มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 46 เช่น การคาดคะเนความรุนแรงของการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือเกิดความ พกิ ารได้ ดังน้ัน คนที่รับรคู้ วามรุนแรงจะเกิดความกลัวแล้วนำไปสู่การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมโดยการสวมหมวก กนั นอ็ คในขณะขับขีร่ ถจักรยานยนต์ และเพ่ิมความระมัดระวงั มากขนึ้ - รางวัลจากภายใน คือ ความรู้สึกภายในของบุคคลเมื่อได้ทำพฤติกรรมที่เชื่อว่าเป็นพฤติกรรมที่ดี หรือพฤติกรรมที่ถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายทำให้เกิดความรู้สึก มสี ขุ ภาพดี ความภาคภูมิใจ การเห็นคณุ คา่ ในตนเองเมื่อมกี ารปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมทีเ่ หมาะสม - รางวัลจากภายนอก คือ สิ่งที่ได้รับจากบุคคลอื่นหรือคนในสังคมให้การยอมรับ การชื่นชม หรือการ สนับสนุนเมื่อบุคคลได้กระทำพฤติกรรมที่สังคมยอมรับว่าเป็นพฤติกรรมที่ดี เช่น การยอมรับให้เป็นต้นแบบ ดา้ นการออกกำลังกายแล้วมรี ปู ร่างและสขุ ภาพดี การยอมรบั ให้เปน็ ตน้ แบบเกี่ยวกบั เลกิ ดม่ื สุรา เป็นต้น ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยนี้ จะมีความสัมพันธ์กับการตอบสนองการเปล่ียนแปลงที่ไม่เหมาะสม โดยหากมีการ รับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการรับรู้ความรุนแรงของโรคมากขึ้น รางวัลจากภายในและรางวัล จากภายนอกลดลง จะส่งผลต่อการประเมินภาวะคุกคามที่เพิ่มขึ้น ทำให้บุคคลเกิดการปรับตัวให้มีพฤติกรรม ในทางที่ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากบุคคลมีการรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการรับรู้ความรุนแรง ของโรคลดลง รางวัลจากภายในและรางวัลจากภายนอกเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อการประเมินภาวะคุกคามน้อย บุคคลกจ็ ะคงพฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสมน้นั ไว้ 2) การประเมินการเผชิญภาวะคุกคาม คือการประเมินเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทเ่ี หมาะสม โดยมปี ัจจัยทท่ี ำให้เกดิ 3 ปัจจยั ดังน้ี - ความสามารถแห่งตน คือ ความเชื่อมั่น ความรู้สึกของบุคคลว่าสามารถกระทำพฤติกรรมสุขภาพ ได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ได้ เช่น มีความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถเลิกสูบบุหรี่หรือสิ่งเสพติดอื่น ๆ ได้ หรอื มีความเชื่อมัน่ วา่ ตนเองสามารถงดการดื่มเครื่องดมื่ แอลกอฮอลใ์ นชว่ งเข้าพรรษาได้ - การคาดหวังผลของการตอบสนอง คือความคาดหวัง การคาดคะเนของบุคคลว่าเมื่อกระทำ พฤติกรรมตามคำแนะนำแล้วจะสามารถขจัดภาวะคุกคามได้ เช่น การปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุม โรค กระทรวงสาธารณสขุ ในการรักษาสุขอนามยั ส่วนบุคคลและการเว้นระยะห่างทางสังคมแล้วจะขจัดภาวะ คุกคามการติดเชื้อโรค Covid-19 ได้ หรือการออกกำลังกายแล้วสามารถลดน้ำหนัก และขจัดภาวะคุกคาม จากการเกดิ โรคเร้ือรงั ตา่ ง ๆ ได้ - ค่าใช้จ่ายของการตอบสนอง คือ การประเมินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการยอมรับที่จะกระทำ พฤติกรรมตา่ ง ๆ หากประเมนิ แล้วการกระทำพฤติกรรมนั้น ๆ เสียค่าใชจ้ า่ ยน้อยและเกดิ ผลดีมากก็จะยอมรับ การกระทำพฤตกิ รรมได้ง่าย แตใ่ นทางกลบั กนั หากการกระทำนนั้ มีค่าใช้จ่ายมากก็ส่งผลกระทบต่อการยอมรับ การกระทำพฤติกรรมเช่นกัน เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหารปลอดสารเคมีที่มีราคาสูงกว่าอาหารปกติ ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมาก ก็ส่งผลกระทบต่อการยอมรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารปลอดสารพิษ
47 หรือการออกกำลังกายที่บุคคลประเมินแล้วว่าเสียค่าใช้จ่ายในการใช้สถานที่ ค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ฝึกสอน การเสยี ค่าใช้จา่ ยในการเดินทาง การเสียเวลาในการทำงานเพื่อหารายได้ ก็อาจส่งผลต่อการยอมรับพฤติกรรม การออกกำลงั กาย ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้ จะมีความสัมพันธ์กับการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เหมาะสม โดยหากปัจจยั ความสามารถแห่งตนและความคาดหวังของผลการตอบสนองของบุคคลเพม่ิ ข้ึน และมีค่าใช้จ่าย ของการตอบสนองลดลงจะนำไปสู่การประเมินการเผชิญภาวะคุกคามที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรม ที่เหมาะสมนั้นคงอยู่ต่อไป แต่ในทางกลับกัน หากบุคคลมีความสามารถแห่งตนและความคาดหวังของผล การตอบสนองของบุคคลอยู่ในระดับต่ำ และมีค่าใช้จ่ายของการตอบสนองเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อการประเมิน การเผชิญภาวะคุกคามที่น้อยหรือไม่สามารถเผชิญภาวะคุกคามได้ ก็อาจทำให้บุคคลเลิกตอบสนอง ต่อการเปลยี่ นแปลงเป็นพฤติกรรมทเ่ี หมาะสมได้ 3) รูปแบบการเผชิญ คือ การกระทำที่ตอบสนองต่อความสำเร็จในการกระทำพฤติกรรมเพื่อให้เกิด แรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรค สามารถแบ่งออกได้เป็น การกระทำพฤติกรรมนั้นเพียงครั้งเดียว และการกระทำพฤติกรรมนั้นซ้ำหลายครั้ง ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรค สามารถเขียนเป็น แผนภาพไดด้ ังน้ี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
แผนภาพทฤษฎแี รงจงู ใจเพือ่ ป้องกนั โรค (Protection motivation theory) 48 แหลง่ ข้อมลู กระบวนการส่ือกลางการรูค้ ิด รปู แบบการเผชิญ ตวั บคุ คล ปจั จัยทีม่ ผี ลตอ่ ความนา่ จะเป็นของการตอบสนอง การกระทำ ส่งิ แวดลอ้ ม หรือการ การชกั ชวนดว้ ย เพม่ิ ลด กอ่ ให้เกิด คำพูด การกระทำ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงการเรยี นรู้จากการรางวัลจากความเสย่ี งต่อการ การสังเกต ตอบสนอง ภายใน การเกดิ โรค ประเมนิ แรง การแปรผันของ ต่อการ การเผชิญ จงู การทำเพยี ง บคุ ลิกภาพ ปรับตัวทไี่ ม่ รางวัลจาก ความรนุ แรง ภาวะ ใจ คร้ังเดยี ว ประสบการณเ์ ดิม เหมาะสม ภายนอก ของโรค คุกคาม เพ่ือ ปอ้ ง กระทำ การเร้า กัน หลายครง้ั ความกลัว โรค การคาดหวังผล คา่ ใชจ้ ่าย การ กระทำหลาย ของการ ประเมิน ครงั้ ซ้ำ การ ของการ ตอบสนอง การเผชิญ ภาวะ ตอบสนอง ตอบสนอง คกุ คาม ต่อการ ปรบั ตัวที่ ความสามารถ เหมาะสม แห่งตน ทีม่ า: บุญยง เกี่ยวการคา้ , 2561 ดัดแปลงจาก Roger W.R., 1983 งานวจิ ยั ทม่ี กี ารประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพ่ือปอ้ งกนั โรค ชญานิศ ศุภนิกร และคณะ (2558) ศึกษาผลของโปรแกรมการประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกัน โรคเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมชะลอความเสื่อมของไต ในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในชุมชน อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ในระยะก่อนและหลังการทดลองผลการวิจัย ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ ความรุนแรงของภาวะไตเรื้อรัง การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 49 การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อชะลอความเสื่อมของไต การรับรู้ความคาดหวัง ในผลลพั ธ์ของการปฏิบัติพฤตกิ รรมเพื่อชะลอความเส่ือมของไต และการปฏบิ ัตพิ ฤติกรรมเพื่อชะลอความเสื่อม ของไต ในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลดีขึ้นกว่าก่อนการทดลองและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) จากการวิจัยครั้งนี้ สรุปได้ว่าโปรแกรมการประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจ ในการป้องกันโรคเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในชุมชน สามารถทำให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อชะลอความเสื่อมของไตดีขึ้น ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ ใช้กับประชากรกลุม่ โรคเรอ้ื รงั ทม่ี ีลกั ษณะใกล้เคยี งกันได้ วิชัย ศรีผา (2557) ศึกษาผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคร่วมกับแรงสนับสนุน ทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเบาหวาน อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ โดยศึกษาในกลุ่ม ตัวอย่างที่แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ ผลการศึกษา พบว่าผปู้ ่วยเบาหวานท่ีได้รบั โปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรครว่ มกับแรงสนับสนุนทาง สังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีคะแนนความรู้เกี่ยวโรคเบาหวานเฉลยี่ เพ่ิมสูงขึ้น และพบว่าการมีแรงจูงใจ เพื่อป้องกันโรคและการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมส่งผลให้การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเบาหวานทั้ง 4 ด้าน ไดแ้ ก่ ด้านการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การรับประทานยา และการผ่อนคลายความเครยี ดเพิ่มสูงขึ้น เมอ่ื เปรยี บเทียบกบั กอ่ นการทดลอง และกลุ่มควบคุมอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.05 สุวรรณา สุนทรวิภาต (2555) ศึกษาผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคร่วมกับ การสนับสนุนทางสังคมในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในเทศบาลตำบลสระกระโจม อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 82 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ และกลุ่มทดลอง ระยะเวลาในการศึกษา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนจัดกิจกรรมการจัดการ แบบสัมภาษณ์ และสมุดประจำตัวผู้สูงอายุ ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองมีการเปลี่ยนแปลงแรงจูงใจในการควบคุมโรค ความดนั โลหติ ดขี น้ึ กว่ากอ่ นการทดลองและดกี วา่ กลุ่มเปรียบเทียบอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) สรปุ ทฤษฎแี รงจูงใจเพ่อื ปอ้ งกนั โรค ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1975 โดย Roger R.W. และมีการปรับปรุง โดย Dunn และ Roger ในปี ค.ศ. 1986 มีองค์ประกอบที่สำคัญของทฤษฎีคือแหล่งข้อมูลที่ประกอบด้วย ตัวบุคคล และสิ่งแวดล้อม กระบวนการสื่อกลางการรู้คิด ที่ประกอบด้วย การประเมินภาวะคุกคามของโรค ได้แก่ การรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค รางวัลจากภายในและภายนอก และการประเมินการเผชิญภาวะคุกคาม ซึ่งทั้งสองปัจจัยนีส้ ามารถร่วมกันทำนายการเกิดแรงจงู ใจเพือ่ ป้องกนั โรคได้ รวมถึงรูปแบบการเผชิญที่บุคคลจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมที่แตกต่างกัน สามารถใช้ทฤษฎีน้ี ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมได้ เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลที่รู้สึกว่าตนเอง อยู่ในภาวะเสี่ยงและโรคนั้นมีความรุนแรง บุคคลที่เช่ือว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถขจัดอันตราย ด้านสุขภาพได้ หรือบุคคลท่ีเช่ือว่าตนเองสามารถเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมสขุ ภาพทีไ่ ม่พึงประสงค์ได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 50 5. ทฤษฎีขัน้ ตอนการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม (Stage of change model) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามขั้นตอนพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1987 โดย Prochasca และ Diclement ซึ่งคิดค้นขึ้นจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้ที่เลิกสูบบุหร่ี จากการสังเกตพบว่าผู้ที่เข้ารับ บริการในคลินิกเลิกบุหรี่มีความพร้อมและระยะเวลาในการเลิกบุหรี่ที่แตกต่างกัน โดยพฤติกรรมการเลิกบุหรี่ ที่เป็นขั้นตอนตอ่ เนือ่ งกันจนสามารถสรุปออกมาเป็นทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งหมด 4 แนวคิดหลัก ทม่ี อี งคป์ ระกอบและจำนวนขนั้ ตอนแตกต่างกนั ออกไป ไดแ้ ก่ (จักรพนั ธ์ เพช็ รภูมิ, 2560) - ขัน้ ตอนการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม (Stage of change) - กระบวนการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม (Process of change) - ความสมดุลของการตดั สนิ ใจ (Decisional balance) - การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง (Self-efficacy) ทั้งนี้ ผู้เขียนได้ยกมาเฉพาะแนวคิดหลักที่มีการยอมรับและนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย คือแนวคิดการเปลี่ยนแปลงตามขั้นตอน (Stages of change) ซึ่งเป็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มี ลักษณะค่อยเปน็ ค่อยไป เป็นขั้นตอน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนือ่ ง ซึ่งแต่ละบคุ คลอาจมีขั้นตอนทีแ่ ตกต่าง กนั ขนึ้ อยู่กบั ความตง้ั ใจ ความพรอ้ ม และแรงจงู ใจ แนวคดิ การเปลยี่ นแปลงตามขั้นตอน (Stages of change) ประกอบด้วย 6 ขนั้ ตอน ดังต่อไปนี้ 1. ข้ันเมินเฉย (Pre-contemplation) คือขั้นที่บุคคลไม่มีความคิดหรือความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองในระยะ 6 เดือน ข้างหน้า เนื่องจากไม่ได้คิดว่าตนเองมีปัญหาจากการกระทำพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องนั้น หรือบุคคลนั้นอาจไม่ได้ รับข้อมลู ท่คี รบถ้วนและเพียงพอเกีย่ วกับผลเสยี ที่อาจเกิดข้ึน ทำใหข้ าดแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรอื อาจเคยลม้ เหลวในการเปลีย่ นพฤติกรรมดังกลา่ วหลายครั้งทำให้เกิดความร้สู กึ กลัวหรอื ความรู้สึกไม่เช่ือมั่น ในตนเอง จงึ ไมใ่ ห้ความสนใจทจ่ี ะเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม ตัวอย่างสถานการณ์ : ขั้นที่บุคคลไม่รู้สึกว่าตนเองมีภาวะน้ำหนักเกิน เน่ืองจากยังสามารถใส่เสื้อผ้า ชุดเดมิ ได้ และไมไ่ ดต้ ระหนักถึงภาวะน้ำหนกั เกนิ ทำให้ขาดแรงจงู ใจและความตง้ั ในการลดนำ้ หนัก โดยในขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิคการให้ข้อมูลย้อนกลับและความรู้เกี่ยวกับผลเสียที่อาจเกิดข้ึน หากยังคงมีพฤติกรรมแบบเดิม เชน่ การใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั โอกาสและความรุนแรงของการเกิดโรค การสูญเสีย ค่าใช้จ่าย เสยี เวลาในการรักษาโรค เพือ่ ให้บุคคลเกดิ ความตระหนกั ถึงผลเสีย แล้วมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรือมีการชักชวนให้บุคคลสำรวจตนเอง เพื่อให้เกิดการประเมินปัญหาหรือผลกร ะทบที่อาจเกิดข้ึน จากพฤติกรรมทไี่ มเ่ หมาะสม 2. ขัน้ ลงั เลใจ (Contemplation stage) คือข้ันท่ีบุคคลเริม่ รบั รู้ปัญหาของการกระทำพฤตกิ รรมท่ไี ม่ถูกต้อง แลว้ เกิดความตระหนกั ถึงถึงผลเสีย ของพฤติกรรมเดิม และรับรู้ถึงผลดีของพฤติกรรมใหม่ จึงเกิดความลังเลใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และอาจเกดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมใน 6 เดือนขา้ งหนา้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 51 ตัวอย่างสถานการณ์ : ขั้นที่บุคคลเริ่มรับรู้ปัญหาของมีภาวะน้ำหนักเกิน เนื่องจากมีความรู้สึกอึดอัด เหนื่อยง่าย เริ่มมีอาการทางกาย เช่น ความดันโลหิตสูง มีระดับไขมันในเลือดสูง ขาดความรู้สึกมั่นใจ ในการเข้าสังคม จึงเกิดความตระหนักถึงผลเสีย และเริ่มเกิดความลังเลใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในการลดนำ้ หนกั ใน 6 เดือนขา้ งหน้า ในขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิคการชักชวนให้บุคคลได้ประเมินผลดีและผลเสียในการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม หรือสร้างความคาดหวังถึงผลดีที่จะเกิดขึ้น หรือการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสีย การใคร่ครวญผลที่เกิดกับตนเองและสังคมรอบข้าง โดยการจัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ท่ที ำใหก้ ารเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว การสง่ เสริมให้เกิดการสนับสนุนทางสังคม โดยการให้ครอบครวั หรอื กลมุ่ เพ่ือนเขา้ มามีสว่ นร่วมในการวเิ คราะห์ปญั หาพฤติกรรมของบคุ คล และมีส่วนร่วม ในกิจกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การให้กำลังใจ การให้คำแนะนำ การกระตุ้นเตือน การสนับสนุน ชว่ ยเหลือ เป็นตน้ 3. ข้ันเตรียมความพร้อมทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม (Preparation stage) คือ ขัน้ ทีบ่ คุ คลตดั สินใจเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมใหมห่ รือต้งั ใจกระทำพฤติกรรมภายใน 30 วันข้างหน้า โดยมีการวางแผนหรือศึกษาข้อมูล และการเตรียมความพร้อม เช่น การเตรียมอุปกรณ์เพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรม ตัวอยา่ งสถานการณ์ : บคุ คลนน้ั มีการศึกษาข้อมลู การลดน้ำหนัก ทั้งจากการอ่าน การดู การสอบถาม ผู้รู้ และวางแผนการลดน้ำหนัก มีการเตรียมความพร้อม โดยการวางแผนควบคุมอาหาร การจัดหาสถานที่ และอุปกรณ์สำหรับออกกำลงั กาย โดยมีความตั้งใจทจ่ี ะกระทำพฤตกิ รรมภายใน 30 วนั ในขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิคการตรวจสอบทักษะที่จำเป็นในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การสนับสนุนด้านการให้ความรู้ การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีการเสนอทางเลือก เพื่อให้บุคคลใช้ทดแทน พฤติกรรมเดิมโดยไม่รู้สึกกดดัน เช่น การเลิกบุหรี่ สามารถมีทางเลือก 3 ทาง การใช้นิโคตินทดแทน การลดแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบลดจำนวนลง หรือการเลิกแบบหักดิบ และอาจใช้การสนับสนุนทางสังคม จากสมาชิกในครอบครัว กลุ่มเพื่อน คนในชุมชน หรือมีการจัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางเลือก ร่วมกัน 4. ข้นั ลงมือปฏิบัติ (Action stage) คือขั้นที่บุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้สำเร็จ และปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่เกิน 6 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เนื่องจากต้องประเมินจากการ ที่บุคคลสามารถเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมเดิมเป็นพฤตกิ รรมใหม่ได้อย่างสน้ิ เชงิ ตัวอย่างสถานการณ์ : บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลัง กายอย่างสมำ่ เสมอตอ่ เนื่องกันเป็นระยะเวลาตำ่ กวา่ 6 เดอื น เพอื่ คาดหวังผลลพั ธข์ องการปฏบิ ัตคิ อื สามารถลด น้ำหนักได้ ในขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิคการเน้นสิ่งชักนำให้เกิดการกระทำพฤติกรรม การเน้นความเชื่อมั่น ในความสามารถของตนเองเพ่ือให้คงไวซ้ ่ึงพฤติกรรมที่เหมาะสม และไม่ย่อทอ้ ตอ่ อุปสรรค โดยมุ่งเนน้ ประโยชน์
52 หรือผลดีที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว มีการใช้แรงสนับสนุนทางสังคมร่วมด้วย และมีการประเมินความสม่ำเสมอ ตอ่ เน่ือง เพื่อให้เกิดความย่ังยนื ในการลงมอื กระทำพฤตกิ รรมใหม่ 5. ขน้ั ปฏิบัตอิ ยา่ งต่อเนอ่ื ง (Maintenance Stage) คือขั้นที่บุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย หรือกระทำพฤติกรรม ใหมต่ อ่ เน่ืองมากกวา่ 6 เดอื น แต่ยงั มโี อกาสที่จะกลับไปทำพฤติกรรมเดิมได้อีก (Relapse) คือการท่ีบุคคลนั้น กลับไปมีพฤตกิ รรมเดิม เม่ือมีสถานการณ์หรือสงิ่ เร้าท่สี นบั สนนุ ใหบ้ ุคคลไม่พยายามควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นเร่ือง ปกติทส่ี ามารถเกดิ ข้ึนได้ สามารถให้กำลงั ใจและสนับสนนุ เพื่อให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมอกี คร้ัง ตัวอย่างสถานการณ์ : บุคคลนั้นสามารถควบคุมการรับประทานอาหาร และมีการออกกำลังกาย ต่อเนื่องจนเป็นนิสัย มากกว่า 6 เดือน แต่ยังมีโอกาสที่จะกลับไปมีพฤติกรรมเดิมได้อีก เมื่ออยู่ในสถานการณ์ ที่มีสิ่งเร้า เช่น เมื่อต้องไปสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว เมื่อเกิดความรู้สึ กท้อแท้ เครียด หรืออยู่ใน สภาพแวดล้อมทไ่ี มส่ ามารถเลือกรับประทานอาหารหรือไม่สามารถออกกำลงั กายได้ ในขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิคการวางแผนเพื่อติดตามและประเมินการกระทำพฤติกรรม อย่างต่อเนื่อง และควบคุมสิ่งเร้าที่อาจทำให้บุคคลกลับไปทำพฤติกรรมเดิม โดยการทบทวนพฤติกรรมใหม่ ที่เป็นเป้าหมาย และวิเคราะห์แนวทางในการคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่พึงประสงค์อย่างต่อเนื่องจนเป็นพฤติกรรม ถาวร รว่ มกับการประเมนิ ความสามารถในการจดั การกบั ส่ิงเร้าต่าง ๆ 6. ข้ันปฏบิ ตั ไิ ดส้ ำเรจ็ (Termination stage) คือ ขั้นที่บุคคลสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกรรมได้อย่างถาวร โดยไม่กลับไปมีพฤติกรรมเดิมอีก แม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่เอื้อต่อการกลับไปมีพฤติกรรมเดิม เป็นพฤติกรรมที่เกิดข้ึน อย่างตอ่ เนื่องและเป็นอตั โนมตั ิ ตัวอย่างสถานการณ์ : บุคคลนั้นสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออก กำลังกายสม่ำเสมอได้อย่างถาวร แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่มีสิ่งเร้าหรืออยู่ในภาวะอารมณ์ที่ส่งเสริมให้ กลับไปทำพฤตกิ รรมเดมิ ในขั้นตอนน้ี สามารถใช้เทคนิคการสนับสนุนโดยการเสริมแรงในทางบวกดว้ ยการกลา่ วช่ืนชม ยกย่อง ให้เป็นบุคคลต้นแบบ ร่วมกับการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บุคคลคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ไดอ้ ย่างถาวร แนวคดิ การเปล่ยี นแปลงตามขนั้ ตอน (Stages of change) สามารถเขยี นเปน็ แผนภาพไดด้ งั น้ี มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
53 แผนภาพทฤษฎีขน้ั ตอนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม (Stage of change model) ขั้นเมนิ เฉย ข้นั ปฏบิ ัติไดส้ ำเรจ็ ข้ันลงั เลใจ มากกวา่ 6 เดอื น ขนั้ ปฏบิ ัติอย่าง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ทฤษฎีขน้ั ตอน การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ขน้ั เตรยี มความพรอ้ มทีจ่ ะเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม Relapse ขน้ั ลงมือปฏบิ ตั ิ ท่ีมา: ดดั แปลงจากบุญยง เกี่ยวการคา้ , 2561; Prochasca and DiClemente, 1983 งานวจิ ัยท่มี กี ารประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีขนั้ ตอนการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม นภาลัย มังคละ และนิทรา กิจธีระวุฒิวงษ์ (2561) ศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบริโภคอาหารโดยประยุกต์ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงต่อความสมดุลในการตัดสินใจรับประทาน อาหาร การรับรู้ความสามารถตนเองในการรับประทานอาหาร และพฤติกรรมการบริโภคอาหารในกลุ่มเสี่ยง เบาหวานชนิดที่ 2 ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสมดุลในการตัดสินใจ การรับรู้ ความสามารถตนเองและพฤติกรรมการบรโิ ภคไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p = 0.137, 0.564, 0.238 ตามลำดับ) และภายหลังการทดลองพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความสมดุลในการตัดสินใจสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.009) ส่วนคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถตนเองและพฤติกรรม การบรโิ ภคอาหารไม่แตกตา่ งกนั ทางสถติ (p = 0.520, 0.851) จิตติมา ธาราพันธ์ และคณะ (2561) ศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคกระดูก พรุนที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคกระดูกพรุนของวัย ทำงาน ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยของความรู้เรื่องโรคกระดูก พรุน การรับรู้ความสามารถตนเอง และพฤติกรรมการป้องกันโรคกระดูกพรุนดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (F = 41.774, F = 289.846, และ F = 265.387 ตามลำดับ) และพฤตกิ รรมสว่ นใหญข่ องกลุ่มตัวอยา่ งอยู่ในขนั้ ปฏิบัติต่อเน่อื ง (รอ้ ยละ 73.3)
54 Marciele Alves Bolognese และคณะ (2021) ศึกษาขั้นตอนในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อาหารและการออกกำลังกายของวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการเผาผลาญ และศึกษาความสัมพันธ์กับขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย ผลการทดลองพบว่าวัยรุ่นกลุ่มทีไ่ ด้รับการโปรแกรมการเปล่ียนพฤติกรรมการรบั ประทานอาหารและการออก กำลังกายโดยใช้ทฤษฎี ขั้ นต อน การ เปลี ่ยน แปล ง พฤติ กรร ม มีน้ ำหนั กล ดกว ่า กลุ่ มที่ อยู่ ใน ขั้ นเต รีย มก า ร และกลุ่มที่อยู่ในขั้นเตรียมการมีน้ำหนักตัวสูงกว่ากลุ่มที่อยู่ในขั้นลังเลใจ และพบว่ามีคอเลสเตอรอลที่ไม่ใช่ HDL สูงกว่ากลุ่มที่อยู่ในขั้นเมินเฉย ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่อยู่ในขั้นเตรียมการและกลุ่มที่อยู่ในขั้นลังเลใจ มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในดัชนีมวลกายและไขมันในร่างกาย HDL-cholesterol จะลดลงด้วยการ เปล่ียนแปลงข้ันตอนของการออกกำลังกาย สรปุ ทฤษฎีขั้นตอนการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรม ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1987 โดย Prochasca และ Diclement เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลแบบเป็นขั้นตอน และต่อเนื่อง ประกอบด้วย 4 แนวคิดหลักท่ีมีองค์ประกอบแตกต่างกันออกไป ได้แก่ แนวคิดเรื่องขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม แนวคิดเรื่องกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แนวคิดเรื่องความสมดุลของการตัดสินใจ และแนวคคิดเรื่องการรับรู้ความสามารถของตนเอง ทั้งนี้ ผู้เขียนได้ยกมาเฉพาะแนวคิดหลักที่มีการยอมรับ และนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ แนวคิดเรื่องขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Stages of change) ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ ขั้นไม่สนใจ ขั้นลังเลใจ ขั้นเตรียมความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม ขั้นลงมือปฏิบัติ ขั้นปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และขั้นปฏิบัติได้สำเร็จ ซึ่งจุดมุ่งหมายของทฤษฎีขั้นตอน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคือเพื่อพัฒนากิจกรรมการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องและระดับขั้นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของแต่ละบุคคล เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่พึงประสงค์นั้นเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนกลายเป็นนิสัยถาวร มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 55 6. ทฤษฎคี วามสามารถแห่งตน (Self-efficacy) ในปี 1986 Bandura ได้ให้คำจำกัดความคำว่า “การรับรู้ความสามารถของตนเอง” (Perceived self-efficacy) ว่าคือการที่บุคคลตัดสินใจเกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการจัดการ และกระทำ พฤติกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้วได้พัฒนาทฤษฎีความสามารถแห่งตนขึ้นในปี ค.ศ. 1997 โดย Bandura เชื่อว่าการรับรู้ความสามารถแห่งตนส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล เนื่องจากบุคคล ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองก็จะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้ โดยมีแนวคิดหลักที่สำคัญ คือผู้ที่มีความรับรู้ความสามารถของตนเองสูงจะทำให้บุคคลกล้าเผชิญปัญหาต่าง ๆ และพยายามทำให้สำเรจ็ โดยมีความคาดหวังเกี่ยวกับผลที่จะเกิดขึ้นสูง และผู้ที่มีความรับรู้ความสามารถของตนเองต่ำจะไม่มั่นใจ ต่อการกระทำของตน ซึ่งจะมีความคาดหวังผลที่เกิดขึ้นต่ำหรือปานกลาง อาจทำให้บุคคลให้พยายาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้ ซึ่งการเกิดพฤติกรรมของทฤษฎีนี้ขึ้นอยู่องค์ประกอบสำคัญ 2 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 1. การรับรคู้ วามสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) 2. ความคาดหวังในผลลพั ธ์ (Outcome expectation) 1. การรบั รู้ความสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) คือ ความเชื่อ ความรู้สึก การประเมินความสามารถของตนเองในการกระทำพฤติกรรมสุขภาพต่าง ๆ โดยพิจารณาจากความรู้สึก ความคิด แรงจูงใจ และพฤติกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการกระทำ พฤติกรรมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนกระทั่งทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดหวัง โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ ความสามารถของตนเอง ไดแ้ ก่ 1) ประสบการณ์ความสำเร็จของตนเอง (Mastery experience) เป็นประสบการณ์โดยตรงของบุคคล ที่เคยกระทำพฤติกรรมแล้วประสบผลสำเร็จมาก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและมีประสิทธิภาพ มากที่สุด โดยเชื่อว่าหากทำกิจกรรมนั้นอีกหรือกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันจะสามารถสำเร็จซ้ำอีกได้ และหากทำกิจกรรมที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะบั่นทอนความเชื่อในการรับรู้ความสามารถ ของตนเอง ซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการเสริมความสามารถให้บคุ คลประสบความสำเรจ็ ในพฤติกรรม ระดบั งา่ ยกอ่ นเพื่อสรา้ งความมัน่ ใจ แลว้ จงึ คอ่ ย ๆ เพิ่มระดบั ความยากของพฤติกรรมขน้ึ 2) ประสบการณ์ความสำเร็จของบุคคลต้นแบบ (Modeling) เป็นประสบการณ์การฟังดู อ่าน หรือการสังเกตความสำเร็จของบุคคลต้นแบบที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อมั่นว่าตนเองก็ สามารถประสบ ความสำเร็จได้เช่นกัน โดยบุคคลต้นแบบควรมีลักษณะคล้ายกับตนเอง และการนำเสนอบุคคล ต้นแบบหลาย ๆ ตัว จะช่วยให้ผู้สังเกตมีความยืดหยุ่นในการแสดงพฤติกรรมมากขึ้น เช่น การสังเกต ศลิ ปนิ ท่ีชืน่ ชอบมีพฤติกรรมการออกกำลังกายแล้วมรี ูปร่างดี สุขภาพแขง็ แรง กท็ ำให้บุคคลอยากออก กำลงั กายตามตัวแบบนัน้ 3) การกระตุ้นทางอารมณ์ (Emotional arousal) Bandura กลา่ วว่าการกระตนุ้ ทางอารมณ์ที่เหมาะสม จะส่งผลให้บุคคลรับรู้ความสามารถของตนเองเพิ่มขึ้น และส่งผลให้เกิดการแสดงพฤติกรรม ที่เหมาะสม แต่หากกระตุ้นทางอารมณ์ในเชิงลบอาจไม่เป็นผลดีต่อการแสดงพฤติกรรม เช่น
56 หากบุคคลถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางบวก เช่น การสร้างบรรยากาศท่ีเป็นมติ ร มีความสุข สบายใจ ที่จะแสดงพฤติกรรม ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่น ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถของตนเอง หากบุคคลถูกกระตุ้นทางอารมณ์โดยการคาดหวังความสำเร็จมากเกินไปอาจทำให้เกิดความกดดัน หรือการอยู่ในสภาพอารมณ์ที่ถูกข่มขู่ จะทำให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียดอันจะนำไปสู่ การรบั ร้คู วามสามารถของตนเองตำ่ ลงได้ 4) การใชค้ ำพูดโน้มน้าว (Verbal persuasion) เป็นวธิ กี ารที่สามารถทำได้งา่ ยและใช้กนั อย่างแพร่หลาย เช่น การพูดชักจูงให้บุคคลเกิดความเชื่อมั่นว่าตนเองมีความสามารถในการทำพฤติกรรมต่าง ๆ ได้ หรอื การใช้คำพดู โนม้ นา้ วใหบ้ ุคคลเลิกพฤตกิ รรมท่ีไม่พงึ ประสงค์ได้ แตก่ ารใช้คำพูดโนม้ นา้ วเพยี งอย่าง เดียวอาจไม่ค่อยได้ผลนัก จึงต้องมีการเลือกใช้คำพูดโน้มน้าวแก่ผู้ที่มีประสบการณ์ความสำเร็จ ของตนเอง หรือให้บุคคลตน้ แบบเปน็ ผ้พู ูดโน้มน้าวเพอ่ื ให้เกดิ การแสดงพฤติกรรมจะได้ผลมากกวา่ 2. ความคาดหวังในผลลัพธ์ (Outcome expectation) คือ ความเชื่อที่บุคคลประเมินค่าพฤติกรรมเฉพาะอย่างที่ปฏิบัติ แล้วจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้ เป็นการคาดคะเนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหลังกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว โดยความคา ดหวังในผลลัพธ์ สามารถแบง่ ออกเปน็ 1. ความคาดหวังในผลลัพธ์ด้านกายภาพ (Physical effects) คือความคาดหวังต่อผลลัพธ์ ท่ีแสดงออกมาภายนอกทส่ี ามารถสังเกตได้ เม่ือมกี ารกระทำพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ เช่น 2. เมื่อมีพฤติกรรมการออกกำลังกายสม่ำเสมอก็คาดหวังให้ตนเองมีรูปร่างดี หรือการปฏิบัติ พฤติกรรมสุขภาพท่ีเหมาะสมกค็ าดหวังใหม้ สี ุขภาพรา่ งกายแข็งแรง 3. ความคาดหวังในผลลัพธ์ด้านสังคม (Social effects) คือความคาดหวังว่าเมื่อตนเองกระทำ พฤติกรรมใด ๆ แลว้ จะทำใหบ้ ุคคลอน่ื เกิดการยอมรับในวงกว้างหรอื ทำให้มีชอื่ เสียง 4. ผลลัพธ์จากการประเมินตนเองต่อพฤติกรรมนั้น ๆ (Self-evaluation react to one’s own behavior) คอื ความคาดหวงั ของตนเองวา่ เม่ือกระทำพฤตกิ รรมทมี่ ีความรู้สึกว่าเปน็ พฤติกรรมที่ดี และถูกต้อง จะทำใหต้ นเองรูส้ ึกมคี ณุ คา่ หรอื เกดิ ความพงึ พอใจในตนเอง ทั้งการรับรู้ความสามารถของตนเอง และความคาดหวังในผลลัพธ์ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ บุคคลแสดงพฤติกรรมตา่ ง ๆ ทฤษฎคี วามสามารถแหง่ ตน สามารถเขียนเป็นแผนภาพไดด้ งั นี้ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง แผนภาพทฤษฎีความสามารถแหง่ ตน (Self-efficacy) ผลลพั ธท์ เ่ี กดิ ขึ้น บุคคล พฤติกรรม การรับรคู้ วามสามารถของตนเอง ความคาดหวังในผลลพั ธ์ ทม่ี า: Bandura, 1997
57 โดยองค์ประกอบทั้ง 2 ข้างต้น ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนเองและความคาดหวังในผลลัพธ์ มีผลต่อการตัดสินใจในการปฏิบัติพฤติกรรมของบุคคลนั้น ๆ กล่าวคือหากบุคคลมีการรับรู้ความสามารถ ของตนเองและความคาดหวังในผลลัพธ์สูงทั้งคู่ จะทำให้บุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมอย่างแน่นอน แต่หากมีเพียงด้านใดด้านหนึ่งต่ำบุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่แสดงพฤติกรรม ดังแผนภาพต่อไปนี้ (ภาสิต ศิริ เทศ และณพวทิ ย์ ธรรมสหี า (2562) ความสมั พันธ์ระหวา่ งการรับรู้ความสามารถตนเองและความคาดหวังในผลลัพธ์ท่จี ะเกิดข้นึ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ความคาดหวังในผลลัพธ์ สูง ตำ่ การรับรู้ความสามารถของตนเอง สงู มแี นวโน้มทจ่ี ะแสดงพฤติกรรมแน่นอน มแี นวโน้มท่ีจะไม่ทำ ต่ำ มแี นวโน้มท่จี ะไม่ทำ มีแนวโนม้ ทีจ่ ะไมท่ ำแนน่ อน ที่มา: Bandura, 1997 งานวิจยั ทีม่ กี ารประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎคี วามสามารถแห่งตน ปฐมธิดา บัวสม และคณะ (2560) ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน ต่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสขุ ภาพของผู้สูงอายุกลุ่มเสีย่ งโรคความดันโลหิตสูง ในตำบลรมณีย์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพ ที่ประยุกตใ์ ช้ทฤษฎคี วามสามารถแห่งตนมาปรับใช้ โดยดำเนนิ การ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างมิตรภาพโดยใช้ สื่อต่าง ๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าใจกระบวนการมากขึ้น หลังจากนั้นเริม่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามบุคคลต้นแบบ (Modeling) โดยใช้ผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และชักจูงให้ผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมีแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง และขั้นต่อมา คือการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้สูงอายุที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง และขั้นสุดท้ายคือการกระตุ้นทาง อารมณด์ ้วยการมอบรางวัลหรือกล่าวชมเชยผู้สูงอายุท่ีสามารถปรับเปลยี่ นพฤติกรรมไดส้ ำเรจ็ หรืออาจเชิญให้ ผู้สูงอายุเหล่านั้นเป็นบุคคลต้นแบบในครั้งต่อไป เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีการรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองและความคาดหวัง ถึงผลลัพธ์ รวมถึงมีพฤติกรรมการดูแลตนเองมากกว่าก่อนการทดลอง และพบว่าหลังการทดลอง ผู้สูงอายุ ทัง้ สองกลมุ่ มีการปรับเปล่ยี นพฤติกรรมสุขภาพท้ัง 3 ดา้ น แตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั 0.05 ประหยัด ช่อไม้ และอารยา ปรานประวิตร (2558) ศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านเขาดิน อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ โดยการประยุกต์แนวคิดด้านการรับรู้ความสามารถของตนเอง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 58 การกำกับตนเอง และการดูแลตนเอง โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพ และกลุ่มเปรียบเทียบได้รับกิจกรรมบริการตามปกติจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เก็บรวบรวม ข้อมูลก่อนและหลังการทดลองโดยการใช้แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหติ สูง และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการกำกับตนเองในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ การบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด และมีพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่ม เปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.05) James E. Cameron และคณะ (2018) ศึกษาการทำนายผลลัพธ์ทางสุขภาพในการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเร้ือรัง โดยใช้ทฤษฎีความสามารถของตนเอง โดยการตั้งสมมติฐานในโปรแกรมการดูแลสุขภาพ ตนเองของผู้ป่วยโรคเรื้อรังในพื้นที่ชนบทในภาคเหนือของประเทศแคนาดา จำนวน 13 ชุมชน โดยมีกลุ่ม ตัวอย่างที่เข้าร่วมการวิจัย 213 คน ประกอบด้วย ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคข้ออักเสบ ทำการศึกษาโดยวิเคราะห์ผลที่ได้จากการวัดผลด้วยตนเอง การวัดผลทางสังคม และการประเมนิ ผลลัพธ์ดา้ นสุขภาพจิตและดา้ นร่างกาย ไดแ้ ก่ ความเจ็บปว่ ยทางกาย ทางจติ ใจ ความซมึ เศร้า ความเจ็บปวด การถูกจำกัดบทบาท และความทุพพลภาพ รวมถึงความรู้สึกแข็งแรง มีชีวิตชีวา โดยประเมิน ในระยะเวลา 4 เดือนที่เข้าร่วมโครงการ ผลการศึกษาพบว่าการรับรู้ความสามารถของตนเองมีความสัมพันธ์ กับการมผี ลลพั ธท์ างสขุ ภาพร่างกายและจิตใจท่ีดีข้นึ อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิ สรปุ ทฤษฎีความสามารถแหง่ ตน ทฤษฎีความสามารถแห่งตนพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1997 โดย Bandura โดยเชื่อว่าการรับรู้ ความสามารถแห่งตนส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งการเกิดพฤติกรรมของทฤษฎีนี้ขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบสำคัญ 2 องค์ประกอบ ได้แก่ การรับรู้ความสามารถของตนเอง และความคาดหวังในผลลัพธ์ โดยทฤษฎนี ี้มีความเช่ือว่าบุคคลท่ีมีความเชื่อม่ันในตนเองก็จะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ใหป้ ระสบความสำเร็จได้ สามารถนำทฤษฎีนี้มาประยุกต์ใช้ในการเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเอง โดยการสนับสนุนให้บุคคลมี ประสบการณ์ความสำเรจ็ ในการกระทำพฤตกิ รรม หรอื การใช้บคุ คลตน้ แบบ รว่ มกับการใชค้ ำพูดโน้มนา้ วชักจูง และการกระตุ้นทางอารมณท์ ่เี หมาะสม ในบทนี้จะกล่าวถึงทฤษฎแี ละแบบจำลองพฤติกรรมสขุ ภาพระดับบุคคลท่ีมีการนำทฤษฎีเหล่านี้มาใช้ ประโยชน์ในการปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมสขุ ภาพของประชาชนกลมุ่ เปา้ หมายตา่ ง ๆ เพ่อื ปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา สขุ ภาพในระดับบุคคล โดยมกี ารจัดการภายในตวั บุคคลเป็นสำคัญ ไดแ้ ก่ การรับรู้ ความรู้ ความเช่อื แจงจูงใจ เจตคติ ทักษะ และประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งในความเป็นจริงมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอ่ืน ในสังคมท่ีอาจส่งผลต่อปัจจัยภายในตัวบุคคลและการแสดงพฤติกรรมของบุคคลนั้น ๆ ดังนั้น ในบทต่อไป จะกล่าวถึงทฤษฎีพฤตกิ รรมสขุ ภาพระหว่างบุคคลทส่ี ามารถใชใ้ นการอธบิ ายการเกดิ พฤติกรรมร่วมกันได้
59 เอกสารอ้างองิ จักรพนั ธ์ เพช็ รภูมิ. (2560). พฤติกรรมสขุ ภาพ แนวคิด ทฤษฎี และการประยุกตใ์ ช้. พิษณุโลก: สำนกั พมิ พ์มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง มหาวิทยาลัยนเรศวร. จิตตมิ า ธาราพันธ์ และคณะ. (2561). ผลการประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎขี น้ั ตอนการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมตอ่ พฤติกรรมการป้องกันโรคกระดกู พรุนของวยั ทำงาน ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบรุ ี. ชญานศิ ศภุ นิกร และคณะ. (2558). ผลของโปรแกรมการประยกุ ตท์ ฤษฎแี รงจูงใจเพื่อป้องกนั โรคเพือ่ สง่ เสรมิ พฤติกรรมชะลอความเสื่อมของไต ในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในชุมชน. วารสารพยาบาลกระทรวง สาธารณสุข. 165-177. ณัชญธ์ นนั พรมมา. (2558). ปัจจยั ที่มีอทิ ธพิ ลต่อความตัง้ ใจซ้อื อาหารเพ่ือสขุ ภาพของผู้บริโภคในเขต กรุงเทพมหานคร. วทิ ยานิพนธบ์ รหิ ารธรุ กิจมหาบณั ฑติ , มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ. ทพิ วลั ย์ ธรี สริ ิโรจน์. (2554). ปัจจยั ท่มี ีอิทธิพลต่อความตัง้ ใจท่ีจะบริโภคเคร่ืองด่มื ท่มี ีแอลกอฮอลใ์ นนักเรียน ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย. วทิ ยานพิ นธ์พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลัยคริสเตียน. นทั ธมน มัง่ สูงเนิน. (2560). ปจั จัยทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ ความตั้งใจในการยอมรบั บริการสขุ ภาพผ่านโทรศพั ท์เคลอ่ื นที่ ของผู้สูงอายุ. วารสารวิชาการสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 10(3), 548-566. นภาลัย มงั คละ และนิทรา กจิ ธรี ะวฒุ วิ งษ์. (2561). ประสทิ ธิผลของโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมการ บริโภคอาหารโดยประยุกตท์ ฤษฎีขัน้ ตอนการเปล่ยี นแปลงในกลุ่มเสี่ยงเบาหวานชนิดท่ี 2. วารสารการ พยาบาลและสุขภาพ. 12. 110-120 นลนิ ี พานสายตา. (2563). ความต้งั ใจเชิงพฤตกิ รรมในการท่องเท่ียวเชิงสุขภาพของนกั ท่องเทย่ี วสูงอายุ: กรณีศึกษานักท่องเที่ยวในชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร. วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร.์ 28(1), 168-194. นติ ยา เพญ็ ศริ นิ ภา. (2561). เอกสารประกอบการสอนชดุ วชิ าการส่งเสริมสุขภาพ การตรวจประเมิน และการ บำบัดโรคเบือ้ งต้น. นนทบรุ ี: สำนกั พิมพม์ หาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. บุญยง เกย่ี วการคา้ . (2561). เอกสารประกอบการสอนชดุ วิชาการสง่ เสริมสุขภาพ การตรวจประเมนิ และการ บำบัดโรคเบอื้ งตน้ . นนทบรุ ี: สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ปฐมธดิ า บวั สม และคณะ. (2560). ผลของการใชโ้ ปรแกรมส่งเสรมิ สมรรถนะแหง่ ตน ตอ่ การปรบั เปลยี่ น พฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยง โรคความดันโลหิตสูงในตำบลรมณีย์ อำเภอกะปง จังหวัด พังงา. วารสารการพัฒนาสุขภาพชมุ ชน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. 5(4).
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 60 ประหยดั ช่อไม้ และอารยา ปรานประวิตร. (2558). ผลของโปรแกรมสร้างเสรมิ สขุ ภาพในการปรบั เปล่ียน พฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเส่ียงโรคความดันโลหิตสูง ในโรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตำบลบ้านเขาดิน อำเภอเขาพนม จงั หวดั กระบี่. วารสารบัณฑติ วิทยาลัยพชิ ญทรรศน.์ 10(1). 15-24. พรพรรณ พนั ธ์แจ่ม และชวนช่นื อัคคะวณิชชา. (2560). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤตกิ รรมการบริโภคผลิตภัณฑเ์ พ่ือ สิ่งแวดล้อม. วารสารวิชาการสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 11(2), 2266-2281. ภาสิต ศิรเิ ทศ และณพวิทย์ ธรรมสีหา. (2562). ทฤษฎีการรับร้คู วามสามารถของตนเอง กบั พฤติกรรมการดแู ล สขุ ภาพของผสู้ ูงอายุ. วารสารพยาบาลทหารบก. 20(2). 58-65. รัชดาพรรณ สาระศาลิน และคณะ. (2556). ผลของการสง่ เสรมิ ความร่วมมอื ในการรกั ษาตอ่ ความต้ังใจและ พฤตกิ รรมความรว่ มมือในการรกั ษาของผู้ปว่ ยวณั โรคปอด. วารสารพยาบาลสาร. 40(2). 162-173. วรรณกร พลพชิ ัย และจนั ทรา อุ้ยเอ้ง. (2561). คุณภาพชวี ติ แบบแผนความเช่อื ดา้ นสุขภาพ และพฤติกรรม การสง่ เสรมิ สขุ ภาพของชาวประมงในจังหวดั ตรงั . วารสารสถาบันวจิ ัยและพฒั นา มหาวิทยาลัยราชภฏั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา. 4(2). 13-25. วิชยั ศรีผา. (2557). ผลของการประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎแี รงจงู ใจเพอื่ ป้องกันโรครว่ มกบั แรงสนบั สนุนทางสงั คมใน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเบาหวาน อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ. วารสารการพยาบาล และสขุ ภาพ. 6(3). 268-278. สวุ รรณา สนุ ทรวิภาต. (2555). ผลของการประยุกต์ใชท้ ฤษฎีแรงจงู ใจเพอ่ื ป้องกันโรคร่วมกบั การสนับสนุนทาง สังคมในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในเทศบาลตำบลสระกระโจม อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัด สุพรรณบุรี. วารสารวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. 31(6). 757-764 สวุ ิมล สอนศรี และคณะ. (2564). ผลของโปรแกรมส่งเสริมการตรวจคดั กรองมะเร็งปากมดลกู สตรีกลุม่ เส่ียง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดรอ้ ยเอด็ . วารสารพยาบาล. 70(3). 11-19. 549-567. อัจฉรา จนิ ดาวฒั นวงศ์ และคณะ (2555) ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการรับรู้ความเชอ่ื ด้านสุขภาพ กบั พฤติกรรม การป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. รามาธิบดีพยาบาลสาร. 18(1). 58-69. Ajzen, I. (1985). From Intention to Actions: A Theory of Planned Behavior. In J. Kuhl and J. Beckman (eds), Action Control: Form Cognition to Behavior. New York: Springer-Verlag. Ajzen, I. & Fishbein, M. (1980). Understanding attitudes and predicting social behavior. Englewood, NJ: Prentice-Hall. Bandura. A. (1986). Social foundations of thought and action: A Social Cognitive Theory; New Jersey: Prentice-Hall Inc., Englewood Cliffs.
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 61 Bandura, Albert. (1997). Self – efficacy: The exercise of control. New York : W.H. Freeman. and company. Bandura, Albert. (1977). Social Learning Theory. Prentice Hall Englewood Cliff, New Jesey. Becker, M.H. (1977). The Health Belief Model and Prediction of dietary Compliance : A field Experiment. Journal of Health and Social Behavior : 18 Dec 1977 : 348-366. Becker, M.H., & Maiman, L.A. (1975). The health Belief Model: Origins and Correlation in Psychological Theory. Health Education Monography, 2. winter : 336-385. Dunn & Roger. 1986. Health Education Research Theory and Practice. p. 153–160. James E.Cameron et al. (2018). “In this together”: Social identification predicts health outcomes (via self-efficacy) in a chronic disease self-management program. Social Science & Medicine journal. 208. 172-179. Marciele Alves Bolognese et al. (2020). Stage to Change Eating behavior and physical activity among adolescents with an excess body mass: impact on metabolic profile. Journal of Human Growth and Development. 30(3). 380-388. Narjes Nooriani et al. (2019). The effect of nutritional education based on health belief model on nutritional knowledge, Health Belief Model constructs, and dietary intake in hemodialysis patients. Iranian journal of nursing and midwifery research. 24( 5) . 372- 378. Prochaska, J. O., & DiClemente, C. C. (1983). Stages and processes of self-change of smoking: Toward an integrative model of change. Journal of Counseling and Clinical Psychology, 51, 390-395. Prochaska, J. O, & Velicer, W. F. (1997). The transtheoretical model of health behavior change. American Journal of Health Promotion, 12, 38-48. Roger. R.W. & Meddux, I.E. (1983). Protection motivation and self-efficacy: A revised theory of fear appreal and attitude change. Journal of Experimental Social Psychology. 19(5). Rosenstock IM. (1974). Historical Origin of the Health Believe Model, Health Education Monograghs, 2:328-335. Tremethick et.al. (2011). Advance Directives for End-of-Life Care and the Role of Health Education Specialists: Applying the Theory of Reasoned Action. International Electronic Journal of Health Education. 14, 68-76.
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 62 บทที่ 5 ทฤษฎีและแบบจำลองพฤตกิ รรมสขุ ภาพระหวา่ งบคุ คล ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพระหว่างบคุ คลเป็นทฤษฎีท่ีให้ความสำคัญกับการปรับเปล่ียน พฤติกรรมสุขภาพหรือการส่งเสริมสุขภาพของบุคคลที่ได้รับอิทธิพลจากบุคคลรอบข้างที่มีความสำคัญ ตอ่ ตนเอง เช่น สมาชิกในครอบครัว เพอื่ นสนิท ผ้บู งั คบั บญั ชา บุคลากรสาธารณสขุ เป็นต้น ประกอบดว้ ย - ทฤษฎกี ารเรยี นรูท้ างสงั คม (Social learning Theory) - ทฤษฎีปญั ญาทางสังคม (Social Cognitive Theory) - ทฤษฎีแรงสนับสนนุ ทางสงั คม (Social support Theory) 1. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทางสังคม (Social learning Theory: SLT) ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ างสังคมพัฒนาข้ึนในปี ค.ศ. 1977 โดย Albert Bandura นักจติ วิทยาชาวแคนาดา ท่ีเชอื่ วา่ บุคคลไมจ่ ำเป็นต้องเรยี นรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเองเท่านนั้ แตส่ ามารถเรยี นรู้จากประสบการณ์ ของบุคคลอื่นที่เคยมีประสบการณ์เดียวกันหรือคล้ายคลึงกันได้ โดยเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากบริบท การเข้าสังคมผ่านการเรียนรู้จากการสังเกตพฤติกรรมและผลจากการแสดงพฤติกรรมของบุคคลอื่นในสังคม ที่สามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน (Observational Learning) และผลที่เกิดจากการแสดงพฤติกรรมน้ัน มบี ทบาทตอ่ การรับรู้ และเรียนร้โู ดยการเลยี นแบบจากตน้ แบบ (Modeling) โดยเฉพาะการเรียนรู้ผา่ นต้นแบบ ทางสังคมที่มีความสำคัญและมีความใกล้ชิดกับบุคคล เช่น สมาชิกในครอบครัว พี่น้อง ครูอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา บุคคลที่มีชื่อเสียง ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายทุกวัน เนื่องจากสังเกตว่าเพื่อนที่ออกกำลังกายมีสุขภาพและรูปร่างที่ดี ทั้ง ๆ ที่ประสบการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดข้ึน โดยตรงกับตนเองก็ตาม รวมถึงต้นแบบที่เป็นสัญลักษณ์หรือต้นแบบผ่านทางสื่อต่าง ๆ ได้แก่ สื่อออนไลน์ ภาพยนตร์ การ์ตูน ละคร นอกจากนี้ การให้ข้อมูลจากคำพูดหรือข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็สามารถ เป็นตน้ แบบในการเรียนร้ขู องบุคคลได้ องคป์ ระกอบหลกั ของทฤษฎีการเรียนรทู้ างสังคม ประกอบด้วย 1. บุคคล (Person) 2. สภาพแวดลอ้ ม (Environment) 3. พฤตกิ รรมของบุคคล (Behavior) สามารถแสดงความสมั พันธ์ของปจั จยั ท้งั 3 ได้ดังนี้
63 แผนภาพองค์ประกอบหลักทฤษฎปี ัญญาทางสงั คม บคุ คล (Person) สภาพแวดลอ้ ม พฤตกิ รรม (Environment) (Behavior) ที่มา: บญุ ยง เกีย่ วการค้า, 2561มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง แนวคดิ สำคัญของทฤษฎกี ารเรียนรทู้ างสงั คม คอื (ประไพจติ ร ชมุ แวงวาปี, 2553) 1) Albert Bandura มีแนวคิดว่าบคุ คลและสภาพแวดลอ้ มมีความสำคัญเท่า ๆ กัน การเรียนรู้จะเกิดจาก ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลและสภาพแวดลอ้ ม และท้งั สองปัจจยั ต่างมีอิทธพิ ลตอ่ กนั และกนั 2) Albert Bandura ให้ความสำคัญกับความแตกต่างของการเรียนรู้ (Learning) และการกระทำ (Performance) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากบุคคลอาจเกิดการเรียนรู้มากมาย แต่อาจไม่เกิดการ กระทำ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ - พฤติกรรมเกดิ จากการเรียนรู้แล้วมกี ารแสดงออกหรือกระทำอยา่ งสม่ำเสมอ - พฤตกิ รรมทเี่ กดิ การเรยี นรู้ แต่ไม่มกี ารแสดงออกหรอื การกระทำ - พฤติกรรมทีไ่ ม่เคยแสดงออกหรือกระทำ เน่ืองจากไมเ่ คยเรียนรู้ 3) Bandura ไม่เชื่อว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะคงที่หรือคงตัวอยู่เสมอ ทั้งนี้ เนื่องจากบุคคลจะอยู่ใน สภาพแวดลอ้ มมกี ารเปล่ยี นแปลงอยู่เสมอ จงึ มอี ิทธพิ ลตอ่ การแสดงพฤติกรรม การเรียนรทู้ างสังคมโดยการสงั เกต เกิดตามขน้ั ตอนต่าง ๆ ดังน้ี (บญุ ยง เกีย่ วการคา้ , 2561) 1. ขน้ั ให้ความสนใจ (Attention Phase) เป็นขั้นแรกของการเรียนรู้ที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นขั้นที่บุคคลเริ่มให้ความสนใจต่อต้นแบบ (Modelling) ซึ่งขั้นให้ความสนใจที่จะเรียนรู้พฤติกรรมผ่านการสังเกตต้นแบบได้นั้น เกิดจาก 2 ปัจจัย ประกอบด้วย ปัจจัยด้านต้นแบบ โดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านต้นแบบทางสังคมที่มีความสำคัญและใกล้ชิด กับบุคคล หรอื ต้นแบบที่มชี ่ือเสียง คณุ ลกั ษณะเด่น มีความสามารถ เปน็ บุคคลท่อี ิทธิพลทางความคิดต่อบุคคล และพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นไม่ซับซ้อน และเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่บุคคลคาดหวัง จะดึงดูด ให้บุคคลเกิดความสนใจ และปัจจัยด้านบุคคลเอง ประกอบด้วย ความสามารถในการรับรู้ ความรู้สึก ทัศนคติ ความคาดหวงั และสภาวะทางอารมณ์ของบุคคล ณ ขณะน้นั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 64 2. ขัน้ จดจำ (Retention Phase) เมื่อบุคคลสนใจต้นแบบจะเกิดการสังเกตการแสดงพฤติกรรมของบุคคลต้นแบบ (Modelling) และบันทึกคุณลักษณะหรือพฤตกิ รรมของตน้ แบบท่ีสังเกตไดไ้ วใ้ นระบบความจำของตนเอง โดยมักจะจดจำไว้ เป็นแบบจินตภาพของขั้นตอนในการแสดงพฤติกรรม เพื่อให้สามารถระลึกและนำข้อมูลการแสดงพฤติกรรม ของตน้ แบบของมาใชไ้ ด้ 3. ข้นั แสดงพฤติกรรมเหมือนต้นแบบ (Reproduction Phase) เป็นขั้นตอนที่บุคคลแสดงพฤติกรรมตามที่ได้สังเกตจากบุคคลต้นแบบและบันทึกไว้ในความจำ ของตนเอง ซึ่งการแสดงพฤติกรรมจะอยู่ในระดับมากหรอื น้อยจะขึ้นอยูก่ ับ 2 ขั้นที่ผ่านมา เป็นการตรวจสอบ การเรียนรู้พฤติกรรมจากต้นแบบที่ได้จดจำไว้ เพื่อประเมินพฤติกรรม ทักษะ ความสามารถของตนเอง ในการแสดงพฤติกรรมน้ัน ๆ 4. ขน้ั จูงใจ (Motivation Phase) เป็นขั้นตอนท่ีแสดงผลของการกระทำจากการแสดงพฤติกรรมตามต้นแบบ ถ้าผลท่ีต้นแบบเคยได้รับ เป็นไปในทางบวก เช่น ได้รับรางวัล คำชมเชย การยอมรับจากสังคม การยกย่องเป็นต้นแบบ ทำให้เกิด ความรู้สึกภาคภูมิใจก็จะจูงใจให้บุคคลอยากแสดงพฤติกรรมตามแบบ แต่หากผลที่ได้เป็นผลเสียหรือทางลบ บคุ คลกจ็ ะงดเวน้ การแสดงพฤตกิ รรมน้ัน การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมในงานวิจยั นันทวัน เทียนแก้ว (2562) ศึกษาปัจจัยทางทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมต่อการมีกิจกรรม ทางกายของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมไทย ผลการศึกษาพบว่าลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ของพนักงาน เป็นท่าทางการนั่งและยืน ร้อยละ 53.8 และ 27.5 ตามลำดับ ทำงานวันละ 9-12 ชั่วโมง จำนวน 6 วัน ต่อสัปดาห์ ปัจจยั ดา้ นบคุ คลมีความคาดหวังผลลพั ธใ์ นการมกี ิจกรรมทางกายสูงสุด 3 อนั ดับ คือ มีบคุ ลิกภาพดี เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ปัจจัยของทฤษฎีปัญญาสังคม ประกอบด้วย ปัจจัยด้านบุคคลในส่วนของความ คาดหวังผลลัพธ์ในการมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งเป็นความคาดหวังทางด้านร่างกาย และคาดหวังว่าจะได้รับการ สนบั สนุนจากสังคมรอบขา้ ง รวมถงึ มีความคาดหวงั ท่จี ะมีความรคู้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั กจิ กรรมทางกายมากข้ึน Cameron Ghazi (2018) ศึกษาการใช้ทฤษฎีความรู้ความเข้าใจทางสังคมหรือการเรียนรู้ทางสังคม เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของตนเองในการฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นการศึกษาโดยการ ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของผู้ป่วยในการฟ้ืนฟู สมรรถภาพกระดูกและข้อ ผลการศึกษาพบวา่ การประยุกต์ใชห้ ลักการหรือทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมสามารถ พัฒนาประสิทธิภาพของผู้ป่วยในการฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อและกระดูกได้ในระดับปานกลางถึงมาก และยังเป็นประโยชนใ์ นการป้องกันการบาดเจ็บหรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ได้ด้วย และการใช้ทฤษฎีนี้
65 จะมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยโรคยังไม่มีการพัฒนาถึงการผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีอายุน้อย และมีความ กระตอื รอื รน้ ในการป้องกนั โรคเข้าเส่ือม สรุปทฤษฎีการเรยี นรทู้ างสงั คม ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสงั คมพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1977 โดย Albert Bandura โดยมีความเช่ือว่าบุคคล สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของบุคคลอื่นที่เคยมีประสบการณ์เดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน โดยเน้น การเรียนรู้ที่เกิดจากบริบทการเข้าสังคม การเรียนรู้จากการสังเกต และการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ จากต้นแบบโดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านต้นแบบทางสังคมที่มีความสำคัญและใกล้ชิดกับบุคคล รวมถึงต้นแบบ ที่เป็นสัญลักษณ์หรือต้นแบบผ่านทางสื่อต่าง ๆ และการให้ข้อมูลจากคำพูดหรือข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น การจัดกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ใช้ทฤษฎีนี้จะต้องมีต้นแบบหรือตัวอย่างในการ ให้ความรู้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เช่น บุคคล สื่อออนไลน์ การ์ตูน ที่เป็นต้นแบบที่ดึงดูดให้บุคคลเกิด ความสนใจที่จะเรียนรู้ จดจำ และแสดงพฤติกรรมตาม หรือการสอนการสาธิตปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้บุคคล เกิดทักษะในการแสดงพฤติกรรมสุขภาพท่ีเหมาะสมถือเป็นข้ันตอนของทฤษฎีการเรยี นรู้ทางสังคมทง้ั ส้ิน ดังนน้ั จงึ ตอ้ งแสดงพฤตกิ รรมตวั อย่างทีถ่ กู ต้องและครบถ้วน เพอ่ื การเรยี นรู้ทางสงั คมมปี ระสทิ ธิภาพ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
66 2. ทฤษฎปี ญั ญาทางสังคม (Social Cognitive Theory: SCT) ในปี ค.ศ. 1986 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social learning Theory: SLT) โดย Albert Bandura ได้เปล่ียนชื่อเป็นทฤษฎีปัญญาทางสงั คม (Social Cognitive Theory: SCT) โดยมพี ้ืนฐานแนวคิดว่าพฤติกรรม ของมนุษย์สามารถอธิบายได้ 3 ลักษณะ คือพฤติกรรมจะมีความเป็นพลวัตรไม่หยุดนิ่ง มีการเคลื่อนไหว ทั้งที่สามารถมองเห็นได้และไม่สามารถมองเห็นได้ และพฤติกรรมมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสภาพแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทฤษฎีปัญญาทางสังคมมีพื้นฐานแนวคิดว่าพฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากปัจจัย ด้านพุทธิพิสัย (Personal cognitive factors) และปัจจัยจากสภาพแวดล้อม (Socio-environment) ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้ต่างก็มีความสัมพันธ์กับการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และในขณะเดียวกัน พฤติกรรม ของบุคคลเองก็ส่งต่อปัจจัยทั้งสองนี้ด้วย ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลจึงต้องคำนึงถึงปัจจัย เหลา่ นดี้ ้วย โดยสามารถเขยี นเป็นแผนภาพองค์ประกอบของทฤษฎีปญั ญาทางสงั คม ไดด้ ังนี้ แผนภาพทฤษฎีปญั ญาทางสงั คม (Social Cognitive Theory: SCT) ปัจจยั ด้านพุทธิพิสัย มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ปจั จยั ด้าน การแสดง สภาพแวดลอ้ ม พฤตกิ รรมของบุคคล ท่มี า: จกั รพนั ธ์ เพ็ชรภูมิ, 2560 ดดั แปลงจาก Bandura, 1986 องค์ประกอบของทฤษฎีปญั ญาทางสังคม 1. ปัจจัยดา้ นพทุ ธพิ ิสัย (Personal cognitive factors) เป็นปัจจัยภายในตัวบุคคลที่ส่งผลต่อความสามารถในการควบคุมการแสดงพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการไตร่ตรองที่เกิดจากประสบการณ์เรียนรู้ของบุคคลที่เป็นตัวกำหนดการแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ และในขณะเดียวกัน ปจั จยั ด้านพุทธพิ สิ ัยกส็ ่งผลต่อปจั จัยจากสภาพแวดล้อมด้วย ปัจจัยด้าน พุทธพิ สิ ัย ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คอื 1) การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) คือ ความเชื่อ ความรู้สึก การประเมินความสามารถของตนเองในการกระทำพฤติกรรมสุขภาพต่าง ๆ โดยพิจารณาจาก ความรสู้ กึ ความคิด แรงจูงใจ และพฤตกิ รรม ซึ่งเปน็ สง่ิ สำคัญท่จี ะทำให้เกิดการกระทำพฤติกรรม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 67 อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนกระท่ังทำให้เกิดผลลัพธ์ทีค่ าดหวัง โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ ความสามารถของตนเอง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประสบการณ์ ความสำเร็จของตนเอง ประสบการณ์ความสำเร็จของบุคคลต้นแบบ การกระตุ้นทางอารมณ์ และการใชค้ ำพดู โน้มนา้ ว 2) ความคาดหวังในผลลัพธ์ (Outcome expectation) คือ ความเชื่อที่บุคคลประเมินค่าพฤติกรรม เฉพาะอย่างที่ปฏิบัติ แล้วจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้เป็นการคาดคะเนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หลังกระทำพฤติกรรมตา่ ง ๆ แลว้ ทงั้ ดา้ นกายภาพ เชน่ การมีสุขภาพร่างกายท่ีแขง็ แรง หรือหาย จากอาการเจ็บป่วย ผลลัพธ์ด้านสังคม เช่น บุคคลอื่นเกิดการยอมรับในวงกว้างหรือทำให้มี ชื่อเสียง และผลลัพธจ์ ากการประเมนิ ตนเองต่อพฤติกรรมนั้น ๆ เช่น เกิดความรู้สึกว่าตนเองร้สู ึก มคี ุณคา่ หรือเกดิ ความพงึ พอใจในตนเอง 3) ความรู้ (Knowledge) คือ ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลด้านพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งความรู้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคคลเกิดกระบวนการทางความคิดร่วมกับการรับรู้ ความสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) และความคาดหวังในผลลัพธ์ (Outcome expectation) แล้วสง่ ผลให้บคุ คลเกดิ การแสดงพฤตกิ รรมสขุ ภาพท่พี ึงประสงค์ เนอ่ื งจากปัจจยั ด้านพุทธิพสิ ยั ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล ดังนัน้ จึงตอ้ งเสริมความเชื่อม่ัน ในความสามารถของประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้แสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ และเพิ่มความเชื่อมั่น ในความสามารถของตนเองว่าสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ โดยการจัดกิจกรรมการฝึกทักษะที่จำเป็น ในการแสดงพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ การควบคุมการแสดงพฤติกรรมของตนเอง การเสริมสร้างการรับรู้ ความสามารถของตนเอง เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายเกิดความรู้สึกว่าหากมีการแสดงพฤติกรรม ที่พึงประสงค์แล้วจะส่งผลดีต่อตนเอง นอกจากนี้ อาจมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับโอกาส และความรุนแรงของโรคที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมของบุคคล เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน กลุ่มเป้าหมาย และมีการติดตามประเมินผลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม รวมถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดข้ึน เพือ่ แกไ้ ขและสนบั สนุนให้เกิดพฤติกรรมสขุ ภาพทีพ่ ึงประสงคต์ อ่ ไป 2. ปัจจยั จากสภาพแวดลอ้ ม (Socio-environment) เป็นปัจจัยภายนอกตัวบุคคลทีเ่ ปน็ ปจั จัยดา้ นสังคมและสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม ของบุคคล เช่น การได้รับคำชมเชย การถูกอบรมสั่งสอน การใช้ต้นแบบ กฎระเบียบข้อบังคับที่ใช้ร่วมกัน ในสังคม หรือการได้รับโทษ ก็เป็นปัจจัยส่งผลให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ และในขณะเดียวกัน ปัจจัย จากสภาพแวดล้อมก็ส่งผลตอ่ ปจั จยั ด้านพทุ ธิพิสัยด้วย โดยปจั จัยจากสภาพแวดล้อม ประกอบด้วย 1) การเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ (Modelling) คือพฤติกรรมและผลจากการแสดงพฤติกรรม ของบุคคลอื่นในสังคมที่สามารถพบได้ในชีวติ ประจำวนั และผลที่เกิดจากการแสดงพฤติกรรมนน้ั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 68 มีบทบาทต่อการรับรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านต้นแบบทางสังคมที่มีความสำคัญและใกล้ชิด กับบุคคล สามารถสังเกตและมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เช่น สมาชิกในครอบครัว พี่น้อง ครูอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา บุคคลที่มีชื่อเสียง รวมถึงต้นแบบที่เป็นสัญลักษณ์หรือต้นแบบผ่านทางสื่อต่าง ๆ ได้แก่ สื่อออนไลน์ ภาพยนตร์ การ์ตูน ละคร นอกจากนี้ การให้ข้อมูลจากคำพูดหรือข้อมูล ทเ่ี ปน็ ลายลักษณอ์ ักษรกส็ ามารถเปน็ ต้นแบบในการเรียนรู้ของบคุ คลได้ 2) บรรทัดฐานทางสังคม (Normative Beliefs) คือ การรับรู้ของบุคคลเกี่ยวกับแบบแผนหรือ แนวทางการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มีผลมาจากบุคคลที่อยู่รอบตัวหรือบุคคลอ้างอิง และเปน็ บคุ คลที่มีผลต่อความคิด ความเชื่อ และการตดั สนิ ใจในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล 3) แรงสนับสนุนทางสังคม (Social Support) คือ บุคคลซึ่งอยู่ร่วมกันในสังคมมีความสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งด้านอารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านวัตถุสิ่งของ ทำให้บุคคลรู้สึก วา่ ตนเองเป็นส่วนหนงึ่ ของสังคม สง่ ผลใหบ้ คุ คลไดร้ ับการตอบสนองความต้องการท้ังด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมจากบุคคลอื่น ทำให้เกิดปฏิบัติพฤติกรรมต่าง ๆ ในทางบวกขึ้น สำหรับ รายละเอียดของแรงสนับสนุนทางสังคมจะกล่าวถึงในทฤษฎีพฤติกรรมสุขภาพระหว่างบุคคล ในบทถัดไป เนื่องจากปัจจัยด้านสังคมและสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล ดังนั้น จึงควรมีการคัดเลือกต้นแบบที่เหมาะสมและดึงดูดให้บุคคลเกิดการสังเกต จดจำ และแสดงพฤติกรรม เลียนแบบ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม มีการสร้างบรรทัดฐานทางสังคมหรือกฎระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม และควรมีกิจกรรมการให้สุขศึกษาเพื่อให้ความรู้แก่บุคคลอ้างอิง เพื่อให้เกิด การมีส่วนร่วมของบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็น ความเชื่อ ของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เข้ามาสนับสนุน หรือช่วยเหลือ ทั้งด้านอารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านวัตถุสิ่งของที่จำเป็น ทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเอง เป็นสว่ นหน่ึงของสังคม เพ่อื ใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมสุขภาพ การประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎีปญั ญาทางสงั คมในงานวจิ ัย จีราวรรณ ประทุมมาศ และคณะ (2563) ศึกษาผลของการประยุกตท์ ฤษฎปี ญั ญาสังคมเพ่ือการเรียนรู้ เร่อื งการบรโิ ภคอาหารเพ่ือสขุ ภาพของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 กรงุ เทพมหานคร โดยกล่มุ ทดลองจะได้รับ โปรแกรมส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีปัญญาสังคมในการออกแบบกิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการบรรยายให้ความรู้ การเล่นเกมเลือกและจัดอาหารสุขภาพ การระดมสมอง การฝึกทำอาหารอย่างง่าย และการเรียนรู้จากตัวแบบที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่เหมาะสม ส่วนนักเรียนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการสอนจากหลักสูตรปกติของโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีความรู้เรื่องการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ การรับรู้ความสามารถ ตนเองในการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการเพิ่มข้ึน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 69 มากกว่ากว่าก่อนการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่าโปรแกรม ส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ประยุกต์ทฤษฎีปัญญาสังคมในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิผลทำให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ การรับรู้ความสามารถตนเอง ในการบรโิ ภคอาหาร และพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารตามหลกั โภชนาการทถ่ี ูกต้องและเหมาะสมเพิ่มข้นึ พาขวัญ บุญประสาร (2557) ศึกษาผลของการปรับพฤติกรรมโดยใช้แนวคิดทฤษฎีปัญญาสังคม ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนความร่วมมือในการปรับพฤติกรรมคะแนนการเรียนรู้ทางปัญญาและคะแนน การปฏบิ ัติตัวสูงขน้ึ อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) และกลุม่ ทดลองมคี ่าระดบั น้ำตาล FBS เฉล่ียต่ำกว่า กลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) ส่วนค่าระดับน้ำตาล HbA1C หลังทดลองของกลุ่มทดลอง และกล่มุ ควบคุมมีความแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.012) ดังน้ัน จากผลการวิจัยนี้จึงสามารถ สรุปได้ว่าการปรับพฤติกรรมโดยใช้แนวคิดทฤษฎีปัญญาสังคมเป็นวิธีการที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถควบคมุ ระดบั นำ้ ตาลในเลอื ดของตนเองได้ Zainab Aghdasi (2018) ศึกษาผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีปัญญาทางสังคมกับพฤติกรรม ด้านโภชนาการของมารดาสำหรับเด็กในช่วงอายุ 6-12 เดือน ที่มีภาวะเลี้ยงไม่โตหรือความล้มเหลวในการ เจริญเติบโต โดยมีปัจจัยพฤติกรรมด้านโภชนาการของมารดาเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะนี้ โดยทำการวิจัย กึ่งทดลองในมารดา 100 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ผลการศึกษาพบว่าพฤติกรรม ของมารดาและน้ำหนักตัวของเด็กในกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงใหเ้ หน็ ว่าทฤษฎปี ญั ญาทางสังคมสง่ ผลบวกต่อพฤติกรรมของมารดา ทัง้ ด้านความตระหนัก ความคาดหวงั ผลลัพธ์ การรับรู้ความสามารถของตนเอง การรับรู้ความสามารถของตนเองในการเอาชนะอุปสรรค การควบคุมตนเอง การปรบั ตวั ในสภาพแวดล้อม และการปรับตัวทางอารมณ์ สรปุ ทฤษฎีปัญญาทางสังคม ในปี ค.ศ. 1986 ทฤษฎีการเรียนรทู้ างสงั คม (Social learning Theory: SLT) โดย Albert Bandura ไดเ้ ปล่ยี นชอ่ื เปน็ ทฤษฎีปญั ญาทางสงั คม (Social Cognitive Theory: SCT) โดยมีพืน้ ฐานแนวคิดวา่ พฤติกรรม ของบุคคลเป็นผลมาจากปัจจัยด้านพุทธิพิสัย (Personal cognitive factors) ได้แก่ การรับรู้ความสามารถ ของตนเอง ความคาดหวังในผลลัพธ์ และความรู้ และปัจจยั จากสภาพแวดล้อม (Socio-environment) ได้แก่ การเรยี นรจู้ ากการสังเกตตน้ แบบ บรรทัดฐานทางสังคม และแรงสนับสนุนทางสังคม ซึง่ ปัจจัยท้ังสองนี้ต่างก็มี ความสัมพันธ์กับการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และในขณะเดียวกัน พฤติกรรมของบุคคลเองก็ส่งต่อปัจจัย ทั้งสองน้ีด้วย ดงั น้ัน การปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมของบุคคลจงึ ต้องคำนึงถึงปจั จัยเหล่าน้ีด้วย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 70 3. ทฤษฎแี รงสนบั สนุนทางสงั คม (Social support Theory) ความหมายและความสำคัญแรงสนับสนุนทางสงั คม สำหรบั ทฤษฎีแรงสนบั สนนุ ทางสังคมมผี ู้ให้ความหมายและคำนิยามจำนวนมาก ไดแ้ ก่ Cobb (1976) (อ้างถึงใน พัสกร สงวนชาติ, 2552) กล่าวว่าแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นข้อมูลที่ชี้แนะแนวทางที่ทำให้บุคคล เช่อื วา่ ตนเองได้รบั การดูแลเอาใจใส่ ไดร้ ับการยกยอ่ งและเหน็ คณุ ค่า และร้สู กึ ว่าตนเองเปน็ สว่ นหน่งึ ของสังคม Kahn (1979) (อ้างถึงใน มนัสนันท์ ผลานิสงค์, 2559) ได้ให้ความหมายของแรงสนับสนุนทางสังคม ว่าการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รวมถึงการแสดงความรู้สึกในทางที่ดีของบุคคลหนึ่งแก่อีกคนหนึ่ง การให้ ความมั่นใจในการประพฤติปฏิบัติของบุคคลนั้นถูกต้อง การให้ความเห็น หรือการช่วยเหลือด้านสิ่งของนั้น ตอ้ งเป็นส่ิงทีผ่ ้รู บั ตอ้ งการจึงจะเกิดผลลัพธ์ในทางบวกข้นึ House (1981) (อ้างถึงใน วีระพงษ์ มาฉะกาด, 2554) กล่าวว่าแรงสนับสนุนทางทางสงั คม หมายถึง การที่บุคคลมปี ฏิสมั พันธก์ ัน ประกอบดว้ ย การให้ความรกั การเห็นคุณค่า การให้ความวางใจ และรบั ฟังปัญหา ด้วยความห่วงใย และให้ความช่วยเหลือด้านทรัพยากรต่าง ๆ รวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารและคำแนะนำ เพือ่ การประเมนิ ตนเอง Thoits (1982) (อ้างถึงในวัชรพล วิวรรศน์ เถาวพันธ์, 2554) ได้ให้ความหมายของแรงสนับสนุนทาง สังคมว่าการที่บุคคลที่อยู่ในกลุ่มของสังคมได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นทางด้านอารมณ์สังคม สิ่งของ หรอื คำแนะนำและขอ้ มลู ขา่ วสาร ซง่ึ จะช่วยให้บุคคลสามารถเผชญิ ความเครยี ดและแกไ้ ขปัญหาทเี่ กิดขึน้ ได้ Pender (1982) (อ้างถึงในวชั รพล วิวรรศน์ เถาวพันธ์, 2554) ไดใ้ หค้ วามหมายของแรงสนับสนุนทาง สงั คมว่าการท่ีบุคคลรสู้ ึกถงึ การไดร้ ับการยอมรบั ไดร้ บั ความรัก การเอาใจใส่ รสู้ กึ ว่าตนเองมีคุณค่า และเป็นที่ ต้องการของบุคคลอื่น โดยบุคคลในสังคมนั้นเองเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านจิตอารมณ์ วัสดุ อุปกรณ์ ข่าวสาร และคำแนะนำ อนั จะทำให้บคุ คลน้ันสามารถดำรงอยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม จากคำจำกัดข้างต้นผู้เขียนได้นำมาสรปุ ความหมายของแรงสนบั สนนุ ทางสงั คมได้ว่า หมายถึง บุคคล ซึ่งอยู่ร่วมกันในสังคมมีปฏิสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งด้านอารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านวัตถุ สิ่งของ ทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ส่งผลให้บุคคลได้รับการตอบสนองความต้องการ ทง้ั ดา้ นร่างกาย จิตใจ และสงั คมจากบุคคลอ่นื ทำให้เกดิ ปฏบิ ตั ิพฤติกรรมตา่ ง ๆ ในทางบวกขึ้น แหล่งของแรงสนบั สนนุ ทางสงั คม Kaplan (1977) อา้ งถงึ ใน จิตกาญจนา ชาญศิลป์, 2558) กลา่ วถึงการจำแนกแหล่งของแรงสนับสนุน ทางสงั คม ออกเปน็ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มที่มีความผูกพันกันตามธรรมชาติ ( Spontaneous or Natural Support System) แบง่ ออกเป็น บุคคลทอ่ี ยใู่ นครอบครัวสายตรง ไดแ้ ก่ ปู่ย่าตายาย พอ่ แม่ ลกู หลาน และบุคคลท่อี ย่ใู กล้ชิด ได้แก่ เพื่อนสนทิ เพ่อื นบา้ น เพ่อื นรว่ มงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 71 2. องค์กรและสมาคมที่ให้การสนับสนุน (Organized Support) หมายถึง บุคคลที่รวมกันเป็นชมรม หรือสมาคม ซงึ่ ไมใ่ ช่กลมุ่ ท่ีจัดโดยวชิ าชพี สุขภาพ 3. กลุ่มผู้ช่วยเหลือทางวิชาชพี (Health Professional Support System) หมายถึง บุคคลที่มีหนา้ ที่ สง่ เสรมิ ปอ้ งกนั รกั ษาและฟ้นื ฟสู ขุ ภาพของประชาชนโดยอาชพี Pender (1987) (อ้างถงึ ใน จติ กาญจนา ชาญศิลป์, 2558) จำแนกได้ ดังนี้ 1. กลุ่มที่มีความผูกพันกันตามธรรมชาติ (Natural Support System) คือ การสนับสนุนจาก ครอบครัว การที่สมาชิกในครอบครัวรับรู้ถึงความต้องการซึ่งกันและกัน มีการสื่อสารภายในครอบครัว ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ และให้ความช่วยเหลอื กัน ถอื เป็นครอบครวั ท่มี กี ารสนับสุนทางสงั คมทีเ่ หมาะสม 2. กลุ่มเพื่อน (Peer Support System) คือ คนกลุม่ นี้สว่ นมากมปี ระสบการณ์ทที่ ำใหเ้ กิดการปรับตัว และพัฒนาไปในทางท่ีดีข้นึ จงึ สามารถให้คำแนะนำในการแกป้ ญั หาได้ 3. กลุ่มศาสนาหรือแหล่งอุปถัมภ์ต่างๆ (Religious Organizations or Denominations) เป็นกลุ่มที่ ทำให้เกิดการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความเชื่อ ค่านิยม มีการเผยแพร่คำสอนและคำแนะนำเกี่ยวกับวิถีการ ดำรงชีวิตและขนบธรรมเนยี มประเพณีต่าง ๆ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ 4. กลุ่มวิชาชีพด้านสุขภาพ (Health Professional Support System) เมื่อการสนับสนุนที่ได้รับ จากครอบครัวและกลุ่มเพื่อนไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือด้านสุขภาพแก่บุคคลได้ กลุ่มบุคลากรสาธารณสุขหรือ ทางการแพทยจ์ ะเปน็ แหลง่ สนบั สนนุ ท่ใี หค้ วามช่วยเหลอื ผปู้ ่วย 5. กลุ่มวิชาชีพอื่น ๆ (Organized Support System or Directed by Health Professionals) กลมุ่ ที่เป็นส่ือกลางท่ีชว่ ยใหบ้ ุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตา่ ง ๆ โดยส่งเสรมิ ใหบ้ ุคคลสามารถปรับตัวให้เข้ากับ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น กลุม่ อาสาสมัคร ประเภทของแรงสนบั สนนุ ทางสังคม Cobb (1976) (อ้างถึงในจุไรลักษณ์ เหลียงกอบกิจ, 2555) ได้แบ่งชนิดของแรงสนับสนุนทางสังคม เป็น 3 ดา้ น ได้แก่ 1. การสนับสนุนด้านอารมณ์ (Emotional support) คือการทำให้บุคคลที่ได้รับการสนับสนุนรู้สึก วา่ ตนไดร้ ับความรักและการเอาใจใสจ่ ากบคุ คลอื่น ทำให้เกดิ ความสมั พันธใ์ กล้ชดิ และผกู พนั ซง่ึ กันและกัน 2. การสนับสนุนด้านการยอมรับและการเห็นคุณค่า (Esteem Support) คือการทำให้บุคคลที่ได้รับ รูส้ กึ วา่ ตนเองมีคณุ ค่าและเปน็ ทย่ี อมรบั จากบุคคลอ่นื ในสังคม 3. การสนับสนุนด้านการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Socially Support or Network) คือการแสดงให้ บุคคลนนั้ รับรวู้ า่ ตนเองเปน็ สมาชิกหรือเปน็ ส่วนหน่งึ ของเครอื ขา่ ยสังคม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 72 House (1981) (อ้างถึงในวัชรพล วิวรรศน์ เถาวพันธ์, 2554) ได้แบ่งแรงสนับสนุนทางสังคมตาม แนวคิดของเฮาสน์ นั้ มี 4 ด้านคือ 1. การสนับสนุนด้านอารมณ์ (Emotional support) หมายถึง การแสดงออกถึงความเช่ือ และความรู้สกึ ของบุคคล ไดแ้ สดงออกถึงความรัก ความผกู พัน ความรูส้ ึกไว้วางใจ การดูแลเอาใจใส่และห่วงใย ซง่ึ กนั และกัน ซงึ่ จะนำไปส่คู วามรสู้ ึกว่าตนเองเปน็ ท่รี กั ทห่ี ่วงใย และเป็นส่วนหน่งึ ของสงั คม 2. การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Information support) หมายถึง การได้รับความช่วยเหลือ ดา้ นข้อมูลข่าวสาร คำแนะนำ และข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ เพอ่ื เปน็ แนวทางเลอื กปฏิบัติในการแก้ปญั หาได้ 3. การสนับสนุนด้านการประมาณค่า (Appraisal support) หมายถึง การได้รับข้อมูลย้อนกลับ เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อไปใช้ในการประเมินตนเองโดยเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ได้แก่ การเหน็ พ้อง การยอมรบั และการยกย่องชมเชย ทำใหเ้ กดิ ความม่ันใจในการดำเนินชีวติ อยู่รว่ มกบั ผอู้ น่ื ในสงั คม 4. การสนบั สนุนด้านทรัพยากรหรอื การใหบ้ ริการ (Instrumental support) หมายถงึ การได้รับความ ช่วยเหลือโดยตรงในด้านสิ่งของ แรงงานและการบริการต่าง ๆ ในยามเจ็บป่วย รวมทั้งการสนับสนุนทางด้าน การเงนิ งบประมาณในการดำเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ Thoits และ Peggy (1982) (อ้างถึงใน จิตกาญจนา ชาญศิลป์, 2558) แบ่งแรงสนับสนุนทางสังคม ออกเป็น 3 ชนิด 1. การสนับสนุนด้านอารมณ์และสังคม (Socioemotional aid) คือ การที่บุคคลได้รับความรัก และความเอาใจใส่ การได้รับการยอมรับ เหน็ คุณค่า และรสู้ กึ ว่าเปน็ ส่วนหนง่ึ ของสงั คม 2. การสนับสนุนด้านวัตถุสิ่งของและแรงงาน (Instrumental aid) เป็นการให้ความช่วยเหลือด้าน แรงงาน วัสดุอุปกรณ์ สิ่งของเงินทอง ที่จะทำให้บุคคลที่ได้รับนั้นสามารถดำรงบทบาทหรือหน้าที่ที่ได้ รบั ผดิ ชอบไดต้ ามปกติ 3. การได้รับการสนับสนุนด้านข้อมลู ข่าวสาร (Information Aid) คอื การได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมถึง การได้รับคำแนะนำและการปอ้ นกลบั ข้อมลู Jacobson (1986) (อา้ งถึงใน สวุ ภา สงั ข์ทอง, 2554) แบง่ แรงสนับสนนุ ทางสงั คม ออกเป็น 3 ด้าน 1. การสนับสนุนด้านอารมณ์ (Emotional support) หมายถึง การได้รับการยกย่อง การยอมรับ การเห็นใจ ไดร้ บั ความรัก การดแู ลเอาใจใส่ การมองเห็นคุณคา่ เปน็ ที่เคารพนบั ถือจากบุคคลอืน่ ในสังคม 2. การสนับสนุนด้านสติปัญญา (Cognitive Support) หมายถึง การได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมถึง คำแนะนำที่ช่วยให้บุคคลเกิดความเข้าใจใส่สิ่งต่าง ๆ ทำให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสงั คมได้ 3. การสนบั สนุนดา้ นทรพั ยากร (Resource Support) หมายถึง การได้รบั ความช่วยเหลอื ด้านแรงงาน สิง่ ของ การเงนิ และการบรกิ ารต่าง ๆ เพื่อใหส้ ามารถแกป้ ญั หาและดำรงบทบาทความรบั ผิดชอบของตนได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 73 งานวิจยั ทป่ี ระยกุ ต์ใชแ้ รงสนับสนนุ ทางสังคม ละอองดาว วงศ์อำมาตย์ (2563) ศึกษาประสทิ ธิผลการประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถตนเองร่วมกับ แรงสนบั สนุนทางสังคมในการปรับเปลีย่ นพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผขุ องเด็กนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5-6 อำเภอบณุ ฑริก จังหวัดอบุ ลราชธานี ผลการศึกษาพบวา่ กล่มุ ทดลองท่ีได้รบั การกระตุ้นการรับรู้ความสามารถ ของตนเองร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมมีค่าเฉลี่ยของคะแนนการรับรู้ความสามารถตนเองในการป้องกัน โรคฟันผุ และคะแนนการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคฟันผุสูงกว่าก่อนการทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ 0.05 ปุณิกา สุ่มทอง และคณะ (2562) ศึกษาผลของโปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน โดยประยุกตท์ ฤษฎีขั้นตอนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและแรงสนับสนุนทางสงั คม ในผ้ปู ว่ ยโรคความดันโลหิต สูง โรงพยาบาลอ่างทอง โดยกลุ่มตัวอย่างได้เข้าร่วมโปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน ประกอบด้วย กิจกรรมการสอนสุขศึกษารายบุคคล การสาธิตวิธีการวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง การให้ยืม เครื่องวัดความดันโลหิตไปวัดที่บ้าน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกค่าความดันโลหิตและแบบสอบถาม พฤติกรรมการดูแลตนเอง ผลการวิจัยพบว่าหลังได้รับโปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน โดยประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎีข้ันตอนการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมและแรงสนับสนุนทางสังคม ผู้ป่วยโรคความดันโลหิต สูงมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบนและตัวล่างลดลง และมีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกว่าก่อน การทดลองอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั 0.05 อมลรดา รงค์ทอง และสุพัฒนา คำสอน (2562) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วม ในการป้องกันและควบคุมไข้เลือดออกของประชาชน อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมไข้เลือดออก อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ได้แก่ สถานภาพสมรส สถานภาพทางสังคม ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก การรับรู้โอกาสเสี่ยง ต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก การรับรู้ประโยชน์ของการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก และแรงสนับสนุนทางสังคม และปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออก คือ การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก แรงสนับสนุนทางสังคม และสถานภาพ สมรส ทสี่ ามารถรว่ มกนั ทำนายไดร้ อ้ ยละ 41.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.05 ไพรัตน์ ห้วยทราย (2559) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ของประชาชน อำเภอห้วยผึ้ง กาฬสินธุ์ ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในการ ป้องกนั และควบคุมโรคไขเ้ ลือดออกของประชาชน ได้แก่ รายได้ตอ่ เดือน ตำแหน่งทางสงั คม และการสนบั สนุน ทางสงั คม อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ที่ระดับ 0.05 Firdevs Savi Cakar (2015) ศึกษาบทบาทของแรงสนับสนุนทางสังคม สภาพความเป็นอยู่ที่ดี และบทบาทของเพศที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมเส่ียงของวัยรุ่นประเทศตุรกี ผลการศึกษาพบว่า สภาพความ
74 เป็นอยู่ที่ดี และแรงสนับสนุนทางสังคมร่วมกับปัจจัยการเห็นคุณค่าของตนเองส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมเส่ียงของวยั รนุ่ อย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ 0.05 สรปุ ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม แรงสนับสนุนทางสังคม คือการมีปฏิสัมพันธ์ของบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งจากกลุ่มที่มีความผูกพันกันตามธรรมชาติ องค์กรและสมาคมที่ให้การสนับสนุน และกลุ่มผู้ช่วยเหลือทางวิชาชีพ ซึ่งแรงสนับสนุนทางสังคมนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือทั้งด้าน อารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านวัตถุสิ่งของ ทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ส่งผลให้บุคคล ได้รับการตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมจากบุคคลอื่น ทำให้เกิดปฏิบัติพฤติกรรม ตา่ ง ๆ ในทางบวกขนึ้ ซึ่งจากงานวิจัยต่าง ๆ ไดย้ นื ยันวา่ แรงสนบั สนุนทางสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพ ของบุคคลทง้ั ด้านร่างกาย จติ ใจ และสงั คม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 75 เอกสารอ้างอิง จักรพันธ์ เพช็ รภมู ิ. (2560). พฤติกรรมสขุ ภาพ แนวคิด ทฤษฎี และการประยุกตใ์ ช้. พิษณโุ ลก: สำนกั พมิ พ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. จิตกาญจนา ชาญศลิ ป์. (2558). ความเครียดและการสนบั สนนุ ทางสังคมที่ส่งผลต่อความเหน่ือยหนา่ ยในการ ทำงานของพนักงานเทศบาลในจังหวัดสงขลา. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร.์ จีราวรรณ ประทุมมาศ และคณะ. (2563). การประยุกต์ทฤษฎปี ญั ญาสังคมเพ่ือการเรียนรู้เรือ่ งการบรโิ ภค อาหารเพื่อสขุ ภาพของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 กรุงเทพมหานคร. วารสารสขุ ศึกษา. 43(1). 48- 60. จไุ รลกั ษณ์ เหลียงกอบกจิ . (2555). ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัจจัยส่วนบคุ คล การทมุ่ เทในงาน และการสนับสนนุ ทางสังคมกับความเครียดในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเอกชน ในเขต กรงุ เทพมหานคร. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. 24(2), 27-40. นันทวนั เทยี นแก้ว. (2562). ปจั จัยทางทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางปัญญาสังคมตอ่ การมกี ิจกรรมทางกายของ พนักงานโรงงานอุตสาหกรรมไทย. วารสารวทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬาและสุขภาพ. 20(2), 98-110 บญุ ยง เกยี่ วการคา้ . (2561). เอกสารประกอบการสอนชดุ วชิ าการส่งเสรมิ สขุ ภาพ การตรวจประเมนิ และการ บำบดั โรคเบอ้ื งตน้ . นนทบรุ ี: สำนกั พิมพ์มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. ประไพจติ ร ชมุ แวงวาปี. (2553). สขุ ศกึ ษาและพฤตกิ รรมศาสตร์. ขอนแก่น: วิทยาลยั สาธารณสขุ สิรนิ ธร จงั หวัดขอนแก่น. ปณุ ิกา สุ่มทอง และคณะ. (2562). ผลของโปรแกรมการวดั ความดนั โลหติ ด้วยตนเองที่บา้ นโดยประยกุ ต์ทฤษฎี ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและแรงสนับสนุนทางสังคม ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลอา่ งทอง. วารสารวทิ ยาลยั พยาบาลพระจอมเกลา้ จังหวดั เพชรบุรี. 2(1). 1-14. พสั กร สงวนชาติ (2552). ผลการจดั การแบบมีสว่ นร่วมของชมุ ชนทมี่ ีต่อการป้องกนั และควบคุมโรค ไข้เลือดออก ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี. วิทยานิพนธ์สาธารณสุข ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการระบบสขุ ภาพ, มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. พาขวญั บุญประสาร. (2557). ผลของการปรับพฤติกรรมโดยใช้แนวคิดทฤษฎปี ัญญาสงั คมตอ่ การควบคุม ระดับน้ำตาลในเลอื ดของผปู้ ว่ ยเบาหวาน โรงพยาบาลห้วยคต จังหวดั อุทัยธานี. พยาบาลสาร. 41(2). ไพรตั น์ ห้วยทราย. (2559). การมสี ว่ นร่วมในการป้องกันและควบคุมโรคไขเ้ ลอื ดออกของประชาชน อำเภอ ห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์. วารสารวิชาการแพรวากาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธ์ุ, ปีที่ 3 (ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2559), 64-81. มนัสนันท์ ผลานิสงค์. (2559). ปัจจยั ทำนายพฤตกิ รรมละเว้นการดื่มเคร่อื งด่มื แอลกอฮอล์ของนกั เรียน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 76 มัธยมศึกษาตอนต้น อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. ละอองดาว วงศอ์ ำมาตย์. (2020). ประสิทธผิ ลการประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีความสามารถตนเองร่วมกบั แรงสนับสนุน ทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุของเด็กนักเรียนประถมศึกษาปีที่5 -6 อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี. 9(2), 68. วัชรพล วิวรรศน์ เถาวพันธ์ และคณะ. (2554). ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ การมีส่วนร่วมของชมุ ชนในการควบคมุ และ ป้องกันโรคไข้เลือดออกของบ้านป่าเป้า อำเภอโสกนกเต็น อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์ วิทยาลยั สาธารณสขุ สิรินธร จงั หวดั ขอนแกน่ . วีระพงษ์ มาฉะกาด. (2552). ปจั จยั ท่มี ีอทิ ธิพลต่อระดบั พฤติกรรมการมีสว่ นร่วมของชมุ ชนในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออก ในตำบลคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม.วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตรม์ หาบัณฑติ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สวุ ภา สังขท์ อง. (2554). การศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหว่างพฤตกิ รรมการเผชญิ ความเครียด การสนบั สนนุ ทาง สังคม และความเหนื่อยหน่ายในการทำงาน กรณีศึกษา: หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในสังกัด กรุงเทพมหานคร. วรสารวิชาการศลิ ปศาตรประยกุ ต์. 6(1), 2-8. อมลรดา รงค์ทอง และสพุ ฒั นา คำสอน (2562). ปจั จัยทม่ี ผี ลตอ่ พฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชน อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทยั ธานี. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทริ ์นเอเชีย ฉบบั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 13(1). 147-158. Bandura. A. (1986). Social foundations of thought and action: A Social Cognitive Theory; New Jersey: Prentice-Hall Inc., Englewood Cliffs. Bandura, Albert. (1977). Social Learning Theory. Prentice Hall Englewood Cliff, New Jesey. Cameron Ghazi. (2018). Social cognitive or learning theory use to improve self-efficacy in musculoskeletal rehabilitation. Physiotherapy Theory and Practice. 34(7), 495-504. Cobb, S. (1976). Social support as a moderator of life stress. Psychosomatic Medicine, 38(5), 300-314. Cohen, J. M. & Uphoff, N.T. (1980). Paticipation’s Place in Rural Development: Seeking Clarity through Specificity. World Development, 8(5), 213-235. Firdevs Savi Cakar. (2015). The Role of Social Support, Subjective Well-Being, and Gender on Psychological Help-Seeking among Turkish Adolescents. British Journal of Education Society & Behavioural Science. 9(1):1-10 House, J.S. (1985). Meansures and concepts of social support in Cohen,S. And Syme, S.L. Social Support and health.
77 House, J.S. (1981). Work Stress and social support. Reading. M.A. Aololison, Wesley. Jacobson, R.B. and Coleman, D.J. (1986). Stratigraphy and recent evolution of Maryland Piedmont Flood Plains. American Journal of Science. 286, 617-637 Kahn, R. (1979). Aging and social support. In M.W. Riley (Ed.), Aging from birth to death: Interdisciplinary perspectives. Denver, CO: Westview Press,189-199 Kaplan, B.H., T.C. Cassel and S. Gore. (1977). Social Support and Health, Medical Care. 15(5). Pender, N.J. (1982). Health promotion in nursing practice. Pender, N.J. (1987). Health promotion in nursing practice. 2 nd ed. New York : Applenton Century Crofts. Thoits, P. A. (1982). Conceptual, methodological, and theoretical problem in studying social support as a buffer against life stress. Journal of Health and Social Behavior, 23, 145- 149. Thoits, D. and Peggy, A. (1982). Conceptual Methodological and Theoretical problems in Studying Social Support as a Buffer against Lift Stress. Journal of Health and Social Behavior. Zainab Aghdasi. (2018). Application of social cognitive theory on maternal nutritional behavior for weight of children 6 to 12 months with Failure to thrive. Iranian Journal of Health Education and Health Promotion. 9(2), 145-158. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 78 บทท่ี 6 ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพระดับชมุ ชนและสังคม ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสุขภาพในระดับชุนและสังคม มุ่งเน้นการให้ความสำคัญ ทก่ี ารวิเคราะห์ปจั จัยภายนอกและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทม่ี ีผลตอ่ การแสดงพฤติกรรมของบุคคลที่อยู่ในสังคม นั้น ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสุขภาพของประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ โดยให้สมาชิกในชุมชนและสังคม มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นกระบวนการ มีการกำหนดกฎระเบียบ หรอื รปู แบบการแสดงพฤติกรรมรว่ มกัน มีเทคนคิ การควบคุมทางสงั คม ทำใหป้ ระชาชนในชมุ ชนและสังคมน้ัน เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และมีลักษณะเฉพาะร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ในชุมชน และสังคมของตนเอง เช่น การกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ การจดั สภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการแสดง พฤติกรรมสขุ ภาพทพี่ งึ ประสงค์ ทฤษฎีและแบบจำลองพฤติกรรมสขุ ภาพในระดับชุนและสงั คม ประกอบด้วย - กรอบแนวคิด PRECEDE Framework - แบบแผนองค์กรชมุ ชน (Community organization model) - ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรม (Diffusion of innovation theory) 1. กรอบแนวคิด PRECEDE Framework กรอบแนวคิด PRECEDE Framework พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1970 โดย Lawrence W. Green ศาสตราจารย์ด้านสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบแนวคิดในกระบวนการ วางแผนและประเมินผลการให้สุขศึกษาอย่างเป็นระบบ ซง่ึ เป็นกรอบแนวคิดในการวเิ คราะห์พฤตกิ รรมสุขภาพ แบบสหปจั จัย (Multiple Causality Assumption) โดยสมมตฐิ านว่าพฤตกิ รรมของบุคคลมสี าเหตุมาทั้งปัจจัย ภายในและปัจจัยภายนอก ดังนั้น ในการวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะต้องวิเคราะห์ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรมนั้น ๆ แล้วจึงจะสามารถนำทฤษฎีมาใช้เป็นกรอบของการวางแผนงาน ตลอดจนการออกแบบกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมของประชาชนกล่มุ เป้าหมาย ซ่ึงทฤษฎีที่นิยม นำมาใช้คือ PRECEDE-PROCEED Model เริ่มแรกกรอบแนวคิด PRECEDE Framework ได้พัฒนาเฉพาะส่วนของ PRECEDE model เท่าน้ัน แล้วเริ่มขยายขอบเขตไปสู่การส่งเสริมสุขภาพที่มุ่งเน้นเป้าหมายในกลุ่มประชาชนในชุมชน และสังคม โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสังคมและสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพ จึงเกิดเป็น PRECEDE-PROCEDE model ที่พัฒนาขึ้นโดย Green และ Kreuter และคณะ ในปี 1987 ประกอบด้วย หลายขั้นตอน ซึ่งมีการพัฒนาและปรับปรุงอีกหลายครั้ง ผู้เขียนได้สรุปกรอบแนวคิด PRECEDE-PROCEDE model ดังนี้ (บญุ ยง เกยี่ วการคา้ , 2561)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 79 PRECEDE model Green และ Krueter (1999) ได้ต้ังช่อื มาจากตัวย่อของคำวา่ P คือ Predisposing (ปจั จยั นำ) R คือ Reinforcing (ปัจจยั เสริม) E คอื Enabling (ปัจจยั เอื้อ) C คือ Constructs (กระบวนการ) E คอื Education (การศกึ ษา) D คอื Diagnosis (การวินิจฉยั ) E คอื Evaluation (การประเมินผล) หมายถึง กระบวนการใช้ปัจจัยนำ ปัจจัยเสริม และปัจจัยเอื้อ ในการวินิจฉัยและการประเมินผล การดำเนินโครงการสุขศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนกลุ่มเปา้ หมาย โดยเน้นที่การวิเคราะห์ ปัจจยั สาเหตทุ สี่ ่งผลต่อการเรียนรู้เพื่อสรา้ งเสริมสุขภาพ ประกอบด้วย 4 ขน้ั ตอน คือ ข้นั ตอนท่ี 1 การวนิ ิจฉัยดา้ นสังคม (Social Diagnosis) คือการพิจารณาและวิเคราะห์คุณภาพชีวิตทั้งในระดับบุคคลและชุมชน โดยการประเมินปัจจัย ทางสังคมที่กำหนดคุณภาพชีวิตหรือการได้รับผลกระทบจากปัญหาทางสังคม และในขณะเดียวกัน ก็ส่งผล ต่อสภาวะสุขภาพด้วย โดย Green และ Krueter (1999) ได้เสนอตัวชี้วัดที่ใช้ในการวินิจฉัยด้านสังคม ไดแ้ ก่ ความยากจนขดั สน สถานะการว่างงาน สวัสดิการทางสงั คม ความสุข ความสำเรจ็ ความสะดวกสบายใน ชวี ิต การเกดิ อาชญากรรม การกอ่ จลาจล การเลือกต้ัง เป็นต้น นอกจากนี้ จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ (2560) ได้เพิ่มตัวชี้วัดในการวินิจฉัยสังคม ได้แก่ ความต้องการ ที่เกิดจากความคาดหวังของสมาชิกในชุมชน ปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม การให้คุณค่ากับปัญหาสาธารณสุข ในชุมชนและสังคม ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสขุ ภาพ ต้นทุนทางสังคม ความพร้อม และศักยภาพของชุมชนในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชน คุณภาพ ศักยภาพ และความร่วมมือของเครือข่าย ระบบบริการสุขภาพในชุมชน รวมถึงระดับการมีส่วนร่วมทุกรูปแบบของสมาชิกในชุมชนและสังคม ซึ่งการวินิจฉัยด้านสังคมมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้ทราบถึงคุณภาพชีวิตและปัจจัยทางสังคม ที่กำหนดคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชนและสังคม และทำให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างปัจจัย ทางสังคมและสถานะสุขภาพของสมาชิกในชุมชนและสังคม สามารถนำไปเป็นข้อมูลในการจัดกิจกรร มเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ สามารถทำโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการส่งเสริมสุขภาพได้เหมาะสม กับชุมชน และสังคมนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทำแผนที่เดินดิน การทำผังเครือญาติ ปฏิทินชุมชน การสำรวจ การสัมภาษณบ์ ุคคลสำคัญในชุมชน การศกึ ษาภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ และการสงั เกตอยา่ งมีสว่ นร่วม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 80 ขนั้ ตอนท่ี 2 การวินิจฉยั ดา้ นวิทยาการระบาด (Epidemiology Diagnosis) การวนิ จิ ฉยั ทางวิทยาการระบาด มวี ตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาสุขภาพในชุมชนและสังคมท่ีต้องการ ศึกษา ซ่ึงมีปัญหาจำนวนมากและมีความหลากหลาย รวมถึงความซับซ้อนของปัญหาที่แตกต่างกัน จึงต้องมี การพิจารณาข้อมูลด้านวิทยาการระบาด ประกอบด้วย อัตราป่วย อัตราตาย อัตราป่วยตาย ความพิการ การกระจายของโรค การสัมผัสปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เพื่อนำข้อมูลมาให้ในการจัดลำดับความสำคัญ ของปัญหา โดยพิจารณาจากขนาดและความรุนแรงของปัญหา ความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา และความ ต้องการของชุมชนในการแก้ไขปัญหา รวมถึงความเป็นไปได้ในแง่ของทรัพยากร ระยะเวลา เทคโนโลยี และศักยภาพของชุมชนที่ได้จากการวินิจฉัยทางสังคมในขั้นตอนแรกเพื่อวางแผนในการดำเนินงาน และกำหนดวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม โดยมีตัวชี้วัดความสำเร็จ กรอบระยะเวลาในการประเมินผล ซึ่งตัวชี้วัดนี้อาจตอบสนองต่อนโยบายของหน่วยงานสาธารณสุขในชุมชน หรืออาจตอบสนองความต้องการของชุมชนในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขใน พื้นที่ของตนเอง ตัวอย่างการดำเนินการวินิจฉัยทางวิทยาการระบาด ได้แก่ การสัมภาษณ์สมาชิกในชุมชน การทำประชาคม หมู่บ้าน การเก็บรวบรวมข้อมลู จากคนในชมุ ชน หรือการศึกษาจากข้อมูลสขุ ภาพจากสถานบรกิ ารสาธารณสุข ในชุมชน เช่น โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตำบล โรงพยาบาลชมุ ชน เปน็ ตน้ นอกจากนี้ การวินิจฉัยด้านวิทยาการระบาด ยังประกอบด้วยการประเมินด้านพฤติกรรม ท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะหป์ ัญหาสุขภาพทีพ่ บในขั้นตอนการวินจิ ฉัยด้านวิทยาการระบาดว่าปญั หาสุขภาพ ใดบ้างที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรม แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาสุขภาพในชุมชนมีจำนวนมากและมีความ หลากหลาย ซ่งึ อาจมีทงั้ ที่มสี าเหตมุ าจากพฤติกรรม หรือปจั จัยสง่ิ แวดล้อมอ่นื ๆ ในชุมชน หรืออาจมีปจั จัยรว่ ม ประกอบด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการพิจารณาสาเหตุอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย แต่ในขั้นตอนนี้จะเลือกพิจารณา จัดลำดับความสำคัญเฉพาะปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมเท่านั้น โดยพิจารณาว่าปัจจัย ด้านพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อมส่งผลต่อการเกิดปัญหาสุขภาพมากน้อยเพียงใด และความเป็นไปได้ ในการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ แล้วจึงวางแผนแก้ปญั หาโดยพิจารณาจากปัจจัยท่ีมโี อกาสแก้ไขสำเร็จได้ง่ายก่อน โดยต้องระบุตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม และมีกรอบระยะเวลาในการประเมินผลที่ชัดเจน ตัวอย่างการวินิจฉัยด้านพฤติกรรม เช่น การสัมภาษณ์สมาชิกในชุมชน การจัดกิจกรรมการสนทนากลุ่ม รว่ มกับการทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง หรือการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ ขน้ั ตอนที่ 3 การวินิจฉยั ดา้ นการศึกษา (Educational Diagnosis) การวินิจฉัยในขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสาเหตุของพฤติกรรม โดยการวิเคราะห์ สาเหตุ หรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อวางแผนและออกแบบกิจกรรมในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ท่ตี งั้ ไว้ ประกอบด้วย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 81 1. ปัจจยั นำ (Predisposing Factor) หมายถึง ปัจจัยภายในตัวบุคคล (Internal Factor) หรือปัจจัยพื้นฐานทีส่ ่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม ของบุคคล โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญคือเป็นปัจจัยภายในตัวบุคคล (Internal Factor) ซึ่งเป็นเรื่องของปัจเจก บุคคล (Individual) เป็นปัจจัยที่เกิดจากการเรียนรู้ทางปัญญา ได้แก่ ความรู้ การรับรู้ เจตคติ ทักษะ ส่วนบุคคล เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการทำพฤติกรรมสุขภาพอย่างมีเหตุผล แล้วจะนำไปสู่การแสดง พฤติกรรมอย่างถาวร และไม่ใชป่ ัจจยั ชข้ี าดในการแสดงพฤตกิ รรม ปจั จัยนำที่สำคญั ไดแ้ ก่ (ประไพจิตร ชมุ แวง วาปี, 2553) - ความรู้ เป็นปัจจัยนำที่สำคัญที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล แต่ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ เพยี งอย่างเดียวอาจไมไ่ ด้ทำใหบ้ คุ คลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมเสมอไป อาจตอ้ งมีปัจจัยอื่น ๆ รว่ มดว้ ย - การรับรู้ หมายถึง ความเชื่อ ความรู้สึก การคาดคะเนของบุคคลที่ได้รับสิ่งเร้าต่าง ๆ แล้วตอบสนอง ออกมา ซง่ึ เป็นการประเมนิ ร่วมกันระหวา่ งความคิดและประสบการณ์เดมิ ทม่ี ีอยขู่ องแตล่ ะบุคคล - ความเชื่อ หมายถึง ความรู้สึก ทัศนคติ ความมั่นใจ การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่เป็นความจริง โดยอาศยั ประสบการณ์ตรง การไตร่ตรองของบุคคล - ค่านิยม หมายถึง กระแสความนิยมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีการให้ความสำคัญหรือความพึงพอใจ ต่อสิ่งต่าง ๆ ซ่ึงส่งผลต่อความคิดและการกระทำ และเป็นสง่ิ ทีค่ นในสังคมน้นั ยดึ ถอื ปฏิบัตติ ่อ ๆ กนั มา - ทัศนคติ หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นที่บุคคลมีต่อส่ิงต่าง ๆ โดยมีเหตุผลประกอบ ซึ่งความรู้สึก ดงั กล่าวนม้ี ผี ลตอ่ การแสดงพฤตกิ รรม นอกจากน้ี ปัจจัยนำยังรวมถึงปัจจัยด้านประชากร ได้แก่ อายุ เพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมทม่ี ีความแตกตา่ งกนั ของแต่ละบคุ คลอีกด้วย 2. ปจั จยั เสริม (Reinforcing Factor) หมายถึง ปัจจัยภายนอกทางสังคม (External Factor) ที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุน หรือยับยั้งการแสดง พฤติกรรมสุขภาพของบุคคล ซึ่งเป็นการตอบสนองจากบุคคลรอบข้าง ได้แก่ บุคคลในครอบครัว ญาติสนิท เพื่อนสนิท สมาชิกในชมรมหรือสมาคม เพื่อนบ้าน บุคลากรสาธารณสุข หรือบุคคลอื่นที่ได้ติดต่อ หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ปัจจัยเสริมมีทั้งในเชิงบวก ได้แก่ การยกย่อง ชมเชย การให้กำลังใจ การยกให้เป็นแบบอย่างที่ดี การให้รางวัล ที่จะส่งเสริมให้บุคคลมีการแสดงพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ และปัจจัยเสริมในเชิงลบ ได้แก่ การตำหนิ การลงโทษ จะส่งผลให้บุคคลหยุดหรือหลีกเลี่ยง การแสดงพฤติกรรม นอกจากนี้ ปัจจัยเสริมยังรวมถึงการได้รับข้อมูลข่าวสาร การได้รับการกระตุ้นเตือน และการไดร้ ับคำแนะนำ ดังนัน้ การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสรมิ สขุ ภาพประชาชนในชมุ ชนจะต้องพิจารณาถึงปัจจัย เสริมท่จี ะทำให้บคุ คลมีการแสดงพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ดว้ ย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 82 3. ปจั จยั เอ้ือ (Enabling Factor) หมายถึง ปัจจัยภายนอก (External Factor) ที่เอื้อให้บุคคลแสดงพฤติกรรมหรือเกิดการปรับเปลี่ยน พฤติกรรม โดยมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ เป็นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่เป็นทรัพยากร สิ่งของ หรือสิ่งอำนวย ความสะดวกในการแสดงพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รวมถึงบริการด้านการแพทย์และสาธาร ณสุข และเป็นปัจจัยที่มีความจำเป็นในการแสดงพฤติกรรมสุขภาพ และต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงได้ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย มีปริมาณเพียงพอ รวมถึงทักษะส่วนบุคคลที่สามารถแสดง พฤตกิ รรมต่าง ๆ ได้ เช่น การเขา้ ถึงบริการสุขภาพในสถานบริการสุขภาพในชุมชนที่มีประสิทธิภาพ มีปริมาณ เพียงพอ และมีบริการสุขภาพที่ครอบคลุม หรือการมีสถานที่และอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกาย ที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการของสมาชิกในชุมชน นอกจากนี้ ปัจจัยเอื้อยังรวมถึงนโยบาย หรอื กฎระเบยี บ และข้อบังคับในชมุ ชนและสังคมน้ัน ๆ ด้วย เม่ือได้มีการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุการแสดงพฤติกรรมของบุคคลทั้งปัจจัยนำ ปัจจัย เสริม และปัจจัยเอื้อแล้ว ในการจัดทำกิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพหรือการส่งเสริม สุขภาพจะต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งสามนี้แล้ววางแผนการดำเนินการให้ครอบคลุมทุกปัจจัย โดยพิจารณา จากการจัดลำดับความสำคัญ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา และความต้องการของชุมชนในการแก้ปัญหา เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ จะทำให้สามารถวางแผน และทำกิจกรรมแก้ปัญหาสุขภาพหรือส่งเสริม สุขภาพในชมุ ชนไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ขนั้ ตอนที่ 4 การวเิ คราะห์เลอื กวิธีการทางการศึกษา (Selection of Education Strategies) เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมสุขภาพแล้ว จะนำมาวางแผนในการกำหนด วิธีการที่เหมาะสม โดยการวิเคราะห์นโยบาย ทรัพยากรในชุมชน และสถานการณ์ที่จะส่งผลต่อการบรรลุ วัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรม และสอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงาน รวมถึงความต้องการของสมาชิก ในชุมชนและสังคม รวมถึงการวิเคราะห์ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น การขาดแคลน งบประมาณ กำลังคน ทรัพยากร หรือข้อจำกัดด้านระยะเวลา เมื่อประเมินสิ่งเหล่านี้แล้วค่อยนำมาวางแผน และกำหนดวธิ กี ารจัดกจิ กรรมเพ่ือปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพหรอื สง่ เสริมสุขภาพของคนในชุมชน PROCEDE model Green และ Krueter (1991) ได้ตงั้ ชื่อมาจากตวั ยอ่ ของคำว่า P คอื Policy (นโยบาย) R คือ Regulatory (กฎระเบยี บ ข้อบงั คบั ) O คือ Organization (องค์กร) C คอื Constructs (กระบวนการ) E คอื Educational (การศึกษา)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 83 E คือ Environment (สภาพแวดลอ้ ม) D คอื Development (การพัฒนา) หมายถึง นโยบาย กฎระเบียบ และโครงสร้างขององค์กร ในการพัฒนาการการศึกษา และสภาพแวดลอ้ ม ประกอบด้วย 3 ข้นั ตอน คอื ข้ันตอนที่ 5 การดำเนินงานตามแผน (Implementation) เป็นการดำเนินงานตามแผนงานโครงการหรือกิจกรรมเพื่อปรับเปลีย่ นพฤติกรรมสุขภาพหรือส่งเสรมิ สุขภาพประชาชนในชุมชนตามที่วางแผนไว้ ประกอบด้วยการบริหารจัดการ การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายโดยให้ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกนั เพอื่ ให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ท่ตี งั้ ไว้ ข้นั ตอนท่ี 6 การประเมนิ ผลการดำเนนิ งาน (Process evaluation) ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินที่เกิดจากการดำเนินงานจากกิจกรรมหรือกระบวนการว่าสามารถบรรลุ วัตถปุ ระสงคท์ ่ีต้ังไวห้ รือไม่ และตรงตามช่วงเวลาทีว่ างแผนไว้หรือไม่ รวมถงึ ประเมนิ ผลด้านการบริหารจัดการ โดยการระบุปัญหาหรอื อุปสรรคทเี่ กิดในการดำเนนิ งาน ขนั้ ตอนท่ี 7 การประเมินผลกระทบจากการดำเนินงาน (Impact evaluation) ขั้นตอนการประเมินผลกระทบจากการดำเนินโครงการ โดยประเมินจากปัจจัยทั้ง 3 คือปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโครงการ ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดปจั จยั ที่อาจเปน็ อุปสรรคในการดำเนินงาน และส่งเสรมิ ใหโ้ ครงการประสบความสำเร็จตามวัตถปุ ระสงค์ ทีต่ งั้ ไว้ และเกิดผลในดา้ นบวกมากทส่ี ุด ขัน้ ตอนที่ 8 การประเมนิ ผลลัพธ์ (Outcome Evaluation) เป็นการประเมินการดำเนินโครงการในระยะยาวหรือผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดจากการดำเนินโครงการ และกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพหรือส่งเสริมสุขภาพของประชาชนกลุ่มเป้าหมายเมื่อสิ้นสุด โครงการ โดยม่งุ เน้นการประเมินสุขภาพและคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างงานวิจยั ทป่ี ระยกุ ตใ์ ช้กรอบแนวคดิ PRECEDE Framework ศิริวรรณ มุลิ (2563) ศึกษาปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การป้องกันการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่ งเสริมสุขภาพตำบลที่ติ ดต าม เยี่ยมผู้ป่วยวัณโรคที่บ้าน ในจังหวัดชลบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามที่มีการ ประยุกต์ใช้ PRECEDE Model ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมเกี่ยวกับการป้องกันโรค
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 84 ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมอยู่ในระดับมาก และมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถติ ิ และปัจจัยทงั้ สามนีส้ ามารถรว่ มกันทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคไดร้ ้อยละ 35.4 ปาหนัน พิชยภิญโญ และคณะ (2558) ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพและภาวะสุขภาพ ของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้กรอบแนวคิดแบบจำลอง การวางแผนสง่ เสรมิ สุขภาพ (PRECEDE-PROCEED Model) ศกึ ษาในกลมุ่ ตวั อย่างที่เป็นกลุ่มเส่ยี งของการเกิด โรคหัวใจและหลอดเลือดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จำนวน 566 คน โดยแบ่งเป็น กลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูง ผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่างกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำมีพฤติกรรม การรบั ประทานยาและการตรวจตามนดั เหมาะสมกวา่ ผปู้ ว่ ยกลุ่มเสีย่ งสูง และผลการศกึ ษาพบว่าปัจจยั การรับรู้ ความสามารถของตนเองในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด การรับรู้อุปสรรคการในการปฏิบัติตน ในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและแรงสนับสนุนทางสังคมสามารถร่วมกัน ทำนายพฤติกรรมสุขภาพ ของกลุ่มตวั อย่างไดป้ ระมาณรอ้ ยละ 19 Farbod Ebadifard Azar (2018) ศึกษาผลของการใช้แบบจำลอง PRECEDE-PROCEED ร่วมกับ ทฤษฎกี ารจัดการตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ปว่ ยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยแบง่ ออกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีคะแนนเฉลี่ยของความรู้ เจตคติ การรับรู้ ความสามารถของตนเอง (p = 0.001) และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง (p = 0.001) รวมถึงปัจจัย ที่เอื้อ และปัจจัยเสริมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีคะแนนเฉลี่ยก่อน และหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) นอกจากนี้ หนึ่งเดือนหลังการทดลอง คะแนนเฉลย่ี ของทัศนคติ การรบั รคู้ วามสามารถของตนเอง การดแู ลตนเอง และปจั จยั เสริมแรงในกลุ่มทดลอง สงู ข้ึนอยา่ งมนี ยั สำคัญเม่อื เทยี บกับกลมุ่ ควบคุม Christine M Porter (2015) ได้ศึกษาและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ PRECEDE- PROCEED Model ผลการศึกษาพบว่าแบบจำลองดังกล่าวสามารถส่งเสริมการดำเนินงานสาธารณสุข เนื่องจากมีการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ อย่างเป็นองค์รวม ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานในปัจจุบันที่มุ่งเน้น การดำเนินงานในประชาชนส่วนใหญ่เป็นศูนย์กลางมากกว่าการเน้นที่ระดับบุคคล และมีการใช้หลัก ประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ของประชาชน โดยมีแนวทางการวิเคราะห์ วางแผน การดำเนินงาน กรอบระยะเวลา และการประเมินผล ทช่ี ดั เจน สรปุ กรอบแนวคดิ PRECEDE Framework กรอบแนวคิด PRECEDE Framework พัฒนาขึ้นโดย Green และ Kreuter และคณะ ในปี 1987 มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือใช้เป็นกรอบแนวคดิ ในกระบวนการวางแผนและประเมินผลการให้สุขศึกษาอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพแบบสหปัจจัย (Multiple Causality Assumption)
85 โดยสมมตฐิ านวา่ พฤติกรรมของบคุ คลมีสาเหตมุ าทั้งปัจจยั ภายในและปัจจัยภายนอก ประกอบดว้ ย PRECEDE Model คือกระบวนการใช้ปัจจัยนำ ปัจจัยเสริม และปัจจัยเอื้อ ในการวินิจฉัยและการประเมินผลแผนงาน หรือโครงการเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นที่การวิเคราะห์ปัจจัยสาเหตุ ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ การวางแผนในการดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพ ประกอบด้วย ปัจจัยนำ ปัจจัยเสริม และปัจจัยเอื้อ และ PROCEED Model หมายถึง นโยบาย กฎระเบียบ และโครงสร้างขององค์กร ในการพัฒนาการการศึกษาและสภาพแวดล้อม ดังนั้น ในการวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมจะต้องวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญทีม่ ีผลต่อพฤติกรรมนั้น ๆ แล้วจึงดำเนินการหลาย ๆ ด้านประกอบกนั รวมถงึ การประเมนิ ผลการดำเนินโครงการเพ่ือแกไ้ ขปญั หาสุขภาพในระดบั บุคคล และในระดับชมุ ชนและสังคม ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 86 2. แบบแผนองคก์ รชุมชน (Community organization model) แบบแผนองค์กรชุมชน คือกระบวนที่ให้สมาชิกในชุมชนร่วมกันวิเคราะห์และระบุปัญหาสุขภาพ ในชุมชน หรือความต้องการ ความคาดหวังของชุมชน เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา ตั้งวัตถุประสงค์ร่วมกัน แล้วปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ และประเมินผล โดยมีการดำเนินการในกระบวนการเหล่านี้ร่วมกันเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งในการพัฒนาที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน สามารถจำแนกมุมมองออกเป็น 2 มิติ (จักรพนั ธ์ เพ็ชรภูมิ, 2560; Ericson, 2002) คอื มิติที่ 1 การจัดกระบวนการเพื่อพัฒนาศักยภาพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสรมิ สุขภาพประชาชนในชมุ ชน หรอื การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนกลุ่มเสี่ยง มิติที่ 2 การใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อเป็นทรัพยากรในการจัดกระบวนการเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุข ในชมุ ชน ซงึ่ ถอื เป็นต้นทนุ ทางสงั คม ในปัจจุบันการดำเนินงานด้านสาธารณสุขมุ่งเน้นความสำคัญในการวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพในระดับ ชมุ ชนมากข้นึ เพ่ือทำความเข้าใจสาเหตุของการเจ็บป่วย และการแสดงพฤติกรรมสุขภาพของสมาชิกในชุมชน ที่เป็นปัจจัยทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน ซึ่งชุมชน มีองคป์ ระกอบทีส่ ำคญั (จักรพนั ธ์ เพ็ชรภูมิ, 2560; พัชรินทร์ สิรสุนทร, 2554; สมใจ วินจิ กลุ , 2550) คือ 1) มกี ารกำหนดกฎระเบียบ ข้อตกลง หรอื รปู แบบการปฏิบัตริ ว่ มกัน และมีเทคนิคการควบคุมทางสังคม รวมถึงมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบแก่สมาชิกในชุมชนนั้น เพื่อดำเนินการให้บรรลุ เป้าหมายร่วมกนั 2) มีพื้นที่ที่สมาชิกในชุมชนถือครองเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรืออาจเป็นชุมชนที่ไร้พรหมแดนก็ได้ เช่น ชมรมหรือสมาคมทม่ี ารวมตัวกนั เฉพาะกิจ สมาชกิ ในเพจในโลกออนไลน์ท่ีมีความชอบหรือความสนใจ คลา้ ยคลึงกัน 3) สมาชิกในชุมชนมคี วามรสู้ กึ วา่ ตนเองเปน็ ส่วนหนง่ึ ในชุมชน 4) มีลกั ษณะเฉพาะร่วมกนั เช่น วิถีชีวิต วฒั นธรรม ประเพณี หรือศาสนา จากมุมมองและองค์ประกอบของชุมชนข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่ใช้ชุมชนเป็นฐานนั้น จำเป็นต้องใช้การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนในการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผน การจัดการแก้ไขปัญหา การดำเนินการ และการประเมินผลร่วมกัน เพื่อให้ตนเองรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ในการพัฒนาโดยใช้ชุมชนเป็นฐานให้ประสบความสำเร็จ สอดคล้องกับลักษณะของแบบแผนองค์กรชุมชน โดย Rothman (1995) ไดจ้ ำแนกลักษณะของแบบแผนองค์กรชมุ ชนได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การวางแผนรว่ มกันในชุมชน (Social planning) 2. การดำเนนิ การรว่ มกันของสมาชกิ ในชมุ ชน (Social action) 3. การร่วมกันพัฒนาชมุ ชน (Locality development) 4. การบรู ณาการรว่ มกับชมุ ชน (Community partnerships or coalitions)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 87 ข้นั ตอนที่ 1 การวางแผนร่วมกนั ในชมุ ชน (Social planning) ในขั้นตอนนี้สมาชิกในชุมชนร่วมกันระบุปัญหาในชุมชนทุกด้าน ทั้งปัญหาสุขภาพ ปัญหาด้านสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยวิเคราะห์ในเชิงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก รวมถึงการรวบรวมความต้องการหรือความคาดหวังด้านสุขภาพของสมาชิกในชุมชน และวิเคราะห์ทรัพยากรหรือภูมิปัญญาในชุมชน เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนเพื่อกำหนดเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ในการทำโครงการหรือกิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชน ซึ่งอาจมีการเชิญ ผทู้ รงคณุ วุฒิมาให้คำปรกึ ษาในการทำโครงการก็ได้ ในการวางแผนร่วมกันในชุมชน ประกอบด้วย การวิเคราะห์สาเหตุของพฤติกรรมที่เป็นปัญหา การกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นปัญหา มีการวิเคราะห์ อภิปราย เพื่อตัดสินใจ เลือกวิธีดำเนินงานร่วมกัน และมีการเป้าหมาย บทบาทหน้าที่รับผิดชอบแก่สมาชิกในชุมชน และผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย วางแผนการใช้ทรัพยากรที่มีในชุมชน รวมถึงการประเมินผล และการกำหนดกรอบระยะเวลา ในการดำเนินโครงการร่วมกัน โดยมีการแสดงความคิดเห็น การอภิปรายร่วมกัน เพื่อให้สมาชิกในชุมชน ไดม้ ีสว่ นรว่ มในกระบวนการน้ี ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการร่วมกันของสมาชกิ ในชุมชน (Social action) การดำเนินการร่วมกันของสมาชิกในชุมชน คือการลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงานที่วางไว้ ในขั้นตอนแรกโดยเน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชน เพื่อให้เกิดผลสำเร็จที่ส่งผลดีต่อชุมชนอย่าง เปน็ รูปธรรม ซ่ึงประกอบดว้ ย 2 แนวคิดสำคญั คือ 1) การเสริมพลังอำนาจของชุมชน (Community empowerment) หมายถงึ การทำให้สมาชกิ ในชุมชน รู้สึกตนเองมีความสามารถ ความเชื่อมั่น ในการจัดการกับทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน เพื่อให้เกิ ด การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถเสรมิ ได้จากการทีบ่ ุคคลได้รับแรงสนับสนนุ ทางสังคมจนทำให้เกดิ ความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถดำเนินหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนได้ และความเชื่อมั่นในทักษะ ของสมาชิกในชุมชนที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชนได้ด้วยตนเอง โดยมีปัจจัยสนับสนุน การเสริมสร้างพลงั อำนาจของชุมชน (จกั รพันธ์ เพช็ รภมู ิ และคณะ, 2558) ได้แก่ - สมาชิกในชุมชนมีปฏิสมั พันธ์ที่ดตี ่อกัน โดยมีความไว้วางใจ มีการช่วยเหลือกัน รวมถึงมีการสื่อสาร กันอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ - มีกระบวนการกลุ่มท่ีมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถวัดและประเมินได้จากการตั้งชุมชน ลักษณะ โครงสร้าง สภาพแวดล้อม กิจกรรมในชุมชน การกำหนดบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ การกำหนด กฎระเบียบร่วมกนั ในชมุ ชน - ศักยภาพของชุมชน โดยประเมินจากกิจกรรมหรือโครงการที่มีการต้ังวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน สมาชิก ในชุมชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มีกระบวนการทำงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 88 ที่มีประสิทธิภาพ มีการแสวงหาแหล่งทุนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการแบ่งผลประโยชน์ อยา่ งเปน็ ธรรมแกส่ มาชิกในชุมชน - ชุมชนมีการบริหารจัดการที่ดี ประเมินได้จากสมาชิกในชุมชนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกนั มกี ารรวบรวมองค์ความรู้ และมีการวางแผน การดำเนนิ งาน และประเมินผลเพ่ือแก้ไขปัญหา ในชุมชนของตนเองได้ 2) การตระหนักถึงปัญหาในชุมชนร่วมกัน (Critical consciousness) หมายถึง กระบวนการที่สมาชิก ในชุมชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และระบุปัญหา รวมถึงสาเหตุของการเกิดปัญหาในชุมชนร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงการเกิดความตระหนัก ความวิตกกังวลถึงปัญหาร่วมกัน ทำให้รู้สึกว่าตนเอง เป็นเจ้าของปัญหาซึ่งจะนำไปสกู่ ารแกไ้ ขปัญหารว่ มกัน ขน้ั ตอนท่ี 3 การร่วมกนั พัฒนาชุมชน (Locality development) เมื่อผ่านกระบวนการวิเคราะห์ชุมชน การวางแผนร่วมกันในชุมชน การเสริมพลังอำนาจ และการ ตระหนักถึงปัญหาในชุมชนร่วมกันแล้ว สมาชิกในชุมชนจะรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของปัญหา ได้รับผลกระทบ จากปัญหาในชุมชน และหากแก้ไขปัญหาได้จะส่งผลดีต่อตนเองด้วย ก็จะเกิดการร่วมมือกันในการพัฒนา ชุมชน ขั้นตอนท่ี 4 การบรู ณาการร่วมกบั ชมุ ชน (Community partnerships or coalitions) ขั้นตอนนี้คือการดำเนินงานโดยการรวมขั้นตอนการวางแผนร่วมกันในชุมชน การดำเนินการร่วมกัน ของสมาชิกในชุมชน และการร่วมกันพัฒนาชุมชนผสมผสานเข้าด้วยกัน เช่น การรวมองค์กระกอบ ของการวางแผนร่วมกันในชุมชนกับการร่วมกันพัฒนาชุมชน เช่น เมื่อเกิดปัญหาด้านสภาพแวดล้อมในชุมชน แล้วสมาชิกในชุมชนเกิดความตระหนักและการวิตกกังวลร่วมกัน ก็มาประชุมหรือประชาคมเพื่อระบุสาเหตุ ของปัญหา วิเคราะห์ปัญหา แล้วร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อม ในชมุ ชน ข้อจำกดั ของแบบแผนองคก์ รชมุ ชน เนื่องจากแผนแบบองค์กรชุมชน เป็นการจัดกระบวนการเพื่อพัฒนาศักยภาพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ สง่ เสริมสขุ ภาพประชาชนในชุมชน หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน กลุ่มเสี่ยงที่ถือเป็นทรัพยากรหรือต้นทุนทางสังคมที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ดังนั้น จะต้องพิจารณาคัดเลือกชุมชนที่สมาชิกในชุมชนมีความสัมพันธ์ดีที่ดีต่อกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาชุมชนได้ง่าย ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนได้ นอกจากนี้ แผนแบบ องค์กรชุมชนมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนในการร่วมกันดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นไปด้วย ความสมัครใจ ในบางกระบวนการอาจต้องใช้ระยะเวลานาน เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น ระยะเวลา ในการดำเนินการ จงึ อาจเปน็ ขอ้ จำกัดในการเลือกใชแ้ บบแผนองค์กรชมุ ชน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 89 ตวั อย่างงานวจิ ัยท่ปี ระยุกต์ใช้แบบจำลององคก์ รชมุ ชน (Community organization model) ยุทธนา หอมเกตุ (2560) ศกึ ษาความพร้อมของชมุ ชนในการประเมนิ ผลกระทบดา้ นสุขภาพโดยชุมชน เพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ กรณีศึกษาชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยที่กำลัง ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพร้อมของชุมชนในมิติด้านทุนชุมชน ระดับความพร้อมต่อการประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน และความพร้อมในการพัฒนาสู่นโยบาย สาธารณะเพื่อสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่าด้านความพร้อมด้านมิติทุนชุมชนมีการจัดตั้งกระบวนการกลุ่ม โดยมีแกนนำและสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรม มีการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ทั้งการระดมทุนในกลุ่มสมาชิก และหน่วยงานทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกรรม มีระดับความพร้อมของชุมชนตามกรอบการพัฒนาสู่นโยบาย สาธารณะเพื่อสุขภาพ พบว่าชุมชนมีมุมมองมิติสุขภาพ การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ และนโยบาย สาธารณะแบบแยกสว่ น และกลมุ่ แกนนำมจี ำนวนน้อยและการขับเคล่ือนค่อนข้างล่างชา้ ชุมชนมีความขัดแย้ง ในประเด็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจนนำไปสู่ความยากลำบากในการใช้เวทีสาธารณะเพื่อการเรียนรู้ ร่วมกนั ได้ จารุโส สุดคีรี (2558) ศึกษารูปแบบการพัฒนาองค์กรชุมชนแบบยั่งยืน โดยใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา การศึกษาถอดบทเรียนจากตัวแบบองค์กรชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรชุมชนแบบยั่งยืน ในพื้นที่ภาคใต้ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้นำ/แกนนำองค์กรชุมชน คณะกรรมการองค์กรชุมชน สมาชิกองค์กร ชุมชน และผู้เกี่ยวข้องในการจัดตั้งองค์กรชุมชน ดำเนินการศึกษาในชุมชนวัดป่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิจัยพบว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรชุมชนแบบยั่งยืน มีกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชน ทำให้เกิดจิตสำนึกและจิตวิญญาณชุมชน ในการผนึกกำลังกันแก้ปัญหาชุมชนที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและกลมกลืนกับวิถีชุมชน ซึ่งนำไปสู่ การดำเนนิ การแบบย่งั ยนื สุเทพ พลอยพลายแก้ว และคณะ (2556) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของชุมชน จังหวัดลพบุรี โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วมในการศึกษาและสงั เคราะห์ชุมชนท่ีประสบ ความสำเรจ็ แลว้ นำมาพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของชมุ ชน จากน้ันนำไปปรับใช้กับชุมชนทีต่ ้องการ พัฒนาในอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาสุขภาพตนเองเองของชุมชน ผลการวิจัย พบว่าองค์ประกอบที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาการดูแลสุขภาพตนเองของชุมชน จังหวัดลพบุรี ได้แก่ สมาชิกในชุมชน สิ่งแวดล้อม วัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา กลวิธีหรือวิธีการพัฒนา กระบวนการพัฒนาชุมชน การสนับสนุนช่วยเหลือจากรัฐบาลและภาคเอกชน การบริหารและการจัดการ และนักพัฒนาชุมชน โดยใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาการดูแลสุขภาพตนเองของชุมชน จังหวัดลพบุรี ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขแกนนำชุมชน และเครือข่ายพัฒนาสุขภาพ ยุทธศาสตร์การมสี ว่ นรว่ มของชุมชน และยทุ ธศาสตร์การพัฒนาการจัดการสขุ ภาพของชุมชน
90 เรมวล นันท์ศุภวัฒน์ และคณะ (2555) ศึกษาการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนตำบลไชยสถาน เป็นการวิจัยถอดบทเรียนและการวิจัยตามกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นท่ี เพือ่ พัฒนาระบบสุขภาพตำบลที่มีเป้าหมายรว่ มกนั ในการพึ่งตนเองด้านการดูแลสุขภาพของชมุ ชน ผลการวิจัย พบว่าโครงสร้างหลักของตำบลมีทุนทางสังคม ได้แก่ บุคคลสำคัญ แกนนำ คนเก่ง อาสาสมัคร มีระบบ การเข้าถึงข้อมูลของชุมชนในการสื่อสาร และมีปัญหาสุขภาพ คือการดูแลสุขภาพและการเข้าถึงบริการ โรคเรื้อรังการจัดการระบบสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการใช้สารเคมี การจัดการขยะ และมีการจัดการปัญหา ของชมุ ชนโดยการมสี ว่ นรว่ มของทุกภาคสว่ น รว่ มกันปรกึ ษา กำหนดบทบาทหน้าที่และวธิ กี าร ตลอดจนปัจจัย งบประมาณเพื่อจัดการปัญหาร่วมกัน โดยมีแนวคิดชุมชนร่วมคิด ชุมชนร่วมทำ ชุมชนร่วมประเมินผล และรับผลงานรว่ มกัน Lauren Gibson (2021) ศึกษาแนวทางปฏิบัติในการดูแลป้องกันเพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมสุขภาพ ของผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิต: โดยประยุกต์ใช้แบบจำลององค์กรจัดการชุมชน ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศ ออสเตรเลีย ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตมีอายุขัยเฉลี่ยลดลงประมาณ 10 ปี เมื่อเทียบ กับประชากรทั่วไป สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากโรคเรื้อรังทางร่างกายและอัตราการสูบบุหรี่ที่สูงขึ้น โภชนาการที่ไม่ดี การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การขาดกิจกรรมทางกาย และพฤติกรรมการนอนหลับ จ า ก ก า ร ป ร ะ ย ุ ก ต ์ ใ ช้ แ บ บ จ ำ ล อ ง อ ง ค ์ ก ร ช ุ ม ช น ใ น ก า ร ด ู แ ล พ ฤ ต ิ ก ร ร ม ส ุ ข ภ า พ ข อ ง ผ ู ้ ม ี ป ั ญ ห า ท า ง จิ ต โดยการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย และองค์กรที่จัดการโดยชุมชน มีส่วนร่วมในการให้การดูแลผู้มปี ัญหาทางจิตส่งผลดีต่อผู้ป่วย แต่มีบางพฤติกรรมการที่ต้องมีการวิจัยเพิ่มเตมิ โดยผู้มีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในองค์กรทจี่ ดั การโดยชมุ ชน สรปุ แบบแผนองค์กรชมุ ชน แบบแผนองค์กรชุมชน คือการจัดกระบวนการเพื่อพัฒนาศักยภาพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาในชุมชนที่เน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนร่วมกันวิเคราะห์ และระบุปัญหาสุขภาพในชุมชน ความต้องการหรือความคาดหวัง และทรัพยากรหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นใน ชุมชน เพื่อวิเคราะห์ชุมชน วางแผนแก้ไขปัญหา ตั้งวัตถุประสงค์ร่วมกัน แบ่งบทบาทหน้าท่ี แล้วปฏิบัติตาม แผนที่วางไว้ และประเมินผล โดย Rothman (1995) ได้จำแนกลักษณะของแบบแผนองค์กรชุมชนได้ เปน็ 4 ขน้ั ตอน คือ การวางแผนรว่ มกันในชมุ ชน การดำเนินการรว่ มกันของสมาชกิ ในชมุ ชน การรว่ มกนั พัฒนา ชมุ ชน และสดุ ทา้ ยคอื การบูรณาการร่วมกับชมุ ชน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 91 3. ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรม (Diffusion of innovation theory) ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรมพฒั นาขึ้นในปี ค.ศ. 1962 โดย E.M. Roger แนวคดิ ท่สี ำคญั ของทฤษฎีนี้ คือการยอมรับสิ่งใหม่ ความคิดใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นประโยชน์ แล้วมีการถ่ายทอดไปสู่สาธารณะ ซ่ึงจะเกิดการกระจายอยา่ งรวดเร็วในองค์กร ชมุ ชน หรอื สังคมตา่ ง ๆ ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรม ประกอบดว้ ย 4 องค์ประกอบทีส่ ำคัญ คือ (บุญยง เก่ยี วการคา้ , 2561) 1. ตัวนวตั กรรม (Innovation) หมายถึง ความคิด แนวทางการปฏิบัติ สิ่งของ หรือเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการนำวัตกรรมมาใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุขจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ หรือกระบวนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ช่วยให้เกิด ความปลอดภัยทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้รับบริการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด ตัวอย่างนวัตกรรม เชน่ การใชโ้ ดรนขนส่งอปุ กรณท์ างการแพทย์ท่ีจำเป็นในการตรวจรกั ษาผปู้ ว่ ยโรค COVID-19 โดยการบินโดรน ไปยังจุดหมายแล้วปล่อยร่มชูชีพพร้อมอุปกรณ์ลงไปยังพื้นที่ปฏิบัติงานซึ่งเป็นการขนส่งที่ปราศจากการสัมผัส การใช้แอพลิเคชันสำหรับคำนวณแคลอรีเพื่อควบคุมการรับประทานอาหารในสมาร์ทโฟน การใช้ระบบ AI เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบสัญญาณชีพของผู้ป่วย นวัตกรรมเครื่องออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ หรอื นวตั กรรมส่งเสรมิ สุขภาพกลมุ่ วัยโดยใชภ้ ูมิปัญญาและวฒั นธรรมท้องถน่ิ ตำบลนครไทยที่มีการนำประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ โดยการปรับเนื้อเพลงเป็นโอกาสและความรุนแรง ของการเกิดโรคเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเตือนและการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นนวัตกรรม ทมี่ กี ารผสมผสานกับภมู ิปญั ญาในทอ้ งถน่ิ (กัญญาณฐั ทบั แปลง, 2560) 2. ชอ่ งทางในการสื่อสาร (Communication channels) หมายถึงช่องทางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลข่าวสาร หรือนวัตกรรมใหม่จากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลอื่น ๆ เชน่ การเผยแพร่ผ่านทางการตีพมิ พ์ในวารสารวชิ าการ การเผยแพรผ่ า่ นทางส่อื ออนไลน์ การศึกษาดงู าน 3. ระยะเวลา (Time) หมายถึง ระยะเวลาที่บุคคลที่รับนวัตกรรมใหม่ใช้ในกระบวนการตัดสินใจยอมรับนวัตกรรมนั้น ซึ่งระยะเวลาขึ้นอยู่กับตัวนวัตกรรม ปัจจัยส่วนบุคคล และความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมนั้น โดยปัจจัยที่ สง่ ผลตอ่ ระยะเวลาในการยอมรับนวัตกรรม ไดแ้ ก่ 1) ผลประโยชน์ (Relative advantage) หมายถึง ความคิด สิ่งของ โปรแกรม หรือเทคโนโลยี ทเ่ี ปน็ นวตั กรรมทเ่ี กิดขึ้นใหม่น้นั ตอ้ งดกี วา่ เปน็ ประโยชน์ คมุ้ คา่ กวา่ สิง่ เดมิ 2) ความเหมาะสม (Compatibility) หมายถึง นวัตกรรมนั้นต้องสอดคล้องกับความต้องการ ประสบการณ์ และค่านยิ มของผู้ใช้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 92 3) ความซับซ้อนของนวัตกรรม (Complexity) หมายถึง นวัตกรรมใหม่ที่นำมาใช้มีความยุ่งยาก ซบั ซ้อนในการใช้งานหรอื ไม่ 4) การผ่านการทดสอบ (Trainability) หมายถึง นวัตกรรมนี้สามารถนำไปทดสอบหรือทดลอง ก่อนใช้ เพ่ือใหเ้ กดิ การยอมรับและตัดสนิ ใจใช้ได้ 5) สามารถสังเกตได้ (Observability) หมายถึง นวัตกรรมนี้มีขอบเขตและผลการใช้งานที่สามารถ พสิ ูจนไ์ ดแ้ ละเปน็ รูปธรรม 4. ระบบในสงั คม (Social system) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มบุคคล หรือหน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม ที่มีเครือข่ายร่วมกัน และมีการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน ซึ่งอาจมีความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมเดียวกันนี้ โดยทฤษฎนี ี้ไดจ้ ำแนกกลุ่มคนทย่ี อมรบั การกระจายนวตั กรรม ได้แก่ 1) กลุ่มนักประดิษฐ์ (Inverter) คือคนกลุ่มแรกในสังคมที่มักชอบคิดค้นสิ่งใหม่ ทั้งแนวความคิด สิ่งของ สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี แล้วนำมาเผยแพร่ให้ต่อสาธารณะ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ อย่างกว้างขวาง 2) กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบสิ่งใหม่ ๆ (Early adopter) เป็นกลุ่มคนในสังคมที่ชอบลองสิ่งใหม่ ซึ่งส่วนมาก จะมีฐานะดี เป็นบคุ คลลท่ีมีชอ่ื เสียงในสังคม หรอื เป็นนักวิชาการ 3) กลุ่มคนที่จำเป็นต้องมี (Late majority) คือกลุ่มคนที่จำเป็นจะต้องใช้งานจริง ๆ จึงจะตัดสินใจ ยอมรับแล้วใชน้ วัตกรรมใหม่ 4) กลุ่มที่ไตร่ตรองดีแล้ว (Early majority) คือกลุ่มคนที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลดี และผลเสีย ความจำเป็น ก่อนจะตัดสินใจยอมรับและใช้นวัตกรรม โดยให้ความสำคัญ กบั ประโยชนข์ องนวตั กรรม 5) กลุ่มที่ใช้ตามคนรอบข้าง (Laggards) คือกลุ่มคนที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้นวัตกรรม แต่เห็นคนรอบข้างใช้ หรือคนรอบข้างชักชวนให้ใช้จึงต้องการใช้บ้าง มักเป็นกลุ่มสุดท้ าย ทีจ่ ะยอมรบั และตัดสนิ ใจใชน้ วตั กรรม ในการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุข หรือเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ สุขภาพ ตามทฤษฎีนจี้ ะประกอบดว้ ย 2 ขัน้ ตอน คอื 1. กระบวนการยอมรบั นวตั กรรม (Adoption process) ประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอนหลัก ได้แก่ 1) ขั้นเกิดความตระหนัก (Awareness) เป็นขั้นแรกที่บุคคลการเกิดตระหนักหรือตื่นตัว แล้วส่งผล ใหเ้ กดิ การยอมรับหรอื ปฏิเสธนวตั กรรมใหม่ ซึง่ ขน้ั ตอนน้ีมักเกดิ จากความบังเอิญ และยังได้ข้อมูล ไมค่ รบถ้วนจึงต้องการศึกษาต่อไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 93 2) ขั้นให้ความสนใจ (Interest) เป็นขั้นที่สืบเนื่องมาจากขั้นเกิดความตระหนัก แล้วเริ่มสนใจศึกษา ข้อมลู เก่ียวกับนวตั กรรมใหม่ 3) ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นขั้นประเมินค่าของนวัตกรรมใหม่ โดยการพิจารณาจากข้อมูล ที่ศึกษาแล้วประเมินประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับจากนวัตกรรมนั้น มีการเปรียบเทียบผลดีและ ผลเสีย หากประเมินแลว้ ว่าผลดมี ากกวา่ ผลเสยี กจ็ ะเกดิ การยอมรับนวัตกรรมเบอื้ งต้น 4) ขั้นทดลอง (Trial) คือขั้นการนำนวัตกรรมใหม่มาทดลองใช้ในสถานการณ์หรือบริบทจริง หรือบริบทท่ีตนเองสนใจ เพื่อพิสูจน์เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่านวัตกรรมใหม่มีประโยชน์ และมีข้อดีมากกว่าสงิ่ เดิม 5) ขั้นยอมรับ (Adoption) เป็นขั้นที่บุคคลมั่นใจว่านวัตกรรมใหม่มีประโยชน์ตามที่ต้องการ แลว้ จึงยอมรบั ความคิด สิง่ ของ โปรแกรม หรือเทคโนโลยใี หมน่ น้ั 2. กระบวนการตดั สินใจใช้นวัตกรรม (Innovation decision process) ประกอบด้วย 5 ข้นั ตอนหลัก ได้แก่ 1) ขนั้ หาความรู้ (Knowledge) เปน็ ข้นั ท่บี ุคคลได้รับรู้ และสมั ผัสกับนวัตกรรม แต่ยังไม่ทราบข้อมูล จึงไม่มีแรงจงู ใจในการตัดสนิ ใจใช้นวัตกรรม จงึ ต้องศึกษาข้อมลู เพ่ิมเตมิ 2) ขั้นโน้มนา้ ว (Persuasion) เป็นขั้นที่บุคคลเริม่ หารายละเอยี ดของขอ้ มูลเก่ียวกับความคิด สิ่งของ โปรแกรม หรือเทคโนโลยีใหมอ่ ย่างจริงจัง 3) ขั้นตัดสินใจ (Decision) เป็นขั้นที่บุคคลยอมรับการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับผลประโยชน์หรือ เสียประโยชน์จากนวตั กรรมใหม่นี้ 4) ขั้นนำไปใช้จริง (Implementation) เป็นขั้นที่บุคคลมีการนำยอมรับ ตัดสินใจ แล้วนำนวัตกรรม ไปใช้ในสถานการณ์หรือบริบทต่าง ๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีการตัดสินประโยชน์ของนวัตกรรม เพิม่ ข้ึนจากการใชจ้ รงิ 5) ขั้นยืนยัน (Confirm) เป็นขั้นตอนที่บุคคลตัดสินใจใช้นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะพิจารณา ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกทีช่ ่วยยืนยันการตดั สนิ ใจใชน้ วตั กรรม ขอ้ จำกดั ของทฤษฎีการกระจายนวตั กรรม ทฤษฎีการกระจายนวัตกรรมยังคงมีข้อจำกัด เนื่องจากทฤษฎีนี้ไม่ได้เริ่มจากงานด้านสาธารณสุข เป็นเพียงการประยุกต์ใชใ้ นบริบททางการแพทย์และการสาธารณสุข จึงไมส่ ามารถใช้กบั โครงการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมหรือการสง่ เสรมิ สุขภาพได้ทุกโครงการ สามารถใช้ได้ดีกับพฤตกิ รรมทวั่ ไป มากกวา่ พฤตกิ รรมการลด ละ เลิก หรือการป้องกันโรค และในทฤษฎีการกระจายนวัตกรรมนี้ ไม่ได้รวมปัจเจกบุคคล และแรงสนับสนุน ทางสงั คมท่ที ำให้เกดิ การยอมรบั นวัตกรรมใหม่ (บญุ ยง เกยี่ วการค้า, 2561)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 94 ตวั อยา่ งงานวิจยั ทม่ี ีการประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรม วันเพ็ญ ผลิศร และ นีสวีสน์ ดิษฐสวรรค์ (2562) ศึกษาการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับส่งเสริม ผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อสุขภาพของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพบ้านหนองคุ้ มจังหวัดสุพรรณบุรี ผลการศึกษาพบว่าสมาชิกกลุ่มทุกคนเข้าใจหลักการการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ข้าวสามารถใช้งานระบบฯ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และเมื่อมกี ารใช้งานเทคโนโลยีท่ีถา่ ยทอดอย่างตอ่ เนื่องเป็นเวลา 3 เดอื น พบว่าปริมาณการขาย ผลติ ภณั ฑ์ขา้ วเพื่อสขุ ภาพเพิม่ ขึ้น และมีผลการประเมินความพงึ พอใจของผู้ใช้งานระบบฯ ในระดบั มาก ณิชาพร ศรีนวล และคณิต เขียววิชัย (2562) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการจัดการตนเอง ด้านนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานการจัดการตนเอง ดา้ นนวัตกรรมสุขภาพ วิธปี ฏิบตั ทิ เ่ี ปน็ เลิศ (Best Practice) และปัจจัยหรอื เง่ือนไขความสำเร็จของการจัดการ ตนเองด้านนวัตกรรมสุขภาพ และการพัฒนารูปแบบการจัดการตนเองด้านนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของชุมชน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ผลการวิจัยพบว่านวัตกรรมสุขภาพส่วนใหญ่ เกิดจากแกนนำชมุ ชนหรือปราชญ์ชาวบา้ นนำภูมปิ ัญญาท้องถิ่นและความตอ้ งการของชุมชนมาใช้ในการแกไ้ ข ปัญหาสุขภาพในชุมชน โดยมีภาคีเครือข่ายคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับองค์กรบริการด้านสุขภาพ มีการบริหารในรูปแบบคณะกรรมการ และมีมาตรการทางสังคมเป็นแนวปฏิบัติ โดยรูปแบบของการจัดการ ตนเองด้านนวัตกรรมสุขภาพมี 4 ขั้นตอน คือการค้นหาและพัฒนาศักยภาพตนเอง การสร้างพลังเครือข่าย สังคม การขบั เคล่ือนในชมุ ชน และการบรู ณาการเพ่ือความเข้มแขง็ Diane Dolezel (2019) ศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในการดูแลสุขภาพ: โดยใช้ทฤษฎี การกระจายนวัตกรรม ผลการศึกษาพบว่าเกิดปัญหาขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ขนาดใหญ่ในสถานพยาบาล จึงเกิดการศึกษาแบบสำรวจโดยใช้เครื่องมือคือฐานข้อมูลและการใช้เทคโนโลยี เข้ามาช่วยตรวจสอบช่องว่างระหว่างอุปทานและความต้องการของนักวิทยาศาสตร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล โดยทฤษฎีการกระจายของนวัตกรรม เพ่ือเร่งการแพร่กระจายความรู้ และแนะนำการใช้แบบจำลองการสร้าง หลักสูตร สำหรับการศึกษานี้ ผลลัพธ์ให้ข้อมูลเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับเครื่องมือคือฐานข้อมูลขนาดใหญ่และทักษะ ด้านเทคโนโลยที ีใ่ ชใ้ นสถานทีท่ ำงาน ซ่งึ ข้อมูลเหลา่ นี้เป็นประโยชน์สำหรบั องค์กรดา้ นการดูแลสุขภาพ Rod Ward (2013) ศกึ ษาการประยุกต์ใช้การยอมรับเทคโนโลยีและการเผยแพร่นวตั กรรมในรูปแบบ สารสนเทศด้านการดูแลสุขภาพ ผลการศึกษาพบว่าจากการนำรูปแบบการยอมรับเทคโนโลยีที่พัฒนาข้ึน ก่อนหน้านี้ และทฤษฎีการการะจายนวัตกรรมมาใช้ ทำให้ทราบว่าแบบจำลองมีจุดอ่อนในการทำนาย พฤติกรรมของบุคคลและองค์กร คือมีข้อจำกัดในทางการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขอบเขตด้านสุขภาพ ที่ซับซ้อน และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแบบจำลองที่ใช้เหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาและนวัตกรรม สารสนเทศดา้ นสุขภาพ โดยจำเป็นตอ้ งได้รับการพฒั นากลยทุ ธ์จากองคก์ ร สรปุ ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรม ทฤษฎกี ารกระจายนวัตกรรมพัฒนาขน้ึ ในปี ค.ศ. 1962 โดย E.M. Roger แนวคดิ ทสี่ ำคัญของทฤษฎีน้ี คือการยอมรับสิ่งใหม่ ความคิดใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นประโยชน์ แล้วมีการถ่ายทอดไปสู่สาธารณะ
95 ซ่ึงจะเกิดการกระจายอย่างรวดเร็วในองค์กร ชุมชน หรือสังคมต่าง ๆ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ นวตั กรรม ช่องทางในการส่ือสาร ระยะเวลา และระบบในสงั คม ในการนำนวตั กรรมต่าง ๆ มาใช้เพ่ือแก้ไข ปัญหาสาธารณสุข หรือเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพสุขภาพ ประกอบด้วย กระบวนการยอมรับนวัตกรรม และกระบวนการตัดสินใจใช้นวัตกรรม ทฤษฎีการกระจายนวัตกรรมยังคงมีข้อจำกัด เนื่องจากทฤษฎีนี้ไม่ได้ เริ่มจากงานด้านสาธารณสุข เป็นเพียงการประยุกต์ใช้ในบริบททางการแพทย์และการสาธารณสุข จึงไม่สามารถใช้กับโครงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการส่งเสริมสุขภาพได้ทุกโครงการ สามารถใช้ได้ดี กับพฤตกิ รรมทว่ั ไป มากกวา่ พฤตกิ รรมการลด ละ เลิก หรอื การป้องกนั โรค มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138