มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาวะผูน ําของผบู รหิ ารทส่ี งผลตอ ประสทิ ธิผลการบรหิ ารงานของโรงเรยี น ขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กดั สาํ นกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา ประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2 วิทยานพิ นธ ของ จติ ราวดี วังกานนท เสนอตอ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู า นจอมบงึ เพอื่ เปน สวนหน่งึ ของการศึกษา ตามหลกั สตู รครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา ธันวาคม 2564 ลิขสทิ ธ์เิ ปนของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมูบา นจอมบึง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงภาวะผูน ําของผูบรหิ ารทสี่ งผลตอ ประสิทธผิ ลการบรหิ ารงานของโรงเรยี น ขยายโอกาสทางการศกึ ษา สงั กดั สํานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษา ประถมราชบรุ ี เขต 2 วิทยานพิ นธ ของ จิตราวดี วงั กานนท เสนอตอ บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมูบา นจอมบึงเพอื่ เปน สว นหนงึ่ ของการศึกษา ตามหลักสตู รครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา ธนั วาคม 2564 ลิขสทิ ธิ์เปนของมหาวทิ ยาลัยราชภัฏหมบู า นจอมบึง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงLEADERSHIP OF ADMINISTRATORS AFFECTING EFFECTIVENESS OF SCHOOL ADMINISTRATION IN OPPORTUNITY EXPANSION SCHOOLS UNDER RATCHABURI PRIMARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE 2 THESIS BY JITTRAWADEE WANGKANON Presented in partial fulfillment of the requirements for the Master of Education Program in Educational Administration December 2021 Copyright by Muban Chom Bueng Rajabhat University
ประกาศคุณูปการ วทิ ยานพิ นธฉบบั นี้ สาํ เรจ็ ลลุ วงไดดว ยความกรณุ าจาก ผชู ว ยศาสตราจารย ดร. พรศักดิ์ สุจริตรักษ อาจารยที่ปรกึ ษาวิทยานพิ นธ ไดกรณุ าใหค าํ ปรึกษาตลอดจนขอเสนอแนะและตรวจแกไขขอบกพรอง ตาง ๆ ผวู จิ ยั รูสกึ ซาบซ้งึ และขอกราบขอบพระคุณเปนอยางสูงไว ณ ท่ีนี้ ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารยยนต ชุมจิต ขาราชการบํานาญ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมูบ า นจอมบึง ทใ่ี หความเมตตาชว ยตรวจสอบแกไ ขขอบกพรอ งในการอางอิง การเขียนบรรณานุกรม การใชภ าษา รวมท้งั ขอบกพรองอ่ืน ๆ เพอื่ ชวยใหง านวิจัยฉบับนี้มคี วามสมบรู ณยิ่งข้ึน ผูวิจัยขอขอบพระคุณผูทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ทาน คือ ผูชวยศาสตราจารย ดร.สมคิด ดวงจักร ผชู วยศาสตราจารย ดร.ชวน ภารงั กูล และอาจารย ดร.สดุ จติ หมัน่ ตะคุ ท่ีกรุณาสละเวลาตรวจสอบและ ใหคําแนะนําแกไขเคร่ืองมือท่ีใชในการวิจัย รวมท้ังผูอํานวยการโรงเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ของโรงเรียนขยายโอกาสในสังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ที่กรุณาให ความรว มมือในการตอบแบบสอบถามจนทาํ ใหผวู ิจัยไดข อมลู อันเปน ประโยชนอยางยิ่งในการวจิ ยั ครงั้ นี้ ผูวิจัยขอขอบพระคุณคณาจารยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบานจอมบึง ที่ใหวิทยาการและ บอเกิดแหงความรู และขอขอบพระคุณ ผูชวยศาสตราจารย ดร.พรศักดิ์ สุจริตรักษ ที่กรุณา ใหคําแนะนําและอํานวยความสะดวกในการคนควาเอกสารตาง ๆ ระหวางท่ีผูวิจัยกําลังศึกษา จนผวู ิจัยสาํ เร็จการศึกษาในคร้งั นี้ ประโยชนที่พึงไดจากวิทยานิพนธฉบับนี้ ขอมอบเพื่อทดแทนพระคุณ บิดา มารดา ท่ีเปน ผูสรางชวี ติ และครูอาจารยท่อี บรมส่ังสอน ตลอดจนทุกทา นทีม่ ีสว นสาํ คัญตอความสําเร็จของงานวิจัย ครั้งนี้ จิตราวดี วงั กานนท มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
ชื่อวิทยานิพนธ ภาวะผูนําของผูบริหารที่สงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียน ชอื่ ผวู จิ ัย ขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กัดสาํ นักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษา หลกั สตู ร ประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 อาจารยทีป่ รกึ ษา นางจติ ราวดี วงั กานนท ปทสี่ าํ เร็จการศกึ ษา ครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คําสําคญั ผูชว ยศาสตราจารย ดร.พรศักดิ์ สุจริตรกั ษ 2564 ภาวะผูนํา ประสทิ ธผิ ลการบริหารงานของโรงเรียน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทคัดยอ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงคเพ่ือ 1) ศึกษาภาวะผูนําของผูบริหาร 2) ศึกษาประสิทธิผล การบริหารงาน และ 3) ศึกษาภาวะผูนําของผูบริหารที่สงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กัดสํานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุมตัวอยาง ท่ีใชในการวิจัย ไดแก ผูบริหาร และครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2 จาํ นวน 226 คน จาํ แนกเปน ผูบรหิ าร จํานวน 36 คน และ ครู 190 คน ซึง่ ไดมาโดยการสมุ แบบแบง ช้นั เครอื่ งมอื ทใ่ี ชในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณคา 5 ระดับ มีคาความเชื่อม่ันเทากับ 0.89 สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก การแจกแจงความถี่ คารอยละ คา เฉลยี่ สว นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการวิเคราะหก ารถดถอยพหคุ ูณแบบขนั้ ตอน ผลการวจิ ยั พบวา 1. ภาวะผูนําของผูบริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ในภาพรวมและรายดานอยูในระดับมากทุกดาน เรียงลําดับ คาเฉลี่ยจากมากไปหานอย ดังน้ี ดานภาวะผูนําแบบมีสวนรวม ดานภาวะผูนําแบบช้ีนํา ดานภาวะผูนํา แบบมุงความสาํ เรจ็ และดา นภาวะผนู าํ แบบสนับสนุน 2. ประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสํานักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ในภาพรวมและรายดานอยูในระดับมากทุกดาน โดยเรียงลําดับคาเฉล่ียจากมากไปหานอย ดังน้ี ดานความสามารถในการแกปญหาโรงเรียน ดานความสามารถในการปรับเปล่ียนและพัฒนาโรงเรียน ดานความสามารถในการผลิตนักเรียนใหมี ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนสูง และดา นความสามารถในการพัฒนานักเรียนใหมีทศั นคติทางบวก 3. ภาวะผูนําของผูบริหารแบบมุงความสําเร็จ (X4) แบบมีสวนรวม (X3) และแบบชี้นํา (X1) สง ผลตอประสทิ ธิผลการบริหารงานของโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กดั สาํ นักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยสามารถรวมกันทํานายประสิทธิผลการบริหารงานของ โรงเรียนไดรอยละ 64.00 อยา งมีนัยสาํ คัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 ซงึ่ เขยี นสมการพยากรณไดด งั นี้ สมการพยากรณใ นรูปคะแนนดบิ Yˆ tot = -(.079) + .583(X4) + .310(X3) + .134(X1)
(ข) สมการพยากรณในรูปคะแนนมาตรฐาน Z�R tot = .640(X4) + .301(X3) + .131(X1) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
(ค) THESIS TITLE LEADERSHIP OF ADMINISTRATORS AFFECTING EFFECTIVENESS RESEARCHER OF SCHOOL ADMINISTRATION IN OPPORTUNITY EXPANSION CURRICULUM SCHOOLS UNDER RATCHABURI PRIMARY EDUCATIONAL SERVICE ADVISOR AREA OFFICE 2 GRADUATION YEAR MRS. JITTRAWADEE WANGKANON KEYWORDS MASTER OF EDUCATION PROGRAM IN EDUCATIONAL ADMINISTRATION ASST. PROF. DR. PHORNSAK SUCHARITRAK 2021 LEADERSHIP, EFFECTIVENESS OF SCHOOL ADMINISTRATION มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ABSTRACT The purposes of this research were to; 1) determine the leadership of administrators 2) explore the effectiveness of school administration in opportunity expansion schools, and 3) examine the leadership of administrators affecting the effectiveness of school administration in opportunity expansion schools under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 2. The samples were 36 administrators and 190 teachers, totaling 226, at opportunity expansion schools under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 2 using stratified random sampling techniques. The instrument used for collecting data was a 5 rating scales questionnaire with a reliability of 0.89. The statistics used for data analysis were frequency, percentage, means, standard deviation, and stepwise multiple regression analysis. The research findings were as follows: 1. The leadership of administrators in opportunity expansion schools under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 2 overall, and each aspect was high level. Administrators' leadership was from highest to lowest: participative leadership, directive leadership, achievement-oriented leadership, and supportive leadership. 2. The level of effectiveness of school administration in opportunity expansion schools under Ratchaburi Primary Educational Service Area Office 2 overall and each aspect were at high level. Sorting the average values from highest to lowest were as follows: having the ability to solve school problems, adapting and developing the school, producing students with high academic achievement, and developing students to have a positive attitude. 3. The leadership of administrators in an achievement-oriented leader (X4), participative leader (X3), and directive leader (X1) affected the effectiveness of school administration in opportunity expansion schools under Ratchaburi Primary Educational
(ง) Service Area Office 2. These predictors could explain the effectiveness of school administration at 64 percent with the statistical significance at .01 level. The prediction equations were as: The prediction equation from the raw data can be written as follows; Yˆ tot = -(.079) + .583(X4) + .310(X3) + .134(X1) The prediction equation from the standard data can be written as follows; Z�R tot = .640(X4) + .301(X3) + .131(X1) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
สารบญั หนา บทคัดยอภาษาไทย....................................................................................................................... (ก) บทคัดยอภาษาองั กฤษ.................................................................................................................. (ค) ประกาศคณุ ปู การ......................................................................................................................... (จ) สารบัญ.......................................................................................................................................... (ฉ) สารบญั ตาราง............................................................................................................................... (ซ) สารบญั ภาพประกอบ.................................................................................................................... (ญ) มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทที่ 1 บทนาํ …………………………………………………………………………………………….…………... 1 ความเปน มาและความสําคัญของปญ หา……….….…...…………………..………...…..…… 1 วตั ถปุ ระสงคข องการวจิ ยั ……….………………………………………………….….………..…… 5 สมมตฐิ านการวจิ ัย..........……….………………..………………………….....…………....…...… 5 ขอบเขตของการวจิ ัย................................…………..…………………..….….……….……… 5 นยิ ามศพั ทเฉพาะ………….…….……………………………………………….….……..……..……. 6 นิยามปฏบิ ตั กิ าร...........…………………..……..……………………..………..……...…………… 7 ประโยชนท ่คี าดวาจะไดร บั ...................................................................................... 8 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย............…………………….…….……………………….....…..………. 8 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กีย่ วขอ ง………….…….…….………………………….………….……… 10 เอกสารที่เกี่ยวของกบั หลักการ แนวคิด และทฤษฎี….….……..…..………….….....……. 10 ภาวะผูน ํา..............................………………………….……………………………………………… 10 ประสิทธิผล...................…………………………………………………….………………………….. 43 งานวิจัยท่เี ก่ยี วของ……………………..…….……………………………………….…....…..…..… 54 งานวิจัยในประเทศ........................................................................................... 54 งานวิจยั ตางประเทศ......................................................................................... 64 บทที่ 3 วิธดี าํ เนินการวจิ ยั ………………..…….…………………..……………….……….……….…………. 66 ประชากรและกลมุ ตัวอยาง……..….…………………………………..…….………………….…. 66 ประชากร.......................................................................................................... 66 กลุมตวั อยาง..................................................................................................... 66 ตัวแปรทศ่ี ึกษา............……..………………………………………………...………..…………..…. 67
(ช) สารบัญ (ตอ ) เคร่ืองมือที่ใชในการวิจยั .......................................................................................... หนา การสรางเคร่ืองมือวจิ ัย………………………………………….………….………..…..…….. 67 68 การเก็บรวบรวมขอมลู …………..……………………….……………..……..…………………..… 68 การวิเคราะหขอมลู และสถติ ิทใ่ี ชในการวจิ ัย……..…………….....….….…………………… 69 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอ มูล..………..…….…………………..……………….……….……….…………. 70 สัญลกั ษณที่ใชในการวเิ คราะหข อ มลู ….……………………………..…….………………….…. 70 การวิเคราะหขอมลู ……..…………..……………………………………..…….………………….…. 71 ผลการวเิ คราะหขอมลู ……..……………………………………………..…….………………….…. 71 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ เสนอแนะ...………………..……………….……….……….…………. 89 สรุปผลการวิจัย...........……..……………………………………………..…….………………….…. 89 อภปิ รายผลการวจิ ยั ....……..……………………………………………..…….………………….…. 90 ขอเสนอแนะ...............……..……………………………………………..…….………………….…. 90 ขอ เสนอแนะในการนําผลการวจิ ยั ใช. .............…………..………….………..…..…….. 91 ขอ เสนอแนะในการวิจัยตอไป........................................................................... 91 บรรณานกุ รม…………………………..……………….……….………………………….….….…………………… 92 ภาคผนวก.............................................................................................................................. 100 ภาคผนวก ก เครอื่ งมอื ในการวจิ ัย......................................................................................... 101 ภาคผนวก ข ผลการตรวจสอบความตรงของแบบสอบถาม................................................... 110 ภาคผนวก ค รายช่ือผเู ชยี่ วชาญตรวจสอบเครื่องมือวจิ ัย....................................................... 117 ภาคผนวก ง หนังสือขออนุญาตทดลองใชเครือ่ งมอื วจิ ัย........................................................ 122 ภาคผนวก จ หนังสือขอความอนเุ คราะหเก็บเคร่ืองมือวจิ ยั ................................................... 128 ภาคผนวก ฉ ผลการหาคา ความเชือ่ มั่นของแบบสอบถาม..................................................... 130 ภาคผนวก ช การวเิ คราะหก ารถดถอยพหุคูณ....................................................................... 137 ประวัติยอ ผูวจิ ัย
สารบญั ตาราง ตารางท่ี หนา มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง1 รปู แบบผูนาํ ท่ีไมม ีประสิทธภิ าพและผูนําที่มปี ระสิทธิภาพ................................................ 31 2 จาํ นวนของเกณฑใชใ นรปู แบบพหุเกณฑของประสทิ ธผิ ล.......................................................... 47 3 แนวทางการประเมนิ ประสทิ ธิผลองคการ.................................................................................. 49 4 รูปแบบบรู ณาการของประสิทธผิ ลองคก าร................................................................................ 51 5 จาํ นวนประชากร กลุมตัวอยางจําแนกตามขนาด....................................................................................... 66 6 สถานภาพของผูตอบแบบสอบถาม.................................................................................................... 72 7 คา เฉล่ีย สว นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และระดบั ภาวะผูนําของผบู รหิ ารโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สงั กัดสํานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยภาพรวม.......... 73 8 คาเฉล่ีย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับภาวะผูนาํ ของผูบรหิ ารโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สังกดั สาํ นักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 2 ดา นภาวะ ผูนําแบบช้นี าํ ....................................................................................................................... 73 9 คาเฉลยี่ สว นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดับภาวะผูน าํ ของผบู รหิ ารโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศกึ ษา สงั กัดสาํ นักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 ดานภาวะ ผนู ําแบบสนับสนนุ .............................................................................................................. 75 10 คา เฉล่ยี สวนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับภาวะผูน ําของผูบรหิ ารโรงเรยี นขยายโอกาส ทางการศกึ ษา สงั กัดสาํ นักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ดานภาวะ ผนู ําแบบมีสว นรวม.............................................................................................................. 76 11 คา เฉลย่ี สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับภาวะผูนาํ ของผบู รหิ ารโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สงั กดั สาํ นักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 ดานภาวะ ผนู ําแบบมุงความสาํ เรจ็ ........................................................................................................ 77 12 คา เฉลี่ย สว นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดบั ประสทิ ธผิ ลการบริหารงานของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศกึ ษา สังกดั สํานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 โดยภาพรวม......................................................................................................................... 78 13 คาเฉลี่ย สวนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับประสิทธิผลการบรหิ ารงานของโรงเรยี น ขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กดั สํานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 ดานความสามารถในการผลิตนกั เรยี นใหม ผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสงู ................................. 79
(ฌ) สารบัญตาราง (ตอ ) ตารางท่ี หนา 14 คาเฉล่ีย สว นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และระดับประสทิ ธิผลการบรหิ ารงานของโรงเรยี นมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 80 ขยายโอกาสทางการศกึ ษา สงั กดั สาํ นักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 81 ดานความสามารถในการพัฒนานักเรียนใหมที ศั นคติทางบวก............................................... 82 83 15 คา เฉล่ยี สว นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับประสทิ ธิผลการบรหิ ารงานของโรงเรยี น 84 ขยายโอกาสทางการศกึ ษา สังกัดสํานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 85 ดา นความสามารถในการปรับเปลยี่ นและพฒั นาโรงเรยี น...................................................... 86 16 คา เฉลี่ย สว นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดบั ประสทิ ธิผลการบริหารงานของโรงเรียน 86 ขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กัดสํานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 ดานความสามารถในการแกป ญ หาโรงเรียน........................................................................... 17 การวิเคราะหการถดถอยพหคุ ูณของภาวะผูนาํ ของผบู รหิ ารท่สี ง ผลตอประสิทธิผล การบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศกึ ษา สังกดั สาํ นกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2 ในภาพรวม............................................................................... 18 การวเิ คราะหการถดถอยพหุคูณของภาวะผูน าํ ของผบู รหิ ารที่สง ผลตอ ประสทิ ธผิ ล การบรหิ ารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กดั สาํ นกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษา ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ดานความสามารถในการผลิตนกั เรยี นใหมีผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียนสงู (Y1).............................................................................................................. 19 การวเิ คราะหการถดถอยพหคุ ูณของภาวะผนู ําของผูบรหิ ารทส่ี ง ผลตอ ประสิทธิผล การบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศกึ ษา สงั กัดสาํ นกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ดานความสามารถในการพัฒนานกั เรียนใหมที ัศนคติทางบวก (Y2)......................................................................................................................................... 20 การวเิ คราะหการถดถอยพหคุ ูณของภาวะผูนําของผบู รหิ ารท่สี ง ผลตอ ประสทิ ธผิ ล การบริหารงานของโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสาํ นักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษา ประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 2 ดานความสามารถในการปรบั เปลย่ี นและพฒั นาโรงเรียน (Y3)......................................................................................................................................... 21 การวิเคราะหการถดถอยพหุคูณของภาวะผนู ําของผูบรหิ ารท่สี งผลตอ ประสทิ ธิผล การบรหิ ารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกดั สาํ นกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา ประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 2 ดานความสามารถในการแกป ญหาโรงเรยี น (Y4)........................
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบงึ (ฌ)
สารบัญภาพประกอบ ภาพประกอบที่ หนา 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย.................................................................................................. 9 2 รปู แบบของการบรหิ ารแบบตาขา ย Nine-Nine Style (9,9 style)................................ 26 3 ภาวะผนู ํา 4 แบบของเฮอรเ ซย และ บลนั ชารด (Hersey & Blanchard)..................... 32 4 ทฤษฎีวถิ ที างและเปาหมาย............................................................................................. 35 5 องคป ระกอบองคการทน่ี ําไปสผู ล.................................................................................... 46 6 ผลการวิเคราะหการถดถอยพหุคูณ................................................................................. 88 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทที่ 1 บทนํา ความเปนมาและความสําคญั ของปญ หา ทรัพยากรมนุษยเปนปจจัยขับเคลื่อนสําคัญในการยกระดับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ดังน้ัน จึงจําเปนตองมีการวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษยของประเทศอยางเปนระบบ ดังนั้น เพ่ือใหทรัพยากรมนุษยในทุกมิติและในทุกชวงวัยสามารถไดรับการพัฒนาและยกระดับไดเต็ม ศักยภาพและเหมาะสม ยุทธศาสตรชาติดานการพัฒนาและเสริมสรางศักยภาพทรัพยากรมนุษยจึงได กําหนดประเด็นยุทธศาสตรท่ีเนนท้ังการแกไขปญหาการพัฒนาทรัพยากรมนุษยในปจจุบัน และการ เสริมสรางและยกระดับการพัฒนาที่ใหความสําคัญที่ครอบคลุมท้ังในสวนของการพัฒนาทุนมนุษย และปจจัยและสภาพแวดลอมที่เกี่ยวของเพื่อสรางระบบนิเวศที่เอื้อตอการพัฒนาทรัพยากรมนุษย อยางครอบคลุม ประกอบดวย การพัฒนาศักยภาพคนตลอดชวงชีวิต ควบคูกับการปฏิรูปท่ีสําคัญ ท้ังในสวนของการปรับเปล่ียนคานิยมและวัฒนธรรม เพื่อใหคนมีความดีอยูใน ‘วิถี’ การดําเนินชีวิต และมีจิตสํานึกรวมในการสรางสังคมท่ีนาอยู และมีการปฏิรูปการเรียนรูแบบพลิกโฉมในทุกระดับ ตั้งแตระดับปฐมวัยจนถึงการเรียนรูตลอดชีวิต โดยการพัฒนาระบบการเรียนรูที่ตอบสนองตอการ เปลีย่ นแปลงในศตวรรษที่ 21 มีการออกแบบระบบการเรียนรูใหม การเปล่ียนบทบาทครูใหเปนครูยุคใหม สรางแรงบันดาลใจ แนะนําวิธีเรียนรูและวิธีจัดระเบียบการสรางความรู ออกแบบกิจกรรม และสราง นวัตกรรมการเรียนรูใหผูเรียน และมบี ทบาทเปนนักวิจัยพัฒนากระบวนการเรียนรูเพื่อผลสัมฤทธ์ิของ ผูเรียน และสรางเครือขายพัฒนาครูใหมีการแลกเปล่ียนเรียนรูระหวางกัน รวมถึงการพัฒนาครูที่มี ความเช่ียวชาญดานการสอนมาเปนผูสรางครูรุนใหมอยางเปนระบบ และวัดผลงานจากการพัฒนา ผเู รยี นโดยตรง การเพ่มิ ประสทิ ธิภาพระบบบริหารจดั การศึกษา และการพฒั นาระบบการเรียนรูตลอด ชวี ติ เพื่อพัฒนาผเู รยี นใหส ามารถกาํ กับการเรียนรูท่ีเหมาะสมกับตนเองไดอยางตอเนื่องแมจะออกจาก ระบบการศึกษาแลวรวมถึงความตระหนักถึงพหุปญญาของมนุษยที่หลากหลายตลอดจนพัฒนาและ รักษากลุมผูมีความสามารถพิเศษของพหุปญญาแตละประเภท และการปฏิรูประบบเสริมสรางความ รอบรูและจิตสํานึกทางสุขภาพ เพื่อใหคนไทยมีศักยภาพในการจัดการสุขภาวะท่ีดีไดดวยตนเอง พรอ มกบั การสรา งสภาพแวดลอมท่ีเออ้ื ตอการพัฒนาและเสริมสรางศักยภาพทรัพยากรมนุษย ทั้งการ เสริมสรางครอบครัวที่เขมแข็งอบอุนซึ่งเปนการวางรากฐานการสงตอเด็กและเยาวชนที่มีคุณภาพ สูการพัฒนาในชวงอายุถัดไป โดยการสงเสริมการเกิดท่ีมีคุณภาพ การสรางครอบครัวท่ีเหมาะสมกับ คนรุนใหม การสงเสริมบทบาทในการมีสวนรวม (สํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตรชาติ, 2561, 34-38) จุดเนนการพฒั นาคนท่ีสําคัญในชวงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ฉบับที่สิบสอง พ.ศ. 2560-2564 จึงใหความสําคัญกับ 1) การพัฒนากลุมเด็กปฐมวัยใหมีสุขภาพกายและใจท่ีดี มีทักษะทางสมอง ทักษะการเรียนรู ทักษะชีวิตและทักษะทางสังคม เพื่อใหเติบโตอยางมีคุณภาพ 2) การหลอ หลอมใหคนไทยมีคานิยมตามบรรทัดฐานที่ดที างสังคม คนไทยในทุกชวงวัยเปนคนดี มีสุขภาวะ ท่ีดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย มีจิตสานึกที่ดีตอสังคมสวนรวม 3) การพัฒนาทักษะความรู
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 2 ความสามารถของคน มุงเนนการพัฒนาทักษะที่เหมาะสมในแตละชวงวัยเพ่ือวางรากฐานใหเปน คนมีคุณภาพในอนาคต การพัฒนาทักษะสอดคลองกับความตองการในตลาดแรงงานและทักษะ ที่จําเปนตอการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ของคนในแตละชวงวัยตามความเหมาะสม เชน เด็กวัยเรียน และวัยรนุ พัฒนาทักษะการวิเคราะหอยางเปนระบบ มีความคิดสรางสรรค รวมท้ังการใหความสําคัญ กับการพัฒนาใหมีความพรอมในการตอยอดพัฒนาทักษะในทุกดาน มีทักษะการทํางานและการใช ชีวิตที่พรอมเขาสูตลาดงาน วัยแรงงานเนนการสรางความรูและทักษะในการประกอบอาชีพ ท่ีสอดคลองกับตลาดงานทั้งทักษะข้ันพ้ืนฐาน ทักษะเฉพาะในวิชาชีพ ทักษะการเปนผูประกอบการ รายใหม ทักษะการประกอบอาชีพอิสระ วัยสูงอายุเนนพัฒนาทักษะที่เอ้ือตอการประกอบอาชีพ ท่ีเหมาะสมกับวัยและประสบการณ 4) การเตรียมความพรอมของกําลังคนดานวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยีในกลุมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีท่ีจะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตอยางสําคัญ 5) การยกระดับ คุณภาพการศึกษาสูความเปนเลิศในทุกระดับและยกระดับการเรียนรูโดยเนนการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาขัน้ พื้นฐานทัง้ การบรหิ ารจดั การโรงเรยี นขนาดเล็ก ปรบั ระบบการจัดการเรียนการสอน และ การพฒั นาคุณภาพครูท้ังระบบ รวมท้ังการยกระดับคุณภาพการศึกษาสูความเปนเลิศในสาขาวิชาท่ีมี ความเชยี่ วชาญเฉพาะดา น และพัฒนาระบบทวิภาคีหรอื สหกจิ ศึกษาใหเอ้ือตอการเตรียมคนที่มีทักษะ ใหพรอมเขาสูตลาดแรงงาน นอกจากน้ีตองใหความสําคัญกับการสรางปจจัยแวดลอมท่ีเอ้ือตอการ เรยี นรตู ลอดชีวิตท้ังสื่อการเรียนรูและแหลงเรียนรูท่ีหลากหลาย (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแหงชาต,ิ 2559, 15-16) ในปจจุบันเปนยุคของสังคมขาวสาร หรือยุคของสังคมแหงการเรียนรู กอใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงในสังคมโลก ท้ังในดานประชากร สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร เทคโนโลยี และการเมืองการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกกอใหเกิดผลกระทบตอสังคมไทย และการพัฒนาการศึกษา ของไทย จึงจาํ เปนตอ งเตรียมคนใหพรอม สามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมไทยในอนาคตไดอยางสันติสุข การพัฒนาจงึ มงุ ท่จี ะพฒั นาคนหรอื คุณภาพของคนใหเ ปนกําลังสําคญั ในการพัฒนาประเทศ การศึกษา จึงเปนกระบวนการที่มุงพัฒนาคนใหมีความสามารถเต็มตามศักยภาพ มีพัฒนาการที่สมดุลท้ังปญญา จิตใจ รางกาย และสังคม ดังน้ัน คนจึงเปนปจจัยและผลของการพัฒนาประเทศ หากประชากรของ ประเทศมีคุณภาพจะสงผลใหประเทศชาติมีการพัฒนาอยางย่ังยืน คนจะมีคุณภาพไดข้ึนอยูกับระบบ การศึกษาที่มีประสิทธิภาพ การศึกษาจึงเปนรากฐานของการพัฒนาคุณภาพคน ดังคํากลาวที่วา “การศึกษาพัฒนาคน คนพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คมและประเทศชาต”ิ (สํานักงานปฏริ ปู การศึกษา, 2544ก, 27) การใหความสําคัญของการศึกษาเพ่ือพัฒนาคน นับเปนเรื่องเรงดวนที่ทุกฝายตองเรง พจิ ารณา เน่ืองจากภาวการณปจจบุ ันประเทศชาติกาํ ลังเกดิ ปญหาวิกฤตทางดานศีลธรรมและวัฒนธรรม ปญหาความยากจนและชองวางทางเศรษฐกิจ ความลมสลายทางสังคม การทําลายส่ิงแวดลอมและ ทรัพยากรธรรมชาติ อันนําไปสูการเกิดปญหาทางสังคมตาง ๆ เชน ยาเสพติด อาชญากรรม โสเภณีเด็ก และการละเมิดสิทธิเด็กและสตรี นอกจากนั้น ขาวท่ีมักจะพบเห็นกันอยูเปนประจํามักเปนขาว ท่ีเกี่ยวกับความประพฤติที่ไมเหมาะสมของวัยรุน เชน การมีเพศสัมพันธที่ไมเหมาะสม การม่ัวสุม ในสถานเริงรมย แหลงบริการอินเตอรเน็ต หอพัก และการเลนการพนัน ดังน้ัน การจัดการศึกษาเพ่ือ พัฒนาคนใหคุณภาพ จึงเปนเร่ืองที่มีความจําเปนอยางยิ่ง โดยจะตองเปนการศึกษาที่มีคุณภาพ และ ทําใหศักยภาพท่ีมีอยูในตัวผูเรียนไดรับการพัฒนาอยางเต็มที่ เปนคนท่ีรูจักคิด วิเคราะห
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 3 รูจักแกปญหา มีความคิดริเร่ิมสรางสรรครูจักการเรียนรูดวยตนเอง สามารถปรับตัวใหทันกับการ เปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนอยางรวดเร็ว มีจริยธรรม คุณธรรม รูจักพึ่งตนเองและสามารถดํารงชีวิตอยูใน สังคมไดอยางเปนสขุ (กาํ ธร ปรู ณวฒั นกุล, 2550, 1) จากเหตุผลดังกลาว แสดงใหเห็นถึงความจําเปน ท่ีจะตองพัฒนาคุณภาพของคนโดยใชการศึกษาเปนปจจัยหลัก เน่ืองจากการศึกษาเปนเครื่องมือ สําคัญในการสรางคนท่ีสามารถนําการพัฒนาประเทศท้ังดานสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ วัฒนธรรม นอกจากนี้ ความมุงหมายการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 ที่ระบุในมาตรา 6 วาการจัดการศึกษาตองเปนไปเพื่อพัฒนาคนไทยใหเปนมนุษยที่สมบูรณทั้งรางกาย จิตใจ สติปญญา ความรูและคุณธรรม มีจริยธรรมในการดํารงชีวิต สามารถอยูรวมกับผูอื่นไดอยางมี ความสุข สวนหลักการการจัดการศึกษาใหยึดหลักการ 3 ประการ (มาตรา 8) คือ 1) เปนการศึกษา ตลอดชีวิตสําหรับประชาชน 2) ใหสังคมมีสวนรวมในการจัดการศึกษา 3) การพัฒนาสาระและ กระบวนการเรยี นรใู หเ ปนอยา งตอเนอ่ื ง สําหรับการจัดระบบโครงสรางและกระบวนการจัดการศึกษา (มาตรา 9) จะเนนเอกภาพดานนโยบายมีความหลากหลายในการปฏิบัติ มีการกระจายอํานาจ การกําหนด มาตรฐานการศึกษาและจัดระบบประกันคุณภาพ สงเสริมมาตรฐานวิชาชีพและการพัฒนาครู คณาจารยและบุคลากรทางการศึกษาอยางตอเนื่อง มีการระดมทรัพยากรจากแหลงตาง ๆ มาใชในการ จัดการศึกษาโดยการมีสวนรวมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องคกรชุมชน องคกรปกครองสวนทองถ่ิน องคกรเอกชน องคก รวชิ าชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น (พระราชบัญญัติ การศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542, 2542, 3-4) ภารกิจของการศึกษาและผูจัดการศึกษาตามแนว พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 ก็คือการพัฒนาคนใหเปนคนดี คนเกง และมีความสุข โดยยึดหลักของกระจายอํานาจและการมสี ว นรวมการจดั การศึกษาของสังคม เพ่ือใหการจัดการศึกษา มีคุณภาพตามมาตรฐานเทาเทยี มกัน สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต ตอบสนองความตองการของชุมชน และสงั คม (สาํ นกั งานปฏริ ูปการศึกษา, 2544ก, 19-23) ภาวะผูนําเปนปจจัยท่ีสําคัญสําหรับองคกรทุกประเภทไมวาองคการของรัฐหรือเอกชน เพราะองคการจะมีความเจริญรุงเรืองหรือตกต่ําหรือไมเพียงใดนั้น สาเหตุหน่ึงมาจากการท่ีผูบริหาร ในองคการน้ันมีภาวะผูนําเพียงพอที่โนมนาวใหบุคลากรทํางานใหแกองคการตามเปาหมายท่ีวางไว หรอื ไม (ภารดี อนันตนาวี, 2552, 76) ในการจัดการศึกษาทุกระดับ บุคคลท่ีมีความสําคัญอยางยิ่งท่ีจะ ทําใหการพัฒนาคนเกิดการขับเคลื่อนไดอยางมีประสิทธิภาพคือ ผูบริหารสถานศึกษา เพราะผูบริหาร ตองเปนผูนําและผูประสานความรวมมือจากทุกฝายในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา รวมท้ัง ความสามารถในการระดมและใชทรัพยากรเพ่ือการบริหารอยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผูบริหาร สถานศึกษาจงึ เปรียบไดว าเปนจอมทัพสําคัญท่ีจะนําพาองคกรใหกาวไปในกระแสแหงการปฏิรูปไดอยางมี เกียรติและศักด์ิศรี เหมาะสมกับสภาพการณปจจุบัน นําไปสูเปาหมายท่ีพึงประสงค โดยการกําหนดเปน ยุทธศาสตรการจัดการศึกษาสูการปฏิบัติที่แสดงใหเห็นศักยภาพ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหาร จัดการศึกษาภายในสถานศึกษา เพราะผูบริหารเปนผูนําสถานศึกษา จําตองเปนผูท่ีมีความรู ความเขาใจ ในการดําเนินงาน ตลอดจนตองมีภาวะผูนํา เพื่อนําสถานศึกษาบรรลุมาตรฐานการศึกษาท่ีกําหนด (ธีรดา สบื วงษช ยั , 2553, 1) ดังนนั้ ปจจัยทมี่ คี วามสาํ คัญที่สุดของผบู รหิ ารในการนาํ พาองคการใหอยูรอดและ เจริญกาวหนาก็คือ ภาวะผูนํา องคการใดมีผูบริหารท่ีมีภาวะผูนําท่ีดี มีความสามารถ ยอมสามารถ นําองคการสูผลสําเร็จตามเปาหมาย ในทางตรงกันขามหากองคการใดมีผูบริหารที่ดอยคุณภาพ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 4 ยอมทาํ ลายขวัญและกาํ ลงั ใจของผใู ตบ งั คบั บญั ชา อันจะนําไปสูผลผลิตที่ตํ่าลง และผลการดําเนินงาน ทีล่ ม เหลว (ภารดี อนนั ตนาวี, 2551, 84) ประสิทธิผลมีความสําคัญอยางยิ่งในศาสตรทางการบริหารและองคการ นับวาเปนการ ตัดสินใจขั้นสุดทายวา การบริหารองคการประสบความสําเร็จหรือไมเพียงใด องคการจะอยูรอดและ มคี วามมั่นคงจะขึ้นอยูกับประสิทธิผลองคการ ถาองคการสามารถบรรลุวัตถุประสงคจะสามารถดํารง อยูตอไปได ถาไมสามารถบรรลุวัตถุประสงคองคการจะลมสลายไปในท่ีสุด ดังนั้น ประสิทธิผลจึงมี ความสําคัญตอองคการ ดังน้ี 1) ชวยตรวจสอบวัตถุประสงคการจัดตั้งองคการ การจัดตั้งองคการ ยอมกําหนดวัตถุประสงคและเปาหมายไวอยางชัดเจนเพ่ือดําเนินงานใหเปนไปตามความตองการ หรอื ไม 2) ประเมนิ ผลการดาํ เนินงานกับแผนงานที่กาํ หนด การดาํ เนินงานในแตละกิจกรรมยอมตองมี การวางแผน กําหนดหนาท่ี ความรับผิดชอบ การจัดสรรทรัพยากร การใชอํานาจหนาที่การบริหาร การปฏิบัติงานใหเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน 3) ประเมินผลสําเร็จกับวัตถุประสงค เปรียบเทียบผลงานที่ดําเนินการไดต ามแผนงานกับวัตถุประสงคขององคการท่ีคาดหวัง ถาผลของงาน บรรลุผลตามวัตถุประสงคและความคาดหวังขององคการ แสดงวาองคการมีประสิทธิผล โดยประสิทธิผล อาจพิจารณาเปน 2 ระดับคือ 1) ประสิทธิผลของบุคคล คือ ลักษณะของบุคคลที่มีความสามารถ ปฏบิ ัตงิ านใด ๆ หรือปฏิบัติกิจกรรมใด ๆ แลวประสบผลสําเร็จ ทําใหบังเกิดผลโดยตรงและครบถวน ตามวัตถุประสงค ผลท่ีเกิดขึ้นมีลักษณะคุณภาพ เชน ความถูกตอง ความมีคุณคา เหมาะสมดีกับงาน ตรงกับความคาดหวังและความตองการของหมูคณะ สังคม และผูจะนําผลน้ันไปใชเปนผลท่ีไดจาก การปฏบิ ัติอยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ และ 2) ประสทิ ธผิ ลขององคการ คือ การเนนไปท่ีผลรวมขององคการ (ภารดี อนันตนาวี, 2551, 204-205; อางอิงจาก ธงชัย สันติวงษ, 2537) ซึ่ง แซมมอนส, ฮิลลแมน, และมอรทิมอร (Sammons, Hillman, & Mortimore, 1994, 25) ไดศึกษาองคประกอบท่ีสอดคลองกับ ประสิทธิผลของโรงเรียนท่ีทําใหโรงเรียนมีประสิทธิภาพ จะประกอบดวย ความเปนผูนําทางดานวิชาชีพ มเี ปา หมายและวิสัยทศั นร วมกัน มีสภาพแวดลอมที่ดี มุงเนนคุณภาพการเรียนการสอน มีจุดประสงค การสอนท่ีชัดเจน มคี วามคาดหวงั ในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง มีระบบการเสริมแรงทางบวก มีระบบ การติดตามความสําเร็จของผูเรียน สงเสริมสิทธิและตอบสนองตอความตองการของผูเรียน มีการ รว มมือกันระหวางบานกับโรงเรียน มีการพัฒนาองคกรอยูตลอดเวลา และแฮนสัน (Hanson, 1996, 35) ไดเสนอลักษณะของสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลจะประกอบดวย มีการปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของผเู รียน บรรยากาศสนบั สนนุ การเรียนรู มีการติดตามกํากับกระบวนการเรียนการสอน บุคลากรมี มาตรฐาน สงเสริมการรักษาวินัยของผูเรียน และมีการจัดสภาพแวดลอมและสวัสดิการ การทํางาน จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ผานมา ดังเชน สุพิษ จุยกลาง (2550, 72) ไดศึกษาวิจัย เร่ืองการศึกษาความสัมพันธระหวางภาวะผูนําของผูบริหารสถานศึกษากับความพึงพอใจในการ ทาํ งานของครใู นสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกดั สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 1 พบวา ภาวะผูนําแบบมีสว นรวม มีคา เฉลย่ี อยูในระดับต่ําสุด สอดคลองกับ ขนิษฐา กอนเพชร (2559, 117) ที่ศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาความสัมพันธระหวางภาวะผูนํากับการขับเคล่ือนการปฏิรูปการศึกษาไทย ในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561) ของผูบริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 5 ประถมศึกษากําแพงเพชร เขต 2 พบวา ภาวะผูนําแบบมีสวนรวม และภาวะผูนําแบบสนับสนุน มีคาเฉลย่ี อยูใ นระดับตา่ํ สดุ จากการศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยทผี่ า นมา ดงั เชน ปรีชา ทัศนละไม (2549, 82) ไดศึกษาวิจัย เรื่องการศกึ ษาความสมั พนั ธระหวางแบบภาวะผูนําของผูบริหารโรงเรียนและประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาชัยภูมิ เขต 1-3 พบวา ความสามารถในการผลิตนักเรียนใหมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง มีคาเฉลี่ยอยูในระดับตํ่าสุด สอดคลองกับ อําภา ปยารมย (2549, 77) ท่ีศึกษาวิจัยเร่ืองการศึกษาภาวะผูนํากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ในภาคตะวันออก พบวา ความสามารถการผลิตนักเรียนใหมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง มคี าเฉลย่ี อยใู นระดบั ตํา่ สุด จากความเปนมาและความสําคัญของปญหาดังกลาว ผูวิจัยในฐานะเปนครูผูสอนของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษาในสงั กัดสาํ นกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จึงมีความ สนใจท่ีจะศึกษาภาวะผูนําของผูบริหารท่ีสงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สงั กดั สํานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาราชบุรี เขต 2 วัตถปุ ระสงคข องการวิจัย การวิจัยเร่ือง ภาวะผูนําของผูบริหารสงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 มีวัตถุประสงคของ การวจิ ัย ดงั นี้ 1. เพ่ือศึกษาระดับภาวะผูนําของผูบริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัด สาํ นักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 2. เพ่ือศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัด สํานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต 2 3. เพ่ือศึกษาภาวะผูนําของผูบริหารที่สงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา สงั กัดสาํ นักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 สมมตฐิ านการวจิ ยั เพ่ือใหส อดคลอ งกับวัตถปุ ระสงคข องการวิจัย ผูวจิ ยั จงึ กําหนดสมมตฐิ านของการวจิ ยั ดงั นี้ ภาวะผูนําของผูบริหารสงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สงั กดั สํานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2 ขอบเขตของการวจิ ยั การวิจัยครั้งน้ีมุงศึกษาภาวะผูนําของผูบริหารที่สงผลตอประสิทธิผลการบริหารงานของ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 โดยกําหนดขอบเขตวจิ ัย ดงั นี้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 6 1. ประชากรท่ีใชในการวิจัย ไดแก ผูบริหารโรงเรียน และครูโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สังกดั สํานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จํานวน 558 คน จําแนก เปน ผบู ริหารโรงเรียน จํานวน 36 คน และครู 522 คน 2. กลุมตัวอยางท่ีใชในการวิจัย ไดแก ผูบริหารโรงเรียน และครูโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สังกัดสาํ นักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 จํานวน 226 คน จําแนกเปน ผูบริหารโรงเรียน จํานวน 36 คน และครู จํานวน 190 คน ไดมาจากการเปดตารางของเครจซี่ และ มอรแกน (Krejcie & Morgan, 1970, 607-610) ท่ีระดับความเช่ือมั่นรอยละ 95 (α = .05) จากน้ัน ทําการสุมกลุมตัวอยางแบบแบงช้ันภูมิ (stratified random sampling) โดยใชอําเภอเปนชั้นในการสุม และใชการสุมตัวอยางสถานศึกษาในแตละอําเภอดวยวิธีการสุมแบบงาย (simple random sampling) และเพอื่ ใหไดผูตอบแบบสอบถาม ผูวิจัยใชวิธีการสุมอยางงาย ดวยวิธีการจับฉลาก สําหรับกลุมตัวอยาง ทเ่ี ปน ผูบรหิ ารโรงเรยี นผูว จิ ยั ใชวธิ ีเจาะจง 3. ตัวแปร 3.1 ตัวแปรตน คือ ภาวะผูนําของผูบริหารสถานศึกษา โดยผูวิจัยประยุกตจากทฤษฎี วิถีทางและเปาหมาย (Path-goal theory) ของโรเบิรต เฮาส (Robert House) ที่ไดแบงพฤติกรรมการบริหาร งานของผนู ําออกเปน 4 แบบ (Robbins, 1990, 239-242) ประกอบดวย 3.1.1 ภาวะผูนาํ แบบชีน้ าํ 3.1.2 ภาวะผูนาํ แบบสนบั สนนุ 3.1.3 ภาวะผูนาํ แบบมีสวนรว ม 3.1.4 ภาวะผนู าํ แบบมงุ ความสําเรจ็ 3.2 ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิผลการบริหารงาน โดยผูวิจัยประยุกตแนวคิดของฮอย และ มิสเกล (Hoy & Miskel, 2001, 305-306) ประกอบดว ย 3.2.1 ความสามารถในการผลติ นักเรียนใหม ผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนสงู 3.2.2 ความสามารถในการพัฒนานักเรียนใหม ีทัศนคตทิ างบวก 3.2.3 ความสามารถในการปรบั เปล่ียนและพัฒนาโรงเรยี น 3.2.4 ความสามารถในการแกป ญ หาโรงเรียน นยิ ามศพั ทเฉพาะ ภาวะผูนํา หมายถึง พฤติกรรมท่ีผูนําแสดงออกในการใชอํานาจหนาที่หรืออิทธิพลท่ีมีอยู กระตุน จูงใจ ช้ีนํา ผลักดันใหผูอ่ืนปฏิบัติในสิ่งท่ีตนตองการเพ่ือใหบรรลุถึงจุดมุงหมายท่ีกําหนดไวใน สถานการณหน่งึ ๆ ประสทิ ธิผลการบริหารงาน หมายถึง ความสามารถในการจัดการศึกษาท่ีทําใหครู นักเรียน ผูปกครอง ชุมชน และผูมีสวนไดสวนเสียทุกฝาย เปนผลทําใหการดําเนินงานของโรงเรียนบรรลุผล ตามเปาหมาย ผบู ริหาร หมายถึง ผูดาํ รงตาํ แหนงผูอํานวยการสถานศึกษา รองผูอํานวยการโรงเรียน หรือ ผูรักษาการในตําแหนงผูอํานวยการสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ในสังกัด สาํ นักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 7 ครู หมายถึง ครูผูสอนในสถานศึกษาสังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ราชบรุ ี เขต 2 โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา หมายถึง สถานศึกษาในสังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ท่ีเปดทําการสอนในระดับช้ันปฐมวัย จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษา ปท ่ี 3 นยิ ามปฏบิ ตั กิ าร ภาวะผูนํา หมายถึง ความสามารถในการใชอิทธิพล อํานาจและจูงใจใหผูใตบังคับบัญชา ปฏิบัตงิ านดวยความเต็มใจ เพอ่ื นําไปสคู วามสําเร็จตามเปา หมายขององคการ ซงึ่ มรี ายละเอียดดงั นี้ 1. ภาวะผูนําแบบชี้นํา หมายถึง ผูนําที่มีการกําหนดเปาหมายของสถานศึกษาที่ชัดเจน การชีแ้ จงเปา หมายของสถานศกึ ษาใหคณะครไู ดรบั ทราบ การกําหนดมาตรฐานงานของงานแตละงาน อยางชัดเจน การชี้แจงมาตรฐานงานของแตละงานใหคณะครูไดรับทราบ การกําหนดขั้นตอนการ ปฏบิ ตั ิงานใหก ับครเู พอื่ ถอื ปฏบิ ตั ิ การอธบิ ายขนั้ ตอนวิธกี ารปฏิบตั ิงานใหค ณะครทู ราบกอนมอบหมาย งาน การกําหนดระยะเวลาแลวเสร็จของแตละงานไวอยางชัดเจน การมอบหมายงานและการสั่งการ เปนลายลักษณอักษร การควบคุม กํากับ ดูแล การปฏิบัติงานอยางใกลชิด การใหครูรายงานผลการ ปฏบิ ัตงิ านเปน ระยะตามที่กาํ หนด 2. ภาวะผูน าํ แบบสนบั สนุน หมายถงึ ผนู าํ ที่สรางเสริมความสามัคคีใหมีการทํางานเปนทีม มอบหมายใหคณะครูทํางานเปนทีม สรางบรรยากาศในการทํางานมีความเปนมิตร พบปะพูดคุยกับ คณะครูทุกคนดวยความเปนกันเอง ปฏิบัติตนใหความเสมอภาคกับครูทุกคน ใหคําแนะนําชวยแกไข ปญหาทันทีท่ีครูขอคําแนะนํา กลาวใหกําลังใจในการปฏิบัติงานแกคณะครูเสมอ สอบถามถึงความรู ความสามารถ และความถนัดของครูกอนมอบหมายงานให กลาวคํายกยองชมเชยเมื่อผลการ ปฏิบัตงิ านแลวเสรจ็ ตามเปาหมาย และจดั สวสั ดิการและการอํานวยความสะดวกในการปฏบิ ัติงาน 3. ภาวะผูนําแบบมีสวนรวม หมายถึง ผูนําท่ีใหความสําคัญตอแนวคิดของครูทุกคน หลอมรวมแนวคิดของคณะครูใหเปนหน่ึงเดียว กระตุนใหคณะครูแสดงความคิดเห็นในการประชุม ประชุมปรึกษาหารือวางแผนปฏิบัติงานรวมกัน ตัดสินใจตามมติของที่ประชุม ยึดถือและปฏิบัติตาม ขอตกลงตามมตทิ ่ปี ระชุม เมอื่ มีปญ หาในการปฏิบัติงานจะใชวิธีการประชุมกับคณะครูเพื่อหาวิธีแกไข กําหนดเปาหมายของสถานศึกษาโดยใหทุกฝายมีสวนรวม ชื่นชมและยอมรับความคิดเห็นของคณะ บคุ คล ตลอดจนการรว มกนั ช่ืนชมผลสําเร็จในการปฏิบัติงานโดยยึดหลักความสาํ เร็จรวมกัน 4. ภาวะผูนําแบบมุงความสําเร็จ หมายถึง ผูนําท่ีมีการกําหนดเปาหมายผลสําเร็จสูงสุด ของสถานศึกษา ตั้งเปาหมายท่ีทาทายสําหรับผูใตบังคับบัญชา มีการประชุมชี้แจงใหคณะครูรับทราบ ถึงเปา หมายสูงสุดของสถานศึกษากระตุนใหค รมู คี วามมงุ มัน่ ในการปฏิบัติงานอยูเสมอ เนนความสําคัญ ไปท่ีความเปนเลิศในการปฏิบัติงานและปรับปรุงงานอยางตอเน่ือง แสดงความมั่นใจในความสามารถของ ผูใตบังคบั บญั ชาในการปฏิบัติงานใหสาํ เรจ็ ดว ยมาตรฐานสงู แสวงหาแนวทางปรับปรุงงานใหดีขึ้น มีความ เชื่อม่ันในตัวผูใตบังคับบัญชาและเปดโอกาสใหผูใตบังคับบัญชาไดแสดงความสามารถอยางเต็มท่ี การเช่ือมัน่ และยกยอ งในความสามารถของครู การชืน่ ชมครผู ทู ํางานตามผลแหงความสาํ เร็จของงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 8 ประสิทธิผลการบริหารงาน หมายถึง การจัดการศึกษาท่ีทําใหครู นักเรียน ผูปกครอง ชุมชน และผมู ีสว นไดสวนเสยี ทกุ ฝา ย เกิดความพึงพอใจ เปนผลทําใหการดาํ เนินงานของโรงเรยี นบรรลผุ ล ตามเปาหมาย ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1. ความสามารถในการผลิตนักเรียนใหมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสูง หมายถึง ความสามารถ ในการเตรียมความพรอมของนักเรียนกอนการจัดการเรียนรู ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีการ พัฒนาในระดับท่ีสูงข้ึน นักเรียนไดรับรางวัลจากการเขารวมประกวดแขงขันทักษะทางวิชาการ จากหนวยงานตาง ๆ นักเรียนที่จบช้ันสูงสุดสามารถเขาศึกษาตอในระดับที่สูงข้ึน หรือประกอบอาชีพ ตามความสนใจและความถนัด 2. ความสามารถในการพัฒนานกั เรยี นใหม ีทศั นคตทิ างบวก หมายถึง ความสามารถในการ พฒั นานกั เรียนใหเ ปนผูมีคุณธรรม จรยิ ธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงคตามหลักสูตร ประพฤติตน ตามระเบียบวินัยของโรงเรียน พัฒนาตนเองในดานรางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา มีทัศนคติ ท่ีดีตอ การศกึ ษาเลาเรียนและอยูในสังคมอยางมีความสุข ตลอดจนการไดรับรางวัลท่ีแสดงถึงการเปน ผูมคี ณุ ธรรม จริยธรรม จากหนว ยงานตาง ๆ 3. ความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาโรงเรียน หมายถึง ความสามารถของ คณะครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม ๆ เขามาใชในการ ปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและใชวิธีการประเมินผล ไดอยางเหมาะสม การพัฒนาปรับปรุงวิธีการดําเนินงานในทุก ๆ ดานของโรงเรียน ตลอดจนการปรับเปล่ียน วิธกี ารปฏบิ ัติงานตามสภาพแวดลอ มท่ีเปล่ียนแปลงของคณะครู 4. ความสามารถในการแกป ญหาโรงเรยี น หมายถึง ความสามารถในการแกปญหาความ ขัดแยง ทเ่ี กิดขึน้ ในโรงเรยี น การแกไ ขเหตุฉุกเฉนิ หรือปญหาเฉพาะหนา ของโรงเรียน การวางแผนแกไข ปญ หาดานความประพฤติของนักเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ การแกไขปญหาดานการเรียนการสอน และการแกป ญ หาตาง ๆ ทเ่ี กดิ ขึ้นในโรงเรยี นได ประโยชนท ีค่ าดวาจะไดรับ ผลการวิจัยคร้ังน้ี สามารถนําไปใชเปนขอมูลพ้ืนฐานในการวางแผนพัฒนาคุณลักษณะของ ผูบ รหิ ารสถานศกึ ษาและครูผูสอนในสถานศึกษา ในประเด็นตอ ไปนี้ 1. เปนขอ มลู พืน้ ฐานในการวางแผนการพัฒนาภาวะผนู าํ ของผูบริหารสถานศึกษา 2. เปนขอมูลพ้ืนฐานในการวางแผน กําหนดนโยบาย แนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาใหมี ประสิทธภิ าพตอ ไป 3. เปน ขอมลู พ้ืนฐานสําหรับผูสนใจศึกษา คนควา วิจัยท้ังในเชิงลึกและกวางขวางมากขึ้น ตอไปได กรอบแนวคดิ ในการวิจัย การวิจัยคร้ังน้ีผูวิจัยไดศึกษาภาวะผูนําของผูบริหารสถานศึกษา โดยผูวิจัยประยุกตจาก ทฤษฎีวิถีทางและเปาหมาย (Path-goal theory) ของโรเบิรต เฮาส (Robert House) ที่ไดแบง พฤติกรรมการบริหารงานของผูนําออกเปน 4 แบบ (Robbins, 1990, 239-242) ซ่ึงประกอบดวย
9 ภาวะผูนําแบบช้ีนํา ภาวะผูนําแบบสนับสนุน ภาวะผูนําแบบมีสวนรวม และภาวะผูนําแบบ มุงความสําเร็จ สวนประสิทธิผลการบริหารงาน ตามแนวคิดของฮอย และมิสเกล (Hoy & Miskel, 2001, 305-306) ซ่ึงประกอบดวย ความสามารถในการผลิตนักเรียนใหมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ความสามารถในการพฒั นานักเรียนใหมีทัศนคติทางบวก ความสามารถในการปรับเปล่ียนและพัฒนา โรงเรียนได และความสามารถในการแกปญหาโรงเรียน โดยนําแนวคิดดังกลาวเปนแนวทางในการ ศกึ ษาวจิ ยั ในครั้งน้ี ดงั ภาพประกอบท่ี 1 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตวั แปรตน ตัวแปรตาม ภาวะผนู ําของผบู รหิ าร ประสทิ ธิผลการบริหารงาน 1) ภาวะผนู าํ แบบชีน้ าํ (X1) 1) ความสามารถในการผลิตนกั เรยี นใหมี 2) ภาวะผูนาํ แบบสนบั สนุน (X2) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสูง (Y1) 3) ภาวะผูนําแบบมสี วนรว ม (X3) 4) ภาวะผูนําแบบมงุ ความสําเรจ็ 2) ความสามารถในการพัฒนานักเรยี นใหมี (X4) ทัศนคตทิ างบวก (Y2) 3) ความสามารถในการปรับเปลยี่ นและ พัฒนาโรงเรียนได (Y3) 4) ความสามารถในการแกป ญหาโรงเรียน (Y4) ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ ง การวิจัยในครั้งน้ี เปนการศึกษาภาวะผูนําของผูบริหารท่ีสงผลตอประสิทธิผลการบริหารงาน ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ผวู จิ ัยไดศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วของ ซ่งึ มีประเดน็ ที่จะนาํ เสนอ ดงั น้ี เอกสารทีเ่ กยี่ วของกบั หลักการ แนวคดิ และทฤษฎี 1. ภาวะผนู าํ 1.1 ความหมายของภาวะผนู ํา 1.2 ความสําคัญของภาวะผนู าํ 1.3 แนวคดิ /ทฤษฎภี าวะผนู ํา 1.3.1 ภาวะผนู าํ แบบช้ีนํา 1.3.2 ภาวะผนู าํ แบบสนบั สนุน 1.3.3 ภาวะผนู าํ แบบมสี วนรวม 1.3.4 ภาวะผนู าํ แบบมงุ ความสาํ เรจ็ 2. ประสิทธิผล 2.1 ความหมายของประสิทธผิ ล 2.2 ความสําคัญของประสทิ ธิผล 2.3 องคประกอบท่นี าํ ไปสปู ระสิทธิผลและประสทิ ธภิ าพขององคการ 2.4 แนวคดิ /ทฤษฎปี ระสิทธผิ ล 2.4.1 ความสามารถในการผลติ นกั เรยี นใหม ผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสงู 2.4.2 ความสามารถในการพฒั นานกั เรยี นใหมที ัศนคตทิ างบวก 2.4.3 ความสามารถในการปรบั เปล่ียนและพัฒนาโรงเรียนได 2.4.4 ความสามารถในการแกปญ หาโรงเรยี น งานวิจัยที่เกย่ี วขอ ง 1. งานวิจัยในประเทศ 2. งานวิจัยตา งประเทศ เอกสารทเี่ กีย่ วของกบั หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี 1. ภาวะผนู ํา จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีจากเอกสารทางวิชาการ งานวิจัย และตําราตางๆ เก่ียวกับ ภาวะผูนํา ผูวิจัยไดรวบรวมขอมูลที่เก่ียวของกับความหมาย ความสําคัญ แนวคิด องคประกอบ ประเภทและคณุ ลักษณะ หนาท่ี รูปแบบ บทบาท และทฤษฎขี องภาวะผูนาํ ดงั น้ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 11 1.1 ความหมายของภาวะผูนํา ไดม ีผูใหความหมายของภาวะผูนําไวมากมาย ซึ่งศัพทคําวา “ภาวะผูนํา” มีผูเรียกแตกตาง กนั ไป เชน ผูนาํ ความเปน ผนู ํา ภาวการณเ ปน ผูนาํ เปน ตน เกยี่ วกบั คําจํากดั ความนน้ั กลาวพอสังเขป ไดด งั น้ี เอกชัย บูรณธน (2550, 12) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการท่ีบุคคลใช อิทธิพลเหนือบุคคลอื่นหรือกลุม และจูงใจใหบุคคลอ่ืนปฏิบัติงานตามความประสงคของตน เพ่ือผลประโยชนของสวนรวม เพ่ือใหบรรลุตามเปาหมายท่ีกําหนดไว ทําใหพวกเขาพยายามที่จะ ทําใหบรรลุเปาหมายของกลุมอยางต้ังใจและกระตือรือรน โดยเปลี่ยนแปลงความพยายามของ ผูรวมงานและผูใตบังคับบัญชาไปสูระดับที่สูงขึ้น นอกจากนี้ภาวะผูนํายังเปนความสามารถที่จะสราง ความเชือ่ มนั่ และใหการสนบั สนนุ บคุ คลเพอ่ื ใหบรรลุเปา หมายขององคการไดอกี ดว ย ปุระชัย เปยมสมบูรณ (2550, 303) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง ความสามารถในการ จงู ใจโนม นาวใหบคุ คลอ่ืนประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งท่ีผนู าํ วางวตั ถุประสงคไว ชนันดา โชติแดง (2550, 16) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการที่ผูบริหาร สถานศึกษาสามารถใชอิทธิพลในการชักจูง หรือโนมนาวใหครูหรือบุคลากรในสถานศึกษาดําเนินงาน ใหบ รรลผุ ลตามเปาหมายและวตั ถุประสงคท ่ีต้ังไวผ บู ริหารสถานศึกษาตองทําหนาที่เปนผูนํา กลาวคือ ตองเปนตัวอยางในดานพฤติกรรมใหกับคณะครูและกําหนดพฤติกรรมของบุคลากรในสถานศึกษา ดังนัน้ ผูบ รหิ ารทมี่ ภี าวะผูน ําในการทาํ งาน บคุ ลกรในสถานศกึ ษากจ็ ะมีความสามัคคีและรวมมือรวมใจ ในการทํางาน สง ผลใหผลการดาํ เนนิ งานของสถานศกึ ษาบรรลุตามวัตถปุ ระสงคของสถานศึกษา ลือชา เสถียรวิรภาพ (2550, 18) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการอิทธิพล ทางสังคมที่บุคคลหน่ึงต้ังใจใชอิทธิพลตอบุคคลอ่ืน เพื่อใหการปฏิบัติกิจกรรมตาง ๆ ตามที่กําหนด รวมทั้งการสรางความสัมพันธระหวางบุคคลในองคการ ภาวะผูนําจึงเปนกระบวนการทางอิทธิพล ท่ีชวยใหองคก ารบรรลเุ ปาหมาย วีรยา พวงไทย (2550, 9) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง พฤติกรรมและกระบวนการของ บุคคลในการใชความสามารถใชอํานาจหรืออิทธิพลชักจูง กระตุน และช้ีแนะผูรวมงานผูใตบังคับบัญชา ใหปฏิบัติตามดวยความกระตือรือรนและเต็มใจ เพ่ือที่จะดําเนินงานใหบรรลุผลสําเร็จตามเปาหมาย ขององคก าร ณฏั ฐพนั ธ เขจรนันทน (2551, 122) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง ความสามารถท่ีผูใช อํานาจทม่ี ใี นการชกั จูงใหก ลมุ มุงวตั ถุไปสูป ระสงคต ามท่ตี องการ ธร สุนทรายุทธ (2551, 326) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง อํานาจหรืออิทธิพลเหนือ บุคคล เชน ความรู ความสามารถ ประสบการณ บุคลิกภาพ และอื่น ๆ ท่ีมีอํานาจเหนือบุคคลน้ัน ๆ อํานาจดังกลาวจะเกิดการยอมรับของสมาชิก เกิดการกระตุนภายในกลุมสามารถเปลี่ยนแปลง สถานการณน าํ ไปสคู วามสําเรจ็ ตามเปา หมาย ภารดี อนันตนาวี (2551, 77) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการและสถานการณ ที่บุคคลหนึ่งไดเปนที่ยอมรับใหเปนผูนําในกลุม และมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของสมาชิกในกลุม บุคคลนั้น สมาชิกในกลุมเชื่อวามีความสามารถในการแกปญหาตาง ๆ ท่ีกลุมเผชิญอยูได โดยอาศัย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 12 อํานาจหนาท่ีหรือการกระทําของผูนํา ในการชักจูงหรือชี้นําบุคคลอื่นใหปฏิบัติงานสําเร็จตาม วัตถปุ ระสงคที่วางไว ศิริชัย มาประเสริฐ (2551, 12) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง ภาวะที่เกิดจากการ กระทําท่ีเปนกระบวนการของบุคคลท่ีมีองคประกอบ 3 องคประกอบท่ีเกี่ยวของกัน คือ ผูนํา กลุม และ สถานการณ ถาพิจารณาองคประกอบดังกลาวจะประกอบดวย ปฎิสัมพันธของตัวแปร เปนส่ิงท่ีกําหนด ผลลพั ธห รอื ส่งิ แสดงออกของภาวะผูนํา ซง่ึ ไดแก ความพึงพอใจในการกระทําและความพึงพอใจในงาน สุนทร โคตรบรรเทา (2551, 113) ใหความหมายภาวะผูนาํ หมายถงึ กระบวนการของการ มีอิทธิพลตอผูใตบังคับบัญชา โดยการใชอํานาจและการใชฐานอํานาจตางกัน สงผลตอปฏิกิริยาจาก ผูใตบ งั คบั บัญชาตา งกัน คูนซ และ เวริซ (Koontz & Weihrich, 1988, 437) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง ของศิลปะของการใชอิทธิพลหรือกระบวนการใชอิทธิพลตอบุคคลอ่ืน เพ่ือใหเขามีความเต็มใจและ กระตอื รอื รน ในการปฏบิ ัติงานจนประสบความสาํ เร็จตามจดุ มุงหมายของกลมุ รอบบิน (Robbin, 1989, 302) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง ความสามารถในการใช อิทธพิ ลตอกลมุ เพื่อใหป ระสบความสาํ เร็จตามเปา หมายท่ีตั้งไว กบิ สนั , ไอแวนเซวชิ , และ ดอลเนลลี (Gibson, Ivancevich, & Donnelly, 1997, 272) มองภาวะ ผูนําในเชิงปฏิสัมพันธระหวางกันของสมาชิกในกลุม โดยมีผูนําเปนตัวแทนในการเปล่ียนแปลงเปน บุคคลท่ีมีอิทธิพลตอบุคคลอื่น ๆ ในกลุม ภาวะผูนําจึงเก่ียวของกับการใชอิทธิพลและปฏิสัมพันธ ระหวางบุคคล เปนตัวแทนของการเปล่ียนแปลงท่ีมีผลกระทบตอพฤติกรรมและการปฏิบัติงานของ สมาชิกคนอืน่ ในกลุม ทง้ั นีก้ ารเปลย่ี นแปลงนั้นตองมุงไปสูการบรรลุเปาหมายของกลมุ ดว ย เนลสัน และ ควิก (Nelson & Quick (1997, 346) ใหค วามหมายภาวะผนู าํ หมายถึง กระบวนการ ในการแนะแนว และนาํ ทางพฤตกิ รรมของคนในสภาพของการทํางาน ยุลค (Yukl, 2000, 89) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการอิทธิพลของบุคคล หน่ึงท่ีมีตอคนอ่ืนในองคกรในดานตาง ๆ ท้ังการเปนคนชี้แนะการจัดโครงสราง การอํานวยการและการ สรางความสัมพนั ธก ับกลมุ บุคคล กรีนเบิรก และ บารอน (Greenberg & Baron, 2000, 445) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการท่ีบุคคลหน่ึงซึ่งมักเปนผูนํามีอิทธิพลตอผูตามในทางการที่ไมใชการบังคับเพื่อมุงไปสู เปาหมายทบ่ี คุ คลน้นั ตอ งการ ลุสเซีย และ อาชัวร (Lussier & Achua, 2001, 78) ใหความหมายภาวะผูนํา หมายถึง กระบวนการท่ีมีอิทธิพลโนมนาวระหวางผูนําและผูตามเพื่อใหบรรลุวัตถุประสงคขององคการโดยการ เปลย่ี นแปลง จากความหมายของภาวะผูนําที่นักวิชาการท้ังชาวไทยและชาวตางประเทศใหไว ผูวิจัย สามารถสรุปความหมายภาวะผูนําไดวา ภาวะผูนํา หมายถึง พฤติกรรมที่ผูนําแสดงออกในการใช อํานาจหนาท่ีหรืออิทธิพลท่ีมีอยู กระตุน จูงใจ ช้ีนํา ผลักดันใหผูอื่นปฏิบัติในส่ิงที่ตนตองการเพื่อให บรรลุถงึ จุดมุงหมายทก่ี าํ หนดไวในสถานการณหนงึ่ ๆ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 13 1.2 ความสําคัญของภาวะผนู าํ ภาวะผนู ํามีความสําคญั ตอ ตัวของผบู ังคับบัญชาอยางย่ิง โดยนักวิชาการไดกลาวถึงความสําคัญ ของภาวะผนู ํา ดังเชน ภารดี อนันตนาวี (2551, 77-78) และสุเทพ พงศศรีวัฒน (2550, 13-18) ไดทําการศึกษา ความสําคัญของภาวะผนู าํ ทีม่ ีความสําคัญตอองคการดงั น้ี 1. เปนสวนที่ดึงดูดความรูความสามารถตาง ๆ ในตัวผูบริหารออกมาใช กลาวคือ แมวา ผูบริหารที่มีความรูและประสบการณตาง ๆ ในเรื่องงานมากมายเพียงใดก็ตาม แตถาหากขาดภาวะ ผูนําแลว ความรูความสามารถดังกลาวมักจะไมไดถูกนําออกมาใชหรือไมมีโอกาสไดใชอยางเต็มท่ี เพราะไมสามารถกระตนุ หรือชักจงู ผูอ่นื ใหค ลอยตามและปฏิบตั ิงานใหบรรลุเปาหมายทวี่ างไว 2. ชว ยประสานความขดั แยงตา ง ๆ ภายในหนว ยงาน หนวยงานประกอบดวยบุคคลจํานวน หน่ึงรวมกัน ซง่ึ จะมากหรือนอยแลวแตขนาดของหนวยงาน บุคคลเหลาน้ีมีความแตกตางกันในหลาย ๆ เรอ่ื ง เชน การศึกษา ประสบการณ ความเช่ือ ฯลฯ การท่ีบุคคลมีความแตกตางกันในเร่ืองดังกลาว มาอยูรวมกันในองคการหนึ่ง มักจะหลีกเล่ียงไมพนคือความขัดแยง แตไมวาจะเปนความขัดแยงใน รูปแบบใด ถาผบู ริหารในหนว ยงานมีภาวะผนู าํ ทม่ี ีคนยอมรับนับถือแลว ก็มักจะสามารถประสานหรือ ชวยบรรเทาความขัดแยงระหวางบุคคลในหนวยงานได โดยการชักจูงประนีประนอมหรือประสาน ประโยชนเพ่ือใหบ ุคคลตาง ๆ ในหนวยงานมีความเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน และรวมกันฝาฟนอุปสรรค เพ่ือใหหนวยงานมีความเจริญกาวหนา อาจสรุปไดวา ภาวะผูนําชวยผูกมัดเช่ือมโยงใหสมาชิกของ หนว ยงานมเี อกภาพ 3. ชวยโนมนาวชักจูงใหบุคคลทุมเทความรูความสามารถใหแกองคการ องคการจะตองมี ปจจัยเอื้ออํานวยหลายอยางเพ่ือท่ีจะทําใหสมาชิกตั้งใจและทุมเททํางานให เชน บุคคลไดทํางาน ตรงตามความถนัดและความสามารถ ผูบังคับบัญชาตองรูจักรับฟงความคิดเห็น การประเมินการ ปฏิบัติงานก็ตองมีความยุติธรรม และสิ่งสําคัญประการหนึ่งท่ีขาดเสียมิไดก็คือ ผูบริหารขององคการ จะมีภาวะผูนําในตัวผูบริหารจะทําใหผูใตบังคับบัญชาเกิดความยอมรับ เกิดความศรัทธาและ ความเชื่อม่ันวาผูบริหารไมเพียงแตนําองคการใหอยูรอดเทาน้ัน แตจะนําความเจริญกาวหนา ความภาคภมู ใิ จ เกียรติยศชื่อเสียงและความสาํ เร็จมาสูองคก ารดวย 4. เปนหลักยดึ ใหแกบ ุคลากร เม่อื หนวยงานเผชิญสภาวะคับขนั หรือสภาวะท่ีอาจกระทบถึง ความอยูรอด ภาวะผูนําของผูบริหารจะย่ิงทวีความสําคัญมากขึ้น เพราะในสภาพเชนน้ันผูบริหาร จะตอ งเพ่มิ ความระมัดระวัง ความรอบคอบ ความเขมแข็ง และกลาตัดสินใจท่ีจะเปลี่ยนแปลงสภาพตาง ๆ ภายในหนวยงานทขี่ าดประสิทธิภาพเพอื่ ใหหนว ยงานรอดจากสภาวะคับขันดงั กลา ว มินิซเบิรก (Minizberg, 1973, 69-75) ใหความสําคัญของภาวะผูนําไว ผูบริหารท่ีมีภาวะ ผูนาํ จะชวยสนบั สนุนการปฏบิ ตั ิงานตา ง ๆ ขององคก ารใหเ ปน ไปดว ยความเรยี บรอย คอื 1. ชวยใหบุคลากรขององคการไดรับการประสานงาน และแนะนําการปฏิบัติอยางตอเนื่อง เพ่อื ใหบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท กี่ าํ หนด 2. ชวยรักษาสถานภาพขององคการใหมีความม่ันคง โดยการปรับเปลี่ยนหรือปรับตัวตาม เงื่อนไขการเปลย่ี นแปลงของส่ิงแวดลอม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 14 3. ชวยประสานระหวางฝายตาง ๆ ขององคการใหดําเนินการไดตามลักษณะพลวัตภายใน องคการ โดยเฉพาะในชวงท่ีองคการอยูในระหวางการพัฒนาและการเปล่ียนแปลง ชวยแกไขความ ขดั แยงระหวา งสวนตาง ๆ 4. ชวยใหบุคลากรในองคการบรรลุถึงความตองการตาง ๆ ท้ังในดานความพึงพอใจและ เปาหมายสวนบุคคล โดยจะเปนผูชักชวนจูงใจใหผูรวมงานมีความยินดีและมีความเต็มใจที่จะรวมมือ ปฏิบัติงานใหบรรลุเปาหมาย จากความสําคัญของภาวะผูนําที่นักวิชาการท้ังชาวไทยและชาวตางประเทศใหไว ผูวิจัย สามารถสรปุ ความสําคญั ภาวะผูนําไดว า ภาวะผนู ํามีความสําคัญในการเปนจุดศูนยรวมของการทํางานกลุม การแสวงหาความรวมมือของบุคคลในกลุมเพ่ือนําพากลุมไปสูเปาหมายของความสําเร็จ เปนแรง ขับเคล่ือนสําคัญท่ีชวยในการจูงใจและการประสานงานขององคการเพ่ือใหบรรลุตามเปาหมาย ท่ีกําหนด ทําใหระบบการตัดสินใจตาง ๆ ท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติงานเปนไปอยางมีประสิทธิผล ตามโครงสรา งการบรหิ ารจัดการขององคการ 1.3 แนวคิด/ทฤษฎภี าวะผูนํา ภาวะผูนําตองมีคุณสมบัติของผูนําที่ดี มีการสรางระบบการทํางานที่มีประสิทธิภาพ สราง สภาวะในการสรางเสริมความสามารถและศักยภาพที่มีอยูในบุคคลทุกคนสามารถปฏิบัติหนาท่ีไดดี ย่ิงขน้ึ ในองคกร ไดมีนกั วิชาการหลายทานกลา วถึงแนวคดิ /ทฤษฎีภาวะผนู ําไวห ลากหลายแนวคดิ ดงั น้ี สมคดิ บางโม (2555, 220-221) ไดสรุปแนวคดิ เกย่ี วกบั ภาวะผนู ําออกเปน 4 ทฤษฎี ดงั นี้ 1. ทฤษฎีคุณลักษณะของผูนํา (trait theory) พื้นฐานของทฤษฎีน้ีเช่ือวาภาวะผูนําท่ีดี ข้ึนอยูกับคุณลักษณะทางดานกายภาพ สังคม บุคลิกภาพ และคุณลักษณะสวนตัวของบุคคลเปน สําคัญ เชน รูปราง สติปญญา อุปนิสัยใจคอ สุขุม เยือกเย็น เปนตน ผูนําจะตองมีลักษณะเฉพาะ ภาวะผูน าํ ยอ มจะเกิดขึ้นเฉพาะผทู ี่มลี ักษณะเหมาะสมเทานั้น 2. ทฤษฎีผลกระทบระหวางบุคคลและสถานการณ (Personal and situation theory) ภายหลังป ค.ศ. 1930 นักทฤษฎีไดเริ่มตนศึกษาเก่ียวกับความมีประสิทธิภาพของภาวะผูนําในลักษณะ ท่ีมีความซับซอนมากข้ึน ทฤษฎีนี้มีแนวความคิดวาคุณลักษณะของผูนําจะตองมีความสัมพันธกับ สถานการณ จึงจะทําใหเกิดภาวะผูนําที่มีประสิทธิภาพ ความเชื่อเบ้ืองหลังความคิดนี้คือลักษณะ ของสถานการณใ ด ๆ กต็ ามจะเปน ตัวกําหนดคุณลักษณะท่ีจาํ เปนตอความสําเร็จของภาวะผูนํา ดังนั้น บุคคลท่ีมีลักษณะผูนําตามทฤษฎีลักษณะผูนํานั้น มิไดหมายความวาจะเปนผูนําไดทุกโอกาสหรือ ทุกสถานการณ 3. ทฤษฎีปฏิสัมพันธและความคาดหวัง (Interaction and expectation theory) แนวความคิด ของทฤษฎีน้ีเนนเร่ืองกลุมบุคคลเปนสําคัญ ต้ังอยูบนสมมติฐานท่ีวาภาวะผูนําเกิดจากพฤติกรรม ของกลุม และความคาดหวังของกลุมท่ีเช่ือวาบุคคลใดจะนํากลุมใหบรรลุเปาหมายไดดีที่สุด สมาชิก คนหนึ่งคนใดของกลุมอาจจะเปนผูนําได หากบุคคลนั้นมีลักษณะเหมาะสม เปนผูริเร่ิมบทบาทนํากลุม และบทบาทเหลาน้ันยอมขึ้นอยูกับสถานการณของกลุม และเปนท่ียอมรับของกลุมดวย นั่นคือ จะตองมีการปะทะสัมพันธกับตัวแปรใหญ ๆ หลายตัวแปร เชน บุคลิกภาพของผูนํา ลักษณะของผูตาม รวมท้ังทัศนคติและปญหาตาง ๆ ของผูตาม ลักษณะของกลุม ความสัมพันธของกลุม สถานการณตาง ๆ ท่เี ปน ตวั กําหนด ซงึ่ ไดแก สง่ิ แวดลอม และสภาพของงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 15 4. ทฤษฎี 3 ปจจัย (Three factors of leadership theory) ปจจุบันนักทฤษฎีไดศึกษา องคประกอบของภาวะผูนําในหลาย ๆ ดาน และเสนอแนะวาการพัฒนาทฤษฎีภาวะผูนํานั้น สภาพแวดลอมทางดานสถานการณควรจะตองขยายขอบเขตใหกวางขึ้น ความคาดหมายของผูตาม หรือผูอยูใตบังคับบัญชาและแรงจูงใจในการทํางานของกลุมมีความสําคัญ สําหรับกระบวนการภาวะ ผนู ํา พฤตกิ รรมของผนู ําทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพนัน้ ยอมจะสมั พนั ธกบั ปจจัยท้ังสามดังกลาวที่มีความสัมพันธกัน อยางเหมาะสม ลักษณะสําคัญของทฤษฎีนี้สรุปไดวา การเปนผูนําเปนไดหลายแงหลายมุม มีกระบวนการ ทีแ่ ตกตา งกนั แลวแตสถานการณในกลุม ซ่ึงเกิดจากการปฏิสัมพันธในสวนใดสวนหน่ึงของกลุม และการ ปฏิสัมพันธนี้เปนผลเน่ืองมาจากการกระทํารวมกันเพื่อใหถึงจุดมุงหมาย การเปนผูนําก็เหมือนกับ พฤติกรรมอืน่ ๆ ซึ่งเกิดจากบุคคลและระบบสงั คมท่มี ีการเปล่ยี นแปลงของการปฏสิ ัมพนั ธอยูเสมอ ความตองการแบบของพฤติกรรมและเปาหมายของกลุมผูตาม ประกอบกับลักษณะของ สถานการณจะกอใหเกิดเคาโครงหรือกรอบของพฤติกรรมของผูนําที่จะตองนําไปปฏิบัติ รวมท้ังการ รับรูของผูนําเกี่ยวกับองคประกอบดังกลาวจะตองไปสัมพันธกับความตองการแบบพฤติกรรมและ เปาหมายของผูนําเอง ความสัมพันธตาง ๆ เหลานี้ จะเปนตัวกําหนดวาปจจัยสามอยาง คือ สถานการณ ความคาดหวังของผูตาม และแรงจูงใจ จะผสมผสานกันไดดีเพียงใด ซ่ึงจะเปนตัวกําหนด ภาวะของผูนํา ธร สุนทรายทุ ธ (2551, 327-366) ไดศ กึ ษาแนวความคิดเก่ียวกบั ภาวะผนู ํา ดังน้ี 1. ทฤษฎีนําเชิงคุณลักษณะ (Trait theories of leadership) แนวความคิดนี้เชื่อกันวาคน เปนผูนําจะมีคุณลักษณะดานบุคลิกภาพ ภาวะอารมณและจิตใจ ความตองการ แรงขับ และคานิยม ที่แตกตางกับคนที่ไมเปนผูนํา โดยคุณลักษณะท่ีมักพบในตัวผูนํา ไดแก ความมีพลังและความ ทะเยอทะยาน ความตองการนําผูอื่น ความสัตยซื่อ มีจริยธรรม ยึดม่ันหลักการ มีความเชื่อมั่น ในตนเอง ความเฉลียวฉลาด และความรอบรูในงาน อยางไรก็ตามยังไมมีขอประกันวาคุณลักษณะ อยา งใดอยา งหนงึ่ มีผลตอความสําเรจ็ ของผูนําเสมอไป 2. ทฤษฎีผูนําเชิงพฤติกรรม (Behavioral theories of leadership) แนวความคิดนี้ เชื่อกันวาการเปนผูนําที่มีประสิทธิผลน้ัน จําเปนตองมีพฤติกรรม ทักษะ และเจตคติที่เหมาะสม โดยจาํ แนกพฤตกิ รรมทผี่ ูนําใชในการบริหารงานออกเปน 2 ดาน ไดแก พฤติกรรมที่มุงงานกับพฤติกรรม ที่มุงคน และจากพฤติกรรมท้ังสองดานสามารถจําแนกออกเปนแบบของผูนําไดหลายแบบ ซ่ึงผูนํา แตละแบบจะมีความเช่ือและมุมมองตอผูใตบังคับบัญชาท่ีแตกตางกัน แตเช่ือกันวาแบบของผูนําท่ีมี ประสทิ ธิผลสูงสุดมพี ฤติกรรมทมี่ งุ งานและมุง คนสงู ท้งั สองดา น 3. ทฤษฎีผูนําเชิงสถานการณ (Contingency theories of leadership) แนวความคิดนี้เชื่อวา คุณลักษณะของผูนําท่ีดี พฤติกรรมซึ่งสะทอนออกมาในแบบของผูนําท่ีดี จะมีผลตอความมี ประสิทธิผลของผูนํา แตสถานการณเปนองคประกอบสําคัญท่ีเก่ียวของกับความสําเร็จของผูนํา ไดมีผูเสนอแนวคิดทฤษฎีในดานน้ีขึ้นหลายทฤษฎี เชน ทฤษฎีผูนําเชิงสถานการณของฟดเลอร 3 (Fiedler) ซ่ึงเนนการจับคูระหวางแบบภาวะผูนํากับตัวแปรเฉพาะบางสถานการณ กลาวคือ ตองปรับ เงอื่ นไขของสถานการณใ หสอดคลองกับแบบภาวะผูนํา สวนทฤษฏีวิถีทาง-เปาหมาย จะเนนความสัมพันธ ระหวางแบบผูนํากับลักษณะของผูใตบังคับบัญชาและลักษณะของงานเปนทฤษฏีที่เกี่ยวกับ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 16 ความคาดหวังของผใู ตบ ังคบั บัญชา กลา วคอื คนเหลาน้ีจะเกิดแรงจูงใจก็ตอเม่ือตนเชื่อวามีความสามารถ พอทจี่ ะทํางานนั้นได หรือเม่ือเชื่อวาการใชความพยายามของตนในการทํางานจะประสบความสําเร็จ แนนอนหรือไดผลตอบแทนที่คุมคา ดังนั้น ผูนําจึงตองใชแบบผูนําที่เหมาะสมในการสรางแรงจูงใจ การขจดั อุปสรรคขดั ขวาง การพัฒนาความสามารถ ตลอดจนการใหความชวยเหลือตาง ๆ แกผูใตบังคับบัญชา จนเกดิ ความพงึ พอใจในงาน และม่นั ใจตอ ผลสําเร็จทเี่ กดิ ขนึ้ 4. ทฤษฏีผูนําเชิงความสามารถพิเศษ (Charismatic theories of leadership) แนวความคิดน้ี เช่ือกันวา ผูนําเปนผูมีความสามารถในการทํางานมากหรือความสามารถในการทํานายเหตุการณ ในอนาคตไดอ ยา งถูกตอ ง มคี วามสามารถดานวาทะในการจูงใจผูอ่ืนใหคลอยตาม เล่ือมใสศรัทธา เปนผูที่ เปนแบบอยางในการวางตนไดเหมาะสม มีวิสัยทัศนกวางไกล และรูจักสรางบริบทท่ีเหมาะสมในการ ทาํ ใหว ิสยั ทศั นของตนสอดคลองกับความตองการของผูตาม ผูตามจึงรูสึกไววางใจและผูกพันท้ังตอตัว ผนู ํา และตอวสิ ัยทัศนข องผนู าํ 5. ทฤษฏีผูนําเชิงปฏิรูป (Transformational theories of leadership) แนวความคิดนี้ เชอื่ กนั วา ผนู ําเชงิ ปฏิรปู จะมุงการกระทาํ ตา ง ๆ ทท่ี าํ ใหเกิดการปฏิรูปการเปล่ียนแปลงท่ีดีใหม ๆ และ การสรางความมีชีวิตชีวาใหมใหแกองคการ มีอิทธิพลเชิงอุดมการณ การมุงความสัมพันธกับ ผูตามเปนรายบุคคล การสรางแรงดลใจแกผูตาม และการกระตุนการใชปญญา ผูนําเชิงปฏิรูป จงึ แตกตางกบั ทฤษฏภี าวะผูนาํ อืน่ ๆ ท่ีมุงเนนกระบวนการแลกเปลี่ยน เม่ือผูตามปฏิบัติภารกิจสําเร็จ ก็จะไดรับผลตอบแทน ผูนําเชิงปฏิรูปจึงมีแนวโนมดานความมีประสิทธิผลสูงและเปนท่ีนิยมมาก ในปจ จุบนั สุเทพ พงศศรีวฒั น (25453,3 6-7) ไดศ ึกษาแนวคิดเกี่ยวกบั ภาวะผนู ํา ไดแก 1. ภาวะผูนําตนเอง (self-leadership) มีพื้นฐานอางอิงมาจากแนวคิด “ตนเปนผูนําตนเอง” การนําตนเองของบุคคลประกอบดวย การเริ่มตนดวยตนเอง การกําหนดทิศทางและแรงจูงใจ ดวยตนเอง การใหรางวลั ผลความสาํ เรจ็ สวนตวั และการติดตามตรวจสอบหาสาเหตขุ องความลมเหลว 2. ภาวะผูนําแบบทีมงาน (team leadership) ตัวอยางของภาวะผูนําแบบทีมงาน เกิดจาก การยุบรวมกิจการของบริษัทประกอบธุรกิจขนาดใหญเขาดวยกัน แลวจัดรูปแบบการบริหารจัดการใหม เชน กรณีเกิดข้ึนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในป ค.ศ. 1998 เม่ือบริษัทประกันภัย Travelers ยุบรวม เขากับสถาบันดานการเงินขนาดใหญช่ือ Citicorp ภายใตการนําของผูนํารวมจากบริษัทเดิมทั้งสอง ในลักษณะภาวะผูนําแบบทีมงานท่ีบริหารรวมกันในฐานะประธานกรรมการบริหาร โดยมีแนวคิดของ ภาวะผูนําแบบทมี งาน ไดแก 1) คณะผูนําในทีมจะยึดมั่นตอเปาหมายและพันธกิจท่ีผูนํากําหนดรวมกัน 2) คณะผูนําในทีมตางมีความรับผิดชอบรวมกันท่ีสามารถตรวจสอบได 3) คณะผูนําในทีมตองไวใจ ซ่ึงกันและกัน และทีมบริหารของคณะผูนําจะตองสรางวัฒนธรรมการทํางานรวมกัน 4) คณะผูนํา ในทีมจะใชภาวะผูนํารวมกันในดานตาง ๆ และ 5) เปนผลที่เกิดขึ้นจากภาวะผูนําแบบทีมงานคือ การไดผ ลงานมากขน้ึ จากทีค่ วรจะเปนตามปกติ 3. ภาวะผูนําเชิงกลยุทธ (strategic leadership) ผูนําหรือกลุมผูนําระดับสูงที่มีความสามารถ ในการคาดการณ มีมุมมองระยะยาวและสรางความยืดหยุนใหองคการบรรลุเปาหมายโดยมีขอบขาย การรบั ผิดชอบงานทัง้ องคก าร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 17 4. ภาวะผนู ําเชิงสัญลกั ษณ (symbolic leadership) โดย สเมอซิซ และมอรแกน (Smircich & Morgan) ไดต ัง้ ขอ สงั เกตวา สญั ลักษณ ศาสนพิธี คําขวัญหรือภาษิตตาง ๆ ประวัติหรือคําสอน นิยาม หรือตํานาน หรือชาดก สิ่งตาง ๆ เหลานี้ลวนเปนเคร่ืองมือสําคัญของภาวะผูนําทั้งสิ้น ปรากฏวา หลังจากผานการใชเครื่องมือในการถายทอดสืบตอกันมายาวนานนับรอยปนับพันป ส่ิงเหลาน้ัน คอ ยเปลย่ี นสภาพจากความเปนเคร่ืองมือมีความเปนเสมือนสถาบันท่ีสามารถแสดงบทบาทภาวะผูนํา ขึ้นมาไดในท่ีสุด บุคคลสําคัญของโลกปจจุบันทั้งที่ทานเหลานั้นลวงลับไปนับพันปแลวแตยังคง ความเปนผูนําเชิงสัญลักษณของโลก โดยแสดงบทบาทภาวะผูนําของทานผานกระบวนการของ เครื่องมือดังกลา วมาแลวน่ันเอง จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผูนําสรุปไดวา ผูท่ีจะเปนผูนําจะมีคุณลักษณะทางดาน กายภาพ สงั คม บุคลิกภาพ และคุณลักษณะสวนตัวที่มีความแตกตางจากบุคคลที่ไมใชผูนํา เชน ความมี พลัง ความทะเยอทะยาน ความเช่อื มั่นในตนเอง ความรอบรูในงาน ความเฉลียวฉลาด มีวิสัยทัศนกวางไกล เปนตน ประเสริฐ สมพงษธรรม (25373, 361) กลาววา ในยุคโลกาภิวัตนท่ีมีการผันผวนในทุก ๆ ดาน ภาวะผูนําเปนส่ิงท่ีจะทําใหสามารถขับเคลื่อนองคกรฝาวิกฤตยืนหยัดไปสูความสําเร็จที่ย่ังยืนตอไปได ซง่ึ ภาวะผูน าํ มี 3 องคประกอบ คือ 1. ภาวะผูนําบารมีในการสรา งแรงบนั ดาลใจ ผนู ําจะแสดงออกดวยการเปนแมแบบท่ีเขมแข็งให ผูตามไดเห็นตาม เกิดการรับรูในพฤติกรรมของผูนํา ทําใหเกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรมผูนําข้ึน นอกจากนี้ผูนํายังมีพฤติกรรมปฏิบัติที่มีมาตรฐานทางศีลธรรม และศีลธรรมสูงจนเกิดการยอมรับวา เปนส่ิงที่ถูกตองดีงาม ทําใหไดรับความศรัทธา ความไววางใจ การยอมรับนับถืออยางลึกซ้ึงจากผูตาม จะเกิดความช่ืนชมและศรัทธาแลวก็ตาม เพราะยังไมเกิดแรงจูงใจที่สูงพอท่ีจะเปล่ียนความยึดติด ผลประโยชนของตนไปเปนการเห็นแกประโยชนสวนรวม ซ่ึงคอนขางมีลักษณะเปนนามธรรม ดังนั้น ผูนําจะตองแสดงออกดวยการส่ือสารใหผูตามทราบถึงความคาดหวังท่ีผูนํามีตอผูตามดวยการสราง แรงบันดาลใจ ใหยึดม่ันและรวมสานฝนตอวิสัยทัศนขององคการ เพ่ือนําไปสูเปาหมายแทนการทํา เพ่ือประโยชนเฉพาะตน ผูนําจึงเปนผูท่ีสงเสริมนํ้าใจแหงการทํางานเปนทีม ผูนําจะพยายามจูงใจ ผูตามใหทํางานบรรลุเกินเปาหมายที่กําหนดไว โดยการสรางจิตสํานึกของผูตามใหเห็นความสําคัญวา เปา หมายและผลงานนั้นจําเปนตอ งมกี ารปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงทําใหองคกรเจริญกาวหนา ประสบความสําเร็จได 2. ภาวะในการกระตุนทางปญญา เปนพฤติกรรมของผูนําท่ีแสดงออกดวยการกระตุนให เกิดการริเร่ิมสรางสรรคสิ่งใหม ๆ โดยใชวิธีการคิดทวนกระแสความเชื่อและคานิยมเดิมของตนหรือ ผูนําหรือองคกร ผูนําจะสรางความรูสึกทาทายใหเกิดข้ึนแกผูตาม มองปญหาเปนโอกาส และจะให การสนับสนุนหากตองการทดลองวิธีการใหม ๆ ของตน หรือการริเริ่มสรางสรรคงานใหม ๆ ใหกับ องคการ สงเสริมใหผูตามแสวงหาทางออกและวิธีการแกปญหาตาง ๆ ดวยตนเองเปดโอกาสใหผูตาม ไดแสดงความสามารถอยางเต็มที่ กระตุนใหทุกคนไดทํางานอยางอิสระในขอบเขตของงานท่ีตน มคี วามรคู วามชํานาญ 3. ภาวะในการคํานึงถึงความเปนปจเจกบุคคล เปนพฤติกรรมของผูนําที่ใหความสําคัญ ในการใสใจถึงความตองการความสําเร็จและโอกาสกาวหนาของผูตามเปนรายบุคคล ยอมรับความ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 18 แตกตา งระหวา งบุคคล บางคนอาจตองดแู ลใกลช ดิ ในขณะทบ่ี างคนมีความรับผิดชอบสูงอยูแลวจะให อิสระในการทํางาน เปนตน โดยท่ีผูนําจะแสดงบทบาทเปนครูพ่ีเล้ียง และท่ีปรึกษาใหคําแนะนํา ในการชวยเหลือผูตามใหพ ฒั นาระดบั ความตอ งการของตนสรู ะดบั ทสี่ ูงข้นึ สรางบรรยากาศการทํางาน ทีด่ ี สง เสริมการเรียนรูและความมั่นใจใหแกผ ตู ามเพื่อใหทํางานไดป ระสบความสําเร็จและมีประสิทธภิ าพ ลุสเซีย และ อาชัวร (Lussier & Achua, 2001, 80) กลาววา องคประกอบของภาวะผูนํา ประกอบดว ย 1. ผนู ํา ผูตาม 2. อิทธิพลโนม นาว 3. วตั ถปุ ระสงคข ององคกร 4. ผคู น 5. การเปลี่ยนแปลง ผูบริหารท่ีมีลักษณะเปนผูนําน้ันเปนไปแตกตางกัน ท้ังนี้ขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยาง ซึ่งแตละคน มีพนื้ ฐานไมเหมือนกัน นับตั้งแตอิทธิพลต้ังแตเยาววัย ประสบการณ การฝกอบรม จนกระทั่งลักษณะ การบริหารงานปจจุบัน สภาพแวดลอมการทํางาน รวมถึงสิ่งแวดลอมทางวัฒนธรรม ซึ่งแตละคน ไดสั่งสมกันมา เกียมแมทเทียว และโดโลเรส (Giammatteo & Dolores, 1981, 1-2) ชี้ใหเห็นวา พลงั ในตัวบุคคลที่กอใหเ กิดภาวะผูนํามอี งคประกอบ คอื 1. พลังในตัวผูนําเอง (forces within the leader) เปนคุณลกั ษณะประจาํ ของตวั ผนู ํา เชน พฤติกรรมสวนตวั ท่ีแสดงออกมา 2. พลังในตัวผูตาม (forces within those being led) ไดแก บทบาทของสมาชิกในกลุม ท่ีแสดงออก บทบาทของผูนํามักจะสอดคลองกับพฤตกิ รรมของกลุม 3. พลังจากสภาพแวดลอม (forces within the environment) เปนพลังท่ีเกี่ยวกับ สภาพแวดลอมตาง ๆ เชน นโยบาย แนวคิดของกลุมนักวิชาการ เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ทมี่ ีผลตอการปฏิบัตงิ านของผนู าํ โดยผนู าํ จะตอ งปรับตัวใหเขา กับสภาพแวดลอมทเ่ี ปลีย่ นแปลง จากแนวคิดดังกลาว เฮอรเซย และ บลนั ชารด (Hersey & Blanchard, 1993, 94) มีความ คิดเห็นสอดคลองกัน คือ องคประกอบท่ีจะทําใหเกิดภาวะผูนําขึ้นไดนั้นมี 3 ประการคือ ตัวผูนําเอง ผูตาม และสถานการณ ศริ วิ รรณ เสรีรัตน, สมชาย หิรัญกิตติ, และ ธนวรรธ ต้ังสินทรัพยศิริ (25503, 3198) กลาววา องคป ระกอบของการเปน ผูน าํ มี 4 ประการคือ 1. ความสามารถในการใชอ ํานาจใหเกิดประสิทธิผล เปนท่ียอมรับลักษณะของอํานาจ และ ความแตกตางระหวา งอํานาจและอาํ นาจหนา ท่ี 2. ความสามารถในการใชแรงจูงใจบุคคลทุกระดับและทุกสถานการณ เปนความสามารถใน การเขาใจบุคคล สามารถใชทฤษฎีการจูงใจ ชนิดของอิทธิพลการจูงใจ ลักษณะของระบบการจูงใจ สามารถประยกุ ตใชความรูกบั บคุ คลและสถานการณ ผูบริหารจะตอ งเขา ใจทฤษฎีการจูงใจ และเขาใจ สวนประกอบในการจูงใจ และสามารถประยุกตใชไ ด 3. ความสามารถในการชักนํา เปนความสามารถที่จะใหผูตามใชความสามารถในการ ทาํ งานของกลมุ ในขณะทก่ี ารใชผ จู ูงใจจะเปน จดุ กลางของผูใตบ งั คับบัญชา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 19 4. ความสามารถในการแกไขปญหาเฉพาะหนาตาง ๆ ส่ิงสําคัญของการจูงใจขึ้นกับความ คาดหวัง รางวัลที่ไดรับ และความพยายามที่จะไดรับรวมกับปจจัยอ่ืน ๆ เชน ส่ิงแวดลอม ตลอดจน บรรยากาศองคการ การระลึกถึงปจจัยเหลานี้จะตองนําไปใชสําหรับพฤติกรรมผูนําและพัฒนาทฤษฎี ตาง ๆ การศึกษาทฤษฎีจิตวิทยาของความสัมพันธระหวางบุคคลจะนําไปสูทัศนะกลุมบุคคล ดังน้ัน งานเบื้องตนของผูบริหารคือ การออกแบบและการรักษาส่ิงแวดลอมในการทํางานใหเอื้อตอการ ทํางานของพนักงานในการตอบสนองความพอใจของสมาชิกและผลผลิตที่มากขึ้นขององคการ โดยการชวยบุคคลอน่ื โดยส่ิงตาง ๆ เชน เงนิ สถานะ อํานาจ และการจงู ใจในความสาํ เร็จ หลักพ้ืนฐานของความเปนผูนําคือ บุคคลมีแนวโนมจะทําตามบุคคลอื่น ในทัศนะนี้ การเสนอความพึงพอใจในการบรรลุเปาหมายสวนตัว ผูบริหารจะตองเขาใจถึงวิธีการกระตุน ผูใตบังคับบัญชาและเทคนิคการจูงใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะมีผลสะทอนตอความเขาใจในการจัดการ ประสิทธิผลที่มากขึ้น คอื ความเปนผนู ํา กลาวโดยสรุป ภาวะผูนํา จะมีองคประกอบท่ีสําคัญคือ การสรางแรงบันดาลใจ การกระตุน ใหเกดิ การริเริม่ สรางสรรคส่ิงใหม ๆ ใหกับองคการ ใสใจถึงความตองการความสําเร็จและโอกาสกาวหนา ของผูตามเปนรายบุคคล ยอมรับความแตกตางระหวางบุคคล สงเสริมการเรียนรูและความม่ันใจใหแก ผูตามเพื่อใหทํางานไดประสบความสําเร็จและมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการแกไขปญหา เฉพาะหนาตาง ๆ เปน ตน จอมพงศ มงคลวนชิ (25553, 3189) ไดแบง ประเภทของผูนาํ ไว 3 แบบดวยกนั คือ 1. ผูนําแบบเผด็จการ เปนผูนําท่ีมีความเด็ดขาดในตัวเอง ถือเรื่องระเบียบวินัยกฎเกณฑ ขอบงั คบั เปนหลัก ในการดําเนินงานการตัดสินใจตาง ๆ ขึ้นอยูกับผูนําแตเพียงผูเดียวเทาน้ัน ในแงการ บริหารงานทางดานวิชาการ ดา นธุรกจิ จะเปรยี บเสมือนกจิ การที่เปน เจาของบคุ คลเดียวท่ีมีการดําเนินการ และตดั สินใจเฉพาะผทู ี่เปน เจา ของกจิ การเทาน้ัน 2. ผูนําแบบประชาธิปไตย ถือวาเปนบุคคลที่มีความสําคัญในโลกปจจุบัน ใหสิทธิในการออก ความคิดเห็น สิทธิในการเรียกรอง รวมไปถึงการเคารพสิทธิของผูอื่นดวย การเปนประชาธิปไตยจึง เปนลักษณะหน่ึงที่สงั คมคอ นขางจะยอมรับกนั มากกวา ผูนําประเภทอื่น ๆ 3. ผูนําแบบตามสบาย เปนผูนําที่ไปเรื่อย ๆ มีความออนไหวไปตามสถานการณท่ีเกิดข้ึน เปนผูนําที่เปนที่รักของผูรวมงานอยางมาก ผูนําประเภทนี้จึงมีมากมายตามแตละกิจกรรมตาง ๆ บางคร้ังอาจมองวาเปนบุคคลที่ไมมีจุดยืนเปนของตัวเองหรือมองโลกในแงดี ซ่ึงผูใตบังคับบัญชา ที่ขยนั อาจจะไมชอบลักษณะผูนาํ ประเภทน้ี ในทางปฏิบัติ ในตัวผูนําอาจจะมีรูปแบบของการเปนผูนําท้ัง 2 ประเภทในคนเพียงคนเดียว อาจจะมีลักษณะเฉพาะท่ีโดดเดนออกมาแตละประเภท ซึ่งสามารถควบคุมการปฏิบัติงานใหเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด ลักษณะการใชอํานาจของผูนําจึงแตกตางกันออกไป เพราะในตัวผูนําแตละคน จะมีอาํ นาจและอิทธพิ ลที่สามารถดําเนนิ การหรือสั่งการไดตามความเหมาะสม เอ็ดวิน (Edwin, 1966, 230-232) กลาววา ผูนําบางคนใชรางวัล บางคนใชวิธีการทําโทษ จงู ใจผูตามใหท าํ งาน ซงึ่ ไดแ บง ประเภทผูน าํ ไว 2 ประเภทคอื 1. ผนู ําประเภทนิเสธ (negative leadership)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 20 ผูนําประเภทน้ีจะปกครองบังคับบัญชาผูใตบังคับบัญชาโดยอาศัยอํานาจบังคับ ขมขู หรือ ทําโทษ เพอื่ ใหผรู วมงานเกรงกลัว นอกจากน้ียังนิยมใชอํานาจหนาที่ตามตําแหนงท่ีตนครอบครองอยู เปนเครื่องมือในการบังคับบัญชามากกวาท่ีจะใชอํานาจ ผูนําประเภทนิเสธมีลักษณะเดียวกันกับผูนํา แบบอัตตาธิปไตย หรอื ผูนาํ แบบเผดจ็ การ ผลจากการใชผูนําประเภทนิเสธ กอใหเกิดความขัดแยง ความหวาดระแวงในหมูสมาชิก สมาชิกจะขาดขวัญกําลังใจในการทํางาน ขาดความรวมมือ ขาดความคิดริเร่ิมสรางสรรค และขาด ความไววางใจซึ่งกันและกัน องคการที่มีผูนําประเภทนิเสธจะไมคอยเจริญกาวหนา โอกาสท่ีองคการจะ เสอื่ มและเลิกลม กจิ การมีมาก แตอยางไรก็ตาม กรณีผูนําเปนคนฉลาด เปนคนดี และทํางานเพ่ือสวนรวม และทําในส่ิงที่ ถกู ตอง ผนู ําประเภทนเิ สธก็มผี ลทําใหอ งคการเจรญิ 2. ผูนาํ ประเภทปฏิฐาน (positive leadership) ผูนําประเภทน้ีทํางานโดยใหสมาชิกเขามามีสวนรวมแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจหรือการ แกปญหาขององคการ ผูนําจะรับฟงความคิดเห็นของเพื่อนรวมงานดวยเหตุผล จึงทําใหสมาชิก มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความสามารถของตนไดอยางเต็มท่ี ผูนําประเภทปฏิฐาน จะทํางานโดยอาศัยอํานาจ ซึ่งเปนความสามารถของผูนําเองมากกวาที่จะใชอํานาจหนาท่ี ผูนํา ประเภทนม้ี ลี ักษณะเชน เดียวกับผูนําแบบประชาธิปไตย หรอื ผนู าํ แบบมสี วนรว ม ผูนําประเภทปฏิฐานจะสรางบรรยากาศในการทํางานที่ดี ผูนําและผูรวมงานจะมีความ ศรัทธา เชือ่ ถอื ไวใจซง่ึ กันและกนั และมคี วามเปนกันเอง สมาชิกทุกคนกลาแสดงออก มีวินัยในตนเอง มีความรับผิดชอบ และมีขวัญกําลังใจในการทํางาน ผลงานจะไดทั้งปริมาณและคุณภาพ องคการท่ีมี ผูนําประเภทปฏิฐาน จะมีแตความเจรญิ กา วหนา โอกาสที่จะเส่ือมหรอื เลิกลม กจิ การมีนอยมาก ธร สุนทรายทุ ธ (2551, 107-110) ไดจาํ แนกประเภทผูน าํ ไวดังนี้ 1. ผนู ําแบบนกั บรหิ าร ทาํ หนาท่ีนาํ องคก ารใหบ รรลุเปา หมายหรอื นโยบายขององคการนนั้ 2. ผนู าํ แบบขาราชการ เปน ผนู าํ ในระบบราชการตามลําดบั ลดหล่ันกันลงไป 3. ผูน ําแบบผูชํานาญการ เปน ผเู ชย่ี วชาญเฉพาะสาขา 4. ผนู ําแบบผูว างนโยบาย เปนผนู ําทมี่ ักจะอยูเ บอ้ื งหลงั มักจะไมมีอาํ นาจ 5. ผนู าํ แบบนกั บุญ เปน ผนู าํ ที่สามารถโนม นา วใหคลอ ยตาม 6. ผูนําแบบนักอุดมคติ เปนผูนําที่คิดเก่ียวกับทฤษฎีโดยพยายามท่ีจะอธิบายแนวความคิด ความเชื่อมัน่ วาจะนําไปสจู ุดมงุ หมาย 7. ผนู ําแบบนกั การเมือง เปน ผนู าํ ทางการเมอื ง 8. ผูนําทเ่ี ปน สญั ลักษณ เปน ผูนําทเี่ ปนสญั ลักษณของกลมุ หรือตัวแทนของกลมุ คุณลักษณะของภาวะผูนํามีหลายประเภท โดยมีนักวิชาการหลายทานไดจําแนก คุณลักษณะของภาวะผูนําไวห ลายทรรศนะ ดงั นี้ ยคู ล (Yukl, 2000, 106) ไดจ าํ แนกคุณลกั ษณะของภาวะผูนาํ ออกเปน 3 ประเภท คอื 1. แบบมงุ งาน (task oriented) พฤตกิ รรมของผูน ําประเภทน้จี ะใสใจที่ความสําเรจ็ ของงานเปน อนั ดบั แรก โดยการใชบ คุ ลากรและทรพั ยากรตาง ๆ อยางมีประสิทธิภาพและรักษาไวซ่ึงลําดับขั้นของ การส่ังการและความเช่อื มน่ั ของการดําเนนิ งาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 21 2. แบบมุงความสัมพันธ (relation oriented) พฤติกรรมของผูนําประเภทนี้จะให ความสาํ คญั กบั ความสมั พนั ธร ะหวา งกนั เปน อันดบั แรก พยายามสงเสริมความรวมมือกันในการทํางาน การเพิม่ ความพึงพอใจในงานของบุคลากร 3. แบบมุงการเปลี่ยนแปลง (change oriented) พฤติกรรมของผูนําแบบน้ีจะใสใจที่การ ปรับปรุงยุทธศาสตรในการตัดสินใจ การปรับตัวเพื่อใหเขากับสิ่งแวดลอมที่เปลี่ยนแปลง เพ่ิมความ ยืดหยนุ และนวัตกรรม ทาํ ใหเ กิดการเปล่ียนแปลงหลัก ๆ ในกระบวนการทาํ งาน ผลผลติ หรือบรกิ าร เดวิส (Davis, 1972, 102-104) ไดระบุถึงคุณลักษณะท่ีสําคัญ 4 ประการ ท่ีมีสวนสัมพันธ กับความเปนผูนําที่มีประสิทธิภาพ คือ ความเฉลียวฉลาด ความสามารถทางดานสังคม แรงจูงใจ ภายในทต่ี อ งการประสบความสําเร็จ และ ทศั นคติดานมนุษยสัมพนั ธ ลูเนนเบอรก และ ออนสไตน (Lunenburg & Ornstein, 2004, 278) กลาวถึงคุณลักษณะ ทีจ่ ะทําใหเ กดิ ภาวะผูนําไดน ้นั จะตองประกอบดวยลักษณะเดน ใน 5 ประการ ตอไปนี้ 1. ดา นศักยภาพ ผูนาํ จะตอ งมีศักยภาพในการทํางานสูง 2. ดานการประสบผลสําเร็จ ผูม ภี าวะผูนําไดน ั้นจะตองมีผลงานเชิงประจักษ มีความสําเร็จใน การดําเนินการงานเปน อยา งดี 3. ดานความรับผดิ ชอบ ผมู ีความรบั ผดิ ชอบสงู ยอมจะเปน ทีม่ าของภาวะผนู ําไดด ี 4. ดานการมสี วนรวม จะตอ งเขาไปมสี วนรวมในทกุ ดานกบั องคก รหรือกลุมบุคคล 5. ดานสถานภาพ ผูท่ีจะมีภาวะผูนําตอผูอื่นไดน้ัน จะตองมีสถานภาพท่ีม่ันคงและ นาเช่ือถือ เลทวูด และ แจนซี่ (Leithwood & Jantzi, 1996, 45-72) ไดทําการศึกษาภาวะผูนําทาง การศึกษาตัง้ แตป ค.ศ. 1985-1995 พบวา ภาวะผูนําทางการศึกษา ประกอบดวย 1. ภาวะผูนําทางการสอน (instructional leadership) หมายถึง การมีอิทธิพลตอครูไปสู ทิศทางที่ชวยปรับปรุงระดับผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนใหสูงขึ้น จะเนนพฤติกรรมของครูในการจัด กิจกรรมที่เปนผลโดยตรงตอความเจริญเติบโตของผูเรียน ความเปนผูนําทางการสอน ผูบริหารจะมี อํานาจหนาที่และอิทธิพลตามบทบาทการบริหารที่เปนทางการ แตผูบริหารไมสามารถทําใหความ ตอ งการของทกุ คนบรรลผุ ลได ครคู วรมคี วามเปน ผนู ําทางการสอน รูปแบบความเปนผนู ําทางการสอน จะเนนพฤติกรรมความเปนผูนําท่ีจะทําใหนักเรียนประสบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนและความสําคัญท่ี ผลสําเรจ็ ของสถานศกึ ษา 2. ภาวะผูนําแหงการเปล่ียนแปลง (transformational leadership) หมายถึง การเพิ่มขีด ความสามารถและความเอาใจใสตอผลงานของคณะครูในโรงเรียนใหสูงข้ึน ความเปนผูนําแหงการ เปลี่ยนแปลงรวมไปถึงผูนําที่มีความสามารถพิเศษ ผูนําที่มีลักษณะเพอฝน ผูนําที่เนนวัฒนธรรม และ ผูนําที่มีการมอบอํานาจ ความเปนผูนําแหงการเปลี่ยนแปลงจะเนนที่การมอบอํานาจหนาที่และ ความสามารถของสมาชิกในองคกร ผูนําแหงการเปลี่ยนแปลงจะยกระดับการมอบหมายหนาที่ของ สมาชิกในองคกรใหสามารถปฏิบัติการใหเปาหมายขององคกรประสบความสําเร็จ อันเปนผลสําเร็จ ในดา นการผลติ อํานาจหนา ท่แี ละอิทธิพลไมจ ําเปนจะตอ งมาจากตาํ แหนงท่ีเปนทางการ ผูนําแหงการ เปลี่ยนแปลงจะเนนท่ีคุณธรรมและจริยธรรมที่นําไปสูการพัฒนาแลtความสามารถท่ีจะนําไปสู จุดเปา หมายขององคก ร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 22 3. ภาวะผูนาํ ทางจรยิ ธรรม (moral leadership) หมายถึง การมอี ิทธพิ ลตอ ครูในประเด็นที่เกี่ยวกับ การประพฤติปฏิบัติท่ีมีคุณธรรมจริยธรรม ทําใหทุกคนสามารถแยกแยะประเด็นใดถูกหรือผิด ควร ปฏิบัติหรือควรละเวน จะเปนผูนําแหงคุณธรรมและคานิยมในสังคมประชาธิปไตยที่จะสงเสริมความ เสมอภาค ความยุติธรรม และประชาธปิ ไตยในชมุ ชน 4. ภาวะผนู ําการมสี ว นรว ม (participative leadership) หมายถึง การไดเขามารวมในกิจกรรม ตาง ๆ ของโรงเรียน โดยสมาชิกที่ประกอบข้ึนเปนชุมชน โรงเรียน จะเนนกระบวนการตัดสินใจของ กลมุ อนั จะทําใหเ กิดประสิทธิภาพขององคกรและการบริหารโรงเรียนเปนฐานที่จะนําไปสูความสําเร็จ ของเปา หมาย 5. ภาวะผูนําทางดานการจัดการ (managerial leadership) จะเนนหนาท่ี ภารกิจหรือ พฤติกรรมผูนํา หนาท่ีจะนําไปสูความสามารถ การทํางานกับผูอ่ืนในองคกร ความเปนผูนําทางดาน การจัดการจะเนนความรับผิดชอบท่ีจะนํานโยบายสูการปฏิบัติ การรักษาเสถียรภาพขององคกรและ การปฏิบัตงิ านในแตละวัน เชน การจัดการเกี่ยวกับเงินและพัสดุ การอํานวยความสะดวกในสถานศึกษา เกี่ยวกับนักเรียน การส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพกับผูมีสวนรวมเก่ียวของทางการศึกษา การแกปญหา ความขัดแยง การนํานโยบายของสถานศึกษาและนโยบายของเขตพื้นท่ีการศึกษามาสูการปฏิบัติ ความเปนผูนําจะนํามาสูความรับผิดชอบในการกําหนดนโยบาย การเปล่ียนแปลงองคกร และ กระบวนการทํางาน 6. ภาวะผูน าํ ที่ตอ งการแกปญหา (contingency leadership) หมายถึง การบริหารสถานศึกษาให เปนไปอยางมีประสิทธิภาพ วิธีการที่จะแสดงออกถึงสถานการณขององคกรที่มีลักษณะเฉพาะหรือ แกป ญ หาเฉพาะหนา ความเปน ผนู ําท่ีตอ งการแกปญ หาจะเกดิ ขึ้นจากผูรวมงาน สภาพการทํางานและ ภาระงานที่สมบูรณ ความเปนผูนําที่ตองการแกปญหาจะเกิดจากบริบทความเปนผูนําท่ีหลากหลาย ซึ่งตอ งการรูปแบบความเปน ผูนําทแ่ี ตกตางกนั การศึกษาของวิลเลียม เจ เรดดิน (William J. Reddin) ไดอธิบายถึงความสัมพันธกันของ พฤตกิ รรมผใู ตบ งั คบั บัญชาและสถานการณ โดยแสดงใหเห็นถึงรูปแบบของผูนําที่มีประสิทธิผลมากกวา และผูนาํ ท่มี ปี ระสทิ ธิผลนอยกวา (จอมพงศ มงคลวนชิ , 2555, 191-192) ดังน้ี 1. รูปแบบผนู าํ ท่ีมปี ระสิทธิผลสงู 1.1. นักบริหาร (executive) ผูนําแบบนี้จะมีความสนใจเปนอยางมากทั้งในเรื่องของงาน และสัมพันธภาพระหวางบุคคล มีความสามารถในการจูงใจคน กําหนดมาตรฐานในงานสูง เขาใจถึง ความแตกตางระหวา งบคุ คล และการทาํ งานเปนทมี 1.2. นักพัฒนา (developer) ผูนําแบบน้ีจะใหความสําคัญกับเรื่องสัมพันธภาพระหวาง บุคคลมากกวาใหความสนใจกับงาน จะใหความไววางใจผูรวมงาน สรางแรงจูงใจและใหกําลังใจ เพ่อื ใหท กุ คนพัฒนาตนเอง 1.3. นักเผด็จการแบบใชพระคุณ (benevolent autocrat) ผูนําแบบน้ีจะใหความ สนใจอยางมากกับงาน และใหความสนใจเร่ืองสัมพันธภาพระหวางบุคคลนอย มุงประสิทธิผลของงาน และทําใหงานบรรลุผลไดอยางดี โดยไมทาํ ใหเ กิดความขนุ ของหมองใจ 1.4. ผูรักษากฎระเบียบ (bureaucrat) ผูนําแบบน้ีจะไมใหความสนใจมากนักกับเรื่องงาน และเรื่องสัมพันธภาพระหวางบุคคล แตจะเนนเรื่องกฎระเบียบ การรักษากฎระเบียบ ตลอดจน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 23 ควบคมุ สถานการณโ ดยใชกฎระเบียบตาง ๆ จากการเขม งวดผูนําแบบนจ้ี ะใชแรงกดดนั ใหผูปฏิบัติงาน ตอ งตั้งใจทํางานกันเตม็ ท่ี จงึ ทาํ ใหเ กิดประสิทธผิ ลในงานไดโ ดยออม 2. รูปแบบผนู าํ ที่มีประสทิ ธิผลตํา่ 2.1. ผูประนีประนอม (compromiser) ผูนําแบบน้ีถึงแมจะใหความสนใจทั้งในเรื่อง งานและสัมพันธภาพระหวางบุคคล แตจะเปนผูนําที่ไมกลาตัดสินใจหรือการตัดสินใจไมมี ประสทิ ธิภาพและออ นไหวตอแรงบีบคัน้ หรอื แรงกดดนั ตาง ๆ 2.2. นักบุญ (missionary) ผูนําแบบนี้จะใหความสําคัญท้ังเรื่องคนและสัมพันธภาพ ระหวางบุคคล ใหความสนใจกับงานนอยท่ีสุด และเมื่อมีปญหาขัดแยงระหวางเพ่ือนรวมงานดวยกัน จะพยายามใหทกุ คนสามคั คีปรองดองกนั โดยไมค ํานึงถงึ ปญหาท่มี าจากงาน 2.3. นักเผด็จการ (autocrat) ผูนําแบบน้ีจะใหความสนใจกับงานมากที่สุด ใหความ สนใจกับเร่ืองสัมพันธภาพระหวางบุคคลนอยที่สุด ไมใหผูปฏิบัติงานมีสวนรวมแสดงความคิดเห็น ในงาน แตจะสั่งการใหทําตามความคิดของตนเสมอ และไมสนใจท่ีจะแกไขปญหาความขัดแยง ระหวางบุคคล 2.4. ผูทิ้งงาน (deserter) ผูนําแบบนี้จะใหความสนใจท้ังเรื่องงานและเรื่องสัมพันธภาพ ระหวางบุคคลนอยที่สุด ในสถานการณท่ีประสบปญหาทั้งงานและการขัดแยงระหวางบุคคล ผูนํา แบบน้ีจะมีลักษณะเฉย ๆ ไมเ อาใจใสเ รื่องใด ๆ และไมส นใจปญ หาของใคร การศึกษาของ ลิพพิท และ ไวท (Lippitt & White) ไดอธิบายถึงรูปแบบของผูนําไว 3 แบบ (จอมพงศ มงคลวนิช, 2555, 192-193) ดังน้ี 1. ภาวะผูนาํ แบบปลอยเสรีหรอื เสรนี ิยม (laissez-faire leadership) ภาวการณของผูนําแบบ นี้ จะปลอยใหผูใตบังคับบัญชาปฏิบัติงานอยางเต็มที่ โดยผูนําเปนเพียงผูดูแลอยูหาง ๆ ไมคอยมี บทบาทอะไรมากนัก จึงมีคําเรียกผูนําแบบนี้วา “ผูนําแบบบุรุษไปรษณีย” เพราะผูนํามีหนาที่เพียง สงผานขาวสารเทานั้น จุดเนนอยูท่ีผูใตบังคับบัญชาเปนสําคัญ ผลการทํางานขึ้นอยูกับศักยภาพของ ผูปฏิบัติงานเอง ดังน้ันจึงอาจเรียกผูนําในแบบน้ีวาเปนผูนําจอมปลอม แตสวนใหญผูใตบังคับบัญชา จะมีความพงึ พอใจภาวะผนู าํ แบบน้ี 2. ภาวะผูนําแบบอัตนิยมหรือแบบเผด็จการ (autocratic leadership) ภาวการณของผูนํา แบบน้ีจะยึดตนเองเปนสําคัญตั้งแตการเปนผูตัดสินใจ กําหนดเปาหมาย วิธีการทํางาน การสั่งการ แกผูใตบังคับบัญชา และควบคุมบังคับบัญชาอยางใกลชิดดวยตนเอง ไมปลอยใหมีอิสระในการ ปฏิบัติงาน ทั้งน้ีเพราะไมมีความไววางใจในผูใตบังคับบัญชา ซึ่งผูใตบังคับบัญชาจะไมพอใจในผูนํา แบบน้ี และจะแสดงความกาวราวตอบโตผนู าํ หรือไมก น็ ิ่งเฉย หรือแสดงความกาวราวเม่อื ผนู ําไมอ ยู 3. ภาวะผูนําแบบประชาธิปไตย (democratic leadership) ผูนําแบบน้ีจะมีทัศนคติตอ ผูใตบังคับบัญชาแตกตางจากแบบอัตนิยมหรือแบบเผด็จการ จะมีความไวเนื้อเช่ือใจในผูใตบังคับบัญชา เหน็ ผูใ ตบังคับบัญชามคี วามรูค วามสามารถ จึงเปดโอกาสใหผูใ ตบ ังคับบญั ชามสี วนรวมในการตัดสินใจ กําหนดนโยบาย ตลอดจนวิธีการปฏิบัติงาน โดยตัวผูนํามีสวนรวมอยางเต็มท่ี ดังน้ัน จุดเนนของผูนํา แบบน้ีจึงอยูท่ีตัวผูนําและผูปฏิบัติงานท้ังหลาย หรือรวมเรียกวา กลุม นั่นเอง ภายใตภาวการณผูนํา แบบนี้สมาชกิ ในกลุมจะมคี วามพึงพอใจ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 24 รูปแบบของผูนําที่พิจารณาจากสถานภาพการไดและการใชอํานาจ โดย อุทัย หิรัญโต (2524, 19-20) ไดแ บงออกเปน 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. ผูนําแบบตามกฎหมายหรือแบบพระเดช (legal leader) ผูนําแบบนี้จะไดอํานาจมาจาก ท่ีกําหนดไวในตําแหนงที่ครอบครองอยู จึงนิยมใชกฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับ เปนหลักในการปกครอง บังคับบัญชาคนอื่น ซ่ึงนักวิชาการบางกลุมเรียกผูนําแบบน้ีวา “ผูนําแบบพระเดช” และจะมองผูนํา แบบนี้ไปในทางลบ ที่ชอบใชอํานาจตามกฎหมาย ระเบียบ ขอบังคับอยางเครงครัด ซึ่งมักจะทําให ผใู ตบ งั คับบัญชาขาดความเช่อื ถอื ศรทั ธา และเปนปฏิปกษตอ ผนู าํ 2. ผูนําแบบมีคุณลักษณะพิเศษ (charismatic leader) ผูนําแบบมีคุณลักษณะพิเศษจะใช ศลิ ปะในการจูงใจคนอื่นใหป ฏบิ ัตงิ านดวยความเต็มใจ จึงเปนผูนําท่ีมีบุคลิกภาพ ทาทางสงา นาเคารพ นบั ถอื เปน ที่เลอื่ มใส ศรทั ธาของผูรว มงาน นักวิชาการบางทานเรียกผูน ําแบบนี้วา “ผนู าํ แบบพระคณุ ” 3. ผูนําแบบสัญลักษณ (symbolic leader) ผูนําแบบสัญลักษณ เปนผูนําที่อยูในตําแหนง ที่ควรแกการเคารพ โดยมุงหวังที่จะใหผูนําเปนสัญลักษณของกลุม เปนศูนยรวมของความจงรักภักดี ของคนทัง้ หลาย ซ่งึ คนทวั่ ไปจะใหค วามเคารพนับถอื ในทางปฏบิ ตั ิจรงิ การทค่ี นทว่ั ไปใหความเคารพศรัทธาผูนําแบบสัญลักษณ เปนดวยเหตุผล สองประการคือ เพราะเปนตําแหนงที่ควรเคารพ และเน่ืองจากการเขาสูตําแหนงของบุคคลจะตอง ผานการกลั่นกรองดวยหลักเกณฑมาตรฐาน บุคคลที่จะขึ้นครองตําแหนงดังกลาว จึงเปนคนที่ เพรียบพรอ มดวยความดี และความสามารถ สมัยโบราณมนุษยมีความเชื่อวาการเปนผูนําเปนเร่ืองของความสามารถท่ีเกิดขึ้นเฉพาะ ตระกูลหรือเฉพาะบุคคลและสืบเชื้อสายกันได บุคลิกและลักษณะของการเปนผูนําเปนส่ิงท่ีมีมา แตกําเนิด และเปนคุณสมบัติเฉพาะตัว สามารถถายทอดทางพันธุกรรมได ผูท่ีเกิดในตระกูลของผูนํา ยอมจะตองมีลักษณะผูนําดวย แตแนวคิดเก่ียวกับผูนําเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งไดมี การศกึ ษาและรวบรวมทฤษฎีเกีย่ วกับภาวะผูนํา โดยแบงตามระยะของการพัฒนา (จอมพงศ มงคลวนิช, 2555, 198-209) ดังน้ี 1. ทฤษฎีคุณลกั ษณะภาวะผนู ํา ระยะแรกของการศึกษาภาวะผูนําเร่ิมใน ค.ศ. 1930-1940 แนวคิดมาจากทฤษฎีมหาบุรุษ (greatman theory of leadership) ของกรีกและโรมันโบราณ โดยมีความเชื่อวาภาวะผูนําเกิดข้ึน เองตามธรรมชาติหรือโดยกําเนดิ ไมสามารถเปล่ียนแปลงได แตสามารถพัฒนาข้ึนได ลักษณะผูนําที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงจะประกอบดวยความเฉลียวฉลาด มีบุคลิกภาพซึ่งแสดงถึงการเปนผูนํา และ ตองเปนผูท่ีมีความสามารถดวย ผูนําเหลาน้ี ไดแก พระเจานโปเลียน ฮิตเลอร พอขุนรามคําแหง มหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจาตากสินมหาราช เปนตน โดย การดเนอร (Gardner) ไดศ ึกษาเก่ยี วกับภาวะของผูน ําใน 2 คณุ ลักษณะ ดังน้ี 1.1 The tasks of leadership กลาวถึงงานที่ผูนําจําเปนตองมี 9 อยาง ไดแก มีการ กาํ หนดเปาหมายของกลุม มีบรรทัดฐานและคานิยมของกลุม รูจักสรางและใชแรงจูงใจ มีการบริหาร จัดการ มีความสามารถในการปฏิบัติการ สามารถอธิบายสื่อสารได เปนตัวแทนของกลุมแสดงถึง สญั ลกั ษณข องกลุม และมีความคดิ รเิ รม่ิ สรางสรรค
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 25 1.2 Leader-constituent interaction เช่ือวาผนู าํ ตองมพี ลังวเิ ศษเหนอื บุคคลอ่ืนหรือ มอี ิทธพิ ลเหนอื บคุ คลอ่นื ๆ เพื่อสนองตอบความตองการข้ันพื้นฐาน ความคาดหวังของบุคคลและผูนํา ตอ งมคี วามเปน ตัวของตัวเอง สามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาใหผูตามมีความแข็งแกรงและสามารถ ยนื ดว ยตนเองอยางอสิ ระ อยางไรก็ตาม ทฤษฎีนี้พบวาไมมีคุณลักษณะที่แนนอนหรือช้ีชัดของผูนํา เพราะผูนํา อาจไมแสดงลักษณะเหลา นี้ออกมา 2. ทฤษฎพี ฤตกิ รรมผูนํา (Behavioral theories) เปน การพัฒนาในชว ง ค.ศ. 1940-1690 แนวคดิ หลักของทฤษฎี คือ ใหมองในสิ่งท่ีผูนํา ปฏิบัติ และช้ีใหเห็นวาท้ังผูนําและผูตามตางมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน นักทฤษฎี ไดแก เคิรท เลวิน (Kurt Lewin) เรนสิส ลิเคิรท (Rensis Likert) เบลค และ มูตัน (Blake & Mouton) ด๊ักลาส แมคเกรเกอร (Douglas McGregor) ทฤษฎีพฤติกรรมผูนําเปนแนวคิดที่สนใจศึกษาถึงพฤติกรรมท่ีแสดงออกโดย ผูนํา ซึ่งจะมีผลตอ ความสามารถในการนาํ โดยการศกึ ษาถึงพฤติกรรมของผูนําเริ่มไดรับความสนใจจาก นักวิชาการตะวันตกในชวงทศวรรษที่ 1930 เปนตนมา เนื่องจากการพิจารณาเพียงคุณลักษณะของ ผูนําน้ันขาดความถูกตองและความนาเช่ือถือ ตลอดจนการศึกษาเทคนิคการจัดการในสมัยเริ่มตน โดยเฉพาะการจัดการวิทยาศาสตรไมสามารถแกไขดานการบริหารไดอยางสมบรูณ จึงไดมี สถาบันการศกึ ษาและสถาบันทางวิชาการหลายแหงในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันออก ใหความสนใจทจี่ ะเกบ็ รวบรวมขอมูลและทาํ การวิจัยเพื่อหาขอสรุปเกี่ยวกับการแสดงออกของผูนําท่ีมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในลักษณะตาง ๆ กัน ดังตัวอยางการศึกษาท่ีสําคัญตอพัฒนาการของ ทฤษฎภี าวะผูนํา ดงั น้ี 2.1 แนวตาขายการจัดการของ เบลค และ มตู ัน (Blake & Mouton’s managerial Grid) เบลค และ มูตัน (Blake & Mouton) กลาววา ภาวะผูนําที่ดีมีปจจัย 2 อยาง คือ คน และผลผลิต โดยกําหนดคุณภาพและลักษณะสัมพันธภาพของคนเปน 1-9 และกําหนดผลผลิตเปน 1-9 เชนกัน และสรุปวาถาคนมีคุณภาพสูงจะสงผลใหผลผลิตมีปริมาณและคุณภาพสูงตามไปดวย เรียกรูปแบบนี้วา Nine-Nine Style (9,9 style) ซึ่งรูปแบบของการบริหารแบบตาขายน้ีจะแบง ลักษณะเดน ๆ ของผนู ําไว 5 แบบ คือ 1. แบบมุงงาน (task-oriented/authority compliance) แบบ 9, 1 ผูนําจะมุงแตงานเปน หลัก (production oriented) สนใจคนนอย มีพฤติกรรมแบบเผด็จการ จะเปนผูวางแผนกําหนดแนว ทางการปฏิบัติ และออกคําส่ังใหผูใตบังคับบัญชาปฏิบัติตาม เนนผลผลิต ไมสนใจสัมพันธภาพของ ผรู ว มงาน หางเหนิ ผูรว มงาน 2. แบบมุงคน (country club management) แบบ 1, 9 ผูนําจะเนนการใชมนุษยสัมพันธ และเนนความพึงพอใจของผูตามในการทํางาน ไมคํานึงถึงผลผลิตขององคการ สงเสริมใหทุกคน มีความรูสึกเปนสวนหน่ึงของครอบครัวใหญท่ีมีความสุข นําไปสูสภาพการณ ส่ิงแวดลอมที่นาอยู ไมสราง ความกดดนั แกผูใตบ งั คับบญั ชา โดยผูบรหิ ารมีความเชอ่ื วาบุคลากรมคี วามสุขในการทํางาน การนิเทศ ในการทํางานควรมเี พยี งเล็กนอย ไมจําเปน ตองมีการควบคุมในการทํางาน ลกั ษณะคลายการทํางานใน ครอบครัวท่ีมุงเนนความพึงพอใจ ความสนุกสนานในการทํางานของผูรวมงาน เพ่ือหลีกเล่ียงการตอตาน ตา ง ๆ
26 3. แบบมุงคนตา่ํ มงุ งานต่าํ (impoverished) แบบ 1, 1 ผูนาํ จะสนใจคนและสนใจงาน นอยมาก ใชความพยายามเพียงเล็กนอยเพ่ือใหงานดําเนินไปตามท่ีมุงหมาย และคงไวซึ่งสมาชิกภาพ ขององคก าร ผบู รหิ ารมอี าํ นาจใจตนเองและอทิ ธิพลตอผูอื่นต่ํา มีการประสานงานกับผูใตบังคับบัญชา นอยเพราะขาดภาวะผูน ํา และมักจะมอบหมายใหผูใตบ ังคับบญั ชาทําเปนสวนใหญ 4. แบบทางสายกลาง (middle of the road management) แบบ 5, 5 ผูบริหารหรือผูนํา หวงั ผลงานเทา กบั ขวญั และกําลงั ใจของผปู ฏบิ ัติงานซ่ึงอยูในระดับกลาง ใชระบบท่ีมีกฎระเบียบแบบแผน ผลงานไดจากการปฏิบัติตามระเบียบ โดยเนนขวัญกําลังใจ ความพึงพอใจหลีกเลี่ยงการใชกําลังและ อํานาจ ยอมรับผลที่เกิดขึ้นตามความคาดหวังของผูบริหาร มีการจัดตั้งคณะกรรมการในการทํางาน หลีกเล่ียงการทํางานท่ีเส่ยี งเกนิ ไป มีการประนีประนอมในการจัดการกับความขัดแยง ผูรวมงานคาดหวัง วา ผลประโยชนม ีความเหมาะสมกับการปฏบิ ัตงิ านทีไ่ ดกระทาํ ลงไป 5. แบบทํางานเปนทีม (team management) แบบ 9, 9 ผูนําใหความสนใจทั้งเร่ือง งานและขวัญกําลังใจผูใตบังคับบัญชา คือ สรางสมดุลระหวางความตองการขององคการและความ ตองการของคนทาํ งานโดยไมข ัดแยงกัน เนนการทํางานอยา งมีประสิทธิภาพ บรรยากาศในการทํางาน สนุก ผลสําเร็จของงานเกิดจากความรูสึกยึดม่ันของผูปฏิบัติในการพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกันระหวาง สมาชิก สัมพันธภาพระหวางผูน ํากบั ผูต ามเกิดจากความไววางใจ เคารพนับถือซ่ึงกันและกัน ผูบริหาร แบบนเ้ี ช่อื วา ตนเปน เพียงผูเสนอแนะหรือใหคําปรึกษาแกผูใตบังคับบัญชาเทาน้ัน อํานาจการวินิจฉัย สั่งการและอํานาจการปกครองบังคับบัญชายังอยูที่ผูใตบังคับบัญชา มีการยอมรับความสามารถของ แตละบุคคล กอใหเกดิ ความคดิ สรางสรรคในการทํางาน สูง 9 มิติเนน้ คน มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 1,9 Country club management 9,9 Team management แบบมุ่งคนเป็ นหลกั แบบทาํ งานเป็นทีม 5,5 Middle of the road management แบบทางสายกลาง 1,1 Improverished 9,1 Authority compliance management or Task-oriented แบบมุ่งงานเป็ นหลกั แบบมุง่ คนต่าํ มุ่งงานต่าํ ต่าํ 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ต่าํ มิติเนน้ ผลงาน สูง ภาพประกอบท่ี 2 รปู แบบของการบรหิ ารแบบตาขาย Nine-Nine Style (9,9 style) ที่มา : เบลค และ มูตัน (Blake & Mouton, 1964, 14)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 27 2.2 ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ1 แมคเกรเกอร (McGregor) แมคเกรเกอร (McGregor, 1960, 47-48) เปนนักจิตสังคมชาวอเมริกา ซ่ึงทฤษฎีนี้ เกี่ยวของกับทฤษฎีแรงจูงใจและทฤษฎีความตองการข้ันพื้นฐานของมาสโลว (Maslow) ซึ่ง แมคเกรเกอร (McGregor) มีความเห็นวา การทํางานกับคนจะตองคํานึงถึงธรรมชาติของมนุษยและพฤติกรรม ของมนุษย คือ มนุษยมีความตองการพ้ืนฐานและตองการแรงจูงใจ ผูบริหารท่ีมีประสิทธิภาพจะตอง ใหสิ่งที่ผูตามหรือผูใตบังคับบัญชาตองการ จึงจะทําใหผูใตบังคับบัญชาเกิดความศรัทธา และ กระตอื รอื รน ชวยกนั ปฏบิ ัตงิ านใหบ รรลุจดุ มงุ หมาย และไดเกดิ 2 ทฤษฎีที่แตกตา งกัน ดังนี้ 1. Theory X พื้นฐานของคนคือ ไมชอบทํางาน ข้ีเกียจ อยากไดเงิน อยากสบาย เพราะฉะนั้น บุคคลกลมุ นีจ้ าํ เปนตอ งคอยควบคุมตลอดเวลา และตอ งมีการลงโทษทีม่ ีกฎระเบยี บอยางเครง ครัด 2. Theory Y เปนกลุมท่ีมองคนในแงดี มีความตระหนักในหนาที่ความรับผิดชอบ เต็มใจ ทํางาน มีการเรียนรู มีการพัฒนาตนเอง พัฒนางาน มีความคิดสรางสรรค และมีศักยภาพในตนเอง ผูน าํ จงึ ควรสง เสรมิ และใหโอกาสในการพัฒนา 2.3 การศึกษาของเลวิน (Lewin) เลวนิ (Lewin, 1939, 273) ไดแบงผนู ําออกเปน 3 แบบ คอื 1. ผูนําแบบอัตถนิยมหรืออัตตา จะตัดสินใจดวยตนเอง เปาหมายหรือวัตถุประสงค ขึ้นอยูกับตัวผูนําเอง คิดถึงผลงาน ไมคิดถึงคน บางครั้งทําใหเกิดศัตรูได ผูนําลักษณะน้ีจะใชไดดีในชวง ภาวะวิกฤตเทานั้น ผลของการมีผูนําลักษณะนี้จะทําใหผูใตบังคับบัญชาไมมีความเช่ือมั่นในตัวเอง และไมเ กดิ ความคดิ ริเริม่ สรางสรรค 2. ผูนําแบบประชาธิปไตย ใชการตัดสินใจของกลุมหรือใหผูตามมีสวนรวมในการตัดสินใจ รับฟงความคิดเห็นสวนรวม ทํางานเปนทีม มีการสื่อสารแบบ 2 ทาง ทําใหเพิ่มผลผลิตและความ พึงพอใจการทํางาน บางครงั้ การองิ กลุมทําใหใชเวลานานในการตัดสินใจ 3. ผูนําแบบตามสบายหรือเสรีนิยม จะใหอิสระกับผูใตบังคับบัญชาเต็มที่ในการ ตัดสินใจแกปญหา จะไมมีการกําหนดเปาหมายที่แนนอน ไมมีหลักเกณฑตายตัว หรือไมมีระเบียบ แนช ัด การทํางานของผูนําลกั ษณะนีจ้ ะเปนการกระจายงานออกไปท่ีกลุม หากกลุมมีความรับผิดชอบ และมแี รงจูงใจในการทํางานสูง งานกจ็ ะสําเรจ็ ลลุ ว งได ลักษณะผูนําแตละแบบจะสรางบรรยากาศในการทํางานและเหมาะสมกับสถานการณท่ี แตกตางกัน ดังนนั้ การเลอื กใชล ักษณะผูนําแบบใดยอมข้ึนอยูกับความเหมาะสมของสถานการณและ สิง่ แวดลอมเพือ่ ใหเ กดิ ประสทิ ธิภาพสูงสุด 2.4 การศกึ ษาของลิเคิรท (Likert) และมหาวิทยาลัยมิชแิ กน ลิเคิรท (Likert, 1967, 126-127) และสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน ไดทําการ วจิ ยั ดา นภาวะผนู ําโดยใชเ ครอ่ื งมือทลี่ ิเคิรท (Likert) และกลุมคิดข้ึน ประกอบดวยความคิดรวบยอดเรื่อง ภาวะผูนํา แรงจูงใจ การติดตอส่ือสาร การปฏิสัมพันธและการใชอิทธิพล การตัดสินใจ การตั้งเปาหมาย การควบคมุ คณุ ภาพและสมรรถนะของเปา หมาย โดยแบง ลักษณะผูน าํ เปน 4 แบบ คอื 1. แบบใชอํานาจ (exploitative-authoritative) ผูบริหารใชอํานาจเผด็จการสูง ไววางใจ ผูใตบังคับบัญชาเล็กนอย บังคับบัญชาแบบขูเข็ญมากกวาการชมเชย การติดตอส่ือสารเปนแบบ ทางเดยี วจากบนลงลาง การตัดสนิ ใจอยูในระดบั เบ้ืองบนมาก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 28 2. แบบใชอ ํานาจเชิงเมตตา (benelovent-authoritative) ปกครองแบบพอปกครองลูก ให ความไววางใจผูใตบังคับบัญชา จูงใจโดยการใหรางวัล แตบางคร้ังขูลงโทษ ยอมใหการติดตอสื่อสาร จากเบื้องลางสูเบื้องบนไดบาง รับฟงความคิดเห็นจากผูใตบังคับบัญชาบาง และบางครั้งยอมให ตัดสินใจแตอ ยภู ายใตก ารควบคมุ อยา งใกลช ิดของผูบ งั คบั บญั ชา 3. แบบปรกึ ษาหารอื (consultative) ผูบริหารจะใหค วามไววางใจและการตัดสินใจแต ไมทั้งหมด จะใชความคิดและความเห็นของผูใตบังคับบัญชาเสมอ ใหรางวัลเพ่ือสรางแรงจูงใจ จะ ลงโทษนานๆ ครงั้ และใชการบริหารแบบมีสวนรวม มีการติดตอส่ือสารแบบ 2 ทาง จากระดับลางข้ึนบน และจากระดับบนลงลาง การวางนโยบายและการตัดสินใจมาจากระดับบนขณะเดียวกันก็ยอมให การตดั สินใจบางอยางอยูในระดบั ลาง ผบู รหิ ารเปน ที่ปรึกษาในทุกดาน 4. แบบมีสวนรวมอยางแทจริง (participative) ผูบริหารใหความไววางใจและเชื่อถือ ผูใตบังคับบัญชา ยอมรับความคิดเห็นของผูใตบังคับบัญชาเสมอ มีการใหรางวัลตอบแทนเปนความ มั่นคงทางเศรษฐกิจแกกลุม มีการบริหารแบบมีสวนรวม ต้ังจุดประสงครวมกัน มีการประเมิน ความกาวหนา มีการติดตอส่ือสารแบบ 2 ทาง ท้ังจากระดับบนและระดับลาง ในระดับเดียวกันหรือ ในกลุมผูรวมงาน สามารถตัดสินใจเกี่ยวกบั การบรหิ ารไดท ัง้ ในกลุมผูบ ริหารและกลมุ ผรู วมงาน ลิเคิรท (Likert) พบวา การบริหารแบบมีสวนรวมอยางแทจริง จะทําใหผูนําประสบ ผลสําเร็จและเปนผูนําท่ีมีประสิทธิภาพ และยังพบวาผลผลิตสูงขึ้นดวย ซ่ึงความสําเร็จข้ึนอยูกับการ มีสว นรวมมากนอยของผูใ ตบงั คบั บญั ชา 2.5 การศึกษาภาวะผนู าํ ของมหาวิทยาลยั ไอโอวา การศึกษาของมหาวิทยาลัยไอโอวาในชวงปลายป ค.ศ. 1930 โดยเลวิน และ ไวท (Lewin & White, 1939, 271-301) ไดทําการทดลองเก่ียวกับผลกระทบของภาวะผูนํา โดยศึกษา และรวบรวมขอมูลจากนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพ่ือศึกษาความชอบของสมาชิกที่มีตอผูนําท่ีแตกตางกัน 3 ลักษณะไดแ ก 1. ผูนําแบบเผด็จการ หมายถึง ผูนําจะรวมอํานาจการบริหารงาน โดยทําหนาที่ตัดสินใจใหกับ กลุม แลวคอ ยสอ่ื สารแนวความคิดนัน้ ออกมา เพื่อใหส มาชิกนาํ ไปปฏิบตั ิ 2. ผูนาํ แบบประชาธิปไตย หมายถึง ผูนําจะเปดโอกาสใหสมาชิกมีสวนรวมในการดําเนินของ กลุม โดยผูนําจะทําหนาที่นําเสนอความคิด และทําการตัดสินใจรวมกับกลุม โดยท้ังผูนําและกลุมจะ พยายามหาแนวทางการแกปญหาและขอสรปุ รวมกัน 3. ผูน าํ แบบเสรีนยิ ม หมายถึง ผูนําจะทําการจํากัดการปฏิสัมพันธระหวางตนกับสมาชิกใน กลุม โดยท่ีผูนําจะทําหนาท่ีใหขอมูลและความชวยเหลือที่จําเปนแกสมาชิก แตจะปลอยใหสมาชิก ตดั สนิ ใจเองตามความเหมาะสม โดยผนู าํ จะไมเ ขา รวมกระบวนการตัดสนิ ใจ ผลการเกบ็ รวบรวมขอ มูลของมหาวทิ ยาลัยไอโอวา สรุปไดวา 1) สมาชิกในกลุมจะชอบ ผนู ําแบบประชาธิปไตยมากกวา ผนู าํ แบบเผดจ็ การ และ 2) ผูนาํ แบบเผดจ็ การและเสรีนิยมจะสงผลให กลุมมีลักษณะผูกพันระหวางกลุมสูงกวากลุมที่มีผูนําแบบประชาธิปไตย แตก็มิไดบงช้ีถึงความสําเร็จ หรอื ประสทิ ธภิ าพของผนู ําแตล ะลกั ษณะ อยางไรกด็ กี ารศึกษาของมหาวทิ ยาลัยไอโอวาไดสงผลใหเกิด การต่ืนตัวของแนวคิดความคิดดานพฤติกรรมศาสตร (behavior science) และมนุษยสัมพันธ (human relations) ซึ่งผลักดนั ใหเกิดการศึกษาพฤตกิ รรมของผูนาํ ในมติ ิตาง ๆ ในเวลาตอ มา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 29 2.6 การศกึ ษาของมหาวทิ ยาลยั มชิ แิ กน (Michigan studies) ในชวงตอของทศวรรษที่ 1940 และ 1950 กลุมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ไดสนใจท่ีจะศึกษาลักษณะของภาวะผูนํา (leadership style) ท่ีมีผลตอการปฏิบัติงานของสมาชิก ในกลุมหรือองคการ โดยมีผลการศึกษาที่นาสนใจวาผูนําแตละคนจะแสดงลักษณะของภาวะผูนํา ทแ่ี ตกตา งกนั 2 ลกั ษณะ (ธรี ดา สบื วงษช ยั , 2553, 21) คอื 1. ภาวะผูนําแบบมุงเนนผลผลิต (production centered) หมายถึง ผูนําที่ใหความสําคัญกับ การดําเนินงานและผลลัพธ โดยผูนําจะมีพฤติกรรมท่ีมุงเนนใหสมาชิกทํางานใหบรรลุเปาหมาย ทีว่ างไว สวนตัวสมาชิกเปนเพียงปจจยั ท่ที าํ ใหง านสําเร็จเทา น้ัน 2. ภาวะผนู าํ แบบมุงเนน ผรู ว มงาน (employee centered) หมายถึง ผูนําที่ใหความสําคัญ กับความสัมพันธระหวางผูนําและสมาชิกของกลุม โดยผูนําจะใหความสนใจและเอาใจใส กบั ปญหาตาง ๆ ทัง้ ในเร่ืองท่ีทาํ งานและเร่อื งสว นตวั ทเ่ี กิดขึน้ ของสมาชิก ถึงแมการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนจะไมชี้ชัดวาผูนําแบบใดจะมีประสิทธิภาพ มากกวากัน แตก็เปนการศึกษาของทฤษฎีพฤติกรรมผูนําที่ไดรับความสนใจ และมีการกลาวถึงมา จนปจจุบัน เน่ืองจากเปนการศึกษาท่ีพิจารณาภาวะผูนําของผูจัดการ และพยายามจัดกลุมพฤติกรรม โดยอาศยั หลกั การวิจยั และการศึกษาทางวทิ ยาศาสตร 2.7 การศกึ ษาทม่ี หาวิทยาลยั รัฐโอไฮโอ (The Ohio state leadership studies) ในชวงปลายทศวรรษที่ 1940-1950 ของสต็อกดิล และ คูนส (Stogdill & Coons, 1951, 18-20) โดยมีจุดมุงหมาย 3 ประการคือ 1) เพ่ือคนหาพฤติกรรมท่ีผูนําแสดงออก 2) เพ่ือคนหาวา พฤติกรรมของผูนําแตละแบบท่ีมีผลตอการทํางานของสมาชิก และ 3) เพื่อคนหาแบบผูนําท่ีมี ประสิทธิภาพ ซึ่งในการศึกษาใชแบบสอบถาม LBDQ (The leader behavior descriptive questionnaire) สอบถามผูตามวา ผูนําของตนเองแสดงพฤติกรรมอยางไร และใชแบบสอบถาม LOQ (The leader opinion questionnaire) ถามผูนํา โดยใหบงชี้พฤติกรรมของตนเอง นําขอมูลจากแบบสอบถามทั้ง 2 ชุด มาวิเคราะห ผลปรากฎวา ไดพฤติกรรมผูนําสองมิติ คือ ภาวะผูนําแบบมุงงาน และภาวะผูนํา แบบมงุ ความสมั พันธ ดังนี้ 1.ภาวะผูนําแบบมุงงาน (initiating structure leadership) หมายถึง ลักษณะของผูนํา ท่ีแสดงความสัมพันธระหวางผูนําและผูใตบังคับบัญชา จะเปนไปในลักษณะท่ีเนนความเขาใจในการ ดาํ เนนิ การตามกฎ ระเบยี บ แบบขององคการ การสื่อความหมายที่เปนระบบในหนวยงานและวิธีการ ดําเนินงานตาง ๆ ตามข้ันตอนท่ีกําหนด เพื่อใหบรรลุเปาหมายที่กําหนดไว ผูนําแบบน้ีจะมีลักษณะ ของความกระตือรือรน มีความคิดริเริ่ม มีมนุษยสัมพันธในกลุม ชักนําใหมีการสรางแบบแผนท่ีดีและ สรางชองทางของการติดตอสื่อสารใหสามารถติดตอกับบุคคลทุกคน และสามารถอธิบายถึงวิธีการ ทํางาน ท้ังยังสามารถนําศักยภาพที่มีอยูของผูใตบังคับบัญชามาใชงานจนบรรลุผลสําเร็จและสราง ประโยชนใหแกองคการมากที่สุด ผูนําท่ีมีความริเร่ิมสรางสรรคสูงจะพิถีพิถันกับการมอบหมายงาน และมีความคาดหวังผลการปฏิบัติงานของผูใตบังคับบัญชาไวสูงเพ่ือใหไดตามเกณฑท่ีกําหนดไว และ จะเนนถงึ กําหนดเวลาที่ตอ งทาํ ใหเ สรจ็
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 30 แสดงออกโดยยึดตนเองเปนหลักในการตัดสินใจ ชอบใชอํานาจ ชอบสั่งการ ไมฟง ความเห็นใคร ใหความสําคญั ตอ การทาํ งาน วิธีทํางานและผลงานเปนหลัก ไมใหความสนใจความรูสึก และจิตใจของผตู าม ซงึ่ เปน พฤตกิ รรมของผูน ําแบบอัตตาธปิ ไตยหรือแบบเผด็จการน่นั เอง 2. ภาวะผูนําแบบมุงความสัมพันธ (consideration leadership) หมายถึง ลักษณะของ ผนู ําทีแ่ สดงความสัมพันธร ะหวา งผูน าํ และผูใตบังคับบัญชา ซ่ึงจะเปนไปในลักษณะเนนการเสริมสราง บรรยากาศแหงการเปนมิตร ผูนําแบบน้ีจะมีลักษณะของการดูแลเอาใจใส มีความไววางใจตอกัน ยอมรับฟงความคิดเห็น ใหการยอมรับนับถือ ใหความอบอุน มีความปรองดองกันระหวางผูนําและ ผูใตบังคับบัญชา ผูนําที่มีการเอาใจใสสูงจะสนับสนุนเปดโอกาสใหมีการติดตอส่ือสารและใหมีสวนรวม ซ่ึงจะทําใหผูใตบังคับบัญชารวมมือรวมใจกันทํางานดวยความเต็มใจและเต็มความสามารถ แสดงออก โดยยึดกลุมเปนหลักในการตัดสินใจ ใหผูตามเขามามีสวนรวม มีการปรึกษาหารือ มีการกระจายอํานาจ เห็นความสาํ คัญและใหเ กยี รตผิ ูต าม ซง่ึ เปน พฤติกรรมของผนู ําแบบประชาธปิ ไตยนั่นเอง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอพบวา ผูที่มุงเอาใจใส (มุงคน) สูง จะมีความ อบอนุ ทางอารมณของสงั คม จึงทาํ ใหล ูกนองมคี วามพงึ พอใจมากกวา และมีผลตอการปฏิบัติงานดีกวา แตผลการวิจัยคร้ังหลัง ๆ กลับแสดงวาผูนําจะมีลักษณะท้ังเอาใจใส (มุงคน) และโครงสรางความคิด ริเร่มิ (มุงงาน) ในระดบั ที่สูง คือมีความเปนผูนําที่มีงานและตัวผูใตบังคับบัญชาเปนศูนยกลาง อันเปน การกําหนดความมีประสิทธิภาพ ผลของความเปนผูนําของบุคคลในองคการ ซ่ึงการศึกษาของ มหาวิทยาลัยมิชิแกนและมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอจะมีความคลายคลึงกัน แตการศึกษาของ มหาวิทยาลยั รฐั โอไฮโอไดแยกปจจัยท่ีมีผลตอภาวะผูนําของบุคคลอยางเด็ดขาด ผูนําแสดงพฤติกรรม ทั้งสองในอัตราสวนตาง ๆ ตามลักษณะของตน โดยผูนําอาจจะมีลักษณะท้ังมุงงานและ มุงความสัมพันธ แตผูนําบางคนอาจมุงงานหรือมุงความสัมพันธเพียงอยางเดียว หรืออาจจะไมแสดง ทั้งสองลักษณะ ซ่ึงการศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอไดรับการยอมรับและความนิยมจนถึงปจจุบัน จากคํากลา วท่วี า “ผูนาํ ที่ดจี ะตอ งเกงทัง้ คน เกงทง้ั งาน” 3. ทฤษฎีภาวะผูนําตามสถานการณ (Situational or contingency leadership theory) เปนทฤษฎีที่นําปจจัยสิ่งแวดลอมของผูนํามาพิจารณาวามีความสําคัญตอความสําเร็จของ ผูนําหรือผูบริหาร ซ่ึงขึ้นอยูกับส่ิงแวดลอมหรือสถานการณท่ีอํานวยให (จอมพงศ มงคลวนิช, 2555, 198-209) ไดแก 3.1 แนวคิดทฤษฎี 3-D Management Style เรดดิน (Reddin, 1970, 41-43) ใหความสําคัญกับมิติประสิทธิผลประกอบกับมิติ พฤติกรรมดานงาน และมิติพฤติกรรมดานมนุษยสัมพันธ ไดกลาววา แบบภาวะผูนําตาง ๆ อาจมี ประสิทธิผลหรือไมก็ไดขึ้นอยูกับสถานการณ ซ่ึงประสิทธิผลหมายถึง การท่ีผูบริหารประสบ ความสําเร็จในผลงานตามบทบาทหนาท่ีและความรับผิดชอบที่มีอยู แบบภาวะผูนําจะมีประสิทธิผล มากหรือนอยไมไดข้ึนอยูกับพฤติกรรมการบริหารท่ีมุงงานหรือมนุษยสัมพันธ ซึ่งแบบภาวะผูนํากับ สถานการณทเ่ี ขากนั ไดอ ยางเหมาะสมเรียกวา มีประสทิ ธิผล แตถ า ไมเ หมาะสมกับสถานการณเรียกวา ไมมีประสทิ ธผิ ล และยังแบงผูนําออกเปน 4 แบบ ดังตารางที่ 1 นอกจากนี้ยังกลาววา องคประกอบท่ีสําคัญในการระบุสถานการณมี 5 ประการ คือ เทคโนโลยี ปรัชญาองคการ ผูบังคับบัญชา เพื่อนรวมงาน และผูใตบังคับบัญชา ซึ่งไดเสนอแนะวา
31 องคประกอบทางสถานการณที่มีอิทธิพลตอรูปแบบภาวะผูนําที่เหมาะสม ไดแก องคประกอบทาง เทคโนโลยี องคก าร และคน ดังนั้นในการบริหารจึงขึ้นอยูกับผูบริหารที่จะใชวิจารณญาณพิจารณาวา จะยึดองคประกอบตัวใดเปนหลักในการใชรูปแบบภาวะผูนําไดอยางเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สูงสุด ตารางที่ 1 รปู แบบผนู าํ ทไ่ี มม ีประสทิ ธิภาพและผูน ําทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ผนู าํ ทไ่ี มมีประสทิ ธิภาพ ลักษณะพ้นื ฐาน ผนู ําทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ Dexerter คอื ผูน าํ แบบละทงิ้ หนาที่ ภาวะผนู ํา Bureaucrat คอื ทาํ งานแบบ และหนีงาน เครอ่ื งจักร ไมมีความคิดสรา งสรรค Separate ใหงานเสร็จไปวนั ๆ Autocrat คือ ผนู าํ ที่เอาแตผ ล Dedicated Benevolent autocrat คือ มคี วาม ของงานอยางเดยี ว เมตตากรุณาผูร วมงานมากข้ึน Missionary คือ เห็นแกส ัมพันธภาพ Related Developer คอื ตองรจู ักพัฒนาผตู าม เสียสละ ทาํ คนเดียว จงึ ไดคณุ ภาพ ใหม คี วามรับผิดชอบงานมากข้ึน ของงานตํา่ Compromiser คอื Integrated Executive คอื ตองมผี ลงานดเี ลิศ ผปู ระนีประนอมทุก ๆ เร่อื ง และสมั พันธภาพท่ดี ีดว ย 3.2 TheoryZOrganization อชู ิ (Ouchi, 1981, 82-83)เชื่อวามนษุ ยทกุ คนมีความคิดสรา งสรรคแ ละความดอี ยใู นตวั ควรเปด โอกาสใหผูป ฏิบตั ไิ ดมีสว นรว มในการพฒั นางานและมกี ารกระจายอาํ นาจไปสูสวนปฏิบัตกิ าร และพัฒนาถึงคุณภาพ ชีวติ ผูนาํ เปนเพียงผทู ่คี อยชวยประสานงานรว มคิดพัฒนาและใชทกั ษะในการประสานและอยูรวมกัน 3.3 ทฤษฎวี งจรผนู ําตามสถานการณ เฮอรเซย และ บลันชารด (Hersey & Blanchard, 1982, 69-70) ไดเสนอทฤษฎีวงจรผูนําตาม สถานการณโดยไดรับอิทธิพลจากทฤษฎีของ เรดดิน (Reddin) และยังยึดหลักการเดียวกัน คือ แบบภาวะผูนําอาจมี ประสิทธิผลหรือไมก็ไดขึ้นอยูกับสถานการณ องคประกอบของภาวะผูนําตามสถานการณตามทฤษฎีของ เฮอรเซย และ บลันชารด (Hersey & Blanchard) ประกอบดวย 1) ปริมาณการออกคําสั่ง คําแนะนําตางๆ หรือพฤติกรรมดาน ควบคุมงาน2)ปริมาณการสนบั สนุนทางอารมณ สังคม หรือพฤติกรรมดานมนุษยสัมพันธ และ 3) ความพรอมของผู ตามหรือกลุมผูตามโดยเฮอรเซย และบลนั ชารด(Hersey&Blanchard)ไดแ บงภาวะผนู ําออกเปน4แบบซ่งึ มีความ เหมาะสมกับผตู ามทม่ี คี วามพรอมแตกตา งกันคือ
32 1. ผูนาํ แบบบอกทุกอยาง (telling leader) ผนู ําประเภทน้จี ะใหคําแนะนําอยางใกลชิดและ ดูแลลูกนองอยางใกลชิด เหมาะสมกับผูตามที่มีความพรอมทั้งดานงานและความม่ันใจอยูในระดับที่ (M1) คือ บุคคลมคี วามพรอ มอยใู นระดบั ต่ํา 2. ผูนําแบบขายความคิด (selling leader) ผูนําประเภทนี้จะคอยช้ีแนะบาง เม่ือผูตามขาด ความสามารถในการทํางานอยางหน่ึงอยางใด แตถาผูตามไดรับการสนับสนุนใหทําพฤติกรรมน้ัน การให รางวัลก็จะทําใหเกิดความเต็มใจท่ีจะรับผิดชอบงานและกระตือรือรนที่จะทํางานมากขึ้น ผูบริหารจะใช วิธีการติดตอส่ือสารแบบ 2 ทาง และตองคอยสั่งงานโดยตรง อธิบายใหผูตามเขาใจจะทําใหผูตามเขาใจ และตัดสินใจในการทาํ งานไดดี เหมาะกับผตู ามท่ีมีความพรอมในการทํางานและความมั่นใจอยูในระดับที่ (M2) คอื บคุ คลมคี วามพรอมอยูในระดบั ต่ําถึงปานกลาง พฤ ิตกรรม ดานความ ัสมพันธมหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บ(R)านจอม ึบง มสี วนรว ม ขายความคดิ (LO T, Hi R) (Hi T, Hi R) มอบหมายงาน (Lo T, LO R) คพวฤาตมิกพรรรอมมดขา อนงงผาูตนา(มT) M4 M3 M2 M1 ภาพประกอบท่ี 3 ภาวะผูนํา 4 แบบของเฮอรเซย และ บลนั ชารด (Hersey & Blanchard) ทม่ี า : จอมพงศ มงคลวนชิ (2555, 206) 3. ผูน ําแบบเนน การทํางานแบบมีสวนรวม (participation leader) ผูนําประเภทนี้จะคอย อํานวยความสะดวกตาง ๆ ในการตัดสินใจ มีการซักถาม มีการติดตอสื่อสาร 2 ทางหรือรับฟง เรื่องราวปญหาตาง ๆ จากผูตาม คอยใหความชวยเหลือในดานตาง ๆ ท้ังทางตรงและทางออมทําให ผูตามปฏิบัตงิ านไดเต็มความรูความสามารถและมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผูตามที่มีความพรอมอยูใน ระดับ (M3) คือ ความพรอมของผูตามอยูในระดับปานกลางถึงระดับสูง ซึ่งเปนบุคคลท่ีมีความสามารถ แตไมเตม็ ใจหรอื ยังไมสามารถทีจ่ ะรับผดิ ชอบงานเต็มที่ 4. ผูนําแบบมอบหมายงานใหทํา (delegating leader) ผูบริหารเพียงใหคําแนะนําและ ชวยเหลือเล็ก ๆ นอ ย ๆ ผูตามคดิ และตดั สนิ ใจเองทุกอยา ง เพราะถอื วาผูตามที่มีความพรอมในการทํางาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 33 ระดับสูง สามารถทํางานใหมีประสิทธิภาพไดดี เหมาะกับผูตามที่มีความพรอมอยูในระดับ (M4) คือ ความพรอ มอยูใ นระดับสงู ซ่ึงเปนบุคคลท่ีมีท้ังความสามาถและเต็มใจหรือมั่นใจในการรับผิดชอบการ ทาํ งาน 3.4 ทฤษฎีผนู าํ เชิงสถานการณ : โมเดลของเฟรด ฟดเลอร (Fred Fiedler Contingency Model) ฟดเลอร (Fiedler, 1967, 8) กลาววา ภาวะผูนําท่ีมีประสิทธิภาพ ตองประกอบดวยปจจัย 3 สวนคอื 1. ความสัมพันธระหวางผูนําและผูตาม บุคลิกภาพของผูนํามีสวนสําคัญที่จะทําใหกลุม ยอมรับ 2. โครงสรางของงาน งานทใี่ หความสําคญั เกี่ยวกบั โครงสรางของงาน อํานาจของผูนําจะไมสูง แตถ างานใดตองใชความคดิ การวางแผน ผนู ําจะมอี ํานาจมากขน้ึ 3. อาํ นาจของผนู าํ ผูนําทดี่ ีท่ีสุดคือผูที่เห็นงานสําคัญที่สุด แตถาผูนําท่ีทําเชนน้ีได ผูนําตอง มอี าํ นาจและอทิ ธพิ ลมาก หากผูนํามีอิทธิพลหรืออํานาจไมมากพอจะกลายเปนผูนําท่ีเห็นความสําคัญ ของสัมพันธภาพระหวางผูนําและผูตามมากกวาเห็นความสําคัญของงานเพื่อใหเปนที่ยอมรับของผู ตาม จากทฤษฎีของฟดเลอร (Fiedler) จะเห็นวาภาวะผูนําท่ีมีประสิทธิภาพหรือไมมี ประสิทธิภาพข้ึนอยูกับสถานการณ ถาสัมพันธภาพของผูนําและผูตามดี และมีโครงสรางของงานชัดเจน ผูนาํ จะสามารถควบคมุ สถานการณขององคก รได 3.5 ทฤษฎผี นู าํ เชงิ สถานการณ : ตัวแบบผนู าํ แบบมีสวนรว ม วิคเตอร และ ฟลลิพ (Victor & Phillip) ไดเสนอตัวแบบผูนําแบบมีสวนรวม (leader participation model) หรือทฤษฎีผูนํากับการใหมีสวนรวม ในชวงตนทศวรรษ 1970 หลักการ สําคัญของโมเดล (model) นี้คือ การเนนการเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของผูนํา โดยเปดโอกาสให ผูใตบังคับบัญชาหรือพนักงานมีสวนรวมในการตัดสินใจดวย สวนการท่ีผูนําจะใหพนักงาน มีสวนรวมในการตัดสินใจดวยมากนอยแคไหน ข้ึนอยูกับลักษณะปญหาหรือสถานการณ กลาวคือ การที่ผูนําจะใชรูปแบบการตัดสินใจแบบใด ข้ึนอยูกับการประเมินปญหาหรือประเมินสถานการณ ที่เกิดขึน้ รูปแบบการตดั สินใจของผูนาํ มี 5 แบบ (Robbins, 1990, 239-242) ดงั น้ี 1. Decide ผูนําตดั สนิ ใจเองโดยลาํ พังแลวแจงใหผูใตบงั คบั บัญชาทราบ 2. Consult individually ผูนําบอกเลาปญหาใหผูใตบังคับบัญชาแลวถามความคิดเห็นเปน รายบคุ คล แลวผูน ําจงึ ตดั สินใจ 3. Consult group ผูนําเสนอปญหาตอที่ประชุม แลวขอความเห็นจากท่ีประชุม แลวจึง ตดั สนิ ใจ 4. Facilitate ผูนําทําหนาที่เสมือนผูอํานวยความสะดวก โดยผูนําจะบอกปญหาและ ขอบเขตการตัดสินใจ แลว ใหก ลมุ รวมตดั สินใจ 5. Delegate ผูนาํ บอกปญ หาและเงือ่ นไขตางๆ แลว ใหกลมุ ชว ยตัดสินใจใหตน 3.6 ทฤษฎผี ูนาํ เชงิ สถานการณ : ทฤษฎหี นทาง-เปาหมาย (Path-goal theory) เปนทฤษฎีผูนําตามสถานการณท่ีไดรับความนิยมมาก พัฒนาขึ้นโดยโรเบิรต เฮาส (Robert House) จึงมักเรียกกันวา House’s Path-goal theory หรือทฤษฎีวิถีทางและเปาหมาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 34 สาระสําคัญของ ทฤษฎีนี้คือ การเนนวาผูนํามีหนาที่ที่จะตองชวยใหผูใตบังคับบัญชาบรรลุเปาหมาย สวนบุคคลของผูใตบังคับบัญชา ซ่ึงเปนเปาหมายท่ีสอดคลองกับเปาหมายขององคการ ผูนําจึงตองใช รูปแบบการบริหารงานท่ีทําใหพนักงานมองเห็นเปาหมายและวิถีทางการทํางานท่ีจะทําใหบรรลุ เปา หมายของสวนตัวและขององคก ารไปดวยกนั ทฤษฎนี ี้จึงเปนทฤษฎีท่ีไดแนวคิดมาจากทฤษฎีความ คาดหวัง (expectancy theory) ซ่ึงเปนทฤษฎีการจงู ใจของ วิคเตอร วรูม (Victor Vroom) สาเหตุที่เรียกชื่อทฤษฎีนี้วา ทฤษฎีวิถีทางและเปาหมาย ก็มาจากความเช่ือวา ผูนําท่ี ประสบความสําเร็จจะตองอธิบายและช้ีแจงใหพนักงานเห็นอยางชัดเจนวา เขาจะตองมีวิถีทางคือ จะตอ งปฏบิ ตั ิเรม่ิ ตน จากไหนและจะเดินไปอยางไรจึงจะบรรลุเปาหมายของงานและเปาหมายสวนตัว โดยจะสามารถลดอุปสรรคปญหาตาง ๆ ใหเหลือนอยที่สุด ผูนําจะตองสนับสนุนจูงใจพนักงาน ของตนเองอยา งเต็มท่ีดวย สวนที่ถือวานําความคิดมาจากทฤษฎีความคาดหวังก็เพราะในทฤษฎีวิถีทางและเปาหมาย ก็มุงใหพนักงานมีความคิดวาเมื่อไดปฏิบัติตามวิถีทางที่ถูกตองแลวก็จะประสบความสําเร็จ ไดรับ ผลตอบแทน ไดรับคาจาง เงินเดือน ตําแหนงหนาท่ีที่สูงข้ึน เปนการบรรลุเปาหมายของ ตวั พนักงาน ซ่งึ เปน การเพิม่ ประสิทธิผลตอ องคการหรือบรรลุเปาหมายขององคก ารไปดว ยพรอมกนั ในทฤษฎีวิถีทางและเปาหมาย เช่ือวาพฤติกรรมของผูนําจะไดรับการยอมรับจากพนักงาน ม า ก น อ ย เ พี ย ง ใ ด ขึ้ น อ ยู กั บ ว า ผู นํ า ค น น้ั น ส า ม า ร ถ นํ า ท า ง ใ ห พ นั ก ง า น ไ ป สู ค ว า ม สํ า เ ร็ จ ไดด เี พยี งใด และพฤตกิ รรมของผูนาํ คนน้นั จะสามารถจูงใจใหพนักงานเดินไปในวิถีทางสูเปาหมายไดดี เพียงใด มีการสอนงาน แนะแนวทาง สนับสนนุ และใหรางวัลมากนอ ยเพียงใด โรเบิรต เฮาส (Robert House) ไดแบงพฤติกรรมการบริหารงานของผูนําออกเปน 4 แบบ (Robbins, 1990, 239-242) คอื 1. ผูนําที่ใชอํานาจ (directive leader) จะบอกผูปฏิบัติงานวาผูนําคาดหวังอะไรจาก ผูปฏิบัตงิ าน ผนู าํ จะกาํ หนดแผนการทาํ งาน ข้ันตอนการทาํ งาน เวลาทง่ี านสําเร็จ และจะชี้แนะวิธีการ ทํางานเพื่อใหงานบรรลุเปาหมายใหดวย รวมทั้งผลตอบแทนที่จะไดรับจากการทํางาน จึงเปนผูนํา ทอ่ี ยใู นประเภทเนน งาน 2. ผูนําท่ีใหการสนับสนุนผูปฏิบัติงาน (supportive leader) พฤติกรรมผูนําแบบน้ีจะมี ความเปน มิตร แสดงความหวงใยตอผูใตบังคับบัญชาท้ังเร่ืองงานและสวัสดิภาพและความเปนอยูของ พนกั งาน จงึ จดั ไดว าเปน ผนู ําประเภทเนน ความสัมพันธ 3. ผูนําที่ใหผูใตบังคับบัญชามีสวนรวม (participative leader) จะปรึกษาหารือกับ ผูใตบังคับบัญชา ใหโอกาสพนักงานแสดงความคิดเห็นและขอเสนอแนะตาง ๆ แลวนํามาพิจารณา ประกอบการตัดสินใจดว ย 4. ผูนําที่มุงความสําเร็จของงาน (achievement-oriented leader) คือ ผูนําแบบนี้จะ กําหนดเปาหมายของงานและความคาดหวังตอพนักงานไวสูง และเนนการพัฒนาประสิทธิภาพ การทํางานใหด ีขนึ้ อยางตอเน่อื งตลอดเวลา โรเบิรต เฮาส (Robert House) มีความเชื่อวาพฤติกรรมผูนําสามารถยืดหยุน หรือเปล่ียน รูปแบบได ซึ่งตรงขามกับรูปแบบของฟดเลอร (Fiedler) น้ันคือในทฤษฎีวิถีทางและเปาหมายเช่ือวาผูนํา
35 คนเดียวกันอาจมีรูปแบบพฤติกรรมเปน Directive หรือ Supportive หรือ Participative หรือ Achievement-oriented กไ็ ดขึน้ อยกู บั สถานการณ สําหรับสถานการณในทฤษฎีวิถีทางและเปาหมาย จะประกอบดวย 2 สว น คือ 1. Environmental contingency factor เปนสถานการณสวนที่ตัวผูปฏิบัติงาน ไมสามารถ กาํ หนดหรอื ควบคมุ ได ไดแก โครงสรางของงาน ระบบอาํ นาจหนา ท่ีที่เปน ทางการ และกลุมทาํ งาน 2. Subordinate contingency factor เปนสถานการณที่เปนลักษณะของตัวผูปฏิบัติงาน เอง ไดแก มคี วามเชอ่ื ม่นั ในตนเองสูง ประสบการณ และความสามารถในการรับรู สถานการณทั้ง 2 สวนนี้ จะรวมกันกําหนดรูปแบบพฤติกรรมของผูนําท่ีเหมาะสม เพือ่ นําไปสผู ลลพั ธ คอื พฤตกิ รรมการทํางาน และความพึงพอใจของผูปฏิบัติงาน ในทฤษฎีวิถีทางและ เปาหมายอธิบายวาหากรูปแบบพฤติกรรมของผูนําไมสอดคลองกับสถานการณท้ัง 2 สวน ก็จะทําให การทาํ งานของพนกั งานขาดประสทิ ธภิ าพและเกิดความไมพึงพอใจขึ้น มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง Leader behavior Environmental contingency Outcomes factors • Directice • Performance • Supportive • Task structure • Satisfaction • Participative • Formal suthority system • Achievement oriented • Work group Subordinate contingency factors • Locus of control • Experience • Perceived ability ภาพประกอบท่ี 4 ทฤษฎวี ิถีทางและเปาหมาย ทม่ี า : รอบบินส (Robbins, 1990, 239-242)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 36 กรณีตวั อยา งของสถานการณท่ีจะตองใชร ูปแบบพฤติกรรมของผนู าํ ท่ีสอดคลองกัน เชน 1. เมื่อโครงสรางของงานไมเปนระบบ ระเบียบ มีความไมแนนอนสูง ทําใหพนักงานที่ รับผิดชอบเกิดความเครียด ตัดสินใจแกปญหายาก สถานการณแบบนี้พนักงานจะพอใจท่ีจะไดผูนํา แบบใชอํานาจ เพื่อมาชวยแกปญหาท่ีเกิดขึ้น แตหากโครงสรางของงานเปนระเบียบ แนนอน ชัดเจน ผูนาํ แบบสนับสนุนจะเปนแบบท่พี นักงานมกั จะพอใจและการปฏิบัติงานไดดี 2. เมื่อระบบอํานาจหนาที่ท่ีเปนทางการ ซ่ึงหมายถึงระบบการบังคับบัญชาชัดเจน เปน ข้ันตอน เชน ระบบราชการ เหมาะทีจ่ ะใชพฤตกิ รรมผูนําแบบสนับสนนุ มากกวา แบบใชอ าํ นาจ 3. หากกลุมทํางานมีความขัดแยงสูง พนักงานจะมีความพอใจผูนําที่ใชอํานาจมากกวาแบบ สนบั สนนุ 4. หากลักษณะของพนักงานผูปฏิบัติงาน มีความเช่ือมั่นในตนเองสูง คือ เชื่อวาทุกส่ิงเปน ผลจากการกระทําของบุคคล มิใชฟาบันดาล เชนนี้มักจะพอใจท่ีจะมีผูนําที่มีพฤติกรรมแบบ ใหผูใตบ ังคบั บญั ชามีสวนรวม แตหากเชือ่ ฟาลขิ ิตจะพอใจผนู ําแบบใชอํานาจ 5. หากผปู ฏิบัติงานมีประสบการณการทาํ งานหรือทักษะสูง จะพอใจผูนําแบบใหมีสวนรวม หรือผูนําแบบมงุ ความสําเร็จของงาน แตถาเปนผูปฏิบัติงานที่มีประสบการณ หรือทักษะต่ําจะชอบผูนํา แบบใชอ ํานาจ 6. หากผูปฏิบัติงานมีความสามารถในการรับรูเรื่องราวตาง ๆ สูง จะพอใจผูนําท่ีมีพฤติกรรม แบบใหมีสวนรว ม หรอื ผูนําแบบมงุ ความสาํ เร็จของงานมากกวาแบบใชอ ํานาจ 4. ทฤษฎภี าวะผูนาํ การเปลีย่ นแปลง (Transformational leadership theories) 4.1 ความหมายของภาวะผูนําการเปล่ียนแปลง สําหรับคําวา Transformational leadership นี้ นกั การศกึ ษาไทยไดใชคําท่ีเปนภาษาไทย แตกตางกันอยูหลายคํา เชน ภาวะผูนําแบบแปลงรูป ภาวะผูนําแบบเปลี่ยนสภาพ ภาวะผูนําเชิง ปฏิรูป ภาวะผนู าํ ปริวรรต และภาวะผูนาํ การเปลีย่ นแปลง โดยนกั วิชาการศึกษา ไดใหความหมายของ ภาวะผูนาํ การเปล่ียนแปลง ไวหลายความหมาย ดังนี้ เบริ น (Burns, 1978, 20) ไดใ หค วามหมายวา ภาวะผูนําการเปล่ียนแปลงเปนกระบวนการ ซึ่งผูนําแล ะผูตามตา งยกระดับซ่ึงกันแล ะ กันในดานศีล ธ รรมแ ล ะแรงจูงใจใหสูงข้ึ น ซึ่งพลังอํานาจถูกยกข้ึนโดยภาวะผูนําน้ี จะสามารถดําเนินการทําใหจุดประสงคท่ีวางไวอยางชัดเจน ประสบกบั ความสาํ เรจ็ ในการเปล่ียนแปลงไดด ังทต่ี ั้งใจ แบส (Bass, 1985, 14-20) ไดใหค วามหมายวา ภาวะผูนําการเปล่ียนแปลง คือ ผูท่ีกระตุน จงู ใจผูตามใหกระทาํ มากกวาทค่ี าดหวงั มีความเช่ือมั่นท่ีจะปฏิบัติเพื่อใหบรรลุผลตามท่ีปรารถนาและ ใชความพยายามเพอ่ื ยกระดับความตอ งการของผตู ามใหสูงขนึ้ ตามลําดบั ความตอ งการ 5 ข้ันของมาส โลว (Maslow) 4.2 แนวคิดทฤษฎภี าวะผูนาํ การเปลี่ยนแปลง จากสภาพแวดลอมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการแขงขันเพ่ือชิงความเปนเลิศ ดังน้ัน วิธีท่ีจะทําใหผูบริหารประสบความสําเร็จสูงสุดคือ ผูบริหารตองมีการเปลี่ยนแปลงเปนพลวัต ตามบริบทที่เปลี่ยนไป โดย เบิรน (Burns) เสนอความเห็นวา การแสดงความเปนผูนํายังเปนปญหา จนทุกวนั นี้ เพราะบคุ คลไมม คี วามรเู พียงพอในเรื่องกระบวนการของความเปนผูนํา ซ่ึง เบิรน (Burns)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156