร็จรูปพร้อม รับประทานขนมขบเคี้ยวเห็ดเยื่อไผ่อบกรอบ และผงเห็ดเยื่อไผ่ชงดื่มสำเร็จรูป ผลการศึกษาพบว่าผลิตภัณฑ์ เห็ดเยื่อไผ่ตุ๋นสำเร็จรูปพร้อมรับประทานได้การยอมรับมากที่สุด และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับปัจจัย ส่วนประสมการตลาดในระดับมาก ดวงรัตน์ เหลืองอ่อน (2564) ศึกษารูปแบบป้ายโฆษณาอาหารเพื่อสุขภาพต่อพฤติกรรมการตัดสินใจ ซื้อของผู้บริโภค ผลการวิจัยพบว่าจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน ที่ได้มาจากวิธีการสุ่มอย่างสะดวก ผลการศึกษาพบว่าป้ายโฆษณาอาหารเพื่อสุขภาพที่ออกแบบด้วยสีเขียว ใช้รูปร่างเส้นตรงทึบ แนวต้ัง ที่มีช่องว่างระหว่างเส้นไม่สมดุลกัน โดยช่องว่างกระจายจากศูนย์กลางภาพจากกว้างไปแคบ และใช้รูปภาพ สินค้าขนาดใหญ่จัดวางไว้ในตำแหน่งมุมล่างด้านขวาของป้ายโฆษณา มีความเหมาะสมในการนำมาใช้ ในการออกแบบรูปแบบป้ายโฆษณาอาหารเพื่อสุขภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยผลที่ได้สามารถนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาหารเพื่อสุขภาพซึ่งเกิดจากกระบวนการคิด

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 110 ของผู้บริโภคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการประยุกต์เป็นกลยทุ ธ์ทางการตลาด และการโฆษณาเพื่อให้ประสบความสำเร็จในกระบวนการทางการตลาด ของอาหารเพื่อสุขภาพ อย่างยั่งยืน ตอ่ ไปได้ ชานานันท์ ประดิษฐบาทุกา (2561) ศึกษารูปแบบกลยุทธ์การตลาดบริการสุขภาพการแพทย์ ทางเลือกโดยการฝังเข็มของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบกลยุทธ์การตลาด บริการสุขภาพการแพทย์ทางเลือกโดยการฝังเข็มของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย ประกอบด้วย ปัจจัยดา้ นจิตวิทยา ได้แก่ ความเช่ือ ทัศนคติ และการรับรู้ ตามลำดับ ปัจจัยที่สองคือกลยทุ ธ์การตลาดบริการ สุขภาพ ไดแ้ ก่ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และคณุ ภาพบคุ ลากร ส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ ช่องทางการจัดจำหน่าย กระบวนการ ราคาผลิตภัณฑ์ บริการ และการส่งเสริมการตลาดโดยกลยทุ ธ์การตลาดบริการสุขภาพมีอิทธิพล ทางตรงต่อผลการดำเนินงานการแพทย์ทางเลือกโดยการฝังเข็มมากที่สุด รองลงมาคือปัจจัยด้านจิตวิทยา ส่วนปัจจัยด้านสังคมวัฒนธรรมมีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานการแพทย์ทางเลือกโดยการฝังเข็มน้อย มากส่วนผลการดำเนินงานการแพทย์ทางเลือกโดยการฝังเข็มที่มีความสำคัญมากที่สุดคือความพึงพอใจ รองลงมาคือความปลอดภัยการใช้บริการ และคุณภาพชีวิต ดังนั้นรูปแบบกลยุทธ์การตลาดบริการสุขภาพ จึงมคี วามสำคญั และจำเป็นสำหรับการจดั บริการฝงั เข็มของโรงพยาบาล Jessica Keim-Malpass (2017) ศึกษาการใช้ Twitter เพื่อเข้าถึงการได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัส papilloma ของประชาชน: โดยประยุกต์ใช้การตลาดเชิงสังคม ผลการศึกษาพบว่าโพสต์ Twitter ส่วนใหญ่ ที่เขียนโดยผู้บริโภคทั่วไปและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแหล่งสื่อ โดยเป็นการแชร์ URL ของต้นฉบับ เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอในลักษณะการแสดงความคิดเห็น (ไม่ว่าจะเป็นในเชิงบวกหรือเชิงลบ) โดย 51% แสดงถึงมุมมองเชิงบวก ทั้งน้ีการใช้ Twitter เพื่อทำความเข้าถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างสาธารณะเป็นมุมมองใหม่ ในบรบิ ทของการสือ่ สารด้านสุขภาพ Douglas Evans (2011) ศึกษาการใช้การตลาดเพื่อสังคมในการดูแลสุขภาพ: การสื่อสาร เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ผลการศึกษาพบว่าการตลาดเชิงสังคมใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงพาณิชย์ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และนโยบายของบุคคลและองค์กร ซึ่งการสื่อสารดังกล่าวมีผลกับประชากร ด้านสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพต่าง ๆ และผลการศึกษาพบว่าปัจจัยท่ีจำกัดถึงประสิทธิผลของการตลาด เชิงสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคด้านการดูแลสุขภาพคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย กับผู้ให้บริการหรือพฤติกรรมของผู้ให้บริการ ทั้งนี้ สามารถนำกลยุทธ์การตลาดเชิงสุขภาพนี้ไปประยุกต์ใช้ ในพฤติกรรมสุขภาพอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น การควบคุมพฤติกรรมการสูบบุหรี่ การส่งเสริมการตรวจคัดกรอง และรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งการตลาดเชิงสังคมเป็นกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ของประชาชนที่มปี ระสทิ ธภิ าพ

111 สรุปการตลาดเชิงสังคม การตลาดเชิงสังคมพัฒนาขึ้นใน ค .ศ. 1970 โ ดย Philip Kotler และ Gerald Zaltman เป็นกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมโดยประยุกต์ใช้เทคนิคในเชิงธุรกิจมาใช้ในการวิเคราะห์ การวางแผน การดำเนินการ และประเมินผล โดยมีแนวคิดสำคัญคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติและการสร้าง พฤติกรรมของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นด้านธุรกิจ เพื่อตอบสนองความต้องการ ของผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว มาให้ความสำคัญกับการตลาดเชิงสังคมที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อการมีสุขภาพดีของบุคคล ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพของคน ในสังคมอย่างยั่งยืน โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา การดำเนินการวิจัย การพัฒนา กลยทุ ธ์ การดำเนินการ และการวดั ผลลพั ธ์ทีเ่ กดิ จากการดำเนินการตลาดเชงิ สงั คม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 112 เอกสารอา้ งอิง เกวลนิ ชน่ื เจริญสขุ และสมพร เนตริ ัฐกร. (2563). การพฒั นารูปแบบการดำเนนิ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพแนว ใหมส่ ำหรับโรงพยาบาล. วรสารวชิ าการกรมสนบั สนนุ บรกิ ารสุขภาพ. 16(3), 13-22. จฬุ ารตั น์ แสงอรุณ. (2564). การพฒั นาแบบจำลองธรุ กจิ เชงิ กลยทุ ธข์ องธรุ กิจอาหารเพื่อสุขภาพจากเหด็ เยื่อ ไผ.่ วารสารวทิ ยาลยั ดสุ ติ ธานี. 15(2), 208-226. ชานานันท์ ประดิษฐบาทกุ า. (2561). รูปแบบกลยทุ ธก์ ารตลาดบรกิ ารสุขภาพการแพทย์ทางเลือกโดยการ ฝงั เขม็ ของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย. วารสารวชิ าการคณะบรหิ ารธรุ กิจ. 13(1), 44-56. ดวงรัตน์ เหลอื งอ่อน. (2564). รูปแบบป้ายโฆษณาอาหารเพ่อื สขุ ภาพต่อพฤติกรรมการตัดสนิ ใจซื้อของผู้ บรโิ ภค.วารสารสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถ่นิ มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. 5(1), 105-113. บญุ ยง เก่ยี วการค้า. (2561). เอกสารประกอบการสอนชดุ วิชาการสง่ เสริมสุขภาพ การตรวจประเมนิ และการ บำบัดโรคเบือ้ งตน้ . นนทบุรี: สำนกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. สุดารตั น์ พรหมฝาย. (2555). รปู แบบรายการวทิ ยเุ พอื่ สง่ เสรมิ สุขภาพประชาชน ตำบลออนใต้ อำเภอสนั กำแพง จังหวัดเชยี งใหม่. ปรญิ ญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.่ สนุ ทร ยนต์ตระกูล. (2559). การพัฒนารปู แบบการส่งเสริมสุขภาพประชาชนกลุ่มเส่ยี งเบาหวานของหน่วย บริการปฐมภูมิภายใต้การขับเคลื่อนของระบบสุขภาพอำเภอเมืองจังหวัดมหาสารคาม . วารสารวชิ าการสาธารณสขุ . 25(2), 181-192. Douglas Evans. (2011). Applying Social Marketing in Health Care: Communicating Evidence to Change Consumer Behavior. Journal Indexing and Metrics. 28(5), 781-792. Jessica Keim-Malpass. (2560). Using Twitter to Understand Public Perceptions Regarding the Human Papilloma Virus Vaccine: Opportunities for Public Health Nurses to Engage in Social Marketing. PHN PUBLIC HEALTH NURSING. 34(4), 316-323. Lusk SL. (2554). Test of the Health Promotion Model as a causal model of workers' use of hearing protection. Nursing Research. 43(3), 151-157. Pender, N. J. (1996). Health promotion innursing practice (3rd ed.). Stamford, Conn: Appleton and Lange. Pender, N. J., Murdaugh, C. L., & Parsons, M. A. (2006). Health promotion innursing practice (5th ed.). New Jersey: Pearson Education, Inc. Tugba Karatas. (2021). Effect of nurse-led program on the exercise behavior of coronary artery patients: Pender’s Health Promotion Model. Patient Education and Counseling. 104(5), 1183-1192.

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 113 บทที่ 8 การประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสขุ ภาพสำหรับงานสุขศกึ ษา จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้เขียนได้สรุปการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลอง พฤติกรรมสุขภาพในการดำเนินงานสุขศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพหรือส่งเสริมสุขภาพประชาชน กลุ่มเป้าหมาย โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ดงั น้ี 1. การวิเคราะห์ปญั หาพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 2. การประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีและแบบจำลองพฤตกิ รรมสขุ ภาพสำหรบั งานสขุ ศกึ ษา 3. การประเมินผลการดำเนนิ งานสุขศกึ ษาเพ่อื พฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพ 1. การวิเคราะหป์ ัญหาพฤติกรรมสขุ ภาพ ในปัจจุบันปัญหาสาธารณสุขที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพ ตลอดจนทฤษฎีและแบบจำลอง พฤติกรรมสุขภาพมีจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ โดยพิจารณาถึงความ ความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหา ความเหมาะสมของกิจกรรมหรือกลยุทธ์ที่ใช้ ความเหมาะสมกับพื้นท่ี และกลุ่มเป้าหมาย ความพร้อมของทรัพยากร ศักยภาพของหน่วยงานท่ีรับผิดชอบโครงการ ซึ่งเป็นเป้าหมาย สำคัญในการดำเนินงานสุขศึกษาเพื่อการนำไปวางแผน กำหนดวัตถุประสงค์ และดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ัน ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นที่สาเหตุของปัญหา ดังกลา่ ว ประกอบดว้ ย 1. ปัญหาสาธารณสุขที่มีสาเหตุหรือมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพของบุคคลหรือปัญหา พฤตกิ รรมสขุ ภาพ 2. ปญั หาสาธารณสขุ ทเ่ี กดิ จากสาเหตอุ น่ื ทไ่ี ม่ได้เก่ยี วข้องหรือมสี าเหตุมาจากพฤตกิ รรมของบคุ คล ในการวิเคราะห์ปัญหาปัญหาพฤติกรรมสุขภาพจะมุ่งเน้นที่ปัญหาที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพ เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้สามารถดำเนินแผนงานหรือโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้เหมาะสมได้ นอกจากนี้ การวิเคราะห์ปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ ยังสามารถนำไปพัฒนาแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรม เพือ่ สง่ เสริมพฤติกรรมสุขภาพทพี่ งึ ประสงค์ โดยมขี น้ั ตอนทีส่ ำคัญ ดงั นี้ (ประไพจติ ร ชมุ แวงวาปี, 2553) 1. การจำแนกปัญหาที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมสุขภาพ ( Separating Behavioral and Non behavioral causes of the health problem) การจำแนกปัญหาสาธารณสุขที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมสุขภาพออกจากปัญหา ที่เกิดจากสาเหตุอื่น เป็นขั้นตอนแรกในการวิเคราะห์ปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ โดยการทบทวนและจำแนกสาเหตุหลักของปัญหา สาธารณสุขตามทฤษฎี ตามหลักวิชาการ หรือการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจาก พฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ไดแ้ ก่ การสบู บหุ รี่ การดมื่ สุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 114 การขาดกิจกรรมทางกาย ความเครียด และสาเหตุอื่น ได้แก่ กรรมพันธุ์ อายุ เพศ ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต เปน็ ตน้ ซง่ึ การจำแนกดังกล่าวน้จี ะทำให้เข้าใจสภาพปัญหาของประชาชนกลุ่มตวั อย่าง ทำให้สามารถวางแผน และดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงกับสาเหตุ ส่งผลให้ แก้ไขปัญหาสาธารณสุขได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 2. วิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพที่เป็นสาเหตุของปัญหาสาธารณสุข (Developing on Inventory of Behavior) ในขั้นตอนนี้จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพที่เป็นสาเหตุของปัญหาสาธารณสุข เพื่อนำมา วางแผน กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ และดำเนนิ งานแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม โดยจำแนกเป็น 2.1 การวิเคราะห์พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค โดยการระบุรายละเอียดพฤติกรรม นัน้ ๆ วา่ มีความสัมพันธห์ รอื เกย่ี วข้องกบั ปัญหาสุขภาพอย่างไร ซึ่งการวิเคราะหพ์ ฤติกรรมเหล่านี้ ตอ้ งวเิ คราะห์ให้แนช่ ัด เพ่อื ใช้ในการกำหนดแผนงาน โครงการ หรอื กิจกรรม สง่ ผลสามารถแก้ไข ปัญหาพฤติกรรมสขุ ภาพไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ตรงความต้องการ และมีประสิทธิภาพ 2.2 วิเคราะหแ์ นวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมสขุ ภาพใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ คือการระบุ แนวทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงกับพฤติกรรมนั้นอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อเป็นแนวทาง ในการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เช่น พฤติกรรมการป้องกันโรคเรื้อรัง จะประกอบด้วย แนวทางปฏิบัติพฤติกรรมย่อย ๆ หลายพฤติกรรม ได้แก่ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย พฤติกรรมการงดดื่มสุราและงดสูบบุหร่ี พฤติกรรมการพักผ่อน และพฤติกรรมการกำจดั ความเครยี ดทเ่ี หมาะสม 3. การจัดลำดับความสำคัญของพฤติกรรมสุขภาพตามความสำคัญ (Rating Behavior in term of importance) เนื่องจากในปัจจุบันปัญหาสาธารณสุขที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพมีจำนวนมาก แต่ทรัพยากร กำลังคน และระยะเวลาในการดำเนินการมีจำกัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในการแก้ปัญหา โ ด ย ก า ร ว ิ เ ค ร า ะ ห ์ พ ฤ ต ิ ก ร ร ม ส ุ ข ภ า พ ท ี ่ เ ป ็ น ส า เ ห ตุ ส ำ ค ั ญ แ ล ะ ส ่ ง ผ ล ต ่ อ ปั ญ ห า ส า ธ า ร ณ ส ุ ข โ ด ย ต ร ง มคี วามจำเปน็ ตอ้ งได้รบั การแก้ไขอย่างเร่งด่วน แลว้ จดั ลำดบั ความสำคัญของพฤติกรรมเหล่านนั้ 4. การจัดลำดับความสำคัญของพฤติกรรมสุขภาพตามโอกาสในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Rating Behavior in term of changeability) นอกจากการวิเคราะหพ์ ฤติกรรมสุขภาพทเี่ ป็นสาเหตุสำคัญของปญั หาสาธารณสุขแล้ว ยงั ต้องคำนึงถึง โอกาสในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย หากเป็นพฤติกรรมที่กำลังเกิดขึ้นหรือเพิ่งปฏิบัติจะมีโอกาส ในการเปลี่ยนแปลงได้มาก แต่ในทางกลับกัน หากเป็นพฤติกรรมที่กระทำมานาน อยู่ในแบบแผนการดำเนิน ชีวิต หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัตนธรรมแล้ว รวมถึงพฤติกรรมที่เคยพยายามเปลี่ยนแปลงมาก่อนแล้วไม่สำเร็จ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 115 จะมโี อกาสเปลี่ยนแปลงได้ยาก ใช้ระยะเวลานาน หรือใชท้ รพั ยากรมากในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ พฤติกรรมการไม่สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) พฤติกรรม การรับประทานอาหารดิบในท้องถิ่น ดังนั้น ในการจัดลำดับความสำคัญของพฤติกรรมสุขภาพจะต้องคำนึงถงึ โอกาสในการปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมเหล่านี้ดว้ ย 5. การเลอื กพฤติกรรมสุขภาพเปา้ หมาย (Choosing Behavior Target) เมื่อดำเนินการวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของพฤติกรรมสุขภาพตามความสำคัญและโอกาส ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ให้เลือกพฤติกรรมสุขภาพเป้าหมายที่มีความสำคัญและมีโอกาส ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากที่สุด และเป้าหมายรองลงไปคือพฤติกรรมที่มีความสำคัญแต่มีโอกาส เปลยี่ นแปลงไดน้ อ้ ย และพฤติกรรมท่ีมีความสำคญั รองลงไปและมโี อกาสเปล่ียนแปลงได้งา่ ย ตามลำดบั 2. การประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎแี ละแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพสำหรับงานสุขศึกษา 2.1 การประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎีและแบบจำลองพฤตกิ รรมสขุ ภาพสำหรบั งานวิจัย ในปัจจุบันทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการศึกษาและงานวิจัยด้าน พฤติกรรมสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพ ทั้งสาเหตุ และวิธีการแก้ไขพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสมและส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยการนำทฤษฎีและแบบจำลอง พฤติกรรมสุขภาพต่าง ๆ มาใช้เป็นแนวคิดหลักในการทำวิจัย ทั้งการกำหนดปัญหาสุขภาพ หัวข้อการวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐาน กำหนดตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย การสร้างกรอบแนวคิดการวิจัย การสร้างเครื่องมือ รวมถึงการวิเคราะห์ผล การอภิปราย การสรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยเพื่อพัฒนาพฤติกรรม สุขภาพ ซงึ่ บุญยง เก่ียวการคา้ (2561) ได้สรุปบทบาทของทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพสำหรับงาน สขุ ศกึ ษาและการสง่ เสริมสขุ ภาพสำหรบั งานวิจัยได้ 4 ลักษณะ ไดแ้ ก่ 1. การบอกเล่าโดยใช้ทฤษฎี (Informed by theory) คือการเลือกใช้ทฤษฎี 1 ทฤษฎีใน 1 งานวิจัย เพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทางหลักของการวิจยั 2. การประยุกต์ใช้ทฤษฎี (To applying) คือการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในงานวิจัย ซึ่งอาจใช้เพียง 1 ทฤษฎี หรือใช้หลายทฤษฎีร่วมกนั ใน 1 งานวจิ ยั กไ็ ด้ เป็นวิธกี ารทนี่ ยิ มใชม้ ากกวา่ ลกั ษณะอนื่ 3. การทดสอบทฤษฎี (Testing) คือใช้ทฤษฎีในงานวิจัยในบริบทที่คล้ายคลึงกันหรือแตกต่างกันก็ได้ เพ่อื ทดสอบทฤษฎี 4. การสร้างทฤษฎีใหม่ (Building) คือการสร้างทฤษฎีใหม่สำหรับการวิจัยแล้วนำไปทดสอบหลายครั้ง ในบริบทที่มีความแตกต่างกัน หากทดสอบแล้วได้ผลการทดสอบที่ไม่แตกต่างกัน ก็สามารถเผยแพร่ เป็นทฤษฎใี หม่ได้ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสขุ ภาพในงานวิจัย สามารถแบ่งตามรูปแบบของการ วิจยั ไดแ้ ก่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 116 1. การวิจยั เชิงสำรวจ (Survey research) คือการวิจัยที่ผู้วิจัยเน้นรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีการกำหนดปัจจัยเสี่ยง (risk factor หรือ exposure) หรือสิ่งที่ต้องการประเมินหรือทดสอบ (intervention) ให้แก่กลุ่มตัวอย่างที่ต้องการศึกษา แต่กลุ่มตัวอย่างนั้นสัมผัสหรือได้รับปัจจัยเสี่ยง ในชีวิตประจำวันหรือในการทำงานอยู่แล้ว โดยผู้วิจัยมีหน้าที่เพียงเฝ้าติดตาม สังเกต หรือสำรวจดูผล ที่จะเกิดขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพและพัฒนาทฤษฎีให้มีความเหมาะสมมากยิ่งข้ึน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีหรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาเพื่อหาปัจจัยที่มีความ เกี่ยวข้องกับปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ อาจมีการประยุกต์ใช้เพียง 1 ทฤษฎีหรือหลายทฤษฎีร่วมกันก็ได้ โดยมแี นวทางการประยุกต์ใชไ้ ดใ้ นงานวจิ ยั ได้แก่ - การสำรวจเพอื่ ศึกษาขนาดของปญั หาหรือธรรมชาติของการเกิดโรค - การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาพฤติกรรมสุขภาพที่เฉพาะเจาะจงสำหรับบริบทหรือกลุ่มตัวอย่าง ที่ต้องการศึกษา เช่น พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง พฤติกรรม การสวมถุงยางอนามัยของวัยรุ่น พฤตกิ รรมการป้องกนั โรคไข้เลอื ดออกในพ้ืนที่ชายแดน - การใช้ตัวแปรที่รวบรวมได้จากทฤษฎีพฤติกรรมสุขภาพและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากำหนด วตั ถปุ ระสงค์และกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ครงั้ ต่อไป - การค้นหาทฤษฎีและแบบจำลองสุขภาพที่มีความสัมพันธ์หรือสามารถทำนายพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อค้นหาตัวแปรท่ีเป็นตน้ เหตุของปญั หาพฤติกรรมสขุ ภาพ แล้วนำขอ้ มูลทีไ่ ด้และข้อค้นพบมาใช้วางแผนงาน โครงการ หรอื กิจกรรมเพ่อื แกไ้ ขปัญหาพฤติกรรมสุขภาพนนั้ ๆ 2. การวจิ ัยเชงิ ทดลอง (experimental research) คือ การวิจัยที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรภายใต้ สถานการณ์ที่กำหนด โดยผู้วิจัยเป็นผู้กำหนดสิ่งที่ต้องการประเมินหรือทดสอบ (ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น) ได้แก่ ยา วัคซีน หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงวิธีการรักษา การทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า intervention โดยผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความแตกต่างของกลุ่มทดลอง (Experimental group) และกลุ่มควบคุม (Control group) โดยการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของทั้งสองกลุ่มตามเงื่อนไขที่กำหนด (ตัวแปรตาม) เพื่อให้ได้ ผลการศึกษาหรือข้อสรุปที่สามารถนำไปใช้อธิบายและทำนายพฤติกรรมสุขภาพต่าง ๆ ได้ โดยมีแนวทาง การประยกุ ตใ์ ชไ้ ดใ้ นงานวจิ ัย ไดแ้ ก่ - การค้นหาข้อเท็จจริงของสาเหตุที่ทำให้เกิดผลคือการแสดงพฤติกรรมสุขภาพในบริบท เงื่อนไข หรอื สถานการณ์ทีต่ ้องการศึกษา - การเปรียบเทียบการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ วิธีการใหม่ นวัตกรรม หรือการทำแผนงาน โครงการ และกจิ กรรม เพ่ือปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพหรอื เพื่อสง่ เสริมสขุ ภาพในกลุม่ ทดลองและกลุม่ ควบคุม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 117 - งานวจิ ยั ท่ีวิเคราะห์หรอื ค้นหาปัญหา อุปสรรค ของการแสดงพฤติกรรมสุขภาพท่ีพงึ ประสงค์ เพ่ือนำ ข้อมูลที่ได้ไปกำหนดแนวทางการแก้ไขหรือพัฒนาแผนงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การประเมินผล การใหบ้ ริการแบบใหมใ่ นโรงพยาบาล - นำผลที่ได้จากการคน้ พบในงานวิจยั ไปสรา้ งแนวคิด หรอื ทฤษฎแี ละแบบจำลองทางสุขภาพใหม่ 3. การวจิ ัยแบบกง่ึ ทดลอง (Quasi- experimental research) การวิจัยกึ่งทดลองเป็นการศึกษาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการวิจัยเชิงทดลอง คือมีการตั้งสมมติฐาน จัดการกระทำกับตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น แล้วสังเกตผลหรือวัดผลจากตัวแปรตาม แต่มีความแตกต่าง กับการวิจัยเชิงทดลองคือการวิจัยแบบกึ่งทดลองไม่สามารถสุม่ ตัวอย่างที่ตอ้ งการเข้ากลุ่มได้ โดยกลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้อาจจะเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น กลุ่มนักเรียน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้พิการในชุมชน และบางครั้งก็ไม่มีกลุ่มควบคุม ซึ่งในการประยุกต์ใช้สำหรับงานวิจัยเพื่อศึกษาพฤติกรรมสุขภาพมักนำทฤษฎี หรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ที่ประกอบด้วย การจัดกระทำที่ต้องการทดลองคือโปรแกรมสุขศึกษา โครงการหรือกิจกรรม และตัวแปรตามคือพฤติกรรม สุขภาพที่ต้องการศึกษาความเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนา อาจจะประยุกต์ใช้เพียง 1 ทฤษฎีหรือหลายทฤษฎี รว่ มกันก็ได้ โดยมแี นวทางการประยุกต์ใช้ได้ในงานวจิ ัย ได้แก่ - การศึกษาทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ และการทบทวนงานวิจัยท่ี เกี่ยวข้อง เพื่อออกแบบแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมสุขศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ หรือสง่ เสริมสขุ ภาพของประชาชนกล่มุ เปา้ หมายท่ตี ้องการศกึ ษา - ดำเนินการทดลองในกลุ่มเปรียบเทียบที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มทดลองเพื่อเปรียบเทียบผล และปรบั ปรงุ แผนงาน โครงการ หรอื กจิ กรรมสขุ ศึกษาให้สมบรู ณ์ - สามารถนำแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมสุขศึกษาที่มีการทดสอบแล้วไปเผยแพร่เพื่อใช้ในการ ปรับเปลีย่ นพฤติกรรมสุขภาพหรอื การสง่ เสริมสขุ ภาพในกล่มุ ประชาชนอื่นที่มีลักษณะใกลเ้ คียงกนั ได้ การเลือกรูปแบบงานวิจัยที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ที่เป็นพื้นฐานหลักในการกำหนดปัญหางานวิจัย หัวข้อการวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐาน กำหนดตัวแปรที่ใช้ ในการวิจัย การสร้างกรอบแนวคดิ การวจิ ัย เพ่อื หาสาเหตุของปัญหาสาธารณสุข หรือตัวแปรที่มคี วามเกี่ยวข้อง กับพฤติกรรมสุขภาพที่ต้องการศึกษา อีกทั้งบริบทแวดล้อมของพื้นที่ที่ส่งผลต่อการวิจัย ทำให้สามารถนำผล ทีไ่ ด้จากงานวิจยั มากำหนดแนวทางและกลยุทธใ์ นการแกไ้ ขปญั หาสาธารณสขุ ได้อย่างเหมาะสม 2.2 การประยกุ ต์ใชท้ ฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพเพ่อื การปรับเปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพ ในปัจจุบันบุคลากรสาธารณสุขได้มีการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ในการจัดทำแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรม เพื่อดำเนินงานสุขศึกษาอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ เนื่องจากทฤษฎี และแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วยหลักการ หลกั คดิ และองค์ประกอบท่ีผา่ นการพิสูจน์จนเป็นที่

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 118 ยอมรับทั่วไป ในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีหรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพในการพัฒนากิจกรรมเหล่านี้ขึ้นอยู่ กับปัญหาสาธารณสุขที่ต้องการแก้ไข ซึ่งผู้ดำเนินการจัดกิจกรรมอาจใช้กิจกรรมเดียวหรือหลายกิจกรรม ร่วมกันก็ได้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและกา รส่งเสริม สขุ ภาพของประชาชนกล่มุ เปา้ หมายอยา่ งเหมาะสม ประโยชน์ของทฤษฎีและแบบแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพในการจัดทำแผนงานหรือโครงการ เพอ่ื พฒั นาพฤติกรรมสขุ ภาพ ได้แก่ (บุญยง เกี่ยวการค้า, 2561) 1. เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ หรือกิจกรรมส่งเสริมสขุ ภาพให้มีลักษณะที่จำเพาะกับปัญหาสุขภาพ กลุ่มตัวอย่าง และพื้นที่ ทั้งยังมี ความเชอ่ื มโยงและสอดคล้องกนั สามารถนำไปสู่การปฏบิ ตั ไิ ด้อยา่ งเหมาะสม 2. สามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพเป็นแนวทางในการกำหนดวัตถุประสงค์ การกำหนดขอบเขตของการวางแผนงานหรอื โครงการ การพัฒนากลยุทธ์การปฏิบัตงิ านเพือ่ ให้บรรลุ วตั ถุประสงคข์ องโครงการ 3. เป็นแนวทางในการพิจารณาข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการวางแผนงาน และเป็น แนวทางในการปรับปรงุ แกไ้ ขการดำเนินโครงการพัฒนาพฤตกิ รรมสุขภาพ การนำทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพมาประยุกต์ใช้ในการจัดทำแผนงานหรือโครงการ สาธารณสุข ประกอบด้วย 12 ขั้นตอน ได้แก่ (ประไพจิตร ชุมแวงวาปี, 2553) 1. การระบปุ ัญหาสาธารณสขุ (Public Health Problem identification) คือ การวิเคราะห์และกำหนดปัญหาสาธารณสุข โดยการระบุเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล กำหนดวธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมลู กำหนดกลุ่มตัวอย่าง แล้วนำข้อมูลทร่ี วบรวมได้มาพิจารณาตัวชี้วัดที่ต้องการ ศกึ ษา และปจั จัยเสีย่ ง ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมเส่ยี ง และสภาพแวดลอ้ มท่สี ่งผลเสยี ต่อสขุ ภาพ 2. การคดั กรองปญั หา (Problem screening) คือการจำแนกปัญหาสาธารณสขุ ตามเปา้ หมายท่ีกำหนดไวน้ โยบายหรือแผนงานหลกั หรอื จำแนกตาม สถิติทรี่ ะบไุ ว้ในตัวช้วี ัดในพนื้ ทท่ี ี่ตอ้ งการดำเนินโครงการ 3. การจดั ลำดบั ความสำคญั ของปญั หา (Priority setting) คือการวิเคราะหโ์ ดยใชเ้ กณฑ์ความสำคญั ของปญั หา ได้แก่ 1) ขนาดและความรุนแรงหรือความร้ายแรงของปญั หา 2) ความตระหนักของคนในชมุ ชน 3) ความยากง่ายในการแก้ไขปัญหา 4. การวเิ คราะห์ปญั หา (Problem analysis)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 119 คือการรวบรวมข้อมูลตามตัวชี้วัดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหรือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม ตวั อยา่ งทีต่ อ้ งการศึกษา แลว้ นำมาวเิ คราะหข์ อ้ มลู เพ่ือใช้ในการพจิ ารณาถึงสาเหตุของปัญหาในพื้นที่ และผลที่ ได้มากำหนดแผนงาน วตั ถปุ ระสงค์ และกลยทุ ธใ์ นการดำเนินโครงการ การวิเคราะห์ปัญหาเป็นข้ันตอนสำคัญ ในการเลือกใช้ทฤษฎีและแบบจำลองสุขภาพในโครงการ การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาตามหลักวิทยาการ ระบาด ที่ประกอบดว้ ย - บุคคล (Host) มีสาเหตุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสาธารณสุขโดยตรงคือพฤติกรรมสุขภาพ ดังนั้น ในการเลือกใช้ทฤษฎีและแบบจำลองสุขภาพจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และต้อง พิจารณาให้ครอบคลุมท้ังพฤติกรรมการส่งเสริมสขุ ภาพ การป้องกันโรค และการรักษาโรค รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ทเี่ ป็นสาเหตขุ องปญั หาสาธารณสขุ ดว้ ย เชน่ พันธกุ รรม ประวตั ิการเกิดโรค และสภาวะสขุ ภาพของบคุ คล - เชื้อโรคหรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (Agent) คือสาเหตุที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหรือผลกระทบ ทางสุขภาพ และก่อให้เกิดปัญหาสาธารณสุข ซึ่งในการวิเคราะห์ Agent นี้จะทำให้คนเกิดการรับรู้โอกาส และความรนุ แรงในการเกดิ โรค แลว้ ส่งผลต่อการแสดงพฤตกิ รรมการปอ้ งกันโรคของบุคคล เช่น พฤตกิ รรมการ ฉีดวคั ซนี ปอ้ งกนั โรค พฤติกรรมการสวมถุงยางอนามัย พฤติกรรมการลา้ งมือก่อนรับประทานอาหาร - สภาพแวดล้อม (Environment) คือปัจจัยภายนอกที่อยู่รอบตัวและส่งผลให้เกิดความเสี่ยง ตอ่ การเกดิ โรคหรืออนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ ประกอบดว้ ย สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ ไดแ้ ก่ ความรอ้ น ความเยน็ แสงสวา่ ง เสยี ง รงั สี สภาพแวดล้อมทางเคมี ได้แก่ สารเคมีในชีวิตประจำวัน สารเคมีจากการทำงาน สารเคมี ทางการเกษตร สภาพแวดล้อมทางชวี ภาพ ไดแ้ ก่ แบคทเี รีย ไวรสั เชอ้ื รา ปรสิต สภาพแวดล้อมทางจิตสังคม ได้แก่ สภาพแวดล้อมการทำงาน สภาพสังคม ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม เศรษฐกจิ การศกึ ษา ระบบวถิ ีชุมชน รวมถงึ สภาพแวดลอ้ มทีส่ ง่ ผลใหเ้ กดิ ความวิตกกงั วลและความเครยี ด 5. การกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ (Program objective) เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการบรรลุในการจัดทำโครงการ เพื่อให้โครงการมีเป้าหมายและทิศทางใน การดำเนินงานที่ชัดเจน โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ ประกอบด้วย เป้าประสงค์ คือเป้าหมายหลักที่ได้ จากการวิเคราะห์ปัญหาสาธารณสุข และวัตถุประสงค์หลักที่ได้จากการวิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยที่สัมพันธ์ กบั สาเหตขุ องปญั หาสาธารณสขุ 6. การกำหนดเปา้ หมาย (Program target) คือการกำหนดเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของโครงการ ประกอบด้วย การบรรลุวัตถุประสงค์ ของโครงการในระยะเวลา งบประมาณ และมีคุณภาพตามที่กำหนด การกำหนดเป้าหมายมีทั้งเป้าหมาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 120 เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติท่ีชัดเจนในการดำเนินโครงการ ทำให้ผู้ปฏิบัติงาน มจี ดุ มุง่ หมายและสามารถดำเนินการในทศิ ทางเดียวกัน 7. การกำหนดกล่มุ เป้าหมาย (Target groups) การกำหนดกลุ่มเป้าหมายคือการกำหนดประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพ หรือตอ้ งการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพที่พงึ ประสงค์ หรอื ส่งเสรมิ สุขภาพ อาจกำหนดตามเกณฑ์คือกลุ่มที่มี ความรุนแรงของปัญหา หรือกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามช่วงวัย หรือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามเขตพื้นที่ วัตถุประสงค์หลักของการกำหนดกลุ่มเป้าหมายคือเพื่อเลือกทฤษฎีและพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสม กับกล่มุ เปา้ หมาย 8. การกำหนดกลยทุ ธ์ (Program strategies) คือการกำหนดวิธีการดำเนินงานหรือกิจกรรมหลักของโครงการที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติ กรรม หรือส่งเสริมสุขภาพ โดยพัฒนากิจกรรมจากทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพที่เอื้อให้เกิดการมี ส่วนร่วมของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หรืออาจมีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่มาใช้ในการแก้ไขปัญหา สาธารณสุข ซึ่งการให้ความสำคัญกับการกำหนดกลยุทธ์หรือกิจกรรมในโครงการจะนำไปสู่การแกไ้ ขปัญหาได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพและยัง่ ยืน ทฤษฎแี ละแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพสามารถใช้ในการอธิบายพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย ที่มีความแตกต่างกัน ดังนั้น ในการพิจารณาการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ในแผนงานหรือโครงการเพื่อพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ จำเป็นต้องพิจารณาตามความเหมาะสม กับ กลุ่มเป้าหมาย สภาพปัญหา ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงทรัพยากรที่มีอยู่ โดยจักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ (2560) ไดจ้ ดั ข้อพิจารณาในการเลือกใชท้ ฤษฎแี ละแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ดงั น้ี 1. พจิ ารณาให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ของการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพ - หากมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการศึกษาเพื่อพรรณนาพฤติกรรมสุขภาพ จะประยุกต์ใช้ทฤษฎี และแบบจำลองเป็นกรอบแนวคิดในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา การเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อวัด และประเมินพฤติกรรมสุขภาพ - หากต้องการอธิบายถึงความสัมพันธ์ หรือทำนายการเกิดพฤติกรรมสุขภาพจะใช้ทฤษฎี และแบบจำลองเป็นกรอบแนวคิดหรือตัวแปรเพื่อแสดงความสัมพันธ์ในเชิงสาเหตุ หรือประยุกต์ใช้ในการ วางแผนทดสอบระหว่างตัวแปร เช่น การศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกโดย ใช้ PRECEED Model - หากมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ จะใช้ทฤษฎีและแบบจำลอง เป็นกรอบแนวคิดในการจัดทำแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรม ในการควบคุมให้เกิดพฤติกรรมสุขภาพ ที่พึงประสงค์ และใช้ในการเปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายก่อนและหลังการจัดโครงการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 121 เพ่ือประเมินประสิทธิภาพของโครงการ เช่น การจัดโครงการให้สุขศึกษาแก่ผปู้ ่วยความดนั โลหติ สูงเพ่ือป้องกัน โรคหลอดเลือดสมอง โดยใชแ้ บบแผนความเชอ่ื ด้านสขุ ภาพ (Health Belief Model: HBM) เพอื่ กระตนุ้ ให้เกิด การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง และส่งเสริมให้เกดิ การรับรู้ ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงลดอุปสรรคของการปฏิบัติให้แก่ ประชาชนกลุ่มเปา้ หมาย 2. พิจารณาให้สอดคล้องกับระดบั ของกลุ่มเปา้ หมาย ได้แก่ - ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพระดับบุคคลมักใช้กับสถานการณ์ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถ แสดงพฤตกิ รรมไดด้ ้วยตนเอง เช่น ทฤษฎแี รงจูงใจเพ่ือป้องกันโรค ทฤษฎกี ารสง่ เสรมิ สุขภาพ โดยอาจมีทฤษฎี และแบบจำลองสุขภาพระหว่างบุคคลเข้ามาร่วมด้วย เช่น แรงสนับสนุนทางสังคม ตัวอย่างสถานการณ์ เช่น พฤติกรรมการออกกำลังกายที่อาจมีการให้คำแนะนำ และการเสริมทกั ษะในการออกกำลงั กายท่เี หมาะสม กับกลุ่มเป้าหมาย ร่วมกับการได้รับแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างที่ส่งผลให้บุคคลมีการแสดงพฤติกรรม การออกกำลงั กายอย่างตอ่ เนื่องและสม่ำเสมอ - ทฤษฎีและแบบจำลองสุขภาพระดับชุมชนและสังคม มักใช้กับสถานการณ์ที่จำเป็นต้องมีการจัด แผนงาน โครงการ หรอื กิจกรรมทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ การปรับเปลีย่ นพฤติกรรมสุขภาพในหลายระดบั ซงึ่ อาจต้องมี นโยบายหรือกฎหมายร่วมด้วยเพื่อให้เกิดพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ เช่น การจำกัดอายุในการเข้าถึง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ หรือการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ หรือการคาดเข็มขัดนิรภัยและการสวม หมวกนริ ภัยในการขบั ขย่ี านพาหนะ หากฝ่าฝืนจะมบี ทกำหนดโทษทางกฎหมาย 3. พิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกับประเภทและความซับซ้อนของพฤติกรรมสุขภาพ ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพแต่ละทฤษฎีมีแนวคิดพื้นฐานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ในการพิจารณาเลือกใช้ทฤษฎีและแบบจำลองเหล่านี้จะต้องคำนึงถึงประเภทของพฤติกรรมสุขภาพร่วมด้วย ได้แก่ พฤติกรรมการส่งเสริมสขุ ภาพ พฤติกรรมการป้องกันโรค พฤติกรรมการรักษา พฤติกรรมการมีสว่ นรว่ ม ในกิจกรรมสาธารณสุข รวมถึงต้องพิจารณาถึงความซับซ้อนของปัญหา หากสภาพปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ มคี วามซับซ้อนท่เี กิดจากตวั แปรรว่ มกันทสี่ ง่ ผลต่อพฤติกรรม ดงั นนั้ การใชก้ ิจกรรมทพ่ี ัฒนาจากการผสมผสาน ทฤษฎีหรือแบบจำลองเพื่อให้ครอบคลุมสาเหตุของปัญหาพฤติกรรมสุขภาพทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เฉพาะบางตัวแปรของหลายทฤษฎีหรือใช้ตัวแปรทั้งหมดจึงจะได้ผลดีที่สุด ยังคงมีข้อถกเถียงกันอยู่ (จกั รพนั ธ์ เพช็ รภูมิ, 2560) 9. การจัดทำตารางเพ่อื ประเมินโครงการ (Logical dummy table) คือการจัดทำตารางสรุปผังร่างของโครงการเพื่อเป็นแนวทางในการเขียนแผนงาน โครงการ และการ ประเมนิ ผล 10. การเขียนโครงการตามรปู แบบที่กำหนด (Program development)

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 122 ในการเขียนโครงการตามรูปแบบที่หน่วยงานกำหนด อาจมีการปรับเปลี่ยนตามรูปแบบของ แต่ละหนว่ ยงาน และควรพจิ ารณาใหค้ รอบคลุมหวั ข้อ ดังนี้ - ช่ือโครงการ - หลกั การและเหตผุ ล - วตั ถปุ ระสงค์/เป้าหมาย - วธิ ีดำเนนิ โครงการ - ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ - งบประมาณทีใ่ ชใ้ นการดำเนนิ โครงการ - ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ - ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ 11. การกำกบั ตดิ ตามโครงการ (Program monitoring) คือการจัดทำผังเพื่อกำกับติดตามกิจกรรมในโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนด โดยมีการระบุเวลา และขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรมตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดโครงการ และมีการกำหนดผู้รับผิดชอบกิจกรรมหลัก ในโครงการ เพื่อกำกบั ตดิ ตามการดำเนนิ กิจกรรมในโครงการ 12. การประเมนิ ผลโครงการ (Program evaluation) ในการจัดทำแผนการประเมินโครงการต้องระบุรายละเอียดของสิ่งที่ต้องการประเมินให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ รวมถึงระบุตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมิน ได้แก่ ความเหมาะสม ของกิจกรรมหรือกลยุทธ์ที่ใช้ ความเหมาะสมกับพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย ความพร้อมของทรัพยากร การประเมินศักยภาพของหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ ตลอดจนการบริหารจัดการในโครงการให้บรรลุผล และเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด โดยมีการประเมินผลเป็นระยะ หรือประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ แลว้ นำผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ ไปใชใ้ นการปรับปรุงแผนงานโครงการ การกำกบั ตดิ ตามโครงการ และประเมิน ประสทิ ธิภาพของโครงการ นอกจากนี้ ในโครงการสาธารณสุขจะต้องมีการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการ (Output or product evaluation) โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ (ประไพจิตร ชุมแวงวาปี, 2553) 1. ผลลัพธ์ที่เกิดโดยตรงจากการดำเนินโครงการ (Direct output) เป็นการประเมินปัจจัย ทมี่ ีความสัมพันธก์ ับการปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมสุขภาพท่ีพงึ ประสงค์ 2. ผลกระทบด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavioral impact) โดยประเมินการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายที่เกิดจากการดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นการประเมิน ประสทิ ธิผลของโครงการ

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 123 3. ผลกระทบต่อภาวะสุขภาพส่วนบุคคล (Individual Health impact) เป็นการประเมิน การเปลี่ยนแปลงของภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคลที่มีการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนิ นโครงการ เช่น ระดับความดนั โลหติ ค่าดัชนมี วลกาย ระดับไขมันในเลือด 4. ผลกระทบต่อปัญหาสาธารณสุข (Public Health impact) เป็นการประเมินการเปลี่ยนแปลง ของปัญหาสาธารณสุขในระดับชุมชนหรือสังคม เช่น อัตราป่วย อัตราตาย อัตราป่วยตาย ของประชาชนกลุม่ ตัวอยา่ งในพื้นท่ีทต่ี อ้ งการศกึ ษา ในทางปฏบิ ตั ิ การจดั ทำแผนงานหรอื โครงการสาธารณสุขไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามทุกข้ันตอนดังกล่าว เสมอไป หากมีการกำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนดกลยุทธ์และวิธีการดำเนินงาน ผู้รับผิดชอบโครงการสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบแผนพฤติกรรมสุขภาพในการจัดทำแผนงาน หรือโครงการสาธารณสขุ ตามกลยทุ ธด์ ังกลา่ วได้ นอกจากนี้ บุญยง เกี่ยวการค้า (2561) ได้แบ่งขั้นตอนการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลอง พฤติกรรมสุขภาพในแผนงาน โครงการ และกจิ กรรมพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ เพ่อื เปน็ แนวทางการปฏิบัติงาน ให้ตอบสนองวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานสุขศึกษา ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม และการสง่ เสริมสขุ ภาพ ดังนี้ 1. การเลือกทฤษฎหี รอื แบบจำลองพฤตกิ รรมสขุ ภาพท่ีเหมาะสม พฤติกรรมสุขภาพส่วนใหญ่มีความซับซ้อน ดังนั้น ในการพัฒนาแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรม จำเปน็ ตอ้ งศึกษาและเลือกทฤษฎีหรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพต้องมีแนวคดิ พื้นฐานท่สี ามารถประยุกต์ใช้ ในการทำกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษา ระดับของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงประเภทและความซับซ้อนของพฤติกรรมสุขภาพ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี หรือแบบจำลองพฤตกิ รรมสุขภาพเป็นกรอบแนวคดิ ตั้งแตก่ ารกำหนดวัตถุประสงค์ ขัน้ ตอนการดำเนินกิจกรรม และการประเมินผล เช่น โครงการให้สุขศึกษาในการป้องกันโรคในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน เป็นพฤติกรรมสุขภาพระดับบุคคล จึงพิจารณาเลือกใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model: HBM) ในโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มตัวอย่างเกิดการรับรู้ความโอกาสเสี่ยง และความรุนแรงของการเกิดโรค รวมถึงการรับรู้ประโยชน์ในการปฏิบัติ และช่วยกำจัดอุปสรรคในการปฏบิ ัติ พฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม และอาจมีการเลือกใช้ทฤษฎีหรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพระหว่างบุคคล เข้ามาประยุกต์ใชร้ ่วมด้วย เช่น แรงสนับสนนุ ทางสังคม เพื่อให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ของโครงการและตอบสนอง ความตอ้ งการของประชาชนกลมุ่ เป้าหมาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 124 2. การระบุกรอบแนวคิดของทฤษฎหี รอื แบบจำลองพฤติกรรมสขุ ภาพ ในการพัฒนาโครงการ แผนงาน หรือกิจกรรมต้องเลือกใช้ทฤษฎีหรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ที่มีโครงสร้างหรือกรอบแนวคิดที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนงานหรือโครงการ เช่น กรอบแนวคิด ของ PRECECE Model ประกอบด้วย ปัจจัยนำ ได้แก่ ความรู้ การรับรู้ ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ ของบุคคล รวมถึงปัจจัยด้านประชากร ได้แก่ อายุ เพศ ระดับการศกึ ษา ประสบการณ์ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ทีม่ คี วามแตกต่างกนั ของแต่ละ บุคคลอกี ด้วย ปัจจัยเสริม ได้แก่ ปัจจัยเสริมในเชิงบวก เช่น การยกย่อง ชมเชย การให้กำลังใจ การยกให้เป็น แบบอย่างที่ดี การให้รางวัล และในปัจจัยเสริมในเชิงลบ เช่น การตำหนิ การลงโทษ จะส่งผลให้บุคคลหยุด หรือหลีกเลี่ยงการแสดงพฤติกรรม นอกจากนี้ ปัจจัยเสริมยังรวมถึงการได้รับข้อมูลข่าวสาร การได้รับ การกระตนุ้ เตือน และการไดร้ บั คำแนะนำ ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ ทักษะการปฏิบัติ การเข้าถึงบริการ วัสดุอุปกรณ์ สถานที่ นโยบายหรือกฎระเบียบ และข้อบงั คับในชุมชนและสงั คมนัน้ ๆ ด้วย ดังน้ัน โครงสรา้ งหรอื กรอบแนวคิดของ PRECECE Model จึงมีความเหมาะสมกับการพฒั นาแผนงาน โครงการ หรอื กิจกรรมทีต่ ้องอาศัยความร่วมมือท้ังในระดับบคุ คล ระหว่างบุคคล และในระดับชุมชนหรือสังคม ยกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ ในชุมชนจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ ของโครงการได้ 3. การแปลงแนวคดิ ของทฤษฎีหรอื แบบจำลองพฤติกรรมสขุ ภาพส่กู ารปฏบิ ัติ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนการนิยามกรอบแนวคิดของทฤษฎีหรือแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพ ในเชิงปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม แล้วพัฒนาเป็นกิจกรรมตามที่นิยามไว้ ตัวอย่างเช่น แผนงานโครงการ PRECECE Model ในโครงการพัฒนาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ในพ้ืนท่ลี มุ่ น้ำทกี่ ลา่ วถึงในข้างต้นจะถูกนยิ ามปัจจยั นำ ปจั จยั เสรมิ และปจั จัยเอือ้ ในเชิงปฏิบัติการ ไดแ้ ก่ ปัจจัยนำ หมายถึง ปัจจัยส่วนบุคคลเกี่ยวกับความรู้ การรับรู้ และความเชื่อ เกี่ยวกับสาเหตุของโรค ไข้เลือดออก พาหะนำโรค อาการแสดง โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก และวธิ กี ารป้องกันตนเองจากการเกิดโรคไขเ้ ลือดออก รวมถึงคา่ นยิ ม ทัศนคตขิ องบุคคลในการแสดงพฤติกรรม การมีสว่ นรว่ มในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลอื ดออก ปัจจัยเสริม หมายถึง ปัจจัยจากสังคมภายนอกที่ส่งผลให้บุคคลแสดงพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ได้แก่ การยกย่อง ชมเชย การให้กำลังใจ การยกให้เป็นแบบอย่าง ที่ดี การให้รางวัล เมื่อบุคคลมีการแสดงพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคไข้เลือดออกในชุมชน

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 125 และปัจจัยเสริมในเชิงลบ ได้แก่ การตำหนิ การลงโทษ เมื่อบุคคลไม่เข้าร่วมกิจกรรมหรือขัดขวางการทำ กิจกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน ผู้ดำเนินโครงการต้องมีการแจ้งข้อมูลข่าวสาร การกระตุน้ เตอื น และแนะนำขอ้ มูลท่ีเหมาะสมแก่ประชาชนในชุมชน เพื่อใหบ้ รรลุวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ ปัจจัยเอื้อ หมายถึง ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่เป็นทรัพยากร สิ่งของ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ในการแสดงพฤติกรรมสุขภาพการมีส่วนรว่ มในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน ได้แก่ ทักษะ ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก การเข้าถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันและควบคุมโรค ไข้เลือดออก รวมถึงกฎระเบียบและข้อบังคับในชุมชนที่เอื้อให้ประชาชนในชุมชนมีการแสดงพฤติกรรม การมสี ว่ นร่วมในการปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไขเ้ ลือดออก นอกจากนี้ ยังมีการจำแนกกิจกรรมการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ผู้จัดทำ แผนงาน โครงการ และกิจกรรม ได้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของประชาชนกล่มุ เปา้ หมาย โดยแบง่ ออกเปน็ (บญุ ยง เก่ยี วการค้า, 2561) 1. กจิ กรรมในระดับบุคคลหรือกล่มุ บุคคลขนาดเล็ก ไดแ้ ก่ 1) กจิ กรรมการปรับเปลย่ี นพฤติกรรมสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพมักใช้กับพฤติกรรมสุขภาพรายบุคคลหรือกลุ่มขนาดเล็ก เนื่องจาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะมุ่งเน้นที่พฤติกรรมสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง และมักดำเนินการอย่างเป็นลำดับ ขั้นตอน ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพที่ต้องการลดหรือเลิก เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และการส่งเสริมพฤติกรรมสุ ขภาพในเชิงบวก ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพที่บุคคลต้องการทำเพิ่มขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนให้เพยี งพอ การกำจัดความเครยี ดอย่างเหมาะสม โดยการประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีระดับและแบบจำลอง พฤติกรรมสุขภาพในบุคคล เช่น แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Believe Model: HBM) ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค (Protection motivation theory) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตามขั้นตอน (Stage of change model) โดยกิจกรรมสุขศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ได้แก่ การให้สุขศึกษารายบุคคล การอภิปรายกลุ่มย่อย เพื่อมุ่งเน้นการกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สขุ ภาพของประชาชนกล่มุ เปา้ หมาย 2) กิจกรรมการเรยี นรู้ เป็นกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนัก การรับรู้ ความรู้ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม และการพัฒนาทักษะของบุคคล เป็นกิจกรรมที่มีการใช้ประโยชน์มานาน และมีประสิทธิภาพ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพในระดับบุคคล เช่น ทฤษฎีการกระทำด้วยเหตุผล (Theory of Reason Action: TRA) ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน (Theory of Planned Behavior: TPB) ทฤษฎีความสามารถแห่งตน (Self-efficacy) ประยุกต์ใช้ในกิจกรรมสุขศึกษา ได้แก่ การบรรยาย (lecture) การประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) การอภิปรายกลุ่ม (Group discussion) การแสดงบาทสมมุติ (Role play) การสาธิต (Demonstration) โดยมีสื่อที่ใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสุขภาพที่เหมาะสม

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 126 กับกิจกรรมและกลุ่มเป้าหมาย เช่น สื่อสิงพิมพ์ สื่อวิทยุ การใช้ภาพ และการใช้วิดีโอ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย เกิดการเรียนรู้ แล้วนำไปสกู่ ารแสดงพฤติกรรมสขุ ภาพทเ่ี หมาะสม 3) กจิ กรรมการให้รางวลั กิจกรรมนี้เป็นการกระตุ้นหรือการเร้าในเชิงบวกให้เกิดการตอบสนอง โดยมีแนวคิดว่าบุคคล มีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งเมื่อมีสิ่งเร้าหรือถูกกระตุ้นให้กระทำ โดยการให้รางวัล หรอื การตอบแทนเปน็ สิ่งเร้าทีส่ ามารถเพ่ิมการรบั รู้คุณค่าของการกระทำต่าง ๆ เป็นการกระตุ้นเพ่ือให้เกิดการ แสดงพฤติกรรมในเชิงบวก เช่น การประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Believe Model: HBM) โดยมุ่งเน้นที่การรับรู้ประโยชน์การปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ แล้วเสริมการกระตุ้นการแสดงพฤติกรรม โดยมีรางวัลจูงใจ แต่อย่างไรก็ตาม กิจกรรมการให้รางวัลอาจส่งผลกระทบแก่ผู้ที่ไม่ได้รับรางวัลได้ด้วย จงึ ควรพิจารณาการใหร้ างวลั ใหส้ อดคล้องกบั ลักษณะของกล่มุ เปา้ หมาย 2. กิจกรรมในระดบั องค์กร ชุมชน และสังคม 1) กจิ กรรมทีเ่ กีย่ วกับวฒั นธรรมองคก์ ร วัฒนธรรมองค์กรคือบรรทัดฐาน ค่านิยม ประเพณี ที่แต่ละองค์กรยึดถือปฏิบัติและแสดงออกมาแล้ว เป็นประโยชน์และเป็นที่ยอมรับด้วยความสมัครใจของสมาชิกในองค์กร ซึ่งโดยปกติแล้วการเกิดวัฒนธรรม องค์กรจะใช้เวลานาน แต่สามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้หากสมาชิกในองค์กรเดียวกันสนับสนุน ให้คำแนะนำ หรือกระตุ้นเตือนให้เกิดพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม ตลอดจนผู้บริหารขององค์กรนั้นเห็นความสำคัญ และให้การสนับสนุนการแสดงพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมของสมาชิกในองค์กร เช่น การสวมใส่อุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ของพนักงานในขณะปฏิบัติงาน การจัดกิจกรรมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ การมีสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพในองค์กร สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมในองค์กรสามารถ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีและพฤติกรรมสุขภาพระดับระหว่างบุคคล ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม และทฤษฎี พฤติกรรมสุขภาพระดับชุมชนและสังคม ได้แก่ กรอบแนวคิด PRECEDE Framework ในการจัดทำโครงการ แผนงาน หรือกจิ กรรมเพอ่ื พฒั นาพฤติกรรมสุขภาพได้ 2) กิจกรรมท่เี ก่ยี วกับการส่อื สาร การสื่อสารด้านสุขภาพ เป็นกิจกรรมสำคัญของการดำเนินงานสุขศึกษา ทำให้สามารถเข้าถึง ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากโดยใช้เวลาอันรวดเร็ว และการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีคุณภาพ และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้เกิดการพัฒนาสุขภาพได้ ได้แก่ การสื่อสารมวลชน เช่น ทางสือ่ ออนไลน์ ทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนงั สอื พมิ พ์ ซ่งึ มคี า่ ใช้จ่ายค่อนขา้ งสูง ตัวอยา่ งการสือ่ สารด้านสุขภาพ เช่น การสื่อสารพฤติกรรมการป้องกันโรค Covid-19 ผ่านทางเพจของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข หรือการใช้วิธีการแจ้งข่าวผ่านทางบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุข หรือผ่านทางเสียงตามสาย ซง่ึ ในการเลอื กใช้วธิ กี ารสื่อสารดา้ นสุขภาพต้องพจิ ารณาถึงความเหมาะสมของสารที่ต้องการส่ือและการเข้าถึง กลุ่มเป้าหมาย

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 127 3) กจิ กรรมการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน พฤติกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การแสดงออกหรือการกระทำของประชาชน ในการให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาในชุมชนของ ตนเอง ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาในชุมชนของตนเองและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหานั้น มีส่วนร่วมรับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และการมีส่วนรว่ มในการติดตามการประเมินผลการดำเนินงานรว่ มกัน การมีส่วนร่วมของประชาชนก่อให้เกดิ ประโยชน์มากมายและถ้าจะให้เกิดผลอยา่ งแทจ้ ริงประชาชนจะตอ้ งเป็นผู้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นผู้คิดริเริ่มแก้ไขปัญหาเอง โดยจะต้องเริ่มตั้งแต่การร่วมค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ความตอ้ งการของชมุ ชน การวางแผนหรือวางนโยบายเพอ่ื แก้ไขปัญหาและสนองความต้องการของคนในชุมชน ร่วมดำเนินกิจกรรมในด้านแรงงาน การระดมทุน และจัดหาวัสดุอุปกรณ์อื่น ๆ ตามขีดความสามารถของตน ร่วมใช้ประโยชน์และได้รับประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน และร่วมติดตามประเมินผลโครงการหรือกิจกรรมเพ่ือ หาข้อดี ข้อบกพร่อง และแนวทางการแก้ปัญหาจากการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อให้กิจกรรมคง อยู่ต่อไป สำหรับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและพฤติกรรมสุขภาพท่ีมักใช้ในการพัฒนากิจกรรมการมีส่วนร่วม ของชุมชน ได้แก่ PRECECE Model ซึ่งความเหมาะสมกับการพัฒนาแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมที่ต้อง อาศยั ความร่วมมอื ทั้งในระดับบคุ คล ระหวา่ งบคุ คล และในระดบั ชมุ ชนหรอื สังคม 4) กิจกรรมเก่ียวกบั บทบาททางสงั คม กจิ กรรมทเ่ี กีย่ วข้องกับบทบาทสังคม เป็นกิจกรรมทีก่ ระตุ้นปัจจัยภายนอกทท่ี ำให้บคุ คลเกิดการแสดง พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อพฤติกรรม ของบุคคล สำหรับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและพฤติกรรมสุขภาพที่มักใช้ในการพัฒนาบทบาททางสังคม และประสบความสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงการ ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม โดยผู้ให้ แรงสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ สมาชิกในครอบครัว ญาติสนิท เพื่อน บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น นอกจากนี้ กิจกรรมที่เกี่ยวกับบทบาททางสังคม ยังมีกลุ่ม สงั คมอน่ื ๆ ท่ีใหก้ ารชว่ ยเหลอื กนั ของสมาชิกภายในกล่มุ หรือเครือข่ายของผู้ทีป่ ระสบปัญหาสุขภาพในลักษณะ เดยี วกัน เช่น เครือข่ายผู้พิการในประเทศไทย กล่มุ ผปู้ ว่ ยโรคมะเรง็ สมาคมผู้สงู อายใุ นชุมชน เปน็ ต้น 5) กิจกรรมเก่ยี วกับกฎเกณฑแ์ ละนโยบาย กิจกรรมเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับกฎหมาย การกำหนดนโยบาย กฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่ใช้ เป็นบรรทัดฐานเดียวกันของสมาชิกในชุมชนหรือสังคม ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่านี้มีการกำหนดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ เกิดพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ และจำกัดการแสดงพฤติกรรมสุขภาพที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของสมาชิก ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น กฎหมายที่ให้สวมหมวกนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ กฎหมายการห้าม จำหน่ายบุหรี่และสุราแก่เยาวชน กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ กฎหมายที่บังคับให้หน้าซองบุหรี่ต้อง

128 มีรูปภาพผู้ป่วยจากบุหรี่เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่เกิดความตระหนักถึงความรุนแรงของโรค การเพิ่มภาษีเหล้า บุหรี่ และน้ำตาล สำหรับกิจกรรมที่เก่ียวกับกฎเกณฑ์และนโยบายสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎแี ละพฤติกรรมสุขภาพ ระดับชุมชนและสังคม ได้แก่ กรอบแนวคิด PRECEDE Framework โดยการมุ่งเน้นที่ปัจจัยเอื้อในการจัดทำ โครงการ แผนงาน หรือกิจกรรมเพ่อื พัฒนาพฤติกรรมสขุ ภาพได้ 6) กิจกรรมทมี่ งุ่ เนน้ การจดั สภาพแวดลอ้ มที่สง่ ผลตอ่ พฤติกรรมสุขภาพ เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทั้งในระดับบุคคล และในระดับชุมชน สังคม เนื่องจาก สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมสุขภาพ โดยการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ที่มุ่งเน้นให้บุคคลเกิดการตระหนักรู้ มีการรับรู้ด้านสุขภาพ มีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และเกิดทักษะในการ แสดงพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมด้วยความสมัครใจ เช่น การจัดหาสถานที่สำหรับการออกกำลังกาย ในชุมชน และการจัดสภาพแวดล้อมแบบบังคับ เช่น การไม่ขายเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมหรือเครื่องด่ืม ที่มีน้ำตาลสูงในสถานที่ทำงาน การขายอาหารเฉพาะเมนูที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การแสดงเครื่องหมาย ห้ามสบู บุหรใ่ี นทสี่ าธารณะ หากฝา่ ฝนื มโี ทษปรบั เปน็ ต้น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 129 3. การประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษาเพ่อื พัฒนาพฤตกิ รรมสุขภาพ การประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลลัพธ์ในการประยุกต์ใช้ทฤษฎี และแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพที่ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแผนงาน โครงการ และกิจกรรมเพื่อพัฒนา พฤติกรรมสุขภาพในประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ในการประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษานี้มีการประเมิน โดยวิเคราะห์โครงสร้างของแผนงานหรือโครงการ กิจกรรมที่เกิดขึ้น ระบบการดำเนินงาน รวมถึงนโยบาย และสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานสุขศึกษา นอกจากนี้ การประเมินผลยังเป็นการ วเิ คราะหผ์ ลกระทบที่เกิดข้ึนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมอี งค์ประกอบของการประเมินผลการดำเนินงานสุข ศึกษา ได้แก่ ผู้ประเมิน ผู้ถูกประเมิน ทรัพยากรเหตุการณ์หรือสถานการณ์ วิธีการที่ใช้ในการประเมินผล ซึ่งประกอบด้วยกจิ กรรมต่าง ๆ ดงั นี้ (ประไพจติ ร ชมุ แวงวาปี, 2553) 1. การประเมนิ ประสิทธผิ ล (Effectiveness) และการประเมินประสิทธภิ าพ (Efficiency) การประเมินประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง การวเิ คราะหค์ วามสามารถในการดำเนินโครงการ สุขศึกษาไดส้ ำเรจ็ และบรรลวุ ตั ถุประสงค์ทีก่ ำหนดไว้ ท้งั ในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การประเมินประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การวิเคราะห์ความสามารถในการดำเนินโครงการ สขุ ศกึ ษาได้สำเร็จ บรรลวุ ัตถปุ ระสงคใ์ นระยะเวลาทีก่ ำหนดหรือเร็วกว่าท่ีกำหนด ใชง้ บประมาณและทรัพยากร เป็นไปตามที่ประเมินไว้หรือต่ำกว่าท่ีประเมินไว้ และมีคุณภาพตามที่กำหนด โดยมีการประเมินผล ต้ังแต่กระบวนการนำเขา้ จนถงึ ผลลพั ธ์ และผลกระทบในการดำเนนิ งาน ในการประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษาจะกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งต้องมีความชัดเจน เฉพาะเจาะจง และสามารถประเมนิ ได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยในการประเมนิ ผลต้องคำนึงถึงปจั จัยท่ีทำให้ การดำเนินงานสุขศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ โดยมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ กิจกรรม สถานท่ี วัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ ทรัพยากร การบริหารจัดการโครงการ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม ทีส่ ง่ ผลต่อการดำเนนิ งานสขุ ศึกษา 2. การกำหนดตวั ชี้วดั หรอื มาตรฐานในการวัดผลของการดำเนนิ งาน เป็นการกำหนดดัชนีที่ใช้ในการวัดผลการดำเนินงานสุขศึกษาที่มีความจำเพาะเจาะจงกับโครงการ เป็นตัวชี้วัดเชิงประจักษ์ที่สามารถวัดได้ เช่น ตัวชี้วัดของโครงการป้องกันโรคเรื้อรัง คือพฤติกรรมการป้องกัน โรค ได้แก่ พฤติกรรมการควบคุมอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย ค่าดัชนีมวลกายของกลุ่มเป้าหมาย ระดับความดันโลหิตของกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้ผู้ประเมินสามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือ ทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ รวมถึงการใช้เครื่องมือวัดทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูล แบบสอบถาม แบบสงั เกต เพ่ือรวบรวมข้อมลู จากกลุ่มเป้าหมายเอง บุคคลในครอบครัว เพอื่ นบ้าน หรือการใช้ ข้อมลู เวชระเบยี นจากสถานบริการพยาบาล เป็นตน้

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 130 3. การออกแบบเครือ่ งมือทใ่ี ช้ประเมนิ ผล การออกแบบเครื่องมือที่ใช้ประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทาง ว่าต้องการวดั อะไร กำหนดระยะเวลาในการวดั ทีช่ ดั เจน มีกลมุ่ เปา้ หมายคือใคร จำนวนเท่าไร วิธีการในการวัด รวมถึงมีการรวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ ใดบ้าง มีวิธีการออกแบบเครือ่ งมอื ไดแ้ ก่ 1. การกำหนดตัวแปรที่ต้องการวัด เช่น โครงการเลิกสุราโดยใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ผู้ประเมินต้องระบุตัวแปรเพื่อวัดประสิทธิผลและประสิทธิภาพของโครงการ โดยกำหนดตัวแปร ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคที่มีสาเหตุจากการดื่มสุรา การรับรู้ประโยชน์ และอุปสรรค และวัดพฤติกรรมการดื่มสุราของกลุ่มเป้าหมายก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการ เพือ่ เปรียบเทยี บตัวแปรเหล่าน้ี เพือ่ วัดประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลของโครงการ 2. การออกแบบเครื่องมือที่ใช้ประเมินผล โดยมีการกำหนดลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ระยะเวลา สถานการณ์ โดยมีการพัฒนาเครื่องมือให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด และวิธกี ารในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3. การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือ ประกอบด้วย เครื่องมืดวัดผลทางวิทยาศาสตร์ และเครื่องมือทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่ การตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง แบบบันทึก พฤติกรรมของตนเองเพื่อสังเกตและควบคุมพฤติกรรมตนเอง แบบสังเกตพฤติกรรมโดยบุคคล ใกลช้ ิด การสมั ภาษณ์ แบบทดสอบ และผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร 4. การวเิ คราะหแ์ ละแปรผล การวิเคราะห์ข้อมูลข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมสุขศึกษา และตัวชี้วัด ที่ต้องการวัด เพื่อวัดผลตามที่กำหนดในวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยการวิเคราะห์ ข้อคำถามที่ใช้ ในการประเมินผล ตัวช้วี ดั สำหรับการประเมนิ แนวคดิ ของตัวแปรท่ีตอ้ งการวัด รวมถงึ วิเคราะห์ความน่าเช่ือถือ และความตรงของขอ้ มลู ที่วดั ได้ 5. การนำเสนอขอ้ ค้นพบและรายงานผล การรายงานผลแผนงาน โครงการ และกิจกรรมสุขศึกษา ควรรายงานวัตถุประสงค์ของการประเมิน การดำเนินงานสุขศึกษา วิธีการประเมินต้ังแต่กระบวนการกำหนดตวั ช้ีวัด การออกแบบเครือ่ งมือ การกำหนด คุณลักษณะและจำนวนของกลุ่มเป้าหมาย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ผล อภิปรายผล รวมถึง การนำเสนอจุดเด่นและจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขของโครงการ การใช้ประโยชน์จากโครงการหรือกิจกรรม สขุ ศกึ ษา และข้อเสนอแนะในการทำโครงการคร้ังถดั ไป ประโยชน์ของการประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ (บุญยง เกี่ยว การค้า, 2561)

131 1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดประเด็นแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมสุขศึกษา สำหรับ ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ หรือสง่ เสรมิ สุขภาพ 2. เพอ่ื ใช้กำหนดตัวชวี้ ดั และพัฒนาตวั ชว้ี ัดในการประเมินแผนงานหรอื โครงการพฒั นาสุขภาพ ในการประเมินผลการวางแผนงาน โครงการ และกิจกรรมพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ จะสามารถ มีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อผู้ดำเนินโครงการมีความเข้าใจทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพต่าง ๆ เป็นอย่างดี รวมถึงการพิจารณากลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนบริบท สภาพแวดล้อม และสภาพการณ์ในพื้นท่ี กอ่ นนำไปประยกุ ต์ใชด้ ว้ ย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง

มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 132 เอกสารอ้างองิ จักรพนั ธ์ เพช็ รภมู ิ. (2560). พฤติกรรมสขุ ภาพ แนวคดิ ทฤษฎี และการประยุกตใ์ ช้. พิษณโุ ลก: สำนกั พิมพ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. บญุ ยง เก่ียวการคา้ . (2561). เอกสารประกอบการสอนชุดวชิ าการสง่ เสริมสุขภาพ การตรวจประเมิน และการ บำบัดโรคเบื้องตน้ . นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ประไพจติ ร ชุมแวงวาปี. (2553). สขุ ศกึ ษาและพฤตกิ รรมศาสตร์. ขอนแกน่ : วทิ ยาลยั สาธารณสขุ สริ ินธร จังหวดั ขอนแกน่ . Ajzen, I. (1985). From Intention to Actions: A Theory of Planned Behavior. In J. Kuhl and J. Beckman (eds), Action Control: Form Cognition to Behavior. New York: Springer-Verlag. Ajzen, I. & Fishbein, M. (1980). Understanding attitudes and predicting social behavior. Englewood, NJ: Prentice-Hall. Bandura. A. (1986). Social foundations of thought and action: A Social Cognitive Theory; New Jersey: Prentice-Hall Inc., Englewood Cliffs. Bandura, Albert. (1997). Self – efficacy: The exercise of control. New York : W.H. Freeman. and company. Bandura, Albert. (1977). Social Learning Theory. Prentice Hall Englewood Cliff, New Jesey. Becker, M.H. (1977). The Health Belief Model and Prediction of dietary Compliance : A field Experiment. Journal of Health and Social Behavior : 18 Dec 1977 : 348-366. Becker, M.H., & Maiman, L.A. (1975). The health Belief Model: Origins and Correlation in Psychological Theory. Health Education Monography, 2. winter : 336-385. Cobb, S. (1976). Social support as a moderator of life stress. Psychosomatic Medicine, 38(5), 300-314. Cohen, J. M. & Uphoff, N.T. (1980). Paticipation’s Place in Rural Development: Seeking Clarity through Specificity. World Development, 8(5), 213-235. Dunn & Roger. 1986. Health Education Research Theory and Practice. p. 153–160. House, J.S. (1985). Meansures and concepts of social support in Cohen,S. And Syme, S.L. Social Support and health. James E.Cameron et al. (2018). “In this together”: Social identification predicts health outcomes (via self-efficacy) in a chronic disease self-management program. Social Science & Medicine journal. 208. 172-179. Pender, N.J. (1987). Health promotion in nursing practice. 2 nd ed. New York : Applenton Century Crofts.

133 Prochaska, J. O., & DiClemente, C. C. (1983). Stages and processes of self-change of smoking: Toward an integrative model of change. Journal of Counseling and Clinical Psychology, 51, 390-395. Prochaska, J. O, & Velicer, W. F. (1997). The transtheoretical model of health behavior change. American Journal of Health Promotion, 12, 38-48. Roger. R.W. & Meddux, I.E. (1983). Protection motivation and self-efficacy: A revised theory of fear appreal and attitude change. Journal of Experimental Social Psychology. 19(5). Rosenstock IM. (1974). Historical Origin of the Health Believe Model, Health Education Monograghs, 2:328-335. Thoits, P. A. (1982). Conceptual, methodological, and theoretical problem in studying social support as a buffer against life stress. Journal of Health and Social Behavior, 23, 145- 149. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook